ลาลนาํ รธธมิ รารรม เ ก ร็ ด ชี วิ ต แ ล ะ ป ฏิ ป ท า ข อ ง พ ร ะ ดี พ ร ะ แ ท ้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เ รี ย บ เ รี ย ง
เ ก ร็ ด ชี วิ ต แ ล ะ ป ฏิ ป ท า ข อ ง พ ร ะ ดี พ ร ะ แ ท ้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล พระไพศาล วิสาโล เ รี ย บ เ รี ย ง 1
ชมรมกลั ยาณธรรม หนงั สือดลี �ำดบั ที่ ๑๕๔ ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม เรียบเรียงโดย พระไพศาล วิสาโล www.visalo.org พิมพค์ รั้งท่ี ๔ กันยายน ๒๕๕๓ จ�ำนวนพมิ พ ์ ๘,๐๐๐ เล่ม พิมพค์ ร้ังที ่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ จ�ำนวนพิมพ ์ ๖,๐๐๐ เลม่ จัดพิมพ์โดย ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชัย ต�ำบลปากน�้ำ อ�ำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศัพท์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ภาพประกอบ ฐมาพร วงศเ์ อกชตู ระกลู ออกแบบปก ธรี ะวฒุ ิ พลารชนุ จดั รปู เลม่ คนข้างหลัง ช่วยแก้ค�ำ อะต้อม อนเุ คราะหจ์ ดั พิมพ์โดย บริษัทอมรินทร์พร้ินติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง จ�ำกัด (มหาชน) ๖๕/๑๖ ถนนชัยพฤกษ์ (บรมราชชนนี) เขตตล่ิงชัน กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐ โทร. ๐-๒๔๒๒-๙๐๐๐ สพั พทานัง ธมั มทานงั ชินาติ การใหธ้ รรมะเป็นทาน ยอ่ มชนะการให้ท้ังปวง www2.kanlayanataลmํ .าcoธmา ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ข อ อุ ทิ ศ นํ้ า พั ก น้ํ า แ ร ง บู ช า พ ร ะ คุ ณ พระเทพปรยิ ัติมนุ ี (สมคิด เขมจาร)ี เ จ้ า คุ ณ อ า จ า ร ย์ ผู้ มี เ ม ต ต า ต่ อ ผู้ เ รี ย บ เ รี ย ง นั บ แ ต่ แ ร ก บ ว ช พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 3
คำ� ปรารภ ธรรมะมไิ ดม้ อี ยใู่ นหนงั สอื หรอื คมั ภรี เ์ ทา่ นนั้ หากยงั มอี ยใู่ นชวี ติ ของผู้คน ดังนั้นนอกจากการส่ือด้วยถ้อยค�ำและตัวอักษรแล้ว ธรรมะ ยังสามารถส่ือผ่านวิถีชีวิตและการกระท�ำของบุคคลได้ด้วย การสื่อ ด้วยวิธีการอย่างหลังนั้น ไม่เพียงท�ำให้ธรรมะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชีวา ท่ีแลเห็นได้และสัมผัสได้ง่ายเท่าน้ัน ยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจใน การด�ำเนินชีวิตท่ีดีงาม เรอื่ งราวและเกรด็ ชวี ติ ของบคุ คลโดยเฉพาะพระสปุ ฏปิ นั โนนนั้ สามารถใหแ้ รงบนั ดาลใจในทางธรรมและเปน็ แบบอยา่ งในการดำ� เนนิ ชวี ติ ไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี โดยสว่ นตวั ของขา้ พเจา้ เองกไ็ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากเรอื่ งราว และเกรด็ ชวี ติ ดงั กลา่ วไมน่ อ้ ย จงึ เหน็ วา่ การนำ� เรอ่ื งราวเหลา่ นมี้ าเผยแพร่ น่าจะเป็นประโยชน์แก่บุคคลท่ัวไป ไม่เฉพาะพระหนุ่มเณรน้อยเท่านั้น จงึ ไดน้ ำ� เรอื่ งราวดงั กลา่ วมารวมพมิ พเ์ ปน็ เลม่ โดยเชอ่ื วา่ ผใู้ ดกต็ ามทไ่ี ด้ รับรู้เร่ืองเหล่าน้ีแล้วน�ำมาปฏิบัติกับตนเองย่อมช่วยให้ชีวิตเกิดความ สงบเยน็ ราวกับไดน้ ่ังพักอยรู่ ิมธารใกลล้ านธรรม 4 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
เนอื้ หาเกอื บทง้ั หมดใน ล�ำธารรมิ ลานธรรม ขา้ พเจา้ เรยี บเรยี ง จากขอ้ เขยี นของผอู้ น่ื ทเ่ี คยตพี มิ พใ์ นทอ่ี น่ื มากอ่ นแลว้ ดงั ไดร้ ะบรุ ายชอ่ื หนงั สอื เหลา่ นไ้ี วท้ า้ ยเลม่ แลว้ นบั แตห่ นงั สอื เลม่ นตี้ พี มิ พค์ รง้ั แรกเมอ่ื ปี ๒๕๔๔ กไ็ ดร้ บั ความสนใจจากผอู้ า่ นอยา่ งตอ่ เนอื่ ง จงึ มกี ารตพี มิ พซ์ ำ้� อกี หลายครงั้ ลา่ สดุ คอื ป ี ๒๕๕๓ โดยชมรมกลั ยาณธรรม ซงึ่ ไมเ่ พยี งจดั ทำ� ภาพประกอบอยา่ งงดงาม หากยงั มกี ารจดั ทำ� ประวตั ยิ อ่ ของครบู าอาจารย์ ทกุ ทา่ นทเ่ี ปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของเรอื่ งราวในหนงั สอื เลม่ นอี้ กี ดว้ ย ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ น ไดเ้ ข้าใจความเปน็ มาและเพม่ิ พนู ศรทั ธาปสาทะในตวั ท่านมากยงิ่ ขึน้ บดั นชี้ มรมกลั ยาณธรรมมคี วามประสงคท์ จ่ี ะพมิ พห์ นงั สอื เลม่ น้ี ซำ�้ อกี ครงั้ หนงึ่ คราวนไี้ ดป้ รบั ปรงุ ภาพประกอบใหเ้ ปน็ สส่ี ี รวมทง้ั แกไ้ ข ข้อมูลและถ้อยค�ำบางจุดให้ถูกต้อง ขออนุโมทนาชมรมกัลยาณธรรม ที่มีกุศลเจตนาในการบ�ำเพ็ญธรรมทานครั้งนี้ด้วยความมุ่งหมายให้ สมั มาทศั นะและสมั มาปฏบิ ตั ไิ ดแ้ ผข่ ยายกวา้ งขวาง เพอ่ื ความผาสกุ ของ ชีวิตและสังคมสืบไป พระไพศาล วิสาโล วิสาขปรุ ณมี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 5
สารบัญ ๐๔ ค�ำปรารภ ๐๙ หลวงพอ่ กบั โจร ๑๓ ตำ� นานทว่ี ัดสมอราย ๑๗ สมเด็จฯ วดั สระเกศ ๒๓ อย่เู ป็นสขุ จากไปไมก่ ่อทุกข์ ๒๗ น่ังทางในจับโจร ๓๑ จริยาของนกั ปกครอง ๓๗ เอาป่าไว้ ๔๑ ตัวโกรธ ๔๕ สุนัขโพธสิ ตั ว์ ๔๗ สังฆราชไกเ่ ถอ่ื น ๕๑ โจรกลบั ใจ ๕๗ คุณธรรมของโหรเอก ๖๑ ตน้ พยอมของสมเด็จฯ ๖๕ จงอางหางกุดทวี่ ัดหนองป่าพง ๖๙ ขรัวโตกับหวั โขน ๗๓ ของดจี ากสวนโมกข์ 6 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
๗๗ ช้างรับศีล ๘๓ เมตตาของหลวงพ่อ ๘๗ บนเสน้ ทางชีวติ พรหมจรรย์ ๙๓ หลวงพอ่ ชากบั รถยนต์ ๙๗ ป๊ีบของหลวงพอ่ วดั บ้านกร่าง ๑๐๓ กระต่ายนอ้ ยนั่งภาวนา ๑๐๗ ในหลวงกบั หลวงตา ๑๑๕ ทนุ ท่ีไมม่ วี นั หมด ๑๒๑ ผมู้ ั่นคงในธรรม ๑๒๗ รธู้ รรมจากความประหยัด ๑๓๑ เผชญิ เสอื โครง่ ๑๓๕ จิตงดงาม ดอกไมง้ าม ๑๓๙ มแี ตไ่ ม่เอา ๑๔๓ เสยี งเกย๊ี ะ ๑๔๕ เพราะถือจึงหนกั ๑๔๙ ตอ่ อายุพ่อแม่ ๑๕๓ คำ� เฉลย ๑๕๗ โผงผางแต่ผอ่ งแพว้ ๑๖๒ ท่ีมาของเกรด็ ชีวติ ๑๖๕ ประวตั พิ ระไพศาล วสิ าโล พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 7
8 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ห ล ว ง พ่ อ กั บ โ จ ร หลวงพ่อโตหรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) แห่งวัดระฆัง เป็นผู้ท่ีได้ชื่อว่า เช่ียวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก แม้ท่านจะไม่เคยเข้าสอบแปลหนังสือเป็นเปรียญ แต่ชาวบ้าน ก็เรียกท่านว่าพระมหาโตมาต้ังแต่บวช ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังได้รับ คำ� ชมจากสมเดจ็ พระสงั ฆราช (สกุ ) แหง่ วดั มหาธาตซุ งึ่ เปน็ สำ� นกั ที่ หลวงพ่อโตเคยไปเข้าเรียนคร้ังยังเป็นพระหนุ่มว่า “ขรัวโตเขามา แปลหนงั สอื ใหฟ้ งั เขาไมไ่ ดม้ าเรยี นหนังสอื กับฉนั ดอก” อยา่ งไรกต็ าม ทา่ นมใิ ชพ่ ระทแ่ี มน่ ยำ� เฉพาะตวั หนงั สอื หรอื คัมภีร์ หากยังน้อมน�ำธรรมะจนกลายเป็นเนื้อเป็นตัวของท่าน ท�ำให้ชีวิตของท่านเป็นไปอย่างโปร่งเบาและอิสระไม่ติดกับกฎ ประเพณ ี ทง้ั ไมถ่ ือความนิยมของผอู้ ่นื เปน็ ใหญ่ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 9
คราวหนงึ่ พระในวดั ของทา่ นโตเ้ ถยี งกนั ถงึ ขน้ั ดา่ ทา้ ทายกนั พอท่านเห็นเหตุการณ์ ท่านก็เข้าไปในกุฏิ จัดดอกไม้ธูปเทียน ใสพ่ าน แลว้ เดนิ เขา้ ไปในระหวา่ งควู่ วิ าท ลงนงั่ คกุ เขา่ ถวายดอกไม้ ธปู เทยี นให้พระทง้ั คู่ แล้วกล่าวว่า “พ่อเจ้าพระคุณ พ่อจงคุ้มฉันด้วย ฉันฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นจริงแล้วว่าพ่อเก่งเหลือเกิน เก่งพอได้ เก่งแท้ๆ พ่อเจ้า ประคุณ ลูกฝากตวั ด้วย” ผลคือพระทั้งคู่เลิกทะเลาะกัน หันมาคุกเข่ากราบท่าน ท่านกก็ ราบตอบพระ ทั้งหมดกราบและหมอบกนั อย่นู าน นอกจากท่านจะไม่ถือตัวหรือติดในยศศักดิ์แล้ว ท่านยัง ไม่ยึดในทรัพย์ด้วย ความมักน้อยสันโดษของท่านเป็นที่เล่ืองลือ ลาภสกั การะใดๆ ทที่ า่ นไดม้ าจากการเทศนห์ รอื กจิ นมิ นต ์ ทา่ นมไิ ด้ เก็บสะสมไว้ มักเอาไปสร้างพระพุทธรูปและสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อพระศาสนาอยู่เนืองๆ แม้ใครขอก็ยินดีบริจาคให้ กระท่ังมีโจร มาลัก ท่านกย็ งั ช่วยอ�ำนวยความสะดวกแก่โจร 10 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
เล่ากันว่า คร้ังหนึ่งท่านก�ำลังจ�ำวัดอยู่ในกุฏิ มีโจรข้ึนมา ขโมยของ หมายจะหยิบตะเกียงลานในกุฏิ แต่บังเอิญหยิบไม่ถึง ท่านก็ชว่ ยเอาเท้าเขย่ี ส่งให้โจร แลว้ บอกใหโ้ จรรีบหนไี ป อีกเร่ืองหน่ึงมีว่า ท่านไปเทศน์ต่างจังหวัดโดยทางเรือ ได้ กณั ฑเ์ ทศนม์ าหลายอยา่ ง รวมทง้ั เสอ่ื และหมอน ขากลบั ทา่ นตอ้ ง พกั แรมกลางทาง คนื นนั้ เองมโี จรพายเรอื เขา้ มาเทยี บกบั เรอื ของ ท่าน ขณะที่โจรล้วงหยิบเสื่อนั้นเอง ท่านก็ตื่นขึ้นมาเห็น จึงร้อง บอกว่า “เอาหมอนไปด้วยซิจ๊ะ” โจรได้ยินก็ตกใจกลัว รีบพายเรือ หนี ท่านจึงเอาหมอนโยนไปทางโจร โจรเห็นว่าท่านยินดีให้ จึง พายเรือกลบั มาเกบ็ เอาหมอนไปดว้ ย บางคร้ังลูกศิษย์ของท่านก็มาเป็นเหตุเสียเอง กล่าวคือ เมื่อท่านกลับจากการเทศน์พร้อมกับกัณฑ์เทศน์มากมาย ศิษย์ ๒ คนท่ีพายเรือหัวท้ายก็ตั้งหน้าตั้งตาแบ่งสมบัติกัน แต่ตกลงกัน ไม่ได้ คนหนึ่งว่ากองนี้ของข้า อีกคนก็ว่ากองนั้นของข้า ท่านจึง ถามว่า “ของฉันกองไหนล่ะจ๊ะ” เมื่อกลับถึงวัด ศิษย์ท้ังสอง เอากณั ฑ์เทศน์ไปหมด ท่านกม็ ิไดว้ ่ากลา่ วอยา่ งใด พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 11
12 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ตํ า น า น ที่ วั ด ส ม อ ร า ย วัดแต่โบราณนั้นมีสภาพเป็นอาราม คือมีความสงบ ร่มคร้ึมด้วยแมกไม้ ก่อให้เกิดความสงบเย็นทั้งใจและกาย โดยเฉพาะวัดที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ท่านจะปล่อยให้ต้นไม้ เติบโตตามธรรมชาติไม่ยอมตัดเพราะเป็นอาบัติ แต่เหตุผลท่ีท่าน ประสงค์จะรักษาสภาพธรรมชาติภายในวัดเอาไว้ ท่ีส�ำคัญยังมี อีกประการหน่ึง น้ันคือเพื่อให้เกิดความวิเวก อันเก้ือกูลแก่การ บำ� เพ็ญสมาธภิ าวนา อันเป็นส่งิ ทพ่ี ระบรมศาสดาทรงสรรเสรญิ พระแต่ก่อนนอกจากท่านจะไม่ตัดต้นไม้แล้ว ยังไม่ยินดี หากผอู้ น่ื กระทำ� ในเขตอารามของทา่ น แมจ้ ะเปน็ คฤหสั ถ ์ ประเพณี ดงั กลา่ วสบื ตอ่ กนั เรอ่ื ยมา จนผนั แปรในยคุ ปจั จบุ นั อยา่ งไรกต็ าม ส�ำหรับคนใกล้วัด ก็ยังมีต�ำนานต่างๆ เล่าขานกันอยู่ ต�ำนานเรื่อง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 13
หน่ึงที่รู้จักกันดีก็คือต�ำนานท่ีวัดสมอราย ซ่ึงปัจจุบันเปล่ียนชื่อ เปน็ วัดราชาธิวาส วดั สมอรายเปน็ วดั โบราณ สนั นษิ ฐานวา่ คงสรา้ งมาแตค่ รง้ั กรุงละโว้ หรือสมัยอโยธยา ตกมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็ยังเป็น วัดฝ่ายสมถะ คนท่ัวไปยกย่องนับถือว่าเป็นวัดซ่ึงประพฤติม่ันคง ในสมณวัตร และเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนาธุระ จนสมัยหน่ึง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยคร้ังด�ำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เม่ือทรงอุปสมบทแล้ว ได้มาประทับ ทวี่ ดั นี้ เม่ือเสด็จข้ึนครองราชย์ ทรงด�ำริจะเสด็จมาพระราชทาน พระกฐินที่วัดสมอราย เจ้าพนักงานจึงล่วงหน้ามาตรวจดูที่วัด โดยท่ีวัดนี้เป็นวัดที่รักษาประเพณีสมถะอย่างกวดขัน จึงไม่ตัด โค่นต้นไม้ ปล่อยให้พุ่มชิดกัน เบียดแน่น แต่ลานวัดนั้น กวาด ให้เตียนสะอาดอยู่เสมอ เจ้าพนักงานเห็นว่าก่ิงไม้ตามทาง เสด็จพระราชด�ำเนินนั้น เกะกะกีดขวางพระกลด จึงจะตัดกิ่งไม้ เหลา่ นัน้ เสีย แตเ่ จ้าอาวาสซึง่ เปน็ พระราชาคณะหายอมไม่ ยืนยนั อย่างหนักแน่นว่า “จะเสดจ็ มาก็ตาม มิเสดจ็ มาก็ตามเถดิ ” 14 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ผลคือพระองค์เสด็จวัดสมอรายโดยก่ิงไม้อยู่ในสภาพครบถ้วน สมบรู ณ์ ต�ำนานวดั สมอราย วดั ราชาธิวาส เขตสามเสน กรุงเทพมหานคร วัดราชาธิวาสวิหาร เดิมชื่อวัดสมอราย เป็นวัด โบราณเกา่ แกม่ าก สนั นษิ ฐานกนั วา่ สรา้ งสมยั ครง้ั กรงุ ละโว ้ ในสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ ้ี ไดร้ บั พระบรมราชปู ถมั ภ์ ตลอดมาทุกรชั กาล ในรัชกาลท่ี ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงอุปสมบท แล้วเสด็จมาประทับที่วัดนี้ เมื่อทรงด�ำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขนุ เสนานุรักษ์ ในรัชกาล ๒ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏ ทรงอุปสมบทท่ีวัด พระศรรี ตั นศาสดาราม และเสดจ็ มาประทบั อยทู่ วี่ ดั น ้ี ๑๒ พรรษา คอื ทรงผนวช เม่ือ พ.ศ. ๒๓๖๒ และเสด็จไปครองวัดบวรนิเวศวิหาร เม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๙ ใน รัชการท่ ี ๓ ในรัชการที่ ๓ นี้ เจ้าฟ้ามงกุฏ ยังทรงสมณเพศอยู่ประทับ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๒ ในรัชกาลนี้ได้มีการปฏิสังขรณ์หลายอย่าง และในรัชกาลที่ ๔ ก็มีการ ปฏสิ งั ขรณ์ตอ่ มา ในรัชกาลท่ี ๔ ทรงพระราชทานนามวัดว่า วัดราชาธิวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 15
16 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ส ม เ ด็ จ ฯ วั ด ส ร ะ เ ก ศ สมเดจ็ พระสงั ฆราชทคี่ รองวดั สระเกศนนั้ มเี พยี งองคเ์ ดยี ว ในประวัติศาสตร์ไทย นั่นคือสมเด็จอยู่ ( ) ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์เดียวในยุครัตนโกสินทร์ ที่ขึ้นชื่ออย่างยิ่งในด้านโหราศาสตร์ และยังได้รับการยกย่อง ในด้านนี ้ แม้กระท่ังปัจจบุ นั ท้ังๆ ที่ท่านสน้ิ ไป ๔๐ ปีแล้ว พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 17
ทจ่ี รงิ ความสามารถอีกประการหน่ึงของทา่ นซ่งึ มกั ไมเ่ ปน็ ที่รู้จักก็คือ ความปราดเปรื่องด้านปริยัติธรรม เม่ือคร้ังยังเป็น พระมหาอยู่นั้น ไม่ว่าจะเข้าสอบแปลพระปริยัติธรรมคร้ังใด ไมเ่ คยแปลตกเลย ตงั้ แตป่ ระโยคตน้ จนประโยคสดุ ทา้ ย และทต่ี อ้ ง บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ยุครัตนโกสินทร์ก็คือ พระ มหาอยู่สอบได้เปรียญ ๙ ประโยคเป็นองค์แรกในรัชกาลที่ ๕ จนสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษ ให้น�ำรถยนต์หลวงมาส่งจนถึงวัดสระเกศ นับแต่นั้นก็เป็น พระราชประเพณวี า่ ถา้ พระเปรยี ญรปู ใดสอบประโยค ๙ ได ้ จะทรง พระกรุณาโปรดเกล้าให้น�ำรถยนต์หลวงส่งพระเปรียญรูปน้ัน จนถงึ ส�ำนกั ท่านเป็นท่ีเล่ืองลืออย่างยิ่งในด้านความเมตตา ใบหน้า ของท่านจะมีรอยยิ้มแฝงอยู่ด้วยเสมอ ผู้ใดที่เข้าหาก็จะประทับใจ กับใบหน้าอันอิ่มเอิบและอัธยาศัยของท่าน และทั้งๆ ท่ีท่านเจริญ ในสมณศักด์ิเร่ือยมา ก็ยังเป็น “หลวงพ่อ” ของชาวจีนรอบวัด ไมว่ า่ เดก็ หรือผ้เู ฒา่ โดยท่านไมเ่ คยถือยศศักดเ์ิ ลย 18 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ความไม่ถือยศศักด์ิของท่านน้ันเป็นที่กล่าวขานกันมาก ปกติแล้วเวลามีผู้มานิมนต์ มักจะเอารถเก๋งมารับเพื่อให้สมฐานะ สมเด็จฯ แต่คราวหนึ่งชาวจีนยากจนผู้หน่ึงมานิมนต์ท่าน ไปฉัน ที่บ้านเพ่ือท�ำบุญให้แก่บุตรที่ตาย เมื่อท่านกับพระอีก ๔ รูป เดินออกจากประตูวัดสระเกศ ก็ถามจีนผู้น้ันว่าจะไปอย่างไร จีน ผู้น้ันก็ตอบว่า “สามล้อครับ” แทนท่ีท่านจะแสดงอาการไม่พอใจ กลับยิ้ม ท่านว่า “นั่งสามล้อเย็นสบายดี เห็นความเจริญของ บา้ นเมืองถนัดด”ี เมื่อไปถึงบ้านจีนผู้นั้น ต้องข้ึนไปเจริญพระพุทธมนต์ ชั้นบน เนื่องจากบ้านเล็กและแคบ มีของเก่าวางขายเต็มไปหมด ตอนนน้ั ทา่ นอายกุ วา่ ๘๐ แลว้ บนั ไดกช็ นั มาก ขนึ้ ลำ� บาก แตท่ า่ น ก็ขึ้นไปจนได้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องขึ้นไปเจริญพระพุทธมนต์อีก คร้ันถึง เวลาฉัน ต้องลงมาฉันในห้องครัวข้างล่าง โต๊ะไม่มีผ้าปู กับข้าว มีเพียง ๓ อย่าง คือ แกงเผ็ด แกงจืด และผัดหม่ี ของหวานก็มี ผลไมค้ อื ละมดุ เพยี งอยา่ งเดยี ว แถมยงั คอ่ นขา้ งชำ�้ และเนา่ เสยี ดว้ ย แต่ท่านฉันอย่างสบายๆ ไม่ได้มีความรังเกียจอะไรเลย ฉันเสร็จ เจา้ ภาพกถ็ วายปจั จยั แกท่ า่ นและพระลกู วดั องคล์ ะ ๓ บาท ใบชา ห่อจ๋ิวองค์ละ ๑ ห่อ ท่านก็ย้ิมอย่างสบายอีก ท่านพูดว่า “คนจน พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 19
เขาจน เขาอยากจะท�ำบญุ เขาตง้ั ใจท�ำบญุ จรงิ ๆ เขามนี อ้ ย เขาท�ำ น้อยดแี ล้ว” บางครั้งไปถึงบ้านผู้นิมนต์ บ้านน้ันยังไม่ได้จัดอาสนะ ส�ำหรับพระ เพิ่งจะเริ่มจัดเม่ือท่านไปถึง แต่ท่านไม่เคยดุหรือบ่น ย้ิมรอจนเขาจัดท่ีเสร็จ บางแห่งเจ้าของงานจัดที่ให้ท่านเป็นการ พิเศษ ท่านบอกว่าอย่ายุ่งยากนักเลย ท�ำที่สบายๆ เถิด ท่านพูด เสมอวา่ “เราแกแ่ ลว้ ท�ำอะไรไมส่ ะดวก แต่อย่าท�ำให้เขาหนกั ใจ” ด้วยความเมตตาของท่าน จึงมีอาคันตุกะมาเยือนทุกวัน การเข้าพบท่านไม่ต้องมีใครพาเข้าพบ ท่านจะออกต้อนรับด้วย ใบหน้าย้มิ แย้ม มไี มตรจี ิตกับทุกคนทกุ ช้นั ทไี่ ปพบ แมแ้ ต่กรรมกร สามลอ้ ผยู้ ากจน กระทงั่ ขอทาน ทา่ นพดู เสมอวา่ เขามที กุ ข ์ เขาจงึ มาพบ ถา้ ทา่ นชว่ ยเหลอื เขาได ้ กจ็ ะสบายใจมาก 20 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
วดั สระเกศ เขตป้อมปราบศตั รพู ่าย กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ าโณทโย) เป็นสมเด็จ พระสงั ฆราชพระองคท์ ่ี ๑๕ แหง่ กรุงรตั นโกสินทร ์ สถติ ณ วดั สระเกศราชวรมหาวหิ าร ดำ� รงตำ� แหนง่ เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๐๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงด�ำรงต�ำแหน่งอยู่ ๒ พรรษา สิ้นพระชนม์เม่ือวันท่ี ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ พระชนมายุ ๙๑ พรรษา พระองคม์ พี ระนามเดมิ วา่ อย ู่ ประสตู เิ มอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๔๑๗ ทอ่ี ำ� เภอบางกอก- ใหญ่ ธนบุรี ได้รับการศึกษาเบ้ืองต้นในส�ำนักของบิดา ต่อมาได้มาศึกษาท่ีวัด สระเกศ จนได้บรรพชาเป็นสามเณร จงึ ได้ศกึ ษาภาษาบาล ี มลู กัจจายน์ พ.ศ. ๒๔๓๓ และ ๒๔๓๖ ไดเ้ ขา้ แปลพระปรยิ ตั ธิ รรมในสนามหลวง ไดเ้ ปน็ เปรียญ ๓ ประโยค และ ๔ ประโยค ตามล�ำดับ พ.ศ. ๒๔๓๗ ทรงอปุ สมบทท่ีวดั สระเกศ พ.ศ. ๒๔๔๑, ๒๔๔๓, ๒๔๔๔ และ ๒๔๔๕ ได้เข้าแปลพระปรยิ ัตธิ รรม ได้ เปน็ เปรยี ญ ๕, ๖, ๗, ๘ และ ๙ ประโยคตามลำ� ดบั ทรงเปน็ เปรยี ญ ๙ ประโยค เมอ่ื พระชนมาย ุ ๒๘ พรรษา และเปน็ เปรยี ญ ๙ ประโยคองคแ์ รก ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ จงึ ไดร้ บั พระมหากรณุ า ใหน้ �ำรถยนตห์ ลวง มาสง่ ถงึ อารามเปน็ พิเศษ และได้เป็นธรรมเนียมปฏิบตั ิมาจนถงึ ปจั จบุ ัน เมอ่ื ไดเ้ ปรยี ญ ๙ ประโยคแลว้ พระองคก์ ท็ รงดำ� รงตำ� แหนง่ เปน็ กรรมการ สนามหลวง สอบไล่พระปริยัตธิ รรมตลอดมา พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 21
22 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
อ ยู่ เ ป็ น สุ ข จ า ก ไ ป ไ ม่ ก่ อ ทุ ก ข์ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นวิปัสสนาจารย์ท่ีย่ิงใหญ่ ท่ีสุดรูปหนึ่งของเมืองไทยยุคปัจจุบัน ท่านเป็นคนต้นรัชกาลที่ ๕ (เกิด พ.ศ. ๒๔๑๓) แต่กิตติศัพท์และแบบอย่างชีวิตของท่านยังมี อทิ ธพิ ลอยา่ งยิ่งในทุกวันนี้ ชีวิตของท่านนับแต่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นชีวิตที่ แนบเนื่องกับการหลีกเร้นบ�ำเพ็ญธรรมในป่าเขาสมัยท่ียังเต็มไป ด้วยสิงสาราสัตว์นานาชนิด ท่านเป็นแบบอย่างของผู้สูงส่ง ดว้ ยภมู ปิ ญั ญาหากเปน็ อยอู่ ยา่ งเรยี บงา่ ย ไมเ่ บยี ดเบยี น เตม็ เปย่ี ม ด้วยเมตตาต่อสรรพชีวิต แม้ในยามท่ีท่านใกล้จะมรณภาพ ก็ยัง คำ� นงึ ถงึ สตั วน์ อ้ ยใหญท่ อ่ี าจเดอื ดรอ้ นเพราะการดบั ขนั ธข์ องทา่ น ทา่ นจงึ เรง่ รดั ใหล้ กู ศษิ ยพ์ าทา่ นออกจากหมบู่ า้ นหนองผอื ซง่ึ เปน็ หมบู่ า้ นเลก็ ๆ แหง่ หนงึ่ ในจงั หวดั สกลนคร จดุ มงุ่ หมายปลายทาง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 23
คือตัวเมืองสกลนคร อันเป็นสถานที่ที่สามารถรับการหล่ังไหล ของผูค้ นท่จี ะมาเคารพศพทา่ นได้ ในการกล่าวเตือนศษิ ยห์ าของทา่ น ท่านไดพ้ ดู ตอนหน่งึ วา่ “ผมน่ะต้องตายแน่นอนในคราวนี้ ดังท่ีเคยพูดไว้แล้ว หลายครงั้ แตก่ ารตายของผมเปน็ เรอ่ื งใหญข่ องสตั วแ์ ละประชาชน ทวั่ ๆ ไปอยมู่ าก ดว้ ยเหตนุ ผี้ มจงึ เผดยี งใหท้ า่ นทงั้ หลายใหท้ ราบวา่ ผมไมอ่ ยากตายอยู่ท่นี ่ ี ถา้ ตายท่นี ่ีจะเปน็ การกระเทอื นและท�ำลาย ชวี ติ สตั วไ์ มน่ อ้ ยเลย ส�ำหรบั ผมตายเพยี งคนเดยี ว แตส่ ตั วท์ พี่ ลอย ตายเพราะผมเป็นเหตุน้ันมีจ�ำนวนมากมาย เพราะคนจะมามาก ทัง้ ทนี่ ีไ่ ม่มีตลาดแลกเปลย่ี นซ้อื ขายกัน นับแต่บวชมา ไม่เคยคิดให้สัตว์ได้รับความล�ำบาก โดย ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าเขาเลย มีแต่ความสงสารเป็นพื้นฐานของใจ ตลอดมา ทกุ เวลาไดแ้ ผเ่ มตตาจติ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลแกส่ ตั วไ์ มเ่ ลอื กหนา้ โดยไม่มีประมาณตลอดมา เวลาตายแล้วจะเป็นศัตรูคู่เวรแก่สัตว์ ให้เขาล้มตายลงจากชีวิตที่แสนรักสงวนของแต่ละตัว เพราะผม เป็นเหตุเพียงคนเดียวนั้น ผมท�ำไม่ลง อย่างไรขอให้น�ำผมออก 24 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ไปตายท่ีสกลนคร เพราะท่ีนั้นเขามีตลาดอยู่แล้ว คงไม่กระเทือน ชวี ติ ของสตั ว์มากเหมอื นท่ีนี”่ พระอาจารยม์ ัน่ ภรู ทิ ตฺโต วดั ป่าสทุ ธาวาส อ.เมอื ง จ.สกลนคร นามเดิม ม่นั แกน่ แกว้ กำ� เนิด ๒๐ มกราคม ๒๔๑๓ สถานท่เี กิด บ้านค�ำบง อ.โขงเจยี ม จ.อบุ ลราชธานี อุปสมบท ณ วดั เลยี บ อ.เมอื ง จ.อุบลราชธาน ี ในวนั ท่ี ๑๒ มิถนุ ายน ๒๔๓๖ โดยมีพระอรยิ กว ี เป็นพระอปุ ชั ฌาย์ มรณภาพ ๑๑ พ.ย. ๒๔๙๒ รวมสริ ิอาย ุ ๘๐ ป ี ๕๖ พรรษา ทา่ นบรรพชาเปน็ สามเณร เมอื่ อายไุ ด ้ ๑๕ ป ี ณ วดั บา้ นคำ� บง เมอ่ื บวช ได้ ๒ ป ี ท่านจำ� ต้องสกึ ตามความประสงค์ของบดิ า พออายไุ ด ้ ๒๒ ป ี หลวงปู่ จงึ ไดเ้ ขา้ พธิ อี ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษ ุ และไดเ้ ขา้ ฝกึ ปฏบิ ตั ธิ รรม ในสำ� นกั วปิ สั สนา กับท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ณ วดั เลียบ จ.อบุ ลราชธาน ี ทา่ นเปน็ อาจารยส์ อนธรรมทางวปิ สั สนากรรมฐานทมี่ ชี อ่ื เสยี ง มผี ู้เคารพ นับถือมาก มีศิษยานุศิษย์ท่ีเป็นพระเถระซึ่งเป็นท่ีเคารพของผู้คนทั้งประเทศ อาทเิ ชน่ หลวงปดู่ ลู ย ์ อตโุ ล, หลวงป่แู หวน สุจณิ โฺ ณ, หลวงปูฝ่ ัน้ อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงป่สู มชาย ฐิตวิริโย, หลวงตามหาบวั าณ- สมฺปนฺโน เป็นตน้ ทา่ นไดร้ บั การเรยี กขานจากบรรดาศษิ ยว์ า่ “พระอาจารยใ์ หญ”่ เปน็ ผมู้ ี ประวัติงดงาม เป็นฐานที่พึ่งอันม่ันคงตลอดจนเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของ เหล่าศิษยานุศิษย์ท้ังหลาย ตลอดเวลาในเพศบรรพชิต ท่านปฏิบัติตนจน กระทัง่ เปน็ แบบอยา่ งท่ีด ี อันจะหาผ้ใู ดเสมอเหมอื นได้ยากย่ิง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 25
26 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
น่ั ง ท า ง ใ น จั บ โ จ ร พระสงฆ์ไทยสมัยก่อนไม่ได้นั่งภาวนาหรือสวดมนต์ท�ำพิธี อยู่แต่ในวัดอย่างเดียว หากท่านยังเป็นท่ีพึ่งของชาวบ้านในเร่ือง อื่นๆ ด้วย เช่น เวลาชาวบ้านทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็พากันมาหา หลวงพ่อให้ช่วยตัดสินคดีความ ส่วนใหญ่ท่านก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด อยา่ งศาล หากพดู ใหท้ ง้ั สองฝา่ ยคนื ดกี นั ใครผดิ กจ็ า่ ยสนิ ไหมหรอื ชดใช้ชนิดท่ีมองหน้ากันติด บ่อยคร้ังเงินท่ีเสียไปก็ไม่ได้ไปไหน อกี ฝา่ ยเอาไปจ่ายเป็นคา่ กบั แกลม้ เพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่ แม้แต่เวลาวัวควายถูกปล้น บางทีชาวบ้านก็บากหน้าไป ขอให้หลวงพ่อท่านช่วย สมัยก่อนโจรขโมยวัวควายมีชุกชุมมาก มีท้ังโจรอาชีพและโจร “สมัครเล่น” ซ่ึงถือเอาการปล้นเป็นงาน อดิเรก พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 27
บางแหง่ ถงึ กบั ถอื เปน็ ธรรมเนยี มเลยวา่ เปน็ ผชู้ ายตอ้ งรจู้ กั ขโมยววั ควาย ในภาคใต ้ เวลาผชู้ ายไปขอลกู สาว พอ่ แมจ่ ะถามกอ่ น ว่าขโมยควายเปน็ หรอื ไม่ ถา้ ไมเ่ ปน็ พอ่ แม่กไ็ ม่ยอมยกลูกสาวให้ คร้ังหน่ึงโจรเข้ามาปล้นวัวควายในหมู่บ้านมะม่วงหวาน ในอยุธยา อย่างแรกที่ชาวบ้านท�ำก็คือไปหาหลวงพ่อสอน เจ้าอาวาสวัดในหมู่บ้าน (พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๕๐๐) หลวงพ่อสอนเป็น พระปฏบิ ตั ิทเ่ี กง่ ในทางโหราศาสตร ์ เวลาของหาย ชาวบ้านมักมา ขอใหท้ ่านชว่ ยน่งั ทางในเพือ่ ดูวา่ ของอยทู่ ่ไี หน คร้งั น้ีก็เช่นกนั เลา่ กนั วา่ ทา่ นปดิ ตาทำ� สมาธสิ กั พกั กบ็ อกชาวบา้ นวา่ ววั ควายถกู ซอ่ น ไว้ท่ีไหน ชาวบ้านพากันไปยังต�ำแหน่งที่ท่านบอก ก็พบวัวควาย ท่ีถกู ขโมยไปจรงิ ๆ อกี อยา่ งทที่ า่ นทำ� กค็ อื ตรงไปยงั คอกควายเพอ่ื หารอ่ งรอย ของโจร เม่ือพบรอยเท้า ท่านก็เอาขวานฟันลงทุกรอย พร้อมกับ ร่ายมนตไ์ ปด้วย จากนัน้ ท่านกใ็ หช้ าวบา้ นระดมชายฉกรรจไ์ ปตาม จบั พวกขโมย ตามจดุ ทท่ี า่ นบอก แตก่ อ่ นจะไป ทา่ นขอใหช้ าวบา้ น อยา่ ทำ� อนั ตรายโจรเมอ่ื จับได้ 28 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ปรากฏว่า ชาวบ้านเจอโจรตรงจุดท่ีหลวงพ่อบอกจริงๆ จากปากคำ� ของชาวบา้ น มนตข์ องหลวงพอ่ ทำ� ใหพ้ วกโจรหลงทาง หาทางออกจากป่าไม่เจอ เดินวนไปวนมาจนเหน่ือยอ่อน ในท่ีสุด ชาวบ้านซ่ึงช�ำนาญทางมากกว่า ก็ไปทันและจับตัวได้ พวกโจร พอร้วู ่าถกู หลวงพ่อร่ายมนตส์ ะกด กห็ มดแรงสู ้ ยอมแพแ้ ต่โดยดี หมู่บ้านสมัยก่อน อ�ำนาจรัฐยังไปไม่ถึง ชาวบ้านจึงต้อง ชว่ ยตวั เอง หากไดผ้ ใู้ หญบ่ า้ นทเี่ ขม้ แขง็ กอ็ ยอู่ ยา่ งสงบสขุ แตห่ าก ไม่มีผู้ใหญ่บ้านอย่างน้ัน ก็ต้องพึ่งพาหลวงพ่อ ใช่ว่าทุกองค์ จะมีความสามารถทางไสยเวท แต่สิ่งที่ส่วนใหญ่มีก็คือ ศรัทธาท่ี ชาวบา้ นมตี อ่ ทา่ น ทา่ นจงึ สามารถพดู ใหค้ นเหลา่ นนั้ มกี ำ� ลงั ใจและ ร่วมมือกนั ทำ� ในสิง่ ท่ยี ามปกตอิ าจจะทำ� ไมไ่ ด้ สิ่งท่ีน่าสังเกตอย่างหน่ึงคือ หลวงพ่อสมัยก่อนแม้จะมี ความรู้ทางไสยศาสตร์ แต่มักใช้ไปในทางท่ีเกิดประโยชน์ต่อส่วน รวม ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน นอกจากน้ันยังใช้โดยไม่ให้ ผดิ ศลี ดงั หลวงพอ่ สอนทกี่ ำ� ชบั ชาวบา้ นไมใ่ หท้ ำ� รา้ ยขโมย เมอ่ื จบั ตัวได้ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 29
30 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
จ ริ ย า ข อ ง นั ก ป ก ค ร อ ง ในบรรดาสมเดจ็ พระสงั ฆราชสมยั รตั นโกสนิ ทร ์ มพี ระองค์ เดยี วเทา่ นนั้ ทเ่ี คยลาสกิ ขาไปอยใู่ นเพศฆราวาสทง้ั ๆ ทเี่ ปน็ พระราชา คณะชน้ั ผใู้ หญแ่ ลว้ ไดแ้ กส่ มเดจ็ พระสงั ฆราช (สา ปสุ สฺ เทว) ผแู้ ตง่ ปฐมสมโพธิ ทีน่ กั เรยี นช้นั นักธรรมตรที ง้ั หลายค้นุ เคยอย่างดี แต่ยังมีพระอีกองค์หน่ึงท่ีเกือบจะลาสิกขา โดยได้ทูลลา ออกจากต�ำแหน่งพระราชาคณะแล้ว หากแต่รั้งรออยู่พักใหญ่ จนเปลยี่ นพระทยั ภายหลงั จงึ ไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ดก์ิ ลบั คนื ตามเดิม พระองค์นั้นก็คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ซง่ึ ต่อมาไดท้ รงเป็นพระอปุ ัธยาจารย ์ (อปุ ัชฌาย)์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปจั จุบัน พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 31
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ยังเป็นที่สมเด็จพระวชิรญาณ วงศ์ ทรงเป็นผู้ที่ใส่ใจในการคณะสงฆ์ แต่แม้จะทรงสมณศักดิ์ ชั้นสูงก็ไม่ทรงถือพระองค์ เร่ืองหน่ึงซ่ึงแสดงให้เห็นถึงพระจริยา ดังกล่าวก็คือตอนท่ีพระองค์ได้รับการทูลฟ้องว่ามีพระป่า นิกาย ธรรมยุตรูปหน่ึงประพฤติตนไม่ถูกต้องตามพระวินัย พระรูปน้ัน ก็คือพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์ม่ัน ภูริทตฺโต และภายหลังเป็นผู้ก่อต้ังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัด สกลนคร ตอนน้ันสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ยังเป็นสมเด็จพระวชิร- ญาณวงศ์ และเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต จึงมีหน้าที่รับผิด ชอบกับเรื่องดังกล่าวโดยตรง แต่แทนที่จะทรงบัญชาการให้ พระในตำ� แหนง่ รองๆ ลงไป หรอื พระสงั ฆาธกิ ารในพน้ื ทด่ี แู ลเรอ่ื งนี้ พระองค์กลับเสด็จไปสืบสวนหาข้อเท็จจริงด้วยพระองค์เอง โดย ทรงไปพ�ำนักอยู่กับพระอาจารย์กงมารวม ๒ คร้ัง ๒ ครา ที่วัด ทรายงาม จงั หวดั จนั ทบรุ ี ใน พ.ศ. ๒๔๘๑ และ พ.ศ. ๒๔๘๒ ทง้ั นี้ โดยที่พระอาจารย์กงมาไม่ทราบวัตถุประสงค์การมาเยือนของ พระองคเ์ ลย 32 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ในระหว่างที่พระองค์อยู่วัดทรายงามนั้น ทรงกระท�ำวัตร เชน่ เดยี วกับหมู่คณะ เชน่ ฉนั หนเดยี ว แมพ้ ระอาจารยก์ งมาจะให้ บรรดาญาติโยมน�ำภัตตาหารเพลมาถวาย พระองค์ก็ปฏิเสธ ตรัสวา่ “เราอยู่ทไ่ี หนก็ต้องท�ำตามระเบยี บเขาท่นี ่ัน” ข้อหาแรกที่พระอาจารย์กงมาถูกร้องเรียนก็คือ สะพาย บาตรเหมือนพระมหานิกาย เมื่อพระองค์ได้เห็นการบิณฑบาต ของวัดทรายงาม ก็ไม่ทรงเห็นเป็นเร่ืองเสียหาย เพราะเป็นการ สะพายบาตรไว้ข้างหน้าดูรัดกุม ตรัสว่า “สะพายบาตรอย่างน้ี มนั ก็เหมือนกบั อุ้มนน่ั เอง ไมผ่ ิดหรอก เรยี บร้อยดี” ข้อหาที่ ๒ ก็คือ พระอาจารย์กงมาเทศน์ผิดแปลกจาก คำ� สอนของพระพทุ ธองค ์ วธิ กี ารของพระองคใ์ นการสอบสวนเรอ่ื ง ดงั กลา่ ว เป็นทกี่ ล่าวขานสบื มาดงั น้ี วันหน่ึงพระอาจารย์กงมา ได้ประกาศให้ญาติโยมมาฟัง เทศน์ โดยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์จะเป็นองค์แสดง ประชาชน จงึ แหก่ นั ไปฟงั กนั ลน้ หลาม แตเ่ มอื่ พระอาจารยก์ งมาทลู อาราธนา ท่ีกุฏิ พระองค์ก็ปฏิเสธว่า “เราไม่สบาย เธอจงแสดงธรรมแทน พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 33
เราเถอะ” เมอ่ื เปน็ เชน่ น ี้ พระอาจารยก์ งมาจงึ กลบั ขน้ึ ไปศาลาและ แสดงธรรมแทนพระองค์ เม่ือแสดงธรรมไปได้ประมาณ ๑๐ นาที สามเณรผู้หนึ่ง ก็ลงมาจากศาลาเพื่อถ่ายปัสสาวะ ก็ได้พบพระองค์ทรงนั่งอยู่กับ พนื้ ดนิ ขา้ งศาลานนั่ เอง สามเณรตกใจรบี กลบั ขนึ้ ศาลา แตส่ ดุ วสิ ยั จะบอกพระอาจารย์กงมาได้ รงุ่ เชา้ พระองคไ์ ดก้ ลา่ วชมเชยพระอาจารยก์ งมาวา่ “กงมา น่ีเทศนาเก่งกว่าเปรยี ญ ๙ ประโยคเสียอกี ” ข้อกล่าวหาที่ ๓ คือ พระอาจารย์กงมาเที่ยวตั้งตัวเป็น ผู้วิเศษ แจกของขลงั ให้ประชาชนหลงผดิ วิธีการสอบสวนของพระองค์ก็คือ ชวนพระอาจารย์กงมา ไปธุดงค์ด้วยกันแบบ ๒ ต่อ ๒ ในการธุดงค์คร้ังนี้ ทรงแบกกลด สะพายบาตรเอง เพราะไมม่ ผี ตู้ ดิ ตาม ครนั้ พระอาจารยก์ งมาจะขอ ช่วยสักเท่าไรพระองค์ก็ไม่ยอม โดยทรงเดินตามหลังพระอาจารย์ กงมา 34 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
หลังจากธุดงค์หน่ึงอาทิตย์เศษ พระองค์ก็ตรัสว่า “การ ธุดงค์ของท่านกงมาและพระปฏิบัติกรรมฐานนี้ ได้ประโยชน์ เหลอื หลาย อยา่ งนธี้ ดุ งคม์ ากๆ กจ็ ะท�ำใหพ้ ระศาสนาเจรญิ ยง่ิ ขน้ึ ” นับแต่นั้นมาพระองค์ทรงให้การสนับสนุนคุ้มครองและ สรรเสรญิ พระอาจารย์กงมาโดยตลอด สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระนคร กรงุ เทพฯ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๓ แห่งกรุงรัตน- โกสนิ ทร ์ ประทบั อย ู่ ณ วดั บวรนเิ วศวหิ าร ไดร้ บั สถาปนาเปน็ สมเดจ็ พระสงั ฆราช เจ้าเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงด�ำรงต�ำแหน่งอยู่ ๑๔ พรรษา ส้ินพระชนม์ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ พระชนมาย ุ ๘๖ พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระราชอุปัชฌาจารย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมือ่ เสดจ็ ออกทรงผนวช เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๙๙ และในงานฉลองพุทธศตวรรษใน ประเทศไทย รฐั บาลสหภาพพมา่ ไดถ้ วายสมณศกั ดส์ิ งู สดุ ของพมา่ คอื อภธิ ช- มหารฏั ฐครุ ุ แดพ่ ระองค ์ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 35
36 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
เ อ า ป่ า ไ ว้ พระโพธญิ าณเถรหรอื หลวงพอ่ ชา สภุ ทโฺ ท แหง่ วดั หนอง ป่าพง เป็นคนรักป่า รักต้นไม้ เม่ือตอนท่านออกบ�ำเพ็ญเพียร ภาวนา ท่านชอบพูดว่า พระพุทธเจ้าประสูติในป่า ตรัสรู้ในป่า ท่านจึงให้ความส�ำคัญกับป่ามาก เพราะเป็นสถานท่ีท่ีเก้ือกูล ต่อการเจริญสมณธรรมอย่างย่ิง ในสมัยที่พระ เณรและแม่ชี วัดหนองป่าพงป่วยเป็นไข้มาเลเรียกันหลายรูปนั้น เจ้าหน้าที่ สาธารณสุขได้มาแนะน�ำให้ถางป่า ตัดก่ิงไม้ออกให้โล่งเตียน เม่ือ ป่าโปร่ง ลมจะไดพ้ ดั สะดวก หลวงพ่อตอบว่า “ตายซะคน เอาป่าไวก้ พ็ อ” พูดสั้นๆ เพียงเท่าน้ัน แต่เจ้าหน้าที่ก็พยายามอธิบาย โน้มนา้ วใหเ้ หตผุ ลหวา่ นล้อมต่างๆ แตท่ ่านก็ยืนยันคำ� เดมิ วา่ “พระหรือชีก็ตาม อาตมาเองก็ตาม ตายแล้วก็ไปแล้ว เอาป่าไวเ้ สียดีกว่า” วดั หนองปา่ พงจงึ มสี ภาพปา่ อดุ มสมบรู ณด์ ังเดิม จวบจน ทกุ วนั น้ี พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 37
หลวงป่ชู อบ ฐานสโม วดั ปา่ สัมมานุสรณ์ อ.วงั สะพงุ จ.เลย นามเดิม บ่อ แก้วสุวรรณ เกิดวนั ท่ี ๑๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๔๔๔ สถานท่เี กดิ บา้ นโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย อปุ สมบท อปุ สมบท ณ วดั ศรธี รรมาราม (เดิมคอื วัดสรา่ งโศก จ.ยโสธร) เมอ่ื วนั ท่ี ๒๑ มนี าคม ๒๔๖๗ มรณภาพ ๘ มกราคม ๒๕๓๘ รวมสิรอิ ายุ ๙๓ ปี ๑๑ เดือน ๒๗ วนั พรรษา ๗๐ ช่วงแรกของการอุปสมบท ท่านมิได้มีนิสัยสนใจทางการศึกษาด้าน ปรยิ ตั ธิ รรมมากนกั แมก้ ารทอ่ งปาฏโิ มกขน์ น้ั ทา่ นใชเ้ วลาเรยี นทอ่ งถงึ ๗ ป ี จงึ จำ� ไดห้ มด แตท่ า่ นเนน้ การภาวนามาก โดยใชค้ ำ� บรกิ รรม “พทุ โธ” เพยี งอยา่ งเดยี ว มิได้ใช้ “อานาปานสติ” หรือก�ำหนดลมหายใจเข้า-ออก ควบคู่กับพุทโธเลย ท่านพยายามพากเพียรศึกษาปฏิบัติธรรมตามสถานท่ีต่างๆ ในป่าดงพงไพร ทวั่ ทกุ ของประเทศไทย ขา้ มไปยงั ประเทศเพอ่ื นบ้าน อาทิ พมา่ ลาว เปน็ ตน้ ครั้นเม่ือบวชได้ ๔ ปี ท่านจึงได้มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ม่ัน และนำ� คำ� สอนของหลวงปมู่ นั่ ฝกึ ฝนปฏบิ ตั ติ ลอดระยะเวลาทท่ี า่ นยงั มชี วี ติ อยู่ ท่านออกธุดงควัตรไปตามที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นวัดหรือตามป่าเขา ท่านพบกับ ความน่าต่ืนเต้นปาฏิหาริย์มากมาย รวมท้ังการผจญภัย ไม่ว่าจะเป็นผีป่า รุกขเทวดา สัตว์ป่า และมีเร่ืองที่น่าศึกษาค้นคว้า มีการรวบรวมประวัติ จากการบอกเลา่ ของท่านหลายเล่มดว้ ยกัน ท่านได้รับฉายาว่า “พระเทวานัมปิยะเถระ” แปลว่าผู้เป็นท่ีเคารพรัก สักการะและเทิดทนู ของทวยเทพและหมูม่ นษุ ย์ (อา่ นเรอ่ื งหนา้ ๑๓๑) 38 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
หลวงป่บู ดุ ดา ถาวโร วัดกลางชศู รีเจริญสุข อ.บางระจนั จ.สงิ หบ์ รุ ี นามเดมิ บดุ ดา มงคลทอง เกดิ วนั ที่ ๕ มกราคม ๒๔๓๗ สถานทเ่ี กิด อ.โคกสำ� โรง จ.ลพบรุ ี อปุ สมบท อุปสมบท ณ วดั เนินยาว อ.บา้ นหมี่ จ.ลพบุรี เมอื่ วันท่ี ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ โดยม ี พระครธู รรมขนั ธสนุ ทร เปน็ พระอปุ ชั ฌาย ์ มรณภาพ ๑๒ มกราคม ๒๕๓๗ รวมสริ อิ าย ุ ๑๐๑ ปี ๗๓ พรรษา ขณะทยี่ งั เปน็ เดก็ มอี ายไุ ด ้ ๕ ขวบ หลวงปเู่ คยขอโยมบดิ า มารดา บวชเณร แตไ่ มไ่ ดร้ บั อนญุ าต เนอื่ งจากอายยุ งั นอ้ ย กระทง่ั หลวงปอู่ าย ุ ๒๘ ป ี โยมบดิ า มารดา จงึ อนญุ าตใหบ้ วช ไดร้ บั ฉายาวา่ “ถาวโรภกิ ข”ุ หลวงปนู่ บั เปน็ พระภกิ ษุ ผู้เคร่งครัดยิ่ง ถือธุดงควัตร ครองผ้าสามผืนเป็นวัตร ชีวิตเป็นอยู่เรียบง่าย ทุกอย่างพอดีหมด หลวงปู่ได้ทุ่มเทชีวิตให้แก่การปฏิบัติธรรมชนิด เอาชีวิต เปน็ ประกนั เดมิ พนั ดว้ ยความตาย และความสำ� เรจ็ โดยเฉพาะยามประเทศชาติ มภี ยั สงคราม ปจั จยั สท่ี กุ อยา่ งขดั สน ประชาชนเดอื ดรอ้ นทงั้ ประเทศ ชว่ งนนั้ หลวงปู่ต้องอดทนกับความทุกข์ยากอย่างย่ิง แต่ด้วยความมุ่งมั่นมานะอย่าง เดด็ เดยี่ ว ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม หลวงปกู่ ส็ ามารถตอ่ สกู้ บั ความทกุ ขย์ าก นั้นได้อย่างกล้าหาญยิ่ง หลวงปู่นับเป็นพระเถระท่ีมีคุณธรรม และมีพรรษา มาก ทา่ นไดม้ โี อกาสพบ และสนทนาธรรมกบั พระสปุ ฏปิ นั โนหลายรปู อาทเิ ชน่ หลวงปมู่ นั่ ภรู ทิ ตโฺ ต, ครบู าศรวี ชิ ยั , ธมมฺ วติ กโฺ ก ภกิ ข ุ เปน็ ตน้ นอกจากนนั้ ท่านยังได้รับความนับถือจากพระเถราจารย์ ผู้ทรงคุณธรรมหลายรูป เช่น ครบู าพรหมา พรหมจกโฺ ก, หลวงปเู่ ทสก ์ เทสรงั ส,ี หลวงปสู่ มิ พทุ ธาจาโร, ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น ซึ่งย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิรู้ ภูมิธรรม และคุณธรรมอันสูงส่งของหลวงปไู่ ด้เป็นอย่างดี (อ่านเรื่องหน้า ๔๑) พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 39
40 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ตั ว โ ก ร ธ หลวงปู่บุดดา ถาวโร จัดว่าเป็น “รัตตัญญู” คือเป็นผู้ เกา่ แกแ่ ละมปี ระสบการณม์ าก รปู หนง่ึ ของคณะสงฆไ์ ทย ดว้ ยทา่ น มอี ายยุ นื นานถงึ ๑๐๑ ป ี กอ่ นจะมรณภาพเม่อื พ.ศ. ๒๕๓๗ สมัยท่ียังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ท่ีส�ำคัญ หลายรูป เช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) และ ครูบาศรีวิชัย ท่านหลังน้ีเคยทักหลวงปู่บุดดา เน่ืองจากเห็น ท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า “เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็น นายฮอ้ ย ไมใ่ ชน่ ายสบิ ” นบั แตน่ นั้ มาหลวงปจู่ งึ พาดสงั ฆาฏติ ดิ ตวั ตลอดเวลา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของทา่ น หลวงปู่บุดดาเป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลัก แหล่ง จนเมื่ออายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจ�ำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ�ำเภอบางระจัน จังหวัดสงิ หบ์ ุรี กระทั่งมรณภาพ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 41
แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก แต่ ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ จึงมีความสามารถในการ สอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไป เทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหน่ึงซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค ท่านเจ้าคุณรูปน้ันคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอกจึงอยากลอง ภูมิหลวงปู่ ได้ถามหลวงปวู่ ่า “จะเทศน์เรอ่ื งอะไร” หลวงปู่ตอบว่า “เรอ่ื งตวั โกรธ กิเลสตัณหา” ท่านเจ้าคณุ ซักตอ่ ว่า “ตวั โกรธเป็นอยา่ งไร” หลวงปู่ตอบสน้ั ๆ ว่า “ส้นตนี ไงล่ะ” เทา่ นน้ั เองทา่ นเจา้ คณุ กโ็ กรธหวั ฟดั หวั เหวย่ี ง ไมย่ อมเทศน์ กบั หลวงปู ่ วันนัน้ หลวงปจู่ ึงต้องข้ึนเทศน์องค์เดยี ว เมอื่ เทศนจ์ บ แล้ว ทา่ นกไ็ ปขอขมาทา่ นเจา้ คณุ องคน์ ้นั พรอ้ มกับอธิบายว่า “ตัวโกรธมันเป็นอย่างน้ีเองนะ มันหน้าแดงๆ น้ีแหละ มันเทศน์ไม่ได้ คอแข็ง ตัวโกรธสู้เขาไม่ได้ ขึ้นธรรมาสน์ก็แพ้เขา 42 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
ใครจะเป็นนักเทศน์ต่อไปจดจ�ำเอาไว้นะ ตัวโกรธน่ะ นักเทศน์ไป ขัดคอกนั เอง มันจะเอาคอไปให้เขาขัด” หลวงปบู่ ดุ ดารจู้ กั ตวั โกรธด ี ทา่ นรวู้ า่ ตวั โกรธกลวั คนกราบ ท่านเล่าว่าต้ังแต่เริ่มบวช ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วย การกราบ เวลาโกรธท่านจะลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง โกรธ ๒ คร้ัง ก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ คร้ัง ท�ำเช่นน้ี หลายครง้ั ความโกรธกค็ รอบง�ำท่านไม่ได้ เม่ือความโกรธเป็นใหญ่เหนือใจไม่ได้ ความเมตตาและ อ่อนน้อมถ่อมตนก็ตามมา หลวงปู่บุดดาข้ึนช่ือในเรื่องนี้มาก คราวหนึ่งท่านก�ำลังจะเดินข้ามสะพาน ก็เห็นสุนัขตัวหน่ึงนอน ขวางทางอยู่บนสะพาน แทนท่ีท่านจะเดินข้ามสุนัขตัวนั้น หรือไล่ มันใหพ้ น้ ทาง กลบั เดนิ ลงไปลุยโคลนขา้ งล่าง ท่านว่าไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความขุ่นเคืองเพียงเพ่ือ เห็นแก่ความสะดวกของตนเอง แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่าน ก็ไมป่ รารถนาจะเบยี ดเบียน พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 43
44 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
สุ นั ข โ พ ธิ สั ต ว์ สมเดจ็ พระพฒุ าจารย ์ (โต) เปน็ ผมู้ กี ริ ยิ าวาจา ออ่ นละไม เป็นปกติ ท่านจะพูดจาปราศรัยกัยใครท้ังที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก ก็ใช้ค�ำรับค�ำขานว่า จ๋า จ้ะ ท่ีสุดสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็ประพฤติ เช่นนั้น “โยมจ๋า ขอฉันไปทีเถิดจ้ะ” แล้วก็ก้มกายหลีกทางไป มี ผู้ถามท่านว่า ท�ำไมท่านจึงท�ำเช่นนั้น ท่านตอบว่า “ฉันรู้ไม่ได้ว่า สุนขั น้ีจะเคยเปน็ พระโพธสิ ตั ว์หรือมิใช่”* *พระโพธิสัตว์เคยเสวยชาติเป็นสุนัข ความละเอียดอยู่ในกุกรุชาดกในตติย วรรคแห่งเอกนิบาต พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 45
46 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
สั ง ฆ ร า ช ไ ก่ เ ถื่ อ น ไก่เป็นสัตว์ข้ีระแวง เวลาจิกกินอาหารจะผงกหัวข้ึนมอง รอบตัวอยู่ไม่ขาด หากมีเสียงผิดปกติ จะกระโตกกระตากหรือ ส่งเสียงดังลั่น ย่ิงไก่ป่าด้วยแล้ว ระวังภัยรอบทิศ ไม่ยอมเฉียด กรายเขา้ ใกลบ้ า้ นคนเลย ไกป่ า่ ทจ่ี ะประพฤตติ นเปน็ ไกบ่ า้ นจงึ ไมอ่ ยู่ ในวิสัยที่จะเป็นไปได้ แต่ส่ิงที่เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้แล้วท่ีวัด ราชสทิ ธาราม ฝงั่ ธนบรุ ี เมอ่ื รอ้ ยกวา่ ปีก่อน สมเด็จพระสังฆราช (สุก าณสงฺวร) ทรงเป็นพระ สังฆราชองค์ท่ี ๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ท่านเป็นพระมหาเถระที่ทรงคุณในทางวิปัสสนาธุระ แต่ พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 47
แทนท่ีท่านจะมีช่ือเสียงในทางอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์หรือการเป็น เกจิอาจารย์ดังสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ซ่ึงเป็นพระรุ่นหลัง ท่านกลับเป็นที่รู้จักโดยพระนามฉายาว่า “สมเด็จพระสังฆราช ไกเ่ ถอ่ื น” ทง้ั นเ้ี พราะทรงมเี มตตามหานยิ มสงู มาก แมก้ ระทง่ั ไกป่ า่ ท่ีอยู่รอบวัดก็ยังสัมผัสได้ถึงเมตตาบารมีดังกล่าว จนกลายเป็น สัตว์เช่ือง พากันมาหากินอยู่รอบๆ พระต�ำหนักและในบริเวณ วัดของท่านเป็นฝูงๆ กล่าวกันว่าใครท่ีมาเห็นก็มักเข้าใจว่าเป็น ไกบ่ า้ นที่ถูกปลอ่ ยวัด พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอศิ รสนุ ทรฯ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย รัชกาลท่ี ๒ แหง่ ราชจักรีวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๑๐ - พ.ศ. ๒๓๖๗ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒ - พ.ศ. ๒๓๖๗) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระนาม เดมิ วา่ ฉมิ (สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ ร- สนุ ทร) พระราชสมภพเมอ่ื วนั พธุ ขนึ้ ๗ คำ�่ เดอื น ๔ ปกี นุ เวลาเช้า ๕ ยาม ซึ่งตรงกับวันท่ี ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๐ เปน็ พระราชโอรสพระองคท์ ี่ ๔ ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก เสวยราชสมบตั ิ เมอื่ ปมี ะเสง็ ปพี .ศ. ๒๓๕๒ - ๒๓๖๗ ขณะมพี ระชนมายไุ ด ้ ๔๒ พรรษา รวมสริ ดิ ำ� รงราชสมบตั ิ ๑๖ ป ี พระราชโอรส- ราชธดิ า รวมทั้งสน้ิ ๗๓ พระองค์ 48 ลํ า ธ า ร ริ ม ล า น ธ ร ร ม
สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สุก) วัดราชสทิ ธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระ สังฆราชพระองค์ท่ี ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระ มหาเถระท่ีทรงพระเกียรติคุณเป็นท่ีเลื่องลือพระองค์หนึ่ง ในยุครัตนโกสินทร์ ทรงพระคุณพิเศษในด้านวิปัสสนาธุระ จนมีพระฉายานามอันเป็นท่ีรู้กันท่ัวไปในหมู่ประชาชนว่า “พระสังฆราช ไกเ่ ถื่อน” เพราะทรงสามารถแผ่พรหมวิหารธรรมใหไ้ กป่ า่ เชอื่ งเปน็ ไกบ่ า้ นได้ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ประสูติเมื่อวันศุกร์ ข้ึน ๑๐ ค�่ำ เดือนยี่ ปีฉลู จุลศักราช ๑๐๙๕ พ.ศ. ๒๒๗๖ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ สันนิษฐาน กนั วา่ คงเปน็ ชาวกรงุ เกา่ ปรากฏในหนงั สอื พระราชพงศาวดารวา่ เมอื่ ครง้ั กรงุ ธนบุรีเป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม (ในพระราชพงศาวดาร เรียกว่าคลองตะเคียน) ในแขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางบ�ำเพ็ญ สมถภาวนา ผู้คนนับถอื มาก คร้ัน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ แต่งต้ังพระราชาคณะในต�ำแหน่งต่างๆตามโบราณราชประเพณี และได้ทรงแสวงหาพระเถระผู้ทรงคุณพิเศษจากที่ต่างๆมาต้ังไว้ในต�ำแหน่งที่ สมควร เพื่อช่วยรับภาระ ธุระทางพระพุทธศาสนาสืบไป และก็ในคราวน้ีเอง ทไ่ี ดท้ รง “โปรดใหน้ มิ นตพ์ ระอาจารยว์ ดั ทา่ หอย คลองตะเคยี น แขวงกรงุ เกา่ มาอยู่วัดพลับ ให้เป็นพระญาณสังวรเถร” พระอาจารย์วัดท่าหอยดังกล่าวน้ี กค็ อื สมเดจ็ พระสงั ฆราช (สุก) น่นั เอง พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168