๒๘๙ ละเอยี ด” ดว ยแลว กย็ ิง่ ไปไดอ ยา งรวดเร็ว อนั นห้ี มายถงึ ผปู ฏบิ ตั ิ เฉพาะอยางยิ่งภกิ ษุ บรษิ ทั เปน สาํ คญั มาก เกย่ี วกบั การสมาธภิ าวนา เพราะทา นปฏบิ ตั ขิ องทา นอยเู ปน ประจํา ภมู จิ ติ มคี วามเหลอ่ื มลาํ้ ตาํ่ สงู ตา งกนั เปน ลาํ ดบั ลาํ ดาของการปฏบิ ตั ิ เพราะฉะนน้ั การฟง เทศนจ งึ เปน การบกุ เบกิ ทางใหท า นไดก า วไปวนั ละเลก็ ละนอ ยโดยลาํ ดบั ผูพอจะ ผานไปไดในขั้นใด ก็ผานไปเรื่อยๆ ทว่ี า “สําเร็จมรรคผลนิพพาน” ก็เพราะเลอ่ื นภมู ิ ของจิตไปเรื่อย ๆ จากการปฏิบัติและการฟงธรรมจากทาน เมอ่ื ทา นเทศนแ กค วาม สงสัยไดแลว ผานไปไดและผานไปเลย ยกตวั อยา ง พระอญั ญตั รภกิ ขุ ทา นกาํ ลงั สงสยั ธรรมขน้ั ละเลยี ด จะไปทูลถามพระพุทธเจา พอไปถงึ ใตถ นุ พระคนั ธกฎุ ี พอดีฝนตก ก็เลยยนื อยทู ใ่ี ตถ นุ นน้ั สังเกตดูน้ําฝนที่ตกมา จากชายคา มากระทบน้ําที่พื้น แลว เกดิ ตง้ั เปน ตอ มเปน ฟองขน้ึ มา ฟองน้ําต้ังข้ึนมาเทา ไร มนั ก็ดบั ไปแตกไป ทา นกพ็ ิจารณาเทียบเคยี งกับสง่ิ ภายใน คือ “สงั ขาร” ความคดิ ปรงุ เพราะขน้ั นจ้ี ติ จะพจิ ารณาเรอ่ื ง “สังขาร”และ “สัญญา” ความปรุงและความ สําคญั ตางๆ ของใจมากกวา อยา งอน่ื ในเวลานาํ้ ตกลงมากระทบกนั นอกจากมคี วามกระเพอื่ มแลว ก็ตั้งเปนตอมขึ้น มาเปนฟองขึ้นมา แลว ดบั ไป ๆ ทา นกพ็ จิ ารณาเทยี บเคยี งเขาไปภายใน คือความคิด ปรงุ ของจติ คิดดีคิดชั่ว มคี วามเกิดความดบั เปน คเู คยี งกนั ไปเปน ลาํ ดบั ๆ เสร็จแลวก็ กลายลงมาเปน นาํ้ ตามเดมิ สงั ขารนเ้ี มอ่ื คดิ ปรงุ เสรจ็ แลว กล็ งไปทจ่ี ติ ตามเดมิ ทาน เลยบรรลธุ รรมขน้ั สงู สดุ ในสถานทน่ี น้ั เอง พอบรรลุธรรมแลวฝนก็หยุด ทานก็กลับไป กฎุ ี! ไมไปทูลถามพระพุทธเจาอีกเลย เพราะหมดขอสงสัยแลว นน่ั ! ธรรมของจรงิ เมอ่ื เขา ถงึ จติ ดวงใดแลว จติ ดวงนน้ั ยอ มหายสงสยั ทนั ที แมแตจะ ไปทลู ถามพระพทุ ธเจา อยแู ลว กไ็ มท ลู ถาม เพราะหายสงสยั แลว หากจะไปทูลถาม ทา นๆ กจ็ ะรบั สง่ั อยา งทเ่ี ขา ใจแลว นน่ั แหละ กเ็ ลยหมดปญหา กลับไปกุฎีตามเดิม น้ี เปน ตวั อยา งอนั หนง่ึ ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมเมอ่ื กา วถงึ ขน้ั “ปญ ญา”แลว อยทู ไ่ี หนก็ฟงธรรมอยูตลอดเวลา มีอะไรมาสัมผัสก็พจิ ารณาเปน “ธรรม” ทง้ั สน้ิ เพราะสง่ิ ทม่ี าสมั ผสั เปน เครอ่ื งเตอื น สติ ใหระลึกรู ปญ ญาก็วิ่งตามทันที ๆ โดยอตั โนมตั ิ พจิ ารณาอยางรวดเร็ว ไมต อ งถกู บังคับเหมือนขั้นเริ่มแรก ซง่ึ เปน ขน้ั “หมูขึ้นบนเขียง แลว ไมย อมลง ถา ไมถ กู สบั ให แหลกเสยี กอ น” จติ ขั้นน้ี อะไรมากระทบยอมรูเทาทัน พิจารณาเปนอรรถเปนธรรมทั้ง สน้ิ ดังทท่ี า นอาจารยม ่ันทา นกราบเรยี นพระมหาเถระ ซึ่งไดเ ขยี นไวใ นประวัตขิ องทาน วา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๘๙
๒๙๐ “(พระมหาเถระถาม)...ทา นอยคู นเดยี ว เวลาเกิดขอขอ งใจขน้ึ มา ทานปรึกษา ปรารภกบั ใคร?” ทา นอาจารยม น่ั ตอบวา “ฟง เทศนอ ยู ทั้งกลางวันกลางคืนไมไดหยดุ หยอ นเลย” พระมหาเถระก็ไมกลาคานทานวายังไง เพราะอาจไมเขาใจก็ได ประการ หนง่ึ ประการทสี่ อง ทานพูดออกมาจากความจริง กไ็ มก ลา จะคา นทา น” ทว่ี า “ฟงเทศนอยูท ั้งกลางวันกลางคนื ” กค็ อื การที่พิจารณาสิ่งที่มาสัมผัสปลุก สติปญญาอยูตลอดเวลานั่นเอง จนเปนที่เขาใจไปโดยลาํ ดับ นั้นแลคือการฟงธรรมทั้ง กลางวันกลางคืนทางดานปฏิบัติ เพราะสติปญญาขั้นนี้เปนขั้น “อตั โนมตั ”ิ ทํางานเพื่อ “ธรรมลว น ๆ” ไมม โี ลกเขา แอบแฝงเลย ดว ยเหตนุ ้ี ทา นจงึ สอนใหท าํ จติ ใหม คี วามสงบ เมื่ออบรมสมาธิใหไดร ับความ สงบแลว กพ็ จิ ารณาทางดา นปญ ญา ปญญาจะต้ังหนาทําหนาท่กี ารงานนั้น ๆ ไปดว ย ความไมหิวโหยกระวนกระวายสายแสของจิต จิตที่มีความสงบ มฐี านแหง ความสงบอยู ภายในใจแลว ยอมคิดอานไตรตรองเรื่องอะไรไดด ี เพราะไมม ีความหิวโหย วุนไปกับ อารมณตางๆ ที่เปนขาศึกตอใจ ปญ ญาตง้ั หนา ตง้ั ตาทาํ งาน พิจารณาอะไรก็เปนการ เปนงาน ดังใจหมายจริง ๆ ไมเถลไถล ไพลน น่ั เสอื กน่ี ไมเปนอันทํางาน ทานจึงวา “สมาธิปรภิ าวติ า ปฺญา มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า” “ปญญาที่สมาธิอบ รมดว ยดแี ลว ยอ มมผี ลมากมีอานสิ งสม าก” ยอมคลองแคลวแกลวกลา พจิ ารณาไป ไดอยางรวดเร็วทันใจ ยง่ิ กวา จติ ทไ่ี มม ฐี านแหง ความสงบเปน ไหนๆ เรอ่ื งสมาธกิ บั ปญ ญาจงึ แยกกนั ไมอ อก ผปู ฏบิ ตั จิ าํ ตอ งนาํ มาใชต ามกาลอนั ควรของแตล ะประเภทอยู เสมอ แมแตทานที่เปน “พระขณี าสพ” แลว ทา นกย็ งั ตอ งใช “สมาธิ” เปน เรอื น พักผอนหยอ นใจ ในเวลายงั ครองขนั ธอ ยู เพราะสมาธเิ ปน เครอ่ื งประสบั ประสาน หรือเปนเครอ่ื งสมคั รสมาน ระหวา งขนั ธก บั จติ ไดด ี เวลาจติ คิดอา นไตรต รองอะไรเกีย่ วกบั การกับงานมาก จิตยอมมีความเหน็ด เหนื่อยเปนธรรมดา ตอ งพกั จติ ในสมาธิ ปลอ ยความคดิ ความปรงุ ทเี่ รียกวา“งานภาย ใน” เสียทง้ั หมด จติ สงบตวั อยโู ดยลาํ พงั ไมเ ก่ยี วขอ งกบั “ขันธใด ๆ” พอถอยออกมา แลว กม็ กี าํ ลงั “ระหวา งขนั ธก บั จติ ” พอเหมาะพอสมกันแลวทํางานไดตอไป ทานจะ ตองปฏิบัติตอ “จิต”ตอ “ขนั ธ” ทํานองนี้ตลอดจนวันปรินิพพาน เรื่อง “สมาธิ” จะตอ งใชไ ปอยางนนั้ ตลอดไป จึงเรยี กวา “ทานทําความเพียร” เพยี รระหวา งขนั ธ กบั จติ ใหอ ยเู ปน สขุ เทา นน้ั ไมไ ดเ พยี รเพอ่ื จะถอดถอนกเิ ลสตวั ใด หากไมไ ดป ฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสม ระหวา งขนั ธก บั จติ แลว สวนเสียก็คือ ขนั ธไ ม สามารถจะตง้ั อยจู รี งั ถาวรไดเ ทา ทค่ี วร สว นจติ ซง่ึ เปน ของบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว นน้ั ไมม อี ะไร ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๐
๒๙๑ เปน ปญ หาวา จติ จะเสยี ไป นอกจากธาตขุ นั ธจ ะครองตวั ไปไมถ งึ กาลอนั ควรเทา นน้ั ทา นจงึ ปฏบิ ตั ใิ หเ หมาะสมระหวา งขนั ธก บั จติ ทเ่ี รยี กวา “ทิฏฐธรรม”“วหิ ารธรรม” คือ ธรรมเครอ่ื งอยสู บาย ระหวา งขนั ธก บั จติ ทก่ี าํ ลงั ครองตวั อยู อะไรเปน เครอ่ื งเสรมิ กาํ ลงั ของขนั ธ กค็ อื ความเพยี ร ความสงบ เสรมิ กาํ ลงั ของขันธ เพื่อเปนปกติสุขตลอดอายุขัย อะไรสงเสรมิ จิตทย่ี งั มกี เิ ลสครองตวั อยู ใหผาน พน ไปไดโ ดยลาํ ดบั นั่นคือ สติปญญาเปนเครื่องสงเสรมิ หรอื เปน เครอ่ื งขดั เกลา เปน เครื่องแกสิ่งขัดของตาง ๆ เชน เวลาเราเดนิ ทางไปสทู ต่ี า ง ๆ มขี วากมหี นามกดี ขวางทาง อยู ก็เอามดี พราฟน ออก เบกิ ทาง และกา วเดินไปเร่ือย ๆ อะไรมากดี ขวางกฟ็ น เรอ่ื ยไป เดินเรื่อยไป จติ ทีด่ าํ เนนิ ไปไดส ะดวกปลอดภยั ก็เพราะมีสตปิ ญ ญาเปนเครื่องรักษา ขดั ของทีต่ รงไหนกแ็ กไ ขกนั ไปเรอื่ ย ๆ กาวไปเรื่อย ๆ กา วไป หรอื พน ไปภายในใจ การปฏิบัติตอจิตใจ คือ การสอดรูอาการของจิตทส่ี ง ออกไปสอู ารมณต า ง ๆ ดว ยสตปิ ญ ญาเปน สง่ิ สาํ คญั มากสาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ นค่ี ือการเรยี นเพอ่ื รตู ัวเองโดย เฉพาะ การเรียนเรื่องของจิต ตอ งทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยา งทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั จติ และสิ่งที่เขามา สัมผัสจิต ไมว า จิตจะสง กระแสความรไู ปในทางใด หรือกับอารมณใด สตปิ ญ ญาตอ ง ตามรูตามรักษา และตามแกไขอยูเสมอ ไมปลอยใหจิตคิดปรุงไปตามลําพัง ถา ไดฝ ก ฝนอบรมสติปญญาจนมีกําลังแลว เพยี งจติ กระเพอ่ื มเทา นน้ั ก็เปนการปลุก “สติ ปญญา” ในขณะนน้ั พรอ มๆกนั เพื่อรูสึกในความคิดปรุงนั้น ๆ ปญญาก็ตามพิจารณา กนั ทนั ทไี มอ ดื อาดเนอื ยนาย เมอ่ื เขา ใจแลว กป็ ลอ ยวาง แตเ รอ่ื งจติ ไมม เี พยี งเรอื่ งเดยี ว มนั หลายเรอ่ื งดว ยกนั จิตคิดแงนี้แลวก็ปรุงแง นน้ั รอยสันพันคม ซึ่งลวนเปนกลมายาของกิเลสสมุทัย พาใหจ ติ คดิ ปรงุ สตปิ ญ ญาก็ ตามพจิ ารณากนั เรอ่ื ย ๆ สดุ ทา ยจติ กเ็ ขา ใจ เพราะการตามตอ น และพจิ ารณาดว ยเหตุ ผล พอใจไดรบั เหตผุ ลทถี่ กู ตองแลว จิตก็ปลอ ยสิง่ นั้น ไมไปกังวลยึดถืออีกตอไป และ ปลอ ยวางกนั ไปเรอ่ื ย ๆ การปลอยวาง “อุปาทาน” ในขนั ธ ในจิต ดว ยสตปิ ญ ญา ปลอยอยางนี้! เพยี งขน้ั ของสมาธิ นน้ั เปน ความสงบของใจ ยงั ไมไดป ลอ ยวางอะไร สงบลงชว่ั ระยะๆ พอเปน บาทเปน ฐานแหง ความสงบสขุ ไมว า วนุ ขนุ มวั ดงั จติ ทว่ั ๆ ไปที่ไมเคยอบ รม สว น สตปิ ญ ญา นน้ั เปนเครื่องขุดเครื่องคน เครื่องตัดฟน สง่ิ ทเ่ี กาะเกย่ี วอยู ภายในจิตมมี ากนอยเปน เรือ่ งของปญ ญาทัง้ นนั้ ไมม สี ง่ิ ใดทาํ งานแทนในการแกก เิ ลสได ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๑
๒๙๒ การปฏิบัติธรรม คอื จิตตภาวนาในขน้ั เร่มิ แรก ยอ มมคี วามลาํ บากลาํ บน นง่ั ก็ เหนอ่ื ยงา ย เพราะผลยังไมคอยปรากฏ การฝกจิต จติ ก็ด้อื ดึงฝา ฝนมาก บางทีสูมันไม ได สวนมากสูมันไมไดขั้นเริ่มแรก แตอ าศยั ความพยายามฝก ฝนอบรมอยโู ดยสมาํ่ เสมอ ก็มีวันหนึ่งจนได ทจ่ี ะกา วเขา สคู วามสงบใหเ ปน ผลขน้ึ มา พอเปน เครอ่ื งพยงุ จติ ใจ หรอื พอเปน หลกั ฐานพยาน ใหเ กดิ ความอตุ สา หพ ยายามในการดาํ เนนิ ใหย ง่ิ กวา นน้ั ขน้ึ ไป ตอ จากนน้ั กม็ คี วามสงบเรอ่ื ย ๆ จิตใจถามีความสงบแลวก็เย็นใจสบายใจ เหมือนกบั เรามหี ลกั มแี หลง มีทีย่ ึดท่หี มาย ถา ไมม คี วามสงบเลย กไ็ มท ราบวา ทย่ี ดึ ท่ี หมายอยทู ไ่ี หน เหมอื นอยูกลางทะเล เรอื กค็ อยแตจ ะลม จมอยแู ลว ดว ยพายตุ า ง ๆ ไม ทราบจะเกาะอะไร นแ่ี หละทาํ ใหจ ติ เกดิ ความวา เหวแ ละวา วนุ ขนุ มวั มาก เพราะจติ หา หลักยึดไมได ฉะนน้ั ความสงบจงึ เปน หลกั ฐานอนั ดขี องจติ ในขน้ั เรม่ิ แรกภาวนาทา นจงึ สอนใหอ บรมใจใหม คี วามสงบ ผบู าํ เพญ็ ไมต อ งถอื วา “ธรรม” บทใด “ตาํ่ ” “ธรรม” บทใด “สงู ” ทค่ี วรจะ นาํ มากาํ กบั จติ ขอใหเ หมาะสมกบั จรติ ของตนเปน ทถ่ี กู ตอ ง ถา จติ ชอบคดิ ออกไปภาย นอกบอ ยๆ ก็ใหเรงคําบริกรรมใหถี่ยิบเขาไป สตติ ามใหท นั จติ กจ็ ะไมม โี อกาสเลด็ ลอด ออกไปภายนอกได แลวจะหยั่งเขาสูความสงบ พอใจสงบแลว จะเยน็ สบาย มหี ลกั เกณฑ มองไปทางไหนก็ไมเปนฟน เปน ไฟเผาตัวเหมอื นแตก อ น พอออกมาจากความสงบ กพ็ จิ ารณาทางดา นปญ ญา ไตรต รองดกู ายทเ่ี ปน ตวั “อนิจฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา” ใจจะมคี วามสงบแนบแนน เขา ไปโดยลาํ ดบั ปญญาก็จะแยบ คายไปตาม ๆ กนั การพจิ ารณา “ขันธ” ดว ยปญ ญา ไมวา “ขนั ธน อก ขันธใน” ทไ่ี หนๆ พจิ ารณาไดท ง้ั นน้ั เพราะเต็มไปดวย “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา” เราพจิ ารณาเพื่อแยกแยะ ใหเหน็ ไปตามความจริงของส่งิ นั้น ๆ ใจจะไดป ลอ ยกงั วล ผลสุดทายก็ยอนเขามา พจิ ารณาเรอื่ งขนั ธของตัวเอง ขันธทั้งหา ไดเ คยพดู แทบทกุ วนั ขนั ธทัง้ หลายจะปลอ ยไปโดยไมพ ิจารณาไม ได เพราะเปนหลักสําคัญของ “สัจธรรม” เปนหลกั สําคัญของการกา วไปแหง จติ หรอื เปน หลกั สาํ คญั แหง ความรทู างปญ ญา เพราะเปน “หนิ ลบั ปญ ญา” อยางยิ่ง ถา สตปิ ญ ญาไมท นั จะเปน ขา ศกึ ตอ ตนเองอยา งยง่ิ ฉะนน้ั จึงตอ งพิจารณา “ขนั ธ” ใหร อบ ขนั ธม ตี ดิ แนบอยกู ับเราตลอดเวลา สอ ความพิรุธ สอความทุกข ความลาํ บากลาํ บน ความทรมานตางๆ อยกู บั ขนั ธก บั จติ ตลอดเวลา อะไรเสยี ดแทงขน้ึ ในขนั ธม ากนอ ย ตองเขาไปเสยี ดแทงจิตใจ ใหเ กดิ ความ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๒
๒๙๓ ทุกขวุนวายอยูโดยไมขาดระยะเลย เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งใชส ตปิ ญ ญาใหท นั กบั อาการ เหลา นแี้ สดงตวั ความจริง เขาไมไ ดต ง้ั ใจยแุ หยก อ กวนเราเลย หากเปนอาการของจติ ไปสําคัญ เอาเอง ทุกขก็เกิดขึ้น ธรรมดา... ธรรมดา เชนเดียวกับแดดที่ฉายลงมาจากพระอาทิตย พอกายเราไปสมั ผสั เขา กร็ อ น แดดเองเขาไมไ ดท ราบความหมายของเขาเลย นาํ้ เขาก็ ไมทราบความหมายวา “เย็น” แดด หรอื ไฟ เขาไมท ราบความหมายของตนวา “รอ น” แตผ ูทราบความหมายนั้น จะตกอยกู บั เราผสู มั ผสั กบั นาํ้ , กบั ไฟ, หรอื กบั แดด นน้ั ทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ มา เขาก็ไมทราบวาเขาเปนเวทนา เขาไมท ราบวาเขาเปน “ทุกข” เขาไมทราบวา เขาเปน “สขุ ” เขาเปนเพียงธรรมชาติอันหนึ่งๆ เทา นนั้ แต จติ ผูไ ปสมั ผัสกับสิ่งตา ง ๆ นน้ั เกิดความสุขความทุกขขึ้นมา และเกิด ความหมายขน้ึ มาอกี แงห นง่ึ จงึ ทาํ ใหท กุ ขท างใจขน้ึ อกี ความหมายในแงห ลงั นเ้ี ปน สาํ คญั ทจ่ี ะกลายเปน กเิ ลส เพิ่มทุกขขึ้นมาอีก เพราะแงห ลงั นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลสโดย ตรงตามความจริงของสภาวธรรม คอื ทกุ ขเวทนา เพยี งความทกุ ขใ นสกลกายตาม ธรรมดานี้ ใคร ๆ ก็เกดิ ขึน้ ไดทั้งนน้ั แมแ ตพ ระพทุ ธเจา กย็ งั ไมพ น ทจ่ี ะรบั ทราบ ทกุ ขเวทนาทเี่ กดิ ขึน้ ภายในพระกาย พระอรหันตกร็ ับทราบ “กายเวทนา”เหมอื นกนั แตเ ปน เรอ่ื งธรรมดาๆ เพราะทา นทราบเรื่องคติธรรมดาโดยสมบูรณแ ลววา เรื่อง ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในกาย ก็เปนสภาวธรรมอันหนึ่ง เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทว่ั ๆ ไป แตธ รรมชาตนิ ้ีเขาไปเกี่ยวขอ งกับจติ จิตจึงเปนผูรับทราบตามความจริงของตน และ ตามความจริงของสภาวธรรม คอื ทกุ ขเวทนานน้ั เทา นน้ั จงึ ไมม อี นั ใดทจ่ี ะกอ เปน ตวั ทุกขข ้นึ มาอีกขัน้ หนงึ่ ภายในจติ ทาน เพราะวา ทา นไมห ลง เมอ่ื เกดิ ขน้ึ ทา นกท็ ราบวา “นี้เปนสภาพอันหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมา” ตง้ั อยทู า นกท็ ราบ ดบั ไปทา นกท็ ราบ ทา นทราบ ทั้ง ๓ ระยะ คอื ระยะทเี่ กิด ตั้งอยู และดับไป, เกิดขึ้น ตง้ั อยู ดบั ไป อยูอยางนี้เปน ประจาํ ขนั ธ ขนั ธม อี ยอู ยา งน้ี มปี รากฏขึ้น ตั้งอยู แลวดับไป มีทุกขเวทนา เปนตน “วญิ ญาณ” รับทราบกท็ าํ นองเดยี วกนั แตส ว นทม่ี คี วามกระเทอื นตอ จติ ใจมากก็ คือ ทุกขเวทนา ทา นจึงสอนใหพ จิ ารณาใหเ ห็นตามความจรงิ ของมัน เพราะนเ่ี ปน ความ จรงิ ลวนๆ ถา จติ ไดพ จิ ารณาเหน็ ตามความจรงิ ของเขาแลว จติ กจ็ ะเปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ไมไ ปยดื ถอื เขาใหเ ปน ความหนกั ใจ ใหเ ปน ความเบาใจกบั เขา ตา งอนั ตา งจรงิ ตางอันตางอยู แมว าระสดุ ทา ยทเ่ี ราจะแตกกท็ าํ นองเดยี วกนั ทุกขเวทนาดับไป ขนั ธก ส็ ลายตวั ไป อาการทั้งหาไปพรอมๆ กนั สิ่งที่ไมไป คือสิ่งที่รูอันเดียวเทานั้น อนั นไ้ี มเ ปน อน่ื เปน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๓
๒๙๔ “จิต” หรือ เปน“ผูร”ู อยเู ทา นน้ั อนั นไ้ี มแ ปร นอกจากแปรเฉพาะอาการของจิตเทา นน้ั สวนจิตจริงๆ จะใหแปรเปนอยางอื่นนั้น เปนไปไมได การพจิ ารณาเทยี บ กเ็ ทยี บเพอ่ื จะใหเ ขา ใจในขนั ธอ ยา งแทจ รงิ ขนั ธเ ปน อนั ใด ทา นสอนไวอ ยา งตายตวั ถา ไมฝ น ความจรงิ ทท่ี า นสอนเรากไ็ มเ ปน ทกุ ข ทา นกบ็ อกแลว วา “รูป อนิจฺจ”ํ สรุปแลววา “รปู อนตฺตา, เวทนา อนตฺตา, สญฺ า อนตฺตา, สงขฺ า รา อนตฺตา, วิ ญฺ าณํ อนตตฺ า” นั่น! เปนตนที่ไหน ! “อนตตฺ า ๆ” บอกชัดเจน อยู แลว ทานปดประตูไว ไมใหเอื้อมออกไปยึดไปถือ ถายดึ ถือแลว แมจะเปน“อนตตฺ า” หรือ “อตฺตา” ไมเ ปน ภยั อะไรสาํ หรบั เขาเองกต็ าม แตก ็เปนภัยตอเราผหู ลงอยูนน่ั เอง สดุ ทา ยความหลงนแ้ี ลมาเปนภัยตอ เราเอง ทา นจงึ สอนใหแ ยกแยะดสู ง่ิ นน้ั แลว ใหยอ นจติ เขา มาดูจติ เพอ่ื ทราบความสาํ คญั ผดิ ของตนทไ่ี ปหลงยดึ สง่ิ นน้ั ๆ แลว ยอ นจติ เขา มาแกภ ายในอกี เพือ่ หายสงสัยกบั สิง่ ภายนอก ทง้ั หายสงสยั ในตวั เอง และมาเห็นโทษของตัวผูไปหลงเขา แกส องชน้ั คือ ชั้น นอกและชน้ั ใน ในขันธหา ทานบอกไวอยางนี้วา “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา”ก็ อันเดียวกันนั่นแหละ ไมใ ชแ ยกกนั ออกได ทกุ ขฺ ํ อนิจฺจํ อนตตฺ า มันอยดู ว ยกนั เหมือนขางหนาขางหลัง ขาง ซายขางขวา ของคนๆ หนง่ึ นน่ั แหละ อนั นเ้ี ปน ขา งซา ย อันนีเ้ ปน ขางขวา อนั นน้ั เปน ขา ง หนา อันนี้เปนขางหลัง กค็ นๆ เดยี วกนั นน่ั เอง “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า” กค็ อื อาการ แหงสภาพอนั หนึ่งๆ ของขนั ธอ นั เดยี วกนั ถา จะแยก แยกออกไปมากมายก็ทําใหฟน เฝอไปเปลา ๆ ไมเกิดประโยชน อันใดเปนที่ถนัดใจของเรา เชนพจิ ารณาเรื่อง “ทกุ ขฺ ํ” เปน ทถ่ี นดั ใจ กใ็ หก าํ หนด ลงไปเลย จะกระจายไปถงึ “อนิจฺจ,ํ อนตตฺ า” ดวยไมวาอาการใด เชน พิจารณา อนตฺ ตา ก็กลมกลืนกันไปหมด พิจารณา อนิจฺจํ ก็ กลมกลืนกันไปหมด ขอใหเ ปนความถนดั ใจของเราผูพิจารณาเถิด ความถนัดใจเปน ส่ิงสําคญั จะทาํ ใหเ หน็ ตามความจรงิ ของมนั อยาปนเกลยี วกบั ความจรงิ ทพ่ี ระองคท รงสอนไวอ ยา งถกู ตอ ง “นเ่ี ปน กอง “ไตรลักษณ” บอกไวแ ลว อยา เออ้ื ม อยาไปยึด อยา ไปแบกไปหาม มนั หนกั จงปลอยตามความจริงของมัน ใจ จะไดเ บาภาระ และหายทุกขไปโดยลําดับ ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา มอี ยทู กุ อาการของขนั ธ รปู กเ็ ปน กอง “ไตรลักษณ” เวทนา ก็ไตรลักษณ สัญญาก็ไตรลักษณ สงั ขารกไ็ ตรลกั ษณ วญิ ญาณกไ็ ตรลกั ษณ เขาเปน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๔
๒๙๕ ความจริงโดยสมบูรณอยูแลวตามความจริงของตน เราอยาไปยึด อยา ไปสาํ คญั อยา ไป ปกปนเขตแดนเอา วา นน้ั เปน เรา นี้เปนของเรา เรากส็ บาย นแ่ี หละการพจิ ารณาทางดา นปญ ญา ใหพิจารณาอยางนี้ จิตใหรอบคอบตอ ตน ใหฉ ลาดตอ ตนเอง ถา ไมฉ ลาดกไ็ ปหลงเขา ความหลงเขา จะตําหนิเขาก็ไมถูก เพราะ เราหลงเอง ตอ งตาํ หนเิ ราผหู ลง เมอ่ื รแู ลว กห็ มดทางตาํ หนิ อาการเหลา นม้ี อี ยดู ง้ั เดมิ ตั้งแตวันเกิดมาจนกระทั่งวันสลายตัวลงไป ใครเอาไปไดเ มอ่ื ไรเพราะเปน ของกลางๆ กองรปู กองเวทนา กองสญั ญา สังขาร วิญญาณ น้ี ปลอยตามสภาพของมัน พิจารณาใหเขาใจเสียแตใ นบัดนี้ จะเปน ผสู ะดวกสบายใจ นเ่ี ปน ขน้ั หนง่ึ ของการ พิจารณา ขน้ั สดุ ยอดแหง ทกุ ข แหงสมุทัย แหง ธรรม กค็ อื ขน้ั จิต ขั้นจติ คอื อะไร? จิตนั้น หมายถงึ จิตกับอวิชชา ทก่ี ลมกลนื กนั เปน ความผองใส ความสงา ผา เผยอยา งยง่ิ ไม เก่ียวของกับสงิ่ เหลา นี้เลย ! คอื ความรปู ระเภททป่ี ลอ ยวางจาก “รูป” จาก “นาม” หมดแลว นแ้ี ลเปน ความรทู เ่ี ดน ทส่ี ดุ เปน ความรทู อ่ี ศั จรรยอ ยา งมากมาย จน เจา ตวั กต็ อ งหลงเพลนิ ตอ ความรปู ระเภทน้ี ถอื วา “เปนของดีอยางยิ่ง” มีความรัก ความสงวนมากไมมีสิ่งใดจะเทียบเทาไดเลย ถอื วา อนั นเ้ี ลศิ ประเสรฐิ กวา สง่ิ ใดๆ ทง้ั สน้ิ บรรดาทพ่ี จิ ารณาผานๆ มา บรรดาทีเ่ คยเจอ หรอื เคยพบเหน็ มา ไมมีอันใดมีความสงา ผาเผยกวา ไมมีอันใดที่มีความสวางกระจางแจงกวา เปนสิ่งที่นาอัศจรรยยิ่งกวาจิตดวง น้ี ทา นวา “จิตอวชิ ชา” แท เปน อยา งน้ี ตอ งทาํ ใหห ลงไดแ นน อน ถา ไมม ผี เู ตอื นใหร ู ไวก อ น อยา งไรก็ตองหลงในจุดนีแ้ น ๆ ในบรรดาผูปฏิบัติ เพราะฉะนน้ั เมอ่ื ทราบแลว วา จดุ นเ้ี ปน อยา งน้ี อวิชชาเปนเชนนี้ การพจิ ารณาจงึ ตองหย่งั ลงในจติ น้เี พยี งอนั เดียวเทา นั้น เพราะสง่ิ อน่ื ๆ เขาใจหมด สงั ขารปรงุ ขน้ึ มา ปบ มนั กด็ บั ลงไปอยทู อ่ี วชิ ชานน้ั เสยี เพราะอวชิ ชาเปนผูบงการ ในเมอ่ื อวชิ ชายงั มอี ยู สังขารปรุงขึน้ กต็ อ งเปน เรอ่ื งอวชิ ชาใหป รงุ รับทราบ อะไรก็ตาม เปน เรอ่ื งอวชิ ชาทพ่ี าสาํ คญั มน่ั หมายไปตา ง ๆ นานา อะไร ๆ ก็เปนกิเลสไป หมด เพราะอวิชชาพาใหเปน เพราะฉะนั้นจึงตองคนลงไปที่ “จติ อวชิ ชา” เอา จิตอวิชชา เปนสถานที่ หรอื เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา หยง่ั สตปิ ญ ญาลง ไปที่ตรงนั้น โดยไมถ อื ความรนู น้ั วา เปน ตน ถายังถือความรูนั้นวาเปน “ตน” อยู การ พจิ ารณากไ็ มถ นดั กลวั ความรนู จ้ี ะเสอ่ื มบา ง จะสลายไปบา ง จะสญู หายไปไหนบาง กลวั จะลม จมไปตา งๆ นานาบา ง ไมอ ยากแตะตอ ง นน้ั แลคือกิเลสประเภทหนึ่ง หลอกเรา อยางสนิททีเดียว ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๕
๒๙๖ เพราะฉะนั้นเพอ่ื ความถกู ตอ งตามหลกั การพจิ ารณาจรงิ ๆ จงึ เอาจุดแหงความ รูที่เดน ชดั ท่วี า อัศจรรยม ากๆ นั้นแหละ เปน จดุ ที่พจิ ารณาคลีค่ ลายท่จี ดุ นัน้ พิจารณาลงจุดนั้น เชนเดียวกับเราพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย โดยไมถ อื วา อนั นน้ั สงู อนั นต้ี าํ่ ไมถืออันนั้นเปนเรา อันนี้เปนของเรา แมแตจิตคือความรู ความรอู นั นี้กไ็ มถือ เปนเรา เปนของเรา พจิ ารณาใหเ ขาใจสงิ่ นี้ จงึ ตอ งพจิ ารณาลงไปทต่ี รงนม้ี นั จะไมเ ขา ใจ ไดอยางไร จะทนตอการพสิ ูจนไ ดอ ยางไร ตองเขาใจ คือ สตปิ ญ ญาเขา ถือตัวจติ อวิชชา และคลี่คลายตามหลกั การพิจารณาอยแู ลว ทว่ี า อศั จรรย ๆ กส็ ลายไป จึงเห็น ไดชัดเจนวา นค้ี อื จอมหลอกลวงอนั สดุ ทา ย ไดแ กธ รรมชาตนิ แ้ี ล ทีนี้ขันธก็หมดปญญา คําวา “จิต” ก็หมดปญหา ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งบรรดาสภาว ธรรมทั่วไป หมดปญหา! เมอื่ จิตหมดปญ หาในตวั เองเพยี งดวงเดยี วนเี้ ทานั้น ไมม ี อะไรเปน ปญ หาในโลก นน่ั ! นี่คือจุดสุดทายแหงการพิจารณาธรรม การปฏบิ ตั ธิ รรม การรูธรรม การรทู กุ ขก ด็ ี สมุทัยก็ดี กร็ นู เ้ี ปน จดุ สดุ ทา ย จากนน้ั ไมม อี ะไรทจ่ี ะรตู อ ไปอกี แลว แลวจะทําใหหลงอะไร กไ็ มม ที างทจ่ี ะหลงตอ ไปอกี มนั เปน “อฐานะ” มนั เปน อะไรตามสมมตุ ดิ ชี ว่ั ทน่ี ยิ มกนั ไปไมไ ด ตอ จากนไ้ี ปแลว ดงั ที่ทานกลาววา “วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ,ํ กตํ กรณยี ํ, นาปรํ อติ ถฺ ตตฺ ายาติ ปชานาต.ิ ” พรหมจรรยไดอยูจบแลว งานที่ควรทาํ ไดท าํ เสรจ็ แลว งานอืน่ ทีย่ ิ่งกวา นไ้ี มม !ี เพราะได รูชอบทุกสิ่งทุกอยางแลว นถ่ี า เราพดู ในธรรมจดุ น้ี กเ็ หมอื นกบั วา ไมก วา งขวางอะไร เลยในการปฏบิ ตั ศิ าสนา นะ แตก อ นทจ่ี ะเปน เชน นน้ี ะ ซี มันแทบเปนแทบตายสําหรับ ผปู ฏบิ ตั ทิ ง้ั หลาย ถา พดู ตอนสุดทา ยน้ี กเ็ หมอื นกบั “ขา วอยูในจานนน้ั แล มองดขู า วในจาน ก็ เหมือนกับแคบนิดเดียว เหมาะกับการรับประทานเทานั้น แตเ มอ่ื มองยอ นหลงั ไปวา “ขา วนม้ี าจากไหนละ ? ลองไลดูซิ โอย! แคนในหวั ใจแทบไมอ ยากรบั ประทาน ขาวมา จากไรจ ากนา จากอะไรบา ง กวา จะมาเปน เมลด็ ขา วเปลอื กขา วสาร จนสาํ เรจ็ ขน้ึ มาถงึ ขน้ั รบั ประทานน้ี มนั ทกุ ขลําบากมาก หลังสูฟา สูแดด สูฝน และอดทนทกุ อยา ง ตอ ง พรรณนากนั ยดื ยาวกวา จะเสร็จ และทาํ เปน ปโ นน นะ กวา จะไดร บั ผล และรับประทาน นก่ี ารพจิ ารณาธรรม ก็เรม่ิ มาแตล มลกุ คลุกคลาน ฝก หดั ดดั จติ ใจดว ยธรรมตา งๆ แทบเปนแทบตาย บรกิ รรมบงั คบั จติ ดว ย “พทุ โธ ธมั โม สังโฆ” ลม แลว ลม อกี กร่ี อ ยก่ี พนั หนอยนู น่ั แหละ ไมรูก่ลี มกีล่ ุกละ พยายามเสอื กคลานมาโดยลําดบั ดว ยความ อตุ สาหพ ยายามเรอ่ื ยมา จนกระทง่ั ถงึ จดุ ทว่ี า นน้ั ซึ่งควรแกการปลงใจ ปลงภาระทง้ั ปวงใหห ายหว ง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๖
๒๙๗ ตอนตน มนั กวา งขนาดไหน หนักขนาดไหน หนักจนยกแทบไมไหว หรอื ยกไมไ หว ในสว นมาก ยกไหวในสวนนอ ย เมื่อตกมาสมัยปจจุบัน ถา วา กวา งกก็ วา งจนมองหาทาง ไมเจอ พอถึงขัน้ แคบกแ็ คบอยา งนั้นละ พอขน้ั แคบ ๆ นี้หมดไปแลว ทีนี้กวางก็ไมวา แคบกไ็ มว า อะไร ไมวาทั้งนั้น เพราะหมดส่งิ ทจ่ี ะวา จิตหมดโทษ ไมมีอะไรที่จะวาตอ ไป นน่ั คอื แดนแหง ความพน ทกุ ขโ ดยสน้ิ เชงิ พระพุทธเจาก็ดี พระสาวกกด็ ี ทานถึงแดนนี้ดวยกัน ไมมที านผูห นึง่ ผูใดนบั แต พระพทุ ธเจา ลงมาถงึ สาวกองคส ดุ ทา ยวา จะยง่ิ หยอ นกวา กนั ในความบรสิ ทุ ธ์ิ เสมอ กนั เปนแตเพียงวาพุทธวิสัย คอื ความสามารถฉลาดรูในแงตา งๆ แหง ธรรมนน้ั มี ความลกึ ตน้ื หยาบละเอยี ดกวา กนั เทา นน้ั แตข น้ั บรสิ ทุ ธน์ิ เ้ี หมอื นกนั หมด ทา นกลา วไวใ นธรรมวา “นตถฺ ิ เสยโฺ ยว ปาปโ ย” ทา นผบู รสิ ทุ ธท์ิ ง้ั หลาย ไมม ี ยิ่งหยอนกวากันเลยแมแตนิด บรรดาพระอรหนั ตข ณี าสพทง้ั หลาย นับตัง้ แตพระพทุ ธ เจา ลงมา เสมอกัน คอื ความบรสิ ทุ ธ์ิน้ี ดงั ทท่ี า นอาจารยมน่ั ทา นแสดงเรือ่ งนมิ ิตวา พระ พทุ ธเจา ในครง้ั พทุ ธกาลทา นเคารพกนั อยา งไร ปรากฏในนมิ ิตวา บรรดาพระสงฆสาวก ทั้งหลายหลั่งไหลมา พระพทุ ธเจา กเ็ สดจ็ มา ใครมาถงึ กอ นนง่ั กอ นเปน ลาํ ดบั ๆ ตามท่ี มาถึงกอนถึงทีหลัง ไมไ ดค าํ นงึ ถงึ อาวโุ สกนั พระพทุ ธเจา เสดจ็ มาทหี ลงั ก็ประทับอยู ทางทา ยสงฆโ นน แลว (ทา นอาจารยม น่ั ) ทา นเกดิ วติ กขน้ึ มาวา เพราะเหตไุ รจงึ เปน อยา งนน้ั ความเคารพกันครั้งพุทธกาลเปนอยางนี้หรือ ก็รขู ึ้นมาทันทวี า นี้คือ วสิ ทุ ธิ ธรรมเสมอกนั อยา งน้ี ไมว า ใครมากอ นมาหลังนัง่ ตามลาํ ดับทมี่ า คือเปนความเสมอ ภาค ไมวา ผนู อ ยผใู หญ “อาวุโส ภนั เต” เพราะความบริสุทธิ์เสมอกัน (ทา นอาจารยม น่ั ) ทา นวติ กวา ถาเคารพตามสมมุติแลว ความเคารพกนั ของทา น เปน อยา งไรหนอ “ตามทางสมมุต”ิ ทา นพลกิ พรบึ เดยี วนน้ั พระพุทธเจาประทับอยู ตรงหนา แลวบรรดาสาวกเรียงตามลาํ ดับลําดา นค่ี อื การเคารพกนั โดยทางสมมตุ ิ ความ เคารพในทาง “สมมุติ” เปน อยางน้ี นต่ี าม “อาวโุ ส ภนั เต” อยา งน้ี นน่ั ! ทา นแยก ทั้ง “วมิ ตุ ติ” ทั้ง “สมมตุ ”ิ ใหเ หน็ อยา งชดั เจน การเคารพกัน ก็ไมมีอะไรจะนิ่มนวลยิ่งกวาทานผูสิ้นกิเลสเคารพกัน ไมเ ปน พธิ รี ี ตอง ไมเปนอะไรๆ เลหๆ เหลี่ยมๆ เหมอื นกบั คนทม่ี กี เิ ลสทาํ ตอ กนั ทานเคารพกัน อยา งถงึ ใจ เคารพคุณธรรม เคารพความจริง การเคารพความจริงดวยความจรงิ ภายใน ใจน้ี ทานจึงทําไดสนิท สว นปถุ ชุ นจาํ พวก “ชนดะ” เรา เวลาแสดงออกทางมรรยาทนั้นดูสวยงาม แตง าม ในลกั ษณะตกแตง ไมใ ชตัวจริงออกมาจากของจรงิ คอื ธรรมแท แตภายในมันแขง็ ทอื่ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๗
๒๙๘ ไมเ หมาะสมกนั กบั อาการภายนอกทอ่ี อ นโยนในการแสดงออก ฉะนั้นโลกจงึ ลมุ ๆ ดอน ๆ สงู ๆ ตาํ่ ๆ ไมสม่ําเสมอเหมือนกบั ความจริงทเี่ ปนออกมาจากความจรงิ แท วนั น้ี แสดงเพียงเทานี้ ขอยุติ <<สารบญั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๒๙๘
๒๙๙ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอื่ วนั ท่ี ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ ทุกขเวทนา ในมงคลสูตร ทา นสอนใหค บบณั ฑติ อยา คบคนพาล คนพาลก็คอื หวั ใจเจา ของพาล นน่ั เองเปน อนั ดบั แรก คือมคี นพาลภายนอก คนพาลภายใน สว นมากกเ็ ปน คนพาลอยู ภายในใจตวั เองคอยพาลอยเู รอ่ื ยๆ เวลาไปอยกู บั ครกู บั อาจารย ทเ่ี รยี กวา “คบบณั ฑติ ” ไดร บั การอบรมอยเู สมอจากบณั ฑติ เพราะครอู าจารยท า นเปน บณั ฑติ ทา นมคี วามเฉลยี ว ฉลาดในอบุ ายตา งๆ ทน่ี าํ มาสง่ั สอนเรา ทา นเคยปฏบิ ตั แิ ละรมู าแลว ทกุ อยา ง การสอนจงึ ถูกตองแมนยําเปนที่แนใจไดสําหรับผูฟงไมมีที่สงสัย เฉพาะอยางย่งิ ทานอาจารยม ่ัน ไม เคยปรากฏเลยทท่ี า นจะสอนวา “เหน็ จะเปน อยา งนน้ั เหน็ จะเปน อยา งน”้ี มีแต “แนนอน ๆ” และเปน ทแ่ี นใ จ เพราะทา นเอาความจรงิ ลว นๆ ซึ่งถอดออก จากจิตใจที่เคยไดร ูไดเหน็ มาแลวออกมาพูด และจากการปฏบิ ตั มิ าแลว ดว ยดี ยง่ิ เวลาเจบ็ ไขไดปวยดวยแลว รายไหนออ นแอละ ทา นขไู วแ ลว วา “ใครออ นแอใครรอ งคราง “ฮือๆ” ละก็ ใหเอา “นน้ั แหละ” เปนโอสถรักษาเองไมตองไปหาหยูกยาที่ไหน ไมตองมีใครดูแล รกั ษาละ คราง “ฮือ ๆ ฮาๆ” มนั เปน โอสถแลว สาํ หรบั คนนน้ั ถา หากการรอ งครางมนั เปน ประโยชนจ รงิ ๆ แลว เราจะหาหยกู ยามารกั ษาทาํ ไม ! นแ่ี หละเวลาทท่ี า นยอ นกลบั เอา “รอ งครางเขา ซี ใครรองครางก็ไดน่ี เดก็ รอ งคราง ก็ยังไดถามันประโยชน น่มี ันไมเปน ประโยชนอะไรเลย นอกจากคนดีที่ปฏิบัติเด็ดเดี่ยวจะ ราํ คาญเทา นน้ั จงึ ไมค วรจะรอ งครางเพราะความออ นแอ เปนพระกรรมฐานทั้งองคแสดง ตัวอยางนั้นมันดูไดเมื่อไร ถา เปน เดก็ หรอื เปน คนธรรมดาทว่ั ๆ ไปก็ไมคอยเปนไร เพราะ เขาไมไ ดร บั การศกึ ษาอบรม มีความรูอ ะไรพอจะเขา ใจในแนวทางตอ สูดว ยวิธีการตางๆ มี การพจิ ารณา เปน ตน สว นเรารแู ลว รูทุกสิ่งทุกอยาง เวลาเกดิ เรอ่ื ง เชน เจ็บไขไ ดป วย เปน ตน ขน้ึ มาภาย ในตวั หาทางหรอื อบุ ายตา งๆ รักษาตัวไมได มแี ตล มระเนระนาดไปอยา งนน้ั ใชไ มไดเ ลย ขายตวั เองและวงกรรมฐาน! ทา นอาจารยม น่ั ทา นเทศนส อนจติ ใจนเ้ี กง มากทเี ดยี ว บรรดาลกู ศษิ ยล กู หาทต่ี ง้ั ใจ ไปศึกษาอบรมกับทาน ฟงอะไรก็ถึงใจ สงิ่ ทค่ี วรปฏิบัตกิ ป็ ฏบิ ตั ิไปเลย สง่ิ ทค่ี วรเขา ใจใน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๒๙๙
๓๐๐ ขณะนน้ั กเ็ ขา ใจ แตล ะเรอ่ื งทเ่ี ปน เรอ่ื งภายใน เขา ใจไปโดยลาํ ดบั เวลามคี วามเจบ็ ไขไ ด ปว ยทา นสอนวธิ พี จิ ารณาให “เอา เวลามนั เปน ไข มนั เอาไขม าจากไหน?” นท่ี า นสอนให เปน ประโยชนแ ละไดค ตสิ าํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ิ “มันหอบไข หอบหนาวมาจากไหน? มันก็เกิดขึ้น มาในกายนไ้ี มใ ชห รอื ? เวลาหายมนั จะไปหายทไ่ี หน? ถาไมห ายในทมี่ นั เกดิ ข้นึ น่ี แมไม หายมนั กต็ ายไดด ว ยกนั ทกุ คนไมม ยี กเวน ภายในรา งกายน้ี จงพจิ ารณาใหร มู นั ความทุกขทั้งมวลนั้นก็เปน “สจั ธรรม” ถา ไมพ จิ ารณาสง่ิ เหลา นจ้ี ะพจิ ารณาอะไร? พระพทุ ธเจา ตรสั รดู ว ย “สจั ธรรม” สาวกกต็ รสั รดู ว ย “สจั ธรรม” เราจะตรสั รดู ว ยความ ออนแอนั้นไดหรือ! มันเขากันไดหรือกับธรรมของพระพุทธเจา ถา อยา งนน้ั เรากม็ าขวาง ธรรมซี ทา นวา มนั เกิดทตี่ รงไหนอาการใด เราถามดู มนั เจบ็ ทต่ี รงนน้ั ปวดทต่ี รงนน้ี ะ อะไรเปน ผู เจบ็ อะไรเปน ผปู วด ? คน เขา ไปใหเ หน็ ตน เหตมุ นั ซิ มันเกิดที่ตรงไหน เจบ็ ทต่ี รงไหน อะไรเปน เหตใุ หม นั เจบ็ มนั ปวด อะไรเปน ผไู ปสาํ คญั มน่ั หมาย เวลาตายแลว เขาเอาไป เผาไฟ มนั เจบ็ มนั ปวดไหม ? ใครเปน ผหู ลอกลวงตวั เองวา เจบ็ นน้ั ปวดน้ี พจิ ารณาให เหน็ ตน เหตขุ องมนั ซี ถาเปนนักปฏิบัติ ไมรูตนเหตุไมรูทั้งผล คือกองทุกข มันจะแกทุกขไดยังไง ปญญา มีไวทําไม? ทําไมไมคิดไมคนขึ้นมาใช แนะ ทา นวา “มีสตปิ ญ ญากเ็ พอ่ื ระลกึ รู แลว พจิ ารณาสง่ิ ตา งๆ มีทุกขเวทนา เปน ตน ซึ่งมีอยู ในรา งกายและจติ ใจของเราเอง” ทา นสอนยาํ้ ลงไปโดยลาํ ดบั ๆ หากผูฟง ฟงดวยความตั้งใจ เฉพาะอยางยิ่งผูมีนิสัย อาจหาญ จะยง่ิ จบั ใจความไดง า ย ถูกจริตทันที ๆ จบั ปบุ ๆ ในเวลาจากทา นไปอยใู นสถานท่ี บาํ เพญ็ ใด กเ็ หมอื นกบั ทา นไปแสดงกงั วานอยใู นหวั ใจ โอวาทของทานจําไดทุกแงทุก กระทง ทส่ี าํ คญั ๆ สาํ หรบั ทจ่ี ะเอามาเปน เครอ่ื งมอื ในการปฏบิ ตั ิ เชน อยูใ นที่สําคญั ๆ ประหนง่ึ วา ทา นมาอยทู ห่ี วั ใจเราเลย ใจอาจหาญรา เรงิ จรงิ ๆ แมก ารฝก การรธู รรมเหน็ ธรรม การเขา ใจในอรรถในธรรม กเ็ ขา ใจดว ยความอาจหาญ เขา ใจดว ยความเปน นกั ตอ สู จรงิ ไมไดเขาใจดว ยความออนแอ ความทอแท ความเหลวไหล ความถอยทัพกลับแพโดย ลาํ ดบั นน้ั ไมใชทางท่ีกิเลสจะกลัวและสิ้นไปจากใจ ไมใชทางที่จะแกกิเลส หรือรูเรื่องของ กิเลสทั้งหลายและถอดถอนไดเลย ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๐
๓๐๑ นศ่ี าสนา!ไมมีอะไรที่จริงที่แทแมนยําตอความถูกตองจะเทียบเทาได หาที่แยงไมมี ถา ดาํ เนนิ ตามหลกั ศาสนาแลว เรือนจาํ ตะรางตะเริงอะไรเหลา นี้ไมต องมี มีทําไมก็ไมมีใคร จะทําผดิ นี่ มองเห็นตามเหตุตามผล ยอมรบั ความผิดความถูก ชั่ว ดี ของกันและกัน ดว ย หลกั เหตผุ ลเปน เครอ่ื งรบั รองแลว กอ็ ยดู ว ยกนั ไดเ ทา นน้ั คนเรา เทาที่ตองมีกฎบังคับ มตี ะรางหรอื คกุ ก็เพราะไมยอมรับผิด ผิดก็ไมยอมรับวาผิด เหน็ ตวั ทาํ อยหู ยกๆ ก็ไมยอมรับ จนติดคุกติดตะรางแลว เวลาถกู ถามยังวา “เขาหาวา ขโมยน้นั ขโมยนี”้ ไปเสียอีก ทั้งๆ ที่ตัวขโมยเอง นค่ี อื ความไมย อมรบั ตามเหตตุ ามผลตาม ความจรงิ นน้ั เอง แมภ ายในจิตใจเก่ยี วกบั เรอ่ื งของตวั โดยเฉพาะก็เหมือนกนั ไมยอมรับ เพราะฉะนน้ั มนั ถงึ ไดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก ถา ยอมรบั ตามหลกั ความจรงิ เสยี สิ่งที่ แสดงข้ึนเปน หลกั ความจริงทงั้ น้ัน ยอ มมกี ารยตุ ิกนั ไดด วยความจรงิ แมเกิดทุกขทางราง กายกไ็ มท าํ ใจใหก าํ เรบิ เพราะความรเู ทา ทนั ตามหลกั ธรรม ทกุ ขเ คยปรากฏภายในรา งกายและจติ ใจเรา ตง้ั แตว นั รเู ดยี งสาภาวะ มา ไมน า ตื่นเตนตกใจ เสยี ใจ จนกลายเปน โรคภายในจติ ขน้ึ มา จติ ตภาวนาจงึ เปน หลกั วิชาความรูร อบตวั ไดดีเย่ียม ผูปฏบิ ตั อิ ยูสม่ําเสมอ จงึ ไมต่นื เตนตกใจเวลาเกดิ ทกุ ขภายในรางกาย และยงั จบั จดุ ของทุกขที่เกิดขึ้นมาพิจารณาแยกแยะตามความจริงของมัน จนเกดิ อบุ ายแยบคายและอาจ หาญชาญชยั ข้ึนมาอยา งนา ชม สาํ คญั ทม่ี กี ารคบคา สมาคมกบั บณั ฑติ นกั ปราชญผ ฉู ลาดแหลมคม ถา เรายงั ไม สามารถชวยตัวเองได กต็ อ งอาศยั ครอู าจารยท า นแนะนาํ สง่ั สอน การไดยินไดฟงอยูบอยๆ ก็คอยซึมซาบเขาไปดวยการไดยินไดฟงนั้นๆ แลว คอยกลมกลนื กนั เขา ไปกับจริตนิสัย จน กลายเปน “จิตมีธรรม” จติ เปน บัณฑิตนกั ปราชญข ึน้ มา ตอไปก็สามารถรักษาตัวได เปน “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” ขึ้นมา ฉะนั้นการใดก็ตามเมอื่ ตนยังไมสามารถ จึงตองอาศัยผูอื่นไปกอน การอยูดวยกัน กับทา นผูดี ยอ มมคี วามสงบสุขกลมกลืนกนั ไปโดยทางจริตนสิ ยั เปน สาํ คัญ จนกลายเปน นิสัยอันดีงามไปได เชน เดยี วกบั การคบคา สมาคมกบั คนชว่ั ทแี รกเราไมไ ดเ ปน คน “ชั่ว” แตเ วลาคบกนั ไปนาน ๆ ก็กลมกลืนกันไปเอง จนกลายเปน คนชว่ั โดยไมร สู กึ ตวั เมื่อชั่ว เต็มทแี่ ลว ยิ่งทําใหมืดมิดปดทวารหนักเขาไป และถือวาตนดียิ่งขึ้น ใครมาพาลไมได ความ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๑
๓๐๒ ดีประเภทนั้นจะโดดออกโรงทันที นค่ี ือความดีของคนชั่ว ซง่ึ เปน ส่งิ ชั่วท่บี ณั ฑิตกลวั กันทวั่ ดินแดน คนชว่ั กบั คนดี ความชว่ั กบั ความดี มันกลบั กันอยา งน้ีแล คนชั่วไมอาจมองเห็น ความจรงิ วา ชว่ั เลยเสกสรรปน ยอขน้ึ มาวา “เราดเี ราเกง เราสามารถ เราเปน เสอื อนั ลอื ชอ่ื กบั เขาคนหนง่ึ ” เปนยงั งั้นไปเสีย ! เพราะฉะนน้ั การคบคา สมาคมกบั ครอู าจารยก บั บณั ฑติ จงึ เปน ความสาํ คญั สาํ หรบั ผู บําเพญ็ เพ่อื เปนคนดี และหวงั ความสขุ ความเจรญิ ใหก บั ตวั เพราะทา นสอนทา นอบรมให บอยๆ กริ ยิ ามารยาทของทา นทเ่ี ราไดเ หน็ อยทู กุ วนั ๆ นน้ั จะซมึ ซาบเขา ไปและบาํ รงุ จติ ใจ เราไปโดยลาํ ดบั ใหยึดเปนคติตัวอยางอันดีไปเรื่อยๆ ทานแสดงออกมาในแงใดก็เปน อรรถเปน ธรรมทงั้ นน้ั ยง่ิ ทา นผสู น้ิ กเิ ลสแลว กย็ ง่ิ หาสง่ิ เปรยี บเทยี บไมไ ด อยา งทา นอาจารยม น่ั เปน ความ แนใ จวา ทา นสน้ิ กเิ ลสแลว ฟงอรรถฟงธรรมของทานมันหายสงสัย โดยที่ทานไมไดบอกวา ทา นสน้ิ นะ ทานไมไ ดบอกวา ทา นเปนพระอรหัตอรหันตอะไรเลย แตทานบอกโดยการ แสดงธรรมของจริงทุกขั้น ใหบรรดาผูไปศึกษาอบรมฟงอยางถึงใจไมสงสัย จึงกลาพูด อยางเต็มปากไมกระดากอายวา ทา นพระอาจารยม น่ั ภูริทัตตเถระ คือพระอรหันตองค สาํ คญั องคห นง่ึ ในสมยั ปจ จบุ นั ทแ่ี สนหายาก เพราะเปน สมยั ท่ีอดอยากขาดแคลนผู ปฏบิ ัตธิ รรมเพื่อความเปนพระอรหนั ต นอกจากจะปฏบิ ตั เิ พอ่ื กาํ จดั ความเปน พระ อรหันต ดว ยการสง่ั สมกเิ ลสจปิ าถะเทา นน้ั ทง้ั ทา นและเรา ไมอาจตําหนใิ ครได ขอยอนกลับมา “เวทนา” อีก การพจิ ารณาทกุ ขเวทนานส้ี าํ คญั มาก ทั้งนี้เพราะได ยินไดฟงจากทานพระอาจารยมั่น ทา นเอาจรงิ เอาจงั มาก เวลาเจบ็ ไขส าํ หรบั พระผปู ฏบิ ตั ิ อยใู นวดั ทา น บางทีทา นเดินไปเองถามวา “ทา นพจิ ารณาอยา งไร?” แลว ทา นกย็ าํ้ ธรรมลง ไปเลยวา “ใหคน ลงไปตรงน้ี มันทุกขที่ตรงไหน จงพิจารณาใหเห็นความจรงิ ของทกุ ข” แลว กส็ อนวธิ พี จิ ารณา “อยาไปถอย ความถอยนั่นแหละคือการเพิ่มทุกข” ทา นวา อยา งนน้ั “ความเปน นกั สู ตอสูดวยปญญานั้นแลเปนสิ่งที่จะไดชัยชนะ คือ รเู ทา ทนั กบั ทุกขเวทนา ซง่ึ เราถอื วา เปน ขา ศกึ อนั สาํ คญั ตอ เรา ความจรงิ เวทนานน้ั ไมไ ดเปน ขาศึกตอ ผใู ด ความรูสึกของเขาไมมี เพยี งเปน ความจรงิ อนั หนง่ึ เทา นน้ั ” ทา นสอน “ใหพ จิ ารณาลงไป ทุกขมากทุกขนอย เราไมตองไปคิดไปคาดหมายมัน ขอให ทราบความจรงิ ของมันดวยปญญาของเรา ใจเราจะไมโกหกเจาของ” ทา นวา ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๒
๓๐๓ กใ็ จเรานแ่ี หละตวั โกหก เพราะผูที่โกหกมันมีอยูกับใจ มนั โกหกใจใหห ลงสําคญั ม่นั หมายไปตางๆ ความโกหกกับความโงมันเชื่อกันงาย ๆ คนฉลาดกับคนโง ความโกหกกับ ความโงมันก็หลอกกันไดงายๆ ความฉลาดของกเิ ลสกบั ความโงของเรามนั เขา กันไดงา ย ธรรมทา นจงึ แยกแยะออกใหพ จิ ารณาจนถงึ ความจรงิ แลว เชอ่ื ดว ยความจรงิ นน้ั แลเปน การไดชยั ชนะไปโดยลําดับๆ แยกแยะใหเ หน็ ทกุ ขซ ง่ึ มเี ปน ประจาํ อยาปลีกหนีไปไหน ทุกขมากทุกขนอยใหพิจารณาอยูที่ตรงนั้น พจิ ารณาอยทู ต่ี รงนน้ั ถาจะจองก็จองอยูที่ตรง นน้ั เมื่อพจิ ารณาสาเหตุของมัน ทุกขเปนมากแคไหนก็ใหคนลงไป คาํ วา “ทุกข” นี้อาศยั อะไรเปนทีต่ ัง้ ทุกขอาศัยกายเปนที่ตั้ง อาศยั ความรสู กึ เปน เหตทุ ี่จะใหท กุ ขกาํ เริบ ความรสู กึ หมายไปตา ง ๆ นานา นน่ั แหละทาํ ใหท กุ ขก าํ เรบิ ขน้ึ ความรสู กึ นต้ี อ งแกด ว ยการพจิ ารณาใหท ราบทง้ั เรอ่ื งของทกุ ข วา เปน เชน นน้ั ทราบทง้ั “ฐานเปนที่เกิดแหงทุกข” เชน รา งกายนส้ี ว นใดกต็ าม จงใหท ราบชดั เจนวา ฐานนน้ั มัน เปนทุกขจริงไหม เชน เปนทุกขในกระดูก ในเนอ้ื ในหนงั สว นใด เนอ้ื หนงั นน้ั เปน เนอ้ื หนงั อยเู ชน นน้ั ทุกข ก็เปนทุกขอยูเชนนั้น แมจ ะอาศยั กนั อยกู เ็ ปน คนละชน้ิ คนละอนั ไมใชอ นั เดียวกนั จติ ผรู ู รบั ทราบสง่ิ นน้ั กเ็ ปน จติ อนั หนง่ึ แตจติ นเ้ี ปน ผหู ลง แลว กไ็ ปสาํ คญั วา นน้ั เปน ทกุ ข นเ้ี ปน ทุกข รวมทง้ั หมดนน้ั เขา มาเปน “ตัว” วา “เรา” ทุกขที่นั่น เราทกุ ขท นี่ ี่ ไมอยากจะให “เรา” เกิดทุกข อยากจะใหทุกขหายไปเสีย ความอยากนก้ี เ็ ปน กเิ ลสอนั หนง่ึ ขน้ึ มาสง เสรมิ จึงเกิดความทุกขความลําบากมากขึ้น ใจกเ็ ปน ทกุ ข ที่เปนทุกขเวทนาทางกายก็เปน ทุกข ทางใจก็กําเริบขึ้นอีกดวยความทุกข เพราะอยากใหเ ปน อยา งใจหวงั กเ็ ลยเสรมิ กนั ขน้ึ ไป นี่เปนความโงของตัวขนทุกขมาทับถมตัวเอง ความฉลาด ตองพิจารณา มองทุกขเวทนาที่มีอยูในใจวา เกิดจากอะไร อาศัยอะไร อยู อาศยั รา งกาย รา งกายสว นใด หรือทุกขมันเกิดอยูที่จุดใด แลวดู “กาย” กับ “เวทนา” มนั เปน อนั เดยี วกนั ไหม ? รปู ลกั ษณะเปน อยา งไรบา ง เวทนาไมม รี ปู ไมม ี ลกั ษณะทา ทางตา ง ๆ ปรากฏแตค วามทกุ ขเ ทา นน้ั สว นรา งกายมรี ปู รา ง มสี สี นั วรรณะ และก็มีอยูของมันอยางนั้นตั้งแตทุกขยังไมเกิด เวลาทุกขเกิดขึ้นมันก็มีอยูเชนนั้น ทกุ ขเ ปน อนั หนง่ึ ตา งหากจากสง่ิ นโ้ี ดยความจรงิ แต อาศยั ความ “วิการของรางกาย” ใหเกิดขึ้นมา จติ กเ็ ปน ผไู ปรบั รู ถา จิตมีปญญาก็ควรรบั ทราบไปตามความจริงของมัน จิตก็ไมกระทบกระเทือน ถาจิตลุมหลงก็ไปยึดสิ่งนั้นเขามา ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๓
๓๐๔ คอื เอาความทกุ ขน น้ั เขา มาเปน “ตน” เปนของตน แลวกอ็ ยากใหทกุ ขทวี่ า เปน ตนเปน ของตนนั้นหายไป นี่แหละที่แยกไมได เมื่อทุกขเขามาเปนตนแลวมันจะแยกออกไดอยางไร ถา เปน แต ทุกขเปน ความจรงิ อนั หนงึ่ ตางหาก รา งกายกเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ตา งหาก ไมใชอนั เดียว กัน ตางอันตางมี ตา งอันตา งจรงิ อยูตามสภาพของตน เมอ่ื ความรเู ปน อยา งนจ้ี งึ จะแยก ได ถา เหน็ ทกุ ขว า เปน “ตน” แลว แยกวันยังค่ําก็ไมออก เพราะยึดถือวา “อนั นเ้ี ปน ตน” แลวจะแยกไดอยางไร เพราะตนไมทาํ การแยกแยะดว ยปญ ญาน่ี ก็ตองถือวาเปน “ตน” อยูอยางนี้ เมอ่ื “ขันธ” กับ “จติ ” กลมกลนื เขาเปน อันเดียวกนั แลวแยกไมได เมอ่ื พยายามใหส ตปิ ญ ญาพจิ ารณาเขา ไปเหน็ ความจรงิ ของมนั แลว วา ตางอันตางอยู ตา ง อันตา งจริง ของใครของเราอยเู ชน นน้ั อยา งซาบซง้ึ เขา ในจติ ใจ ทุกขคอยๆ ระงับลงไป ๆ ทั้งรูเครื่องสืบตอของทุกขที่เขามาเกี่ยวเนื่องกับใจ เพราะมันก็ออกไปจากใจ เมอ่ื พจิ ารณา ทุกขแลว มันก็หดตัวเขามา หดตวั เขา มาจนถงึ “ใจ” เรื่องทุกขเวทนาทั้งมวล มันก็ออกไป จากใจที่ไปหมาย หรอื ทเี่ ปน ทกุ ขเวทนา เพราะมนั มสี ายสมั พนั ธเ กย่ี วเนอ่ื งอยโู ดยทาง “อปุ าทาน” อยางลึกลับ แตเ ราไมท ราบ เวลาพจิ ารณาเหน็ อยา งชดั เจนแลว เราจงึ ไดตามทกุ ขเวทนาเขามา รเู ขา มา ๆ ทกุ ขเวทนาหดเขา มา ยน เขา มาจนกระทง่ั ถึงใจ พอทราบวา ใจนเ้ี องเปน ตวั ไปกอ “อุปาทาน” ขึ้นมา แลว ใหจ ติ ถอื วา เปน “ตน” จึงเกิดความทุกขขึ้นมากมาย พอทราบ อยา งนแ้ี ลว ทุกขก็ระงับดับลงไป อกี ประการหนึ่ง พอทราบเชน น้ี ทุกขกจ็ ริง แตใจไมไปยึด ถึงทุกขจะไมดับก็ตาม เร่ืองจติ กเ็ ปนจิต ไมสืบตอกับดวยอุปาทาน ตางอนั ตางจรงิ นเ่ี รยี กวา “จติ เปน ตวั ของ ตัว” มคี วามรม เยน็ เปน สขุ และรอบคอบอยภู ายในตวั ในทา มกลางแหง ความทกุ ขข อง ขนั ธ น่ชี ่อื วา “รจู ติ วา เปน ของจรงิ อนั หนง่ึ เชน เดยี วกับขันธท ง้ั หลายเปน ของจริงแตละ อยาง นส่ี าํ หรบั ผกู าํ ลงั ดาํ เนนิ ปฏปิ ทา กาํ ลงั ดาํ เนนิ เพอ่ื รเู ทา ทนั “ขนั ธห า ” มีทุกขเวทนา เปน สาํ คญั แตส าํ หรบั ทา นผเู ขา ใจโดยตลอดจนถงึ กบั เปน “อกุปปจิต อกุปปธรรม” ไมม กี าร กําเรบิ เปน อน่ื ตอไปแลวนน้ั ” ทานไมม ีปญหาอะไรเลย จะเปนทุกขมากทุกขนอยไมเปน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๔
๓๐๕ ปญหาทั้งสิ้น เพราะจติ ทา นจรงิ อยตู ลอดเวลา ไมม เี วลาไหนทจ่ี ติ ของทา นซง่ึ บรสิ ทุ ธแ์ิ ล วจะกลายเปน เศรา หมอง จะกลายเปน โลกขน้ึ มา ไมมีทางเปนไปได เพราะฉะนน้ั อาการ แหงขันธจะแสดงขึ้นมาอยางไร ทา นจงึ ทราบตามหลกั ธรรมชาติ ขันธนนั้ ก็ปรากฏขึ้นตาม หลกั ธรรมชาติ ดับไปตามธรรมชาติ หรือตั้งอยูตามธรรมชาติ แลวดับไปตามธรรมชาติ จติ ก็รูตามธรรมชาติของตนโดยไมตองบังคับบัญชากันแตอยางใด จติ ของทา นผรู รู อบขอบ ชิดโดยตลอดทั่วถึงแลวเปนอยางนี้ สว นเรากาํ ลงั พจิ ารณาขนั ธ ก็เพ่อื จะทราบและถอยเขามาเปนลําดบั แมว าจะไมเปน อยา งนน้ั ในระยะทก่ี าํ ลงั ดาํ เนนิ จะยังไมสมหวังก็ตาม แตก ารพจิ ารณา “ทุกข” ทง้ั หลาย กเ็ พอ่ื แยกจติ ออกจากทกุ ข ไมไปพัวพันในทุกข และไมถือมั่นทุกขวาเปนตน ขณะที่ทุกข เกิดขึ้นมากหรือนอย ไมใหไปกวานเอาทุกขนี้มาเปนตน ซ่งึ เทากบั เอาไฟมาเผาตน ก็ สบาย! เพราะฉะนน้ั ทกุ ขจ งึ เปน หนิ ลบั ปญ ญาไดด ี ทุกขจะเกิดขึ้นมากนอย จงกาํ หนดสติ ปญญาจองอยตู รงนน้ั แลว ยอ นคนื มาสจู ติ และ ขยายความรอู อกไปหาเวทนาออกไป หากาย ซง่ึ เปน คนละสดั ละสว นอยแู ลว กายกเ็ ปน สว นหนง่ึ เวทนาเปน สว นหนง่ึ จิตเปน สว นหนง่ึ ถอยไปถอยมา ดว ยการพจิ ารณาทางปญ ญา จนเปน ทเ่ี ขา ใจและทราบซง้ึ ใจจรงิ ๆ วา “ขนั ธแ ตล ะ อยา ง สกั แตวา .........เทา นน้ั ” ไมปรากฏวาเปนอะไร เชน เปน เรา เปน ของเรา เปน ตน เปน เพียงความจริงแตละอยางทป่ี รากฏอยเู ทา นน้ั เมื่อเขา ใจประจกั ษเ ชน นี้ ใจยอ มเปน ตัวของตัวโดยอิสระในขณะนน้ั และรูประจักษวาทั้งขันธทั้งจิตตางอันตางจริง ไมกระทบ กระเทอื นกนั แมข ณะจะตาย ใจกจ็ ะรทู นั เหตกุ ารณจ าํ เพาะหนา ไมสะทกสะทานตอทุกขเวทนา และความตาย เพราะจติ แนใ จวา “จติ เปน จติ ” คอื เปน คลงั แหง ความรู ขันธแตละขันธ เปน เพยี งอาการหนง่ึ ๆ เทา นน้ั จิตจึงไมกลัวตาย เพราะความแนใ จตวั เองวา จะไมไ ปลม จม ที่ไหน แมย งั ไมถ งึ ขน้ั สน้ิ กเิ ลสโดยสน้ิ เชงิ กต็ าม แตจิตไดฝกหัดตนดวยสติปญญากับ ขนั ธท ง้ั หลายจนเกรียงไกรอยแู ลว คอื จติ อยูกบั สัจธรรม อยูกับ “หินลับปญญา” ปญญาจะ กระจายกําลังแผกวางออกไป ใจจะผองใสและองอาจกลา หาญเปน ลําดับ เพราะปญ ญาเปน เครื่องซักฟอก แมค วามดบั จะมขี น้ึ ในขณะนน้ั ก็ไมมีปญหาอะไร! ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๕
๓๐๖ ประการหนง่ึ ถาเรามสี ตปิ ญญา พจิ ารณาทุกขเวทนาอยา งไมถอยหลงั จนเปน ทเ่ี ขา ใจแลว แมขณะจะตายจริงๆ กจ็ ะทราบวา ทกุ ขเวทนานจ้ี ะระงบั ดบั ไปกอ น แตจ ติ จะไม ดับ จะถอยตวั เขา มา รตู วั อยภู ายในตนโดยเฉพาะ แลว ผา นไปในขณะนน้ั คาํ วา “เผลอ สต”ิ ไมม สี าํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ถิ งึ ธรรมขน้ั น้ี จงึ เปน ทแ่ี นใ จวา ผมู สี ติ แมจ ะยงั ไมส น้ิ กเิ ลส ยอมจะทราบชัดในขณะที่ทุกขเวทนาเกิดขึ้นเต็มที่ จนขนั ธจ ะทนอยไู มไ ดแ ลว จะสลายตวั ไปจะตาย จติ ถอนตวั ออกจากนน้ั มาสคู วามเปน จติ คือเปนตัวของตัวแลวผานไป นเ่ี ปน ธรรมขน้ั สงู ละเอยี ดมาก ! ฉะน้ันนักปฏบิ ตั ิทีเ่ ด็ดเดีย่ วอาจหาญเพอื่ รธู รรมทุกขั้น จึงมักพจิ ารณาทกุ ขเวทนา อยา งเอาจรงิ เอาจงั บทเวลารกู ร็ อู ยา งถงึ ใจ และถือทุกขเวทนาเปนตน เปน สจั ธรรม เชน เดยี วกบั ทท่ี า นสอนวา “สัตวทั้งหลายเปนเพื่อนทุกข เกิด แก เจบ็ ตาย ดวยกัน” ฉะนั้น ดว ยเหตนุ ก้ี ารพจิ ารณาขนั ธเ พอ่ื รตู ามความเปน จรงิ จงึ ไมค วรหกั หา มตา นทาน ความจรงิ เชน รางกายทนไมไหวก็ปลอยไป ไมควรหวงไว เวทนามันก็ไปของมันเอง น่ี เรยี กวา “สุคโต” นแ่ี หละการพจิ ารณาจติ การปฏิบัติตอใจที่ไดผลประจักษ สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ทิ า น ปฏิบัติดังกลาวมา เมื่อถึงคราวจวนตวั จรงิ ๆ แลวไมหวังพึ่งใครทั้งนั้น ไมวาพอแม พี่ นอง ญาติมิตร เพื่อนฝูง ใครตอใคร ไมพึ่งทั้งนั้น ตอ งถอยจติ ออกมาจากสง่ิ ทเ่ี กย่ี วขอ ง พวั พนั ทง้ั หลาย เขา มาสจู ดุ สาํ คญั ทก่ี าํ ลงั ตะลมุ บอนกนั อยู เวลานใ้ี หถ อื “เวทนา” นแ่ี หละสาํ คญั ในการพิจารณาในขณะทจี่ ะแตกจะดบั ไม ยอมถอย เปน อยา งไรเปนกนั ! ขอใหรู ใหเ ขา ใจเรอ่ื งนเ้ี ทา นน้ั ไมตองไปคิดวา การ พจิ ารณา “ทุกขเวทนา” อยา งชลุ มนุ วนุ วายน้ี แลวเวลาตายท้ังท่ีจิตกําลังยงุ อยูอยา งน้ี จะไม ไปสู “ทุคติ”หรอื ? จะไปทุคติที่ไหน ! วนุ กว็ นุ กบั งานอนั ดอี นั ชอบธรรมน่ี วนุ โดยทร่ี ู หรอื วนุ เพอ่ื รู ดว ยความรนู ่ี ไมใ ชว นุ เพราะหลงน้ี ใจจดจอ งพจิ ารณาคน ควา อยทู ท่ี กุ ขเวทนานน่ั เวลาจะ ไปจรงิ ๆ ใจรนู ่ี ผมู สี ตทิ า นรู ใจถอยปบ เขา มาทนั ที คือปลอยงานที่กําลังทํานั้นทันที แลว ถอยพบั เขา มาสตู วั ของตวั เปนตัวของตัว คอื จติ ลว นๆ แลว ผา นไปเลยแบบ “สคุ โต” เต็มภูมิของผูปฏิบัติ แมจ ะยังไมส ิน้ กิเลสกต็ าม กเ็ รียกวา “มกี าํ ลงั เตม็ ตวั เตม็ ภมู ขิ องตวั ตามขน้ั ของจติ ของธรรม” การพจิ ารณา จติ ตภาวนาจงึ เปน เรอ่ื งสาํ คญั มาก และพึ่งเปน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๖
๓๐๗ พึ่งตายตัวเองไดจริงๆ ไมตองหวังพึ่งใครทั้งนั้น เปน ทแ่ี นใ จภายในตวั เอง สติปญญามี กําลังเพียงใด ใจรภู ายในตวั เอง ไมตองไปถามใคร ถา ใจสามารถพจิ ารณาจนกระทง่ั ผา นไดใ นขณะนน้ั ทุกสิ่งทุกอยางหายสงสัยไมมี ปญ หาอะไรเลย เราจะมวั คดิ วา เราเปน ผหู ญงิ เราเปน ฆราวาส เราไมส ามารถจะทาํ พระ นิพพานใหแจงได นน้ั เปน ความสาํ คญั ผดิ ของเรา ซงึ่ เปนเร่ืองของกิเลสประเภทหน่งึ หลอกเราเหมอื นกนั ธรรมเปน ของจริง และเปน สมบตั ิกลางเสมอกนั ไมว า ผหู ญงิ ผชู าย ไมว า นกั บวช ฆราวาส สติปญญามีไดดวยกัน แกกิเลสไดดวยกัน เมื่อพอใจจะแกกิเลสไดดวยวิธีใด ของ หญิงใด ชายใด ฆราวาสใด พระองคใดก็ตาม สามารถแกไดดวยกัน และพนไปไดดวยกัน ไมต อ งไปสรา งปญ หากวนใจใหเ สยี เวลาํ่ เวลา เรามอี าํ นาจวาสนามาจากไหน นนั่ อยาไปคิด เรากาํ ลงั สรา งบญุ วาสนาอยนู ่ี มากหรือนอย กเ็ หน็ อยกู บั จติ นแ่ี หละ จงพจิ ารณาดตู วั เรา มันโงที่ตรงไหน พยายามสง่ั สมความฉลาด คือสติปญญาขึ้นมา จึงเปนความถูกตองตามหลักธรรมของพระพุทธเจาแท ทน่ี าํ มาตาํ หนติ นวา เขาอยใู นชน้ั นน้ั ชน้ั น้ี สว นเราไมม ชี น้ั มภี มู กิ บั เขา ไปที่ไหนคน นน้ั แซงขน้ึ หนา เรา คนนแ้ี ซงขน้ึ หนา เรา ใครจะมาแซงหนา เรา นอกจากกเิ ลสมันแซงหนา หลอกเรา ใหน อ ยเนอ้ื ตาํ่ ใจวาสนานอ ยตา งหาก นน่ั เปน ความสาํ คญั ผดิ ไปตา งหากใหเ รา เกิดทอถอยนอยใจตัวเอง เพราะกเิ ลสหาอบุ ายฆา โดยไมร สู กึ ตวั เราอยา ไปคดิ อยา งนน้ั เรามวี าสนาเตม็ ตวั ทกุ คน ทําไมจะไมเต็มตัว เราเปน นกั ปฏิบัติ เราเปน นกั บาํ เพญ็ บญุ สนุ ทานอยดู ว ยกนั วาสนาไมไดเปนสิ่งของออกมาวางตลาด รานคาพอจะประกาศแขงขันกัน วาสนามอี ยูกบั ตัวดวยกันทุกคน ทานไมใหประมาทกัน ดว ยเรอ่ื งอาํ นาจวาสนา แมแตสัตวทานก็ยังไมใหประมาทเขา คิดดูซี เพราะวาสนามอี ยภู าย ในจิตใจของสัตวของคนดวยกัน การแกก เิ ลส กไ็ มต อ งไปคดิ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา เปน การทาํ ลายกาํ ลังใจของตัว ความ มุงมั่นของตัวใหดอยลงไป ดว ยความคดิ วา “เราเปน ผหู ญงิ ” เปลา ๆ เราเปน ผชู ายเปลา ๆ เราเปน นกั บวชเปลา ๆ หรอื เปน ฆราวาสเปลา ๆ ไมม ีมรรคผลตดิ ตัวบา งเลย คนอน่ื เขามี กัน แตเ ราไมม ี อายเขา ดังนี้ นน่ั เปน ความคดิ ผดิ ซง่ึ จะทาํ ใหเ ราเองเสยี กาํ ลงั ใจในการ บาํ เพญ็ กศุ ลตา ง ๆ สวนความคิดที่ถูกตองคือ เวลานเ้ี รากาํ ลงั ทาํ ความเพยี รดว ยสติ ดวยปญญา เพื่อแก กเิ ลส และเพื่อพอกพูนกุศลผลบุญใหมากมูนขึ้นไปโดยลําดับ ซง่ึ เปน การสรา งบารมโี ดย ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๗
๓๐๘ ตรงอยูแลว เรามวี าสนาเกดิ มาในทา มกลางแหง พระพทุ ธศาสนา ไดบ าํ เพญ็ วาสนาบารมี เตม็ ความสามารถเรอ่ื ยมาจนบดั น้ี ดังนี้ ผูหญิงก็มีสติปญญาไดเชนเดียวกับผูชาย เพราะผหู ญงิ ผชู ายมีกิเลสดวยกนั การแก กิเลสก็แกดวยสติดวยปญญา มคี วามเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ ดว ยกนั กิเลสมีอยูที่ไหน ก็มีอยู ที่ใจดวยกัน เมื่อสติปญญาสมบูรณพรอมเมื่อใด เปนผานไปไดดวยกัน ไมมีปญหาวาจะตองเปน นกั บวช นค่ี อื ความจรงิ แหง “สจั ธรรม” ที่ ไมเ ลอื กชาตชิ น้ั วรรณะ บรรดาทเ่ี ปน มนษุ ยแ ลว ไมเลือกเพศหญิงเพศชาย ขอใหบําเพ็ญไปเถิด เพราะธรรมเปน กลาง ๆ ฟงไดเขาใจได ดว ยกนั ทง้ั ผหู ญงิ ผชู ายทง้ั นกั บวชและฆราวาส ปฏิบัติได แกกิเลสได กเิ ลสจะไมน ยิ มวา เปน หญงิ เปน ชาย คนเรามกี เิ ลสดว ยกนั แมแ ตพระที่เปนนกั บวชก็มกี ิเลสจะวา ยังไง! ทา นจงึ ตองแกของทาน ถาไมแกก็นอนจมอยูกับกิเลส เชน เดยี วกบั คนทว่ั ๆ ไปที่ไมสนใจ “ ธรรม” นน้ั แล หรือยิ่งกวาคนทั่วไปก็ได ธรรมจงึ ไมสําคัญวา ตอ งเปน นักบวชถา ยเดยี ว มนั สาํ คญั ทจ่ี ะแกก เิ ลสดว ยความ พากเพียรซ่งึ เปนสง่ิ สําคัญมาก เราจะตอ งสนใจในจดุ นใ้ี หม าก สวนความพนทุกข พนที่ไหน พนในที่ที่มีทุกขนั้นแล แกกิเลสไดก็พนทุกข ถาแกไม ได จะเปนเพศไหนก็ตองเปนทุกขอยูดวยกัน นแ่ี หละพระศาสนาอยทู จ่ี ติ ใจ ไมไดอยูที่อื่น ๆ ถาทําใหอาภัพก็อาภัพได ทจ่ี ติ เรา นน้ั แหละ จะเปน นกั บวชหรอื ฆราวาส ก็อาภัพไดทั้งนั้นถาทําตัวเปนผูอาภัพ จะทาํ ให ศาสนารงุ เรอื งภายในใจกท็ าํ ได ศาสนาเจรญิ เจรญิ ทไ่ี หน ก็เจริญที่ใจไมไดเจริญที่อื่น สาํ คญั ทใ่ี จ สาํ คัญท่ีการปฏิบตั ขิ องคนเรา กิริยามารยาทที่แสดงออก เมอ่ื ใจเจรญิ แลว อาการนน้ั ๆ กเ็ จรญิ ไปดว ยความสวยงามนา ดนู า ชม เฉพาะอยางยิ่งจิตใจ มคี วามเจรญิ รงุ เรอื งภายในตวั มีสติ มปี ญญาเปน เคร่อื งรักษาตัวอยเู สมอแลว เรยี กวา “ใจมคี วามเจรญิ ” กิเลสไมคอยจะมาทําลายได นแ่ี หละ “ศาสนาเจรญิ ” เราพยายามพจิ ารณาแกไ ปโดยลาํ ดบั คาํ วา “กเิ ลส ๆ” นะ ไมมีกวางไมมีแคบ ไม มีมากมีนอยเกินขอบเขตแหงการแกการถอดถอนของเรา มอี ยใู นดวงใจนเ้ี ทา นน้ั จง พจิ ารณาลงไปทน่ี ่ี ไมว า ผหู ญงิ ผชู าย นกั บวชหรอื ฆราวาส กเิ ลสตวั เศรา หมองมอี ยใู นใจ ดวยกัน หนาแนน ขนาดไหน คิดดูก็รูได เชน ความมดื มันเคยมืดมาตั้งกัปตั้งกัลปก็ตาม พอเปดไฟขึ้นเทานั้นความมืดก็หายไปหมด ความมืดไมเหน็ เอาอะไรมาอวดวา “ขา เคยมดื ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๘
๓๐๙ มาตั้งกัปตั้งกัลปแลวนี่ เพียงไฟนี้จะมาเปดไลความมืดของขาออกไปนั้น มันเปนไปไมได” ไมมีทาง ดังนี้ แตเมื่อเหตุผลพรอมแลวความมืดตองหายไปหมด ความสวา งเกดิ ขน้ึ แทนท่ี แมค วามมืดจะเคยมดื มาต้ังกปั ตั้งกัลป กห็ ายไปหมดในขณะนน้ั กเิ ลสมนั จะหนาแนน เพยี รไร และเคยเปน เจา ครองใจมานานกต็ าม ขอใหพ จิ ารณา ทางดานสติปญญาดวยดี เมอ่ื สตปิ ญ ญาสามารถแลว กร็ อบตวั ทนั ที กเิ ลสแมจ ะเคยอยใู น จิตใจเรามาตั้งกัปตั้งกัลป ก็สลายตัวลงไปทันที เชน เดยี วกบั ความมดื ทเ่ี คยมอี ยนู น้ั แล พอ ตามไฟขน้ึ ความมดื กห็ ายไป ความสวางกเ็ กิดข้นึ แทนท่ีดว ยอํานาจของสตปิ ญญาภายใน จติ กส็ วา งจา ดว ย “ ธมโฺ ม ปทีโป” เปน ธรรมประทปี ในขณะนน้ั มีเทานีเ้ ปน จดุ สําคัญทจ่ี ะตองพิจารณา เอาใหเ หน็ ศาสนาอศั จรรย อศั จรรยท ไ่ี หน? ศาสนาเจรญิ เจรญิ ทไ่ี หน ? ทท่ี า นวา “พนทุกข” พนที่ไหน? กม็ อี ยทู ใ่ี จนเ้ี ทา นน้ั !ขยาย ออกมากเ็ ปน สจั ธรรม ทุกข สมทุ ยั นิโรธ มรรค (๑) ทุกข เรากท็ ราบวา ทกุ ข เพราะเราไมใ ชค นตาย (๒) สมทุ ยั เปน สง่ิ ทจ่ี ะสง เสรมิ หรือผลิตทุกขใหเกิดขึ้น มอี ะไรบา ง ? ทานก็สอน วา “นนทฺ ริ าคสหคตา ตตฺร ตตรฺ าภนิ นฺทินี,เสยยฺ ถที ํ กามตณหฺ า ภวตณหฺ า วภิ วตณหฺ า.” เปน ตน เรากท็ ราบ อะไรทีม่ ันรักมันใคร รกั ใครใ นสง่ิ ใดบา ง เราพยายามแกไ ขมนั รกั ใคร ในขนั ธห า เฉพาะอยา งยง่ิ ในขนั ธห า วา เปน “ตวั เรา” นแ้ี ล จงพยายามรเู ทา ทนั มนั โดย ลาํ ดบั แลวยังมรี กั ใครอะไรอกี รกั ใครใ นจติ ติดในจิต สงวนในจติ ก็แกในจิต มันรักที่ตรง ไหน นน่ั แหละคอื ตวั กเิ ลสมนั อยตู รงนน้ั แกเขา ไป ๆ จนกระทั่งถึงความจริงแลว ใจกไ็ ม รักไมชัง เพราะหมดแลว ! กิเลสหมดไปแลว ความรกั ความชงั ความเกลยี ด ความโกรธ มันไมมี ใจเปน หลกั ธรรมชาตภิ ายในตวั ลว นๆ นั่นแหละเปนธรรมชาติที่ตองการแท ! (๓) การพจิ ารณาเพอ่ื ธรรมน้ี ก็คือ มรรค มี สติ ปญ ญา เปน สาํ คญั (๔) นิโรธ ก็คือ ความดบั ทกุ ขนั่นเอง ดบั ไปเปน ลาํ ดบั ๆ จนกระทั่ง “มรรค” มี ความสามารถเตม็ ทแ่ี ลว นโิ รธ ก็ดับทุกขทั้งมวลภายในใจไมมีเหลือ ขณะทีน่ โิ รธทําการดับ ทุกขสิ้นสุดลง อะไรที่รูวาทุกขดับไป กเิ ลสดบั ไป อะไรที่รูรูนั้นแล คอื ผบู รสิ ทุ ธ์ิ ผบู รสิ ทุ ธน์ิ ้ี แลทน่ี อกจาก “สจั ธรรม” ไป เปนธรรมวเิ ศษอศั จรรย ! “สจั ธรรม” นน้ั เปน กริ ยิ า เปน อาการ เปนสมมุติ “นิโรธ” ก็เปนสมมุติ และเปนกริ ิยาทด่ี ับทกุ ข เปนสมมุติ ทุกขดับ ไปหมดแลวไมมีอะไรเหลือ เหลอื แตค วามรทู บ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ นั่นไมใช “สจั ธรรม” นน่ั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๐๙
๓๑๐ คอื ความบรสิ ทุ ธข์ิ องจติ ถา จะเรยี ก “นพิ พาน” ก็เรียกได เรียกอะไรก็ไมขัดทั้งนั้น เมื่อถึง ขั้นไมขัดแลว ไมขัดไมแยงใครทั้งหมด ตัวเองก็ไมแยง อะไรก็ไมแยง รูเทา ทันทกุ ส่ิงทกุ อยาง พูดไปไดทั้งนั้นไมมีปญหาอะไรเลย ขอใหร ธู รรมวเิ ศษอศั จรรยน เ้ี ถดิ ความเลศิ หากเปนเองไมตองเสกสรร นแ่ี หละศาสนาแท จงคนที่ตรงนี้ คนลงไป การปฏบิ ตั ศิ าสนา เวลารกู ม็ ารอู ยทู ต่ี รง น้ี ศาสนาเจรญิ เจรญิ ทน่ี ่ี พระพุทธเจาทรงสอนใหสัตวโลกพนจากทุกข ทานก็สอนลงที่นี่ และพนที่นี่ไมไดพนที่ไหน เรากเ็ ปน สตั วโ ลกชนดิ หนง่ึ และอยใู นขายแหงโอวาทคําส่ังสอน ของพระพุทธเจา อยูในหมูแหงพุทธบริษัท เปนผูมีสิทธิ์ดวยกันในการปฏิบัติการถอดถอน กิเลสใหพนจากทุกข ในบรษิ ทั ๔ นี้มีสิทธิ์ดวยกันทั้งนั้น ทจ่ี ะทาํ ตนใหแ จง ถงึ พระนพิ พาน ได ขอใหพนิ จิ พิจารณาทาํ ความกลาหาญตอ สกู ับส่งิ ท่ีควรตอสูภายในจิตใจของตน สง่ั สมความกลา หาญ สั่งสมสติปญญาขึ้นใหเพียงพอ และหาอบุ ายคดิ คน ตา ง ๆ ใหเกิดขึ้น จากตัวเอง การคดิ คน เองนแ้ี ลเปน ทช่ี อบธรรม เปนสมบัติของตนแท ครบู าอาจารยท า น หยบิ ยน่ื ใหเ ปน ชน้ิ เปน อนั นเ้ี ปน สว นหนง่ึ ตา งหาก พอเปนเงื่อนหรือพอเปน แนวทาง นาํ ไป พินิจพิจารณาใหแตกแขนงกวางขวางออกไป กลายเปน สมบตั ขิ องเราขน้ึ มา อันธรรมใดท่เี ปน สมบัตซิ ่ึงเกดิ ขนึ้ มาดวยอุบายของเราน้นั เปนสมบตั ขิ องตนแท กินไมหมด หากคิดหากคนไปไดรอยสันพันคม ในการถอนถอดกิเลสชนิดตางๆ กระทั่ง กเิ ลสหลดุ ลอยไปเพราะอบุ ายของเราเอง โดยอาศยั อบุ ายแงต า ง ๆ ทค่ี รบู าอาจารยห ยบิ ยน่ื ใหน น้ั เปน ตน ทนุ นแ้ี ลเปน ธรรมของเราแท เกิดขึน้ มามากนอยเปนธรรมของเราทง้ั ส้นิ เรยี นจากตาํ รบั ตาํ รากเ็ ปน ของพระพทุ ธเจา เราหยบิ ยมื ทา นมาจากครบู าอาจารย ก็หยิบ ยืมทานมา เวน แตใ นขณะทท่ี า นแสดงธรรม เราเขา ใจในธรรมนน้ั แกกิเลสไปในขณะน้ัน ก็ เปนสมบตั ขิ องเราในขณะทฟ่ี ง ตอ จากนน้ั เรากน็ าํ อบุ ายของทา นไปพจิ ารณาใครค รวญ แตกแขนงออกดวยปญญาของเราเอง เปน สมบตั ขิ องเรา ทั้งฝายเหตุ คือ การพนิ จิ พจิ ารณา ทั้งฝายผล คือท่ีเราไดรับเปนท่ีพงึ พอใจโดยลําดบั ๆ จนกระทั่งถึงความพนทุกข นน่ั เปน ผลของเราลว น ๆ มีอยูกับเรา ไมม ผี ใู ดมาแบง สนั ปน สว นเราไดเ ลย นแ่ี หละความเลศิ เลศิ ขน้ึ ทน่ี ่ี ไมไดเลิศที่ไหน เพราะฉะนน้ั จงพยายามหาความ เลศิ ความประเสรฐิ ซึ่งมีอยูในตัวของเรา ดว ยการขวนขวายบาํ เพญ็ ความรนู แ้ี ล ไมใชสิ่ง อน่ื ใดทจ่ี ะเปน ความเลศิ ประเสรฐิ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๑๐
๓๑๑ แตเวลานี้ใจถูกสิ่งสกปรกโสมมหาคุณคาไมไดปกคลุมอยู จึงกลายเปนของไมมีคุณ คา เทา ทค่ี วรจะเปน เวลานเ้ี รากาํ ลงั สาํ รอกปอกกเิ ลสประเภทตา งๆ ออกโดยลําดับๆ เมอ่ื ปอกเต็มกําลังจนหมดไมมีในดวงใจแลว ใจก็บริสุทธิ์เต็มภูมิ ความเลศิ ปรากฏขน้ึ มาในใจ ดวงนแ้ี ล ความเลศิ จงึ เลศิ ทต่ี รงนแ้ี หละ ไมตองไปหาอะไรที่ไหนอีก เพราะถงึ “เมืองพอ” อยา งเตม็ ภมู ิแลว เอาละ ขอยุติ <<สารบัญ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๓๑๑
๓๑๑ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ พิจารณาทุกขเวทนา คนเราเหมอื นกบั ตนไม ถา รดนํ้าใหปุยอยเู รื่อย ๆ บํารุงอยูโดยสม่ําเสมอ กม็ ี ความสดชื่นดี และเตบิ โตขนึ้ เรว็ กวาปกตธิ รรมดา ที่ทิ้งไวตามบุญตามกรรมไมบํารุง รักษา จติ ใจเมอ่ื บาํ รงุ รกั ษาโดยสมาํ่ เสมอกม็ คี วามผอ งใส มคี วามสงบเยือกเย็นเปน ลาํ ดบั ๆไป ถาขาดการอบรมก็เหมือนตนไมที่ขาดการบํารุง ขาดการอบรมในระยะใด ก็ แสดงความอับเฉาเศราหมองขึ้นมา เพราะสง่ิ ทจ่ี ะทาํ ใหอ บั เฉาเศรา หมองมนั มแี ทรกอยู ภายในจติ ใจของคนเราอยแู ลว การบํารุงรักษาดวยจิตตภาวนาโดยสม่ําเสมอ จติ จะมคี วามสงบเยน็ ขน้ึ เรอ่ื ย ๆ เม่ือจติ มีความสงบ ความสงบกบั ความผอ งใส กเ็ รม่ิ เปน ไปในระยะเดยี วกนั เมื่อจติ มี ความสงบ เราจะพจิ ารณาไตรตรองอะไรก็ไดเหตุไดผล พอเขา อกเขา ใจตามความจรงิ ทง้ั หลายทปี่ รากฏข้ึนทงั้ ภายนอกและภายในตวั เอง หากจติ กาํ ลงั วา วนุ ขนุ มวั อยู จะคดิ อะไรก็ไมไดเรื่องทั้งนั้นแหละ ถกู ก็เปนผดิ ไป ผิดก็ยิ่งเปนผิดไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นทานจึงสอนใหอบรม เพอ่ื จติ จะไดม คี วามสงบรม เยน็ และผอ งใส มองเห็น เงาของตัว ราวกบั นาํ้ ทใ่ี สสะอาด มองลงไปในน้ํา มขี วากมหี นาม มสี ตั วอ ะไรอยใู นนาํ้ ก็ เห็นไดชัด แตถ า นาํ้ ขนุ มองลงไปกไ็ มเ หน็ ไมว า จะเปน ขวากเปน หนาม เปนสัตวหรือ อะไรอยใู นนาํ้ นน้ั เราไมส ามารถท่จี ะเหน็ ไดเ ลย จิตใจก็เชนเดียวกัน เมอ่ื กาํ ลงั ขนุ มวั อะไรทแ่ี ฝงอยภู ายในจติ ใจมากนอ ย ไม สามารถที่จะมองเหน็ โทษของมนั ได ทั้งๆ ที่มนั เปนโทษอยูภายในจิตใจของเราตลอด มา เพราะจติ ใจไมผ อ งใส จติ ใจขนุ มวั ไปดว ยอารมณอ นั เปน ตมเปน โคลน จึงพิจารณา ไมเ หน็ จงึ ตอ งอบรมจิตใหม คี วามผองใส แลว กเ็ หน็ “เงา” ของตัว “เงา” นน้ั มนั แฝงอยภู ายในจติ คืออาการตางๆ ที่แสดงออกจากจิตนั่นแหละ ทานเรียกวา “เงา” แลว ทาํ ใหเ ราหลงตดิ อยเู สมอในเงาของเราเอง ซึ่งไปจากความคิด ความปรงุ ตา งๆ ที่เปนไปโดยสม่ําเสมอ และออกจากจิตอยทู กุ เวลาํ่ เวลา ทําใหเรา เผลอตัวไปเรื่อย ๆ เขา ใจวาสงิ่ นีก้ ็เปนเรา สิ่งน้ันก็เปน เรา อะไร ๆ ก็เปนเราไปหมด ทั้ง ๆ ทเ่ี ปน “เงา”ไมใชตัวจริง ! แตค วามเชอ่ื ถอื หรอื ความหลงตามไปนน้ั มันกลาย เปน “ตวั จรงิ ” ไปเสีย จึงเปนผลขึ้นมาใหเราไดรับความเดือดรอน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๑
๓๑๒ เวลานค้ี รบู าอาจารยท ง้ั หลายผเู ปน ทเ่ี คารพบชู า และเปน หลักทางดานปฏบิ ตั ิ และทางดา นจติ ใจ กน็ บั วา รอ ยหรอลงไปโดยลาํ ดบั ทย่ี ังมีชีวิตอยู แมแ ตตัวทานเองกไ็ ม สามารถจะชวยตัวทานได เกีย่ วกับเรอื่ งธาตเุ รอื่ งขันธชํารุดทรดุ โทรมลงไปเปนลําดบั ลาํ ดา อยา งทา นอาจารยข าว เปนตน เหน็ แลว กร็ สู กึ สลดสงั เวชเหมอื นกนั เรือ่ งธาตุเรอ่ื งขนั ธเมื่อถึงเวลามัน “เพียบ” แลว ก็เหมือนกับไมเคยแข็งแรง เปลง ปลง่ั อะไรมากอนเลย นอนอยูก ็เปนทกุ ข นง่ั อยกู เ็ ปน ทกุ ข อยใู นอริ ิยาบถใดๆ ก็ เปนทุกข เมอ่ื ถงึ คราวทกุ ขร วมตวั กนั เขา มาแลว ในขนั ธ เปน ทกุ ขก นั ทง้ั นน้ั แตพูดถึง ทา นผเู ชน นน้ั ก็สักแตวาเปนไปตามธาตุตามขันธ ทางดา นจติ ใจทา นไมม ปี ญ หาอะไร กบั เรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธท แ่ี สดงตวั ตา ง ๆ เลย แตส าํ หรบั พวกเรานน้ั นะ มันคอยตอนรับกันอยูเสมอ ไมว า ทางดา นจติ ใจแสดง ออก ไมวาทางธาตุขันธแสดงออก วปิ ริตผิดไปตา ง ๆ นานา จติ กผ็ ดิ ไปดว ย เชน ธาตุ ขันธวิกลวิการ จติ กว็ กิ ลวกิ ารไปดว ย ทั้ง ๆ ทจ่ี ติ กด็ อี ยนู น่ั แหละ ทง้ั นก้ี เ็ พราะความหวน่ั ไหวของจิตนี่เอง เน่ืองจากสตปิ ญญาไมท นั กับอาการตางๆท่ีมอี ยรู อบตวั รอบจิต ทา นจงึ สอนใหอ บรม “สติปญญา” ใหม คี วามสามารถแกลว กลา ทนั กับเหตุ การณต า ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในจติ และอาการตาง ๆ ที่มีอยูรอบตัว ไดแกขันธแสดงตัว ออกเปน อาการวปิ รติ ในสว นตา ง ๆ ใหร เู ทา ทนั กบั สง่ิ เหลา นน้ั ถา จติ ไมร เู ทา ทนั เสยี อยางเดียว หรือจิตหลงไปตามสิ่งเหลา นน้ั เสียอยา งเดยี วเทาน้ัน กช็ อ่ื วา “เปน การกอ ทกุ ขใ หต วั เองอยไู มห ยดุ ไมถ อย” ความทุกขก ็ตอ งทับถมเขามาทางจติ ใจ แมร า งกายจะ เปน ทกุ ขต ามเรอ่ื งของมนั ในหลกั ธรรมชาตกิ ต็ าม แตใ จกต็ อ งไป “ควา เอาสง่ิ นน้ั ” มา เปนทุกขเผาลนตนเอง ถาไมไดพิจารณาใหรูทันกัน จติ ถา มสี ตเิ ปน เครอ่ื งกาํ กบั รกั ษาอยูโดยสม่ําเสมอ ภัยทจี่ ะเกิดขึ้นก็มนี อย เพราะเกดิ ในที่แหงเดียวกัน คือ “ จิต” “สต”ิ กม็ อี ยใู นทแ่ี หง เดยี วกนั ความรับ ทราบวาสิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนี้เกิดขึ้น ดีหรือชั่ว เกิดขึ้นภายในตัว “ปญญา” เปน ผคู ล่ี คลาย เปนผูพินิจพิจารณาและแกไขอารมณนั้นๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในจติ เรอ่ื งกเ็ รม่ิ สงบลง ไป แตถ า ขาดสติ เรอ่ื งจะสบื ตอ กนั ไปเรอ่ื ย ๆ แมความคดิ ความปรงุ เกิดขึน้ ดับไป เกิดขึ้นดับไป กค่ี รง้ั กห่ี นกต็ าม แต “สญั ญา ความสาํ คญั มน่ั หมาย” นั้นจะไมดับ จะ ตอกันเปนสายยาวเหยียด “ทุกข” กต็ อ งสบื ตอ กนั เปนสายยาวเหยยี ด มารวมอยทู ่ี จิต จิตเปนผูรับทุกขทั้งมวลแตผูเดียวอยูตลอดไป เพราะ “กรรม” ทั้งหลายที่ “สัญญา” ที่ “สังขาร” คิดปรุงขึ้นมา ใจจะเปน ภาชนะอนั สําคัญสําหรบั รบั ไวท งั้ “สขุ ” และ “ทุกข” สวนมากก็รับทุกข ถา สตปิ ญ ญา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๒
๓๑๓ ไมม ีกร็ บั แตของเก ๆ ของทง้ิ ของใชไมได ของเปนพิษเปนภัยนั้นแล ไวใ นจติ ใจ ถา มี สตปิ ญ ญาก็เลือกเฟนออกได อันใดไมดี กเ็ ลอื กเฟน ตดั ทง้ิ ออกไป สลดั ตดั ทง้ิ ออกไป เรื่อย ๆ เหลอื แตส ง่ิ ทเ่ี ปน สาระอยภู ายในใจ ใจก็เย็น ใจไมเย็นดวยน้ํา ไมไดสขุ ดวย สง่ิ ภายนอก แตเย็นดวยอรรถดวยธรรม มคี วามสุขดว ยอรรถดวยธรรม ตน เหตกุ ค็ อื มี สตปิ ญ ญาเปน เครอ่ื งรกั ษาใจ การปฏบิ ตั ติ อ สง่ิ อน่ื กไ็ มย ากยง่ิ กวา การปฏบิ ตั ติ อ จติ ใจ ภาระทง้ั โลกกม็ ารวมอยู ทจ่ี ติ ใจ ขณะทเ่ี ราจะแกไ ขสง่ิ ทม่ี นั ฝง จมอยภู ายในมาเปน เวลานานนน้ั จึงเปน “งาน” ที่ ยากอยมู าก ดไี มด อี าจทอ ถอยได เพราะทําลงไปไมคอยเหน็ ผลในระยะเริ่มแรก เนอ่ื ง จาก “จิต” ก็เลื่อนลอยในขณะที่ทํา ไมค อ ยจดจอ เอาจรงิ เอาจงั ในงานของตนทท่ี าํ ลงไป ผลจงึ ไมคอยปรากฏเทาท่ีควร และทําใหเ กดิ ความทอถอยออนแอ หรือเกิดความทอแท ภายในใจแลว กท็ ง้ิ ไปเสยี โดยทเ่ี หน็ วา “หยดุ เสยี ดกี วา ” เพราะทาํ ไปกไ็ มเ กดิ ประโยชน ทั้ง ๆ ทเ่ี วลาหยดุ ไปแลว กไ็ มด ี นอกจากจติ จะหาทางสง่ั สมความชว่ั ใสต นหลงั จากหยดุ การบาํ เพญ็ ทางดีแลวเทานนั้ แต “ความสําคัญ ที่วา ดีกวา”นั่นแหละ มนั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสตวั หลอกลวง ทั้งมวล ท่ีมาหลอกเราใหทอถอยออนแอตางหาก ความจรงิ ตง้ั แตใ นขณะทาํ อยมู นั ยงั ไม เห็นไดดี ทั้งที่อยากใหดีแทบใจจะขาด หัวอกจะแตก เพราะความเพยี รพยายาม ยง่ิ หยดุ ไปเสยี มนั จะดไี ดอ ยา งไร ถาหยุดไปแลวดีดังที่คิด คนทง้ั หลายกไ็ มต อ งดาํ เนนิ งาน อะไรตอไป หยดุ ไปแลว ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งมนั ดไี ปเอง ! ภายนอกก็ตองดี ภายในกต็ อ งดี เชน ทาํ การทาํ งาน ทําไมไดมาก หยดุ เสยี ดกี วา “ธรรม” ไมเหมือน “กเิ ลส” กิเลสมันวา “หยดุ เสยี ดกี วา ” มันดีจริง แตด เี พอ่ื กิเลสไมใชดีเพื่อธรรม สว น “ธรรม” ตองอตุ สา หพยายามทาํ ไปเรอื่ ย ๆ จนมันดี และดี ขึ้น ๆ เรอ่ื ยๆ เพราะทาํ ไมห ยดุ งานก็เปน งานของตนท่ีทําขึน้ เพอื่ ธรรม ไมใ ชเ ปน งานข้ี เกยี จอนั เปน งานของกเิ ลส ผลงานจะพึงปรากฏข้นึ โดยลาํ ดับจากการทําไมห ยดุ งานทาง “จติ ตภาวนา” ก็เชนเดยี วกัน ยากก็ทํา งา ยกท็ าํ เพราะเปน งานทค่ี วร ทํา เราไมทําใครจะทําใหเรา เวลาความทกุ ขค วามลาํ บากมนั เผาผลาญภายในใจ เพราะ ความคิดปรงุ สงั่ สม ทาํ ไมไมบ น วา มนั ยาก เวลาสง่ั สมกเิ ลสใหเ กดิ ความทกุ ขค วามเดอื ด รอนขึ้นมา ทาํ ไมไมถ อื วา มนั ยาก มาบน ใหค วามทุกขอยูเ ฉย ๆ ทําไม นน่ั คอื ความพอใจ ยากหรอื งา ยไมส นใจคดิ มนั ไหลไปเลยราวกับนํ้าไหลลงสูที่ตํ่า ยากหรอื ไมย ากมนั กไ็ หล ของมันไปอยางนั้น เลยไมท ราบวา มนั ยากหรอื ไมย าก ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๓
๓๑๔ แตเ วลาฝน ใจทาํ ความดี มนั เหมอื นกบั ไสไมข น้ึ ทส่ี งู นน่ั แล มันลําบากเพราะทวน กระแส ! การทจ่ี ะละความทกุ ขน อ ยใหญ ทใ่ี จยอมเปน ไปตาม “วฏั วน” มันก็ตองยาก บา งเปน ธรรมดา ใคร ๆ แมแ ตท า นผสู าํ เรจ็ มรรคผลนพิ พานไดอ ยา งงา ยดาย แตกอน ทา นกย็ าก ถงึ ขน้ั ทค่ี วรจะงา ยกต็ อ งงา ย เราเองถงึ ขน้ั ทว่ี า ยากกต็ อ งยาก แตมันไมไดยาก อยูเชนนี้เรื่อยไป ถงึ เวลาเบาบางหรอื งา ยกง็ า ย ยิ่งไดเห็นผลเขาไปโดยลําดับดวยแลว ความยากมนั หายไปเอง เพราะมีแต “ทาจะเอา” ทาเดียว สขุ ทกุ ขไ มค าํ นงึ มีแตจ ะใหร ู ใหเห็น ใหเขา ใจ ในสง่ิ ทต่ี นตอ งการ การเรยี น ใหเ รยี นเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ ใหด เู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ ที่เก่ยี วของกบั ตน นเ้ี ปน หลกั สาํ คญั สาํ หรบั นกั ปฏบิ ตั ทิ ง้ั หลายใหด อู ยทู กุ เวลา เพราะมนั แปรอยทู กุ เวลา คําวา “อนิจฺจ”ํ เปน อนจิ จฺ ํ อยูตลอดกาล คาํ วา “ทกุ ขฺ ํ” กเ็ ปน อยตู ลอดกาล คาํ วา “อนตฺตา” กเ็ ปน อยตู ลอดกาล ไมม กี ารหยดุ ยง้ั ผอ นคลายเลย การพจิ ารณา ก็ควรพยายามใหเห็นเรื่องของมันทเ่ี ปน อยใู นตวั เรา จนมคี วาม ชาํ นชิ าํ นาญ พจิ ารณาหลายครง้ั หลายหน จิตกค็ อ ยเขาอกเขา ใจและซึง้ ถงึ ใจ ใจกค็ อ ย ๆ ปลอ ยวางไปเอง ไมใ ชจะพิจารณาครั้งหนงึ่ ครั้งเดยี วแลวกห็ ยุด แลว ก็คอยแตจะกอบ โกยเอาผล ทั้ง ๆ ทเ่ี หตไุ มท าํ ใหพ อประมาณ มันก็ไมได การบําเพญ็ ความดี มจี ติ ตภาวนา เปนตน ตอ งฝน กเิ ลสทง้ั นน้ั ครูบาอาจารย แตล ะองค ๆ ทท่ี า นปรากฏชอ่ื ลอื นามใหโ ลกทง้ั หลายไดก ราบไหวบ ชู าเรอ่ื ยมา ลวนแต ทา นรอดตายมาเพราะความเพยี รกลา ดวยกันทั้งนั้น ถา เปนงานเบาๆ ทา นจะรอดตาย ไดอยางไร กต็ อ งเปน งานหนกั ซง่ึ ตอ งทมุ เทกาํ ลงั กนั อยา งเตม็ ท่ี ครบู าอาจารยผูเ ชน นั้น เวลานก้ี ็รอ ยหรอไปมากแลว มีนอยเต็มที ! เราหวงั พ่งึ ทาน เรอื่ งธาตุเรือ่ งขนั ธของทา น กเ็ ปน อนจิ จงั พง่ึ กนั ไดช ว่ั กาลชว่ั เวลา แลว กพ็ ลดั พรากจากกนั ดงั ทเ่ี หน็ อยแู ลว ฉะนน้ั จงพยายามนอ มโอวาทคาํ สง่ั สอนของทา นเขา มาเปน ครเู ปน อาจารยส อน ตนอยูเสมอ ทา นสอนวา อยา งไร ใหน าํ โอวาททา นทส่ี อนไวแ ลว นน้ั เขามาปฏิบัติตอตัว เอง จะชอ่ื วา “เราอยกู บั ครกู บั อาจารยต ลอดเวลา” เหมือนไดเขาเฝาพระพุทธเจา พระ ธรรม พระสงฆ อยตู ลอดกาลสถานท่ี การปฏบิ ตั ติ นเปน หลกั สาํ คัญ ที่เปนความแนใจสําหรับเรา การอาศัยครูอาศัย อาจารยน น้ั เปน ของไมแ นน อน ยอมมีความพลัดพรากจากไป ทา นไมพลัดพรากเราก็ พลัดพราก ทา นไมจ ากเรากจ็ าก เพราะโลกอนจิ จงั มีอยดู วยกันทัง้ ทานและเราไมผ ิดกัน เลย สิ่งท่ีพอจะยึดเอาได กค็ ือหลกั ธรรมของทา น จงยดึ มาประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ าํ หรบั ตวั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๔
๓๑๕ ดว ยความเอาจรงิ เอาจงั เพอ่ื เห็นเหตุเห็นผล เพอ่ื กาํ ชยั ชนะภายในใจ ชัยชนะนี้เปนชัย ชนะอันเลิศประเสริฐสุดในโลก ไมม ชี ัยชนะใดจะเสมอเหมือนเลย เรายอ้ื แยง เอาชนะ ตน ! คอื กเิ ลสทถ่ี อื วา เปน “ ตน” เปน “ตวั ” เปน เราเปน ของเรามาตง้ั กปั ตง้ั กลั ป น้ี เปน เรอ่ื งใหญโ ตมาก จะทาํ เลน เหมอื นเดก็ เลน ตกุ ตา เดย๋ี วกเิ ลสจะขยข้ี ยาํ เอา เพราะถือ มาเปน เวลานานแลว จงรบี พจิ ารณาใหร แู จงและปลอ ยวาง จิตใจจะไดว างเปลา จากทุกข ไมฉ กุ ละหกุ กนั ตลอดไป การสง่ั สมคาํ วา “เปน เรา เปน ของเรา” มาน้ี นับกปั นบั กลั ปไ มไ ดแ ลว ถา กเิ ลส เปนวัตถุ ความส่งั สมมานานถงึ ขนาดนั้นจะเอาอะไรมาเทียบเลาในโลกน?ี้ ถึงจะใหญโต ยง่ิ กวา กอ นกเิ ลสตณั หาอาสวะ กอ นเรากอ นของเราเหลา น้ี เพราะมีมากตอมาก จะขน ออกมาเทียบไมหวาดไมไหว ถา ขนเลน ๆ แบบกนิ ๆ นอน ๆ จะถากจะเถอื จะเจาะจะ ฟน เพยี งหนสองหนใหม นั ขาดไปนน้ั ยอมเปนไปไมได นอกจากจะพากนั ควา นาํ้ เหลว ไปตาม ๆ กนั เทา นน้ั จาํ ตอ งทมุ เทกาํ ลงั ลงอยา งหนกั หนาทเี ดยี ว ตอนนต้ี อนจะชงิ ชยั ชนะกนั เราก็เปนนักปฏิบัติ ไมต อ งทอ ถอยกบั การรบกบั กเิ ลสซง่ึ มอี ยใู นตวั เราเอง คาํ วา “กเิ ลส”กค็ อื “กอนเรา”นน้ั เอง กเิ ลสเปน “เรา”เปน “ของเรา”อะไร ๆ เปน“เรา”ทง้ั นน้ั เหลา นค้ี อื “กองกเิ ลสแท ๆ” ไมน า สงสยั เลย ถา จะแยกใหเ หน็ เปน ชน้ิ เปน อนั ตามความสตั ยค วามจรงิ ในหลกั ธรรมชาตนิ น้ั จริง ตอ งแยกดวยความพากเพียร โดยทางสติปญญาเปนเครื่องพิสูจน พิจารณากนั การแยกธาตุ ธาตกุ ็ธาตสุ ่ี ธาตุ ๔ กร็ กู นั เตม็ โลกเตม็ สงสารอยแู ลว แตถาจะให รถู งึ ใจ ซาบซึ้งถึงใจจริง ๆ นน้ั ตองภาคปฏิบัติ พจิ ารณาดว ยปญ ญาจนเหน็ ชดั เจนแลว ก็ซึ้งไปเอง ถาลงไดซึ้งถงึ ใจแลว ไมต อ งบอกมนั ปลอ ยเอง เมอ่ื รอู ยา งถงึ ใจแลว กป็ ลอ ย วางอยา งถงึ ใจเชน กนั การทจี่ ะรอู ยา งถงึ ใจ ปลอ ยวางอยา งถงึ ใจ ตองพิจารณาแลว พิจารณาเลา ซ้ํา ๆ ซาก ๆ จนเปน ทเ่ี ขา ใจ อยา ไปสาํ คญั วา นี่เราพิจารณาแลว นน้ั เรา พิจารณาแลวในคราวนั้น ดว ยความคาดหมาย นับอานครั้งนั้นครั้งนี้ โดยทย่ี งั ไมซ ง้ึ ถงึ ขน้ั ปลอ ยวางมนั กย็ งั ไมแ ลว ตองพิจารณาใหถึงขั้นแลวจริง ๆ ดว ยความซาบซง้ึ และ ปลอ ยวาง ถา “แลว จรงิ ” กไ็ มจ าํ เปน ตอ งพจิ ารณาอกี มันเขา ใจแลว ปลอ ยวางไดห มด คาํ วา “ธาตุ” กก็ อ นธาตอุ ยแู ลว วญิ ญาณกธ็ าตุ สิ่งที่มาสัมผัสก็ธาตุ รปู กธ็ าตุ เสยี งกธ็ าตุ อะไรๆ กธ็ าตุ อะไร ๆ มนั กเ็ ปน ธาตไุ ปหมดอยแู ลว เรอ่ื งขนั ธภ ายในตัวเรา เชน รูป กเ็ ปน ขนั ธ เวทนา กเ็ ปน ขนั ธ สญั ญา กเ็ ปน ขนั ธ สังขาร กเ็ ปน ขนั ธ วญิ ญาณ กเ็ ปน ขนั ธ เปน ขนั ธ เปน หมวดเปน หมู เปน ชน้ิ เปน อนั อยู ตามธรรมชาติของเขา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๕
๓๑๖ เรอ่ื งใจกใ็ หร วู า “นี้คือ ผูรู” ทจ่ี ะตอ งพสิ จู นใ หร แู จง เชน เดยี วกบั ธาตขุ นั ธท ง้ั หลาย จะไมย ดึ วา เปน ตนเปน ของตน ซึ่งจะเปนภาระหนักมากขึ้น จําตองพิจารณาดวย ปญ ญาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ เสมอกนั แตการพิจารณา “จิต” น้ี ไดเคยอธิบายมา หลายกณั ฑแ ลว นาจะพอเขาใจ เฉพาะอยา งยง่ิ ทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในกาย ใหทราบชัดวา“นี้คือ เวทนา” เพียงเทานั้น อยา ไปตคี วามหมายวา เวทนาเปน เรา เปนของเรา หรืออะไรๆ เปนของ เรา เพราะนั้นจะเปนเครอื่ งสงเสริมกเิ ลสใหมากขึ้นโดยลําดับ แลวกน็ ําความทุกขเ ขา ทับ ถมใจมากขน้ึ เมื่อเวทนาไมดับยิ่งมีทุกขทางใจมากขึ้น แลวจะเอาอะไรมาทนกัน “เวทนา” มันเกิดขนึ้ ในธาตใุ นขันธมนั ก็เคยเกดิ ขน้ึ อยูแลว ตั้งแตวันเกิดมาขณะ ทตี่ กคลอดออกมา ก็มเี วทนาแสนสาหสั รอดตายจึงไดเปนมนุษยมา จะไมเรียกวา “เวทนา” จะเรียกวาอะไร เวทนานี้เคยเปน มาตงั้ แตโ นน จะใหม นั ละทางเดนิ ของมนั ละ ไมได ทางของความทกุ ขใ นธาตใุ นขนั ธ มนั ตอ งแสดงตวั มนั โดยสมาํ่ เสมอเรอ่ื ยมา มัน เกิดขึ้นแลวก็ตั้งอยู และกด็ บั ไป มเี ทา นน้ั มีเกิดขึ้น มตี ง้ั อยู แลว ดบั ไป ไมว า จะเปน เวทนานอก เวทนาใน คอื จิตเวทนา เฉพาะอยางยง่ิ เวทนาทางรา งกาย พจิ ารณาใหเห็นชัด รูป กเ็ ปน รปู รชู ดั เหน็ ชดั อยูแลวตั้งแตวันเกิดมา จะเสกสรรปนยอวาเปนเรา เปนของเรา หรือเปนเจาฟา พระ ยามหากษัตริย เปน เจา ขนุ มลู นายหรอื เปน อะไรกแ็ ลว แตค วามเสกสรร แตค วามจรงิ ก็ เปน ความจรงิ อยตู ายตวั ไมไ ดเ ปน ไปตามความเสกสรรปน ยอใด ๆ ทง้ั สน้ิ ความจรงิ รปู ก็คือรูปขนั ธนัน่ แล มธี าตสุ ่ี ดิน นาํ้ ลม ไฟ รวมกนั เขา เรียกวา “คน” วา “สัตว” วา หญงิ วา ชาย แยกประเภทออกไป เปน ชอ่ื เปน นามไมม สี ิ้นสุด แตส่ิงทค่ี งที่น้ันคือรูป ก็ คือ “กองรปู ” นน้ั เอง รวมทง้ั หมดทเ่ี ปน สว นผสมน้ี เรยี กวา กองรปู คอื รปู กาย ซง่ึ เปน ความจริงอันหนึ่ง แยกดสู ว นไหนกเ็ ปน ความจรงิ ของมนั แตล ะอนั ในขณะทีป่ ระชมุ กันอยู หนงั กเ็ ปน หนงั เนอ้ื กเ็ ปน เนอ้ื เอ็น กระดูก ฯลฯ ที่ใหชื่อ ใหนามเขา อยา ไปหลงชอ่ื หลงนามของมนั ใหเ หน็ วา เปน ความจรงิ ดว ยกนั คือเปนกอง รูป กองเวทนา มันไมใชรูป รปู ไมใชเ วทนา มีทุกขเวทนาเปนตน เวทนาเปน เวทนา จะ เปนสขุ ขน้ึ มากต็ าม เปน ทุกขข้นึ มากต็ าม เฉย ๆ กต็ าม มนั เปน เวทนาอันหนง่ึ ๆ ตา ง หากของมันซึ่งเห็นไดอยางชัดเจน สองอยา งนส้ี าํ คญั มากย่งิ กวา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ซึ่งเกิดดับพรอมกันไปเปนระยะ ๆ แตเ วทนานถ้ี งึ จะดบั กม็ เี วลาตง้ั อยู เหน็ ไดช ดั ทางภาคปฏบิ ตั ิ ในขณะท่ี ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ใหจ บั ทกุ ขเวทนานน้ั เปน เปา หมาย คอื เปน จดุ ทพ่ี จิ ารณา อยาเห็น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๖
๓๑๗ วา เวทนานเ้ี ปน เรา จะผิดจากหลักความจริงของเวทนาและวิธีการพิจารณา จะไม ทราบความจรงิ ของเวทนาดว ยปญ ญาทค่ี วรทราบ เมื่อไมท ราบความจริงแลว ยงั จะถอื เอาทุกขเวทนานัน้ วาเปน เราเขาอีก กจ็ ะเพิ่มความทุกขข ึ้นอกี มากมายแกจ ิตใจ เพราะ เปนการผิดตอหลักธรรมชาติ ซ่ึงเปนหลกั ความจรงิ ทพี่ ระพุทธเจา ทรงสงั่ สอนไว ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณาใหเ หน็ ทกุ ขเวทนา จะเปน ขน้ึ ในสว นใดกต็ ามของรา ง กาย ใหท ราบวา มันเปน อาการอนั หนึง่ เปน ธรรมชาตอิ นั หนึ่งของมัน ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตง้ั อยู ดับไป ของมันเทานั้น อยา ไปยงุ อยาไปปรุงไปแตง ไปเสกสรรปนยอ ใหม นั เปน อยา ง น้ันอยา งน้ี ถา ไมอ ยากแบกหามทกุ ขไ มม เี วลาปลงวาง ใหเ หน็ ตามความจรงิ ของมนั ใน ขณะทปี่ รากฏตัวข้นึ มาก็ดี ตัง้ อยูก็ดี และดบั ไปกด็ ี เรอื่ งเวทนามนั มเี ทา น้นั จงแยกให เห็นชัดดวยสติปญญา เมอ่ื กาํ หนดดเู วทนาแลว ยอ นเขา มาดจู ติ วา จติ กบั เวทนานเ้ี ปน อนั เดยี วกนั ไหม แลว ดกู าย กายกบั จิตนเี้ ปน อันเดยี วกนั ไหม ดูใหชัด ในขณะที่พิจารณานี้ ไมใ หจ ติ สง ออกไปทางไหน ใหจิตอยูในจุดนั้นแหงเดียว เชน พิจารณาทุกขเวทนา ก็กาํ หนด ทกุ ขเวทนาใหเ ห็นชัด เม่ือยอนเขามาดูจติ กก็ าํ หนดดคู วามรนู ใ้ี หช ดั วา มนั เปน อนั เดยี วกันไหม เอาไปเทียบเคียงกันดู ความรูอันนกี้ บั เวทนาอนั นัน้ นะ มันเหมือนกันไหม จะรวมเปน อนั เดยี วกนั ไดไ หม และรปู กายอันนี้มนั เหมือนกับจติ ไหม? มันเหมือนกับ เวทนาไหม? จะพอเปนอนั เดียวกนั ไดไ หม? นน่ั ! ทานจึงวา “แยกดใู หดี!” เพราะรปู มนั เปน รปู มนั จะไปเหมอื นจติ ไดอ ยา งไร จติ เปน นามธรรม เปน ธรรมชาตทิ ร่ี ู แตธ าตนุ ้ี เปนธาตุไมรู คือธาตุดินนี้ไมรู ธาตุน้ํานี้ไมรู ธาตุลมนี้ไมรู ธาตุไฟนี้ไมรู แต “มโน ธาต”ุ นี้รู เมื่อเปนเชนนั้น มันจะเปนอันเดียวกันไดอยางไร ทกุ ขเวทนากเ็ หมอื นกนั มันก็เปน ธาตไุ มร ู เปนธรรมชาติอันหนึ่ง ธาตุไมรกู บั ธาตไุ มร กู ต็ า งกนั อกี เวทนากับกายกเ็ ปน คนละอยาง มนั ไมใ ชอ นั เดยี วกนั จะใหเ ปน อนั เดียวกนั ไดอ ยางไร การแยกการแยะในขณะที่พิจารณาเวทนา ดใู หเ หน็ ชดั ตามความจรงิ นน้ั ไมต อ งกลวั ตาย ความตายไมม ใี นจิต อยา ไปสงสยั อยาไปสรางขวากสรางหนามปก เสยี บตนเองใหเ จบ็ แสบเดอื ดรอ น ความตายไมมี คือในจติ น้ีไมม ีความตาย มแี ตค วาม รลู ว นๆ ความตายไมมีในจิต ซึ่งเปนสิ่งแนนอนตายตัวรอยเปอรเซ็นต ความสาํ คญั วา ตายน้ี เปน เรอ่ื งเสกสรรปน ยอขน้ึ มาใหแ กจ ติ ดว ยอาํ นาจแหง ความหลงของจติ เสยี เอง เปน ผเู สกสรรปน ยอขน้ึ มาหลอกตวั เอง ฉะนัน้ เมอื่ พจิ ารณาไป ตามความจรงิ แลว จิตไมใชของตาย เราจะไปกลวั ตายทาํ ไม คําวา “ตาย” นั้นคือ อะไร? เรากท็ ราบวา ธาตุขันธมันสลายลงไป คนเราพอหมดลมหายใจเขาเรียกวา “คน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๗
๓๑๘ ตาย”ขณะนั้น “ผูร”ู แยกตวั ออกจากธาตนุ น้ั แลว ธาตนุ น้ั เลยมแี ต “รูปธาต”ุ เฉย ๆ เวทนาก็ไมมี นั่นเขาเรียกวา “คนตาย” แตค วามจรงิ มนั ไมไ ดต าย เพราะฉะนั้น จึงตองพิจารณาใหชัดเจนดวยปญญา เราไมตองสรา งเรือ่ งความตายข้ึนมาปกเสยี บหัวใจ หรอื มากดี ขวางทางเดนิ ของเรา เพื่อ ความรูจริงเห็นจริงดวยการพิจารณา แมจะทุกขม ากทกุ ขนอ ยขนาดไหน กจ็ งกาํ หนดดู ใหดีในเรื่องความทุกขนั้น เอาความทกุ ขน้ันแลเปนหินลับปญ ญา แยกทกุ ขข ยายทุกข ออกจากจิต แยกจติ ออกจากทกุ ข เทยี บเคยี งกนั ใหไ ดท กุ สดั ทกุ สว น ในขณะท่ีพิจารณา อยาใหจิตเผลอไปไหน เพื่อความรูจริงเห็นจริงแบบ “ตะลมุ บอน” กบั ขนั ธน น้ั ๆ จิตหรือจะตายตามสมมุติของโลก จะตายในขณะทพ่ี จิ ารณานก้ี ใ็ หร วู า อะไรตาย กอ น อะไรตายหลัง เวทนาดับไปเมื่อไร จิตน้จี ะดับไปเมื่อไร และจติ นจ้ี ะดบั ไปทไ่ี หน กนั แน เพราะธรรมชาติของจิตไมใชเปนของดับ ใครจะมาบังคับใหจิตดับไดอยางไร ? จงพิจารณาดูใหดี ระหวางขันธกับจิต จนรคู วามจรงิ ขน้ึ มาประจกั ษใ จ หายสงสยั นแ่ี หละทา นเรยี กวา “สรางปญ ญา ฝกซอมปญญา ใหเ หน็ ความจรงิ ” ทุกขเวทนาจะเกดิ ขึ้นมากนอ ยเพยี งไรในขณะน้นั จะไมม อี าํ นาจเขามาบงั คบั บัญชาจติ ใจใหก ระทบกระเทอื นไดเ ลย เมือ่ ทราบแลววา จติ เปน จติ เวทนาเปน เวทนา เมอ่ื ปญ ญาพจิ ารณาเหน็ ชดั เจนตามนแ้ี ลว วา มนั เปน ความจรงิ แตล ะอยา ง ๆ ระหวา ง ขนั ธก บั จิตจะไมกระทบกระเทือนกันเลย กายกส็ กั วา กาย ตั้งอยูเฉย ๆ ทุกขเวทนาเกิด ขนึ้ กายกม็ อี ยู ทุกขเวทนาดับไป กายทุกสวนก็มีอยูตามธรรมชาติของตน เวทนาเกดิ ขน้ึ ก็เปนเรื่องของเวทนา ตั้งอยูก็เปนเรื่องของเวทนา ดับไปก็เปนเรื่องของเวทนา จิตเปนผู รูเรอ่ื งทุกขเวทนา เกิดขึ้น ตง้ั อยู แลวดับไป จิตไมใชเปนผูเกิดขึ้น ตง้ั อยู ดบั ไป เหมอื น กายเหมือนเวทนา เมอ่ื หดั พจิ ารณาอยา งนจ้ี นชาํ นาญแลว ถงึ คราวเขา ทค่ี บั ขนั กใ็ หพ จิ ารณาอยา งน้ี เราไมต อ งกลวั ตาย เพราะเราเปนนกั รบ เรอ่ื งกลวั ตายไมใ ชธ รรมของพระพทุ ธเจา เรอื่ ง ความกลาหาญตอความจริงนี้เปนธรรม และเปน หลกั “สวากขาตธรรม” ทต่ี รสั ไวช อบ แลว จงดาํ เนนิ ไปตามความจรงิ น้ี ตายกต็ ายไมต อ งกลวั เพราะจติ ไมไ ดต าย แตขอใหรู อยกู บั ตวั วา อะไรทแี่ สดงข้นึ เวลานี้ มที กุ ขเวทนา เปนตน มันเปนอยางไร ทกุ ขเวทนา ดใู หท ราบตามความจรงิ ของมนั เมอื่ ทราบความจริงแลว ทุกขเวทนากส็ กั แตว า ธรรม ชาตอิ นั หนง่ึ เทา นน้ั ไมป รากฏวา มคี วามหมายรา ยดแี ตอ ยา งใด และไมปรากฏวา เปน “ขา ศึก” ตอ ผใู ด เปนความจริงของมันอยางเต็มตวั ท่ีแสดงขน้ึ มาตามหลกั ธรรม ชาติเทานั้น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๘
๓๑๙ กาย ก็เปนความจริงของกายที่ปรากฏตัวอยูตามหลักธรรมชาติของตน จติ ก็เปน ธรรมชาติอันหนึ่ง ที่เปนความรูประจําตน ไมไดไปคละเคลากับสิ่งใด เมอ่ื พจิ ารณารรู อบแลว จติ กถ็ อนตวั ออกมาเปน ความจรงิ ของตวั อยา งสมบรู ณ ทุกขเวทนาเขาก็มีความสมบูรณตามธรรมชาติของเขา กายกม็ คี วามสมบรู ณต ามธรรม ชาติของตน โดยทจ่ี ติ ไมไ ปแยกสว นแบง สว นวนุ วายกบั เขา เมอ่ื เปน เชน นก้ี ไ็ มม อี ะไร กระทบกระเทอื นกนั ทุกข จะทกุ ขข นาดไหนก็ไมก ระเทือนถงึ จิต ยม้ิ ไดใ นขณะทท่ี กุ ข กาํ ลงั เกดิ อยมู ากมายนน้ั เอง ยิ้มได! เพราะจติ เปน อนั หนง่ึ ไมเขาไปยุงเกี่ยวกับเวทนา คือ ไมเ ขา ไปคละเคลา กบั เวทนานน้ั ใหเ ผาลนตนเอง ใจกส็ บาย นแ้ี ลการพจิ ารณาทกุ ขเวทนาใหร รู อบ โดยเอาเวทนานั้นเปนสนามรบ เปนหิน ลับปญญา เปน สถานทล่ี บั ปญ ญาใหค มกลา ขน้ึ ดว ยการพจิ ารณาแยกแยะทกุ ขเวทนาท่ี เกิดขึ้น แยกแยะดกู าย แยกแยะดเู วทนา อันใดจะดับกอนดับหลังก็ใหทราบ ตาม ความจรงิ ของมนั มนั มคี วามเกดิ ความดับ ประจาํ ตวั อยอู ยา งนน้ั แตไ หนแตไ รมา เราจะ รูกต็ ามไมรกู ต็ าม สิ่งเหลานี้มีเปนหลักธรรมชาติของตัวอยูอยางนั้น เปนแตเพียง พิจารณาใหเห็นตามความจริงของมัน จงึ ไมปน เกลยี วกับธรรม เรากอ็ ยสู บาย เอา ! จะตายกต็ ายซิ ตามโลกเขาสมมตุ นิ ยิ มวา “ตาย” ตายมันเปนอยางไร จึง เรยี กวา “ตาย” กายมันแตก เอา แตกไป อะไรสลายกส็ ลายลงไป ผูไมสลายก็อยู อะไร ไมส ลาย ก็คอื จติ น่ีเอง ใจนเ้ี มอ่ื สรา งปญ ญาเปน หลกั เปน เกณฑข น้ึ ภายในตนแลว เปน อยา งนน้ั ไมมี ความหวน่ั ไหวตอ ความลม ความตาย จติ มคี วามแกลว กลา สามารถ นี่แหละการพิจารณาเรื่องของตัว คือเรื่องของจิต พิจารณาเชนนี้ เราไมต อ ง กลวั ตาย กลัวไปทําไม พระพทุ ธเจา ทรงสอนไมใ หก ลวั ธรรมไมสอนใหกลัว ความจรงิ ไมเปนสิ่งที่นากลัว เพราะเปนความจริง จะนากลา นากลัวทต่ี รงไหน กลาก็ไมนากลา กลัวกไ็ มน ากลัว น่หี มายถงึ การถงึ ความจริงลวน ๆ แลว ไมม คี าํ วา “กลา ” วา “กลวั ” เหลอื อยภู ายในใจเลย มีเฉพาะ “ความบริสุทธ์ิ” อยา งเดยี ว แตการพิจารณาเพื่อถึงความจริง ตอ งมคี วามกลา หาญ เมอ่ื จะเอาชัยชนะเขา สู ตน ไมม คี วามกลา หาญไมไ ด เดี๋ยวแพ เพราะเรากําลังดําเนินมรรคอยู ตอ งมีความ กลา หาญหรอื อาจหาญ ไมพ รน่ั พรงึ หวน่ั ไหวกบั สง่ิ ใด ๆ ทง้ั สน้ิ สง่ิ ใดทผ่ี า นเขา มาตอ ง พจิ ารณาใหร ใู หเ ขา ใจทง้ั นน้ั ไมม คี วามทอ ถอยออ นกาํ ลงั เพอ่ื ตง้ั หนา รเู หน็ ตามความ จรงิ ของมนั ทกุ สง่ิ ทุกอยา งท่ีผา นเขามาในกระแสความรู ชอ่ื วา “นกั รบ” ในสงคราม ระหวา งจติ กบั ขนั ธ หรอื ระหวา งธรรมกบั กเิ ลสทง้ั หลาย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๑๙
๓๒๐ ความกลา หาญอยา งนเ้ี ปน ความถกู ตอ ง เมือ่ ถึงจดุ หมายปลายทางแลว ความ กลวั กห็ ายไป ความกลา กห็ ายไป เพราะเขาถึงชัยชนะอันสมบรู ณแ ลว ความกลวั ความ กลา กห็ มดปญ หาไป เวลานค้ี วามกลวั ความกลา เปน ปญ หาอยา งยง่ิ สาํ หรบั ผกู าํ ลงั ดาํ เนนิ จงสราง ความกลา ขน้ึ ดว ยเหตดุ ว ยผลทค่ี วรกลา และเปนนักตอสูในสิ่งที่ควรตอสู มีทุกขเวทนา เปนตน ใหเ ปน ตามความจรงิ ของมนั อยา ไปกลวั พระพุทธเจาไมสอนใหกลัว กลวั กม็ ี คา เทา กบั ความตาย ถงึ วนั แลว ตอ งแตกตอ งสลาย ทา นเรยี กวา “ความตาย” แตอยางไรก็ตามนักปฏิบัติตองใหรูกอนที่สิ่งเหลานี้จะแปรสภาพลงไป ดว ย ปญญา เอา “ตาขาย” คอื ปญ ญากางไวร อบดา น อะไรแสดงออกมากไ็ ปตดิ ขา ย คือ ปญญานั้น แลว จะหวัน่ ไหวไปไหน จะสะทกสะทา นไปไหน จะเอนเอยี งไปไหน เพราะสิ่ง นน้ั ๆ เปนไปตามความจริงที่ไดพิจารณาไวแลว น่ี “นกั รบ” ทานพิจารณากันอยางนัน้ แมอ ยูในทา มกลางแหง ขันธทีเ่ ปน กองไฟ ทั้งกอง ทานก็มคี วามรมเยน็ เปน สขุ โดยปกติของจิตที่รูรอบขอบชิดแลว ไมหลงตาม อาการอะไรทง้ั หมด ชอ่ื วา “ผรู ูรอบ” อาการตา ง ๆ ทขี่ ันธแ สดงออก เมื่อทนไดก็ทนไป ปฏิบัติรักษาบํารุงกันไป พา กนิ พานอน พาด่มื รกั ษากนั ไป ตามธรรมชาติของมัน เมอื่ ทนไมไหว อยางไรก็มีแตจะ ไปทาเดียว ก็ปลอ ยไปตามคตธิ รรมดาเสียเทานั้น เพราะเปน ความจริงจะฝนมันไดอยาง ไร ปลอ ยตามความจรงิ นแ่ี ลชอ่ื วา “ปลอ ยดว ยความรู ที่เปนไปตามความจริง” จิต ก็ ไมหวั่นไหว ไมอ าลยั ไมเ สยี ดาย นค่ี อื หลกั ของการปฏบิ ตั ขิ องผไู ด หรอื กาํ ลงั จะได “ชยั ชนะ” ภายในจติ ใจ เพราะจติ เคยแพก เิ ลสตณั หามาตลอดจนกระทง่ั ปจ จบุ นั น้ี ไม เคยชนะมาเลย ตง้ั แตกปั ไหนกัลปไ หน มแี ตอ ยใู ตอ าํ นาจกเิ ลสทา เดยี ว จนลมื เฉลยี วใจ วา “กเิ ลสเปน นาย เราเปนบอยของมัน” คราวนแ้ี หละจะพลกิ ตวั เรา โดยอาศัยหลักธรรมเปนเครื่องปราบปรามกิเลสอา สวะ ซึ่งเคยชนะเรามาเปน เวลานาน หรอื เปน เจา ใหญน ายโตแหง “วฏั จกั ร” บังคับจิต ใจเราใหไ ปสทู น่ี น่ั ทน่ี ม่ี านาน คราวนเ้ี ราจะตง้ั หนา สกู เิ ลสเพอ่ื ชยั ชนะ และใหเ หน็ ความ จรงิ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ไมม ีอะไรปด บงั ปญ ญาไดเ ลย พรอ มกบั เอาชนะจากความทเ่ี คยแพ นน้ั มาครองเปน ของตวั ดว ยอาํ นาจของ สติ ปญญา ศรทั ธา ความเพียร อยา งไมล ดละ ผถู งึ แดนแหง ความประเสริฐเพราะความเพียรแลว ยอ มเปนผูสงา งามใน ทามกลางแหงหมูชน พรอมกับความภูมิใจในความเพียรของตน ผูใดถึงแดนแหงความ เลิศประเสริฐดวยการชนะตนผเู ดียวเทานนั้ เปนผูประเสริฐภายในตน ไมมีการกอเวร เหมือนการชนะสงครามที่โลกชนะ และกอเวรกอกรรมแกกันไมมีทางสิ้นสุด เหมือนลูก ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๐
๓๒๑ โซ แตก ารชนะตนนเ้ี ปน เอกในสงคราม ดงั ธรรมทา นวา “อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย” การ ชนะตนแล ประเสริฐสุด” สง่ิ ทเ่ี คยกอ กวนจติ ใจใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ นดงั ทเ่ี คยเปน มานน้ั เปน อันวา “ยตุ กิ นั โดยสน้ิ เชงิ ” ทก่ี ลา วมาทง้ั น้ี อยา ลืมวาความเพียรเปน สําคัญ เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ สตปิ ญ ญา เปน ผบู กุ เบกิ เพอ่ื ความกา วหนา ในงาน ปญญาเปน สาํ คญั มากทจ่ี ะตอ งพจิ ารณาคน ควา ใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผล สตเิ ปน ผบู งั คบั งานไมใ หเ ผลอตวั เมื่อ ปญญาพิจารณาเห็นความจริงของสว นตา ง ๆ มขี นั ธห า เปน ตน แลว กเิ ลสไมม ที ห่ี ลบ ซอ น จะไหลเขาไปสูภายในจิตแหงเดียว ไมมีทางยึด ไมม ที างเกาะ เพราะที่เหลานั้นถูก ทาํ ลายฉบิ หายไปดว ยปญ ญาเสยี แลว จากนน้ั กเ็ ขา ตตี อ นในจติ ทข่ี า ศกึ ไปรวมตวั อยู ใหแ ตกกระจายออกจากใจไมม ี อะไรเหลือ นั่น ! ทานวา “กเิ ลสตาย” ตายทต่ี รงนน้ั แหละ! ตายที่ตรงมันเคยอยูกับ ใจนั่นแหละ มนั อาศยั ทน่ี น่ั เวลาตายไปก็ตายที่นั่น ดวยอํานาจของ “มหาสติ มหา ปญญา” ที่ทันสมัย นน่ั ทา นเรยี กวา “ชัยชนะอยางเต็มภูมิ” ความชนะอนั เลศิ ชนะทต่ี รงน้ี ศาสนารวมลงทจ่ี ดุ น้ี วาระสดุ ทายแหง การปฏบิ ตั ิ ศาสนา ก็มายุติกันที่ตรงนี้ มาหยุดงานกนั ท่ีตรงน้ี ถึงแดนแหงความพนทุกข กถ็ งึ ทต่ี รง น้ี นอกนน้ั ไมม ี กาลก็ไมมี สถานที่ก็ไมมี อดตี อนาคตไมม ี ปจ จบุ นั กร็ เู ทา ทนั ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง อยางพรอมมูล เปนผูหมดเรื่องหมดราว หมดคดีเก่ียวขอ งในโรงในศาล ระหวางกิเลส กบั ใจ มหาสติ มหาปญญา ออกนง่ั บลั ลงั ก ตดั สนิ ประหารชวี ติ กเิ ลสทง้ั โคตรแซข องมนั ไมมีเชื้อสายสืบหนอตอแขนงแหงภพชาติอีกตอไป กิเลสพรอมโคตรแซจมหายไปใน ขณะนั้น นท่ี า นเรยี กวา “ถึงนิพพาน” เปนจิตที่เที่ยงแท แนล ะ อาการทุกส่ิงทุกอยา งทีเ่ คยหลอกลวงจิตนนั้ ไมม ี เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ ขันธแม จะปรงุ แตงขนึ้ มาตามธรรมชาตขิ องมนั ท่ีมีอยู เชน รูปขันธ เวทนาขันธ สญั ญาขนั ธ สังขารขันธ วญิ ญาณขนั ธ ก็แสดงตามเรื่องของตน ซึ่งไมมคี วามหมายในทางกิเลสแต อยางใดเลย รูป ก็มกี ารแสดงไปตามเรอ่ื งของรปู เวทนา สขุ ทกุ ข ไมสุขไมทุกข ที่ ปรากฏในขนั ธ ก็แสดงไปตามเรื่องของเวทนา สญั ญา ความจําไดหมายรู กเ็ ปน ไปตาม เรื่องของตน สงั ขาร ความคดิ ปรงุ ตา ง ๆ ก็เปนไปตามสภาพของตน วญิ ญาณ ความ รับทราบ เมอ่ื สงิ่ ภายนอกเขามากระทบ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย จติ กร็ บั ทราบ แลว กด็ บั ไป ๆ ตามธรรมชาติของมัน โดยไมสามารถทําใหจิตใจกําเริบเหมือนแตกอน เพราะสิ่งที่ทํา ใหก ําเริบนั้นไดถูกทําลายไปหมดแลวไมมีอะไรเหลือ จึงเรียกวา “เปนขันธลวน ๆ” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๑
๓๒๒ เปน ผถู งึ พระนพิ พานอยใู นระหวา งขนั ธล ว น ๆ คอื นพิ พานทง้ั เปน ไดแ กจ ติ ท่ี บรสิ ทุ ธจ์ิ ากกเิ ลสนน้ั แล ทา นไมถ ามละทนี ว้ี า “นพิ พานอยูทไ่ี หน ?” จะถามทําไม นพิ พานจรงิ ๆ คือ อะไร? คําวา “นพิ พาน” กค็ อื ชอ่ื อนั หนง่ึ ธรรมชาตทิ ถ่ี กู เรยี กชอ่ื วา “นิพพาน” นน้ั แลคือตัวจริงแท เมอ่ื ถึง “ตัวจรงิ แท” แลว จะไปถามหาชอ่ื หาเสยี งหารอ งหารอยทไ่ี หนอกี ไปงม งายที่ไหนอีก ผูรูรูจริง ๆ แลว ไมง มงาย ไมอยากไมหิว เพราะถงึ “ความพอ” ทุกสิ่งทุก อยา งแลว โดยสมบรู ณ เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นวาสมควร ขอใหท า นผูปฏบิ ัตทิ ้ังหลายนําไปพนิ จิ พจิ ารณาใหเ หน็ ความจรงิ ดงั ทก่ี ลา วมาน้ี เราจะเปนผูสมบูรณภายในใจดังคําที่พูดนี้ไม สงสัย จึงขอยุติ <<สารบัญ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๒
๓๒๓ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๑ กมุ ภาพนั ธ พุทธศักราช ๒๕๑๙ พิจารณาทุกขเวทนาในวาระสุดทาย เมอ่ื จติ ยังอยูในท่มี ดื มนดว ยกิเลสชนิดตา งๆ ปกปด กาํ บัง ก็เชนเดียวกับเราเขา ไปในปา รกชัฏและกวา งขวาง ขณะอยใู นปา นน้ั ความรสู กึ เหมอื นไมเ คยผา นทงุ ผา นนาท่ี เวงิ้ วา งมากอ นบา งเลย ทั้ง ๆ ทเ่ี รากเ็ คยผา นเคยอยมู าแลว แตเวลาเขาไปในดงอันรก ชัฏแลว ความรสู กึ มันเปลี่ยนไปกบั ส่ิงทเ่ี กี่ยวขอ ง จงึ เปน เหมอื นวา เราไมเ คยผา นทงุ โลง โถงเวิ้งวางอะไรมาเลย เหมือนกับโลกนี้เปนโลกมืดไปหมด เชน เดยี วกับปา อันรกชัฏนั้น แตจ ติ นย้ี งั ไมเ คยเหน็ แสงสวา ง ความเวง้ิ วา งภายในตวั เองมากอ นกย็ งั พอทาํ เนา แตผ ทู เ่ี ขา ปา ดงอนั รกชฏั นน้ั ทั้ง ๆ ทเ่ี คยเหน็ ทงุ เหน็ นาอะไรทเ่ี วง้ิ วา งมาอยแู ลว มันก็ยัง เกิดความสําคัญขึ้นมาวา โลกนจ้ี ะไมม ที ว่ี า งจากปา บา งเลย มีแตความรกชัฏดวยปา อยางนี้ไปหมด จิตในขณะที่อยใู นความมืดมนอนธการ กเ็ ปน ลกั ษณะนเ้ี หมอื นกนั แตเมื่อกาวไปถึงที่เวิ้งวางโดยไมมีอะไรมาเกี่ยวของเลย เพราะความผา นพน ไป หมดแลวนั้น กเ็ หมอื นกบั โลกนไ้ี มม อี ะไรเปน “นิมติ เครอ่ื งหมาย” แหง วตั ถตุ า ง ๆ เหลอื อยบู า งเหมอื นกนั ถา เราไมค ดิ แยกไปวา ที่นั่นเปนนั่น ทน่ี เ่ี ปน น่ี ใหแ ก “สมมตุ ”ิ ตา งๆ ซง่ึ เกย่ี ว กบั สตั ว บคุ คล ตนไม ภเู ขา ดิน ฟา อากาศ ตามธรรมชาตทิ มี่ ีอยขู องเขา ก็เหมอื นกับ ไมม อี ะไรเลยในบรรดาทก่ี ลา วมาเหลา น้ี เพราะจิตไมอ อกไปเก่ยี วขอ ง จิตมีแตความ วา งประจาํ ตน หาเหตปุ จ จยั อะไรเขา ไปหมนุ ไปเกย่ี วขอ งไมไ ดเ ลย อยโู ดยปกตขิ องตน โลกแมจ ะมกี ็เหมอื นไมม ี ถา จะพดู วา “โลกไมมี สตั ว สงั ขาร ไมม ”ี กไ็ ด เพราะไมม ี อะไรเขาไปเกี่ยวขอ งในจติ จิตอยูโดยหลกั ธรรมชาตแิ หง ความบริสุทธแิ์ ท เลยกลาย เปน ธรรมดา ......ธรรมดาไป แต คําวา “ธรรมดา” น้ี ผสู มมตุ กิ จ็ ะคดิ และตคี วามหมายไปอกี แงห นง่ึ คาํ “ธรรมดา” ในธรรมชาตินี้ ไมเ หมอื นกบั ธรรมดาทเ่ี ราพดู กนั ทว่ั ๆ ไป เปน แตเ พยี ง ขอ เทยี บเคยี งเลก็ นอ ยเทา นน้ั เรื่องอะไร ๆ ก็ “ธรรมดา ธรรมดา ไปหมด” นน่ั ฟง ซี ! เรื่องเกิดเรื่องตาย เร่ืองทกุ ขลําบาก เรอ่ื งไดเ รอ่ื งเสยี เรื่องประสบอารมณตาง ๆ ชอบ ใจ ไมชอบใจ ในโลกธรรมมาสมั ผสั กเ็ ปน เรอ่ื งธรรมดา ธรรมดา ไปหมด เพราะจติ อิ่มตัว และคลายอารมณต า ง ๆ ออกหมดแลว ไมม อี ะไรเหลอื สิง่ เหลาน้ันแมม อี ะไรอยู ก็ “สกั แตว า ” รบั รเู พยี งขณะๆ แลวกด็ ับไปในขณะๆ โดยหลักธรรมชาติของจิตที่ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๓
๓๒๔ มคี วามพอตวั แลว รับอะไรเขาไปอีกไมได ความสรรเสริญซึ่งเคยชอบมาแตไหนแตไรก็ กลายเปนเรอื่ งธรรมดา เชน เดยี วกบั ความนนิ ทา เพยี งแตจ ติ รบั ทราบเทา นน้ั เพราะจติ พอตัวแลวไมสามารถจะรับอะไรได ทั้งฝายต่ํา ฝา ยสงู ฝา ยนินทา สรรเสริญ ฝา ยทกุ ข ฝายสุข ที่เปนเรื่องของ “สมมตุ ”ิ ท้งั ปวง ใจไมเ กย่ี วขอ งจงึ เปน ธรรมดาไปเสยี หมด ทั้ง น้อี อกจากจติ ท่ถี ึงความอา งวา งโดยหลกั ธรรมชาตขิ องตัวแลวเปนอยา งน้ัน อะไรจะมา ผา นกเ็ หมอื นไมผ า น แตก ารทจ่ี ติ สามญั ชนเราจะพยายามดาํ เนนิ หรอื กา วไปดว ยความเพยี ร เพื่อให ถึงสถานที่นั้น ๆ ตามขั้นของจติ ของธรรมไปโดยลําดับ ๆ ตามสายทาง จนถงึ ทจ่ี ดุ หมายปลายทางอันเปนที่เวิ้งวางโดยหลักธรรมชาตินั้น ยอ มเปน สง่ิ ทย่ี ากลาํ บากเปน ธรรมดา ราวกับการเชือดเฉือนตัวเรา ตัวเราคือกิเลส ดว ยมดี อนั คมกลา คือสติปญญา นน้ั แล จะวายากมากก็ได แลวแตใ จของผดู ําเนินน้นั มีความรักชอบมากนอยตางกัน เพียงใด แตผ ูทม่ี ีความรกั ชอบ มคี วามสนใจมากอยูแลว การงานทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความ หลุดพน หรือเพื่อความเห็นแจงโดยลําดบั นี้ กไ็ มเ ปน ของยากนกั เพราะทาํ ดว ยความ พอใจทกุ อาการแหง การกระทาํ เรอ่ื งทว่ี า ยาก ๆ ซง่ึ เคยมอี ยใู นหวั ใจนน้ั กไ็ มย าก ความ พอใจมาทาํ ใหง า ย คาํ วา “การเจรญิ ของจติ ” ก็อยาไดคิดคาดไปในแงตาง ๆ ใหผ ดิ จากหลกั ความ จรงิ ของความเจรญิ อันแทจริงภายในจิต และความเสอ่ื มภายในใจอนั แทจ รงิ ของจติ คอื จติ มคี วามเปลย่ี นแปลงอาการของตวั อยโู ดยเฉพาะเทา นน้ั ไมไ ดก า วไปไหน ไมไดลงที่ ไหน เปน แตค วามเปลย่ี นแปลงแหง อาการของจติ ทแ่ี สดงใหต นทราบเทา นน้ั ใจเปลย่ี นแปลงไปอยา งหนง่ึ เปนความทุกขขึ้น เปลย่ี นแปลงไปอยา งหนง่ึ เปน สุขขึ้นมา อยภู ายในจติ นเ้ี ทา นน้ั การเจรญิ จติ ตภาวนา แมจ ะไดรบั คาํ ของครอู าจารยท ี่ ทานแสดงไปในแงใดก็ตาม ทา นพดู เรอ่ื งสมาธกิ ต็ าม เรอ่ื งปญ ญากต็ าม เรายดึ ไวพ อ เปนคติเทานั้น สว นหลกั ธรรมชาตทิ จ่ี ะเปน ขน้ึ ภายในใจเรานน้ั เริ่มจากการนําธรรมคติจากทาน มาปฏิบัติ ใหเ ปน ไปตามหลกั ธรรมชาตจิ รติ นสิ ยั ของเรา อยาเอาธรรมชาติที่เปนจรติ นิสยั ของเราไปเทยี บกับทท่ี า นแสดง เพราะทานแสดงธรรมอยางกวางขวางสําหรับ “นานาจิตตงั ” ซง่ึ มีจํานวนมาก พูดงาย ๆ กว็ า จรติ นสิ ยั ของคนไมเ หมอื นกนั ความรู ความเขาใจ ตลอดถงึ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นแงค วามรู ความเห็น การพจิ ารณาน้ี จะให เหมือนกันไมได แมจ ะอยใู นวงแหง สจั ธรรมดว ยกนั กต็ าม แตอาการแหงการพิจารณา และการดาํ เนนิ นน้ั ผดิ แปลกกนั อยเู ปน ลาํ ดบั ลาํ ดาตามจรติ นสิ ยั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๔
๓๒๕ เมื่อเปนเชนนั้น อาการแหงความสงบ หรือความรูตาง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นภายในจิต จงึ มตี า งกนั สว นความสงบน้ันเปน ทีย่ อมรับดว ยกนั ทุกคน ไมวาจริตนิสัย เพราะความ สงบสุขของจิตนั้น เปนผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของตน จงึ เปน ทย่ี อมรบั ดว ยกนั เราจงึ คอยดูผลทป่ี รากฏขนึ้ จากการปฏบิ ัติของเราอยางน้ี คาํ วา “สงบ” นน้ั มหี ลายประเภทตามจรติ นสิ ยั คอื สงบลงในขณะเดียว เหมอื นกบั ตกเหวตกบอ อยา งนน้ั กม็ ี คอื อยู ๆ ที่เรากําหนดภาวนา “พทุ โธ ๆ” แลวก็ พลิกขณะเดียวแพล็บ หายเงยี บไปเลย คอื จิตพลิกขณะเดียวเทาน้ันเหมอื นกับเราตก เหวตกบอ แลว ปรากฏเปน ความรูขน้ึ มาทันที น่ีเปนแงห น่ึง อกี แงห นง่ึ จติ สงบแลว หายเงยี บจากอารมณต า งๆ แม “พุทโธ” ไปเลยก็มี น่ี เปนจิตนิสัยประเภทหนึ่ง ทก่ี ลา วมานเ้ี รยี กวา “รอ ยละ ๕ ราย” จะมีเพียง ๕ ราย หรอื จะมากไปดวยซ้ําในรอยคนของผูมีความสงบเยือกเย็น หรอื เหน็ ผลในการทาํ สมาธิ ภาวนาแบบน้ี เพราะมนี อยมากในการปฏิบัติสมัยปจจบุ ันนี้ อกี ๙๕ รายนั้น จะเปน ในลกั ษณะทีค่ อยสงบ คอย ๆ เยอื กเยน็ เขา ไปเปน ลาํ ดบั ๆ นม้ี เี ปน จาํ นวนมาก ใหเ ราสงั เกตดจู ริตนสิ ยั ของเราวา เปน ไปในจรติ ใด หรือเปนไปในลกั ษณะใดใน แงใ ดในสองแงน ี้ สวนมากจะเปนไปในแงที่สองนี้ คาํ วา “สงบ” คอื ความสงบเยน็ อยภู ายในใจ ใจมที อ่ี ยู ใจมคี วามรม เยน็ เปน สขุ มีฐานแหงความสงบอยูภายในจิตของตน ทั้ง ๆ ทค่ี ดิ อา นไตรต รองอะไรกไ็ ดต าม ธรรมดาของโลกทั่ว ๆ ไป แตภ ายในจติ ของตวั มีความโลง มคี วามสบาย มีความเบา หรอื มคี วามสวา งไสว ตามกาํ ลงั จติ ทม่ี มี ากนอ ย แลว แตก าํ ลงั แหง สมาธิ หรอื ความสงบ นี่ทา นเรียกวา “จิตสงบ” มคี วามคดิ ไดป รงุ ไดอ ยอู ยา งนน้ั แตจิตที่เปนเจาของความคิด นน้ั มคี วามสงบสบายอยภู ายในตน กําหนดเขาเมื่อไร ก็ปรากฏความรูที่เปนความสบาย น้นั อยูเรื่อย ๆ ไมหายไป นช่ี อ่ื วา “จิตไดฐานแหงความสงบ หรือมฐี านแหง ความ สงบ” ขน้ึ มาแลว ประการหนึ่ง ทีเ่ ปน ธรรมชาติของจติ เอง เราจะปรงุ แตง ไมได กค็ อื ขณะทใ่ี จดบั ความคิดปรุงตาง ๆ นน้ั ดบั จรงิ ๆ ความคดิ ความปรงุ ขาดจากกนั ไมม อี ะไรเหลือเลย เหลือแตความรูลวน ๆ อยโู ดยลาํ พงั ตนเอง นก่ี ใ็ หเ ปน ตามหลกั ธรรมชาตขิ องจติ ทเ่ี ปน ขน้ึ มาในตวั เอง การคาดการหมายไมเ กดิ ประโยชนอ ะไร จึงไมควรคาดหมาย ใหปลอยไปตาม จรติ นสิ ยั ของตนในสว นน้ี ไมผิด ขอ สาํ คญั คอื การปฏบิ ตั ิ ทา นสอนอยางไร และเหมาะ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๕
๓๒๖ กบั จรติ นสิ ยั ของเราอยา งไรบา ง วธิ ปี ฏบิ ตั ิ วิธีพิจารณา หรือวิธีบริกรรม ใหก าํ หนดตาม นั้นเปน ของสาํ คัญ ใหความรูอยูกับการภาวนานั้น ๆ จะภาวนาแบบไหนกต็ าม สตเิ ปน สิ่งสําคัญอยูมาก ซ่งึ จะใหพ รากจากกันไมไ ด จะขาดวรรคขาดตอนในทางความเพยี ร เพื่อจะยงั ผลใหส ืบตอเนื่องกันโดยลําดับ ทพ่ี ดู ถงึ จรติ นสิ ยั ของแตล ะคนทไ่ี มเ หมอื นกนั ผนู น้ั เปน อยา งนน้ั หรือครูบา อาจารยทานแสดงอยางนั้น ผนู น้ั จติ รวมอยา งนน้ั จติ รอู ยา งนน้ั ๆ ใหเราเพียงฟง ไวเฉย ๆ หากจรติ นสิ ยั ของเราเปน ไปในทางใดแลว เรอ่ื งทท่ี า นกลา วนน้ั จะมาสมั ผสั เราเอง เรา รูในแงใด แงท ี่ทา นแสดงแลวจะเขา มาสมั ผสั จะโผลขึ้นมารับกันทันที ๆ ถานิสัยของเรา ไมมี ก็เปนเพียงแตฟง ไป ๆ อยา ไปยึดเอาขอ นน้ั มาเปนอารมณจ นกระทั่งเกิดความรอ น ใจ ในเมอ่ื จติ ของเราไมเ ปน ไปตามทเ่ี รามงุ หวงั อยา งทท่ี า นสอน อนั นก้ี เ็ ปน ความคดิ อนั หนึ่งของเรา ตองระมัดระวัง ความสงบของใจ ที่เปนความถูกตองดีงามหรือเปนที่ยอมรับกัน กค็ ือความสงบ ไมฟุงซานวุนวายไปกับอะไร มแี ตค วามเยน็ ใจ ถงึ จะคิดในหนา ทีก่ ารงานตาง ๆ ก็คิดไป ไดอยางธรรมดา แตไ มก วนใจเจา ของเหมอื นอยา งแตก อ น ทย่ี งั ไมเ คยอบรมภาวนา น่ี ทานเรียกวา “จิตสงบ” ถา มากกวา นน้ั กเ็ ปน ฐานมน่ั คงอยภู ายในใจ แมจะคิดเร่ืองอะไร ก็คิดไป แตพ อยอ นเขา มาสจู ดุ แหง ความรู กเ็ ปน จดุ ความรู ที่เดนชัด ผองใส และเบา ใหเ หน็ อยา งชดั เจนภายใน นเ่ี ปน ทย่ี อมรบั วา “จิตสงบ” และมฐี านสมาธปิ ระจาํ ใจ และเปน ทย่ี อมรบั กนั ทว่ั ไปวา “จติ เปน สมาธ”ิ ถา จติ เปน อยา งน้ี ! เพราะฉะนน้ั การทจ่ี ะไปยึดเอาเรื่องของคนนน้ั คนนม้ี าเปน เรื่องของตวั หรือ พยายามจะทาํ จิตของตนใหเปนอยา งนน้ั เปน การขัดตอ จรติ นสิ ัยของเรา จะเกิดความ ไมส บายใจขน้ึ มา เพราะการสรา งความกงั วลหมนหมองใหเกิดข้นึ แกตน ดว ยเหตนุ จ้ี ึง ควรทาํ ความเขา ใจไวใ นขอ น้ี ความเจรญิ ของจติ นน้ั กค็ อื ความสงบตวั นน้ั แลเปน สาํ คญั ใจมคี วามละเอยี ด ลออเขาไปเปนลําดับ มีความแนนหนามัน่ คงเขาไปเรอ่ื ย ๆ ความเจรญิ ในขน้ั เรม่ิ แรก เปน อยา งน้ี ตอ ไปจะตอ งมคี วามละเอยี ดขน้ึ โดยลาํ ดบั จากจติ ดวงนเ้ี อง จติ ดวงนจ้ี ะเปลย่ี น สภาพไปเรอ่ื ย ๆ และเขา สคู วามละเอยี ดจรงิ ๆ แมจะพจิ ารณาทางดานปญ ญาการคน ควาตาง ๆ ใจมคี วามเฉลียวฉลาดมากนอ ยเพยี งใดก็ตาม ฐานแหง ความสงบเยน็ ใจน้ี ก็ ปรากฏเปน ความม่ันคงไปโดยลาํ ดับเชน กัน แตบ างครง้ั เวลาชลุ มนุ วนุ วายมากกบั การ งานทางดานปญญา ความสงบอนั นจ้ี ะหายไปกม็ ี แตคาํ วา “หายไป” นไ้ี มไ ดห ายไป แบบคนทไ่ี มเ คยภาวนา คนไมเ คยมสี มาธมิ ากอ น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๖
๓๒๗ คนไมเ คยภาวนานน้ั ไมมีความสุขความสงบภายในใจเลย จงึ ไมมีคําวา “จิต เจริญ” หรือ “จติ เสอ่ื ม” เปนจิตสามัญธรรมดา ๆ แตจิตที่ “หายจากความสงบน้ี” มแี ตค วามรสู กึ ทจ่ี ะพจิ ารณาอยา งเดยี ว มคี วาม รื่นรมย มคี วามดดู ดม่ื ในการพนิ จิ พจิ ารณาเพอ่ื ถอนกเิ ลสตา ง ๆ ออกจากจติ ใจ ไมไ ดม ี ความฟงุ เฟอ เหอ เหมิ ไปกบั โลกกบั สงสารใด ๆ เลย แมจ ะไมป รากฏเปน ความสงบแนว แนเ หมอื นอยา งทเ่ี คยเปน มากต็ าม เพราะความรอู นั นเ้ี ปลย่ี นไปทางธรรมแลว ไมไ ด เกย่ี วกบั โลกเลย ถงึ จะไมเ ปน ความสงบเหมอื นจติ เปน สมาธกิ ต็ าม แตก็เปนความวุน กบั ตนเพอ่ื ถอดถอนกเิ ลสตา งหาก มนั ผดิ กนั ทต่ี รงน้ี การพยายามตะเกยี กตะกายเพื่อฝกฝนอบรมจติ ใจใหมีความสงบรม เยน็ เปนที่ แนใ จตนเอง มคี วามอบอนุ มหี ลกั ใจเปน เครอ่ื งยดึ เปน ทอ่ี าศยั น้ี เปน เรอ่ื งทย่ี ากลาํ บาก อยบู า ง แตเ ราควรนกึ คดิ ถงึ เรอ่ื งงานตา ง ๆ ที่เราทํา บางทงี านบางชน้ิ มนั กห็ นกั อง้ึ จน ขนาดหวั เสียไปก็มี เรายงั อุตสา หพ ยายามทาํ และผานไปไดไมรกู ่ีงานมาแลว เหตุใดงาน ทีเ่ ปนไปเพ่ือตัวเองโดยเฉพาะแท ๆ เราจะทําไมได จะผา นไปไมไ ด นเ่ี ปน งานเหมอื น กนั เปนแตเพียงวางานนอกงานใน แปลกกนั เพียงเทา น้ี ทําไมเราจะทําไมได ตอ งทาํ ได ! เมอ่ื ความพอใจมอี ยแู ลว เมอ่ื ปลงใจอยา งนแ้ี ลว ความทอ ถอยออ นแอกไ็ มม ี พยายามดาํ เนนิ ตอ ไปเรอ่ื ย ๆ จติ เมอ่ื ไดร บั การอบรมอยโู ดยสมาํ่ เสมอแลว จะแสดงความแปลกประหลาดขน้ึ มาให ชมเรื่อย ๆ ความเย็น ความอบอนุ ความแนใ จ จะมีกําลังมากขึ้น ๆ การฟงเทศน โดยเฉพาะทเ่ี ทศนท างดา นกรรมฐานเกย่ี วกบั จติ ตภาวนาลว น ๆ ถา จติ ไมม ฐี านแหง ความสงบเปน ทร่ี องรบั กนั บา ง ฟงเทศนทางดานปฏิบัติจะไมเขาใจ เราสังเกตจติ ของเราตอนนี้ ถา ฐานแหง ความสงบพอทจ่ี ะรบั ธรรมเทศนาของ ทา น ทางดา นจิตตภาวนาทางดานปฏบิ ตั ไิ มมภี ายในใจ ฟงเทศนทานเทาไรก็ไมเขาใจ ยง่ิ ฟง เทศนเ รอ่ื งมรรคเรอ่ื งผลกย็ ง่ิ มดื แปดดา น นแ่ี สดงวา ฐานรบั ภายในของเรายงั ไม มี พอความสงบเริ่มมีขึ้น การฟงเทศนทางภาคปฏิบัติจะเรมิ่ มีรสมีชาตขิ ึ้นภายใน จิตใจ เพราะมีฐานของจิตที่เปนความสงบเปนเครื่องรองรับ เมื่อจิตรับกนั ไดด เี ทา ไร การฟง เทศนด า นปฏบิ ตั นิ จ้ี ะยง่ิ มคี วามซาบซง้ึ ไพเราะเพราะพริ้ง หวานอยภู ายในจติ ไม จืดจาง แมใ จเรายงั ไมถ งึ ธรรมทท่ี า นแสดงนน้ั กต็ าม แตก เ็ หมอื นเราเขา ใจ เรารเู ราเหน็ ไปตามทานไมมีขอแยง เพราะทานเปดทางโลง ใหเห็นชัดเจน เหน็ ภาพนน้ั ภาพนโ้ี ดย ลาํ ดบั ๆ ถา วาดภาพพจนข น้ึ มากเ็ ปน อยา งนน้ั ยิ่งมีความดูดดื่มในการฟง จนลมื เนอ้ื ลมื ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๗
๓๒๘ ตัว ลมื เวลํา่ เวลาไปหมดในขณะที่ฟง นค้ี อื จติ ของเรามฐี านรบั แลว เทศนทางดานจติ ต ภาวนาจึงเขากันไดอยางสนิทไมมีปญหา ทนี เ้ี วลาเราชนิ ตอ การฟง เทศนป ระเภทน้ี เพราะจติ ยอมรบั แลว อยา งน้ี ฟง เทศน อน่ื ๆ เลยขี้เกียจฟง ราวกบั ฟง ไมไ ดน าํ้ ไมไ ดเ นอ้ื อะไร พดู ไปนอกโลกนอกสงสาร ไปที่ ไหน ๆ โนน ความจรงิ ทป่ี รากฏอยกู บั ตวั ทาํ ไมไมพ ดู ! เพราะเร่อื ง “สัจธรรม” หมนุ อยภู ายในจติ ใจ แลว ไปเทศน “ขางนอก” แมจ ะเปน “สัจธรรม” กจ็ รงิ แตม นั อยนู อก หา งไกลจากปากจากทอ งเรา ที่จะไดรบั ประทานอยา งงาย ๆ ทันใจ เพราะเปน ภายใน จิตเอง เมอ่ื เทศนเ ขา มาสภู ายในน้ี ยอมเปนเครอื่ งกลอมจิตใจไดอยางสนิทมาก ลึกซึ้ง มาก เพราะพริ้งมาก มีรสมชี าตขิ ึ้นโดยลาํ ดบั ทานเทศนเรอื่ ง “วถิ จี ติ ” เทศนเ รอ่ื ง “สต”ิ เทศนเรอื่ ง “ปญญา” เทศนห มนุ เขามาใน “สัจธรรม” ซง่ึ มอี ยกู บั ตวั ทกุ คน ทานยกสัจธรรมขึ้นเปนสนามรบ หรือเปน ธรรมเทศนา ยอมเขากับจิตที่มีความสงบไดดี เพราะจติ เตม็ ไปดว ยสจั ธรรม ทกุ ขก ็ เสียดแทงเขามาที่จิต สมทุ ยั กเ็ กดิ ทจ่ี ติ เสยี ดแทงทจ่ี ติ มรรคก็ผลติ ขึน้ มาทจี่ ติ คอื สติ ปญญา จะผลิตข้นึ มาจากไหนถา ไมผ ลติ ขึน้ จากจิต ผลติ ขน้ึ จากทน่ี ่ี เมอ่ื มอี าํ นาจมกี าํ ลงั มากเพยี งไร กร็ ะงบั ดับกเิ ลสตัณหา ดับทุกขกันลงไปเปนลําดับ ๆ กด็ บั ในที่นี้ ที่เรียก วา “นิโรธ ๆ” นน่ั นะ สจั ธรรมมคี วามเก่ยี วเน่อื งกนั อยางนอี้ ยูภายในจิต หมนุ อยตู ลอดเวลา เปน “ธรรมจักร” ถา จะพจิ ารณาใหเ ปน ธรรม สจั ธรรมนก้ี เ็ หมอื นธรรมจกั ร ถา จติ เราคดิ ไป แบบโลกแบบสงสารซง่ึ ไมเ คยภาวนาเลย มันก็เปน “กงจักร” ผนั ใหเ รารมุ รอ นอยู ตลอดเวลาวุนไปหมด จนหาที่ปลดเปลื้องไมได นง่ั กไ็ มส บาย นอนกไ็ มส บาย อิริยาบถ ทั้งสี่มีแตไฟเผาจิตเผาใจ ไฟกเิ ลสตณั หาอาสวะนน่ั แหละ ไมใชไฟอื่น ทจ่ี ะรอ นยง่ิ กวา ไฟอันนี้ ถาจิตเปนอรรถเปนธรรม พนิ จิ พจิ ารณาเพอ่ื ถอดเพอ่ื ถอนดว ยมรรคผลปฏบิ ตั ิ อยแู ลว เรอ่ื งสจั ธรรมทง้ั สน่ี ก่ี เ็ ปน “ธรรมจักร” เปนเครอื่ งซักฟอกสติปญญาไดเ ปน อยางดี ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ทต่ี รงไหนจะกระเทอื นถงึ ปญ ญานาํ มาพจิ ารณา เราเคยทราบอยู แลววาทุกขคืออะไร เปน สง่ิ ทเ่ี ราไมต อ งการ เปน ส่งิ ทีท่ รมานจติ ใจของสตั วโลกอยา ง มากมาย และทุกขนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร ยอ นไปเรอ่ื งสตปิ ญ ญา การคน ควา อยา งน้ี การคดิ อยา งน้ี เปนเรื่องของมรรค พจิ ารณาเหตพุ จิ ารณาผลไปโดยลาํ ดบั เฉพาะอยางยิ่งควรเอา “ขนั ธห า” เปน “สนาม รบ” รบทไ่ี หนไมถ นดั เหมอื นรบในขนั ธห า เพราะขนั ธห านีเ้ ปน เจาตัวการสาํ คญั ทก่ี อ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๘
๓๒๙ ทกุ ขภ ายในรา งกายและจติ ใจไมห ยดุ หยอ น การพจิ ารณาขนั ธห า จงึ เหมอื นวา การรบ กบั กเิ ลสในขนั ธห า การรบดวยการพิจารณาขันธหา จึงเปนการปลดเปลื้องภาระจาก ขาศึก และนาํ ชยั ชนะกลบั มาได จากการรเู ทา ทนั ขนั ธห า นโ้ี ดยไมต อ งสงสยั พระพทุ ธเจา ทา นรบขา ศกึ กอ็ ยภู ายในขนั ธห า สาวกทานก็ไดชัยชนะภายในขันธ หา ไมไดชัยชนะจากที่อื่นใด เพราะแพก ็แพท นี่ เี่ อง หลงกห็ ลงเพราะส่ิงน้ี ไมหลงเพราะ สิ่งอื่น หลงเพราะสิ่งนี้สิ่งเดียว การพจิ ารณาจึงตองพิจารณาจุดที่หลง เพอ่ื ใหเ กดิ ความ รูขึ้นมาในจุดที่เคยหลง เมอ่ื รสู ง่ิ ใดยอ มแยกตวั ออกไดจ ากสง่ิ นน้ั เพราะฉะนั้นขันธทั้งหา นจ้ี งึ เปน หนิ ลบั ปญ ญาไดอ ยา งดเี ยย่ี ม จงึ ไมค วรมองขา มขนั ธห า ถา ผพู จิ ารณาเพอ่ื อรรถ เพอ่ื ธรรมไมใ ชเ พอ่ื เหน็ แกต วั คาํ วา “เพื่อเห็นแกตัว” นน้ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลส กลวั ตาย ก็กลัว อะไรกก็ ลวั ไปหมดทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ทุกขเกิดขึ้นมาก็กลัวจะสูไมไหว ความกลวั จะสู ไมไ หวกค็ อื เรอ่ื งของกเิ ลส ฉะนน้ั จงอยา ไปกลวั สรางความกลัวขึ้นมาทําลายตัวทําไม! ความกลวั นเ้ี ปน ตวั ภยั สรางขึ้นมามากนอยก็เสียดแทงจิตใจ ใหเ กดิ ความทกุ ขม ากนอ ย ตามที่เราสรางขึ้นมา ความจรงิ มอี ยา งไรใหน าํ มาใช ความจรงิ คอื อะไร ? ใหร คู วามจรงิ ของ “สจั ธรรม” หรอื ของขนั ธห า ทม่ี อี ยใู นตวั ของเรา ผูไมรูความจริงในขันธหาที่อยูกับตัวนั้น ไม จดั วา เปน ผฉู ลาด และหาทางพนภัยไปไมได จะตองถูกส่งิ ที่เราถอื วาเปน “ขา ศกึ ” สง่ิ ท่ี เรากลวั นน้ั แลยาํ่ ยเี ราใหไ ดร บั ความทกุ ขท รมาน และแพอ ยตู ลอดไป ย่ิงเปน วาระสดุ ทา ยดวยแลว กย็ ง่ิ จะกลวั ตายมาก กลวั เจบ็ กลัวปวดตรงน้นั ตรง นม้ี าก น้ันแลคือการสรา งเสย้ี นหนามขน้ึ มาเสยี ดแทงจิตใจของตวั เอง ใหเกิดความทอ แทอ อ นแอ ดีไมดีเกิดความเผลอตัวไปได เพราะผิดจากสัจธรรม ผดิ จากหลกั ความจริง ปญ ญามอี ยู สตมิ อี ยู จงนํามาใช สตปิ ญญาเทานัน้ ทจ่ี ะทําใหร ูแจงเหน็ จริงกับสง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ น้ี จนกลายเปนมิตรกันได คือตางอันตางจริง จิตไมเ คยตาย เราไมต อ งวติ กวจิ ารณ เราไมตอ งสะทกสะทา นวา จติ จะตาย อะไรจะเกดิ กเ็ กดิ เถอะ จติ เปน ผสู ามารถรบั ทราบไดท กุ สง่ิ ทกุ อยา งบรรดาทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั จิต ไมม อี ะไรทจ่ี ะแหลมคมยง่ิ กวา จิตที่คอยรบั รอู ยูตลอดเวลา เอา ทุกขเวทนาเกิดขึ้นมากนอยเพียงไร จิตก็รูวาทุกขเวทนาตอนนี้เกิดขึ้นมาก เอา ดับไปกด็ บั ไปเรอ่ื งทกุ ข แตจ ติ ไมด บั อะไรจะเกดิ ขน้ึ มากนอ ย ใหเห็นความจริง ของมัน อยา ลมื ตวั วา จติ เปน ผรู ู เปนนักรูแทๆ ไมใชน กั หลบ หลบความรจู นกลายเปน ไมรูขึ้นมา นน่ั เปน เรอ่ื ง “อวชิ ชา” อยา นํามาใช ใหร เู กิดขน้ึ มากนอย ใหรูตามความ จริงของมันเฉย ๆ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๒๙
๓๓๐ การพิจารณาทุกขเวทนาเราก็ทราบ ทกุ ขเ รากท็ ราบวา ทกุ ข ผูทราบวาทุกขนั้นคือ จิต ความทกุ ขน ั้นเปนสภาพอันหนึ่ง ผูทราบวา ทุกขนนั้ เปน สภาพอนั หนึง่ ไมใ ชอ นั เดียวกัน โดยหลกั ความจรงิ แลว เปน อยา งน้ี จงพจิ ารณาใหเ หน็ ความจรงิ ของทกุ ขน ้ี จะ ไดเห็นความจรงิ ของ “จิต” ไดอ ยา งเตม็ เมด็ เตม็ หนว ย นักปฏบิ ัตเิ ราถา ใจยังถือทกุ ขเวทนาเปน ขาศึกตอ ตน จนตอ งหาทางหลบหลกี ไมอ ยากเขา หนา กบั ทกุ ขอ ยตู ราบใด ความจริงนั่นคือ “ทางแพ ทกุ ข สมุทัย” นน่ั เอง จะหาทางออกจากทกุ ขแ ละพน ทกุ ข ดบั สมทุ ยั ไมไ ดอ ยตู ลอดเวลาถา ไมก ลา สทู กุ ข ขุดคนสมุทัยดวยมรรคคือสติปญญา เอา อะไรเกิดข้นึ กใ็ หร ู จติ มหี นา ทท่ี จ่ี ะรู เอาปญญาเทียบเขาไป คน ดใู หเ หน็ ชดั เจนวา ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ตง้ั อยทู จ่ี ดุ ใด ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ทางกาย หนง่ึ ทางกายเกดิ ขน้ึ มอี าการใด เกดิ ขน้ึ ภายในจติ เพราะเหตใุ ดจงึ เกดิ ขน้ึ ภายในจติ ได ถา ไมใ ช “สมุทัย” คือความคดิ นอกลนู อกทางเปน เครอ่ื งเสรมิ หรือเปนเครื่องผลิตขึ้นมา ความจรงิ กค็ อื ความลมุ หลงตนเอง เพราะความรกั สงวนตน ไมอ ยากใหท กุ ขเ กดิ ขึ้น แมเ กดิ ขน้ึ แลว กอ็ ยากใหด บั ไปอยา งดอ้ื ๆ โง ๆ น้ันแล สรางขึ้นมา เชน อยากให ทกุ ขดบั โดยไมพ ิจารณาคนหาเหตขุ องทกุ ขค ือสมทุ ัยตวั การสาํ คญั ความอยากให ทุกขดับนี้แลคือสมุทัย มแี ตอ ยากใหทุกขดับไป นน่ั แหละคอื สรา ง “สมุทัย” โดย ตรง ทถ่ี กู เราไมต อ งอยาก พจิ ารณาสง่ิ ทม่ี อี ยู ทป่ี รากฏอยู สง่ิ ทไ่ี มม อี ยา ไปควา หา มามนั เปน ทกุ ข มันเปนการสรางกิเลสขึ้นภายในอีก เวลานี้ทุกขยังไมดับ อยา นาํ ความ อยากมาบังคับใหมันดับไป ทกุ ขป รากฏขน้ึ มาใหพ จิ ารณาตามสง่ิ ทป่ี รากฏ อะไรทย่ี งั ไมเ กดิ ขน้ึ อยาตง้ั ความอยากใหม ันเกดิ ข้นึ เพราะมนั เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ๆ ไมอ ยใู น อาํ นาจของผใู ด ขณะทม่ี นั เกดิ ขน้ึ กด็ ี ไมเกิดขึ้นก็ดี มันตั้งอยูก็ดี มันดับไปก็ดี ผูรเู ปนรู อยา ไปสรา งความอยากขึ้น ใหรูชัดอยางนี้ ชอ่ื วา เปน ผรู อบคอบในการพจิ ารณา ตายก็ ตายเถอะ ความจริงไมมีอะไรตาย พิจารณาใหเห็นชัดเจนอยางนี้ รา งกายจะสลายกใ็ หส ลายไป เพราะเรอ่ื งสลายเปน ของคกู นั กบั สง่ิ ทผ่ี สม สง่ิ ท่ี รวมตัวกัน เมอ่ื รวมตวั แลว กต็ อ งสลาย ถงึ เวลาแลวตองสลายไปดวยกันทง้ั นนั้ ไมว า อะไรในโลกน้ี ความไมส ลายไมม ี แมแตภเู ขาท้งั ลูกมันยงั สลายได ทําไมรางกายอยาง เรา ๆ ทา น ๆ จะสลายไปไมได ฝนธรรมดาไปทําไม เกิดประโยชนอะไร การไมฝนธรรมดา ใหร คู วามจรงิ ของธรรมดานแ้ี ล คอื ทางธรรม ทางโลง ทาง ปลดปลอย ไมมอี ะไรเขามาเกี่ยวของไดเลย ปญ ญารอบตวั หากจะตายขณะที่เวทนา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๐
๓๓๑ กาํ ลงั กลา กใ็ หร กู นั อยกู บั เวทนา เปน การ “ลบั จติ ” ดว ยปญ ญา โดยถือเอาเวทนาเปน “หินลับ” ไดอยางประจักษภายในจิต ทกุ ขด บั ไปจติ จะไปเกาะอะไร เพราะจติ เปน “ผูรู” ผพู จิ ารณาทกุ ขเ พอ่ื รแู ละ สลัดทุกขอยูแลว จติ จะไปตดิ ทกุ ขแ ละตกทกุ ขไ ดย ากทไ่ี หนกนั ทุกขเวทนาเราก็ทราบ แลว วา เปน สภาพอนั หนง่ึ เมื่อพิจารณาทุกขเวทนาน้ันดว ยปญญาความฉลาด เพอ่ื ปลด เปลอ้ื งทกุ ขเวทนานน้ั อยแู ลว เราจะไปตกนรกอเวจีที่ไหนกัน! ทุกขเวทนาดับไป กด็ บั ไปตามเรอ่ื งของเวทนา ผรู ูผฉู ลาดพิจารณาแยกตัวออก จากทกุ ขเวทนากค็ อื จติ กบั ปญ ญา ผไู มด บั กค็ อื จติ กอ็ ยูตามความไมดบั ของจิต ตาม ความรคู วามฉลาดของจติ จิตฉลาดเปล้ืองตนเพราะการพจิ ารณาเวทนาตา งหาก จิต มไิ ดต ดิ จมอยกู บั ความทกุ ข เพราะการพิจารณาทุกขเพื่อความฉลาดปลดเปลื้องตน เราเหยยี บ “บนั ได” ขน้ึ สบู นบา นตา งหาก มิไดเหยยี บ “บนั ได” เพอ่ื ตดิ อยกู บั บนั ไดนน้ั นเ่ี ราก็พจิ ารณาทกุ ขเวทนาเพื่อเปลอื้ งตนจากทุกขเวทนาตา งหาก ไมพิจารณา ทกุ ขเวทนาเพอ่ื ตดิ ทกุ ขเวทนา เมอื่ ตายไปจะเกดิ ความลม จมแกจ ิตผูเดินทางชอบได อยา งไร เมอ่ื ทกุ ขเวทนาคอื ทางเดนิ ของจติ ของปญ ญาแทแ ลว ชอ่ื วา จติ เดนิ ถกู ทางของ อรยิ สจั และสตปิ ฏ ฐาน อันเปนทางเดินเพื่อความพนทุกขไมสงสัย การพจิ ารณา “ขันธ” ทา นพจิ ารณาอยา งนี้ ไมต อ งกลวั พระพทุ ธเจา ไมไ ดส อน ใหก ลวั แตส อนใหรคู วามจริง ใหพ จิ ารณาความจรงิ นเ่ี ปน จดุ หมายทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรง สอนแท เรอ่ื งความกลวั พระองคไ มไ ดส อน เปนเรื่องของกิเลสเสี้ยมสอนคนใหโงหนัก เขาตางหาก ผลท่ไี ดรบั มแี ตความโง และกองทุกขเต็มหัวใจ ภพชาติเต็มตัว คาํ วา “เรา ๆ หรอื ใคร ๆ” มาเปาหูปาว ๆ กอ็ ยา เชอ่ื งา ย ๆ ใหเชื่อพระพุทธ เจา พระองคเ ดยี วทเ่ี ลศิ โลกมาแลว อยากลัวความจริงเราเปนนักปฏิบัติ ความกลวั ไม เปนเรื่องใหสําเร็จประโยชน เปน เรื่องสง่ั สมกิเลสข้นึ มา ใหเกิดความทุกขมาก เพราะ ความกลัว กลวั มากเทา ไรกเ็ กดิ ความทกุ ขม ากเทา นน้ั พิจารณาใหเห็นประจักษภายใน จติ อยตู ลอดเวลา ในขณะที่ทุกขเวทนาเกิดขึ้น โดยไมต อ งไปหวงั พง่ึ ใครในเวลานน้ั เรา อยา หวงั พง่ึ ใคร ไมใ ชท พ่ี ง่ึ อนั แทจ รงิ ! นอกจาก “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” ดวยสติ ปญญาเราเทานั้น จะเปน ทพ่ี ง่ึ ของเราไดอ ยา งเตม็ ใจ ตกึ รามบา นชอ ง ใครตอ ใครก็ ตาม ทุกสิ่งทุกอยางพึ่งไมไดทั้งนั้น เวลาจะตายจรงิ ๆ ขันธหาก็พึ่งไมได มันจะแตกอยู เวลานี้จะพึ่งมันไดที่ไหน แลวเราจะพ่งึ ใคร ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๑
๓๓๒ สตปิ ญ ญาเทา นน้ั เปน อาวธุ ทท่ี นั สมยั ทจ่ี ะแกห รอื ชว ยเราไดใ นขณะนน้ั จงคน ลง ไปพจิ ารณาลงไป ทกุ ขเ ปน ของเกดิ ของดบั ใจเปนของไมเกิดไมดับ เปน ธรรมชาตขิ อง ใจอยโู ดยธรรมชาตขิ องตน พิจารณาใหชัดเจนแลว จติ จะแยกตวั ออกมาเอง เมอ่ื เขา ใจ ชดั เจนแลว ไมไ ปไหน ไมไ ปตดิ อยกู บั อะไร มที กุ ขเวทนาเปน ตน เพราะปญ ญาเปน เครือ่ งผลกั ดันส่งิ ท่ีจอมปลอมทัง้ หลายนนั้ ออกไปโดยลาํ ดบั ๆ ใหเ ขา ใจอยา งน้ี เราก็ โลง ใจสบายใจ นแ่ี หละเรยี กวา “การพง่ึ ตนเอง” จงคิดถึงวาระสุดทาย วาระสาํ คญั ทส่ี ดุ คอื วาระไหน? คอื ทกุ ขเวทนาอนั แสน สาหสั นแ้ี ล จะสาหสั ขนาดไหนในวาระสดุ ทา ย ตอ งเตรียมสตปิ ญญาใหพรอ มมูล สู ! เพอ่ื แยง เอาของจรงิ จากส่งิ จอมปลอมทเ่ี คยหลอกเรามาเปน เวลานาน มาครองใหได ! รา งกายนแ้ี คต ายเทา นน้ั ! สตปิ ญ ญาเปน ผสู ามารถตลอดสาย เวทนาจะมาจาก ทศิ ใดแดนใด มนั กอ็ ยใู นขนั ธน เ้ี ทา นน้ั เวทนาขนั ธกค็ อื ขนั ธน ้ีเทานน้ั ไมไ ดอ ยนู อกเหนอื เมฆลอยมาทับเราได มนั ทับอยูภายในตัวเราน้ีถา เราไมมสี ติปญ ญาทันมนั ถาสติปญญา ทัน ทุกขเวทนาก็ไมทับ ทกุ ขเวทนามมี ากมนี อ ยกท็ ราบกนั อยา งชดั เจนดว ยปญ ญาน้ี เทา นั้น ปญญานี้แหละเปนเครื่องชวยตัวเอง ความพากเพยี ร อยา ถอย ถอยไมไดเมื่อเขาตาจนแลวตอ งสจู นสดุ เหวย่ี ง และ เปลอ้ื งกเิ ลสตวั หลงงมงายลงให “วฏั จกั ร” โนนเปนไร! ก็เราจะสู จะเอาชยั ชนะ จะถอย ไปไหน จะเอาชยั ชนะดว ยการสนู ่ี! ไมไ ดเ อาชยั ชนะดว ยการถอย เมื่อเอาชัยชนะดวย การสู ตองสูดวยสติ สูดวยปญญา ไมใชสูดวยความโง ๆ จติ นพ้ี ระพทุ ธเจา ทรงรบั รองอยแู ลว วา ไมต าย เราจะกลัวตายหาอะไร เราคือ จิต กไ็ มต ายน่ี เราจะกลัวตายไปทําอะไร ถา ตวั จติ ตายเรากต็ าย นต่ี วั จติ ไมต ายแลว เรา จะตายไดท ไ่ี หน เงาแหง ความตายมนั มอี ยทู ไ่ี หน มันไมมีนี่ ไมม จี นกระทง่ั “เงา” แหง ความตาย เราตน่ื เราตกใจ เรากลวั ตายไปเฉยๆ กลวั ลม ๆ แลง ๆ ความตายของใจไม มี แมกระทั่ง “เงา” ใหก ลวั กย็ งั กลวั กนั ไปได เพราะความหลงของจติ น่ีเอง ทานจึงสอนใหสรางปญญาใหทันกับเหตุการณ จติ นเ้ี ปน ทแ่ี นใ จวา ไมต าย พิจารณาใหช ัด เอา อะไรเกดิ กเ็ กดิ ขน้ึ เถอะ จิตมีหนาที่รูทั้งหมด จนกระทง่ั วาระสดุ ทา ยเครอ่ื งมอื นแ้ี ตกไป ปญ ญากส็ ลายไปดว ยกนั จิตทไ่ี ดร บั การซกั ฟอกจากปญ ญา แลว จะไมต ายไมส ลาย จะมีแตค วามผองใสเปนอยางนอ ย มคี วามผอ งใสประจาํ ตวั มากกวา นน้ั กผ็ า นพน ไปไดเ ลย จงเอากนั ในวาระสดุ ทา ย เอาชัยชนะอยางสุดยอด ! ในวาระสดุ ทา ยนใ้ี หไ ด ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๒
๓๓๓ ไมต อ งไปคาดโนน คาดนว้ี า เปนหญิงเปนชาย วา เราปฏบิ ตั มิ า เทา นน้ั ปเ ทา น้ี เดือน ไดม ากไดน อ ย ไมใชเวลาจะมาแกกิเลสตัณหาใหเราได มคี วามเพยี รเทา นน้ั เปน เครื่องแก สตปิ ญ ญาเทา นน้ั เปน เครอ่ื งแก เมื่อสติปญญามีกําลังพอก็หลุดพนไปไดเทา นน้ั นเ่ี ปน จดุ สาํ คญั ไมใ ชเ วลาํ่ เวลา ไมใ ชเ พศหญงิ เพศชาย ไมใชอะไรทั้งหมด ทจ่ี ะมาแกก เิ ลสได นอกจากสตปิ ญ ญา ศรทั ธาความเพยี ร ของเราเทา นั้น เปนเครื่องแกกิเลส เราแกไ ดจ น กเิ ลสหมดขณะใด ใจกส็ น้ิ ทกุ ขไ ดข ณะนน้ั การสน้ิ สิ้นดวยสติปญญากับความเพียร ไมไ ดส น้ิ ดว ยเวลานานเวลาชา อะไรน่ี จงพจิ ารณาตรงน้ี นี่แดนแหงชัยชนะอยูที่จุดนี้ ! เราแพก็แพที่นี่ คําวา “แพ” อยา ให ม!ี จิตมันแพอะไรเลา รอู ยตู ลอดเวลา สติปญญาไมใชเปนของแพ เปน “ธรรมเพื่อ ชยั ชนะ” ทั้งนั้น เวลากเิ ลสเขา มาแทรกใหเปน ความแพ ความแพเ ปนเร่อื งของกเิ ลส แทรก อยา เอาเขา มาแตะกบั ตวั มนั จะทาํ ใหเราถอยหลัง เปน หรือตายสูก นั บนเวที ชื่อ วา “นกั รบ” ขน้ึ เวทแี ลว ไมถ อย เอาจริง ๆ จนไมม สี ตริ บั รแู ลว ใหเขาหามลงเปลไป ถา ยังมีสติ เอา ฟาดมนั ลงไปอกี ตีไมได ดามันเขา ไป คอื สดู ว ยปากกไ็ ด ไมถ อยกเิ ลส น่ี ตอยสูเขาไมไ ดก็เอาปากตอยซิ นเ่ี ราเทยี บกบั นกั รบทไ่ี มถ อย สูกันวันยังค่ํา สจู นตาย สู เพื่อเราไมไดสูเพื่อใคร ถาจิตเขาใจจริง ๆ แลว เปน ไมถ อย ผเู ทศนเ คยเปน เคยผา นมาแลว ตามความจริงนี้ จงึ กลา พดู กลา เทศนไ ดอ ยา ง เต็มปากไมกระดากอายใคร ๆ ทง้ั สน้ิ การพูดดวยความจรงิ กเ็ หมอื นนักรบ จะกลวั ใคร มาคานความจรงิ ละ นย่ี อ ขอ ความทเ่ี ทศนเ บอ้ื งตน นน้ั วา “ความตายนะ มันธรรมดา ธรรมดา!” แนะฟงดูซี เมอ่ื เขา ใจทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว “มนั ธรรมดาไปหมด!” เปน อยกู ็ ธรรมดา เจบ็ ไขไดปวยกธ็ รรมดา คอื จติ ไมไ ดเ ปน “ภาระ ภารัง” ใหเ กดิ ความยงุ เหยงิ วนุ วาย กลายเปน โรคภายในใจขน้ึ มา ถึงวาระจะไป จะไปแลว หรอื ? ไปก็ไป เรอ่ื ง “สมมุต”ิ มนั ไปตางหาก มนั ไปทไ่ี หน ก็ไปตามหลักความจริงของมัน ลงไปสคู วามจรงิ ของมัน แลว อะไรจะฉบิ หาย อะไรจะลม จม ผูรกู ร็ ูอยอู ยา งน้ีแลว จะไปลมจมท่ไี หน ผรู ู นะ เราสรา งมาเพอ่ื ความรคู วามฉลาด ความรูค วามฉลาดจะพาลม พาจมมอี ยาง หรือ !มนั ประจกั ษอ ยภู ายในจติ จึงเรียกวา “สง่ิ ทง้ั ปวงไมม ปี ญ หา” ไมม ีอะไรเลย ! “ธรรมดา ธรรมดา ไปหมด” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๓
๓๓๔ เมื่อถึงขนั้ ธรรมดาธรรมชาติแลว เปน อยางนน้ั การปฏบิ ตั ใิ หป ฏบิ ตั อิ ยา งนจ้ี ะถงึ ความจรงิ แนนอนไมสงสัย เอาละ การแสดงกเ็ หน็ วา สมควร <<สารบัญ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๔
๓๓๕ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ พฤศจกิ ายน พุทธศักราช ๒๕๑๘ สงครามจติ สงครามขันธ แมจ ะอยใู นบา นในเรอื นในตกึ ในหา ง สง่ิ เหลา นน้ั ไมเ ปน ทกุ ข อยใู นสถานทใ่ี ด สถานทน่ี น้ั ๆ ไมไดเปนทุกข สมบัติเงินทองไมไดเปนทุกข สง่ิ ของมากนอ ยทเ่ี ปน กรรมสิทธิ์ของเราไมไดเปนทุกข ไมใชทุกข แตโ ลกไปหากลวั สง่ิ ทไ่ี มน า กลวั สง่ิ ทน่ี า กลวั แตไ มก ลวั กนั ! ไมย อมสนใจคดิ กลวั กนั บา งเลย สง่ิ นน้ั โลกจงึ โดนกนั อยเู สมอ และหาทางแกไ ขเอาตวั รอดไมไ ด นีโ่ ลกเรามาโงก ันตรงน้ี มใี ครบา งมคี วามเฉลยี วฉลาดตามรอยพระบาทของพระพทุ ธเจา บา ง ยังมองไม เห็น ทีช่ ้ีถกู จุดแหง ทุกข ชจ้ี ดุ ทแ่ี กท กุ ข ชล้ี งทไ่ี หน ชล้ี งในเบญจขนั ธก บั ใจนเ้ี ปน หลกั สาํ คญั นแ้ี ลสถานทท่ี กุ ขเ กดิ เกิดที่นี่ เพราะสาเหตทุ ท่ี าํ ใหท กุ ขเ กดิ กม็ อี ยทู น่ี ่ี วบิ ากท่ี เกดิ ขน้ึ มาจากสาเหตแุ หง ความหลง คือ ธาตุขันธของเรา กม็ อี ยกู บั ตวั เรา ที่เรียกวา “รา งกาย” นเ้ี ปน วบิ าก คือผลของสง่ิ ทผ่ี ลติ ขน้ึ มาจากกเิ ลส อวชิ ชา ตัณหา มันผลิตให เกิดขึ้นมาเปนรูปเปนนาม จึงเรียกวา “วบิ าก”กอ็ ยทู ต่ี วั เรา ผูท จ่ี ะผลิตทุกขใ หเกดิ ขน้ึ โดยลําดบั ๆ ภายในจติ กค็ อื จติ ที่กําลังเปนเครื่องมือ ของอวชิ ชานเ่ี อง พระพุทธเจาทา นจึงทรงสอน “ใหร บกนั ทน่ี ่ี” “ใหร กู นั ทน่ี ”่ี หลบ หลีกปลีกตัวดวยอุบายสติปญญาทุกแงทุกมุม ตอ งหลบหลกี กนั ทน่ี ่ี ตอ สกู นั ทน่ี ่ี ใหเขา ใจกนั ทน่ี ่ี แกก นั ทน่ี ่ี พนทุกขกันที่นี่ ไมพ น ทอ่ี น่ื ! เฉพาะอยางยิ่งขณะที่ทุกขเวทนาเกิดขึ้น ไมค อ ยไดส ตสิ ตงั กนั เลย ถาไมใชนัก ปฏบิ ตั แิ ละผทู เ่ี คยพจิ ารณาอยแู ลว จติ ใจจะวา วนุ ขนุ มวั กระวนกระวายไปกบั ทกุ ขเ สยี สน้ิ ทกุ ขเ ลยฉดุ ลากเอาจติ ทง้ั ดวงไปอยใู นกองทกุ ขน น้ั ทกุ ขเ ผาจติ ใหเ ดอื ดรอ นวนุ วาย ย่งิ กวาทุกขในธาตุขนั ธเสยี อกี ทง้ั น้เี พราะความไมเขา ใจในวธิ ีปฏิบตั ิ ทีนี้เราจะตําหนิ ใครก็ตําหนิไมได ตาํ หนไิ มล ง เพราะมันเหมือน ๆ กนั นแ่ี ลทว่ี า โลกคอื พวกเราทโ่ี งก นั มาโงใ นขนั ธใ นจติ ของตนนแ้ี ล ไมท ราบวธิ ปี ฏบิ ตั พิ อใหก เิ ลสเบาบางไป ทกุ ขไ ดเ บาบาง ลง ไมรับเหมาเอาเสียสิ้น ใคร ๆ กอ็ ยากจะพน อยากจะหลบหลีกปลกี ตวั ออกจากทุกข แตม นั ไปไมไ ด เพราะความรคู วามฉลาดไมม ี อบุ ายวธิ ีไมมี เพราะไมไดศึกษา หนึ่ง เพราะการ ศกึ ษาและการปฏิบัติยงั ไมม คี วามสามารถ หนึ่ง จําเปนตอ งยอมรับ ทกุ ขม ากนอ ย เพยี งไรกจ็ าํ ตอ งยอมรบั จติ ใจแมจ ะเปน ของมคี ณุ คา มาก กต็ อ งทมุ ลงไปใหก เิ ลสเผาเอา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๕
๓๓๖ เหมือนหางรานทองที่ถูกไฟไหม เจา ของไมส ามารถนาํ ทองของมคี า ออกได กจ็ าํ ตอ ง ยอมใหไฟไหมทิ้ง ทั้ง ๆ เสยี ดาย ใจก็เชนนั้น ยอมใหความทุกขที่เกิดขึ้นในธาตุในขันธเผาเอา เพราะอํานาจแหง กเิ ลสพาใหหลงยึดถอื ไมย อมถอนตวั อนั เปน เหตใุ หม นั เผาเอา นีเ่ ปนเรือ่ งสําคญั มาก ! สงครามในโลก ไมม สี งครามใดยง่ิ ไปกวา สงครามระหวา งจติ กบั ขนั ธ ที่ แสดงตอ กนั หรอื ทก่ี ระทบกระเทอื นกนั ! ความกระทบกระเทือนนี้เคยมีมาแลวตั้งแต วนั เกดิ การเกดิ มาเปน ของดมี คี วามสขุ ในขณะทเ่ี กดิ มาเมอ่ื ไร ! เพราะขณะทเ่ี กดิ ก็ ลอดออกมาจากชองแคบ จนสลบไสลไมร ูสึกตวั และไมร ูวาทกุ ขเปนอยางไร เพราะ ความจาํ ไมม ใี นขณะนน้ั นก่ี เ็ ปน ความทกุ ขแ สนสาหสั อนั หนง่ึ ในขณะทเ่ี กดิ แตโ ลกไมไ ด สนใจในความทุกขป ระเภทน้ี จงึ พากนั ดใี จในเรอ่ื งความเกดิ ยม้ิ แยม แจม ใสตอ ความ เกิด แตโ ศกเศราเหงาหงอยใหตอความตาย ความจรงิ มนั ก็เรื่องเทากัน ! ถา จะพจิ ารณาใหเ ปน ธรรมแลว มนั กเ็ ปน เรอ่ื งเทา กนั ไมม อี ะไรผดิ แปลกกนั เลย การเกิดมาเปนมนุษย บํารงุ บาํ เรอรักษากันมาจนเปน ผเู ปน คนเปนสัตวเหมือนเรา ๆ ทา น ๆ ทม่ี องเหน็ กนั อยนู ้ี มนั ผา นมาจากผทู ร่ี อดตายดว ยกนั ทง้ั นน้ั ถา พจิ ารณาตาม หลักธรรมชาติตามหลักความจริงแลว จะไมมีใครที่ไมเปนทุกขในขณะที่ตกคลอดออก มา นี่เราก็ไมทราบ ผูเกี่ยวของขณะเกิดนั้นก็ไมทราบ ความจําก็หายหมด ไมท ราบวา เกิดมาแตเมื่อไร วนั ใด เดอื นใด ปใด ใครเปนพอ ใครเปนแม พอโตขึ้นมาถงึ ไดทราบ วา นั่นเปนพอ นี่เปนแม เกดิ วนั น้ันเดอื นน้ี ก็พอแมบอก เวลาํ่ เวลาเทา นน้ั เทา น้ี ก็พอ แมบ อก หรือคนอน่ื บอกถงึ ทราบ ตวั เองไมม ที างทราบ มนั มดื มาโดยลําดบั ทั้งนัน้ เรื่องจิตนี้ มดื ดวยการลบความจําของตนใหห ายหมดดวย มันมืดไปหมด ตลอดภพ กอ นทเ่ี พง่ิ ผา นมาหยก ๆ กไ็ มท ราบได เพราะจําไมไดว า ตนเคยผา นภพชาติ และกอง ทุกขอยา งไรมาบา ง มนั ถงึ ไดโ ดนทกุ ขเ รอ่ื ยมาไมเ ขด็ หลาบ นี้แลเรื่องกองทุกข และเรมิ่ กระทบกระเทอื นตง้ั แตบ ดั นน้ั มาจนกระทง่ั ปจ จบุ นั น้ี มอี ะไรบา ง นอกจากขนั ธก บั จติ ท่ี บดขยก้ี นั อยตู ลอดเวลาหาความสขุ ความสบายใจไมไ ด ภูเขาทั้งลูก ลูกไหนมากระทบกระเทอื นเราใหไดรับความลําบาก ตนไมใหญ ๆ ทไ่ี หนมากระทบกระเทอื นเราใหล าํ บาก ไมมี ! นอ ยทส่ี ดุ รอ ยจะหาหนง่ึ กท็ ง้ั ยาก หรือ ไมมี เชน ตน ไมล ม ทบั คนอยา งน้ี รอ ยหาหนง่ึ กไ็ มม ี ทข่ี ันธล ม ทับเราน่นั ซิ ทับอยูทุกผูทุกคน ทบั อยตู ลอดเวลา การพายนื เดนิ นง่ั นอน พาขับถาย พารับประทานอาหาร พานงุ พาหม เพราะอะไร กเ็ พราะเรอ่ื งมนั ทบั ทนไมไหว ตอ งหาทางออก หาทางบรรเทากันนั่นเอง เราอยดู ว ยกนั ดว ยการบรรเทา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๖
๓๓๗ แตจิตมันไมรูในจุดนี้ มันจึงไมเห็นโทษที่มีอยูภายในตัว จติ มนั ฟงุ เฟอ เหอ เหมิ ไปโนน ไปน่ี ไปควา อนาคต ไปตามลมตามแลง วาดมโนภาพไปวา อันนั้นจะดี อนั นจ้ี ะดี จะรื่นเริงบันเทิง ทน่ี น่ั จะสขุ ทน่ี จ้ี ะสบาย จติ มนั เพลดิ เพลนิ ไปโนน เสยี มนั ลมื กองทกุ ขท ่ี มีอยูกับตัวทั้ง ๆ ทม่ี อี ยตู ลอดเวลานแ่ี หละ แตเ ราไมส นใจคดิ มันจงึ เหมือนไมม ี นจ่ี ะวา เราเหลิงหรอื ไมเหลิง ของจรงิ มีอยู แสดงอยู ความกระทบกระเทอื นในธาตใุ นขนั ธม ีอยู ทําไมไมเหน็ โทษของมนั ซ่ึงกระทบกระเทือนกนั อยูตลอดเวลา แลว เราจะหวงั เอาความ เพลิดเพลินอะไรจากสิ่งเหลานี้เลา ยง่ิ เวลาเจบ็ ไขไ ดป ว ยแลว กย็ ง่ิ ไปใหญ ยง่ิ ทบั ยง่ิ ถม เขามาทุกดา นทกุ ทางทุกแงทกุ มุมทเี ดียว อวยั วะสว นไหนๆ กเ็ ปน ทกุ ขไ ปดว ยกนั เปน ไฟไปดว ยกนั หมด เผาลงมาทจ่ี ติ ใจ ถา จติ ใจไมม ธี รรมเปน เกราะปอ งกนั อยดู ว ยแลว ก็ เปนไฟไปดวยกันกับธาตุขันธ จะยง่ิ มคี วามทกุ ขร อ น ยง่ิ เปน ไฟกองทร่ี อ นทส่ี ดุ ยิง่ กวา ธาตขุ นั ธเ สยี อกี เพราะความหลง ความรเู ทา ไมถ งึ การณน่แี หละ จงึ เรยี กวา “สงคราม” จงพิจารณาอยางนี้ ทนี เี้ มอื่ ถงึ คราวจะตายละ ทกุ ขจ ะแสดงขน้ึ มาในขนั ธใ นจติ ขนาดไหน มันไม เหมือนขณะเกิด ขณะเกดิ ความจาํ ไมม ี สภาพของเดก็ กเ็ ปน อกี อยา งหนง่ึ ทั้ง ๆ ทท่ี กุ ข ความจดจาํ สง่ิ เหลา นน้ั กไ็ มค อ ยมี ความรูเดียงสาภาวะเกี่ยวกับเรื่องทุกข เดก็ กไ็ มค อ ยมี มาก ทั้ง ๆ ทท่ี กุ ขเ หมอื นกนั กต็ าม แตตอนเปนผูใหญเราน่ซี ิ เวลาเจ็บไขไ ดปวยเขาหนัก ๆ นี่เปนอยางไร เราจะ ปลงจติ ลงทไ่ี หน เพราะมันมีแตไฟทั้งนั้น ถงึ วาระสดุ ทา ยมนั เปน ไฟดว ยกนั หมด ราง กายเปน ไฟทง้ั กองเลย ไมวาขางบนขางลางแตะตองไมได มนั เปน ไฟทง้ั นน้ั เราจะปลง จิตปลงใจลงไดอยางไร ถาไมฝกพิจารณาใหรูตามความจริงของมันเสียตั้งแตบัดนี้ การพจิ ารณาใหรูเ รอ่ื งตามความจรงิ ของมนั ก็ทําความเขาใจกันถกู ตองตามที่ เคยแสดงใหฟง รูปเปนรูป ไมใชเรา นเ่ี ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ จรงิ อยา งหาอะไรเทยี บไม ไดเลย จรงิ อยา งสดุ สว น เวทนาเปน เวทนา คอื ทกุ ขข นาดไหน ก็เปนเรื่องของทุกข แม แตทุกขเองมันยังไมทราบความหมายของมัน เราไปใหค วามหมายมนั ทาํ ไม เราไปแบก ความหมายไวในหวั อกของเราใหท กุ ขทําไม เวทนาเองมนั ยงั ไมท ราบความหมายของ มัน แลวมันก็ไมทราบวามันเปนทุกขเวทนา มนั ไมทราบวามนั ใหรายแกผ ูใด มันเปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ลว น ๆ ตามหลกั ธรรมชาตขิ องมนั โดยตวั มนั เองกไ็ มใ หค วามหมาย ตัวเอง และไมท ราบความหมายของตวั เอง เราทาํ ไมจึงตองไปใหความหมายมัน แลวไป แบกความหมายนน้ั มาเปน ไฟเผาตัว นี่ก็แสดงวาเราโง แนะ ! ถาเราทราบเสยี อยางนี้ แลว เรากเ็ ขา ใจวานัน่ เปนเวทนา นน่ั เปน ทกุ ขอ นั หนง่ึ เราผรู ผู ดู นู ่ี จะดูใหเห็นจนถึง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๓๓๗
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 492
Pages: