Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมชุดเตรียมพร้อม

ธรรมชุดเตรียมพร้อม

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-05-22 00:55:29

Description: ธรรมชุดเตรียมพร้อม

Search

Read the Text Version

๔๕๐ มนั ปรงุ ขน้ึ ทใ่ี จ ตวั นเ้ี ปน ตวั หลอกลวง จติ ขยบั เขา ไปตรงน้ี ๆ เรอ่ื งวา เสอื วา ชา งทเ่ี ปน อนั ตรายภายนอก มนั เลยหายกงั วล เพราะตัวนี้เปนตัวกอกรรม ตัวนี้เปนตัว หลอกลวง สตปิ ญ ญาโหมตวั เขา มาจบั จดุ ทต่ี รงน้ี ซึ่งเปนตัว ”โจรผูราย”ยแุ หยก อ กวน จนไดที่ เมอ่ื เหน็ จดุ สาํ คญั ทเ่ี ปน ตวั กอ เหตแุ ลว จดุ ทก่ี อ เหตนุ ก้ี ร็ ะงบั ตวั ลงได เพราะ อาํ นาจของสติ อาํ นาจของปญ ญาคน ควา ลง จนขาศึกที่จะปรุงเปนเสือเปนชางเปนตน หมอบราบลง เรอ่ื งความกลวั หายหมด จะไมหายยังไง ก็ผูไปปรุงมันไมปรุงนี่ เพราะรูตัวของ มนั แลว วา “นต่ี วั อนั ตรายอยทู น่ี ่ี ไมไ ดอ ยกู บั เสอื กบั ชา งอะไรทไ่ี หน ถงึ ความตายอยทู ่ี ไหนกต็ าย คนเรามี “ปา ชา” อยทู กุ แหง ทกุ หนทกุ อริ ยิ าบถ แนะ ! ไปหวั่นไปไหวอะไรกบั เรื่องความเปนความตาย กเิ ลสทม่ี นั ครอบคลมุ อยทู ห่ี วั ใจนเ้ี ปน ภยั อนั สาํ คญั อยตู ลอด เวลา ทุกภพทุกชาติดวย จึงควรจะแกที่ตรงนี้ เชน ความกลวั มนั เปน กเิ ลสอยา งหนง่ึ ตองใชสติปญญาหันเขามาที่นี่ ยอ นเขา ทน่ี ่ี จิตก็สงบตัวลงไปเทานั้น เมอ่ื จติ สงบตวั ลง ไป ถึงจะคิดจะปรุงไดอยูก็ตาม แตความกลัวไมมี เพราะจิตไดฐานที่มั่นคงภายในใจ แลว นี่เราเหน็ คณุ คา เราเห็นผลประโยชนจากสถานที่นี้ดวยความเพียรอยางนี้ กย็ ิ่งขยนั เขาไปเรื่อย ๆ เพื่อธรรมขั้นสูง ตองหาที่เด็ดเดี่ยวไปโดยลําดับ เพอ่ื ธรรมขน้ั สูงยิ่งกวา น้ี ขึ้นไป การประกอบความเพยี รในทคี่ บั ขนั เชนน้นั เปนผลประโยชนไดเร็วยิ่งกวาที่ ธรรมดา เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทนุ มนี อ ยกอ็ ยากจะไดก าํ ไรมาก ๆ จะทําอยางไรถึงจะเหมาะ สม กต็ อ งหาทเ่ี ชน นน้ั เปน ทาํ เลหากนิ และซอ้ื ขายละซิ เมอ่ื กเิ ลสหมอบลงแลว ใจรื่นเริงบันเทิงอยูกับอรรถกับธรรม เห็นทั้งโทษเห็นทั้ง คณุ ภายในจติ ใจผหู ลอกลวง ผกู อ กวน ผยู แุ หยต า ง ๆ ใหเ กดิ ความสะทกสะทา นหวน่ั ไหว ใหเ กดิ ความกลวั เปน กลวั ตายอะไร มนั อยใู นจติ ใจ รูเรื่องของมันในที่น่ีแลว กเิ ลส กส็ งบ ธรรมกก็ า วหนา เร่อื งเหลา นีส้ งบก็เรียกวา “ขา ศกึ สงบ” ใจกเ็ ยน็ สบาย เอา เดนิ เสือจะกระหึ่ม ๆ อยกู ก็ ระห่มึ ไป เพยี งเสยี งอนั หนง่ึ เทา นน้ั เขากต็ ายน่ี เสอื ก็มปี า ชา เตม็ ตัวของมัน เราก็ มีปาชาเต็มตัวของเรา กลวั อะไรกบั สตั วก บั เสอื ! กเิ ลสกดั หวั ใจอยตู ลอดเวลาทาํ ไมไม กลวั น!่ี เอาที่ตรงนี้! บทเวลาจะพาเอาจริงเอาจัง ใหหมุนติ้ว ๆ จนเกดิ ความกลา หาญชาญชยั ขน้ึ มาท่ี น่ี จิตก็จริงจังอยางเต็มภูมิ เสอื จะมสี กั กร่ี อ ยตวั กพ่ี นั ตวั กม็ าเถอะ เสอื นน่ั นะ ! เรากเ็ ปน สัตวเกิด แก เจ็บ ตาย ดว ยกนั เหมอื นสตั วท ง้ั หลายเหลา นน้ั หมด ไมเห็นมีอะไรยิ่ง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๐

๔๕๑ หยอ นกวา กนั จิตมันคิดไปอยางนั้นเสีย มนั รูไปอยา งนนั้ เสีย จิตก็เลยรื่นเริงบันเทิง สบาย แลว กเิ ลสคอ ยหมดไป ๆ หรอื หมอบลง ๆ ราวกบั ตวั แบนแนบตดิ พน้ื นน่ั แล โผล หัวขึ้นมาไมไดเดี๋ยวถูกสังหารเรียบไป อา ว ทนี ค้ี น ทางดา นปญ ญา เมอ่ื สง่ิ กงั วลภายนอกทจ่ี ติ ไปเกย่ี วขอ งระงบั ตวั ลง ไป ๆ เพราะไมคิดไมยุง เนอ่ื งจากสตปิ ญ ญาตตี อ นเขา มาแลว เราคน วงภายในทน่ี ้ี เอา คน ลงไปเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ เรื่องอายตนะ เอาหลักพระพุทธเจา เอาหลัก “สวากขาตธรรม” เขาไปเปนเครื่องพิสูจนเปน เครื่องยืนยัน เพราะเปนธรรมชาติที่ใหความเชื่อถือได คนลงไป! ทา นวา “อนิจฺจ”ํ อะไรเปนอนิจฺจํ ? ดูใหเห็นชัดเจนตามความจริงที่พระองคทรง สอนไวซ ง่ึ เปน ความจรงิ ลว น ๆ นั้น เวลานจ้ี ติ ของเรามนั ปลอม อนั นเ้ี ปน “อนิจฺจํ” มันก็ วาเปน “นิจฺจ”ํ อนั นเ้ี ปน ทกุ ขฺ ํ มันกว็ า “สขุ ํ” อนั นเ้ี ปน “อนตตฺ า” มนั กว็ า เปน “อตฺตา” ตวั ตนอยอู ยา งนน้ั แหละ อะไร ๆ มนั กไ็ ปกวา นมาเปน ตวั เปน ตนไปหมด มันฝนธรรม ของพระพุทธเจาอยูร่ําไป เมอ่ื เขา ไปอยใู นทค่ี บั ขนั เชน นน้ั แลว มนั ไมฝ น มนั ยอม! เมื่อยอมพระพุทธเจา แลว มนั กเ็ ปน ธรรมเทา นน้ั เอง (๑) อยา งนอ ยก็ “สมณธรรม” คอื ความสงบเยน็ ใจ (๒) ยง่ิ กวา นน้ั กค็ อื ความเฉลยี วฉลาดทางดา นปญ ญา แยกธาตแุ ยกขนั ธเ หน็ อยางประจักษ เวลาเห็นชัดเจนแลวก็ไมเห็นมีปญหาอะไรนี่ พระพทุ ธเจาตรสั ไวช อบแลว ชอบจรงิ ๆ เปดเผยอยูดวยความจริง สอนดว ย ความจริง สิ่งที่สอนก็เปนความเปดเผยอยูตามธรรมชาติของตน ไมมีอะไรปดบังลี้ลับ นอกจากความโงซ ง่ึ เปน เรอ่ื งของกเิ ลสเทา นน้ั ปดบังตัวเองไมใหรูความจริงที่เปดเผยอยู ตามหลักธรรมชาติของตนได เมือ่ พิจารณาไมหยดุ ไมถ อย มนั กร็ ูเขามาเอง ใหถ อื ธาตุ ขนั ธ อายตนะนแ้ี ลเปน สนามรบ เปน สถานทท่ี าํ งาน ทเ่ี รยี กวา “กมั มฏั ฐาน ๆ” นะ กรรมฐานก็ใชไดไมเปนกรรมฐานปลอม พิจารณาตรงนี้แหละ มันติดที่ตรงนี้ ไมติด อะไรเปนสําคัญ แตติดตรงนี้ จงคน ควา ดเู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ ดูทุกแงท กุ มมุ แหง อวัยวะ เมื่อถึงกาลที่ธรรมจะ ซมึ ซาบแลวก็เหมอื นไฟไดเ ช้อื มันสืบตอไปไหมลุกลามไปเรื่อย จนหมดเชื้อจึงจะหยุด (๓) พอถงึ ขน้ั ปญ ญาทจ่ี ะซมึ ซาบใหเ หน็ อวยั วะสว นตา ง ๆ ซึ่งมีความเสมอกนั มันแทงทะลุปรุโปรงไปหมด หายสงสัย ปลอยวางไดตามความจริง เบาหววิ ไปเลย แนะ !การพจิ ารณา พจิ ารณาอยา งนน้ั น่ีแหละตวั จริง! ตาํ รบั ตาํ ราทา นสอนไวม ากนอ ยก่ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๑

๔๕๒ คัมภีร สอบเขา มาหาตวั จรงิ นแ่ี ล เชน “สมาธิ” อะไรเปนสมาธิ หนงั สอื ไมไ ดเ ปน สมาธิ เปนตัวหนังสือ กเิ ลส หนงั สอื ไมไดเปน กเิ ลส ใจของเราเปนกิเลส แนะ ! ปญญา หนังสือ ไมไดเปนปญญา เปนชื่อของปญญาตา งหาก เปนช่ือของกิเลส เปนชื่อของกองทกุ ขต าง หาก ตวั ทุกขจรงิ ๆ คือตัวเรา ตวั กเิ ลสจรงิ ๆ คือใจของเรา ตัวปญญาจริง ๆ อยทู ใ่ี จ ของเรา ตาํ ราทา นสอนชเ้ี ขา มาทน่ี ่ี ๆ จึงวา “ใหโ อปนยโิ ก นอ มเขา มาสตู วั เรา” ใหเห็น ความจรงิ อยใู นสถานทน่ี ้ี ความมืดมดิ ปดตากป็ ดอยทู นี่ ่ี เวลาสวา งกส็ วา งขน้ึ ทน่ี !่ี การพจิ ารณาดว ยปญ ญา กเ็ พอ่ื จะเปด สง่ิ ทป่ี ด กาํ บงั อนั ฝน ธรรมทง้ั หลายนน้ั ออกไปถงึ ขน้ั ความจรงิ จติ ใจของเรากจ็ ะโลง และเหน็ ตามความจรงิ “โลกวทิ ู” รูแจง โลก รอู ะไร ถา ไมร แู จง สง่ิ ทป่ี ด บงั อยภู ายในธาตใุ นขนั ธข องเรานก้ี อ นอน่ื ไมม อี ะไร จะรู ตองรูที่นี่กอน! ทกุ ขก ป็ ด บงั สมุทัยก็ปดบัง เมื่อเกิดทุกขขึ้นมา ธรรมอยูที่ไหนก็ลมเหลวไปหมด แนะ ! มนั ปด บงั มนั ทาํ ลายธรรมของเราไดหมด วริ ยิ ธรรมกถ็ กู ทาํ ลาย สตปิ ญ ญา ธรรมกถ็ กู ทาํ ลาย ขนั ตธิ รรมกถ็ กู ทาํ ลายดว ยอาํ นาจแหง ความทกุ ข ถา สตปิ ญ ญาไมส ามารถแกก ลา ไมม คี วามอาจหาญจรงิ ๆ จะเปด ความทกุ ข นข้ี น้ึ มาใหเ หน็ เปน ของจรงิ ไมไ ด ทั้ง ๆ ที่ทุกขนั้นเปนของจริงอันหนึ่ง แตเ รากค็ วา เอา มาเปนของปลอม เปนฟนเปนไฟเผาจิตใจของตนจนแหลกเหลวไปได ทาํ ความเพยี ร ติดตอกันไมไดเลยเพราะทุกขเขาไปทําลาย อะไรปดบังจิตใจ? กท็ กุ ขน เ่ี องเปนเครื่องปดบัง สมทุ ยั กเ็ หมอื นกนั คดิ อะไร หลอกข้นึ มาตัง้ แตเรือ่ งปดบงั เรือ่ งจอมปลอมทง้ั นั้น เราก็เชื่อมันไปโดยลําดับ ๆ กย็ ง่ิ เพม่ิ ทกุ ขข น้ึ มามากมาย ตองใช “สติ ปญ ญา” เปดสิ่งเหลานี้ใหเห็นตามความจริงของมัน เมอ่ื สตปิ ญ ญา “จอ” เขา ไปถงึ ไหน รูเขาไปถึงไหน ความรูแ จงเหน็ จริงและการปลอ ยวาง จะปรากฏขึ้น มา เดนขึ้นมา แลว ความปลอ ยวางจะเปน ไปเอง คอ ยปลอ ยวางไปเรอ่ื ย ๆ ปลอ ยวางไป เรื่อย ๆ ตามความซาบซง้ึ ของปญ ญาทม่ี กี าํ ลงั เปน ลาํ ดบั จนหมดปญ หา คาํ วา “ธาตขุ นั ธ” พระพทุ ธเจา ทา นทรงสอนไวได ๒๕๐๐ กวา ปน ้ี ลว นแตเ ปน ความจริงตลอดมาจนกระทั่งปจจุบัน ทาํ ไมถงึ เพง่ิ มาทราบกนั วนั นร้ี กู นั วนั น้ี ธาตขุ นั ธม ี มาตั้งแตวันเกิดทําไมแตกอนไมเห็น กายของเราวา เปน “อนิจฺจ”ํ ก็ไมเห็น เปน “ทุกฺขํ”ก็ ไมเ หน็ เปน “อนตตฺ า” ก็ไมเห็น เปน “อสภุ ะอสภุ งั อะไร ๆ” ก็ไมเห็น ทั้งที่มันก็เปน ความจริงของมันอยูอยางนั้นแตใจก็ไมเห็น แลว ทาํ ไมเพง่ิ มาเหน็ กนั วนั น้!ี สง่ิ เหลา น้ี เพิ่งมีวันนี้เทานั้นหรือ? เปลา! มมี าตง้ั แตว นั เกดิ ! แตเพราะความมืดมิดปดตาบังอยู ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๒

๔๕๓ อยา งหนาแนน แมสิ่งเหลานี้จะมีอยูกับตัวเราก็ไมเห็น ตวั เราอยกู บั “อนิจฺจ”ํ ก็ไมเห็น อนิจฺจํ อยกู บั ทกุ ขฺ กํ ็ไมเห็นทกุ ขฺ ํ อยกู บั อนตฺตาก็ไมเห็นอนตฺตา แลว จะเหน็ “ธรรมหรือ ความจริงแทแนนอน” ไดท ไ่ี หนกนั ! เมือ่ สติปญญาหยัง่ ลงไปกเ็ ปดเผยออกมาเรอ่ื ย ๆ ไมต อ งบอกเรอ่ื ง “อปุ าทาน” จะขาดสะบน้ั ไปมากนอ ยเพยี งใดนน้ั ขน้ึ อยกู บั สตปิ ญ ญา ใหพ จิ ารณาเตม็ พลงั ฉะนน้ั จงผลติ สติปญญาขึน้ ใหมาก อยา กลวั จติ ตาย อยา กลวั จติ ฉบิ หาย อยากลัวจิตลมจม ธรรมชาตินี้ไมลมจม เพราะธรรมชาตินี้เทานั้นที่จะพิจารณาสิ่งทั้งหลาย สง่ิ เหลา นก้ี ็ อาศยั ธรรมชาตนิ อ้ี ยดู ว ยกนั ไป ถาเราหลงถือวาเปนเรา สิ่งนั้นก็เปนภัยตอเราได ถาเรารู กต็ า งอนั ตา งจรงิ อยดู ว ยกนั สะดวกสบายในทท่ี ง้ั หลาย! นกั รบตอ งเปน ผกู ลา หาญตอ ความจรงิ ใหเ หน็ ความจรงิ จิตเปนผูท ช่ี อบรชู อบ เห็น มนี สิ ยั อยากรอู ยากเหน็ อยตู ลอดเวลา ขอใหน อ มความอยากรอู ยากเหน็ นน้ั เขา มาสู “สัจธรรม” ใหอ ยากรอู ยากเหน็ ใน “สัจธรรม” คือความจริง พระพทุ ธเจา ทรงสอนวา เปนความจริง จริงแคไหนใหเห็นดวยสติปญญาของตัว เอง จะเปนที่หายสงสัยวา ออ พระพุทธเจาทานวาสัจธรรมเปนของจริง จริงอยาง น!้ี อยา งทเ่ี ราเหน็ ในปจ จบุ นั น้ี ทกุ ขกจ็ รงิ อยางนี้ สมทุ ยั กจ็ รงิ อยา งน้ี ปญ ญากจ็ รงิ อยา งน้ี จิตก็จริงอยางนี้ เห็นไดชัด ๆ หายสงสยั เรอ่ื งพระพทุ ธเจา กห็ ายสงสัย เรอ่ื งความ พากเพียรของพระพุทธเจาที่ทรงบําเพ็ญอยางไรมาบาง กห็ ายสงสยั อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ที่ ทรงสอนไวอ ยา งไร หายสงสยั ไปหมด นั่น! เมอ่ื ถงึ ขน้ั นน้ั หายสงสยั หายไปโดยลําดับจน ไมมีอะไรเหลืออยูเลย เพราะฉะนั้นจงพิจารณา “ขนั ธ” ของเราน้ี เอาใหดี ยง่ิ เปน หวั เลย้ี วหวั ตอ ดว ย แลวเราจะนอนใจไมได เอาลงใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลกนั จนกระทั่งสิ้นลม เอา ลมมนั สน้ิ ไปจากตวั ของเรานก้ี ไ็ มฉ บิ หาย มันก็ไปเปน “ลม” ตามเดิม มัน เพียงผานจากเราไปตางหาก คําวา “เรา” เอาดินเอาน้ําเอาลมเอาไฟมาเปน “เรา”ดนิ สลายลงไปจากคาํ วา เรานก้ี ไ็ ปเปน ดนิ นาํ้ สลายลงไปจากคาํ วา เรานก้ี ไ็ ปเปน “นาํ้ ”ไปเปน ลม ไปเปนไฟ ธรรมซาติคือใจนี้ก็เปน “ใจ” แยกกนั ใหเ หน็ ตามกาํ ลงั ของสตปิ ญ ญาของ เราอยาทอเลย! นเ่ี หละความชว ยตวั เองชว ยอยา งน้ี ไมม ผี ใู ดทจ่ี ะสามารถชว ยเราได ยิ่งถึงขั้น จาํ เปน จาํ ใจ ขน้ั จนตรอกจนมุมจริง ๆ แลว มแี ตน ง่ั ดกู นั เฉย ๆ นน่ั แหละ ไมมีใครที่ จะชวยเราได ถา เราไมร บี ชว ยเราดว ยสตปิ ญ ญา ศรทั ธา ความเพยี ร ของเราเสยี ตง้ั แตบัดนี้ จนเปนที่พอใจ เปน ทแ่ี นใ จ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๓

๔๕๔ สว นความตอ งการเฉย ๆ โดยไมทําอะไรนั้นไมม คี วามหมาย ถา ความเพยี รไม เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ความเพียรจึงเปนสิ่งสําคัญ อดทนตอความจรงิ อดทนตอ อรรถ ตอ ธรรมไมเ สยี หาย เราอดทนตอ สิ่งอ่นื ตรากตราํ ตอ สง่ิ อน่ื ๆ เราเคยตรากตรํามามาก แลว เราเคย! คาํ วา “เราเคย” แลว สง่ิ นท้ี าํ ไมเราจะไมส ามารถ ธรรมของพระพุทธเจาไมใช “เพชฌฆาต” พอจะฆาคนทม่ี คี วามเพียรอันกลา หาญใหฉ บิ หายวายปวงไปน่ี นอกจากฆา กเิ ลสอาสวะซง่ึ เปน ตวั ขา ศกึ อยภู ายในจติ ใจให เราลุมหลงไปตามเทานั้น จงพิจารณาลงใหเห็นชัดเจน ดใู หด สี ง่ิ เหลา นก้ี บั จติ มนั สนทิ กนั มาเปน เวลานาน ติดจมกันมาเปนเวลานาน จนแยกไมอ อกวา “อะไรเปน เรา อะไรเปน ธาตเุ ปน ขนั ธ”จึง รวมเอามาหมดนว้ี า เปน เรา ทั้ง ๆ ที่มันไมใชเรา ตามหลกั ความจรงิ ของทา นผรู ไู ปแลว ทา นเหน็ อยา งนน้ั จรงิ แตจิตของเรามันฝนอยางนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องทุกขมันจึงแทรกเขา มาตามความฝนซึ่งเปนของผิดนั้น ใหไ ดร บั ความลาํ บากอยเู สมอ ถาเดินตามหลกั ความจรงิ ที่พระพทุ ธเจา ทรงสอนไวแ ลวน้ี และรูตามนี้แลวจะไม มปี ญหาอะไร ธาตกุ เ็ ปน ธาตุ ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธ ใหช อ่ื มนั วา อยา งไรกเ็ ถอะ “เขา” เปน สภาพของเขานั่นแหละ เราเปนผูใหชื่อ “เขา” วา “นี่เปนธาตุ นน่ั เปน ขนั ธ นี่เปนรูป นน่ั เปนเวทนา น่นั เปนสญั ญา นี่เปนสังขาร นน่ั เปน วญิ ญาณ” ขอใหป ญ ญารทู ว่ั ถงึ เทา นน้ั แหละ มนั หมดสมมตุ ไิ ปเอง แมไมไปสมมุติมันก็ เปน “อาการหนง่ึ ๆ” เทานั้น เมื่อทราบความหมายของจิตเสียอยางเดียวเทานั้น ส่งิ นน้ั ๆ กเ็ ปน ความจรงิ ของมนั ลว น ๆ จิตก็มาเปนความจริงของตนลวน ๆ ไมคละเคลา กนั จงพิจารณาใหเห็นชัดอยางนี้ เหน็ สง่ิ เหลา นน้ั แลว กค็ น ลงไป มันอะไรกัน จิตดวง นี้ทําไมถึงไดขยันนักกับเรื่องเกิดเรื่องตาย ทั้ง ๆ ทโ่ี ลกกก็ ลวั กนั นกั หนา เราเองกก็ ลวั ความตาย แตทําไมความเกดิ นีจ้ ึงขยันนกั ตายปบเกิดปุบ แนะ! เกดิ ปบุ กแ็ บกเอาทกุ ข ปุบ แน! ทําไมจึงขยันนัก พิจารณาใหเห็น มนั เกดิ ไปจากอะไร? เรื่องอะไรพาใหเกิด? ถาไมใชจากจิตที่มีเชื้ออันสําคัญแฝง อยภู ายในน้ี จะเปนอะไรพาใหเกิดพาใหเปนทุกข การเกดิ เปน บอ เกดิ แหง ทกุ ข พิจารณาลงไปคนลงไป เอา อะไรจะฉบิ หายใหเ หน็ ใหร ู เพราะเราตองการความจริงนี่ อะไรจะฉิบหายลงไปใหมันรูดวยปญญาของเรา รูดวยจิตของเรา อะไรมันไมฉ บิ หายก็ ใหรูดวยจติ ของเราอีกนั่นแหละ จะหมดปญ หาอยทู จ่ี ดุ นน้ั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๔

๔๕๕ ปญ หาใหญอ ยทู จ่ี ติ กวา นอะไร ๆ รวมเขา มาไวใ นตวั หมด ไปกวา นเอาขา ง นอกเขามา พอถกู ตดั ดว ยสตปิ ญ ญาแลว กห็ ดตวั ไปอยภู ายใน ไปหลบซอ นอยภู ายในจติ นน้ั จติ กถ็ อื อนั นว้ี า เปน ตนอกี กห็ ลงอกี เพราะฉะนั้นจึงตองใชปญญาพิจารณาเขาไป อกี ฟนเขาไป ฟาดเขาไปใหแหลกละเอียดไปตาม ๆ กนั หมด อะไรทไี่ มใชของจริงในหลักธรรมชาติซ่งึ มีอยภู ายในจติ นั้นแลว มนั จะสลายตวั ลงไป อนั ใดเปน ธรรมชาตขิ องตวั เองแลว จะไมส ลาย เชน ความรู เมื่อแยกสิ่งที่แปลก ปลอม สง่ิ ทแ่ี ทรกซมึ ทง้ั หลายออกหมดแลว จิตก็เลยเปนจิตลวน ๆ เปน ความบรสิ ทุ ธ์ิ จะฉบิ หายไปไหนความบรสิ ทุ ธน์ิ ะ ! ลองคน หาดซู ิ ปา ชา แหง ความบรสิ ทุ ธ์ิ ปา ชา แหง จติ นไ้ี มม ี ไมป รากฏ! ยิ่งชําระสิ่งจอมปลอมที่พาใหไปเที่ยวเกิดในรางนั้น ถอื ในรา งนน้ั รา งน้ี ออกหมด แลว ยิ่งเปนความเดนชัด นแ้ี ลทา นวา “ธรรมประเสริฐ” ! ประเสริฐที่ตรงนี้ แตก อ นผนู ้ี แหละเปน ตวั สาํ คญั หลอกลวงตวั เองอยตู ลอดเวลา สง่ิ ทพ่ี าใหห ลอกมนั อยใู นจติ จิตนี้ จงึ เปน เหมอื นลกู ฟตุ บอลนน่ั แหละ ถูกเตะกลิ้งไปกลิ้งมา กิเลสนี้แหละมันเตะ ฟนขา กิเลสใหแหลกเสียมันจะไดไมเ ตะ ฟนดวยปญญาของเรา ดว ยสตขิ องเราใหแ หลกหมด ใหตรงแนว นิพพานเที่ยงจะไปถามที่ไหนเลา? พอถึงจุดที่เที่ยง คือไมมีอะไรที่จะเขา มาแทรกสงิ ไดอ กี แลว มันก็ไมเอนไมเอียง นน่ั แหละ “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” รูกันตรงนี้ เปน“สนฺ ทิฏฐิโก” อนั เตม็ ภมู ิ “ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ”ิ ทานผูรูทั้งหลายรูจําเพาะตน รูที่ตรงนี้เปนจุดสุด ทา ย รูที่ตรงนี้แลวเรื่องก็หมดที่ตรงนี้ เรื่อง “ปาชา” ทง้ั หลาย เคยเปนความเกิดความตายมาเทาไร ๆ แลว มาดบั กนั ท่ี ตรงนี้ นเ่ี รยี กวา “งานลา งปา ชา ” คืองานกรรมฐาน! ฐานนแ่ี หละ งานลา งปา ชา ของ ตนลางที่ตรงนี้ ภพนอยภพใหญลา งออกใหห มดไมม ีอะไรเหลอื นผ่ี ลทเ่ี กดิ ขน้ึ จาก ประพฤติปฏิบัติตั้งแตขั้นเริ่มแรก เขาอยใู นปา ในเขา การฝกฝนทรมานตนไมวาจะอยูใน สถานทใ่ี ด ๆ ที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนใหไป “เที่ยวกัมมัฏฐาน” ไปเทย่ี วแบบนแ้ี หละ ทนี ค้ี าํ วา “กมั มฏั ฐาน” (กรรมฐาน) นม้ี อี ยดู ว ยกนั ทกุ คน ไมว า นกั บวช ไมวา ฆราวาส “กมั มฏั ฐาน” คืออะไร? เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นน่ั ! “ตจปญจก กัมมัฏฐาน” แปลวา กมั มฏั ฐานมี “หนงั ” เปน ทห่ี า เปน คาํ รบหา กม็ อี ยกู นั ทกุ คนนไ่ี ม วา พระวา เณร พิจารณาตรงนี้เรียกวา “พิจารณากัมมัฏฐาน” เที่ยวอยูตรงนี้เรียกวา“เที่ยว กัมมัฏฐาน” หลงกห็ ลงอนั น้ี พจิ ารณาอนั นร้ี แู ลว กร็ กู มั มฏั ฐาน ถอดถอนกมั มฏั ฐาน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๕

๔๕๖ ถอดถอนภพถอดถอนชาติ รื้อวฏั สงสารกร็ ้อื ที่ตรงน้ี รวมเขาไปก็ไปรื้อที่ใจ กห็ มด ปญหาที่ตรงนั้น นน่ั แหละกรรมฐานสมบรู ณแ ลว “วสุ ติ ํ พฺรหฺมจริยํ” พรหมจรรยไดอยู จบแลว หรอื วา งานกรรมฐานเสรจ็ สน้ิ แลว จบที่ตรงนี้ จบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ศาสนาลงทจ่ี ดุ น้ี เมอ่ื ถงึ จดุ นแ้ี ลว พระพทุ ธเจา ไมท รงสง่ั สอนอะไรตอ ไปอกี เพราะศาสนาธรรมมงุ จุดน้ี คือมุงลางปาชาของสัตวที่ตรงนี้ เมอ่ื ถงึ จดุ นแ้ี ลว กเ็ ปน อนั วา หมดปญ หา สาวกจะอยดู ว ยกนั กร่ี อ ยกพ่ี นั องค ทานจะไมมีอะไรสอนกัน เพื่อการบํารุงอยาง โนน บาํ รงุ อยา งน้ี แมจะรุมลอมพระพุทธเจาอยูก็ตาม พระองคก ไ็ มท รงสอนเพอ่ื การละ กเิ ลส เพราะไดละกันหมดทุกสิ่งทุกอยางแลว ดังใน “โอวาทปาฏโิ มกข” ในวนั มาฆบชู าท่ี ไดเทศนเมื่อคืนนี้ “สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาส นํ ” แนะ ! ทา นประกาศ แสดงเปนสัมโมทนียกถา เครื่องรื่นเริงสาํ หรบั สาวกเทาน้ัน ไม ไดจ ะแสดงใหส าวกจะถอนอะไร เพราะบรรดาสาวกเหลา น้ันลว นแตเ ปน พระอรหันต เปนผูสิ้นกิเลสอาสวะโดยประการทั้งปวงแลว การทาํ บาปกไ็ มม ี ความฉลาดกถ็ งึ พรอ ม จิต กบ็ รรลถุ งึ ขน้ั บรสิ ทุ ธห์ิ มดจดทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว ถกู ตอ งตามหลกั วา “เอตํ พุทฺธาน สาสน”ํ น่ีเปนคําสอนของพระพุทธเจา ทุก ๆ พระองคแลว ทา นไมส อนเพอ่ื ใหล ะกเิ ลส อันใดอีกตอไปเลย พระอรหนั ตท า นอยกู นั จาํ นวนเทา ไรทา นจงึ สะดวกสบาย ทานไมมีอะไรกระทบ กระเทอื นตนและผอู น่ื เพราะเปน ความบรสิ ทุ ธลิ์ ว น ๆ ดว ยกนั แลว แตพ วกเรามนั มกี เิ ลสอยภู ายในน่ี ไมไดทะเลาะกับคนอื่นก็ทะเลาะกับตนเอง ยงุ กบั ตวั เอง นอกจากยงุ กบั ตวั เองแลว กเ็ อาเรอ่ื งตวั เองนไ้ี ปยงุ กบั คนอน่ื อกี ระบาดไป หมด ขโ้ี ลภ ขี้โกรธ ขห้ี ลง เอาไปปา ยไปทาคนนน้ั คนนแ้ี หลกเหลวไปหมด รอ งกนั อลหมา นวนุ ไปหมด เลยเปน สภามวยฝปาก สภามวยนาํ้ ลายขน้ึ มาในวดั ในวาอยา งนก้ี ม็ ี มากมายหลายแหง แขง ดกี นั กเ็ พราะของสกปรกทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจนเ้ี อง ถา หมดนแ่ี ลว ก็หมดปญหา เอาละ การแสดงธรรมกเ็ ห็นสมควร <<สารบญั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๖

๔๕๗ ธรรมะ จากจดหมายของทา นพระอาจารยม หาบวั ญาณสมฺปนฺโน มีถึง นางเพาพงา วรรธนะกลุ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๑๙ การปฏิบัติธรรมสมควรแกธรรม ที่ประทานไวดวยพระเมตตาสุดสวนไมมีใคร เสมอในโลก นน้ั คอื การบชู าพระองคท า นแท การเหน็ ความจรงิ ทม่ี อี ยกู บั ตวั ตลอดเวลา ดวยปญญาโดยลําดับ นนั้ ก็คือการเหน็ พระตถาคตโดยลําดบั การเหน็ ความจรงิ อยา ง เต็มใจดวยปญญานั้นแล คือการเห็นพระพุทธเจาเต็มพระองค พระพุทธเจาแท ธรรม แทอ ยทู ใ่ี จ การอุปฏฐากใจตัวเอง คอื การอปุ ฏ ฐากพระพทุ ธเจา การเฝา ดใู จตวั เองดว ย สติปญญา คือการเขาเฝาพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ อยางแทจริง พญามัจจุราช เตือน และบกุ ธาตขุ นั ธข องสตั วโ ลกตามหลกั ความจรงิ ของเขา เราตองตอนรับการเตือน และการบกุ ของเขาดว ยสติ ปญญา ศรัทธา ความเพียรไมถอยหลัง และขนสมบตั ิ คือ มรรค ผล นพิ พาน ออกมาอวดเขาซง่ึ ๆ หนา ดว ยความกลา ตาย โดยทางความเพียร เขากบั เราทถ่ี อื วา เปน อรศิ ตั รกู นั มานาน จะเปนมิตรกันโดยความจริงดวยกัน ไมมีใครได ใครเสยี เปรยี บกนั อกี ตอ ไปตลอดอนนั ตกาล ธาตุขันธเปนสิ่งที่โลกจะพึงสละทั้งที่เสียดาย เราพึงสละดว ยสติปญ ญากอนหนา ทจ่ี ะสละขนั ธแ บบโลกสละกนั นน่ั คอื ความสละอยา งเอก ไมม สี องกบั อนั ใด กรณุ าฟง ให ถงึ ใจ เพราะเขียนดวยความถึงใจ เอวํ ฯ <<สารบญั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๗

๔๕๘ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ จงสรา งสมณะขน้ึ ทใ่ี จ ทา นอาจารยม น่ั ทา นพดู เสมอ เวลาเทศนไ ปสมั ผสั หรือพูดไปสัมผสั ดงั ที่เขียนไว ใน “มุตโตทัย” ก็ดูเหมือนมี แตทานไมแยก ทานพูดรวม ๆ เอาไว ทีนี้เวลาเราเขียนเรา ถงึ ไดแ ยกออกเปน ตอน ๆ คือผูเขียน “มุตโตทัย“ ไมแ ยกออกเปน ขน้ั ตอน ทานพูดบาง ครงั้ ทานกไ็ มแยก แตก็พอทราบได เพยี งยกตน ขน้ึ มาแลว กง่ิ กา นกม็ าดว ยกนั โดยทา น วา “ธรรมของพระพุทธเจาตามธรรมชาติแลวเปนของบริสุทธิ์ แตเ มอ่ื มาสถติ อยใู น ปถุ ชุ นกก็ ลายเปน “ธรรมปลอม” เม่อื สงิ สถติ อยูในพระอรยิ บุคคลจึงเปน “ธรรมจริง ธรรมแท” นี่ทานพูดรวม ๆ เอาไว คาํ วา “อรยิ บคุ คล” มหี ลายขน้ั คอื “พระโสดา” เปน อรยิ บคุ คลชน้ั ตน ชั้นสูงขึ้นไปก็มี “พระสกทิ าคา, อนาคา, อรหันต” เปนสี่ เมือ่ แยกแลวพระอริยบุคคลผูบรรลุ “พระโสดาบัน” ธรรมในขั้นพระ โสดาบันก็เปนธรรมจริง ธรรมบริสุทธิ์สําหรับพระโสดา แตธรรมขั้น “สกทิ าคา, อนาคา, อรหันต” เหลา น้ี พระโสดายงั ตอ งปลอมอยภู ายในใจ แมจะจดจําได รแู นวทางทีป่ ฏิบตั ิ อยูอยา งเต็มใจกต็ ามก็ยงั ปลอม ทั้ง ๆ ที่รู ๆ อยนู น่ั เอง “พระสกทิ าคา” กย็ งั ปลอมอยใู นขน้ั “อนาคา”, อรหนั ต” , พระอนาคา” กย็ งั ปลอมอยใู นขน้ั “อรหัตธรรม” จนกวาจะบรรลุถึงขั้น “อรหตั ภมู ิ” แลว นน่ั แล ธรรมทุก ขั้นจึงจะบริบูรณสมบูรณเต็มเปยมในจิตใจ ไมม ปี ลอมเลย บางรายกค็ า นวา “ธรรมของพระพุทธเจาเปนของจริงของบริสุทธิ์ อยทู ไ่ี หนก็ ตองบริสุทธิ์ เชน เดยี วกบั ทองคาํ จะเปนตมเปนโคลนไปไมได” ถา ไมแ ยกออกพอใหเ ขา ใจ “ทองคําตองเปนทองคํา ไมเปนตมเปนโคลนไปได” แตเราจะปฏเิ สธไดอยางไรวา ไมม ตี มมโี คลนติดเปอนทองคําน้ัน ขณะทค่ี ละเคลา กนั อย?ู ทองคาํ ทไ่ี มต กในตมในโคลนกบั ทองคาํ ทต่ี กในตมในโคลน มันตา งกนั หรอื ไม มนั ตา งกนั นะ ! ทองคาํ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ หนง่ึ ทองคาํ ทเ่ี จอื ไปดว ยตมดว ยโคลนหนง่ึ เราจะวามัน บรสิ ทุ ธเ์ิ หมอื นกนั ไดอ ยา งไร? นน่ั ! ตอ งตา งกนั ! ถา เราจะแยกมาพดู เปน ประการท่ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๘

๔๕๙ สอง เชน อาหารทค่ี วรแกก ารรบั ประทานอยแู ลว หยบิ ยกขน้ึ มากาํ ลงั จะรบั ประทาน แต พลัดจากมือลงไปถูกสิง่ สกปรกเสีย อาหารแมจะควรแกการรับประทานก็ไมควร เพราะ มันเปอนสกปรก จนกลายเปน สง่ิ นา เกลยี ดไปหมดแลว หรือภาชนะที่เปอน อาหารแม จะสะอาดนารับประทานเพียงไรก็ตาม เมอื่ นาํ มาสูภาชนะทเ่ี ปอ น อาหารนน้ั กเ็ ปอ นไป ตาม แลวมนั จะบริสทุ ธิ์ไดอยา งไร เมื่อมันเจือดวยของเปอนหรือสกปรกอยูเชนนั้น นี่ธรรมของพระพุทธเจาก็เชนเดียวกัน ภาชนะในทน่ี ก้ี ห็ มายถงึ ใจ มีใจเทานั้น เปนคูควรแกธรรม ทีนใี้ จน้นั มีความสกปรกมากนอยเพยี งไร ธรรมที่เขามาเกี่ยวของก็ตองมีความ สกปรกไปดวยเพียงนั้น ทท่ี า นเรยี กวา “ปลอม” หมายถึงไมบริสุทธิ์แท ทีนี้ถัดจากนั้นมา เชน มาดกู นั ในคมั ภรี ใ บลานตามตาํ รบั ตาํ รากเ็ ปน ธรรม แตเราไปเรียนจากนั้น จดจํา เอามาไวใ นใจ แตใจเราเต็มไปดวยกิเลส ธรรมที่เขามาสูจิตใจเราก็กลายเปน “ธรรมจด จํา” ไปเสียไมใชธรรมจริง! ถา วา เปน ธรรมจรงิ ซง่ึ ตา งคนตา งเรยี นและจดจาํ มาดว ยกนั แลว ทําไมกิเลสจงึ ไม หมดไปจากใจ ยังมีเต็มใจอยู ทั้งๆ ทเ่ี รียนรอู ยแู ลว ทกุ สิง่ ทุกอยา งจนกระท่ังถงึ นิพพาน แตใจก็ยังไมพนจากความมีกิเลสอยูเต็มตัว ฉะน้ันธรรมจึงปลอมอยา งนเ้ี อง ถาเราไดนําธรรมของพระพุทธเจา ทั้งดานปริยัติและดานปฏิบัติ ออกคลค่ี ลาย ดว ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทท่ี า นสอนไวโ ดยถกู ตอ งแลว ธรรมจะเรมิ่ จริงไปตง้ั แต ความจดจํา เมื่อจดจําเพื่อเปนแบบแปลนแผนผังจริงๆ ไมใ ชจ ดจาํ สกั แตว า จดจาํ แลว ไมท าํ ตามแบบแปลนแผนผงั เชน เดยี วกบั บา นเรอื นจะมกี แ่ี ปลนกต็ าม ยอ มไม สําเร็จเปนบานเปนเรือนขึ้นมาได จะมีแต “แปลน” เทา น้ัน กร่ี อ ยกพ่ี นั ชน้ิ กม็ แี ตแ ปลน เรียกวาเปน “บา น” ไมได จนกวา ทาํ การปลกู สรา งขน้ึ มาจนแลว เสรจ็ สมบรู ณต ามแปลน นั้นๆ จึงจะเรียกวา “บา นเรอื น” โดยสมบูรณได การจดจาํ เพอ่ื ประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ปน อกี อยา งหนง่ึ การจดจําเฉยๆ ไมส นใจ ประพฤติปฏิบัติเปนอีกอยางหนึ่ง แตถึงยังไงก็ไมพนจากการปฏิบัติตามที่เรียนมา ตอ ง ไดป ฏบิ ตั ิ เมอ่ื ปฏบิ ตั แิ ลว “ปฏเิ วธ” คือความรูแจงแทงทะลุไปโดยลําดับ ไมต อ งหว งไม ตองสงสัย จติ จะตอ งเปน ไปโดยลาํ ดบั ตามความสามารถแหง การปฏบิ ตั นิ น้ั แล หากชาวพทุ ธเราไดห ยบิ ยก “ปรยิ ตั ”ิ และ “ปฏบิ ตั ”ิ ขน้ึ เปน ความจําเปน ความจาํ เปน เปน ความสาํ คญั ภายในตวั สมกับศาสนาเปนธรรมสําคัญ แลว ศาสนาหรอื ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๕๙

๔๖๐ บุคคลจะเปนผูเดนอยูดว ยคุณธรรม เดนดวยความประพฤติ เดน ดว ยความรคู วาม เห็น ทเ่ี ปน ไปเพอ่ื ความสงบรม เยน็ แกต นและสว นรวมมากมายทีเดียว นศ่ี าสนากส็ กั แตว า จาํ ได และมอี ยใู นคมั ภรี ใ บลานเฉยๆ คนกไ็ ปอกี แบบหนง่ึ ความจดจาํ กไ็ ปอกี แบบหนง่ึ ภาคปฏบิ ตั กิ เ็ ปน อกี แบบหนง่ึ เขากันไมได ทะเลาะกันทั้ง วนั ทง้ั คนื ภายในบคุ คลคนเดยี วนน้ั แลว ยงั ทาํ ใหแ สลงแทงตาแทงใจบคุ คลอน่ื สะดุดใจ คนอน่ื อกี ดว ยวา “ทาํ ไมชาวพทุ ธเรานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาถงึ เปน อยา งนน้ั !” นน้ั มนั ถกู ทเ่ี ขาตาํ หนิ เราหาที่คานเขาไมได! สว นไหนทผ่ี ดิ ตอ งยอมรบั วา ผดิ หากไดน าํ การปฏบิ ตั อิ อกแสดงเปน คเู คยี งกบั ปรยิ ตั แิ ลว ผลจะพงึ ปรากฏ เปน คเู คยี งกนั สิ่งที่ปรากฏขึ้นดวยใจจากการปฏิบัติที่ไดรูจริงเห็นจริงตามขั้นตามภูมิ ของตนแลว ยอมพดู ไดถกู ตองตามหลกั แหงการปฏบิ ตั ิทไี่ ดรไู ดเ ห็นตามขัน้ นั้นๆ ไม สงสัย และการพดู กจ็ ะมคี วามอาจหาญไมส ะทา นหวน่ั ไหว และเกรงกลัวใครจะคัดคาน เพราะรูจริงๆ เห็นจริงๆ จะสะทกสะทานเพื่ออะไร! ไมมกี ารสะทกสะทา น เพราะไมได ลบู ไดค ลาํ แบบสมุ เดา ไมไดยืมเอาของใครมาพูด แตน าํ ออกจากสง่ิ ทเ่ี ปน ทเ่ี หน็ ทเ่ี ขา ใจ แลวมาพูดจะผิดไปไหน! แลว จะสะทกสะทานหาอะไร เพราะตางคนตางหาความจริงอยู แลว เรากร็ ูความจริงตามกําลังของเรา พูดออกตามความรูความสามารถของตน จะมี ความสะทกสะทา นทไ่ี หนกนั ไมม!ี พระพุทธเจาเราก็ไมเคยทราบวา พระองคไปเรียนเรื่องพระนิพพานมาจากไหน มรรคมีองคแปด ท่เี รยี กวา “มัชฌิมาปฏิปทา” ก็ไมไดไปเรียนมาจากไหน ทรงขุดคนขึ้น ตามพระกําลังความสามารถในพระองคเอง จนกระทั่งไดทรงรูทรงเห็นธรรมเปนที่พอ พระทัย แลว นาํ มาสอนโลกไดท ง้ั นน้ั ใครจะมคี วามสามารถยงิ่ กวา พระพุทธเจา ซึ่งมิได ทรงเรียนมาจากไหน ยังเปน “สัพพัญ”ู รูดวยพระองคเองได พทุ ธศาสนาถา อยากใหม คี ณุ คา สมกบั ศาสนาเปน ของมคี ณุ คา จรงิ ดงั กลา ว อา งแลว คนกค็ วรจะทาํ ตวั ใหม คี ณุ คา ขน้ึ มาตามหลกั ศาสนาทท่ี า นสอนไว ตวั เองก็ ไดร บั ประโยชน ไมต อ งแบกคมั ภรี อ ยเู ฉยๆ ใหห นกั บา นอกจากนน้ั จติ ใจกย็ งั ไมม ี กเิ ลสตวั ไหนทพ่ี อถลอกบา ง จึงไมเกิดประโยชน ไมส มชอ่ื สมนาม สมกับพระประสงคที่ พระพทุ ธเจา ทรงสงั่ สอนไวเ พื่อถอดถอนกิเลสอาสวะตามหลักธรรม เรากลบั มาแบกกเิ ลสดว ยการจดจํา การเรยี นไดม ากนอ ย เลยเขา กนั ไมไ ด กบั ความมงุ หมายของศาสนา นแ้ี ลธรรมกลายเปน โลก! เปน ไดอยางนี้เอง ธรรมเปนธรรมก็ดังที่วาการเรียนมาแลวก็ตองปฏิบัติ เมื่อปฏบิ ตั ิตามธรรมแลว ตองรูความจริง เพราะแนวทางแหงการสอนนั้น พระพุทธเจาทรงสอนไวแลวโดยถูก ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๐

๔๖๑ ตองเปน “สวากขาตธรรม” ดว ยกนั ทง้ั สน้ิ ไมมีทางปลีก และไมเปนความผิด นอกจากผู ปฏิบัติจะเห็นผิดโดยลําพังตนเองก็ชวยไมได เพราะปน เกลยี วกบั ความจรงิ คอื ธรรม ถาศาสนธรรมของพระพุทธเจาเปนดังสินคาตางๆ ซึ่งสามารถประกาศทาทาย ดวยคุณภาพและการพิสูจน ไมว า จะนาํ ไปสตู ลาดใดทม่ี สี นิ คา อน่ื ๆ อยูมากมายหลาย ชนิด พอนาํ สนิ คา คอื ศาสนธรรมนอ้ี อกไปถงึ ทใ่ี ด ทน่ี น้ั ตลาดสนิ คา ชนดิ ตา งๆ ลมไปใน ทันทีทันใด เพราะคนหาของดี ของจริงอยูแลว เมื่อเจอเขากับสิ่งที่ตองตาตองใจทําไม จะไมทราบ แมแตเด็กยังทราบได แตน ไ้ี มใ ชว ตั ถทุ จ่ี ะออกประกาศขายหรอื แขง ขนั กนั ไดด งั สนิ คา ทง้ั หลาย นอก จากความประทับใจของผูสัมผัส และผูปฏิบัติจะพึงรูพึงเห็นโดยลําพังตนเองเทานั้น เพราะการที่รูเห็นก็ไมใชอยากเห็นเพื่อสั่งสมกิเลส เพอ่ื สง่ั สมความโออ วด ความ เยอหยิ่งจองหองลําพองตนซึ่งเปนเรื่องของกิเลส ทา นผใู ดมคี วามรคู วามเหน็ มากนอ ยเพยี งไร กเ็ ปน การถอดถอนกเิ ลส ซึ่งเปน ขา ศกึ แกต นและผอู น่ื ออกไดม ากนอ ยเพยี งนน้ั แลว ไหนจะไปทโ่ี ออ วด ซึ่งเปนการสง เสริมกิเลสขึ้นมาใหโลกเอือมระอา ซง่ึ ไมส มกบั ตวั วา ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกเ พอ่ื ถอดถอนกเิ ลส เลย ดวยเหตุนี้ผูปฏิบัติเปนธรรม รูมากรูนอยเพียงไร ทานจึงเปนไปดวยความสงบ ควรจะพดู หนกั เบามากนอ ย ทานก็พูดไปตามควรแกเ หตุ ไมควรพูดก็นิ่งไปเสีย ไมห วิ โหย ไมเ สยี ดาย อยไู ปแบบ “สมณะ” คือ สงบดว ยเหตดุ ว ยผล พดู กพ็ ดู ดว ยเหตดุ ว ย ผล นแ่ี หละทา นวา “สมณานจฺ ทสสฺ นํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ” “การเหน็ สมณะผสู งบจากบาป ความลามก เปน มงคลอนั สงู สดุ ” คาํ วา “สมณะ” ตั้งแต “สมณะ ทห่ี นง่ึ สมณะ ที่สอง ทส่ี าม ที่สี่ สมณะทห่ี นง่ึ ก็ คือ “พระโสดา”ที่สองคือ “สกทิ าคา” ทส่ี ามคอื “อนาคา” ทส่ี ค่ี อื ”พระอรหันต” เรียกวา “สมณะ” เปนขั้นๆ” ถาเราพูดเปนบุคคลาธษิ ฐาน กห็ มายถงึ ทานผูเปนสมณะตามขั้นภูมิแหงธรรม นั้นๆ เชน พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต ซึ่งเปนมงคลแกผูไดเห็น ไดก ราบไหวบ ชู าทา น นเ้ี ปน สมณะภายนอก เมอ่ื ยอ นเขา มาภายใน การเหน็ สมณะที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ภายในจติ ใจ ดวย การพิจารณา “สจั ธรรม” ซึ่งเปนเครื่องเปดมรรคผลขึ้นมาประจักษใจนั้น เปน มงคลอนั สงู ยง่ิ ประการหนง่ึ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๑

๔๖๒ ตองยนเขามาเปนประโยชนสําหรับตัว ไมง น้ั เรากค็ อยมองหาแต “สมณะภาย นอก” สมณะองคใดทานเปนพระโสดา องคไ หนทา นเปน พระสกทิ าคา องคไ หนทา น เปนพระอนาคา องคไหนทานเปนพระอรหันต” แมอ งคไ หนๆ ทานก็ไมมี “เบอร” เหมือนเบอร นายรอ ย นายพนั ติดตัวติดบา จะไปรูทานไดยังไง! ถาทานเปนพระโสดา พระสกทิ าคา พระอนาคา หรือ พระอรหันตจริงๆ จะไมมี ทางทราบได ดว ยอากปั กริ ยิ าทท่ี า นจะมาแสดงออกทา ออกทาง ดงั ทโ่ี ลกสกปรกทาํ กนั อยนู เ้ี ลย ทา นไมท าํ ทา นทาํ ไมล ง ไมใ ชว สิ ยั ของทา นผสู ะอาด ผูมุงตออรรถตอธรรมจะ ทําไดอ ยางนัน้ การที่จะหา “สมณะ” อยา งนม้ี ากราบมาไหวน น้ั ไกลมาก อยหู า งเหนิ มาก ไมทราบจะไดพบปะทานเมื่อไร โอวาทใดท่ีทา นสอนเพ่อื บรรลถุ งึ “สมณะ ทห่ี นง่ึ ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่ี “ นาํ โอวาท นน้ั เขา มาปฏบิ ตั ติ อ ตวั เอง เพื่อใหสําเร็จเปน “สมณะ ที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ”่ี ขึ้นมา ภายในน้ี เปนความเหมาะสมอยางยิ่ง เรยี กวา ”จับถูกตัว” เลย ไมตองไปตามหารอง รอยหรือตะครุบเงาที่ไหนใหเสียเวล่ําเวลา เอา! เราพบครูบาอาจารยที่ทานเปนอรรถเปนธรรม ผูมีกายวาจาใจสงบ หรือ ทานผูเปนสมณะที่หนึ่ง ทส่ี อง ทส่ี าม ทส่ี ่ี กเ็ ปนการดี เมอ่ื ไดพ บแลว อยา ใหพ ลาดจาก สมณะทห่ี นง่ึ ที่สอง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ซงึ่ จะเกิดขนึ้ ไดภายในใจเราเอง ดวยการปฏิบตั ิของเราน่ี พระพุทธเจาไมทรงผูกขาด จะพงึ ไดผลโดยทั่วถงึ กนั เม่อื เหตุสมบูรณแลว เราจึงควร นอ มธรรมเหลา นน้ั เขา มาเพอ่ื ตน “โสตะ” แปลวา กระแส คือบรรลุถึงกระแสพระนิพพาน แตพ วกเรามกั คาดกนั ไปตางๆ จนไมมีประมาณวา กระแสพระนพิ พานนนั้ เปนอยา งไรบาง กระแสกวา งแคบ ลกึ ตน้ื หยาบละเอยี ดขนาดไหน ซึ่งกลายเปน สญั ญาอารมณไ ป โดยไมเกิดประโยชน อะไรเลย ความจรงิ กระแสกค็ อื แดนแหงความแนนอน ทจ่ี ะกา วถงึ ความพน ทกุ ขไ ม เปน อน่ื นน่ั เอง ผปู ฏบิ ตั บิ าํ เพญ็ ขอใหม คี วามรม เยน็ ภายในใจเถอะ จะกระแสไมกระแสก็ ตามคือจิตดวงนี้เอง ซึง่ ไดรบั การบาํ รงุ สงเสริมในทางดอี ยเู สมอไมลดละลาถอย อะไรจะเปนพระนิพพานได บา นเปน บา น เรือนเปนเรือน ดินเปนดิน น้ําเปนน้ํา ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ ดนิ ฟา อากาศ แตละชิ้นละอันไมสามารถที่จะเปนพระนิพพาน หรือนํามาเปนพระนิพพานไดเลย จะปรับปรุงใหเปนพระนิพพานก็ไมได จะปรับปรุงให เปนพระโสดาบันก็ไมได พระสกิทาคาก็ไมได พระอนาคากไ็ มไ ด พระอรหันตก็ไมได ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๒

๔๖๓ แลวจะปรับปรุงใหเปนพระนิพพานไดอยางไร นอกจากจติ ดวงเดียวเทานเี้ ปน ผูท่ี สามารถจะเปนไปได ดวยการประพฤติปฏิบัติ กําจัดสิ่งที่ปกปดกําบังซึ่งมืดมิดปดตาอยู ภายในใจนอ้ี อกไปไดโ ดยลาํ ดบั ความสงบสขุ หากเกดิ ขน้ึ มาเอง ที่ไมสงบก็เพราะสิ่ง เหลา นเ้ี ปน ผกู อ กวน เปน ผยู แุ หยใ หก งั วลวนุ วายอยทู ง้ั วนั ทง้ั คนื ยนื เดิน นง่ั นอน ทุก อริ ยิ าบถ หาแตเรื่อง วนุ วายตวั เอง กค็ ือเรือ่ งของกิเลส จะใหใจสงบไดอยางไร เรื่องของ กิเลสจึงไมใชของดีสําหรับสัตวโลกแตไหนแตไรมา สตั วท ง้ั หลายชอบถอื วา เปน ของดไี มค ดิ ปลอ ยวาง ฤทธข์ิ องมนั จงึ ทาํ ใหบ น กนั ออ้ื ไปหมด ถามันดีจริงๆ ทําไมจึงไดบนกัน การทบ่ี นกันกเ็ พราะเร่อื งของกิเลสพาใหเ กิด ทกุ ขเ กดิ ความลาํ บาก ทา นจงึ สอนใหส รา ง “สมณธรรม” ข้นึ ท่นี ี่! “สมณะ” แปลวา ความสงบ เมอ่ื สงบแลว กค็ อ ยๆ กลายเปน “สมณะทห่ี นง่ึ ” ที่ สอง ทส่ี าม ทส่ี ่ี ขึ้นไปโดยลําดับภายในใจเรา การปฏิบัติเพื่อบรรลุ “สมณธรรม” ทั้งสี่นี้ปฏิบัติอยางไร? ใน “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ทานแสดงไวเปนรวมๆ ไมค อ ยละเอยี ดลอออะไร ผูเ รม่ิ ปฏบิ ัติอาจเขา ใจยากนัก “ทกุ ขฺ ํ อริยสจฺจ”ํ สัจธรรมหนึ่ง ทา นวา อยา งนน้ั “ชาตปิ  ทกุ ขฺ า ชราป ทกุ ขฺ า มรณมปฺ  ทกุ ขฺ ํ โสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสาป ทุกฺขา” เรื่อยไป วา นเี้ ปนเรอื่ งความ ทุกข ทุกขท่แี สดงตัวออกมาน้มี ีสาเหตุเปนมาจากอะไร? กม็ าจากความเกดิ เกิดเปนตน เหตุที่ใหเกิดความทุกข ทีนี้ตัวเกิดจริงๆ มีตนเหตุมาจาก “อวชิ ชา” “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺ ขารา” แลว อะไรทท่ี าํ ใหเกดิ ถา ไมใ ช “อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” จะเปนเพราะอะไร ทา น ขึ้นตรงนี้เลย ทา นอาจารยม น่ั ทา นแยกยงั งอ้ี กี นา ฟง มาก ทา นวา “ฐตี ิภูตํ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺ ขารา” อวิชชา ไมมีที่อยูอาศัย ไมมีพอแมเปนที่เกิดจะเกิดไดอยางไร อยูไดอ ยา งไร ก็ ตองอาศัย “ฐตี ภิ ูตํ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา” นี่เปนสาเหตุที่จะใหเกิดเปนภพเปนชาติ ขึ้นมา อนั นม้ี แี ยกออกเปน สามประเภท “นนทฺ ริ าคสหคตา ตตรฺ ตตฺราภินนฺทิน.ี เสยยฺ ถีทํ. กามตณหฺ า ภวตณฺหา วภิ วตณหฺ า” น!่ี ทา นวา นแ้ี ลคอื “สมุทัย” “สมุทัย อริยสจฺ จ”ํ นก่ี เ็ ปน อรยิ สจั แลว จะนาํ อะไรเขา มาแก! “สมุทัย อรยิ สจั ” น้ี ลวนแตสิ่งที่จะทําจิตใหขุนมัว เปนเรื่องหรือเปนธรรมชาติที่ รบกวนจติ ใจใหข นุ มวั จนเปน ตมเปน โคลนไปได ถา เปน วตั ถุ ในบรรดาสมทุ ยั มากนอ ยท่ี กลา วมาน้ี กามตณั หากต็ าม ภวตณั หากต็ าม วภิ วตณั หากต็ าม เปน ความหวิ ความโหย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๓

๔๖๔ ความทนอยูเปนปกติสุขไมได หมดความสงบสขุ อยูโดยลําพังตนเองไมได เพราะคํา วา “ตัณหา” ตองหิวโหยดิ้นรน ด้ินไปทางโนนดิ้นมาทางนี้ ดิ้นไปทางหนึ่งเปน กามตณั หา ดน้ิ มาทางหนง่ึ เปน ภวตณั หา ดน้ิ ไปอกี ทางหนง่ึ เปน วภิ วตณั หา มนั ลว นแต ความหวิ โหย ที่จะทําใหจิตใจดิ้นดวยอํานาจของกิเลสสามเหลานี้เปนเครื่องกดขี่บังคับ หรือรีดไถ พูดงายๆ เอาอยา งนถ้ี งึ ใจดี สาํ หรบั นกั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกไ ขกเิ ลสตวั ใหโ ทษ ตลอดมา จิตที่ทรงตัวไมไดตามปกติของตน กเ็ พราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ผทู าํ ลายหรอื กอ กวน เปนผูยุแหย เปน ผทู าํ ความวนุ วายอยตู ลอดเวลาหาความสงบไมไ ด แลว จะแกอ นั นด้ี ว ย วธิ ใี ด? ทา นกส็ อน “สมมฺ าทฏิ ฐ ิ สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ขน้ึ เลย โดยทาง “มคฺค อริยสจฺจํ” เปน เครอ่ื งแกธ รรมชาตทิ ก่ี อ กวนวนุ วายระสาํ่ ระสาย เพราะอํานาจแหงความหิวโหยทน อยูไมไดเหลานี้ ไมว า สตั วไ มว า บคุ คลถา เกดิ ความหวิ โหยขน้ึ มาแลว ไมไดสุจริตก็เอา ทางทุจริต ไมไดทางที่แจงก็เอาที่ลับ เอาจนได เพราะความหวิ โหยมนั บบี บงั คบั ใหต อ ง ทํา หรอื เพราะความทะเยอทะยานอยากตา งๆ ตลอดความหวิ โหยนน่ั เอง มนั บบี บงั คบั จติ ใจใหตองเสือกตอ งคลานไปตางๆ นานา เพราะอยใู ตอ าํ นาจของมนั ตอ งเปน ความ ทุกข ทกุ ขท รมานทว่ั หนา กนั ทุกขเพราะอะไร ทุกขเพราะ “สมทุ ัย” เปน ผลู ากผูเ ข็นใจสตั วโลก จนถลอกปอก เปกไปทุกภพทุกชาติ ทง้ั วนั ทั้งคืน ยนื เดิน นั่ง นอน อาการทค่ี ดิ ออกมาแงใ ด มีแตถูก สมุทัยฉุดลากเข็นเขนตีทั้งนั้น แลวเราจะเอาอะไรมาดับสิ่งเหลานี้ เอาอะไรมาแกไขสิ่ง เหลา น้ี ? “สมมฺ าทฏิ ฐ ิ สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป สมมฺ าวาจา สมมฺ ากมมฺ นโฺ ต สมมฺ าอาชโี ว สมมฺ า วายาโม สมมฺ าสติ สมมฺ าสมาธิ” นี้แลเปนเครื่องมือที่ทันสมัย และเหมาะสมที่สุด ที่จะ ปราบปรามกเิ ลสท้งั สามประเภทนีใ้ หส ิน้ ซากลงไปจากใจ ไมม เี ครอ่ื งมอื อน่ื ใดทจ่ี ะ เหนอื ไปกวา “มชั ฌมิ าปฏปิ ทา” น้ี “สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ ความเหน็ ชอบนน้ั เหน็ อะไรเลา ? เวลานใ้ี จเรามนั เหน็ ผดิ ทง้ั นน้ั กามตณั หา กค็ อื ความเหน็ ผดิ ภวตณั หา กค็ อื ความเหน็ ผดิ วภิ วตณั หา ลว นแตเ รอ่ื ง ความเห็นผิดทั้งนั้น มนั ถงึ ไดเปนทางกายทางใจไมล ดหยอ นผอ นคลาย ทําไมถึงรัก รัก เพราะเหตุใด เอาสติปญญาคนลงไป ซง่ึ กไ็ มห นจี ากกายน้ี รกั กร็ กั กายนก้ี อ นอน่ื รกั กาย นก้ี ร็ กั กายนน้ั ! กามตณั หามันมอี ยูทต่ี รงน้ี แยกหาเหตหุ าผลออกมา มันรักเพราะอะไร ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๔

๔๖๕ รักเนื้อ รกั หนงั รักเอ็น รักกระดูก รกั ผม รักขน ยังงั้นเหรอ? ของใครของเรามันก็ เหมอื นกนั น้ี รักอะไรมัน ? กริ ยิ าทแ่ี ยกหรอื ทาํ การแยกน้ี ทานเรียกวา “มรรค สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ คือ ปญญา ไตรตรองกลนั่ กรองดหู าสง่ิ ท่ีมันยึดมนั ถอื วา มนั ยดึ ถอื เพราะเหตใุ ด มีสารคุณอะไรมัน ถึงไดยึดไดถือ ความยึดถือแทนที่จะเกิดผลเกิดประโยชน เกดิ ความสขุ ความสบาย แต มนั กลายเปน ไฟขน้ึ มาทง้ั กองภายในใจ ทาํ ใหเ กดิ ความลาํ บากลาํ บน ทนทุกขทรมาน เพราะความยึดความถือ ความยดึ ถอื มาจากความสาํ คญั ผดิ เขาใจวานั่นเปนเรา นี่เปนของเรา มันเปน ความผิดไปทั้งนั้น ปญญาจึงตองตามแกใหเห็นตามความเปนจริงของมัน ทานจึงสอน ใหพ จิ ารณากาย “กายคตาสติ” เอา! พิจารณาลงไป ทง้ั ขา งนอกขา งใน ขา งบนขา งลา ง ภายในกายนอกกาย พจิ ารณาใหล ะเอียดทัว่ ถงึ ซาํ้ แลว ซาํ้ เลา จนเปนที่เขาใจแจมแจง ชัดเจน นค้ี อื เรอ่ื งของปญ ญา ซง่ึ เปน เคร่อื งปราบความอยากความหวิ ความกระหาย ซึ่ง เกิดข้นึ จากอาํ นาจของกเิ ลส ไมม อี นั ใดทจ่ี ะระงบั ดบั สง่ิ เหลา นใ้ี หห ายความอยากได นอกจาก “สมมฺ าทฏิ ฐ ”ิ “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” อันเปนองคแหงมรรคแปดนี้เทานั้น “มคฺค อริยสจฺจํ” น่ีคอื เคร่อื งมือปราบกเิ ลสทกุ ประเภท ควรดําเนินตามนี้ สติ ปญญาเปนเครื่องมือที่ทันกลมารยาของกิเลส ฟาดฟนลงไปพิจารณาลงไปอยารั้งรอ ตรงไหนที่มืดดํา ตรงนั้นนะอสรพิษมันอยูตรงนั้น ปญญายังตามไมทันที่ตรงไหน ตรง นั้นจะเปนตัวเปนตน เปนสัตวเปนบุคคล เปนเราเปนเขา เปน ของเราของเขาขึ้นมาที่ ตรงนั้น ปญญาสอดแทรกลงไป เห็นลงไปตามคัมภีรธรรมชาติ คอื กายกบั จติ แลว ความ จริงจะเปดเผยขึ้นมา ไมมีคําวา “บคุ คล“ คําวา “สตั ว” คาํ วา “เขา,เรา” ไมมี ! มีไดยังไง ปญ ญาลงหยง่ั ถึงความจริงแลว ความเสกสรรเหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งจอมปลอม ทเ่ี กดิ จาก กเิ ลสจอมหลอกลวงตา งหาก ทีน้ีปญ ญาตามชะลางใหสะอาดลงไปโดยลาํ ดับจนตลอดทวั่ ถงึ จิตทถ่ี กู กดถว ง เพราะอาํ นาจ “อปุ าทาน” มาเปน เวลานาน ยอ มถกู สตปิ ญ ญาเปน ผถู อดถอนขน้ึ มา ถอน กรรมสิทธิ์ ไมปกปนเขตแดนไววา อันนั้นเปนเราเปนของเรา นั่นเปนเขตแดนของเรา เฉพาะอยา งยง่ิ กใ็ นวงขนั ธห า น้ี มันเปนเขตแดนที่เราปกปนมาตั้งแตวันเกิด นี่เปนเรา น่ี เปนของเรา เนื้อเปนเรา เอ็นเปนเรา กระดูกเปนเรา แขนเปนเรา ขาเปนเรา เปนของ เรา อวัยวะทุกชิ้นทุกสวนเปนเราเปนของเราเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่สิ่งเหลานั้นเขาไมไดรับ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๕

๔๖๖ ทราบรับรูอะไรจากเราเลย แตเราปกปนเขตแดนเอาเอง เมื่อมีอะไรลวงล้ําหรือมา สัมผัสสัมพนั ธใหเกดิ ความเจ็บความไมสบายขึ้นมา ก็เกดิ ความทุกขขึน้ ภายในจิตใจ นอกจากเกดิ ความทกุ ขข น้ึ ภายในกายแลว ยงั เกดิ ความทกุ ขข น้ึ ภายในใจอกี เพราะความรักความสงวน ความปกปนเขตแดน อันนั้นเปนตนเหตุ การพิจารณาดใู หเห็นตามความจริงน้ันทา นเรียกวา “พิจารณา สัจธรรม” ดว ย ปญญาสมมฺ าทฏิ ฐ ิ สรุปแลว กไ็ ดแกความเหน็ ชอบในสัจธรรมทัง้ สี่ มีทุกขสัจ เปนตน ความดาํ รทิ เ่ี ปน ไปเพอ่ื การถอดถอนกเิ ลสทง้ั มวลนน้ั แล “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” ทา น แยกเปน ๓ คอื (๑) ความไมพ ยาบาทปองรา ยผอู น่ื ที่เปนบาลีวา “อพยฺ าปาทสงกฺ ปโฺ ป” เรอ่ื งของกเิ ลสนน้ั ใฝท างพยาบาทเปน พน้ื ฐาน (๒) “อวหิ สึ าสงกฺ ปโฺ ป” คอื ไมเบยี ดเบียนตนและผูอ่นื และ (๓) “เนกขฺ มมฺ สงกฺ ปโฺ ป” ความคดิ ดาํ รเิ พอ่ื ออกจากเครอ่ื งผกู พนั มกี ามฉนั ทะ เปนตน โดยหลักธรรมชาตกิ อนที่จะออกไปกระทบกระเทอื นคนอนื่ ตองกระทบ กระเทอื นตนเสยี กอ น เพราะความเหน็ ผดิ ของจติ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสนแ้ี ล สมฺ มาสงกฺ ปโฺ ป จงึ ตอ งแกก นั ตรงน้ี รวมกนั แลว สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป สมมฺ าทฏิ ฐ ิ กเ็ หมอื น เชอื กสองเกลียวทฟ่ี น กันเขาเปนเกลียวเดยี วใหเ ปน เชือกเสน หนง่ึ ขึน้ มา เพอ่ื ใหม กี าํ ลงั นั่นเปนเพียงอาการของจิตที่คิดในแงตางกัน รวมแลว กค็ อื ปญ ญาความแยบคายของจติ ดวงเดยี วน่ันแลว เหมอื นเชอื กหนง่ึ เสน หรอื เชอื กเสน หนง่ึ เอง รวมทั้งแปดนั้นก็มาเปน เชือกเสน หนึ่ง คอื “มัชฌิมาปฏิปทา” ทางสายกลาง หรอื เครอ่ื งมอื แกก เิ ลส ที่เหมาะ สมอยา งยงิ่ ตลอดมาแตครง้ั พุทธกาลนนั้ แล จะพิจารณาอะไร ถา ไมพ จิ ารณาสง่ิ ทพ่ี วั พนั จติ ใจเราอยเู วลาน้ี และแกที่ตรงนี้ ดวย “มรรค” คอื “สมมฺ าสงกฺ ปโฺ ป” เปนตนนี้แล มรรคเทานั้นที่จะแกกิเลสออกจากจิต ใจได ถอื รา งกายหรอื ขนั ธเ ปน เวที คน ควา ดว ยสตปิ ญ ญา ตอ สกู บั ความลมุ หลงของตน สกู นั บนเวที คอื รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ นี้เปนที่พิสูจนสิ่งเหลานี้ อันเปน เปาหมายแหงการพิจารณา จนเห็นตามความจริงของมัน เทศนไปที่อ่ืนไมสะดวกใจ ถาเทศนลงตรงนี้รูส กึ ถนดั ใจ จุใจ เพราะน้ีเปน ตัวจรงิ กิเลสก็อยูที่ตรงน้ี มรรคก็อยูที่ตรงนี้ หรือสัจธรรม ทกุ ข สมุทัย ก็อยูที่ตรงนี้ นโิ รธกบั มรรคก็อยูที่ตรงนี้ เมื่อ “มรรค” ทาํ การดบั กเิ ลสไปโดยลาํ ดบั นโิ รธคอื ความดบั ทกุ ขก ็ ปรากฏขน้ึ มาเอง ตามกําลังของมรรคซึ่งเปนผูดําเนินงาน สติปญญาเปนผูฟาดฟนกิเลส ใหฉ บิ หายลงไปเปน ลาํ ดบั กเ็ ปน การดบั ทกุ ขไ ปโดยลาํ ดบั ใครจะไปตั้งหนาตั้งตาดับ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๖

๔๖๗ ทุกขโดยไมตองดําเนิน “มรรค” ยอมเปนไปไมได ทา นบอกวา “นิโรธ ควรทาํ ใหแ จง ”จะ เอาอะไรไปทํา? ถาไมเอามรรคไปทําใหแจงขึ้นมาซึ่งนิโรธ เราจะพยายามทํานิโรธใหแจง เฉยๆ โดยไมอาศัยมรรคเปนเครื่องบุกเบิกทางแลวไมมีทางสําเร็จ เพราะธรรมนี้เปนผล ของมรรคที่ผลิตขึ้นมา ทา นสอนไวเ ปน อาการเฉยๆ หลกั ใหญแ ลว พอสตปิ ญ ญาจอ ลงไป เพียงจุดหนึ่ง เทานั้นจะกระเทือนไปถึง “สัจธรรมทั้งสี่” นั้นโดยลําดับ ทาํ งานพรอ มกนั เหมอื นกบั จกั ร ตวั เลก็ ตวั ใหญ ทาํ งานพรอ มกนั ในวงงานอนั เดยี วกนั ถา ไปแยกแยะยงั งน้ั แลว ยอ มจะวก วน เหมอื นตามรอยววั ในคอกนน่ั แล หาทางไปไมได จึงควรพิจารณาลงในอาการใดก็ได ในรูปธรรมหรือนามธรรม มอี ยใู นกายอนั เดียวกัน เชน รปู กม็ หี ลายอาการดว ยกนั ขณะพิจารณารูป แมเ วทนาเกิดขึน้ กไ็ มหว่นั ไหว รูปเปนรูป เวทนากส็ กั เปน “นามธรรม” หาตนหาตวั หาสตั วห าบคุ คล หาเราหาเขา ไดที่ไหน ไมวาจะสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา มลี กั ษณะคลา ยคลงึ กนั เขาเปนตนหรือเปน ตัว เปน สตั วเ ปน บคุ คลทไ่ี หน เพียงเปนนามธรรมอยางเดียวเทานั้น ปรากฏขึ้นในจิต เมือ่ จิตไดทราบวา อาการปรากฏข้นึ เปน ลักษณะแหง ความทุกข เปน ลกั ษณะแหง ความสุข แลวก็ดับลงไปตามเหตุปจจัยที่พาใหดับ แนะ ! ปญญาจึงมีทางที่จะทราบได ตามสิ่งที่มีอยู เพราะไมใชสิ่งที่ลี้ลับ แตเปน สง่ิ ท่เี ปดเผยดวยความมอี ยแู ละปรากฏขึ้น ตามเหตุปจจัยที่พาใหเปนเทานั้น รูปขันธ กอ็ ยทู กุ วนั ทกุ เวลา พาหลบั พานอน พาขบั พาถา ย พายืนพาเดิน ก็รูป ขนั ธน เ่ี อง เวทนาขนั ธก แ็ สดงตวั อยทู กุ เวลา แมในขณะนมี้ นั ก็แสดงใหเรารอู ยเู ชน กัน ไมส ขุ กท็ กุ ขส บั เปลย่ี นกนั ไปมาอยา งนแ้ี หละ สาํ คญั ทใ่ี จอยา ใหท กุ ขด ว ย ทกุ ขก ใ็ หท ราบ วา ขันธนี้เปน อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อยาใหจิตไปยุงกับเขา จิตก็ไมเปนทุกข คาํ วา “เวทนา” เวทนานี้เทศนทุกวัน จึงควรฟงใหเขาใจ กเิ ลสมนั เกาะแนน อยู กบั ขนั ธห า น้ี ไมมีวันมีคืน มีปมีเดือน ไมท ราบวาของเกา ของใหม แตเ กาะเสยี แนน เกาะมากป่ี ก เ่ี ดอื นกก่ี ปั กก่ี ลั ปม าแลว เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณาวันหนง่ึ ๆ เวลาหนง่ึ ๆ จึงไมพอ การเทศนวันหนึ่งเวลาหนึ่งจึงไมพอ ตองเทศนซ้ํากันใหเขาใจ เปน ทแ่ี นใ จ พจิ ารณากพ็ จิ ารณาซาํ้ ใหเ ปน ทเ่ี ขา ใจแลว กป็ ลอ ยเอง เอาใหเห็นชัดเวทนา, ทกุ ขเวทนามที ไ่ี หนบา ง? มีที่ไหนก็เปนทุกขเวทนาจะใหเปนอื่นไปไมได ตองเปนธรรม ชาติความจริงของเขาอยูเชนนั้น “สญั ญา” กจ็ าํ ได เคยจํามาเทาไรแลวตั้งแตวันเกิดจนบัดนี้ แลวหาอะไรเปน สาระไดบ า ง ถามันเปนตัวเปนตน เปน สตั วเ ปน บคุ คลจรงิ ๆ นํามาใสตูก็คงไมมีตูที่ไหน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๗

๔๖๘ ใส เพราะมันจําไมหยุดไมถอย แตพ อจาํ ไดแ ลว กผ็ า นไป ๆ ไมม อี ะไรเหลอื อยเู ลย นน่ั ! ฟงซิ เอาสาระแกน สารอะไรกบั สง่ิ เหลา น้ี “สงั ขาร” ปรุงวันยังค่ําคืนยังรุง ปรงุ เสียจนรอ นหวั อกกม็ ี ถา ปรงุ มากๆ ปรุงเสีย จนหวั ใจแทบจะไมท าํ งาน เพลียไปหมด สังขารคือความปรุง ถา ไมร ะงบั มนั ดว ยสติ ปญญาไมมีทางระงับไดตลอดไป และตายดวยมันไดจริงๆ เชนคนคิดมากเพราะความ เสยี ใจ เรื่องของกิเลสมันเอาสังขารเปนเครื่องปรุง เปนเครื่องมือ และผลกั ดนั ออกมาให ปรุงไมหยุดไมถอย ปรุงสิ่งนั้น สาํ คญั สง่ิ น้ี ทั้งสัญญา ทั้งสังขารเปนเครื่องมือของกิเลส แลวก็พุงลงไปที่หัวใจของเรา ให เกิดความทุกขความทรมานไมใชนอยๆ มากกวา นน้ั กเ็ ปน บา ได คนเราเปนทกุ ขเ พราะ คดิ มากมนั ดนี กั เหรอ สงั ขาร ? “วญิ ญาณ” ก็เพียงรับทราบ รบั ทราบแลว กด็ บั ไปพรอ มๆ ในขณะท่รี ับทราบจาก สิ่งที่มาสัมผัส มสี าระแกน สารทไ่ี หน เราหลงสิ่งเหลานี้แหละเราไมไดหลงสิ่งอื่นๆ นะ นอกนน้ั มนั กเ็ ปน ผลพลอยไดข องกเิ ลสไปอกี ประเภทหนง่ึ หลักใหญจริงๆ มันอยูตรงนี้ จึงตองพิจารณาตรงนี้ใหเห็นชัด นเ่ี รยี กวา “ดาํ เนนิ มรรคปฏิปทา” หรอื เรยี กวา “มรรคสัจจะ” เครอ่ื งแกค วามหลง วนุ วาย ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ของใจใหถ อยตวั ออกมา ใจจะไดส บายหายหว งจากสง่ิ เหลา น้ี เพราะการปลอยวาง ได อนั ความตายเปน หลกั ใหญเ หนอื โลกจะหา มได กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า เปน เหมือนทางหลวง เพราะเปนคติธรรมดา ไมถ งึ กาลเวลามนั กไ็ มส ลาย ถงึ แมจ ะยดึ ถอื มนั สกั เทา ใดกต็ าม เมอ่ื ถงึ กาลมนั แลว หา มไมฟ ง มันก็ไปของมัน ซง่ึ เรยี กวา “ทางหลวง” ตามคติธรรมดา ซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ทว่ั โลกดนิ แดนเปน อยา งนด้ี ว ยกนั ทง้ั นน้ั จะไม เรยี กวา เปน ทางหลวงไดอ ยา งไร ใครจะไปกีดขวางหวงหามไมได มันตองเดินตามทาง หลวงตามคติธรรมดาซึ่งเปนเรื่องใหญโตมาก ทว่ั โลกดนิ แดนเปน อยา งนด้ี ว ยกนั ทง้ั นน้ั พิจารณาใหเปนไปตามความจริงของมัน ทเ่ี รยี กวา “โคน ไมต ามลม” อยาไปขัดขวางธรรมของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอนไวตามหลักคติธรรมดา ใหรู ตามความจริง ใจกจ็ ะสบาย การอยกู บั กเิ ลสใจอยกู บั ความวนุ วาย ผลแหง ความวนุ วายก็ คอื ความทุกข เราเคยเห็นโทษของมันมาแลว ทีน้ใี หใ จอยูกบั ธรรม ใจอยกู บั สติ ใจอยกู บั ปญ ญา ใจนน้ั จะไดม คี วามปลอดภยั ใจจะไดมีความรมเย็นขึ้น ชอ่ื วา “กเิ ลส” แลว ไมว า อยทู ไ่ี หนพยายามแกใ หห มด ! แก ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๘

๔๖๙ ภายนอกไดแ ลว เขา มาแกภ ายในธาตใุ นขนั ธ แลว กภ็ ายในจติ ดว ยปญ ญาอกี จนรอบตัว ทะลุปรุโปรงไปหมดไมมีอะไรเหลือเลย คาํ วา “ตน” วา “ตวั ” วาสัตว วาบุคคล มนั หมดปญ หาไปในทนั ทที นั ใด เมื่อกิเลส ซึ่งเปนตัวเสกสรรวาเปนสัตวเปนบุคคลไดสิ้นไปจากใจแลว คาํ วา สตั วก ต็ าม บคุ คลก็ ตามไมคิดใหเสียเวลํา่ เวลา จรงิ อยางไรกอ็ ยตู ามความจรงิ ลวนๆ เพอ่ื หายกงั วล เวลา หายจริงๆ หายที่ตรงนี้ อนั นไ้ี มใ ช “สัจธรรม”! สัจธรรมก็คือทุกข ทกุ ขก าย ทกุ ขใ จ นเ่ี รยี กวา “ทกุ ข สจั จะ” “สมุทยั ” เปนเรื่องของกิเลสอาสวะทั้งมวล นเ้ี รยี กวา “สมุทัยสัจจะ” “มรรค” มสี มฺ มาทฏิ ฐ ิ เปนตน สมมฺ าสมาธเิ ปนที่สุด คือเครื่องมือ เปน “สัจธรรม” ประเภทหนึ่ง เครอ่ื งแกก ิเลสคือตัว “สมุทัย” ใหหมดสิ้นไป “นิโรธ” กท็ าํ หนา ทด่ี บั ทกุ ขไ ปตามๆ กนั โดยลาํ ดบั จนกระทั่งรูแจงแทงตลอดในสมุทัยตัวสําคัญซึ่งมีอยูภายในใจโดยเฉพาะ ไม มีอะไรเหลือแลว นโิ รธแสดงความดับทุกข เพราะกเิ ลสดบั ไปจากใจในขณะนน้ั อยา ง เต็มภูมิ ผทู ร่ี วู า ทุกขดับไป กิเลสดับไปเพราะมรรคเปนเครื่องทําลาย นั่นคอื “วมิ ตุ ต”ิ ไมใช “สัจธรรม” นน่ั คอื ผบู รสิ ทุ ธ์ิ ไมใชสัจธรรมทั้งสี่นั้น “สัจธรรม” เปน เครอ่ื งกา วเดนิ เทา นน้ั เมอ่ื ถงึ จดุ หมายปลายทางแลว สัจธรรมทง้ั ส่ีกห็ มดหนา ทไ่ี ปตามหลกั ธรรมชาติของตน โดยไมต อ งไปกดขี่บังคับใหสิ้นใหสดุ ให หมดความจําเปน หากเปนไปตามเรื่อง เชน เดยี วกบั เรากา วจากบนั ไดขน้ึ สสู ถานทอ่ี นั เปนจุดที่ตองการแลว บนั ไดกบั เรากห็ มดความจาํ เปน กนั ไปเอง ฉะนน้ั เรอ่ื งของ “มรรค” คือสติปญญาเปนตน ทําหนาที่ใหสมบูรณเต็มภูมิ จิต ไดถ งึ ขั้นแหงความหลุดพนแลว เรื่องสติปญญาที่จะชวยแกไขกิเลสอาสวะทั้งมวล ก็ หมดปญหาไปตามๆ กนั นี่แลคือความเดนของเรา น่ีแลคือ “สมณะธรรม” หรอื สมณะทส่ี ดุ ยอดแหง สมณะที่สี่ ! สมณะที่หนึ่งคือพระโสดา สมณะที่สองคือพระสกิทาคา สมณะทส่ี าม พระอนาคา เราเจอมาเปนลําดับดวยการปฏิบัติ สมณะท่สี คี่ ืออรหันต อรหัตธรรมเจอ เต็มภูมิดวย “มรรคปฏิปทา อนั แหลมคม” นี่เปนผูทรงไวแลว ซึ่งสมณะทั้งสี่รวมลงในใจ ดวงเดียว “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ มงคลอนั สงู สดุ นอ้ี ยทู ใ่ี จเราเอง ไมตองไปหา “สิริมงคล” มาจากไหน ! ใจที่พนจากเครื่องกดถวงทั้งหลายถึงความบริสุทธิ์เต็มภูมิแลว นน้ั แลเปน มงคลอันสูงสุดเต็มภูมิ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๖๙

๔๗๐ ทก่ี ลา วมาทง้ั หมดนไ้ี มอ ยใู นทอ่ี น่ื สัจธรรมทั้งสี่ก็ดี สมณธรรมทั้งสี่ก็ดี ตั้งแตที่ หนง่ึ , ทส่ี อง, ทส่ี าม จนกระทั่งถึงที่สี่ ก็ผูที่รู ๆ นแ่ี หละ เปน ผทู รงไวซ ง่ึ สมณธรรมทง้ั ส่ี และเปนผูท จ่ี ะทําหนาท่ปี ลดเปล้อื งตนออกจากสิ่งทก่ี ดขบี่ ังคับท้งั หลาย จนถึงขั้น “อสิ ร เสร”ี คือสมณะทั้งสี่รวมอยูกับเรานี้ทั้งสิ้น สรปุ แลว อยกู บั ผทู ร่ี ู ๆ ผนู เ้ี ปน ผู “ที่ตายตัว อยางยิ่ง” คงเสน คงวาทจ่ี ะรบั ทราบทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง กเิ ลสกท็ าํ ลายจติ ใจนใ้ี หฉ บิ หายไปไม ได กเิ ลสจะทาํ ลายสง่ิ ใดไดก ต็ าม แตไมสามารถทําลายจิต ไดแ กก ารทาํ จติ ใจใหไ ดร บั ความลาํ บากนน้ั มฐี านะเปน ไปได แตจ ะทาํ จติ นน้ั ฉบิ หายยอ มเปน ไปไมไ ด เพราะ ธรรมชาตินี้เปนธรรมชาติที่ตายตัว หรอื เรยี กวา “คงเสนคงวา” เปน แตส งิ่ ทีม่ าเกยี่ วขอ ง หรือสิ่งที่มาคละเคลา ทําใหเปนไปในลักษณะตางๆ เทานัน้ นั่นเปนไปได เมื่อสลัดตัด หรือชําระชะลางสิ่งเหลานั้นหมดไมมีอะไรเหลือแลว ธรรมชาตินี้จึง ทรงตัวไดอยางเต็มภูมิ เปน บคุ คลกเ็ รยี กวา “สมณะที่สี่” อยางเต็มภูมิ ถาเรียกวาเปน “ธรรม” ก็เรียก “อรหัตธรรม” อยภู ายในจติ ดวงนน้ั จิตดวงนั้นเปนธรรมทั้งดวง จิตเปนธรรม ธรรมเปนจิต เปนไดทั้งนั้น ไมมีอะไร ที่คาน ไมมีอะไรที่จะแยง เมอื่ ไมม กี เิ ลสมาแยงแลว มันก็ไมมีอะไรแยง กเิ ลสหมดไป แลวจะเอาอะไรมาแยง นั่นแหละความหมดเรื่องหมดราว หมดอะไร ๆ หมดที่ตรงนั้น ความดับทุกข ดับที่ตรงนั้น ดบั ภพดบั ชาตดิ บั ทต่ี รงนน้ั ที่อื่นไมมีที่ใดเปนที่ดับ! การไปเกดิ ภพเกดิ ชาติก็ผูนี้แลเปนเชื้อแหงภพแหงชาติ มาจากกเิ ลสซง่ึ อยกู บั จติ จิตจึงตองเร ๆ รอ น ๆ ไปเกดิ ในภพนอ ยใหญ ไดร บั ความทกุ ขเ ดือดรอนลําบากราํ คาญมาโดยลาํ ดับ เพราะมี เชื้อพาใหเปนไป มีเครื่องหมุนพาใหเปนไป เมอ่ื สลดั ตดั สง่ิ ฉาบทาหรอื เชอ้ื ออกหมดแลว จึงหมดปญหา หมดลงที่ตรงนี้ ! ขอใหพ ากนั พนิ จิ พจิ ารณาใหไ ด ใจนี่สามารถรูไดเห็นไดทั้งหญิงทั้งชาย นกั บวช และฆราวาส ดวยการปฏิบัติของตน ๆ ไมขึ้นอยูกับเพศวัยอะไรทั้งสิ้น ! จึงขอยุติเพียงเทานี้ <<สารบัญ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๐

๔๗๑ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ ธรรมของพระพุทธเจาทรงแสดงไวอยางถูกตองไมมีปดบังลี้ลับ แสดงตามความ จรงิ ทม่ี อี ยทู กุ อยา งไมว า ขน้ั ไหนแหง ธรรม เชน วา บาป บญุ นรก สวรรค นพิ พานมีจริง อยางน้เี ปน ตน จนกระทั่งเขาถึงเรื่องราวของกิเลสซึ่งเปนสิ่งที่มีอยูเปนอยู เปน ความจรงิ ดว ยกนั หมด จึงหาที่คานไมได แตทําไมสิ่งเหลานี้จึงเปนปญหาสําหรับพวกเรา ? ธรรมทานแสดงไวอยางเปดเผยไมมีอะไรเปนปญหา ไมมีอะไรลี้ลับเลย แสดง ตามความจริงลวนๆ ซึ่งความจริงนั้นก็มีอยู แสดงตามความจริงนั้นๆ ทกุ ขน้ั แหง ความ จริง แตพวกเราก็ไมเขาใจ เหมอื นทา นบอกวา “ นน่ี ะ , ๆ !” ซง่ึ ชใ้ี หค นตาบอดดู คนหู หนวกฟง คงจะเปน อยา งนน้ั มอื คลาํ ถกู แตต าไมเ หน็ ไปทไ่ี หนกโ็ ดนกนั แตท กุ ข ทั้งๆ ที่ ทา นสอนวา ทกุ ขเ ปน อยา งไรกร็ อู ยู แตก โ็ ดนเอาจนได ! บอกวา ทกุ ขไ มใ ชข องดี กโ็ ดน แตทุกข เพราะสาเหตุ และเดินตามสาเหตกุ ารกอบโกยทกุ ขขึน้ มาเผาตัวเองทัง้ นน้ั ใน “ธรรมคุณ” ทา นแสดงวา “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” สุขทุกขเปน ส่ิงทีร่ เู ห็นอยกู ับตนดวย กนั มีการตายเปนตน “เอหปิ สสฺ โิ ก” “โอปนยิโก” นเ่ี ปน หลกั สาํ คญั มาก “เอหิปสฺสิโก” ทานจงยอนจิตเขามาดูธรรมของจริง ไมไ ดห มายถงึ ใหไ ปเรยี กคนอน่ื มาดูธรรมของ จริง “เอหิ” กค็ อื สอนผนู น้ั แหละผฟู ง ธรรม ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมนน่ั แหละ ใหทานจงยอนใจเขา มาดูที่นี่แล คอื ความจรงิ อยทู น่ี ่ี ถา พดู แบบ “โลกๆ” กว็ า “ความจริง” ประกาศตนใหท ราบอยตู ลอดเวลา หรือ ทา ทายอยูตลอดเวลาจรงิ ขนาดที่เรียกวา “ทา ทาย” วา งน้ั แหละ ใหดูที่นี่ “เอหิ” ใหด ทู น่ี ่ี ไมไดหมายความวา ใหเรยี กคนอน่ื มาดู ใครจะมาดูได! ก็เขาไมเห็นของจริง ไมรูของ จริง! ของจริงอยูกับเขาเขายังไมเห็น เขายังไมรู จะใหมาดูของจริงอยูทเี่ ราไดอ ยา งไร “เอหปิ สสฺ โิ ก“ทานสอนใหดูความจริงของจริงของเจาของซึ่งมีอยูนี้ตางหาก “โอปนยโิ ก” เห็นอะไรไดยินอะไร สมั ผสั อะไร ใหนอมเขามาเปนประโยชนสําหรับตน เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องสุขเรื่องทุกข ที่สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรอื ปรากฏขน้ึ ภาย ในใจเกย่ี วกบั เรอ่ื งภายนอก คืออดตี อนาคต เปนเรื่องอะไรของใครก็ตาม ใหโ อปนยโิ ก นอ มเขา มาสใู จซง่ึ เปน ตน เหตสุ าํ คญั อันจะกอเรื่องตางๆ ใหเ กดิ ขน้ึ ภายในตน ไมนอก เหนอื ไปจากจติ นเ้ี ลย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๑

๔๗๒ จิตจึงเปนเรื่องใหญโตมาก “มโนปุพฺพงฺคมา ธมมฺ า” เทา นก้ี ก็ ระเทอื นโลกธาตุ แลว จะเคลือ่ นเลก็ นอ ยกใ็ จเปน ตน เหตุ ธรรมทง้ั หลายจงึ มใี จเปน สาํ คญั มีใจเทานั้นจะ เปนผูรับทราบสิ่งตางๆ ไมมีอันใดที่จะรับทราบไดนอกจากใจ ธรรมทั้งหลายคืออะไร? กุศลธรรม อกุศลธรรม มอี ยใู นสถานทใ่ี ดถา ไมม อี ยทู ่ี ใจ กุศลธรรมเกิดขึ้นเพราะความฉลาดของใจ ปรบั ปรงุ ใจใหม คี วามเฉลยี วฉลาดทนั กบั เหตุการณตางๆ ซง่ึ ออกมาจากภายในใจของตนเอง เมื่อ “อกศุ ลธรรม” เกิดขึ้นที่ใจ ก็ ให “กุศลธรรม” อันเปนเรื่องของปญญาพินิจพิจารณาแกไขความโงของตน ความโงข อง ตนที่เรียกวา “อกศุ ล” นน้ั ใหห มดไปจากใจ “โอปนยโิ ก” นอ มเขา มาทีน่ ี่ เห็นเรื่องโงเรื่องฉลาด เรอ่ื งสขุ เรอ่ื งทกุ ขข องใครก็ ตาม ใหนอ มเขา มาเปน คตเิ ตอื นใจ “เอหปิ สสฺ โิ ก” ใหดูที่ตรงนี้ บอ แหงเหตุท้งั หลายคอื ใจ แสดงอยตู ลอดเวลาไมม วี นั เวลาหยดุ ยง้ั ทาํ งานอยอู ยา งนน้ั ยง่ิ กวา เครอ่ื งจกั รเครอ่ื ง ยนต ซึ่งเขาเปดเปนเวล่ําเวลาและปดไปตามกาลเวลา ใจไมม ที ป่ี ด เปดจนกระทั่งวัน ตายไมม ปี ด แลว กบ็ น วา “ทุกข” บน ไปเทา ไรกไ็ มเ กดิ ประโยชน เพราะไมแ กทีต่ น เหตุที่ควรแก ซง่ึ ถา แกไ ดแ ลว ทกุ ขก ด็ บั ไปเปน ลาํ ดบั ตามความสามารถและความเฉลยี ว ฉลาดรอบคอบ ฉะนน้ั จงึ ไมส อนไปทอ่ี น่ื นอกจากใจผปู ฏบิ ตั ิ ถา สอนไปกเ็ หมอื นสอนให ตะครบุ เงา โนน ๆ ๆ ไมม องดตู วั จรงิ อนั เปน ตน เหตุ สอนทต่ี น เหตเุ ปน สาํ คญั เพราะกิเลสเกิดขึ้นที่นี่ จะเอายงั ไง? อะไรเปน ตวั เหตุ ทจ่ี ะใหเ กดิ ความทกุ ขค วามลาํ บากแกส ตั วโ ลกทง้ั หลาย? ตลอดถงึ ความเกดิ แก เจ็บ ตาย ? นี่เปนผลมาจากกิเลสซึง่ เปนเช้อื เปนตัวเหตสุ ําคัญ มนั เกดิ ขน้ึ อยา งไร? ถา ไมเ กดิ ขน้ึ จากใจ มนั อยทู น่ี ่ี จึงไมไปสอนที่อื่น เพราะเวลาพจิ ารณากเ็ อาจรงิ เอาจัง เอาเหตเุ อาผลใหร คู วามจรงิ และถอดถอนกเิ ลสไปไดโ ดยลําดับ กถ็ อดถอนทต่ี รงน้ี เพราะตรงนเ้ี ปน ผผู กู มดั ตวั เอง เปน ผสู ง่ั สมกเิ ลสขน้ึ มาในขณะทโ่ี งเ ขลาเบาปญ ญา ไมร ูเรอ่ื งรรู าว เวลาถอดถอนดว ยอบุ ายของสตปิ ญ ญาทม่ี คี วามเฉลยี วฉลาด พอถอด ถอนไดกถ็ อดถอนกนั ทต่ี รงน้ี สติใหมีอยูที่ตรงนี้ จุดนี้เปนจุดที่ควรระวังอยางยิ่ง เปน จดุ ทค่ี วรบาํ รงุ รกั ษาอยา งยง่ิ คอื ใจ! บํารงุ ก็บํารงุ ท่ีนี่ ดว ยการภาวนาและสง เสรมิ สตทิ ม่ี ี อยแู ลว ใหม คี วามเจรญิ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ อยา ใหเ สอ่ื ม และรักษาจิตดวยดี อยา ใหอ ะไรเขา มา เกย่ี วขอ ง ระมัดระวงั อยา ใหจ ติ นี่แสอ อกไปยงุ กบั เรอ่ื งตางๆ แลว นาํ สง่ิ นน้ั เขา มาเผา ตน นที่ า นเรียกวา “รักษา” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๒

๔๗๓ กาํ จดั กค็ อื คน ควา หาเหตผุ ลของมนั อันใดที่มีอยูแลวและเปนของไมดี ให พยายามแกไ ขและคน ควา หาเหตหุ าผล เพือ่ แกไขถอดถอนตามจดุ ของมนั ท่ีเกิดข้ึน เรื่องใหญโตแทๆ อยูที่จิต เรื่องเกิดก็คือจิตที่ทองเที่ยวอยูใน “วฏั สงสาร” จน ไมรูประมาณวานานเทาไร เพยี งคนคนเดยี วเทา นก้ี เ็ ตม็ โลกแลว ละซากศพทเ่ี กดิ ตาย เกิดตายซ้ําๆ ซากๆ แตเจาของรูไมได นับไมได นบั ไมถ ว น ไมร ูจกั นบั เพราะมีมากตอ มาก และความโงปดบังตัวเอง ความจริงของตัวที่เปนมาเทาไรก็ถูกปดบังเสียหมด ยงั เหลอื แตค วามหลอกลวง โลๆ เลๆ หาความจริงไมได ทา นจงึ สอนใหแ กส ง่ิ เหลา นใ้ี ห หมดไป พยายามอบรมสตใิ หด ใี หท นั กนั กบั ความคดิ ปรงุ มันปรุงขึ้นที่จิตและปลุกปนจิต อยตู ลอดเวลา ถามีสติอยูแ ลวเพียงความกระเพือ่ มของจิตปรุงแย็บออกมาเทาน้ัน จะ เปน การปลกุ สตปิ ญ ญาใหเ กดิ ขน้ึ ในขณะเดยี วกนั เรานง่ั อยกู บั ที่ เราเฝา มนั อยกู บั ท่ี ที่จะ เกิดขึ้นแหงเหตุทั้งหลายไดแกใจ เราตองทราบ พอกระเพอ่ื มตวั ออกมากท็ ราบ ทราบ โดยลาํ ดบั นแ่ี หละ การหลอกลวงของจติ กห็ ลอกลวงทน่ี ่ี จิตที่จะเขาใจความจริงก็เขาใจดวยปญญา นอกจากนน้ั กพ็ จิ ารณาดเู รอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธใ หเ หน็ จนกระทั่งฝงจิต คือมันซึ้งในจิตวา อาการแตล ะอาการนน้ั เปน ความจรงิ อยา งนน้ั ใหพ จิ ารณาหลายครง้ั หลายหนหากซง้ึ ไป เอง คราวนี้ก็ทราบ คราวนน้ั กท็ ราบ คราวนก้ี เ็ ขา ใจ คราวนน้ั กเ็ ขา ใจ เขา ใจหลายครง้ั หลายหน เลยเปน ความซาบซง้ึ แนใ จ รูป แนะ ฟงซิ ! อะไรเปนรูป รวมทั้งหมดผมก็เปนรูป ขน เล็บ ฟน หนงั เนื้อ เอ็น กระดูกก็เปนรูป รวมเขาไปทั้ง “อวยั วะ” ทเ่ี ปน ดา นวตั ถุ ทา นเรยี กวา “กองรปู ” หรอื เรยี กวา “กาย” เอา ! ดนู ่ี เวลาทอ งเทย่ี วใหส ตติ ามความรทู เ่ี ดนิ ไปในอวยั วะสว นใดอาการใด ของรางกาย ใหส ตเิ ปน ผคู มุ งาน ปญ ญาเปน ผตู รองไป ความรู รไู ปตามอาการนน้ั ๆ ปญ ญาตรองไปใหซึ้ง ๆ สตริ บั ทราบไปทกุ ระยะ นี่คืองานของเราแท สว นงานเรๆ รอนๆ งานคิดปรุงโดยไมมีสตินั้นเราเคยทาํ มาพอแลว และเคย เปนโทษ เกิดโทษ กระทบกระเทือนจิตใจเรามามากแลวเพราะความคิดปรุงนั้นๆ งานเชน นเ้ี ปน งาน เปน งานรอ้ื ถอนทกุ ขภ ยั ออกจากใจโดยตรง เปน งานจาํ เปน งานคอื การกาํ หนดดว ยความมีสติ ประกอบดว ยปญ ญา ไตรตรองใน “ขนั ธ” โดย สม่ําเสมอไมลดละ ความรเู ดินไปตามอาการนนั้ ๆ และถอื อาการนน้ั ๆ เปน เหมอื น “เสน บรรทดั ” ใหใ จเดนิ ไปตามนน้ั สติปญญาแนบไปตามไมลดละ เหมอื นกบั เขยี น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๓

๔๗๔ หนังสือไปตามเสนบรรทัด ใหใจเดินไปตามนั้น สติปญญาแนบไปตามไมลดละ เหมอื น กับเขียนหนังสือไปตามเสนบรรทัด สติประคองไปดวย ดูไปดวย นเ่ี รยี กวา “เที่ยว กรรมฐานตามปาชาซึ่งมีอยูกับตัว” ความอยากรอู ยากเหน็ อยา งรวดเรว็ ตามใจนน้ั อยา เอาเขา มาเกย่ี วขอ งใหเ หนอื ความจริงที่กําลังพิจารณา รอู ยา งไรใหเ ขา ใจตามความรนู น้ั แลว กาํ หนดตามไปเรอ่ื ยๆ แยกดคู วามเปน อยขู องขนั ธต า งๆ วา เปน อยา งไร มหี นงั หมุ อยภู ายนอกบางๆ เทา นน้ั แลทห่ี ลอกลวงตาโลก ลวงตาทานลวงตาเรา ไมไดหนาเทาใบลานเลย นน่ั คอื ผวิ หนงั เราจะพิจารณาในแงหนึ่งแงใด กเ็ ปน การพจิ ารณาเพอ่ื ถอดถอนความหลงของ ตัว เวลาพจิ ารณาอยา งนท้ี าํ ใหเ พลนิ ดี เอา! ดขู น้ึ ไปขา งบน ดูลงไปขางลาง ดอู อกไปขา ง นอกขา งในกายเรานแ้ี ล เปน การทองเท่ยี วใหเพลินอยูในน้ี สตติ ามอยา ให “สกั แตว า ไป” ใหสติตามไปดวย ปญญาตรองไปตามความรูที่รูกับอาการนั้นๆ ไปดวย ขน้ึ ขา งบน ลงขางลางที่ไหนถูก “สัจธรรม” ทง้ั นน้ั งานนี้เรียกวา “งานรื้องานถอนพิษภัย” ที่ “อปุ าทาน” เขาไปแทรกสิง ไปยึดไป ถอื ทกุ ชน้ิ ทกุ อนั ภายในรา งกายนอ้ี อก จนไมมอี ะไรเหลืออยภู ายในใจอีกตอ ไป เพราะ ฉะนน้ั ทกุ ขจ งึ มอี ยทู กุ แหง ทกุ หน เพราะ “อปุ าทาน” เปน ตวั การสาํ คญั คาํ วา “ทุกข มอี ยู ทกุ แหง ทกุ หน” หมายถงึ ทกุ ขเ พราะความยึดถอื ทําใหไปเปนทุกขที่ใจ ไมใ ชเ ปน ทกุ ขท ่ี อน่ื เพยี งรา งกายเจ็บไขไดปวยแลวเปนทุกขนั้น พระพุทธเจา ก็เปนได พระสาวกก็ เปนได เพราะขนั ธน อ้ี ยใู นกฎของ “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตตฺ า” อยแู ลว จะตองแสดงตามกฎ ของมัน แตส าํ หรบั จติ ผูพนจาก อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา และมีฐานะที่จะพนจาก อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา น้ี ใหพ จิ ารณาสง่ิ ทว่ี า น้ี อยา ใหก ระทบกระเทอื นตวั เองไดด ว ยความ เผอเรอใดๆ เพราะการวาดภาพของตัวเอง เพื่อพิจารณารูความจริงนั้นเปนสิ่งสําคัญ ที่ จะไมใหสิ่งเหลานี้มากระทบกระเทือนใจได คอื ไมใหทกุ ขเ กดิ ขนึ้ ภายใน เพราะความ เสกสรรวา “กายเปนเรา, เปนของเรา,” เปนตน พิจารณาลงไป ดูลงไป จนกวา จะเหน็ ชดั ดว ยปญ ญาจรงิ ๆ เอา! หนงั เปน อยา ง ไร หนังสัตวที่เขาใชทําเปนกระเปานั้นเปนอยางไร หนังรองเทาเปนอยางไร ดกู นั ให หมด ตลอดเนื้อ เอ็น กระดูก เอา!ดเู นอื้ สัตว ดเู นอ้ื บคุ คล มนั กเ็ หมอื นกนั ดูเขาไป กระดกู เปน อยา งไร กระดูกสัตว กระดูกคน ตางกันที่ตรงไหน ดูเขาไปใหเต็มความจริง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๔

๔๗๕ ทีม่ อี ยกู บั ตัว ดูเขาไป ดภู ายในรา งกายนแ้ี หละ เพราะอนั นเ้ี ปน สง่ิ ทท่ี า ทายอยแู ลว ตาม ความจริงของเขา ทําไมใจเราจึงไมรู ไมอ าจหาญ เพียงเห็นตามความจริงนั้นแลว กเ็ ริ่มทาทายของ ปลอมไดดวยความจริงที่ตนรูตนเห็น ความจรงิ ทร่ี เู หน็ ดว ยปญ ญานม้ี อี าํ นาจมาก สามารถลบลา งความเหน็ อันจอมปลอมไดโดยลําดับ จนความปลอมหมดสน้ิ ไป ความจริงที่เกิดขึ้นกับใจยอมเกิดไดดวยสติปญญา คาํ วา “ความจริง” นน้ั ถกู ทง้ั สองเงื่อน เง่อื นหน่ึงความจริงทั้งหลาย ไมว า ฝายรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ ก็ เปนความจริง เปน ของมอี ยู ทาทายอยูดวยความมีอยูของตน และปญ ญากห็ ยง่ั ทราบตามความจรงิ ของเขา จนปรากฏเปน ความจรงิ ขน้ึ มาภายในใจ นค่ี อื วธิ กี าร ถอดถอนกเิ ลสเปน อยา งน้ี นแ่ี หละความจรงิ กบั ความจรงิ เขา ถงึ กนั แลว ไมเ ปน ภยั นอกจากถอดถอนพษิ ภัยทงั้ หลายไดโดยสน้ิ เชงิ เทานนั้ ตอนที่พิจารณาเดินกรรมฐาน เทย่ี วกรรมฐานตามทีว่ า นี้ เทย่ี วไปตามอวยั วะ นอยใหญ ตรวจไปตรองไป ออกจากกรรมฐานตอนนน้ั แลว กเ็ ท่ียวกรรมฐานใหถึงทีส่ ดุ วา รา งกายนจ้ี ะสลายแปรสภาพไปอยา งไรบา ง กําหนดลงไป มันจะเปอยจะผุจะพงั อยาง ไร ? ใหก าํ หนดลงไป ๆ จนสลายจากกนั ไปหมดไมม เี หลอื อยเู ลย เพราะรางกายนี้จะ ตอ งเปน เชน นน้ั แนน อน แตก ารกาํ หนดนน้ั ตางๆ กนั ตามความถนดั ใจ สมมตุ วิ า จะกาํ หนดอาการนน้ั ให เหน็ ชดั ภายในจติ เราจะจบั อาการใด เชน หนัง เปนตน ใหจ บั อาการนน้ั ไวใ หแ น ให ภาพนน้ั ปรากฏอยภู ายในจติ สติจับหรือจดจองอยูที่ตรงนั้น ภาพนน้ั จะปรากฏสงู ตาํ่ ไปไหนกต็ าม เราอยาไปคาดไปหมาย ความสูง ความต่ํา สถานทท่ี เ่ี ราจะพจิ ารณานน้ั ใหถ อื เอาเปา หมายของการทาํ งาน ใหค วามรตู ดิ แนบกนั อยู นน้ั ดว ยสตเิ ปน ผคู วบคมุ อยาเผลอตัวคิดไปที่อื่น อาการนจ้ี ะขยายตวั มากนอ ยกใ็ หเ หน็ ประจกั ษใ จในปจ จบุ นั คือขณะที่ทํา จะสงู จะตาํ่ กใ็ หร อู ยอู ยา งนน้ั อยา ไปคาดวา นส้ี งู เกนิ ไป นี่ต่ําเกินไป นน่ี อกจากกายไปแลว ทีแรกเรานึกวาเราพิจารณาอยูภายในกาย อาการนอ้ี ยใู นกาย ทําไมจงึ กลายเปน นอกกายไป เราอยา ไปคดิ อยา งนน้ั แมจะสูงจะต่ํา จะออกนอกออกในกต็ าม ถาเราไม ปลอยความรใู นเปาหมายท่เี รากาํ ลังพิจารณานัน้ นน่ั แหละจะเหน็ ความแปลกประหลาด และจะเหน็ ความอศั จรรยข น้ึ มาจากอาการนน้ั แหละ เชนเรากําหนดเนื้อ จะเปนเนื้อ อวยั วะสว นใดกต็ าม กาํ หนดลงตรงนน้ั ใหเ หน็ ชดั อยภู ายในนน้ั แลว จะคอ ยกระจายไป กระจายไปเอง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๕

๔๗๖ เม่ือสติตง้ั มนั่ อยูด วยดี คอื รสู กึ ตวั จาํ เพาะหนา จติ กร็ วู า ทาํ งาน ปญ ญากต็ รอง ตามนั้น สกั ประเดย๋ี วอาการนน้ั กจ็ ะคอ ยกระจายลงไป คอื หมายความวา มันเปอยลงไป ๆ อนั นน้ั กพ็ งั อนั นก้ี พ็ งั ดูใหมันชัดเจนลงไป เราไมต อ งกลวั ตาย จะกลัวอะไรเราดูความจริงนี่ ไมใชดูวา เราจะตายนน่ี า! เอา! สลายลงไป ๆ นเ่ี ราเคยพจิ ารณาอยา งนน้ั อนั นน้ั ขาดลงไปอนั น้ี ขาดลงไป มันเพลินขณะที่พิจารณา พิจารณารางกายตัวเรานี้เองแหละ แตใ นขณะท่ี พิจารณาดวยความเพลินนั้น รา งกายปรากฏวา หายไปหมดไมร สู กึ ตวั เลย ทั้งๆ ที่เรา กาํ หนดพจิ ารณากายอยูนั้นแล เอา ! รางกายพังลงไป ๆ หัวขาดลงไป แขนขาดลงไป ตกลงไปตอหนาตอตา แขนทอ นนน้ั กระดกู ทอ นนน้ั ขาดลงไป กระดูกทอนนี้ขาดลงไป ภายในกายนท้ี ะลกั ออก ไป เอา ! ดูไปเรื่อยๆ เพลิน ดูเรื่อยๆ แตกลงไป ๆ สว นนาํ้ กซ็ มึ ลงไปในดนิ และเปน ไอไปในอากาศ ฉะนน้ั เวลาปรากฏนาํ้ ซมึ ซาบลง ไปในดนิ และออกเปน อากาศไปหมดแลว สว นตา งๆ กแ็ หง อวยั วะสว นนแ้ี หง แหง แลว กรอบเขา ๆ แหงเขาไปจนกลายเปนดินไป ดนิ กบั กระดกู ของอวยั วะเลยกลมกลนื เปน อนั เดยี วกนั ไป ! นี่เห็นชัด สว นทแ่ี ขง็ คอื กระดกู กาํ หนดเหน็ เปน ลาํ ดบั และกาํ หนดเปน ไฟเผาบา ง กาํ หนดใหค อ ยผพุ งั ลงไปบา ง กระจายลงไปตามลาํ ดบั บา ง จนกลนื เขา เปน อนั เดยี วกบั ดินอยางเห็นไดชัด ทช่ี ดั ทส่ี ดุ เกย่ี วกบั การพจิ ารณาน้ี คอื ธาตดุ นิ กบั ธาตนุ าํ้ สง่ิ ทต่ี ดิ ใจซง่ึ ภายในใจก็ คอื ธาตดุ นิ สว นนาํ้ นน้ั กป็ รากฏเปน อยา งนน้ั ลม ไฟ ไมคอยจะมีปญหาอะไรนัก ไมเปน ขอ หนกั แนน สาํ หรบั การพจิ ารณา และไมเปนสิ่งที่จะซึ้งภายในใจเหมือนอยางเรา พจิ ารณารา งกายซง่ึ เปน อวยั วะหยาบ พออันนก้ี ระจายลงไป กลายเปน “ดิน” หมด จติ กเ็ วง้ิ วา งละซิ ! ขณะนนั้ เว้ิงวาง ไปหมด! อยา งนก้ี ม็ ี แตเ วลาพจิ ารณากรณุ าอยา ไดค าดไดห มาย ใหเ อาความจรงิ ในตน เปนสมบัติ ของตน เปนสักขีพยานของตน อยา เอาความคาดคะเนมาเปน สกั ขพี ยาน มาเปนขอ ดําเนิน จะไมใชสมบัติของเรา นนั่ เปน สมบตั ขิ องทาน สมบัติของเราคือเรารูเอง เราเปน อยา งไรใหเปน ข้ึนภายในตัวเราเอง นั้นแลคือความรูของเรา ความเห็นของเราแล เปน สมบัติของเราแท! ควรกาํ หนดอยา งน้ี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๖

๔๗๗ บางครั้งไมเปนอยางนั้นเสมอไป หากเปนไปของมันเองโดยหลักธรรมชาติ พอ การสลายลงไปเปนดนิ เชน นั้นแลว บางทีกระดูกมันคอยผุพังลงไป ๆ ยังไมหมด แตอ นั หนง่ึ มนั ปรากฏขน้ึ ภายในจติ ใจวา “ที่มันยังไมหมด สวนที่เหลอื จะตองเปน ดินเชน เดียว กนั อกี ” มนั มคี วามปรงุ ขน้ึ ในจติ ทั้งๆ ทใ่ี นขณะนน้ั ไมม กี ายเลยในความรสู กึ แตจิต หากปรงุ ขน้ึ อยา งนน้ั สกั ประเดย๋ี วไมท ราบวา แผน ดนิ มาจากไหน มาทบั กระดกู ทย่ี งั เหลอื อยู พรึบ เดียว คอื มาทบั สวนที่ยงั ผพุ ังไมหมดใหก ลายเปน ดนิ ไปหมดดวยกนั พอกระดกู สว นท่ี เหลือกลายเปน ดนิ ไปหมดแลว จิตไมทราบวาเปนอยางไร มนั พลกิ ตวั ของมนั อกี แงห นง่ึ ขณะทจ่ี ติ พลกิ กลบั อกี ทเี ลยหมด! แผน ดินก็ไมม ี ทั้งๆ ทแ่ี ผน ดนิ มนั ไหลมาทบั กนั อยางรวดเร็ว พลิกมาทับกองกระดูกของเราที่ยังละลายไมหมดลงเปนดิน ทีนี้ก็รูขึ้นมาพับ! อกี วา “ออ่ื ! ทกุ สง่ิ ทุกอยา งมันก็เปน ดินหมด ในรา งกายอนั นท้ี ่ี มันลงไปก็เปนดินหมด!” หลงั จากนน้ั ครหู นง่ึ จติ กพ็ ลกิ ตวั อกี ที และพลิกอยางไรไม ทราบความสมมุติได ดินเลยหายไปหมด อะไรๆ หายไปหมด เหลอื แตค วามรลู ว นๆ โลงไปหมดเลย เกดิ ความอศั จรรยข น้ึ มาอยา งพดู ไมถ กู ซง่ึ การพจิ ารณาเชน นเ้ี ราไม เคยเปน! มันเปนขึ้นมาใหรูใหเห็นอยางชัดเจน จติ เลยอยนู น้ั เสยี คอื อยอู นั เดยี วเทา นน้ั จะมีขณะใดขณะหนึ่งของจิตวาเปนสองไมมีเลย! เพราะมนั ตายตวั ดว ยความเปน หนึ่งแทๆ พอขยบั จิตข้นึ มากแ็ สดงวา เปน สองกบั ความปรงุ แตนี่ไมมีความปรุงอะไรทั้ง สน้ิ เหลือแตค วามรูท ีส่ ักแตว ารู และเปนของอศั จรรยอ ยูในความรูน น้ั ขณะนั้นมันเวิ้ง วา งไปหมดเลยโลกธาตนุ ้ี ตน ไม ภูเขา อะไรไมม ีในความรสู ึกตอนนน้ั จะวา เปน อากาศ ไปหมด แตผ นู น้ั กไ็ มส าํ คญั วา เปน อากาศอกี เหมอื นกนั มอี ยเู ฉพาะความรนู น้ั เทา นน้ั ! แตจติ สงบตัวอยูเ ปนเวลาชั่วโมงๆ! พอจติ ถอนออกมาแลว แมจ ะกาํ หนดอะไรก็ เวง้ิ วา งไปอกี เหมอื นกนั นอ่ี าจเปน ไดค นละครง้ั เทา นน้ั นี้ก็เคยเปนมาเพียงครั้งเดียวไม เคยซาํ้ อกี เลย! สวนการพิจารณาลงไปโดยเฉพาะๆ มันเปนไดตามความชํานาญของจิต จนกระทั่งเปนไปทุกครั้งที่เราพิจารณา การพิจารณาความแปรสภาพเปนดิน เปน นาํ้ เปนลม เปนไฟ ยังชัดเจนอยูทุก เวลาที่เราพิจารณา ความทเ่ี ปน เชน นแ้ี ลเปน ความสามารถ ทจ่ี ะทาํ จติ เราใหม กี าํ ลงั และ ความเคยชินกับความจริงคือ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ แท สามารถถอดถอนความเปน “เรา” เปน “ของเรา” ออกไดโดยลาํ ดบั เพราะตามความจริงแลว รา งกายนถ้ี า วา ธาตมุ นั กธ็ าตุ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๗

๔๗๘ ถา วา “ธาตดุ นิ ” มันก็ธาตุดนิ เราดีๆ นเ่ี อง ไมใชเราไมใชของเราตามคําเสกสรรมั่นหมาย ตางๆ การพจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ รูไมหยุดยั้ง รูเรื่อยๆ เพราะการพิจารณาอยูเรื่อยๆ ยอมจะเพิ่มความซาบซึ้งโดยลําดับจนเขาใจชัด แลว ถอดตวั ออกจากคาํ ทว่ี า “กายเปน เราเปน ของเรา” กเ็ ลยกายสกั แตว า กาย ถา ใหช อ่ื วา กายกส็ กั แตว า กาย ถา จะใหช ือ่ วา กายสกั แตว า ปรากฏสภาพเทา นน้ั กพ็ ดู ได เมื่อจิตรูอยางพอตัวแลวไมมีอะไรเปนปญหา ใจจะวาเขาเปนอะไรเขาไมมีปญหา เพราะเปนปญหาอยูกับใจดวงเดียว ฉะนน้ั จาํ ตอ งแกป ญ หาเราเองออกจากความลมุ หลง ความสาํ คญั มน่ั หมาย ตางๆ ใหเ ขา สคู วามจรงิ แหง ธรรม คอื รูลวนๆ นน้ั กธ็ าตลุ ว นๆ แมจะสมมุติวา “กาย” กค็ อื ธาตลุ ว นๆ ยอ นเขา มาในจติ กจ็ ติ ลว นๆ ทั้งสอง “ลว นๆ”น้ตี า งก็เปน ความจรงิ ลว นๆ เมื่อทราบความจริงชัดอยางนี้แลว เอา! เวทนาจะเกิดขึ้นก็เกิด เพราะเวทนาก็ เปน ธาตอุ นั หนง่ึ หรอื เปน สภาวธรรมอนั หนง่ึ เชน เดยี วกบั รา งกาย มนั วง่ิ ถงึ กนั อยา งนน้ั “สัญญา” ความหมาย พอปรงุ แผลบ็ เรากท็ ราบเสยี วา มันออกไปจากจิตนี้ไปปรุง อยา งนน้ั ไปสาํ คญั อยา งน้ี เมอ่ื ทราบแลว จิตกถ็ อนตวั สญั ญากด็ บั ไปทนั ที ถาเราไมทราบ มนั กต็ อ อนั นด้ี บั อนั นน้ั ตอ สบื ตอ กนั ไปเรอ่ื ยๆ เหมอื น “ลกู โซ” พอทราบมนั กด็ บั ของ มัน ดับในขณะที่สติรูทัน และไมปรุงเปนเรื่องเปนราวอะไรขึ้นมาได นี่เรียกวา “สติทัน” ถา ไมท นั เรอ่ื งกต็ อ เรอ่ื ยๆ การพจิ ารณาความจรงิ ในรา งกายจงึ เปน เรอ่ื งใหญท ส่ี ดุ พระพุทธเจาจงึ ทรงสอน “สติปฏฐานส่”ี ซึ่งมีอยูในรางกายจิตใจนี้ทั้งนั้น สจั ธรรมกม็ อี ยทู น่ี ่ี ทา นจงึ สอนลงทน่ี ่ี สรุปแลวลงที่จิต การที่วาพิจารณาไปทั้งหมดนั้น พิจารณาเพื่ออะไร? ก็พิจารณาเพื่อใหจิตรูตามความเปนจริง แลว จะไดป ลอ ยวางความ งมงายในการยดึ ถอื เขามาสูความเปนตน เอา! เมอ่ื หมดความงมงายในธาตสุ ่ี ดนิ นาํ้ ลม ไฟ นแ่ี ลว เลยหมดความงมงาย ในเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ อนั เกย่ี วกบั ขนั ธห า น้ี แลว กเ็ ขา มาพจิ ารณาความงม งายของจิตอีก แนะ ! มันยังมีเรื่องของมันอีก! ความงมงายตามขน้ั ของกเิ ลสทล่ี ะเอยี ดน้ี เรียกวา “เปนความละเอียดของกิเลส” เปนความงมงายอันละเอียดของจิต ยอนเขามาพิจารณาเขามาอีก จะเอาอะไรเปนหลัก เกณฑที่นี่ ? ก็เราพิจารณาจิต จิตเปน นามธรรม เวทนาก็เปนนามธรรม กเิ ลสก็เปน นามธรรม ปญ ญากเ็ ปน นามธรรม ไมวาแตเพียงจิตจะเปนนามธรรม สง่ิ ทเ่ี ปน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๘

๔๗๙ “นามธรรม” กบั สง่ิ ทเ่ี ปน “นามธรรม” มนั อยดู ว ยกนั ได ติดกนั ได กเิ ลสกบั จิตตา งก็ เปนนามธรรมดวยกันจึงติดกันได เอา! ปญญาคนลงไปเพราะเปนนามธรรมดวยกัน จะพิจารณาเชนเดียวกับเรา พิจารณารูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ แยกแยะใหเห็นตามความจริงของมัน แลว จบั จติ นข้ี น้ึ มาเปน ตวั ผตู อ งหา เปน ตวั นกั โทษทีเดียว ฟาดฟน หน่ั แหลกลงในตวั ผตู อ ง หาหรอื นกั โทษน้ี นแ่ี หละคอื ผตู อ งหาหรอื นกั โทษ มันเปน “โทษ” เขา มารวมไวในตวั นห้ี มด ถอื วา ตวั เกง ตวั รตู วั ฉลาด สง่ิ นน้ั สง่ิ นร้ี ไู ปหมดแลว ในโลกธาตนุ ้ี รูป เสียง กลน่ิ รส เครื่อง สัมผัส รูหมด! รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณภายในรา งกาย ทเ่ี ปน ขนั ธห า นก้ี ร็ ู หมด! แตไ มย อมรูตวั เอง! นน่ั นะซ!ี มาติดตรงนี้ มาโงตรงนี!้ พรอ มทง้ั ยอ นปญ ญาเขา ภายในจิตนี้อีก ฝาฟนตรงนี้ออกใหทะลุไป แทงเขาไปตรงนี้ เขาไปหาความรูนี้ ความรู ที่วาเกงๆ นน่ั แหละคือ “ตัวงมงายของจิต” แท! เมอ่ื พจิ ารณาคลค่ี ลายโดยละเอยี ดถถ่ี ว นแลว สภาพทแ่ี ทรกอยกู บั จติ กเ็ ปน สภาวธรรมอนั หนง่ึ เทา นน้ั จิตจะคงตัวอยูไมฉบิ หายเพราะการพิจารณาหาความจริง ก็ ใหฉ บิ หายไป ไมต อ งอาลยั เสยี ดาย ถา จติ มน่ั คงตอ ความจรงิ แลว ! จติ คงอยไู มฉ บิ หาย! ถาจิตทรงความจริงไวตามธรรมชาติของตัวเองซึ่งเปนความจริงจริงๆ แลว ก็จิตนี้แลจะ พนโทษ ถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ จิตจะสูญหรือไมสูญก็ใหรูกัน! คนลงไปไมตองเสียดายอะไรทั้งสิ้น จิตก็ไมตองเสียดาย ไมตองกลัววาจิตจะ ตอ งถกู ทาํ ลายจะสลาย จิตจะฉิบหายไป จิตจะสูญสิ้นไปไหน! เมอ่ื ถกู ปญ ญาทาํ ลายสิง่ แทรกซึมหมดแลว กิเลสทุกประเภทสูญสิ้นไปเอง เพราะเปนสิ่งจอมปลอมอยูภายในจิต เมื่อกําหนดพิจารณาลงไปจริงๆ แลว ไอส ง่ิ ทค่ี วร สูญสิ้นไปยังไงก็ทนอยูไมได มนั ตองสูญ สวนธรรมชาติที่สูญไมได ทาํ ยงั ไงกต็ อ งอยู คง ตัวอยู คอื จติ นจ้ี ะสญู ไปไหน! นน่ั แหละผทู ถ่ี กู กเิ ลสนค้ี รอบงาํ อยกู ค็ อื จติ ปญญาฟาดฟน กิเลสแหลกละเอียดลงไปจากจิตแลว จติ นก่ี เ็ ลยกลายเปน ความบรสิ ทุ ธข์ิ น้ึ มา ผนู แ้ี ล คือผบู ริสทุ ธ์แิ ท จะเอาอะไรไปสูญ! สญู แลว จะบรสิ ทุ ธไ์ิ ดอ ยา งไร ? อนั นน้ั ตาย อนั นฉ้ี บิ หาย แตอ นั นเ้ี ปน “อมตํ แท” อมตํ ดว ยความบรสิ ทุ ธ์ิ ไมใ ช อมตํ ทก่ี ลง้ิ ไปมาตาม “วัฏ วน” ทง้ั หลายทเ่ี คยเหน็ มา อนั นน้ั กไ็ มต าย แตม นั กลง้ิ ไปอยอู ยา งนน้ั ตามกฎ “วฏั จกั ร” แต “อมต”ํ นี้ไมตายดวยไมกล้งิ ดวย นน้ั เปน “ววิ ฏั ฏะ” คือไมตายและไมหมุน น่ี ตัวจริงอยูภายในทามกลางขันธของเรา อนั นแ้ี หละตวั สาํ คญั ! ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๗๙

๔๘๐ เจาตวั ยแุ หยก อกวนมันเขาไปกลมุ รมุ จิตน่ีใหห ลงไปตามโลก ตามธาตตุ ามขนั ธ ตามทุกขเวทนา ความเจ็บไขไดปวยตางๆ วนุ วายไปหมด ความจรงิ เขาไมไ ดว า อะไรน่ี รา งกายมอี ะไรกม็ อี ยอู ยา งนน้ั เวทนาเกิดขึ้นก็เกิดตามเรื่องของมัน มันไมทราบวาตน เปนเวทนา ไมทราบวา ตนเปน ทุกข เปนสขุ เปนเฉยๆ อะไรเลย กจ็ ติ นเ้ี ปน ผไู ปใหค วาม หมาย แลวก็ไปหลงความหมายของตัวเองโดยไมเกิดประโยชนอะไร นอกจากเกดิ โทษ แกต วั ถา ยเดยี วเทา นน้ั เพราะฉะนั้นจึงตองพิจารณาดวยปญญา ใหเห็นตามความเปนจริงของมัน แลว อะไรจะฉบิ หาย เราจะขาดทุนเพราะอะไร รา งกายแตกกแ็ ตกไปซี ก็ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺ ตา ทา นบอกไวแ ลว วา ธรรมเหลา นค้ี รอบโลกธาตุ จะไมค รอบขนั ธอ ยา งไร ไตรลักษณ เคยครอบโลกธาตอุ ยแู ลว ทาํ ไมจะไมค รอบขนั ธเ ราได นี่เมื่อมันเปนไปตามกฎ อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เราจะไปขัดขวางไดอยางไร เอา! ปลอ ยมนั ไป อะไรไมทน เออ! แตกไป มนั มแี ตส ง่ิ ทแ่ี ตกทส่ี ลายทง้ั นน้ั อยู ในโลกธาตนุ ้ี เปน แตเ พยี งวา ชา หรอื เรว็ ตา งกนั มีเทานั้น แลวขันธของเราจะทนไปได อยางไรตั้งกัปตั้งกัลป เพราะอยใู นกรอบอนั เดยี วกนั เอา! พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความ จริงไวกอนที่ยังไมแตกซึ่งเปนความรอบคอบของปญญา ใหเ หน็ ชดั เมอ่ื ถงึ เวลา ทุกขเวทนาเกิดขึ้น เอา! ขน้ึ เวทกี นั วนั น้ี วา งน้ั เลย! วนั นเ้ี ราจะขน้ึ เวทเี พอ่ื เหน็ ความจรงิ รูความจริงตามหลักธรรม ไมใชขึ้นเวทีเพื่อ ลม จม ทุกขเวทนาเกดิ ขน้ึ เปนเรือ่ งของทกุ ขเวทนา การพิจารณาเรื่องของทุกขเวทนาซึ่ง มอี ยใู นขนั ธน ้ี เปนเรื่องของสติปญญา เราตองการทราบความจริงจากการพิจารณา มัน จะลม จมไปไหน เพราะเราไมไดทําเพื่อความลมจม เราไมไ ดท าํ เพอ่ื ความฉบิ หายใสต วั เรา เราทําเพื่อชัยชนะ เพื่อความรูตามสัดสวนของความจริง ทม่ี อี ยทู เ่ี ปน อยใู หร อบภาย ในใจตา งหาก แลวรอดพน ไปไดจากส่งิ น้ี นน่ั เปน มงคลอนั สงู สดุ ! ทท่ี า นวา “เปนมงคลอันสูงสุด” “นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ น่ี แหละ การทาํ พระนพิ พานใหแ จงทําอยา งนแ้ี หละ พระนิพพานถูกปดบัง กค็ อื จติ นน้ั แหละถกู ปด บงั ดว ยกเิ ลสตณั หาอวิชชา มันปดบังใหมืดมิดปดตา จงึ แกไ ขกนั ดว ยวธิ นี ้ี คอื พจิ ารณาแยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ เปนการเปดสิ่งที่ปดบังทั้งหลายออก ที่เรียก วา “ทําพระนิพพานใหแจง” ใหแ จง ชดั ภายในใจ เมอ่ื แจง ชดั หมดแลว ก็ “เอตมฺมงฺคล มุตฺตม”ํ เปนมงคลอันสูงสุด! อะไรจะสูงยิ่งกวา “นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ” อนั นเ้ี ปน สงู สดุ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๐

๔๘๑ นอกจากนน้ั ก็ “ผฏุ ฐ สสฺ โลกธมเฺ มหิ จิตฺตํ ยสสฺ น กมปฺ ติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ จติ นอ้ี ะไรมาสมั ผสั กต็ าม ไมมีความหวั่นไหวพรั่นพรึง สง่ิ ทงั้ หลาย เขามาแตะตองสัมผัสไมได ที่เขาไมไดเพราะมันหมดสิทธิ์ “เขม”ํ ทานวาเปน จติ ดวงเกษม “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ มงคลสองขอ ทก่ี ลา วมาน้ี อยูทีใ่ จนีน่ ะไมไดอยทู ี่ไหน ใจนแ่ี หละเปน ตวั มงคลและเปน อปั มงคล กอ็ ยใู นฉากเดยี ว กนั เวลานเ้ี ราแกอ ปั มงคล เพราะมันมีติดใจเราอยู ใหเปน “มงคล” ขึ้นมา “นิพฺ พานสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ” เอา! แกเปดเผยลงไป “ตโป จ พฺรหฺมจริยฺจ อริยสจจฺ าน ทสสฺ นํ” น่ี ตโป คอื ความแผดเผากเิ ลส กิเลสเปนของรอน จงึ เผากเิ ลสดว ย “ตปธรรม” คอื สติ ปญญา ซง่ึ เปนของรอ นสาํ หรบั กิเลส และแผดเผากเิ ลสลงไป “อรยิ สจจฺ าน ทสฺสน”ํ คอื รเู หน็ อรยิ สจั ทกุ ขก ็รูเต็มจิต สมทุ ยั ก็ละไดเต็มใจ มรรคกบ็ ําเพ็ญไดเต็มภูมิของมหาสติ มหาปญญา แนะ ! จะวา อยา งไรอกี นิโรธกแ็ สดง ความดบั ทกุ ขเ ตม็ ภมู ิ คาํ วา “เห็นสัจธรรม” ทา นเหน็ อยา งนน้ั ผูเห็นผูรู “สัจธรรม” โดยสมบรู ณน น้ั แล คอื ผูท าํ พระนพิ พานใหแ จง และผไู มหว่ันไหวในโลกธรรมท้ังหลายคอื จิตนี้แล อยทู น่ี !่ี นพ่ี วกเรานา จะเอาสาระสาํ คญั นใ้ี หไ ด! จติ เปนตวั สาํ คัญ สว นรา งกายอะไรๆ ในขนั ธห า กอ็ ยา งวา ! อยางที่เราเห็นเราพิจารณาแลวแล! ขอใหไดตัวนี้ซึ่งเปนตัวสําคัญ! เอา! อะไรจะขาดก็ขาดไปเถอะ โลกนม้ี นั เปน อยา งนอ้ี ยแู ลว มนั เปน มาแตไ หน แตไร เราก็เคยเปนมาแลว กก่ี ปั กก่ี ลั ปเ กดิ ตาย ๆ นแ่ี หละ คราวนก้ี เ็ ดนิ ตามทางหลวงท่ี เคยเดินนั่นแล “ทางหลวง” คือคติธรรมดาใครหามไมได ตองเดินไปตามนี้ เรากร็ ูความจริงของ คตธิ รรมดาอยบู า งแลว นจ่ี ะวา อยา งไรตอ ไปอกี ความรใู นการแสดงกม็ เี ทา น้ี กรณุ านาํ ไป พิจารณาอยาไดประมาทนอนใจ คาํ วา “นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มํ การทําพระนิพพานใหแจงเปน มงคลอันสูงสูด” ยอมจะเปนสมบัติของทานพุทธบริษัทผูพยายามไมลดละ ในวนั หนง่ึ แนน อน จึงขอยุติการแสดงเพียงเทานี้ ฯ <<สารบัญ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๔๘๑

๕๐๒ เทศนโ ปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๕๑๙ คนื อาํ ลา การที่อยากใหคนดีไมมีใครที่จะเกินพระพุทธเจาไปได พระโอวาททป่ี ระทานไว แกโลกก็เพื่อใหโลกเปนคนดีกันทั้งนั้น เปน คนดมี คี วามสขุ ไมตองการใหโลกเกิดความ เดอื ดรอนเสยี หายอนั เกิดจากความชว่ั ของการกระทํา เพราะความไมร เู รอ่ื งวธิ ปี ฏบิ ตั ติ วั เองนน้ั เลย เพราะฉะนน้ั การทจ่ี ะสรา งพระบารมใี หถ งึ ความเปน พระพทุ ธเจา ผูมีพระเมตตา อันเปยมตอสัตวโลกนั้น จงึ เปน การลาํ บาก ผดิ กบั บารมที ง้ั หลายอยมู าก ความสามารถ กับพระเมตตามีกําลังไปพรอมๆ กัน ถาตางคนตางไดยินไดฟงพระโอวาทของพระพุทธ เจา ในทเ่ี ฉพาะพระพกั ตรก ต็ าม ไดฟ ง ตามตาํ รบั ตาํ รากต็ าม มคี วามเชือ่ ตามหลกั ความ จรงิ ทป่ี ระทานไวน น้ั ตา งคนตา งพยายามปรบั ปรงุ แกไขตนเองใหเ ปนคนดี นบั เปน จาํ นวนวา คนนก้ี เ็ ปน คนดี คือคนท่ีหนงึ่ ก็เปน คนดี คนที่สองก็เปนคนดี ในครอบครวั มีก่ี คน ไดร บั การอบรมสั่งสอนเพ่ือความเปน คนดดี วยกนั ครอบครวั นน้ั กเ็ ปน คนดี ในบา น นั้นก็เปนคนดี เมืองนี้ก็เปนคนดี เมืองนั้นก็เปนคนดี ประเทศนป้ี ระเทศนน้ั กเ็ ปน คนดี ดวยกันแลว เรื่องความสงบสุขของบานเมืองเราไมตองถามถึงก็ได ตองไดจากความดี ของผูทําดีทั้งหลายแนนอน ความทุกขรอนตางๆ ทเ่ี กิดข้ึนมานัน้ เกดิ ขน้ึ เพราะความไมด ตี างหาก คนไมดีมี จาํ นวนมากนอ ยเพยี งใด กเ็ หมอื นมเี สย้ี นหนามจาํ นวนมากนอ ยเพยี งนน้ั ยิ่งมีมากเทา ไรโลกนี้ก็เปน “โลกนั ตนรก” ได ซึ่งมืดทั้งกลางวันกลางคืน มีความรุมรอนอยูตลอด เวลาโดยไมตองไปถามหานรกขุมไหนลูกไหน เพราะสรา งอยทู หี่ ัวใจของคน แลว ก็ ระบาดสาดกระจายออกไปทุกแหงทุกหน เลยกลายเปน ไฟไปดว ยกนั เสยี สน้ิ นเ้ี พราะ ความผิดทั้งนั้นไมใชเพราะความถูกตองดีงาม ถาหากเปนไปตามหลกั ธรรมของพระพุทธเจา แลว เรอ่ื งเหลา นจ้ี ะไมม ผี ู พิพากษาศาลอุทธรณ ศาลฎีกาอะไรยอมไมมี เพราะไมม เี รอ่ื งจะให ตางคนตางมเี จตนา มุงหวังตอความเปนคนดี พยายามฟงเหตุฟงผลเพื่อความเปนคนดีดวยกัน การพูดกัน กร็ เู รอ่ื ง ไมว า เดก็ ผูใหญ หญงิ ชาย นกั บวช ฆราวาส พูดกันรูเรื่องทั้งนั้น ความพูดกันรูเ รอ่ื งกค็ อื รเู รอ่ื งเหตผุ ลดชี ว่ั ภายในใจอยา งซาบซง้ึ ทั้งมีความมุง หวงั อยากรเู หตผุ ล ความสตั ยค วามจรงิ ความดีงามอยูแลว ฟงกันยอมเขาใจไดงายและ ปฏิบัติกันไดอยางสม่ําเสมอ ไมมีที่แจง ที่ลบั เทา นั้น ที่โลกไมไดเปนไปตามใจหวัง! ไป ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๒

๕๐๓ อยูในสถานทใี่ ด บนแตความทุกขความรอน ระสาํ่ ระสายวนุ วายไปหมดทง้ั แผน ดนิ ทั้งๆ ทต่ี า งคนตา งเรยี น ตา งคนตา งหาความรู ความรูนั้นก็ไมเกิดประโยชนอะไรนอก จากเอามาเผาตวั เทา นน้ั เพราะความรปู ระเภทนน้ั ๆ ไมม ธี รรมเขา เคลอื บแฝง ไมมี ธรรมเขา อดุ หนนุ ไมม ธี รรมเขา เปน “เบรก” เปน “คนั เรง ” เปนพวงมาลยั จงึ เปน ไป ตามยถากรรมไมมีขอบเขต เมอ่ื พจิ ารณาอยา งน้ี ยอมจะเห็นคุณคาแหงธรรมของพระพุทธเจาวามีมากมาย เพียงไร เพยี งแตเ ราพยายามทาํ ตวั ใหเ ปน คนดี แมไ มส ามารถแนะนาํ สง่ั สอนผใู ดให เปนคนดีไดก็ตาม ลําพังประพฤติปฏิบัติตัวใหเปนคนดี อยใู นสถานทใ่ี ด อริ ยิ าบถใด เรากเ็ ยน็ ความเย็นความผาสุกสบายเกิดข้ึนจากความถูกตองแหงการกระทําของตนเอง ความเยน็ จงึ ปรากฏขน้ึ กบั บคุ คลนน้ั คาํ วา “ความถูกตอง” “ความรม เยน็ ” นน้ั มเี ปน ขน้ั ๆ ขั้นทั่วๆ ไปก็มีไดทุกคนถา ตั้งใจประพฤติปฏิบัติใหมี ไมมองขามตนไปเสีย โลกนีก้ ็เปน โลกผาสกุ รม เย็น นา อยนู า อาศัย นา รน่ื เรงิ บนั เทงิ ยิง่ ไปกวานั้น ผจู ะปฏบิ ตั ใิ หไ ดค วามสขุ ความเจรญิ ภายในจติ ใจกวา ภาคทว่ั ๆ ไป ก็พยายามบําเพ็ญตนใหเขมงวดกวดขัน หรอื ขยบั ตวั เขา ไปตามลาํ ดบั แหง ความมงุ หวงั ความสุขอันละเอียดสุขุมก็จะปรากฏขึ้นมา เฉพาะอยา งยง่ิ ผสู นใจทางจติ ตภาวนา ถา ถอื วา เปน แนวรบ เปน การกา วเขา สู สงคราม กเ็ รยี กวา เปน แนวหนา ทเี ดยี ว จาํ พวกนจ้ี าํ พวกแนวหนา ถา มุงหวังขนาดนัน้ แลวเจา ตัวจะทําออ นแอไมได ทุกสิ่งทุกอยางตองมีความเขมงวดกวดขันตนเองอยูเสมอ สุดทายก็คอยกลายเปนผูมีสติอยูตลอดเวลาได ไมงั้นก็ไมจัดวาเปนผูเขมแข็งเพื่อชัย ชนะในสงคราม ความเขมแข็งตองขึ้นอยูกับความเพียรและสติปญญา สงั เกตความ เคลื่อนไหวไปมาของตนวาจะเปนไปในทางถูกหรือผิด ซง่ึ เปน สว นละเอยี ดไปโดยลาํ ดบั วา ตองอาศัยสติปญญาเปนเครื่องระงับ ระวังรักษาอยางเขมงวดกวดขันอยูตลอดเวลา กระแสของจิตหรือความคิดปรุงตางๆ กไ็ มไปเที่ยวกวา นเอาอารมณท ่เี ปน พษิ เปน ภยั เขา มาเผาลนตนใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ น จติ เมอื่ ไดร ับความบาํ รงุ รกั ษาโดยถกู ทาง ยง่ิ จะมคี วามสงบผอ งใสและผาสกุ รม เยน็ ไปโดยลาํ ดบั ไมอ บั เฉาเมามวั ดงั ทเ่ี คย เปนมา ฉะนน้ั บรรดาลกู ศษิ ยท ง้ั หลายไดม าอบรมในสถานทน่ี ้ี กเ็ ปน เวลานานพอสมควร จึงกรุณานําเอาธรรมของพระพุทธเจานอมเขามาสถิตไวที่จิตใจของตนเถิด อยาไดคิดวา “เราจากครจู ากอาจารยไ ป เราจากวดั วาอาวาสไป” นน่ั เปน เพยี งกริ ยิ าเทา นน้ั สง่ิ สาํ คญั ควรคิดถึงขอธรรมที่พระพุทธเจาทรงสอนไววา “ผใู ดปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม ผนู น้ั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๓

๕๐๔ ไดช อ่ื วา บชู าเราตถาคต“ไดแก ประพฤติปฏิบัติตัวเราดวยสติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร อยูในสถานที่ใดอิริยาบถใดมีความเขมงวดกวดขัน มคี วามประพฤติปฏบิ ัตอิ ยภู ายในจิต ใจ อยดู ว ยความระมดั ระวงั ตวั เชน นช้ี อ่ื วา “เปน ผปู ฏบิ ตั สิ มควรแกธ รรมและบชู า ตถาคต” คือพระพุทธเจาอยูตลอดเวลา บทที่สอง “ผใู ดเหน็ ธรรมผนู น้ั เหน็ เราตถาคต” เหน็ ธรรมนเ้ี หน็ อยา งไร ? รู ธรรมนี้รูอยางไร? กด็ งั ทเ่ี ราปฏบิ ตั อิ ยนู แ้ี หละ ทางจติ ตภาวนาเปน สาํ คญั นี่คือการ ปฏบิ ตั ธิ รรม การเหน็ ธรรมกจ็ ะเห็นอะไร ถา ไมเ หน็ สง่ิ ทก่ี ดี ขวางอยภู ายในตนเองเวลาน้ี ซง่ึ เราถอื วา มนั เปน ขา ศกึ ตอ เรา ไดแก “สจั ธรรม สองบทเบื้องตน คือทุกขหนึ่ง สมทุ ยั หนง่ึ ” เราพจิ ารณาสง่ิ เหลา นใ้ี หเ ขา ใจตามความจรงิ ของมนั ทม่ี อี ยกู บั ทกุ คน ทกุ ตวั สตั ว ไมมีเวน เวนแตพ ระอรหันตเทานั้นท่ีสมทุ ัยไมเ ขาไปแทรกทา นได นอกนั้นตองมีไมมาก ก็นอย ทท่ี า นเรยี กวา “สจั ธรรม” พจิ ารณาใหเ หน็ ความจรงิ ของสง่ิ เหลา นแ้ี ลว กช็ อ่ื วา “เหน็ ธรรม” ละไดถอนได เกิดเปนผลความสงบสขุ เยน็ ใจขน้ึ มาจากการละการถอน การปลอ ยวางสง่ิ ทง้ั หลายเหลา นี้ได เรยี กวา “เหน็ ธรรม” คอื เหน็ เปน ขน้ั ๆ เหน็ เปน ระยะๆ จนกระทั่งเห็นองคตถาคต โดยสมบรู ณ ถา เราจะพดู เปน ขน้ั เปน ภมู กิ เ็ ชน (๑) ผปู ฏบิ ตั ไิ ดส าํ เรจ็ พระโสดาปตติมรรค โสดาปต ติผล ชอ่ื วา ไดเ หน็ พระ พทุ ธเจา ขน้ั หนง่ึ ดว ยใจทห่ี ยง่ั ลงสกู ระแสธรรม เรยี กวา เรม่ิ เหน็ พระพทุ ธเจา แลว ถาเปน ทงุ นากเ็ รม่ิ เหน็ ทา นอยทู างโนน เราอยทู างน้ี (๒) สกทิ าคา กเ็ ห็นพระพทุ ธเจา ใกลเ ขา ไป (๓) อนาคา ใกลเขาไปอีกโดยลําดับ (๔) ถงึ อรหัตผลแลว ชอ่ื วา เหน็ พระพทุ ธเจา โดยสมบรู ณ และธรรมทจ่ี ะให สาํ เรจ็ มรรคผลนน้ั ๆ ในทางภาคปฏิบัติก็อยูกับเราดวยกันทุกคน การที่เรายึดถือการประพฤติปฏิบัติอยูตลอดเวลาก็ชื่อวา “เราเดนิ ตามตถาคต และมองเหน็ พระตถาคตดว ยขอ ปฏบิ ตั ขิ องเราอกี แงห นง่ึ เห็นตถาคตโดยทางเหตุ คอื การปฏบิ ตั ิ เหน็ โดยทางผลคือสิ่งที่พึงไดรับโดยลําดับ เชน เดยี วกบั พระพทุ ธเจา ทรง รูทรงเห็นทรงไดรบั และทรงผา นไปโดยลาํ ดบั แลว นน้ั ” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๔

๕๐๕ เพราะฉะน้ันพระพทุ ธเจา กด็ ี พระธรรมก็ดี พระสงฆก็ดี ไมไดห างเหนิ จากใจ ของผูปฏิบัติธรรม เพื่อบูชาพระตถาคต หรอื บชู าพระธรรม พระสงฆน เ้ี ลย นเ่ี ปน การ บชู าแท นเ่ี ปน การเขา เฝา พระพทุ ธเจา อยตู ลอดเวลาดว ยความพากเพยี รของเรา การจากไปเปน กริ ยิ าอาการอนั หนง่ึ เทา นน้ั อยทู น่ี ก่ี จ็ าก เชน นั่งอยูที่นี่ แลว ก็ จากไปที่นั่น นั่งที่นั่น ลุกจากที่นั่นก็จากมาที่นี่ มนั จากอยตู ลอดเวลานะเรอ่ื งความจากน่ี เราอยา ไปถอื วา จากนน้ั จากน้ี จากเมืองนั้นมาเมืองนี้ จากบา นนไ้ี ปบา นนน้ั จากสถานท่ี นี่ไปสูสถานที่นั่น กเ็ รยี กวา “จาก” คอื จากใกลจากไกล จากอยโู ดยลาํ ดบั ลาํ ดาแหง โลก อนิจจัง มันเปนของไมเที่ยงอยูเชนนี้ มคี วามเปลย่ี นแปลงแปรปรวนอยเู สมอ สง่ิ นเ้ี รานาํ มาพจิ ารณาใหเ ปน อรรถเปน ธรรมได โดยหลักของ “ไตรลักษณ” เปน ทางเดนิ ของผรู จู รงิ เหน็ จรงิ ทง้ั หลาย ตองอาศัยหลักไตรลักษณเปนทางเดิน เราอยทู น่ี ่ี เรากบ็ าํ เพญ็ ธรรม เราไปอยทู น่ี ัน่ เรากบ็ ําเพญ็ ธรรมเพ่อื ละเพื่อถอดถอนกิเลส เพื่อระงับ ดับความทุกขทั้งหลายที่มีอยูในจิตใจ อยทู ่ีไหนเรากบ็ ําเพ็ญเพ่อื ความละความถอน ยอมจะละไดถอนไดดวยการบําเพ็ญดวยกัน โดยไมหมายถึงสถานทน่ี ัน่ สถานที่นี่ เพราะ สําคัญอยูที่การปฏิบัติเพื่อการถอดถอนนี้เทานั้น พระพุทธเจาจงึ ทรงสัง่ สอนสาวกวา “ไปเถิดภิกษุทั้งหลาย เธอไปหาอยูในที่สงบ สงัด เปน ผเู หนยี วแนน แกน นกั รบ อยสู ถานทเ่ี ชน นน้ั ชอ่ื วา เธอทง้ั หลายเขา เฝา เราอยู ตลอดเวลา ไมจ ําเปนที่เธอท้งั หลายจะมานั่งหอ มลอ มเราอยูเชน นีถ้ ือวาเปน การเขา เฝา ไมใชอยางนั้น ! ผูใดมีสติผูใดมีความเพียร อยใู นอริ ยิ าบถใดๆ ชื่อวา “ผบู ชู าเรา ตถาคต” หรอื เฝา ตถาคตอยตู ราบนน้ั แมจ ะนง่ั อยตู รงหนา เราตถาคต ถานัง่ อยดู วย ความประมาทก็หาไดพบตถาคตไม หาไดเห็นตถาคตไม เราไมถอื วา การเขามาการออก ไปเชน นเ้ี ปน การเขา เฝา ตถาคต และการออกไปจากตถาคต แตเ ราถอื ความเพยี รเพอ่ื ถอดถอนกิเลสภายในใจตางหาก การถอดถอนกิเลสไดมากนอยชื่อวา “เขา เฝา เราโดยลาํ ดบั ” นช่ี อ่ื วา “เราเหน็ ตถาคตไปโดยลําดับๆ !” ซึ่งเปนหลักใหญที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนพุทธบริษัททั้ง หลายวา “ไปเถิด ไปหาประกอบความพากเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสที่เปนขาศึกอยูภาย ในจิตใจของตนใหห มดสิ้นไปโดยลําดบั แลว พวกเธอทงั้ หลายจะเห็นตถาคตเองวา อยู ในสถานทใ่ี ด โดยไมจําเปนตองมามองดูตถาคตดวยดวงตาอันฝาฟาง ไมม สี ติน้วี าเปน ตถาคต ขอใหถอดถอนสิ่งที่เปนขาศึกแกจิตใจของพวกเธอทั้งหลายใหได จนกระทั่ง หมดไปโดยสิ้นเชิงแลว เธอทงั้ หลายจะเห็นตถาคตอนั แทจริง ซึ่งเปน “สมบัติของพวก เธอแท” อยภู ายในใจพวกเธอนน้ั แล “แลว นาํ ธรรมชาตนิ น้ั มาเทยี บเคยี งกบั ตถาคตวา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๕

๕๐๖ เปนอยางไร ? ไมมีอะไรสงสัย เพราะธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธน์ิ น้ั เหมอื นกนั !” น่ี ! ฟงพระ โอวาทของพระพุทธเจาซึ่งเปนหลักสําคัญอยางนี้ !” การทาํ จติ ใจ การทาํ ตวั ใหเ ปน คนดี ชอ่ื วา เปน การสง่ั สมความสขุ ความเจรญิ ขน้ึ ภายในจติ ใจโดยลาํ ดบั ผลกค็ อื ความสขุ นน่ั เอง ท่หี าความสุขไมไดหรอื มีความสขุ ไมสมบรู ณ ก็เพราะมสี ่ิงทกี่ ีดขวางอยูภายใน จติ ใจของเรา ไดแกกิเลสนั่นเองไมใชอะไรอื่น มกี เิ ลสเทา นน้ั ทเ่ี ปน เครอ่ื งกดี ขวางเสยี ด แทงจิตใจของสัตวโลกอยู ไมใ หเ หน็ ความสขุ ความสมบรู ณ ความทกุ ขค วามลําบากทัง้ ภายในภายนอกสวนมากเกิดข้นึ จากกเิ ลสไมใ ชเร่ืองอน่ื เชน มเี จบ็ ไขไ ดป ว ยภายในรา ง กาย ก็จะมีเรื่องของกิเลสแทรกเขามาวา “เราเจบ็ นน้ั เราปวดน”้ี เกดิ ความกระวน กระวายระสาํ่ ระสายขน้ึ มาภายในใจ ซึ่งเปนทุกขทางใจอีกประการหนึ่ง แทรกขึ้นมาจาก โรคภายในรา งกาย ถา เพียงโรคกายธรรมดา พระพุทธเจา พระสาวกทานก็เปนได เพราะขนั ธอ นั น้ี เปนกฎธรรมชาติแหงสมมุติอยูแลว คือไตรลักษณ ใครจะมาขามพนสิ่งนี้ไปไมได เมื่อมี ธาตุมีขันธก็ชื่อวา “สมมุติ” และตองอยูใตกฎธรรมชาติกฎธรรมดา ตองมีความแปร สภาพไปเปน ธรรมดา แตใ จนน้ั ไมม คี วามหวน่ั ไหว เพราะรเู ทา ทนั กบั สง่ิ ทง้ั หลายเหลา นน้ั แลว โดยรอบ คอบ ไมม ชี อ งโหวภ ายในใจ แตพ วกเราไมเ ปน เชน นน้ั เมอ่ื ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ภายในรา งกาย มากนอย ก็เปนการสอถึงจิตใจที่จะสั่งสมความทุกขขึ้นภายในตนอีกมากนอยไมมี ประมาณ ดีไมด คี วามทกุ ขภายในใจย่ิงมากกวา ความทุกขภ ายในรางกายเสยี อีก เพราะฉะนน้ั จงึ เรยี กวา “กิเลสมันเขาแทรกไดทุกแงทุกมุม” ถา เราเผลอไมม สี ติ ปญ ญารเู ทา ทนั มนั กิเลสเขาไดทุกแงทุกมุมโดยไมอ า งกาลอา งเวลา อา งสถานท่ี อริ ิยาบถใดๆ ทั้งสิ้น มันเกิดไดทุกระยะ ขอแตความเคลื่อนไหวของจิตแสดงออกโดย ไมมีสติ ปญ ญากก็ ลายเปน สญั ญา จิตจึงกลายเปนเรื่องของกิเลส ชวยกเิ ลสโดยไมร ตู ัว แลวจะเปนอรรถเปนธรรมข้นึ มาไดอ ยา งไร ! นอกจากเปนกิเลสทั้งตัวของมัน แลว เพม่ิ พนู ขน้ึ โดยลาํ ดบั เทา นน้ั จึงตองทุมเทสติปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร ของเราลงใหท นั กบั เหตกุ ารณท เ่ี ปน อยภู ายในใจ เรยี นธาตเุ รยี นขนั ธเ ปน บคุ คลประเสรฐิ เรียนอะไรจบก็ยังไมพอกับความ ตองการ ยงั มคี วามหวิ โหยเปน ธรรมดาเหมอื นโลกทว่ั ไป แตเ รยี นธาตเุ รยี นขนั ธเ รยี น เรื่องของใจจบ ยอมหมดความหิวโหย อิ่มตัวพอตัวอยางเต็มที่ประจักษใจ ! ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๖

๕๐๗ เวลานเ้ี รายงั บกพรอ งใน “วิชาขันธ” และภาคปฏบิ ตั ใิ น “ขันธวิชา” คือ สติปญญา ความรูแ จง แทงทะลใุ นธาตใุ นขันธวา เขาเปน อะไรกนั แนต ามหลกั ความจรงิ แยกแยะให เหน็ ความจรงิ วา อะไรจรงิ อะไรปลอม เรียนยังไมจบ เรยี นยงั ไมเ ขา ใจ มนั จงึ วนุ วายอยู ภายในธาตใุ นขนั ธใ นจติ ไมม เี วลาจบสน้ิ ความวนุ วาย ไมมีที่ไหนวุนไปกวาที่ธาตุขันธและจิตใจ ซึ่งเกิดเรื่องเกิดราวอยู ตลอดเวลาทช่ี าํ ระสะสางกนั ยงั ไมเ สรจ็ สน้ิ นแ้ี ล เพราะฉะนน้ั การเรยี นทน่ี ร่ี ทู น่ี ่ี จึงเปน การชําระคดีซึ่งมีความเกี่ยวของกันอยูมากมาย มีสติปญญาเปนผูพิพากษาเครื่องพิสูจน และตดั สนิ ไปโดยลําดับ เอา เรยี นใหจ บ ธาตขุ นั ธมอี ะไรบา ง ดังเคยพูดใหฟงเสมอ “รปู ขนั ธ” ก็รางกายทั้งรางไมมีอะไรยกเวน รวมแลว เรยี กวา “รูปขันธ” คือกาย ของเราเอง “เวทนาขนั ธ” ความสขุ ความทกุ ข เฉยๆ เกดิ ขน้ึ ภายในรา งกายและจติ ใจ ทา น เรยี กวา “เวทนาขนั ธ” “สญั ญาขนั ธ” คือ ความจาํ ไดห มายรใู นสง่ิ ตา งๆ ทา นเรยี กวา “สัญญาขันธ” “สงั ขารขนั ธ” คอื ความปรุงของใจ คิดดีคิดชั่ว คิดเรื่องอดีตอนาคต ไมมี ประมาณ ทา นเรยี กวา “สังขารขันธ” เปนหมวดเปนกอง “วญิ ญาณขนั ธ” ความรบั ทราบ เวลารปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส มากระทบ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย รายงานเขา ไปสใู จใหร บั ทราบในขณะทส่ี ง่ิ นน้ั ๆ สมั ผสั แลว ดบั ไป พรอมตามสิ่งนั้นที่ผานไป นท่ี า นเรยี กวา “วิญญาณขันธ” ซึ่งเปน “วญิ ญาณในขนั ธห า ” “วญิ ญาณในขนั ธห า ” กับ “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” นน้ั ตา งกนั ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณหมาย ถึง “มโน” หรอื หมายถงึ จติ โดยตรง จติ ทีจ่ ะกาวเขาสู “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” ในกาํ เนดิ ตา งๆ ทา นเรยี กวา “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” คอื ใจโดยตรง สว น “วญิ ญาณในขนั ธห า ” นี้ มีความเกิดดับไปตามสิ่งที่มาสัมผัส สิ่งนั้นมา สมั ผสั แลว ดบั ไป วิญญาณก็ดับไปพรอม คอื ความรบั ทราบ ดับไปพรอมขณะที่สิ่งนั้น ผานไป แต “ปฏสิ นธวิ ญิ ญาณ” นั้นหมายถึงใจ ซึ่งมีความรูอยูโดยลําพังแมไมมีอะไรมา สัมผัสอันน้ี อันนี้ไมดับ ! เรยี นขนั ธห า เรยี นทบทวนใหเ ปน ทเ่ี ขา ใจ เรยี นใหห ลายตลบทบทวน คุยเขี่ยขุด คน คน จนเปน ทเ่ี ขา ใจ นี่คือสถานที่ทํางานของผูที่จะรื้อกิเลสตัณหาอาสวะออกจากจิต ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๗

๕๐๘ ใจทเ่ี รยี กวา “รอ้ื ถอนวฏั วน” คอื ความหมนุ เวียนแหงจิตท่ไี ปเกดิ ในกําเนดิ ตา งๆ ไป เทย่ี วจบั จองปา ชา ไมม สี น้ิ สดุ ทั้งๆ ที่ยังไมตายก็ไปจับจองไวแลว กเ็ พราะเหตแุ หง ความหลงในขนั ธ ความไมรูเรื่องของขันธ จึงตองไปหายึดขันธ ทั้งๆ ที่ขันธยังอยูก็ยังไม พอ ยังไปยึดไปหลงติดเรื่อยๆ ไมมีความสิ้นสุด ถาไมเอาปญญาเขาไปพิสูจน พิจารณาจนกระทั่งรูจริงและตัดได ทา นจงึ ใหเ รยี นธาตขุ นั ธ รูปขันธ “ก็คือ ตวั สจั ธรรม” ตัว “สติปฏฐานส่”ี นน่ั เอง อะไรๆ เหมือนกันหมด เปนไวพจนของกันและกัน ใชแทนกันได เราพิจารณาอาการใดอาการหนึ่งก็ถูกเรื่องของสัจธรรม ถูกเรื่องของสติ ปฏฐานสี่ ปกติไมมีโรคภัยไขเจ็บเกิดขึ้น กายก็เปน กายอยอู ยา งนี้ รปู กเ็ ปน รปู อยเู ชน น้ี เอง แตความวิการของธาตุขันธก็วิการไปตามเรื่องของมัน ทกุ ขเวทนาเกิดข้นึ จาก ความวกิ ารของสง่ิ นน้ั ที่ไมอยูคงที่ยืนนาน จิตก็ใหทราบตามเรื่องของมัน ชื่อวา “เรยี น วิชาขันธ” อยา ไปตน่ื เตน อยาไปตระหนกตกใจ อยา ไปเสยี อกเสียใจกบั มนั เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ธรรมชาตธิ รรมดาของสมมตุ ิ จะตองแปรอยูโดยลําดับ แปรอยางลลี้ บั ก็มี แปรอยา งเปด เผยกม็ ี แปรอยูตามหลักธรรมชาติของตน ทุกระยะทุกวินาที หรอื วา วนิ าที ก็ยังหางไป ทุกขณะหรือทุกเวลาไปเลย มันแปรของมันอยางนั้น แปรเรอ่ื ยๆ ไมม กี าร พกั ผอนนอนหลบั เหมือนสัตวเหมอื นคน เรื่องของทุกขก็แสดงตัวอยูเรื่อยๆ ไมเ คยหยดุ นง่ิ นอนเลย คนเรายงั มกี ารหลบั การนอนการพักผอนกันบาง เรอ่ื งสัจธรรมเรือ่ งไตรลกั ษณนีไ้ มเคยหยุด ไมเ คยผอ นผนั สน้ั ยาวกบั ใคร ดําเนินตามหนาที่ของตัวทั้งวันทั้งคืน ยนื เดนิ นั่ง นอน กบั สง่ิ ตา งๆ เปนสภาพจะตองหมุนไปอยูเชนนั้น ในรา งกายของเราน่กี ็หมุนของมันอยางน้ันเหมือน กัน คอื แปรสภาพ นเ่ี รานง่ั สกั ประเดย๋ี วกเ็ จบ็ ปวดขน้ึ มาแลว นม่ี ันแปรไหมละ มันไม แปรจะเจบ็ ปวดขน้ึ มาทาํ ไม! ความเจบ็ ปวดนเ้ี รยี กวา “ทุกขเวทนา” มนั เปน อาการหนง่ึ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหเ ราทราบท่ี เรยี กวา “สจั ธรรม” ประการหนง่ึ พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ ของมนั เวลาจาํ เปน จาํ ใจขน้ึ มาเราจะอาศยั ใครไมไ ด จะไปหวงั พง่ึ คนนน้ั พง่ึ คนนเ้ี ปน ความเขา ใจผดิ ซง่ึ จะ ทําใหกําลังทางดานจิตใจลดลงไป จนเกิดความทอ ถอยอิดหนาระอาใจตอการชวยตวั เอง นเ่ี ปน ความเขา ใจผดิ หรือเปน ความเหน็ ผิดของจิตซ่ึงมีกิเลสเปนเคร่ืองกระซิบหลอ กลวงอยเู ปนประจาํ ทั้งเวลาปกติ ทง้ั เวลาเจบ็ ไขไ ดป ว ย ทง้ั เวลาจวนตวั เพอ่ื ใหเ ราเสยี หลกั แลว ควา นาํ้ เหลวไปตามกลอบุ ายของมนั จนได ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๘

๕๐๙ เวลาจวนตวั เขา จรงิ ๆ ก็เหมือนนกั มวยขนึ้ เวที ครูเขาจะสัง่ สอนอบรมกันต้งั แต ยังไมขึ้นเวที เม่ือกา วข้นึ สูเ วทแี ลว ไมมีทางทจี่ ะแนะนําส่ังสอนอยางใด ผิดกับถูก ดีกับ ชั่ว เปน กบั ตาย ก็ตองพึ่งตัวเอง ตองชวยตัวเองอยางเต็มกําลังความสามารถ อบุ ายวธิ ที ่ี จะชกตอยอยางไรนั้น จะไปสอนกันไมไดเวลานั้น เวลาเราเขา สสู งคราม คอื ตาจน ระหวา งขนั ธก บั จติ จะแยกทางกนั คือเวลา จะแตกสลายนน้ั แล ซึ่งเหมือนกับอีแรงอีกาที่มาจับตนไม เวลามาจับก็ไมคอยทํากิ่งไม ใหส ะเทือนนัก แตเ วลาจะบนิ ไปละ มันเขยากิ่งจนไหวทั้งตน ถาเปนกิ่งที่ตายแลวตอง หักไปก็มี นเ่ี วลาธาตขุ นั ธจ ะจากเราไปมนั จะเขยา เราขนาดไหน เราจะทนตอ การเขยา ได ดวยอะไร ? ถาไมดวยสติกับปญญา เมอ่ื ทนไมไ ดก ็แนนอนวา ตองเสยี หลัก ฉะนน้ั เรา ตองสูใหเต็มสติปญญากําลังความสามารถทุกดาน ไมตองคิดวาเราจะลมจม เพราะการ สู การพจิ ารณาขันธใหเ ห็นตามความเปนจริงเพ่ือปลดเปล้ืองไมใ ชทางใหล ม จม ! นี่คือ การชว ยตวั เองโดยเฉพาะอยา งเตม็ ความสามารถในเวลาคบั ขนั ! และเปนการถูกตอง ตามทางดาํ เนนิ ของปราชญท านดว ย เมอ่ื ถงึ คราวจาํ เปน เขา มาจรงิ ๆ จะมแี ตท กุ ขเวทนาเทาน้นั แสดงอยางเดน ชัดที เดียว ภายในกายทุกชิ้นทุกสวนจะเปนเหมือนกองไฟหมดทั้งตัว ภายในกายของเราจะ กลายเปนไฟทั้งกองไปเลย แดงโรไปหมดดวยความรุมรอน แลว เราจะทาํ อยา งไร ? ตอ งนําสตปิ ญ ญาหยง่ั ลงไปใหเ หน็ ความทกุ ขค วามรอ นนน้ั ประจักษดวยปญญา แลว ยอนดูใจเรามนั แดงโรอยางนนั้ ดวยไหม? มันรอ นอยา งน้นั ดวยไหม? หรอื มันรอนแต ธาตแุ ตข นั ธ ? ถาเปนผูมีสติปญญา เคยพจิ ารณาทางดา นปญ ญาอยโู ดยสมาํ่ เสมอแลว ใจจะไม รอน ! ใจจะเย็นสบายอยูในทา มกลางกองเพลงิ คือธาตุขันธที่กําลังลุกโพลงๆ อยดู วย ความทุกขนัน้ แล นผ่ี ปู ฏบิ ตั ติ อ งใหเ ปนอยา งน้ี ! นช่ี อ่ื วา เราชวยตัวเราเอง ใหพจิ ารณา อยา งน้ี ไมตองไปหวังพึ่งใครในขณะนั้น เรยี กวา “ขน้ึ เวทแี ลว ” เมื่อตั้งหนาตอสกู ันแลว สูใหถึงเหตุถึงผลเต็มเม็ดเต็มหนวย เอา! เปนก็เปน ตายกต็ าย! ใครจะหามลงเวทหี รอื ไมไมสําคัญ สจู นเตม็ กาํ ลงั ความสามารถขาดดน้ิ ดว ยปญ ญานน้ั แล อยา สเู อาเฉยๆ แบบ ทนทื่อเอาเฉยๆ ก็ไมใช ! เชน ขึ้นไปใหเขาชกตอย เขาตอ ยเอา ๆ โดยที่เราไมมีปดมี ปองไมชกตอยสูเขาเลย นี่ใชไมได! เราตองสูเต็มกําลังเพื่อความชนะกัน เอาความตาย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๐๙

๕๑๐ เปน เดมิ พัน แมจะตายก็ยอมตายแตไมยอมถอย ! ตองตอสูทางสติปญญาอันเปนอาวุธ ทันสมัย! การตอ สกู บั เวทนากค็ อื พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ ของมนั อยา ไปบงั คับ ใหม นั หาย ถาบังคับใหหายยอมฝนคติธรรมดา นอกจากการพจิ ารณาใหร ตู ามความ เปน จรงิ และหายเอง! ถา ไมห ายกร็ เู ทา ทนั เวทนา ไมหลงยึดถือ รปู กเ็ ปน รปู อยาไปเอาอะไรมาขัดมาแยงมาแทรกแซงใหเปนอยางอื่น รปู เปน รปู กายเปน กาย สกั แตว า กาย สกั แตว า รปู , เวทนาสกั แตว า เวทนา, จะสุขก็ตาม จะทุกข ก็ตาม เฉยๆ ก็ตาม มนั เปน เรอ่ื งเวทนาอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั ผทู ร่ี วู า กาย รวู า เวทนา ความสขุ ความทกุ ข ความเฉยๆ คอื ใคร? ถาไมใชใจ! ใจ ไมใชธรรมชาตินั้นๆ ใหแ ยกกนั ออกใหเ หน็ กนั ดว ยปญ ญาอยางชัดเจน ชอ่ื วา เปน ผู พิจารณาสัจธรรมโดยถูกตอง แลว จะไมห วน่ั ไหว ถงึ รา งกายจะทนไมไ หว เอา! ตั้งทา สู ! ตั้งหนารู อะไรจะดบั ไปกอนไปหลังใหรูม นั ! เพราะเราแนใ จแลว ดว ยสตปิ ญ ญา ทั้ง ความจรงิ กเ็ ปน อยา งนน้ั ดว ยวา “ใจ ไมใ ชผ ดู บั ผตู าย” ใจเปน แตผ คู อยรบั ทราบทุกสิ่ง ทุกอยาง เอา! อะไรไมท นทานใหไป! รา งกายไมท น เอา แตกไป! เวทนาไมทน เอา สลาย ไป! อะไรไมทนใหสลายไปหมด เอา สลายไป อะไรทนจะคงตัวอยู สวนทีค่ งตัวอยนู ัน้ คืออะไร? ถาไมใชผูรูคือใจจะเปนอะไร? นน่ั ! ก็คือผูรูเดนอยูตลอดเวลา! เมื่อไดฝกหัดตนโดยทางสติปญญาจนมีความสามารถแลว จะเปน อยา งนแ้ี น นอนไมเปนอื่น แตถาสติปญญาอาภัพ จิตใจก็ทอแทออนแอถอยหลังอยางไมเปนทา ความทุกขทั้งหลายจะรุมกันเขามาอยูที่ใจทั้งหมด เพราะใจเปน ผูสง่ั สมทกุ ขข้ึนมาเอง ทั้งนี้อยูกับความโงของตัวเอง เพราะฉะนั้นความทอถอยจึงไมใชทางที่จะชําระตนใหพน จากภัยท้ังหลายได นอกจากความขยนั หมน่ั เพยี ร นอกจากความเปน นกั ตอสูดวยสติ ปญญาเทานน้ั ไมมีอยางอื่นที่จะไดชัยชนะ ไมมีอยางอื่นที่จะไดความเดน ความดบิ ความดี ความสงา ผา เผย ความองอาจกลา หาญขน้ึ ภายในใจ ใหพ จิ ารณาอยา งน้ี สมมตุ วิ า เราอยใู นบา น ปราศจากครูปราศจากอาจารย ครู อาจารยไดสอนไวแลว อยางไร ปราศจากทไ่ี หน? ทา นสอนวา อยา งไร นั่นแลคือองคทาน! นั่นแลคือองคตถาคต! นั่นแลคือองคพระธรรม! เราอยกู บั พระธรรม เราอยูกับพระพุทธ เจา เราอยกู ับพระสงฆตลอดเวลา โดยพระโอวาททนี่ าํ มาประพฤติปฏิบตั ิ กล็ ว นแลว แต เรื่องของทานทั้งนั้น เราไมไ ดป ราศจากครปู ราศจากอาจารย เราอยูดว ยความมที ่พี ่ึง คือ มีสติปญญา มีศรัทธา ความเพยี ร รบฟน หน่ั แหลกอยกู บั สง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ อยเู วลาน้ี จะวา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๑๐

๕๑๑ เราปราศจากครอู าจารยไ ดอ ยา งไร ! เราอยกู บั ครู และรกู ต็ อ งรแู บบมคี รู ! สูก็ตองสู แบบมคี รู ! นค่ี อื วธิ กี ารแหง การปฏบิ ตั ติ น ไมม คี วามวา เหว ไมม คี วามหวน่ั ไหว ใหม คี วาม แนว แนต ามความจรงิ แหง ธรรมทค่ี รอู าจารยไ ดส ง่ั สอนไวแ ลว ยึดถือเปนหลักเกณฑอยู ภายในใจโดยสมาํ่ เสมอ อยทู ไ่ี หนกเ็ รยี กวา เราอยกู บั ครกู บั อาจารย กับพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ เพราะพุทธะ ธรรมะ สังฆะ อนั แทจ รงิ แลว อยกู บั จติ มจี ติ เทา นน้ั จะ เปน “พุทธ ธรรม สงฆ” ได หรือธรรมทั้งดวงได มีจิตเทานั้นที่จะอยูกับพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ได ไมใชอะไรทั้งหมด! กายไมร เู รอ่ื ง จะไปรูเรื่องพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไดอยางไร เวทนาก็ ไมรูเรื่อง สญั ญาเพยี งจาํ มาใหแ ลว หายเงยี บไป สงั ขารปรงุ ขน้ึ แลว หายเงยี บไป จะเปน สาระอะไรท่ีพอจะรบั พระพทุ ธเจา เขาไวภ ายในตนได ผทู ร่ี บั ไวไ ดจ รงิ ๆ คือผูที่เขาใจ เรื่องของพระพุทธเจาจริงๆ และเปนผูท่ี “เปน พทุ ธะ” อันแทจริง กค็ อื จติ นเ้ี ทา นน้ั ฉะนั้นจงึ ใหพ จิ ารณาจติ ใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย อยาทอถอยออนแอ อยา งไรเรา ทุกคนตองกาวเขาสูสงครามที่เปนเรื่องใครชวยไมไดดวยกันทุกคน นอกจากเราจะชว ย ตัวเอง และแนท ส่ี ุดวา เราตอ งชว ยตัวเองทุกคน ถงึ คราวจาํ เปน มาไมม ใี ครจะชว ยได พอก็พอ แมกแ็ ม ลูกก็ตาม สามีก็ตาม ภรรยากต็ าม เปนแตเพียงดอู ยูเ ฉยๆ ดว ยความอาลยั รกั เสยี ดาย อยากชวยแตชวยไมได สดุ วสิ ยั ! ถงึ วาระแลว ทจ่ี ะชว ยเราใหพ น จากความทกุ ขค วามทรมาน ใหพนจากสิ่งพัวพัน ทง้ั หลายนน้ั เครอ่ื งชวยน้ันนอกจากปญ ญา สติ และความเพียรของเราเองแลว ไมมี! ฉะนั้นเราจงึ เขมงวดกวดขนั และมคี วามเขมแข็งอยกู ับใจ แมรางกายจะหมด กําลัง และใหเ ขา ใจในเรอ่ื งเหลา นเ้ี สยี ตง้ั แตบ ดั นเ้ี ปน ตน ไป จะไมเสยี ทา เสียที ไมว า เรอ่ื งของขนั ธจ ะแสดงขึ้นอยางไร มนั ไมเ หนอื ตาย แสดงขน้ึ มามากนอ ย เพยี งไรมันกถ็ ึงแคต ายเทานน้ั ผรู กู ร็ กู นั ถงึ ตาย เมอ่ื ธาตขุ นั ธส ลายไปแลว ผรู กู ห็ มดปญ หาเรอ่ื งความรบั ผดิ ชอบ ขณะนต้ี อ งพจิ ารณาใหเ ตม็ ท่ี เอาใหมันถึงพริกถึงขิงถึงเหตุถึงผล เราก็ถึงธรรม อันแทจ ริงภายในใจ การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร ขอยุติเพียงแคนี้ <<สารบญั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๑๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook