Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมชุดเตรียมพร้อม

ธรรมชุดเตรียมพร้อม

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-05-22 00:55:29

Description: ธรรมชุดเตรียมพร้อม

Search

Read the Text Version

๔๕ เราตกลงไปทับเทาของเรามันก็เจ็บได ทั้งๆ ที่เจา ของไมมีเจตนา หรอื มดี ถูกมือเจา ของ โดยไมมีเจตนา หรือฟนมือก็เจ็บไดเปนแผลได คําพูดที่เปนภัยตอศาสนาก็เปนได ทาํ นองเดยี วกนั น้ี ทา นปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ พระพุทธเจาก็ปฏิบัติจริง เอาเปนเอาตายเขาวากันจริงๆ พระ สาวกกป็ ฏบิ ตั จิ รงิ ๆ ฟงจริงๆ พระพุทธเจาทรงแสดงธรรมดวยพระเมตตา มีเจตนาเพื่อ สัตวโ ลกใหรแู จง เหน็ จรงิ ในธรรมตามกาํ ลังความสามารถสตั วโ ลก ทุกระยะแหงการ แสดงธรรมของพระองค ไมทรงลดละเจตนาที่หวังจะใหสัตวโลกไดรับผลประโยชนจาก การฟงนั้นเลย ทา นเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยในการปฏบิ ตั ิ เวลาตรัสรูธรรมก็เต็มเม็ดเต็ม หนว ย โลกทั้งหลายไมมีใครที่จะสามารถทําไดอยางพระองค นีโ่ ลกปจ จบุ นั คือพวกเราอาจจะลบลาง คอื ปฏิเสธกไ็ ดวา “ไมจริง” ทา นทาํ ถงึ ขนาดนน้ั แตเ ราวา “ไมจริง” เพราะเราไมเคยทําอยางทานจะเอา ความจริงมาจากไหน เหน็ คนอน่ื ทาํ เรากค็ ดั คา น เหน็ คนอนื่ ขยนั เราขีเ้ กยี จ กไ็ ปคดั คา น เขา เขาฉลาด เราโง กไ็ ปตาํ หนเิ ขา ทัง้ ทีเ่ ราไมม คี วามสามารถอยางน้นั พระพุทธเจาทานทรงสามารถทั้งดานปฏิบัติ สามารถทั้งความรูความเห็นเต็มภูมิ ของพระองค การประทานพระโอวาทแกสัตวโลก จึงตองประทานเต็มพระสติปญญา ความสามารถทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง ใหส มภมู กิ บั คาํ วา “ศาสดาของโลก” แมผูฟงก็ฟงดวย เจตนาอยา งนน้ั ดว ย ผลไมเปนไปตามเจตนา ไมเปนไปตามการกระทําที่ถูกตองดีงาม จะเปนอื่นไปไดอยางไร ? เพราะเหตุกับผลเปน ความเก่ยี วเนื่องกนั เปนลําดบั อยูแ ลว การทําเต็มเม็ดเต็มหนวย ผลจะไมเต็มเม็ดเต็มหนวยไดอยางไร ตองเต็ม ! ตองได ! เพราะฉะนั้น ครั้งพุทธกาล ทานแสดงธรรม ผบู รรลธุ รรมจงึ มเี ปน จาํ นวนมาก ดวยเหตุ ผลดงั ทก่ี ลา วมาน้ี ครน้ั ตกมาสมยั ทกุ วนั น้ี ศาสนาซึ่งเปนของแทของจริง ของทานผูวิเศษ ของทา น ผูท ําจริงรูจริงเห็นจรงิ สง่ั สอนสตั วโ ลกจรงิ ดว ยธรรมนน้ั ๆ แตธ รรมเหลา นถ้ี กู กลายเปน “ธรรมพิธีไปตามโลก ซึ่งเปนโลกพิธี ผนู บั ถอื กนั เปน พธิ ี ผลกเ็ ปนไปแบบรางๆ อยา ง นน้ั แล อะไรๆ เลอื นๆ รางๆ จางไปหมด ปลอมไปหมด เพราะหัวใจเราใหปลอม ถา หัวใจไมจริงเสียอยางเดียว อะไรกป็ ลอมไปหมด เวลานศ้ี าสนธรรมกาํ ลงั อยใู นระยะหรอื จดุ น้ี ! สว นพวกเราจะอยูใ นจดุ ไหน ระยะใด จะเปน แบบนห้ี รอื เปน แบบไหน ! ถา เราตอ งการเปน แบบแกต วั เองตามหลกั ความจรงิ ท่ที า นสอนไวด ว ยความจริง เราก็ตองทําจริง ปฏบิ ตั ใิ หจ รงิ นี่เปนการเตือนใหเราทั้งหลายซึ่งเปนกันเอง ไดท ราบถงึ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๕

๔๖ ขอเท็จจริงของศาสนาและผูปฏิบัติศาสนา วาผลจะเปนจริงและไดรับมากนอยเพียงไร หรือกลายเปนโมฆะไปหมด เพราะเหตผุ ลท่ีกลา วมานี้ไมเปน ความจรงิ การฟงธรรมซ่งึ เปนหลักสาํ คัญที่ปฏิเสธไมไ ดใ นการรบั ผล กค็ อื ฟง ดว ยความตง้ั อกตง้ั ใจ มคี วามรกู บั มสี ตกิ าํ กบั อยกู บั ตวั เปน หลกั ใหญ ชอ่ื วา ไดต ง้ั ภาชนะไวเ รยี บรอ ย แลว การแสดงธรรมถา ทา นผรู จู รงิ เหน็ จรงิ แสดง จะไมหนีธรรมของจริง ของจริงกับ ของจริงตองเขากันได ผฟู ง ฟงจริงๆ ผูแสดง แสดงจริงๆ แสดงดวยอรรถธรรมอันเปน ขอเท็จจริงจริงๆ ไมไดควาหรือลูบๆ คลาํ ๆ มาแสดง ตองเขาใจตามหลักธรรมนั้นๆ ธรรมทั้งหมดทานมีไวเพื่ออะไร ? ถาเปนน้ํา กม็ ไี วส าํ หรบั อาบดม่ื ใชส อย ซัก ฟอกหรอื ลา งสง่ิ สกปรกโสมมทง้ั หลาย ธรรมกเ็ ปนเชนน้ันเหมือนกนั เพราะพวกเราเปน พวกสกปรกทง้ั นน้ั บรรดาจติ ใจทม่ี กี เิ ลสเปน จติ ใจทส่ี กปรก กายวาจาทเ่ี ปน รวงรงั ของ กเิ ลส และจิตที่เปนรวงรังของกิเลส มันจึงเปนเรื่องสกปรกไปตามๆ กนั กบั กเิ ลสซง่ึ มอี ยู ภายใน ทา นจงึ ตอ งหานาํ้ ทส่ี ะอาดคอื ธรรมมาสง่ั สอน หรือชะลางจิตใจของพวกเรา ธรรมทส่ี ะอาดกค็ อื “สวากขาตธรรม” ตรสั ไวช อบแลว นี่แสดงวาสะอาดเต็มที่ แลว “นยิ ยานกิ ธรรม” เปนธรรมที่รองรับ เหมือนกบั น้ําเปนเครื่องรองรับ ชะลางสิ่ง สกปรกทง้ั หลายใหส ะอาด เชนนั้นไดไมเปนอยางอื่น ธรรมก็เปนธรรมชาติที่สะอาดเชน นน้ั สาํ หรบั ชะลา งสง่ิ สกปรกในหวั ใจของสตั วใ หส ะอาด ขอใหห วั ใจนจ่ี ดจอ เพอ่ื ความ สะอาดเถอะ ผลการฟงจะทําใหใจสงบระงับ และสะอาดผอ งใสไดไ มส งสยั เมื่อใจสงบ ผองใส กาย วาจา หากคอ ยเปน ไปเอง เพราะนี่เปนเครื่องมือเทานั้น ทส่ี าํ คญั จรงิ ๆ กค็ อื ใจซง่ึ เปน ตวั การ หากใจยอมรบั ความจรงิ ใจยอมรบั ทีจ่ ะซัก ฟอกตัวเองแลว ตอ งมวี นั สะอาดขน้ึ สกั วนั หนง่ึ จนได จากนาํ้ สะอาดคอื “ธรรม” พระ พุทธเจาทรงประกาศสอนโลก และทรงใชต อ โลกมานานแลว ไดรับผลที่พอใจมาโดย ลาํ ดบั แมค าํ วา “สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” เรากลาวถึงทานเพื่อประโยชนอะไร ถา ไมใ ช เปนผูสะอาดหมดจดเต็มที่แลวจาก “นาํ้ ” คือพระสัจธรรมของพระพุทธเจา ชําระเสีย จนสะอาด “ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ” ซึ่งเปนธรรมที่บริสุทธิ์แท ไมออกมาจากพระทัยที่ บรสิ ทุ ธข์ิ องพระพทุ ธเจา จะออกมาจากไหน พระทัยที่จะบริสุทธิ์ได เพราะการชําระ สะสาง การขดั เกลา การชําระลางดวยอรรถดวยธรรม เปน ความจรงิ มาโดยลาํ ดบั ๆ จน กระทั่งถึงปจจุบันเรานี้ ธรรมก็เปนธรรมชาติที่สะอาดอยูเสมอมา สาํ หรับลา งสงิ่ สกปรก โสมมของสัตวโลก ถาเราคิดตามธรรมดาอยางเผินๆ อยางโลกที่สมมุติทั่วๆ ไปกว็ า เรานี้สะอาดที่ สุดไมมีใครจะหยิ่งยิ่งกวาคนโง ไมมีใครจะสะอาดยิ่งกวาคนโงที่สกปรก ถา พดู ตาม ธรรมแลว เปน อยา งน้ี เมื่อเราทราบวาเราสกปรกทางใจ ซึ่งเต็มไปดวยกิเลสโสมมแลว ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๖

๔๗ เราตองเปนผูมุงตออรรถตอธรรมเปนเครื่องชะลาง ดงั ทท่ี า นทง้ั หลายไดอ ตุ สา หส ละ เวลาํ่ เวลาหนา ทก่ี ารงาน ตลอดจนชีวิตจิตใจมาเพื่อบําเพ็ญตนเชนนี้ จึงเปนความถูก ตองตามแนวทางที่พระพุทธเจาทรงดําเนินมาที่เรียกวา “อริยประเพณี” ประเพณีของ พุทธบริษัทที่ดีงามของพระพุทธเจาทานดําเนินมาอยางนั้น จงึ ขอขอบคณุ ขออนโุ มทนา กบั ทา นทง้ั หลายไวใ นโอกาสนด้ี ว ย นอกจากเปน ความดสี าํ หรบั ตนแลว ยังเปนคติตัว อยา งแกอ นชุ นรนุ หลงั อกี ไมม สี น้ิ สดุ คาํ ทว่ี า พวกเราสกปรกนก้ี พ็ อจะทราบกนั ได คาํ วา สกปรก สกปรกเพราะอะไร? เพราะขี้โลภ ขโ้ี กรธ ขห้ี ลง ขส้ี ามกองนเ้ี ตม็ อยบู นหวั บนหวั อะไร กบ็ นหวั ใจนน้ั แล นี้ นักปราชญทั้งหลายทา นตาํ หนติ เิ ตยี น ทานขยะแขยงมาก แตพวกเราชอบจึงไมรสู กึ ตัว เมื่อไมรูสึกตัวก็ไมรูสึกสนใจในสิ่งที่จะนํามาชําระลาง เห็นผูประพฤติปฏิบัติธรรมก็ดูถูก เหยยี ดหยาม มเี ยอะสมยั จรวดนจ้ี ะวา ยงั ไง? เพราะความเห็นผิด ตองผิดไปเรื่อยๆ อะไรทําใหเห็นผิด? ถาไมใชหัวใจที่เต็มไปดวยกิเลสซึ่งเปนตัวผิดทั้งเพนั้น ถา จติ ใจผดิ ไปดว ยก็พาใหแสดงออกทกุ แงท กุ มมุ ผิดไปตามๆ กนั จนกระทง่ั กาย วาจา ทแ่ี สดงออก ผิดไปทั้งนั้น เพราะสิ่งที่ทําผิดที่มีอยูภายในจิตใจนั้นไมตองมากมายอะไรเลย ตวั นน้ั เปนตัวการ พระพทุ ธเจา ทา นจงึ สอนใหช าํ ระใหล า ง การฟงเทศนฟงธรรมก็เปนการชะลาง จิตใจของตนดวยธรรม คือในขณะที่ฟงธรรม ทา นวา มอี านสิ งสเ กดิ ขน้ึ จากการฟง ธรรม อานสิ งสค อื ผลที่เกิดขึ้นในขณะที่ฟงนั้นแล ทําจิตของเรา อยา งนอ ยมคี วามสงบเยน็ ใจ รูเหตุรูผล รูทางดีทางชั่ว และรวู ธิ จี ะปฏบิ ตั ติ อ ตนเอง ขอ สาํ คญั ใจมีผอ งใสขนึ้ ไดรับ ความรม เยน็ ในขณะฟง นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการฟงธรรม ทา นวา มอี านสิ งส ๕ เราจะ คอยเอาอานสิ งสท ไ่ี หน ถาไมเอาในขณะที่ฟง เพราะการฟง กค็ อื การบาํ เพญ็ อยแู ลว ผล ตองเกิดตามมาในขณะนั้นๆ มคี วามสงบเยน็ ใจเปนตน หากวา กเิ ลสอาสวะเปน วตั ถุ และเปน ตัวขา ศกึ เชนเสือรายเปนตนแลว คนเราจะ อยใู นโลกดว ยกนั ไมไ ดเ ลย มองดูคนไหนก็เห็นแตเ สอื รา ย ท้งั เหยียบยํ่าท้ังเดินเพนพา น ทั้งนั่งทั้งนอน ท้ังขบั ถา ย ทง้ั หยอกเลน กนั ทง้ั กดั ฉกี และถลกหนงั เลน อยบู นหวั เหมอื น กนั หมด คนทั้งคนมีแตเสือรายที่จดจองยองกัดอยูบนหัวคน แลว กก็ ดั ฉกี หวั คนลงไป เรื่อยๆ ไมห ยุด นอนอยกู ก็ ดั ยนื อยกู ก็ ดั เดนิ อยกู ก็ ดั นง่ั อยกู ฉ็ กี อะไรๆ กฉ็ กี ทง้ั นน้ั กริ ิยาความเคลือ่ นไหวตา งๆ มแี ตเ สอื รา ยมนั กดั มนั ฉกี อยตู ลอดเวลา จะหาเนอ้ื หาหนงั หาเอน็ หากระดกู มาจากทไ่ี หน ใหตดิ ใหต อกนั เปน รปู เปนกาย เปนหญิงเปนชาย เปน สัตวเปนบุคคล เปน เราเปน ทา นอยา งที่เปนอยนู ไี้ ดเลา มองดคู นนน้ั กเ็ ปน แบบน้ี มองดู ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๗

๔๘ คนนก้ี เ็ ปน แบบนน้ั เยม้ิ ไปดว ยบพุ โพโลหติ นาํ้ เนา นาํ้ หนอง เพราะถูกเสือมันกดั มันฉกี มนั ทาํ ลายอวยั วะสว นตา งๆ ของมนุษยเรา กรณุ าดลู วดลายของกเิ ลสมนั แสดงออกกบั โลกทว่ั ๆ ไป เปน อยา งนี้ ถา กเิ ลสมนั เปนตัวเปนตนอยางนี้ แตมันไมไดเปนตนเปนตัวอยางนี้ โลกจึงไมเห็นโทษของมัน และ กลบั เหน็ วาเปนของดีเสยี อีก เมื่อไปเสกสรรมันวาเปนของดี คือเห็นของชั่ววาเปนของดี เห็นของดวี า เปนของช่วั แลว ผลกต็ อ งกลบั ตาลปต รกนั ไป สิ่งที่ควรจะไดรับเปนความ สขุ แตมันกลายเปนความทุกขไปหมด ที่โลกรอน รอนเพราะอะไร? ถา ไมใ ชเ พราะ กิเลสเพราะความโลภมาก เพราะความเห็นแกตัวมาก เปนตน ทกุ วนั นเ้ี ขาพดู วา “โลกเจริญ” มันเจริญที่ตรงไหน? ถาพูดตามหลกั ความจรงิ แลวมันเจริญที่ตรงไหน คนกาํ ลงั จะถกู เผาทง้ั เปน กนั อยแู ลว เพราะความทุกขมันสุมหัว ใจเวลาน้ี จะหาความเจริญมาจากไหน ความเจริญก็ตองเปนความสงบสุข ความสะดวก สบาย ความเปน อยสู บาย หนา ทก่ี ารงานสะดวกสบาย การคบคา สมาคมสะดวกสบาย อยดู ว ยกนั เปน หมเู ปน คณะมจี าํ นวนมากนอ ย เปน ความสะดวกสบาย ไมท ะเลาะเบาะ แวง ไมแขงดิบแขงดีที่เรียกวา “แขง กเิ ลสกนั ” ไมฆาไมตี ไมแยงไมชิง ไมคดไมโกง ไม กดขี่บังคับ ไมรีดไมไถ ซง่ึ กนั และกนั อนั เปน การทาํ ลายสมบตั แิ ละจติ ใจของกนั และกนั ในขณะเดยี วกนั ตา งกเ็ หน็ อกเหน็ ใจกนั เมตตาสงสารกนั เฉลยี่ เผ่อื แผ ใหค วาม เสมอภาคดว ยความมเี มตตากรณุ าตอ กนั ไมอ จิ ฉารษิ ยากนั ไมเบยี ดเบียนกัน อยดู ว ย กนั ฉนั พน่ี อ งเลอื ดเนอ้ื อนั เดยี วกนั จะเรียกวาโลกเจริญไดตามความจริง โลกไดรับความ สงบสขุ ทว่ั หนา กนั ทง้ั คนมคี นจน คนโงค นฉลาด โลกไมด ถู กู เหยยี ดหยามกนั และกนั นาํ ความยม้ิ แยม แจม ใสออกทกั ทายกนั ไมแ สดงอาการบดู บง้ึ ใสก นั ตางคนตางมีเหตุมี ผลเปน หลกั ดาํ เนนิ เมื่อพูดตามความเปนจริงแลว ทกุ วนั นโ้ี ลกเปน อยา งนไ้ี หม? ถา เปน อยา งนเ้ี รยี ก วาโลกเจริญจริง แตท ั้งๆ ทว่ี า “เวลานี้โลกกําลังเจริญ”จึงทําใหสงสัยวามันเจริญอะไร บา ง? เจริญที่ตรงไหน? ถา เจรญิ ดว ยวตั ถเุ ครอ่ื งกอ สรา ง จะสรางเทาไหรก็ได ถา ไมแ บกกองทกุ ขเ พราะ อะไรทวมหัวนะ ทนี ้ยี อนเขา มาหาตวั ของเรา วนั หนึง่ คืนหนึ่งต้งั แตต่ืนขึน้ มา หมนุ ตวั เปน เกลยี ว อยตู ลอดเวลาเหมอื นกงจกั ร การทก่ี ายและใจหมนุ เปน กงจกั ร ไมม เี วลาพกั ผอ นตวั บา ง เลยเชนนี้เปนความสุขหรือ? คนเดินทางไมหยุด คนวง่ิ ไมม เี วลาหยดุ เปน ความสขุ หรือ? ความจรงิ ตอ งมเี วลาพกั ผอ นนอนหลบั ใหส บายบา ง คนเราถึงจะมีความสุข การ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๘

๔๙ คดิ มากตอ งวนุ มากทกุ ขม าก ถา หนกั เขา ตอ งเปน โรคประสาท ธาตุขันธที่เต็มไปดวยโรค ภัยไขเจ็บ ทั้งเจ็บหัว ปวดทอ ง เตม็ อวยั วะ คนนน้ั มคี วามสขุ หรอื ? กเิ ลสมนั ชอนมนั ไชมนั กดั มนั ฉกี อยตู ลอดเวลา ทกุ อาการทเ่ี คลอ่ื นไหวแหง จติ ใจ นน่ั มคี วามสขุ หรอื ? โลกเจรญิ แลวหรอื อยางน้นั ? ความกดั ฉกี ของกเิ ลส ผลที่เกิดขึ้น จากการกดั การฉกี ของกเิ ลสมนั กม็ แี ตก องทกุ ขท ง้ั นน้ั หาความสุขไมมี เมื่อเปนเชนนี้จะ เอาความสขุ มาจากไหน? เวลาที่ยอนเขามาดูที่ตัวเรา มนั กเ็ ปน ไฟอยภู ายในจติ ใจ เพราะกเิ ลสกอ ไฟเผาใจอยตู ลอดเวลา “ราคคคฺ นิ า โทสคฺคินา โมหคคฺ นิ า” นน่ั ฟง ซิ! “ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ” ไฟคือความโลภ ความโกรธ ความหลง มัน เผาอยทู ใ่ี จ ขน้ึ ชอ่ื วา “ไฟ” ไมว า จะกอ ทไ่ี หนเวลาใดมนั รอ นทน่ี น่ั ถาไฟที่มันลุกโพลงขึ้นมา ภายในจติ ใจ คอื ไฟโลภะ โทสะ โมหะ มันตองเผาที่จิตใจ แมก ายกจ็ าํ ตอ งรบั ทกุ ขไ ป ดว ย รับประทานไมได นอนไมห ลบั ไมมีแรง ตามหลกั ธรรมทา นสอนไวว า “โก นุ หาโส กมิ านนโฺ ท นิจฺจํ ปชชฺ ลเิ ต สติ อนฺธ กาเรน โอนทฺธา ปทปี  น คเวสถ” เปนตน เมอ่ื โลกสนั นวิ าสน้ี เต็มไปดวยความมืดมน อนธการ เพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หามนั แผดเผาอยตู ลอดเวลา พวกทา นทง้ั หลาย เพลิดเพลินหัวเราะราเริงกันหาอะไร? ทําไมจึงไมรีบแสวงหาที่พึ่ง มาเพลนิ อยกู บั ไฟ ทาํ ไมกัน เพราะ “ความลืมตัว ประมาท” นน่ั ! ทานสอนฟงซิ ถงึ ใจไหม? พระพุทธเจา สอนโลกนะ ถา เราฟง เพอ่ื ถอดถอนกเิ ลส มนั ถงึ ใจจนนา ละอายตวั เอง เมื่อฟงดวยความถึงใจ แลว ทําไมจิตใจจะไมเห็นโทษ และมคี วามกระหยม่ิ ตอคุณงามความดีทงั้ หลาย ทําไมจะ ไมม คี วามพอใจแกก เิ ลสตณั หาอาสวะ ซึ่งลุกเปนไฟทั้งกองอยูในจิตใจอยางเต็มเม็ดเต็ม หนว ยเลา และกิเลสทาํ ไมจะไมห ลุดลอยออกไป เมอ่ื ไดท าํ ความเพยี รถอดถอนมนั ดว ย ความถงึ ใจ ดวยความเห็นโทษของกิเลสอยางถึงใจ ของผูแสวงหาความจริงอยางเต็มใจ นแี่ หละบรรดาสาวกและพทุ ธบริษทั ทงั้ หลายทที่ า นรเู ห็นธรรม เวลาทา นเหน็ โทษก็เห็นอยางถึงใจจริงๆ การทาํ ความเพยี รพยายามถอดถอน กท็ ําอยา งถงึ ใจ เวลารู จึงรูถึงเหตุถึงผลถึงจิตถึงใจจริงๆ และถงึ ความหลดุ พน ไปดว ยความถงึ ใจ ไมใ ชเ ปน เรอ่ื ง “พิธี” เชน รบั ศลี กร็ บั ศีลพอเปน พิธี อะไรๆ กท็ าํ เปน พธิ ี ฟงธรรมกพ็ อเปนพิธี ประพฤติปฏิบัติธรรมซึ่งเปนของประเสริฐก็พอเปนพิธี เหมอื นกบั เดก็ เลน ตกุ ตากนั แตศ าสนาไมใ ชเ ดก็ และไมใ ชเ รอ่ื งของเดก็ จงึ เขา กนั ไมไ ด พระพุทธเจาทั้งพระองคเปนผูประทานศาสนาไว พระพุทธเจาไมใชเด็ก ศาสน- ธรรมไมใชศาสนธรรมของเด็ก ผปู ฏบิ ตั ศิ าสนาคอื พทุ ธบรษิ ทั จึงไมควรนําเรื่องของเด็ก ธรรมชุดเตรียมพรอม ๔๙

๕๐ เขา มาแทรกกบั ตวั เอง ในกริ ยิ าแหง การทาํ เกย่ี วกบั ศาสนา “พอเปน พิธี” นี้ โลกเลย เปน พิธีไปหมดในทางศาสนา แลวจะหาผลอนั แทจริงมาจากไหน? เมื่อมีแตพิธีเต็มจิต เต็มใจ เตม็ อาการทกุ สง่ิ ทกุ อยา งทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ศาสนาในงานตา งๆ พากนั ทราบหรอื ยงั วา กิเลสมันมีพิธีที่ไหน เวลามนั จะกดั หวั คน มนั มพี ธิ ไี หม? เราดซู ี มันตั้งทาตั้งทางยก ครูยกคันทําพิธีรีตองตางๆ กอ นไหม เวลามนั จะขยห้ี วั ใจคนนะ ความโลภมันเกดิ ขนึ้ มาทนั ที เมอ่ื ไดโ อกาสทม่ี นั จะแสดงความโลภ แสดงความ โกรธ ความหลง มนั แสดงอาการออกมา ออกมาดวยกิเลสประเภทตางๆ ทนั ที มันไม ไดค อยหาพธิ รี ตี องเหมอื นกบั พวกเราทจ่ี ะคอยฆา มนั และแลว ก็ฆาพอเปน พธิ ี ตีเพียง หนบั ๆ พอใหมันหัวเราะเยาะเยยวา “มนุษยนี้มันชางกลัวเราเสียจริงๆ ยง่ิ กวา หมากลวั เสือ มาหยอกเราเลน เพยี งหนบั ๆ แลว กร็ บี วง่ิ ใสห มอน นอนคอยเราตาํ นา้ํ พริกไปจิ้มกัน ทน่ี น่ั ชนิดหมอบราบไมม ีทางตอสเู ลย” นั่นฟงดูซิ ความเพียรเราเพื่อจะฆากิเลส มันจะ เขากันไดไหม? เรากลวั บา งไหม? ถา กเิ ลสเปน เหมอื นกบั เสอื รา ยสกั ตวั หนง่ึ อยบู นหวั ใคร หวั เราทุกคน มีแตเสือรุมกัดอยูทั้งวันทั้งคืน ยนื เดิน นั่ง นอน มองไปทางไหนก็มี แตเสือรุมกัดอวัยวะจนแทบไมมีเหลือ ทั้งกัดทั้งฉีก ไปไหนมนั กก็ ดั กฉ็ กี ไปเรอ่ื ย เดินไป มนั กก็ ดั กฉ็ กี ไปเรอ่ื ย เราจะดไู ดไ หม? ตอบแทนวา “ดูไมไดเลย” ตอ งพากนั วง่ิ แนบ ยง่ิ กวา หมากลวั เสอื นน่ั แล ทั้งจะมีอะไรบางก็ไมทราบจะหลุดเรี่ยราดไปตามทางนะ คดิ เอาเองเถอะ ขี้เกียจบอกเสียทุกแงทุกมุม แตน ก่ี เิ ลสมนั ไมเ ปน ตนเปน ตวั เชน นน้ั มนั กดั มนั ฉกี อยภู ายใน เรายังนอนเคล้มิ ใหม นั กดั มนั ฉกี อยา งสบายไปอกี แลว จะหาทางแกก เิ ลสไดอ ยา งไร เมอ่ื ไมท ราบวา กเิ ลส ไมท ราบความกดั ของกเิ ลส และไมท ราบความทกุ ขท ก่ี เิ ลสสรา งขน้ึ บนหวั ใจ เราจะหา ทางแกกิเลสไดอยา งไร นแ่ี หละทพ่ี วกเราไมท นั กลมายากเิ ลส เราเปนคนอาภัพ กอ็ าภพั เพราะกิเลสมันบังคับนี่แล ธรรมแทไ มเ คยทาํ คนใหอ าภพั นอกจากสง เสรมิ คนใหด ี อยางเดียว ถา แกก เิ ลสออกจากใจไดเ ปน ลาํ ดบั แลว วาสนาไมต อ งบอกจะคอ ยดขี น้ึ มาเอง ดีดขึ้นดวยความดีของเราที่ทําอยูเสมอ การใหท านกเ็ ปน การสรา งวาสนา การรกั ษาศลี ก็ เปน การสรา งวาสนา การเจริญเมตตาภาวนาก็เปนการสรางวาสนา ถาทําดวยเจตนาอัน ถกู ตอ ง ไมท าํ สกั แตว า “ พอเปนพิธ”ี ทานถา ทาํ พอเปน พธิ เี ฉยๆ กส็ กั แตว า ทาน ไมมีผลมาก ศลี กส็ กั แตว า พอเปน พธิ ี แตเวลาลว งเกนิ ศีลไมล ว งพอเปนพิธี มันลวงเกินจริงๆ ทาํ ศลี ใหข าดจริงๆ ภาวนากพ็ อ เปนพิธี แตเ วลางว ง ความงว งเขามาครอบงาํ น่ีไมใชพธิ ี ลมตูมลงจริงๆ ถา หมอนไมร บั ไว กเิ ลสตอ งยงุ เผาศพ เพราะไมไดนอนพอเปนพิธีนี่ มันนอนหลับเสียจริงๆ หลบั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕๐

๕๑ ครอกๆ เหมือนคนตาย มันไมเปนพิธี เม่อื ถงึ เวลาสง่ิ เหลานี้เขา มาเกยี่ วของแลว แต เวลาบําเพ็ญธรรมนั้นทําพอเปนพิธี นแ่ี หละมนั จงึ ไมท นั การ ไมท นั กลมายาของกเิ ลส จึงตอ งยอมเปนพลพรรคของกเิ ลส ใหกิเลสย่ํายีขูดรีดกดขี่บังคับทั้งวันทั้งคืนทั้งปทั้ง เดือน ทั้งภพทั้งชาติ ตลอดกปั ตลอดกลั ป ยังไมสามารถจะทราบไดวา วันไหนเราพอจะ รจู กั เงาของกเิ ลสบา ง มนั ทาํ เราดว ยวธิ ใี ดบา ง มันมีเงาไหม? ถาไมเห็นตัวมันพอเห็นเงา บา งกย็ งั ดี เชนกิเลสมันตั้งหมัดตั้งมวยใสเรา พอมองเห็นเขาบางก็ยังนาดู แมไมเห็นตัว ตนเขาแตพอมองเห็นเงามันก็ยังนาดู แตนี่เราไมเห็นจนกระทั่งเงาของกิเลสที่มันฆาคน ทาํ ลายคน เบยี ดเบยี นคน ทรมานคน กดขีบ่ ังคบั คน แลวเราจะไปแกกิเลสไดที่ตรง ไหน? เมื่อเงามันเรายังไมเห็นเลย ไมต อ งพดู ถงึ ตวั มนั วา อยทู ไ่ี หนและทาํ ลายคนดว ยวธิ ี ใดบา ง เอา! ทีนี้เพื่อใหรู เพื่อใหทราบเงาของมันและตัวของมัน จงกาํ หนดความรคู อื จิต สตเิ ปน เครอ่ื งกาํ กบั เขา สภู ายในกายภายในใจของตน หูจะออกไปรับกับเรื่องอะไร เจา ของหนู ค่ี อื ความรู สติปญญามีมันออกไปกระทบกับเรื่องอะไร รูป เสียง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส เขา มาสมั ผสั จะเขา มาสมั ผัสจิตใจทงั้ หมดซึ่งเปน ผรู บั ทราบ นอกจากตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจเปน ตวั การสาํ คญั ซึ่งเปนผูรับผิดชอบและรับผลโดยประการทั้ง ปวงจากอายตนะเหลา น้ี ซง่ึ ไปกอ เรอ่ื งกอ ราว แลว นาํ ผลโยนมาใหจ ติ เปน ผรู บั บาปหาบ ทกุ ขไ มมีวันเวลาปลงวางเทานัน้ ถา กาํ หนดอยา งน้ี เราจะทราบท้ังเงาของกิเลสทงั้ ตวั ของกิเลส วามนั มาดวยเหตุใดผลใด มนั มาดว ยอาการอะไร ผทู อ่ี อกตอ นรบั คอื ใจเรา มนั ออกตอ นรบั กเิ ลส ยอมรบั กเิ ลส มนั ยอมรบั ดว ยเหตใุ ด เราจะทราบในขณะเดียวกนั เมอ่ื ทราบแลว กม็ ที างทแ่ี กไ ขและถอดถอนได เอา ตั้งสติลงที่ตัวรู คอื ใจนน้ั แล ตวั คะนองอยูตรงนน้ั ทําไมใจจึงคะนอง เพราะ กเิ ลสทาํ ใหค ะนอง พาใหด น้ิ รนกวดั แกวง และแสดงขน้ึ มาจากตรงนน้ั เมื่อมีสติแลวจะรู ความกระเพื่อมของจิต เบอ้ื งตน เรากําหนดรูอยา งนี้ พยายามกาํ หนดใหร โู ดยมบี ท ธรรมกาํ กบั ไมคอยตี อาศยั ไมค อื ธรรมบทนน้ั ๆ คอยกาํ กบั ไมใหมันโผลขึ้นมาได ตี ดว ยบทธรรมใหถ ยี่ บิ ลงไป เชน “พุทโธ ๆ” เปนตน แลวจิตจะมีความสงบ เมื่อสงบ แลวจะเย็นลงไป ๆ สงบแนว ลงจรงิ ๆ นน่ั แหละคณุ คา แหง ความสงบจะเหน็ ประจกั ษ ในขณะเดียวกันจะเห็นโทษแหงความฟุงซานของจิต วา เทย่ี วกอ ความทกุ ขใ หเ รามาก นอยเพียงไร เพราะความฟุงซาน นี่เปนสาเหตุที่จะใหเราทราบในวาระตอไปของกิเลสประเภทตางๆ วา เงากพ็ อ ทราบหรอื วา ตวั กพ็ อทราบแลว ความฟงุ ซา นเรากท็ ราบวา มนั เปน ภยั ความสงบเราก็ ทราบวาเปนคุณ จะสงบดว ยวธิ ใี ดกท็ ราบ คอื ดว ยวธิ กี ารภาวนาดว ยความมสี ติ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕๑

๕๒ เมอ่ื ทราบในเงอ่ื นหนง่ึ แลว ตอไปก็จะทราบไปโดยลําดับ เพราะสตยิ อ มมคี วาม แกก ลา ขน้ึ ไดใ นเมอ่ื ไดร บั การบาํ รงุ สง เสรมิ อยเู สมอ ปญ ญากส็ ามารถได เฉลยี วฉลาดได คนเราไมใชคนโงอยูตลอดเวลา ถงึ คราวจะฉลาดฉลาดได ถา เจา ของสนใจเพอ่ื ความ ฉลาด นอกจากจะนอนอยูเฉยๆ เหมอื นหมอู ยใู นเลา ในตมในโคลนเทา นน้ั จะหาความ ฉลาดไมไ ดจนกระท่ังวนั ตาย และตลอดกปั ตลอดกลั ป จะจมอยใู น “วฏั สงสาร”ตลอด ไปเพราะความโงพาใหจม เราไมใชผูตองการจะจมดวยความโงเชนนั้น เรามาเสาะแสวง หาความฉลาดเพื่อจะปลดเปลื้องความโงของตน ใหใ จดดี ขน้ึ จากตมจากโคลนทง้ั หลาย คอื กเิ ลสอาสวะประเภทตา งๆ กลายเปนอิสรเสรีขึ้นมา เราตองทําความพยายามใหเต็ม เม็ดเต็มหนวย จิตสงบดวยการบังคับ ดว ยความมสี ติ โดยอาศยั บทธรรมเปน เครอ่ื ง กาํ กบั เปน ผลขน้ั หนง่ึ ขน้ึ มาแลว แตค าํ วา “ขน้ั นน้ั ขน้ั น”้ี ไมอ ยากจะเรยี กใหเ สยี เวลา สงบหรอื ไมส งบมนั กท็ ราบ ภายในตวั เองนน้ั แล เหมอื นเรารบั ประทานอาหาร มนั ถงึ ขน้ั ไหนแลว เวลาน?้ี เรากไ็ ม เหน็ ถามกนั นน่ี า เริ่มรับประทานเบื้องตนสําเร็จขั้นไหนไมเห็นวา รับประทานไปๆ จน กกระทง้ั อม่ิ กร็ เู อง ไมจําเปน ตองเอาขนั้ เอาภูมไิ ปหาความอิม่ อนั นก้ี เ็ หมอื นกนั ใจรู ไมมี อะไรทจี่ ะรยู ิ่งกวาใจ ทกุ ขก ร็ ู สขุ กร็ ู ดีรู ชัว่ รู รอนรู หนาวรู รูไปทั้งนั้น เปนผูรูอยูตลอด เวลา ใจนแ่ี หละเปน ผรู บั รู เมื่อไดสรางสติปญญาเปนเครื่องกํากับใจดวยดีแลว ใจจะเดนขึ้นดวยความรู ความสงบ และมคี วามชาํ นชิ าํ นาญไปโดยลาํ ดบั เอา จะพจิ ารณาแยกแยะเหตผุ ลตา งๆ ที่จิตไปติดพันเกี่ยวของกับเรื่องอะไรจึงกลายเปนไฟขึ้นมาเผาตัวเอง ก็จะทราบทั้งรอง รอยและตวั เหตตุ วั ผลของมนั อกี ดว ย จติ มคี วามรอู นั เดยี วเทา นน้ั สตมิ คี วามระลกึ แลว ดบั ไป ๆ เรียกวา สติ ปญ ญาคอื ความสอดสอ ง ความ ใครครวญ ใครค รวญกใ็ ครค รวญเรอ่ื งของตวั เองนน่ั แหละ “อนิจฺจ”ํ ทา นวา นเ่ี ปน แผนทข่ี องปญ ญานะ “ทุกฺขํ อนตตฺ า” นี่เปนแผนที่ แนวทางเดินของปญญา จึงเรียกวา “หนิ ลบั ปญ ญา” พิจารณาเรื่อง “อนจิ จฺ ํ” มันเปนอะไร อนจิ จฺ ํ น?่ี ไตรตรองไปเรื่อยๆ นับจาก ชน้ิ หนง่ึ สองชิ้น สามชน้ิ จนกระทั่งรอบตัว รอบโลกธาตแุ ตล ะอยา งๆ เปนอนิจฺจํทั้งสิ้น นก่ี ท็ ราบดว ยปญ ญา เมื่อทราบชัดดวยปญญาวา ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งเปน อนจิ จฺ หํ มดแลว เราจะไปนอนใจตายใจติดกับสิ่งเหลานั้นไดอยางไร ทั้งที่รูวามันเปนอนิจฺจํอยางประจักษ ใจ การพิจารณาธรรมใหประจักษใจเปนอยางนี้ ทุกฺขํกท็ ราบ มนั แสดงอยตู ลอดเวลา มันเปนภัยจริงๆ กท็ ราบ แลว ใจจะชินกับ ทุกขไดอยางไร ไมชิน ไมเคยไดยินวาใครเคยชินกับความทุกข ถา เราอยากรชู ดั ๆ กล็ อง ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕๒

๕๓ เอามือจอเขาไปในไฟดูซิ มันจะชินไหม? เราอยูกับไฟมาตั้งแตวันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ มนั ชนิ กบั ความรอ นทจ่ี ะทาํ ใหเ ราทกุ ขน น้ั ไหม? ไมเคยชิน พอมือจอลงไปปบมันก็จะ ถอนมือทันที มอื ยอ นกลบั ปบ ทันที กระตุกตัวเองทันที เพราะความรอนมันแผดเผา ทนอยูไมได นน่ั ! มันชินไปไดยังไง? พิจารณาใหเห็นชัดดวยปญญาอยางถึงใจจริง คาํ วา “อนตฺตา” มันวางไปหมด เราเสกสรรเอาเฉยๆ วา นน้ั เปน ตวั นั่นเปนตน นน่ั เปน สตั ว นน่ั เปน บคุ คล แมแ ตก อ นธาตทุ อ่ี ยใู นรา งกายของเราน้ี มนั กว็ า งจากความ เปนตนเปนตัวอยูแลวโดยธรรมชาติของมัน แตเรามาเสกสรรเอาวามันเปนกอนเปน กลมุ จากนน้ั กว็ า “เปนเราเปนของเรา” ธรรมชาติจริงๆ แลว อนตฺตา มันวางจาก ความเปน ตนเปน ตวั เปน สตั วเ ปน บคุ คลไปหมดอยแู ลว จงพิจารณาใหเห็นตามหลัก ธรรมชาติอยางนี้ จติ จะไดถ อยตวั เขา มาจากความลมุ หลงนน้ั ๆ แลว ปลอ ยความกงั วลได ในสภาวะทง้ั หลายซง่ึ เปน “อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา” ทราบโดยทาง “ปญญา” ทราบอยา งถงึ ใจ จิตเมอ่ื ไดถ อดถอนตวั หรอื ไดเ ปด เผยรอ้ื ฟน ตนจากสง่ิ ทป่ี ด บงั ทง้ั หลาย โดยความรูชัดวาสิ่งเหลานี้เปน อนจิ จฺ ํ ทุกขฺ ํ อนตฺ ตา แลว ทําไมจิตจะไมโลง ทําไมจิตจะไมสวางไสว ทําไมจิตจะไมเบา ทําไมจิตจะไม อัศจรรย ทําไมจิตจะไมผองใสและเปนสิ่งที่นาอัศจรรย ตองเปนของอัศจรรยอยางแน นอนไมต อ งสงสยั ทจ่ี ติ ไมแ สดงความอศั จรรยใ หเ จา ของเหน็ เลย กเ็ พราะมแี ตส ง่ิ สกปรกโสมม ทห่ี าคณุ คา ไมไ ดม นั ครอบจติ อยู จติ จงึ กลายเปน นกั โทษทง้ั ดวง แลวจะมีคุณคาที่ ไหน เพราะมันเปนนักโทษทั้งดวง เพราะธรรมชาติที่เปนโทษมันอยูกับจิต คอื กเิ ลสทง้ั หลายนนั้ แล พอเปดออกไป ๆ อปุ าทานการยดึ มน่ั ถอื มน่ั เปด เผยตวั ออกไปโดยลาํ ดบั ๆ ความสวางกระจางแจงของจิต ความเปน อสิ ระของจติ ตามขน้ั นน้ั ๆ ไมต อ งถาม เบาหววิ เลย อยูทไี่ หนก็เพลินและเบาไปหมด แตก อ นเคยแบกหามจนหนกั แยก ห็ าทป่ี ลงวางไม ได นอนกแ็ บก นง่ั กแ็ บก ยนื กแ็ บก แบกอยอู ยา งนน้ั แหละ แบกอปุ าทานความหนกั ภู เขาทง้ั ลกู วา มนั ใหญโ ตมนั หนกั เราไดเ คยแบกมนั บา งแลว หรอื ? เราถงึ จะทราบวามัน หนกั เรายังไมเคยแบกเรายังไมหาญพูดได ดตู วั ทม่ี นั หนกั ๆ คือ “เบญจขนั ธน น่ี ะ ” มนั หนกั อยตู รงน้ี ยิ่งมีความเจ็บไขไดปวยแลวยิ่งลุกไมขึ้นเอาเลย ตอ งใหค นอน่ื ชว ย พยงุ ชว ยกเ็ จบ็ หนกั เขา อกี ดว ยการเจบ็ ปว ยในอวยั วะตา งๆ มนั ท้ังหนัก ทั้งเจ็บทั้งปวด เลยเพิ่มเปนเรื่องหนักไปหมด นแ้ี ลตัวหนกั จรงิ ๆ ทานจึงวา “ภารา หเว ปจฺ กขฺ นฺ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕๓

๕๔ ธา” ภาระอันหนักจริงๆ กค็ อื เบญจขนั ธ ทา นไมไ ดบ อกวา ภาระอนั หนกั จรงิ คอื ภเู ขา ทา นไมเ หน็ วา เราพิจารณาใหเห็นจริงอยางนี้ อันนี้แลเปนเครื่องทับจิตใจเรา พจิ ารณาใหรูใ น อาการทง้ั ๕ น้ี มนั คอื ไตรลกั ษณท ง้ั นน้ั เราอยา ไปอาจหาญ อยา ไปเออ้ื ม อยาไปจับ อยา ไปยดึ อยา ไปแบกหามมนั หนกั เขาไปแบกมันหนักจริงๆ ถา ปลอ ยเสยี มนั กเ็ บา ปลอยดว ยปญ ญาใหร ชู ัดตามความเปนจริง จติ จะเพลนิ มีความรื่นเริงบันเทิง อยทู ไ่ี หน ก็รื่นเริง อยใู นปา ในเขาอดอม่ิ เปน ตายอะไร มีแตความรื่นเริงบันเทิงในธรรมทั้งหลาย “ธมมฺ ปต ิ สขุ ํ เสต”ิ ผูมปี ต ใิ นธรรมยอ มอยูเปนสขุ อนั นย้ี งั หยาบไป เมื่อเขา ถงึ ขน้ั นแ้ี ลว คอื วา ละเอยี ดอยา งยง่ิ มีความสุขละเอียดเปนพื้นฐาน นอนกเ็ ปน สขุ นง่ั ก็ เปนสขุ ยนื เดิน อยกู เ็ ปน สขุ ทง้ั นน้ั อดอิ่มเปนสุข สบายไปหมด หมดความกงั วล หมด ภาระเปน เครอ่ื งกดถว งจติ ใจ เอา! เพอ่ื ใหกิเลสท้งั มวลส้ินซากไปเสียไมใ หมอี ะไรเหลอื ตนไมเราตัดกิ่งตัด กา นตดั ตน มนั ออกหมด ยงั เหลอื แตห วั ตอ รากแกว รากฝอย ขุดตนมันขึ้นมา เอาเผาไฟ เสยี ใหส น้ิ ซากหมดเทา นน้ั ตนไมตนนั้นไมมีทางเกิดไดอีกเลย จติ กเ็ หมอื นกนั ถอนรากแกว ซง่ึ อยภู ายในจติ ทา นเรยี ก “อวชิ ชา” ใจปลอ ย อะไรๆ หมด แตต วั เองกม็ าอศั จรรยอ อ ยอง่ิ อยกู บั ความสงา ผา เผย ความละเอยี ดลออ ซึ่งเปนเรื่องของกิเลสประเภทละเอียด พิจารณาเขาอีกใหพอ นก่ี ค็ อื กองไตรลกั ษณอ กี เชนเดียวกัน อยา ถอื วา เปน เรา มันเราอะไรกัน เปน กอง อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อนั ละเอยี ดตา งหากน่ี กิเลสตวั รายยังวา เปนเราอยหู รอื ? ความผองใสทีค่ วรจะผา นไปได ถอื ไวท าํ ไม อันนี้เปนกิเลสประเภทหนึ่งที่ละเอียดมากเกินกวาสติปญญาธรรมดาจะรู เห็นได ตอ งเปน สตปิ ญ ญาอตั โนมตั กิ าํ จดั มนั น่ีเวลายอนจิตเขามา เมื่อไมมีที่พิจารณาจริงๆ กต็ อ งยอ นจติ เขา มาพจิ ารณา ธรรมขั้นละเอียดสุดนั่นคือ กิเลสตวั ละเอยี ดอันเปน จดุ สดุ ทาย “สพฺเพ ธมมฺ า นาลํ อภิ นเิ วสาย”ธรรมทั้งปวงไมควรถือมั่น นั่นเมอ่ื ถึงจุดสดุ ทา ยแลวก็ “สพเฺ พ ธมมฺ า อนตฺ ตา” ธรรมทั้งปวงเปน อนตฺตา ทั้งสิ้น ไมว า จะเปน สว นหยาบสว นละเอยี ด ตลอดความ ผองใส ความเศราหมองทั้งสน้ิ ท่ีมีอยภู ายในจิตโดยเฉพาะ เปน อนตฺตา ทง้ั สน้ิ ผูปฏิบัติจงพิจารณาจิตดวงผองใส ใหเ หน็ เชน เดยี วกบั สภาวธรรมทง้ั หลาย ธรรมทั้งปวงเปน อนตฺตา ธรรมทั้งปวงจึงไมควรถือมั่น จากส่ิงนี้เองทไ่ี มค วรถอื มั่น พอ พิจารณาเต็มที่เต็มภูมิของปญญาแลว สลัดพบั เดียวหมด เมื่อสมมุติทั้งปวงไมวาหยาบ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕๔

๕๕ กลาง ละเอียดไดสิ้นสุดไปจากใจแลว ปญหาอะไรที่จะมีอีกตอไป? ไมม !ี หมด! นน่ั แหละทา นผหู มดทกุ ขท า นหมดอยา งน้ี นแ้ี ลผเู หนอื กเิ ลส กเิ ลสมากดั มาฉกี เหมอื นเสอื โครง ดงั ทก่ี ลา วมาแลว น้ี เปนอันยุติกันเพียงเทานี้ เพราะถกู ฆา หมดฉบิ หายไมม เี หลอื เลย กิเลสทุกประเภทที่ทานเปรียบเหมือนเสือโครง ถกู ฆา ดว ยสตปิ ญ ญาอนั แหลมคม คอื มหาสตมิ หาปญ ญา สน้ิ ซากไปหมด เสวย อมต ธรรม โดยหลกั ธรรมชาติ นค่ี อื ผลแหง การปฏบิ ตั อิ ยา งแทจ รงิ เปน อยา งน้ี เพราะธรรม เปนธรรมชาติที่ถึงใจของสัตวโลก ธรรมเปนของจริง ผสู อนจงึ สอนดว ยความจรงิ ผู ปฏิบัตปิ ฏิบัติจรงิ ๆ จังๆ ฟงจรงิ ๆ จังๆ แกกิเลสตัณหาสวะซึ่งเปนภัยอยางจริงจัง เพราะเห็นวาเปนภัยอยางจริงใจ แกอยางจริงๆ จังๆ ก็พนไดจริงๆ อยา งนไ้ี มเ ปน อน่ื เพราะ “สวากขาตธรรม” นน้ั ทา นเรยี กวา “มชั ฌมิ า” ทันตอเหตุการณอ ยตู ลอดเวลา ไมวา กาลใดอาการใดของกเิ ลสทแ่ี สดงขน้ึ มา “มัชฌิมาปฏิปทา” เปน อาวธุ ทท่ี นั สมยั ฟาดฟน กเิ ลสใหแ หลกกระจายไปหมดไมม อี ะไรเหลอื เลย ทานจึงเรียกวา “มัชฌิมา” เหมาะสมตลอดเวลากบั การแกก เิ ลสกองทกุ ขท ม่ี อี ยภู ายในใจของสตั วโ ลก การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร ขอยุติ <<สารบญั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๕๕

๕๖ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๘ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘ กเิ ลสฝง ในจติ ศาสนาในขน้ั เรม่ิ แรกทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงประกาศเอง มสี าวกชว ยพทุ ธภาระให เบาบางลง ในครง้ั นน้ั ศาสนาไมค อ ยกวา งขวาง มแี ตเ นอ้ื ๆ ครน้ั ตอ มานานเขา ๆ เนอ้ื ก็ ไมค อ ยปรากฏ มักมีน้ําๆ แลวเลยกลายเปนมีแตเปลือก มแี ตก ระพไ้ี ป คอื มแี ตพ ิธรี ี ตอง ไปไหนมแี ตพิธี ศาสนาจรงิ ๆ มองไมคอยเห็น มีแตพิธีเต็มไปหมดในงานตางๆ เกย่ี วกบั ศาสนา เมื่อเปนเชนนั้นผูที่จะยึดเอาเปนหลักเปนเกณฑกับศาสนาจริงๆ กเ็ ลย ยึดไมได ไมท ราบวาอะไรเปนศาสนา คอื แกน แท อะไรเปนกระพี้ เปน เปลอื ก คือพิธีรี ตองตางๆ เพราะการแสดงออกแหง พธิ นี น้ั ๆ มีมากตอมาก ผยู งั ไมเ ขา ใจกเ็ ขา ใจวา เปน เรอ่ื งศาสนาทั้งน้ัน พิธีรีตองเลยทําใหผูตั้งใจตอศาสนาจริงๆ ยุงและสับสนไปหมด ไม อาจจะยึดศาสนาอันแทจริงได นเ่ี ปน ปญ หาหนง่ึ ในเวลานซ้ี ง่ึ มมี ากมาย และถือเปนหลักเปนเกณฑเสียดวยไม ใชธรรมดา พิธตี างๆ ซึ่งแฝงศาสนากลายเปนหลักเกณฑขึ้นมา สว นทเ่ี ปน หลกั เกณฑ จรงิ ๆ จงึ คลา ยกบั คอ ยเสอ่ื มคอ ยหายไปเปน ลาํ ดบั ถา ไมม กี ารปฏบิ ตั เิ ขา ไปเกย่ี วขอ ง ถา พูดตามแบบโลกๆ กว็ า การปฏบิ ตั ธิ รรมกบั พธิ รี ตี องกาํ ลงั เปน คแู ขง กนั โดยไมมีเจตนา หรอื มกี ็ไมอาจทราบได เพราะเวลานี้กําลังอยูในความสับสนปนเปกันระหวางพิธีรีตอง ตางๆ กบั การปฏบิ ตั ิ อาจไมท ราบวาอะไรจริงอะไรไมจ รงิ อะไรแทอ ะไรปลอม อะไร เปน เปลอื กอะไรเปน กระพ้ี อะไรเปน แกน หากไมม กี ารปฏบิ ตั เิ กย่ี วขอ งไปดว ยแลว อยางไรๆ เปลอื ก กระพจ้ี ะตองถกู เสกสรรขึน้ มาเปนแกน เปน หลกั เปนความจริงของ ศาสนาโดยไมส งสยั ทั้งๆที่ไมใชความจริงเลย นเ่ี ปน เรอ่ื งทน่ี า วติ กอยมู าก ศาสนาแทๆ ทานไมม อี ะไรมากมายกา ยกอง นอกจากสิ่งที่จําเปน ทาํ ลงไปแลว เกดิ ประโยชนเ ทา นน้ั สมยั ตอ มาชอบยงุ ไมเ ขา เรอ่ื ง เชน รับศีล ก็ตองยุงไปหมด มาไม ทนั รับศลี ก็เสียใจ นน่ั ! ฟงดูซิ อะไรๆ ก็รับศีล รบั ศลี อยตู ลอดเวลา ดงั “มยํ ภนฺต ตสิ รเณน สห ปจฺ สลี านิ ยาจาม” ขอวนั ยังค่ํา แตก ารรักษาศีลไม ทราบวา รกั ษาอยา งไร เห็นแตการขอรบั ศีล สมาทานศลี อยทู าํ นองนน้ั ไมวาที่ไหน ๆ ยงุ ไปหมด การรบั ศลี กม็ เี จตนาอยภู ายในใจเปนผูชี้ขาด หรอื การรับรองในศีลของตน ดวยเจตนาวิรัติ เรื่องก็มีเทานั้นเปนสําคัญ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๖

๕๗ ถา เปน ฆราวาสทว่ั ๆ ไปและศลี ทว่ั ๆ ไป เชน ศลี หา ศลี แปด กค็ วรรบั ไวเ พอ่ื รกั ษาศีลจริงๆ จะมปี ระโยชน สวนศีลทีเ่ ปนศีลของพระของเณรน้นั เพอ่ื ประกาศเพศของตนใหโ ลกทราบ จึง ทําอยา งมกี ฎเกณฑไ ปตามหลกั ธรรมหลกั พระวินยั เชน ศลี เณร ศลี พระ แตส ดุ ทา ยก็ เจตนาอันเดยี วกนั ไมไดมากมายอะไรนกั ทาํ พธิ กี ็ เอา! ถวายทาน ก็ฟาดกันจนหมดคัมภีร ผูนัง่ ฟงจนหาวนอน จะนอนหลับคานง่ั คํา ถวายทานนี้ก็ไมทราบวาถวายอะไรตออะไร เปนคัมภีรๆ ไลม าหมดโลกธาตุ ดีไมด ี อยากจะอวดภูมิของตัวเองดวยวาไดเรียนมามากและรูมาก ใหคนอื่นเขาอัศจรรยเ สยี มงั่ ภมู นิ าํ้ ลาย นั่น! อยางนเ้ี ปนตน เมอ่ื ไดผ า นการปฏบิ ตั มิ าพอสมควร ไดเ หน็ วา อะไรทาํ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา อะไรจรงิ อะไรปลอม หรืออะไรมันยืดเยอ้ื กวา จะเขา ถงึ ตวั จรงิ ละโอโ ห เปน ชว่ั โมงๆ อยา งนไ้ี ม ทราบวาทําเพื่ออะไร เพราะฉะนน้ั ในวงกรรมฐานทา นจงึ ไมค อ ยมพี ธิ รี ตี องอะไรนกั อยากจะพูดวา “ไมม”ี แตพูดวา “ไมค อ ยม”ี นน้ั เปน ความเหมาะสม เพราะบางทกี ็ ตองอนุโลมผอนผันทงั้ ๆ ท่กี ท็ ราบอยแู ลว เพอ่ื จติ ใจคนผยู งั ใหมต อ ศาสนา แมเ ชน นน้ั ก็ ควรนาํ ของจรงิ มาโชวก นั อวดพธิ กี นั ใหโ กห รไู ป แตเอาของปลอมมาโชว! เมื่อพอ ผอ นผนั สน้ั ยาวก็ผอ นไปบางทัง้ ท่ีขวางใจขวางธรรม ในวาระตอ ไปคอ ยบอกกนั ใหร เู รอ่ื ง รรู าวในความจรงิ และหลักเกณฑข องพระพุทธศาสนา จะเหน็ ไดใ นขณะทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสง่ั สอนสาวกตง้ั แตเ รม่ิ เขา บวช พระองค เรม่ิ มคี วามจรงิ จงั ขน้ึ ในขณะบวชทเี ดยี ว ครั้งแรกพระองคท รงบวชเองดว ยพระวาจาวา “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”.ทา นจงเปน ภกิ ษเุ ถดิ นี่เปนวาระแรก ตอ มาก็ “ตสิ รณู อุปสัมปทา” ถึงสรณะสาม คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ แลวก็สําเร็จเปนพระขึ้นมา ถึงวาระที่สามน้ีกย็ กใหส งฆเ ปน ใหญ ใหส าํ เรจ็ ในสงฆ ตอนนท้ี า นประกาศ “รุกฺขมูล เสนาสนํ” ใหเ ปน ทีอ่ ยูอาศยั ของพระเพอื่ ประพฤติพรหมจรรย เพ่อื ความสิน้ ทกุ ขโ ดย ชอบ ทั้งๆ ที่แตกอนก็สอนใหอยูรุกขมูลรมไมอยูแลว แตไมไ ดย กข้นึ เปนกฎเปน เกณฑ ในการบวช พอตอ มาวาระทส่ี ามนข้ี น้ึ เปน กฎเกณฑเ ลย “รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ”อปุ ช ฌายจ ะไมส อนอยา งนไ้ี มไ ด ผิด ตอ งสอนใหถ กู ตอ ง ตามนี้ อปุ ช ฌายใ ดกต็ าม แมเจาของจะไมชอบ “รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ” ขนาดไหน การบวช กุลบุตรตอนสดุ ทา ยภายหลงั กต็ อ งบวชตอ งสอนอยา งน้ี มี “รุกฺขมูลเสนาสนํ” ข้ึน หนา อนุศาสน ไมเลือกวา ใครหรือนิกายไหน เพราะคําวา “นิกาย” กเ็ ปน เพยี งชอ่ื อนั หนึ่งเทานั้น หลกั ใหญค อื การบวชนน่ั เอง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๗

๕๘ ทา นเอาจรงิ เอาจงั สอนแลว ไลเ ขา ปา เขา เขาไปเลยเพอ่ื ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ จนได บรรลุธรรมแลวแมทานจะออกประกาศธรรมสอนประชาชน ก็ใหเปนไปตามอัธยาศัย ของทานผมู ีอาํ นาจวาสนามากนอย มคี วามรคู วามฉลาดลกึ ตน้ื หยาบละเอยี ดมากนอ ย เพียงไร กส็ ง่ั สอนประชาชนไปตามภมู นิ สิ ยั วาสนาของตน องคใ ดทท่ี า นไมม นี สิ ยั เกย่ี วขอ ง วาสนาทานไมมีในทางนั้น ทานก็ไมเกี่ยว เชน พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ไปอยูที่สระ “ฉัททันต” มชี า ง “ฉทั ทันต” เปนหัวหนาโขลง อปุ ถมั ภอ ปุ ฏ ฐากทา น ตั้งสิบเอ็ดป ผา สบงจวี รยอ มดว ยดนิ แดง ถงึ วาระแลว กม็ าทลู ลา พระพุทธเจาเขา สนู พิ พานไปเลย องคน ป้ี รากฏวา ไดส อนเฉพาะ “พระปณุ ณมนั ตานี บุตร” ซง่ึ เปน หลานชายเทา นน้ั สอนองคเดียว และพระปณุ ณมนั ตานบี ตุ ร ปรากฏวา เปน “ธรรมกถกึ เอก” นอกน้ันทา นไมส นใจกบั ใครเลย พระอญั ญาโกณฑญั ญะ เปน “รัตตัญ”ู เปนพระสาวกองคแรกที่ไดบรรลุธรรมพระศาสดาใดในตนพุทธกาล องคท ท่ี า นมอี าํ นาจวาสนาในทางใด ทานก็เปนไปตามเรื่องของทานเอง เชน “พระสารีบุตร” “พระโมคคัลลาน” เปน ผทู ม่ี อี าํ นาจวาสนามากเกย่ี วกบั บรษิ ทั บรวิ าร มีความรูความฉลาดมากดงั “พระสารบี ตุ ร” การแนะนาํ สง่ั สอนกก็ วา งขวางลกึ ซง้ึ ทุก สง่ิ ทกุ อยา งเตม็ ไปดว ยความเหมาะสม เพราะฉลาดในการสง่ั สอน “พระโมคคลั ลาน” ก็เปนผูทรงฤทธิ์ทรงเดช เปน ไปตามนสิ ยั วาสนาของทา นทเ่ี กย่ี วขอ งกบั บรษิ ทั บรวิ าร พระเณร เมอ่ื ถงึ ขน้ั “อรหตั ภมู ิ” แลว เปน นสิ ยั วาสนาลว นๆ ไมมีกิเลสเจือปน ทานจะ อบรมส่ังสอนประชาชนมากนอยเพียงไร ยอ มเปน ไปตามอธั ยาศยั ของทา น ไมมีกิเลส เขา เคลอื บแฝง ไมลุมๆ ดอนๆ สงู ๆ ตาํ่ ๆ เพราะทานสอนทานไดแลวคอยมาสอนคน อน่ื จงึ ไมม คี วามผาดโผนโลดเตน แฝงอยใู นองคท า น เวลาเกี่ยวของกับประชาชนที่มา พึ่งรมเงาแหงธรรมทาน ในเบอ้ื งตน ทา นฝก อบรมใจทา น การอบรมสง่ั สอนคนทา นทาํ อยา งเตม็ ท่ี ทาน ฝกฝนทรมานตนอยางเต็มฝมือ ไมล บู ๆ คลาํ ๆ การฝก อบรมตนดว ยวธิ ตี า งๆ เพอ่ื แก กิเลสทั้งมวล ก็ตองเปนการทรมานตัวอยูโดยตรง ถา ไมท าํ อยา งนน้ั กเิ ลสกไ็ มย อมจาํ นน และหมดไปจากใจ การทรมานกิเลสกับการทรมานตนในขณะนั้น จะเรียกวาเปน “ความทกุ ขใ นคนๆ เดยี วกนั ” ก็ไดไมนาจะผิด เพราะขณะที่ทุมเทกําลังเพื่อ “การรบ รากบั กเิ ลส” หรือ “เพอ่ื แกก เิ ลส” นน้ั ตอ งใชค วาม “อุตสาหพยายาม” อยางเต็มที่ ตอ งไดร บั ความทกุ ขม าก สมกบั ขน้ึ เวทเี พอ่ื ชยั ชนะโดยถา ยเดยี ว แมทุกขมากนอยหรือ จะถงึ ขน้ั ตาย เจาของตองยอมรับ ไมยอมรับไมไดชัยชนะมาครอง มบี างองคท า นเดนิ จงกรมจนฝา เทา แตก นั่นเห็นไหม! ทั้งๆ ทฝ่ี า เทา นน้ั ไมใ ชก เิ ลส แตจ าํ เปนกต็ องไดรับ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๘

๕๙ ความกระทบกระเทือนไปดวย ถงึ ฝา เทา แตกดว ยการรบกเิ ลส บางองคก ต็ าแตก “พระ จักขุบาล” ตาแตกทง้ั สองขา ง เพราะไมน อนเปนเวลาตั้งสามเดือน ทา นฝก ทรมานอยา ง เต็มที่จนตาทั้งสองขางแตก แตใ จสวา งจา ขน้ึ มาในขณะนน้ั เพราะบรรลุขั้นอรหัตธรรม ถงึ คราวทจ่ี ะตอ งรบั ความทกุ ขล าํ บาก เพราะการประกอบความเพียรเพื่อแก กเิ ลส ก็ตองยอมรับกัน จะไมย อมรบั ไมไ ด ตอ งยอมรบั เมอ่ื ถงึ ขน้ั ยอมรบั เพอ่ื ชยั ชนะ อันใหญหลวง พระพทุ ธเจาก็ทรงยอมรบั พระสาวกท้งั หลายกวาจะไดมาเปน “สรณะ” ของพวกเรา ทา นก็ยอมรบั ความทุกขความลําบากในการฝก ฝนทรมานตนเพื่อฆา กเิ ลส ทั้งนั้น เพราะกเิ ลสอยกู บั ตวั การฟนกิเลส ถา ไมฟ น เขา ไปถกู ตวั ดว ยกไ็ มกระทบ กระเทอื นกเิ ลสทอ่ี ยกู บั ตวั ฉะนน้ั การหาํ้ หน่ั กเิ ลสไมก ระทบกระเทอื นตวั ดว ยจงึ ไมไ ด ตองมีการกระทบกระเทือนตัวเปนธรรมดา พวกเรากเ็ หมอื นกนั ถา จะใหก เิ ลสมนั อยหู อ งโนน เรามาอยหู อ งน้ี ขังกิเลสไวใน หอ งโนน เรามาอยใู นหอ งน้ี มันเปนไปไมได ถา เปน ไปไดพ ระองคต อ งทรงทราบกอ น ใครๆ ในโลก เราอยใู นหอ งไหนกเิ ลสกอ็ ยใู นหอ งนน้ั การฝกทรมานเราตรงไหนก็เปน การฝกทรมานกิเลสตรงนั้น และในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน ความทกุ ขใ นการแกก เิ ลสเชน เดียวกัน คอื เราตอ งยอมรบั ทกุ ข เชน นั่งมากก็ทุกข เดินมากกท็ ุกข นอนมากกท็ ุกข คือ นอนพจิ ารณาเพอ่ื แกก เิ ลสนะ ไมใ ชน อนแบบหมขู น้ึ เขยี ง เวลากาํ หนดภาวนามนั ทกุ ข ดว ยกนั ทงั้ นนั้ ชอ่ื วา “ประโยคพยายามทจ่ี ะแกก เิ ลส”แลว มนั เปน ความทกุ ขด ว ยกนั ทง้ั นน้ั ฉะนน้ั จงึ ไมค วรทอ ใจออ นใจ กเิ ลสจะแขง็ ขอ ตอ สเู อาจะวา ไมบ อก แมจ ะเปน การอดนอนผอ นอาหาร มนั ก็เปนเร่ืองความทกุ ขทง้ั นน้ั แหละ แต เพื่อดับเชื้อของกิเลสนะ ทุกขก็ตองยอมรับ การขาดตกบกพรอ งในสง่ิ ใดบรรดาท่ี อาศยั เปนความฝดเคืองกับสิ่งใดก็ยอมรับ อะไรจะขาดตกบกพรองตองยอมรับ ๆ เมื่อ เข็มทิศอันใหญยิ่งมุงตออรรถตอธรรม คอื แดนแหง ความพน ทกุ ขอ ยแู ลว อะไรๆ กต็ อ ง ยอมรบั ตองยอมรับทั้งนั้นไมกังวล ไมยอมรับไมได กเิ ลสมนั อยกู บั เรา เราไมยอมรบั ความกระทบกระเทือน ความทกุ ขค วามลาํ บากดว ยเพราะการแกก เิ ลส ยอมไมได ตอ ง ยอมรบั เอา! ทุกขก็ทุกข ยอมทุกข ลาํ บากก็ยอม ขอใหก ิเลสมนั คอ ยหมดไป ๆ เพราะ กเิ ลสเปน เครอ่ื งกอ กวนภายในจติ ใจ จําพวกบอ นทาํ ลายกค็ อื กเิ ลสนแ่ี หละ อยา งภาย นอกทเ่ี ราเหน็ นน่ั แหละ ลวนแลว แตกิเลสบงการ เพือ่ ความมักใหญใ ฝสูงเกนิ มนุษยมนา เทวดาอินทรพ รหม ไมย อมมองดตู วั เดย๋ี วสไตรค ท น่ี น่ั สไตรค ท น่ี ่ี เดนิ ขบวนทน่ี น่ั เดิน ขบวนทน่ี ่ี ก็คือพวกบอนทําลาย ทําลายบานเมือง ทาํ ลายทน่ี น่ั ทาํ ลายทน่ี ่ี ทาํ ลายหลาย ครง้ั หลายหนมนั กแ็ หลกไปเอง นั่น! ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๕๙

๖๐ กิเลสมนั ทาํ ลายเรามันทาํ ลายอยา งนัน้ มันบอนที่ตรงนั้น มันบอนที่ตรงนี้ แตเรา ไมทราบวา มนั บอ นทําลายเราซิ เราเลยหลงไปเขาขางมันเสีย แลว กแ็ ย! ตัวเราก็เลยเปน กองทุกขขึ้นมาโดยไมเห็นโทษของตัว เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งใชป ญ ญาแยกแยะออก เจตสิกธรรมอันใดเปนไปเพื่อความ กอทุกขความลําบากแกตน ใหระมัดระวังวา เจตสกิ ธรรมคอื ความคดิ ประเภทท่ีผดิ พยายามแกไ ขโดยถกู ทาง ก็จะมีความสุขเย็นใจ ผเู กย่ี วขอ งกม็ คี วามผาสกุ เยน็ ใจเชน เดียวกัน ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู บั อบุ ายแหง การแกก เิ ลสของแตล ะรายจะขวนขวายใสต น คาํ วา “กเิ ลส” เราอยา คดิ วา มนั อยทู ไ่ี หน กค็ อื ความคดิ ความปรงุ นแ่ี หละ เปน เครื่องมอื ของกิเลสโดยตรง กเิ ลสจรงิ ๆ มฝี ง อยใู นใจ ฝง อยา งจมมดิ ไมทราบวาใจคือ อะไร กเิ ลสคอื อะไร เพราะมันเปนอนั เดียวกัน ในขณะนม้ี นั เปน อนั เดยี วกนั มันเปน อยางนั้นจริงๆ กระเทือนใจกก็ ระเทอื นกเิ ลส เมื่อแยกแยะกันไปโดยลําดับดวยความเพียรพยายาม เราถึงจะทราบวา กเิ ลส เปนชนิดใด ใจแทหรือ “จติ แท” เปน อยา งไร เพราะอาํ นาจของปญ ญาเปน เครอ่ื ง ทดสอบ สตเิ ปน เครอ่ื งระลกึ รใู นวงงานนน้ั ๆ ปญ ญาเปนผูค ลคี่ ลายพจิ ารณาใหท ราบวา ผดิ หรอื ถกู โดยทางเหตผุ ล แลวก็แกกันไปไดตามลําดับของกิเลสที่มีประเภทตางๆ กนั เราจะทราบวาอนั ไหนเปนเรอ่ื งของกิเลส อนั ไหนเปน เรอ่ื งของธรรม กค็ อ ยทราบไป เรอ่ื ยๆ โดยภาคปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนา แตเรือ่ งความทุกขเ พราะความเพียร กย็ อ มมเี ปน ธรรมดาของการทาํ งาน ไมว า จะเปน ความเพยี รเพอ่ื แกก เิ ลสขน้ั ตาํ่ ขน้ั กลาง หรอื ขน้ั ละเอยี ด เม่ือกเิ ลสยังมอี ยู ความทุกขในการฝกฝนทรมานตนก็ตองมีอยูโดยดี ถึงจะมีก็ ตาม พึงทราบวาการทํางานไมวางานชนิดใด งานเลก็ งานใหญต อ งเปน ความทกุ ขต าม ความหนกั เบาของงาน แตค ณุ คา นน้ั สงู สมกบั งาน ผหู วงั พน ทกุ ขต อ งมคี วามเขม แขง็ ไมเขมแขง็ ไมได การฉดุ การลากจิตออกจาก ส่ิงมวั หมอง ออกจากกเิ ลส ออกจากสง่ิ สกปรกโสมมน้ี เปน ของทาํ ไดย าก เพราะฉะนนั้ โลกจงึ ไมอ ยากทาํ กนั สูนอนจมอยูกับกิเลสไมได กจ็ าํ เปน ตอ งนอน นอนจมอยนู น่ั แล นอนบน อยูน่ันแหละ เฝากองทุกข บนทุกขบน ยาก บนวา ลาํ บากราํ คาญ แตไมมีทางที่ จะแยกทกุ ขอ อกจากตวั ได แมบน กนั กระทงั่ วันตายก็ตายไปเปลา ๆ ไมไ ดร บั ประโยชน อะไร ฉะนน้ั การมแี ตบ น ใหท กุ ขแ ละระบายทกุ ขอ อกดว ยการบน จงึ ไมเกดิ ผลอะไร แตก ็ จาํ เปน ตอ งระบายตามนสิ ยั ทเ่ี คยบน กนั แกไ มต ก ไดร ะบายใหใ ครฟง นดิ หนง่ึ กย็ งั คดิ วา ไดเ ปลอ้ื งทกุ ขบ า ง ทั้งที่ทุกขยังมีอยูอยางเดิม เพราะนน่ั ไมใ ชการแกทกุ ข! ถา ไมแ ก กิเลสซึ่งเปนตัวกอทุกขใหเบาบางและสิ้นไป! การบน เพอ่ื ระบายทกุ ข เปนการเพิ่มพูน กเิ ลสขน้ึ เสยี อกี ไมใ ชอ บุ ายแกท กุ ข! ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๐

๖๑ ถา เดนิ ทางสตปิ ญ ญาโดยจติ ตภาวนา ใครครวญไตรตรอง กม็ ที างแกก เิ ลสและ กองทกุ ขไ ดด งั ทา นพาดาํ เนนิ มาแลว มพี ระพทุ ธเจา และพระสาวกเปน ตวั อยา ง ทานแก กเิ ลสกองทกุ ขด ว ยวธิ ปี ฏบิ ตั ติ อ จติ ใจ ศาสนาในครง้ั พทุ ธกาลทา นปฏบิ ตั แิ ละสอนอยา งน้ี ทา นสอนเขา ในวงจติ โดย เฉพาะ การแสดงออกทางกายทางวาจานั้น เปนกิริยาที่สอออกมาจากใจ เมื่อใจไดรับ การอบรมดแี ลว อนั ไหนถกู อนั ไหนผดิ ใจยอ มทราบเอง ขอ สาํ คญั ใหจ ติ ไดร บั ธรรมคอื เหตผุ ลเขา สดู วงใจ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแสดงออกจะ เปน ดว ยเหตดุ ว ยผลและเปน ความราบรน่ื ดงี าม การแกก เิ ลสถา ไมม เี หตผุ ลเปน เครอ่ื ง มอื แก เชน โกรธใคร กพ็ ึงยอนจิตเขามาดูตัวผูกาํ ลังโกรธอนั เปน ตน เหตไุ มด ี เปนตน คนเรายอมจะเห็นโทษของตัว ความโกรธก็ระงับไป ไมใ ชไ ปเพง เลง็ ผถู กู โกรธ ซึ่งเปน การเพม่ิ พนู กเิ ลสและกองทกุ ขใ หแ กต วั มากขน้ึ อานคัมภีรไหนก็วาแตเรื่องกิเลส เราเลยเขา ใจวา กเิ ลสไปอยใู นคมั ภรี น น้ั ๆ เสีย นั่นซีมันผดิ นะ อนั หนง่ึ ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรอื กเิ ลสพนั หา ตณั หารอ ย แปด อะไรทาํ นองน้ี เขาใจวามันอยูในคัมภีร การอานช่อื กิเลสไดม ากๆ เรียนจําได มากๆ กว็ า ตวั นี้รแู หลมหลักนักปราชญช าตกิ วีไปเสีย แนะ มนั ผดิ ไปแลว นน่ั มนั ผดิ จากหลกั ธรรมและเจตนาของพระพทุ ธเจา ทีท่ รงสั่งสอนเพื่อแกกเิ ลสซงึ่ มีอยูกบั ตวั คอื อยกู บั ใจ การเขา ใจดงั ทว่ี า นน้ั มนั เปน การสง่ั สมกเิ ลสโดยไมร สู กึ ตวั เลย เชนสําคัญ วากิเลสอยูในคัมภีร ไปจาํ ชอ่ื กเิ ลสนน้ั แลว กว็ า ตวั รตู วั เขา ใจตวั ฉลาดเสยี แนะ!ทั้งๆ ที่ ไมไ ดใ หใ จแตะตอ งหรอื เขยา พอใหก เิ ลสตกใจบา งสกั ตวั เดยี ว หรอื พอใหม นั หนงั ถลอก ไปบา ง กเิ ลสยงั อยเู ตม็ หวั ใจ และมากกวาทีย่ งั ไมไดเรียนชอ่ื ของมันเสยี อกี ทง้ั นม้ี นั ผดิ พระประสงคข องพระพทุ ธเจา ! เพื่อถูกตามความเปนไปของธรรม หรือนโยบายของพระพทุ ธเจา กเิ ลสตวั ใดก็ ตาม เรยี นรชู อ่ื มนั อยใู นคมั ภรี ใ ดกต็ าม นั่นเปนชื่อของมัน แตก เิ ลสอยูภายในใจคน หวั ใจสัตว ความโลภชื่อมันอยูในคัมภีร ตวั โลภอยใู นใจคน ความโกรธในคมั ภีรไมไดโกรธ แตห วั ใจคนมนั โกรธตา งหาก ความลุมหลงคัมภีรไมไดลุมหลง ชอ่ื ของกเิ ลสไมไ ดล มุ หลง ตวั กเิ ลสทอ่ี ยภู ายในตวั ของเรานเ้ี อง เปน ตวั ใหล มุ หลงตา งหาก การแกกิเลสจึงตองแกที่นคี่ อื ใจ แกท่อี นื่ ไมถูกไมเกิดผล การแกถ กู หลกั ถกู วธิ ี กเิ ลสจะคอ ยเบาบางลงและหมดไปจากใจ ผปู ฏบิ ัติจิตตภาวนาจงึ ควรดใู จตัวเองและ แกก เิ ลสทใ่ี จเปน สาํ คญั ดูภายนอกแลวก็ยอนทบทวนเขาดูภายในจึงชื่อวา “เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม” อยา ดแู บบโลกๆ ทด่ี ไู ปรกั ไปชงั ไปเกลยี ดไปโกรธ อนั เปน การสง่ั สมกเิ ลส ใหม ากมนู จนลมื เนอ้ื ลมื ตวั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๑

๖๒ ถา ดเู ขา มาในตวั ดอู อกไปขา งนอก เทยี บเคยี งเหตเุ ทยี บเคยี งผลเพอ่ื หาทางแก ยอ มมสี ว นทจ่ี ะลงกนั และแกก เิ ลสไดเ ปน พกั ๆ ไป ใจกส็ บายและเบา ไมหนักอึ้งดวย การแบกการหามกิเลสทั้งโคตรแซปูยาตาทวดดังที่เคยแบกหามมา วนั หน่ึง ๆ ให พิจารณาทบทวนมากๆ ทบทวนเรื่องของตัว พิจารณาเรื่องของตัวใหมาก ดว ยสติ ปญ ญาพจิ ารณายอ นหนายอนหลังเพื่อรูค วามจริง เพราะวนั เวลาหนง่ึ ๆ ใจผลติ ความยงุ เหยงิ วนุ วายขน้ึ มาภายในตวั ไมไ ดห ยดุ ถา เราเผลอ แมแตไมเ ผลอกเิ ลสมนั ยังโผลอ อก มาไดซึ่งๆ หนา อยา งกลา หาญตามสนั ดานทห่ี ยาบคายของมนั บางทมี นั ยงั แสดงลวด ลายออกมาตอ หนา ตอ ตาแกม นั ไมไ ดก ม็ ี เพราะกําลังของเราไมเพียงพอ ขณะนน้ั จําตอ ง ยอมไปกอ น อนั ไหนอยใู นวสิ ยั กพ็ ยายามแกม นั ไป นแ่ี หละการแกก เิ ลส ที่ทานดําเนินมา ทา นไมท อ ถอยและยอมมนั เอางา ยๆ จะ ทุกขยากลําบากก็ทนเอา เพราะเปนงานของตัวโดยเฉพาะ คนอื่นชวยไมได ทั้งนีก้ ็เพื่อ ร้อื สงิ่ ทเี่ ปนเส้ียนหนามอยูภายในใจออกนน่ั แล เพราะข้นึ ชื่อวา “กเิ ลส” แลว มนั เปน เสีย้ นหนามทิ่มแทงจติ ใจทั้งนน้ั แหละ จงพยายามถอดถอนออกไปโดยลาํ ดบั จนไมม ี อะไรทิ่มแทงใจตอไป และเปนใจที่ “สมบรู ณแ บบแท” ประการสาํ คญั กค็ อื ชีวิตจิตใจมันหมดไปทุกวัน ๆ เมอ่ื วานนก้ี ห็ มดไปแลว วนั หนง่ึ มันมีแตหมดไปเรอื่ ยๆ หมดจนกระทั่งไมม เี หลอื ชวี ติ สงั ขารผานไปเรือ่ ยๆ จนไม มีอะไรเหลือติดตัว เมอ่ื ไมม ลี มหายใจเหลอื ตดิ ตวั แลว เขาเรยี กวา “คนตาย” กันทัง้ นั้น คนตายสตั วต ายที่ไมม ีกศุ ลผลบญุ ติดเนอื้ ติดตวั ยง่ิ เปน ความทุกขอ ยา งหาทป่ี ลง วางไมไ ด ฉะนั้นจึงตอ งรบี เรงขวนขวายกอสรางคณุ งามความดีซ่งึ จะไมสญู หายไปไหน เสียแตบ ดั น้ี ความดนี จ้ี ะตดิ แนบกบั ใจไปในภพหนา ไมลดละปลอยวางเจา ของผู บําเพ็ญ การสรา งคณุ งามความดที า นเรยี กวา “สรา งวาสนาบารม”ี “วาสนา” ก็คือธรรมเครื่องอยูนั่นเองจะเปนอะไรไป คอื ธรรมเครอ่ื งอยเู ครอ่ื ง อาศยั เครื่องพึ่งพิง เครอ่ื งสง เสริมจิตใจ เหมอื นคนมีบา นมเี รอื นเปน ท่อี ยอู าศัยยอม สบาย ถาไมมีก็ลําบาก บานเมอื งเขามีที่อยทู ี่อาศัยแตเ ราไมม ี ซง่ึ เราไมใ ชก ระจอ น กระแต ไมใ ชส ตั ว จงึ ไมส มควรอยา งยง่ิ แมแ ตส ตั วเ ขายงั มรี วงรงั มนษุ ยเ ราไมม บี า นมี เรือนอยูไดเหรอ? มนั ลาํ บากแคไ หน จิตใจไมมีหลักมีเกณฑ ไมมีเหตุมีผล ไมม ที พ่ี ง่ึ พงิ อาศยั ไมม ที เ่ี กาะทย่ี ดึ เหนย่ี ว อยโู ดยลาํ พงั ไมม สี รณะ จะเปน ทกุ ขเ พยี งไร ลองวาดภาพ ดูกไ็ ด ภาพของคนทุกขเ ปนอยา งไร เราเคยเหน็ ทง้ั คนและสตั วเ ปน ทกุ ขท รมานจนตายตอ หนา ตอ ตากเ็ คยเหน็ มันนา ยินดีเมื่อไหร! เมอ่ื มบี ารมธี รรมกพ็ อมคี วามรม เยน็ เปน สขุ ภายในใจบา ง ยังดีกวามีแต ทกุ ขล ว นๆ อนั เปน ไฟทง้ั กองบนรา งกายและจติ ใจเปน ไหนๆ เฉพาะอยางยิ่งใหส รางสติ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๒

๖๓ ปญญาขน้ึ ใหมาก แกก เิ ลสในปจ จบุ นั นน่ั แหละ ใหเห็นชัดๆ กบั ใจ แกไ ปไดม ากนอ ยกร็ ู เอง กเิ ลสมนั เตม็ อยทู ใ่ี นจติ นแ้ี หละไมเ คยบกพรอ งเลย แมโ ลกจะพากนั บน วา สิ่งนี้บก พรอ งส่ิงนัน้ บกพรอ ง หรือวา โลกบกพรอง มนั วง่ิ ออกทาง “ขนั ธ” และทาง “อายตนะ” คือทางตา ทางหู ทางจมกู ทางลน้ิ ทางกาย ทางใจ อยตู ลอดเวลา ไมเคย บกพรอ งกบั ใครถา ไมท าํ ลายมนั แมเวทนาจะเกิดข้นึ มนั กไ็ มเ กดิ เฉพาะเวทนาเทา นน้ั กิเลสมันเกิดดวยถาสติไม มี ทาํ ใหเ กดิ ความเดอื ดรอ นเสยี ใจ เพราะเปน ทกุ ขท น่ี น่ั เจบ็ ปวดทน่ี ่ี ความเสยี ใจนน้ั เกดิ ขึ้นจากความหลงขันธหลงอายตนะวา เปนตนเปนของตน กิเลสจึงเกิดขึ้นตรงนี้ ความ ทุกขทางใจจงึ เกิดขึ้นได เชนเกิดความกระวนกระวายภายในใจวา ทกุ ขเ กดิ ขน้ึ ทน่ี น่ั ทน่ี ่ี บา ง กลัวทุกขจะไมหายบาง กลวั ตนจะตายบา ง เหลา นม้ี แี ตเ รอ่ื งสง เสรมิ กเิ ลสใหเ กดิ ขน้ึ ซ้ําเติมเจาของ เพราะความโงเขลาเบาปญญาตามไมทันมันนั่นแล! ถา จะเปน ศษิ ยพ ระตถาคตจรงิ ไมเ ปน ศษิ ยป ลอมละกต็ ายซ้ี! เราเรยี นความรู เรียนเพื่ออะไร กเ็ พอ่ื ความรอบรใู นสง่ิ เหลา นเ้ี อง เปน กเ็ ปน มาแลว ตง้ั แตว นั เกดิ จน กระทั่งบัดนี้ ทราบทกุ ระยะอยแู ลว เวลาตายทาํ ไมจะไมท ราบ เพราะอยูในอวัยวะอัน เดียวกัน เอา ตายเดย๋ี วนก้ี ใ็ หท ราบกนั เดย๋ี วนซ้ี ิ จิตไมเคยอาภัพความรูแตไหนแตไรมา เรอ่ื งความเปน ความตายเปน เรอ่ื งของธาตขุ นั ธ การรคู วามเปน ความตายของตวั เองเปนหลกั วชิ า คือสติปญญาทางพุทธศาสนา เมอ่ื รูแ ลว ตวั เองก็ไมเสียทา เสยี ทไี ปกบั สิ่งที่เกิดขึ้นดับไป มีเวทนาเปนตน หรอื รา งกายทป่ี รากฏขึน้ แลว สลายตัวลงไป จิตใจมี ความมน่ั คงไมห วน่ั ไหวโยกคลอนไปตาม จติ มหี ลกั เกณฑเ ปน ทอ่ี ยอู าศยั มคี วามมน่ั คง ภายในตัวเอง ไมว นุ วายไปกบั ธาตขุ ันธท่ีมันจะสลายตัวไป ที่กิเลสมันแทรกขน้ึ ไดนน้ั เพราะความสาํ คญั มน่ั หมายของจติ เปน ตน เหตุ วา ความทกุ ขท น่ี น่ั ความเจบ็ ปวดทน่ี ่ี กายเราทุกขตรงนั้น ขาเราเจ็บตรงนี้ ศรี ษะเราปวดขา งนน้ั ทอ งเราเดนิ ไมห ยดุ กลัวจะ ไมห าย กลัวจะตาย กลวั จะตายวนั นน้ั กลวั จะตายวนั น้ี หาเรื่องคิดไปไมมีเวลาจบสิ้น ทั้งน้มี แี ตเร่ืองกอ ความทกุ ขความลําบากใหแกรางกายและจติ ใจ รับภาระหนักซํ้าเขาไป อกี ดไี มดโี รคเสยี ใจเม่อื เกิดมากขึ้น กท็ าํ ใหต ายเรว็ กวา ทค่ี วรจะเปน จึงไมใชของดี ไม ใชเ รอ่ื งแกก เิ ลสใหร ะงบั หรอื สน้ิ ไป แตเ ปน เรอ่ื งสง เสรมิ กเิ ลสใหซ าํ้ เตมิ ทง้ั รา งกายและ จติ ใจใหห นกั เขา โดยลาํ ดบั จงึ ควรคาํ นงึ ใหม ากในเวลาไมส บาย การแกก เิ ลสคอื อยา งไร? เอา! อะไรเกดิ ข้นึ กใ็ หร เู ร่ืองความเกิดข้นึ ของส่ิงนนั้ เจบ็ กใ็ หท ราบวา มนั เจบ็ ขนาดไหน จะรใู หถ งึ ความจรงิ ขนาดนน้ั เรอ่ื งของความเจบ็ เปน อนั หน่ึงตา งหาก ผรู เู จ็บเปน อันหน่งึ ตางหาก ไมใ ชอ นั เดยี วกนั น้ี จะตายก็ใหทราบถึง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๓

๖๔ ขณะตาย อนั ไหนตายกใ็ หม นั ตายไป ผไู มต ายคอื ผรู ู ก็ใหรูวาไมตาย เพราะผทู ่รี ไู มได ตายไมมีปาชา เปน “อมต”ํ (อะมะตัง) อมตํ ก็หมายถึงจิตนี้เอง แมมกี ิเลสอยใู จก็เปน “อมต”ํ ของมัน กเิ ลสสน้ิ ไป แลว กเ็ ปน อมตํ แตเปน“อมต”ํ ที่ตางกันเทานั้นเอง อมตอํ นั หนง่ึ เปน อมตวํ ฏั ฏะ คือ ตวั หมุนเวยี นอยางน้นั เร่ือยๆไป อมตํอีกอันหน่งึ ไมเ กิดตอไปอกี และไมตายดวย นี่เปน อมตํของความบริสุทธิ์แหงใจ มอี ยสู องอยา งจงเรยี นใหร ู อันใดทีม่ าเก่ยี วของมาทาํ ลาย จิตใจ ใหท ราบวา อนั นน้ั คอื ขา ศกึ ใหรีบแกไขทันที นี่แหละเรียนธรรม คอื เรยี นเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ เรอื่ งอายตนะ สําคัญที่สุดก็คือ ขันธ ระหวางขันธกับจิตนี่ มนั กระทบกระเทอื นกนั อยทู ง้ั วนั ทง้ั คนื ยนื เดนิ นง่ั นอน หรือ ทกุ อริ ยิ าบถ มันกระทบกระเทอื นกันอยเู สมอไมเคยมเี วลาสงบตวั เลย ถา มสี ตปิ ญ ญา สง่ิ เหลา นน้ั กเ็ ปน หนิ ลบั อยเู สมอ ความกระเทอื นทง้ั นเ้ี ปน หนิ ลบั ปญญา คอื เปน เครอ่ื งปลกุ สตปิ ญ ญาใหต น่ื ทนั กบั เหตกุ ารณ และใหร ูรอบขอบชิดตอสง่ิ นั้นๆ สง่ิ เหลา นน้ั กไ็ มซ มึ ซาบเขา ภายในและปลอ ยยาพษิ เขา ไปในใจได ใจกไ็ มเ ดอื ด รอ นกระวนกระวาย เอา! ถงึ วาระจะตายกต็ ายไปอยา ง “สคุ โต” เพราะความรูรอบคอบแลว ความ จรงิ กเ็ ปน อยา งนน้ั เรียนธรรมปฏิบัตธิ รรมทําอยางนี้แหละ กเิ ลสทง้ั หลายถงึ จะกลวั และ ลา ถอย ไมตั้งหนาย่ํายีจิตใจดังที่เคยเปนมา กเิ ลสกค็ อื ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ นแ่ี หละ ซง่ึ เกดิ ขน้ึ จากจติ ดวงเดยี ว แกให ทันกับเหตุการณที่ปรากฏขึ้น ยิ่งเวลาจนตรอกเขา จริงๆ เวทนามมี ากเทา ไหร จะโหมตวั เขา มาอยา งเตม็ ทเ่ี วลานน้ั แตพ งึ ทราบวา “นน่ั ตวั เวทนา” อยา เขา ใจวา เวทนาเปน ตน สําคัญมาก! จงพจิ ารณาใหเ หน็ ความจริงของเวทนา แมทุกขมากนอยเพียงไรก็ใหรู เอาจติ กําหนดอยูตรงนั้น พจิ ารณาอยตู รงนน้ั จนรูความจรงิ ของเวทนา จิตเปน ธรรมชาตริ ู เวทนาเปนสิ่งที่แสดงขึ้น เกิดข้ึนแลวดบั ไปตามธรรมชาตขิ องมันเอง ผูที่รูใหรูเวลา เวทนาเกดิ และดับ ถา จะตายกใ็ หร วู า มนั ตาย อะไรมนั ตายกใ็ หร ู สง่ิ ทไ่ี มต ายกอ็ ยู คือผูรู น!่ี ใหท นั กนั อยทู กุ เวลา แลว กไ็ มว ติ กกงั วล การเปนการตายเปนเรื่อง ธรรมดา ธรรมดา! ถาทราบตามหลักธรรมชาติแลว จะไมม ปี ญ หากบั เรอ่ื งการเปน การตายอะไร เลย การจะกอปญหาขึ้นมา กค็ ือกิเลสเปนผูส รางปญ หาข้นึ มา แลว กม็ าพวั พนั จติ ใจให เกดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วายไปดว ย ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๔

๖๕ ทั้งๆ ทย่ี งั ไมต ายกเ็ ดอื ดรอ นแลว กลวั ตาย แนะ! เวลาจะตายจริงๆ ยง่ิ เดอื ด รอ นใหญ ซึ่งไมเกิดประโยชนอะไร มีแตความทุกขเต็มตัว ตายแลว กเ็ สยี ทา เสยี ทเี พราะ ความรอนเปน เหตุอกี น่นั แหละ เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตอ งแกค วามเดอื ดรอ น ดว ยความรู ความเขา ใจในธาตใุ นขนั ธใ นอวยั วะตา งๆ ซง่ึ อยใู นกองขนั ธก องสมมตุ ทิ ง้ั มวล เราอาศัยกองสมมุตินี้ จะใหก องสมมตุ นิ เ้ี ปน ตวั เราไดอ ยา งไร? มันก็ตองเปน เรอ่ื งของเขาอยนู น่ั เอง ธาตุก็เปนธาตุ ขนั ธก เ็ ปน ขนั ธ ดินเปนดิน นาํ้ เปน นาํ้ ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ จะใหม าเปน “เรา” มนั เปน ไมไ ด จะใหต้งั อยยู นื นานถาวรตามทคี่ วามคาด หมายความสาํ คญั แหง ใจ ก็เปนไปไมได เพราะหลักธรรมชาติของมันเปนอยางนั้นมา ดั้งเดิม ผูเรียนวิชาธรรมะจึงตองเรียนใหรูตามหลักธรรมชาติ แลว อยตู ามหลกั ธรรมชาติ ตา งอนั ตา งจรงิ กส็ บาย ไมมีอะไรมากอกวน นี่แหละชื่อวา “เรียนธรรม” ชอ่ื วา “แกก เิ ลส” ปฏบิ ตั เิ พอ่ื แกก เิ ลส แกอ ยา งน้ี ถึงเวลาเรงตองเรงเต็มที่ เปนกับตายไมถ ือเปนภาระความกงั วล เพราะเพื่อ ความรูความหลุดพนอยางเดียว อะไรอน่ื ๆ ไมเกี่ยว จนรูเทาและปลอยวางไวตามสภาพ ของสิ่งทั้งปวง ความดเี หลา นแ้ี หละ จะเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ จติ ใหพ น จากโลกได พน ดว ยอาํ นาจ แหง ความดนี แ้ี ล นห่ี ลกั ศาสนาสว นใหญท า นสอนลงทน่ี ่ี แตเราอยาพากันเดินจงกรมแตพอเปน พธิ กี แ็ ลว กนั การทําพอเปน พธิ นี นั้ คือนั่งก็สกั แตว า น่งั สติสตังไมมีเลย นั่งสัปหงกงกงัน แลว หลบั ครอกๆ อยกู บั ทา นง่ั นั่นแหละมันพิธีอะไรไมรูละ พธิ บี า นะ !จะวา ยงั ไง? ผู เปนคนดีฟงเอง! เดินจงกรมก็เดิน เดนิ ไปยงั งน้ั แหละ สตสิ ตงั ไมท ราบไปอยไู หน แลว กม็ านบั คะแนนเอาเองวา “วนั นเ้ี ราเดนิ จงกรมไดเ ทา นน้ั นาทเี ทา นน้ี าที ดใี จ!” ดใี จกบั ลมกบั แลงไป ไมไดเรื่องอะไรเลย! พระพทุ ธเจา พระอรหันต ตลอดครอู าจารย ทานเบอ่ื เจาพธิ ีแทบจะอยกู บั โลก พิธีไมได ไมไ ดค ดิ บา งหรอื วา กเิ ลสมนั ไมใ ชเ จา พธิ เี หมอื นพวกเรานน่ี า มนั คือตัว เหยียบย่ําทําลายผูเปนเจาพิธีโดยตรง ฉะนน้ั ตอ งแกม นั ลงทใ่ี จนน้ั แกท ต่ี รงนน้ั โดยถกู ทางแลวดวยสติปญญาอันแหลมคม อยไู หนก็เปนความเพียร นง่ั อยกู เ็ ปน ความเพยี ร ถามีสติปญญารักษาจิตใจอยูโดยสม่ําเสมอ อิริยาบถทั้งสี่เปนความเพียรดวยกันทั้งสิ้น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๕

๖๖ เอา! ใหม ีความเพียรกนั จริงๆ จังๆ นะ นแ่ี หละเรยี กวา “เดนิ ทางศาสนาแบบ ศาสดา” เดนิ ตามแนวทางของผแู กก เิ ลส เราจะสิ้นกิเลสดว ยแบบนี้ สน้ิ ในลกั ษณะน้ี ไม สน้ิ ในแบบอน่ื ลกั ษณะอน่ื พระพทุ ธเจาทา นสนิ้ ไปเพราะเหตนุ ้ี สาวกทา นสน้ิ ไปดว ยอบุ ายวธิ นี ้ี ดวยปฏิปทา อนั น้ี กิเลสมีประเภทเดยี วกัน การดาํ เนนิ แบบเดยี วกนั กเิ ลสจะตอ งหลดุ ลอยไปโดย ลาํ ดบั ๆ เชนเดียวกัน และถึงความพนทุกขเชนเดียวกัน จงึ ขอใหเ ปน ทล่ี งใจในการ ปฏิบัติของตน ขอยุติเพียงเทานี้ <<สารบญั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๖

๖๗ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๒ กมุ ภาพนั ธ พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ ปลกุ ใจสกู เิ ลส ความสขุ กด็ ี ความทกุ ขก ด็ ี ไมมีอะไรจะสุขหรือทุกขยิ่งกวาใจ ความสกปรกกด็ ี ความสะอาดกด็ ี ไมม อี ะไรจะสกปรกและสะอาดยิง่ กวา จิตใจ ความโงก ด็ ี ความฉลาดกด็ ี กค็ อื ใจ ทา นสอนไวว า “มโน ปุพฺพงฺคมา ธมมฺ า มโนเสฏฐ า มโนมยา” สง่ิ ทง้ั หลาย สาํ คญั อยทู ใ่ี จ สําเร็จแลวดวยใจ ศาสนากส็ อนลงทใ่ี จ ศาสนาออกกอ็ อกจากใจ รูก็รูที่ใจ พระพุทธเจารูก็รูที่ใจ นํา ออกจากใจนไ้ี ปสอนโลก กส็ อนลงทใ่ี จของสตั วโ ลก ไมไ ดส อนทอ่ี ่นื ใดเลย ในโลกธาตนุ จ้ี ะกวา งแคบขนาดไหนไมส าํ คญั ธรรมมีจุดหมายลงที่ใจแหงเดียว ใจทค่ี วรกบั ธรรมอยแู ลว กเ็ ขา ถงึ กนั ไดโ ดยลาํ ดบั ที่ทานวา “มีอุปนิสัย” นน้ั หมายถงึ ผู ควรอยแู ลว เห็นไดอยางชัดเจน ผูมีนิสัยสูงต่ําตางกันอยางไรพระองคทรงทราบ เชน ผู มีอุปนิสัยที่จะสามารถบรรลุถึงที่สุดแหงธรรม ควรจะเสด็จไปโปรดกอนใครๆ เพราะ เกย่ี วกบั ชวี ติ อนั ตรายทจ่ี ะมาถงึ ผนู น้ั ในกาลขา งหนา เร็วกวาธรรมดาที่ควรจะเปน ก็รีบ เสด็จไปโปรดคนนั้นกอน ที่ทานวา “ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก” ผทู ม่ี าเกย่ี วขอ งกบั “ตา ขาย” คอื พระญาณของพระองค คาํ วา “เลง็ ญาณดสู ตั วโลก” นั้น ทานเล็งญาณดูจิตใจนั่นเอง ทานไมไดเล็ง ญาณดูตนไมภูเขา ดนิ ฟา อากาศ ซง่ึ เปน วตั ถหุ ยาบๆ และใหญโ ตยง่ิ กวา คนและสตั ว แต เมอ่ื เกย่ี วกบั ธรรมแลว ใจเปน สง่ิ ทใ่ี หญโ ตมากกวา สง่ิ ใดในโลก และเหมาะสมกับธรรม อยางยิ่ง การเล็งญาณก็ตองเล็งดูที่ใจ การสง่ั สอนกต็ อ งสง่ั สอนลงทใ่ี จ ใหใ จรแู ละเขา ใจ สิ่งตางๆ ซึ่งมีอยูกับใจเอง สําหรับเจาของไมสามารถที่จะรูไดวาอะไรผิดอะไรถูก การแกไ ขจะแกด ว ยวธิ ใี ด กไ็ มท ราบทางแกไ ข วธิ แี กไ ขพระองคก ส็ อน ไมใ ชส ง่ิ ทน่ี าํ มาสอนนน้ั ไมม อี ยกู บั จติ ใจ ของสตั วโ ลก เปน สง่ิ ทม่ี อี ยดู ว ยกนั เปนแตเพียงผูนั้นยังไมทราบ ถกู ปด บงั หมุ หอ อยู ดว ยสง่ิ สกปรกทง้ั หลาย ดงั ทก่ี ลา วมาแลว ขา งตน วา ไมม อี ะไรทจ่ี ะสกปรกยิ่งกวาใจ และ สกปรกไมม วี ันสะอาดเลยถา ไมชําระซกั ฟอกดวยการบาํ เพ็ญธรรม รางกายเราสกปรก ยงั มวี นั ชะวนั ลา งใหส ะอาดได เสือ้ ผากางเกงสถานทส่ี กปรก ยังมีการชําระซักฟอกเช็ดถู ลา งใหส ะอาดสะอา นไดต ามกาลเวลา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๗

๖๘ แตจิตใจที่สกปรกโดยที่เจาของไมไดสนใจนั้นนะ มันสกปรกมาตั้งแตเมื่อไหร และสกปรกไปตลอดกาลตง้ั แตว นั เกดิ จนกระทง่ั วนั ตาย ภพนถ้ี งึ ภพนน้ั ภพไหนกภ็ พ ไหน มีแตเรื่องสกปรกพาใหเปนไป พาใหเ กดิ พาใหต ายเรอ่ื ยๆ ไปอยา งนน้ั หาเวลา สะอาดไมได ทานเรียกวา “ใจสกปรก” สิ่งที่สกปรกมันจะพาไปดีไดอยางไร? อยกู อ็ ยู กบั ความสกปรก ไมใชของดี ผลแหง ความสกปรกกค็ อื ความทกุ ขค วามลาํ บาก คติที่ไป กล็ าํ บาก สถานทอ่ี ยกู ล็ าํ บาก กาํ เนดิ ทเ่ี กดิ กล็ าํ บาก มีแตของลําบาก ลาํ บากหมดเพราะ ความสกปรกของใจ จึงไมใชเปนของดี ควรจะเห็นโทษของใจที่สกปรก ไมมีสิ่งใดที่นา สะอดิ สะเอยี นยง่ิ กวา ใจทส่ี กปรก อยา งอน่ื ทส่ี กปรกไมค อ ยไดม คี รมู อี าจารยส อนกนั เหมือนใจสกปรก สวนจติ ใจท่สี กปรกน้ี ตองหาผสู าํ คญั มาสอนจงึ จะสอนได ใครจะมาสอนเรอ่ื ง การซกั ฟอกจติ ใจทส่ี กปรกนใ้ี หส ะอาดสะอา นไมไ ด นอกจากธรรมของพระพุทธเจา แตละพระองคท ี่ทรงรูทรงเห็น และทรงสละเปน สละตายในการบําเพญ็ เพื่อรูทั้งพระ ทัยของพระองคเองตลอดถึงวิธีแกไข แลว กน็ าํ มาสง่ั สอนโลกไดถ กู ตอ ง ตามวิธีที่พระ องคทรงบําเพ็ญและไดทรงเห็นผลนั้นมาแลว ใจจึงตองมีครูอาจารยสอนอยางนี้ ความทกุ ขม นั กเ็ ปน ผลมาจากสง่ิ ทส่ี กปรกนน้ั เอง ออกมาจากความโง โงตอตัว เองแลว กโ็ งต อ สง่ิ ตา งๆ ไปเรื่อยๆ ตัวเองโงอ ยแู ลว สง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ งกไ็ มท ราบวา อะไร ถกู อะไรผดิ แมไมชอบใจก็ตองไดยึดตองไดควา คนเราจึงตองมีทุกขทั้งๆ ทไ่ี มต อ งการ กนั เลย แตท าํ ไมจงึ ตอ งเจอกนั อยทู กุ แหง ทกุ หนทกุ เวลาํ่ เวลา ทกุ สตั วท กุ บคุ คล ก็เพราะ ไมส ามารถทจ่ี ะหลบหลกี ปลกี ตวั ออกได ดวยอุบายตา งๆ แหง ความฉลาดของตน นน้ั แลจงึ ตอ งอาศยั คาํ สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา ไดร บั การซกั ฟอกดว ยความดที ง้ั หลายเปน ลาํ ดบั ๆ มา ทานกเ็ ปน การซกั ฟอกกเิ ลสประเภทหนง่ึ ศีลก็เปน การซักฟอกกเิ ลสประเภท หนง่ึ ภาวนากเ็ ปน การซกั ฟอกกเิ ลสประเภทตา งๆ รวมตวั เขา มาอยใู นองคภ าวนาน!่ี ลวนแตเปน “นาํ้ สะอาด” ทซ่ี กั ฟอกสง่ิ สกปรกซง่ึ รกรงุ รงั อยภู ายในจติ ใจของสตั วโ ลกน้ี แล อบุ ายวธิ ตี า งๆ พระพุทธเจาจึงไดสอนกันมาเปนลําดับลําดา องคน ผ้ี า นไปแลว องคน น้ั กม็ าตรสั รู ตรัสรูก็ตรสั รใู นธรรมอนั เดยี วกนั ความจรงิ อนั เดยี วกนั เพอ่ื จะแก กเิ ลสตณั หาอาสวะของสตั วโ ลกอยา งเดยี วกนั เพราะฉะนั้นโอวาทของพระพุทธเจาทั้ง หลายจงึ เหมอื นๆ กนั นเ่ี รานบั วา เปน ผมู วี าสนา ไดเปนผูใครตอศีลตอธรรม ซึ่งเปน “นาํ้ ทส่ี ะอาดท่ี สดุ ” สาํ หรบั ชะลา งสง่ิ ทส่ี กปรกทม่ี อี ยภู ายในใจของตน คนทไ่ี มม คี วามสนใจกบั ธรรม ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๘

๖๙ ไมเ ช่ือธรรมและไมเช่อื ศาสนา เหลา นม้ี จี าํ นวนมากมาย เราไมไดเขากับคนประเภทนั้น กน็ บั วา “เปน วาสนาอยา งยง่ิ ” แมคนดมี ีธรรมในใจจะมีจํานวนนอ ย กม็ เี ราคนหนง่ึ ทม่ี สี ว นอยดู ว ย สาํ หรบั ผทู ่ี ใครตออรรถตอธรรม มีความเชื่อความเลื่อมใสพระโอวาทของพระพุทธเจาที่ทรงสั่ง สอนไว นบั วา เปน ผทู ม่ี วี าสนา นแ่ี หละวาสนาของเรา! คืออันน้เี องเปนพ้ืนฐานทจ่ี ะให เราไดบําเพ็ญความดีสืบเนื่องกันเปนลําดับมา เปนความเจริญรุงเรือง จิตใจก็จะไดมี ความสะอาดสะอา นขน้ึ เมื่อจิตใจมีความสะอาดขึ้นโดยลําดับ ความสุขกป็ รากฏขึ้นเปน เงาตามตัว ความเพลินอันใดจะเหมือนความเพลินของใจ ที่รื่นเริงไปดวยอรรถดวย ธรรม มีความรักใครใฝใจในธรรม การประพฤตปิ ฏิบัตกิ ็เปนไปดวยความอุตสาห พยายาม ผลก็ปรากฏขึ้นมาใหเปนความสงบรมเย็น เปน ความเพลนิ อยภู ายในจติ ใจ ทานจึงวา “รสอะไรก็สูรสแหงธรรมไมได” “รสแหง ธรรมชาํ นะซง่ึ รสทง้ั ปวง” คือรส อันนี้ไมมีวันจืดจาง ไมมเี บื่อ ไมมีชินชา เปน รสหรอื เปน ความสขุ เปนความรื่นเริงดูด ดื่มไปโดยลําดับลําดา แมที่สุดจนมาถึงขั้น วิมุตติพระนิพพานแลว ความสขุ น้ันยิง่ มี ความสมาํ่ เสมอตวั คอื คงท่ี คงเสนคงวา ตายตัว การพยายามจะยากหรอื งา ยขน้ึ อยกู บั ความพอใจ เราพอใจแลวงานอะไรมันก็ทํา ไดทั้งนั้น สาํ คญั อยทู ค่ี วามพอใจ เล็งดูเหตุดูผลเขากันไดแลว ความพอใจหากมาเอง ถงึ ไมมีก็บังคับได เราบังคับเรา บงั คบั คนอน่ื ยงั ยากยง่ิ กวา เราบังคับเรา เราอยูกับตัวเรา เอง จะบังคับใหทําอะไรก็ได “เอา! นง่ั ภาวนาวนั นก้ี น็ ง่ั ” “เอา เดินจงกรมก็ได” เอา ทาํ บญุ ใหท าน เอา รกั ษาศลี นะ ไดทั้งนั้น เราเปนเจาของเราเปนหัวหนา เปน ผบู งั คบั บญั ชาจติ ใจ เราเปน เจาของ เจาของทุกสว นภายในรางกายเรา อาการเคลอ่ื นไหวทง้ั ภายนอกภายในเราเปน ผูรับผิดชอบ เราเปนผูระมัดระวัง เราเปนผูรักษาเอง ควรหรือไมควรอยางไร เปนหนา ที่ของเราจักตองบังคับบัญชาหรือสงเสริมเราเอง ในสิ่งที่ควรหรือไมควร เราทราบอยู ดวยดี หากเราไมสามารถปกครองตนเองไดใ นขณะนแ้ี ลว เราจะเอาความสามารถมา จากไหนในวนั หนา เดอื นหนา ปห นา ชาตหิ นา ภพหนา ? เราตองทําความเขาใจไวกับ ปจจุบันดวยดีตั้งแตบัดนี้ ปจ จบุ นั นแ้ี ลเปน รากฐานสาํ คญั ทจ่ี ะสง ไปถงึ อนาคตใหม ี ความเจริญรุงเรืองขนาดไหน ตองไปจากปจจุบันซึ่งบําเพ็ญอยูทุกวัน เจริญอยูทกุ วนั สงเสริมอยูทุกวัน บาํ รงุ อยทู กุ วนั เจรญิ ขน้ึ ทุกวัน นแ่ี หละหลกั ปจ จบุ นั อยทู เ่ี ราเวลาน้ี วนั เดอื นป ภพชาตินะ มันเปนผลพลอยไดที่จะสืบเนื่องกันโดยลําดับ เชนเดียว กบั เมอ่ื วานนส้ี บื เนอ่ื งมาถงึ วนั น้ี แลว กส็ บื เนอ่ื งไปถงึ พรงุ น้ี สวนผลที่จะไดรับดีชั่วมันขึ้น ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๖๙

๗๐ อยูกับเรา เราเปนผูรับผิดชอบ จงึ ตอ งพจิ ารณาใหเ หน็ ประจกั ษเ สยี แตบ ดั นท้ี ย่ี งั ควรแก กาลอยู ธรรมของพระพุทธเจาเปน “สนฺทิฏฐิโก” ประกาศอยตู ลอดเวลาต้ังแตว ันพระ องคทรงประกาศธรรมสอนโลก ก็ประกาศเรื่อง “สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก” นี้ดวยกันตลอดมาจน ปจ จบุ นั เปนสิ่งที่ผูปฏิบัติจะพึงรูพึงเห็นภายในใจของตัวเอง กําลังเรามีเทาไรเราก็ทราบ ผลที่ไดรับมากนอยเพียงไรก็ทราบภายในจิตใจ เพราะใจเปนผูคอยรับทราบอยูตลอด เวลาอยแู ลว ทาํ ไมจะไมท ราบ บกพรองที่ตรงไหนเรงเขาไป การเรงอยูโดยสม่ําเสมอ ความบกพรอ งนน้ั กค็ อ ยสมบรู ณข น้ึ เปน ลาํ ดบั จนกระทั่งสมบูรณเต็มที่ได ไมใชสมบูรณ ดว ยความทอ ถอย ความทอ ถอยเปนเรอื่ งทจ่ี ะตดั ทอนส่งิ ทมี่ อี ยูแลว ใหลดลงไป และเปน สิ่งที่กีดกันสิ่งที่ยังไมเกิดไมใหเกิดขึ้น บรรดาสิ่งที่เราพึงใจทั้งหลายจะไมมีทางเกิดขึ้นได เพราะไมมีการสงเสริมอันเปนเหตุใหผลเกิดขึ้นได! โงเราก็โงมาพอ จะเอาไปแขงกันไดยังไง เพราะตางคนตางโงเตม็ ตวั อยูภ ายใน ใจดว ยกนั จะเอาไปแขงกันไดอยางไร ไมใชเรื่องจะแขงขันกัน เพราะตางก็มีดวยกันทุก คน สกปรกกส็ กปรก ทกุ ขก ท็ กุ ขด ว ยกนั รดู ว ยกนั ทกุ คน ตางคนตางทุกข ตางคนตา งรู ตา งคนตา งรบั ภาระเหลา นด้ี ว ยกนั ไมใชเรื่องที่จะมาแขงขันกันได เราไมมีความสงสัยใน เรื่องเหลานี้ เอาใหฉ ลาด ไมฉ ลาดกวา ใครกต็ าม ขอใหฉ ลาดเหนอื เรอ่ื งทเ่ี คยมอี ยใู นจติ ใจ ของเราซึ่งเคยหลอกลวงเรามานาน เราคลอ ยตามสง่ิ เหลา นม้ี านานแลว ใหพยายามทํา ความฉลาดใหท นั กนั กบั เรอ่ื งของตวั เองนแ่ี หละสาํ คญั ! เมื่อทันกับเรื่องของตัวเองแลว จะเรียกวา “ชนะตัวเอง” ดังทที่ า นพูดไวใ นหลักธรรมก็ไมผิดนี่ ชนะอะไรกต็ าม ที่ทาน พูดไวในธรรมบทหนึ่งวา “โย สหสสฺ ํ สหสเฺ สน สงคฺ าเม มานเุ ส ชเิ น, เอกจฺ เชยยฺ มตตฺ านํ, ส เว สงคฺ ามชตุ ตฺ โม” การชนะสงครามทค่ี ณู ดว ยลา น ถงึ ขนาดนน้ั ลว นแตเ ปน การกอ เวรทง้ั นน้ั ไมใชเ ปนของดีเลย การชนะตนนี่เพียงผูเดียวเทานั้นเปน ของประเสริฐสุด” ชนะตนหมายถงึ อะไร? ก็หมายถึงชนะสิ่งที่ตัวเราเคยแพมาอยูภายในใจของเรา นแ้ี ล เราแพอะไรบาง เราทราบเราเองเรื่องอยางนี้ กเิ ลสทง้ั หมดไมว า แงใ ด ลูกมันเราก็ แพ หลานมนั เรากแ็ พ เหลนมันเราก็แพ พอแมของมันเรากแ็ พ ปยู า ตายายของมนั เรา กแ็ พ เราแพเสียทั้งหมด แพอยางหลุดลุย ยังงี้ อะไรๆ ของมันแพหมด ถา สมมตุ วิ า มนั มี มูตรคูถเหมือนอยางคนเราธรรมดานี้ มตู รคูถของมนั เราก็แพอ ีก แตนี่มันไมมี กม็ แี ต “ขี้โลภ ขี้โกรธ ขห้ี ลง” วาไปยังงั้นเสีย เราแพมันแลวทั้งนั้นนี่ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๐

๗๑ ความแพนี่มันเปนของดีหรือ? อยกู บั ผใู ดไมม ดี เี ลย คําวา “แพ” นง่ั อยกู แ็ พ นอนอยกู แ็ พ ยนื อยกู แ็ พ เดนิ อยกู แ็ พ หาเวลาชนะไมมีเลย มีศักดิ์ศรีที่ไหน! มีแต ความแพเต็มตัวคนเรามสี าระทไ่ี หน ถา เปน ธรรมดาแบบโลกๆ เขาแลว อยากจะไปผูก คอตายนน่ั แหละ แตนี่มันเปนเรื่องธรรมดา มนั สดุ วสิ ยั เราจะวายังไงละ พดู กนั ใหเ หน็ อยา งนแ้ี หละ ไมยกขึ้นมาอยางนี้ไมเห็นโทษจะวายังไง? นําธรรมมาตีพวกเรานี้แหละ พวกนกั แพน แ่ี หละ แพอ ยทู กุ เวลาํ่ เวลา เราไมเห็น โทษของความแพของเราบางหรือ? นเ่ี ปน วธิ ปี ลกุ จติ เราหมายถึงวิธีปลุกจิตใจเรา เรา ยังจะแพอยูอยางนี้ตลอดไปหรือ? แพอ ยา งหลดุ ลยุ นะ จะแพราบอยางนี้เรื่อยๆ ไม ตองการชัยชนะบางหรือ? พระพุทธเจาเปนผูมีชัยชนะ สาวกอรหตั อรหนั ตท า นเปน ผชู นะ พระอริยเจา ทาน เปนผูชนะไปโดยลําดับ สรณะของเราทั้งสาม “พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ” ลว น แลว ตง้ั แตช ยั ชนะทง้ั นน้ั ทเ่ี รานกึ นอ มถงึ ทา น ตวั เราแพอ ยา งราบตลอดเวลา สมควรแลว หรือจะเปนลูกศิษยตถาคตนะ ? นน่ั วา อยา งนน้ั ซี นแ่ี หละวธิ ปี ลกุ จติ เจา ของปลกุ อยา งน้ี ใหล กุ ขน้ึ ตอ สเู พอ่ื ชยั ชนะ ไมจ มอยกู บั ความแพอ ยา งราบคาบเรอ่ื ยไป จิตมันเปนสิ่งที่สงเสริมได กดขี่บังคับได เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายได สําคัญที่เราเองเปน ผหู าอบุ ายคดิ ในแงต า งๆ ทจ่ี ะปลกุ จติ ปลกุ ใจของเราใหเ กดิ ความอาจหาญรา เรงิ ตอสู ในสิ่งที่เปนประโยชน ทจ่ี ะเอาชยั ชนะขน้ึ มาสตู นดว ยอบุ ายตา งๆ ดงั ทก่ี ลา วมาน้ี นี่แหละเปนทางเดินของพระพุทธเจา เปนทางเดินของผูจะกาวเขาสูชัยชนะ ชนะ ไปวนั ละเลก็ ละนอยเรื่อย ๆ ไป ผลสุดทา ยกช็ นะจนไมม ีอะไรเหลอื เลย ปญ หานแ้ี หละ สําคัญมาก สตกิ บั ปญ ญาเปน ธรรมอนั สาํ คญั อยา งยง่ิ สัมมาทิฏฐิ สมั มาสงั กปั โป ขึ้นตน นะ พจิ ารณาเอาใหไ ดช ยั ชนะสง่ิ ทแ่ี วดลอ มเราอยตู ลอดเวลา คอยตบคอยตเี ราอยตู ลอด เวลา คืออะไร ? มันมีที่ไหน ? มนั มแี ตร ปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ นเ้ี ทา นน้ั ตัวสําคัญจริงมันอยูที่ตรง น้ี ตา หู จมูก ลน้ิ กาย มนั เปนทางเดนิ เขา มาแหงอารมณต างๆ แลวเขา มาหาสัญญา อารมณซง่ึ เปนกองขนั ธน ีเ่ อง สดุ ทา ยกก็ องขนั ธน แ่ี หละรบกบั เรา หรอื มนั ไมไ ดร บก็ ไมท ราบ เราหมอบราบอยูแลวก็ไมทราบวาจะมารบกับอะไร นอนทบั ถายรดไปเลยไมม ี ปญหาอะไร เพราะยอมมนั อยา งราบคาบแลว น!ี่ ทีนี้เราจะไมใหเปนอยางนั้น เราแกตัวเรา เราใหเปนเทาที่เปนมาแลวเทานั้น เวลานี้เราไดศาตราวุธ คืออรรถธรรม สตปิ ญ ญาแลว เราจะตอสู พิจารณาเอาใหไดชัย ชนะภายในตัวเรา ไมเ อาชัยชนะกับผูใดเลย เอากบั ผใู ดจะเปนเร่ืองกอ เวรกบั ผูนน้ั เอา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๑

๗๒ กบั สตั วต วั ใดกเ็ ปน เรอ่ื งกอ เวรกบั สตั วต วั นน้ั ขน้ึ ชอ่ื วา “อน่ื นอกไปจากตวั เอง”แลว มี แตเ รอ่ื งกอ กรรมกอ เวร ไมเปนของดีเลย สิ่งที่เลิศประเสริฐสุดก็คือ “เอกจฺ เชยฺยมตฺ ตานํ ส เว สงคฺ ามชตุ ตฺ โม” การชนะเรื่องของเรานี่เทานั้นเปนเรื่องประเสริฐสุดในโลก พระพทุ ธเจา กช็ นะแบบน้ี สาวกอรหตั อรหนั ตท า นชนะแบบน้ี ทานเปนผูไมกอเวรกอ กรรม นอกจากนน้ั สตั วโ ลกยงั ไดอ าศยั ทา นมาเปน ลาํ ดบั จนกระทง่ั บดั น้ี ทา นเอาชนะ ตรงนี้ “เอา พิจารณา มนั เคยหลงอะไรอยเู วลานี้ ?” พิจารณาใหเห็นชัด สง่ิ เหลา นไ้ี ม ปดบังลี้ลับ มอี ยภู ายในตวั เรา รา งกายกเ็ ตอื นเราอยตู ลอดเวลา เจบ็ น้นั ปวดนี้ ความ สลาย ความแปรสภาพ แปรที่ไหนกระเทือนที่ตรงนั้น แปรไปนานเทาไหร ก็กระเทอื น มากขน้ึ ๆ เวทนากบั ความแปรสภาพมนั เปน คเู คยี งกนั อะไรวิปริตผิดไปนิดหนึ่ง เวทนาจะเตอื นบอกขน้ึ มาเรอ่ื ยๆ เตอื นบอกสตปิ ญ ญาของผปู ฏบิ ตั ิ ของผูตั้งใจจะสง เสริมสติปญญาใหมกี ําลังเพอ่ื รูเ ทา ทันกับส่ิงเหลาน้ี จึงเหมือนกับแสดงธรรมเทศนาอยู ทั้งวันทั้งคืน ไมจําเปนจะตองใหพระทานขึ้นธรรมาสน “นโม ตสสฺ ะ ภควโต” สง่ิ เหลา น้เี ปน “ธรรมเทศนา” สอนเราตลอดเวลาอยแู ลว เอา! ทุกขเกิดขึ้นที่ ตรงไหน ตั้งธรรมาสนที่ตรงนั้น วนิ จิ ฉยั กนั ปุจฉา วสิ ชั นา กนั ลงไป นแ่ี หละเทศนาสอง ธรรมาสน ระหวา งขนั ธก บั จติ ขนั ธใ ดกต็ าม รูปขันธ เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ สังขารขันธ วญิ ญาณขนั ธ นแ่ี หละปจุ ฉา วสิ ชั นา ใหเ ขา ใจชดั เจนตามสงิ่ เหลาน้ที ่มี อี ยู รูปแปร แปร มาโดยลาํ ดบั นเ่ี ราอยดู ว ยกนั นก่ี ว่ี นั กว่ี นั นน้ั คอื ลว งไปแลว เสยี ไปแลว ยกตวั อยา งเชน ทานอาจารยหมออุดมทานไปกรุงเทพฯ ไปวันที่ ๑๗ ทา นกลบั มาวนั นว้ี นั ท่ี ๒ กลบั มา วนั น้ี ทา นไมไ ดว นั สมบรู ณม าเหมอื นแตก อ น ตั้งแตวันที่ ๑๗ ไปจนถึงวันที่ ๒ เปน กว่ี นั แนะ ลวงไปเทา น้ันวัน ทา นขาดวนั นไ้ี ปแลว เราอยนู ก่ี ข็ าดไปเชน เดยี วกนั กบั ทา น น่ี แหละเราอยูดวยความบกพรองไปทุกวันๆ นะ ไมไ ดอ ยดู ว ยความสมบรู ณ วนั นขี้ าดไป วนั นน้ั ขาดไป วนั หนา ขาดไป วนั หลงั ขาดไป ขาดไปเรื่อยๆ เราบกพรองไปเรื่อยๆ เรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธเ ราเรยี นอยา งนแ้ี หละ เรียนธรรม เรา ไมไ ดอ ยดู ว ยความสมบรู ณ อยดู ว ยความ “หมดไป” ทกุ วนั ๆ นน่ี ะ แลว เราจะนอนใจ ไดอยางไร เมื่อเปนนักธรรมะที่ปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดเปนยอดคนแลว ตองใหเปนยอด แหงความรทู จี่ ะแกสถานการณซึ่งมอี ยูในตัวของเราน้ี ใหร ตู ามเปน จรงิ โดยลาํ ดบั เรา พบกนั วนั น้ี วนั หลงั มาพบกนั บกพรอ งมาแลว ขาดไปเทานั้นวัน ขาดไปเทานี้ชั่วโมง ผู อยกู ข็ าด ผไู ปกข็ าด กลบั มากข็ าด อยปู ระจาํ ที่ก็ขาด ตางคนตางขาด มีแตตางคนตาง ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๒

๗๓ บกพรองไปทุกๆ วนั ขาดไปทกุ วนั แลว ขาดไป ๆ ขาดไปจะไปถึงไหน? มนั กไ็ ปถงึ ท่ี สดุ ปลายทางแหง ความขาดสะบน้ั เทา นน้ั เอง! น!่ี มันตางกันแต “มืด” กบั “แจง ” ทล่ี ว งไปวนั นน้ั วนั นเ้ี ทา นน้ั แหละ ชาเร็ว ตางกัน มีนิดเดียวเทานั้น จะตองไปถึงความขาดสะบั้นเชนเดียวกันหมด เวลานย้ี งั ไม ขาดเปนแตวาเตือนๆ เรา นาทีเตือน วนิ าทเี ตอื น ชั่วโมงเตือน หมดไปเทา นน้ั วนิ าที เทานั้นนาที เทานั้นชั่วโมง เทา นน้ั วนั เตือนอยูเสมอ เทา นน้ั เดอื น เทา นัน้ ป เรื่อย สดุ ทา ยกห็ มด มีเทาไรก็หมด เพราะมันหมดไปทุกวันนี่เอาอะไรมาเหลือ!!! นี่เปนสติปญญาอันหนึ่งที่จะตองพิจารณา สง่ิ ทม่ี นั เหลอื อยนู น้ี ะ ทพ่ี อจะได ประโยชนจ ากสง่ิ ทเ่ี หลอื อยู ธาตขุ ันธของเราอันใดทมี่ นั เปลีย่ นแปลงมนั ก็หมดไป เราก็ หมดหวงั ในอนั นน้ั เวลานอ้ี ะไรยงั อยบู า ง? อะไรที่มันยังอยูพอที่จะทําประโยชนได เอา ส่ิงท่กี าํ ลงั มีพอทีจ่ ะทาํ ประโยชนอยูนนี่ ะ มาทําประโยชนเสียแตบัดนี้ “อชเฺ ชว กจิ จฺ มาตปปฺ  โก ชญฺ า มรณํ สเุ ว” ความเพียรที่จะทําใหเปนประโยชนแกตน ควรทาํ เสยี ในวนั น้ี ใครจะไปรูเรื่องความตายจะมาถึงเมื่อไร! ทา นวา ไปอยา งนน้ั บอกไมใหเรา ประมาท เอา พิจารณารูป มัน “เหลือ”อยูเทาไรเวลานี้ มนั เจบ็ กย็ งั มเี หลอื อยบู า ง มัน สลายหรอื มนั แปรสภาพไป สว นทย่ี งั อยกู ย็ งั มอี ยบู า ง พยายามพจิ ารณาใหทันกบั เหตุ การณท ม่ี นั ยงั เหลอื อยู รูเทาทันดวยปญญา เวทนา ตั้งสติปญญาพิจารณาใหชัดเจน เรอ่ื งเวทนากม็ เี ทา กบั เวทนาทม่ี อี ยนู น่ั แหละ ไมเ ลยจากนน้ั ผูรู รูไปหมด มันจะเทาภูเขา ก็สามารถรูเวทนาเทาภูเขา ไมมีอันใดที่จะเหนือผูรูไปได มนั จะใหญโ ตขนาดไหน เรื่อง ทุกขเวทนามันจะเหนือความรูนี้ไปไมได ความรนู จ้ี ะครอบเวทนาทง้ั หมด นถ่ี า มสี ตริ นู ะ ถาไมไดสติ กเ็ ลอ่ื นลอยเหมอื นกบั วา วไมม เี ชอื ก เชอื กขาด แลวแตมันจะไปทางไหน นเ่ี ราไมใ ชว า วเชอื กขาดน่ี เรามีสติปญญา พิจารณาใหเห็นชัดตามความเปนจริง เอา เกิดก็เกิด เกิดขึ้นมา เรื่องทุกขเวทนาเปนธรรมเทศนาประกาศสอนเราอยูแลว เรา เปนนักธรรมะ เอา ฟงดวยดี ดว ยสตปิ ญ ญาตามความจรงิ ของมนั แลว แยกตวั ออก เมื่อ เขาใจแลวจะไมยึดไมถือกัน ไมเปนกังวลกับเรื่องทุกขเวทนา เรื่องสัญญา เรื่องสังขาร เรื่องวิญญาณ จะปลอ ยวางไปดว ยกนั โดยสนิ้ เชิง สง่ิ ทเ่ี หลอื คอื อะไร ? คือความบริสุทธิ์ ความรอบตวั นแ้ี ลเปน สาระเปน แกน สาร ถา จะพดู กว็ า “เรา” นแ่ี หละ “เรา” แทโ ดยหลกั ธรรมชาติ ไมใชเราโดยความ เสกสรร ถา เปน ความสขุ กเ็ ปน ความสขุ ในหลกั ธรรมชาติ ไมใชความสุขที่คอยแตจะมี ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๓

๗๔ ความทกุ ขม าแบง เอาไปกนิ ๆ เหมอื นอยา งวนั คนื ปเ ดอื น แบง เอาจากรา งกายและจติ ใจ ของเรา สังขารของเราไปกิน นี่ถา พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความเปน จรงิ อะไรจะแตกกแ็ ตก ก็เรื่องมันแตก มัน เคยแตกมาตง้ั กก่ี ปั กก่ี ลั ป ทางเดินของคติธรรมดาเปนอยางนี้ จะไปแยกแยะหรือไปกีด ขวางไมใหมันเปนไดที่ไหน จะไปกั้นกางไมใหมันเดินไดอยางไร “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺ ตา” มนั ไปในสายเดยี วกนั พอวา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา กม็ าพรอมกัน มันไปดวยกัน ใหรูความจริงของมันพรอมๆ กนั ไป แลว ปลอ ยวางพรอ มกนั หมด ไมใ ชว า จะปลอ ยแลว ในสว น อนิจฺจํ ยงั ทกุ ขฺ ํ ยังอนตฺตา ไมใ ช พจิ ารณารอบแลวมนั ปลอยไปพรอมๆ กนั บริสุทธิ์พรอมในขณะที่ปลอยวางโดยสิ้นเชิง ความบรสิ ทุ ธไ์ิ มต อ งถามหาวา มาจากไหน ! นน้ั แลคอื ความฉลาดเตม็ ภมู ิ ความ สะอาดเต็มภูมิ ความสุขเต็มภูมิ ความสกปรกหายไป ความโงหายไป ความทกุ ขห ายไป หายทีต่ รงนีแ้ หละ ตรงที่แบกทุกข แบกความโง แบกความสกปรกนแ่ี หละ สง่ิ เหลา น้ี หายไปหมดเพราะอํานาจของปญญา อาํ นาจของสติ อาํ นาจของความเพยี ร เปนธรรม ชาติที่ชะลางไมมีสิ่งใดเหลือเลย ผนู แ้ี ลเปน ผไู มห มดไมส น้ิ อะไรจะหมด หมดไปตามสมมุตินิยมโทษ รางกายจะหมดก็หมดไป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ จะแปรสภาพไปไหนกแ็ ปรไปเถะ เมื่อรูตามเปนจริงแลว สง่ิ นน้ั จะเปนไปตามธรรมดาของเขา ซึ่งเขาไมมีความหมาย ไมมีความรูสึกเลยวาเขาไดแปรไป มีแตจิตของเราไปรับทราบวาเขาไดแปรไป ถา ไมย ดึ ถือแลวเพยี งรับทราบเทา น้นั เราก็ ไมแ บกทกุ ขก บั ความยดึ ถอื ในอะไรทง้ั หมดเรากส็ ขุ สบาย นแ่ี ลทา นวา “เอกจฺ เชยยฺ มตตฺ านํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม” ไมก อ เวรกอ กรรมกับอะไรท้งั หมด แมแ ตก บั กเิ ลสกไ็ มก อ กิเลสแพเรา กเิ ลสไมม ากอ กบั เราได เหมอื นคนแพค น เราชนะคน ชนะ อะไรก็ตามกอกรรมกอเวรไดวันยังค่ํา ชนะไปมากเทา ไหรกอกรรมมากเทาน้นั คิดดูคูณ ดว ยลา น นน่ั แหละ! คอื ความกอ กรรมกอ เวรคณู ดว ยลา น อนั นไ้ี มม เี ลย! ความสบายคอื ความชนะตนเองเทา นน้ั นเ่ี ปน จดุ สาํ คญั ของผู ปฏิบัติ จะหาศาสนาใดมาสอนพวกเราใหเ หน็ ถงึ ขนาดนร้ี ขู นาดน้ี และจะใหผูใดเปนผู ปฏิบัติ ใหร ใู หเ หน็ อยา งทว่ี า น้ี นอกจากเราเทานั้นจะเปนผูปฏิบัติสําหรับตัวเราเอง เพราะโงก็เราเปนคนโงเอง จะหาความฉลาดใสต นดว ยการแกค วามโงเ ขลาออก ก็จะ เปนใครถาไมใชเรา ทกุ ขก เ็ ราเปน คนทกุ ขเ อง จะเปลย่ี นแปลงตวั เองดว ยความฉลาดให เปนความสุขขึ้นภายในใจนี้ ทําไมเราจะเปลี่ยนแปลงไมได นน่ั ! เปลี่ยนแปลงไดทั้งนั้น ไมอ ยา งนน้ั พระพทุ ธเจา หรอื สาวกทง้ั หลาย ทานจะถึงความบริสุทธิ์ไมได ถาธรรมะชะ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๔

๗๕ ลางสิ่งสกปรกไมไดดวยความสามารถของเรา เราก็เปนผูหนึ่งในพุทธบริษัท ซึ่งเปนลูก เตาเหลากอของพระพุทธเจา ถึงจะไมมีมากคนก็ขอใหเราเปน “คนหนง่ึ ในจาํ นวนนอ ย คน” นน้ั นะ ชื่อวา เราเปน ผูมีสวนแหงพุทธบริษทั อันแทจรงิ ลูกของพระพุทธเจาก็คือ อยา งนเ้ี อง พระพุทธเจาเดินอยางไร เราเดินแบบศิษยมีครู รูอยางไร เรารูอยางศิษยมี ครู รแู บบครรู ไู ปโดยลาํ ดบั ๆ จนถึง “วิมุตติหลุดพน” สมกบั เปน ลกู ศษิ ยม คี ร!ู การแสดงธรรมวนั นก้ี เ็ หน็ วา สมควร ขอยุติเพียงเทานี้ <<สารบญั ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๕

๗๖ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมอ่ื วนั ท่ี ๑ มกราคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙ ปราบ-ขู ในมงคลสตู รทานกลา วไวพ วกเราฟง จนชนิ หู สวดสาธยายจนชนิ ปาก คอื “อเส วนา จ พาลาน”ํ แปลความวา การไมค บคนพาลสนั ดานหยาบ การคบบณั ฑติ ผู ประพฤตชิ อบดว ยกายวาจาใจ “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ ทา นวา เปน มงคลอนั สงู สดุ เราอาจคดิ แตใ นแงภ ายนอก คบคนพาลสนั ดานหยาบนอกๆ อยา งนน้ั นน่ั กถ็ กู ในการเกย่ี วกบั สงั คม เพราะมนุษยเราอยูคนเดียวไมได ตองมีเพื่อนฝูงญาติมิตรเกี่ยว ขอ งกบั สงั คมมากนอ ย นท่ี า นสอนแงห นง่ึ แตอาจคิดในแงเดียวเทานั้น สาํ หรบั ตนเอง เปน พาลหรอื เปน บณั ฑติ นน้ั เลยลมื คดิ ถาหากเราคิดแตเพียงแงเดียว เราก็ลืมคิดเรื่อง ตัวเรา เปน แตเ พยี งไมไ ปคบคนพาลภายนอกแลว กถ็ อื วา ดี แตก ารทเ่ี ราคบคนพาลภาย ในคือใจเราเองนั้น เราไมทราบวาคบกันมานานเทาไร ความจริงคบกันมาตั้งแตวันเกิด จนกระทั่งบัดนี้ คนพาลภายในหมายถงึ อะไร ? หมายถงึ ตวั เราเอง ซึ่งเปนคนๆ หนง่ึ ที่มีจิต เปน พาล คอยกดี กนั คอยฉดุ ลาก คอื กดี กนั ในทางทด่ี ี ไมใ หท าํ ความดไี ดโ ดยสะดวก สบาย หาเรอ่ื งนน้ั มาขดั ขอ ง หาเรอ่ื งนม้ี ายแุ หยใ หล ม เหลวไปตามมนั จนไดเ รอ่ื ยๆ มาที่ เรยี กวา “พาลภายใน” คาํ วา “พาล” นน้ั ทางพทุ ธศาสนาทา นหมายถงึ ความคดิ ท่ี ทาํ ใหต นและผอู น่ื เดอื นรอ นเสยี หาย ทา นเรยี กวา คนพาลหรอื คนเขลา จะมีความรู ความฉลาดมากนอ ยเพยี งไรไมส าํ คญั ถา ยงั ทาํ ตนและคนอน่ื ใหเ ดอื ดรอ นอยแู ลว ความ รูนั้นทานไมเรียกวาเปนความรูที่ดีที่ฉลาด เพราะเปนความรูที่ยังผูนั้นใหเปนคนเลวลง ทางความประพฤติที่แสดงออก ตลอดคนอน่ื ใหไ ดร บั ความเดอื นรอ นเสยี หายดว ยความ คิดเปนโจร ความคดิ เปน ขา ศกึ ความคดิ แอบทาํ สง่ิ ไมด แี กต นอยเู นอื งๆ และคลอ ย ตามความคิดเห็นนั้นโดยไมยอมเห็นโทษของมัน บางครง้ั ถงึ กบั แสดงออกใหค นอน่ื รู และรังเกียจ นีท่ านเรียกวา “ใจพาลภายใน”ซง่ึ มอี ยกู บั ทกุ คน จะตา งกนั บา งกเ็ พยี ง มากหรอื นอ ย แสดงออกหรอื ไมแ สดงออกใหค นอน่ื รหู รอื ไมเ ทา นน้ั ซง่ึ เปน สง่ิ สาํ คญั มากทม่ี อี ยกู บั ตวั เราตลอดมา เราเคยคบคา สมาคมกบั พาลตวั นม้ี านานแสนนานจนบดั น้ี เรากย็ งั มคี วามสนมิ กบั พาลของเราอยู โดยไมรูสึกตัววาเรามีพาล เราคบกบั พาลคอื ความคิดและการกระทําทเี่ ราไมร สู ึกตัววาเปน ความผดิ ทา นเรียกวา “พาลภายใน” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๖

๗๗ จงพยายามเลือกเฟนความคิดที่เห็นวาไมดี ทง้ั สว นหยาบ สว นกลาง สว น ละเอยี ดทม่ี อี ยภู ายในใจอนั น้ี อยา ปลอ ยใหใ จสง่ั สมความเปน พาล และตง้ั บา นเรอื นอยู บนหวั ใจไปนาน ความคิดใดที่ไมดี เปน ไปบนหวั ใจตลอดกาล บา นเรอื นคอื รา งกาย เจา ของคอื ใจทอ่ี าศยั อยดู ว ยกนั จะเสยี ความมน่ั คง ทรงความดีไวไมได ความคิดใดที่เปนไปเพื่อสั่งสมทุกขขึ้นมา ความคดิ นน้ั ทา นเรยี กวา “เปนพาล” การเชอ่ื หรอื คลอ ยตามความคดิ ทไ่ี มด ไี มถ กู นน้ั ทา นเรยี กวา “คบคนพาลภายใน” ซึ่ง แยกตวั ออกหา งยากกวา พาลภายนอก ผูเปนบัณฑิตทานเห็นโทษทั้งพาลภายในทั้งพาล ภายนอก และหลกี เวน ไมค บและเชอ่ื ถอื ทั้งคอยระวังอยางอยางเขมงวดกวดขัน ไม สนทิ ตดิ จมอยกู บั คนพาลทง้ั สองจาํ พวกนน้ั ปกตคิ นเราทกุ คนมพี าลรอบดา นทง้ั ภายในภายนอก ความเปนอยู ความเคลอ่ื น ไหว ทกุ คนอยใู นทา มกลางแหง พาลทง้ั สองจาํ พวกดงั กลา วมา ผตู อ งการความสงบสขุ ทั้งทางสวนตน ครอบครวั และสว นรวม จึงควรระวังภัยจากมารทั้งสองจําพวกนั้น เฉพาะอยา งยง่ิ มารภายในทเ่ี กดิ กบั ใจตวั เองสาํ คญั มาก ควรระวังเสมอ ชอ่ื วา เปน ผเู หน็ ภยั ของคนพาลทง้ั ภายนอกภายใน และจงคบบัณฑติ นกั ปราชญ ซง่ึ หมายถงึ ภายนอก ดว ยภายในดว ย ดังที่เราคบครูอาจารยเพื่อนฝูงที่มีความรูดี ความประพฤติดีงาม สม่ําเสมอ ไมเ อยี งซายเอียงขวา เอยี งหนา เอยี งหลงั อนั เปนอาการแหง “อคตสิ ”่ี ซึ่ง เปนของไมดี จะเปนญาติเปนมิตรหรือเพื่อนฝูงอะไรก็ได สาํ คญั ทต่ี อ งเปน คนดเี ชอ่ื ถอื ได หรอื ฝากผฝี ากไขฝ ากเปน ฝากตายไดย งิ่ เปน การดีมาก ในบรรดาบณั ฑติ ทค่ี วรคบคา สมาคม ตลอดถงึ ครอู าจารยท ใ่ี หอ บุ ายสง่ั สอนอนั ดี งามแกเรา ชอ่ื วา บณั ฑติ ไมตอ งมคี วามรคู วามฉลาดถงึ ขนาดตอ งแบกตพู ระไตรปฎกมา ยืนยัน หรือมคี วามรูความฉลาดขน้ั ปรญิ ญาตรี โท เอก กต็ าม สาํ คญั อยทู ค่ี วามคดิ ความ เห็น การประพฤติตัวเปนธรรม ซึ่งเปนเครื่องชักจูงใหคนอื่นไดคติและไดรับประโยชน อันชอบธรรม และเห็นเปนความถูกตอ งดีงามไปดว ย เหลา นท้ี า นเรยี กวา “บณั ฑติ ” เปน ผคู วรแกก ารคบคา สมาคมระยะสน้ั หรอื ยาว ยอมเปนมงคลแกผูคบ ไมเ สยี หายลม จมแตอ ยา งใด ยังจัดวาผูรูจักเลือกคบ เปนผมู ีชวี ิตชีวาอนั อดุ มมงคลเสียอกี ทางพระ พทุ ธศาสนาทา นหมายคนอยา งนน้ั วา “บัณฑิต” สว น “บณั ฑติ ภายใน” ไดแ กค วามคดิ อบุ ายวธิ ตี า งๆ ที่จะเปนไปเพื่อคุณงาม ความดแี กต นและผอู น่ื นับแตพ ืน้ ความคิดเหน็ อนั เปนเหตจุ ะใหเกดิ คณุ งามความดี จน กระทั่งถึงสติปญญาที่จะถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจเปนลําดับๆ เปน ขน้ั ๆ ของสติ ปญญา เรียกวา “บณั ฑติ , นกั ปราชญ” เปน ชน้ั ๆ ไปจนถึงขั้น “มหาบณั ฑติ ” ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๗

๗๘ “มหาบณั ฑติ ” ไดแ กท า นผทู รงมหาสตมิ หาปญ ญานน่ั แล เลยขน้ั “มหาบณั ฑติ ”ไปแลว กถ็ งึ “วิมุตต”ิ เรยี กวา “จอมปราชญ” หรือ “อคั รมหาบณั ฑติ ” เลยขน้ั มหาบณั ฑติ ไปแลว กเ็ ปน “จอมปราชญ” ไดแ กผ เู ฉลยี วฉลาดรอบตวั ภายในใจ คือพระอรหันต สิ้นกิเลสอาสวะโดยประการทั้งปวง นี่เปน มงคลอนั สงู สดุ ทัง้ สองอยาง คือ “อเสวนา จ พาลานํ” ไมใ หค บคนพาลภายนอก ทง้ั คนพาลภายใน “ปณฺฑิตานฺจ เสวนา” ใหค บบณั ฑติ นกั ปราชญผ เู ฉลยี วฉลาดทง้ั ภายนอกและภายใน พยายามฝก ตวั ใหม คี วามเฉลยี วฉลาดทนั กบั เหตกุ ารณต า งๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดสง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอ ใจของ ตนน้ี เรยี กวา “บัณฑิต นกั ปราชญ” ใหค บผนู ้ี เพื่อจะไดสั่งสมสงเสริมความเปน ปราชญใหมกี ําลงั มากข้นึ โดยลําดบั ๆ เพราะอาศยั ทา นผดู มี สี ตปิ ญ ญาฉลาด “เอตมฺมงฺ คลมุตฺตม”ํ เปน มงคลอนั สงู สดุ อกี ขอ หนง่ึ อกี ขอ หนง่ึ ทา นกลา ววา “สมณานจฺ ทสสฺ นํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตม”ํ การเห็น สมณะผสู งบกายวาจาใจ เปนมงคลอันสูงสุดเชนเดียวกัน คาํ วา “สมณะ” ตามหลกั ธรรมทท่ี านแสดงไว มี ๔ ประเภท “สมณะที่ ๑ ไดแก พระโสดาบัน สมณะที่ ๒ ไดแ ก พระสกทิ าคามี สมณะที่ ๓ ไดแ ก พระอนาคามี สมณะที่ ๔ ไดแ ก พระอรหันต การเหน็ สมณะเหลา นช้ี อ่ื วา เปน มงคลอนั สงู สดุ นเ่ี ปน มงคลขน้ั หนง่ึ เปน สมณะ ขน้ั หนง่ึ ๆ จากภายนอก ทีนี้เราพยายามทําใหแจงซึ่งมรรคผลทั้งสี่นั้น หรือสมณะทั้งสี่นั้น ไดแกพระ โสดา สกทิ า อนาคา อรหตั ผล ขน้ึ ภายในจติ ใจของตน นี้ชื่อวาเปนผูทําใหแจงซึ่งมรรค ผลทั้ง ๔ รวมเปน ๘ เปนมงคลอันสูงสุด ในมงคลสตู รทท่ี า นแสดงไวน ม้ี แี ตธ รรมสาํ คญั ๆ ทั้งนั้น แตมแี ยกดงั ทว่ี า นี้ จง แยกแยะพจิ ารณาขา งนอกพจิ ารณาขา งในเทยี บเคยี งกนั เทวดาทง้ั หลายมปี ญ หาถกเถยี งกนั อยถู งึ ๑๒ ป ไมม ใี ครสามรถแกป ญ หานไ้ี ด เลย จึงพากันมาทูลถามปญหานี้กับพระพุทธเจา โดยที่ทราบวาพระพุทธเจาไดตรัสรูขึ้น แลว ในโลก และเปน ผสู ามารถชแ้ี จงอรรถธรรมหรอื ปญ หาในแงต า งๆ ใหเปนที่เขาใจ แกผูของใจทั้งหลาย จึงไดพากันมาทูลถามพระพุทธเจา ตามมงคลสูตรที่ทานยกไวเบ้อื ง ตน แตเ วลาทท่ี า นสวดมนตท า นยกเอาตง้ั แต “อเสวนา จ พาลานํ”เรื่อยมาเลย ไม ไดก ลา วถงึ เรอ่ื งเทวดาทง้ั หลายจากโนน จากนม้ี ากมาย มาเฝาพระพุทธเจาทูลถามปญหา ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๘

๗๙ ทา นตดั ออกเสยี หมด เอาแตเ นอ้ื ๆ คือมงคลสูตร ๓๘ ประการนี้ เปนคุณแกทั้งเทวดา และมนุษยท้งั หลายจนกระทัง่ ทุกวนั น้ี เราจึงควรเจริญมงคลสูตรนี้ สตู รใดกต็ ามเปน ทแ่ี นใ จ หรือเปนท่ีสนทิ กบั จรติ นิสยั ดงั ที่กลาวใน ๒-๓ บท เบ้ืองตน นั้นวา “ไมค บคนพาลและใหค บบณั ฑติ , การเหน็ สมณะใหป รากฏขน้ึ ภายใน จิตใจ ชอ่ื วาเปนผูทรงคณุ ธรรมอนั สงู สดุ ไวภายในใจ คาํ วา “เทวดา” ตั้งแตวันเกิดมาเราไมเคยรูเคยเห็น คิดดูซิมนุษยดวยกัน แม พระพุทธเจาก็เปนมนุษยคนหนึ่ง สาวกอรหตั อรหนั ตท า นกเ็ ปน มนษุ ยค นหนง่ึ ๆ แต ทําไมทานสามารถรูเห็นเทวดา จนถึงกับแนะนําสงั่ สอนเทวดาใหไ ดสําเรจ็ มรรคผล นพิ พานเปน จํานวนลา นๆ ไมใชทําธรรมดา! บางเรอ่ื งกลา วไวใ นสตู รตา งๆ วา “เทวดามาฟงเทศนพระพุทธเจาไดสําเร็จ มรรคผลนิพพานเปนโกฏิๆ แลวไมใชเพียงแตเทศนวันหนึ่งวันเดียว เทศนจนกระทั่ง พระองคปรินิพพาน ฟง “พทุ ธกจิ ” ทา นแสดงไวว า “อฑฺฒรตฺเต เทวปหฺ ากํ” ตง้ั แตห กทุม ลวงไปแลว ทรงแกป ญ หาหรอื แนะนาํ สง่ั สอนเทวดาชน้ั ตา งๆ ทม่ี าทลู ถาม ปญหา ทา นถอื เทวดาเหมอื นกบั มนษุ ยท ง้ั หลาย สอนเทวดาเหมอื นกบั สอนมนษุ ยท ง้ั หลายนเ่ี อง ทานถือเปนธรรมดาธรรมดาเชนเดียวกับเรามองเห็นคนทั่วไปโดยธรรมดา พระพุทธเจาทรงมองเห็นพวกเทวบุตรเทวดาชั้นตางๆ ประจักษดวยพระญาณของพระ องคค อื ตาทพิ ย เชนเดียวกับเรามองเห็นสิ่งตางๆ หรือมนุษยสัตวทั้งหลายดวยตาเนื้อ ของเรา แตเมื่อเราไมมีตาทิพยเหมือนพระพุทธเจา ไมส ามารถมองเหน็ เทวดาทง้ั หลาย จงึ กลายเปน ปญ หาโลกแตกอยา งทกุ วนั น้ี ที่พระพุทธเจาแสดงอยางนั้นดวยพระจักขุ ญาณของพระองค กับทเี่ รามาดนเดาและคาดคะเนดวยความมืดบอดของเรา จึงเปนที่ นาสลดสังเวชอยางยิ่งทีเดียว นแ่ี หละระหวา งคนตาดกี บั คนตาบอด ระหวา งคนโงก บั คนฉลาด มนั ผดิ กนั อยา ง น้ี ทั้งๆ ทเ่ี ปน มนษุ ยด ว ยกนั กต็ าม พระองคสามารถสอนเทวดาอินทรพรหมยมยักษ ตลอดถึงสัตวนรก เปรต อมนุษยมนา ไมม ีจํากดั ขอบเขตมมี ากมายกา ยกอง พุทธภาระ จึงหนักมากสําหรับพระพุทธเจา ตามพทุ ธวสิ ยั คอื วสิ ยั ของพระพทุ ธเจา ทท่ี าํ ประโยชน แกโ ลก พวกเราเปน คนหหู นวกตาบอด ไมสามารถมองเห็นทั้งเทวบุตรเทวดาอินทร พรหมอะไรตออะไร แมท ีส่ ดุ จะสง่ั สอนตวั เองก็ยงั ไมได แลว เราจะเอาความรอู นั มดื บอดนี่ไปเทียบกับพระพุทธเจาหรือ? ขอนี้จะเปนไปไดอยางไร พระพุทธเจาทรงมีพระ ภาระมากขนาดไหน ยงั สามารถนําภาระน้นั ไปไดตลอดทวั่ ถึงจนกระท่ังวันปรินิพพาน ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๗๙

๘๐ ไมม ภี าระของผใู ดทจ่ี ะหนกั หนายง่ิ กวา “พุทธกิจ-พุทธภาระ” ของพระพุทธเจาแตละ พระองค พระพุทธเจาเปน “พุทธวิสัย” ของศาสดา นาํ พทุ ธภาระไปไดตลอดทั่วถงึ สาํ หรบั พวกเราไมม คี วามสามารถอยา งทา น แมแ ตจ ะสง่ั สอนตนเพยี งคนเดยี วก็ ยงั ลม ลกุ คลกุ คลาน ใหก เิ ลสตณั หาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย ขี้รดเยี่ยวรดวันยังค่ําคืนยังรุง บาง ทีเดนิ จงกรมมนั ก็ขร้ี ดบนหัวอยทู ีห่ ัวทางจงกรม นอนภาวนามนั กข็ ร้ี ดเยย่ี วรดอยทู น่ี อน นน่ั คนทง้ั คนกลายเปน “สว ม” ! เปน “ถาน” ของกเิ ลสตณั หาทกุ อริ ยิ าบถดว ยความ ไมมีสติ พิจารณาซี ดูมันตางกันไหม? พระพทุ ธเจา กบั พวกเราชาวสว มชาวถานของ กเิ ลสนะ ! ถาหากจะพิจารณาแลว นําคติทานมาเปนประโยชน เปนคติเครื่องพร่ําสอนตัว เองใหเกิดประโยชนจากธรรมที่กลาวมานี้ได มบี ทสาํ คญั อยวู า พระพุทธเจาทําไม สามารถสั่งสอนพระองคได แลว เปน ครขู องสตั วโ ลกทง้ั สามโลกธาตโุ ดยตลอดทว่ั ถงึ แต เราจะสามารถสอนตัวเรา และแกก ิเลสตัณหาอาสวะซึ่งมอี ยูภายในใจเราเพยี งดวงเดียว เทา นน้ั ทําไมจะทําไมได ทาํ ไมจะปลอ ยตวั ใหก เิ ลสตณั หาอาสวะทง้ั หลายขร้ี ดเยย่ี วรด อยทู ้งั วันทั้งคนื ยืนเดินนง่ั นอน ตั้งแตเล็กจนถึงเฒาแกชรา ตายไปกบั ขก้ี บั เยย่ี วของ กิเลสคละเคลาเต็มตัวมีอยางเหรอ! มนั สกปรกขนาดไหนกเิ ลสอาสวะนะ แลวทําไมให มันขี้รดเยี่ยวรดเราอยูตลอดเวลา เราไมมีความขยะแขยงตอมันบางเหรอ? เพียงเราคนเดียวก็ยังเอาตัวแทบไมรอด กย็ งั นอนยงั นง่ั ใหก เิ ลสตณั หาอาสวะมนั ขี้รดเยี่ยวรดตลอดมาในอิริยาบถทั้งสี่ ยงั จะเปน สวมเปนถานมันอยูอีกหรอื ? ควร พิจารณาตัวเอง นเ่ี ปน คตอิ นั สาํ คญั ทเ่ี ราจะนาํ มาใชส าํ หรบั ตวั เอง กเิ ลสมนั มอี าํ นาจ วาสนาขนาดไหน พระพุทธเจา พระสาวกอรหัตอรหันต หรือพุทธบริษัททั้งหลายตั้งแต ครั้งพุทธกาล ทา นกเ็ ปน คนๆ หนง่ึ แตทําไมทานปราบมันได เอามันมาเปนสวมเปน ถานได ขี้เยี่ยวรดมันได ทําไมเราจะทําไมได? คิดคนจับมันฟดมันเหวี่ยงดวยสติปญญา ศรัทธาความเพียร จนมันกลายเปนสวมเปนถานของเราเสียทีไมดีหรือ? เอา พยายามมองดู มองไปทางไหนกม็ แี ตห อ งนาํ้ หอ งสว มของกเิ ลส มันกน็ า สลดสังเวชเหมือนกัน เอา ฟตตัวใหดี แกใ หไดก ับมือ วนั นม้ี นั อยทู ไ่ี หนกเิ ลสนะ ?มนั อยู ทห่ี ัวใจเราน!่ี ไมไดอยูตรงไหน แตว า เรามกั จะเขา ใจวา กเิ ลสมนั เปน เพอ่ื นสนทิ ของ เรา และเปนเราเสียทั้งหมด นแี่ หละ! ทม่ี นั แกไ มต ก เพราะเห็นวากิเลสมันเปนเรา จึง ไมก ลา แตะตอ งทาํ ลายมนั กลวั จะเปน การทาํ ลายตนทร่ี กั สงวนมากไปดว ย ถา ถอื วา กเิ ลสเปน กเิ ลสและกเิ ลสเปน ภยั แลว ก็มีทางแกไขได หาอบุ ายพจิ ารณา แกไขตัวเองใหได พดู ถงึ การแกก ไ็ มม อี ะไรทจ่ี ะแกย ากยง่ิ กวา แกก เิ ลส กเิ ลสคอื อะไร? กค็ อื ความโลภ ความโกรธ ความหลง เปน ตน นน่ั แล ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๘๐

๘๑ มนษุ ยเรามหี วั ใจ สตั วม หี วั ใจ ทําไมจะไมอยากไดอยากมี ทําไมจะไมอยากโลภ “เมืองพอ” ของความโลภมันมีที่ไหน “เมืองพอ” ของความโกรธมันมีที่ไหน? “เมือง พอ”ของความหลงมันมีที่ไหน? มันไมมีขอบเขต มนั กวา งขวางยง่ิ กวา แมน าํ้ ทอ งฟา มหาสมุทร เพราะฉะนน้ั มนั จงึ แกย าก เพราะมันกวางแสนกวางจึงเปนของแกไดยาก แต ถงึ กวา งขนาดไหนกต็ าม รากฐานของสิง่ เหลาน้ีมนั ก็อยูท่ใี จดวงเดยี วนเี้ ทา นน้ั ประมวล ลงมาฆาที่ตรงน!ี้ ตดั รากแกว ของมนั ออกทต่ี รงนแ้ี ลว มนั กต็ ายไปหมด เชน เดียวกบั ตน ไมท ถ่ี กู ถอนรากแกว แลว ตอ งตายถา ยเดยี วฉะนน้ั ! ความโลภ ความโกรธ ความหลง กง่ิ กา นสาขาของมนั แตกกง่ิ แตกกา น แตกใบ แตกดอก แตกผลออกไปมากมายเพยี งใดกต็ าม มันขึน้ อยกู ับตน ของมัน มันมีตนมี อาหารที่หลอเลี้ยงมันจึงเจริญเติบโต แตกกง่ิ แตกกา นออกไปได แตถ า พยายามตดั สง่ิ สําคัญๆ ของมนั ซง่ึ มอี ยภู ายในจติ ใจออกแลว มันจะไมมีทางแผกระจายไปไดมากมาย ดังที่เคยเปนมา จะคอ ยอบั เฉาหรอื คอ ยยบุ ยอบตายลงไปโดยลาํ ดบั จนกระทั่งตายหมด โดยสน้ิ เชงิ หลงั จากถอนรากแกว คอื “อวชิ ชา” ออกหมดแลว ดว ยอาํ นาจของ “มหา สติ มหาปญ ญา ศรัทธาความเพียร” ไมม อี ยา งอน่ื ทจ่ี ะยง่ิ ไปกวา ธรรมดงั กลา วน้ี ซึ่ง เหมาะสมอยา งยง่ิ กบั การฆา กเิ ลสทง้ั สามประเภทอนั ใหญโ ตนใ้ี หห มดไปจากใจ คาํ วา “สมณะที่ ๑, ที่ ๒, ที่ ๓ ที่ ๔” จะปรากฏขน้ึ มาเปน ลาํ ดบั ๆ และปรากฏ ขึ้นมาอยางแจงชัดประจักษใจเปน “สนฺทิฏฐิโก” รูเองเห็นเอง ในวงผปู ฏบิ ตั โิ ดยเฉพาะ “ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ” ทานผูรูทั้งหลายจะไมรูที่อื่น จะรูขน้ึ กับตวั เองนด้ี ว ยกัน ทั้งสิ้น เพราะธรรมะทานวางไวเปนสมบัติกลาง นี่เปนจุดที่จะตัดกิเลสอาสวะทั้งหลาย ตองสูมัน! เวลานี้เราไดสติสตังมาพอสมควรแลว ไดรับการอบรมจากอรรถจากธรรม ไดศ กึ ษาเลา เรยี นมาพอสมควร ไดฟ ง โอวาทจากครอู าจารยม าพอสมควร ปญ หาอนั ใหญก ค็ อื เรอ่ื งของเราทจ่ี ะฟต ตวั ใหม สี ตปิ ญ ญาทนั กบั กลมายาของกเิ ลส ซ่ึงมีรอยเลห  พนั เหลย่ี มรอ ยสนั พนั คมภายในใจ ใหขาดลงไปโดยลําดับๆ กเิ ลสขาดลงไปมากนอ ย ความสขุ ความสบายกค็ อ ยปรากฏขน้ึ มาภายในใจ ความเยน็ ใจนเ้ี ยน็ ยง่ิ กวา สง่ิ ทง้ั หลายเยน็ สขุ ใจสกุ ไมม งี อม สุกไมมีเปอยมีเนา สขุ อยา ง สม่ําเสมอ สขุ สดุ ยอด จึงเปน “สขุ อกาลโิ ก”ไมมีสลายเปลี่ยนแปลงไปไหน เปน ความ สุขที่ยอดเยี่ยมคงเสนคงวา ไมมีสมมุติใดมาทําลายไดอีก นแ่ี หละทท่ี า นเรยี กวา “ความ สุขของนักปราชญ” พระพุทธเจาทานทรงคนพบความสุขประเภทนี้ สาวกอรหตั อรหนั ตท ง้ั หลาย ทานก็คนพบความสุขประเภทนี้ ทานจึงปลอยวางความสุขสมมุติโดยประการทั้งปวง ที่ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๘๑

๘๒ เคยเกี่ยวของกันมา ไมเพียงแตสุข ทุกขก็ปลอยโดยสิ้นเชิงเชนเดียวกัน เปน ผูหมดหวง ใยหมดปาชา ไมต อ งมาวนเวยี นตาย-เกดิ กนั ไมห ยดุ ไมถ อยในกาํ เนดิ ตา งๆ ภพนอ ย ภพใหญที่เรียกวา “วฏั วน”วนไปวนมา ตัดกงจักร “วฏั วน” นอ้ี อกจากใจเสยี ได เปน ความสขุ เปน ความสบายอนั ลน พน นค่ี อื ความสขุ ของมนษุ ยแ ท สมกบั ภมู ขิ องมนษุ ยท ม่ี คี วามเฉลยี วฉลาด เจอ ความสขุ นแ้ี ลว สง่ิ ใดๆ ก็ปลอยไปหมด นใ่ี นธรรมบททว่ี า “สมณานจฺ ทสฺสน”ํ ก็เขา ในจติ ดวงน้ี แม “นพิ ฺพานสจฺฉกิ ริ ิยาจ เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ ก็เชนเดียวกัน การทําพระ นพิ พานใหแ จง คือเวลานี้พระนิพพานถูกปดบังดวยกิเลสประเภทตางๆ จนมืดมิดทั้ง กลางวนั กลางคนื ไมม คี วามสงา ผา เผยขน้ึ ภายในจติ ใจแมน ดิ หนง่ึ เลย พระอาทิตยแมจะถูกเมฆปดบัง แสงสวางสองมาไมเต็มที่เต็มฐานไดก็ตาม แต เปน บางกาลบางเวลา ยอมมีการเปดเผยตัวออกไดอยางชัดเจน ทเ่ี รยี กวา “ทองฟา อากาศปลอดโปรง ” จิตใจของเราท่ถี กู กเิ ลสหมุ หอ ปดบังอยูน้ี ไมมีวันปลอดโปรงได เลย มืดมิดปด ตาอยอู ยางน้ัน นน่ั แหละทา นวา “ใหทาํ พระนพิ พานใหแ จง” พระ นิพพานก็หมายถึงจิตนั้นเองไมไดหมายถึงอะไรอื่น ที่พระนิพพานยังแจงไมไดก็เพราะ สง่ิ ปด บงั ทง้ั หลายคอื กเิ ลสน้ี ซึ่งเปรียบเหมือนกอนเมฆปดบังพระอาทิตย เมอื่ ชําระดว ย ความเพยี รมสี ติปญญาเปน ผบู กุ เบกิ แลว พระนิพพานซึ่งเปนตัวจิตลวนๆ นน้ั กค็ อ ย แสดงตัวออกมาโดยลําดับ จนกระทั่งทําพระนิพพานแจงอยางประจักษ นก่ี ็ “เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ ม”ํ เปน มงคลอนั สงู สดุ ไมม มี งคลอันใดในโลกน้ีจะสูง ย่ิงกวา การพบสมณะสดุ ทายคือพระอรหัต และการทําพระนิพพานใหแจง คอื ถงึ ความ บรสิ ุทธิข์ องใจ น่ีเปน มงคลอันสงู สดุ ทําใหประจักษกับใจเราเอง ทั้งจะไดรูชัดเจนวา ศาสนาของพระพทุ ธเจา นน้ั นะ สอนโลกอยา งปาวๆ เลนๆ หรอื วา สอนจรงิ ๆ หรือ ใครเปน คนเลน ใครเปนคนจริง โอวาทเปน ของเลน หรอื ผฟู ง ผถู อื เปน คนเลน หรือ อะไรจริงอะไรไมจริง พิสูจนกันที่หัวใจเรา นาํ โอวาทนน้ั แหละเขา มาพสิ จู น เปนเครื่อง มือเทียบเคียงวาอะไรจริงอะไรปลอมกันแน เมอ่ื ธรรมชาตนิ จ้ี รงิ ขน้ึ มาลว นๆ ทใ่ี จแลว ตําราธรรมของพระพุทธเจา แมที่ เขียนเปนเศษกระดาษซึ่งตกอยตู ามถนนหนทางยังไมก ลาเหยยี บย่าํ เพราะนั่นเปนคํา สอนของพระพุทธเจา เหยียบไมลง เพราะลงไดเคารพหลักใหญแลว ปลกี ยอ ยกเ็ คารพ ไปหมด พระพุทธรูปก็ตาม จะเปน อะไรกต็ ามทเ่ี กย่ี วกบั “พุทธ ธรรม สงฆ” แลว กราบอยา งถงึ ใจเพราะเชอ่ื หลกั ใหญแ ลว ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๘๒

๘๓ หลกั ใหญค อื อะไร? คอื หวั ใจเราถงึ ความบรสิ ทุ ธ์ิ เพราะอํานาจแหงธรรมคําสั่ง สอนของพระพุทธเจาเปนเครื่องชี้แจงแสดงบอกแนวทางใหรูทั้งเหตุและผล จึงเคารพ ไปหมด ดงั ทา นอาจารยม น่ั เปน ตวั อยา งในสมยั ปจ จบุ นั ในหอ งนอนใดทถ่ี กู นมิ นตไ ปพกั ถา มหี นงั สอื ธรรมะอยตู าํ่ กวา ทา น ทานจะไม ยอมนอนในหอ งนน้ั เลย ทา นจะยกหนงั สอื นน้ั ไวใ หส งู กวา ศรี ษะทา นเสมอ ทานจึงยอม นอน “นี่ธรรมของพระพุทธเจา เราอยูดวยธรรม กินดวยธรรม เปนตายเรามอบกับ ธรรม ปฏิบัติไดรูไดเห็นมากนอยเพราะธรรมของพระพุทธเจาทั้งนั้น เราจะเหยียบย่ํา ทําลายไดอยางไร! ทานวา “เอาธรรมมาอยตู าํ่ กวา เราไดอ ยา งไร!” ทา นไมย อมนอน ยกตวั อยา งทท่ี า นมาพกั วดั สาลวนั เปน ตน ในหอ งนน้ั มหี นงั สอื ธรรมอยู ทา นไมย อม นอน ใหข นหนงั สอื ขน้ึ ไวท ส่ี งู หมด นแ่ี หละ! ลงเคารพละตอ งถงึ ใจทกุ อยา ง” เพราะ ธรรมถึงใจ ความเคารพ ไมวาจะฝายสมมุติไมวาอะไรทานเคารพอยางถึงใจ ถึงเรียกวา “สดุ ยอด” กราบพระพุทธรูปก็สนิท ไมม ใี ครทจ่ี ะกราบสวยงามแนบสนทิ ยง่ิ กวา ทา น อาจารยมั่นในสมยั ปจจบุ ันนี้ เห็นประจักษดวยตากับใจเราเอง ความเคารพในอรรถใน ธรรมก็เชนเดียวกัน แมแตรูปพระกจั จายนะ ทอ่ี ยใู นซองยาพระกจั จายนะ พอทานไดมา “โอโห ! พระกัจจายนะเปนสาวกของพระพุทธเจาน!ี่ ทา นรบี เทยาออก เอารปู เหนบ็ ไว เหนอื ทน่ี อนทา น ทา นกราบ “นอ่ี งคพ ระสาวก นี่รูปของทาน” นน่ั ! “มคี วามหมายแค ไหนพระกัจจายนะ จะมาทําเปนเลนอยางนี้ไดเหรอ?” แนะ ! ฟงดูซิ นแ่ี หละเมอ่ื ถงึ ใจแลว ถงึ ทกุ อยา ง เคารพทกุ อยา ง บรรดาสิ่งที่ควรเปนของ เคารพทานเคารพจริง นั่น ทา นไมไ ดเ ลน เหมอื นปถุ ชุ นคนหนาหรอก เหยียบโนน เหยยี บนเ่ี หมอื นอยา งพวกเราทง้ั หลาย เพราะไมรูนี่ คอยลบู ๆ คลาํ ๆ งูๆ ปลาๆ ไปใน ลกั ษณะของคนตาบอดนน้ั แล ถาคนตาดแี ลว ไมเ หยยี บ อนั ไหนจะเปน ขวากเปน หนาม ไมยอมเหยียบ สิ่งใดที่จะเปนโทษเปนภัยขาดความเคารพ ทา นไมย อมทาํ นกั ปราชญ ทา นเปน อยา งนน้ั ไมเหมอื นคนตาบอดเหยียบดะไปเลย โดยไมค าํ นงึ วา ควรหรือไมค วร (เสียงเครื่องบินดังไมหยุด ทา นเลยหยดุ เทศน) <<สารบัญ ธรรมชดุ เตรยี มพรอ ม ๘๓

๘๔ เทศนโปรดคุณเพาพงา วรรธนะกลุ ณ วดั ปา บา นตาด เมื่อวันที่ ๗ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๘ กิเลสกดถวงจิต โดยปกติอากาศภายนอกไมรบกวนประสาท เสียงตางๆ ไมมีประสาทก็สงบไม มีการกระทบกระเทอื นกนั การกระทบกระเทือนเปนสาเหตุใหเกิดทุกขดานจิตใจและ สว นรา งกาย ความสงบสงดั ภายในกไ็ มก วนใจ นอกจากเปน “คณุ ” แกใจโดยถายเดียว ใจทีไ่ มส งบกเ็ พราะมสี ง่ิ รบกวนอยูเสมอ ความถกู รบกวนอยเู สมอ ถา เปน นาํ้ กต็ อ งขนุ นาํ้ ถา ถกู กวนมากๆ ก็ขุนเปนโคลนเปนตมไปเลย จะอาบดม่ื ใชส อยอะไรกไ็ มส ะดวกทง้ั นน้ั เพราะน้ําเปนตมเปนโคลน จิตใจที่เปนเชนนั้นก็แสดงวา ใหประโยชนแกตนไมได ขณะทถ่ี กู รบกวนจนถงึ เปน ตมเปน โคลนอยภู ายในจติ ใจ ตอ งแสดงความรุม รอนใหเจา ของไดรบั ความทกุ ข มากเอาการ ผลของมนั ทาํ ใหเ ปน ความทกุ ขค วามลาํ บาก เราจะเอาความทุกขความ ลาํ บากนไ้ี ปใชป ระโยชนอ ะไรเลา ? เพราะความทกุ ขค วามลาํ บากภายในจติ ใจน้ี โลกกลวั กนั ทง้ั นน้ั แลวเราจะเอาทุกขนี้ไปทําประโยชนที่ไหนได ! ไมกลวั กบั โลกผูดีและปราชญ ผแู หลมคมทา นบา งหรอื ? การแกไ ขเพอ่ื ไมใหมอี ะไรกวนใจกค็ อื การระวังดวยสติ ถา จติ สงบกส็ บาย เชน เดียวกับน้ําทไี่ มมอี ะไรรบกวน ตะกอนแมจ ะมอี ยกู น็ อนกน ไปหมดเพราะนาํ้ นง่ิ ไมถ กู รบ กวนบอ ยๆ ยอ มใสสะอาด พระพุทธเจาผูประทานธรรมไว ทรงถอื เปน สาํ คญั อยา งยง่ิ สาํ หรบั ใจในอนั ดบั แรก ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกในขณะที่ตรัสรูใหมๆ ก็เล็งญาณดูจิตใจ ไมใชเล็งญาณดู ความรูวิชา ฐานะสูงต่ํา ความมง่ั มดี จี นของสตั วโ ลกทว่ั ๆ ไปเลย แตทรงเล็งญาณดูจิตใจ เปนสําคัญ เชน ผูควรจะไดบรรลุมรรคผลนิพพานในระยะรวดเร็ว และจะมีอันตรายมา ทาํ ลายชวี ติ ในเวลาอนั สน้ั กม็ ี หรือผูมีอุปนิสัยที่ควรจะบรรลุมรรคผลนิพพานไดและไม มีอันตรายก็มี เหลานี้ลวนแตทรงถือเรื่องจิตเปนสําคัญ เลง็ ญาณกเ็ ลง็ ดจู ติ ของสตั วโ ลก วาควรจะไดบรรลุหรือไม หรือไมควรรับธรรมเลย เปนจําพวก “ปทปรมะ” คอื มดื บอด ทง้ั กลางวนั กลางคนื ยนื เดนิ นง่ั นอน เรยี กวา “มืดแปดทิศแปดดาน” ไมม กี าลสถานท่ี เขามาเปด เขา มาเบกิ ความมดื นน้ั ออกไดเ ลย มืดมิดปดตาอยูภายในจิตใจ ประเภทที่ เปนเชนนี้พระองคทรงทราบ และ “ชกั สะพาน” คือไมทรงสั่งสอนอะไรทั้งสิ้น ถา เปน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘๔

๘๕ โรค กค็ อื โรคหมดหวงั แตหมอก็ยังตองรักษาโดยมารยาทดวยมนุษยธรรม จึงยังตอง ใหอ อกซเิ จนหรอื ยาอะไรๆ ไปบา งตามสมควรจนกวา จะถงึ กาล สวนพระพุทธเจาไมทรงสั่งสอน เพราะเปนประเภทหมดหวังโดยสิ้นเชิงแลว ที่ เรียกวา “ปทปรมะ” คอื ประเภททไ่ี มม ที างแกไ ขเยยี วยา รอเวลาความตายอยเู พยี ง เทา นน้ั ประเภทนี้เปนประเภทที่มืดบอดที่สุด พระองคก็ทรงทราบ ทราบที่จิตใจนั้น เองไมทราบทีอ่ น่ื เพราะทรงมุง ตอ จิตใจเปน สําคัญ ศาสนาวางลงทจ่ี ติ ใจของมนษุ ยเ ปน สาํ คญั ยง่ิ กวา สง่ิ ใดในโลกน้ี “ประเภท อุคฆฏิตัญู” ที่จะรูธรรมไดอยางรวดเร็ว เมื่อพระองคประทาน ธรรมะเพียงยอๆ เทานัน้ พระองคก็ทรงทราบ และรองลงมาประเภท “วปิ จติ ญั ู” ก็ ทรงทราบ และทรงสัง่ สอนธรรมะทีค่ วรแกอุปนสิ ยั ของรายนน้ั ๆ “เนยยะ” คอื ผทู ต่ี อ ง สง่ั สอนหลายครง้ั หลายหน คอื ผทู ี่พอแนะนาํ สงั่ สอนได พอจะนําไปได ฉุดลากไปได พูดงายๆ “เนยยะ” กแ็ ปลวา พวกทจ่ี ะถไู ถไปไดน น่ั เอง พระองคก็ทรงสั่งสอน ผนู น้ั ก็ พยายามปฏบิ ตั ติ นในทางความดไี มล ดละปลอ ยวาง กย็ อ มเปน ผลสาํ เรจ็ ได สว น “ปทปรมะ” นน่ั หมดหวงั ถงึ จะลากไปไหนกเ็ หมอื นลากคนตาย ไมมี ความรสู กึ อะไรเลย ทัง้ ใสร ถหรอื เหาะไปในเรอื บิน กค็ อื คนตายนน่ั แล ไมเกิดผล ประโยชนอะไรในทางความดี ตลอดมรรคผลนิพพาน คนประเภทนี้เปนคนที่หมดหวัง ทั้งๆ ทีย่ งั มชี ีวติ อยู ไมส นใจคดิ และบาํ เพญ็ ในเรอ่ื งบญุ บาป นรก สวรรค นพิ พาน ไม สนใจกบั อะไรเลยขน้ึ ชอ่ื วา “อรรถ” วา “ธรรม” นอกจากตง้ั หนา ตง้ั ตาสง่ั สมบาปนรก ใสหัวใจใหเต็มจนจะหายใจไมออก เพราะอดั แนน ดว ยเชอ้ื ไฟนรกเทา นน้ั เพราะนั่นเปน งานของคนประเภทนั้นจะตองทํา เนอ่ื งจากใจอยเู ฉยๆ ไมได ตองคิดปรุงและทํางาน พระองคทรงทราบหมดในบุคคลสี่จําพวกนี้ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกเปนประจาํ ตาม “พุทธกจิ หา ” ซึ่งเปนกิจของพระพุทธเจาโดยเฉพาะ ในพทุ ธกจิ หา ประเภทนน้ั มกี ารเลง็ ญาณตรวจดอู ปุ นสิ ยั ของสตั วโ ลกเปน ขอ หนง่ึ ที่พระองคทรงถือเปนกิจสําคัญ วา ใครทข่ี อ งตาขา ยคือพระญาณของพระองค และควรเสด็จไปโปรดกอน กอ นที่ ภยันตรายจะมาถึงรายนั้นๆ ในไมชา ทั้งนี้หมายถึงจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้น “จิต” จึง เปน ภาชนะสําคัญอยา งยง่ิ ของธรรมทงั้ หลาย และจติ เปน ผบู งการ “จติ เปน นาย กาย เปน บา ว” จิตไดบงการอะไรแลว กายวาจาจะตองหมุนไปตามเรื่องของใจผูบงการ เพราะฉะนั้นทางโลกเขาจึงสอน “นาย” หวั หนา งานเสยี กอ น สอนหวั หนา งานใหเ ขา อก เขา ใจในงานแลว กน็ าํ ไปอบรมลกู นอ งใหด าํ เนนิ ตาม ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘๕

๘๖ ฝา ย “ธรรม” เมื่อสั่งสอน “ใจ” ผูเปนหัวหนาใหเปนที่เขาใจแลว ใจก็ยึดมา รกั ษากายวาจาของตน ใหดําเนินไปตามรอ งรอยแหง ธรรมทใี่ จไดรับการอบรมสัง่ สอน มาแลว การปฏบิ ัตติ ัวก็เปนไปเพือ่ ความราบรน่ื ช่ืนใจ ดังนั้นใจผูเปน ใหญเปนประธาน ของกายวาจา จึงเปนสิ่งสําคัญมากในตัวเรา พูดฟงงายก็วา แกน ของคนของสตั วท เ่ี ปน อยูกค็ ือใจตัวรูๆ อยใู นรา งกายนน้ั แล เปนตัวแรงงานและหัวหนางานทุกประเภท ใจจึง ควรรบั การอบรมดว ยดี ศาสนธรรมจงึ สง่ั สอนลงทใ่ี จ ซึ่งเปนภาชนะอันเหมาะสมแกธรรมทุกขั้นทุกภูมิ นบั แตข น้ั ตาํ่ จนถงึ ขน้ั สงู สดุ คือ “วิมุตติพระนิพพาน” ไหลลงรวมที่ใจแหงเดียว เราทุก คนมีจิตใจ มคี วามรอู ยทู กุ ขณะไมวา หลับตื่น ความรูนั้นมีอยูเปนประจําไมเคย อนั ตรธานหายไปไหนเลย เวลาหลบั สนทิ กไ็ มใ ชค นตาย ความหลบั สนทิ ผดิ กบั คนตาย ผรู กู ร็ วู า หลบั สนทิ ตื่นขึ้นมาเราพูดไดวา “หลบั ไมย งุ กบั สง่ิ นอกๆ ใจจึงราวกับกับไมรู อะไรในเวลาหลบั สนทิ แตค วามจรงิ นน้ั รู เวลาหลบั สนทิ กว็ า หลบั สนทิ ตื่นขึ้นมาเราพูด ไดวา “แหม คนื นห้ี ลบั สนทิ ดเี หลอื เกนิ ” บางคนถงึ กบั พดู วา “แหม เมอ่ื คนื นน้ี อน หลบั สนทิ เหมอื นตายเลย” มนั เหมอื นเฉย ๆ แตไ มต าย “ผูรู”อนั นเ้ี ปน อยา งนน้ั ละเอียดถงึ ขนาดนัน้ เทยี ว จะฝนหรือไมฝน พอตน่ื ขน้ึ มากพ็ ดู ไดถ า สญั ญาทาํ หนา ทใ่ี ห คอื ความจาํ นน้ั นะ ทาํ หนา ทใ่ี ห เรากจ็ ําไดและพูดได ถา “สญั ญา” คอื ความจาํ ไมอ าจทาํ หนาที่ได หลงลืมไปเสียแลว เราก็นําเรื่องราวในฝนมาพูดไมได สิ่งที่เปนไปแลวนั้นก็ เปนไปแลว รูไปแลว จําไดแลว แตม ันหลงลมื ไปแลว เทาน้นั กเ็ กีย่ วกับเร่อื งของความรู คอื ใจนน่ั เอง ใจเปน เชนน้ันแล ละเอียดมาก การนอนอยเู ฉยๆ ไมมผี ูร บั รเู ชน กบั คนตายแลว มนั จะไปทาํ งานทาํ การ ประสบ พบเหน็ สง่ิ นน้ั สง่ิ น้ี เปนเรื่องเปนราวใหฝนไปไดอยางไร มันเปนเรื่องของใจทั้งนั้นที่ แสดงตัวออกไปรูเรื่องตางๆ ใหเราจําไดในขณะที่ฝนและตื่นขึ้นมา “วนั นฝ้ี น เรอ่ื งนน้ั เรื่องนี้ แตจติ ทล่ี งสภู วงั คแ หง ความหลบั สนทิ อยา งเตม็ ทแ่ี ลว กไ็ มม ฝี น ชอ่ื วา “เขาสู ภวงั คแ หง ความหลบั สนทิ ” คอื ภวังคแ หงความหลับสนิททางจติ เปน อยางนี้ ถา คน หลบั สนทิ กช็ อ่ื วา ใจเขา สภู วงั คค วามหลับสนิทอยางเตม็ ที่ ก็ไมมีฝนอะไร ต่ืนขน้ึ มาราง กายกม็ กี าํ ลงั จิตใจก็สดใส ไมม คี วามทกุ ขค วามรอ นอะไร กาํ ลงั ใจกด็ ี ผดิ กบั การหลบั ไมสนิท ปรากฏเปน นมิ ติ ในฝน โนน นอ่ี ยา งเหน็ ไดช ดั เวลาหลับไปแลวฝนไปตางๆ น่ันคือจิตไมไดเ ขา สูภวังคแหงความหลับสนทิ จิต ออกเทย่ี ว เรๆ รอ นๆ ไป ปกตขิ องใจแลว หลบั กร็ ู คาํ วา “หลบั กร็ ”ู เปนความรใู น หลบั โดยเฉพาะ สตปิ ญ ญาไมเ ขา เกย่ี วขอ งในเวลานน้ั รูอยูโดยธรรมชาติ ไมเหมือน ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘๖

๘๗ เวลาตน่ื แตเ วลาต่ืนแลว สตปิ ญ ญามโี อกาสเขา ไปเกย่ี วขอ งไดท กุ ระยะ ถา มสี ติ คอยตามทราบความรอู นั นน้ั โดยลาํ ดบั ใจจะแย็บไปรูสิ่งใดก็ทราบ คนมสี ตดิ ยี อม ทราบทกุ ขณะจติ ทเ่ี คลอ่ื นไหว ไปรูเรื่องอะไรบาง หากไมม สี ติ มแี ตค วามรกู ไ็ มท ราบ ความหมายวา มันรูเร่อื งอะไรบาง ความไมม ีสติเปน เครอื่ งกาํ กับรักษาใจ จึงไมคอยได เรื่องอะไร ดังคนบา นน่ั เขาไมม สี ติ มแี ตค วามรคู อื ใจ กบั ความมดื บอดแหง โมหะ อวชิ ชาหมุ หอ โดยถายเดียว คิดจะไปไหนทําอะไร กท็ ําไปตามประสีประสาของคนไมมี สติปญ ญารบั ผดิ ชอบวาถูกหรอื ผดิ ประการใด ไมใชคนที่เปนบานั้นเปนคนตาย เขาเปน คนมีใจครองราง เขารเู หมอื นกนั เปนแตเพียงเขาไมรูดีรูชั่ว ไมรูผิดรูถูกอะไรเทานั้น เปนเพียงรูเฉยๆ คดิ อยากไปอยากมาอยากอยู อยากทาํ อะไรกท็ าํ ไปตามความอยาก ประสาคนบา ทไ่ี มม สี ตปิ ญ ญารบั ผดิ ชอบตวั เอง นแ่ี หละความรมู นั เปน อยา งนน้ั จติ มนั เปน อยา งนน้ั ถา ไมม สี ตริ กั ษาแลว จะไมรู เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องผิดเรื่องถูกอะไรเลย ไมมีการใครครวญเหตผุ ลตน ปลายลึกตื้น หยาบละเอียดอะไรไดเลย ถาไมมีสติปญ ญาแฝงอยใู นนน้ั เพียงความรูโดยลําพังก็เปน อยา งทว่ี านน้ั แหละ ยอ มกลายเปน คนบา คนบอไปไดอ ยา งงา ยดาย พอมสี ตขิ น้ึ มาคนบา กค็ อ ยหายบา เพราะมสี ตริ บั ทราบวา ผิดหรือถกู ตา ง ๆ ความรทู ว่ี า นไ้ี มใ ชค วามรทู บ่ี รสิ ทุ ธ์ิ เปนความรูของสามัญชนธรรมดา และยังลดลงไป จากความรขู องสามญั ชนตรงทไ่ี มม สี ตคิ อยกาํ กบั รกั ษา จึงไดเปนความรูประเภท บา ๆ บอๆ คือไมมีสติปญญาปกครองตน ไมมีอะไรรับผิดชอบเลย มีแตความรูโดย ลาํ พงั จึงเปนเชนนั้น ถา มสี ตสิ ตงั เปน เครอ่ื งกาํ กบั รกั ษาอยแู ลว ความรูนั้นจะเปนอยางนั้นไมได เพราะมผี ูคอยกระซบิ และชกั จูง มีผูคอยเรงคอยรั้งอยูเสมอ เหมือนกับรถที่มีทั้งคันเรง มีทั้งเบรกมีทั้งพวงมาลัย จะหมุนไปทางไหนก็ไดดวยสติดวยปญญาของคนขับ ทค่ี วบ คุมจิตและรถอยูตลอดเวลา สว นจติ ของทา นผถู งึ ความหลดุ พน แลว นน้ั ไมใ ชจ ติ ประเภทน!้ี ความรเู ฉยๆ ทว่ี า มกี เิ ลสแฝงนน้ั ทา นกไ็ มม ี เปนความรูท่บี รสิ ทุ ธิล์ ว นๆ จะวาทานมีสติหรือไมมีสติ ทา นกไ็ มเ สกสรร ทา นไมม คี วามสาํ คญั มน่ั หมายตามสมมตุ ใิ ดๆ หลกั ใหญก ค็ อื ความบรสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ เทานนั้ ซึ่งไมมีปญหาใดๆ เขาไปแทรกซึมเลย ทา นเปน คนพน สมมตุ หิ รอื นอกสมมตุ แิ ลว คาํ วา “ไมมีสติหรือขาดสต”ิ จึงไมเกี่ยวของกับจิตดวงนั้น ใชเ พยี งในวงสมมตุ พิ อถงึ กาลเทา นน้ั จิตของสามัญชนตองอาศัยสติปญญาเปนเครื่องรักษา จึงจะเปนไปในทางที่ถูกที่ ควรในกริ ยิ าอาการทแ่ี สดงออก กริ ยิ าทา ทางนน้ั ๆ ถา มสี ตปิ ญ ญาคอยควบคมุ อยกู น็ า ดู ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘๗

๘๘ สวยงาม การพูดการกระทําก็รูจักผิดรูจักถูก รูจักควรหรือไมควร รจู กั สงู รจู ักตาํ่ การพูด จาก็มีเหตุมีผล ทําอะไรก็มีเหตุมีผล หลกั ใหญจ งึ ขน้ึ อยกู บั สตแิ ละปญ ญาเปน สาํ คญั ในตวั คน เรานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา เราเปนชาวพุทธ คาํ วา “พุทธะ” หมายความวา อะไร ทว่ี า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” เปนพุทธอันเลิศโลก คอื พทุ ธะทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ พุทธะที่ประเสริฐ เราถือทานเปนผูประเสริฐ นอ มทา นผปู ระเสรฐิ เขา มาไวเ ปน หลกั ใจ มาเปนเครื่องยึด เครื่องพึ่งพิงอาศัย เราจงึ ควรระลกึ ถงึ ความรขู องเราอยเู สมอวา ขณะใดสตสิ ตงั ไม บกพรอ งไปไมม ี เวลานน้ั เราขาดสรณะ ขณะที่เราขาดสติประจําผูรูคือใจ แมความโกรธ กโ็ กรธมาก เวลาฉนุ เฉยี วกฉ็ นุ เฉยี วมาก เวลารกั กร็ กั มาก เวลาชังชังมากเกลียดมาก เพราะความไมมีสติรั้ง ถา มสี ตริ ง้ั ไวบ า ง กพ็ อใหทราบโทษของมันและพอยับย้งั ตัวได ไมรุนแรง วนั หนง่ึ ๆ ถา มศี าสนาอยภู ายในใจ จะประกอบหนา ทก่ี ารงานอะไร ก็ราบรื่นดี งามและเต็มเม็ดเต็มหนายไมคอยผิดพลาด เมือ่ เรื่องราวเกดิ ขนึ้ ภายในใจ ก็มีสติปญญา รบั ทราบและกลน่ั กรองพนิ จิ พจิ ารณา พอใหท ราบทางถกู และผดิ ได และพยายามแกไ ข ดัดแปลงพอเอาตัวรอดไปได พูดตามความจริงแลว ธรรมะของพระพุทธเจาไมใชเปนสิ่งที่จะทําคนใหเสียหาย ลม จม แตเปน สง่ิ ทฉ่ี ดุ ลากคนใหข ึน้ จากหลม ลกึ ไดโดยไมสงสยั เมื่อมีอุปสรรคหรือเกิด ความทกุ ขค วามลาํ บากประการใด ธรรมะยอ มชว ยโดยทางสตปิ ญ ญาเปน สาํ คญั เพราะ พระพทุ ธเจา มไิ ดท รงสอนใหค นจนตรอกจนมมุ แตส อนใหม คี วามฉลาดเอาตวั รอดได โดยลําดับของกําลังสติปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร จิตเปนรากฐานสําคัญในชีวติ กรณุ าพากนั ทราบอยา งถงึ ใจ ความรูที่มีประจําตัว เรานี้แล แมจะจับตองความรูไมไดเหมือนวัตถุตางๆ กต็ าม กค็ อื ความรอู นั นแ้ี ลทเ่ี ปน รากฐานแหง ชวี ติ และเปน “นักทองเทยี่ ว” ในวฏั สงสาร จะเคยเปน มานานขนาด ไหนกค็ อื ผนู ้ี จะสน้ิ สดุ วมิ ตุ ตติ ดั เรอ่ื งความสมมตุ คิ อื เกดิ ตายทง้ั หมดออกได ก็ เพราะจติ ดวงนไ้ี ดร บั การอบรมและซกั ฟอกสง่ิ ทเ่ี ปน ภยั อนั เปน เหตใุ หเ กดิ ใหต ายอยู ภายในออกไดโ ดยไมเ หลอื จงึ หมดเหตหุ มดปจ จยั สบื ตอ กอ แขนงโดยสน้ิ เชงิ ทีนี้คํา วา “ใจ เปน นกั ทอ งเทย่ี ว”ก็ยุติลงทันที เวลาทม่ี กี เิ ลสอยภู ายในใจ ไมว า ใครตอ งเตรยี มพรอ มอยเู สมอทจ่ี ะไปเกดิ ใน ภพนอยภพใหญไมมีประมาณ เมอ่ื ตา งทราบอยแู กใ จเชน น้ี จึงควรทําความระมดั ระวงั และศกึ ษาปฏิบัตติ อ เรือ่ งของจิตใหเพยี งพอ ในการดาํ เนนิ ใหถ กู ตอ งตามหลกั ของ ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘๘

๘๙ พระพุทธศาสนาอยางแทจริง นอกจากนั้นยังจะนําอรรถธรรมนี้ไปใชเปนประโยชนแก สงั คมอยา งกวา งขวาง ตามกาํ ลงั ความสามารถของตนอกี ดว ย ศาสนธรรมเปนเครื่องสงเสริม เปนเครอ่ื งพยุงโลกใหมีความสงบรม เยน็ ไมใช เปน เครอ่ื งกดถว ง ดงั ท่ีคนจาํ นวนมากเขา ใจกันวา “ศาสนาเปน เครอ่ื งกดถว งความ เจริญของโลก” ความจรงิ กค็ อื ผทู ว่ี า นน้ั เองเปน ผกู ดถว งตวั เอง และกดถว งกดี ขวาง ความเจริญของโลก ไมใ ชผ ถู อื ศาสนาและปฏบิ ตั ศิ าสนา เพราะพระพุทธเจาไมใชผูกด ถว งโลก! ธรรมไมใ ชธ รรมกดถว งโลก พระสงฆสาวกอรหันตไมไดเปนผูกดถวงโลก ทา นไมเ ปน ภยั ตอ โลกเหมอื นคนไมม ศี าสนา ซง่ึ กาํ ลงั เปน ภยั ตอ โลกอยเู วลาน้ี ศาสน ธรรมจะสิ้นสูญไปจากโลก ก็เพราะคนประเภทไมมีศาสนาเปนผูทําลาย เมื่อพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ไมเปนภัยตอโลกแลว จะวาเปนสิ่งที่โลก นา กลวั ไดอ ยา งไร และจะกดถวงโลกจะทําความทุกขรอนใหแกโลกไดอยางไร? ขอ สาํ คญั กค็ วามคดิ เชน นน้ั ของบคุ คลผนู น้ั แลคอื ความเปน ภยั แท ผทู ห่ี ลงผดิ คดิ เชน นน้ั คนนน้ั คอื ผเู ปน ภยั แกต นและสว นรวมแทไ มอ าจสงสยั การเชอ่ื ถอื ในคาํ ของบคุ คลทเ่ี ปน ภยั นน้ั ยอมจะมคี วามเสยี หายแกผ ูอื่นไมมี ประมาณ เพราะระบาดไปเรื่อยๆ นัน้ แลคือภัยแทท ี่เห็นไดอ ยา งชัดเจน สวนศาสนธรรมมิไดเ ปน ภัย ถาธรรมเปนภัยแลว พระพุทธเจา วิเศษไดอยางไร ถาธรรมเปน ภัยพระพทุ ธเจา กต็ อ งเปน ภยั ตอพระองคและตอ โลก แมพระสงฆก็ตอง เปน ภยั อยา งแยกไมอ อก เพราะสามรตั นะนเ้ี กย่ี วโยงกนั อยา งสนทิ แตน่ไี มปรากฏ ปรากฏแตวาพระพุทธเจา พระสาวก เสด็จไปที่ใด ประทานธรรม ณ ที่ใด สัตวโลกมี ความรมเย็นเปนสุขโดยทั่วกัน ไมมีใครเบื่อหนายเกลียดชังทาน หากจะมกี ค็ อื ผเู ปน ขา ศกึ แกพ ระศาสนาและแกป ระชาชนเทา นน้ั สวนมากทปี่ ระจักษในเร่อื งความเปนภัยน้นั เห็นๆ กนั แตคนไมมีธรรมในใจนั้น แล เปน ภยั ทง้ั แกต นและแกส ว นรวม เพราะสติปญญาเครื่องระลึกรูบุญบาปไมมี คณุ คา ของใจไมมี ถูกความเสกสรรทางวัตถุทับถมจนมองไมเห็น การแสดงออกจงึ รกั กเ็ ปน ภยั เกลยี ดกเ็ ปน ภยั โกรธกเ็ ปนภัย ชังก็เปนภัย อะไรๆ เปนภัยหมดเพราะจิตเปนตัวภัย ดว ย.“ราคคคฺ นิ า โทสคฺคินา โมหคคฺ นิ า” ผนู แ้ี ลคอื ผเู ปน ภยั เพราะกเิ ลสตวั ทบั ถม เหลา นพ้ี าใหเ ปน ภยั ศาสนธรรมซึง่ เปน เคร่อื งแกสิ่งทเ่ี ปน ภยั ทง้ั หลายโดยตรงอยแู ลว เมื่อเปนเชน นน้ั จะเปน ภยั ไดอ ยา งไร หากเปน ภยั แลว จะแกส ง่ิ ไมด เี หลา นน้ั ไดอ ยา งไร ธรรมชุดเตรียมพรอม ๘๙

๙๐ พระพุทธเจาทรงแกสิ่งเหลานี้ไดแลวโดยสิ้นเชิง ไมมีเหลืออยูเลยในพระทัยขึ้น ชอ่ื วา ภยั ดงั ทก่ี ลา วมา จนเปน ผบู รสิ ทุ ธว์ิ มิ ตุ ตพิ ทุ โธทง้ั ดวง จึงเรียกวาเปน “ผูเลิศ” “ผู ประเสริฐ” พระธรรมของพระองคก เ็ หมอื นกนั “ธมฺโม ปทีโป” เปนธรรม “กระจางแจง ภายในจติ ” สังโฆเปนผูทรงไวซึ่งความสวางกระจางแจงแหงธรรมทั้งดวง ดว ยความ บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพน นาํ ศาสนธรรมทป่ี ราศจากภยั มาสอนโลก ทําไมศาสนธรรมจะเปน เครอ่ื งกดถวงโลกและเปนภัยตอ โลก นอกจากผสู าํ คญั วา ศาสนาเปน ภยั นน้ั แลเปน ตวั ภยั แกต วั และสงั คม เพราะความสาํ คญั เชน นเ้ี ปน ความ สาํ คญั ผดิ ! อะไรทพ่ี าใหผ ดิ ? กค็ อื หวั ใจทเ่ี ปน บอ เกดิ แหง ความคดิ นน้ั แล เปนตนเหตุแหง ความผิดหรือเปนผูผิด การแสดงออกมานน้ั จงึ เปน ความผดิ หากไมเปนความผิดเรา ลองนาํ ความคดิ เชน นไี้ ปใชใ นโลกดซู ิ โลกไหนจะไมรอนเปนฟนเปนไฟไมมี แมตัวเองก็ ยังรอน หากนาํ ศาสนาไปสอนโลกตามหลกั ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสง่ั สอนและไดท รงบาํ เพญ็ มาแลวจนไดตรัสรู โลกจะเปนภัย โลกจะเดือดรอนไดอยางไร? โลกวนุ วายมนั ถงึ เกดิ ความทกุ ขค วามรอ น พระพุทธเจาไมไดทรงสอนใหวุนวาย แตส อนใหม คี วามสงบรม เย็น ใหเ หน็ อกเหน็ ใจกนั ใหร จู กั รกั กนั สามคั คกี ลมกลนื เปน นาํ้ หนง่ึ ใจเดยี วกนั เสมอ ใหรูจักเหตุจักผล รูจักเขารูจักเรา เพราะโลกอยดู ว ยกนั ไมใ ชอ ยคู นหนง่ึ คนเดยี ว อยู ดวยกันเปนหมูเปนคณะ ตั้งเปนบานเปนครอบครัว เปน ตาํ บลหมบู า น เปนอาํ เภอเปน จังหวัด เปนมณฑลหรือเปนภาค เปนเขตเปนประเทศ ทั้งประเทศนั้นประเทศนี้ ลว น แตหมูชนทร่ี วมกันอยูทั้งน้นั ซ่ึงควรจะเหน็ คุณคาของกันและกนั และของการอยรู ว มกนั ดวยธรรม มีเมตตากรุณาธรรม เปนมาตรฐานของการอยรู ว มกันของคนหมมู าก คนทอ่ี ยดู ว ยกนั ไมเ หน็ อกเหน็ ใจกนั มแี ตค วามเบยี ดเบยี นทาํ ลายกนั มแี ตค วาม คบั แคบเหน็ แกต วั จดั ยอ มเปน การทาํ ลายคนอน่ื เพราะความเห็นแกตัว แมไ มท าํ ลาย อยา งเปด เผยกค็ อื การทาํ ลายอยนู น่ั แล จงึ ทาํ ใหเกดิ ความกระทบกระเทือนกนั อยเู สมอ ในสังคมมนุษย ขน้ึ ชอ่ื วา “คนคบั แคบ เห็นแกตัวจัด” จะไมท าํ ใหค นอน่ื เดอื ดรอ นฉบิ หายนัน้ ไมม !ี ไมวาท่ใี ดถามีคนประเภทนแ้ี ฝงอยูดวย สังคมยอมเดือดรอนทุกสถานที่ ไป เพราะคนประเภทนี้เคยเปนภัยแกส ังคมมามาก และนานจนประมาณไมได สังคมจึง รังเกียจกนั เรอ่ื ยมาจนปจ จุบันน้ี ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๐

๙๑ ทธ่ี รรมทา นสอนไมใ หเ บยี ดเบยี นกนั กเ็ พราะหวั ใจมนษุ ยม คี ณุ คา ดว ยกนั ตลอดสมบตั แิ ตล ะสิ่งละอยางซึ่งอยูในครอบครอง ดวยเปนของมีคุณคาทางจิตใจอยู มาก จึงไมค วรทาํ จติ ใจกันใหก าํ เริบ เพราะใจของใครๆ ก็ตองการอิสรภาพเชนเดียวกัน ไมป ระสงคค วามถกู กดขบ่ี งั คบั ดว ยอาการใดๆ ซง่ึ ลว นเปน การทาํ ลายจติ ใจกนั ใหก าํ เรบิ อันเปนสาเหตุใหกอกรรมกอเวรไมมีที่สิ้นสุดยุติลงได เพียงสัตวเขายังกลัวตาย เขายัง กลวั ความเบยี ดเบยี นการทาํ ลาย มนษุ ยอ ยดู ว ยกนั ไมก ลวั การเบยี ดเบยี น ไมก ลวั การทาํ ลาย ไมก ลวั การเอารดั เอา เปรียบกัน ไมก ลวั การดถู กู เหยยี ดหยามกนั จะมีไดหรือ! สิ่งเหลาน้ใี ครกไ็ มปรารถนา กันทั้งโลก การทท่ี าํ ใหเ กดิ ความกระทบกระเทอื นซง่ึ กนั และกนั จนโลกหาความสงบไมได เปนฟนเปนไฟอยูตลอดเวลามาจนกระทั่งปจจุบันนี้ และจะเปนไปโดยลําดับไมมีที่สิ้น สดุ เพราะอะไรเปนเหตุ ถาไมใชเพราะความเห็นแกตัว อันเปนเรื่องของกิเลสตัว สกปรกตวั หยาบๆ นี้จะเปนเพราะอะไร ความผดิ ถกู ดชี ว่ั ตา งๆ พระพุทธเจาทานทรงสอนไวหมด ทานมีพระเมตตา กรณุ าสดุ สว นแกม วลสตั วท กุ ประเภทแมป รมาณู กไ็ มใ หเ บยี ดเบยี นทาํ ลายกนั เพราะมี กรรม มีวิบากแหงกรรม อยา งเตม็ ตวั ดว ยกนั อยูดวยกรรมไปดวยกรรม สุขทุกขดว ย กรรมเหมอื นกนั ควรนบั ถอื กนั เปน ความเสมอภาค ดังในธรรมวา “สัตวท ้ังหลายท่ีเปนเพอ่ื นทุกขเ กิดแกเ จบ็ ตายดวยกนั ไมใ หเ บยี ดเบยี นทาํ ลาย กนั ” เปนตน เม่อื ตางคนตางเหน็ ความสาํ คัญของชวี ิตจติ ใจ และสมบตั ขิ องกนั และกนั เชน น้ี ยอ มไมเ บยี ดเบยี นกนั เพราะทํากันไมลง เมอ่ื ตา งคนตา งมคี วามรสู กึ อยา งนแ้ี ลว โลกก็ เย็น อยดู ว ยกนั อยา งผาสกุ มีการยอมรบั ผิดรบั ถกู มหี ลกั ธรรมเปน กฎเกณฑ ตางคน ตางระมัดระวัง ไมห าเรอ่ื งหลบหลกี ปลกี กฎหมายและศลี ธรรมกนั เปน หลักปกครองให เกิดความรมเย็นผาสุก เชนไมยอมรับความจริงดังที่เปนอยูเวลานี้ และท่เี คยเปน เร่อื ยมาจนกระท่ัง ปจ จบุ นั ไมม ใี ครกลาเปนกลาตายตัดหัวธรรม ดวยการยอมรบั ความจรงิ แมไปฉกไป ลกั เขามาหยกๆ เวลาถกู จบั ตวั ไดก แ็ กต วั วา “เขาหาวา” คนเราถา รบั ความจรงิ แลว จะ วา “เขาหาวา ....” ไปทําไม! ขายตัวเปลาๆ ! แมคนติดคุกติดตะรางลองไปถามดูซิวา “นี่เปนอะไรถึงตองมาติดคุกติดตะรางละ?” ตองไดร บั คาํ ตอบวา “เขาหาวา ผมลกั ควาย” เปนตน เมอ่ื ถามกลบั วา “เราไมไดลักควายของเขาจริงๆ หรือ?” “ลักจริงๆ” ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๑

๙๒ แนะ ! ลกั จรงิ ๆ ทาํ ไมบอก “เขาหาวา ....” ทั้งนี้เพราะไมยอมรับความจริง เนื่องจาก ความเหน็ แกต วั กลัวเสียเกียรติ ขายขห้ี นา วา เปน คนเลวทรามหยามเหยยี ด อายเพอ่ื น มนษุ ยนน่ั แล แตการพูดโกหกไมยอมรับความจริงซึ่งเปนความผิดสองซ้ํานั้น ไมพึง เฉลยี วใจและอายบา ง ความเปนมนุษยผูดีจะไดมีทางกระเตื้องขึ้นมาบาง เหลานี้เปน เร่อื งของกิเลสความเหน็ แกตัว เห็นแกได จึงทาํ ใหหมดยางอายโดย สิ้นเชิง สิ่งเหลานี้เปนของสกปรกเลวทรามในวงผูดีมีศีลธรรมในใจ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ กดถว ง เปน สงิ่ ทําลายจติ ใจและทําลายสมบัติของเพ่ือนมนุษยด ว ยกนั สงิ่ สกปรกรก รุงรังเหลานี้ ผมู จี ติ ใจใฝต าํ่ ชอบมนั อยา งยง่ิ ทั้งที่มันใหโทษมากไมมีประมาณ มีมากมี นอ ยก็ทําความกระทบกระเทือน และทาํ ความฉบิ หายแกผ อู น่ื ไมส งสยั จงึ ขอตง้ั ปญ หาถามตวั เองเพอ่ื เปน ขอ คดิ วา “เหลา นห้ี รอื ทว่ี า โลกเจรญิ ?” เจริญดวยสิ่งเหลานี้หรือ? อนั นห้ี รอื ทเ่ี รยี กวา “เชดิ ชูกนั และกนั และเชิดชูโลกให เจริญ?” คาํ ตอบ “จะเชิดชูโลกอยางไร เวลานโ้ี ลกกาํ ลงั รอ นเปนฟนเปนไฟ ยงั ไมท ราบ วา มนั กดถว งอยหู รอื ? นน่ั ! สว นศาสนามบี ทใดบาทใดทส่ี อนใหโ ลกเบยี ดเบยี นกนั ให เกดิ ความเดอื ดรอ นวนุ วายแกก นั เพียงสังเกตตามความรูสึกธรรมดาก็ไมปรากฏเลย” ทนี ท้ี าํ “โอปนยโิ ก” นอ มขา งนอกเขา มาขา งในเพอ่ื ใหเ กดิ ประโยชน ไมเ สยี หาย ไปเปลา” การแสดงธรรมมีทั้งขางนอกขางใน ขอ สาํ คญั กใ็ หน อ มเขา มาเปน สาระสาํ หรบั เรา การแสดงนน้ั กเ็ พอ่ื แยกขา งนอกใหด เู สยี กอ น แลว ยอ นเขา มาขา งใน เวลานข้ี า ง ในของเราเปนอยางไรบาง? “สวัสดมี ชี ัยอยูห รอื เปน ประการใดบา ง?” “เวลานก้ี เิ ลส ประเภทตางๆ ทเ่ี ปน เจา อาํ นาจกดถว งจติ ใจเรามบี า งไหม? โลกแหงขันธ และระหวา ง ขนั ธก บั จิต สวสั ดมี ชี ยั อยหู รอื ? ไมกดถวงใจของผูเปนเจาของขันธหรือ? จงดูใหดีดวยสติ พจิ ารณาดวยปญญาอยางรอบคอบ ขณะใดที่สติปญญา ประลาตไปจากใจ ขณะนัน้ แลเราไดร บั ความทกุ ขความเดอื ดรอน เพราะถูกกดถวงย่ํายี โดยอาการตางๆ ของกเิ ลสทง้ั หลาย ขณะใดมีสติปญญารักษาใจไมเผลอตัว แมสติ ปญ ญาจะยงั ไมเ พยี งพอกบั ความตา นทาน หรอื ปราบปรามสิง่ เหลา นน้ั ใหห มดไป เราก็ ยังพอยับยั้งได ไมท ุกขถงึ ขนาด หรือไมทุกขเสียจนเต็มเปา ยงั พอลดหยอ นผอ นเบากนั บา ง ยิ่งมีสติปญญาพอตัวแลว ไมมีกิเลสตัวใดที่จะมาเปนขาศึกตอใจไดเลย! พอขยบั ตวั ออกมากถ็ กู ปราบเรยี บในขณะนน้ั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๒

๙๓ นี้แลผูมีธรรมครองใจเปนอยางนี้ ใจเปน อสิ ระเพราะธรรมครองใจ ใจมคี วาม สงบสุขไดเพราะการรักษาใจดวยธรรม ตลอดถึงความหลุดพนจากความกดถวงทั้ง หลายโดยประการทั้งปวง ก็เพราะการปฏิบัติธรรม เพราะรูธรรม เพราะเห็นธรรม ประจักษใจไมสงสัย ลบู ๆ คลาํ ๆ ดังที่เคยเปนมาในขั้นเริ่มแรก ธรรมอยใู นสถานทใ่ี ด ตอ งเยน็ ในสถานทน่ี น้ั ธรรมอยูที่ใจ ใจยอมชุมเย็นผาสุก ทกุ อริ ยิ าบถไมม สี ง่ิ รบกวน เมอ่ื จติ กา วเขา ถงึ ขน้ั ธรรมเปน ใจ ใจเปนธรรม ยง่ิ เยน็ ไม มกี าลสถานทเ่ี ขา มาเกย่ี วขอ งเลย เย็นเต็มที่เต็มฐาน กค็ ือใจเปนธรรม ธรรมเปนใจ นน่ั แล เราคิดดูซิ ธรรมบทใดแงใ ดทท่ี าํ ความกดถว ง ทาํ โลกใหม คี วามทกุ ขค วามเดอื ด รอ น ไมป รากฏแมแ ตน ดิ หน่ึง! การทาํ ใหเ ราและโลกเดอื ดรอ นวนุ วายระสาํ่ ระสายจน แทบไมมีที่ปลงวาง ก็เพราะมันมีแตเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเปนเจาการ! ผูปฏิบัติทั้งหลายที่มีสติปญญาประคองตัว กเิ ลสแสดงออกมามากนอ ยยอ ม ทราบทันที และเรม่ิ แกไ ขถอดถอนไมน อนใจ จนไมม ีอะไรแสดงแลว กอ็ ยเู ปน สุข ดงั ปราชญวา “ฆา กเิ ลสไดแ ลว อยเู ปน สขุ ” ถา พลกิ กลบั กว็ า “ฆากิเลสไมไดยอมเปนทุกข ทั้งอยูทั้งไป ทั้งเปนทั้งตาย!” ฉะน้นั พวกเราตอ งสรา งสติปญ ญาใหด ี เพื่อตอสูกิเลสที่มี อยภู ายในตวั จงระวงั อยา ใหม นั กลอ มเสยี หลบั ทง้ั คนื ทง้ั วนั ทง้ั ยนื เดนิ นง่ั นอน ใหม เี วลา ตน่ื บา ง ใหม เี วลาตอ สกู บั เขาบา ง ถา มกี ารตอ สกู นั คาํ วา “แพ ชนะ” ก็จะปรากฏขึ้นมา ไมหมอบราบเสียทีเดียว เพราะไมมีการตอสู มีแตหมอบราบ และเชื่อมันไปหมด กเิ ลส วายังไงเชื่อไปหมด หากมกี ารตอ สบู า ง กม็ แี พม ชี นะสบั ปนกนั ไป ตอ ไปกช็ นะเรอ่ื ยๆ ชนะไปเรื่อยๆ และชนะไปเลย ใจเปนอิสระเต็มภูม!ิ นอ่ี าํ นาจแหง ศาสนธรรมทผ่ี นู าํ มาปฏบิ ตั เิ ปน อยา งน!้ี เปนที่เชื่อใจ เปน ทแ่ี นใ จ ได ไมมีอะไรที่จะแนใจไดยิ่งกวาศาสนธรรม ถาเราปฏิบัตเิ ตม็ กําลงั ความสามารถเราก็ เชื่อใจเราได เมื่อบรรลุถึงขั้น “จติ บรสิ ทุ ธ์ิ” แลว กแ็ นน อนตลอดเวลาไมส งสยั ไมอ ยาก ไมห วิ โหยกับอะไรทั้งนน้ั ไมอ ยากรไู มอ ยากเหน็ ไมอ ยากศกึ ษากบั ใครๆ วานาจะเปน อยา งนน้ั นา จะเปนอยา งนี้ อยากรนู น้ั อยากรนู ้ี เพอ่ื นน้ั เพอ่ื นอ้ี กี ตอ ไป! รทู กุ สง่ิ ทกุ อยา งอยภู ายในใจ เมื่อเต็มภูมิความรูความเห็นแลว กไ็ มอ ยากไมห วิ โหย ไมม อี ะไรรบกวนใจกแ็ สนสบาย ขอใหพากันนําธรรมนี้ไปปฏิบัติรักษาตน อยสู ถาน ที่ใดไปสถานที่ใดจงทราบเสมอวา ความผดิ ถกู ชว่ั ดนี น้ั อยกู บั เรา การละวางในสง่ิ ทค่ี วร ละวาง และการสงเสริมสิ่งที่ควรสงเสริม ก็อยูที่ตัวของเรา ไปไหนใหม วี ดั อยา ให ปราศจากวดั อยา งทา นอาจารยฝ น ทา นเคยวา “วดั ทน่ี น่ั วดั ทน่ี ่ี วดั อยภู ายในใจ” ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๓

๙๔ ทา นพดู ถกู ใหมีวัดอยูภายในจิตใจเสมอ คอื “วตั รปฏบิ ตั ”ิ มีสติ ปญญา ศรทั ธา ความเพียร ใครควรดูเหตุดูผลอยูเสมอ เวลานั่งรถไปก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ใครจะ วา บา วา บอกต็ าม ขอ สาํ คญั ผรู บั ผดิ ชอบเรานค้ี อื เราเอง อยา เปน บา ไปกบั เขากแ็ ลว กนั ถาเราไมเปนบาเสียอยางเดียว คนเปนรอยๆ คนจะมาตเิ ตยี นหรอื กลา วตวู า เราเปน บา เปน บอ คนรอยๆ คนนน้ั นะ มนั เปน บา กนั ทง้ั นน้ั แหละ! เราไมเปนบาเสียคนเดียวเราก็ สบาย นแ่ี หละเปน คตหิ รอื อดุ มการณอ นั สาํ คญั ฟงแลวจงพากันนําไปประพฤติปฏิบัติ เวลาถูกใครวาอะไรก็ใหคํานึงถึงพระพุทธเจา อยา ไปโกรธไปเกรย้ี วใหเ ขา ความโกรธให เขาก็คือไฟเผาตัว ความไมพอใจใหเขาก็คือไฟเผาตัวไมใชเผาที่ไหน มนั เผาทน่ี ก่ี อ นมนั ถงึ ไปเผาทอ่ี น่ื ใหร ะมดั ระวังไฟกองนีอ้ ยาใหเกิด! เราจะไป “สคุ โต” นั่งรถนั่งราไปก็สุคโตเรื่อยไป นง่ั ในบา นกส็ คุ โต อยกู ส็ บาย อยทู ไ่ี หนกส็ บาย เวลาตายกเ็ ปน สขุ ไมว นุ หนา วนุ หลงั ดน้ิ พลา นอยรู าวกบั ลงิ ถกู ลกู ศร ซึ่งดูไมไดเลยในวงปฏิบัติ ฉะนนั้ จงระวงั ไวแ ตบดั น้ี ปฏิบัติใหเต็มภูมิแตบัดน!ี้ คําวา “อาชาไนย” หรือ “ราชสหี ” จะเปน ใจของเราผูปฏิบัติเสียเอง! เอาละ การแสดงธรรมก็พอสมควร! <<สารบญั ธรรมชุดเตรียมพรอม ๙๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook