เพราะฟงุ้ ซา่ นรำคาญใจ (อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ) บา้ ง เพราะลงั เลสงสยั (วจิ กิ จิ ฉา) จนกลมุ้ กลดั บ้าง ในทางตรงข้ามกลับมกี ำลังใจคิดปรบั ปรงุ แก้ไข เพอ่ื พัฒนาตนให้ เป็นคนดยี งิ่ ๆ ข้ึน ผลที่ปรากฏในเบื้องต้นคอื นิสัยเกา่ ๆ ท่ีไมด่ ที ้งั หลาย ได้ถูกขจัดไปด้วยนิสัยดีๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ ส่วนนิสัยดีๆ ท่ีเคยมีมานาน ก็ถูกตอกยำ้ ใหม้ ั่นคงยิ่งๆ ขนึ้ จึงมชี วี ิตใหมท่ ่พี ร่งั พรอ้ มดว้ ยความสขุ และ ความเจรญิ ก้าวหนา้ ข้นึ ไปตามลำดับ กล่าวไดว้ า่ อานิสงสห์ รือผลดที ี่เกดิ จากการปฏิบตั มิ รรคมอี งค์ ๘ จนเป็นนิสัย อันดับแรกก็คือมีความสุขกายสบายใจในชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันก็เกิดความปรารถนาดีต่อผู้อื่น อยากให้ผู้อื่นมีความสุข กายสบายใจเช่นเดียวกับตนด้วย จึงตั้งใจทำหน้าท่ีกัลยาณมิตร และ โดยเหตุที่ตนเป็นผู้รักการรักษาศีลจนเป็นผู้มีศีลธรรมประจำใจ ยังผล ให้คุณความดีต่างๆ มากมายบังเกิดขึ้นในตน กลายเป็นผู้มีคุณธรรม ประจำใจ มจี ิตใจสะอาด สว่าง สงบอยา่ งมนั่ คง ในที่สุดกส็ ามารถบรรลุ ความเป็นผู้รู้เหน็ ธรรมท่ีละเอยี ดลึกซึง้ รูแ้ จ้งเห็นแจ้งอรยิ สัจ ๔ ตรงตาม ความเป็นจริงท่ีเกดิ ภายในตนอย่างชัดเจนไปตามลำดับ ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเป็นครู 87
เริม่ จากกลั ยาณมิตร ๑ ๒ ให้คำแนะนำ สัมมาทิฐิ สมั มาสงั กัปปะ ๘ ความเห็นถกู ความดำริถูก สมั มาสมาธิ นสิ ัยพึง ๓ สัมมาวาจา ความต้ังใจมั่นถูก พลงั ผลักดัน ๗ ปรารถนา การพูดถูก ทุกชนิด ไปส่คู วามสำเรจ็ สมั มาสติ ๔ ความระลกึ ถูก สมั มากมั มนั ตะ ๖ การกระทำถูก สมั มาวายามะ ๕ ความพยายามถูก สมั มาอาชีวะ การเลีย้ งชพี ถูก ภาพท่ี ๓-๒ การปฏิบัตมิ รรคมอี งค์ ๘ รอบแรก จากภาพการปฏบิ ัตมิ รรคมอี งค์ ๘ รอบแรก ซ่งึ เร่มิ จากความเห็น ถูกหรือมรรคที่ ๑ ซง่ึ มคี วามสมั พนั ธ์กับองคม์ รรคอ่นื ๆ อยา่ งต่อเนื่อง จนถงึ มรรคท่ี ๘ ประสบการณ์จากการปฏบิ ัติครบรอบแรกย่อมสามารถ ทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความรู้ความเข้าใจหลักธรรมดีขึ้น จึงเกิดปัญญาคิด ปรับปรุงแก้ไขพัฒนาตนให้มนี ิสยั ดีๆ ทพ่ี ึงปรารถนา ขณะเดียวกันกร็ ู้สึก มคี วามสุขกายสบายใจ ยง่ิ กว่านน้ั ยังสงั เกตพบวา่ ตนเปน็ คนใหมท่ ีผ่ ู้คน รอบข้างให้เกียรติ ให้ความรักใคร่เอ็นดูและความเคารพดีกว่าในอดีต หรืออย่างนอ้ ยกไ็ มถ่ ูกตำหนจิ ากญาติผ้ใู หญ่ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 88
เหน็ ถกู ความเห็นถกู ดำรถิ กู ตงั้ ใจม่ันถูก ระลกึ ถูก เหน็ ถูก ความดำริถูก ต้ังใจมั่นถูก พูดถกู พยายาม ดำริถกู ถกู บรรลธุ รรม ระลกึ ถกู พูดถกู ทำถูก เล้ียงชีพถูก พดู ถกู ระลึกถูก ทำถูก พยายาม ทำถูก ถูก พยายาม เลยี้ งชีพถกู ถูก เลี้ยงชีพถูก ภาพที่ ๓-๓ การปฏบิ ตั ิมรรคมีองค์ ๘ อยา่ งต่อเนือ่ ง จากภาพการปฏิบตั มิ รรคมอี งค์ ๘ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แสดงใหเ้ ห็นวา่ เมื่อผู้ปฏิบัติได้ประจักษ์ในคุณค่าของการปฏิบัติในรอบแรกแล้วก็จะมี กำลังใจปฏิบัติในรอบต่อไปอีก บุคคลที่สามารถปฏิบัติได้ต่อเนื่องโดย ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ย่อมปรารถนาจะปฏิบัติให้แก่รอบเรื่อยไป เพราะนอกจากตนจะประสบความสขุ กายสบายใจแลว้ ยังประจกั ษแ์ ก่ใจ ตนอกี ดว้ ยว่า บญุ กุศลและปัญญาของตนพฒั นาข้นึ ตามลำดบั จึงรักการ ปฏิบตั มิ รรคมีองค์ ๘ ยงิ่ ขึ้น ดว้ ยศรทั ธาม่ันว่าหากการปฏบิ ตั ขิ องตน ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 89
บริบูรณ์พร้อมด้วยสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิแล้วไซร้ ย่อมมีโอกาสบรรลุมรรคผลระดับใดระดับหนึ่งในชาตินี้ และมั่นใจว่า ประสบการณท์ ง้ั หมดนยี้ อ่ มไมส่ ญู สลายหายไป แตจ่ ะถกู สง่ั สมไวเ้ ปน็ นสิ ยั ปจั จัยสำหรับการปฏบิ ตั มิ รรคมีองค์ ๘ ในภพชาตติ ่อไปอยา่ งแนน่ อน กระบวนการฆ่ากิเลสของมรรคมีองค์ ๘ จากภาพท่ี ๓-๓ แสดงใหเ้ หน็ ว่า การปฏบิ ัติมรรคมอี งค์ ๘ ท่ี แก่รอบ คือวิถีทางแห่งการบรรลุธรรม คำว่าบรรลุธรรมในบริบทนี้ หมายถึง บรรลนุ พิ พาน คำว่า นิพพาน หมายถงึ ความดบั สนิทแห่ง กเิ ลสและกองทุกข์ ดังน้ันจึงกล่าวได้อกี อย่างหน่ึงวา่ การปฏิบัตมิ รรค มอี งค์ ๘ ทแี่ กร่ อบยอ่ มสามารถฆา่ กเิ ลสทฝี่ งั ตวั เกาะตดิ อยใู่ นใจคนเรา มาต้งั แต่แรกถือกำเนดิ ในครรภม์ ารดาได้อย่างสน้ิ เช้อื ไมเ่ หลือเศษ บางทา่ นอาจสงสยั วา่ มรรคมีองค์ ๘ ฆา่ กเิ ลสได้อยา่ งไร ไดก้ ล่าวไวแ้ ต่ต้นบทแลว้ ว่า การปฏบิ ัตมิ รรคมีองค์ ๘ ที่จะกอ่ ให้ เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริงน้ัน ต้องปฏิบัติในลักษณะมัคคสมังคี คือ ปฏิบัติพร้อมๆ กันท้ัง ๘ ข้อ การพยายามปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ พรอ้ มๆ กันทกุ ขอ้ ใหบ้ รสิ ุทธบ์ิ ริบรู ณ์ (สัมมาวายามะ) ยอ่ มกอ่ ให้เกิด บุญตอ่ เนอ่ื งกนั เป็นสาย พร้อมกนั นั้น กำลงั ใจของผปู้ ฏบิ ตั กิ ท็ บั ทวียง่ิ ขน้ึ สง่ ผลให้สามารถเอาชนะนิสยั ไม่ดตี ่างๆ ทีเ่ คยมี ขณะเดียวกนั ก็มีความ ระมดั ระวงั (สัมมาสติ) ไมเ่ ผลอใจไปกอ่ บาปอกุศล ในขณะทแี่ สวงหา ปจั จยั ๔ หรอื ธาตุ ๔ มาเลีย้ งชีวติ บญุ จงึ ทับทวขี ึน้ เรอื่ ยๆ เกิดเป็น ดวงบุญสว่างไสวต่อเน่ืองกันโดยอัตโนมัติ บุญเหล่าน้ีเองที่เป็น ตัวทำลายและกำจัดกิเลสที่เกาะติดอยู่ในใจคนเรามาต้ังแต่เกิดจน สิน้ ซาก ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 90
เก่ียวกับกระบวนการกำจดั กิเลสของมรรคมอี งค์ ๘ อาจอธบิ าย ให้เข้าใจไดง้ า่ ยๆ ดังนี้ ขณะที่บุคคลมุง่ ปฏิบตั ิมรรคมีองค์ ๘ ยอ่ มเปน็ การสร้างกรรมดี อย่างตอ่ เนือ่ ง พลงั บุญจึงทับทวีขึน้ เร่อื ยๆ ขณะท่ีสร้างกรรมดีอย่างต่อเนื่อง ย่อมไม่มีการสร้างกรรมช่ัว บาปใหมจ่ งึ ไมเ่ กดิ ขึน้ เลย กิเลสที่เคยเกาะติดอยู่ในใจคนเรามาตั้งแต่แรกถือกำเนิดใน ครรภม์ ารดา ย่อมไมส่ บโอกาสครอบงำและควบคุมจติ ใจ ขณะเดียวกนั ก็ถูกพลังบุญแผอ่ ำนาจเขา้ ไปทำลายลา้ งจนส้นิ ซาก ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่อันตรธานไปพร้อมกับกิเลสก็คือความทุกข์ ๓ ประการ ดงั ไดก้ ล่าวแล้วในบทท่ี ๒ พร้อมกันนนั้ ธาตุ ๔ ในร่างกายท่ี ไมบ่ รสิ ุทธิ์ กจ็ ะถกู บญุ กลั่นให้บริสทุ ธไิ์ ดใ้ นระดบั หนงึ่ การปฏิบตั ิมรรคมีองค์ ๘ สำหรบั เด็กเลก็ การปฏบิ ตั มิ รรคมอี งค์ ๘ ใหไ้ ดผ้ ลดจี รงิ มเี งอ่ื นไขวา่ ตอ้ งใชว้ ธิ บี รู ณาการ ๕ ประการ คอื ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หค้ รบทงั้ ๘ ขอ้ ตอ้ งปฏบิ ตั พิ รอ้ มๆ กนั ทงั้ ๘ ขอ้ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หส้ มบรู ณต์ ามรายละเอยี ดทกุ ขอ้ ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ หไ้ ดส้ ดั สว่ นกนั ทงั้ ๘ ข้อ และต้องปฏบิ ัติทั้ง ๘ ข้ออยา่ งต่อเนื่องรอบแล้วรอบเล่า จากเง่ือนไข ๕ ประการน้ี อาจทำให้ครูบาอาจารย์บางท่านมี ความคิดกังวลว่า การสอนมรรคมีองค์ ๘ ควรเรมิ่ สอนนกั เรียนท่โี ตแลว้ เพราะสามารถเข้าใจคำอธิบายเร่ืองมรรคมีองค์ ๘ ในภาคทฤษฎีจาก การอา่ นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เมอื่ เขา้ ใจภาคทฤษฎแี ลว้ ยอ่ มลงมอื ปฏบิ ตั ภิ าวนา ไดง้ า่ ย ดงั นนั้ จงึ นา่ จะยงั ไมค่ วรสอนมรรคมอี งค์ ๘ ใหแ้ กน่ กั เรยี นในระดบั ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 91
อนบุ าลหรอื ประถมตน้ ซง่ึ มคี วามรไู้ มแ่ ตกฉานในอกั ขรสมยั หรอื การอา่ น ขอ้ ความตา่ งๆ ควรรอไวใ้ หเ้ ดก็ นกั เรยี นอยชู่ น้ั ประถมปลาย และมธั ยมตน้ จะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะเด็กสามารถอ่านเขียนได้ดีหรืออะไร ทำนองนี้ แท้ท่ีจริงถึงแม้จะเริ่มสอนภาคทฤษฎีแก่เด็กอนุบาลไม่ได้ เราก็สามารถเปล่ียนไปเร่ิมทภี่ าคปฏิบตั ิกอ่ นได้ โดยการใหท้ ำสมาธิ ภาวนา ทง้ั นเ้ี พราะใจของเดก็ เลก็ ยงั ไมแ่ ตก หมายความวา่ องคป์ ระกอบ ของใจอันได้แก่ ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด และดวงรู้ ยังซ้อนกันอยู่ ยงั ไม่แตกแยกจากกนั ถา้ ใหเ้ ด็กทำสมาธิ เดก็ ก็จะสามารถรวมดวงเห็น ดวงจำ ดวงคดิ ดวงรู้ เขา้ เปน็ หนง่ึ เดยี วกนั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เมอ่ื ใจรวมเปน็ หน่ึงกส็ ว่างโพลงขน้ึ ทันที ทำนองเดยี วกับการเสียบปลกั้ ไฟฟา้ กลา่ วคอื พอเสียบปลก้ั ไฟก็ตดิ ทันที แตพ่ อดงึ ปล้กั ออกไฟก็ดับทนั ทเี หมือนกัน น่ันคอื เดก็ สามารถทำใจเปน็ สมาธิไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว แตอ่ าจจะ ไม่สามารถรักษาไว้ได้นาน ถึงกระน้ันเด็กท่ีฝึกสมาธิอยู่เสมอก็จะมี ความคิดสุจริต บริสุทธ์ิสะอาด จึงมีนิสัยประณีต มีกิริยาวาจา เรยี บร้อยน่ารัก ว่านอนสอนงา่ ย ไม่ดือ้ ดา้ น ไม่ก้าวรา้ ว เปน็ เด็ก ไมม่ ีปัญหา อนึ่ง ในการทำใจให้เปน็ สมาธนิ ้ัน มีหลักสำคัญอยูต่ รงทก่ี ารวาง ใจนิ่งๆ อยู่ท่ศี นู ย์กลางกาย โดยไมค่ ิดอะไรท้งั สนิ้ ตามธรรมดาเด็กเลก็ ๆ ย่อมไม่ใคร่มีเรื่องต้องคิดอยู่แล้ว จึงสามารถวางใจให้สงบนิ่งเป็นสมาธิ ได้รวดเร็ว ความสว่างโพลงอนั เกดิ จากใจหยุดน่งิ ย่อมทำใหเ้ ด็กมจี ิตใจ ผอ่ งใส ไมต่ กอยใู่ ต้อำนาจกิเลส จงึ คดิ ดี พูดดี และทำดีได้งา่ ย จึงมนี สิ ัย ประณีตเรยี บรอ้ ย ว่านอนสอนงา่ ย ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 92
สำหรบั ครบู าอาจารย์ท่ียงั ไม่เคยมปี ระสบการณ์ อยา่ พึง่ คิดโตแ้ ยง้ โดยยดึ เอามาตรฐานของผ้ใู หญ่เป็นเกณฑต์ ัดสิน อย่าคิดว่าขนาดผูใ้ หญ่ ยงั ทำไม่ได้ แล้วเด็กจะทำไดอ้ ยา่ งไร ขอใหท้ ่านลองทดลองดกู ่อน โดยให้ เด็กเล็กๆ ท้งั ในระดบั อนุบาลและประถมต้น ทำสมาธิในตอนเช้าก่อน เร่มิ เรยี นหนังสอื ทกุ วัน ไมต่ ้องนานนัก ประมาณไมเ่ กนิ ๑๐ นาที และ ถ้าเป็นไปได้ อาจจะให้ทำทุกต้นชั่วโมงของการเปล่ียนไปเรียนวิชาใหม่ ครั้งละไม่เกนิ ๑๐ นาที ไมเ่ กนิ ๑ สปั ดาห์เทา่ น้นั แน่นอนเหลอื เกินวา่ ทา่ นจะพบว่าลูกศษิ ย์แตล่ ะคนมนี สิ ยั ประณตี ออ่ นโยน ว่านอนสอนงา่ ย ปกครองงา่ ยข้ึน ชว่ ยใหท้ ่านไมต่ อ้ งจับปใู ส่กระด้งอกี ตอ่ ไป เดก็ เลก็ ทเ่ี คยฝกึ สมาธเิ ปน็ ประจำ ถา้ หยดุ ไปสกั ระยะหนง่ึ ประสบการณ์ ภายในก็อาจจะเลือนหายไป ทำนองเดียวกับการเรียนวิชาทักษะต่างๆ เชน่ ภาษาตา่ งประเทศ ฯลฯ ถา้ เรยี นสกั ระยะหนงึ่ แลว้ หยดุ เรยี นไปนานๆ กย็ ่อมจะลืมเลอื นสงิ่ ท่เี คยเรยี นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าจะหวนกลับไปเรียนภาษาต่างประเทศนั้นอีก กอ็ าจจะรื้อฟนื้ ความจำ และสามารถเรยี นรไู้ ด้เร็วกว่าผูท้ ่ไี ม่เคยเรยี นมา กอ่ นเลย ในทำนองเดยี วกนั เดก็ ทเ่ี คยฝกึ สมาธิในสมัยท่ีอย่ชู น้ั อนบุ าลและ ประถม แลว้ เลกิ ลม้ ไป คร้นั เม่อื เจรญิ เตบิ โตเป็นผ้ใู หญป่ รารถนาจะฝึก สมาธิ ก็อาจสามารถทำไดไ้ ม่ยากนกั เพราะเคยมีประสบการณม์ าแลว้ ความทรงจำของเดก็ อนุบาลอาจตราตรงึ ตลอดไป ในสมัยก่อนการเรียนการสอนในโรงเรียนจะมีบทท่องจำ หรือ เรยี กวา่ อาขยาน ใหน้ กั เรยี นทอ่ งกนั ตง้ั แตช่ นั้ ประถมถงึ มธั ยม สำหรบั เดก็ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 93
ประถมต้นนั้นแม้จะท่องบทอาขยานได้ถูกต้องคล่องแคล่ว แต่ส่วนมาก ไมร่ คู้ วามหมาย เขา้ ทำนองพดู ไดแ้ บบนกแกว้ นกขนุ ทองฉะนน้ั แตค่ วาม ทรงจำในวัยเด็กเล็กของผู้คนไม่น้อย ก็ยังตราตรึงอยู่ในใจตลอดชีวิต บางคนอายุ ๘๐ ปแี ล้ว ก็ยงั สามารถท่องอาขยานทเี่ คยทอ่ งสมยั เรียนอยู่ ช้นั ประถมได้ ดังนั้นประสบการณ์ในการน่ังสมาธิในสมัยที่เป็นเด็กเล็กๆ ของ บางคน ก็อาจตราตรึงอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต แม้จะเว้นระยะ การนั่งสมาธไิ ปบ้าง แต่ถา้ ได้กลับมาทำสมาธอิ ยา่ งตอ่ เนื่อง ก็แน่นอน เหลือเกินว่า ผลการน่ังสมาธิของเขาจะต้องก้าวหน้าขึ้นอย่างมากมาย ชนิดการปฏบิ ตั มิ รรคมอี งค์ ๘ แบบรอบแลว้ รอบเล่าทเี ดียว สทิ ธัตถะราชกมุ ารบรรลุปฐมฌาน เม่ือคร้ังพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระเยาว์มีพระชนม์มายุได้ ๗ พรรษา ยังเป็นพระสทิ ธตั ถะราชกมุ าร ไดต้ ามเสดจ็ พระราชบิดาไป ในงานวปั ปมงคลแรกนาขวัญ ในตอนบ่ายวนั นัน้ ขณะทีพ่ ระราชกุมาร ประทบั นง่ั อยใู่ ตต้ น้ หวา้ อนั รม่ เยน็ ตามลำพงั ไดเ้ จรญิ สมาธภิ าวนา ทำให้ สงบจากกามและอกศุ ลทงั้ หลาย แลว้ บรรลปุ ฐมฌานทมี่ วี ติ ก (ความตรกึ ) วจิ าร (การพจิ ารณาอารมณ)์ ปตี ิ (ความดมื่ ด่ำในใจ) และสขุ อนั เกดิ จาก วเิ วก (ความสงัด) อยู่ การทีพ่ ระสทิ ธัตถะราชกมุ ารซ่ึงมพี ระชนมเ์ พยี ง ๗ พรรษา ทรงรู้ วิธีการทำสมาธภิ าวนาโดยไม่มคี รบู าอาจารย์สอน และยังสามารถบรรลุ ปฐมฌานอกี ดว้ ย ยอ่ มแสดงวา่ ความรแู้ ละประสบการณใ์ นการทำสมาธิ ภาวนาในอดีตชาติ ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของพระราชกุมาร ต่อเนอื่ งมาถงึ ภพชาติใหม่ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 94
แต่โดยเหตุที่ทรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยให้มีโอกาส ไดท้ ำสมาธภิ าวนา พระองคก์ ม็ ิไดท้ รงทำสมาธภิ าวนาอกี เลย เปน็ เวลา ถงึ ๒๒ ปี แตใ่ นทส่ี ดุ ประสบการณใ์ นอดตี ชาตผิ นวกกบั การไดท้ รงพบเหน็ เทวทตู กท็ ำใหพ้ ระองคต์ ัดสนิ พระทยั เสดจ็ ออกบรรพชา หลังจากที่ทรงบำเพ็ญเพยี รทกุ กรกริ ิยานานถึง ๖ ปีก็ไม่ทรง ประสบผลสำเร็จแต่ประการใด ในที่สุดก็ทรงสามารถรำลึกถึง ประสบการณ์ในการทำสมาธิเม่ือคร้ังทรงพระเยาว์ได้ จึงตัดสิน พระทยั เลกิ วธิ ีทรมานตน ทรงบำรงุ พระวรกายใหแ้ ข็งแรง แล้วทรง เริ่มปฏบิ ตั ติ ามวธิ ีทเี่ คยปฏิบัตใิ นครัง้ นั้น ในระยะเวลาไมน่ านก็ทรง บรรลุพระสมั มาสมั โพธญิ าณตรัสรู้เปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า จากเรอื่ งราวของพระพทุ ธองค์นีย้ ่อมใหข้ ้อคดิ ว่า ๑. เดก็ ในระดบั อนบุ าลและประถมนนั้ สามารถสอนใหฝ้ กึ สมาธไิ ด้ ๒. ผทู้ ม่ี ปี ระสบการณก์ ารฝกึ สมาธใิ นวยั เดก็ แมจ้ ะหยดุ การปฏบิ ตั ิ ไปนานกว่า ๓๐ ปี เม่ือหนั กลบั มาเริ่มปฏบิ ัตอิ ีก กส็ ามารถประสบความ สำเรจ็ ภายในระยะเวลาไม่นานนกั ด้วยเหตนุ ี้ การสอนมรรคมอี งค์ ๘ ให้แก่เดก็ ในระดับอนุบาลและ ประถมตน้ จงึ ควรเรม่ิ ดว้ ยการปฏบิ ตั สิ มั มาสมาธิ สำหรบั องคม์ รรคอน่ื ๆ ท่มี ที ง้ั ภาคทฤษฎีและปฏบิ ัติ กค็ วรนำภาคปฏิบตั ิมาสอนใหก้ ่อน ตอ่ เม่อื เด็กเลื่อนชน้ั ไปอยปู่ ระถมปลาย สามารถอ่านเขียนไดค้ ลอ่ งแล้ว จงึ ค่อย สอนภาคทฤษฎี แต่สำหรับสัมมาสมาธินั้นต้องปฏิบัติต่อเนื่องไปทุก ระดับชั้น จิตของวยั รนุ่ เปน็ สมาธิชา้ กวา่ เดก็ เล็ก ท่านผ้อู ่านคงเคยได้ยินคนพูดกันวา่ พวกเด็กวยั รนุ่ นั้นใจแตก ใน ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 95
ทางธรรมน้นั ใจแตกหมายถงึ องคป์ ระกอบท้งั ๔ ของใจ คอื ดวงเห็น ดวงจำ ดวงคิด และดวงรู้ ต่างแตกแยกกนั ออกไปติดอยกู่ ับกามคุณ ๕ คอื รปู รส กล่นิ เสยี ง และสัมผัส หรือทเี่ รยี กว่า ความคดิ ฟงุ้ ซ่าน นน่ั เอง จติ ใจของวยั รนุ่ จงึ ยากทจี่ ะรวมเปน็ หนง่ึ หรอื เปน็ สมาธแิ นว่ แนไ่ ด้ ผลการทำสมาธิภาวนาในกล่มุ เด็กวัยรุ่น อาจจะพบกบั ความสงบ และความสวา่ งบา้ ง แตป่ ระสบการณภ์ ายในจะไมก่ า้ วหนา้ รวดเรว็ เหมอื น เด็กอนุบาลและประถมต้น ยกเว้นเด็กบางคนที่มีประสบการณ์ภายใน ติดข้ามภพข้ามชาติมาจนถึงปจั จบุ นั อย่างไรก็ตามการเรียนการสอนมรรคมีองค์ ๘ สำหรับเด็กโต กค็ วรประกอบดว้ ยท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิไปพรอ้ มๆ กัน สำหรับ การปฏิบัติสมาธิเป็นกิจวัตรจนเป็นนิสัยน้ัน จะสามารถส่งเสริมให้เด็ก เป็นท้งั คนเกง่ และคนดี มีปญั ญามาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระ- อรหันตสาวกท้ังหลายมีปัญญารู้แจ้งโลก และบรรลุนิพพานก็เพราะ ปัญญาอันเกิดจากการทำภาวนา ทีเ่ รยี กว่า ภาวนามยปญั ญา นัน่ เอง ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 96
เห็นถกู ความเห็นถูก ระดับประถม ระดับอนบุ าล ตั้งใจมนั่ ถกู ดำริถูก ประถม ประถม เห็นถูก ระลึกถกู มธั ยม ความดำริถกู ตัง้ ใจมัน่ ถูก มธั ยม พูดถูก อนุบาล อนบุ าล พยายามถูก ประถม มธั ยม ดำรถิ กู ระลกึ ถกู บรรลธุ รรม มัธยม พดู ถูก ประถม ทำถูก อนุบาล เล้ียงชีพถูก พดู ถูก ประถม ระลกึ ถูก มธั ยม มัธยม อนบุ าล พยายามถูก ทำถูก ทำถกู ประถม มธั ยม อนุบาล เลี้ยงชพี ถูก พยายามถกู ประถม อนุบาล เลี้ยงชีพถกู อนุบาล ภาพท่ี ๓-๔ มรรคมีองค์ ๘ เพ่อื การปลูกฝงั นิสยั ตามวัย สมั มาทฐิ ิ ๑๐ แมบ่ ทการสรา้ งกำลังใจในการทำความดี ในการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนั้น นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถแล้ว จำเป็นต้องมีความชำนาญ และกำลังใจมากพอด้วย ซ่ึงการที่คนเราไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะสร้าง กำลังใจให้เพม่ิ พนู ได้นนั้ ผ้นู น้ั ตอ้ งมัน่ ใจวา่ ตนมคี วามรคู้ วามสามารถ ในเรอื่ งนน้ั ๆ จรงิ แม้กำลงั ใจในการประกอบคณุ ความดีก็เชน่ กนั จะเกิด ข้ึนได้อย่างย่ังยืนตลอดชีวิต ก็ต่อเมื่อมีความรู้ความเข้าใจถูกเร่ืองโลก และชีวิต และมีความชำนาญในการปฏิบัติตนตามหลักสัมมาทิฐิ ซ่ึง ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 97
ประกอบดว้ ยความเห็นถูกต้องในเรอ่ื ง หลักการดำเนินชีวติ ให้เปน็ สุข และ ความจรงิ ประจำโลก ดังตอ่ ไปนี้ ๑. ทานมีผลจรงิ ๒. การสงเคราะห์มีผลจริง หลกั การดำเนนิ ชวี ติ ให้เปน็ สขุ ๓. การบูชายกย่องมีผลจริง ๔. ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำด-ี ช่วั มีจรงิ ๕. โลกนีม้ ีจริง ๖. โลกหน้ามจี รงิ ความจรงิ ประจำโลก ๗. มารดามพี ระคณุ จริง ๘. บดิ ามพี ระคุณจริง ๙. สตั วท์ เ่ี กดิ แบบโอปปาติกะมีจริง ๑๐. พระพทุ ธเจา้ และพระอรหันตม์ จี รงิ พระผปู้ ระกาศความจริง ๑. ชีวิตของชาวโลกจะเป็นสุขได้ ก็เพราะชาวโลกต่างต้องรู้จัก แบง่ ปนั กนั อยู่ ปนั กนั กนิ ปนั กนั ใชอ้ ยา่ งเหมาะสมและถกู วธิ ี ตา่ งไมห่ วงแหน กักตุน เอาเปรียบแย่งชงิ กัน นน่ั คือ เข้าใจถกู วา่ ทานมีผลจรงิ ซงึ่ จะเป็น การป้องกนั และแก้ไขปัญหาเศรษฐกจิ อยา่ งถกู วธิ อี ีกด้วย ๒. ชวี ติ ของชาวโลกจะเปน็ สขุ ได้ กเ็ พราะชาวโลกตา่ งตอ้ งไมท่ อดทง้ิ ซำ้ เติมผู้ตกทุกข์ได้ยาก แต่ต้องช่วยเหลือซ่ึงกันและกันจนสุดความรู้ ความสามารถ เพือ่ แกไ้ ขบรรเทาทกุ ขเ์ หลา่ นนั้ นน่ั คอื เขา้ ใจถูกวา่ การ สงเคราะหม์ ผี ลจรงิ ซงึ่ จะเปน็ การป้องกนั และแก้ไขปญั หาสงั คมอยา่ ง ถกู วิธดี ้วย ๓. ชีวิตของชาวโลกจะเป็นสุขได้ ก็เพราะต่างต้องเลิกจับผิดกัน แตร่ ักการจับถูก คอื คน้ หาความดีของกันและกนั ครน้ั พบแล้วก็ประกาศ ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 98
คณุ ความดนี น้ั ๆ ใหป้ รากฏแกส่ งั คม เปน็ การยกยอ่ งใหเ้ กยี รติ ใหก้ ำลงั ใจ ทจี่ ะทำความดยี ง่ิ ๆ ขน้ึ นนั่ คอื เขา้ ใจถกู วา่ การบชู ายกยอ่ งคนดมี ผี ลจรงิ เปน็ การปอ้ งกนั แก้ไขปญั หาการเมืองอย่างถูกวิธี ๔. ชีวิตของชาวโลกจะเปน็ สุขได้ ก็เพราะตา่ งต้องไมท่ ำอะไรด้วย ความลำเอยี งเอาแตใ่ จตวั ตา่ งตอ้ งรชู้ ดั วา่ กรรมดแี ละกรรมชว่ั เปน็ อยา่ งไร เมอ่ื ทำแลว้ มผี ลดผี ลชวั่ ประการใด จงึ เวน้ จากการทำกรรมชวั่ ทงั้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจโดยเดด็ ขาด เลือกทำเฉพาะกรรมดเี ทา่ นนั้ เพราะ ตระหนกั วา่ หากตนทำกรรมดี ตนเองนั่นแหละจะได้รับผลเป็นความสขุ หากทำกรรมช่ัว ตนก็จะได้รบั ผลเปน็ ความทกุ ข์ นั่นคอื เขา้ ใจถกู วา่ ผล วิบากแห่งกรรมท่ีทำดีและชั่วมีจริง ยิ่งไปกว่านั้นการเลือกทำแต่ ความดี ยังเปน็ การปอ้ งกันแก้ไขปัญหาการปกครองอยา่ งถกู วธิ อี กี ด้วย การปลกู ฝงั สมั มาทฐิ ิ ตง้ั แตข่ อ้ ท่ี ๑-๔ ซง่ึ เปน็ หลกั การดำเนนิ ชวี ติ ใหเ้ ปน็ สขุ แกเ่ ยาวชนและประชาชนทวั่ ไปอยา่ งจรงิ จงั โดยไมจ่ ำกดั เชอื้ ชาติ ศาสนา เพศ วัย เชน่ นี้ ย่อมเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาเศรษฐกจิ สงั คม การเมือง การปกครอง ได้อย่างถาวร ทั้งในระดบั รากหญ้าและ ระดบั โลก ๕. โลกนี้มจี ริง ความสขุ หรือทกุ ข์ ความเจริญหรอื เส่ือมทีบ่ ุคคล ได้รับอย่ขู ณะนี้ หาได้เกิดขึน้ เองลอยๆ หรอื มีผวู้ ิเศษตนใดบนั ดาลหรือ สาปแชง่ ไม่ แตเ่ กดิ จากผลกรรมทตี่ นเองไดป้ ฏบิ ตั ติ ามหลกั การดำเนนิ ชวี ติ ใหเ้ ป็นสขุ ๔ ทัง้ ในอดตี ชาติ และชว่ งเวลาทีผ่ ่านมาในชาตนิ ี้ว่า ถกู ต้อง หรือผิดพลาดมากน้อยเพียงใด น่ันคือเข้าใจถูกว่าโลกน้ี คือตัวเราเอง ย่อมมที ี่มาจริง ๖. โลกหน้ามีจรงิ คนเราตายแลว้ จะยังไมส่ ูญ เพราะยงั ไม่หมด กเิ ลส ต่างต้องไปเกิดใหม่อีก แต่จะเกดิ ดีหรือรา้ ยประการใด ขึ้นอยู่กบั ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 99
ผลกรรมทต่ี นเองไดป้ ฏบิ ตั ติ ามหลกั การดำเนนิ ชวี ติ ใหเ้ ปน็ สขุ ๔ ตงั้ แต่ ปจั จบุ นั นี้ จนกระทัง่ วันละโลกวา่ ถูกต้องหรือผดิ พลาดเพยี งใด รวมกบั ผลกรรมในอดีตทย่ี ังตดิ ตามมา หาไดเ้ กิดข้ึนเองลอยๆ หรอื มผี วู้ ิเศษตน ใดบันดาลหรือสาปแช่งไม่ น่ันคือเข้าใจถูกว่าโลกหน้าคือตัวเราเอง มที ี่ไปจรงิ ๗. มารดามีพระคณุ จริง คอื มารดามพี ระคุณตอ่ บตุ รเพราะ ๑) เปน็ ผ้ใู ห้ชีวติ ๒) เป็นตน้ แบบกายมนษุ ย์ ๓) อบรมส่ังสอนเล้ียงดูบุตรให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตาม หลกั การดำเนนิ ชีวติ ให้เป็นสขุ ๔ ในทางตรงกันข้าม หากมารดาไม่อบรมสั่งสอนบุตรตาม หลกั การดำเนินชวี ิตให้เปน็ สขุ ยอ่ มมโี ทษต่อบตุ ร น่นั คอื เข้าใจถูกวา่ มารดามีพระคุณหรือมีโทษต่อบตุ รจรงิ ๘. บดิ ามพี ระคุณจริง คอื บดิ ามีพระคุณต่อบตุ รเพราะ ๑) เปน็ ผู้ใหช้ ีวิต ๒) เป็นต้นแบบกายมนุษย์ ๓) อบรมสง่ั สอนบตุ รใหป้ ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ ตามหลกั การ ดำเนินชีวติ ใหเ้ ป็นสุข ๔ ในทางตรงกนั ขา้ ม หากบดิ าไม่อบรมสง่ั สอนบุตรตามหลัก การดำเนนิ ชวี ิตใหเ้ ปน็ สขุ ยอ่ มมีโทษต่อบตุ ร นั่นคือเขา้ ใจถกู ว่า บิดา มพี ระคณุ หรอื มโี ทษตอ่ บตุ รจริง ๙. โอปปาตกิ ะมจี รงิ โอปปาติกะ คือสตั วท์ ่เี กดิ ผุดขึ้นมาและโต เตม็ ที่ในทันใด โดยไมต่ อ้ งมมี ารดาบิดา เมอื่ ตายก็ไมม่ ซี ากปรากฏ เชน่ เทวดา และสตั ว์นรก นเี้ ป็นการยนื ยนั ว่า นรก และสวรรคม์ จี รงิ การเกดิ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 100
เป็นสัตว์นรก หรือเป็นเทวดาบนสวรรค์ เป็นผลเน่ืองมาจากกรรมช่ัว หรอื ดี ท่ตี นทำไว้ในสมยั ที่เป็นมนษุ ย์ ผูท้ ำกรรมช่วั หรือบาปไวม้ าก เมอ่ื ละโลกไปแล้วย่อมต้องรบั วบิ ากท่ตี นเคยทำไว้ โดยเกิดเป็นสัตว์นรก มี ความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพราะถูกลงโทษอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ตลอดอายุขยั ซ่งึ ยนื ยาวนับดว้ ยลา้ นหรอื โกฏปิ ี ขณะทีผ่ ้ทู ำกรรมดีหรือ บญุ ไวม้ าก เม่อื ละโลก ยอ่ มไดเ้ สวยผลบญุ ที่ตนเคยทำไว้ โดยเกดิ เป็น เทวดาบนสวรรค์ มชี วี ติ อย่อู ย่างเปน็ สุขตลอดอายขุ ัย ซ่งึ ยืนยาวนบั ด้วย ลา้ นหรอื โกฏปิ เี ชน่ กัน ดังน้ันคนเราจะต้องไม่คิดผิดแบบผู้มีมิจฉาทิฐิว่าตายแล้วสูญ หรอื โลกหนา้ ไมม่ ี ขณะทมี่ ชี วี ติ อยกู่ ต็ อ้ งสรา้ งบญุ กศุ ลทกุ รปู แบบไวม้ ากๆ เพื่อความสุขในโลกหนา้ นัน่ คอื เข้าใจถกู วา่ สัตว์ทเ่ี กดิ แบบโอปปาติกะ มีจรงิ การปลกู ฝงั สมั มาทฐิ ติ งั้ แตข่ อ้ ท่ี ๕-๙ เปน็ อยา่ งดี ยอ่ มทำให้ ประจกั ษถ์ งึ กฎแหง่ กรรมซงึ่ เปน็ ความจรงิ ประจำโลกไดอ้ ยา่ งชดั เจน ๑๐. พระพทุ ธเจา้ และพระอรหนั ตม์ จี รงิ เปน็ ธรรมชาตวิ า่ สมยั ใด หากสมณพราหมณห์ รอื นกั บวชทา่ นใด ประพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ กลนั่ กาย วาจา ใจตนเองใหผ้ อ่ งใสเปน็ นจิ โดยถวายชวี ิตเป็นเดมิ พนั ย่อมรู้แจ้ง แทงตลอดเรื่องโลกน้ี และโลกหน้า ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ยิ่งกว่านั้น ท่านยังมีน้ำใจตระเวนสั่งสอนชาวโลกให้รู้แจ้งแทงตลอดในความจริง ทงั้ หลายตามทา่ นอกี ดว้ ย ชาวโลกจงึ ขนานนามทา่ นดว้ ยความเคารพยงิ่ วา่ พระพทุ ธเจ้า นน่ั คือเข้าใจถูกวา่ พระพุทธเจ้ามจี ริง ชาวโลกท้งั หลายจงึ สมควรยึดถือพระองค์ท่านเป็นบรมครู และประพฤติดีปฏิบัติชอบตาม พระองคท์ ่าน เพ่อื ให้ชวี ิตปลอดภัยและเป็นสุขเช่นเดียวกับท่าน ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู 101
การจัดกิจกรรมสง่ เสริมสัมมาทฐิ ิ ๑๐ ประการ ให้ผเู้ รยี นทงั้ ประเทศ ได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม และสม่ำเสมอทั่วถึง จนกลายเป็นนิสยั ทงั้ หลักการดำเนินชวี ิตให้เป็นสขุ ๔ ความจรงิ ประจำโลก ๕ และความศรทั ธาในพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ คอื ความ สำเรจ็ ในการจัดการศึกษาของประเทศชาตนิ นั้ ๆ อยา่ งแท้จริง ท้ังนี้ เพราะ ๑. ผูม้ สี มั มาทิฐิ ๑๐ ย่อมมกี ำลงั ใจทำความดี ๒. ผู้มกี ำลงั ใจทำความดี ยอ่ มมีกำลังใจฝกึ สมาธิอยา่ งต่อเนื่อง ๓. ผ้ปู ฏิบตั ิสมาธิอย่างตอ่ เนอ่ื งย่อมมใี จเบิกบาน สวา่ งไสว เห็น และยอมรับธรรมชาติการอยู่ร่วมกันของมหาชนตามความเป็นจริง ไดโ้ ดยง่าย คือ ก. เห็นและยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อมของแต่ละบุคคล ได้โดยงา่ ย ข. เห็นและยอมรับความจำเป็นทแี่ ตล่ ะบุคคลต่างตอ้ งพงึ่ พา อาศยั กันและกนั ไดโ้ ดยงา่ ย ๔. ผู้เห็นและยอมรับธรรมชาติการอยู่ร่วมกันตามความเป็นจริง ทง้ั ๒ ประการเหลา่ นี้ ยอ่ มฝกึ ตนใหม้ คี วามเคารพ ความอดทน ความ มีวินยั ได้งา่ ย ๕. ผทู้ มี่ คี วามเคารพ ความอดทน ความมวี นิ ยั ยอ่ มรงั เกยี จและ งดเวน้ กรรมกเิ ลส ๔ อคติ ๔ อบายมขุ ๖ ได้ง่าย ตรงกนั ขา้ มย่อมรัก และพอใจทีจ่ ะปฏิบตั ิตามหน้าท่ีประจำทศิ ๖ สังคหวตั ถุ ๔ ศีล ๕ อุโบสถศีล และมรรคมอี งค์ ๘ ทงั้ ระดบั โลกยี ะและโลกุตระได้งา่ ย ตลอดจนรกั ที่จะเลือกคบเฉพาะมิตรแท้ ๔ ประเภทเท่านน้ั ๖. ผู้ทม่ี คี วามรกั ความพอใจปฏิบัตติ ามศลี ตามธรรม และเลือก ศาสตร์และศิลป์แหง่ ความเป็นครู 102
คบเฉพาะมติ รแท้ ยอ่ มใฝเ่ รยี นรู้ ใฝท่ ำดี และใฝร่ กั ษาสขุ ภาพรา่ งกาย และสขุ ภาพจติ เปน็ ปกติ ยอ่ มเหมาะสมตอ่ การประกอบคณุ งามความดี ตา่ งๆ ตามสมควรแกเ่ พศและวัยของตนตง้ั แต่ยังอย่ใู นวัยเรียน จึงเป็น หลักประกนั ไดว้ า่ เมอื่ จบการศึกษาย่อมเป็นมนษุ ย์ทส่ี มบรู ณ์ พร้อมจะ เป็นท่ีพง่ึ ให้แก่ตนเอง และใหส้ ังคมได้พ่งึ ตลอดไป บทบาทของครตู ามหลกั สัมมาทิฐิ ๑๐ ตารางที่ ๓-๒ บทบาทของครูตามหลกั สัมมาทิฐิ ๑๐ ๑. เป็นแบบอย่างในการดำเนินชวี ิตตามหลกั การดำเนินชีวติ ให้เปน็ สขุ ๔ ๑. ทานมี ๑. มุ่งมั่นถ่ายทอดความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมให้แก่ศิษย์ ผลจริง ดว้ ยความปรารถนาดตี อ่ ศษิ ยอ์ ยา่ งบรสิ ทุ ธใ์ิ จทจี่ ะใหศ้ ษิ ยเ์ ปน็ คนดี ทโ่ี ลกต้องการ ประสบแต่ความสขุ ความเจรญิ รุง่ เรืองในชวี ติ ๒. แบ่งปันความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม รวมทงั้ ประสบการณ์ ในวชิ าชพี ครู ตลอดจนเทคโนโลยสี มยั ใหมใ่ นวงการศกึ ษาใหแ้ ก่ เพอื่ นครดู ้วยความจริงใจ ๓. รว่ มมอื ในการทำกจิ กรรมตา่ งๆ เพอ่ื ประโยชนแ์ กโ่ รงเรยี นหรอื สถาบนั ของตน โดยไมเ่ หน็ แกค่ วามเหนอ่ื ยยากและโดยไมข่ าด ตกบกพรอ่ ง ๔. สละเวลาในการถา่ ยทอดความรดู้ า้ นวชิ าการ หรอื ปลกู ฝงั อบรม ศลี ธรรมให้แกเ่ ดก็ บางคน บางกล่มุ ท่มี ปี ัญหาเป็นกรณีพิเศษ ด้วยจิตเมตตา ๕. เมือ่ มปี ัญหากระทบกระท่ังกนั ในหมเู่ พือ่ นร่วมงาน กพ็ ยายาม ให้อภัยกัน สร้างความรักสมัครสมานสามัคคีระหว่างเพ่ือน ร่วมงาน และศษิ ยท์ ้งั หลาย ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 103
การประพฤติปฏิบัติเหล่านี้ถือเป็นการทำทานในอีก ลักษณะหน่ึงของผู้มีอาชีพครู ด้วยตระหนักว่า ทานมีผลจริง เพราะนำมาซ่ึงความสุขกายสบายใจอย่างต่อเน่ือง ๒. การ ๑. สงเคราะหน์ กั เรยี นทมี่ ปี ญั หาตา่ งๆ เพอ่ื ใหส้ ามารถเรยี นไดจ้ น สงเคราะห์ จบหลกั สูตร ดว้ ยวิธกี ารท่เี หมาะสม เชน่ นกั เรยี นทีข่ าดแคลน มีผลจรงิ ทุนเล่าเรียน ก็หางานพิเศษให้ทำ หรือหาทุนอุดหนุนการ ศึกษาจากองค์กรของรัฐและเอกชนให้ ๒. สงเคราะหน์ กั เรยี นทเ่ี รยี นดี มคี วามประพฤตดิ แี ตย่ ากจนดว้ ยการ สละเวลาสอนพเิ ศษให้ รวมทง้ั การสรา้ งโอกาสใหศ้ ษิ ยไ์ ดเ้ ขา้ สอบ แขง่ ขนั ชงิ ทนุ การศกึ ษา หรอื ทนุ ศกึ ษาตอ่ ทง้ั ในและตา่ งประเทศ หลังจากจบการศึกษาในโรงเรียนที่กำลงั เรยี นอยู่ ๓. เมอื่ เพอื่ นครู นกั เรยี น หรอื เจา้ หนา้ ทแี่ ผนกตา่ งๆ ประสบปญั หา ไม่วา่ อุบตั ิเหตุ หรือภยั ธรรมชาติ ต้องชว่ ยเหลอื อย่างสดุ ความ สามารถ การประพฤติปฏิบัติเหล่านี้ ถือเป็นการสงเคราะห์เพ่ือน มนุษย์ด้วยกัน ด้วยตระหนักว่า การสงเคราะห์มีผลเป็น ความสุขและความดจี รงิ ๓. การบชู า ๑. ครพู งึ มที ศั นคตทิ ด่ี ตี อ่ ทกุ ๆ คน ขณะเดยี วกนั กม็ องหาคณุ ธรรม ยกยอ่ งมี ความดแี ละความสามารถทงั้ ของผบู้ รหิ าร ซงึ่ เปน็ หวั หนา้ ของตน ผลจริง และเพื่อนครูผู้ร่วมงานทุกคน เม่ือเห็นใครทำดีทำถูกต้อง ก็ กล่าวยกยอ่ งสรรเสรญิ ใหป้ รากฏตามความเหมาะสม ๒. ครูตอ้ งไม่นินทาวา่ รา้ ยผ้บู ริหารใหน้ กั เรยี นฟัง เพราะจะทำให้ นกั เรยี นขาดความเคารพตอ่ ผบู้ รหิ าร และขาดความภาคภมู ใิ จ ในสถานศึกษาของตน ๓. ครูต้องไมน่ ินทาว่ารา้ ยเพื่อนครูใหน้ ักเรียนฟัง เพราะ ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเป็นครู 104
ก. หากนกั เรยี นเชอื่ กจ็ ะพากนั รงั เกยี จหรอื ไมเ่ คารพนบั ถอื ครู ผถู้ ูกนนิ ทา ข. นกั เรยี นท่ไี ด้รบั การปลูกฝังนิสยั มรรคมอี งค์ ๘ แล้ว จะ มองว่า ครผู ้นู ินทาผิดศลี ไมน่ ่าเคารพ ค. ความลับไม่มีในโลก ผู้ถูกนินทาย่อมรู้ว่าใครนินทาตน เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ อคตติ อ่ กนั ครนั้ ความจรงิ ปรากฏ ครผู นู้ นิ ทา จะกลายเปน็ แกะดำเปน็ ทร่ี งั เกยี จในหม่เู พือ่ นครู ๔. ครูต้องไม่แสดงความลำเอียงต่อนักเรียน ไม่พูดจาไพเราะ เฉพาะกบั นกั เรยี นทเ่ี กง่ และดี หรอื ใชถ้ อ้ ยคำตำหนติ เิ ตยี นรนุ แรง หรอื หยาบคายกบั เดก็ ทเ่ี รยี นออ่ น ยากจน ควรใชค้ ำพดู ทสี่ ภุ าพ นุม่ นวล อ่อนโยนแกศ่ ิษย์ อยา่ งไรกต็ าม ครตู อ้ งระลกึ เสมอวา่ การทำงานรว่ มกบั มวลชน หรอื คนหมมู่ าก จำตอ้ งรหู้ ลกั จติ วทิ ยาเปน็ อยา่ งดี จงึ จะประสบ ความสำเร็จอยา่ งแทจ้ ริง ครูผู้ประพฤติตนสมำ่ เสมอต่อคนรอบข้างไม่ว่าศิษย์หรือ เพอ่ื นครใู นเชงิ ยกยอ่ งใหเ้ กยี รตเิ ชน่ นี้ยอ่ มเปน็ ทรี่ กั ของผรู้ ว่ มงาน และมโี อกาสเจรญิ กา้ วหนา้ ในหนา้ ทก่ี ารงาน ทงั้ นเี้ พราะตระหนกั วา่ การบชู ายกยอ่ งให้เกียรตกิ นั มผี ลดจี รงิ ๔. กรรมที่ ๑. ครตู อ้ งศกึ ษาเรอ่ื ง กฎแหง่ กรรม ใหเ้ ขา้ ใจในระดบั โยนโิ สมนสกิ าร ทำไวม้ ผี ลจรงิ เปน็ อยา่ งนอ้ ย เพอ่ื ใหส้ ามารถอธบิ ายเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมตา่ งๆ ของคนเราได้ดว้ ยเหตุและผลวา่ เปน็ ไปตามหลกั กฎแห่งกรรม อยา่ งไร ทำใหค้ รมู ศี รทั ธามนั่ ในกฎแหง่ กรรมยงิ่ ขน้ึ ๒. เม่ือครูมีศรัทธาม่ันในกฎแห่งกรรม ย่อมต้ังม่ันในการปฏิบัติ สมั มาทฐิ ิ พรอ้ มกับสมั มาสมาธไิ ด้ถกู ต้องตามทค่ี รูบาอาจารย์ อบรมสงั่ สอนเปน็ ประจำ ยอ่ มประสบความกา้ วหนา้ ถงึ ขนั้ บรรลุ ฌานระดบั ใดระดับหนงึ่ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 105
๓. ครูพึงระลึกเสมอวา่ กฎแหง่ กรรมคือหวั ใจของสัมมาทิฐิ ครู จงึ ตอ้ งตอกยำ้ ใหศ้ ษิ ยม์ น่ั คงในสมั มาทฐิ ิ ดว้ ยการปลกู ฝงั อบรม ศษิ ยท์ ้ังมวลให้มีศรทั ธามัน่ ในเรื่องกฎแห่งกรรม เพ่อื เปน็ หลกั ประกันว่าศิษย์เหล่าน้ันจะเป็นคนดีมีสัมมาทิฐิระดับต้น เพื่อ เป็นจุดเร่ิมต้นในการพัฒนามรรคมีองค์ ๘ ใหแ้ ก่รอบยงิ่ ข้ึน กล่าวได้ว่า การปลูกฝังอบรมศิษย์ท้ังมวลให้เป็นคนดี มั่นคงอยู่ในสัมมาทิฐิ คือกรรมดีท่ีครูได้ทำท้ังเพ่ือตนเอง สงั คม และประเทศชาติ ทงั้ นเี้ พราะ เชอื่ มน่ั วา่ ทกุ การกระทำ ของตนล้วนมผี ลจรงิ ๒. เป็นแบบอยา่ งในการดำเนินชวี ิตตามหลกั ความจรงิ ประจำโลก ๕ ๕. โลกนีม้ ี เหตแุ หง่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ หรอื ความเสอื่ มในอาชพี ครขู องตน (ทม่ี าจริง) ในปจั จบุ นั ลว้ นเป็นผลมาจากการดำเนนิ ชีวติ ของครูในชว่ งเวลาที่ ผ่านมา ว่าเป็นไปตามหลักการดำเนินชีวติ ให้เป็นสขุ ๔ หรอื ไม่ เพยี งใดประการหนง่ึ ประกอบกับวิบากแห่งกรรมในชาตปิ างกอ่ น ทีต่ ามมาใหผ้ ลหรือตดั รอน อีกประการหน่งึ ดงั นน้ั เมอ่ื มน่ั ใจวา่ ตนครองชวี ติ ถกู ตอ้ งตามหลกั การดำเนนิ ชวี ติ ใหเ้ ปน็ สุข ๔ แลว้ แตย่ ังไม่ไดร้ ับผลตามทค่ี าดหวงั ก็ไม่ทอ้ ใจยงั คง มงุ่ มนั่ พากเพยี รทำใหด้ ยี งิ่ ๆ ขนึ้ ไปอกี เพราะตระหนกั ชดั วา่ บญุ กศุ ล ท่ไี ดท้ ำแล้วในชาตนิ ้ีมผี ลจริง ๖. โลกหนา้ มี ความเจริญหรือความเส่ือมในอาชีพครูของตนในอนาคต (ท่ีไปจรงิ ) ข้ึนอยกู่ ับความเขม้ งวดกวดขนั ตนเองทง้ั ในด้านนสิ ัยสว่ นตวั และ ประสทิ ธิภาพในการปฏิบตั ิงานในหน้าที่ ว่าเป็นไปตามหลักการ ดำเนนิ ชีวิตใหเ้ ป็นสขุ ๔ มากนอ้ ยเพียงใด นับแตบ่ ดั น้เี ป็นต้นไป รวมกับผลในข้อ ๕ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 106
ครูจึงต้ังมั่นอยู่ในความไม่ประมาท หม่ันพิจารณาตรวจสอบ แก้ไขและพฒั นาการปฏิบตั ิงานในหนา้ ทข่ี องตน ขณะเดยี วกนั ก็ หม่ันพิจารณาตรวจสอบ แก้ไขและพัฒนาลักษณะนิสัยของตน ด้วยการสอนใจตนเองอยูเ่ สมอวา่ ความสำเร็จในชวี ิตของครูน้ัน ต้องอยู่ท่ีคุณภาพและคุณธรรมของศิษย์ท้ังมวลเป็นสำคัญ มไิ ดอ้ ยู่ทต่ี ำแหนง่ หน้าทก่ี ารงาน ลาภ หรือยศ อยา่ งไรกต็ ามถ้า ครูได้ทุ่มเทชีวิตปฏิบัติหน้าท่ีเพื่อความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ทั้ง มวลแลว้ ความเจรญิ กา้ วหนา้ จะเกดิ ข้ึนแกต่ ัวครเู อง ดว้ ยตระหนกั ชดั ว่า บญุ กศุ ลทั้งมวลทีท่ ำไว้ยอ่ มส่งผลจริง ๗.มารดามี ครตู อ้ งมคี วามกตญั ญกู ตเวทตี อ่ มารดา บดิ า คร-ู อาจารย์ และ พระคณุ จรงิ ผู้มพี ระคุณ การปฏบิ ตั เิ ช่นน้ี นอกจากเปน็ คณุ ธรรมหรอื กรรมดี ๘. บดิ ามี ของครูโดยตรงแล้ว ยังเป็นแบบอย่างด้านคุณธรรมให้แก่บุตร พระคณุ จริง ธดิ า ลูกศิษย์ และคนรอบข้างอกี ดว้ ย นอกจากนี้ ครูยงั ตอ้ งแนะนำส่งั สอนอบรมใหศ้ ษิ ยต์ ระหนักถึง คุณของบิดา ไมย่ ่ิงหยอ่ นไปกวา่ มารดาด้วย ท้งั นเี้ พราะปัจจบุ นั มี ปญั หาครอบครวั แตกแยกเกดิ ขน้ึ ทกุ สงั คม บตุ รสว่ นใหญจ่ ะใกลช้ ดิ สนทิ สนมกบั มารดา ห่างไกลกับบิดา หรือในบางครอบครวั ที่บิดา จมอยกู่ ับอบายมขุ ก็มักจะทำทารุณโหดร้ายตอ่ มารดา ทำให้บุตร บางคนถงึ กบั เกลยี ดชงั บดิ าของตน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูท่ีจะปลูกฝังช้ีแนะให้ศิษย์มีความ เข้าใจ และความคิดถูกต้องเรื่องพระคุณของมารดา-บิดา เพื่อ ป้องกันมิให้เด็กมีบาปกรรมติดตัวไป เพราะมีความคิดเห็นเป็น มจิ ฉาทฐิ ิเก่ียวกบั พระคุณของมารดาบิดา ครูทสี่ ามารถเปล่ยี นทิฐิ ของศษิ ยไ์ ด้ ย่อมถือวา่ เปน็ ความสำเรจ็ ในชวี ิตครู ทงั้ นเ้ี พราะครู ตระหนกั ชัดวา่ มารดา-บดิ ามพี ระคณุ จริง ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 107
๙.สัตวท์ ่ี ครูท่ีทุ่มเทชีวิตเพื่อปลูกฝังอบรมเหล่าศิษย์ให้เป็นคนดีมี เกดิ แบบ สัมมาทิฐิอย่างม่ันคง รู้จักเสียสละทำงานเพ่ือส่วนรวมด้วยความ โอปปาตกิ ะ บริสทุ ธใ์ิ จ ขณะเดียวกนั ครเู องกท็ ำตนเปน็ ต้นแบบศีลธรรมและ มจี ริง คุณความดีทุกอย่างทุกประการท่ีครูพรำ่ สอนศิษย์ ครูประเภทนี้ แม้หายากแตก่ ็มีอยจู่ รงิ จึงกล่าวได้ว่า ครูทเ่ี ปน็ มนสุ เทโว คือเป็น มนุษย์แต่มีนำ้ ใจเย่ียงเทวดาน้ันมีอยู่จริง ครูประเภทน้ีย่อมเป็น ปชู นยี บคุ คลใหแ้ กม่ นษุ ยแ์ ละเทวดาไดก้ ราบไหวท้ งั้ โลกนแี้ ละโลกหนา้ ท้ังนี้เพราะตระหนกั ชดั ว่า สตั วท์ ่ีเกดิ แบบโอปปาติกะมีจรงิ ๑๐. พระ- อยา่ งไรกต็ ามมคี รบู างคนทำหนา้ ทก่ี ารงานในตำแหนง่ เสมอื นเปน็ พทุ ธเจ้า งานอดเิ รก เบียดบังเวลาราชการ หรือเวลาในตำแหนง่ หนา้ ทไ่ี ป ผูเ้ ป็น ทำธุรกิจส่วนตัวหลายรูปแบบ แม้อยู่ที่โรงเรียนก็ทำหน้าที่ครู บรมครูของ เฉพาะอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น เม่ือก้าวพ้นจากห้องเรียน จิตใจก็ สตั วโ์ ลก พะวกั พะวนอยกู่ บั เรอ่ื งธรุ กจิ ครปู ระเภทนถ้ี า้ บงั เอญิ เปน็ ทโี่ ปรดปราน มจี รงิ ของผู้บริหาร ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองในตำแหน่งหน้าที่ แต่ครู ประเภทนี้ก็ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพครู เพราะไม่ถูก ต้องตามหลกั สมั มาทฐิ ิ ครผู ปู้ ระสบความสำเร็จในชวี ติ จงึ หมายถงึ ครผู ้อู ทุ ิศชีวติ เพอื่ ทำหน้าที่ปลูกฝังอบรมบ่มนิสัยศิษย์ของตนให้มีนิสัยใฝ่เรียนรู้และ ใฝ่ทำความดี มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และพระพทุ ธศาสนา ด้วยมคี วามคิดวา่ การทำงาน ในหนา้ ทขี่ องตนทกุ อยา่ ง ลว้ นเปน็ การสงั่ สมบญุ บารมใี หแ้ กต่ นเอง เยยี่ งพระโพธสิ ตั ว์ ดว้ ยมนั่ ใจอยา่ งเตม็ เปยี่ มวา่ พระพทุ ธเจา้ ผตู้ รสั รู้ ชอบด้วยตนเองมจี ริง ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 108
คุณค่าและความจำเป็นในการปลูกฝงั สมั มาทฐิ ิ ๑๐ จากธรรมบรรยายทผ่ี า่ นมา แสดงใหเ้ หน็ วา่ มรรคองคแ์ รกมคี ณุ คา่ ต่อการดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคมสุดจะนับจะประมาณได้ และเป็นคำตอบว่า ทำไมพ่อแม่และครูบาอาจารย์จึงต้องปลูกฝังอบรม เรอ่ื งน้ีให้แก่บุตรธดิ าหรือเหลา่ ศษิ ย์โดยเรว็ ทส่ี ดุ กลา่ วคอื ๑. สำหรบั สมั มาทฐิ ขิ อ้ ท่ี ๑ ทานมผี ลจรงิ และ ๒ การสงเคราะห์ มผี ลจริงน้นั ถ้าเดก็ ๆ ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเองอย่างต่อเนือ่ ง เขากจ็ ะ ประจักษไ์ ดด้ ้วยตนเองวา่ ๑) การเป็นผู้ให้ย่อมก่อให้เกิดความอ่ิมเอิบใจ ปลื้มใจ ภูมิใจมากกว่าการเป็นผู้รับ ไม่ว่าจะให้แก่บุคคลประเภทไหนก็ตาม ยิ่งถ้าได้ถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ ก็จะปล้ืมใจมากย่ิงข้ึน ทำให้เกิด ความคดิ ว่า บุญมีจรงิ ทำบญุ แล้วมแี ต่ความสุขจรงิ ขณะเดยี วกัน ก็ ประจกั ษ์ชัดวา่ การทำบาป ทำชัว่ มีแต่ความร้อนใจและความทุกข์ ๒) การช่วยเหลือสงเคราะห์คนพิการหรือคนยากจนข้นแค้น นา่ สงสาร ยอ่ มทำใหเ้ ดก็ เกดิ ปญั ญาคดิ ไดว้ า่ จะตอ้ งพยายามฝกึ ฝนตนเอง ให้สามารถยืนหยัดบนขาของตนให้ได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาสงเคราะห์ นน่ั คอื เกดิ ความคดิ วา่ ตนจะตอ้ งเปน็ ทพ่ี งึ่ ของตน ขณะเดยี วกนั กพ็ รอ้ ม ที่จะชว่ ยเหลือผูอ้ น่ื หรอื เปน็ ทพ่ี ง่ึ ใหค้ นอืน่ ซ่ึงจะทำให้เกิดความภมู ิใจ ในตนเอง ผดิ กบั การคอยรบั ความช่วยเหลือจากผอู้ น่ื เพราะนอกจากจะ ไมเ่ กดิ ความภาคภมู ิใจในตนเองแล้วยังอาจรูส้ กึ มีปมด้อยอีกด้วย ๒. สำหรับสมั มาทิฐิข้อที่ ๓ การยกย่องมีผลจริง เดก็ ๆ ที่ถกู ฝกึ ใหม้ นี ิสัยยกย่องบูชาคนดี ครั้นเมอื่ ตนทำดีกจ็ ะไดร้ บั การยกยอ่ งท้ังจาก ครูบาอาจารย์ เพ่อื นฝูง เดก็ ๆ เหลา่ น้จี ึงพยายามแข่งกันทำดี เพราะทำ ความดแี ลว้ มคี วามสขุ ความสบายใจ เปน็ ทย่ี อมรบั ของเพอื่ นๆ เดก็ เหลา่ น้ี ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเป็นครู 109
จึงมีกิริยาวาจาสุภาพและมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ทำให้ไม่มี เรือ่ งการกระทบกระท่ังกนั ต่างเอาใจใสเ่ รอ่ื งการเรยี น เมอ่ื ขยันเรียนก็ กลายเป็นคนเรียนเก่ง เป็นท่ีปลาบปลื้มใจของพ่อแม่และครูอาจารย์ สงิ่ เหลา่ นยี้ อ่ มทำใหเ้ ดก็ ๆ เขา้ ใจซาบซง้ึ เรอื่ งกฎแหง่ กรรมโดยอตั โนมตั วิ า่ ทำดตี อ้ งได้ดอี ยา่ งแน่นอน ตรงตามสัมมาทฐิ ขิ ้อที่ ๔ กรรมที่ทำไวม้ ี ผลจริง ๓. สำหรับสัมมาทฐิ ิ ๔ ขอ้ แรกน้ี ถา้ ทางบ้านและทางโรงเรียน ตา่ งปลกู ฝงั ใหเ้ ดก็ ๆ ทำกจิ วตั รกจิ กรรมจนเปน็ นสิ ยั ยอ่ มจะยงั ผลใหเ้ ดก็ ๆ เขา้ ใจซาบซง้ึ เรอ่ื งกฎแหง่ กรรมมากขน้ึ ในทส่ี ดุ กจ็ ะทำใหร้ เู้ ปา้ หมายชวี ติ ได้โดยอัตโนมัติว่า เปา้ หมายระดบั ต้นในชวี ติ ท่ตี นจะตอ้ งทำใหส้ ำเร็จคือ การตง้ั หลกั ฐานในชวี ิตให้ได้ เม่ือเกิดความคิดเช่นนแี้ ล้ว เด็กๆ ยอ่ มรู้ ไดด้ ว้ ยตนเองวา่ จะตอ้ งไมป่ ระพฤตติ วั เกะกะเกเร ไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั อบายมขุ ทัง้ ปวง เพราะตระหนกั ชัดวา่ อบายมุขทงั้ ปวง เป็นสงิ่ ให้โทษต่อร่างกาย และจิตใจ ทำให้เสยี ทรพั ย์ เสยี การเรยี น เสยี ความไวว้ างใจจากพ่อแม่ ครบู าอาจารย์ และเปน็ อุปสรรคตอ่ การตั้งหลกั ฐานในชวี ิตของตนดว้ ย ๔. การปฏบิ ตั สิ มั มาทฐิ ิ ๔ ขอ้ แรกจนเปน็ นสิ ยั เดก็ ๆ กจ็ ะสามารถ พัฒนาคณุ ธรรมพืน้ ฐาน ๓ ประการ คือ ความเคารพ ความอดทน และความมวี นิ ัย โดยที่ผู้ใหญ่ไมต่ ้องเคย่ี วเขญ็ เช่น เด็กๆ ท่ีไดร้ ับ การฝึกให้ใส่บาตรในตอนเช้าทุกวัน ด้วยความเคยชินก็จะบังคับตัวเอง ให้ตน่ื เชา้ เพอื่ ช่วยมารดาทำอาหารและเตรียมอาหารใสบ่ าตร มคี วาม เคารพในพระภิกษสุ งฆผ์ ู้เป็นเนอ้ื นาบญุ เปน็ ตน้ ๕. สำหรับสัมมาทิฐิข้อ ๕ โลกนี้มี (ที่มาจริง) และขอ้ ๖ โลก หนา้ มี (ท่ีไปจรงิ ) จะชว่ ยให้เดก็ เกดิ ความเข้าใจความแตกตา่ งระหวา่ ง บคุ คล เด็กทมี่ ปี ญั หามาแต่กำเนดิ เช่น พกิ าร เรียนไมเ่ กง่ ครอบครัว ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 110
ยากจน รูปร่างหน้าตาไม่ดี ย่อมสามารถยอมรับสภาพของตนเองได้ เพราะเขา้ ใจถงึ เหตทุ ท่ี ำให้ตนมสี ภาพเชน่ น้ัน ไม่คดิ โทษใคร สว่ นเดก็ ท่ี เกิดมามสี ภาพเหนอื กวา่ ผ้อู ืน่ ก็จะไมผ่ ยอง ไมก่ ลา้ ทำความช่ัว ทำบาป คดิ สรา้ งแตบ่ ญุ กศุ ลเรอ่ื ยไป เพราะตระหนกั วา่ หากบาปกรรมเกา่ ตามทนั ตนก็จะไมม่ ที างเลย่ี งทุกขไ์ ปได้ เม่ือเขา้ ใจที่ไปทีม่ าของชีวิตตนแล้ว ย่อม ไมป่ ระมาท ไม่ดถู กู เหยยี ดหยามใคร มุ่งมน่ั ทำแตค่ วามดีใหย้ ่งิ ๆ ขน้ึ ๖. สำหรบั สัมมาทิฐิข้อท่ี ๗ มารดามพี ระคุณจรงิ และ ๘ บิดา มีพระคุณจริง ถ้าเด็กได้รับการอบรมส่ังสอนให้รู้ถึงสภาพวิกฤตชีวิต ของตนนบั ตงั้ แตข่ ณะทคี่ ลอดจากครรภม์ ารดา และความยากลำบากของ พอ่ แม่ท่ตี อ้ งเลีย้ งดูตนมาตง้ั แตเ่ กิด ลูกๆ ยอ่ มมคี วามกตญั ญกู ตเวทีต่อ มารดาบิดาอย่างแนน่ อน อนึ่ง สำหรับผู้เป็นพ่อแม่ทั้งหลาย เม่ือตนให้กำเนิดลูกแล้ว ย่อมจะมีความรักและปรารถนาดีต่อลูก ปรารถนาให้ลูกไปสู่สุคติโลก สวรรค์ เมื่อมีความปรารถนาดีเช่นนี้ ก็จำต้องรีบปลูกฝังสัมมาทิฐิให้ แกล่ กู ตง้ั แต่เยาว์วัย ทงั้ ตอ้ งทำตัวเป็นแบบอยา่ งทดี่ ีใหแ้ กล่ กู ตลอดเวลา พ่อแม่ทมี่ ีความคิดเช่นนี้ ยอ่ มจะต้งั อยใู่ นความไมป่ ระมาท ไม่ประพฤติ ผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมาย ทงั้ ไมเ่ ก่ียวข้องพวั พนั กบั อบายมขุ ทุกชนิด หากทำไดเ้ ชน่ นี้ ทกุ ชีวิตในครอบครัวก็จะอยูร่ ว่ มกนั อย่างมคี วามสุข เดก็ ๆ ทไี่ ดร้ บั การปลกู ฝงั อบรมเรอื่ ง สมั มาทฐิ จิ นเกดิ เปน็ นสิ ยั เม่ือเจริญเติบโตข้ึนย่อมจะเป็นคนดีที่โลกต้องการ เพราะนอกจากรู้ เป้าหมายระดับต้นว่าจะต้องตั้งหลักฐานให้ได้แล้ว ยังจะรู้เป้าหมาย ระดับกลาง คอื การไปสู่สคุ ตโิ ลกสวรรคใ์ นภพชาติต่อไป เขาจงึ ต้งั ใจ บำเพ็ญคุณความดีทุกรูปแบบ ตั้งใจดูแลเอาใจใส่บุพการีของตนเป็น อยา่ งดี ด้วยตระหนกั ในพระคณุ อย่างสูงสดุ ของทา่ น ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 111
อยา่ งไรกต็ าม บรรดาลกู ๆ ทง้ั หลายทต่ี อ้ งทำหนา้ ทดี่ แู ลพอ่ แม่ ของตนอยนู่ ้ัน พงึ ระลึกถึงพระคณุ ของผสู้ งู อายุทา่ นอน่ื ๆ อีกดว้ ย เพราะ ท่านเหล่านี้ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการทำนุบำรุงประเทศชาติ และ พระพทุ ธศาสนา ใหย้ นื ยาวเปน็ มรดกตกทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั ถา้ ขาดทา่ น เหลา่ นเ้ี สยี แลว้ กไ็ มอ่ าจจะทราบไดว้ า่ ประเทศไทยและพระพทุ ธศาสนา จะยนื ยาวมาจนถึงปัจจุบนั ไดห้ รอื ไม่ ๗. เดก็ ทม่ี คี วามรคู้ วามเขา้ ใจเรอ่ื งกฎแหง่ กรรม เรอ่ื งโลกนโ้ี ลกหนา้ เปน็ อยา่ งดแี ลว้ ย่อมเขา้ ใจสมั มาทฐิ ขิ ้อท่ี ๙ ได้โดยง่ายวา่ สตั วท์ ีเ่ กิด แบบโอปปาตกิ ะมจี รงิ นรกและสวรรค์มจี ริง จึงเกดิ ความกระตอื รอื รน้ ที่จะบำเพ็ญกศุ ลธรรมใหย้ ิ่งๆ ขน้ึ ๘. ความรู้เรือ่ งสัมมาทิฐจิ ากขอ้ ที่ ๑ ถึงขอ้ ท่ี ๙ ย่อมชว่ ยให้เด็กๆ รเู้ ปา้ หมายชวี ติ ทงั้ ระดบั ตน้ และระดบั กลางเปน็ อยา่ งดี ครนั้ เมอื่ ไดเ้ รยี นรู้ สมั มาทฐิ ขิ อ้ ท่ี ๑๐ ทวี่ า่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็ บรมครขู องสตั วโ์ ลก มีจริง กจ็ ะรูช้ ดั ว่า เป้าหมายสูงสุดในชวี ติ ของคนเราคือ การทำกิเลสให้ หมดส้ินไป เพราะเข้าใจดีว่า ตราบใดท่ียังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ใน สังสารวัฏ กจ็ ะต้องประสบความทุกขค์ วามเดอื ดรอ้ นอยูร่ ่ำไป และหาก ชาติใดเกิดมาไม่พบพระพุทธศาสนาย่อมไม่รู้ธรรม ไม่รู้จักการปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ ไม่มีเน้ือนาบุญ ซ่ึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้เราก่อกรรมช่ัว กอ่ บาป อันเป็นเหตใุ ห้ไปสทู่ ุคติ ประสบทุกข์แสนสาหัสโดยไมร่ จู้ บสิ้น เพราะฉะนน้ั เมอ่ื ไดเ้ กดิ มาพบพระพทุ ธศาสนาแลว้ กพ็ งึ พากเพยี ร ปฏิบตั สิ ัมมาสมาธิให้เตม็ ท่ี ยง่ิ กวา่ นน้ั เด็กๆ จะเขา้ ใจคุณคา่ และ ความจำเปน็ จนทำให้รกั การปฏิบตั ิสมั มาสมาธิยิง่ ขึ้นอกี ทง้ั นเ้ี พราะ มีพ่อแม่และครูบาอาจารย์ให้การปลูกฝังอบรม และปฏิบัติตนเป็น แบบอยา่ ง อยา่ งไรก็ตามเดก็ ๆ ทีย่ งั ไม่มคี วามเขา้ ใจเรอื่ งสมั มาทฐิ ิ ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 112
อยา่ งถกู ตอ้ งลกึ ซงึ้ และปฏบิ ตั จิ นเปน็ นสิ ยั แลว้ ยอ่ มมองไมเ่ หน็ คณุ คา่ และความจำเปน็ ของการปฏบิ ตั สิ มาธิ ทำใหเ้ ผลอสตติ กอยใู่ ตอ้ ำนาจ ของกเิ ลส และกลายเป็นมจิ ฉาทฐิ ผิ ู้ไรเ้ ป้าหมายชวี ิต ซงึ่ นบั วา่ เป็น อนั ตรายตอ่ ตนเองและประเทศชาตเิ ป็นอย่างย่งิ ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 113
บทท่ี ๔ การศึกษาและการสอน ความหมายของการศกึ ษา ก่อนจะศึกษาเน้ือหาสาระของการศึกษาอย่างละเอียด ควรรู้ ความหมายและความเก่ยี วเนื่องกนั ของคำทงั้ ๓ คำก่อน คอื คำว่า การ ศึกษา การจัดการศกึ ษาและการสอน ซึ่งทัง้ ๓ คำมคี วามหมายดงั น้ี ๑. การศกึ ษา คอื การพัฒนาผ้เู รยี นทัง้ ทางกาย วาจา ใจใหเ้ ปน็ ผ้มู ีนสิ ัยใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ทำดแี ละใฝ่รกั ษาสุขภาพ การท่ีจะพฒั นาผู้เรียนให้ มนี สิ ยั ดงั กลา่ วไดน้ น้ั จะตอ้ งมกี ารจดั การศกึ ษาและการสอนอยา่ งเหมาะสม ๑ ๒ นิสยั ใฝเ่ รยี นรู้ นสิ ัยใฝท่ ำดี การศกึ ษา คือการพัฒนานิสัย ๓ ของผู้เรยี น ๓ นิสยั ใฝร่ ักษาสขุ ภาพ ภาพท่ี ๔-๑ การศึกษา ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 114
๒. การจัดการศึกษา คือการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนมี ระเบยี บแบบแผนเพือ่ พัฒนาผ้เู รียนใหม้ ีนสิ ยั ๓ ประการ คอื ใฝเ่ รยี นรู้ ใฝ่ ทำดีและใฝร่ ักษาสุขภาพ โดยใช้กำลงั ๓ ประเภท คือ ๑) กำลงั บุคลากร ประกอบดว้ ยผบู้ รหิ าร ครู พอ่ แม่ พระภกิ ษแุ ละชมุ ชน ๒) กำลงั ทรพั ยากร ประกอบดว้ ยเงนิ อาคาร สถานท่ี วสั ดุ อุปกรณ์ และ ๓) กำลงั ความรู้ ประกอบด้วยนโยบาย หลักสูตร การบริหารจัดการ การติดตามและ ประเมนิ ผล ผูร้ ับผิดชอบการจดั การศึกษาก็คอื ผู้บริหาร ๑ กำลังบุคลากร ๒ กำลังทรัพยากร - ผู้บรหิ าร การจดั การศกึ ษา - เงนิ - ครู คอื การใช้กำลัง ๓ - อาคาร - พอ่ แม่ - สถานที่ - พระ พัฒนานสิ ัย ๓ - วัสดุ - ชมุ ชน - อปุ กรณ์ ๓ กำลังความรู้ นโยบาย หลักสูตร การบริหารจดั การ การตดิ ตาม ประเมนิ ผล ภาพที่ ๔-๒ การจดั การศึกษา ๓. การสอน ในทนี่ หี้ มายถงึ การดแู ลเอาใจใสแ่ นะนำ สง่ั สอน ฝกึ ฝน อบรมผูเ้ รียนให้มนี สิ ัยใฝเ่ รยี นรู้ ใฝ่ทำดี และใฝร่ ักษาสุขภาพรา่ งกายและ ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 115
สุขภาพจติ ใหเ้ หมาะสมต่อการประกอบคณุ งามความดตี ่างๆ ไดเ้ ต็มท่ี ในฐานะเปน็ มนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณ์ ผรู้ บั ผดิ ชอบการสอนโดยตรงกค็ อื ครบู าอาจารย์ ตามโรงเรียนตา่ งๆ โดยมพี ่อแม่ พระภิกษุ ชุมชนใหก้ ารสนับสนุน วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา เพ่ือให้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริงจึงกำหนดวัตถุประสงค์ในการ ศกึ ษา ไว้ดังนี้ ๑. เพื่อพัฒนานิสัยใฝ่เรียนรู้ให้มีประสิทธิผล ด้วยการฝึกหัด อบรมผเู้ รยี นให้ ๑) รจู้ กั วธิ แี สวงหาความรจู้ ากสาระการเรยี นรู้ ๒) เมอ่ื รแู้ ลว้ กน็ ำความรนู้ น้ั มาพจิ ารณาไตรต่ รองจนเกดิ ความเขา้ ใจ ๓) เมอ่ื เข้าใจแล้วก็ฝึกลงมือปฏิบัติตามที่เข้าใจ เพื่อให้มีความสามารถใน การทำงานอยา่ งแทจ้ ริงตามสาระการเรียนรนู้ ัน้ ๆ จนเกิดทักษะและ ความเชี่ยวชาญตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ โดยฝึกตาม หลกั วฒุ ิธรรม ๔ ใหเ้ หมาะกับเพศและวัยของผเู้ รียน ๒. เพื่อพัฒนานิสัยใฝ่ทำดีให้มีประสิทธิผล ซ่ึงประกอบด้วย นสิ ยั รบั ผดิ ชอบ ๔ ประการคอื ๒.๑ นสิ ยั รบั ผดิ ชอบตอ่ ศลี ธรรมในตน โดยไมท่ ำลายตนเอง ดว้ ยการเวน้ กรรมกเิ ลส ๔ คอื ๑) ไมฆ่ า่ สตั ว์ ๒) ไมล่ กั ทรพั ย์ ๓) ไมป่ ระพฤติ ผดิ ในกาม ๔) ไมพ่ ดู เทจ็ ๒.๒ นสิ ยั รบั ผดิ ชอบตอ่ ศลี ธรรมสงั คม โดยไมท่ ำลายสงั คม ด้วยการเว้นอคติ ๔ คือ ๑) ไมล่ ำเอยี งเพราะรกั ๒) ไมล่ ำเอยี งเพราะชัง ๓) ไมล่ ำเอยี งเพราะเขลา ๔) ไมล่ ำเอียงเพราะกลัว ๒.๓ นิสยั รับผิดชอบต่อศลี ธรรมเศรษฐกจิ โดยไม่ทำลาย เศรษฐกจิ ตนเองดว้ ยการเวน้ อบายมขุ ๖ คือ ๑) ไม่เสพสุรายาเสพติด ศาสตร์และศลิ ป์แห่งความเป็นครู 116
๒) ไมเ่ ทย่ี วกลางคนื ๓) ไมเ่ ทย่ี วดมู หรสพ ๔) ไมเ่ ลน่ การพนนั ๕) ไมค่ บ คนชว่ั เป็นมิตร ๖) ไม่เกียจครา้ นการงาน ๒.๔ นสิ ยั รบั ผดิ ชอบตอ่ การสรา้ งมติ รแทใ้ หส้ งั คม โดยรว่ ม สร้างสังคมดดี ้วยการปฏิบัติหน้าท่ปี ระจำทิศ ๖ ได้แก่ ทศิ เบอ้ื งหน้าคือ บิดามารดา ทิศเบ้ืองขวาคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องหลังคือบุตร-ธิดา และภรรยา-สามี ทิศเบ้ืองซ้ายคือมิตรสหาย ทิศเบื้องล่างคือบริวาร ทศิ เบือ้ งบนคอื สมณะ โดยอาศัยสงั คหวตั ถุ ๔ เป็นเครือ่ งยึดเหนยี่ วจิตใจ ของทุกๆ คนใหเ้ ป็นน้ำหนึง่ ใจเดยี วกัน ๓. เพ่ือพัฒนานิสัยใฝ่รักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจให้มี ประสทิ ธิผล เหมาะต่อการประกอบคณุ งามความดตี ่างๆ ได้เต็มที่ ธรรมชาติการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมกบั การปลูกฝงั คณุ ธรรม เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมนี สิ ยั ดที ง้ั ๓ ประการตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา คอื นสิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ นสิ ยั ใฝท่ ำดี และนสิ ยั ใฝร่ กั ษาสขุ ภาพ ขณะดำเนนิ การ เรยี นการสอนอยนู่ น้ั ผสู้ อนจำเปน็ ตอ้ งฝกึ หดั อบรมผเู้ รยี นใหเ้ ปดิ ใจใหก้ วา้ ง และเต็มใจยอมรับความจริงตามธรรมชาติในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ดว้ ยการบรหิ ารจิตหรอื เจรญิ ภาวนาซงึ่ เปน็ ความดสี ากลเปน็ ประจำ เพือ่ ใหส้ ามารถประจกั ษแ์ จ้งความจริงดว้ ยตนเองวา่ ๑. ไม่มีบุคคลใดในโลกท่ีสมบูรณ์พร้อม กล่าวคือ แต่ละคน ต่างยังมีข้อบกพร่องท้ังการกระทำและความประพฤติไม่ว่าจะเป็นทาง กาย ทางวาจา หรือทางใจ ซึ่งต้องการการแก้ไข เพราะตา่ งยงั เป็นปถุ ชุ น คอื คนมกี เิ ลสหนาดว้ ยกนั ทง้ั สน้ิ ดงั นนั้ ทกุ ๆ คนจงึ ตอ้ งฝกึ ตนไมใ่ หด้ ถู กู ดหู มนิ่ ใคร ไมว่ า่ จะอยใู่ นเพศ ภาวะหรอื ฐานะใดๆ รวมทง้ั ไมด่ ถู กู ตนเอง อีกดว้ ย ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 117
๒. ทกุ ชวี ติ อยตู่ ามลำพงั ตนเองไมไ่ ด้ ตา่ งตอ้ งพง่ึ พาอาศยั ซงึ่ กนั และกัน ย่ิงกว่านั้นหากมีเหตุการณ์สำคัญๆ หรือรุนแรงใดๆ เกิดข้ึน ไม่วา่ จะเป็นดา้ นสังคม เศรษฐกจิ การเมือง และสิง่ แวดล้อม ชาวโลก ท้ังโลกย่อมตอ้ งการความรว่ มแรงร่วมใจกันในการแกไ้ ขปัญหาทง้ั ส้นิ นอกจากฝึกการเจริญภาวนา เพ่ือประสิทธิผลในการเห็นความ เป็นจริงตามธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคมท้ัง ๒ ประการดงั กลา่ ว ครยู งั ตอ้ งฝกึ หดั อบรมผเู้ รยี นดว้ ยความจรงิ จงั และจรงิ ใจ ให้ผู้เรียนมีศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมประจำใจขั้นพ้ืนฐาน ใหม้ ่นั คงย่งิ ๆ ขนึ้ ไปอีก ๓ ประการ คอื ๑) ความเคารพ ๒) ความ อดทน และ ๓) ความมวี นิ ยั ดอกมะเขอื เคารพ ๑. พระรตั นตรยั ๒. พอ่ แม่ ครู ๓. การศกึ ษา ความเหน็ ถูก ความดำรถิ กู ๔. สมาธิ ๕. ความไมป่ ระมาท ๖. การปฏิสนั ถาร ๑. ความลำบาก ปัญญา การพูดถกู ๒. ความเจบ็ ไข้ ความตง้ั ใจมน่ั ถูก ๓. ความเจ็บใจ จิตต ศีล ๑. การแสดง ๔. ความเย้ายวน ความเคารพ ความระลกึ ถูก การกระทำถูก ๒. ความสะอาด ความ การ ๓. ความเปน็ ระเบยี บ พยายามถูก เล้ยี งชพี ถูก ๔. การตรงต่อเวลา อดทน วนิ ัย หญ้าแพรก ข้าวตอก ภาพท่ี ๔-๓ มรรคมอี งค์ ๘ เพือ่ การศึกษาและพฒั นานสิ ัย ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู 118
๑) ความเคารพ หมายถงึ ความยอมรบั และนบั ถอื ในคณุ ความดี ทม่ี อี ยจู่ รงิ ในตวั บคุ คล วตั ถุ ตลอดจนเหตกุ ารณต์ า่ งๆ แลว้ ประพฤติ ตอ่ บคุ คล วตั ถุ และเหตกุ ารณน์ นั้ ๆ ดว้ ยอาการยกยอ่ ง เชดิ ชู เลอ่ื มใส สง่ิ ทค่ี วรแกก่ ารฝกึ อบรมผเู้ รยี นใหม้ คี วามเคารพตงั้ แตย่ งั เยาวค์ อื ๑. เคารพพระรตั นตรยั ซง่ึ ประกอบดว้ ย พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ แลว้ ยดึ ถอื ไวเ้ ปน็ สรณะทพ่ี งึ่ อนั สงู สดุ อยา่ งแทจ้ รงิ ตลอดชวี ติ ๒. เคารพบิดา มารดา ครู อาจารย์ ๓. เคารพการศกึ ษา ๔. เคารพสมาธิ ๕. เคารพความไมป่ ระมาท ๖. เคารพการปฏิสันถาร ตอ้ งฝกึ ผเู้ รยี นใหเ้ ปดิ ใจคน้ หาคณุ ความดที มี่ อี ยจู่ รงิ ในสง่ิ หรอื บคุ คลทพี่ งึ เคารพนนั้ ๆ ใหพ้ บ ครนั้ พบแลว้ กไ็ มอ่ ยนู่ งิ่ เฉย ตอ้ งแสดงออก ถงึ ความยอมรบั และนบั ถอื ดว้ ยการแสดงความออ่ นนอ้ มทง้ั ทางกาย ทางวาจา และทางใจในทกุ ๆ โอกาส พรอ้ มทง้ั หมน่ั บนั ทกึ ความดนี นั้ ๆ เอาไวเ้ ตอื นใจ และน้อมเอาความดีน้ันๆ ไปปฏิบัติตาม เพื่อใหเ้ กิด คุณความดีเช่นน้นั ขนึ้ ในตนด้วย นิสัยมีความเคารพน้ี ถ้าปลูกฝังให้เกิดข้ึนแก่เด็กต้ังแต่เยาว์ วยั ย่อมเกิดคณุ แก่เดก็ คือ มีความน่ารัก น่าเอน็ ดู นา่ ทะนุถนอม ใคร เห็นก็มีความรักใคร่เอ็นดูในความนอบน้อม ไม่จับผิดผู้ใด ทุกคนจึงมี กำลังใจทจ่ี ะอบรม สัง่ สอน ถา่ ยทอดความร้วู ชิ าการ และนสิ ัยดีงามให้ เม่ือเด็กได้รับการทุ่มเทดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ท้ังในด้านความรู้และ ความดจี ากผใู้ หญแ่ ละผอู้ ยรู่ อบขา้ ง กจ็ ะมโี อกาสสง่ั สมความรแู้ ละความดี ไวไ้ ดแ้ ตเ่ ยาวว์ ยั ครนั้ เตบิ ใหญก่ จ็ ะเปน็ ผใู้ หญท่ ใี่ ครๆ ตา่ งกม็ อบความเคารพ ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 119
ความไวว้ างใจ และความยกยอ่ งนบั ถอื ให้ ดว้ ยมนั่ ใจวา่ เปน็ ผใู้ หญท่ ไ่ี มก่ อ่ ความเดือดรอ้ น ไมเ่ ป็นพษิ ภยั ใดๆ มแี ตจ่ ะสร้างคุณความดใี ห้ย่ิงๆ ข้ึน ตลอดไป ๒) ความอดทน หมายถงึ ความสามารถในการรกั ษาใจใหป้ กติ ไมว่ า่ จะประสบกบั ความเปลย่ี นแปลงใดๆ กย็ งั ยนื หยดั สรา้ งคณุ งาม ความดที ตี่ งั้ ใจไวใ้ หส้ ำเรจ็ ลลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี ทง้ั นเ้ี พราะมนี สิ ยั ไมท่ อ้ ถอย ไมย่ อมล้มเลกิ กลางคันเม่อื ประสบอปุ สรรค ความอดทนทท่ี ำใหส้ ามารถรกั ษาใจใหป้ กตไิ ดม้ ี ๔ ลกั ษณะ คอื ๑. อดทนตอ่ ความลำบาก ไดแ้ ก่ อดทนตอ่ ความไมเ่ ออื้ อำนวย ของธรรมชาติ เชน่ แดด ลม ฝน ฯลฯ แล้วตั้งใจทำความดตี อ่ ไป ๒. อดทนตอ่ ความทุกขเวทนา ได้แก่ อดทนต่อความทุกข์ อนั เกิดจากความเจบ็ ไข้ได้ป่วย แลว้ ตั้งใจทำความดีต่อไป ๓. อดทนตอ่ ความเจบ็ ใจ ไดแ้ ก่ อดทนตอ่ การกระทำลว่ งเกนิ ของผอู้ ืน่ ด้วยการปลอ่ ยวางและใหอ้ ภยั ไม่ผูกใจเจ็บ แลว้ ต้ังใจทำความดี ตอ่ ไป ๔. อดทนต่อความเยา้ ยวน ไดแ้ ก่ อดกลน้ั ต่อความอยาก หรือกเิ ลสของตนเอง เชน่ อยากเลน่ การพนัน อยากเทยี่ วกลางคืน ฯลฯ แล้วตงั้ ใจทำความดีต่อไป เพือ่ ให้ผเู้ รยี นมคี วามอดทนตอ้ งฝึกอบรมผเู้ รยี นให้ ๑) พิจารณาคณุ โทษ และประโยชน์ของความอดทน ๒) ออกกำลงั กายเปน็ ประจำ เพอ่ื ใหร้ า่ งกายแขง็ แรงอยเู่ สมอ ๓) ทำใจยอมรับความบกพร่องทางนสิ ยั ใจคอ ความรคู้ วาม สามารถของผู้อื่นแลว้ ใหอ้ ภัย ๔) เรง่ ฝกึ ฝนตนเองใหใ้ ฝร่ ู้ใฝด่ ีมคี วามสามารถรอบดา้ นยง่ิ ๆขนึ้ ศาสตร์และศิลป์แห่งความเปน็ ครู 120
๕) ทำสมาธภิ าวนามากๆ เพอ่ื เพม่ิ กำลงั ใจตนเองใหส้ ามารถ หกั ห้ามใจไม่ยอมทำความผิด ความชัว่ ใดๆ นสิ ยั อดทนเปน็ บอ่ เกดิ แหง่ ความขยนั และความสงบเยอื กเยน็ เปน็ คณุ ลกั ษณะสำคญั ทที่ ำใหเ้ ดก็ มคี วามเขม้ แขง็ ทนตอ่ การรองรบั คำสงั่ คำสอน และความยากลำบากในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามแบบอยา่ งทด่ี งี าม ของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และผู้รทู้ ้ังหลาย รวมทงั้ อดกล้ันใจตอ่ อบายมุข และสงิ่ มอมเมาทง้ั ปวง เมอ่ื เตบิ โตเปน็ ผใู้ หญใ่ นภายหนา้ ยอ่ มเปน็ ผไู้ มม่ เี วร ไม่มีภัยแก่ใคร พร้อมท่ีจะเป็นเสาหลักแห่งความดีงามให้แก่มหาชน เพราะเปน็ ผ้ฝู กึ ตนมาดี มีความอดกลัน้ และทนทานตอ่ อำนาจกิเลส ทงั้ จากภายนอกและภายใน ๓) ความมวี นิ ยั คอื ความเตม็ ใจปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบยี บขอ้ บงั คบั ของหมูค่ ณะท่ีกำหนดไว้ดแี ล้ว เพือ่ ประโยชน์เหล่าน้คี ือ ๑. เพือ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยดีงามของตนเอง และหมู่คณะ ๒. เพื่อปกป้องคุ้มครองตนเอง มิให้ทำความผิด ความช่ัว รวมทั้งมิให้เกิดความกระทบกระท่ังกันและกัน อันจะก่อให้เกิดความ เดอื ดรอ้ นเสียหายได้ ๓. เพื่อความยอมรับและเลื่อมใสของมหาชน ตอ้ งฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นขวนขวายหาความรู้ และปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบงั คบั ท่ีห้ามและท่ีอนุญาตทัง้ ของประเทศชาติ พระพุทธ ศาสนา วดั โรงเรยี น สถานทร่ี าชการ ตลอดจนการสมาทานรกั ษาศีล ๕ อโุ บสถศลี และการเขา้ วดั ปฏบิ ตั ธิ รรมตามโอกาสอยา่ งเครง่ ครดั ทงั้ นเ้ี พอ่ื เปน็ การปอ้ งกนั แกไ้ ข กำจดั ความประพฤตบิ กพรอ่ งเสยี หายทางกาย ทาง วาจา และทางใจตง้ั แตย่ งั เยาว์ ซง่ึ จะเปน็ ผลใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรบั ผดิ ชอบ ต่อความเจริญรุ่งเรือง ท้งั ส่วนตนและสว่ นรวม โดยยดึ ประโยชน์สขุ ของ ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 121
สว่ นรวมเปน็ ใหญ่ และต้ังใจประพฤติปฏิบัตธิ รรมกำจัดกิเลสให้ยิ่งๆ ขน้ึ ไปอกี ด้วย นสิ ยั มวี ินัยน้ี เป็นศีลธรรมพน้ื ฐานทตี่ อ้ งปลูกฝังแต่เยาว์วยั เพราะ ผมู้ วี นิ ยั ยอ่ มประพฤตติ นอยใู่ นระเบยี บ เปน็ ผพู้ รอ้ มทจี่ ะรองรบั การฝกึ ฝน และการอบรมชีแ้ นะจากพ่อแม่ ครบู าอาจารย์ และผู้รทู้ ั้งหลาย ความมี วินัยทำให้จิตสงบ ไม่สับสนวุ่นวาย เป็นสมาธิได้รวดเร็ว เด็กท่ีมีวินัย จึงมีสมาธดิ ี นำไปสูก่ ารเป็นผมู้ ีความต้ังใจเรยี น และขวนขวายแสวงหา ความรอู้ ยเู่ สมอ เปน็ การเพาะนสิ ยั ใฝเ่ รยี นรใู้ หเ้ จรญิ งอกงาม เมอื่ เจรญิ วยั เปน็ ผู้ใหญย่ อ่ มเป็นบณั ฑิต นักปราชญ์ ผ้ทู รงวชิ าความรู้ และอุดมดว้ ย ความดงี าม เปน็ เขม็ ทศิ นำสว่ นรวมใหด้ ำเนนิ ชวี ติ ตามหลกั มรรคมอี งค์ ๘ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง หากผู้เรียนได้รับการฝึกหดั อบรมใหป้ ระพฤตปิ ฏิบตั กิ จิ วัตร และ กจิ กรรมทสี่ ่งเสรมิ ศลี ธรรม ความดงี ามตา่ งๆ ดงั กล่าวอยา่ งสมำ่ เสมอ ศลี ธรรม คณุ ธรรม จริยธรรมพื้นฐาน คอื ความเคารพ ความอดทน และความมีวินัย ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างมั่นคง เหมาะกับเพศและวัย ตง้ั แต่ยังเยาว์ นอกจากน้ี ยงั เปน็ เร่ืองงา่ ยที่จะพฒั นาองค์คณุ อ่นื ๆ ให้ บังเกิดขึน้ อีกด้วย ขอ้ ควรระวังในการจดั การศกึ ษา เนอ่ื งจากความร้ทู างวิชาการหากเกิดกบั คนนิสยั เปน็ พาล ย่อมมี แต่จะนำความเสียหายมาให้ เพราะเขาจะนำความรู้ไปใช้ในทางท่ีผิด ตรงกนั ขา้ มความรนู้ นั้ ๆหากเกดิ กบั ผมู้ นี สิ ยั ดงี ามเปน็ บณั ฑติ ยอ่ มมแี ตค่ ณุ เพราะคนดีมีวินัยย่อมเลือกที่จะนำความรู้ที่ตนฝึกฝนอบรมมาด้วย ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเป็นครู 122
ความเหนอื่ ยยาก ไปใช้เฉพาะในสิง่ ท่ีดีและเกดิ ประโยชน์ต่อตนเองและ ส่วนรวมเทา่ น้นั ในการจดั การศกึ ษาจึงจำเป็นตอ้ งระมัดระวังเรอ่ื งต่างๆ ดังตอ่ ไปนี้ คอื ๑. ตอ้ งไมถ่ า่ ยทอดความรคู้ วามสามารถเพยี งเฉพาะดา้ นวชิ าการ ใหแ้ กผ่ ใู้ ดเปน็ อนั ขาด แตต่ อ้ งพฒั นานสิ ยั ผเู้ รยี นใหม้ ศี ลี ธรรม คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมอยา่ งมน่ั คงควบคกู่ บั ความรคู้ วามสามารถทางวชิ าการ เพ่ือเป็นหลักประกันว่า เม่ือผู้เรียนสำเร็จการศึกษาแล้ว จะนำความรู้ ความสามารถทีไ่ ด้รบั ไปเลอื กประกอบแตค่ ณุ งามความดเี ทา่ น้นั ๒. ตอ้ งพฒั นานสิ ยั ผเู้ รยี นใหม้ ศี ลี ธรรม คณุ ธรรม และจรยิ ธรรม ดว้ ยการสอดแทรกหลกั ธรรมคำสอนในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งเหมาะสม กบั เพศและวยั ไวใ้ นทกุ ๆ สาระการเรยี นรแู้ ตล่ ะวชิ า และแตล่ ะขนั้ ตอน การทำงานตามสาระการเรยี นรนู้ น้ั ๆ อยา่ งเขม้ งวด ตลอดจนจดั กจิ กรรม และกจิ วัตรสง่ เสริมอยา่ งสม่ำเสมอ เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รียนได้ปฏบิ ตั ิเป็นประจำ ทง้ั ท่ีบา้ น วดั โรงเรยี น ตลอดจนสถานทร่ี าชการและสถานท่ีทว่ั ไป เปน็ การปลกู ฝังศีลธรรมลงในใจจนเปน็ นสิ ยั ใฝ่ดขี องผูเ้ รียน ๓. ตอ้ งฝกึ หดั อบรมศลี ธรรม คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมใหผ้ เู้ รยี น เรว็ ทสี่ ดุ เทา่ ทจ่ี ะเรว็ ได้ โดยยดึ การปฏบิ ตั ติ ามมรรคมอี งค์ ๘ เปน็ แมบ่ ท เพ่อื ปอ้ งกันผเู้ รยี นให้พน้ จากบาป เพราะใครกระทำความดชี า้ ไป ใจย่อม กลบั ไปยนิ ดีในความชว่ั ซง่ึ จะเปน็ ปญั หาที่แก้ไขยาก ๔. ต้องกำหนดให้ผู้บริหารการศึกษา ผู้สอน และบุคลากร ทกุ คนในสถานศกึ ษา มสี ว่ นรว่ มรบั ผดิ ชอบในการพฒั นานสิ ยั ผเู้ รยี น ในสถานศกึ ษานัน้ ๆ ดว้ ยการปฏิบัติตนเปน็ ต้นแบบความประพฤติ ทีด่ งี าม ให้แกผ่ เู้ รียนตามสมควรแกฐ่ านะของตน ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 123
การฝึกนสิ ยั ใหร้ กั การปฏบิ ัตมิ รรคมอี งค์ ๘ ตามธรรมดาเม่ือมีการฝึกงานใด ย่อมต้องมีสถานที่สำหรับใช้ ฝึกงานนั้น พร้อมทั้งอุปกรณ์ท่ีจำเป็นต้องใช้ในการฝึกอย่างครบถ้วน เชน่ นักเรียนฝกึ หดั ครู เมอ่ื ถงึ คราวฝึกสอน ก็จำเป็นต้องทำการฝกึ สอน นกั เรยี นในโรงเรียนต่างๆ ตามสถานการณจ์ ริง มิใช่สถานการณ์จำลอง จึงจะทำใหอ้ าจารยผ์ ู้ประเมิน สามารถประเมินผลการสอนของนกั เรียน ฝกึ หดั ครแู ตล่ ะคนได้ใกล้เคยี งความเป็นจรงิ มากที่สุด ในทำนองเดยี วกัน การฝกึ ปฏบิ ตั ติ ามมรรคมีองค์ ๘ อย่างถกู ต้อง สมบรู ณ์ครบถว้ น จนเกดิ เปน็ นสิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ ใฝท่ ำดี และใฝร่ ักษาสุขภาพ ของแตล่ ะคน ก็จำเป็นต้องมีสถานที่สำหรับฝกึ แตก่ ารฝกึ ปฏบิ ตั ิมรรค มอี งค์ ๘ จะแตกต่างกบั การฝกึ งานประเภทอืน่ ๆ โดยมหี ลกั การดังนี้ ๑. ต้องเริ่มฝึกต้ังแต่ยังเป็นเด็กเล็ก มิฉะน้ัน เม่ือโตขึ้นจะมี ความเหน็ เป็นมจิ ฉาทิฐิ ซง่ึ แกไ้ ขยาก ๒. ต้องฝกึ กันทกุ ๆ คน ทุกเพศ ทุกวัย ๓. ต้องฝกึ ซำ้ แลว้ ซำ้ อกี เพอ่ื ใหเ้ กิดความคนุ้ จนเปน็ นสิ ัย แม้ คุ้นจนเป็นนสิ ยั แลว้ กจ็ ำเปน็ ตอ้ งปฏบิ ัตอิ ย่างตอ่ เนื่อง มิฉะน้ัน ความ เกยี จครา้ นจะชักนำนสิ ัยเลวๆ เข้ามาแทนที่ แลว้ กลายเปน็ มจิ ฉาทิฐิไป ในทีส่ ดุ ๔. ครูฝึกหรือผู้ควบคุมการฝึกต้องเป็นแบบอย่างท่ีดีได้ โดย ไมม่ ขี อ้ บกพรอ่ งหรอื หยอ่ นยาน มฉิ ะนน้ั จะเกดิ ปญั หาหลายอยา่ งตามมา เช่น การนินทาว่าร้ายผู้ฝึก การกระทบกระทั่งกันในกลุ่มสมาชิกท่ีอยู่ รว่ มกัน ฯลฯ ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 124
สถานท่ฝี ึกนิสยั สถานท่ีใช้ฝึกนิสัยใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ทำดี และใฝ่รักษาสุขภาพ ตามหลกั มรรคมอี งค์ ๘ เพอ่ื ให้เกิดนสิ ัยดอี ่ืนๆ ตามมาอีกนน้ั เรียก สัน้ ๆ วา่ ๕ ห้องชวี ติ ซง่ึ มีอยู่พรอ้ มแล้วทัง้ ทบ่ี า้ น และท่ีทำงาน หรือ สถานศกึ ษา ได้แก่ ห้องนอน หอ้ งน้ำ หอ้ งแตง่ ตัว ห้องครวั หรอื หอ้ งอาหาร และห้องทำงาน แมบ้ ้านหลังเลก็ ๆ ก็สามารถจดั สรร พนื้ ท่ี โดยแบง่ เป็นมมุ ต่างๆ ให้ครบทง้ั ๕ ห้องได้ ที่โรงเรยี นสำหรบั เด็กเล็กหรอื เดก็ อนุบาลยอ่ มมคี รบท้งั ๕ หอ้ ง ส่วนเด็กโตจะขาดห้องนอน แต่ก็อาจปลูกฝังได้ด้วยการให้ความรู้ภาค ทฤษฎี โดยสรุปกค็ ือ สถานทีส่ ำหรบั ฝึกนิสยั ใฝ่เรยี นรู้ ใฝ่ทำดี และใฝ่ รกั ษาสุขภาพ ของท้ังผู้เป็นครแู ละนกั เรียน กค็ อื ๕ ห้องชีวติ ท้งั ท่บี ้าน และทีโ่ รงเรยี นหรือสถาบันการศกึ ษานั่นเอง หนา้ ท่หี ลักของ ๕ ห้องชีวติ เพื่อให้เขา้ ใจง่ายและรวดเร็ว จึงไดจ้ ดั ทำคำอธิบายเกย่ี วกับหนา้ ท่ี หลกั หรอื วัตถุประสงค์หลักของ ๕ หอ้ งชวี ิต ไวใ้ นรปู แผนภูมิต่อไปน้ี ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 125
ห้องน้ำ หนา้ ทีห่ ลัก ห้องนอน หน้าทีห่ ลัก ๑. ปลกู ฝงั ความดำรถิ ูก ๑. ปลกู ฝังสมั มาทฐิ ิ สมั มาทิฐิ สมั มาสงั กปั ปะ พจิ ารณาความ ความเหน็ ถูกเรอ่ื ง เหน็ ถูก ดำรถิ กู ไม่งามของรา่ งกาย ความเป็นจรงิ ของ สมั มาสมาธิ สัมมาวาจา ห้องมหาพิจารณา ๒. พจิ ารณาความเปน็ รงั ห้องมหาสริ ิมงคล โลกและชวี ติ ตงั้ ใจมัน่ ถกู พดู ถกู พัฒนานิสยั แห่งโรคของรา่ งกาย พัฒนานิสัย ๒. ฝึกสัมมาสมาธิใหใ้ จ สมั มาสติ นิสยั พงึ ระลึกถกู ปรารถนา “พิจารณาสงั ขาร ๓. พิจารณาความเส่อื ม ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู “รกั บุญ กลัวบาป” ตั้งม่นั อยูภ่ ายใน สมั มากัมมันตะ ตามความเปน็ จรงิ ” โทรมของร่างกายท่ี 126 กลางกาย กระทำถูก ดำเนนิ ไปอย่าง พยายามถกู เล้ยี งชพี ถกู ตอ่ เนอ่ื ง สมั มาวายามะ สัมมาอาชวี ะ หอ้ งแต่งตัว หน้าท่หี ลกั หอ้ งอาหาร หนา้ ทีห่ ลกั ๑. ปลกู ฝงั สมั มาสติ ไม่ ห้องมหาสติ ๑. เปน็ สถานทป่ี ระชุม พัฒนานิสัย ปล่อยใจตามอำนาจกเิ ลส “ตดั ใจ ใฝบ่ ญุ ” ๒. ฝึกใหร้ ะวงั ตัวในทกุ เร่ือง หอ้ งทำงาน หน้าท่หี ลกั สมาชิกทกุ คนภายใน ๑. ปลกู ฝังสัมมาอาชีวะ ไม่เผอเรอ หอ้ งมหาสมบัติ บา้ นพรอ้ มหนา้ ๓. ฝึกตดั ใจ ไมห่ มกมนุ่ ใน พฒั นานิสยั ไม่หารายได้จากการทำ ผดิ ศีลธรรม กฎหมาย หอ้ งมหาประมาณ พรอ้ มตากนั ทุกวัน กามคณุ “ใฝค่ วามสำเร็จ” และจารีตประเพณี ๔. ฝึกใช้เหตุผลตกั เตอื นใจ ๒. ใชป้ ลูกฝงั วินัยประจำ พฒั นานสิ ัย ๒. ใช้ปลกู ฝังสัมมาวาจา ห้องทำงาน ตนใหเ้ ปน็ สัมมาทฐิ ิ และ “รู้ประมาณใน และสัมมากมั มนั ตะ สมั มาสงั กัปปะ การพูด และการ ให้แกส่ มาชิกทกุ คน ใช้ทรัพย”์ ในบา้ น ภาพท่ี ๔-๔ หน้าทห่ี ลักของ ๕ หอ้ งชวี ติ ในการปลกู ฝงั นิสยั
จากภาพแสดงหน้าทีห่ ลักของแต่ละห้องใน ๕ หอ้ งชวี ติ คุณครู ยอ่ มเห็นความจรงิ ของโลกและชวี ติ ว่า หากปฏิบัติตามหนา้ ท่หี ลักใน ๕ ห้องชีวิตเป็นกิจวัตรแล้ว ย่อมจะสามารถพัฒนานิสัยใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ทำดี และใฝ่รกั ษาสุขภาพใหเ้ กิดข้นึ ได้จรงิ ตามหลกั มรรคมีองค์ ๘ เชน่ ห้อง อาหาร เม่ือสมาชิกในบ้านเข้ามารับประทานอาหารพร้อมกัน หากมี สมาชกิ คนใดแสดงกริ ยิ ามารยาท ไมว่ า่ จะเปน็ ทางกายหรอื วาจาทไ่ี มง่ าม บรรยากาศในห้องอาหารอาจตึงเครียดทันที ถ้าปลอ่ ยทิ้งไว้ ย่อมก่อให้ เกดิ ปญั หาตามมา แตถ่ า้ มกี ารอบรมตกั เตอื นหรอื ชโ้ี ทษ ปญั หาอาจยตุ ลิ ง แน่นอนว่า สมาชิกทกุ คนย่อมรสู้ กึ อดึ อดั ไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ สมาชกิ ทถ่ี กู ตำหนิ เพยี งกรณเี ดยี วเทา่ น้ี ทา่ นกพ็ อจะเหน็ แนวทางและ ความจำเปน็ ในการปลกู ฝงั อบรมสมาชกิ ในบา้ นของตนใหม้ สี มั มาวาจา และสัมมากัมมันตะ เพ่ือปอ้ งกนั มิให้เร่อื งเลวร้ายเกดิ ขึน้ อีก เมื่อมี การปลูกฝังอบรมนิสัยกันบ่อยๆ สมาชิกทุกคนก็จะได้นิสัยพูดดี ทำดี คอื ปฏิบตั สิ ัมมาวาจาและสมั มากมั มนั ตะอยา่ งตอ่ เน่ือง ผา่ นการใชห้ ้อง อาหารอย่างถกู หลกั การ ยิ่งกว่าน้ัน ขณะท่ีสมาชิกร่วมรับประทานอาหารพร้อมเพรียงกัน อยา่ งมคี วามสขุ ผเู้ ปน็ หวั หนา้ ครอบครวั ยอ่ มสามารถถอื โอกาสอบรมธรรม เร่อื งอื่นๆ ได้อกี หลายเรือ่ ง เชน่ เรอ่ื งการรู้จกั ประมาณในการบรโิ ภค เร่ืองสุขอนามยั ตลอดจนเรือ่ งธาตุ ๔ ท่สี มั พนั ธก์ บั สุขภาพให้แก่สมาชิก ทา่ มกลางบรรยากาศทท่ี ุกคนยอมรับได้ด้วยความสบายใจ จากเรื่องห้องอาหารท่ียกมาเป็นตัวอย่างนี้ ครูย่อมเห็นวิธีการที่ จะใชก้ จิ กรรมในห้องอ่ืนๆ เป็นบทฝึกนสิ ัยใฝ่เรยี นรู้ ใฝท่ ำดี และใฝ่รักษา สุขภาพ ควบคู่ไปกับการปลูกฝังภาคทฤษฎีให้แก่สมาชิกในครอบครัว ของตนได้อย่างกว้างขวาง ประสบการณ์จากการฝึกนิสัยตามหลัก ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 127
มรรคมอี งค์ ๘ จากครอบครวั ของครเู อง ยอ่ มจะเป็นแนวทางให้ครู สามารถนำไปใช้ฝกึ นักเรียนของครูทโ่ี รงเรียนได้อย่างมีประสิทธิผล ในท่ีสุดก็จะกลายเป็นวัฒนธรรมประจำโรงเรียน ที่ท้ังเด็กและครู ตา่ งพากันปฏิบัตมิ รรคมีองค์ ๘ จนคนุ้ เป็นนสิ ยั ตอ่ ๆ กนั ไปรุ่นแลว้ รนุ่ เลา่ ไมข่ าดสาย ครน้ั แลว้ นกั เรยี นทมี่ นี สิ ยั เกะกะเกเรกจ็ ะสญู พนั ธุ์ ไปเอง องค์ประกอบการเรยี นการสอนเพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเกดิ นสิ ยั ๓ การท่ีจะปลูกฝังนิสัยใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ทำดีและใฝ่รักษาสุขภาพกาย และใจใน ๕ หอ้ งชีวิตไดส้ ำเร็จน้นั ตอ้ งอาศัยองคป์ ระกอบและแนวคิด ตอ่ ไปน้ีคอื ๑. มีสถานท่ีสะอาดและสงบ การที่นักเรียนจะสามารถเรียนรู้ และเข้าใจเรื่องท่ีเรียนอย่างแท้จริงถึงขั้นลงมือทำเองได้น้ัน จำเป็นต้อง ไดล้ งมือปฏบิ ัติจริง น่ันคือ เมือ่ เรียนภาคทฤษฎีแล้ว ก็ตอ้ งฝกึ งานใน ภาคปฏบิ ัตเิ ป็นลำดบั ต่อไป ผเู้ รียนจงึ จะเกดิ ความเขา้ ใจอยา่ งแท้จริง แมม้ คี วามเขา้ ใจแลว้ กย็ งั ไมถ่ อื วา่ มคี วามสามารถในการทำงานนนั้ จงึ จำเปน็ จะตอ้ งไดล้ งมอื ทำงานนน้ั ซ้ำๆ อกี หลายๆ ครง้ั จนเกดิ ความชำนาญ ไมม่ ผี ดิ พลาด จงึ จะถอื วา่ มคี วามสามารถ ยง่ิ ชำนาญเทา่ ใด ความสามารถ ก็ย่ิงทวขี นึ้ เป็นเงาตามตวั การปลกู ฝงั นสิ ยั ใน ๕ หอ้ งชวี ติ กเ็ ชน่ กนั จำเปน็ จะตอ้ งมสี ถานที่ คือห้องต่างๆ ทัง้ ๕ หอ้ งไว้ใหน้ กั เรยี นลงมือทำกิจกรรมจริงๆ กล่าวคอื เมื่อครูได้อธิบายหลักธรรมประจำห้องใดห้องหนึ่งใน ๕ ห้องชีวิตแล้ว กจ็ ะตอ้ งจดั เวลาใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคน ไดล้ งมอื ฝกึ ทำกจิ กรรมประจำหอ้ งนน้ั เป็นการเรยี นภาคปฏบิ ตั ิ ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 128
ขณะทนี่ กั เรยี นทำกจิ กรรมกนั ครจู ะตอ้ งควบคมุ ดแู ลใหป้ ฏบิ ตั ิ อย่างถูกตอ้ งเหมาะสม อกี ท้ังตอ้ งมกี ารทำกจิ กรรมบอ่ ยๆ ชนดิ ซำ้ แล้ว ซำ้ อีก ในทีส่ ุดเด็กๆ กจ็ ะคนุ้ กบั การทำกจิ กรรมนั้นๆ และตดิ เปน็ นิสยั ตลอดไป อยา่ งไรกต็ าม สำหรับสถานท่ที โ่ี รงเรียนหรือแมแ้ ตท่ ่ีบา้ นของ นักเรียนแตล่ ะคน สว่ นใหญ่อาจจะมีหอ้ งจริงๆ ไมค่ รบท้ัง ๕ หอ้ ง แต่โดย สภาพการใชง้ านแล้วทุกบ้านกจ็ ะมีห้องครบทัง้ ๕ ห้อง ซึ่งทกุ ห้องอาจ จะอย่ใู นพนื้ ทีเ่ ดยี วกันหรือใกล้ๆ กัน แตใ่ ชง้ านตามแต่วตั ถุประสงคข์ อง แตล่ ะห้อง โดยเฉพาะห้องนำ้ (ห้องส้วม) และห้องอาหาร ทัง้ ทบ่ี ้านและ ท่ีโรงเรียนต้องมอี ยา่ งแนน่ อน การสอนในภาคทฤษฎีน้นั ครูสามารถสอนไดค้ รบท้งั ๕ หอ้ ง ส่วนการเรียนภาคปฏิบัตินั้น ก็อาจให้นักเรียนที่โรงเรียนได้หมุนเวียน ผลัดเปลี่ยนกันลงทำกิจกรรมในห้องน้ำเป็นระยะๆ ตลอดปีการศึกษา โดยมีครูควบคุมดูแล และให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เด็กนักเรียนก็จะ พัฒนานิสัยดีๆ ไดห้ ลายอย่าง รวมทัง้ คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมอกี ด้วย สำหรบั หอ้ งอนื่ ๆทโี่ รงเรยี นไมม่ สี ถานทใ่ี หน้ กั เรยี นฝกึ ภาคปฏบิ ตั ิ ครบทกุ ขน้ั ตอน ครกู ส็ ามารถใชว้ ธิ ตี ดิ ตามและประเมนิ ผลดว้ ยการซกั ถาม นักเรียน หรอื ให้นักเรยี นเลา่ เร่อื งการทำกจิ กรรม ตลอดจนแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับคุณประโยชน์หรือข้อดีที่ตนได้รับจากการทำกิจกรรมใน หอ้ งต่างๆ ทีบ่ า้ นของตนแทนได้ ๒. มีอุปกรณท์ ี่เหมาะสม หอ้ งตา่ งๆ ใน ๕ ห้องชวี ิตนน้ั แต่ละ หอ้ งตา่ งมหี นา้ ทห่ี ลกั และประโยชนใ์ ชส้ อยแตกต่างกัน ดังน้นั แตล่ ะห้อง จึงต้องมีอุปกรณ์ประจำหอ้ งแตกตา่ งกันไปดว้ ย ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 129
สำหรบั ทโ่ี รงเรยี นแมไ้ มส่ ามารถจดั เตรยี มหอ้ งไวใ้ หท้ ำกจิ กรรม ไดค้ รบทง้ั ๕ หอ้ งกต็ าม แต่สำหรบั หอ้ งทีส่ ามารถจดั เตรียมได้ กค็ วร จัดเตรียมอปุ กรณใ์ หเ้ หมาะสมไวใ้ ห้ครบบรบิ รู ณ์ โดยเฉพาะหอ้ งนำ้ ซงึ่ เปน็ หอ้ งทจี่ ำเปน็ สำหรบั ทกุ ๆ คน อปุ กรณ์ ตา่ งๆ ทใี่ ชใ้ นหอ้ งน้ำแตกตา่ งจากหอ้ งอนื่ ๆ ดงั นน้ั เมอื่ ทางโรงเรยี นไมส่ ามารถ จดั เตรียมหอ้ งสำหรบั ให้นักเรียนฝึกภาคปฏิบตั ิไดค้ รบทัง้ ๕ หอ้ ง ทาง โรงเรยี นกน็ า่ จะใหค้ วามสำคญั แกห่ อ้ งนำ้ มากทส่ี ดุ โดยการตดิ ตงั้ อปุ กรณ์ ประจำหอ้ งนำ้ แต่ละห้องทโ่ี รงเรยี นใหค้ รบถว้ นสมบรู ณ์ท่ีสุด เพ่ือให้เกิด ประโยชนแ์ กน่ กั เรยี น ๒ ประการคอื การใชป้ ระโยชนต์ ามหนา้ ทหี่ ลกั ของ หอ้ งน้ำประการหนงึ่ และการใชเ้ ปน็ หอ้ งฝกึ กจิ กรรมภาคปฏบิ ตั เิ พอ่ื ปลกู ฝงั นสิ ยั แกน่ ักเรยี นอกี ประการหนงึ่ ในขณะทใี่ ชห้ อ้ งน้ำเปน็ หอ้ งฝกึ กจิ กรรมภาคปฏบิ ตั ขิ องนกั เรยี น แตล่ ะกลมุ่ นนั้ ถา้ ครมู กี ารวางแผนใหน้ กั เรยี นฝกึ กจิ กรรมภาคปฏบิ ตั อิ ยา่ ง รอบคอบ และตวั ครเู องกต็ ดิ ตามดแู ลอยา่ งใกลช้ ดิ ทกุ ๆ ครง้ั ยอ่ มจะประสบ ผลสำเรจ็ ในการพฒั นานิสัย ๓ ของนกั เรียนเปน็ อย่างมากทเี ดยี ว ๓. มีครดู ีอบรมสัง่ สอน ครดู ีในท่นี ี้หมายถึง ครทู ีม่ คี วามสนใจ ในเรื่องการปลูกฝังนิสัยท่ีดีงามตามหลักการหรือแนวคิดเร่ือง ๕ ห้อง ชวี ติ เปน็ อยา่ งดี ตวั ครเู องกม็ ปี ระสบการณใ์ นการปลกู ฝงั และพฒั นานสิ ยั ทดี่ งี ามของตนและสมาชกิ ในครอบครวั จนเหน็ คณุ คา่ ของเรอ่ื ง ๕ หอ้ งชวี ติ เนรมิตนิสยั ท่ดี ีงามแลว้ อนึง่ ครดู ใี นท่นี ีม้ ิไดบ้ ง่ ชเ้ี ฉพาะครูคนใดคนหนึ่ง เทา่ น้ัน แต่มงุ่ หมายใหผ้ ูม้ ีอาชีพครทู กุ คน ไม่ว่าจะสอนนกั เรยี นระดบั ใด หรอื เช่ียวชาญการสอนวิชาใด พงึ มีคุณสมบตั ิเปน็ ครดู ที ั้งสิ้น ขอให้คุณครูทั้งหลายพึงระลึกไว้เสมอว่า ในสภาพสังคม ปจั จบุ นั น้ี พอ่ แมผ่ ปู้ กครองของบรรดาลกู ศษิ ยข์ องครนู นั้ นอ้ ยคนนกั ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 130
ทจี่ ะไดร้ บั การปลกู ฝงั อบรมนสิ ยั ดๆี ในลกั ษณะ ๕ หอ้ งชวี ติ ทนี่ ำเสนอ ไวใ้ นหนงั สอื เลม่ นี้ ครูท้ังหลายจึงต้องไม่ละเลยในการปลูกฝังอบรม เพ่ือให้ บรรดาลกู ศิษย์ของท่านมนี ิสัย ๓ ดงั กล่าวไว้แล้ว จากการเรียนภาค ทฤษฎเี กยี่ วกบั เรอ่ื ง ๕ หอ้ งชวี ติ ทโ่ี รงเรยี นแลว้ นำไปทำกจิ กรรมจรงิ ใน ๕ หอ้ งชวี ติ ท่บี า้ นของแตล่ ะคน ถา้ เปน็ เชน่ นั้นนอกจากลกู ศิษย์ ของครจู ะมนี สิ ยั ดๆี แลว้ พอ่ แมข่ องลกู ศษิ ยข์ องครกู อ็ าจจะมโี อกาส เรียนรู้จากลูกๆ ของตน และสามารถพัฒนานิสัยดีๆ ให้เกิดข้ึน ในตนได้อกี ด้วย ๔. ผ้เู รยี นเข้าไปหา นกั เรยี นทกุ คนเมื่อเรยี นวิชาต่างๆ ไมว่ ่าจะ เป็นภาคทฤษฎีหรือปฏิบัติ ย่อมมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจส่ิงที่ครูอธิบาย ไม่มากก็น้อย ลูกศิษยท์ ุกคนยอ่ มมีความคิดวา่ ครูของตนเท่านนั้ ทีจ่ ะให้ ความกระจา่ งในขอ้ สงสยั ของตนไดด้ ที สี่ ดุ และปรารถนาทจ่ี ะเขา้ ไปขอความ กระจา่ งจากครดู ว้ ยตนเอง เปน็ ความจรงิ อยู่เสมอว่า มคี รูจำนวนไมน่ อ้ ยที่เด็กๆ นักเรียน ไมก่ ล้าหรอื ไมอ่ ยากเข้าไปหา ด้วยสาเหตุต่างๆ กนั ทัง้ ฝ่ายครูและฝา่ ย ตัวลกู ศิษยเ์ อง เช่น ครูบางคนชอบดุ ตำหนติ เิ ตียน บน่ ว่าลูกศิษย์ ทำให้ ลกู ศษิ ย์กลวั ไมก่ ลา้ เข้าไปพบ หรือครบู างคนมไิ ดม้ นี ิสัยดังกล่าว แต่มี บุคลิกหน้าตาเคร่งขรึมเสมือนหน่ึงอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา ไม่แสดง ความเอาใจใส่หรือเอ็นดูเด็กๆ ครูประเภทนี้เด็กๆ ก็ไม่กล้าเข้าไปหา นอกจากนก้ี ม็ คี รบู างคนทมี่ ปี ญั ญาฉลาดเฉลยี วเสมอื นหนง่ึ เปน็ ผคู้ งแกเ่ รยี น ดงั นน้ั ในการสอนหรอื อธบิ ายบทเรยี นตา่ งๆ กม็ กั จะอธบิ ายสน้ั ๆ เฉพาะ ประเดน็ ท่ีสำคญั ขาดการขยายความ ไม่มกี ารยกตวั อย่างชนดิ ชักแมน่ ำ้ ท้ัง ๕ ครั้นเมอื่ เด็กไม่เข้าใจ จึงซกั ถาม เมอ่ื ครตู อบคำถามกม็ ักจะมีการ ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 131
กระแนะกระแหนตามมา ในทำนองทท่ี ำใหเ้ ดก็ รสู้ กึ วา่ ตนเอง โงเ่ ขลาหรอื ไม่ฉลาด ครูประเภทน้ีเด็กๆ ก็ไม่อยากเข้าไปขอความกระจ่างในส่ิงท่ี ตนสงสยั จากตวั อยา่ งทย่ี กมานน้ี า่ จะเปน็ อทุ าหรณอ์ นั ดสี ำหรบั ครทู กุ คน ทจี่ ะต้องสำรวจตนเอง และหาวิธีพฒั นาตน เพ่อื ใหเ้ ดก็ ๆ รู้สึกว่าครขู อง ตนคอื กลั ยาณมิตรทดี่ ีทีส่ ุด ทตี่ นสามารถยึดเป็นทพ่ี ่ึงทง้ั ในด้านวิชาการ ด้านศลี ธรรม คณุ ธรรมและจริยธรรมได้ตลอดเวลา ๕. ครดู พี ร่ำสอนวชิ าการและศลี ธรรมครบตามมาตรฐาน โดย ยึดหลกั วุฒธิ รรม ๔ และผูเ้ รยี นต้องมคี วามเคารพ อดทนและวินยั คุณครูทั้งหลายคงจำไดว้ า่ ศีลธรรมครบตามมาตรฐานนัน้ มีอยู่ ๑๔ ขอ้ คือการเวน้ ขาดจากกรรมกิเลส ๔ อคติ ๔ และอบายมขุ ๖ นอกจากน้ัน ก็ต้องปฏิบตั ิหน้าทีข่ องตนเองตอ่ ทิศ ๖ ให้ครบถว้ น ดงั ไดก้ ลา่ วไวใ้ นบทที่ ๒ แลว้ วา่ การศกึ ษาทส่ี มบรู ณ์ คอื กำหนด ให้มาตรฐานวิชาการสมดุลกับมาตรฐานด้านศีลธรรม ดังน้ันความ รบั ผดิ ชอบในการทำหนา้ ทขี่ องครูผู้สอนกค็ ือ ตอ้ งพรำ่ สอนวชิ าการท่ีตน รบั ผดิ ชอบอยพู่ รอ้ มทงั้ ศลี ธรรมใหค้ รบถว้ นตามมาตรฐาน ๑๔ ขอ้ อกี ทงั้ ตอ้ งตอกยำ้ ใหศ้ ษิ ยป์ ฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องตนตอ่ ทศิ ๖ โดยใชก้ ระบวนการเรยี น การสอนดว้ ยหลักวุฒธิ รรม ๔ ซง่ึ มีรายละเอยี ดอยใู่ นบทที่ ๖ แลว้ จงึ ขอ ใหค้ ณุ ครทู กุ ทา่ นไดศ้ กึ ษาใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแทก้ จ็ ะสามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ของครดู ไี ด้สมั ฤทธิผล ในสว่ นของผเู้ รยี นนนั้ กจ็ ำเปน็ จะตอ้ งสมบรู ณพ์ รอ้ มดว้ ยคณุ ธรรม พืน้ ฐาน ๓ ประการ คอื ความเคารพ ความอดทนและความมวี นิ ยั ถา้ ผู้เรียนขาดตกบกพร่องในเร่ืองคุณธรรมพ้ืนฐานเหล่าน้ีแล้ว ย่อมก่อให้ เกดิ ผลเสยี อย่างน้อย ๓ ประการคอื ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเป็นครู 132
๑. ครดู ยี ่อมร้สู กึ เบือ่ หน่ายทจี่ ะสอนนกั เรยี นประเภทน้ี ๒. แม้ครูจะมีกำลังใจพรำ่ สอนซำ้ แล้วซ้ำอีก ก็จะไม่เกิดผลดี คุ้มคา่ กบั ความวิรยิ ะ อุตสาหะ ทคี่ รูสละให้แกน่ ักเรยี น กล่าวโดยสรปุ ก็คอื การสอนไม่บรรลุเปา้ หมาย ๓. นักเรียนประเภทนี้ย่อมไม่สามารถพัฒนาตนให้มีนิสัยดีๆ หรอื นสิ ยั ๓ ได้ ผลตอ่ ไปกค็ อื จะไมป่ ระสบความสำเรจ็ ในชวี ติ แมม้ ฐี านะ ทางเศรษฐกิจดกี ็ดว้ ยการทำมิจฉาอาชวี ะ หรือมจิ ฉาวณชิ ชา ทำใหต้ ้อง กอ่ บาปกรรมหลากหลายรปู แบบ ซงึ่ นอกจากจะกอ่ ปญั หาเลวรา้ ยในสงั คม ปจั จุบนั แล้ว ยงั จะต้องรบั ผลกรรมชวั่ ของตนในภพชาติต่อๆ ไปอีกด้วย อย่างไรก็ตามเด็กๆ จะสมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรมพื้นฐาน ๓ ประการ กเ็ พราะไดร้ บั การปลกู ฝงั อบรมพรำ่ สอนซ้ำแลว้ ซำ้ อกี จากคณุ ครู ทั้งหลาย ต้ังแต่ชั้นอนุบาลเร่ือยมาทุกระดับช้ัน จนกว่าจะจบหลักสูตร การศกึ ษาระดับสูงสุด ดงั นน้ั จงึ กลา่ วไดว้ า่ คณุ ธรรมพนื้ ฐาน ๓ ประการของเดก็ นกั เรยี น ตงั้ แตเ่ ลก็ จนกระทงั่ เตบิ โตเปน็ ผใู้ หญ่ ลว้ นเกดิ จากความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ระหวา่ งครอู าจารย์ในโรงเรียนต่างๆ ทุกระดบั ช้นั นน่ั เอง ๖. ผู้เรียนเกิดนิสัยใฝ่เรียนรู้ นิสัยใฝ่ทำดีและนิสัยใฝ่รักษา สขุ ภาพสมควรแก่เพศและวยั ถ้าองค์ประกอบของการเรียนการสอน ตามแนวคิดในการปลูกฝังหรือเนรมิตนิสัยใน ๕ ห้องชีวิตดำเนินตาม ๕ ขอ้ ทก่ี ลา่ วมาแลว้ โดยไมข่ าดตกบกพรอ่ ง การเรยี นการสอนกจ็ ะบรรลุ วตั ถปุ ระสงคท์ งั้ ๓ ประการทต่ี งั้ ไวใ้ นตอนตน้ อยา่ งแนน่ อน นนั่ คอื ผเู้ รยี น สมบรู ณพ์ รอ้ มดว้ ยนสิ ยั ๓ คอื ใฝเ่ รยี นรู้ ใฝท่ ำดแี ละใฝร่ กั ษาสขุ ภาพกาย และใจตามสมควรแก่เพศและวยั ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 133
๒ มอี ปุ กรณเ์ หมาะสม ๑ ๓ มีสถานท่ี มคี รดู ี ร่มร่นื สงบ อบรมสัง่ สอน องคป์ ระกอบ การเรียนการสอน ๕ ๔ ครูดพี ร่ำสอนตาม ผู้เรียนเข้าไปหา หลกั สตู รและหลักธรรม ผูเ้ รียนเกดิ นิสยั ๓ ตามสมควรแก่เพศและวัย ภาพที่ ๔-๕ องค์ประกอบการเรยี นการสอนเพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกิดนสิ ัย ๓ ผเู้ รียนทีม่ ีคุณลกั ษณะดังทีไ่ ดก้ ล่าวมาแลว้ นี้ จะเป็นประชากรท่ีมี ปัญญา สามารถสร้างสันติสุขให้แก่สังคม ประเทศชาติ และโลกได้ อย่างแท้จรงิ และนค่ี ือผลผลติ ของการจัดการศึกษาท่ีสมบูรณแ์ บบ ซึง่ มี ความสมดุลระหว่างมาตรฐานวิชาการทางโลกกับมาตรฐานศีลธรรม หลักการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีลักษณะท่ีพึงประสงค์ดังกล่าว แสดง ไดด้ ้วย ภาพที่ ๔-๖ ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 134
บริหารจติ : ความดีสากล เหน็ ธรรมชาติการอยู่รว่ ม ๒ - ตา่ งคนต่างมีขอ้ บกพร่อง - ตา่ งคนต่างต้องพ่งึ กัน พฒั นานิสยั เคารพ อดทน วนิ ัย ควบค่กู ับการเรยี นการสอน ๑. นสิ ยั ใฝ่เรยี นรู้ ๒. นสิ ยั ใฝท่ ำดี ๓. นสิ ัยใฝ่รักษาสุขภาพ ภาพที่ ๔-๖ หลกั การจัดการศึกษาทีส่ มบูรณ์แบบ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเป็นครู 135
บทที่ ๕ บทฝึกนสิ ยั ความหมายของนิสยั นิสัย คือ ความประพฤติเคยชิน อนั เกิดจากการปฏบิ ัติซ้ำๆ อาจเป็นการคดิ พูด หรือทำซ้ำๆ ในเรื่องใดเร่ืองหนง่ึ หรอื หลายๆ เร่ืองพร้อมๆ กัน จนกระท่ังติด หลังจากติดแล้วก็จะประพฤติ ปฏบิ ัติเชน่ นัน้ อกี เป็นประจำเหมอื นเงาติดตามตัว ใครติดความประพฤติไม่ดี กไ็ ด้นสิ ัยไม่ดี ใครติดความประพฤตดิ ี ก็ได้นิสยั ดี หากใครไม่ได้ประพฤติเช่นนั้นอีก แล้วไม่หงุดหงิด แสดงว่า การประพฤตปิ ฏิบตั ินั้นๆ ยงั ไมม่ ากพอใหเ้ กดิ เปน็ นสิ ยั เปน็ เพียงความ ค้นุ เคยทว่ั ไป ไม่ชา้ กล็ ืม ไดเ้ ห็น นิสยั ค้นุ ไดฟ้ งั ติดฝังใจ เคย ได้ดม ชิน ได้ด่มื กนิ พดู ได้จบั ตอ้ ง บอ่ ยๆ จำ คิด รู้ คดิ บ่อยๆ ทำ ภาพที่ ๕-๑ กำเนดิ ของนสิ ยั ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 136
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216