ทำลายทรัพยากรธรรมชาตทิ ัง้ สิน้ ซ่ึงในทสี่ ุด กจ็ ะกลายเปน็ ปัญหาทกุ ข์ ของคนเราจากภาชนโลก ดงั ท่ไี ดเ้ ห็นกนั อยใู่ นปัจจบุ นั นี้ เชน่ อากาศ ร้อนจัดผิดปกติ นำ้ ในแมน่ ้ำลำคลองบางแห่งต้นื เขิน มโี รคระบาดรา้ ย แรงเกิดขน้ึ ท่วั โลกเป็นระยะๆ เป็นต้น เหลา่ นคี้ อื ตน้ เหตแุ หง่ ปญั หาบางประการ ทค่ี นเราขาดความรู้ เกยี่ วกับภาชนโลก จงึ ปฏิบตั ิตนไมถ่ กู ต้อง ซึง่ ยงั ผลใหต้ อ้ งประสบความ เดอื ดรอ้ นตา่ งๆ นบั ตงั้ แตป่ ญั หาสขุ ภาพ ปญั หาเศรษฐกจิ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม และปัญหาอ่นื ๆ ตามมาเป็นลูกโซ่ กลา่ วไดว้ า่ ปญั หาการดำรงชวี ติ มสี าเหตเุ บอ้ื งตน้ จากความไมร่ ู้ เกย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละขบวนการทำงานของระบบตา่ งๆ ในรา่ งกายตนเอง เป็นสำคัญ จึงกลายเป็นปัญหาสุขภาพกาย คร้ันแล้วปัญหาสุขภาพใจ ก็ตามมา จากน้นั ก็เกิดเปน็ ปญั หาเศรษฐกจิ ในครอบครัวของตน วธิ กี าร แกป้ ญั หาเศรษฐกจิ ทผ่ี คู้ นสว่ นใหญใ่ นสงั คมปจั จบุ นั นยิ มทำตามๆ กนั มา ก็คอื การจมอยู่ในอบายมุข และประกอบอาชพี ทผี่ ดิ ทำนองคลองธรรม นานาประเภท ซงึ่ กส็ รา้ งปญั หา และกอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขก์ บั ตนเองอยา่ งยาก ทจ่ี ะแกไ้ ข ในทสี่ ดุ จงึ กลายเปน็ ปญั หาการดำรงชวี ติ ของผคู้ นทวั่ ไปในสงั คม ดังน้ันจึงจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ผู้คนในชาติแต่ละคน มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเรื่องสังขารโลก และภาชนโลกตาม ความเป็นจรงิ เพ่อื จะได้รจู้ กั วิธีประพฤตปิ ฏิบตั ติ น ใหส้ ามารถดำรง ชีวติ ได้อย่างถูกต้อง โดยต้องฝึกให้มคี วามขยันหมั่นเพียรประกอบ สมั มาอาชีวะ รปู้ ระมาณในการบรโิ ภคปัจจัย ๔ การใชท้ รัพย์ การ ไมย่ งุ่ เกยี่ วกบั อบายมขุ และการดแู ลรกั ษาสขุ ภาพ ปญั หาการดำรงชวี ติ ก็จะลดลง นั่นคอื สามารถบรรเทาความทกุ ข์สว่ นตนลงได้ ๒. ความพ้นทุกข์จากปัญหาการอยู่ร่วมกัน ตามธรรมดาใน ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 37
แตล่ ะครอบครวั จะมีสมาชิกอยรู่ วมกันไมก่ ค่ี น แต่กย็ งั ไมว่ ายเกดิ ปัญหา การกระทบกระทั่งกันไม่เว้นแต่ละวัน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปัญหา ดังกล่าวนี้ จะไม่เกิดขน้ึ กับผู้คนในสังคมซง่ึ มีเปน็ จำนวนมาก ถา้ มองในภาพรวมอาจกลา่ วไดว้ า่ ปญั หาการกระทบกระทงั่ กนั ระหว่างผู้คน ซ่ึงก่อให้เกิดปัญหาการอยู่ร่วมกันในสังคมน้ัน มีสาเหตุ ตอ่ เนือ่ งมาจากปัญหาการดำรงชีวิตนั่นเอง อยา่ งไรก็ตามถา้ เจาะลึกลงไปในรายละเอยี ดจะพบว่า ปญั หา การอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมน้นั มสี าเหตุสำคญั ๒ ประการคอื ๒.๑ ความเห็นแกต่ ัว กเิ ลสในใจคนคอื ความโลภและความ หลง ทำให้คนเราเห็นแก่ตัว คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นสำคัญ ไม่ปฏิบัติตนตามหลักสังคหวัตถุ ๔ แทนท่ีแต่ละคนจะคิดแบ่งปันกัน (ทาน) กก็ ลบั กกั ตนุ จะพดู ไพเราะ (ปยิ วาจา) ใหก้ ำลงั ใจกนั กไ็ มย่ อมพดู ทงั้ ๆ ทไี่ มต่ อ้ งลงทนุ อะไร จงึ ไมต่ อ้ งคดิ ถงึ เรอื่ งการบำเพญ็ ประโยชนใ์ หก้ นั และกัน (อตั ถจริยา) ในเวลาท่เี ปน็ ทกุ ข์ เดอื ดรอ้ น ขาดแคลนอปุ กรณ์ ความรู้ความสามารถ ขาดกำลังบุคลากร ยงิ่ กว่าน้ันแมเ้ พือ่ นรกั ทำความ ผิดพลาดด้วยเร่ืองอันใดก็ตาม แทนท่ีจะมีความเสมอต้นเสมอปลาย (สมานัตตตา) ช่วยเหลือแกไ้ ขให้เหตุการณต์ า่ งๆ ดขี น้ึ ก็กลับเฉยเมย ไมส่ มกบั ความเปน็ เพอ่ื น ตา่ งคนตา่ งพยายามเสาะแสวงหาวิธีการต่างๆ เพอื่ ใหต้ นได้รับผลประโยชนก์ อ่ นผูอ้ ่ืน ดกี ว่าผอู้ นื่ มากกวา่ ผู้อน่ื หรือ บางกรณีก็มุ่งหวังผลประโยชน์เฉพาะตนเท่าน้ัน ไม่ยอมแบง่ สรรปันสว่ น ใหก้ ับใครๆ เลย จากความเห็นแก่ตัว ไม่ยอมสงเคราะห์กันของคนเรา เมอื่ ปลอ่ ยทงิ้ ไวน้ านวนั กย็ งิ่ เพม่ิ ความแลง้ นำ้ ใจใหร้ นุ แรงยง่ิ ขนึ้ กลายเปน็ วา่ แมผ้ เู้ ปน็ ใหญใ่ นสงั คมกย็ งั ขาดพรหมวหิ ารธรรมทงั้ ๔ ในการปกครอง ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 38
คอื ไมม่ ที ง้ั ความรกั ความปรารถนาดี (เมตตา) ความสงสาร (กรณุ า) ความพลอยยนิ ดี (มทุ ติ า) และความวางใจเปน็ กลาง (อเุ บกขา) ตอ่ ลกู นอ้ ง ๒.๒ ความลำเอยี ง จากความเหน็ แกต่ ัวของผนู้ ้อยตลอดจน ความแลง้ น้ำใจของผู้ใหญ่ ในทีส่ ุดย่อมก่อใหเ้ กดิ ความไม่เป็นธรรมหรือ ความลำเอยี งขึ้นในสงั คมใน ๔ ลักษณะทเ่ี รยี กว่า อคติ ๔ คือ ลำเอยี ง เพราะรัก ลำเอียงเพราะโกรธ ลำเอียงเพราะหลง และลำเอียง เพราะกลวั ในกลุ่มผู้คนหรือสังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเห็นแก่ตัว และความลำเอยี งเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความลำเอยี งของผ้นู ำหรอื ผู้บังคับบัญชา สงั คมนั้นย่อมยากที่จะหาความสงบสุขได้ เพราะผูท้ ่ีไม่ได้ รบั ประโยชนห์ รอื ผเู้ สยี ประโยชนจ์ ะมคี วามรสู้ กึ วา่ ตนไมไ่ ดร้ บั ความยตุ ธิ รรม ย่อมจะแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมาทางกายและวาจา ซ่ึงจะก่อให้ เกดิ ปญั หาการกระทบกระทงั่ กนั และไมส่ ามารถอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสขุ ดังน้ันจึงจำเป็นต้องจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้คนในชาติ มศี ลี มธี รรม กลา่ วคือ รูจ้ ักบำเพ็ญบุญกิรยิ าวตั ถุ ๓ ด้วยการทำทาน รกั ษาศีล เจริญภาวนาเปน็ นิสยั ก็จะทำให้ความเหน็ แก่ตวั ลดลง รูจ้ ัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา มปี ญั ญาเหน็ โทษของความลำเอียง ซึ่งในที่สดุ กจ็ ะ ทำให้ผู้คนในสังคมทุกระดับ สามารถอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการกระทบ กระทง่ั กัน หรือถา้ จะมบี า้ งก็ไมม่ ากนัก ๓. ความพ้นทุกข์จากปัญหากิเลสครอบงำ แท้ท่ีจริงท้ังปัญหา การดำรงชีวิตและปญั หาการอยูร่ ว่ มกนั น้ัน ลว้ นเกดิ มาจากอำนาจกิเลส ซึง่ จดั ไวเ้ ปน็ ปัญหาที่ ๓ ทัง้ สน้ิ กล่าวคอื คนเราทกุ คนตา่ งถือกำเนิดมา พร้อมกับกิเลสท่ีแอบแฝงอยู่ในใจ และกิเลสก็มีอำนาจเหนือจิตใจของ คนเราหลายประการ ในเบ้อื งต้นกค็ รอบคลุมใจเราใหม้ ืดมดิ ดว้ ยอวชิ ชา ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 39
คือความไมร่ คู้ วามจรงิ ในเรอ่ื งโลกและชวี ติ ทำใหโ้ งเ่ ขลาเบาปญั ญา ดังที่ เราตา่ งยนิ ดีเมอื่ ใหก้ ำเนิดบุตร ท้ังๆ ทีก่ ารเกดิ มานนั้ นำมาซึง่ ความทกุ ข์ ยง่ิ มชี วี ติ อยตู่ อ่ ไปกย็ งิ่ เปน็ ทกุ ขเ์ พราะกเิ ลสบบี คน้ั ใหต้ อ้ งทำกรรมตลอดชวี ติ นอกจากนี้ ทารกนอ้ ยยงั ตอ้ งเรยี นรสู้ งิ่ ตา่ งๆ จากการปลกู ฝงั อบรม ของพอ่ แม่ ผูใ้ หญ่และคนรอบขา้ ง ซงึ่ มขี อ้ นา่ สงั เกตคอื เรือ่ งใดทจ่ี ะกอ่ ให้ เกิดนสิ ยั ดๆี นั้น จำตอ้ งพรำ่ สอนซำ้ แล้วซ้ำอีก ทารกจงึ จะไดน้ ิสยั ดๆี นั้น ส่วนเรื่องท่ีไม่ดีทั้งหลายนั้นกลับเกิดขึ้นได้ง่าย โดยไม่จำเป็นต้องมีการ ปลูกฝังอบรมเลย ทั้งนี้เพราะกเิ ลสน่ันเองทีเ่ ปน็ ตัวบงการให้เป็นเชน่ นนั้ ปญั หาประจำชวี ติ ทง้ั ๓ ประการดงั กลา่ วนเ้ี อง ทท่ี ำใหค้ นเรามที กุ ข์ อยเู่ สมอ เม่ือร้เู หตแุ ละท่ีมาของปัญหาแลว้ เราก็ตอ้ งหาทางแก้ปัญหาให้ สำเร็จใหไ้ ด้ มฉิ ะน้นั คนเราก็จะตอ้ งทุกข์ทรมานอยตู่ ลอดไป นับเป็นโชคอย่างมหาศาลท่ีเราได้เกิดในดินแดนพระพุทธศาสนา ทีย่ งั มสี มณพราหมณ์ผปู้ ระพฤติดีปฏิบตั ิชอบ ทรงภูมิรภู้ ูมธิ รรม และมี ความตง้ั ใจที่จะเป็นกลั ยาณมติ รให้แกช่ าวโลก ด้วยการถ่ายทอดความรู้ เร่ือง มรรคมีองค์ ๘ ซง่ึ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าตรัสวา่ เป็นทางอนั เกษม เพราะเปน็ วิธกี ารปฏิบตั ทิ ่จี ะทำใหจ้ ิตใจผ่องใสหมดจดจากกิเลส นนั่ คอื สภาวะท่ีเรียกว่า บรรลุนิพพาน อันเป็นสภาวะแห่งความดับทุกข์โดย เดด็ ขาด เพราะสิ้นภพส้ินชาติโดยสิ้นเชิงไมต่ ้องเวยี นว่ายตายเกิดอยูใ่ น สงั สารวฏั ซง่ึ เปรียบเสมือนการติดคุกยกั ษ์โดยไม่มวี ันพ้นโทษ ดงั นนั้ การจดั การศกึ ษาจงึ ควรสง่ เสรมิ ชกั นำ และโนม้ นา้ วผคู้ น ในชาตใิ หม้ าสนใจศกึ ษาและปฏบิ ตั มิ รรคมอี งค์ ๘ อยา่ งเปน็ กจิ ลกั ษณะ ทงั้ ภาคปรยิ ตั แิ ละปฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ นสิ ยั โดยเรมิ่ จากระดบั อนบุ าลเรอื่ ยไป ซง่ึ จะมผี ลใหค้ วามทกุ ขบ์ รรเทาเบาบางลง และมโี อกาสบรรลนุ พิ พาน ได้ในภพชาตใิ ดภพชาติหนงึ่ ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 40
ความผิดพลาดในการจดั การศกึ ษาท่วั ทัง้ โลก โดยเหตุที่นักการศึกษาท่ัวโลกขาดความรู้ความเข้าใจเร่ือง องค์ประกอบของมนุษย์และเรื่องกิเลส ปัจจุบันการจัดการศึกษาของ แต่ละประเทศทั่วโลกจึงมุ่งเน้นไปที่วิชาความรู้ทางโลก ท้ังนี้เพ่ือให้ ผเู้ รยี นพน้ ทกุ ขเ์ ฉพาะหนา้ โดยมงุ่ หวงั จะใหผ้ เู้ รยี นนำวชิ าความรทู้ างโลก ไปประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิต แต่ก็ยังไม่มีหลักประกันว่าหลังจากจบการ ศึกษาแล้ว ผู้เรียนเหล่านั้นจะประกอบสัมมาอาชีวะหรือมิจฉาอาชีวะ กันแน่ ดงั นัน้ ส่งิ ทีป่ รากฏให้เหน็ ในวงการศกึ ษาท่ัวโลกในปัจจุบนั คอื ๑. การจดั การศกึ ษาของประเทศตา่ งๆ ทวั่ โลกกำหนดเฉพาะ มาตรฐานด้านวิชาการทางโลกเทา่ นน้ั ๒. การจัดการศกึ ษาของประเทศตา่ งๆ ท่วั โลกขาดมาตรฐาน ด้านศลี ธรรม การทจ่ี ะปลูกฝังอบรมพลเมืองในชาติของตนใหเ้ ปน็ คนดี มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม จนเกิดเป็นลักษณะนิสัยที่ดีงามน้ัน จำเป็นจะต้องจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานด้านศีลธรรมให้สมดุลกับ มาตรฐานด้านวชิ าการทางโลก อยา่ งไรกต็ าม ในปจั จบุ นั ยงั ไมม่ สี ถาบนั การศกึ ษาแหง่ ใดในโลก กล้ารับประกันความประพฤติของผู้ท่ีสำเร็จการศึกษาจากสถาบันของ ตนว่า เป็นผู้มีความประพฤติดปี ฏิบตั ิชอบจริง และจะไมน่ ำความรู้ด้าน วิชาการของตนไปหาผลประโยชน์ในทางท่ีมิชอบ อันเป็นทางมาแห่ง ปญั หาตา่ งๆ ทท่ี ้งั โลกกำลงั เผชญิ อยู่ในขณะน้ี ดังศาสนสภุ าษติ วา่ “ความรู้ทางวิชาการ หากเกิดแก่คนพาล มีแต่นำความ ฉบิ หายมาให๑้ ” ____________________________________ ๑ ข.ุ ธ. ๔๑/๑๕๒ (มมร.) “ความรยู้ อ่ มเกดิ แกค่ นพาล เพยี งเพอื่ ความฉบิ หายเทา่ นนั้ ความรนู้ นั้ ยงั หวั คดิ ของเขาใหต้ กไป ยอ่ มฆา่ สว่ นสกุ กธรรมของคนพาลเสยี ” ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเป็นครู 41
จงึ ต้องกลา่ วยืนยันว่า ความบกพร่องของการจดั การศึกษา แห่งชาติคือรากเหง้าของปัญหาทั้งปวง และผู้สร้างปัญหาก็คือ คนพาล ซงึ่ เปน็ ผลผลติ ของการจดั การศกึ ษาแหง่ ชาตทิ ข่ี าดมาตรฐาน ศีลธรรมนน่ั เอง ถา้ ถามว่า คนพาลมลี ักษณะนสิ ัยและพฤติกรรมอย่างไร ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของคนพาลในสังคมที่สังเกตเห็น ไดก้ ็คอื ๑) คนพาล คือบุคคลที่มีความเห็นผิดไม่สามารถตัดสิน แยกแยะได้ระหว่างดีกับชั่ว ถูกกับผิด บุญกับบาป ควรกับไม่ควร คร้ันเม่ือถูกกิเลสบีบค้ัน จึงกล้าทำช่ัวแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ดังนั้น ตลอดชวี ติ คนพาลจงึ มแี ต่สร้างปญั หาประจำชีวติ ทั้ง ๓ ประการเพ่ิมพูน ให้แก่ตนเอง ได้แก่ ปัญหาทกุ ข์จากการดำรงชีวติ ปญั หาทกุ ขจ์ ากการ อยู่ร่วมกนั และปัญหาทกุ ขจ์ ากกิเลสครอบงำมิได้ว่างเว้น ๒) คนพาลยงั มีความเห็นผิดอีกวา่ คนทีย่ งั ไม่ไดท้ ำความชั่ว เพราะโอกาสไม่อำนวยคือคนดี คนที่ทำความช่ัวน้อยกว่าคนอ่ืนก็คือ คนดี ดังนั้นคนดีในสายตาของคนพาลก็คือคนที่กำลังก่อปัญหา หรือ พรอ้ มทีจ่ ะก่อปัญหาประจำชีวติ ๓ ประการอยตู่ ลอดเวลานั่นเอง ๓. การจัดการศึกษาของประเทศต่างๆ ท่ัวโลก ผู้เรียนยัง ขาดความร้เู ทา่ ทนั ในเรอ่ื งกเิ ลส ในพระพุทธศาสนาแบ่งกิเลสออกเปน็ หลายระดบั ซง่ึ มที ง้ั ระดบั หยาบและระดบั ละเอยี ด สงิ่ ทคี่ นเราจำเปน็ ตอ้ ง รเู้ ทา่ ทนั เปน็ อนั ดบั แรกกค็ อื กเิ ลสระดบั หยาบ ๓ ตระกลู ไดแ้ ก่ ความโลภ ความโกรธและความหลง และกิเลสทั้ง ๓ ตระกูลน้ีเองทเี่ ปน็ รากเหงา้ แหง่ ปญั หาทท่ี ำใหค้ นเราประพฤตผิ ดิ ศลี ธรรม ไรค้ ณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ใหเ้ ราเหน็ กนั อยทู่ ุกวนั ๆ ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 42
มิตรเทียม ผลของการจัดการศึกษาท่ผี ดิ พลาด กล่าวโดยสรุปได้ว่า การจัดการศึกษาท่ีผิดพลาดของแต่ละชาติ ทั่วโลก เนื่องจากมุ่งเน้นวิชาการนำหน้าศีลธรรมตามหลังหรือไร้ซ่ึง ศีลธรรม จึงเป็นเหตุให้ท่ัวโลกมีประชาชนท่ีเป็นคนพาลมากกว่าคนดี ในทางพระพทุ ธศาสนาเรียกประชาชนประเภทน้วี า่ มติ รเทยี ม ซ่ึงมีอยู่ ด้วยกนั ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. มติ รปอกลอก ๒. มิตรดแี ต่พูด ๓. มติ รช่างประจบ ๔. มิตรชวนฉิบหาย มติ รเทียมแต่ละประเภทเหลา่ น้ี ต่างแสดงพฤติกรรมท่นี า่ รงั เกียจ ซงึ่ กอ่ ให้เกดิ ปัญหาประจำชวี ติ ทั้ง ๓ ประการ พระพุทธองค์ไดต้ รสั ถึง พฤติกรรมของมิตรเทียมแตล่ ะประเภทไว้ ๔ ประการ คอื ๑. มิตรปอกลอก มพี ฤตกิ รรมเลวๆ ๔ ประการ คือ ๑) คดิ เอาแตไ่ ด้ฝา่ ยเดียว ๒) เสยี แตน่ ้อยคดิ เอาใหไ้ ด้มากๆ ๓) ตนมภี ัยจึงชว่ ยกิจของเพือ่ น ๔) คบเพราะเหน็ ประโยชนส์ ่วนตน ๒. มติ รดีแตพ่ ูด มพี ฤติกรรมเลวๆ ๔ ประการ คอื ๑) อา้ งเรื่องทผ่ี า่ นไปแล้วมาปราศรัย ๒) อา้ งเร่ืองทีย่ ังไม่เกดิ มาปราศรัย ๓) สงเคราะห์แต่สิง่ ที่ไมม่ ีประโยชน์ ๔) ปฏิเสธเม่อื ถกู ขอความชว่ ยเหลอื ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 43
๓. มติ รช่างประจบ มีพฤตกิ รรมเลวๆ ๔ ประการ คอื ๑) จะทำชั่วกค็ ลอ้ ยตาม ๒) จะทำดกี ็คล้อยตาม ๓) ตอ่ หน้ากส็ รรเสริญ ๔) ลับหลังกน็ นิ ทา ๔. มิตรชวนฉิบหาย มีพฤตกิ รรมเลวๆ ๔ ประการคือ ๑) ชกั ชวนด่ืมนำ้ เมา ๒) ชกั ชวนเท่ยี วกลางคนื ๓) ชักชวนให้จมกับสง่ิ ไรส้ าระ ๔) ชักชวนให้เล่นการพนัน ถ้าพิจารณาดูจากพฤติกรรมท่ีน่ารังเกียจของมิตรเทียมท่ีมีอยู่ ดาษดืน่ ท่วั ทุกซอกมมุ ของสังคมแล้ว จะเหน็ ไดว้ า่ สังคมหรือโลกของเรา ทุกวันน้ีตกอยู่ในภาวะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะปัญหาประจำชีวิต ของมนษุ ยท์ งั้ ๓ ประการจะทวคี วามรนุ แรงขน้ึ เรอื่ ยๆ ถงึ ขนาดกลายเปน็ ปัญหาร้ายแรงท่ีจุดไฟให้ลุกท่วมโลกได้ ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วท่ีชาวโลก จะต้องต่ืนขึ้นมาร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหามิตรเทียมให้เป็นมิตรแท้ หรือเป็นคนดมี สี ัมมาทิฐิอยา่ งมัน่ คง โดยเรม่ิ จากตวั เราเองเปน็ คนแรก อยา่ งไรกต็ ามการแกไ้ ขปญั หามติ รเทยี มในสงั คมทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ประสทิ ธผิ ล อยา่ งจรงิ จงั และรวดเรว็ ตอ้ งอาศยั การจดั การศกึ ษาทม่ี มี าตรฐานศลี ธรรม การศกึ ษาทีส่ มบรู ณ์ การศึกษาท่สี มบูรณ์ หมายถงึ การจดั การศกึ ษาทช่ี ว่ ยใหผ้ เู้ รียน สามารถป้องกันและกำจัดกิเลสได้ด้วยตนเองตามสมควรแก่เพศ และวัย ซึง่ สามารถทำไดโ้ ดย ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 44
๑. จัดระบบการศึกษาให้มนุษย์รู้เท่าทันกิเลส ได้แก่ การ จัดการศึกษาท่ีมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจแตกฉานสมควรแก่เพศและวัย ของตนในเร่อื งอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ (ซ่งึ มีคำอธิบายในบทตอ่ ไป) เปน็ ต้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสู้รบหรือป้องกันกิเลสทั้ง ๓ ตระกูลไม่ให้กำเริบ ออกฤทธิ์ได้ ๒. กำหนดมาตรฐานด้านวิชาการกับด้านศีลธรรมในแต่ละ ระดบั ชนั้ การศกึ ษาใหส้ มดลุ กนั การกำหนดมาตรฐานเชน่ นยี้ อ่ มทำให้ ท้ังผู้เรียนและผู้สอนตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานทั้ง ๒ ด้าน กลา่ วคือ ๑) ดา้ นครู ผสู้ อนทกุ คนทกุ วชิ าจะไมม่ งุ่ เนน้ เฉพาะความสำคญั ด้านวิชาการดังท่ีเคยปฏิบัติกันมานานแล้ว แต่จะตั้งใจสร้างกุศโลบาย เพอื่ ปลกู ฝงั อบรมบม่ นสิ ยั บรรดาศษิ ยข์ องตน ไมว่ า่ จะเกะกะเกเรอยา่ งไร ให้เป็นคนเรียนเก่งและเป็นคนดีให้ได้ นบั เป็นการปลุกจิตวญิ ญาณแห่ง ความเปน็ ครขู ้นึ มาอยา่ งจริงจงั ๒) ดา้ นศษิ ยห์ รอื ผเู้ รยี น ศษิ ยท์ ง้ั หลายยอ่ มมปี ญั ญาสามารถ มองเห็นความปรารถนาดีและความเมตตากรุณาที่ครูมีต่อตน เพราะ เดก็ นกั เรยี นแตล่ ะคนยอ่ มมมี โนธรรมหรอื อาจเรยี กวา่ บญุ กไ็ ด้ ตดิ ตวั กนั มาตงั้ แตเ่ กดิ จงึ เกดิ ความสำนกึ ในพระคณุ ของครู ทำใหเ้ กดิ ความเคารพ รักครู และพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าข้ึนทั้งด้านวิชาการและ ศลี ธรรมซง่ึ กเ็ ปน็ การปลกุ จติ วญิ ญาณแหง่ การเปน็ ศษิ ยอ์ ยา่ งดเี ลศิ อกี เชน่ กนั สำหรบั มาตรฐานวชิ าการแตล่ ะสาขาในระดบั ชน้ั เรยี นตา่ งๆ กระทรวง ศึกษาธิการได้จัดทำกรอบแห่งการเรียนรู้ท่ีมีมาตรฐานสอดคล้อง กับหลักสากลไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่ละวิชาก็มีเนื้อหาสาระสำคัญอยู่ หลายประการ จงึ ไม่นำมากล่าวในท่นี ี้ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 45
๓. สร้างกรอบมาตรฐานศีลธรรมข้ันพ้ืนฐาน สำหรับกรอบ มาตรฐานศีลธรรมข้ันพื้นฐานตามหลักพระพุทธศาสนา ซ่ึงจะทำให้ คนเราครองชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสงบสุขตามอัตภาพ ประกอบด้วย สาระสำคญั ๔ ประการ คือ ๑) มีความรับผิดชอบต่อศีลธรรมในตน หรือกล่าวอีก อย่างหนง่ึ ว่า ไมท่ ำความเดอื ดรอ้ นให้ตัวเอง โดยเวน้ จากการประพฤติ กรรมกิเลส ๔ ประการตลอดชีวติ คือ ๑) การฆา่ สัตว์ ๒) การลักทรัพย์ ๓) การประพฤติผดิ ในกาม และ ๔) การพดู เท็จ ซึ่งกค็ อื ศลี ๔ ขอ้ แรก ในศลี ๕ น่นั เอง เพราะตระหนักชัดวา่ การล่วงละเมิดศีลแม้เพียงขอ้ ใด ข้อหน่ึง ย่อมเป็นการทำลายความเป็นคนของตนทั้งด้านสุขภาพกาย และสขุ ภาพใจ ขณะเดียวกันก็ยงั สร้างความเดอื ดร้อนใหแ้ ก่ผู้คนรอบข้าง อกี ดว้ ย กลา่ วไดว้ า่ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ศลี ธรรมในตนดว้ ยการ เว้นขาดจากกรรมกเิ ลส ๔ คือ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ต้นทนุ แหง่ ความ เป็นมนุษย์ของตนและผู้อื่น หากขาดความรับผิดชอบในเรื่องน้ีแล้ว คณุ ค่าของคนเรายอ่ มตกต่ำไม่ตา่ งจากสัตว์ดริ ัจฉาน ๒) มีความรับผิดชอบต่อศีลธรรมสังคม หรือกล่าวอีก อย่างหน่ึงว่า ไม่ทำความเดือดร้อนให้สังคมด้วยการไม่มีอคติ ๔ หรอื ความลำเอยี ง ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) ฉนั ทาคติ : ลำเอียงเพราะรัก ๒) โทสาคติ : ลำเอยี งเพราะโกรธ ๓) โมหาคติ : ลำเอียงเพราะหลง ๔) ภยาคติ : ลำเอยี งเพราะกลวั กลา่ วคอื เมอื่ ใดกต็ ามทม่ี คี วามลำเอยี งเกดิ ขน้ึ ยอ่ มเปน็ การสนับสนุนให้เกิดความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิว่าต้องทำช่ัวจึงได้ดี เมอ่ื นนั้ ความเชอื่ ในเรอื่ งกฎแหง่ เหตแุ ละผลตามความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ ศาสตร์และศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 46
หรอื กฎแห่งกรรมก็จะถูกทำลายไปโดยสนิ้ เชงิ คร้นั เมื่อบุคคลขาดความ เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ย่อมทำผิดศีลได้ทุกข้อ ทำช่ัวได้ทุกอย่างโดย ปราศจากหริ ิโอตตปั ปะ ดว้ ยเหตนุ ้ี ผมู้ คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ศลี ธรรมสงั คมจงึ ไมย่ อม ปล่อยให้ตนมีความประพฤติผิดคลองธรรมด้วยความลำเอียงตลอดชีวิต แม้จะต้องเผชิญกับความตายก็ไม่ยอมกระทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้ผู้ ไม่ควรได้รบั กลบั ไดร้ บั ผคู้ วรได้รบั กลบั ไมไ่ ด้รับ หรอื ผู้ควรได้นอ้ ยกลับ ได้มาก ผู้ควรได้มากกลับได้น้อย เพราะตระหนักชัดว่าการกระทำนั้น นอกจากจะเป็นเหตใุ ห้ผู้อ่ืนได้รับความทกุ ขแ์ ละความเดอื ดรอ้ นแลว้ ยงั กระทบต่อศีลธรรมอันดีงามของสังคม ทั้งยังเป็นการทำลายกฎกติกา ตลอดจนความสมัครสมานสามคั คีและความสงบสขุ ของสงั คมดว้ ย ๓) มีความรับผดิ ชอบต่อศีลธรรมเศรษฐกิจ หรอื กล่าวอีก อย่างหนึ่งวา่ ไมท่ ำความเดอื ดรอ้ นดา้ นเศรษฐกจิ ดว้ ยการเว้นขาดจาก อบายมขุ ๖ ประการ ไดแ้ ก่ ๑) ด่ืมสุราและของมนึ เมา ๒) ชอบเที่ยว กลางคืน ๓) ชอบเทีย่ วดกู ารละเลน่ ๔) เล่นการพนนั ๕) คบคนชว่ั เปน็ มติ ร ๖) เกียจครา้ นการทำงาน อบายมุข ๔ ข้อแรกนน้ั ถอื วา่ เป็นสว่ นเกนิ หรอื ไมม่ คี ุณคา่ ต่อชีวติ มนุษย์ สำหรับขอ้ ๕ นบั วา่ มีอนั ตรายมากท่สี ดุ เพราะจะเปน็ ตัวการสำคญั ท่ชี กั นำไปสู่อบายมุข ๔ ข้อแรก ส่วนข้อสุดท้ายนน้ั คนที่ เกยี จครา้ นในการทำงานยอ่ มไม่สามารถเปน็ ทีพ่ ึ่งให้แกต่ นเองได้ จงึ ทำ ตวั เปน็ กาฝากสังคม หรือเบยี ดเบยี นผอู้ ่ืนสดุ แต่จะมีล่ทู าง ท่ีใดก็ตามเมื่อมีอบายมุขแพร่หลาย ท่ีนั่นย่อมเกิด ลทั ธิบูชาเงินเปน็ พระเจ้า ยดึ ถือวา่ เงินสำคัญกวา่ สิ่งใด เพราะคิดว่าเงนิ สามารถซ้อื หาความสขุ ทางเนอื้ หนงั ได้ เงนิ จงึ สำคัญยงิ่ กว่าศลี ในท่สี ดุ ศาสตร์และศิลป์แห่งความเปน็ ครู 47
กก็ ลายเป็นคา่ นยิ มของสังคม นำไปสูก่ ารมีอคติ ๔ และการประพฤติ กรรมกเิ ลส ๔ อยา่ งยากท่ีจะเยยี วยาแกไ้ ขได้ โดยสรปุ คือ มอี บายมขุ ทไี่ หนความฉิบหายย่อมมาเยือน ที่น่นั พระพุทธองคจ์ งึ ตรสั วา่ อบายมุขคอื ปากทางแหง่ ความฉิบหาย ๔) มีความรับผิดชอบต่อการสร้างมิตรแท้ให้แก่สังคม หรอื กลา่ วอีกอย่างหนง่ึ วา่ รว่ มสร้างคนดีให้เกดิ ขนึ้ ดว้ ยทิศ ๖ ทศิ ๖ คือกลุ่มคน ๖ กลุ่มที่แวดล้อมใกล้ชิดกับตัวเรามากที่สุดในลักษณะ เฉพาะ กลุ่มคนทง้ั ๖ น้ี จัดเปน็ หนว่ ยของสงั คมทีเ่ ลก็ ท่ีสุด สมบูรณท์ สี่ ุด และสำคัญท่ีสุดในการปลูกฝังศีลธรรมให้แก่ตัวเราเองและสังคม โดยมี ตวั เราเป็นศนู ยก์ ลาง แล้วแวดลอ้ มดว้ ยบุคคลใกล้ชิดอกี ๖ กลุ่ม หากมี การจัดการศึกษาที่ทำให้กลุ่มคนแต่ละทิศ สามารถปฏิบัติตนต่อกัน ตามหน้าที่ท่ีพระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วนและ เหมาะสม บคุ คลกจ็ ะมปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ ในการสรา้ งมติ รแทใ้ หแ้ กส่ งั คม และประเทศชาติ ซ่ึงจะยังผลให้สามารถฉุดสังคมส่วนใหญ่ ให้เจริญ กา้ วหนา้ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ เป็นอศั จรรย์ กล่มุ คนทัง้ ๖ นป้ี ระกอบดว้ ย กลมุ่ ท่ี ๑ คอื มารดาบดิ าเปน็ ทศิ เบอ้ื งหนา้ เพราะอปุ การะ ผู้นั้นมากอ่ น กล่มุ ที่ ๒ คือ ครอู าจารยเ์ ป็นทิศเบื้องขวา เพราะควรแก่ การบูชา กล่มุ ที่ ๓ คอื ภรรยาหรอื สามเี ปน็ ทิศเบอื้ งหลัง เพราะ สามารถติดตามอย่างใกล้ชิด กล่มุ ที่ ๔ คอื มติ รและผรู้ ว่ มงานเปน็ ทศิ เบอื้ งซา้ ย เพราะ ช่วยใหข้ ้ามพน้ ภยั ได้ ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเป็นครู 48
กลุ่มที่ ๕ คือ ลกู นอ้ งและบรวิ ารเปน็ ทศิ เบื้องลา่ ง เพราะ ชว่ ยทำงานในกิจการทัง้ ปวง กลุ่มท่ี ๖ คอื สมณพราหมณเ์ ปน็ ทศิ เบอ้ื งบน เพราะชนี้ ำ ใหต้ ้ังอยู่ในของสูงคือศีลธรรม คณุ ธรรม และจริยธรรม ภาพท่ี ๒-๒ กลุ่มคนในทศิ ท้ัง ๖ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 49
ตารางท่ี ๒-๑ หนา้ ทข่ี องบคุ คลทง้ั ๖ กลมุ่ ทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ติ อ่ กนั ในแตล่ ะกลมุ่ ทิศเบอื้ งหน้า : มารดา บดิ า บุตร หนา้ ทีข่ องมารดาบดิ าต่อบุตร หน้าทีข่ องบตุ รต่อบดิ ามารดา ๑. หา้ มไม่ให้ทำความช่วั ๑. ท่านเล้ยี งเรามา เราจกั เลีย้ งท่านตอบ ๒. ให้ตง้ั อยูใ่ นความดี ๒. ช่วยทำการงานของทา่ น ๓. ให้ศึกษาศลิ ปวิทยา ๓. ดำรงวงศ์ตระกูล ๔. หาภรรยาหรอื สามีทีส่ มควรให้ ๔. ประพฤตติ นใหส้ มควรเป็นผูร้ ับมรดก ๕. มอบทรพั ยส์ มบตั ใิ ห้ในเวลา ๕. เม่อื ท่านล่วงลบั ไปแลว้ ทำบุญอุทศิ อนั สมควร ให้ทา่ น ทศิ เบอื้ งขวา : ครอู าจารย์ ศิษย์ หน้าที่ของครูอาจารย์ตอ่ ศิษย์ หนา้ ทข่ี องศิษย์ตอ่ ครูอาจารย์ ๑. แนะนำดี ๑. ลุกขึน้ ยนื รบั ๒. ใหเ้ รยี นดี ๒. เข้าไปคอยรับใช้ใกล้ชิด ๓. บอกศษิ ยด์ ว้ ยดีในศลิ ปวทิ ยาท้งั หมด ๓. เช่อื ฟัง ๔. ยกย่องให้ปรากฏในเพ่อื นฝงู ๔. ปรนนบิ ัตริ บั ใช้ ๕. ทำการป้องกันในทศิ ทัง้ หลาย ๕. เรยี นศิลปวทิ ยาด้วยความเคารพ ทศิ เบื้องหลัง : ภรรยา สามี หน้าทข่ี องสามตี ่อภรรยา หน้าที่ของภรรยาต่อสามี ๑. ใหเ้ กียรติยกย่อง ๑. จดั การงานดี ๒. ไมด่ หู ม่ิน ๒. สงเคราะหค์ นข้างเคยี งดี ๓. ไมป่ ระพฤตินอกใจ ๓. ไมป่ ระพฤตินอกใจ ๔. มอบความเป็นใหญ่ให้ ๔. รักษาทรัพยท์ ่สี ามหี ามาได้ ๕. ใหเ้ คร่อื งแตง่ ตัว ๕. ขยันไม่เกียจคร้านในกิจทั้งปวง ศาสตร์และศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 50
ทิศเบ้ืองซ้าย : ตวั เรา มติ ร หน้าทข่ี องเราต่อมติ ร หน้าที่ของมิตรต่อเรา ๑. การแบ่งปันส่ิงของให้ ๑. ป้องกนั มติ รผู้ประมาทแล้ว ๒. กล่าววาจาเป็นที่รัก ๒. ป้องกนั ทรพั ย์ของมิตรผูป้ ระมาทแลว้ ๓. ประพฤตติ นให้เป็นประโยชน์ ๓. เมื่อมีภัยก็เปน็ ทีพ่ ง่ึ พำนกั ได้ ๔. วางตนสมำ่ เสมอ ๔. ไม่ละท้งิ ในยามอนั ตราย ๕. ไม่พูดจาหลอกลวงกัน ๕. นบั ถอื ตลอดถึงวงศต์ ระกูลของมิตร ทศิ เบอื้ งล่าง : หัวหน้า ลูกนอ้ ง หนา้ ทขี่ องหวั หน้าต่อลกู น้อง หน้าทีข่ องลูกนอ้ งตอ่ หัวหนา้ ๑. สามารถจัดการงานใหส้ มควรแกก่ ำลงั ๑. เร่มิ ทำงานก่อนหวั หนา้ ๒. ให้อาหารและรางวลั ๒. เลกิ ทำงานหลังหวั หนา้ ๓. ดูแลรักษายามเจบ็ ป่วย ๓. ถอื เอาแต่ของทห่ี วั หนา้ ให้ ๔. แจกของแปลกๆ พิเศษใหก้ ิน ๔. ทำงานให้ดีข้ึน ๕. ให้หยุดตามโอกาส ๕. นำเกียรติคณุ ของหัวหนา้ ไปสรรเสรญิ ทิศเบอ้ื งบน : สมณพราหมณ์ คฤหสั ถ์ หน้าท่ีของสมณะ (พระสงฆ์) ตอ่ คฤหสั ถ์ หน้าทข่ี องคฤหสั ถต์ ่อสมณะ (พระสงฆ์) ๑. ห้ามไมใ่ ห้ทำความชัว่ ๑. จะทำสง่ิ ใดกท็ ำดว้ ยเมตตา ๒. ให้ต้งั อยใู่ นความดี ๒. จะพูดสิง่ ใดกพ็ ูดด้วยเมตตา ๓. อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจงาม ๓. จะคิดสง่ิ ใดก็คิดดว้ ยเมตตา ๔. ให้ไดฟ้ งั (ธรรม) สิ่งทย่ี ังไมเ่ คยฟัง ๔. ต้อนรับดว้ ยความเตม็ ใจ ๕. อธบิ ายส่งิ ที่เคยฟงั แลว้ ใหเ้ ขา้ ใจ ๕. อุปถมั ภด์ ว้ ยปจั จัย ๔ แจม่ แจง้ ๖. บอกทางสวรรคใ์ ห้ ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 51
๑. ไมท่ ำลายตนเองดว้ ยการ ๒. รบั ผิดชอบต่อ ๒. ไม่ทำลายสังคมด้วยการเวน้ อคติ ๔ เวน้ กรรมกิเลส ๔ ศีลธรรมสังคม - ไม่ลำเอยี งเพราะรัก - ไม่ลำเอียงเพราะชงั - ไมฆ่ ่าสัตว์ - ไมล่ ำเอียงเพราะเขลา - ไมล่ กั ทรพั ย์ - ไม่ลำเอยี งเพราะกลัว - ไมป่ ระพฤติผดิ ในกาม ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู - ไมพ่ ดู เทจ็ กรอบมาตรฐาน ๓. รบั ผิดชอบตอ่ 52 ๑. รับผิดชอบตอ่ ศีลธรรมข้ันพืน้ ฐาน ศลี ธรรมเศรษฐกจิ ศลี ธรรมในตน ๔. ร่วมสร้างสังคมดดี ้วยการ ๔. รับผิดชอบต่อ ๓. ไมท่ ำลายเศรษฐกจิ ตนเอง ปฏบิ ัติหน้าที่ประจำทศิ ๖ การสรา้ งมิตรแท้ ด้วยการเว้นอบายมขุ ๖ - ทิศเบอ่้ื งหนา้ บิดามารดา - ไมเ่ สพสุรายาเสพตดิ - ทิศเบอื้ งขวา ครูบาอาจารย์ - ไม่เที่ยวกลางคนื - ทศิ เบื้องหลงั คู่ครอง - ไม่เทย่ี วดูมหรสพ - ทศิ เบอ้ื งซา้ ย มิตรสหาย - ไมเ่ ล่นการพนนั - ทศิ เบอื้ งลา่ ง บริวาร - ไมค่ บคนชว่ั เป็นมิตร - ทศิ เบอ้ื งบน สมณะ - ไมเ่ กียจครา้ นการงาน ภาพท่ี ๒-๓ กรอบมาตรฐานศีลธรรมข้นั พื้นฐาน
หลกั ในการปฏิบัตหิ นา้ ทขี่ องตนเองต่อทิศ ๖ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมท่ีไม่อาจอยู่ตามลำพังตนเองได้ ตลอดเวลา ยังต้องพึ่งพาอาศัยสตั ว์โลกผทู้ ไ่ี ดช้ อื่ ว่าเปน็ เพอื่ นทกุ ข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันอยู่มไิ ดข้ าด ขณะท่ีเราเปน็ แกนกลางก็ถูกล้อมรอบ ด้วยทิศ ๖ ขณะทผ่ี ูอ้ ืน่ เช่น เพ่ือนเปน็ แกนกลาง เราก็เปน็ ๑ ในทศิ ๖ ของเพื่อน หรือขณะที่คนรับใชข้ องเราเป็นแกนกลาง เราก็เปน็ ๑ ใน ๖ ทิศของเขาเชน่ กนั ดังน้ันเพื่อให้สัมพันธภาพระหว่างตัวเรากับผู้คนทั้ง ๖ ทิศ ดำเนนิ ไปอย่างราบรื่นด้วยดี และเพอ่ื เปน็ การรว่ มกนั รับผิดชอบตอ่ การสร้างมิตรแท้ให้แกส่ งั คม คนเราต่างต้องยึดถอื หลกั ๒ ประการ เพือ่ ให้การปฏิบตั หิ นา้ ท่ีของตนบรรลุวตั ถุประสงค์ดงั กล่าว ดงั นี้ ๑. ตา่ งคนต่างต้องต้ังใจละเว้นกรรมชวั่ ๑๔ ประการโดยเดด็ ขาด ได้แก่ กรรมกิเลส ๔ (ศีล ๔ ข้อแรกในศลี ๕) อคติ ๔ และอบายมขุ ๖ เกี่ยวกับการละเว้นกรรมชัว่ ให้สัมฤทธิผลนน้ั มีข้อเตือนใจใหร้ ะลึกถึง อยู่ ๔ ประการ คือ ๑) เราต้องต้ังใจเว้นอย่างเด็ดขาดตลอดไป มฉิ ะน้ันเราก็จะ ไมส่ ามารถแก้ไขปรบั ปรุงตนเองให้เปน็ ตน้ แบบของผู้คนรอบข้างเราได้ ๒) ขณะท่ีเรากำลงั ต้ังใจปรบั ปรุงตนเองอยนู่ น้ั กพ็ งึ พยายาม ซึมซบั คุณงามความดีต่างๆ ของบคุ คลในทิศ ๖ ของเราไวใ้ ห้ได้มากทสี่ ุด ๓) แท้ท่ีจริงแล้วคนเราทุกคนต่างมีบทบาทของครู ผู้ทำ หน้าท่ีอบรมบ่มนสิ ยั ของกนั และกันโดยปรยิ าย ๔) การละกรรมชั่วเพื่อปรับปรุงแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีน้ัน เป็น เรื่องการฝืนใจ หรือสวนกระแสกิเลส ดังนั้นจำเป็นต้องมีความอดทน อยา่ งย่ิง มฉิ ะน้นั กย็ ากทจี่ ะทำได้สำเร็จ ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 53
ถ้าทศิ ๖ ในสงั คมใดก็ตามมีลักษณะเป็นมิตรแทส้ มบรู ณ์ พรอ้ มดว้ ยมาตรฐานของคนดที โ่ี ลกตอ้ งการทงั้ ๔ ประการ สงั คมนนั้ ยอ่ มเปน็ สงั คมสนั ตสิ ขุ และไดช้ อื่ วา่ เปน็ สงั คมทส่ี ามารถจดั การศกึ ษา ได้สมบรู ณแ์ บบท่สี ดุ ๒. ตา่ งคนต่างต้องทำตนเป็นศนู ยก์ ลางของทิศ ๖ แล้วตงั้ ใจ ปฏิบัติหน้าท่ีประจำทิศของตนที่พึงปฏิบัติต่อแต่ละบุคคลทั่วทั้ง ๖ ทิศ ให้ถกู ตอ้ งเหมาะสมและสมบูรณค์ รบถ้วนทุกประการ โดยใชส้ งั คหวตั ถุ ธรรมเปน็ เคร่ืองยึดเหน่ยี วนำ้ ใจซ่ึงกันและกนั ตลอดเวลา สังคหวตั ถธุ รรม คอื ธรรม ๔ ประการสำหรับยดึ เหนีย่ วใจ และประสานกันไว้ใหเ้ หนียวแน่น แขง็ แกรง่ และถาวร ด้วยน้ำใจท่ี อดทนเป็นผลให้แต่ละคนต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความรักใคร่ สามคั คปี รองดอง เมอื่ มเี รอ่ื งขดั ใจกนั กอ็ ภยั ใหก้ นั ไดโ้ ดยงา่ ย ประกอบดว้ ย ๑) ทาน ๒) ปยิ วาจา ๓) อัตถจรยิ า ๔) สมานัตตตา เหตุท่ีใช้สังคหวัตถุธรรมเป็นหลักปฏิบัติในการยึดเหนี่ยว นำ้ ใจซงึ่ กันและกันของกล่มุ คนในทิศ ๖ นน้ั ก็ด้วยเหตผุ ลสำคญั อยู่ ๒ ประการคอื ๑) ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลในทิศ ๖ กล่าวคอื บุคคล ท่ีล้อมรอบตวั เราทั้ง ๖ กลุ่มนนั้ ไม่มใี ครเหมอื นกนั เลย แต่ละคนลว้ น แตกตา่ งกนั ในหลายแงม่ มุ ซงึ่ อาจแยกไดเ้ ปน็ สบิ เปน็ รอ้ ยประเดน็ ทเี ดยี ว เชน่ เพศ อายุ อาชีพ ฐานะ ตระกลู สถานภาพทางสังคม การศกึ ษา อบรม เชอื้ ชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ความเชอ่ื นสิ ัย ทัศนคติ ประสบการณท์ างโลกและทางธรรม สติปญั ญา สุขภาพ ฯลฯ ๒) สงั คหวตั ถธุ รรมสามารถสนองความตอ้ งการหรอื ความ ขาดแคลนของบคุ คลไดก้ วา้ งขวางครอบคลมุ มากกวา่ ธรรมหมวดอนื่ กล่าวคือ ศาสตร์และศลิ ป์แห่งความเป็นครู 54
๑. ทาน หมายถึงการให้ การแบ่งปัน รวมถึงการ สงเคราะห์ด้วย สำหรบั บคุ คลทย่ี ากจนยอ่ มขาดแคลนทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง บคุ คลทปี่ ระสบภยั ธรรมชาติ ยอ่ มตอ้ งการความชว่ ยเหลอื หรอื สงเคราะห์ ในดา้ นปจั จยั ๔ อย่างรีบด่วน การทำทานของเราย่อมสามารถสนอง ความตอ้ งการและความขาดแคลนได้ทนั ท่วงที แม้ผู้ทไ่ี ม่ขาดแคลนเมอื่ มีผู้นำส่ิงของมาให้ด้วยความปรารถนาดี ก็จะรู้สึกปลาบปล้ืมใจไม่รู้ลืม และเกิดความรกั ความปรารถนาดีต่อผใู้ ห้ ดงั ทีพ่ ระสมั มาสัมพุทธเจ้าได้ ตรสั เอาไว้วา่ ผูใ้ หย้ อ่ มเปน็ ที่รัก ๒. ปยิ วาจา หมายถงึ วาจาไพเราะหรอื การพดู ดตี อ่ กนั คนเรา โดยทั่วไปมีชีวิตอยู่ได้ด้วยกำลังใจ บุคคลท่ีเคยมีความรู้ความสามารถ สงู สง่ มที รัพย์ศฤงคารมากมาย มสี ุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ แต่บางคราว อาจจะมสี ง่ิ ใดมาบ่ันทอนกำลังใจทำให้รูส้ กึ ทอ้ ถอยและสิ้นหวัง ไมส่ นใจ ใยดที จ่ี ะพากเพยี รประกอบการงาน ใหช้ วี ติ เกดิ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ตอ่ ไป ในสถานการณ์เชน่ น้ี สิง่ ที่บคุ คลตอ้ งการทสี่ ุดก็คือปิยวาจา ไดแ้ ก่ คำพูด ประโลมใจ คำพูดปลอบขวญั ฯลฯ จากคนรอบข้าง ดังน้ันถ้าเราสังเกตเห็นว่าบุคคลใดในทิศ ๖ ของเรา กำลงั ใจตก กจ็ ำเปน็ อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งรบี ชว่ ยเตมิ พลงั ใจแกเ่ ขาดว้ ยปยิ วาจา เพอ่ื ใหเ้ ขาเกดิ ความอาจหาญพรอ้ มทจี่ ะฟนั ฝา่ อปุ สรรคเอาชนะทกุ ขต์ อ่ ไป ให้ได้ ๓. อัตถจริยา หมายถึง การช่วยเหลือกนั ด้วยกำลังกาย กำลงั ทรพั ย์ กำลังปญั ญา กำลังความคดิ กำลังบญุ บารมี เปน็ ต้น ซ่ึงเป็น ไปโดยชอบธรรมและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เม่อื ใดก็ตาม ถา้ สังเกตเหน็ ว่าบุคคลใดในทิศ ๖ ของ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเป็นครู 55
เรากำลังต้องการหรือขาดแคลนแรงงาน ประสบการณ์ ความรู้ความ สามารถในการบริหารจัดการ หรือการใช้อุปกรณ์ต่างๆ หรือมีปัญหา ในการติดต่อประสานงานกับบุคคลหรือองค์กรใดๆ ถ้าตัวเรามีความรู้ ความสามารถและความพร้อมทจ่ี ะชว่ ยเหลอื ได้ ก็พึงขันอาสาเข้าไปชว่ ย ให้ทันท่วงทีด้วย แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปโดยถูกต้องทำนองคลองธรรมทุก ประการ ไมม่ เี ร่อื งผดิ ศลี ผิดธรรมแอบแฝงอยู่ ๔. สมานตั ตตา หมายถงึ วางตวั ดตี อ่ กนั เสมอตน้ เสมอปลาย ไม่ถอื ตัว เป็นกันเอง มีความซ่อื สตั ย์จรงิ ใจตอ่ กัน ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบันมักมีปัญหาที่ทำให้เกิด ความไม่สบายใจอย่ปู ระการหนงึ่ คือ ยากทีจ่ ะไว้วางใจในตัวบคุ คลทีเ่ ป็น ทศิ ๖ ของตน โดยเฉพาะอย่างย่งิ บคุ คลท่ีเปน็ ทศิ เบ้ืองซ้ายหรอื เพื่อนฝงู เชน่ เพอื่ นบางคนทเี่ คยไดร้ บั การชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู จากเราในการแกป้ ญั หา ในยามทเ่ี ขาเดอื ดรอ้ นใหล้ ลุ ว่ งไปดว้ ยดี ครน้ั เวลาลว่ งเลยไป เมอื่ เราไปขอ ความชว่ ยเหลอื จากเขาบา้ ง เขากย็ นิ ดชี ว่ ยเหลอื แตป่ ระพฤตทิ จุ รติ ตอ่ เรา ทำใหค้ วามเปน็ มิตรแท้ต้องสูญสิน้ ไป หรอื บางรายทเี่ ราเคยช่วยเหลอื ไว้ แต่คร้ันภายหลังฐานะของเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนม่ังค่ังรำ่ รวย มียศ ตำแหนง่ ใหญโ่ ต เขากแ็ สดงอาการเมนิ เฉยในยามทเี่ ราไปขอความชว่ ยเหลอื จากเขาบา้ ง พฤตกิ รรมเชน่ นก้ี ท็ ำใหค้ วามเปน็ มติ รแทฝ้ อ่ ไปอกี เหมอื นกนั ดงั นนั้ เมอื่ สงั เกตพบวา่ บคุ คลใดในทศิ ๖ ของเราขาดความ มั่นใจในตวั เรา ก็พงึ แสดงความเปน็ กนั เองตอ่ เขาใหป้ รากฏชัดเจน เพอ่ื ใหเ้ ขาเห็นวา่ เราเปน็ คนเสมอตน้ เสมอปลาย พฤติกรรมเชน่ น้ี ย่อมเปน็ การรว่ มกันรับผิดชอบตอ่ การสรา้ งมติ รแทใ้ ห้แกส่ งั คม ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่ชาวโลกท้ังหลายจะต้องหันหน้ามา รับผิดชอบรว่ มกนั ในการสร้างมติ รแท้ ผูอ้ ุดมไปด้วยความรู้วชิ าการ มี ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 56
ความประพฤติดีงาม และสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ให้เกิดข้ึน มาเต็มโลกให้ได้ เพราะการสร้างมิตรแท้เพ่ิมข้ึนหนึ่งคนก็ย่อมเป็นการ กำจดั มติ รเทียมใหห้ มดไปจากโลกน้ไี ดห้ นึ่งคนเชน่ เดยี วกนั มิตรแทผ้ ลของการจัดการศกึ ษาทีถ่ กู ต้อง ตามหลกั พระพุทธศาสนาแบง่ มติ รแทอ้ อกเปน็ ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. มติ รมอี ปุ การะ ๒. มติ รร่วมสุขร่วมทุกข์ ๓. มติ รแนะนำประโยชน์ ๔. มติ รมคี วามรกั ใคร่ มิตรแท้แต่ละประเภทต่างแสดงพฤติกรรมท่ีน่ารักเป็นปกติ ทั้ง ในส่วนท่ีเป็นความรับผิดชอบต่อการดำรงชีวิตของตนเอง ส่วนที่เป็น ความรับผดิ ชอบตอ่ การอย่รู ว่ มกนั ในสังคม และส่วนทกี่ ำลงั หักหาญกับ กเิ ลส เพื่อปิดนรกและเปดิ สวรรค์ให้กับตนเองและทศิ ๖ ของตน ดังนี้ ๑. มิตรมอี ุปการะ มีพฤตกิ รรมน่ายกย่อง ๔ ประการคอื ๑) เพื่อนประมาทย่อมชว่ ยรักษาตวั เพ่ือน ๒) เพอ่ื นประมาทย่อมชว่ ยรกั ษาทรพั ยข์ องเพ่อื น ๓) เปน็ ที่พง่ึ ใหเ้ พอื่ นยามเพ่ือนมีภัย ๔) หากจำเปน็ ยอ่ มออกทรพั ยใ์ หเ้ พือ่ นเกินกวา่ ทข่ี อ ๒. มิตรรว่ มสขุ ร่วมทกุ ข์ มพี ฤตกิ รรมนา่ ยกยอ่ ง ๔ ประการ คอื ๑) บอกความลบั ของตนแก่เพือ่ น ๒) ปิดความลบั ของเพือ่ น ๓) เมอ่ื เพ่ือนมภี ัยไม่ละท้งิ ๔) แม้ชีวติ กส็ ละให้ได้ ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 57
๓. มิตรแนะประโยชน์ มพี ฤติกรรมนา่ ยกยอ่ ง ๔ ประการ คือ ๑) หา้ มเพื่อนใหเ้ ว้นจากความช่ัว ๒) แนะใหต้ ง้ั อยู่ในความดี ๓) ให้ได้ฟัง ได้รู้ ในสง่ิ ทไ่ี มเ่ คยฟงั ไมเ่ คยรู้ ๔) บอกทางสขุ ทางสวรรค์ให้ ๔. มิตรมีความรักใคร่ มีพฤตกิ รรมน่ายกยอ่ ง ๔ ประการ คือ ๑) เพือ่ นมีทุกขก์ ็ทกุ ขด์ ้วย ๒) เพือ่ นสุขกย็ ินดีด้วย ๓) ช่วยกล่าวแก้ เม่อื เพือ่ นถูกตเิ ตยี น ๔) รับรองผู้ท่ีพูดสรรเสริญเพอื่ น จากคุณลักษณะนิสยั ของมติ รแทท้ งั้ ๔ ประเภทนี้ ทำใหส้ ามารถ กล่าวได้ว่า ถ้าวงการศึกษาสามารถสร้างผู้คนส่วนมากในสังคมให้เป็น มติ รแทไ้ ดแ้ ล้วไซร้ มิตรเทียมกจ็ ะหมดฤทธเิ์ ดชไปเอง เพราะจำเป็นต้อง ปรบั ปรุงตวั ให้ดีขึ้นเพื่อความอยรู่ อดของตน ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่า การจัดการศึกษาที่กำหนดให้มาตรฐาน วชิ าการสมดลุ กับมาตรฐานศีลธรรม และมาตรฐานศลี ธรรมก็อย่ใู น กรอบของมาตรฐานศลี ธรรมขน้ั พนื้ ฐาน ๔ ประการ ซงึ่ ลว้ นเปน็ เรอ่ื ง การปลกู ฝงั ความรบั ผดิ ชอบทงั้ สนิ้ อกี ทง้ั ผคู้ นในสงั คมตอ้ งรว่ มมอื กนั ปฏบิ ตั อิ ริยมรรคมอี งค์ ๘ อย่างเขม้ แข็งเป็นระบบ ก็จะทำให้สงั คม เต็มไปด้วยมติ รแท้ นนั่ คอื สนั ติสขุ อย่างแทจ้ ริงยอ่ มต้องเกิดขนึ้ ในสังคม อยา่ งแนน่ อน ศาสตร์และศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 58
แม่พมิ พต์ น้ แบบ งานฝมี อื งานช่าง งานศลิ ป์หลายๆ อยา่ ง จำเปน็ ตอ้ งมีแมพ่ มิ พ์ เปน็ ตน้ แบบ เชน่ งานหลอ่ พระพทุ ธรปู ดว้ ยโลหะ ชา่ งหลอ่ จำเปน็ ตอ้ งสรา้ ง แม่พมิ พเ์ พ่อื เป็นตน้ แบบสำหรับหล่อพระพทุ ธรปู ข้ึนมากอ่ น ตอ่ จากน้ัน จงึ หลอมโลหะใหเ้ หลว เทใสล่ งในแมพ่ ิมพ์ ปลอ่ ยให้โลหะเยน็ และแข็งตัว แลว้ ถอดแม่พมิ พอ์ อก จงึ จะไดพ้ ระพุทธรูปโลหะตามตอ้ งการ การปลูกฝัง อบรม หล่อหลอมนักเรียนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม มีลักษณะเป็นมิตรแท้ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมีแม่พิมพ์เป็นต้นแบบ และแม่พิมพ์ที่จะเป็นต้นแบบของศิษย์ก็คือครูน่ันเอง เพราะเหตุน้ีคน ในสงั คมจงึ นยิ มเรียกครูว่า แมพ่ ิมพ์ของชาติหรือครูดที โ่ี ลกต้องการ คุณสมบตั ิแมพ่ มิ พ์ของชาติ ถา้ ถามวา่ แมพ่ ิมพ์ของชาตหิ รอื แม่พมิ พต์ ้นแบบต้องมีคณุ สมบัติ อยา่ งไร ครูผู้ได้ช่ือว่าเป็นแม่พิมพ์ต้นแบบต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย ๓ ประการ คือ ๑. เปน็ ตน้ แบบความรคู้ วามสามารถดา้ นวชิ าการทางโลกไดจ้ รงิ คือมีความรู้ในสาขาวิชาการท่ีตนสอนจริงในระดับที่สามารถถ่ายทอด ความรนู้ น้ั ใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจ และยดึ เปน็ วชิ าชพี สำหรบั ทำมาหากนิ เลย้ี งชวี ติ ได้ ขณะเดียวกันก็รู้จักดูแลรักษาสุขภาพของตนให้แข็งแรงสมบูรณ์ อยเู่ สมอ เพราะกายคอื อปุ กรณส์ ำหรบั ใชใ้ นการทำความดตี ลอดชวี ติ ศาสตร์และศลิ ป์แห่งความเป็นครู 59
๑. ต้นแบบความรู้ ๒. ตน้ แบบความประพฤติ ความสามารถดา้ นวิชาการ หรอื ความมศี ลี ธรรม คุณสมบตั คิ รดู ี ที่โลกต้องการ ๓. มีวชิ าครูสามารถถ่ายทอดความรู้ ความสามารถและความประพฤติดีงามให้แก่ศษิ ย์ ภาพท่ี ๒-๔ คณุ สมบตั ขิ องครดู ที ่ีโลกต้องการ ๒. เปน็ ตน้ แบบความประพฤติ หรอื ความมศี ลี ธรรมประจำใจ ม่นั คงจริง การท่ีจะสามารถเปน็ ต้นแบบดังนไ้ี ด้ จำเปน็ ต้องมีความรทู้ ั้ง ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ซึง่ อาจแยกออกใหเ้ ขา้ ใจได้ง่ายดงั น้ี คือ ๒.๑ มคี วามรู้วชิ าพระพุทธศาสนา รวมท้ังหลักธรรมสำคัญ ในพระพุทธศาสนาเปน็ อย่างดี ๒.๒ มคี วามรบั ผิดชอบสมบรู ณพ์ ร้อมท้ัง ๔ ประการ คือ ทงั้ รบั ผดิ ชอบตอ่ ศลี ธรรมในตน ศลี ธรรมของสงั คม ศลี ธรรมทางเศรษฐกจิ และต่อการสร้างมิตรแท้ให้แก่สังคม ไม่ยอมนำความรู้ด้านวิชาการ ไปใช้ในทางผิดๆ เช่น ไม่นำความรู้ด้านเคมีไปสร้างวัตถุระเบิด หรือ ผลติ ยาเสพตดิ เปน็ ตน้ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 60
๓. มีวิชาครู คอื มีความรู้ความสามารถในการถา่ ยทอดวชิ าการ และนสิ ยั ดีๆ ให้แกล่ กู ศษิ ยไ์ ด้อยา่ งเตม็ ภาคภมู ิ อาจกลา่ วโดยสงั เขปไดว้ า่ หวั ใจของวชิ าครปู ระกอบดว้ ยองค์ ๓ คอื ๑) มีความกรุณาอยา่ งย่ิง ๒) สามารถแก้ไขข้อบกพรอ่ งของตนเองไดท้ ุกอย่าง ๓) มีความเข้าใจองค์ประกอบของมนุษย์ตลอดจนศัตรู และมติ รท่แี ทจ้ รงิ ของมนุษย์ ปัจจัยพ้ืนฐานสำคัญท่ีจะก่อให้เกิดคุณลักษณะทั้ง ๓ ประการนี้ ตอ้ งเรม่ิ จากความเขา้ ใจอยา่ งถอ่ งแทถ้ งึ องคป์ ระกอบสำคญั ของมนษุ ย์ คอื กายกบั ใจ รวมทงั้ ศตั รตู วั สำคญั คอื กเิ ลส ซง่ึ บงการใหม้ นษุ ยก์ อ่ บาปกรรม ขณะเดยี วกนั กเ็ ชอ่ื มนั่ ในศกั ยภาพของมติ รทแ่ี ทจ้ รงิ คอื บญุ ทสี่ ามารถปราบ ศัตรใู หส้ ้ินฤทธไ์ิ ด้ ซง่ึ ไดใ้ หร้ ายละเอยี ดไวแ้ ล้วในบทท่ี ๑ การที่คณาจารย์ท้ังหลายจะเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ใน เรอ่ื งกาย ใจ กเิ ลส บญุ บาป ดงั กลา่ วแลว้ จำเปน็ ตอ้ งศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจ หลกั ธรรมสำคญั อย่างน้อย ๓ ประการ คอื มรรคมอี งค์ ๘ ทิศ ๖ และ สงั คหวตั ถุ ๔ แลว้ นำมาปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจำวนั โดยผสมผสานกนั ในการ ทำกจิ กรรมตา่ งๆ ใน ๕ หอ้ งแหง่ ชวี ติ (คำอธบิ ายเรอื่ งมรรคมอี งค์ ๘ และ ๕ ห้องแห่งชวี ติ มีอยูใ่ นบทตอ่ ๆ ไป) เมื่อปฏบิ ัตอิ ย่างตอ่ เนอ่ื ง วนั แลว้ วนั เลา่ กจ็ ะกอ่ ใหเ้ กดิ เปน็ วนิ ยั และคณุ ธรรมประจำใจของตนเอง กลายเป็นนิสัยท่ดี ีงาม เกิดความรกั บุญและกลวั บาปอย่างทสี่ ดุ คุณธรรมประจำใจเหล่าน้ีเองคือเครื่องมือสำคัญที่คุณครูสามารถ นำมาสำรวจและแก้ไขข้อบกพร่องทุกๆ อย่างของตนเองได้สำเร็จ โดย ไม่ต้องมใี ครตักเตอื นหรอื ชีแ้ นะ นอกจากนี้ยังจะรสู้ ึกว่าตนเองมชี ีวิตอยู่ อย่างเป็นสุข มีอารมณ์ดี มองโลกในแง่ดี มีความเห็นพ้องกับหลัก ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 61
พระพุทธศาสนาท่วี า่ สรรพสัตวท์ ัง้ หลาย ล้วนเปน็ เพอื่ นทกุ ข์ เกิด แก่ เจบ็ ตายของเราท้งั สิ้น เม่อื ใดทเี่ ห็นผคู้ นแสดงพฤตกิ รรมเลวรา้ ยต่อตน ก็อภัยให้ได้ ย่ิงกว่าน้ันยังคิดด้วยจิตเมตตาทจ่ี ะช่วยพวกเขาให้รโู้ ทษภัย ของพฤตกิ รรมเชน่ นน้ั แลว้ เปลยี่ นใจสรา้ งแตบ่ ญุ กศุ ล นน่ั คอื ความกรณุ า ไดถ้ กู พัฒนาข้ึนในมโนธรรมของคุณครแู ล้ว ความกรณุ านเี้ อง ทจ่ี ะเปน็ เสมอื นนำ้ ทพิ ยห์ รอื ยาบำรงุ ใจขนานวเิ ศษ ทส่ี รา้ งแรงบนั ดาลใจใหค้ รพู ากเพยี รพฒั นาตนใหส้ มบรู ณพ์ รอ้ มทง้ั ศาสตร์ และศิลป์ เพอื่ ให้สามารถป้ันศิษย์แตล่ ะคนให้เปน็ มิตรแทผ้ ู้สรา้ งสันตสิ ุข ให้แกต่ นเอง ครอบครัว ทิศทงั้ ๖ ของตน สังคม ประเทศชาติ และ แกโ่ ลกได้ในท่ีสุด เหล่าน้ีคือคุณลักษณะโดยรวมของครูผู้มีวิชาครูอย่างแท้จริง ผชู้ ื่อว่าเปน็ แมพ่ มิ พ์ของชาติ ถา้ ขาดครบู าอาจารยป์ ระเภทแมพ่ มิ พข์ องชาติ ซง่ึ มคี ณุ สมบตั ิ ๓ คอื เปน็ ตน้ แบบความรดู้ า้ นวชิ าการทางโลก เปน็ ตน้ แบบความประพฤติ ศีลธรรม และมีวชิ าครูอย่างเตม็ ภาคภูมิเสียแล้ว กจ็ ะไม่มีผู้ใดสามารถ แก้ปัญหามิตรเทียมท่ีระบาดท่วมโลกในขณะนี้ได้ สงครามก็จะไม่เคย ว่างเว้นไปจากโลก และสงครามที่ไม่เคยว่างเว้นแม้แต่นาทีเดียวก็คือ การทำสงครามกบั กเิ ลสทอี่ ยภู่ ายในใจของแตล่ ะคน แมพ่ มิ พต์ น้ แบบนเ้ี อง คือครูดีที่โลกต้องการ ครูที่สามารถสอนตนเองและลูกศิษย์ได้ท้ัง ทางโลกและทางธรรม ความรว่ มมือของครูประจำโลก ๓ ประเภท ครคู นทห่ี นงึ่ หรือครูในบา้ น เนอื่ งจากคนเราตา่ งเกดิ มาพรอ้ มกบั อวชิ ชา คอื ความไมร่ ทู้ กุ ๆ เรอื่ ง ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 62
จงึ จำเป็นตอ้ งมีครูปลูกฝัง อบรม ส่ังสอนความรู้ตา่ งๆ ให้ ตามธรรมดา ครูคนแรกหรอื ครูค่แู รกของเราก็คือ พอ่ และแม่ซึ่งเปน็ ครใู นบา้ น ส่ิงท่ี พอ่ แมต่ ้องปลูกฝังอบรมสง่ั สอนลูกตง้ั แตเ่ กดิ มากค็ ือ นสิ ยั ดๆี เช่น การ ใหก้ นิ อาหาร นอนหลับพกั ผ่อน และขับถา่ ยใหเ้ ป็นเวลา และตรงเวลา ฯลฯ ซึง่ จะเป็นการปลกู ฝงั วินัยให้ตดิ เปน็ นิสัยของเดก็ ตัง้ แตเ่ ยาว์วยั ในทางกลบั กนั การปลอ่ ยใหล้ กู หวิ ตอ้ งสง่ เสยี งรอ้ งจนคอแหบแหง้ จงึ จะไดก้ นิ นม เมอ่ื ขบั ถา่ ยออกมากถ็ กู ปลอ่ ยใหน้ อนแชอ่ จุ จาระปสั สาวะอยู่ เปน็ เวลานานกวา่ จะไดร้ บั การดแู ล การถกู ปลอ่ ยปละละเลยใหล้ กู อยใู่ นสภาพ ดงั กลา่ ว ยอ่ มจะกลายเปน็ การเพาะนิสัยไม่ดหี ลายๆ ด้านให้แกท่ ารก คร้ันเม่ือลูกเจริญเติบโตขึ้นมาพอที่จะสามารถรับรู้สื่อสารด้วย ภาษาทา่ ทางหรอื ถอ้ ยคำได้ กค็ วรไดร้ บั การปลกู ฝงั อบรมสง่ั สอนเกย่ี วกบั คณุ ธรรมต่างๆ เชน่ การกราบไหวพ้ ระ การกราบไหว้ผู้ใหญ่ การกลา่ ว คำทักทาย และการสวดมนตไ์ หวพ้ ระ โดยสรปุ ก็คือ พอ่ แมต่ ้องปฏิบัติหนา้ ทต่ี ามพุทธกำหนดในเร่ือง ทิศ ๖ ทีส่ ำคญั ทส่ี ุดคอื หา้ มลกู ไม่ให้ทำความชัว่ สอนลกู ให้ต้งั อยู่ใน ความดี มีคุณธรรมตา่ งๆ เพม่ิ ขึ้นตามวยั ท้งั น้กี ็เพอ่ื ปอ้ งกันมใิ ห้เดก็ เกิดความคดิ เห็นทีเ่ ปน็ มจิ ฉาทิฐิด้วยประการท้ังปวง สำหรับพอ่ แม่ทไี่ ม่รู้หรือไม่สนใจปลกู ฝังนสิ ยั ดๆี ใหแ้ กล่ ูก หรือพอ่ แม่และสมาชิกในครอบครัวที่ยังแสดงพฤติกรรมเลวทรามท้ังทางกาย และวาจาให้ลูกเห็นเป็นประจำ ลูกก็จะซึมซับและเลียนแบบพฤติกรรม เลวทรามเหล่านั้น ซ่ึงในท่ีสุดก็จะกลายเป็นนิสัยไม่ดีจนกระทั่งถึงคราว ไปโรงเรียน ก็จะไปสร้างปัญหาหนักใจให้แกค่ รบู าอาจารย์ต่อไปอกี ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 63
ครูคนท่ีสองหรอื ครูในโรงเรยี น ต่อจากพ่อแม่ก็คือครูในโรงเรียน ซ่ึงแต่ละท่านต่างต้องปฏิบัติ หน้าทตี่ ามพุทธกำหนดในเรื่องทิศ ๖ ที่สำคญั ท่สี ุดคือ การปลูกฝังอบรม คุณธรรมเปน็ อนั ดบั แรก ดังคำกลา่ วทวี่ า่ แนะนำดี และเร่ืองวิชาการ ทางโลกเป็นอันดับรองดังคำกลา่ วท่ีวา่ ใหเ้ รยี นดี ดงั นน้ั ครทู กุ คนในโรงเรยี นจงึ ตอ้ งใหค้ วามใสใ่ จในเรอ่ื งการปลกู ฝงั อบรมศลี ธรรม คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมแก่ศิษย์ ชว่ ยแกไ้ ขนิสยั ทไี่ มด่ ี ของศษิ ย์ พรอ้ มทงั้ ปอ้ งกนั มใิ หศ้ ษิ ยเ์ ปน็ มติ รเทยี ม กลา่ วไดว้ า่ ครคู นทส่ี อง หรือบรรดาคณาจารย์ท่ีโรงเรียนเป็นผู้มีบทบาทยาวนานที่สุด และ สำคัญทสี่ ดุ ในการปลกู ฝังอบรมบ่มนสิ ัยให้แก่ศษิ ย์ ครคู นที่สามหรือครใู นวดั คอื สมณะหรอื พระภกิ ษสุ งฆ์ ผเู้ ปน็ แหลง่ ความรแู้ ละความประพฤติ ทางธรรมใหแ้ กช่ าวโลก ตอ้ งปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีตามพทุ ธกำหนดในเร่ืองทิศ ๖ ท่สี ำคญั ทสี่ ดุ คอื ห้ามไม่ใหท้ ำความชว่ั และแกไ้ ขไม่ใหม้ ีความเหน็ เป็นมิจฉาทิฐิ แล้วให้ต้ังอย่ใู นความดี คือปลกู ฝงั สมั มาทฐิ ิให้ เป็นสิ่งท่ีแน่นอนเหลือเกินว่า ถ้าความรู้ความสามารถในการทำ หนา้ ทีข่ องครูท้งั ๓ ประเภท รวมอยใู่ นตัวครูท่านใดท่านหนงึ่ โดยเฉพาะ ก็จะวิเศษอย่างยงิ่ แตถ่ า้ การรวมความรคู้ วามสามารถดงั กลา่ วเอาไวใ้ นตวั ครแู ตล่ ะคน ยงั เปน็ ไปไม่ได้ ครูทงั้ ๓ ประเภทน้ี ก็จำเป็นต้องช่วยกันทำหนา้ ที่ เพื่อ ป้องกนั และแก้ไขปัญหามติ รเทยี ม และสร้างสังคมใหม้ ีแต่มติ รแท้ ซ่งึ ครู ทง้ั ๓ ประเภทนจ้ี ำเป็นตอ้ งมที ้ังศาสตรแ์ ละศิลป์จงึ จะสามารถทำหนา้ ที่ ดงั กล่าวไดส้ ำเรจ็ ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเป็นครู 64
ความสำคญั ของศาสตร์ และศลิ ป์ คำวา่ ศาสตร์ ตามพจนานกุ รมหมายถงึ ตำรา วชิ า ไดแ้ ก่ วชิ าการ ตา่ งๆ ทางโลก ซงึ่ มที งั้ วชิ าทเ่ี ปน็ ความรพู้ น้ื ฐานทวั่ ไป เชน่ วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ตน้ และวชิ าการทเ่ี ปน็ วชิ าชพี ชนั้ สงู เชน่ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ เปน็ ต้น สำหรับศาสตร์ซ่ึงเป็นวิชาการท่ีเป็นวิชาชีพช้ันสูงน้ัน กว่าผู้เรียน จะเรยี นจบหลกั สตู รกน็ บั วา่ เปน็ เรอื่ งยากยง่ิ อยใู่ นระดบั หนงึ่ แลว้ ครน้ั เมอ่ื เรยี นจบแลว้ การทจี่ ะนำความรภู้ าคทฤษฎไี ปประกอบอาชพี ยงิ่ ยากขน้ึ อกี เพราะตอ้ งนำศาสตรม์ าประยกุ ตใ์ ชส้ รา้ งงานใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ขุ อกี ตอ่ หนงึ่ ใครจะสามารถประยกุ ตศ์ าสตรท์ ตี่ นเรยี นรมู้ าสรา้ งงานใหเ้ กดิ ประสทิ ธผิ ล ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด กเ็ ป็นเรอ่ื งของความสามารถเฉพาะตวั ซ่ึงเปน็ เรอื่ งของฝีมอื หรือเรียกอกี อยา่ งหน่ึงวา่ ศิลป์ กล่าวได้วา่ บัณฑติ ทุกคนท่ีเรยี นจบสาขาวิชาชพี เดยี วกัน ย่อม มีความรู้ในศาสตร์ท่ีเรียนมาเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกัน แต่ฝีมือ หรือศิลป์ในการนำศาสตร์มาใช้สร้างงานน้ัน ย่อมแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น สถาปนิกบางคนมีชื่อเสียงมากเพราะมีผลงานออกแบบ อาคารโดดเด่นมากมาย ในขณะท่บี างคนไม่เคยมผี ลงานโดดเดน่ แม้แต่ เพียงช้ินเดียว ศาสตร์และศิลป์ของแต่ละคนน่ันเองที่ทำให้ผลงานด้าน วชิ าชีพของบณั ฑิตสาขาต่างๆ แตกตา่ งกันออกไป ดงั น้ันจึงเห็นได้วา่ การทคี่ นเราจะประสบความสำเรจ็ ในอาชพี การงานนน้ั จะมแี ตศ่ าสตรเ์ พยี งอยา่ งเดยี วไมไ่ ด้ จำเปน็ ตอ้ งมศี ลิ ปด์ ว้ ย และศิลป์นเี่ องทีเ่ ปน็ เครอ่ื งบ่งชีค้ วามสำเร็จของการทำงาน ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู 65
ความแตกตา่ งระหวา่ งศิลปข์ องครกู ับอาชีพอืน่ ๆ สำหรับความสำเร็จในการทำหน้าท่ีของครูก็เช่นเดียวกัน จำเป็น ตอ้ งมที งั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ แตศ่ ลิ ปข์ องครนู นั้ แตกตา่ งจากวชิ าชพี อนื่ ๆ โดยส้ินเชิง ท้ังนี้เพราะครูจะต้องนำศาสตร์มาเปลี่ยนให้เป็นความ สามารถ และฝึกตนใหเ้ กดิ นสิ ยั ละอายต่อความชั่ว และเกรงกลวั ต่อ ผลของบาป ครตู อ้ งมีหริ โิ อตตัปปะเปน็ นสิ ยั เพอื่ จะไดเ้ ปน็ เครือ่ งมือ สำหรับปดิ นรกและเปดิ สวรรคใ์ หก้ ับตนเอง ขณะเดยี วกนั กม็ คี วาม เป็นครหู รอื มีวชิ าครู สามารถฝึกอบรมศิษยใ์ หม้ ีนิสยั ดๆี ดงั กลา่ ว มาแลว้ ด้วย น่คี ือศลิ ป์ของครู ซึ่งจดั ว่ายงั เปน็ ศลิ ป์ขน้ั ต้นเท่าน้ัน ส่วนศิลป์ข้ันสูงสุดก็คือ ความสามารถในการกำจัดกิเลสให้ หมดสิ้นแล้วบรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งผู้ที่จะสอนได้ก็ต้องเป็นครู เหมือนกนั แต่เป็นครปู ระเภทที่ ๓ คอื สมณะ กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ ครบู าอาจารยผ์ ชู้ อื่ วา่ ครดู นี น้ั ตอ้ งมที งั้ ศาสตร์ และศลิ ปเ์ หนือกว่าบรรดาลกู ศิษย์ของตนในลักษณะต่อไปน้ี คือ ๑. ในดา้ นวชิ าการทางโลก ครูตอ้ งรู้จรงิ ทำได้จรงิ และทาง ธรรมนั้นครูต้องมีนิสัยหรือความประพฤติดีเย่ียมจริง จึงสามารถ ตั้งหลักฐาน สามารถปิดนรกและเปดิ สวรรคใ์ ห้ตัวเองได้จรงิ ๒. สามารถถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้ลูกศิษย์รู้จริง ทำไดจ้ ริง มคี วามประพฤตดิ ีเยยี่ มจริง สามารถตั้งหลกั ฐานไดจ้ ริง ปิดนรก และเปดิ สวรรค์ใหต้ นเองตามอยา่ งครไู ดจ้ ริง ความรใู้ นหนงั สอื เลม่ นี้มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ หค้ รสู ามารถสอนลกู ศษิ ย์ ใหส้ ามารถตง้ั หลกั ฐานได้ สามารถปดิ นรกและเปดิ สวรรคใ์ หต้ นเอง เช่นเดยี วกบั ครไู ดเ้ ท่านนั้ ส่วนความรู้ในระดับการบรรลุนิพพานซ่งึ เปน็ ศิลป์ข้นั สงู สดุ นัน้ ควรตอ้ งศึกษาจากสมณะโดยตรง ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 66
เสน้ ทางการพฒั นาครดู ี จากธรรมบรรยายทผี่ า่ นมา ท่านผูอ้ ่านได้ทราบแล้วว่าครดู ีต้องมี ท้ังศาสตรแ์ ละศิลป์ จงึ มคี ำถามวา่ การทจ่ี ะพฒั นาตนใหส้ มบรู ณท์ งั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ปน์ น้ั ตอ้ งปฏิบตั ิตนอยา่ งไร กอ่ นอน่ื พงึ ทราบวา่ ครทู จี่ ะเปน็ ครดู ไี ดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ นนั้ กต็ อ้ งไดร้ บั การฝึกอบรมมากอ่ นจากครูท่สี มบรู ณ์พรอ้ มดว้ ยศาสตรแ์ ละศิลป์เชน่ กัน น่ันคอื ตอ้ งฝึกตนเองตามหลักวุฒิธรรม ๔ ได้แก่ ๑. ต้องหาครูดีให้พบ ๒. ตอ้ งฟงั คำครใู ห้ชดั ๓. ต้องตรองคำครูให้ลึก ๔. ต้องปฏิบัตติ ามคำสอนของครูให้ครบ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกบั วุฒธิ รรม ๔ น้นั ไดอ้ ธบิ ายไว้แล้วใน บทที่ ๖ อน่ึง มีข้อสังเกตว่า ในปัจจุบันผู้ท่ีอยู่ในวงการศึกษาต่างให้ ความสนใจแต่เฉพาะการทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ในโลกนี้เท่าน้ัน มิได้ มีวิสัยทัศน์กว้างไกลไปถึงชีวิตหลังความตายในโลกหน้า จึงมิได้ สนใจเรื่องการปดิ นรกและเปิดสวรรค์ใหแ้ กต่ นเอง ท้ังๆ ทศ่ี าสดา ในแตล่ ะศาสนา ได้มองไปถงึ เรือ่ งนรกและสวรรคท์ ัง้ สน้ิ นีค่ อื ความ ผิดพลาดอย่างร้ายแรงในการจัดการศึกษา อันเป็นปัจจัยให้เกิด มิตรเทียมขึ้นมากมาย และก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม โดยที่ไมร่ ูว้ า่ จะแกไ้ ขปญั หากนั อยา่ งไร นอกจากจะตอ้ งเร่ิมตน้ ทก่ี าร จัดการศกึ ษาให้มมี าตรฐานศลี ธรรมควบคไู่ ปกับมาตรฐานวิชาการ ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 67
ครูท่ีมีทัง้ ศาสตรแ์ ละศิลป์ ตอ่ ไปนขี้ อให้ คณุ ครทู ้ังหลายลองสำรวจตัวเองว่า มคี ณุ สมบัตอิ ยู่ ในระดบั ไหน ๑. มีศาสตร์ แต่ไม่มศี ิลป์ ๒. มีศาสตร์ และมศี ลิ ป์ แต่ไมม่ ีศีล ๓. มศี าสตร์ มศี ลิ ป์ และมีศีล ๔. มศี าสตร์ มีศลิ ป์ มศี ีล และสามารถอบรมส่ังสอนศษิ ย์ใหม้ ีทั้ง ศาสตร์ ศลิ ป์ และศลี ตามขา้ พเจา้ ด้วย ในสมัยโบราณมคี รทู ีม่ ีคณุ สมบตั ใิ นระดบั ท่ี ๔ น้ีเป็นจำนวนมาก แต่เพราะยุคนี้เราต่างมองข้ามศีลธรรม จึงมีผลให้ครูประเภทนี้แทบจะ หมดไปจากสังคม ในสมัยโบราณถ้าพ่อลูกจูงมือกันเดินไปตามถนน แล้วได้พบครู ประเภทนี้โดยบงั เอิญ ผู้เปน็ พ่อกจ็ ะบอกกบั ลูกวา่ ครูทา่ นนไ้ี มใ่ ช่แค่เปน็ ครูของลกู เท่านน้ั แตเ่ ปน็ ครขู องพอ่ ด้วย เปน็ เพอ่ื นของปู่ดว้ ย การที่พ่อ มคี วามรมู้ าสอนลูกได้ทกุ วนั นี้ กเ็ พราะไดค้ รูท่านนีส้ อนมา ไมใ่ ช่เฉพาะ พ่อเท่านั้น ปู่ของลูกก็ได้ครูท่านนี้คอยช่วยเหลือกันมาต้ังแต่สมัยเป็น นักเรียนแล้ว เป็นตน้ ขอให้ลองหลบั ตานึกดวู า่ ครทู ม่ี คี ณุ สมบตั ิในระดบั ท่ี ๔ นี้จะตอ้ ง ทำงานหนักแค่ไหน เพราะการท่ีใครจะรู้ว่าตัวเองมีมิจฉาทิฐิก็ยากแล้ว ยังต้องมาแก้ไขมิจฉาทิฐิของตนให้หมดสิ้นไปอีกก็ยิ่งยากกว่าหลายเท่า แม้ท่านเหล่านี้จะต้องแบกภาระหนักเพียงใด แต่ท่านก็ทำสำเร็จ เม่ือ ท่านไปถึงไหน ผูค้ นจงึ เรียกท่านวา่ ปชู นยี บุคคล เพราะท่านเปน็ คนที่ ควรกราบไหวไ้ ด้จรงิ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 68
ตามธรรมดาคนเราอยา่ วา่ แต่จะแก้ไขนิสยั เลวๆ ให้คนอนื่ เลย แค่ เพียงจะแก้ไขตวั เองก็ยากแลว้ และอยา่ ว่าแตแ่ ก้ไขตวั เองเลย แคจ่ ะรวู้ ่า ตวั เองมีนิสัยเลวๆ อะไรบ้างก็ยงั ยาก แต่ทา่ นเหล่าน้ีรจู้ ริง จงึ สามารถ แก้นสิ ัยใหค้ นทง้ั หมบู่ า้ นได้ ทำใหม้ หาชนสามารถอยรู่ ่วมกนั อย่างสงบ ความสงบของสังคมไมไ่ ด้ตกลงมาจากท้องฟา้ แตต่ ้องได้ครดู ี เชน่ นม้ี าสอน ครทู สี่ อนไดก้ เ็ สมอื นเทวดาเดนิ ดนิ มาเสกคนใหเ้ ปน็ คนดี ได้ฉะน้ัน กน็ ่าอศั จรรย์จริงๆ ที่เทวดาทา่ นนก้ี ็มีปากเดียว มสี องมอื เหมอื นกับคนทั้งหลาย แตว่ า่ ถงึ เวลาทำงาน เทวดาตัวจรงิ ยงั สูท้ ่าน ไมไ่ ด้ เพราะทา่ นมดี กี วา่ นน้ั นนั่ คอื เมอื่ ทา่ นพดู อะไรขนึ้ มา คนทง้ั บา้ น ท้ังเมืองเขาเชื่อถือ เพราะวา่ ท่านสามารถปิดนรกและเปดิ สวรรคใ์ ห้ ตัวเอง ใหค้ นร่นุ ปู่ คนร่นุ พอ่ คนรุ่นลกู ไดจ้ รงิ เพราะฉะนน้ั เวลาทา่ น ดำริจะทำอะไร คนท้ังบ้านท้ังเมืองต่างต้องกุลีกุจอลงมาช่วยท่าน อยา่ งจรงิ จัง ทา่ นไมไ่ ดม้ รี อ้ ยมอื พนั มอื ทา่ นมแี คส่ องมอื แตเ่ พราะเหตทุ ใ่ี จ ของทา่ นมธี รรมวินัย มีความกรุณา และมนี ำ้ ใจของความเป็นครูอยู่ เปยี่ มล้น ท่ีสำคัญย่งิ กค็ ือทา่ นมีทงั้ ศาสตร์และศลิ ปจ์ งึ ทำได้ ครูทมี่ ที ้ังศาสตร์และศลิ ป์ ไม่เก่ยี งเรอื่ งอายุมากหรือน้อย ตวั เล็ก หรือตัวใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย มีปริญญาหรือไม่มีปริญญา แต่ท่านมี ศีลธรรมพอจะอบรมตัวท่านให้บริสุทธ์ิ มีความรู้ทางโลกพอประมาณ แต่สามารถเปล่ียนคำพูดของท่านมาเป็นความรู้ที่ใช้ในการปิดนรกและ เปิดสวรรค์ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ทุกคำพดู ของท่านจงึ มีแต่ความบริสุทธ์ิ มีแต่ ความกรณุ า เพราะใจท่านมีศลี ธรรมและเป่ียมดว้ ยความเปน็ ครู ปัญญาทางโลกจะมากหรือน้อยก็ไม่เก่ียง แต่ท่านมีปัญญาที่คน ทงั้ โลกขาดแคลน คือปญั ญาในการปดิ นรกและเปิดสวรรค์ และมคี วาม ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 69
กรณุ าทมี่ นษุ ยข์ าดแคลน ทา่ นเหน็ แกค่ วามอยรู่ อดของคนทง้ั บา้ นทงั้ เมอื ง มองคนทงั้ บา้ นทง้ั เมอื งเหมือนกับลกู หลาน เหงอ่ื แต่ละหยดของท่านมัน แฝงดว้ ยความบรสิ ทุ ธิ์ ไมม่ คี วามคดิ รา้ ยๆ ออกจากใจทา่ น ไมม่ คี ำพดู รา้ ยๆ ออกจากปากท่าน ไม่มีการกระทำรา้ ยๆ ออกจากตัวท่าน อย่าว่าแตต่ ัว ท่านศักด์ิสิทธเ์ิ ลย แค่รอยเท้าของท่านก็ศกั ดิ์สิทธ์แิ ลว้ น่ีคือครูที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ชาวโลกรออยู่ ต้องช่วยกันสร้าง ข้ึนมาเยอะๆ ถ้าไมร่ ู้จะสร้างจากไหน ก็สรา้ งตวั เอง ฝึกตวั เองใหเ้ ปน็ ครทู ปี่ ดิ นรกและเปดิ สวรรคข์ น้ึ มา โลกกจ็ ะมคี รทู มี่ ที ง้ั ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ เพิ่มข้ึนเอง ส่วนวิธีการฝึกหัดตัวเองให้เป็นครูดีน้ันจะต้องทำอย่างไร โปรดตดิ ตามอา่ นในบทตอ่ ๆ ไป ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 70
บทที่ ๓ ธรรมแม่บทแห่งความเปน็ ครู อรยิ มรรคมีองค์ ๘ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ หรอื มกั นยิ มเรยี กกนั ตดิ ปากวา่ มรรคมอี งค์ ๘ เปน็ ธรรมแมบ่ ทแหง่ การปฏบิ ตั เิ พอ่ื พฒั นามนษุ ยท์ กุ เพศ ทกุ วยั ทกุ ระดบั หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ แมบ่ ทแหง่ การปฏบิ ตั ทิ ม่ี อี ำนาจประหารกเิ ลส ท้ังปวงให้อันตรธานไปจากจิตใจของผู้ปฏิบัติได้โดยเด็ดขาดถาวร ไม่มีทางกำเริบออกฤทธิ์ได้อีกเลย ยังผลให้ผู้ปฏิบัติก้าวสู่อิสรภาพและ ประสบสุขอันประณีตอย่างแท้จริงในชีวิต เน่ืองจากข้ามพ้นปัญหาทุกข์ ประจำชวี ติ ของมนษุ ยท์ งั้ ๓ ประการได้ โดยมเี งอ่ื นไขสำคญั วา่ การปฏบิ ตั ิ ตามองคม์ รรคทง้ั ๘ จะตอ้ งเกดิ ขน้ึ พรอ้ มกนั ดงั มคี ำศพั ทว์ า่ มคั คสมงั คี โดยเหตุน้ีพระพุทธองค์จงึ ตรัสสรรเสริญมรรคมีองค์ ๘ ว่าเป็นทางเอก สายเดียวบ้าง เปน็ ทางอันเกษมบา้ ง มรรคมีองค์ ๘ ประกอบด้วยขอ้ ปฏิบตั ิทางกาย วาจา และใจ รวม ๘ ขอ้ ดว้ ยกนั คือ ๑. สมั มาทฐิ ิ ความเห็นถกู ต้อง ๒. สัมมาสงั กปั ปะ ความดำริถกู ตอ้ ง ๓. สัมมาวาจา การพูดถูกตอ้ ง ๔. สมั มากมั มนั ตะ การกระทำถูกตอ้ ง ๕. สัมมาอาชีวะ การเล้ียงชีพถูกตอ้ ง ๖. สัมมาวายามะ ความพยายามถกู ต้อง ๗. สมั มาสติ ความระลึกถกู ตอ้ ง ๘. สมั มาสมาธิ ความตั้งใจมนั่ ถกู ต้อง ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 71
เพ่อื ให้การนำมรรคมอี งค์ ๘ ไปปฏบิ ัตไิ ด้โดยสะดวกเหมาะสมกับ ทกุ เพศ ทกุ วยั ทกุ ระดบั ความรู้ความสามารถ จึงแบ่งมรรคมีองค์ ๘ ออกเป็น ๒ ระดบั คือระดับตน้ และระดบั สงู ผู้ปฏบิ ตั ิตามมรรคมอี งค์ ๘ ระดับตน้ ได้ครบถว้ น ยอ่ มได้ช่อื วา่ เปน็ คนดที ี่โลกต้องการ หรือมนุษย์ทส่ี มบรู ณ์ ผู้ทีส่ ามารถปฏิบตั ิตาม มรรคมีองค์ ๘ ระดับสูงได้สมบูรณ์ย่อมได้ช่ือว่าอริยบุคคล ตั้งแต่ ระดับพระโสดาบันไปจนถึงพระอรหันต์ผู้พ้นทุกข์โดยส้ินเชิง ซ่ึงความ หมายของมรรคมีองค์ ๘ ท้ัง ๒ ระดบั แสดงไดด้ งั ตารางต่อไปน้ี ตารางท่ี ๓-๑ การเปรยี บเทียบมรรคมีองค์ ๘ ทง้ั ๒ ระดบั มรรคมีองค์ ๘ ลักษณะ ความหมายเบ้ืองต้น ความหมายเบือ้ งสงู ๑. สัมมาทิฐิ : เห็นถูกต้อง คอื มคี วามเหน็ ถูกตอ้ ง ความหมายเบ้ืองสูง ความเหน็ ถกู ตอ้ ง ตรงตามความ หรอื เขา้ ใจถกู เรอื่ งโลกและ คอื มปี ญั ญาเหน็ ถกู ตอ้ ง เป็นจรงิ ชวี ติ ตามความเปน็ จรงิ วา่ ตามความเปน็ จรงิ ๑. ทานมีผลจริง ในเรือ่ ง อริยสัจ ๔ ๒. การสงเคราะหม์ ผี ลจรงิ ๓. การบชู ายกยอ่ งมผี ลจรงิ ๔. ผลวิบากแหง่ กรรมท่ี ทำดแี ละช่วั มจี รงิ ๕. โลกนี้มจี รงิ ๖. โลกหนา้ มจี ริง ๗. มารดามพี ระคณุ จรงิ ๘. บดิ ามพี ระคณุ จริง ๙. สตั วเ์ กดิ แบบโอปปา- ตกิ ะมีจริง ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 72
มรรคมีองค์ ๘ ลกั ษณะ ความหมายเบอ้ื งตน้ ความหมายเบ้อื งสูง ๑๐. สมณพราหมณ์ ผปู้ ระพฤตดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบ จนสามารถกำจดั กเิ ลสให้ หมดสนิ้ ไปไดด้ ว้ ยตนเอง โดยชอบ แลว้ สง่ั สอนผอู้ นื่ ใหร้ ูต้ ามมีจริง ๒. สมั มาสงั กปั ปะ: น้อมจติ คือ มคี วามดำริถกู ต้อง คือ มีปัญญาดำริ ความดำรถิ กู ตอ้ ง เลือกคดิ ในการดำรงชวี ติ วา่ การท่ี หรอื คดิ เฉพาะเรือ่ ง เฉพาะส่ิงดๆี จะดำรงชวี ติ ใหเ้ ปน็ สขุ ได้ ทถี่ กู ตอ้ งดงี ามเหลา่ น้ี เท่านน้ั ท้งั ในโลกนี้และโลกหน้า เทา่ นน้ั ได้แก่ นน้ั ตนเองตอ้ งต้ังตน้ ๑. ดำรปิ ลอดจากกาม จากการมคี วามคดิ ดงี าม ๒. ดำริปลอดจาก ๓ ประการ ไดแ้ ก่ พยาบาท ๑. ความคดิ ทไ่ี มห่ มกมนุ่ ๓. ดำริปลอดจาก มวั เมาในกามและอบายมขุ การเบยี ดเบียนสตั ว์ ๒. ความคดิ ทไ่ี ม่อาฆาต โลกทั้งหลาย มาดรา้ ยใครๆ ทง้ั สน้ิ ๓. ความคิดท่ีไมเ่ อา เปรยี บเบยี ดเบยี น หรือ รังแกใครๆ ท้งั ส้นิ ๓. สมั มาวาจา : เลอื กพดู ใน คือ ไมว่ ่าจะพดู เร่ืองใด คือมปี กตปิ ระพฤติ การพดู ถกู ตอ้ ง ขณะท่ีใจใสๆ กบั ใครกต็ ามตอ้ งมงุ่ หวงั วจสี ุจริต ๔ คอื เท่าน้ัน ใหต้ นเองเปน็ สขุ ทงั้ โลกน้ี ๑. ไมพ่ ดู เท็จ และโลกหนา้ ดว้ ยการ ๒. ไม่พดู ส่อเสยี ด ศาสตร์และศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 73
มรรคมอี งค์ ๘ ลักษณะ ความหมายเบอื้ งต้น ความหมายเบอื้ งสูง ต้ังเจตนาเวน้ ขาดจาก ๓. ไมพ่ ดู คำหยาบ วจที จุ รติ ๔ คือ ๔. ไม่พูดเพอ้ เจ้อ ๑. การพดู เท็จ ๒. การพูดสอ่ เสียด ๓. การพูดคำหยาบ ๔. การพดู เพอ้ เจอ้ ๔. สมั มากมั มนั ตะ: มุ่งกระทำ คือ ไมว่ า่ จะทำการงานใด คือ มีปกตปิ ระพฤติ การกระทำถกู ตอ้ ง เฉพาะส่ิงดๆี กบั ใครกต็ าม ตอ้ งมงุ่ หวงั กายสุจริต ๓ ไดแ้ ก่ เท่านนั้ ใหต้ นเองเปน็ สขุ ทงั้ โลกนี้ ๑. ไม่ฆา่ สตั ว์ โลกหนา้ ดว้ ยการตง้ั เจตนา ๒. ไมล่ กั ทรพั ย์ เวน้ จากกายทจุ รติ ๓ ๓. ไม่เสพเมถุน ได้แก่ ๑. การฆา่ สตั ว์ ๒. การลักทรัพย์ ๓. การประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕. สมั มาอาชวี ะ : เลือกทำงาน คอื ไมว่ า่ จะประกอบ คอื มปี กตไิ มเ่ ลย้ี งชพี การเลี้ยงชพี ทบ่ี ริสุทธ์ิ อาชีพใด ต้องมงุ่ หวงั ให้ ดว้ ยการทำบาปกรรม ถกู ตอ้ ง เท่าน้ัน ตนเองเปน็ สุขทงั้ โลกนี้ ทกุ ชนิด (มิจฉา- เลย้ี งชีพ และโลกหนา้ ด้วยการ อาชวี ะ) โดยเดด็ ขาด ตง้ั เจตนางดเวน้ จากการ สำเรจ็ การเล้ียงชพี แสวงหารายไดโ้ ดยวิธี ด้วยสัมมาอาชีวะ ผิดศลี ผดิ ธรรม ผดิ เป็นปกติ กฎหมาย ผิด จารตี ประเพณี เช่น ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นครู 74
มรรคมอี งค์ ๘ ลกั ษณะ ความหมายเบือ้ งตน้ ความหมายเบื้องสงู มจิ ฉาวณชิ ชา ๕ ได้แก่ ๑. การค้ามนุษย์ ๒. การค้าสง่ิ เสพติด ๓. การคา้ อาวุธ ๔. การคา้ สตั วเ์ อาไปฆา่ ๕. การคา้ ยาพิษ ๖. สมั มาวายามะ: เพียรประคบั คือ พยายามฝืนใจข่มใจ คอื รกั ษาใจใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ ความพยายาม ประคองใจ ตัดใจ จากมิจฉาทฐิ แิ ล้ว สะอาดดว้ ยการบำเพญ็ ถูกต้อง ไว้ในกาย พฒั นาสมั มาทฐิ ขิ น้ึ มาแทน ปธาน ๔ ไดแ้ ก่ เหมอื น จากมิจฉาสังกัปปะ แลว้ ๑. ปรารภความเพยี ร ประคองถาด พัฒนาสัมมาสังกัปปะ เพื่อปอ้ งกันบาป นำ้ มนั เตม็ ๆ ขึ้นมาแทนจนเปน็ นิสัย อกุศลท่ียังไมม่ ี มิให้ ไมใ่ ห้หก ประจำใจ บงั เกดิ ข้ึน ๒. ปรารภความเพยี ร เพ่ือละบาปอกุศล ทม่ี อี ยู่ ๓. ปรารภความเพยี ร เพ่อื ทำกุศลท่ียังไม่มี ใหเ้ กดิ ข้ึน ๔. ปรารภความเพยี ร เพ่อื ทำกุศลทมี่ อี ยู่ แล้วใหเ้ จรญิ ยง่ิ ขน้ึ ๗. สมั มาสติ : นอ้ มใจเข้า สำรวมใจใหอ้ ยู่ในตวั มคี วามรู้สึกตัว ความระลกึ ถกู ตอ้ ง มาไว้ในกาย อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอดเวลา พรอ้ มอยู่เสมอใน ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 75
มรรคมีองค์ ๘ ลักษณะ ความหมายเบอื้ งต้น ความหมายเบื้องสูง ไมป่ ล่อยให้ การสำรวมรักษาใจ เลอ่ื นลอย ใหส้ วา่ งอยกู่ ลางกาย อยา่ งต่อเนอื่ งทกุ อริ ิยาบถ ทำให้ สามารถพิจารณา เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ ธรรมใน ธรรม ไปตามลำดบั ๘. สมั มาสมาธิ : ใจหยดุ นิ่ง นอ้ มใจมาตง้ั ไวอ้ ยา่ งมน่ั คง มีใจต้งั มน่ั อยู่ ณ ความตั้งใจม่ัน ตั้งมน่ั ผอ่ งใส ณ ศูนยก์ ลางกาย ศนู ย์กลางกาย ถูกตอ้ ง อยูภ่ ายใน จนกระทงั่ บรรลุ ปฐมฌาน ทตุ ิยฌาน ตติยฌาน จตตุ ถ- ฌานไปตามลำดับ มจี ติ บรสิ ทุ ธจิ์ ากกเิ ลส ย่ิงข้นึ จนกระทั่ง บรรลุนิพพาน มรรคมอี งค์ ๘ สำหรบั ครู คำอธบิ ายเร่อื งมรรคมอี งค์ ๘ ทผี่ า่ นมานนั้ เปน็ คำอธบิ ายโดยย่อ สำหรบั บคุ คลโดยทวั่ ไป แตส่ ำหรบั ผมู้ อี าชพี ครผู ไู้ ดช้ อื่ วา่ เปน็ ปชู นยี าจารย์ มีภาระหน้าท่ีจะต้องทำต้ังแต่การทำตนเป็นแบบอย่าง เป็นผู้ชี้แนะ ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 76
ปลูกฝงั อบรม เป็นผู้กำกบั และติดตามประเมนิ ผล ตลอดจน ตอกย้ำ และให้กำลงั ใจบรรดาศษิ ยใ์ ห้มนี สิ ัยเปน็ คนเก่งและดีอยา่ งแท้จริง เพอื่ สง่ เสรมิ ใหค้ รเู ลง็ เหน็ หลกั การและแนวทางในการปลกู ฝงั อบรม ความรเู้ ร่ือง มรรคมอี งค์ ๘ แก่บรรดาศษิ ย์ ให้เกดิ เป็นนิสยั ประจำใจ ตลอดไป จงึ มรี ายละเอยี ดเพมิ่ เติม ดงั นี้ ๑. สัมมาทิฐิ คือความเห็นถูกต้อง หรือความเข้าใจถูกต้อง เรอ่ื งโลกและชวี ติ สิ่งท่ีครูต้องเข้าใจและปฏิบัติต่อศิษย์ตามนัยแห่งสัมมาทิฐิ ได้แก่ ๑) ต้องปลกู ฝงั อบรมสัมมาทิฐิ ๑๐ ประการ ตั้งแตเ่ ดก็ ระดบั อนุบาล หากปลูกฝงั อบรมช้าไป เด็กกจ็ ะมีความเหน็ ผดิ หรือมีมจิ ฉาทิฐิ ซ่งึ แก้ไขไดย้ าก ๒) ความรเู้ รอ่ื งสมั มาทฐิ ิ ๑๐ ประการ จะทำใหเ้ ดก็ เกดิ ปญั ญา เข้าใจเรอ่ื ง บญุ -บาป กฎแห่งกรรม และความจำเป็นในการรักษาศลี ให้เป็นนิสัยไดง้ า่ ย ๓) การปลกู ฝงั สมั มาทฐิ ิ ๑๐ ประการตอ้ งเรมิ่ จากงา่ ยไปหายาก ๔) ต้องมีกิจกรรมปลูกฝังสัมมาทิฐิ ๑๐ ประการให้ทำเป็น กจิ วตั รอย่างเหมาะสมกบั วัยของผ้เู รียน ท้งั ตอ้ งทำซ้ำๆ จนเห็นผล ๕) การอบรมสง่ั สอนสมั มาทฐิ ทิ งั้ ๑๐ ประการ ตอ้ งมกี จิ กรรม และสอ่ื ประกอบการเรยี นการสอนอย่างเหมาะสมทกุ ระดบั ช้นั เรียน ๖) เดก็ ทไ่ี ดร้ บั การอบรมสมั มาทฐิ ิ ๑๐ ประการจากครอบครวั มาแล้ว ทางโรงเรียนก็พึงปลูกฝังอบรมเพิ่มเติมในลักษณะตอกย้ำให้ เปน็ นสิ ัยทด่ี ยี งิ่ ๆ ข้นึ และคดั เลือกใหเ้ ป็นตน้ แบบแก่เพอื่ นๆ สว่ นเดก็ ท่ีมี นสิ ยั ไมด่ เี พราะขาดการอบรมจากครอบครวั ครกู ต็ อ้ งพลกิ ทฐิ หิ รอื ดดั นสิ ยั ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 77
ใหเ้ ปน็ สัมมาทฐิ ิให้ได้ อยา่ ปล่อยทงิ้ ไวเ้ ป็นอันขาด แมแ้ ต่ผ้เู ดียว เพราะ จะเปน็ ตวั อยา่ งทเ่ี ลวในอนาคต ๗) ครตู อ้ งระลกึ เสมอวา่ “นสิ ยั ทดี่ ีเทา่ นน้ั ท่จี ะช่วยส่งเสริม ศิษยใ์ ห้มคี วามรูท้ างวชิ าการก้าวหน้า ไม่มีวันตกตำ่ ” โดยเหตทุ ส่ี มั มาทฐิ มิ รี ายละเอยี ดถงึ ๑๐ ประการ จงึ ไดน้ ำเสนอ เพิม่ เตมิ ไว้ต่อจากหวั ขอ้ จิตของวัยรุ่นเปน็ สมาธิช้ากวา่ เดก็ เล็ก ภายใต้ หัวข้อสมั มาทิฐิ ๑๐ แมบ่ ทการสรา้ งกำลงั ใจในการทำความดี ๒. สมั มาสงั กปั ปะ คอื ความดำรถิ กู ต้องในการดำรงชีวติ สงิ่ ทคี่ รตู อ้ งเขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ อ่ ศษิ ยต์ ามนยั แหง่ สมั มาสงั กปั ปะ ได้แก่ ๑) แม่บทท่ีจะสอนให้คนดำริถูกต้องหรือคิดเป็น ก็คือ สมั มาทิฐิ ๑๐ ประการทอี่ บรมมาดีแลว้ ๒) คนเราจะมีพฤติกรรมทางกายและวาจาดีหรือชั่ว ล้วน เนื่องมาจากความคดิ ทั้งส้นิ กลา่ วคอื ถ้าคดิ ดกี ็พดู ดี ทำดี ถ้าคดิ ช่ัว ก็พดู ชวั่ ทำชั่ว ๓) การจัดกิจกรรมต่างๆ ในสถาบนั การศกึ ษาทกุ ระดบั ครู ต้องควบคุมมิให้เกิดภาวะความรู้สึกทางเพศหรือกามราคะกำเริบใน กลุ่มศิษย์ แม้ในการจัดการแข่งขันกีฬา ก็ต้องระมัดระวังมิให้นักเรียน เกดิ ความอาฆาตพยาบาท หรอื ใช้กลโกง กลัน่ แกลง้ กัน ฯลฯ ๔) ครตู อ้ งระลกึ เสมอวา่ ตนจะตอ้ งคดิ หาทางปลกู ฝงั ทง้ั นสิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ ใฝท่ ำดี รวมทงั้ การพฒั นาตนใหเ้ ปน็ คนเกง่ และดี มสี ขุ ภาพ พลานามัยแขง็ แรง ใหแ้ ก่ศิษย์อยา่ งเต็มความรู้ความสามารถ เพื่อ เปน็ หลกั ประกนั วา่ บน้ั ปลายชวี ติ ครเู องจะไดอ้ ยอู่ ยา่ งสงบสขุ เพราะ ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 78
ประเทศชาติอยู่ในความรับผิดชอบของคนเก่งและดี ซึ่งก็คือศิษย์ ของตนน่นั เอง ๓. สัมมาวาจา คือ การพดู ถกู ต้อง สิ่งท่ีครูต้องเข้าใจและปฏิบัติต่อศิษย์ตามนัยแห่งสัมมาวาจา ไดแ้ ก่ ๑) เดก็ ทไ่ี ดร้ บั การปลกู ฝงั อบรมสมั มาทฐิ ิ ๑๐ มาอยา่ งดแี ลว้ กระทงั่ เกดิ ปญั ญา คดิ เปน็ เนอ่ื งจากเขา้ ใจเรอื่ งกฎแหง่ กรรมเปน็ อยา่ งดแี ลว้ เท่าน้ัน จึงไมก่ ล่าววจีทจุ รติ ท้งั ๔ ประการอย่างเด็ดขาด ๒) การสวดพระพุทธมนต์ การกลา่ วคำปฏิญาณ การกลา่ ว คำอธษิ ฐาน การกลา่ วคำสรรเสรญิ การทอ่ งพทุ ธภาษติ การทอ่ งสภุ าษติ คำกลอน การรอ้ งเพลงชาติ ฯลฯ เปน็ ประจำ จดั เปน็ การเสรมิ สมั มาวาจา ท้ังสิ้น ๓) การไมว่ า่ รา้ ยใครๆ ทง้ั ตอ่ หนา้ และลบั หลงั ลว้ นเปน็ สมั มาวาจา ๔. สัมมากมั มนั ตะ คือ การกระทำถูกต้อง สง่ิ ทคี่ รตู อ้ งเขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ อ่ ศษิ ยต์ ามนยั แหง่ สมั มากมั มนั ตะ ได้แก่ ๑) ครตู อ้ งปลกู ฝงั อบรมศษิ ยใ์ หต้ ระหนกั อยเู่ สมอวา่ การเรยี นรู้ ทั้งหลายต้องนำไปใช้เพอ่ื บำเพ็ญคณุ ความดอี ย่างแทจ้ ริงเท่านนั้ จงึ ตอ้ ง ไมป่ ระพฤตกิ ายทจุ รติ ๓ หรอื ไมท่ ำผดิ ศลี ๓ ขอ้ แรกในศลี ๕ จนเปน็ นสิ ยั ๒) ครูต้องมีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยอยู่เสมอ เพ่ือ เป็นต้นแบบให้ศิษย์ยึดถือปฏิบัติตาม ขณะเดียวกันก็พรำ่ สอนเร่ืองการ แสดงกิริยามารยาทที่พึงปฏิบัติในโอกาสต่างๆ ให้แก่ศิษย์จนเป็นนิสัย เพราะกิริยามารยาทสุภาพงดงามเหล่าน้ัน คือนิสัยประจำตัวของศิษย์ และจะเป็นนิสัยประจำชนชาตไิ ทยในอนาคต ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเปน็ ครู 79
๓) ครตู อ้ งระลกึ อยเู่ สมอ และปลกู ฝงั อบรมศษิ ยใ์ หต้ ระหนกั วา่ การประกอบสัมมาทิฐินั้น ต้องระวังมิให้ผิดสัมมากัมมันตะด้วย เช่น ไม่โกงทรัพย์ผู้อืน่ มาทำทาน เพราะนอกจากตนเองต้องทำบาปแล้ว ยัง เป็นการทำให้ผู้อื่นต้องเดอื ดร้อนอีกด้วย ๕. สัมมาอาชีวะ คอื การเลย้ี งชพี ถกู ตอ้ ง สงิ่ ทคี่ รตู อ้ งเขา้ ใจ และปฏบิ ตั ติ อ่ ศษิ ยต์ ามนยั แหง่ สมั มาอาชวี ะ ได้แก่ ๑) ครตู อ้ งปลกู ฝงั อบรมใหศ้ ษิ ยเ์ ขา้ ใจวา่ ทกุ คนตอ้ งพง่ึ ตนเอง ใหไ้ ด้ จงึ ต้องประกอบสมั มาอาชีพเพือ่ เลย้ี งตน ไมท่ ำตวั เป็นกาฝากของ สังคม ๒) ตอ้ งปลกู ฝงั อบรมใหศ้ ษิ ยเ์ ขา้ ใจวา่ การประกอบอาชพี กเ็ พอื่ ใหส้ ามารถแสวงหาธาตุ ๔ มาเพิ่มเติมให้กบั ร่างกาย เพ่อื ใหม้ ีชีวติ อยู่ ตอ่ ไปได้ นีค้ ือวตั ถปุ ระสงค์สำคญั ที่สดุ ส่วนการแสวงหาปัจจัย ๔ เป็น วตั ถุประสงค์รอง ๓) เก่ยี วกับการแสวงหาทั้งธาตุ ๔ และปัจจัย ๔ มเี ร่อื งทตี่ อ้ ง ระมดั ระวงั หลายประการ ดังน้ี - การแสวงหาโดยทจุ ริต ยอ่ มผดิ ศลี เป็นการทำบาป - เนอื่ งจากทรพั ยากรในโลกนม้ี จี ำกดั การแสวงหามามาก เกนิ จำเปน็ ยอ่ มทำใหผ้ อู้ นื่ ขาดแคลน เปน็ เรอื่ งทผ่ี ดิ ธรรม เพราะเปน็ การ ทำร้ายผู้อื่นทางออ้ ม การบริโภคโดยไม่รู้ประมาณ เข้าทำนองฟุม่ เฟอื ย สุรุ่ยสรุ า่ ย นอกจากเปน็ การทำรา้ ยผอู้ ่นื โดยทางออ้ มแลว้ ยังทำให้เกิด มลภาวะ เป็นการทำลายโลกอีกด้วย ดังน้ันในการแสวงหา การเก็บออม การใช้สอย และการ แบง่ ปนั เปน็ สง่ิ ทที่ กุ คนตอ้ งคดิ พจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ การทใี่ ครจะคดิ ได้ ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 80
ต้องมสี ัมมาทฐิ ิประจำใจกอ่ น ซ่งึ ครูต้องเปน็ ท้งั ผฝู้ กึ และเปน็ ตวั อย่างให้ แก่ศิษย์ ๔) ครูตอ้ งชีแ้ นะใหศ้ ิษยเ์ หน็ ว่า อบายมุขทั้ง ๖ มจิ ฉาวณิชชา และมิจฉาอาชีวะต่างๆ นั้น ก่อให้เกิดทุกข์และโทษแก่ผู้เกี่ยวข้องท้ังใน โลกนี้และโลกหน้าอย่างไร ก่อให้เกิดทุกข์และโทษแก่ชาวโลกอย่างไร ขณะเดยี วกนั ครเู องกต็ ้องไม่เก่ยี วขอ้ งกบั สง่ิ ชัว่ รา้ ยน้นั อย่างเดด็ ขาด ๖. สมั มาวายามะ คอื ความพยายามถูกตอ้ ง สงิ่ ทค่ี รตู อ้ งเขา้ ใจและปฏบิ ตั ติ อ่ ศษิ ยต์ ามนยั แหง่ สมั มาวายามะ ไดแ้ ก่ ๑) การปรารภความเพียรตามหลักปธาน ๔ นัน้ เปน็ การ เพาะนิสัยบุคคลให้มีคุณธรรมพ้ืนฐาน ๓ ประการ คือ ความเคารพ ความอดทน และความมวี นิ ยั โดยอัตโนมัติ ๒) ครูมีหน้าที่โดยตรงในการปลูกฝังอบรมคุณธรรมพ้ืนฐาน ๓ ประการ ดังน้ี - ความเคารพ ฝึกได้โดยให้ศิษย์อภิปรายคุณความดี ของบุคคล สถานท่ี ฯลฯ อภิปรายข้อดีหรือประโยชน์ของพิธีกรรม หนังสือ วรรณกรรม งานศลิ ปะ ฯลฯ - ความอดทน ฝึกได้โดยให้ศิษย์ร่วมกันทำกิจกรรม ตา่ งๆ ทง้ั กจิ กรรมในหลกั สตู ร และนอกหลกั สตู ร ทง้ั กจิ กรรมในหอ้ งเรยี น และนอกหอ้ งเรียน ตามความเหมาะสมดว้ ยประการตา่ งๆ และบทฝกึ ทข่ี าดไมไ่ ด้ก็คอื การทำสมาธิภาวนาหรือการบริหารจิต ทั้งน้ีเพราะ เมื่อ ใจสงบย่อมเกดิ ปญั ญา เมอ่ื เกดิ ปญั ญาย่อมก่อให้เกดิ ความคดิ และกำลงั ใจท่ีจะฟันฝา่ อปุ สรรคต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมาย - ความมวี นิ ัย ฝกึ ได้โดยการตรงตอ่ เวลา เชน่ เข้าเรยี น ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 81
ตรงเวลา ส่งการบ้านตรงเวลา รวมทั้งการปฏิบัติตามกฎกติกาและ ระเบยี บตา่ งๆ ของโรงเรยี น เชน่ แตง่ กายถกู ตอ้ งตามระเบยี บของโรงเรยี น ไม่กระทำส่ิงหนึ่งสิ่งใดที่เป็นข้อห้ามของโรงเรียน รู้จักท้ิงขยะให้เป็นที่ เปน็ ทาง เปน็ ตน้ ๓) คุณธรรมพ้ืนฐาน ๓ ประการน้ี เป็นเคร่ืองมือแก้นิสัย ของคนเราไดโ้ ดยปรยิ าย ขณะเดียวกนั ก็ชว่ ยพัฒนาคนทมี่ ีนสิ ัยดอี ยูแ่ ล้ว ให้ดยี ิง่ ๆ ขน้ึ อกี ดว้ ย ๔) ครูพึงมีปณิธานอันแน่วแน่ในการสั่งสมบุญบารมีให้เป็น แบบอย่างแก่ชาวโลก คราใดที่ศิษย์รำลึกถึงครูเช่นน้ี ย่อมเกิดแรง บันดาลใจท่จี ะบำเพญ็ คุณความดตี ามอยา่ งครูอย่างต่อเน่อื ง ๗. สมั มาสติ คอื ความระลึกถูกต้อง ส่ิงที่ครูต้องเข้าใจและปฏิบัติต่อศิษย์ตามนัยแห่งสัมมาสติ ได้แก่ ๑) ครูมีหน้าท่ีตลอดชีวิตในการเป็นต้นแบบนิสัยใฝ่เรียนรู้ ใฝท่ ำดี มีความสามารถให้แก่ชาวโลก ๒) มุ่งมั่นปลูกฝังอบรมศิษย์ให้มีนิสัยใฝ่เรียนรู้ ใฝ่ทำดี มี ความสามารถ เพอ่ื เปน็ ทพี่ งึ่ แกต่ นเองและผอู้ นื่ ไดเ้ ปน็ อย่างดี ๓) การฝกึ สำรวมใจใหอ้ ย่ภู ายในตัว ไม่คิดฟุ้งซา่ นไปในเรือ่ ง ไรส้ าระ กจ็ ะมสี ตอิ ยเู่ สมอ ไมเ่ ผอเรอ ไมป่ ระมาท ขณะเดยี วกนั กจ็ ะสมบรู ณ์ พร้อมดว้ ยคุณธรรมพื้นฐาน ๓ ประการ คือ มีความเคารพ อดทน และ มวี ินยั ๔) ครูสามารถฝึกศิษย์ให้มีสติ ระมัดระวังในการทำหน้าที่ การงานต่างๆ ไม่ให้เกิดความผิดพลาด ด้วยการฝึกศิษย์ให้มีนิสัยรัก การทำสมาธิภาวนา ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 82
๘. สมั มาสมาธิ คอื ความตง้ั ใจมนั่ ถกู ต้อง สงิ่ ทคี่ รตู อ้ งเขา้ ใจ และปฏบิ ตั ติ อ่ ศษิ ยต์ ามนยั แหง่ สมั มาสมาธิ ไดแ้ ก่ ๑) สมาธเิ ป็นเร่ืองของใจ ซึง่ เป็นนายของกาย ดงั นนั้ ความ พยายาม สติกับสมาธิจึงเป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เสมือนเปน็ เร่อื งเดียวกัน ๒) บุคคลท่ีมีสมาธิย่อมทำงานได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี นกั เรยี นทมี่ สี มาธดิ ยี อ่ มเรยี นหนงั สอื เกง่ เพราะเขา้ ใจบทเรยี นไดถ้ กู ตอ้ ง และจดจำได้ไมล่ ืมเลือน ๓) ครูพึงฝกึ ให้นักเรียนทำสมาธิภาวนา ประมาณ ๕ ถึง ๑๐ นาที กอ่ นเร่มิ เรยี นวชิ าการในชว่ั โมงแรกของทุกๆ วนั และทกุ คร้งั ของ ต้นช่ัวโมงท่ีเปลี่ยนวิชาเรียน ดังนั้นในแต่ละวันย่อมทำสมาธิรวมกันได้ หลายนาที ถา้ ทำเปน็ กจิ วตั รยอ่ มทำใหใ้ จตงั้ มนั่ ถกู ตอ้ งยง่ิ ขน้ึ ทำใหส้ ามารถ เขา้ ใจบทเรียนต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง สอบได้คะแนนดี เปน็ คนเรียน หนังสือเกง่ ขณะเดียวกัน ก็ตระหนักถึงคุณค่าและความจำเป็นของการ ทำสมาธจิ นเปน็ นสิ ยั พร้อมกนั นัน้ คุณธรรมพ้นื ฐานทง้ั ๓ ประการก็จะ พฒั นายง่ิ ขนึ้ เกดิ ปญั ญาเลง็ เหน็ คณุ คา่ ของสมั มาทฐิ ิ ตลอดจนการปฏบิ ตั ิ มรรคมอี งค์ ๘ และเลง็ เหน็ โทษของมจิ ฉาทิฐิ อบายมขุ การประพฤติ ทจุ รติ และอกศุ ลกรรมท้ังปวงได้งา่ ย ๔) คำสอนท้ังหมด ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ในพระพุทธ ศาสนา รวมลงในมรรคมอี งค์ ๘ ทั้งสน้ิ ถ้าข้อใดอนุโลมลงในมรรคมี องค์ ๘ ไม่ได้ ขอ้ นัน้ ไมใ่ ชค่ ำสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า เป็นเพยี ง กาฝากในศาสนาเท่านัน้ ดงั นัน้ จึงกล่าวไดว้ ่า มรรคมอี งค์ ๘ นี้ เปน็ แม่บทแห่งการ ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเป็นครู 83
ปฏิบัติของพทุ ธศาสนกิ ชน ทุกเพศ ทกุ วัย และทกุ ระดบั และเป็น แม่บทการศึกษาอย่างแท้จริง ท้ังภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่สมบูรณ์ ทสี่ ดุ ของชาวโลกทุกยุคทกุ สมัยตลอดมา หลักการปฏบิ ัติมรรคมีองค์ ๘ โดยเหตุที่มรรคมีองค์ ๘ แต่ละข้อมิได้มีความสมบูรณ์ในตัวเอง กลา่ วคอื บางขอ้ มบี างสว่ นเปน็ ไดท้ งั้ ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ตั พิ รอ้ มกนั บางข้อเป็นเฉพาะภาคทฤษฎีเท่านั้น บางข้อก็มีท้ังภาคทฤษฎีและภาค ปฏบิ ตั สิ มบรู ณอ์ ยใู่ นตวั ซง่ึ สามารถสง่ เสรมิ สนบั สนนุ การปฏบิ ตั อิ กี ๗ ขอ้ ใหส้ มั ฤทธผิ ลดว้ ย บางขอ้ กเ็ ปน็ ภาคปฏบิ ตั ลิ ว้ นแตม่ ผี ลสมั ฤทธค์ิ รอบคลมุ การปฏิบตั ิของขอ้ อนื่ ทงั้ ๗ ขอ้ ดงั นนั้ การปฏบิ ตั ิมรรคมอี งค์ ๘ ใหไ้ ด้ ผลดจี ริงจึงต้องใชว้ ธิ ีบรู ณาการ ดงั น้ี ๑. ปฏบิ ัตใิ ห้ ๒. ปฏิบตั ใิ ห้พรอ้ มกัน ครบทกุ ขอ้ ทกุ ข้อ ๓. ปฏบิ ัตแิ ตล่ ะข้อ ใหส้ มบูรณ์ หลกั การปฏิบตั ิ มรรคมอี งค์ ๘ ๕. ปฏบิ ตั ิใหต้ อ่ เนือ่ ง ๔. ปฏิบตั ิแตล่ ะขอ้ ทกุ ขอ้ ใหไ้ ด้สดั ส่วน ภาพท่ี ๓-๑ หลักการปฏบิ ัติมรรคมีองค์ ๘ ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 84
๑. พยายามปฏิบตั ใิ ห้ครบทกุ ข้อ ไม่ควรขาดขอ้ ใดข้อหนึง่ ไป ๒. พยายามปฏิบัตทิ งั้ ๘ ขอ้ พร้อมๆ กัน หากแยกขอ้ ใดข้อหนึง่ มาปฏบิ ตั ิตามลำพัง ยอ่ มได้ผลไม่เต็มที่ เชน่ ปฏบิ ัตขิ ้อ ๑ ในสัมมาทฐิ ิ คือทำทานใส่บาตรทกุ วนั แต่ยังกล่าววจีทจุ รติ ๔ อยู่เสมอ ไมส่ นใจทำ สมาธภิ าวนา โดยอา้ งเหตุผลวา่ ไม่มีเวลา เช่นนี้ย่อมไม่สามารถแกน้ ิสยั เสียๆ ใหห้ มดไปได้ ๓. การปฏิบัติแต่ละข้อต้องพยายามให้สมบูรณ์ตามแบบท่ี กำหนดไว้ ในความหมายเบือ้ งต่ำของมรรคแต่ละขอ้ เช่น ในการปฏิบัติ สมั มาสงั กปั ปะ มคี วามคดิ และตง้ั ใจทจ่ี ะไมอ่ าฆาตพยาบาทใครๆ ทสี่ รา้ ง ความเจบ็ ชำ้ น้ำใจใหต้ น มคี วามคดิ ทจี่ ะไมเ่ อาเปรยี บเบยี ดเบยี นหรอื รงั แก ใครๆ ทเี่ คยเอาเปรียบตน แต่กย็ ังเก่ยี วข้องพัวพันอยู่กบั อบายมุข ท้ังการ ด่ืมสรุ า และเล่นการพนนั เช่นน้ถี อื ว่า ยงั ไมส่ มบูรณ์ ขอ้ บกพรอ่ งในการปฏิบตั มิ รรคขอ้ ใดข้อหนงึ่ ยอ่ มสง่ ผลกระทบใน เชิงลบตอ่ การปฏบิ ตั มิ รรคขอ้ อืน่ ๆ ไดเ้ สมอ แมจ้ ะพยายามปฏบิ ตั มิ รรค ไปนานเทา่ ใด ยอ่ มยากที่จะกำจัดนสิ ยั เสียๆ ไดส้ ำเรจ็ ๔. การปฏบิ ตั แิ ตล่ ะขอ้ ตอ้ งพยายามใหไ้ ดส้ ดั สว่ นทพี่ อเหมาะกนั เชน่ เมอ่ื มสี มั มาทฐิ ิเขา้ ใจเรอื่ งบญุ และบาป เรือ่ งกฎแหง่ กรรม เรอ่ื งโทษ ของการผดิ ศลี จงึ ตง้ั ใจปฏบิ ตั สิ มั มาวาจา ดว้ ยการงดเวน้ วจที จุ รติ ๔ ตง้ั ใจ ปฏิบัติสมั มากมั มนั ตะ ด้วยการงดเวน้ กายทจุ ริต ๓ แตม่ ไิ ด้มคี วามคิด ที่จะปฏิบัติสัมมาสมาธิอย่างจริงจัง ใจจึงไม่ต้ังม่ัน เผลอสติ ต้ังอยู่ใน ความประมาท จึงทำผิดพลาดได้ง่าย ครั้นแล้วก็หาวิธีพ้นผิดด้วยการ กลา่ วเท็จ น่คี อื ผลของการปฏิบัติแต่ละข้อโดยมิไดส้ ดั ส่วนท่ีพอเหมาะ ๕. พยายามปฏิบัติให้ต่อเน่ือง จนกระท่ังเกิดเป็นนิสัยรักการ ปฏิบัตมิ รรคมอี งค์ ๘ เปน็ ชีวิตจิตใจ ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 85
การปฏิบัติมรรคมอี งค์ ๘ แบบบูรณาการน้ี อปุ มาเหมือนกบั การ ตำน้ำพริกรสเดด็ ซึ่งตอ้ งมสี ว่ นประกอบต่างๆ ให้ครบทั้ง ๘ อยา่ ง ได้แก่ กะปิ กระเทียม กุ้งแหง้ มะเขอื พวง พรกิ นำ้ ตาล นำ้ ปลา มะนาว เปน็ ตน้ ถา้ ขาดเครือ่ งปรุงอย่างใดอยา่ งหนึ่งไป ก็จะไม่ครบเครือ่ งนำ้ พรกิ รสเดด็ เมื่อมีเคร่ืองปรุงครบถ้วนแล้ว ก็นำเครื่องปรุงท่ีเป็นของแข็งทั้งหมดใส่ รวมกันในครกแล้วโขลกจนละเอยี ด หลังจากนั้นจงึ เติมเครือ่ งปรุงทเี่ ป็น ของเหลวลงไป แลว้ คนให้เข้ากันเปน็ เนื้อเดียว อยา่ งไรกต็ ามเครอ่ื งปรุง แตล่ ะอย่างต้องมีสัดส่วนพอเหมาะกนั จึงจะทำใหม้ ีรสชาตอิ รอ่ ย เพราะ ถา้ ใสก่ ะปมิ ากเกนิ ไปกจ็ ะมกี ลน่ิ กะปริ นุ แรงไมช่ วนรบั ประทาน ถา้ ใสพ่ รกิ มากเกนิ ไปกจ็ ะเผด็ จนรบั ประทานไมไ่ ด้ ถา้ ใสม่ ะนาวมากเกนิ ไปกจ็ ะไมใ่ ช่ นำ้ พรกิ รสเดด็ ทน่ี า่ รบั ประทาน แตเ่ ปน็ นำ้ พรกิ รสเปรยี้ ว รบั ประทานไมไ่ ด้ อุปมาเรื่องน้ำพริกฉันใด อุปมัยเร่ืองการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ก็ฉันนั้น คือต้องปฏิบัติตามหลัก ๕ ประการ ได้แก่ ๑. ครบข้อ ๒. พรอ้ มกนั ๑ ๓. สมบูรณแ์ บบ ๔. ได้สัดสว่ น และ ๕. ตอ่ เนื่อง จนกระท่ังเกดิ เป็นนสิ ัยปฏิบัตติ ามหลกั มรรคมีองค์ ๘ ตลอดชีวติ ผทู้ ่มี ีนิสัยรักการปฏิบัตมิ รรคมอี งค์ ๘ เปน็ กจิ วตั ร ยอ่ มเป็นผู้มี กำลังใจในการบำเพ็ญคุณความดีอย่างมหาศาล เพ่ือเป็นการส่ังสมบุญ กุศลของตน และเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม และเพราะเหตุท่ีใจ ไมต่ กอยใู่ นอำนาจของนวิ รณ์ ๕ จงึ ไมเ่ กดิ อาการเครยี ด เบอ่ื กลมุ้ เพราะ กามฉนั ทะบา้ ง เพราะพยาบาทบา้ ง เพราะหดหเู่ ซอื่ งซมึ (ถนี มทิ ธะ) บา้ ง ____________________________________ ๑ สํ.มหาวาร. อ.อวชิ ชาสูตร ๓๐/๔ (มมร.) คำว่า “พรอ้ มกัน” หมายถึง ในชว่ งเวลาภายใน แตล่ ะวนั ทุกๆ วันต้องทำทกุ ข้อให้ได้ ไม่ไดห้ มายถงึ ขณะจิตหนงึ่ ๆ พร้อมกนั ทัง้ ๘ ข้อ ซึง่ มีแตใ่ นโลกตุ ตรมรรคจติ เทา่ น้ัน ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเป็นครู 86
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216