36 (6) ฝก ความเปนประชาธปิ ไตยใหแ กผเู รียน (7) ฝก ใหผเู รยี นมคี วามสามคั คี สุจิตรา แกวหนองแสง [47] ไดสรุปวา การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยการใหนักเรียนไดทาํ งานกลุม นัน้ จะกอใหเกิดประโยชนตอผเู รยี น ทั้งในดานปฏสิ ัมพันธ ความมีระเบียบวินัย ความคดิ สรางสรรค และความรับผิดชอบ ตองานทต่ี นเองไดรับมอบหมาย ทําใหประสบผลสําเร็จ ในการทํางานกลมุ รตั นา บุตรอุดม [27]ไดสรุปวา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดวยการใหนักเรียนไดทํางานเปนกลุมน้ัน กอใหเกิดประโยชนตอผูเรียนทั้งในดานการปฏิสัมพันธสงเสริมความคิดริเริ่มสรางสรรคความมีระเบียบวินัยความ รับผิดชอบตองานในสวนท่ีไดรับมอบหมายและความรับผิดชอบตองานของกลุมตลอดจนเปนการสงเสริมประชาธิปไตย ใหแ กผูเรียน วรดาการ ปรางสขุ [48] ไดสรุปวา การจดั กิจกรรมการเรยี นรูทีใ่ หผเู รียนไดทํางาน กันเปนกลุมนัน้ จะทาํ ให เกิดประโยชนตอผูเรียน ทง้ั ในดา นการมีปฏสิ มั พนั ธที่ดีตอกัน สรา งความมีระเบยี บวนิ ัยในการทาํ งานรวมกับผอู ืน่ สง เสรมิ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา งสรรค และความรับผดิ ชอบตองานในสวนทต่ี นเองไดร บั มอบหมาย และมคี วามรบั ผิดชอบตองาน ของ กลมุ ตลอดจนเปน การสงเสริมความเปน ประชาธปิ ไตยใหเ กดิ กับผเู รียนไดเ ปนอยา งดี จากประโยชนของการทํางานกลุมขางตน สรุปไดวา การจัดกิจกรรมเรียนการเรยี นรูโดยใหนักเรียนทํางานกลุม สงผลใหนักเรียนไดมีปฏิสัมพันธตอผูอื่น ความรับผิดชอบตอตนเองและผูอ่ืน ไดรวมทํางานกับผูอื่นเพื่อนําพากลุมไปสู ความสาํ เร็จ เพ่อื เปน พ้ืนฐานทดี่ ใี นการดํารงชีวิต และทํางานรวมกบั ผูอ ื่นในสังคมไดอ ยา งมปี ระสทิ ธภิ าพในอนาคต 6.4 การประเมนิ พฤตกิ รรมการทํางานกลุม กระทรวงศึกษาธิการ [49] กลาววา การประเมินความสามารถในการทํางานกลุม สามารถประเมินได 2 ลกั ษณะ คอื 1. การประเมินขณะปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งครูอาจใชวิธีการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนแต ละคนในขณะ ปฏิบตั งิ านรว มกับผอู น่ื ประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านของกลมุ และการประเมนิ ตนเอง ของนกั เรยี นแตละคน 2. การประเมินหลังส้ินสุดกิจกรรม โดยครูอาจใชวิธีการสังเกตการณเปลี่ยนแปลงของ พฤติกรรมในการ ทํางานรว มกับผอู ่ืน หรอื อาจใชวิธกี ารสัมภาษณนกั เรียนและผรู วมงาน หรืออาจ ใหน กั เรยี นรายงานผลการประเมินตนเอง บุญชม ศรีสะอาด [50] กลาววา เพื่อใหส ามารถสังเกตการณไ ดอ ยา งถูกตอง เหมาะสมควรมหี ลกั ดังน้ี (1) มีเปาหมายในการสังเกตท่ีแนนอน ผูวิจัยจะตองกําหนดขอบเขตของเร่ือง ท่ีจะสังเกตใหชัดเจน จะ สงั เกตอะไรบาง ในลกั ษณะใด เหตุการณใ ดทไ่ี มส อดคลอง ไมเ ก่ียวขอ งกบั เปา หมายก็ไมสังเกต (2) ทาํ การสงั เกตอยา งพนิ ิจพิเคราะห ถ่ีถวน มคี วามตัง้ ใจตลอดเวลาที่สังเกต ไมทาํ การสังเกตอยางผิวเผนิ (3) ในการบันทึกผลการสังเกต เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตองควรทําการบันทึก การสังเกต ไมควรท้ิงไวนาน เพราะจะทําใหลมื ได (4) พยายามสังเกตใหไ ดข อ มลู จาํ นวนมาก (5) ศกึ ษาทฤษฎที จ่ี ะชวยในการศึกษาความสัมพนั ธร ะหวา งเหตุการณแ ละ ขอมลู ประเภทนน้ั (6) กอ นการสังเกตการณจรงิ ควรฝก การสงั เกตการณแ ละบันทกึ เหตกุ ารณ ดา นที่สําคัญท่ีควรฝก ไดแก (6.1) เทคนคิ การระลกึ ความจาํ อยางเปนระบบ (6.2) การใหความสนใจในส่ิงหรือเหตุการณท่ีมกั มองขาม (6.3) การสงั เกตการณตามเปาประสงค
37 (6.4) การหยงั่ รหู รอื ความสามารถในการมองเห็นไดอยางทะลปุ รุโปรง (6.5) ความเปนกลางหรอื เปน ปรนัย (6.6) ประเภทของพฤตกิ รรมและรหัสประจําประเภทพฤตกิ รรม (7) ในการสังเกตการณบ างอยา งจาํ เปน ตองสงั เกตหลายคร้ัง จึงสามารถ สรปุ ผลออกมาได (8) กําหนดระยะเวลาในการสังเกตใหแ นนอน (9) วางตัวเปนกลาง บันทึกเหตุการณต ามการรับรอู ยา งเปนปรนยั (objectivity) ณัฐกานต เจรญิ กุล [43] ไดส รปุ วา การวัดพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ สามารถทําได โดยการสงั เกตและตอง มีเคร่ืองมือเพือ่ ทาํ การบันทกึ ขอมูลจากการสงั เกต ซ่ึงในการวิจยั คร้ังน้ี ผูว ิจยั ใชแบบวัดพฤติกรรมการทํางานกลมุ สังเกต การกระทําหรือการแสดงออกของนักเรียนแตละกลุม ในขณะการทํางานกลุม ซึ่งผูวิจัยไดสรางแบบสังเกตพฤตกิ รรมการ ทํางาน กลุม 4 ดา น คอื (1) ดา นการแสดงความคิดเหน็ ในการทาํ งานกลมุ (2) ตา นการรบั ผิดชอบงานกลุม (3) ดานการสรางบรรยากาศในการทํางานกลุม (4) ดานการใหค วามชวยเหลือเพอ่ื นในการทํางานกลมุ สจุ ิตรา แกวหนองแสง [47] ไดสรุปวา การวดั พฤติกรรมการทํางานกลุม เปนวิธีการท่ีสามารถไดรับขอมูล โดยตรงจาก การแสดงพฤติกรรมของนกั เรยี น ซ่งึ เปนการเก็บรวบรวมขอมลู อยา งงาย ผสู ังเกตควรกําหนด ประเด็นในการ สังเกต ซึ่งจะไดผลดีข้ึนอยูกับความตั้งใจ ประสาทสัมผัส การรับรูของผูสังเกต โดยสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของ นักเรียนแตละกลุม โดยวัดพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ 3 ดาน ดังน้ี 1) ความรับผิดชอบในการทํางานกลุม 2) การใหความ ชว ยเหลอื เพ่ือนในกลุมในการทํางาน การมีสวนรวมในการแสดงความคิดเห็น 3) ดา นการแสดงความ คิดเห็นขณะทํางาน กลุม ซง่ึ มีการใหคะแนนแบบ Rubric จากการประเมินพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ขางตน สรุปไดวา การประเมินพฤติกรรมกลมุ สามารถประเมนิ ได ท้ังขณะปฏบิ ัตกิ ิจกรรม หรือหลงั ส้ินสดุ กจิ กรรม สามารถทําได โดยการสังเกตและตอ งมีเครอ่ื งมือเพอื่ ทําการบันทึกขอมูล จากการสงั เกต ผูสงั เกตควรกําหนดพฤติกรรมที่ตองการสังเกต ซ่ึงในการวิจัยคร้ังนี้ ผวู ิจัย ใชแบบประเมินพฤติกรรมการ ทาํ งานกลุม โดยสงั เกตการกระทํานักเรียนแตละกลุม ในขณะการทํางานกลุม ซ่ึงผวู จิ ัยไดสรางแบบประเมินพฤตกิ รรมการ ทาํ งาน กลุม 5 ดาน คอื 1)ความรบั ผดิ ชอบตอหนาที่ 2)ความกระตือรือรนในการทาํ กิจกรรม 3)การใหความรว มมือในการ ทํางาน 4)การแลกเปลยี่ นเรยี นรู 5)บรรยากาศและสมั พนั ธภาพที่ดี 7. งานวิจยั ที่เกีย่ วขอ ง 7.1 งานวิจัยภายในประเทศ วัสริน ประเสริฐศรี [51] ไดศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองเศษสวนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปท่ี 6 ท่ีสอนดวยการเรียนแบบรวมมือกันโดยใชกิจกรรมการเรียน แบบกลุมแขงขัน (TGT) และแบบกลุม สมั ฤทธิ์ (STAD) กับการสอนตามแนวคมู ือครูพบวาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน (posttest) วิชาคณิตศาสตร เร่ือง เศษสวนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 ทีส่ อนดวยการเรียนแบบรวมมือกันโดยใชกจิ กรรมการเรียนแบบกลุมแขงขัน (TGT) และแบบกลุมสัมฤทธิ์ (STAD) กับการสอน ตามแนวคูมือครูแตกตางกันอยางมีนัยยะสําคัญที่ระดับ 0.01 มีคา
38 คะแนนเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียนที่สอนดวยการเรียนแบบรวมมือกันโดยใชกิจกรรมการเรียน แบบกลุมแขงขัน (TGT) และแบบกลุม สัมฤทธ์ิ (STAD) สูงกวาคาเฉลีย่ ของคะแนนหลังเรียนของนักเรียนท่สี อนตามแนวคูมือครู บัญชา ชินโณ [52] ไดศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชรูปแบบแบงกลุม ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณิตศาสตร ที่สงผลตอความสามารถในการแกปญหาทาง คณิตศาสตร พฤติกรรมการทํางานกลุม และเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 พบวา ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชร ูปแบบแบงกลมุ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสราง ตวั แบบเชิงคณติ ศาสตร มีคาเทากับ 72.46/71.44 แผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชรูปแบบ แบงกลุมผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รว มกับกระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณิตศาสตรมีดัชนีประสิทธิผล เทา กับ 0.604 นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 ท่ไี ดร ับการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใช รูปแบบแบงกลมุ ผลสมั ฤทธ์ิ (STAD) รวมกับกระบวนการสรา งตัวแบบ เชิงคณิตศาสตรมี ความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตรผานเกณฑรอยละ 65 ขึ้นไปอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ท่รี ะดบั .05 นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 ท่ีไดรับการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชรปู แบบแบงกลุมผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รวมกบั กระบวนการสรา งตวั แบบเชิงคณิตศาสตรมี ความสามารถในการแกปญหาทางคณติ ศาสตรหลงั เรยี นสูงกวา กอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 ท่ีไดรับการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ รวมมอื โดยใชรปู แบบแบง กลมุ ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รวมกับกระบวนการสรา งตัวแบบเชิงคณิตศาสตรม พี ฤตกิ รรมการทาํ งาน กลุมอยใู นเกณฑร ะดับดีข้นึ ไปอยางมีนัยสําคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 ท่ไี ดรับการจัดกจิ กรรม การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชรูปแบบแบงกลุมผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณิตศาสตรมีเจต คติตอ วิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอ นเรียน อยางมีนัยสาํ คัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 ที่มีความสามารถทางการเรียนตางกันหลังไดรับการจัดการกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชรูปแบบแบงกลุม ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รว มกบั กระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณติ ศาสตรม ีความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตรและ เจตคติตอ วชิ าคณิตศาสตรแ ตกตา งกนั อยา งมีนัยสาํ คัญทางสถิติที่ระดับ .05 ภาคิน อนันตกิจบํารุง [53] ไดศึกษาเก่ียวกับการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง สมการเชิง เสนตัวแปรเดียว ความสามารถในการใหเหตุผลทางคณิตศาสตร และเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 ระหวางการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD กับการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ TGT ผลการวิจัยพบวา 1. การจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD และแบบกลุมรวมมือ TGT กลุมสาระ การเรียนรู คณิตศาสตร เรื่อง สมการเชิงเสน ตัวแปรเดียว ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เทากับ 77.78/77.47 และ 77.49/77.80 ตามลําดบั 2. ดัชนีประสิทธิผลการเรียนรูของนักเรียนท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรแู บบกลมุ รวมมือ STAD มี คา เทากับ 0.6038 หรอื คดิ เปนรอยละ 60.38 และการจดั การเรียนรูแ บบกลุมรวมมือ TGT มคี า เทากับ 0.5969 หรือคิด เปนรอยละ 59.69 3. นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 1 ทเ่ี รยี นดวยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD และการจัดการ เรียนรูแบบกลุมรวมมือ TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติตอการเรียนวิชา คณิตศาสตรไมแตกตางกัน แต นกั เรียนท่เี รียนดวยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรว มมอื TGT มีความสามารถในการใหเหตผุ ลทางคณิตศาสตรสูงกวาที่เรียน ดวยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยสรุป การจัดการเรียนรูทั้งสอง รปู แบบมปี ระสทิ ธิภาพเหมาะทจ่ี ะนาํ ไปใชเสรมิ สรา งเจตคติ ตอ การเรียนวชิ าคณติ ศาสตร สวนกจิ กรรมการเรยี นรแู บบกลุม รว มมือ STAD และกิจกรรมการเรยี นรู แบบกลุมรว มมอื TGT เหมาะที่จะนําไปใชพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน และการ ใหเหตุผลทาง คณติ ศาสตรของผูเรยี น ตามลาํ ดบั
39 ภาวินี อวนศรีเมอื ง [55] ไดศึกษาเกี่ยวกบั การเปรยี บเทียบผลการเรียน เรือ่ ง ระบบฐานขอมูล ของนกั เรยี น ทเ่ี รียนดวยบทเรียนบนเว็บรวมกบั การเรียนรูแบบ TGT และการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ STAD ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1. บทเรียนบนเว็บรวมกับการเรียนรูแบบ TGT เร่ืองระบบฐานขอมูลชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 5 มี ประสิทธิภาพ เทากับ 82.06/80.08 เปนไปตามเกณฑที่กําหนด 2. คาดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนบนเว็บรวมกับการ เรียนรูแบบ TGT เร่ืองระบบ ฐานขอมูลชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 เทากับ 0.6244 หรือคิดเปนรอยละ 62.44 3. ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนการคดิ วิเคราะห ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 5 ท่ีเรียน ดวยบทเรยี นบนเว็บรว มกบั การเรียนรูแบบ TGT เรื่องระบบฐานขอมลู ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 5หลังเรียน สูงกวา กอ นเรียน อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01 4. ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 ท่ีเรียนดวยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ STAD เรื่องระบบฐานขอมูล หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5. นักเรียนกลุมท่ีเรียนดวย บทเรียนบนเว็บรวมกับการเรียนรูแบบ TGT และกลุมท่ีเรียน ดวยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ STAD เร่ืองระบบ ฐานขอมูลชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน การคิดวิเคราะหแตกตางกัน 6. นักเรียนกลุมท่ีเรียนดวย บทเรียนบนเวบ็ รวมกับการเรยี นรแู บบ TGT มีความพึงพอใจ โดยรวมอยใู นระดับความพึงพอใจมากท่สี ดุ พรภทั ร สินดี [55] ไดศกึ ษาผลการจัดการเรียนรแู บบบรู ณาการเชิงวิธีการท่ีเนน กระบวนการกลุมทมี่ ีผลตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร ความสามารถในการสอ่ื สารทาง คณิตศาสตรและพฤติกรรมกลุม เร่ืองลําดับและ อนุกรม ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 5 พบวา 1) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาป ที่ 5 ทไ่ี ดร ับการจัดการเรยี นรู แบบบูรณาการเชงิ วิธกี ารที่เนนกระบวนการกลมุ เรื่องลําดับและอนุกรม สูงกวาเกณฑรอย ละ 70 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ .05 โดยมีคะแนนเฉล่ีย 22.18 คะแนนคิดเปนรอยละ 73.93 2) ความสามารถในการ สื่อสารคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบบูรณาการเชิงวิธีการท่ีเนน กระบวนการกลมุ เรือ่ งลาํ ดับและอนุกรม สงู กวา เกณฑร อยละ 70 อยา งมนี ัยสาํ คัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 โดยมคี ะแนนเฉล่ีย 14.98 คะแนน คิดเปนรอ ยละ 74.90 3) นักเรียนไดรับการจัดการเรียนรูแบบบูรณาการที่เนนกระบวนการกลุมมีผลการ ประเมินพฤตกิ รรมการ ทํางานกลมุ อยูในเกณฑด มี ากจํานวน 17 คน คดิ เปน รอยละ 38.64 กฤษกร สุขอนันต [37] ไดศึกษาผลการการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เร่ือง เรขาคณิต ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 6 ระหวางการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค TAI และเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบวา 1) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 6 กลุมที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบรวมมือเทคนิค TAI มผี ลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน หลงั เรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดบั .05 2) นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที่ 6 กลุมท่ี ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 กลุมที่ไดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TAI และ กลุม ทีไ่ ดรบั การจดั การเรียนรแู บบรว มมอื เทคนิค TGT มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นไมแตกตา งกนั มนิ ตา ชนะสทิ ธิ์ [56] การเปรียบเทยี บความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตร ดว ยการจัดการเรยี นรู แบบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค STAD และเทคนคิ TAI ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 1 ผลการวจิ ยั พบวา 1) ความสามารถใน การแกป ญหาทางคณติ ศาสตร เรอื่ ง สมการเชงิ เสน ตวั แปรเดยี วของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โดยใชก ารจดั การเรียนรู แบบรวมมือ โดยใชเทคนิค TAI สูงกวาเทคนิค STAD อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คณิตศาสตร เร่ือง สมการเชิงเสนตัวแปรเดยี วของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบ รวมมือโดย ใชเทคนิค TAI สงู กวาเทคนิค STAD อยา งมนี ยั สําคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ลยี านา ประทีปวัฒนพันธ [57] การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร เรื่อง ความนาจะเปน ของ นักเรียนหองเรียน สสวท.ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 3 โดยการจัดการเรียนรูแบบวัฏจักรการ เรียนรู 7E รวมกับการเรียนแบบ STAD ผลการวจิ ยั พบวา 1) แผนการจัดการเรียนรูแบบวัฏจักรการเรียนรู 7E รว มกับการเรยี น แบบ STAD ที่สรางขึ้นมี
40 ประสิทธภิ าพ 82.87/7758 ซงึ่ สอดคลองตามเกณฑท่ีกาํ หนดไว 2) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลีย่ เทา กบั 20.17 ซ่ึง สูงกวาเกณฑผานเฉลี่ยรอยละ 50 ของคะแนน ที่ถูกหักออกจากการทดสอบกอนเรียน (16.13 คะแนน) และ 3) เมื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉล่ียกับเกณฑรอยละ 75 (19.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 26 คะแนน) นักเรียนได คะแนนเฉล่ยี คดิ เปน รอ ยละ 77.58 (20.17 คะแนน) ซึง่ ไมส ูงกวา เกณฑที่กาํ หนดไวอ ยา งมีนัยสําคัญทางสถิตทิ ่ี ระดับ 0.05 รตั นา บุตรอุดม [27] ไดศ ึกษาผลการผลการจัดการเรียนรแู บบรว มมือเทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการ อา นและเขียนภาษาไทย สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ี่ 1 ท่ีใชภาษาถ่ินในชวี ิตประจําวัน ผลการวิจัยปรากฏวา 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอานออกเสียงภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 1 ท่ีใชภาษาถ่ินในชีวิตประจําวันหลังการ จดั การเรยี นรูแบบรวมมอื เทคนิค TGT โดยใชชดุ ฝกทกั ษะการอานและเขยี น ภาษาไทยสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสาํ คัญ ทางสถิติท่ีระดับ .01 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 1 ที่ใชภาษาถ่ิน ใน ชีวิตประจําวัน หลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการอานและเขียนภาษาไทยสําหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 1 ที่ใชภาษาถิ่นในชีวิตประจําวัน สูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ท่ีใชภาษาถิ่นในชีวิตประจําวันหลังการจัดการเรียนรู แบบรวมมือเทคนิค TGT โดยใช ชดุ ฝกทกั ษะการอานและเขยี นภาษาไทยมีพฤตกิ รรมการทํางานกลุม อยูในระดับสงู มาก จรรยา หารพรม [4] ไดศกึ ษาผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรูคณิตศาสตร เรื่องโจทยปญหาการบวกการ ลบ การบวกลบระคน พัฒนาการพฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนในการจดั การเรียนรูแบบ STAD รวมกับ KWDL และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 3 ผลการวิจัยพบวา ผลการเรียนรูหลังการจัดการเรียนรูเร่ือง โจทยปญหาการบวก การลบ การบวกลบระคน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท่ี 3 ท่ีจัดการเรียนรูแบบ STAD รวมกับ KWDL หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 พฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 3 ท่ีจัดการเรียนรูแบบ STAD รวมกัน KWDL มีพัฒนาการสูงขึ้นทุกดานโดยภาพรวมพัฒนาการ พฤติกรรมการทํางานกลุมสูงข้ึนจากระดับปานกลางในสัปดาหที่ 1 เปนระดับมากในสัปดาหที่ 2 และสัปดาหที่ 3 ตามลาํ ดับ ความคิดเห็นของนักเรียนทมี่ ตี อ การจัดการเรยี นรูแ บบ STAD รว มกับ KWDL โดย ภาพรวมอยูในระดบั เหน็ ดว ย มาก เมื่อพิจารณาเปน รายดานพบวา นักเรียนมีความคิดเห็นอยูในเกณฑเหน็ ดว ยมากทุกดาน ซึ่งเรียงตามลําดบั จากมากไป นอ ยไดด งั น้ี ดา นการจดั กิจกรรมการเรยี นรู ดานบรรยากาศในการจัดการเรยี นรู และดา นประโยชนท่ไี ดร ับ อําภา บรบิ ูรณ [58] ไดศึกษาผลการการพฒั นาชดุ การสอนคณติ ศาสตรโดยการเรียนรูแบบใชปญ หาเปน ฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) ทีเ่ สริมสรางทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร เจตคติ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสําหรับ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ผลการวจิ ัยพบวา 1. ประสทิ ธิภาพของชุดการสอนคณิตศาสตรโ ดยการเรียนรแู บบใชป ญหา เปน ฐาน (PBL) และทีมแขง ขัน (TGT) มีประสทิ ธภิ าพเทากับ 76.95/ 76.81 ซง่ึ สงู กวา เกณฑ 75/75 ท่ีกาํ หนดไว 2. ทักษะ กระบวนการทางคณิตศาสตรของนกั เรียนทีเ่ รียนดว ยชุดการสอนคณิตศาสตร โดยการเรียนรูแบบใชปญหาเปนฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) หลังเรยี นสูงกวา กอ นเรียนอยา งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 3. เจตคติของนักเรยี น ท่ีเรยี นดวย ชุดการสอนคณิตศาสตรโดยการเรียนรูแบบใชปญหาเปนฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยา งมีนยั สําคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 4. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนทเ่ี รยี นดวยชุดการสอนคณิตศาสตรโ ดยการ เรียนรแู บบใชป ญ หาเปนฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) หลังเรียนสงู กวา กอนเรียนอยางมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดบั .05 5. ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรเจตคติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีระดับความสามารถในการคิด วเิ คราะหแตกตา งกนั (สูง ปานกลาง และตํ่า) หลังเรียนดวยชดุ การสอนคณิตศาสตรโดยการเรียนรูแบบใชปญ หาเปนฐาน (PBL) และทมี แขง ขัน (TGT) ไมแ ตกตา งกัน
41 7.2 งานวจิ ยั ตางประเทศ Slavin [59] ไดทดลองเพื่อศึกษาเทคนิค STAD กับนักเรียนเกรด 7 ที่ตาง เช้ือชาติและสีผิว โดยใชกลุม ตัวอยางเปนผูเรียนชั้นประถมศกึ ษา เปนผเู รยี นผวิ ขาว 25 คน และ ผเู รียนผิวสี 37 คน ผูเรียนในกลุมทดลองใชการเรียน ดวยเทคนิค STAD มีการใหรางวัลเปนทีม สวนผูเรียนในกลุมควบคุมใชวิธีการเรียนแบบปกติทั้งชั้นมีการใหรางวัลเปน รายบุคคล พบวาผูเรียนผิวสีในกลุมทดลองเรียนรูไดดีกวาผูเรียนผิวขาวในกลุมควบคุม และผูเรียนในกลุมทดลองมี สัมพนั ธภาพระหวางผูเรยี นท่ีตางชาตสิ ผี วิ ดีกวา ผเู รียนในกลมุ ควบคุม Suyanto [60] ไดศึกษาผลการเรยี นรแู บบรวมมือ โดยใชเ ทคนคิ STAD ท่ีมีตอผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ า คณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาในเขตยอกยาการตา ประเทศอินโดนิเซีย กลุมตัวอยางเปนนักเรียนเกรด 3 เกรด4 เกรด 5 จํานวน 664 คน จาก 30 หอ งเรียนใน 10 โรงเรยี น ผูวิจัยแบงนกั เรียนออกเปน 2 กลุม คือ กลมุ ทดลอง และกลุม ควบคุม โดยกลุมทดลอง จํานวน 5 โรงเรียน ไดรับการสอนโดยใชเทคนิค STAD และกลุมควบคุม จํานวน 5 โรงเรียน ไดรบั การสอนแบบปกติ สถิติที่ใชในการทดสอบคอื ANOVA ผลการวิจยั พบวา นักเรียนท่ไี ดร ับการสอนโดยใช เทคนิค STAD มีผลสัมฤทธ์ิทางเรียนสูงกวานักเรียนที่ไดรับการสอนแบบปกติ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบระหวางช้ันเรียน พบวา นักเรียนเกรด 3 และเกรด 5 ของกลุมนักเรียนที่ไดรับการสอนโดยใชเทคนิค STAD มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวา นกั เรียนเกรด 3 และเกรด 5 ท่ไี ดรบั การสอนแบบปกติ อยางมีนยั สาํ คัญทางสถติ ิที่ ระดบั .05 Tarim and Akdeniz [61] ไดศึกษาผลการเรียนรูเก่ียวกับการจัดกระบวนการเรียนการสอนซึ่งเนนการ เรียนแบบกลุมรวมมือในรายวิชาคณิตศาสตร ผลการวิจัยพบวาจากการสุมตัวอยางนักเรียนในหองมาประมาณ 7 คน ไดทําการทดลองแบบกลุมรวมมือระหวางแบบ TAI กับแบบ STAD ปรากฏวามีนัยสําคัญทางสถิติท่ี .03 และ .04 ตามลาํ ดับ ซึง่ จากการทดลองการเรยี นแบบกลมุ รวมมือ พบวา นักเรยี นเกิดการเรยี นรูท่ีคงทนถาวร จากการศกึ ษาเอกสารงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ งดงั กลา วขางตนพบวา 1. การจดั กิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และเทคนิค TGT เปนการจัดการเรียนรูท่ีมี ความคลายคลึงกัน คือ เนนผูเรียนเปนสําคัญ นักเรียนในกลุมไดแสดงความสามารถของตนเอง ชวยเหลือซ่ึงกันและกัน ภายในกลุมมีปฏิสัมพันธก นั สง เสรมิ ใหน ักเรียนทมี่ ีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู ชวยเหลอื นักเรียนท่มี ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่าํ 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และเทคนิค TGT สงผลใหนักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขึ้น และสงเสริมพฤติกรรมการทํางานกลุม ของนักเรียน ทจี่ ะเปนพื้นฐานในการเรียนในระดับท่ี สงู ขึ้น และการดํารงชีวิตรวมกบั ผอู น่ื ในสังคม ดวยเหตุน้ีผูวิจัย จึงสนใจท่ีจะนํารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และ เทคนิค TGT มาใชในการจัดกิจกรรมการเรียนรูกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร เรื่อง สมการเชิงเสนตัวแปรเดียว ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที่ 1 เพอ่ื จะไดน ําผลจากการวิจยั ไปใชพฒั นากระบวนการจัดการเรียนการสอนใหมปี ระสิทธิภาพตอ ไป
42 บทที่ 3 วิธีดาํ เนนิ การวิจยั การวิจัยเร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง อัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการ เรียนแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT กบั การเรยี นแบบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD เปน การวิจยั เชงิ ทดลอง Experimental Research โดยมีวัตถปุ ระสงค 1)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปท ี่ 1 ท่ไี ดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD 2)เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ี ไดรับการจดั การเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนคิ TGT ท้ังกอนและหลังการทดลอง 3)เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนวชิ าคณิตศาสตรเ ร่ืองอัตราสวน ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรบั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับเกณฑรอยละ 70 4)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ท้ังกอนและหลังการทดลอง 5)เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรับการจัดการ เรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD กบั เกณฑร อยละ 70 6)เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนท่จี ัดการ เรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ผูวิจัยไดดําเนนิ การวิจัยตาม รายละเอียดดังตอ ไปน้ี ขน้ั เตรยี มการวจิ ยั ประชากรและกลมุ ตวั อยาง ประชากร ไดแก นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวดั นนทบุรี ปก ารศกึ ษา 2562 จํานวน 8 หองเรยี น รวม 350 คน กลุมตัวอยาง ไดแก นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2562 จํานวน 2 หองเรียน รวม 88 คน ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT จํานวน 44 คน และ ไดร ับการจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนคิ STAD จาํ นวน 44 คน ไดมาโดยการสมุ แบบเจาะจง ตัวแปรท่ีศึกษา ไดแก 1. ตัวแปรตน คอื 1.1 การจดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ TGT 1.2 การจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค STAD 2. ตวั แปรตาม คือ 2.1 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเ ร่ือง อตั ราสว น 2.2 พฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนท่ีจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการ เรียนรูโดยใชเ ทคนคิ STAD ระยะเวลา ดําเนินการทดลองวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2562 โดยใชเวลาทดลองกลุมละ 12 คาบ จาํ นวน 3 คาบตอสปั ดาห เปนระยะเวลา 4 สัปดาห
43 เครือ่ งมอื ที่ใชวิจัย ผูว จิ ัยไดกําหนดเครอ่ื งมอื ท่ีใชในการวิจยั โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ 1. แผนการจัดการเรยี นรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT เรอ่ื ง อัตราสวน จาํ นวน 5 แผน 2. แผนการจดั การเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเทคนคิ STAD เรอื่ ง อัตราสว น จํานวน 5 แผน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนกอนและหลังเรียนเร่ือง อัตราสวน ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 1 เปน แบบทดสอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 20 ขอ 4. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุมของนกั เรียน การสรางและการหาประสทิ ธิภาพเคร่อื งมอื 1. แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ TGT เร่อื ง อัตราสว น มีขั้นตอนในการสรางและตรวจสอบ คณุ ภาพดงั นี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุม สาระการเรียนรูคณิตศาสตร และศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ดกลุมสาระการเรียนรู คณิตศาสตรเ พื่อทาํ ความเขาใจเก่ียวกบั จุดประสงคสาระสําคญั หลักการและเนื้อหาเพอ่ื เปน แนวทางใน การจดั กจิ กรรมการเรียนรู 2. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวิจยั ท่เี กี่ยวของ กรอบแนวคิด ในการสรางและ พฒั นา แผนการจดั การเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT 3. สรา งแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ TGT เรื่อง อตั ราสวน ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปท่ี 1 จาํ นวน 5 แผน 4. นําแผนการจัดการเรียนรูท่ีจะสรางข้ึนเสนอตออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธเพ่ือพิจารณาตรวจสอบ ความถูกตองและความเหมาะสมของเน้ือหากิจกรรมการเรียนรูการวัดผลและประเมินผลและนํามา ปรบั ปรุงแกไ ขตามคําแนะนาํ 5. นําแผนการจัดการเรียนรูที่ปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทา นซึ่งเปนผเู ชยี วชาญในดาน เน้อื หาและการวัดประเมนิ ผลตรวจความถูกตองความเท่ียงตรงเชิงเนอื้ หา (Content validity) แนะนํา ผลการ ตรวจสอบมาหาคา ดัชนคี วามสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC ) 6. ปรับปรุงแกไ ขตามขอเสนอแนะท่ีไดรบั จากผูเช่ียวชาญ เพ่ือใหไดแผนการจัดการเรียนรแู บบรวมมอื โดย ใชเ ทคนิค TGT เรอื่ ง อตั ราสว น ทีม่ คี วามสมบรู ณแ ละนาํ ไปใชกบั นกั เรียนกลุมเปา หมายตอไป
44 ขน้ั ตอนการสรางแผนการจดั การเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเทคนคิ TGT เร่ือง อตั ราสวน สรุปไดด งั น้ี ขน้ั ที่ 1 ศึกษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุมสาระการเรยี นรูคณิตศาสตร และศึกษาหลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ขัน้ ที่ 2 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วของ ข้นั ท่ี 3 สรา งแผนการจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT เรื่อง อัตราสวน ขั้นที่ 4 นําแผนการจัดการเรียนรูทจ่ี ะสรา งข้นึ เสนอตออาจารยทีป่ รึกษาวิทยานิพนธเพอ่ื พิจารณาตรวจสอบ ความถกู ตอ งและความเหมาะสมของเน้ือหา ขน้ั ที่ 5 นําแผนการจดั การเรียนรูทปี่ รับปรงุ แกไขแลว ไปใหผ ูเชย่ี วชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบหาคา ดัชนี ความสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC ) ข้ันที่ 6 ปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะทไี่ ดรับจากผเู ชี่ยวชาญ นาํ ไปใชในการวิจยั แผนภาพที่ 3.1 แสดงข้ันตอนการสรา งแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT เรื่อง อัตราสวน 2. แผนการจดั การเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ือง อตั ราสวน มีข้ันตอนในการสรางและตรวจสอบ คณุ ภาพดงั นี้ 1. ศกึ ษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)กลุมสาระ การเรียนรูคณิตศาสตร และศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ดกลุมสาระการเรียนรู คณติ ศาสตรเ พื่อทําความเขาใจเกย่ี วกบั จุดประสงคสาระสําคญั หลักการและเนือ้ หาเพอ่ื เปนแนวทางใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู 2. ศกึ ษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวิจัยที่เกีย่ วของ กรอบแนวคดิ ในการสรางและ พฒั นา แผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ STAD 3. สรางแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ือง อัตราสวน ของนักเรียน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 1 จํานวน 5 แผน 4. นําแผนการจัดการเรียนรูที่จะสรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพ่ือพิจารณาตรวจสอบ ความถูกตองและความเหมาะสมของเน้ือหากิจกรรมการเรียนรูการวัดผลและประเมินผลและนํามา ปรบั ปรุงแกไ ขตามคาํ แนะนํา 5. นําแผนการจัดการเรียนรูท่ีปรับปรุงแกไ ขแลวไปใหผเู ช่ยี วชาญจํานวน 3 ทา นซง่ึ เปนผเู ชยี วชาญในดาน เนอ้ื หาและการวัดประเมนิ ผลตรวจความถูกตองความเที่ยงตรงเชิงเน้อื หา (Content validity) แนะนํา ผลการ ตรวจสอบมาหาคา ดชั นีความสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC )
45 6. ปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะที่ไดรับจากผูเชี่ยวชาญ เพื่อใหไดแผนการจัดการเรียนรู แบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ือง อัตราสวน ที่มีความสมบูรณ และนําไปใชกับนักเรียน กลมุ เปา หมายตอไป ขั้นตอนการสรา งแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD เรอื่ ง อัตราสว น สรุปไดด ังน้ี ขนั้ ท่ี 1 ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) กลุมสาระการเรียนรคู ณิตศาสตร และศกึ ษาหลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นปากเกรด็ ข้ันที่ 2 ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวจิ ัยที่เก่ียวขอ ง ขั้นท่ี 3 สรา งแผนการจัดการเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD เร่อื งอตั ราสว น ขน้ั ท่ี 4 นําแผนการจดั การเรียนรทู ีจ่ ะสรางขนึ้ เสนอตออาจารยทป่ี รึกษาวทิ ยานิพนธเ พอื่ พจิ ารณาตรวจสอบ ความถูกตองและความเหมาะสมของเน้อื หา ข้นั ที่ 5 นําแผนการจัดการเรียนรูท่ีปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบมาหาคา ดัชนคี วามสอดคลอง (Index of Item objective congruence : IOC ) ขั้นที่ 6 ปรบั ปรุงแกไ ขตามขอเสนอแนะที่ไดรับจากผเู ชยี่ วชาญ นาํ ไปใชใ นการวจิ ยั แผนภาพที่ 3.2 แสดงขั้นตอนการสรา งแผนการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD เรอ่ื ง อัตราสวน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอนและหลังเรียนเรื่อง เปนขอสอบชนิดปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับ 20 ขอ ซึ่งมีขน้ั ตอนในการสรา งและตรวจสอบคุณภาพดงั น้ี 1. ศึกษาหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานพทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลมุ สาระ การเรียนรคู ณิตศาสตรแ ละหลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ดกลุมสาระการเรียนรูค ณติ ศาสตร 2. ศึกษาเอกสารและตําราท่ีเก่ียวของกับเรื่อง อัตราสวน ศึกษาวิธีการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน จากหนงั สอื เอกสารทีเ่ กยี่ วขอ ง
46 3. วิเคราะหเ น้ือหาจุดประสงคการเรียนรูจากแผนการจัดการเรียนรเู พ่ือสรางตารางวิเคราะหขอ สอบ ดัง ตารางตอไปนี้ ตารางท่ี 3.1 ตารางวิเคราะหเน้ือหาจดุ ประสงคก ารเรียนรจู ากแผนการจัดการเรยี นรู ทกั ษะการเรียนรู เนอ้ื หา ความรู- ํจา ความเ ขาใจ นําไปใ ช ิวเคราะห สังเคราะห ประเ ิมน คา รวม อตั ราสว นที่เทา กนั 132 - - -6 อตั ราสวนของจํานวนหลายๆจาํ นวน 112 - - -4 สดั สวน 1 1 4 - - - 6 อัตราสว นและรอยละ 116 - - -8 การนําความรูเก่ียวกับอัตราสวนและรอยละไปใช 1 1 4 - - - 6 ในชีวิตจริง รวม 5 7 18 - - - 30 4. สรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปนแบบทดสอบ แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับ 30 ขอ 5. นาํ แบบทดสอบท่ีสรางขึ้นเสนออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณาเพื่อตรวจสอบความถูกตอ งของ การใชภาษาและความเท่ียงตรงดา นเน้ือหาแลวนาํ มาปรบั ปรุงแกไขตามคําแนะนาํ 6. นําแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแกไขแลวเสนอผูเช่ียวชาญ 3 ทาน เพ่ือตรวจสอบความถูกตองและความ เทย่ี งตรง ดานเน้อื หา Content validity แลวนาํ ผลการทดสอบของผเู ชย่ี วชาญ คาดชั นคี วามสอดคลอ ง IOC แลวเลือกขอสอบท่ีมีคาดัชนีความสอดคลองต้ังแต 0.50 ข้ึนไป และปรับปรุงขอที่มีคาดัชนีความ สอดคลองต่ํากวาเกณฑใหมีคะแนนผานเกณฑ จากผลการวิเคราะหคาดัชนีความสอดคลอง IOC ได เทา กับ 1.00 7. นําแบบทดสอบที่ปรับปรุงแลวไปทดลองใชกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 2 โรงเรียนปากเกร็ด ภาค เรยี นท่ี 1 ปการศึกษา 2562 จํานวน 36 คนท่ีไมใ ชกลุมตัวอยางเพอ่ื หาคุณภาพของแบบทดสอบ ตรวจ ใหคะแนนแบบทดสอบท่ีนกั เรียนทําโดยใหค ะแนน 1 คะแนนสําหรับขอที่ถูกและให 0 คะแนนสําหรับ ขอ ทผี่ ิดหรือไมต อบ 8. นําผลท่ีไดจากการตรวจสอบแบบทดสอบมาวิเคราะหขอสอบเปนรายขอเพ่ือตรวจสอบหาคาความ ยากงา ย และคาอํานาจจาํ แนก โดยคัดเลือกขอสอบทม่ี ีคาความยากงายระหวาง 0.20 ถึง 0.80 และ คา อํานาจจาํ แนก 0.20 ขึ้นไป ไว 20 ขอ จากการวิเคราะหคา ความยากงายและอํานาจจําแนกเปน ราย ขอ พบวา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีคาความยากงาย อยูระหวาง 0.23 ถึง 0.77 และคาอํานาจ จาํ แนกอยูระหวาง 0.21 ถึง 0.84 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิมาวิเคราะหห าความเชื่อมั่นโดยใชสูตร ของ โฟลเดอรริชารดสันจากสูตร KR 20 พบวาไดค าความเชือ่ ม่นั เทากบั 0.77
47 9. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่เหมาะสมจํานวน 20 ขอไปใชกับนักเรียนกลุมเปาหมาย ตอไป ขนั้ ตอนการสรา งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร เร่อื ง อัตราสว น สรุปไดด ังนี้ ขนั้ ท่ี 1 ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) กลุม สาระการเรยี นรูค ณิตศาสตร และศึกษาหลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนปากเกรด็ ขัน้ ที่ 2 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การเอกสารจากตาํ ราและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วของ ขน้ั ท่ี 3 สรา งตารางวเิ คราะหข อสอบ ขน้ั ที่ 4 สรา งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ขน้ั ท่ี 5 นาํ แบบทดสอบที่สรางข้ึนเสนออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณาเพื่อตรวจสอบความถูกตอง ของการใชภาษาและความเทย่ี งตรงดา นเน้ือหาแลว นํามาปรบั ปรุงแกไ ขตามคําแนะนํา ขนั้ ที่ 6 นําแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเช่ียวชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบมาหาคาดชั นีความ สอดคลอง (Index of Item objective congruence : IOC ) ขั้นที่ 7 นําแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแลว ไปทดลองใชกบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศกึ ษา 2562 จํานวน 36 คนที่ไมใชก ลมุ ตวั อยา ง ขน้ั ที่ 8 วเิ คราะหข อ สอบเปนรายขอเพอื่ ตรวจสอบหาคาความยากงา ย และคาอํานาจจาํ แนก คัดเลือก ขอ สอบไว 20 ขอ ข้ันที่ 9 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีเหมาะสมจํานวน 20 ขอไปใชกับนักเรียน กลมุ เปา หมายตอ ไป แผนภาพที่ 3.3 แสดงข้ันตอนการสรางแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น เร่อื ง อัตราสว น
48 4. แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุมของนักเรยี น 1. ศึกษาเอกสารและตาํ ราท่เี กี่ยวของกบั การสรางแบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม 2. สรางแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ท่ีมีลักษณะเปนมาตราสวนประมาณคา (Rating scale) จํานวน 5 ขอ ดงั ตอไปนี้ 1. มสี ว นรว มในการแสดงความคิดเหน็ 2. ใหคาํ ปรึกษาเพอ่ื นในกลมุ เมอื่ มีขอสงสยั 3. รับผดิ ชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย 4. มคี วามสามัคคีในการทาํ งาน 5. มปี ฏิสัมพันธท ่ดี ตี อเพือ่ นรวมกลุม 3. กาํ หนดมาตราของการแสดงพฤตกิ รรมเปน 4 ระดับดังน้ี พฤตกิ รรมท่ที าํ เปน ประจํา (3ครั้งข้ึนไป) ให 3 คะแนน พฤตกิ รรมทีท่ าํ เปนบางคร้งั (2ครง้ั ) ให 2 คะแนน พฤติกรรมที่ทาํ นอยครง้ั (1คร้ัง) ให 1 คะแนน ไมแสดงพฤติกรรมเลย (0ครงั้ ) ให 0 คะแนน 4. กาํ หนดเกณฑการประเมินผลดงั นี้ ชวงคะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมการทาํ งานกลุม ระดบั คณุ ภาพ 2.26 – 3.00 ดมี าก ระดบั 4 1.51 – 2.25 ดี ระดบั 3 0.76 – 1.50 พอใช ระดบั 2 0 – 0.75 ปรับปรงุ ระดบั 1 5. นําแบบทดสอบท่ีสรางขึ้นเสนออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณาเพ่ือตรวจสอบความถูกตองของ การใชภ าษาและความเหมาะสมของเกณฑการประเมนิ ผลแลว นาํ มาปรับปรงุ แกไ ขตามคาํ แนะนาํ 6. นําแบบทดสอบที่ปรับปรุงแกไขแลวเสนอผูเชี่ยวชาญ 3 ทาน เพ่ือตรวจสอบความถูกตองและความ เที่ยงตรง ดานเน้ือหา Content validity แลวนําผลการทดสอบของผูเชี่ยวชาญ คาดัชนีความสอดคลอง IOC และปรบั ปรุงขอที่มคี า ดัชนีความสอดคลอ งตา่ํ กวาเกณฑใหม คี ะแนนผานเกณฑ จากผลการวิเคราะหคา ดชั นคี วามสอดคลอง IOC ไดเ ทา กับ 1.00 7. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เหมาะสมจํานวน 20 ขอไปใชกับนักเรียนกลุมเปาหมาย ตอไป
49 ขนั้ ตอนการสรา งแบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ สรุปไดดงั นี้ ขั้นท่ี 1 ศกึ ษาเอกสารและตาํ ราท่ีเกยี่ วขอ งกบั การสรางแบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ข้ันท่ี 2 สรางแบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ขน้ั ที่ 3 กาํ หนดมาตราของการแสดงพฤตกิ รรม ขั้นที่ 4 กาํ หนดเกณฑก ารประเมินผล ข้นั ที่ 5 นําแบบประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุมท่ีสรางขึ้นเสนออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณา เพ่อื ตรวจสอบความถกู ตองแลวนาํ มาปรับปรงุ แกไขตามคาํ แนะนาํ ขนั้ ที่ 6 นาํ แผนการจัดการเรียนรูที่ปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบมาหาคา ดัชนคี วามสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC ) ข้ันท่ี 7 นาํ แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทาํ งานกลุมไปใชก บั นกั เรยี นกลมุ เปา หมายตอไป แผนภาพท่ี 3.4 แสดงข้ันตอนการสรา งแบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ขน้ั ดําเนินการวิจยั แผนการวิจยั การวจิ ัยครั้งนี้เปนการวิจัยเชงิ ทดลอง (Experimental Research) ซ่ึงผวู ิจัยดาํ เนินการทดลองตามแผนการวิจัย แบบสองกลุมมีการทดสอบกอนและหลงั การทดลอง (Two group pre-test post-test design) ซ่ึงมีรูปแบบดังตาราง [62] ตารางท่ี 3.2 แผนการวิจยั กลุมทดลอง กอนการทดลอง ทดลอง หลังการทดลอง Gr1 O1 T1 O2 Gr2 O1 T2 O2
50 Gr1 แทน กลุมทดลอง 1 ไดรับการจดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT Gr2 แทน กลมุ ทดลอง 2 ไดร บั การจดั การเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค STAD O1 แทน ทาํ แบบทดสอบกอนเรยี น O2 แทน ทาํ แบบทดสอบหลังเรยี น T1 แทน การดําเนินการทดลองการจดั การเรียนรูแ บบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT T2 แทน การดําเนนิ การทดลองการจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD การดําเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมขอมลู ในการวจิ ัยครั้งน้ี ไดด าํ เนนิ การทดลองดงั นี้ 1. ขนั้ กอนการทดลอง 1.1 ในการทดลองใชการทดลองโดยวิธกี าร แบงกลุมนักเรียนตามผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร จากผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร ภาคเรียนท่ี 1/2562 โดยเรียงคะแนนจากมากไปหานอย ซ่ึงมีนักเรยี นกลุม ทดลอง 2 กลุม กลุมละ 44 คน โดยแบงเปนนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยูในระดับเกง 11 คน นักเรียนท่ีมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยูในระดับปานกลาง 22 คน นักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยูในระดับออน 11 คน หลังจากนั้นแบงนักเรียนออกเปน 11 กลุม โดยแตละกลุมมสี มาชิก 4 คน ท่ีคละตามผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในระดับเกง ปานกลาง ออน ตามอตั ราสวน 1 : 2 : 1 ดังตอ ไปน้ี ตารางท่ี 3.3 อัตราสวนการแบง กลมุ นกั เรียนตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร นักเรียนทีม่ ผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น นักเรยี นทมี่ ผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียน นักเรยี นทมี่ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยูในระดบั เกง อยใู นระดบั ปานกลาง อยูในระดบั ออ น (จาํ นวนคน) (จาํ นวนคน) (จาํ นวนคน) 11 22 11 ตารางที่ 3.4 การจัดสมาชกิ ภายในกลุมตามลําดับคะแนนและกลุมผมสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลมุ (Teams) สมาชิกภายในกลมุ (ลาํ ดับคะแนน - กลมุ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน) 1 (1เกง), (11ปานกลาง), (12ปานกลาง), (11ออน) 2 (2เกง), (10ปานกลาง), (13ปานกลาง), (10ออน) 3 (3เกง), (9ปานกลาง), (14ปานกลาง), (9ออ น) 4 (4เกง), (8ปานกลาง), (15ปานกลาง), (8ออ น) 5 (5เกง), (7ปานกลาง), (16ปานกลาง), (7ออ น) 6 (6เกง), (6ปานกลาง), (17ปานกลาง), (6ออน) 7 (7เกง), (5ปานกลาง), (18ปานกลาง), (5ออ น) 8 (8เกง), (4ปานกลาง), (19ปานกลาง), (4ออน) 9 (9เกง), (3ปานกลาง), (20ปานกลาง), (3ออน) 10 (10เกง), (2ปานกลาง), (21ปานกลาง), (2ออ น) 11 (11เกง ), (1ปานกลาง), (22ปานกลาง), (1ออ น)
51 1.2 ผูวิจัยทําการปฐมนิเทศนักเรียนกลุมทดลองท้ัง 2 กลุม เพื่อช้ีแจงจุดประสงค ในการเรียนแบบรวมมือ โดยใชเทคนคิ TGT และ STAD ทําการจัดกลุมนักเรียนโดยคละตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นตามท่ไี ดจดั ไวขา งตน พรอ มท้ัง จัดโตะ และท่นี ง่ั เปน กลมุ จาํ นวน 11 กลุม ดังตอ ไปน้ี ภาพท่ี 3.5 แสดงตาํ แหนงการนัง่ ของนักเรียนที่ไดรบั การจัดการเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT ภาพท่ี 3.6 แสดงตําแหนงการน่ังของนกั เรยี นท่ไี ดรบั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ STAD
52 1.1 ใหนักเรยี นกลมุ ทดลองทาํ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรอื่ ง อัตราสว น กอ นการทดลอง (ทําแบบทดสอบกอนเรียน) 2. ข้นั ทดลอง ในการดาํ เนนิ การทดลองคร้ังนีผ้ ูวิจัยเร่ิมดําเนินการทดลองตงั้ แตเ ดอื นพฤศจิกายน 2562 ถึง เดือนธันวาคม 2562 ท้ังนี้ไมรวมเวลาในการทดสอบกอนเรียนและหลงั เรียน ผูวิจัยสอนโดยการใชแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดย ใชเทคนิค STAD และเทคนิค TGT เร่ือง อัตราสวน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 โดยแบงเปน แผนการจัดการเรียนรูแบบ รวมมือโดยใชเทคนิค STAD จํานวน 5 แผน และแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT จํานวน 5 แผน โดยกําหนดเวลาในการทดลองดังตารางตอ ไปนี้ ตารางที่ 3.5 การกาํ หนดเน้ือหาและวันทใ่ี นการทดลอง แผนที่ เร่ือง กลุมทดลอง 1 กลมุ ทดลอง 2 (วันที่) (วนั ท่ี) 1 อตั ราสวนท่ีเทากัน 15 พ.ย. 62 15 พ.ย. 62 2 อตั ราสวนของจํานวนหลายๆจาํ นวน 22 พ.ย. 62 22 พ.ย. 62 3 สัดสวน 28 พ.ย. 62 27 พ.ย. 62 4 อตั ราสว นและรอ ยละ 3 ธ.ค. 62 2 ธ.ค. 62 5 การนําความรูเกี่ยวกบั อตั ราสวนและรอ ยละไปใชใ นชีวติ จริง 13 ธ.ค. 62 9 ธ.ค. 62 3. ขั้นหลังการทดลอง 3.1 ใหน กั เรยี นกลมุ ทดลองทําแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรือ่ ง อตั ราสวนหลังการ ทดลอง (ทําแบบทดสอบหลังเรยี น) โดยใชแบบทดสอบชดุ เดียวกบั แบบทดสอบกอ นเรียน การวเิ คราะหข อ มลู การวิเคราะหขอมูล การวจิ ยั ครง้ั น้ี ผวู จิ ยั ดําเนนิ การวิเคราะหข อ มลู ดังนี้ 1. วเิ คราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการคณติ ศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลัง การจดั การเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนคิ STAD โดยการทดสอบคา ที แบบเปนอิสระจากกนั (t-test for independent samples) แบบ Pooled Variance 2. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 กอ นและหลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT โดยการทดสอบคาที แบบไมเปนอิสระจากกนั (t-test for Dependent Samples) 3. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 กอ นและหลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ STAD โดยการทดสอบคาที แบบไมเปน อสิ ระจากกัน (t-test for Dependent Samples) 4. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณติ ศาสตรเรอ่ื ง อัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับเกณฑรอยละ 70 โดยการทดสอบคาที (t-test for one samples) 5. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรเ รื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD กับเกณฑรอยละ 70 โดยการทดสอบคาที (t-test for one samples)
53 6. วิเคราะหพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลังการจดั การเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใช เทคนคิ TGT และการจัดการเรยี นรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยใชคาเฉลยี่ และสวนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สถิตทิ ่ใี ชใ นการวิเคราะหข อมลู สถติ ิพน้ื ฐานในการวิเคราะหขอ มลู ผูวจิ ัยใชส ถติ พิ ืน้ ฐานในการวเิ คราะหข อ มลู ดงั นี้ 1. คาเฉล่ยี (Mean) ∑x x = N 2. สว นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) S.D. = N∑ fx2 − (∑ fx)2 N(N −1) สถิตทิ ี่ใชใ นการทดสอบสมมติฐาน 1. สถติ ิการทดสอบคาทีสําหรบั 2 กลมุ เปน อิสระจากกนั (t-test for independent samples) แบบ Pooled variance (n1 - 1) s12 + (n2 - 1) s22 t= x1 - x2 ; df = n1 + n2 −2; Sp2 = n1 + n2 2 sp2 ( 1 + 1 ) n1 n2 เม่อื t แทน คา สถติ ิที่ใชในการพิจารณาใน t – distribution X1 แทน คาเฉลีย่ กลุมที่ 1 X2 แทน คา เฉลี่ยกลุม ท่ี 2 n1 แทน ขนาดของกลุมตวั อยางท่ี 1 n2 แทน ขนาดของกลมุ ตัวอยา งท่ี 2 S แทน สว นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน df แทน ชนั้ แหงความเปน อิสระ (degrees of freedom)
54 2. สถิติการทดสอบคาทสี ําหรับ 2 กลุม ไมเ ปนอสิ ระจากกัน (t-test for dependent samples) ∑D t= ; df = n-1 n∑D2 − (∑D)2 n−1 เมื่อ t แทน คาสถติ ิท่ีใชในการพิจารณาใน t – distribution D แทน ผลตา งของคะแนนกอ นและหลงั การทดลอง n แทน ขนาดของกลมุ ตัวอยา ง ∑D แทน ผลรวมทง้ั หมดของผลตา งของคะแนนกอนและหลังการทดลอง ∑D2 แทน ผลรวมของกาํ ลงั สองของผลตางของคะแนนกอ นและหลงั การทดลอง df แทน ช้นั แหงความเปน อสิ ระ (degrees of freedom) 3. สถิตกิ ารทดสอบคา ทีสาํ หรับกลุมตัวอยา ง 1 กลมุ (t-test for one Samples) x -μ0 t = S.D. n ; df = n -1 เม่อื t แทน คาสถติ ทิ ใี่ ชใ นการพจิ ารณาใน t – distribution X แทน คา เฉลีย่ μ 0 แทน เฉล่ยี ของกลมุ่ ประชากร หรอื เกณฑท์ ่ีตงั้ ขนึ้ n แทน ขนาดของกลมุ ตวั อยาง S.D. แทน สวนเบยี่ งเบนมาตรฐาน df แทน ชั้นแหงความเปน อิสระ (degrees of freedom)
55 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหขอ มลู การวิจัยคร้ังน้ีเปนการวิจัยเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปท่ี 1 กอนและหลังท่ไี ดรับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และเพื่อศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุมของนักเรียนทจ่ี ัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT กบั การจดั การ เรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ผูวิจัยไดเก็บรวบรวมขอมูลโดยนําเครื่องมือท่ีใชในการวิจัยไดแก 1) แผนการ จัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT เร่ืองอัตราสวน 2) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ืองอัตราสว น 3) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนกอนและหลังเรียนเรอื่ งอัตราสวน 4) แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทาํ งานกลมุ ของนักเรยี นทไ่ี ดรับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT กับการเรียนแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ STAD สญั ลกั ษณท ใี่ ชในการวิเคราะหขอ มลู X แทน คาเฉลี่ย t แทน คา สถิตทิ ่ใี ชใ นการพิจารณาใน t – distribution D แทน ผลตางของคะแนนกอ นและหลังการทดลอง n แทน ขนาดของกลุมตัวอยา ง S.D. แทน สว นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑D แทน ผลรวมท้งั หมดของผลตางของคะแนนกอ นและหลังการทดลอง ∑D2 แทน ผลรวมของกําลงั สองของผลตา งของคะแนนกอ นและหลงั การทดลอง df แทน ชน้ั แหงความเปนอสิ ระ (degrees of freedom) การนําเสนอผลการวเิ คราะหข อ มูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกลุม ตัวอยา งท่ี 1 และกลมุ ตัวอยา งท่ี 2 ตอนที่ 2 ผลการศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตรเร่อื ง อัตราสว น ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจดั การเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนคิ STAD ตอนที่ 3 ผลการศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตรเร่อื ง อัตราสว น ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ท้ังกอน และหลังการทดลอง ตอนที่ 4 ผลการศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตรเรื่อง อตั ราสว น ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 1 ทไ่ี ดรบั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD กับเกณฑ รอยละ 70 ตอนที่ 5 ผลการศึกษาพฤติกรรมการทํางานกลุมของนกั เรียนที่จัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT กับ การจัดการเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD
56 ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยา งที่ 1 และกลมุ ตัวอยางท่ี 2 ตารางที่ 4.1 ทดสอบสมมติฐานเพือ่ วิเคราะหผ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของกลมุ ตัวอยา งมีการแจกแจงปกติหรอื ไม โดยกําหนดสมมติฐานการทดสอบดังน้ี H0 : คะแนนผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยา งไมม กี ารแจกแจงปกติ H1 : คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรของกลุม ตัวอยางมกี ารแจกแจงปกติ การทดสอบ Statistic df Sig คะแนนผลสมั ฤทธก์ิ ลุม ตวั อยางที่ 1 0.954 44 0.079 คะแนนผลสมั ฤทธิ์กลมุ ตัวอยางที่ 2 0.960 44 0.125 กําหนดระดับนยั สาํ คญั ������������ = 0.05 เน่ืองจาก สาํ หรับคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตรข องกลุมตัวอยางที่ 1 มี Sig = 0.079 > ������������ = 0.05 ดังน้ัน จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 และ สําหรบั คะแนนผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตรข องกลุมตัวอยางท่ี 2 มี Sig = 0.125 > ������������ = 0.05 ดงั นน้ั จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 นนั่ คือ คะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรของกลุมตัวอยางท่ี 1 มีการแจกแจงปกติ และ คะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรข องกลุมตัวอยางท่ี 2 มกี ารแจกแจงปกติ ตารางท่ี 4.2 ตารางแสดงผลการวเิ คราะหผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยางที่ 1 และกลุมตวั อยา งที่ 2 กลมุ ตวั อยา ง n คะแนนเตม็ X S.D. t df กลมุ ตวั อยางท่ี 1 44 30 19.75 3.77 กลุมตัวอยา งท่ี 2 44 30 19.02 3.25 0.88 86 กําหนดให μ1 แทน คะแนนผลสมั ฤทธวิ์ ิชาคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยางที่ 1 μ2 แทน คะแนนผลสมั ฤทธิ์วชิ าคณิตศาสตรของกลมุ ตัวอยา งท่ี 2 ขัน้ ที่ 1 ตัง้ สมมตฐิ าน ตัง้ สมมตฐิ านทางสถติ ิ H0 : μ1 = μ2 H1 : μ1 ≠ μ2 ขน้ั ท่ี 2 กาํ หนดระดับนัยสําคญั α = .05 ขั้นที่ 3 เลอื กสถิตทิ ่ใี ชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน เนือ่ งจากจาํ นวนสมาชกิ กลมุ ตวั อยาง n1 = n2 ใชสูตร t – test ( t-test แบบ Pooled variance )
57 t= x1 - x2 1 เมอื่ Sp2 = (n1 - 1) s12 + (n2 - 1) s22 sp2 (n11 + n2 n1 + n2 - 2 ) t= 19.7 -19.02 = 0.68 = 0.68 24.78 0.56 12.39 1 + 1 44 44 44 t = 0.88 ;df = 86 ขัน้ ท่ี 4 สรางเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 เมื่อ t คาํ นวณ > t ตาราง หรือ t คํานวณ < -t ตาราง จะปฏเิ สธ H1 ยอมรับ H0 เมื่อ t ตาราง > t คํานวณ > -t ตาราง ขนั้ ที่ 5 สรปุ ผลการทดสอบ เนื่องจาก tคํานวณ = 0.99 น่ันคือ 1.99 > 0.88 > -1.99 ดังน้ัน ดังน้ัน จึงปฏิเสธ H1 ยอมรับ H0 นั่นคือ คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกลุมตัวอยางท่ี 1 และคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตรก ลุมตวั อยา งท่ี 2 ไมแ ตกตา งกนั อยางมีนัยสาํ คญั ท่รี ะดับ .05 ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 1 ที่ไดร ับการจดั การเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT กับการจดั การเรยี นรูแ บบรว มมือโดยใชเทคนคิ STAD ตารางท่ี 4.3 ทดสอบสมมตฐิ านเพื่อวิเคราะหวาคะแนนหลงั เรยี นของกลุมตวั อยา งมีการแจกแจงปกติหรอื ไม โดยกาํ หนด สมมตฐิ านการทดสอบดังนี้ H0 : คะแนนหลังเรียนของกลุมตวั อยางไมมีการแจกแจงปกติ H1 : คะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตวั อยางมีการแจกแจงปกติ Sig การทดสอบ Statistic df คะแนนหลงั เรยี นเทคนคิ TGT 0.967 44 0.233 คะแนนหลังเรียนเทคนคิ STAD 0.967 44 0.243 กําหนดระดับนัยสําคญั ������������ = 0.05 เนือ่ งจาก สาํ หรบั คะแนนหลงั เรยี นเทคนิค TGT มี Sig = 0.233 > ������������ = 0.05 ดงั นน้ั จงึ ปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1 และ สาํ หรบั คะแนนหลังเรยี นเทคนิค STAD มี Sig = 0.243 > ������������ = 0.05 ดงั นน้ั จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 นั่นคอื คะแนนหลังเรยี นของกลมุ ตวั อยางไดรับการจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT มีการแจกแจงปกติ และ คะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตวั อยา งไดรบั การจัดการเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD มกี ารแจกแจงปกติ
58 ตารางท่ี 4.4 ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสว น นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 1 ทไี่ ดรบั การจัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT กับการจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD กลุมทดลอง n คะแนนเตม็ X S.D. t df เทคนคิ TGT 44 20 15.23 3.02 86 เทคนคิ STAD 44 20 15.05 2.96 0.28 กาํ หนดให μ1 แทน คะแนนเฉลี่ยหลังการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค TGT μ2 แทน คะแนนเฉลีย่ หลงั การจดั การเรียนรูแ บบรว มมอื โดยใชเ ทคนิค STAD ข้ันที่ 1 ตัง้ สมมตฐิ าน ต้งั สมมตฐิ านทางสถิติ H0 : μ1 = μ2 H1 : μ1 ≠ μ2 ข้ันที่ 2 กําหนดระดบั นยั สาํ คญั α = .05 ข้นั ท่ี 3 เลอื กสถติ ทิ ่ีใชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน เน่อื งจากจาํ นวนสมาชกิ กลมุ ตวั อยาง n1 = n2 ใชส ูตร t – test ( t-test แบบ Pooled variance ) t= x1 - x2 เมื่อ Sp2 = (n1 - 1) s12 + (n2 - 1) s22 n1 + n2 2 sp2 ( 1 + 1 ) n1 n2 0.18 t= 15.23 -15.05 = 17.882 = 0.18 = 0.18 0.41 0.64 8.941 1 + 1 44 44 44 t = 0.28 ;df = 86 ข้นั ที่ 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1 เมื่อ t คาํ นวณ > t ตาราง หรือ t คํานวณ < -t ตาราง จะปฏเิ สธ H1 ยอมรบั H0 เมอ่ื t ตาราง > t คาํ นวณ > -t ตาราง
59 ข้นั ท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เนื่องจาก tคํานวณ = 0.28 น่ันคือ 1.99 > 0.28 > -1.99 ดังนั้น ดังนั้น จึงปฏิเสธ H1 ยอมรับ H0 น่ันคือ คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับ การจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD ไมแ ตกตา งกัน อยา งมนี ยั สําคัญที่ระดับ .05 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปท ี่ 1 กอ นและหลังการจัดการเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเทคนคิ TGT กับการจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ตารางที่ 4.5 ทดสอบสมมตฐิ านเพอ่ื วิเคราะหวา คะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตวั อยา งมกี ารแจกแจงปกตหิ รือไม โดยกําหนด สมมตฐิ านการทดสอบดังนี้ H0 : ผลตา งของคะแนนกอ นเรียนและคะแนนหลังเรียนของกลมุ ตัวอยางไมม กี ารแจกแจงปกติ H1 : ผลตา งของคะแนนกอนเรียนและคะแนนหลังเรยี นของกลมุ ตวั อยา งมีการแจกแจงปกติ การทดสอบ Statistic df Sig ผลตางของคะแนนกอ นเรยี นและหลงั เรยี น TGT 0.955 44 0.088 กําหนดระดบั นัยสาํ คญั ������������ = 0.05 เน่อื งจาก Sig = 0.088 > ������������ = 0.05 ดังนนั้ จึงปฏเิ สธ H0 ยอมรับ H1 นั่นคือ ผลตางของคะแนนกอนเรียนและคะแนนหลังเรียนของกลุมตัวอยางไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใช เทคนิค TGT มกี ารแจกแจงปกติ ตารางท่ี 4.6 ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรเ รอื่ ง อัตราสวน นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 1 กอ นและหลงั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT การทดลอง n คะแนนเตม็ X S.D. ∑D ∑D2 t df ทดสอบกอนเรยี น 44 20 6.36 1.92 43 ทดสอบหลงั เรียน 44 20 15.23 3.02 390 3,950 17.36 กาํ หนดให μ1 แทน คะแนนเฉล่ียกอ นการจัดการเรยี นรแู บบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ TGT μ2 แทน คะแนนเฉลยี่ หลงั การจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT ขน้ั ที่ 1 ต้ังสมมติฐาน ต้งั สมมติฐานทางสถติ ิ H0 : μ2 ≤ μ1 H1 : μ2 > μ1 ข้ันที่ 2 กาํ หนดระดบั นัยสําคญั α = .05
60 ข้ันที่ 3 เลอื กสถติ ทิ ีใ่ ชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน ∑D ใชส ูตร t = ; df = n-1 N∑D2 -(∑D)2 n-1 395 390 173,800 -152,100 t= 44(3,950) - (390)2 = 43 44 - 1 390 390 t= 390 = 504.65 = 22.46 21,700 43 t = 17.36 ขัน้ ที่ 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 เม่ือ t คาํ นวณ > t ตาราง ข้ันท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เน่ืองจาก tคาํ นวณ = 17.36 > tตาราง = 1.6811 ดังนั้น จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 น่ันคอื คะแนน เฉลยี่ ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรบั การจัดการเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT สูงกวา กอ นการ ไดร บั การจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT อยางมนี ยั สําคัญที่ระดบั .05 ตารางที่ 4.7 ทดสอบสมมติฐานเพ่ือวิเคราะหว าคะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตัวอยางมกี ารแจกแจงปกตหิ รือไม โดยกาํ หนด สมมตฐิ านการทดสอบดังน้ี H0 : ผลตางของคะแนนกอนเรยี นและคะแนนหลงั เรยี นของกลมุ ตวั อยา งไมม กี ารแจกแจงปกติ H1 : ผลตางของคะแนนกอ นเรียนและคะแนนหลังเรียนของกลุมตวั อยา งมกี ารแจกแจงปกติ การทดสอบ Statistic df Sig ผลตางของคะแนนกอ นเรียนและหลงั เรียน STAD 0.962 44 0.149 กาํ หนดระดับนยั สาํ คญั ������������ = 0.05 เน่อื งจาก Sig = 0.149 > ������������ = 0.05 ดังนนั้ จึงปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1 นนั่ คือ ผลตา งของคะแนนกอนเรยี นและคะแนนหลังเรยี นของกลุมตวั อยา งไดรับการจดั การเรยี นรูแ บบรว มมอื โดยใช เทคนิค STAD มกี ารแจกแจงปกติ
61 ตารางที่ 4.8 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่อื ง อตั ราสวน นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 1 กอ นและหลังการจดั การเรยี นรูแบบรว มมอื โดยใชเ ทคนิค STAD การทดลอง n คะแนนเต็ม X S.D. ∑D ∑D2 t df กอ นเรียน 44 20 6.02 1.96 397 3,861 23.49 43 หลงั เรียน 44 20 15.05 2.96 กําหนดให μ1 แทน คะแนนเฉลีย่ กอ นการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD μ2 แทน คะแนนเฉลยี่ หลงั การจัดการเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ขนั้ ท่ี 1 ต้งั สมมตฐิ าน ตงั้ สมมตฐิ านทางสถติ ิ H0 : μ2 ≤ μ1 H1 : μ2 > μ1 ขนั้ ท่ี 2 กาํ หนดระดับนัยสําคญั α = .05 ขั้นที่ 3 เลอื กสถิตทิ ่ีใชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน ∑D ใชสูตร t = ; df = n-1 N∑D2 - (∑D)2 n-1 397 169,884 -157,609 t= 397 = 44(3,861) - (397)2 44 - 1 43 397 t= 12,275 = 397 = 397 285.47 16.90 43 t = 23.49 ; df = 43 ขน้ั ท่ี 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 เมอื่ t คํานวณ > t ตาราง ข้ันท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เนือ่ งจาก tคํานวณ = 23.49 > tตาราง = 1.6811 ดังนั้น จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 นนั่ คือ คะแนน เฉล่ียของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD สงู กวา กอ นการ ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD อยางมนี ยั สําคญั ทีร่ ะดับ .05
62 ตอนที่ 4 ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปท่ี 1 ท่ไี ดร บั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจัดการเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเ ทคนคิ STAD หลังเรยี นเทียบกบั เกณฑร อยละ 70 ตารางที่ 4.9 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเ ร่ือง อัตราสวน นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 1 ทไ่ี ดรับการจดั การเรยี นรูแบบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT หลงั เรียนเทียบกบั เกณฑร อยละ 70 n คะแนนเตม็ X S.D. t df คะแนน คะแนนหลังเรยี น 44 20 15.23 3.02 2.70 43 กําหนดให μ แทน คะแนนเฉล่ียหลังการจดั การเรียนรูแ บบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT ข้นั ท่ี 1 ตงั้ สมมติฐาน ต้งั สมมติฐานทางสถติ ิ H0 : μ ≤ 14 H1 : μ > 14 ขน้ั ที่ 2 กาํ หนดระดับนัยสาํ คญั α = .05 ขนั้ ที่ 3 เลอื กสถติ ทิ ใ่ี ชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน x -μ0 ใชสูตร t = S.D. n ; df = n −1 t = 15.23 -14 3.02 44 t = 1.23 44 3.02 t = 2.70 ;df = 43 ขน้ั ท่ี 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 เมื่อ t คาํ นวณ > t ตาราง ขน้ั ท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เน่อื งจาก tคํานวณ = 2.70 > tตาราง = 1.6811 ดังนั้น จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 นั่นคือ คะแนน เฉลยี่ ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 1 ท่ีไดร บั การจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT สูงกวาเกณฑ รอยละ 70 อยางมีนัยสําคัญท่ีระดับ .05
63 ตารางที่ 4.10 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสว น นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 1 ทไี่ ดร ับการจัดการเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ STAD หลังเรียนเทยี บกับเกณฑร อ ยละ 70 คะแนน N คะแนนเต็ม X S.D. คะแนนหลังเรียน 44 20 15.05 2.96 กําหนดให μ แทน คะแนนเฉลี่ยหลงั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ขนั้ ที่ 1 ตงั้ สมมตฐิ าน ตง้ั สมมตฐิ านทางสถติ ิ H0 : μ ≤ 14 H1 : μ > 14 ข้นั ท่ี 2 กาํ หนดระดับนัยสําคญั α = .05 ขน้ั ที่ 3 เลือกสถติ ทิ ใี่ ชในการทดสอบสมมตฐิ าน x -μ0 ใชส ตู ร t = S.D. n ; df = n −1 t = 15.05 -14 = 1.05 44 2.96 44 2.96 t = 2.35 ;df = 43 ขน้ั ที่ 4 สรางเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏเิ สธ H0 ยอมรับ H1 เมื่อ t คํานวณ > t ตาราง ขน้ั ท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เน่อื งจาก tคํานวณ = 2.35 > tตาราง = 1.6811 ดังน้ัน จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 น่นั คอื คะแนน เฉลี่ยของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดร บั การจัดการเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค STAD สูงกวา เกณฑ รอ ยละ 70 อยา งมนี ัยสําคญั ท่รี ะดับ .05
64 ตอนท่ี 5 ผลการศกึ ษาพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ของนักเรียนที่จัดการเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT กับการ จดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD ตารางที่ 4.11 ผลการศกึ ษาคา เฉลีย่ สว นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ของนักเรยี นทจ่ี ัดการ เรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT โดยนักเรียนเปนผูประเมิน รายการประเมิน นักเรยี นเปนผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดับ 1. มีสวนรวมในการแสดงความคิดเหน็ 2.09 0.77 ดี 4 2. ใหค ําปรกึ ษาเพ่ือนในกลมุ เม่ือมีขอสงสัย 2.06 0.75 ดี 5 3. รบั ผิดชอบในงานท่ีไดร ับมอบหมาย 2.12 0.99 ดี 3 4. มคี วามสามคั คใี นการทํางาน 2.20 0.68 ดี 2 5. มีปฏิสัมพนั ธทีด่ ตี อเพอื่ นรวมกลมุ 2.27 0.72 ดีมาก 1 รวม 2.15 0.79 ดี จากตารางพบวา นักเรยี นมีพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ( X = 2.15) เมื่อพิจารณาเปนราย ขอ พบวา มีพฤติกรรมการทํางานกลุม อยูในระดับ ดีมาก จํานวน 1 ขอ ไดแก มีปฏิสัมพันธท่ีดีตอเพื่อนรวมกลุม ( X =2.27 ) และมีพฤติกรรมการทํางานกลมุ อยูในระดับ ดี จํานวน 4 ขอ ไดแก มคี วามสามัคคีในการทํางาน( X = 2.20) รบั ผิดชอบในงานท่ีไดรับมอบหมาย ( X = 2.12) มีสวนรวมในการแสดงความคิดเห็น ( X = 2.09) ใหคําปรกึ ษาเพื่อนใน กลุมเมอื่ มีขอ สงสัย ( X = 2.06) ตามลําดบั ตารางท่ี 4.12 ผลการศึกษาคาเฉลย่ี สว นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดบั พฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ของนกั เรียนท่ีจดั การ เรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT โดยครูเปนผปู ระเมนิ รายการประเมนิ ครเู ปน ผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดบั 1. มีสว นรว มในการแสดงความคิดเหน็ 1.96 0.67 ดี 5 2. ใหคาํ ปรึกษาเพ่ือนในกลมุ เมือ่ มขี อสงสัย 2.04 0.74 ดี 2 3. รับผิดชอบในงานท่ีไดร ับมอบหมาย 2.00 0.82 ดี 3 4. มคี วามสามคั คใี นการทํางาน 1.98 0.76 ดี 4 5. มีปฏิสมั พันธทดี่ ีตอเพือ่ นรวมกลุม 2.22 0.81 ดี 1 รวม 2.04 0.76 ดี จากตารางพบวา นักเรียนมีพฤตกิ รรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ( X = 2.04) เม่ือพิจารณาเปนราย ขอ พบวา มีพฤติกรรมการทํางานกลมุ อยูในระดับ ดี จํานวน 5 ขอ ไดแก มปี ฏิสัมพันธท่ดี ีตอเพือ่ นรวมกลุม ( X =2.22) ใหคําปรึกษาเพื่อนในกลุมเม่ือมีขอสงสยั ( X = 2.04) รบั ผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย ( X = 2.00) มคี วามสามัคคีใน การทํางาน ( X = 1.98) และมีสว นรว มในการแสดงความคดิ เหน็ ( X = 1.96) ตามลําดับ
65 ตารางที่ 4.13 ผลการศึกษาคา เฉลยี่ สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดบั พฤติกรรมการทํางานกลุม ของนักเรียนท่จี ัดการ เรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD โดยนกั เรยี นเปน ผปู ระเมิน รายการประเมนิ นักเรยี นเปนผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดบั 1. มสี ว นรว มในการแสดงความคิดเหน็ 1.94 0.73 ดี 5 2. ใหคําปรึกษาเพอื่ นในกลมุ เมอ่ื มขี อสงสัย 2.08 0.75 ดี 2 3. รับผดิ ชอบในงานที่ไดร ับมอบหมาย 1.98 0.72 ดี 4 4. มีความสามคั คใี นการทํางาน 2.01 0.75 ดี 3 5. มปี ฏิสมั พันธท ดี่ ตี อ เพือ่ นรว มกลุม 2.10 0.72 ดี 1 รวม 2.02 0.74 ดี จากตารางพบวา นักเรียนมพี ฤติกรรมการทาํ งานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ( X = 2.02) เมื่อพิจารณาเปนราย ขอ พบวา มพี ฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ อยใู นระดบั ดี จํานวน 5 ขอ ไดแ ก มีปฏิสัมพนั ธที่ดตี อ เพอื่ นรว มกลุม ( X = 2.10) ใหคําปรึกษาเพื่อนในกลุมเม่อื มีขอสงสัย ( X = 2.08) มีความสามัคคีในการทํางาน ( X = 2.01) รับผิดชอบในงานที่ไดรับ มอบหมาย ( X = 1.98) และมีสวนรว มในการแสดงความคิดเหน็ ( X = 1.94 ) ตามลําดบั ตารางที่ 4.14 ผลการศึกษาคาเฉลีย่ สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับพฤติกรรมการทํางานกลมุ ของนักเรยี นที่จัดการ เรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยครูเปนผูประเมนิ รายการประเมิน ครเู ปน ผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดบั 1. มีสวนรว มในการแสดงความคิดเหน็ 1.93 0.63 ดี 5 2. ใหค ําปรกึ ษาเพ่อื นในกลุมเม่ือมขี อสงสยั 2.00 0.72 ดี 2 3. รบั ผดิ ชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย 1.98 0.80 ดี 3 4. มคี วามสามัคคีในการทํางาน 1.96 0.74 ดี 4 5. มีปฏิสมั พันธท่ีดีตอ เพ่ือนรวมกลมุ 2.16 0.79 ดี 1 รวม 2.01 0.74 ดี จากตารางพบวา นักเรียนมพี ฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดบั ดี ( X = 2.01) เมอื่ พิจารณาเปนราย ขอ พบวา มพี ฤตกิ รรมการทํางานกลมุ อยูในระดับ ดี จํานวน 5 ขอ ไดแ ก มีปฏิสัมพันธทีด่ ีตอ เพ่อื นรวมกลุม ( X =2.01 ) ใหคําปรึกษาเพื่อนในกลุมเมื่อมีขอสงสัย ( X = 2.00) รับผิดชอบในงานท่ีไดรับมอบหมาย ( X = 1.98) มีความสามัคคีใน การทํางาน( X = 1.96) มสี ว นรว มในการแสดงความคดิ เหน็ ( X = 1.93) ตามลาํ ดบั
66 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ เสนอแนะ การวิจัยคร้ังนี้เปนการวิจัยเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาศึกษาปท่ี 1 กอนและหลังท่ีไดรับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการเรียนแบบรวมมือโดยใช เทคนิค STAD มีวัตถุประสงคเพ่ือ 1) เพื่อศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดร บั การจดั การเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT กบั การจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1 ท่ีไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT ทั้งกอนและหลังการทดลอง 3) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ทั้งกอนและหลังการทดลอง 4) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปท่ี 1 ทไี่ ดรบั การจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับเกณฑรอยละ 70 5) เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเ ร่ืองอตั ราสวน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดร ับการจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใช เทคนคิ STAD กับเกณฑร อยละ 70 6) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนกั เรยี นท่จี ดั การเรยี นรูแ บบรว มมือโดยใช เทคนคิ TGT กบั การจดั การเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ STAD เคร่ืองมือท่ีใชในการวิจัยคร้ังนี้ประกอบดวย 1) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT เรื่อง อตั ราสวนและรอยละ จํานวน 5 แผน 2) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD เรื่องอตั ราสวนและรอ ย ละ จํานวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอนและหลังเรียนเรื่องอัตราสวนและรอยละ ระดับช้ัน มัธยมศึกษาปท่ี 1 เปน แบบทดสอบ 4 ตวั เลือก จาํ นวน 20 ขอ 4) แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนักเรียน การวิจัยครั้งน้ีเปนการวิจัยเชิงทดลองแบบเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผูวิจัยดําเนินการทดลอง ตามแผนการวิจัยแบบสองกลมุ มกี ารทดสอบกอ นและหลังการทดลอง (Two Group pre-test post-test Design) สรปุ ผลการวิจัย 1. นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู โดยใชเ ทคนิค STAD มีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเรอ่ื ง อัตราสวน ไมแ ตกตางกนั อยางมีนัยสาํ คัญทางสถติ ิที่ 0.05 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวชิ าคณติ ศาสตรเ รื่อง อตั ราสว น หลงั เรยี นสงู กวากอ นเรยี น อยางมนี ัยสําคญั ทางสถิติท่ี 0.05 3. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดร ับการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธทิ์ างการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเรอ่ื ง อัตราสวน หลงั เรียนสงู กวากอนเรยี น อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิท่ี 0.05 4. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน หลงั เรยี นสงู กวา เกณฑรอยละ 70 อยางมีนัยสาํ คัญทางสถติ ิที่ 0.05 5. นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 1 ท่ไี ดร ับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเ ร่ือง อัตราสวน หลังเรยี นสงู กวาเกณฑร อยละ 70 อยางมีนยั สําคัญทางสถิติท่ี 0.05 6. นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู โดยใชเทคนิค STAD มีพฤติกรรมการทํางานกลุม อยูในระดบั ดี
67 อภปิ รายผล จากการศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรเ รื่อง อัตราสวน ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปท่ี 1 กอน และหลังทีไ่ ดร บั การเรียนแบบรว มมอื โดยใชเทคนิค TGT กบั การ เรยี นแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ท่ีไดร ับการจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนคิ TGT กับการจดั การเรยี นรโู ดยใชเ ทคนิค STAD ไมแ ตกตา งกัน อยางมีนยั สาํ คัญทางสถิติท่ี 0.05 เนอ่ื งจากการจัดการเรยี นรแู บบ รวมมือโดยใชเทคนคิ TGT กบั การจัดการเรียนรโู ดยใชเทคนิค STAD ท่ีมบี ริบทคลา ยคลงึ กนั เพราะเปนการจดั การเรยี นรูที่ ฝก ใหผ ูเรียนไดทํางานรวมกันเปนกลุม โดยแตล ะกลุมคละความสามารถตามระดับผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน และชวยเหลือ กันภายในกลมุ ตา งกันเพียงเทคนิค TGT มกี ารแขงขนั เกมวิชาการและจัดลําดับคะแนนรายกลุม สวนเทคนิค STAD มกี าร ทดสอบรายบุคลและจัดลําดบั คะแนนรายกลุม สอดคลอ งกับสุวิทย [63]ท่ีวา หลักการจดั การเรียนรแู บบ TGT คลา ยกับ หลักการจัดการเรียนรูแบบ STAD ซ่ึงเปนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือที่แบงนักเรียน ท่ีมีความสามารถแตกตางกัน ออกเปนกลุมเพ่ือทํางานรวมกัน ซ่ึงผลการทดลองสอดคลองกับงานวิจัยของภาคิน [53] การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น เรอ่ื ง สมการเชงิ เสน ตวั แปรเดียว ความสามารถในการใหเ หตผุ ลทางคณติ ศาสตร และเจตคติตอการเรยี นวชิ า คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 1 ระหวางการจัดการเรยี นรูแบบกลุมรวมมือ STAD กบั การจดั การเรยี นรูแบบกลุมรวมมือ TGT พบวา นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 1 กลุมที่เรียนดวยการจัดการเรยี นรูแบบกลุมรวมมือ STAD และกลุมท่ีเรียนดวย การจัดการเรียนรแู บบกลุม รวมมือ TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไมแ ตกตา งกนั อยา งมนี ัยสําคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 2. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรือ่ ง อตั ราสวน ทีไ่ ดรับการจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค TGT หลังเรยี นสูงกวากอนเรยี น อยางมนี ัยสําคัญทางสถิติท่ี 0.05 เน่อื งจากเนื่องจากการจดั การเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบรวมมือ ท่ีแบงกลุมนักเรียน โดยคละความสามารถ เกง – ปานกลาง - ออน นกั เรียนจะรวมมือกันเรียนรู ชว ยเหลอื กนั และกัน และไดแขงขันเกมวิชาการ ตามระดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ทํา ใหนกั เรียนเกิดทกั ษะในการทาํ งานรวมกับผูอ่ืน และเกิดองคค วามรูที่สําคัญ สงผลใหผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น ซงึ่ ผล การทดลองสอดคลองกบั งานวิจัยของอารี [64] พบวา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใชการจัดการเรียนรู แบบรวมมือกันดวยเทคนิค TGT เร่ือง กฎเกณฑเบื้องตนเก่ียวกับการนับ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 โรงเรียน โพธิสารพิทยากร หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคลองกับงานวิจัยของศิริณา [65] พบวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรูแบบ TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณติ ศาสตร เรือ่ ง สมการเชิงเสน ตัวแปรเดียว หลงั เรียนสงู กวากอนเรยี น อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 สอดคลองกับสมมติฐาน เน่ืองจากการจัดการเรียนรู แบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบรวมมือ ที่แบงกลุมนักเรียน โดยคละ ความสามารถ เกง – ปานกลาง - ออน นักเรียนจะรวมมือกันเรียนรู ชวยเหลือกันและกัน และไดฝกทําแบบทดสอบ รายบุคคล ทาํ ใหนักเรยี นเกิดทกั ษะในการทาํ งานรว มกบั ผูอนื่ และเกิดองคค วามรูที่สําคัญ สงผลใหผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน สูงขึ้น ซึ่งผลการทดลองสอดคลองกับงานวิจัยของเพ็ญศิริ [66] พบวา ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียน เร่ือง ความ นาจะเปน โดยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาสุวินทวงศ หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และสอดคลองกับงานวิจัย ของณฏั ฐชญา [67] พบวา ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร เร่อื ง บทประยุกต ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 6 ท่ี เรียนโดยการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื เทคนิค STAD หลังเรยี นสูงกวากอ นเรยี นอยา งมีนยั สําคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05
68 4. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรเรื่อง อตั ราสวน ท่ีไดร ับการจดั การเรยี นรแู บบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT หลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมีนยั สําคัญทางสถิตทิ ่ี 0.05 เน่ืองจากการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT เนนใหผูเรียนมีสว นชวยใหผ เู รียนไดเรียนรูรวมกับผูอนื่ ทําใหนกั เรียนมปี ฏิสมั พันธกับเพือ่ นในการเรียน ทาํ ใหน กั เรียน ฝก ความมีน้ําใจในการชวยเหลือเพ่ือน ฝกการรับฟง ขอเสนอแนะจากผูอื่น และกลา ท่ีจะเสนอความคิดเห็น มีการแขงขัน เกมวิชาการและจดั ลําดับคะแนนรายกลุม เพื่อกระตุนใหนักเรียนเกิดการเรียนรู สงผลใหผ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น การจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ TGT ซึ่งสอดคลองกับงานวจิ ัยของกฤษกร [37] ศกึ ษาเร่ืองการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เร่ือง เรขาคณิต ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 6 ระหวางการจัดการเรียนรู แบบรวมมือ เทคนิค TAI และเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบวา 1) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 6 กลุมท่ีไดรับการจัดการ เรยี นรูแบบรว มมือเทคนิค TAI มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หลงั เรียนสูงกวากอนเรียน อยา งมีนยั สําคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 กลุมที่ไดร ับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หลัง เรยี นสูงกวากอ นเรยี น อยา งมนี ัยสําคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ.05 และ 3) นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 6 กลมุ ท่ไี ดรับการจัดการ เรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TAI และกลุมท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไม แตกตา งกัน 5. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมนี ัยสําคัญทางสถิติท่ี 0.05 เนื่องจากการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใช เทคนิค STAD เนนใหผูเรียนมีสว น ชวยใหผูเรยี นไดเ รียนรูรว มกับผูอนื่ ทาํ ใหนักเรียนมปี ฏิสมั พันธก ับเพ่ือนในการเรียน ทํา ใหนักเรียนฝกความมีน้ําใจในการชวยเหลือเพ่อื น ฝกการรับฟงขอเสนอแนะจากผูอน่ื และกลาที่จะเสนอความคิดเห็น มี การทดสอบรายบุคลและจดั ลําดับคะแนนรายกลุม เพ่ือกระตุนใหน ักเรียนเกิดการเรยี นรู สงผลใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพิ่มขึ้น ซึ่งผลการทดลองสอดคลอ งกับงานวิจัยของชไมพร [29] พบวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 5/3 ท่ีไดรับการสอน แบบแบง กลุมผลสมั ฤทธิ์ STAD มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร เร่อื งความนาจะเปน สูงกวา เกณฑรอยละ 70 6. นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค TGT กับการจดั การเรียนรโู ดย ใชเทคนิค STAD มพี ฤติกรรมการทํางานกลุม อยูในระดับดี เน่อื งจากผลการวิเคราะหระดบั พฤติกรรมการทํางานกลุม ของ นักเรียนทีจ่ ัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ TGT โดยนักเรยี นเปนผูประเมินพบวา นักเรียนมีพฤตกิ รรมการทํางาน กลุมในภาพรวมอยูในระดับ ดี เม่ือพิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมีปฏิสัมพันธท่ีดีตอเพ่ือนรวมกลุมอยูในลําดับที่ 1 การมีความสามัคคีในการทํางานอยูใ นลําดับที่ 2 การรับผิดชอบในงานท่ีไดรับมอบหมายอยูในลําดับที่ 3 การสวนรวมใน การแสดงความคิดเห็นอยูในลําดับท่ี 4 การใหคําปรึกษาเพ่ือนในกลุมเม่ือมีขอสงสัยอยูในลําดับที่ 5 ตามลําดับ ผลการ วิเคราะหระดบั พฤติกรรมการทํางานกลมุ ของนักเรียนทจี่ ัดการเรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT โดยครเู ปน ผูประเมิน พบวา นกั เรียนมพี ฤติกรรมการทาํ งานกลุมในภาพรวมอยใู นระดับดี เมอื่ พิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมีปฏสิ ัมพันธที่ ดตี อเพื่อนรวมกลุมอยูในลําดับที่ 1 การใหคําปรกึ ษาเพือ่ นในกลุมเมื่อมีขอ สงสัยอยูในลําดับท่ี 2 การมีรบั ผดิ ชอบในงานที่ ไดรับมอบหมายอยูในลําดับที่ 3 การมีความสามัคคีในการทํางานอยูในลําดับที่ 4 และการมีสวนรวมในการแสดงความ คดิ เห็นอยใู นลําดบั ที่ 5 ตามลําดับ ผลการวิเคราะหระดับพฤติกรรมการทํางานกลุม ของนักเรียนท่ีจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยนักเรียนเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี เม่ือพิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมปี ฏิสมั พันธทีด่ ีตอ เพอื่ นรว มกลุมอยูในลําดับท่ี 1 การใหคําปรึกษาเพอื่ นในกลมุ เมอ่ื มีขอสงสยั อยูในลําดับท่ี 2 การมคี วามสามคั คีในการทํางานอยูในลําดับท่ี 3 การรับผิดชอบในงานที่ไดร ับมอบหมายอยใู นลําดบั ท่ี 4 และการมีสวน รว มในการแสดงความคิดเห็นอยใู นลําดับท่ี 5 ตามลาํ ดับ ผลการวิเคราะหระดับพฤติกรรมการทํางานกลมุ ของนักเรียนที่ จัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยครูเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพ รวมอยูในระดับดี เมื่อพิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมีปฏิสัมพันธที่ดีตอเพ่ือนรวมกลุมอยูในลําดับที่ 1 การให
69 คาํ ปรึกษาเพ่ือนในกลุมเม่ือมีขอ สงสัยอยใู นลําดับท่ี 2 การรับผดิ ชอบในงานที่ไดรบั มอบหมายอยูในลําดับที่ 3 การมีความ สามคั คใี นการทํางานอยใู นลาํ ดับท่ี 4 การมีสว นรวมในการแสดงความคิดเห็นอยใู นลําดับท่ี 5 ตามลาํ ดับ จากผลการวเิ คราะหพบวานักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดร บั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรูโดยใชเทคนิค STAD โดยนักเรียนเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพ รวมอยูในระดับดี ทั้งสองเทคนิค และพบวาระดบั พฤติกรรมการทํางานกลุมอยูในระดับดีขึ้นไปทุกดาน โดยในดานการมี ปฏิสัมพันธที่ดีตอเพื่อนรวมกลุมอยูในลําดับท่ี 1 ทั้งสองการจัดกิจกรรม และจากผลการวิเคราะหพบวานักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 1 ท่ีไดรบั การจดั การเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรยี นรูโดยใชเทคนิค STAD โดย ครูเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ทั้งสองเทคนิค และพบวาระดับ พฤติกรรมการทํางานกลมุ อยูในระดับดีข้ึนไปทุกดาน โดยในดานการมีปฏสิ ัมพันธทด่ี ีตอเพ่ือนรวมกลุมอยใู นลําดับท่ี 1 ทั้ง สองการจัดกิจกรรม จะเห็นไดวาการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรูโดยใชเทคนิค STAD สงผลใหนักเรียนมปี ฏิสัมพนั ธที่ดตี อเพ่ือนรว มกลุม นักเรียนไดรวมกันทํางานเปนกลุมคละความสามารถ แตใ นชวง แรกนักเรียนยงั ไมคอนมปี ฏิสัมพนั ธร วมกบั กลุมมากนักเนื่องจากยังอยากทํางานรว มกับนักเรยี นท่ีมีผลสมั ฤทธ์ิใกลเ คียงกัน แตเ ม่อื รวมกันศึกษาเรียนรู รวมกันทํางานส่ิงใดสง่ิ หนึ่งโดยมเี ปาหมายรวมกัน รวมกันแกป ญ หา พึง่ พาซึ่งกันและกัน สงผล ใหนักเรียนไดมีปฏิสมั พันธต อผูอื่นท่ีดีข้ึน ความรับผิดชอบตอ ตนเองและผูอ่นื มากขึ้น ไดรวมทํางานกบั ผอู ่ืนเพื่อนําพากลุม ไปสูความสําเร็จ และทาํ งานรวมกับผูอ่ืนไดอยางมีประสิทธิภาพ สอดคลองกับวรดาการ [48] ไดส รุปวา การจัดกิจกรรม การเรยี นรูท ่ีใหผูเ รยี นไดท ํางาน กันเปนกลุมนั้น จะทาํ ใหเกิดประโยชนตอ ผูเรียน ทั้งในดา นการมปี ฏสิ มั พันธทดี่ ตี อ กนั สราง ความมีระเบียบวินัยในการทํางานรวมกับผูอื่น สงเสริมความคิดริเริ่มสรางสรรค และความรับผิดชอบตองานในสวนท่ี ตนเองไดรบั มอบหมาย และมีความรบั ผิดชอบตองาน ของกลุม ตลอดจนเปนการสงเสริมความเปนประชาธปิ ไตยใหเ กิดกับ ผเู รียนไดเปนอยางดี ซ่ึงผลการทดลองสอดคลอ งกบั งานวจิ ยั ของธัญญลักษณ [68] ศกึ ษาเร่อื ง ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเรือ่ ง เสนขนานโดยวิธีการเรยี นแบบรวมมือเทคนิค TGT, STAD, และ LT ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 2 พบวา พฤติกรรม การเรียนแบบรว มมือของนกั เรียนอยใู นระดับมาก นน่ั แสดงวา การเรียนแบบรวมมือเทคนิค TGT, STAD, และ LT ทําให นักเรียนมีความชวยเหลือกัน การปฏิสัมพันธกันและมีความรับผิดชอบดีขึ้นทั้งรายบุคคลและรายกลุม ซึ่งสงผลใหผล สัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงข้ึน และสอดคลองกับงานวิจัยของณัฏฐชญา [67] พบวา พฤติกรรมการทํางาน กลุมของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 6 ท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค STAD เรื่อง บทประยุกต โดยรวมอยูในระดบั ดี
70 ขอ เสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยมีขอเสนอแนะท่ีเห็นวานาจะเปนประโยชนตอการจัดการเรียนรูคร้ังตอไป ซ่งึ ประกอบดวย ขอเสนอแนะเพ่ือนําผลการวิจยั ไปใช และขอ เสนอแนะเพ่ือการวจิ ัยคร้งั ตอไป ดังน้ี ขอ เสนอแนะเพอ่ื นําผลการวิจยั ไปใช 1. ในการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ครูควรแนะนํา ทําความเขาใจกับนักเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจและปฏิบัติตามขั้นตอนไดอยางถูกตอง ครูควรเตรียม แบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ สื่ออุปกรณ ในการเลน เกมและทํากิจกรรม เพ่ือสะดวกตอการหยิบใช งาน และครบถวนตามจํานวนนกั เรียน ไมเสยี เวลาในการจดั การเรยี นรู 2. ในการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เปนการจดั การเรยี นรูท่ีเนน พฤติกรรมการทาํ งานเปน กลมุ นักเรียนคอนขางจะใชเวลามาก เนื่องจากมีการเลนเกมและทํา แบบทดสอบ ดงั นนั้ จึงไมเ หมาะสมทีจ่ ะจัดกจิ กรรมการเรยี นรใู นลกั ษณะนี้ทุกคาบเนื่องจากบางเนือ้ หาตอ งมีการทําใบงาน และแบบฝกหดั เพ่อื ฝก ฝนทกั ษะและกระบวนการในการแกปญ หา 3. ในการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ทําใหพฤติกรรมการทํางานกลุมอยูในระดบั ดใี กลเคยี งกัน หากครูตองการใหนกั เรียนมีปฏิสมั พันธที่ดีตอ เพื่อนรวมกลุมดขี ้ึน ควรเลอื กการจดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเทคนคิ TGT ขอเสนอแนะเพอ่ื การวจิ ยั ครัง้ ตอ ไป 1. ควรมีการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรยี นรแู บบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD โดยแบงนักเรียนตามกลุมผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนในระดบั เกง ปานกลาง ออ น แยกแตละระดับกลมุ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 2. ควรมีการศึกษาตัวแปรอ่ืน ๆ รวมกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เชน ความคงทนในการเรียนรู เจตคติตอวิชา คณติ ศาสตร และความคดิ สรางสรรค รวมกับการจัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบ รว มมือโดยใชเ ทคนคิ STAD 3. ควรมีการศึกษาผลการจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT หรือการจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใช เทคนิค STAD รวมกับการจดั การเรยี นรูเทคนคิ อืน่ ๆ เชน TAI , CIPPA Model เปนตน
71 รายการอา งองิ [1] ไพฑรู ย สนิ ลารตั น และคณะ. (2557). เตบิ โตเต็มศกั ยภาพสศู ตวรรษท2ี่ 1ของการศกึ ษาไทย. กรุงเทพฯ: วิทยาลัย ครุศาสตรม หาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิต. [2] กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2560). มาตรฐานการเรยี นรแู ละตวั ชีว้ ดั กลุมสาระการเรียนรคู ณติ ศาสตร วิทยาศาสตร และสาระภมู ศิ าสตรใ นกลุมสาระการเรียนรสู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พชุมนมุ สหกรณก ารเกษตร แหง ประเทศไทย จาํ กดั . [3] วรณัน ขนุ ศรี. (2546). “การจัดการเรียนการสอนคณติ ศาสตร. ” วารสารวชิ าการ. 6(3): 3. [4] จรรยา หารพรม. (2560). “การพัฒนาผลการเรียนรูค ณิตศาสตรแ ละพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยการจัดการ เรียนรูแบบ STAD รว มกับ KWDL ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 3.” วทิ ยานิพนธป ริญญาศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการนเิ ทศ บัณฑติ วทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. [5] ทศิ นา แขมมณ.ี (2555). ศาสตรก ารสอน : องคค วามรูเพอ่ื การจัดกระบวนการเรยี นรทู ี่มปี ระสิทธภิ าพ. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม หาวิทยาลัย. [6] ชยั วฒั น สุทธริ ัตน. (2555). 80 นวัตกรรม การจดั การเรยี นรูทเี่ นน ผเู รียนเปน สําคญั . กรงุ เทพฯ: แดเน็กซอ นิ เตอรคอรปอเรชัน. [7] อทิติยา สวยรปู . (2556). “การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนในรายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศ เรอ่ื ง คอมพวิ เตอร เบ้อื งตน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 ดว ยการเรยี นการสอนแบบกลุมรวมมอื โดยใชเ ทคนิคSTAD.” วทิ ยานพิ นธปริญญาศกึ ษาศาสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร. [8] วชั รา เลาเรียนด.ี (2547). เทคนคิ วิธกี ารจัดการเรียนรูสาํ หรบั ครมู ืออาชพี . นครปฐม: มหาวิทยาลยั ศิลปากร. [9] Slavin, Robert E. (1990). Cooperative Learning : Theory, Research and Practice. New Jersey : Prentice - Hall. [10] Johnson, D. W., Johnson, R. T., & Smith, K. A. (2014). Cooperative learning: Improving university instruction by basing practice on a validated theory. Journal on Excellence in College Teaching, 25, 87-88. [11] นนั ทนภัส นยิ มทรัพย. (2560). ความรูพ ้ืนฐานดา นการเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พแ หง จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั [12] สมบัติ การจนารกั พงค. (2547). นวตั กรรมการศึกษา ชุดที่ 29 เทคนิคการจดั การเรยี นรูที่หลากหลาย การเรียนแบบรว มมอื . กรุงเทพ : ธารอกั ษร [13] วัชรา เลา เรยี นดี. (2548). เทคนิควิธกี ารจัดการเรียนรสู ําหรบั ครมู อื อาชพี . นครปฐม : โรงพิมพม หาวิทยาลัยศลิ ปากร. [14] กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2560). ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรแู กนกลางกลมุ สาระการเรยี นรคู ณติ ศาสตร (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช มุ นมุ สหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จํากดั . [15] Johnson, D.W. and Johnson, R.T. 1987. Learning Together and Alone: Cooperative, Competitive and Individualistic Leaning. 2 nd ed. New Jersey: Prentice-Hall. [16] ปราณี แพรอตั ร. (2553). “การพฒั นาผลการเรยี นรู เร่อื ง การวดั ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 3 ดว ยเทคนิค STAD โดยประยุกตใ ชกิจกรรมการละเลน ของเด็กไทย.” วิทยานิพนธปรญิ ญาศกึ ษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการนเิ ทศ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.
72 [17] นารี ศรปี ญญา. (2556). “การพฒั นาการอา นและการเขียน กลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทย สําหรับ นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที่ 3 โดยการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค STAD.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บรุ รี ัมย. [18] แกว มะณี เลิศสนธ์ิ. (2557). “การจดั การเรยี นรูคณติ ศาสตร เร่อื งสมการเชิงเสน ตัวแปรเดยี วดวยรูปแบบ การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือแบบแบง กลมุ ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) สําหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 จงั หวัดฉะเชิงเทรา.” วทิ ยานิพนธป รญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยบรู พา. [19] วยิ ดา ยืนสขุ . (2557). “ผลการใชแ บบฝก ทักษะวิชาภาษาไทย เรื่อง หลักภาษาโดยใชก ารเรยี นรูแบบ รว มมอื เทคนิค STAD สาํ หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที่ 3.” วทิ ยานพิ นธปรญิ ญาครุศาสตร มหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภัฏบุรีรมั ย. [20] Slavin, Robert E. (1995). Cooperative Learning. 2nd ed. USA : Allyn and Bacon. [21] วชั รา เลาเรียนดี. (2556). ศาสตรการนิเทศการสอน และการโคช การพฒั นาวิชาชพี : ทฤษฎกี ลยุทธส ูการ ปฏบิ ตั ิ. (พิมพครั้งท่ี 12). นครปฐม : โรงพมิ พม หาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทรน ครปฐม. [22] วฒั นาพร ระงบั ทุกข. (2542). แผนการสอนทเ่ี นน ผูเรยี นเปน ศนู ยก ลาง. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ . [23] กรมวชิ าการ. (2543). แนวทางการบรหิ ารโรงเรียนปฏิรปู การเรยี นร.ู กรุงเทพฯ: โรงพิมพครุ สุ ภาลาดพรา ว. [24] เรณู จนิ สกุล. (2552). “การพัฒนาผลการเรียนรเู ร่อื งพื้นทผ่ี ิวและปริมาตรของนกั เรียนช้นั มัธยม ศกึ ษาปท่ี 3 โดยจดั การเรียนรูตามแนวคอนสตรคั ติวสิ ซมึ รวมกบั เทคนิคกลมุ ผลสัมฤทธิ์ (STAD).” วิทยานพิ นธปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. [25] สุภาพร ทองนอย. (2557). “การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรอ่ื งรูปสเี่ หลี่ยม ความสามารถ ในการคิดวเิ คราะหแ ละแรงจูงใจใฝส มั ฤทธิ์ ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 6 ระหวางการจัดกจิ กรรม การเรยี นรูแบบกลมุ รว มมอื เทคนิค TGT และเทคนิค STAD.”วิทยานพิ นธปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. [26] รัชนี แกว มงุ . (2558). “การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนคณติ ศาสตร เรอ่ื ง เศษสว น โดยใชการเรียนรู แบบรวมมอื เทคนิค STAD ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาป ที่ 1 โรงเรยี นเตรยี มอุดมศึกษาพฒั นาการ.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลกั สตู รและการเรียนการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. [27] รัตนา บตุ รอุดม. (2559). “ผลการจัดการเรยี นรูแบบรว มมอื เทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการอานและ การเขียนภาษาไทย สาํ หรับนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 1 ทีใ่ ชภาษาถ่นิ ในชีวิตประจาํ วัน.” วิทยานพิ นธ ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลยั บรู พา. [28] สมเกยี รติ ผดงุ ทรัพยภ ญิ โญ. (2557). “ผลการใชเ อกสารประกอบการเรยี นรูเร่อื ง การปลูกผักสวนครัว ปลอดภยั จากสารพษิ โดยใชว ิธกี ารเรียนรแู บบรวมมือเทคนคิ STAD สาํ หรบั นักเรียนชั้นมัธยม ศกึ ษาปที่ 1.” วิทยานพิ นธป ริญญาครุศาตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรรี มั ย. [29] ชไมพร รังสิยานพุ งศ. (2558). “การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น พฤติกรรมการทาํ งานกลุมและเจตคติ ตอ การเรียนวชิ าคณติ ศาสตร เร่ืองความนา จะเปน ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 5/3 โรงเรียนอัมพวนั วิทยาลัย โดยใชวิธแี บง กลุมสมั ฤทธ์ิ STAD.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาวทิ ยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าคณิตศาสตรศึกษา บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
73 [30] สุรภา สีลารตั น. (2558). “การประเมนิ ความแตกตางประสบการณการเรยี นรู เร่ือง คําและหนา ท่ขี อง คําของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปท่ี 4 ระหวางการจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื ดวยเทคนิค STAD กับการ จัดการเรียนรูดวยวิธีปกติ.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจยั และประเมินผล การศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. [31] บตุ รญรัตน วนั โส. (2559). “การพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตรตามแนวทฤษฎี การสรา ง องคความรูด วยตนเองรวมกบั การเรียนรูแบบรว มมือ รปู แบบ STAD เรื่อง ทศนิยมและเศษสว น ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 1.” วิทยานิพนธปรญิ ญาครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. [32] แคทลยี า ใจมลู . (2549). “ผลการจดั การเรยี นรูโดยใชเทคนคิ STAD ในกลุม สาระการเรียนรูคณติ ศาสตร เร่ือง อตั ราสว นและรอ ยละ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 2 โรงเรยี นหวยสานยาววิทยา สํานกั งานเขตพืน้ ที่ การศกึ ษาเชียงราย เขต2.” วทิ ยานิพนธปริญญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย. [33] ศิริวรรณ วณชิ วัฒนวรชยั . (2558). วิธสี อนทั่วไป. นครปฐม: คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร. [34] สุวิทย มลู คํา. (2548). การสอนคดิ เชิงกลยุทธ. กรงุ เทพฯ : ดวงกมลสมยั . [35] สารสนิ เลก็ เจริญ. (2554). “การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนเรอ่ื งการเขียนสะกดคําของนักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปท ี่ 1 ทไ่ี ดรบั การสอนโดยการเรยี นแบบรวมมอื เทคนิค TGT กบั การสอนแบบปกต.ิ ” วทิ ยานพิ นธป ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. [36] ธนดั ดา คงมีทรพั ย. (2557). “การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตรและจติ วิทยาศาสตร เร่อื งระบบนิเวศของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 ทีไ่ ดรบั การจดั การเรียนรูตามรูปแบบการเรยี นรู แบบรว มมอื (เทคนิค TGT) กบั แบบปกติ.” วทิ ยานพิ นธปรญิ ญาครศุ าตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู ร และการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เทพสตรี. [37] กฤษกร สขุ อนันต. (2558). “การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรูว ิชาคณติ ศาสตร เรื่องเรขาคณติ ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 6 ระหวา งการจดั การเรียนรูแบบรวมมือเทคนคิ TAI และเทคนิค TGT.” วทิ ยานพิ นธป ริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราํ ไพพรรณ.ี [38] สุวทิ ย คาํ มลู และอรทัย มลู คํา. (2545). 19 วธิ ีการจดั การเรยี นรเู พือ่ พฒั นาทกั ษะ. กรุงเทพ: โรงพมิ พภ าพพมิ พ [39] รตั นา เจียมบุญ. (2540). “การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นและเจตคตติ อวิชาคณติ ศาสตร ของ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 4 ท่ีไดร ับการสอนโดยใชก ิจกรรมการเรยี นการสอน แบบรวมมอื ประกอบการ สอนแบบ Teams-Gamed-Tournament กับการสอนตามคมู อื คร.ู ” ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการมธั ยมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมติ ร. [40] เขมวนั ต กระดงั งา. (2554). “ผลการเรยี นดวยกระบวนกลมุ รวมกบั เวบ็ สนับสนุนการเรียนทีม่ ตี อ ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นและพฤตกิ รรมการทํางานกลุม วิชาการพฒั นาเว็บไซตเ บอื้ งตน นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 2.” ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีการศกึ ษา มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. [41] ศกุ ราวรรณทิชา เสาเวียง. (2556). “การเปรียบเทยี บกระบวนการในการทํางานกลุมและความสามารถในการ ทาํ งานกลมุ ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ 6 ที่ไดร ับการสอนโดยใชแ บบเรยี นอัตลกั ษณกับการสอนแบบเดมิ ใน กลุมสาระการเรียนรูก ารงานอาชพี และเทคโนโลยี.” ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒประสานมิตร. [42] สุรางคร ตั น พงษก ลิน่ . (2557). “การเปรียบเทียบผลการจดั การเรียนรกู ลุมสาระการเรยี นรูส ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแบบสบื เสาะหาความรูเ ปนกลมุ กบั แบบโครงงานที่มีตอ ความสามารถในการคิดวเิ คราะหและ ความสามารถในการทํางานกลุมของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปท ่ี 6.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการเรียนรู มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา.
74 [43] ณัฐกานต เจรญิ กลุ . (2557). “การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ทกั ษะการคดิ วิเคราะหและพฤตกิ รรมการทํางาน กลมุ กลมุ สาระการเรยี นรูส ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระท่ี 2 หนา ทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรมและการดําเนิน ชวี ติ ในสังคม ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปท ี่ 6 ดวยการจดั การเรียนการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคตวิ ิสต.” วิทยานิพนธป ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยขอนแกน. [44] ทิศนา แขมมณ.ี (2537). กลุมสัมพันธเ พือ่ การทํางานเปน ทีมและการจดั การเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. [45] เสาวภาคย เศรษฐศักดาศิริ. (2549). “การศกึ ษาผลการเรียนรูคณิตศาสตร เรือ่ ง เศษสวน ท่ีสอนดวยวธิ ี สอนแบบรวมมือกันเทคนิคกลุมแขง ขัน (TGT) และเทคนิคกลุมผลสมั ฤทธิ์ (STAD) ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 4.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการนิเทศ มหาวิทยาลัยศิลปากร. [46] ปรัชญา ละงู. (2560). “ผลการจัดการเรยี นรูร ายวชิ าชวี วิทยา เร่อื ง โครงสรางและหนาทขี่ องพชื ดอก ดว ยการ จัดการเรียนรแู บบวัฏจักรการเรยี นรู 5 ขั้น รว มกับแนวคิดการเรียนรูแบบรว มมอื ทมี่ ีตอผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น และความสามารถในการทํางานกลุม ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาวิทยาศาสตร มหาบัณฑติ สาขาวิชาชีววิทยาศึกษา มหาวิทยาลัยบรู พา. [47] สุจติ รา แกว หนองแสง. (2558). “การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหนว ยการเรียนรูก ารบวก การลบ การคณู ทศนยิ ม และพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที่ 5 จากการจัดการเรียนรูแบบรว มมือ เทคนิค STAD.” วทิ ยานพิ นธป ริญญาครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา. [48] วรดาการ ปรางสุข. (2560). “การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หนวยการเรยี นรู การรวมกลุม ทางเศรษฐกจิ และ พฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 3 จากการจดั การเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคจกิ ซอว รวมกับแผนผงั ความคิด.” วิทยานพิ นธปริญญาครศุ าสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. [49] กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2542). พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542. กรุงเทพฯ: บริษัทสยาม สปอรต ซินดเิ คท จํากดั . [50] บุญชม ศรสี ะอาด. (2553). การวิจยั เบือ้ งตน (พมิ พค รง้ั ท่ี 8). กรุงเทพฯ: สุวีริยสาสน [51] วสั รนิ ประเสริฐศร.ี (2544). “การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร เรื่อง เศษสวนของ นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปท ี6่ ทีส่ อนดวยการเรียนแบบรวมมอื กบั กับการ สอนตามแนวคมู อื คร.ู ” ปริญญานพิ นธ การศึกษามหาบณั ฑติ สาขาหลกั สูตรและการนิเทศ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. [52] บญั ชา ชินโณ. (2556). การพฒั นากิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชรปู แบบแบงกลมุ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสรา งตัวแบบเชงิ คณติ ศาสตร ท่ีสงผลตอ ความสามารถในการแกป ญ หาทาง คณิตศาสตร พฤติกรรมการทาํ งานกลุม และเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4.” วทิ ยานพิ นธปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร. [53] ภาคิน อนันตกิจบาํ รงุ . (2557). “การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เรือ่ ง สมการเชงิ เสน ตวั แปรเดยี ว ความสามารถในการใหเหตผุ ลทางคณิตศาสตร และเจตคตติ อ การเรียนวิชาคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ระหวา งการจัดการเรยี นรแู บบกลมุ รวมมอื STAD กับการจัดการเรียนรแู บบกลมุ รว มมอื TGT.” วทิ ยานพิ นธ ปรญิ ญาศึกษาศาตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. [54] ภาวินี อว นศรเี มอื ง. (2557). “การเปรยี บเทียบผลการเรียนเรอ่ื งระบบฐานขอ มลู ของนักเรียนทเี่ รียนดวยบทเรียน บนเวบ็ รว มกบั การเรยี นรแู บบ TGT และการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแบบ STAD ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5.” วิทยานพิ นธป รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยแี ละสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
75 [55] พรภทั ร สนิ ดี. (2557). “ ผลการจดั การเรียนรูแบบบูรณาการเชิงวธิ ีการท่ีเนนกระบวนการกลุมทีม่ ตี อ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร ความสามารถในการสอื่ สารทางคณิตศาสตรแ ละพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ เร่อื ง ลําดบั และอนุกรม ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5.” ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมธั ยมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒประสานมิตร. [56] มินตา ชนะสิทธ์ิ. (2558). “การเปรียบเทียบความสามารถในการแกปญ หาทางคณิตศาสตร ดวยการจัดการเรยี นรู แบบรว มมอื โดยใชเ ทคนิค STAD และเทคนคิ TAI ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 1.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญา ครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราํ ไพพรรณ.ี [57] ลียานา ประทีปวัฒนพนั ธ. (2558). “การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรเรื่องความนาจะเปน ของ นักเรียนหอ งเรยี นเรียน สสวท. ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 3 โดยการจัดการเรยี นรแู บบวัฏจกั รการเรียนรู 7E รว มกบั การ เรียนแบบ STAD.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าคณิตศาสตรศ ึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา. [58] อําภา บรบิ รู ณ. (2561). “การพฒั นาชุดการสอนคณติ ศาสตร โดยการเรียนรแู บบใชป ญหาเปนฐาน (PBL) และทีมแขง ขัน (TGT) ทเี่ สริมสรา งทกั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร เจตคติ และผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน สาํ หรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 3.” วทิ ยานิพนธปริญญาครศุ าสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. [59] Slavin, Robert E. (1990). Cooperative Learning : Theory, Research and Practice. New Jersey : Prentice - Hall. [60] Suyanto, Wardan. (1999). “The Effects of Student Team-Achievement Division on Mathematics Achievement in Yogyakata Rural Primary Schools (Indonesia),” Dissertation Abstracts International. 59(10) : 3766-A. [61] Tarim, Kamuran and Fikri Akdeniz. (2008). The Effects of Cooperative Learning on Turkish Elementary Students’ Mathematics Achievement and Attitude Towards Mathematics Using TAI and STAD Methods. Educational Studies in Mathematics. [62] มนตรี อนันตรกั ษแ ละคณะ. (2546). วิธกี ารทางสถิติสาํ หรบั วจิ ัย. มหาสารคาม : ภาควชิ าวิจัยการศึกษาคณะ ศึกษาศาสตร มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. [63] สุวทิ ย มลู คํา. (2547). กลยทุ ธก ารสอนคดิ เชงิ กลยุทธ. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พภ าพพิมพ. [64] อารี บัวศร.ี (2560). “ผลการจัดการเรยี นรูแบบรว มมือกนั ดวยเทคนิค TGT เร่ือง กฎเกณฑเบ้อื งตนเกยี่ วกับการนบั ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนโพธิสารพิทยากร.” วิทยานิพนธป รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง. [65] ศิริณา จา ทอง. (2560). “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง สมการเชิงเสนตัวแปร เดยี ว ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 ระหวา งการจัดการเรยี นรแู บบ TGT กบั แบบปกติ.” โรงเรยี นพรตพทิ ยพยตั .” วิทยานพิ นธปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคําแหง. [66] เพ็ญศริ ิ ศรีชมภ.ู (2559). “การศกึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร เรอ่ื ง ความนา จะเปน โดยการ จดั การเรียนรแู บบกลมุ รวมมอื เทคนิค STAD ขอนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สวุ ินทวงศ.” วทิ ยานพิ นธปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าคณติ ศาสตรศึกษา มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง. [67] ณฏั ฐช ญา อินพูลวงษ. (2559). “ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นคณิตศาสตร เจตคตติ อ คณิตศาสตร และพฤติกรรมการ ทํางานกลุมของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปท ่ี 6 ทเ่ี รยี นโดยการจดั การเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค STAD.” วิทยานิพนธป ริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัยบูรพา. [68] ธัญญลกั ษณ ศรีอนิ ทร. (2555). “ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนคณติ ศาสตรเร่ือง เสน ขนาน โดยวธิ ีการเรียนแบบรวมมอื เทคนิค TGT, STAD และ LT ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 2.” วิทยานิพนธป รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย.
76 ภาคผนวก
77 ภาคผนวก ก คณุ ภาพของเครอื่ งมือท่ใี ชใ นการวจิ ัย
78 ตาราง ก.1 คาดัชนีความสอดคลอ งของวตั ถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอแผนการจดั การเรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT แผนการจดั การเรยี นรทู ่ี 2 เร่ือง อัตราสวนและอัตราสว นท่เี ทากัน (TGT) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ช้ีวัด ผูเชี่ยวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลองกับจดุ ประสงคการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสําคญั สอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกับสาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคก ารเรียนรสู อดคลองกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคก ารเรยี นรูสอดคลอ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรยี นรู 5.1 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลอ งกับสาระสาํ คัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรยี นรูส อดคลองกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรยี นรูส อดคลองกับการวัดและการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สื่อ/แหลงการเรียนรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรยี นรสู อดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมินผลสอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม
79 ตาราง ก.2 คาดัชนีความสอดคลอ งของวตั ถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอ แผนการจดั การเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT แผนการจดั การเรียนรูท ี่ 4 เร่ือง อัตราสวนของจํานวนหลาย ๆ จาํ นวน (TGT) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรียนรูและตวั ช้ีวดั ผเู ช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลอ งกับจุดประสงคการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรยี นรสู อดคลอ งกบั สาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคการเรยี นรูส อดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคก ารเรียนรสู อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรยี นรู 5.1 กจิ กรรมการเรียนรูส อดคลอ งกบั สาระสําคัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกบั การวัดและการประเมนิ ผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. ส่อื /แหลงการเรยี นรู 6.1 สื่อ/แหลง การเรยี นรูสอดคลอ งกับกิจกรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกบั สาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั สาระการเรยี นรู 7.1 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม
80 ตาราง ก.3 คาดัชนีความสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนคิ TGT แผนการจัดการเรยี นรทู ี่ 7 เร่อื ง สัดสว น (TGT) รายการ ความคดิ เห็น 1. มาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด ผเู ช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลอ งกบั จดุ ประสงคก ารเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสาํ คัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกับสาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จดุ ประสงคการเรยี นรู 4.1 จุดประสงคก ารเรียนรูสอดคลองกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จุดประสงคก ารเรียนรสู อดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรยี นรู 5.1 กิจกรรมการเรียนรูสอดคลอ งกบั สาระสําคัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลองกับการวดั และการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สื่อ/แหลง การเรียนรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรียนรูสอดคลอ งกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวดั และการประเมินผลสอดคลอ งกับสาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั สาระการเรยี นรู 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม
81 ตาราง ก.4 คา ดัชนคี วามสอดคลองของวตั ถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ที่มีตอ แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค TGT แผนการจดั การเรียนรูท ี่ 9 เร่อื ง อัตราสวนและรอยละ (TGT) รายการ ความคิดเห็น 1. มาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวช้ีวดั ผเู ช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลอ งกบั จุดประสงคการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสาํ คญั 2.1 สาระสําคัญสอดคลอ งกบั สาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรียนรู 3.1 สาระการเรียนรูสอดคลอ งกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคการเรียนรสู อดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคก ารเรยี นรูส อดคลอ งกับกิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรียนรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรูสอดคลองกบั สาระสําคัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลองกบั การวัดและการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สอื่ /แหลงการเรียนรู 6.1 ส่ือ/แหลงการเรยี นรสู อดคลองกับกิจกรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลองกับสาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมินผลสอดคลองกับสาระการเรียนรู 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมินผล 0.95 เหมาะสม รวม
82 ตาราง ก.5 คาดัชนคี วามสอดคลอ งของวัตถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ที่มีตอแผนการจดั การเรยี นรูแ บบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT แผนการจดั การเรียนรูท ี่ 12 เรอื่ ง อัตราสวนและรอยละในชีวติ ประจําวนั (TGT) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรียนรูแ ละตวั ช้ีวัด ผูเ ชี่ยวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลองกับจุดประสงคการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรยี นรูสอดคลองกบั สาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จุดประสงคการเรยี นรู 4.1 จุดประสงคก ารเรยี นรสู อดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จุดประสงคการเรียนรสู อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรยี นรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลองกับสาระสําคัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรยี นรูสอดคลองกบั สาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลอ งกบั การวัดและการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. ส่อื /แหลงการเรยี นรู 6.1 สือ่ /แหลงการเรียนรูส อดคลองกับกิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมินผล 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลองกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลองกับสาระการเรยี นรู 7.1 การวดั และการประเมินผลสอดคลองกบั กิจกรรมการเรียนรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมินผล 0.95 เหมาะสม รวม
83 ตาราง ก.6 คา ดัชนคี วามสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ตี อ แผนการจัดการเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD แผนการจัดการเรียนรูท ่ี 2 เร่อื ง อัตราสว นและอตั ราสว นท่เี ทากัน (STAD) รายการ ความคิดเห็น 1. มาตรฐานการเรยี นรูแ ละตวั ช้ีวัด ผูเช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.2 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลองกบั จุดประสงคก ารเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรียนรู 3.1 สาระการเรยี นรูสอดคลอ งกบั สาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จดุ ประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคการเรยี นรสู อดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคการเรยี นรสู อดคลองกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรียนรู 5.1 กจิ กรรมการเรียนรูสอดคลองกบั สาระสาํ คัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กจิ กรรมการเรียนรูสอดคลองกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลองกับการวดั และการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. ส่อื /แหลง การเรียนรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรยี นรูส อดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมินผล 7.1 การวดั และการประเมินผลสอดคลอ งกบั สาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู 7.1 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม
84 ตาราง ก.7 คา ดัชนีความสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอแผนการจดั การเรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD แผนการจดั การเรียนรทู ่ี 4 เรือ่ ง อตั ราสว นของจาํ นวนหลาย ๆ จาํ นวน (STAD) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรียนรแู ละตวั ช้ีวัด ผูเชย่ี วชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.2 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลองกบั จุดประสงคก ารเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสาํ คัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกับสาระสําคญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จดุ ประสงคการเรยี นรู 4.1 จดุ ประสงคก ารเรียนรสู อดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคการเรยี นรสู อดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรียนรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกับสาระสาํ คัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลองกบั สาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กจิ กรรมการเรียนรูส อดคลอ งกับการวัดและการประเมนิ ผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สอ่ื /แหลงการเรยี นรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรยี นรสู อดคลองกับกิจกรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมินผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลอ งกับสาระสําคญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั สาระการเรียนรู 7.1 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลองกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมินผล 0.95 เหมาะสม รวม
85 ตาราง ก.8 คา ดัชนคี วามสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทมี่ ตี อแผนการจดั การเรียนรูแบบรว มมอื โดยใชเทคนคิ STAD แผนการจัดการเรียนรูท่ี 7 เรอ่ื ง สัดสว น (STAD) รายการ ความคดิ เห็น 1. มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ช้ีวัด ผเู ชย่ี วชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.2 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลอ งกับจุดประสงคก ารเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกบั สาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จุดประสงคก ารเรยี นรูสอดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคการเรียนรูส อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรยี นรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลองกับสาระสําคัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กจิ กรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกับการวดั และการประเมนิ ผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สือ่ /แหลงการเรียนรู 6.1 สื่อ/แหลง การเรยี นรสู อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลอ งกับสาระการเรียนรู 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269