Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัย2562

วิจัย2562

Published by tungme888, 2021-09-10 03:22:42

Description: วิจัย2562

Search

Read the Text Version

36 (6) ฝก ความเปนประชาธปิ ไตยใหแ กผเู รียน (7) ฝก ใหผเู รยี นมคี วามสามคั คี สุจิตรา แกวหนองแสง [47] ไดสรุปวา การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยการใหนักเรียนไดทาํ งานกลุม นัน้ จะกอใหเกิดประโยชนตอผเู รยี น ทั้งในดานปฏสิ ัมพันธ ความมีระเบียบวินัย ความคดิ สรางสรรค และความรับผิดชอบ ตองานทต่ี นเองไดรับมอบหมาย ทําใหประสบผลสําเร็จ ในการทํางานกลมุ รตั นา บุตรอุดม [27]ไดสรุปวา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนดวยการใหนักเรียนไดทํางานเปนกลุมน้ัน กอใหเกิดประโยชนตอผูเรียนทั้งในดานการปฏิสัมพันธสงเสริมความคิดริเริ่มสรางสรรคความมีระเบียบวินัยความ รับผิดชอบตองานในสวนท่ีไดรับมอบหมายและความรับผิดชอบตองานของกลุมตลอดจนเปนการสงเสริมประชาธิปไตย ใหแ กผูเรียน วรดาการ ปรางสขุ [48] ไดสรุปวา การจดั กิจกรรมการเรยี นรูทีใ่ หผเู รียนไดทํางาน กันเปนกลุมนัน้ จะทาํ ให เกิดประโยชนตอผูเรียน ทง้ั ในดา นการมีปฏสิ มั พนั ธที่ดีตอกัน สรา งความมีระเบยี บวนิ ัยในการทาํ งานรวมกับผอู ืน่ สง เสรมิ ความคดิ รเิ รมิ่ สรา งสรรค และความรับผดิ ชอบตองานในสวนทต่ี นเองไดร บั มอบหมาย และมคี วามรบั ผิดชอบตองาน ของ กลมุ ตลอดจนเปน การสงเสริมความเปน ประชาธปิ ไตยใหเ กดิ กับผเู รียนไดเ ปนอยา งดี จากประโยชนของการทํางานกลุมขางตน สรุปไดวา การจัดกิจกรรมเรียนการเรยี นรูโดยใหนักเรียนทํางานกลุม สงผลใหนักเรียนไดมีปฏิสัมพันธตอผูอื่น ความรับผิดชอบตอตนเองและผูอ่ืน ไดรวมทํางานกับผูอื่นเพื่อนําพากลุมไปสู ความสาํ เร็จ เพ่อื เปน พ้ืนฐานทดี่ ใี นการดํารงชีวิต และทํางานรวมกบั ผูอ ื่นในสังคมไดอ ยา งมปี ระสทิ ธภิ าพในอนาคต 6.4 การประเมนิ พฤตกิ รรมการทํางานกลุม กระทรวงศึกษาธิการ [49] กลาววา การประเมินความสามารถในการทํางานกลุม สามารถประเมินได 2 ลกั ษณะ คอื 1. การประเมินขณะปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งครูอาจใชวิธีการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนแต ละคนในขณะ ปฏิบตั งิ านรว มกับผอู น่ื ประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านของกลมุ และการประเมนิ ตนเอง ของนกั เรยี นแตละคน 2. การประเมินหลังส้ินสุดกิจกรรม โดยครูอาจใชวิธีการสังเกตการณเปลี่ยนแปลงของ พฤติกรรมในการ ทํางานรว มกับผอู ่ืน หรอื อาจใชวิธกี ารสัมภาษณนกั เรียนและผรู วมงาน หรืออาจ ใหน กั เรยี นรายงานผลการประเมินตนเอง บุญชม ศรีสะอาด [50] กลาววา เพื่อใหส ามารถสังเกตการณไ ดอ ยา งถูกตอง เหมาะสมควรมหี ลกั ดังน้ี (1) มีเปาหมายในการสังเกตท่ีแนนอน ผูวิจัยจะตองกําหนดขอบเขตของเร่ือง ท่ีจะสังเกตใหชัดเจน จะ สงั เกตอะไรบาง ในลกั ษณะใด เหตุการณใ ดทไ่ี มส อดคลอง ไมเ ก่ียวขอ งกบั เปา หมายก็ไมสังเกต (2) ทาํ การสงั เกตอยา งพนิ ิจพิเคราะห ถ่ีถวน มคี วามตัง้ ใจตลอดเวลาที่สังเกต ไมทาํ การสังเกตอยางผิวเผนิ (3) ในการบันทึกผลการสังเกต เพื่อใหไดขอมูลที่ถูกตองควรทําการบันทึก การสังเกต ไมควรท้ิงไวนาน เพราะจะทําใหลมื ได (4) พยายามสังเกตใหไ ดข อ มลู จาํ นวนมาก (5) ศกึ ษาทฤษฎที จ่ี ะชวยในการศึกษาความสัมพนั ธร ะหวา งเหตุการณแ ละ ขอมลู ประเภทนน้ั (6) กอ นการสังเกตการณจรงิ ควรฝก การสงั เกตการณแ ละบันทกึ เหตกุ ารณ ดา นที่สําคัญท่ีควรฝก ไดแก (6.1) เทคนคิ การระลกึ ความจาํ อยางเปนระบบ (6.2) การใหความสนใจในส่ิงหรือเหตุการณท่ีมกั มองขาม (6.3) การสงั เกตการณตามเปาประสงค

37 (6.4) การหยงั่ รหู รอื ความสามารถในการมองเห็นไดอยางทะลปุ รุโปรง (6.5) ความเปนกลางหรอื เปน ปรนัย (6.6) ประเภทของพฤตกิ รรมและรหัสประจําประเภทพฤตกิ รรม (7) ในการสังเกตการณบ างอยา งจาํ เปน ตองสงั เกตหลายคร้ัง จึงสามารถ สรปุ ผลออกมาได (8) กําหนดระยะเวลาในการสังเกตใหแ นนอน (9) วางตัวเปนกลาง บันทึกเหตุการณต ามการรับรอู ยา งเปนปรนยั (objectivity) ณัฐกานต เจรญิ กุล [43] ไดส รปุ วา การวัดพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ สามารถทําได โดยการสงั เกตและตอง มีเคร่ืองมือเพือ่ ทาํ การบันทกึ ขอมูลจากการสงั เกต ซ่ึงในการวิจยั คร้ังน้ี ผูว ิจยั ใชแบบวัดพฤติกรรมการทํางานกลมุ สังเกต การกระทําหรือการแสดงออกของนักเรียนแตละกลุม ในขณะการทํางานกลุม ซึ่งผูวิจัยไดสรางแบบสังเกตพฤตกิ รรมการ ทํางาน กลุม 4 ดา น คอื (1) ดา นการแสดงความคิดเหน็ ในการทาํ งานกลมุ (2) ตา นการรบั ผิดชอบงานกลุม (3) ดานการสรางบรรยากาศในการทํางานกลุม (4) ดานการใหค วามชวยเหลือเพอ่ื นในการทํางานกลมุ สจุ ิตรา แกวหนองแสง [47] ไดสรุปวา การวดั พฤติกรรมการทํางานกลุม เปนวิธีการท่ีสามารถไดรับขอมูล โดยตรงจาก การแสดงพฤติกรรมของนกั เรยี น ซ่งึ เปนการเก็บรวบรวมขอมลู อยา งงาย ผสู ังเกตควรกําหนด ประเด็นในการ สังเกต ซึ่งจะไดผลดีข้ึนอยูกับความตั้งใจ ประสาทสัมผัส การรับรูของผูสังเกต โดยสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของ นักเรียนแตละกลุม โดยวัดพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ 3 ดาน ดังน้ี 1) ความรับผิดชอบในการทํางานกลุม 2) การใหความ ชว ยเหลอื เพ่ือนในกลุมในการทํางาน การมีสวนรวมในการแสดงความคิดเห็น 3) ดา นการแสดงความ คิดเห็นขณะทํางาน กลุม ซง่ึ มีการใหคะแนนแบบ Rubric จากการประเมินพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ขางตน สรุปไดวา การประเมินพฤติกรรมกลมุ สามารถประเมนิ ได ท้ังขณะปฏบิ ัตกิ ิจกรรม หรือหลงั ส้ินสดุ กจิ กรรม สามารถทําได โดยการสังเกตและตอ งมีเครอ่ื งมือเพอื่ ทําการบันทึกขอมูล จากการสงั เกต ผูสงั เกตควรกําหนดพฤติกรรมที่ตองการสังเกต ซ่ึงในการวิจัยคร้ังนี้ ผวู ิจัย ใชแบบประเมินพฤติกรรมการ ทาํ งานกลุม โดยสงั เกตการกระทํานักเรียนแตละกลุม ในขณะการทํางานกลุม ซ่ึงผวู จิ ัยไดสรางแบบประเมินพฤตกิ รรมการ ทาํ งาน กลุม 5 ดาน คอื 1)ความรบั ผดิ ชอบตอหนาที่ 2)ความกระตือรือรนในการทาํ กิจกรรม 3)การใหความรว มมือในการ ทํางาน 4)การแลกเปลยี่ นเรยี นรู 5)บรรยากาศและสมั พนั ธภาพที่ดี 7. งานวิจยั ที่เกีย่ วขอ ง 7.1 งานวิจัยภายในประเทศ วัสริน ประเสริฐศรี [51] ไดศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองเศษสวนของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปท่ี 6 ท่ีสอนดวยการเรียนแบบรวมมือกันโดยใชกิจกรรมการเรียน แบบกลุมแขงขัน (TGT) และแบบกลุม สมั ฤทธิ์ (STAD) กับการสอนตามแนวคมู ือครูพบวาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน (posttest) วิชาคณิตศาสตร เร่ือง เศษสวนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 ทีส่ อนดวยการเรียนแบบรวมมือกันโดยใชกจิ กรรมการเรียนแบบกลุมแขงขัน (TGT) และแบบกลุมสัมฤทธิ์ (STAD) กับการสอน ตามแนวคูมือครูแตกตางกันอยางมีนัยยะสําคัญที่ระดับ 0.01 มีคา

38 คะแนนเฉลี่ยของคะแนนหลังเรียนที่สอนดวยการเรียนแบบรวมมือกันโดยใชกิจกรรมการเรียน แบบกลุมแขงขัน (TGT) และแบบกลุม สัมฤทธ์ิ (STAD) สูงกวาคาเฉลีย่ ของคะแนนหลังเรียนของนักเรียนท่สี อนตามแนวคูมือครู บัญชา ชินโณ [52] ไดศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชรูปแบบแบงกลุม ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณิตศาสตร ที่สงผลตอความสามารถในการแกปญหาทาง คณิตศาสตร พฤติกรรมการทํางานกลุม และเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 พบวา ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชร ูปแบบแบงกลมุ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสราง ตวั แบบเชิงคณติ ศาสตร มีคาเทากับ 72.46/71.44 แผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชรูปแบบ แบงกลุมผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รว มกับกระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณิตศาสตรมีดัชนีประสิทธิผล เทา กับ 0.604 นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 4 ท่ไี ดร ับการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใช รูปแบบแบงกลมุ ผลสมั ฤทธ์ิ (STAD) รวมกับกระบวนการสรา งตัวแบบ เชิงคณิตศาสตรมี ความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตรผานเกณฑรอยละ 65 ขึ้นไปอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ ท่รี ะดบั .05 นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 ท่ีไดรับการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชรปู แบบแบงกลุมผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รวมกบั กระบวนการสรา งตวั แบบเชิงคณิตศาสตรมี ความสามารถในการแกปญหาทางคณติ ศาสตรหลงั เรยี นสูงกวา กอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 ท่ีไดรับการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ รวมมอื โดยใชรปู แบบแบง กลมุ ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รวมกับกระบวนการสรา งตัวแบบเชิงคณิตศาสตรม พี ฤตกิ รรมการทาํ งาน กลุมอยใู นเกณฑร ะดับดีข้นึ ไปอยางมีนัยสําคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 นกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 ท่ไี ดรับการจัดกจิ กรรม การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชรูปแบบแบงกลุมผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณิตศาสตรมีเจต คติตอ วิชาคณิตศาสตรหลังเรียนสูงกวากอ นเรียน อยางมีนัยสาํ คัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 4 ที่มีความสามารถทางการเรียนตางกันหลังไดรับการจัดการกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชรูปแบบแบงกลุม ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) รว มกบั กระบวนการสรางตัวแบบเชิงคณติ ศาสตรม ีความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตรและ เจตคติตอ วชิ าคณิตศาสตรแ ตกตา งกนั อยา งมีนัยสาํ คัญทางสถิติที่ระดับ .05 ภาคิน อนันตกิจบํารุง [53] ไดศึกษาเก่ียวกับการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง สมการเชิง เสนตัวแปรเดียว ความสามารถในการใหเหตุผลทางคณิตศาสตร และเจตคติตอการเรียนวิชาคณิตศาสตร ชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 ระหวางการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD กับการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ TGT ผลการวิจัยพบวา 1. การจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD และแบบกลุมรวมมือ TGT กลุมสาระ การเรียนรู คณิตศาสตร เรื่อง สมการเชิงเสน ตัวแปรเดียว ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เทากับ 77.78/77.47 และ 77.49/77.80 ตามลําดบั 2. ดัชนีประสิทธิผลการเรียนรูของนักเรียนท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรแู บบกลมุ รวมมือ STAD มี คา เทากับ 0.6038 หรอื คดิ เปนรอยละ 60.38 และการจดั การเรียนรูแ บบกลุมรวมมือ TGT มคี า เทากับ 0.5969 หรือคิด เปนรอยละ 59.69 3. นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 1 ทเ่ี รยี นดวยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD และการจัดการ เรียนรูแบบกลุมรวมมือ TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และเจตคติตอการเรียนวิชา คณิตศาสตรไมแตกตางกัน แต นกั เรียนท่เี รียนดวยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรว มมอื TGT มีความสามารถในการใหเหตผุ ลทางคณิตศาสตรสูงกวาที่เรียน ดวยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ STAD อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 โดยสรุป การจัดการเรียนรูทั้งสอง รปู แบบมปี ระสทิ ธิภาพเหมาะทจ่ี ะนาํ ไปใชเสรมิ สรา งเจตคติ ตอ การเรียนวชิ าคณติ ศาสตร สวนกจิ กรรมการเรยี นรแู บบกลุม รว มมือ STAD และกิจกรรมการเรยี นรู แบบกลุมรว มมอื TGT เหมาะที่จะนําไปใชพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน และการ ใหเหตุผลทาง คณติ ศาสตรของผูเรยี น ตามลาํ ดบั

39 ภาวินี อวนศรีเมอื ง [55] ไดศึกษาเกี่ยวกบั การเปรยี บเทียบผลการเรียน เรือ่ ง ระบบฐานขอมูล ของนกั เรยี น ทเ่ี รียนดวยบทเรียนบนเว็บรวมกบั การเรียนรูแบบ TGT และการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ STAD ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1. บทเรียนบนเว็บรวมกับการเรียนรูแบบ TGT เร่ืองระบบฐานขอมูลชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 5 มี ประสิทธิภาพ เทากับ 82.06/80.08 เปนไปตามเกณฑที่กําหนด 2. คาดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนบนเว็บรวมกับการ เรียนรูแบบ TGT เร่ืองระบบ ฐานขอมูลชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 เทากับ 0.6244 หรือคิดเปนรอยละ 62.44 3. ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนการคดิ วิเคราะห ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 5 ท่ีเรียน ดวยบทเรยี นบนเว็บรว มกบั การเรียนรูแบบ TGT เรื่องระบบฐานขอมลู ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 5หลังเรียน สูงกวา กอ นเรียน อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01 4. ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 ท่ีเรียนดวยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ STAD เรื่องระบบฐานขอมูล หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5. นักเรียนกลุมท่ีเรียนดวย บทเรียนบนเว็บรวมกับการเรียนรูแบบ TGT และกลุมท่ีเรียน ดวยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ STAD เร่ืองระบบ ฐานขอมูลชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน การคิดวิเคราะหแตกตางกัน 6. นักเรียนกลุมท่ีเรียนดวย บทเรียนบนเวบ็ รวมกับการเรยี นรแู บบ TGT มีความพึงพอใจ โดยรวมอยใู นระดับความพึงพอใจมากท่สี ดุ พรภทั ร สินดี [55] ไดศกึ ษาผลการจัดการเรียนรแู บบบรู ณาการเชิงวิธีการท่ีเนน กระบวนการกลุมทมี่ ีผลตอ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร ความสามารถในการสอ่ื สารทาง คณิตศาสตรและพฤติกรรมกลุม เร่ืองลําดับและ อนุกรม ของนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 5 พบวา 1) ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาป ที่ 5 ทไ่ี ดร ับการจัดการเรยี นรู แบบบูรณาการเชงิ วิธกี ารที่เนนกระบวนการกลมุ เรื่องลําดับและอนุกรม สูงกวาเกณฑรอย ละ 70 อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ .05 โดยมีคะแนนเฉล่ีย 22.18 คะแนนคิดเปนรอยละ 73.93 2) ความสามารถในการ สื่อสารคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบบูรณาการเชิงวิธีการท่ีเนน กระบวนการกลมุ เรือ่ งลาํ ดับและอนุกรม สงู กวา เกณฑร อยละ 70 อยา งมนี ัยสาํ คัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 โดยมคี ะแนนเฉล่ีย 14.98 คะแนน คิดเปนรอ ยละ 74.90 3) นักเรียนไดรับการจัดการเรียนรูแบบบูรณาการที่เนนกระบวนการกลุมมีผลการ ประเมินพฤตกิ รรมการ ทํางานกลมุ อยูในเกณฑด มี ากจํานวน 17 คน คดิ เปน รอยละ 38.64 กฤษกร สุขอนันต [37] ไดศึกษาผลการการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เร่ือง เรขาคณิต ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 6 ระหวางการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค TAI และเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบวา 1) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 6 กลุมที่ไดรับการจัดการเรียนรู แบบรวมมือเทคนิค TAI มผี ลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน หลงั เรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดบั .05 2) นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที่ 6 กลุมท่ี ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 กลุมที่ไดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TAI และ กลุม ทีไ่ ดรบั การจดั การเรียนรแู บบรว มมอื เทคนิค TGT มีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นไมแตกตา งกนั มนิ ตา ชนะสทิ ธิ์ [56] การเปรียบเทยี บความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตร ดว ยการจัดการเรยี นรู แบบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค STAD และเทคนคิ TAI ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 1 ผลการวจิ ยั พบวา 1) ความสามารถใน การแกป ญหาทางคณติ ศาสตร เรอื่ ง สมการเชงิ เสน ตวั แปรเดยี วของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โดยใชก ารจดั การเรียนรู แบบรวมมือ โดยใชเทคนิค TAI สูงกวาเทคนิค STAD อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คณิตศาสตร เร่ือง สมการเชิงเสนตัวแปรเดยี วของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 1 โดยใชการจัดการเรียนรูแบบ รวมมือโดย ใชเทคนิค TAI สงู กวาเทคนิค STAD อยา งมนี ยั สําคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ลยี านา ประทีปวัฒนพันธ [57] การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตร เรื่อง ความนาจะเปน ของ นักเรียนหองเรียน สสวท.ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 3 โดยการจัดการเรียนรูแบบวัฏจักรการ เรียนรู 7E รวมกับการเรียนแบบ STAD ผลการวจิ ยั พบวา 1) แผนการจัดการเรียนรูแบบวัฏจักรการเรียนรู 7E รว มกับการเรยี น แบบ STAD ที่สรางขึ้นมี

40 ประสิทธภิ าพ 82.87/7758 ซงึ่ สอดคลองตามเกณฑท่ีกาํ หนดไว 2) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลีย่ เทา กบั 20.17 ซ่ึง สูงกวาเกณฑผานเฉลี่ยรอยละ 50 ของคะแนน ที่ถูกหักออกจากการทดสอบกอนเรียน (16.13 คะแนน) และ 3) เมื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉล่ียกับเกณฑรอยละ 75 (19.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 26 คะแนน) นักเรียนได คะแนนเฉล่ยี คดิ เปน รอ ยละ 77.58 (20.17 คะแนน) ซึง่ ไมส ูงกวา เกณฑที่กาํ หนดไวอ ยา งมีนัยสําคัญทางสถิตทิ ่ี ระดับ 0.05 รตั นา บุตรอุดม [27] ไดศ ึกษาผลการผลการจัดการเรียนรแู บบรว มมือเทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการ อา นและเขียนภาษาไทย สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท ี่ 1 ท่ีใชภาษาถ่ินในชวี ิตประจําวัน ผลการวิจัยปรากฏวา 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการอานออกเสียงภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 1 ท่ีใชภาษาถ่ินในชีวิตประจําวันหลังการ จดั การเรยี นรูแบบรวมมอื เทคนิค TGT โดยใชชดุ ฝกทกั ษะการอานและเขยี น ภาษาไทยสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสาํ คัญ ทางสถิติท่ีระดับ .01 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 1 ที่ใชภาษาถ่ิน ใน ชีวิตประจําวัน หลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการอานและเขียนภาษาไทยสําหรับ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 1 ที่ใชภาษาถิ่นในชีวิตประจําวัน สูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1 ท่ีใชภาษาถิ่นในชีวิตประจําวันหลังการจัดการเรียนรู แบบรวมมือเทคนิค TGT โดยใช ชดุ ฝกทกั ษะการอานและเขยี นภาษาไทยมีพฤตกิ รรมการทํางานกลุม อยูในระดับสงู มาก จรรยา หารพรม [4] ไดศกึ ษาผลการเปรียบเทียบผลการเรียนรูคณิตศาสตร เรื่องโจทยปญหาการบวกการ ลบ การบวกลบระคน พัฒนาการพฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนในการจดั การเรียนรูแบบ STAD รวมกับ KWDL และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 3 ผลการวิจัยพบวา ผลการเรียนรูหลังการจัดการเรียนรูเร่ือง โจทยปญหาการบวก การลบ การบวกลบระคน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท่ี 3 ท่ีจัดการเรียนรูแบบ STAD รวมกับ KWDL หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 พฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 3 ท่ีจัดการเรียนรูแบบ STAD รวมกัน KWDL มีพัฒนาการสูงขึ้นทุกดานโดยภาพรวมพัฒนาการ พฤติกรรมการทํางานกลุมสูงข้ึนจากระดับปานกลางในสัปดาหที่ 1 เปนระดับมากในสัปดาหที่ 2 และสัปดาหที่ 3 ตามลาํ ดับ ความคิดเห็นของนักเรียนทมี่ ตี อ การจัดการเรยี นรูแ บบ STAD รว มกับ KWDL โดย ภาพรวมอยูในระดบั เหน็ ดว ย มาก เมื่อพิจารณาเปน รายดานพบวา นักเรียนมีความคิดเห็นอยูในเกณฑเหน็ ดว ยมากทุกดาน ซึ่งเรียงตามลําดบั จากมากไป นอ ยไดด งั น้ี ดา นการจดั กิจกรรมการเรยี นรู ดานบรรยากาศในการจัดการเรยี นรู และดา นประโยชนท่ไี ดร ับ อําภา บรบิ ูรณ [58] ไดศึกษาผลการการพฒั นาชดุ การสอนคณติ ศาสตรโดยการเรียนรูแบบใชปญ หาเปน ฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) ทีเ่ สริมสรางทักษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร เจตคติ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสําหรับ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 ผลการวจิ ัยพบวา 1. ประสทิ ธิภาพของชุดการสอนคณิตศาสตรโ ดยการเรียนรแู บบใชป ญหา เปน ฐาน (PBL) และทีมแขง ขัน (TGT) มีประสทิ ธภิ าพเทากับ 76.95/ 76.81 ซง่ึ สงู กวา เกณฑ 75/75 ท่ีกาํ หนดไว 2. ทักษะ กระบวนการทางคณิตศาสตรของนกั เรียนทีเ่ รียนดว ยชุดการสอนคณิตศาสตร โดยการเรียนรูแบบใชปญหาเปนฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) หลังเรยี นสูงกวา กอ นเรียนอยา งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท่รี ะดับ .05 3. เจตคติของนักเรยี น ท่ีเรยี นดวย ชุดการสอนคณิตศาสตรโดยการเรียนรูแบบใชปญหาเปนฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยา งมีนยั สําคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 4. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนทเ่ี รยี นดวยชุดการสอนคณิตศาสตรโ ดยการ เรียนรแู บบใชป ญ หาเปนฐาน (PBL) และทีมแขงขัน (TGT) หลังเรียนสงู กวา กอนเรียนอยางมีนัยสาํ คัญทางสถิติท่ีระดบั .05 5. ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตรเจตคติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีระดับความสามารถในการคิด วเิ คราะหแตกตา งกนั (สูง ปานกลาง และตํ่า) หลังเรียนดวยชดุ การสอนคณิตศาสตรโดยการเรียนรูแบบใชปญ หาเปนฐาน (PBL) และทมี แขง ขัน (TGT) ไมแ ตกตา งกัน

41 7.2 งานวจิ ยั ตางประเทศ Slavin [59] ไดทดลองเพื่อศึกษาเทคนิค STAD กับนักเรียนเกรด 7 ที่ตาง เช้ือชาติและสีผิว โดยใชกลุม ตัวอยางเปนผูเรียนชั้นประถมศกึ ษา เปนผเู รยี นผวิ ขาว 25 คน และ ผเู รียนผิวสี 37 คน ผูเรียนในกลุมทดลองใชการเรียน ดวยเทคนิค STAD มีการใหรางวัลเปนทีม สวนผูเรียนในกลุมควบคุมใชวิธีการเรียนแบบปกติทั้งชั้นมีการใหรางวัลเปน รายบุคคล พบวาผูเรียนผิวสีในกลุมทดลองเรียนรูไดดีกวาผูเรียนผิวขาวในกลุมควบคุม และผูเรียนในกลุมทดลองมี สัมพนั ธภาพระหวางผูเรยี นท่ีตางชาตสิ ผี วิ ดีกวา ผเู รียนในกลมุ ควบคุม Suyanto [60] ไดศึกษาผลการเรยี นรแู บบรวมมือ โดยใชเ ทคนคิ STAD ท่ีมีตอผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวชิ า คณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาในเขตยอกยาการตา ประเทศอินโดนิเซีย กลุมตัวอยางเปนนักเรียนเกรด 3 เกรด4 เกรด 5 จํานวน 664 คน จาก 30 หอ งเรียนใน 10 โรงเรยี น ผูวิจัยแบงนกั เรียนออกเปน 2 กลุม คือ กลมุ ทดลอง และกลุม ควบคุม โดยกลุมทดลอง จํานวน 5 โรงเรียน ไดรับการสอนโดยใชเทคนิค STAD และกลุมควบคุม จํานวน 5 โรงเรียน ไดรบั การสอนแบบปกติ สถิติที่ใชในการทดสอบคอื ANOVA ผลการวิจยั พบวา นักเรียนท่ไี ดร ับการสอนโดยใช เทคนิค STAD มีผลสัมฤทธ์ิทางเรียนสูงกวานักเรียนที่ไดรับการสอนแบบปกติ อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบระหวางช้ันเรียน พบวา นักเรียนเกรด 3 และเกรด 5 ของกลุมนักเรียนที่ไดรับการสอนโดยใชเทคนิค STAD มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวา นกั เรียนเกรด 3 และเกรด 5 ท่ไี ดรบั การสอนแบบปกติ อยางมีนยั สาํ คัญทางสถติ ิที่ ระดบั .05 Tarim and Akdeniz [61] ไดศึกษาผลการเรียนรูเก่ียวกับการจัดกระบวนการเรียนการสอนซึ่งเนนการ เรียนแบบกลุมรวมมือในรายวิชาคณิตศาสตร ผลการวิจัยพบวาจากการสุมตัวอยางนักเรียนในหองมาประมาณ 7 คน ไดทําการทดลองแบบกลุมรวมมือระหวางแบบ TAI กับแบบ STAD ปรากฏวามีนัยสําคัญทางสถิติท่ี .03 และ .04 ตามลาํ ดับ ซึง่ จากการทดลองการเรยี นแบบกลมุ รวมมือ พบวา นักเรยี นเกิดการเรยี นรูท่ีคงทนถาวร จากการศกึ ษาเอกสารงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ งดงั กลา วขางตนพบวา 1. การจดั กิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และเทคนิค TGT เปนการจัดการเรียนรูท่ีมี ความคลายคลึงกัน คือ เนนผูเรียนเปนสําคัญ นักเรียนในกลุมไดแสดงความสามารถของตนเอง ชวยเหลือซ่ึงกันและกัน ภายในกลุมมีปฏิสัมพันธก นั สง เสรมิ ใหน ักเรียนทมี่ ีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสงู ชวยเหลอื นักเรียนท่มี ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ต่าํ 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และเทคนิค TGT สงผลใหนักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขึ้น และสงเสริมพฤติกรรมการทํางานกลุม ของนักเรียน ทจี่ ะเปนพื้นฐานในการเรียนในระดับท่ี สงู ขึ้น และการดํารงชีวิตรวมกบั ผอู น่ื ในสังคม ดวยเหตุน้ีผูวิจัย จึงสนใจท่ีจะนํารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และ เทคนิค TGT มาใชในการจัดกิจกรรมการเรียนรูกลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร เรื่อง สมการเชิงเสนตัวแปรเดียว ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที่ 1 เพอ่ื จะไดน ําผลจากการวิจยั ไปใชพฒั นากระบวนการจัดการเรียนการสอนใหมปี ระสิทธิภาพตอ ไป

42 บทที่ 3 วิธีดาํ เนนิ การวิจยั การวิจัยเร่ือง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง อัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการ เรียนแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT กบั การเรยี นแบบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD เปน การวิจยั เชงิ ทดลอง Experimental Research โดยมีวัตถปุ ระสงค 1)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปท ี่ 1 ท่ไี ดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD 2)เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ี ไดรับการจดั การเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนคิ TGT ท้ังกอนและหลังการทดลอง 3)เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนวชิ าคณิตศาสตรเ ร่ืองอัตราสวน ของนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรบั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับเกณฑรอยละ 70 4)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ท้ังกอนและหลังการทดลอง 5)เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรับการจัดการ เรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD กบั เกณฑร อยละ 70 6)เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนท่จี ัดการ เรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ผูวิจัยไดดําเนนิ การวิจัยตาม รายละเอียดดังตอ ไปน้ี ขน้ั เตรยี มการวจิ ยั ประชากรและกลมุ ตวั อยาง ประชากร ไดแก นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวดั นนทบุรี ปก ารศกึ ษา 2562 จํานวน 8 หองเรยี น รวม 350 คน กลุมตัวอยาง ไดแก นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 โรงเรียนปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2562 จํานวน 2 หองเรียน รวม 88 คน ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT จํานวน 44 คน และ ไดร ับการจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนคิ STAD จาํ นวน 44 คน ไดมาโดยการสมุ แบบเจาะจง ตัวแปรท่ีศึกษา ไดแก 1. ตัวแปรตน คอื 1.1 การจดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ TGT 1.2 การจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค STAD 2. ตวั แปรตาม คือ 2.1 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเ ร่ือง อตั ราสว น 2.2 พฤติกรรมการทํางานกลุมของนักเรียนท่ีจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการ เรียนรูโดยใชเ ทคนคิ STAD ระยะเวลา ดําเนินการทดลองวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2562 โดยใชเวลาทดลองกลุมละ 12 คาบ จาํ นวน 3 คาบตอสปั ดาห เปนระยะเวลา 4 สัปดาห

43 เครือ่ งมอื ที่ใชวิจัย ผูว จิ ัยไดกําหนดเครอ่ื งมอื ท่ีใชในการวิจยั โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ 1. แผนการจัดการเรยี นรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT เรอ่ื ง อัตราสวน จาํ นวน 5 แผน 2. แผนการจดั การเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเทคนคิ STAD เรอื่ ง อัตราสว น จํานวน 5 แผน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนกอนและหลังเรียนเร่ือง อัตราสวน ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 1 เปน แบบทดสอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 20 ขอ 4. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุมของนกั เรียน การสรางและการหาประสทิ ธิภาพเคร่อื งมอื 1. แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ TGT เร่อื ง อัตราสว น มีขั้นตอนในการสรางและตรวจสอบ คณุ ภาพดงั นี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุม สาระการเรียนรูคณิตศาสตร และศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ดกลุมสาระการเรียนรู คณิตศาสตรเ พื่อทาํ ความเขาใจเก่ียวกบั จุดประสงคสาระสําคญั หลักการและเนื้อหาเพอ่ื เปน แนวทางใน การจดั กจิ กรรมการเรียนรู 2. ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวิจยั ท่เี กี่ยวของ กรอบแนวคิด ในการสรางและ พฒั นา แผนการจดั การเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT 3. สรา งแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ TGT เรื่อง อตั ราสวน ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษา ปท่ี 1 จาํ นวน 5 แผน 4. นําแผนการจัดการเรียนรูท่ีจะสรางข้ึนเสนอตออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธเพ่ือพิจารณาตรวจสอบ ความถูกตองและความเหมาะสมของเน้ือหากิจกรรมการเรียนรูการวัดผลและประเมินผลและนํามา ปรบั ปรุงแกไ ขตามคําแนะนาํ 5. นําแผนการจัดการเรียนรูที่ปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทา นซึ่งเปนผเู ชยี วชาญในดาน เน้อื หาและการวัดประเมนิ ผลตรวจความถูกตองความเท่ียงตรงเชิงเนอื้ หา (Content validity) แนะนํา ผลการ ตรวจสอบมาหาคา ดัชนคี วามสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC ) 6. ปรับปรุงแกไ ขตามขอเสนอแนะท่ีไดรบั จากผูเช่ียวชาญ เพ่ือใหไดแผนการจัดการเรียนรแู บบรวมมอื โดย ใชเ ทคนิค TGT เรอื่ ง อตั ราสว น ทีม่ คี วามสมบรู ณแ ละนาํ ไปใชกบั นกั เรียนกลุมเปา หมายตอไป

44 ขน้ั ตอนการสรางแผนการจดั การเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเทคนคิ TGT เร่ือง อตั ราสวน สรุปไดด งั น้ี ขน้ั ที่ 1 ศึกษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุมสาระการเรยี นรูคณิตศาสตร และศึกษาหลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ด ขัน้ ที่ 2 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วของ ข้นั ท่ี 3 สรา งแผนการจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT เรื่อง อัตราสวน ขั้นที่ 4 นําแผนการจัดการเรียนรูทจ่ี ะสรา งข้นึ เสนอตออาจารยทีป่ รึกษาวิทยานิพนธเพอ่ื พิจารณาตรวจสอบ ความถกู ตอ งและความเหมาะสมของเน้ือหา ขน้ั ที่ 5 นําแผนการจดั การเรียนรูทปี่ รับปรงุ แกไขแลว ไปใหผ ูเชย่ี วชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบหาคา ดัชนี ความสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC ) ข้ันที่ 6 ปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะทไี่ ดรับจากผเู ชี่ยวชาญ นาํ ไปใชในการวิจยั แผนภาพที่ 3.1 แสดงข้ันตอนการสรา งแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT เรื่อง อัตราสวน 2. แผนการจดั การเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ือง อตั ราสวน มีข้ันตอนในการสรางและตรวจสอบ คณุ ภาพดงั นี้ 1. ศกึ ษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)กลุมสาระ การเรียนรูคณิตศาสตร และศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ดกลุมสาระการเรียนรู คณติ ศาสตรเ พื่อทําความเขาใจเกย่ี วกบั จุดประสงคสาระสําคญั หลักการและเนือ้ หาเพอ่ื เปนแนวทางใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู 2. ศกึ ษาแนวคิดทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวิจัยที่เกีย่ วของ กรอบแนวคดิ ในการสรางและ พฒั นา แผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ STAD 3. สรางแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ือง อัตราสวน ของนักเรียน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 1 จํานวน 5 แผน 4. นําแผนการจัดการเรียนรูที่จะสรางขึ้นเสนอตออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธเพ่ือพิจารณาตรวจสอบ ความถูกตองและความเหมาะสมของเน้ือหากิจกรรมการเรียนรูการวัดผลและประเมินผลและนํามา ปรบั ปรุงแกไ ขตามคาํ แนะนํา 5. นําแผนการจัดการเรียนรูท่ีปรับปรุงแกไ ขแลวไปใหผเู ช่ยี วชาญจํานวน 3 ทา นซง่ึ เปนผเู ชยี วชาญในดาน เนอ้ื หาและการวัดประเมนิ ผลตรวจความถูกตองความเที่ยงตรงเชิงเน้อื หา (Content validity) แนะนํา ผลการ ตรวจสอบมาหาคา ดชั นีความสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC )

45 6. ปรับปรุงแกไขตามขอเสนอแนะที่ไดรับจากผูเชี่ยวชาญ เพื่อใหไดแผนการจัดการเรียนรู แบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ือง อัตราสวน ที่มีความสมบูรณ และนําไปใชกับนักเรียน กลมุ เปา หมายตอไป ขั้นตอนการสรา งแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD เรอื่ ง อัตราสว น สรุปไดด ังน้ี ขนั้ ท่ี 1 ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) กลุมสาระการเรียนรคู ณิตศาสตร และศกึ ษาหลักสตู รสถานศึกษาโรงเรยี นปากเกรด็ ข้ันที่ 2 ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี หลักการเอกสารจากตําราและงานวจิ ัยที่เก่ียวขอ ง ขั้นท่ี 3 สรา งแผนการจัดการเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD เร่อื งอตั ราสว น ขน้ั ท่ี 4 นําแผนการจดั การเรียนรทู ีจ่ ะสรางขนึ้ เสนอตออาจารยทป่ี รึกษาวทิ ยานิพนธเ พอื่ พจิ ารณาตรวจสอบ ความถูกตองและความเหมาะสมของเน้อื หา ข้นั ที่ 5 นําแผนการจัดการเรียนรูท่ีปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบมาหาคา ดัชนคี วามสอดคลอง (Index of Item objective congruence : IOC ) ขั้นที่ 6 ปรบั ปรุงแกไ ขตามขอเสนอแนะที่ไดรับจากผเู ชยี่ วชาญ นาํ ไปใชใ นการวจิ ยั แผนภาพที่ 3.2 แสดงขั้นตอนการสรา งแผนการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD เรอ่ื ง อัตราสวน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอนและหลังเรียนเรื่อง เปนขอสอบชนิดปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับ 20 ขอ ซึ่งมีขน้ั ตอนในการสรา งและตรวจสอบคุณภาพดงั น้ี 1. ศึกษาหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานพทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลมุ สาระ การเรียนรคู ณิตศาสตรแ ละหลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนปากเกร็ดกลุมสาระการเรียนรูค ณติ ศาสตร 2. ศึกษาเอกสารและตําราท่ีเก่ียวของกับเรื่อง อัตราสวน ศึกษาวิธีการสรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน จากหนงั สอื เอกสารทีเ่ กยี่ วขอ ง

46 3. วิเคราะหเ น้ือหาจุดประสงคการเรียนรูจากแผนการจัดการเรียนรเู พ่ือสรางตารางวิเคราะหขอ สอบ ดัง ตารางตอไปนี้ ตารางท่ี 3.1 ตารางวิเคราะหเน้ือหาจดุ ประสงคก ารเรียนรจู ากแผนการจัดการเรยี นรู ทกั ษะการเรียนรู เนอ้ื หา ความรู- ํจา ความเ ขาใจ นําไปใ ช ิวเคราะห สังเคราะห ประเ ิมน คา รวม อตั ราสว นที่เทา กนั 132 - - -6 อตั ราสวนของจํานวนหลายๆจาํ นวน 112 - - -4 สดั สวน 1 1 4 - - - 6 อัตราสว นและรอยละ 116 - - -8 การนําความรูเก่ียวกับอัตราสวนและรอยละไปใช 1 1 4 - - - 6 ในชีวิตจริง รวม 5 7 18 - - - 30 4. สรางแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเปนแบบทดสอบ แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับ 30 ขอ 5. นาํ แบบทดสอบท่ีสรางขึ้นเสนออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณาเพื่อตรวจสอบความถูกตอ งของ การใชภาษาและความเท่ียงตรงดา นเน้ือหาแลวนาํ มาปรบั ปรุงแกไขตามคําแนะนาํ 6. นําแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแกไขแลวเสนอผูเช่ียวชาญ 3 ทาน เพ่ือตรวจสอบความถูกตองและความ เทย่ี งตรง ดานเน้อื หา Content validity แลวนาํ ผลการทดสอบของผเู ชย่ี วชาญ คาดชั นคี วามสอดคลอ ง IOC แลวเลือกขอสอบท่ีมีคาดัชนีความสอดคลองต้ังแต 0.50 ข้ึนไป และปรับปรุงขอที่มีคาดัชนีความ สอดคลองต่ํากวาเกณฑใหมีคะแนนผานเกณฑ จากผลการวิเคราะหคาดัชนีความสอดคลอง IOC ได เทา กับ 1.00 7. นําแบบทดสอบที่ปรับปรุงแลวไปทดลองใชกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 2 โรงเรียนปากเกร็ด ภาค เรยี นท่ี 1 ปการศึกษา 2562 จํานวน 36 คนท่ีไมใ ชกลุมตัวอยางเพอ่ื หาคุณภาพของแบบทดสอบ ตรวจ ใหคะแนนแบบทดสอบท่ีนกั เรียนทําโดยใหค ะแนน 1 คะแนนสําหรับขอที่ถูกและให 0 คะแนนสําหรับ ขอ ทผี่ ิดหรือไมต อบ 8. นําผลท่ีไดจากการตรวจสอบแบบทดสอบมาวิเคราะหขอสอบเปนรายขอเพ่ือตรวจสอบหาคาความ ยากงา ย และคาอํานาจจาํ แนก โดยคัดเลือกขอสอบทม่ี ีคาความยากงายระหวาง 0.20 ถึง 0.80 และ คา อํานาจจาํ แนก 0.20 ขึ้นไป ไว 20 ขอ จากการวิเคราะหคา ความยากงายและอํานาจจําแนกเปน ราย ขอ พบวา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีคาความยากงาย อยูระหวาง 0.23 ถึง 0.77 และคาอํานาจ จาํ แนกอยูระหวาง 0.21 ถึง 0.84 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิมาวิเคราะหห าความเชื่อมั่นโดยใชสูตร ของ โฟลเดอรริชารดสันจากสูตร KR 20 พบวาไดค าความเชือ่ ม่นั เทากบั 0.77

47 9. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่เหมาะสมจํานวน 20 ขอไปใชกับนักเรียนกลุมเปาหมาย ตอไป ขนั้ ตอนการสรา งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร เร่อื ง อัตราสว น สรุปไดด ังนี้ ขนั้ ท่ี 1 ศกึ ษาหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) กลุม สาระการเรยี นรูค ณิตศาสตร และศึกษาหลักสตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนปากเกรด็ ขัน้ ที่ 2 ศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การเอกสารจากตาํ ราและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วของ ขน้ั ท่ี 3 สรา งตารางวเิ คราะหข อสอบ ขน้ั ที่ 4 สรา งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ขน้ั ท่ี 5 นาํ แบบทดสอบที่สรางข้ึนเสนออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณาเพื่อตรวจสอบความถูกตอง ของการใชภาษาและความเทย่ี งตรงดา นเน้ือหาแลว นํามาปรบั ปรุงแกไ ขตามคําแนะนํา ขนั้ ที่ 6 นําแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเช่ียวชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบมาหาคาดชั นีความ สอดคลอง (Index of Item objective congruence : IOC ) ขั้นที่ 7 นําแบบทดสอบท่ีปรับปรุงแลว ไปทดลองใชกบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 2 โรงเรียนปากเกร็ด ภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศกึ ษา 2562 จํานวน 36 คนที่ไมใชก ลมุ ตวั อยา ง ขน้ั ที่ 8 วเิ คราะหข อ สอบเปนรายขอเพอื่ ตรวจสอบหาคาความยากงา ย และคาอํานาจจาํ แนก คัดเลือก ขอ สอบไว 20 ขอ ข้ันที่ 9 นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีเหมาะสมจํานวน 20 ขอไปใชกับนักเรียน กลมุ เปา หมายตอ ไป แผนภาพที่ 3.3 แสดงข้ันตอนการสรางแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น เร่อื ง อัตราสว น

48 4. แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลุมของนักเรยี น 1. ศึกษาเอกสารและตาํ ราท่เี กี่ยวของกบั การสรางแบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุม 2. สรางแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ท่ีมีลักษณะเปนมาตราสวนประมาณคา (Rating scale) จํานวน 5 ขอ ดงั ตอไปนี้ 1. มสี ว นรว มในการแสดงความคิดเหน็ 2. ใหคาํ ปรึกษาเพอ่ื นในกลมุ เมอื่ มีขอสงสยั 3. รับผดิ ชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย 4. มคี วามสามัคคีในการทาํ งาน 5. มปี ฏิสัมพันธท ่ดี ตี อเพือ่ นรวมกลุม 3. กาํ หนดมาตราของการแสดงพฤตกิ รรมเปน 4 ระดับดังน้ี พฤตกิ รรมท่ที าํ เปน ประจํา (3ครั้งข้ึนไป) ให 3 คะแนน พฤตกิ รรมทีท่ าํ เปนบางคร้งั (2ครง้ั ) ให 2 คะแนน พฤติกรรมที่ทาํ นอยครง้ั (1คร้ัง) ให 1 คะแนน ไมแสดงพฤติกรรมเลย (0ครงั้ ) ให 0 คะแนน 4. กาํ หนดเกณฑการประเมินผลดงั นี้ ชวงคะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมการทาํ งานกลุม ระดบั คณุ ภาพ 2.26 – 3.00 ดมี าก ระดบั 4 1.51 – 2.25 ดี ระดบั 3 0.76 – 1.50 พอใช ระดบั 2 0 – 0.75 ปรับปรงุ ระดบั 1 5. นําแบบทดสอบท่ีสรางขึ้นเสนออาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณาเพ่ือตรวจสอบความถูกตองของ การใชภ าษาและความเหมาะสมของเกณฑการประเมนิ ผลแลว นาํ มาปรับปรงุ แกไ ขตามคาํ แนะนาํ 6. นําแบบทดสอบที่ปรับปรุงแกไขแลวเสนอผูเชี่ยวชาญ 3 ทาน เพ่ือตรวจสอบความถูกตองและความ เที่ยงตรง ดานเน้ือหา Content validity แลวนําผลการทดสอบของผูเชี่ยวชาญ คาดัชนีความสอดคลอง IOC และปรบั ปรุงขอที่มคี า ดัชนีความสอดคลอ งตา่ํ กวาเกณฑใหม คี ะแนนผานเกณฑ จากผลการวิเคราะหคา ดชั นคี วามสอดคลอง IOC ไดเ ทา กับ 1.00 7. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เหมาะสมจํานวน 20 ขอไปใชกับนักเรียนกลุมเปาหมาย ตอไป

49 ขนั้ ตอนการสรา งแบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ สรุปไดดงั นี้ ขั้นท่ี 1 ศกึ ษาเอกสารและตาํ ราท่ีเกยี่ วขอ งกบั การสรางแบบสงั เกตพฤติกรรมการทํางานกลุม ข้ันท่ี 2 สรางแบบสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ขน้ั ที่ 3 กาํ หนดมาตราของการแสดงพฤตกิ รรม ขั้นที่ 4 กาํ หนดเกณฑก ารประเมินผล ข้นั ที่ 5 นําแบบประเมินพฤติกรรมการทํางานกลุมท่ีสรางขึ้นเสนออาจารยท่ีปรึกษาวิทยานิพนธพิจารณา เพ่อื ตรวจสอบความถกู ตองแลวนาํ มาปรับปรงุ แกไขตามคาํ แนะนาํ ขนั้ ที่ 6 นาํ แผนการจัดการเรียนรูที่ปรับปรุงแกไขแลวไปใหผูเชี่ยวชาญจํานวน 3 ทาน ตรวจสอบมาหาคา ดัชนคี วามสอดคลอ ง (Index of Item objective congruence : IOC ) ข้ันท่ี 7 นาํ แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการทาํ งานกลุมไปใชก บั นกั เรยี นกลมุ เปา หมายตอไป แผนภาพท่ี 3.4 แสดงข้ันตอนการสรา งแบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ขน้ั ดําเนินการวิจยั แผนการวิจยั การวจิ ัยครั้งนี้เปนการวิจัยเชงิ ทดลอง (Experimental Research) ซ่ึงผวู ิจัยดาํ เนินการทดลองตามแผนการวิจัย แบบสองกลุมมีการทดสอบกอนและหลงั การทดลอง (Two group pre-test post-test design) ซ่ึงมีรูปแบบดังตาราง [62] ตารางท่ี 3.2 แผนการวิจยั กลุมทดลอง กอนการทดลอง ทดลอง หลังการทดลอง Gr1 O1 T1 O2 Gr2 O1 T2 O2

50 Gr1 แทน กลุมทดลอง 1 ไดรับการจดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT Gr2 แทน กลมุ ทดลอง 2 ไดร บั การจดั การเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค STAD O1 แทน ทาํ แบบทดสอบกอนเรยี น O2 แทน ทาํ แบบทดสอบหลังเรยี น T1 แทน การดําเนินการทดลองการจดั การเรียนรูแ บบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT T2 แทน การดําเนนิ การทดลองการจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD การดําเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมขอมลู ในการวจิ ัยครั้งน้ี ไดด าํ เนนิ การทดลองดงั นี้ 1. ขนั้ กอนการทดลอง 1.1 ในการทดลองใชการทดลองโดยวิธกี าร แบงกลุมนักเรียนตามผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร จากผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร ภาคเรียนท่ี 1/2562 โดยเรียงคะแนนจากมากไปหานอย ซ่ึงมีนักเรยี นกลุม ทดลอง 2 กลุม กลุมละ 44 คน โดยแบงเปนนักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยูในระดับเกง 11 คน นักเรียนท่ีมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอยูในระดับปานกลาง 22 คน นักเรียนท่ีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยูในระดับออน 11 คน หลังจากนั้นแบงนักเรียนออกเปน 11 กลุม โดยแตละกลุมมสี มาชิก 4 คน ท่ีคละตามผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในระดับเกง ปานกลาง ออน ตามอตั ราสวน 1 : 2 : 1 ดังตอ ไปน้ี ตารางท่ี 3.3 อัตราสวนการแบง กลมุ นกั เรียนตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร นักเรียนทีม่ ผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น นักเรยี นทมี่ ผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียน นักเรยี นทมี่ ีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อยูในระดบั เกง อยใู นระดบั ปานกลาง อยูในระดบั ออ น (จาํ นวนคน) (จาํ นวนคน) (จาํ นวนคน) 11 22 11 ตารางที่ 3.4 การจัดสมาชกิ ภายในกลุมตามลําดับคะแนนและกลุมผมสัมฤทธ์ิทางการเรียน กลมุ (Teams) สมาชิกภายในกลมุ (ลาํ ดับคะแนน - กลมุ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน) 1 (1เกง), (11ปานกลาง), (12ปานกลาง), (11ออน) 2 (2เกง), (10ปานกลาง), (13ปานกลาง), (10ออน) 3 (3เกง), (9ปานกลาง), (14ปานกลาง), (9ออ น) 4 (4เกง), (8ปานกลาง), (15ปานกลาง), (8ออ น) 5 (5เกง), (7ปานกลาง), (16ปานกลาง), (7ออ น) 6 (6เกง), (6ปานกลาง), (17ปานกลาง), (6ออน) 7 (7เกง), (5ปานกลาง), (18ปานกลาง), (5ออ น) 8 (8เกง), (4ปานกลาง), (19ปานกลาง), (4ออน) 9 (9เกง), (3ปานกลาง), (20ปานกลาง), (3ออน) 10 (10เกง), (2ปานกลาง), (21ปานกลาง), (2ออ น) 11 (11เกง ), (1ปานกลาง), (22ปานกลาง), (1ออ น)

51 1.2 ผูวิจัยทําการปฐมนิเทศนักเรียนกลุมทดลองท้ัง 2 กลุม เพื่อช้ีแจงจุดประสงค ในการเรียนแบบรวมมือ โดยใชเทคนคิ TGT และ STAD ทําการจัดกลุมนักเรียนโดยคละตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นตามท่ไี ดจดั ไวขา งตน พรอ มท้ัง จัดโตะ และท่นี ง่ั เปน กลมุ จาํ นวน 11 กลุม ดังตอ ไปน้ี ภาพท่ี 3.5 แสดงตาํ แหนงการนัง่ ของนักเรียนที่ไดรบั การจัดการเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT ภาพท่ี 3.6 แสดงตําแหนงการน่ังของนกั เรยี นท่ไี ดรบั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ STAD

52 1.1 ใหนักเรยี นกลมุ ทดลองทาํ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรอื่ ง อัตราสว น กอ นการทดลอง (ทําแบบทดสอบกอนเรียน) 2. ข้นั ทดลอง ในการดาํ เนนิ การทดลองคร้ังนีผ้ ูวิจัยเร่ิมดําเนินการทดลองตงั้ แตเ ดอื นพฤศจิกายน 2562 ถึง เดือนธันวาคม 2562 ท้ังนี้ไมรวมเวลาในการทดสอบกอนเรียนและหลงั เรียน ผูวิจัยสอนโดยการใชแผนการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดย ใชเทคนิค STAD และเทคนิค TGT เร่ือง อัตราสวน ระดับช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 โดยแบงเปน แผนการจัดการเรียนรูแบบ รวมมือโดยใชเทคนิค STAD จํานวน 5 แผน และแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT จํานวน 5 แผน โดยกําหนดเวลาในการทดลองดังตารางตอ ไปนี้ ตารางที่ 3.5 การกาํ หนดเน้ือหาและวันทใ่ี นการทดลอง แผนที่ เร่ือง กลุมทดลอง 1 กลมุ ทดลอง 2 (วันที่) (วนั ท่ี) 1 อตั ราสวนท่ีเทากัน 15 พ.ย. 62 15 พ.ย. 62 2 อตั ราสวนของจํานวนหลายๆจาํ นวน 22 พ.ย. 62 22 พ.ย. 62 3 สัดสวน 28 พ.ย. 62 27 พ.ย. 62 4 อตั ราสว นและรอ ยละ 3 ธ.ค. 62 2 ธ.ค. 62 5 การนําความรูเกี่ยวกบั อตั ราสวนและรอ ยละไปใชใ นชีวติ จริง 13 ธ.ค. 62 9 ธ.ค. 62 3. ขั้นหลังการทดลอง 3.1 ใหน กั เรยี นกลมุ ทดลองทําแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรือ่ ง อตั ราสวนหลังการ ทดลอง (ทําแบบทดสอบหลังเรยี น) โดยใชแบบทดสอบชดุ เดียวกบั แบบทดสอบกอ นเรียน การวเิ คราะหข อ มลู การวิเคราะหขอมูล การวจิ ยั ครง้ั น้ี ผวู จิ ยั ดําเนนิ การวิเคราะหข อ มลู ดังนี้ 1. วเิ คราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการคณติ ศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลัง การจดั การเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนคิ STAD โดยการทดสอบคา ที แบบเปนอิสระจากกนั (t-test for independent samples) แบบ Pooled Variance 2. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 กอ นและหลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT โดยการทดสอบคาที แบบไมเปนอิสระจากกนั (t-test for Dependent Samples) 3. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 กอ นและหลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ STAD โดยการทดสอบคาที แบบไมเปน อสิ ระจากกัน (t-test for Dependent Samples) 4. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณติ ศาสตรเรอ่ื ง อัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับเกณฑรอยละ 70 โดยการทดสอบคาที (t-test for one samples) 5. วิเคราะหเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรเ รื่อง อัตราสวน ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลังการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD กับเกณฑรอยละ 70 โดยการทดสอบคาที (t-test for one samples)

53 6. วิเคราะหพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 หลังการจดั การเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใช เทคนคิ TGT และการจัดการเรยี นรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยใชคาเฉลยี่ และสวนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สถิตทิ ่ใี ชใ นการวิเคราะหข อมลู สถติ ิพน้ื ฐานในการวิเคราะหขอ มลู ผูวจิ ัยใชส ถติ พิ ืน้ ฐานในการวเิ คราะหข อ มลู ดงั นี้ 1. คาเฉล่ยี (Mean) ∑x x = N 2. สว นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) S.D. = N∑ fx2 − (∑ fx)2 N(N −1) สถิตทิ ี่ใชใ นการทดสอบสมมติฐาน 1. สถติ ิการทดสอบคาทีสําหรบั 2 กลมุ เปน อิสระจากกนั (t-test for independent samples) แบบ Pooled variance (n1 - 1) s12 + (n2 - 1) s22 t= x1 - x2 ; df = n1 + n2 −2; Sp2 = n1 + n2 2 sp2  ( 1 + 1 )  n1 n2 เม่อื t แทน คา สถติ ิที่ใชในการพิจารณาใน t – distribution X1 แทน คาเฉลีย่ กลุมที่ 1 X2 แทน คา เฉลี่ยกลุม ท่ี 2 n1 แทน ขนาดของกลุมตวั อยางท่ี 1 n2 แทน ขนาดของกลมุ ตัวอยา งท่ี 2 S แทน สว นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน df แทน ชนั้ แหงความเปน อิสระ (degrees of freedom)

54 2. สถิติการทดสอบคาทสี ําหรับ 2 กลุม ไมเ ปนอสิ ระจากกัน (t-test for dependent samples) ∑D t= ; df = n-1 n∑D2 − (∑D)2 n−1 เมื่อ t แทน คาสถติ ิท่ีใชในการพิจารณาใน t – distribution D แทน ผลตา งของคะแนนกอ นและหลงั การทดลอง n แทน ขนาดของกลมุ ตัวอยา ง ∑D แทน ผลรวมทง้ั หมดของผลตา งของคะแนนกอนและหลังการทดลอง ∑D2 แทน ผลรวมของกาํ ลงั สองของผลตางของคะแนนกอ นและหลงั การทดลอง df แทน ช้นั แหงความเปน อสิ ระ (degrees of freedom) 3. สถิตกิ ารทดสอบคา ทีสาํ หรับกลุมตัวอยา ง 1 กลมุ (t-test for one Samples) x -μ0 t = S.D. n ; df = n -1 เม่อื t แทน คาสถติ ทิ ใี่ ชใ นการพจิ ารณาใน t – distribution X แทน คา เฉลีย่ μ 0 แทน เฉล่ยี ของกลมุ่ ประชากร หรอื เกณฑท์ ่ีตงั้ ขนึ้ n แทน ขนาดของกลมุ ตวั อยาง S.D. แทน สวนเบยี่ งเบนมาตรฐาน df แทน ชั้นแหงความเปน อิสระ (degrees of freedom)

55 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหขอ มลู การวิจัยคร้ังน้ีเปนการวิจัยเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปท่ี 1 กอนและหลังท่ไี ดรับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD และเพื่อศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลุมของนักเรียนทจ่ี ัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT กบั การจดั การ เรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ผูวิจัยไดเก็บรวบรวมขอมูลโดยนําเครื่องมือท่ีใชในการวิจัยไดแก 1) แผนการ จัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT เร่ืองอัตราสวน 2) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เร่ืองอัตราสว น 3) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนกอนและหลังเรียนเรอื่ งอัตราสวน 4) แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทาํ งานกลมุ ของนักเรยี นทไ่ี ดรับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT กับการเรียนแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ STAD สญั ลกั ษณท ใี่ ชในการวิเคราะหขอ มลู X แทน คาเฉลี่ย t แทน คา สถิตทิ ่ใี ชใ นการพิจารณาใน t – distribution D แทน ผลตางของคะแนนกอ นและหลังการทดลอง n แทน ขนาดของกลุมตัวอยา ง S.D. แทน สว นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑D แทน ผลรวมท้งั หมดของผลตางของคะแนนกอ นและหลังการทดลอง ∑D2 แทน ผลรวมของกําลงั สองของผลตา งของคะแนนกอ นและหลงั การทดลอง df แทน ชน้ั แหงความเปนอสิ ระ (degrees of freedom) การนําเสนอผลการวเิ คราะหข อ มูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกลุม ตัวอยา งท่ี 1 และกลมุ ตัวอยา งท่ี 2 ตอนที่ 2 ผลการศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตรเร่อื ง อัตราสว น ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจดั การเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนคิ STAD ตอนที่ 3 ผลการศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตรเร่อื ง อัตราสว น ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ท้ังกอน และหลังการทดลอง ตอนที่ 4 ผลการศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตรเรื่อง อตั ราสว น ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 1 ทไ่ี ดรบั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD กับเกณฑ รอยละ 70 ตอนที่ 5 ผลการศึกษาพฤติกรรมการทํางานกลุมของนกั เรียนที่จัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT กับ การจัดการเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD

56 ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยา งที่ 1 และกลมุ ตัวอยางท่ี 2 ตารางที่ 4.1 ทดสอบสมมติฐานเพือ่ วิเคราะหผ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนของกลมุ ตัวอยา งมีการแจกแจงปกติหรอื ไม โดยกําหนดสมมติฐานการทดสอบดังน้ี H0 : คะแนนผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยา งไมม กี ารแจกแจงปกติ H1 : คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรของกลุม ตัวอยางมกี ารแจกแจงปกติ การทดสอบ Statistic df Sig คะแนนผลสมั ฤทธก์ิ ลุม ตวั อยางที่ 1 0.954 44 0.079 คะแนนผลสมั ฤทธิ์กลมุ ตัวอยางที่ 2 0.960 44 0.125 กําหนดระดับนยั สาํ คญั ������������ = 0.05 เน่ืองจาก สาํ หรับคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตรข องกลุมตัวอยางที่ 1 มี Sig = 0.079 > ������������ = 0.05 ดังน้ัน จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 และ สําหรบั คะแนนผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตรข องกลุมตัวอยางท่ี 2 มี Sig = 0.125 > ������������ = 0.05 ดงั นน้ั จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 นนั่ คือ คะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรของกลุมตัวอยางท่ี 1 มีการแจกแจงปกติ และ คะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรข องกลุมตัวอยางท่ี 2 มกี ารแจกแจงปกติ ตารางท่ี 4.2 ตารางแสดงผลการวเิ คราะหผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยางที่ 1 และกลุมตวั อยา งที่ 2 กลมุ ตวั อยา ง n คะแนนเตม็ X S.D. t df กลมุ ตวั อยางท่ี 1 44 30 19.75 3.77 กลุมตัวอยา งท่ี 2 44 30 19.02 3.25 0.88 86 กําหนดให μ1 แทน คะแนนผลสมั ฤทธวิ์ ิชาคณติ ศาสตรของกลมุ ตวั อยางที่ 1 μ2 แทน คะแนนผลสมั ฤทธิ์วชิ าคณิตศาสตรของกลมุ ตัวอยา งท่ี 2 ขัน้ ที่ 1 ตัง้ สมมตฐิ าน ตัง้ สมมตฐิ านทางสถติ ิ H0 : μ1 = μ2 H1 : μ1 ≠ μ2 ขน้ั ท่ี 2 กาํ หนดระดับนัยสําคญั α = .05 ขั้นที่ 3 เลอื กสถิตทิ ่ใี ชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน เนือ่ งจากจาํ นวนสมาชกิ กลมุ ตวั อยาง n1 = n2 ใชสูตร t – test ( t-test แบบ Pooled variance )

57 t= x1 - x2 1 เมอื่ Sp2 = (n1 - 1) s12 + (n2 - 1) s22 sp2  (n11 + n2 n1 + n2 - 2 )  t= 19.7 -19.02 = 0.68 = 0.68 24.78 0.56 12.39  1 + 1   44 44  44 t = 0.88 ;df = 86 ขัน้ ท่ี 4 สรางเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 เมื่อ t คาํ นวณ > t ตาราง หรือ t คํานวณ < -t ตาราง จะปฏเิ สธ H1 ยอมรับ H0 เมื่อ t ตาราง > t คํานวณ > -t ตาราง ขนั้ ที่ 5 สรปุ ผลการทดสอบ เนื่องจาก tคํานวณ = 0.99 น่ันคือ 1.99 > 0.88 > -1.99 ดังน้ัน ดังน้ัน จึงปฏิเสธ H1 ยอมรับ H0 นั่นคือ คะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรกลุมตัวอยางท่ี 1 และคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตรก ลุมตวั อยา งท่ี 2 ไมแ ตกตา งกนั อยางมีนัยสาํ คญั ท่รี ะดับ .05 ตอนท่ี 2 ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปที่ 1 ที่ไดร ับการจดั การเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT กับการจดั การเรยี นรูแ บบรว มมือโดยใชเทคนคิ STAD ตารางท่ี 4.3 ทดสอบสมมตฐิ านเพื่อวิเคราะหวาคะแนนหลงั เรยี นของกลุมตวั อยา งมีการแจกแจงปกติหรอื ไม โดยกาํ หนด สมมตฐิ านการทดสอบดังนี้ H0 : คะแนนหลังเรียนของกลุมตวั อยางไมมีการแจกแจงปกติ H1 : คะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตวั อยางมีการแจกแจงปกติ Sig การทดสอบ Statistic df คะแนนหลงั เรยี นเทคนคิ TGT 0.967 44 0.233 คะแนนหลังเรียนเทคนคิ STAD 0.967 44 0.243 กําหนดระดับนัยสําคญั ������������ = 0.05 เนือ่ งจาก สาํ หรบั คะแนนหลงั เรยี นเทคนิค TGT มี Sig = 0.233 > ������������ = 0.05 ดงั นน้ั จงึ ปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1 และ สาํ หรบั คะแนนหลังเรยี นเทคนิค STAD มี Sig = 0.243 > ������������ = 0.05 ดงั นน้ั จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 นั่นคอื คะแนนหลังเรยี นของกลมุ ตวั อยางไดรับการจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT มีการแจกแจงปกติ และ คะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตวั อยา งไดรบั การจัดการเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD มกี ารแจกแจงปกติ

58 ตารางท่ี 4.4 ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสว น นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 1 ทไี่ ดรบั การจัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT กับการจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD กลุมทดลอง n คะแนนเตม็ X S.D. t df เทคนคิ TGT 44 20 15.23 3.02 86 เทคนคิ STAD 44 20 15.05 2.96 0.28 กาํ หนดให μ1 แทน คะแนนเฉลี่ยหลังการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค TGT μ2 แทน คะแนนเฉลีย่ หลงั การจดั การเรียนรูแ บบรว มมอื โดยใชเ ทคนิค STAD ข้ันที่ 1 ตัง้ สมมตฐิ าน ต้งั สมมตฐิ านทางสถิติ H0 : μ1 = μ2 H1 : μ1 ≠ μ2 ข้ันที่ 2 กําหนดระดบั นยั สาํ คญั α = .05 ข้นั ท่ี 3 เลอื กสถติ ทิ ่ีใชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน เน่อื งจากจาํ นวนสมาชกิ กลมุ ตวั อยาง n1 = n2 ใชส ูตร t – test ( t-test แบบ Pooled variance ) t= x1 - x2 เมื่อ Sp2 = (n1 - 1) s12 + (n2 - 1) s22 n1 + n2 2 sp2  ( 1 + 1 )  n1 n2 0.18 t= 15.23 -15.05 = 17.882 = 0.18 = 0.18 0.41 0.64 8.941  1 + 1   44 44  44 t = 0.28 ;df = 86 ข้นั ที่ 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1 เมื่อ t คาํ นวณ > t ตาราง หรือ t คํานวณ < -t ตาราง จะปฏเิ สธ H1 ยอมรบั H0 เมอ่ื t ตาราง > t คาํ นวณ > -t ตาราง

59 ข้นั ท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เนื่องจาก tคํานวณ = 0.28 น่ันคือ 1.99 > 0.28 > -1.99 ดังนั้น ดังนั้น จึงปฏิเสธ H1 ยอมรับ H0 น่ันคือ คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับ การจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD ไมแ ตกตา งกัน อยา งมนี ยั สําคัญที่ระดับ .05 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปท ี่ 1 กอ นและหลังการจัดการเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเทคนคิ TGT กับการจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ตารางที่ 4.5 ทดสอบสมมตฐิ านเพอ่ื วิเคราะหวา คะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตวั อยา งมกี ารแจกแจงปกตหิ รือไม โดยกําหนด สมมตฐิ านการทดสอบดังนี้ H0 : ผลตา งของคะแนนกอ นเรียนและคะแนนหลังเรียนของกลมุ ตัวอยางไมม กี ารแจกแจงปกติ H1 : ผลตา งของคะแนนกอนเรียนและคะแนนหลังเรยี นของกลมุ ตวั อยา งมีการแจกแจงปกติ การทดสอบ Statistic df Sig ผลตางของคะแนนกอ นเรยี นและหลงั เรยี น TGT 0.955 44 0.088 กําหนดระดบั นัยสาํ คญั ������������ = 0.05 เน่อื งจาก Sig = 0.088 > ������������ = 0.05 ดังนนั้ จึงปฏเิ สธ H0 ยอมรับ H1 นั่นคือ ผลตางของคะแนนกอนเรียนและคะแนนหลังเรียนของกลุมตัวอยางไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใช เทคนิค TGT มกี ารแจกแจงปกติ ตารางท่ี 4.6 ตารางแสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณติ ศาสตรเ รอื่ ง อัตราสวน นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปท ่ี 1 กอ นและหลงั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT การทดลอง n คะแนนเตม็ X S.D. ∑D ∑D2 t df ทดสอบกอนเรยี น 44 20 6.36 1.92 43 ทดสอบหลงั เรียน 44 20 15.23 3.02 390 3,950 17.36 กาํ หนดให μ1 แทน คะแนนเฉล่ียกอ นการจัดการเรยี นรแู บบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ TGT μ2 แทน คะแนนเฉลยี่ หลงั การจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT ขน้ั ที่ 1 ต้ังสมมติฐาน ต้งั สมมติฐานทางสถติ ิ H0 : μ2 ≤ μ1 H1 : μ2 > μ1 ข้ันที่ 2 กาํ หนดระดบั นัยสําคญั α = .05

60 ข้ันที่ 3 เลอื กสถติ ทิ ีใ่ ชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน ∑D ใชส ูตร t = ; df = n-1 N∑D2 -(∑D)2 n-1 395 390 173,800 -152,100 t= 44(3,950) - (390)2 = 43 44 - 1 390 390 t= 390 = 504.65 = 22.46 21,700 43 t = 17.36 ขัน้ ที่ 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 เม่ือ t คาํ นวณ > t ตาราง ข้ันท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เน่ืองจาก tคาํ นวณ = 17.36 > tตาราง = 1.6811 ดังนั้น จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 น่ันคอื คะแนน เฉลยี่ ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรบั การจัดการเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT สูงกวา กอ นการ ไดร บั การจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT อยางมนี ยั สําคัญที่ระดบั .05 ตารางที่ 4.7 ทดสอบสมมติฐานเพ่ือวิเคราะหว าคะแนนหลงั เรียนของกลมุ ตัวอยางมกี ารแจกแจงปกตหิ รือไม โดยกาํ หนด สมมตฐิ านการทดสอบดังน้ี H0 : ผลตางของคะแนนกอนเรยี นและคะแนนหลงั เรยี นของกลมุ ตวั อยา งไมม กี ารแจกแจงปกติ H1 : ผลตางของคะแนนกอ นเรียนและคะแนนหลังเรียนของกลุมตวั อยา งมกี ารแจกแจงปกติ การทดสอบ Statistic df Sig ผลตางของคะแนนกอ นเรียนและหลงั เรียน STAD 0.962 44 0.149 กาํ หนดระดับนยั สาํ คญั ������������ = 0.05 เน่อื งจาก Sig = 0.149 > ������������ = 0.05 ดังนนั้ จึงปฏเิ สธ H0 ยอมรบั H1 นนั่ คือ ผลตา งของคะแนนกอนเรยี นและคะแนนหลังเรยี นของกลุมตวั อยา งไดรับการจดั การเรยี นรูแ บบรว มมอื โดยใช เทคนิค STAD มกี ารแจกแจงปกติ

61 ตารางที่ 4.8 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่อื ง อตั ราสวน นกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 1 กอ นและหลังการจดั การเรยี นรูแบบรว มมอื โดยใชเ ทคนิค STAD การทดลอง n คะแนนเต็ม X S.D. ∑D ∑D2 t df กอ นเรียน 44 20 6.02 1.96 397 3,861 23.49 43 หลงั เรียน 44 20 15.05 2.96 กําหนดให μ1 แทน คะแนนเฉลีย่ กอ นการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD μ2 แทน คะแนนเฉลยี่ หลงั การจัดการเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ขนั้ ท่ี 1 ต้งั สมมตฐิ าน ตงั้ สมมตฐิ านทางสถติ ิ H0 : μ2 ≤ μ1 H1 : μ2 > μ1 ขนั้ ท่ี 2 กาํ หนดระดับนัยสําคญั α = .05 ขั้นที่ 3 เลอื กสถิตทิ ่ีใชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน ∑D ใชสูตร t = ; df = n-1 N∑D2 - (∑D)2 n-1 397 169,884 -157,609 t= 397 = 44(3,861) - (397)2 44 - 1 43 397 t= 12,275 = 397 = 397 285.47 16.90 43 t = 23.49 ; df = 43 ขน้ั ท่ี 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 เมอื่ t คํานวณ > t ตาราง ข้ันท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เนือ่ งจาก tคํานวณ = 23.49 > tตาราง = 1.6811 ดังนั้น จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 นนั่ คือ คะแนน เฉล่ียของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดรับการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD สงู กวา กอ นการ ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD อยางมนี ยั สําคญั ทีร่ ะดับ .05

62 ตอนที่ 4 ผลการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปท่ี 1 ท่ไี ดร บั การจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กบั การจัดการเรยี นรแู บบรว มมอื โดยใชเ ทคนคิ STAD หลังเรยี นเทียบกบั เกณฑร อยละ 70 ตารางที่ 4.9 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเ ร่ือง อัตราสวน นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปท ่ี 1 ทไ่ี ดรับการจดั การเรยี นรูแบบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT หลงั เรียนเทียบกบั เกณฑร อยละ 70 n คะแนนเตม็ X S.D. t df คะแนน คะแนนหลังเรยี น 44 20 15.23 3.02 2.70 43 กําหนดให μ แทน คะแนนเฉล่ียหลังการจดั การเรียนรูแ บบรว มมอื โดยใชเทคนคิ TGT ข้นั ท่ี 1 ตงั้ สมมติฐาน ต้งั สมมติฐานทางสถติ ิ H0 : μ ≤ 14 H1 : μ > 14 ขน้ั ที่ 2 กาํ หนดระดับนัยสาํ คญั α = .05 ขนั้ ที่ 3 เลอื กสถติ ทิ ใ่ี ชใ นการทดสอบสมมตฐิ าน x -μ0 ใชสูตร t = S.D. n ; df = n −1 t = 15.23 -14 3.02 44 t = 1.23 44  3.02 t = 2.70 ;df = 43 ขน้ั ท่ี 4 สรา งเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏิเสธ H0 ยอมรบั H1 เมื่อ t คาํ นวณ > t ตาราง ขน้ั ท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เน่อื งจาก tคํานวณ = 2.70 > tตาราง = 1.6811 ดังนั้น จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 นั่นคือ คะแนน เฉลยี่ ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปท่ี 1 ท่ีไดร บั การจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT สูงกวาเกณฑ รอยละ 70 อยางมีนัยสําคัญท่ีระดับ .05

63 ตารางที่ 4.10 ตารางแสดงผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสว น นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 1 ทไี่ ดร ับการจัดการเรยี นรูแบบรวมมอื โดยใชเ ทคนคิ STAD หลังเรียนเทยี บกับเกณฑร อ ยละ 70 คะแนน N คะแนนเต็ม X S.D. คะแนนหลังเรียน 44 20 15.05 2.96 กําหนดให μ แทน คะแนนเฉลี่ยหลงั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD ขนั้ ที่ 1 ตงั้ สมมตฐิ าน ตง้ั สมมตฐิ านทางสถติ ิ H0 : μ ≤ 14 H1 : μ > 14 ข้นั ท่ี 2 กาํ หนดระดับนัยสําคญั α = .05 ขน้ั ที่ 3 เลือกสถติ ทิ ใี่ ชในการทดสอบสมมตฐิ าน x -μ0 ใชส ตู ร t = S.D. n ; df = n −1 t = 15.05 -14 = 1.05  44  2.96 44 2.96 t = 2.35 ;df = 43 ขน้ั ที่ 4 สรางเขตปฏเิ สธ H0 จะปฏเิ สธ H0 ยอมรับ H1 เมื่อ t คํานวณ > t ตาราง ขน้ั ท่ี 5 สรุปผลการทดสอบ เน่อื งจาก tคํานวณ = 2.35 > tตาราง = 1.6811 ดังน้ัน จงึ ปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1 น่นั คอื คะแนน เฉลี่ยของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดร บั การจัดการเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค STAD สูงกวา เกณฑ รอ ยละ 70 อยา งมนี ัยสําคญั ท่รี ะดับ .05

64 ตอนท่ี 5 ผลการศกึ ษาพฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ของนักเรียนที่จัดการเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเ ทคนคิ TGT กับการ จดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD ตารางที่ 4.11 ผลการศกึ ษาคา เฉลีย่ สว นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับพฤตกิ รรมการทํางานกลุม ของนักเรยี นทจ่ี ัดการ เรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเ ทคนิค TGT โดยนักเรียนเปนผูประเมิน รายการประเมิน นักเรยี นเปนผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดับ 1. มีสวนรวมในการแสดงความคิดเหน็ 2.09 0.77 ดี 4 2. ใหค ําปรกึ ษาเพ่ือนในกลมุ เม่ือมีขอสงสัย 2.06 0.75 ดี 5 3. รบั ผิดชอบในงานท่ีไดร ับมอบหมาย 2.12 0.99 ดี 3 4. มคี วามสามคั คใี นการทํางาน 2.20 0.68 ดี 2 5. มีปฏิสัมพนั ธทีด่ ตี อเพอื่ นรวมกลมุ 2.27 0.72 ดีมาก 1 รวม 2.15 0.79 ดี จากตารางพบวา นักเรยี นมีพฤตกิ รรมการทาํ งานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ( X = 2.15) เมื่อพิจารณาเปนราย ขอ พบวา มีพฤติกรรมการทํางานกลุม อยูในระดับ ดีมาก จํานวน 1 ขอ ไดแก มีปฏิสัมพันธท่ีดีตอเพื่อนรวมกลุม ( X =2.27 ) และมีพฤติกรรมการทํางานกลมุ อยูในระดับ ดี จํานวน 4 ขอ ไดแก มคี วามสามัคคีในการทํางาน( X = 2.20) รบั ผิดชอบในงานท่ีไดรับมอบหมาย ( X = 2.12) มีสวนรวมในการแสดงความคิดเห็น ( X = 2.09) ใหคําปรกึ ษาเพื่อนใน กลุมเมอื่ มีขอ สงสัย ( X = 2.06) ตามลําดบั ตารางท่ี 4.12 ผลการศึกษาคาเฉลย่ี สว นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดบั พฤตกิ รรมการทํางานกลมุ ของนกั เรียนท่ีจดั การ เรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT โดยครูเปนผปู ระเมนิ รายการประเมนิ ครเู ปน ผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดบั 1. มีสว นรว มในการแสดงความคิดเหน็ 1.96 0.67 ดี 5 2. ใหคาํ ปรึกษาเพ่ือนในกลมุ เมือ่ มขี อสงสัย 2.04 0.74 ดี 2 3. รับผิดชอบในงานท่ีไดร ับมอบหมาย 2.00 0.82 ดี 3 4. มคี วามสามคั คใี นการทํางาน 1.98 0.76 ดี 4 5. มีปฏิสมั พันธทดี่ ีตอเพือ่ นรวมกลุม 2.22 0.81 ดี 1 รวม 2.04 0.76 ดี จากตารางพบวา นักเรียนมีพฤตกิ รรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ( X = 2.04) เม่ือพิจารณาเปนราย ขอ พบวา มีพฤติกรรมการทํางานกลมุ อยูในระดับ ดี จํานวน 5 ขอ ไดแก มปี ฏิสัมพันธท่ดี ีตอเพือ่ นรวมกลุม ( X =2.22) ใหคําปรึกษาเพื่อนในกลุมเม่ือมีขอสงสยั ( X = 2.04) รบั ผิดชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย ( X = 2.00) มคี วามสามัคคีใน การทํางาน ( X = 1.98) และมีสว นรว มในการแสดงความคดิ เหน็ ( X = 1.96) ตามลําดับ

65 ตารางที่ 4.13 ผลการศึกษาคา เฉลยี่ สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดบั พฤติกรรมการทํางานกลุม ของนักเรียนท่จี ัดการ เรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนิค STAD โดยนกั เรยี นเปน ผปู ระเมิน รายการประเมนิ นักเรยี นเปนผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดบั 1. มสี ว นรว มในการแสดงความคิดเหน็ 1.94 0.73 ดี 5 2. ใหคําปรึกษาเพอื่ นในกลมุ เมอ่ื มขี อสงสัย 2.08 0.75 ดี 2 3. รับผดิ ชอบในงานที่ไดร ับมอบหมาย 1.98 0.72 ดี 4 4. มีความสามคั คใี นการทํางาน 2.01 0.75 ดี 3 5. มปี ฏิสมั พันธท ดี่ ตี อ เพือ่ นรว มกลุม 2.10 0.72 ดี 1 รวม 2.02 0.74 ดี จากตารางพบวา นักเรียนมพี ฤติกรรมการทาํ งานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ( X = 2.02) เมื่อพิจารณาเปนราย ขอ พบวา มพี ฤตกิ รรมการทาํ งานกลมุ อยใู นระดบั ดี จํานวน 5 ขอ ไดแ ก มีปฏิสัมพนั ธที่ดตี อ เพอื่ นรว มกลุม ( X = 2.10) ใหคําปรึกษาเพื่อนในกลุมเม่อื มีขอสงสัย ( X = 2.08) มีความสามัคคีในการทํางาน ( X = 2.01) รับผิดชอบในงานที่ไดรับ มอบหมาย ( X = 1.98) และมีสวนรว มในการแสดงความคิดเหน็ ( X = 1.94 ) ตามลําดบั ตารางที่ 4.14 ผลการศึกษาคาเฉลีย่ สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระดับพฤติกรรมการทํางานกลมุ ของนักเรยี นที่จัดการ เรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยครูเปนผูประเมนิ รายการประเมิน ครเู ปน ผปู ระเมนิ X S.D. ระดบั พฤตกิ รรม ลาํ ดบั 1. มีสวนรว มในการแสดงความคิดเหน็ 1.93 0.63 ดี 5 2. ใหค ําปรกึ ษาเพ่อื นในกลุมเม่ือมขี อสงสยั 2.00 0.72 ดี 2 3. รบั ผดิ ชอบในงานที่ไดรับมอบหมาย 1.98 0.80 ดี 3 4. มคี วามสามัคคีในการทํางาน 1.96 0.74 ดี 4 5. มีปฏิสมั พันธท่ีดีตอ เพ่ือนรวมกลมุ 2.16 0.79 ดี 1 รวม 2.01 0.74 ดี จากตารางพบวา นักเรียนมพี ฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดบั ดี ( X = 2.01) เมอื่ พิจารณาเปนราย ขอ พบวา มพี ฤตกิ รรมการทํางานกลมุ อยูในระดับ ดี จํานวน 5 ขอ ไดแ ก มีปฏิสัมพันธทีด่ ีตอ เพ่อื นรวมกลุม ( X =2.01 ) ใหคําปรึกษาเพื่อนในกลุมเมื่อมีขอสงสัย ( X = 2.00) รับผิดชอบในงานท่ีไดรับมอบหมาย ( X = 1.98) มีความสามัคคีใน การทํางาน( X = 1.96) มสี ว นรว มในการแสดงความคดิ เหน็ ( X = 1.93) ตามลาํ ดบั

66 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ เสนอแนะ การวิจัยคร้ังนี้เปนการวิจัยเพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาศึกษาปท่ี 1 กอนและหลังท่ีไดรับการเรียนแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการเรียนแบบรวมมือโดยใช เทคนิค STAD มีวัตถุประสงคเพ่ือ 1) เพื่อศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดร บั การจดั การเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT กบั การจดั การเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1 ท่ีไดรับ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT ทั้งกอนและหลังการทดลอง 3) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตรเร่ืองอัตราสวน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ทั้งกอนและหลังการทดลอง 4) เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่องอัตราสวน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปท่ี 1 ทไี่ ดรบั การจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับเกณฑรอยละ 70 5) เพ่ือศึกษาผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเ ร่ืองอตั ราสวน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดร ับการจัดการเรียนรแู บบรวมมือโดยใช เทคนคิ STAD กับเกณฑร อยละ 70 6) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนกั เรยี นท่จี ดั การเรยี นรูแ บบรว มมือโดยใช เทคนคิ TGT กบั การจดั การเรียนรูแ บบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ STAD เคร่ืองมือท่ีใชในการวิจัยคร้ังนี้ประกอบดวย 1) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT เรื่อง อตั ราสวนและรอยละ จํานวน 5 แผน 2) แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD เรื่องอตั ราสวนและรอ ย ละ จํานวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอนและหลังเรียนเรื่องอัตราสวนและรอยละ ระดับช้ัน มัธยมศึกษาปท่ี 1 เปน แบบทดสอบ 4 ตวั เลือก จาํ นวน 20 ขอ 4) แบบสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนักเรียน การวิจัยครั้งน้ีเปนการวิจัยเชิงทดลองแบบเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผูวิจัยดําเนินการทดลอง ตามแผนการวิจัยแบบสองกลมุ มกี ารทดสอบกอ นและหลังการทดลอง (Two Group pre-test post-test Design) สรปุ ผลการวิจัย 1. นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู โดยใชเ ทคนิค STAD มีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเรอ่ื ง อัตราสวน ไมแ ตกตางกนั อยางมีนัยสาํ คัญทางสถติ ิที่ 0.05 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวชิ าคณติ ศาสตรเ รื่อง อตั ราสว น หลงั เรยี นสงู กวากอ นเรยี น อยางมนี ัยสําคญั ทางสถิติท่ี 0.05 3. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดร ับการจดั การเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธทิ์ างการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเรอ่ื ง อัตราสวน หลงั เรียนสงู กวากอนเรยี น อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิท่ี 0.05 4. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน หลงั เรยี นสงู กวา เกณฑรอยละ 70 อยางมีนัยสาํ คัญทางสถติ ิที่ 0.05 5. นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที่ 1 ท่ไี ดร ับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตรเ ร่ือง อัตราสวน หลังเรยี นสงู กวาเกณฑร อยละ 70 อยางมีนยั สําคัญทางสถิติท่ี 0.05 6. นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 ที่ไดรบั การจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรู โดยใชเทคนิค STAD มีพฤติกรรมการทํางานกลุม อยูในระดบั ดี

67 อภปิ รายผล จากการศึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรเ รื่อง อัตราสวน ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปท่ี 1 กอน และหลังทีไ่ ดร บั การเรียนแบบรว มมอื โดยใชเทคนิค TGT กบั การ เรยี นแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ท่ีไดร ับการจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนคิ TGT กับการจดั การเรยี นรโู ดยใชเ ทคนิค STAD ไมแ ตกตา งกัน อยางมีนยั สาํ คัญทางสถิติท่ี 0.05 เนอ่ื งจากการจัดการเรยี นรแู บบ รวมมือโดยใชเทคนคิ TGT กบั การจัดการเรียนรโู ดยใชเทคนิค STAD ท่ีมบี ริบทคลา ยคลงึ กนั เพราะเปนการจดั การเรยี นรูที่ ฝก ใหผ ูเรียนไดทํางานรวมกันเปนกลุม โดยแตล ะกลุมคละความสามารถตามระดับผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน และชวยเหลือ กันภายในกลมุ ตา งกันเพียงเทคนิค TGT มกี ารแขงขนั เกมวิชาการและจัดลําดับคะแนนรายกลุม สวนเทคนิค STAD มกี าร ทดสอบรายบุคลและจัดลําดบั คะแนนรายกลุม สอดคลอ งกับสุวิทย [63]ท่ีวา หลักการจดั การเรียนรแู บบ TGT คลา ยกับ หลักการจัดการเรียนรูแบบ STAD ซ่ึงเปนการจัดการเรียนรูแบบรวมมือที่แบงนักเรียน ท่ีมีความสามารถแตกตางกัน ออกเปนกลุมเพ่ือทํางานรวมกัน ซ่ึงผลการทดลองสอดคลองกับงานวิจัยของภาคิน [53] การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น เรอ่ื ง สมการเชงิ เสน ตวั แปรเดียว ความสามารถในการใหเ หตผุ ลทางคณติ ศาสตร และเจตคติตอการเรยี นวชิ า คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปที่ 1 ระหวางการจัดการเรยี นรูแบบกลุมรวมมือ STAD กบั การจดั การเรยี นรูแบบกลุมรวมมือ TGT พบวา นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 1 กลุมที่เรียนดวยการจัดการเรยี นรูแบบกลุมรวมมือ STAD และกลุมท่ีเรียนดวย การจัดการเรียนรแู บบกลุม รวมมือ TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไมแ ตกตา งกนั อยา งมนี ัยสําคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 2. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรือ่ ง อตั ราสวน ทีไ่ ดรับการจดั การเรียนรแู บบรวมมอื โดยใชเทคนิค TGT หลังเรยี นสูงกวากอนเรยี น อยางมนี ัยสําคัญทางสถิติท่ี 0.05 เน่อื งจากเนื่องจากการจดั การเรียนรแู บบรว มมือโดยใชเ ทคนิค TGT เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบรวมมือ ท่ีแบงกลุมนักเรียน โดยคละความสามารถ เกง – ปานกลาง - ออน นกั เรียนจะรวมมือกันเรียนรู ชว ยเหลอื กนั และกัน และไดแขงขันเกมวิชาการ ตามระดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ทํา ใหนกั เรียนเกิดทกั ษะในการทาํ งานรวมกับผูอ่ืน และเกิดองคค วามรูที่สําคัญ สงผลใหผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น ซงึ่ ผล การทดลองสอดคลองกบั งานวิจัยของอารี [64] พบวา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร โดยใชการจัดการเรียนรู แบบรวมมือกันดวยเทคนิค TGT เร่ือง กฎเกณฑเบื้องตนเก่ียวกับการนับ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 โรงเรียน โพธิสารพิทยากร หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคลองกับงานวิจัยของศิริณา [65] พบวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 1 ท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรูแบบ TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณติ ศาสตร เรือ่ ง สมการเชิงเสน ตัวแปรเดียว หลงั เรียนสงู กวากอนเรยี น อยา งมนี ยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเรื่อง อัตราสวน ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ 0.05 สอดคลองกับสมมติฐาน เน่ืองจากการจัดการเรียนรู แบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เปนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบรวมมือ ที่แบงกลุมนักเรียน โดยคละ ความสามารถ เกง – ปานกลาง - ออน นักเรียนจะรวมมือกันเรียนรู ชวยเหลือกันและกัน และไดฝกทําแบบทดสอบ รายบุคคล ทาํ ใหนักเรยี นเกิดทกั ษะในการทาํ งานรว มกบั ผูอนื่ และเกิดองคค วามรูที่สําคัญ สงผลใหผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน สูงขึ้น ซึ่งผลการทดลองสอดคลองกับงานวิจัยของเพ็ญศิริ [66] พบวา ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียน เร่ือง ความ นาจะเปน โดยการจัดการเรียนรูแบบกลุมรวมมือ เทคนิค STAD ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษาสุวินทวงศ หลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และสอดคลองกับงานวิจัย ของณฏั ฐชญา [67] พบวา ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร เร่อื ง บทประยุกต ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปท่ี 6 ท่ี เรียนโดยการจดั การเรยี นรแู บบรว มมอื เทคนิค STAD หลังเรยี นสูงกวากอ นเรยี นอยา งมีนยั สําคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05

68 4. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตรเรื่อง อตั ราสวน ท่ีไดร ับการจดั การเรยี นรแู บบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT หลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมีนยั สําคัญทางสถิตทิ ่ี 0.05 เน่ืองจากการจัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเทคนิค TGT เนนใหผูเรียนมีสว นชวยใหผ เู รียนไดเรียนรูรวมกับผูอนื่ ทําใหนกั เรียนมปี ฏิสมั พันธกับเพือ่ นในการเรียน ทาํ ใหน กั เรียน ฝก ความมีน้ําใจในการชวยเหลือเพ่ือน ฝกการรับฟง ขอเสนอแนะจากผูอื่น และกลา ท่ีจะเสนอความคิดเห็น มีการแขงขัน เกมวิชาการและจดั ลําดับคะแนนรายกลุม เพื่อกระตุนใหนักเรียนเกิดการเรียนรู สงผลใหผ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น การจดั การเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนคิ TGT ซึ่งสอดคลองกับงานวจิ ัยของกฤษกร [37] ศกึ ษาเร่ืองการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรูวิชาคณิตศาสตร เร่ือง เรขาคณิต ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 6 ระหวางการจัดการเรียนรู แบบรวมมือ เทคนิค TAI และเทคนิค TGT ผลการวิจัยพบวา 1) นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 6 กลุมท่ีไดรับการจัดการ เรยี นรูแบบรว มมือเทคนิค TAI มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หลงั เรียนสูงกวากอนเรียน อยา งมีนยั สําคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 กลุมที่ไดร ับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธิท์ างการเรียน หลัง เรยี นสูงกวากอ นเรยี น อยา งมนี ัยสําคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ.05 และ 3) นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 6 กลมุ ท่ไี ดรับการจัดการ เรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TAI และกลุมท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค TGT มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไม แตกตา งกัน 5. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรเร่ือง อัตราสวน ท่ีไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกวาเกณฑรอยละ 70 อยางมนี ัยสําคัญทางสถิติท่ี 0.05 เนื่องจากการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใช เทคนิค STAD เนนใหผูเรียนมีสว น ชวยใหผูเรยี นไดเ รียนรูรว มกับผูอนื่ ทาํ ใหนักเรียนมปี ฏิสมั พันธก ับเพ่ือนในการเรียน ทํา ใหนักเรียนฝกความมีน้ําใจในการชวยเหลือเพ่อื น ฝกการรับฟงขอเสนอแนะจากผูอน่ื และกลาที่จะเสนอความคิดเห็น มี การทดสอบรายบุคลและจดั ลําดับคะแนนรายกลุม เพ่ือกระตุนใหน ักเรียนเกิดการเรยี นรู สงผลใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพิ่มขึ้น ซึ่งผลการทดลองสอดคลอ งกับงานวิจัยของชไมพร [29] พบวา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 5/3 ท่ีไดรับการสอน แบบแบง กลุมผลสมั ฤทธิ์ STAD มีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาคณติ ศาสตร เร่อื งความนาจะเปน สูงกวา เกณฑรอยละ 70 6. นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค TGT กับการจดั การเรียนรโู ดย ใชเทคนิค STAD มพี ฤติกรรมการทํางานกลุม อยูในระดับดี เน่อื งจากผลการวิเคราะหระดบั พฤติกรรมการทํางานกลุม ของ นักเรียนทีจ่ ัดการเรียนรูแบบรว มมือโดยใชเ ทคนคิ TGT โดยนักเรยี นเปนผูประเมินพบวา นักเรียนมีพฤตกิ รรมการทํางาน กลุมในภาพรวมอยูในระดับ ดี เม่ือพิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมีปฏิสัมพันธท่ีดีตอเพ่ือนรวมกลุมอยูในลําดับที่ 1 การมีความสามัคคีในการทํางานอยูใ นลําดับที่ 2 การรับผิดชอบในงานท่ีไดรับมอบหมายอยูในลําดับที่ 3 การสวนรวมใน การแสดงความคิดเห็นอยูในลําดับท่ี 4 การใหคําปรึกษาเพ่ือนในกลุมเม่ือมีขอสงสัยอยูในลําดับที่ 5 ตามลําดับ ผลการ วิเคราะหระดบั พฤติกรรมการทํางานกลมุ ของนักเรียนทจี่ ัดการเรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT โดยครเู ปน ผูประเมิน พบวา นกั เรียนมพี ฤติกรรมการทาํ งานกลุมในภาพรวมอยใู นระดับดี เมอื่ พิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมีปฏสิ ัมพันธที่ ดตี อเพื่อนรวมกลุมอยูในลําดับที่ 1 การใหคําปรกึ ษาเพือ่ นในกลุมเมื่อมีขอ สงสัยอยูในลําดับท่ี 2 การมีรบั ผดิ ชอบในงานที่ ไดรับมอบหมายอยูในลําดับที่ 3 การมีความสามัคคีในการทํางานอยูในลําดับที่ 4 และการมีสวนรวมในการแสดงความ คดิ เห็นอยใู นลําดบั ที่ 5 ตามลําดับ ผลการวิเคราะหระดับพฤติกรรมการทํางานกลุม ของนักเรียนท่ีจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยนักเรียนเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี เม่ือพิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมปี ฏิสมั พันธทีด่ ีตอ เพอื่ นรว มกลุมอยูในลําดับท่ี 1 การใหคําปรึกษาเพอื่ นในกลมุ เมอ่ื มีขอสงสยั อยูในลําดับท่ี 2 การมคี วามสามคั คีในการทํางานอยูในลําดับท่ี 3 การรับผิดชอบในงานที่ไดร ับมอบหมายอยใู นลําดบั ท่ี 4 และการมีสวน รว มในการแสดงความคิดเห็นอยใู นลําดับท่ี 5 ตามลาํ ดับ ผลการวิเคราะหระดับพฤติกรรมการทํางานกลมุ ของนักเรียนที่ จัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD โดยครูเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพ รวมอยูในระดับดี เมื่อพิจารณาเปนรายขอ จะเห็นวา การมีปฏิสัมพันธที่ดีตอเพ่ือนรวมกลุมอยูในลําดับที่ 1 การให

69 คาํ ปรึกษาเพ่ือนในกลุมเม่ือมีขอ สงสัยอยใู นลําดับท่ี 2 การรับผดิ ชอบในงานที่ไดรบั มอบหมายอยูในลําดับที่ 3 การมีความ สามคั คใี นการทํางานอยใู นลาํ ดับท่ี 4 การมีสว นรวมในการแสดงความคิดเห็นอยใู นลําดับท่ี 5 ตามลาํ ดับ จากผลการวเิ คราะหพบวานักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 1 ที่ไดร บั การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรูโดยใชเทคนิค STAD โดยนักเรียนเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพ รวมอยูในระดับดี ทั้งสองเทคนิค และพบวาระดบั พฤติกรรมการทํางานกลุมอยูในระดับดีขึ้นไปทุกดาน โดยในดานการมี ปฏิสัมพันธที่ดีตอเพื่อนรวมกลุมอยูในลําดับท่ี 1 ทั้งสองการจัดกิจกรรม และจากผลการวิเคราะหพบวานักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 1 ท่ีไดรบั การจดั การเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรยี นรูโดยใชเทคนิค STAD โดย ครูเปนผูประเมิน พบวา นักเรียนมีพฤติกรรมการทํางานกลุมในภาพรวมอยูในระดับดี ทั้งสองเทคนิค และพบวาระดับ พฤติกรรมการทํางานกลมุ อยูในระดับดีข้ึนไปทุกดาน โดยในดานการมีปฏสิ ัมพันธทด่ี ีตอเพ่ือนรวมกลุมอยใู นลําดับท่ี 1 ทั้ง สองการจัดกิจกรรม จะเห็นไดวาการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรียนรูโดยใชเทคนิค STAD สงผลใหนักเรียนมปี ฏิสัมพนั ธที่ดตี อเพ่ือนรว มกลุม นักเรียนไดรวมกันทํางานเปนกลุมคละความสามารถ แตใ นชวง แรกนักเรียนยงั ไมคอนมปี ฏิสัมพนั ธร วมกบั กลุมมากนักเนื่องจากยังอยากทํางานรว มกับนักเรยี นท่ีมีผลสมั ฤทธ์ิใกลเ คียงกัน แตเ ม่อื รวมกันศึกษาเรียนรู รวมกันทํางานส่ิงใดสง่ิ หนึ่งโดยมเี ปาหมายรวมกัน รวมกันแกป ญ หา พึง่ พาซึ่งกันและกัน สงผล ใหนักเรียนไดมีปฏิสมั พันธต อผูอื่นท่ีดีข้ึน ความรับผิดชอบตอ ตนเองและผูอ่นื มากขึ้น ไดรวมทํางานกบั ผอู ่ืนเพื่อนําพากลุม ไปสูความสําเร็จ และทาํ งานรวมกับผูอ่ืนไดอยางมีประสิทธิภาพ สอดคลองกับวรดาการ [48] ไดส รุปวา การจัดกิจกรรม การเรยี นรูท ่ีใหผูเ รยี นไดท ํางาน กันเปนกลุมนั้น จะทาํ ใหเกิดประโยชนตอ ผูเรียน ทั้งในดา นการมปี ฏสิ มั พันธทดี่ ตี อ กนั สราง ความมีระเบียบวินัยในการทํางานรวมกับผูอื่น สงเสริมความคิดริเริ่มสรางสรรค และความรับผิดชอบตองานในสวนท่ี ตนเองไดรบั มอบหมาย และมีความรบั ผิดชอบตองาน ของกลุม ตลอดจนเปนการสงเสริมความเปนประชาธปิ ไตยใหเ กิดกับ ผเู รียนไดเปนอยางดี ซ่ึงผลการทดลองสอดคลอ งกบั งานวจิ ยั ของธัญญลักษณ [68] ศกึ ษาเร่อื ง ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเรือ่ ง เสนขนานโดยวิธีการเรยี นแบบรวมมือเทคนิค TGT, STAD, และ LT ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท ่ี 2 พบวา พฤติกรรม การเรียนแบบรว มมือของนกั เรียนอยใู นระดับมาก นน่ั แสดงวา การเรียนแบบรวมมือเทคนิค TGT, STAD, และ LT ทําให นักเรียนมีความชวยเหลือกัน การปฏิสัมพันธกันและมีความรับผิดชอบดีขึ้นทั้งรายบุคคลและรายกลุม ซึ่งสงผลใหผล สัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรสูงข้ึน และสอดคลองกับงานวิจัยของณัฏฐชญา [67] พบวา พฤติกรรมการทํางาน กลุมของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 6 ท่ีเรียนโดยการจัดการเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค STAD เรื่อง บทประยุกต โดยรวมอยูในระดบั ดี

70 ขอ เสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ ผูวิจัยมีขอเสนอแนะท่ีเห็นวานาจะเปนประโยชนตอการจัดการเรียนรูคร้ังตอไป ซ่งึ ประกอบดวย ขอเสนอแนะเพ่ือนําผลการวิจยั ไปใช และขอ เสนอแนะเพ่ือการวจิ ัยคร้งั ตอไป ดังน้ี ขอ เสนอแนะเพอ่ื นําผลการวิจยั ไปใช 1. ในการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ครูควรแนะนํา ทําความเขาใจกับนักเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจและปฏิบัติตามขั้นตอนไดอยางถูกตอง ครูควรเตรียม แบบทดสอบ แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลมุ สื่ออุปกรณ ในการเลน เกมและทํากิจกรรม เพ่ือสะดวกตอการหยิบใช งาน และครบถวนตามจํานวนนกั เรียน ไมเสยี เวลาในการจดั การเรยี นรู 2. ในการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD เปนการจดั การเรยี นรูท่ีเนน พฤติกรรมการทาํ งานเปน กลมุ นักเรียนคอนขางจะใชเวลามาก เนื่องจากมีการเลนเกมและทํา แบบทดสอบ ดงั นนั้ จึงไมเ หมาะสมทีจ่ ะจัดกจิ กรรมการเรยี นรใู นลกั ษณะนี้ทุกคาบเนื่องจากบางเนือ้ หาตอ งมีการทําใบงาน และแบบฝกหดั เพ่อื ฝก ฝนทกั ษะและกระบวนการในการแกปญ หา 3. ในการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค STAD ทําใหพฤติกรรมการทํางานกลุมอยูในระดบั ดใี กลเคยี งกัน หากครูตองการใหนกั เรียนมีปฏิสมั พันธที่ดีตอ เพื่อนรวมกลุมดขี ้ึน ควรเลอื กการจดั การเรยี นรูแบบรว มมือโดยใชเทคนคิ TGT ขอเสนอแนะเพอ่ื การวจิ ยั ครัง้ ตอ ไป 1. ควรมีการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร ที่ไดรับการจัดการเรียนรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT กับการจัดการเรยี นรแู บบรว มมือโดยใชเทคนิค STAD โดยแบงนักเรียนตามกลุมผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนในระดบั เกง ปานกลาง ออ น แยกแตละระดับกลมุ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 2. ควรมีการศึกษาตัวแปรอ่ืน ๆ รวมกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เชน ความคงทนในการเรียนรู เจตคติตอวิชา คณติ ศาสตร และความคดิ สรางสรรค รวมกับการจัดการเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT หรือการจัดการเรียนรูแบบ รว มมือโดยใชเ ทคนคิ STAD 3. ควรมีการศึกษาผลการจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT หรือการจดั การเรยี นรูแบบรวมมือโดยใช เทคนิค STAD รวมกับการจดั การเรยี นรูเทคนคิ อืน่ ๆ เชน TAI , CIPPA Model เปนตน

71 รายการอา งองิ [1] ไพฑรู ย สนิ ลารตั น และคณะ. (2557). เตบิ โตเต็มศกั ยภาพสศู ตวรรษท2ี่ 1ของการศกึ ษาไทย. กรุงเทพฯ: วิทยาลัย ครุศาสตรม หาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิต. [2] กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2560). มาตรฐานการเรยี นรแู ละตวั ชีว้ ดั กลุมสาระการเรียนรคู ณติ ศาสตร วิทยาศาสตร และสาระภมู ศิ าสตรใ นกลุมสาระการเรียนรสู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พชุมนมุ สหกรณก ารเกษตร แหง ประเทศไทย จาํ กดั . [3] วรณัน ขนุ ศรี. (2546). “การจัดการเรียนการสอนคณติ ศาสตร. ” วารสารวชิ าการ. 6(3): 3. [4] จรรยา หารพรม. (2560). “การพัฒนาผลการเรียนรูค ณิตศาสตรแ ละพฤติกรรมการทํางานกลุม โดยการจัดการ เรียนรูแบบ STAD รว มกับ KWDL ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 3.” วทิ ยานิพนธป ริญญาศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการนเิ ทศ บัณฑติ วทิ ยาลยั . มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. [5] ทศิ นา แขมมณ.ี (2555). ศาสตรก ารสอน : องคค วามรูเพอ่ื การจัดกระบวนการเรยี นรทู ี่มปี ระสิทธภิ าพ. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณม หาวิทยาลัย. [6] ชยั วฒั น สุทธริ ัตน. (2555). 80 นวัตกรรม การจดั การเรยี นรูทเี่ นน ผเู รียนเปน สําคญั . กรงุ เทพฯ: แดเน็กซอ นิ เตอรคอรปอเรชัน. [7] อทิติยา สวยรปู . (2556). “การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนในรายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศ เรอ่ื ง คอมพวิ เตอร เบ้อื งตน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 1 ดว ยการเรยี นการสอนแบบกลุมรวมมอื โดยใชเ ทคนิคSTAD.” วทิ ยานพิ นธปริญญาศกึ ษาศาสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร. [8] วชั รา เลาเรียนด.ี (2547). เทคนคิ วิธกี ารจัดการเรียนรูสาํ หรบั ครมู ืออาชพี . นครปฐม: มหาวิทยาลยั ศิลปากร. [9] Slavin, Robert E. (1990). Cooperative Learning : Theory, Research and Practice. New Jersey : Prentice - Hall. [10] Johnson, D. W., Johnson, R. T., & Smith, K. A. (2014). Cooperative learning: Improving university instruction by basing practice on a validated theory. Journal on Excellence in College Teaching, 25, 87-88. [11] นนั ทนภัส นยิ มทรัพย. (2560). ความรูพ ้ืนฐานดา นการเรยี นการสอน. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พแ หง จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั [12] สมบัติ การจนารกั พงค. (2547). นวตั กรรมการศึกษา ชุดที่ 29 เทคนิคการจดั การเรยี นรูที่หลากหลาย การเรียนแบบรว มมอื . กรุงเทพ : ธารอกั ษร [13] วัชรา เลา เรยี นดี. (2548). เทคนิควิธกี ารจัดการเรียนรสู ําหรบั ครมู อื อาชพี . นครปฐม : โรงพิมพม หาวิทยาลัยศลิ ปากร. [14] กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2560). ตัวช้ีวดั และสาระการเรียนรแู กนกลางกลมุ สาระการเรยี นรคู ณติ ศาสตร (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช มุ นมุ สหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จํากดั . [15] Johnson, D.W. and Johnson, R.T. 1987. Learning Together and Alone: Cooperative, Competitive and Individualistic Leaning. 2 nd ed. New Jersey: Prentice-Hall. [16] ปราณี แพรอตั ร. (2553). “การพฒั นาผลการเรยี นรู เร่อื ง การวดั ของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท่ี 3 ดว ยเทคนิค STAD โดยประยุกตใ ชกิจกรรมการละเลน ของเด็กไทย.” วิทยานิพนธปรญิ ญาศกึ ษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการนเิ ทศ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.

72 [17] นารี ศรปี ญญา. (2556). “การพฒั นาการอา นและการเขียน กลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทย สําหรับ นกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที่ 3 โดยการเรียนรูแบบรวมมือเทคนิค STAD.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บรุ รี ัมย. [18] แกว มะณี เลิศสนธ์ิ. (2557). “การจดั การเรยี นรูคณติ ศาสตร เร่อื งสมการเชิงเสน ตัวแปรเดยี วดวยรูปแบบ การจัดการเรยี นรแู บบรวมมือแบบแบง กลมุ ผลสัมฤทธ์ิ (STAD) สําหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 จงั หวัดฉะเชิงเทรา.” วทิ ยานิพนธป รญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยบรู พา. [19] วยิ ดา ยืนสขุ . (2557). “ผลการใชแ บบฝก ทักษะวิชาภาษาไทย เรื่อง หลักภาษาโดยใชก ารเรยี นรูแบบ รว มมอื เทคนิค STAD สาํ หรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที่ 3.” วทิ ยานพิ นธปรญิ ญาครุศาสตร มหาบัณฑิต, สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภัฏบุรีรมั ย. [20] Slavin, Robert E. (1995). Cooperative Learning. 2nd ed. USA : Allyn and Bacon. [21] วชั รา เลาเรียนดี. (2556). ศาสตรการนิเทศการสอน และการโคช การพฒั นาวิชาชพี : ทฤษฎกี ลยุทธส ูการ ปฏบิ ตั ิ. (พิมพครั้งท่ี 12). นครปฐม : โรงพมิ พม หาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทรน ครปฐม. [22] วฒั นาพร ระงบั ทุกข. (2542). แผนการสอนทเ่ี นน ผูเรยี นเปน ศนู ยก ลาง. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ . [23] กรมวชิ าการ. (2543). แนวทางการบรหิ ารโรงเรียนปฏิรปู การเรยี นร.ู กรุงเทพฯ: โรงพิมพครุ สุ ภาลาดพรา ว. [24] เรณู จนิ สกุล. (2552). “การพัฒนาผลการเรียนรเู ร่อื งพื้นทผ่ี ิวและปริมาตรของนกั เรียนช้นั มัธยม ศกึ ษาปท่ี 3 โดยจดั การเรียนรูตามแนวคอนสตรคั ติวสิ ซมึ รวมกบั เทคนิคกลมุ ผลสัมฤทธิ์ (STAD).” วิทยานพิ นธปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. [25] สุภาพร ทองนอย. (2557). “การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เรอ่ื งรูปสเี่ หลี่ยม ความสามารถ ในการคิดวเิ คราะหแ ละแรงจูงใจใฝส มั ฤทธิ์ ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 6 ระหวางการจัดกจิ กรรม การเรยี นรูแบบกลมุ รว มมอื เทคนิค TGT และเทคนิค STAD.”วิทยานพิ นธปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. [26] รัชนี แกว มงุ . (2558). “การพัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนคณติ ศาสตร เรอ่ื ง เศษสว น โดยใชการเรียนรู แบบรวมมอื เทคนิค STAD ของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาป ที่ 1 โรงเรยี นเตรยี มอุดมศึกษาพฒั นาการ.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลกั สตู รและการเรียนการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. [27] รัตนา บตุ รอุดม. (2559). “ผลการจัดการเรยี นรูแบบรว มมอื เทคนิค TGT โดยใชชุดฝกทักษะการอานและ การเขียนภาษาไทย สาํ หรับนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 1 ทีใ่ ชภาษาถ่นิ ในชีวิตประจาํ วัน.” วิทยานพิ นธ ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลยั บรู พา. [28] สมเกยี รติ ผดงุ ทรัพยภ ญิ โญ. (2557). “ผลการใชเ อกสารประกอบการเรยี นรูเร่อื ง การปลูกผักสวนครัว ปลอดภยั จากสารพษิ โดยใชว ิธกี ารเรียนรแู บบรวมมือเทคนคิ STAD สาํ หรบั นักเรียนชั้นมัธยม ศกึ ษาปที่ 1.” วิทยานพิ นธป ริญญาครุศาตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรรี มั ย. [29] ชไมพร รังสิยานพุ งศ. (2558). “การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น พฤติกรรมการทาํ งานกลุมและเจตคติ ตอ การเรียนวชิ าคณติ ศาสตร เร่ืองความนา จะเปน ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที่ 5/3 โรงเรียนอัมพวนั วิทยาลัย โดยใชวิธแี บง กลุมสมั ฤทธ์ิ STAD.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาวทิ ยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าคณิตศาสตรศึกษา บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.

73 [30] สุรภา สีลารตั น. (2558). “การประเมนิ ความแตกตางประสบการณการเรยี นรู เร่ือง คําและหนา ท่ขี อง คําของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปท่ี 4 ระหวางการจัดการเรยี นรแู บบรวมมอื ดวยเทคนิค STAD กับการ จัดการเรียนรูดวยวิธีปกติ.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจยั และประเมินผล การศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม. [31] บตุ รญรัตน วนั โส. (2559). “การพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตรตามแนวทฤษฎี การสรา ง องคความรูด วยตนเองรวมกบั การเรียนรูแบบรว มมือ รปู แบบ STAD เรื่อง ทศนิยมและเศษสว น ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 1.” วิทยานิพนธปรญิ ญาครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. [32] แคทลยี า ใจมลู . (2549). “ผลการจดั การเรยี นรูโดยใชเทคนคิ STAD ในกลุม สาระการเรียนรูคณติ ศาสตร เร่ือง อตั ราสว นและรอ ยละ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 2 โรงเรยี นหวยสานยาววิทยา สํานกั งานเขตพืน้ ที่ การศกึ ษาเชียงราย เขต2.” วทิ ยานิพนธปริญญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน คณะครุศาสตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเชยี งราย. [33] ศิริวรรณ วณชิ วัฒนวรชยั . (2558). วิธสี อนทั่วไป. นครปฐม: คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศิลปากร. [34] สุวิทย มลู คํา. (2548). การสอนคดิ เชิงกลยุทธ. กรงุ เทพฯ : ดวงกมลสมยั . [35] สารสนิ เลก็ เจริญ. (2554). “การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนเรอ่ื งการเขียนสะกดคําของนักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปท ี่ 1 ทไ่ี ดรบั การสอนโดยการเรยี นแบบรวมมอื เทคนิค TGT กบั การสอนแบบปกต.ิ ” วทิ ยานพิ นธป ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. [36] ธนดั ดา คงมีทรพั ย. (2557). “การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตรและจติ วิทยาศาสตร เร่อื งระบบนิเวศของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 ทีไ่ ดรบั การจดั การเรียนรูตามรูปแบบการเรยี นรู แบบรว มมอื (เทคนิค TGT) กบั แบบปกติ.” วทิ ยานพิ นธปรญิ ญาครศุ าตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู ร และการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เทพสตรี. [37] กฤษกร สขุ อนันต. (2558). “การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรูว ิชาคณติ ศาสตร เรื่องเรขาคณติ ของนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปท ่ี 6 ระหวา งการจดั การเรียนรูแบบรวมมือเทคนคิ TAI และเทคนิค TGT.” วทิ ยานพิ นธป ริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราํ ไพพรรณ.ี [38] สุวทิ ย คาํ มลู และอรทัย มลู คํา. (2545). 19 วธิ ีการจดั การเรยี นรเู พือ่ พฒั นาทกั ษะ. กรุงเทพ: โรงพมิ พภ าพพมิ พ [39] รตั นา เจียมบุญ. (2540). “การเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นและเจตคตติ อวิชาคณติ ศาสตร ของ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 4 ท่ีไดร ับการสอนโดยใชก ิจกรรมการเรยี นการสอน แบบรวมมอื ประกอบการ สอนแบบ Teams-Gamed-Tournament กับการสอนตามคมู อื คร.ู ” ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการมธั ยมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒประสานมติ ร. [40] เขมวนั ต กระดงั งา. (2554). “ผลการเรยี นดวยกระบวนกลมุ รวมกบั เวบ็ สนับสนุนการเรียนทีม่ ตี อ ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นและพฤตกิ รรมการทํางานกลุม วิชาการพฒั นาเว็บไซตเ บอื้ งตน นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 2.” ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีการศกึ ษา มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. [41] ศกุ ราวรรณทิชา เสาเวียง. (2556). “การเปรียบเทยี บกระบวนการในการทํางานกลุมและความสามารถในการ ทาํ งานกลมุ ของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปท ี่ 6 ที่ไดร ับการสอนโดยใชแ บบเรยี นอัตลกั ษณกับการสอนแบบเดมิ ใน กลุมสาระการเรียนรูก ารงานอาชพี และเทคโนโลยี.” ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒประสานมิตร. [42] สุรางคร ตั น พงษก ลิน่ . (2557). “การเปรียบเทียบผลการจดั การเรียนรกู ลุมสาระการเรยี นรูส ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมแบบสบื เสาะหาความรูเ ปนกลมุ กบั แบบโครงงานที่มีตอ ความสามารถในการคิดวเิ คราะหและ ความสามารถในการทํางานกลุมของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปท ่ี 6.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการเรียนรู มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา.

74 [43] ณัฐกานต เจรญิ กลุ . (2557). “การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ทกั ษะการคดิ วิเคราะหและพฤตกิ รรมการทํางาน กลมุ กลมุ สาระการเรยี นรูส ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระท่ี 2 หนา ทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรมและการดําเนิน ชวี ติ ในสังคม ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปท ี่ 6 ดวยการจดั การเรียนการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคตวิ ิสต.” วิทยานิพนธป ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยขอนแกน. [44] ทิศนา แขมมณ.ี (2537). กลุมสัมพันธเ พือ่ การทํางานเปน ทีมและการจดั การเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. [45] เสาวภาคย เศรษฐศักดาศิริ. (2549). “การศกึ ษาผลการเรียนรูคณิตศาสตร เรือ่ ง เศษสวน ท่ีสอนดวยวธิ ี สอนแบบรวมมือกันเทคนิคกลุมแขง ขัน (TGT) และเทคนิคกลุมผลสมั ฤทธิ์ (STAD) ของนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปท่ี 4.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการนิเทศ มหาวิทยาลัยศิลปากร. [46] ปรัชญา ละงู. (2560). “ผลการจัดการเรยี นรูร ายวชิ าชวี วิทยา เร่อื ง โครงสรางและหนาทขี่ องพชื ดอก ดว ยการ จัดการเรียนรแู บบวัฏจักรการเรยี นรู 5 ขั้น รว มกับแนวคิดการเรียนรูแบบรว มมอื ทมี่ ีตอผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น และความสามารถในการทํางานกลุม ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5.” วทิ ยานิพนธปรญิ ญาวิทยาศาสตร มหาบัณฑติ สาขาวิชาชีววิทยาศึกษา มหาวิทยาลัยบรู พา. [47] สุจติ รา แกว หนองแสง. (2558). “การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหนว ยการเรียนรูก ารบวก การลบ การคณู ทศนยิ ม และพฤติกรรมการทาํ งานกลุม ของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที่ 5 จากการจัดการเรียนรูแบบรว มมือ เทคนิค STAD.” วทิ ยานพิ นธป ริญญาครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ นครราชสีมา. [48] วรดาการ ปรางสุข. (2560). “การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หนวยการเรยี นรู การรวมกลุม ทางเศรษฐกจิ และ พฤติกรรมการทาํ งานกลมุ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 3 จากการจดั การเรียนรูแบบรวมมือเทคนิคจกิ ซอว รวมกับแผนผงั ความคิด.” วิทยานพิ นธปริญญาครศุ าสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. [49] กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2542). พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542. กรุงเทพฯ: บริษัทสยาม สปอรต ซินดเิ คท จํากดั . [50] บุญชม ศรสี ะอาด. (2553). การวิจยั เบือ้ งตน (พมิ พค รง้ั ท่ี 8). กรุงเทพฯ: สุวีริยสาสน [51] วสั รนิ ประเสริฐศร.ี (2544). “การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร เรื่อง เศษสวนของ นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปท ี6่ ทีส่ อนดวยการเรียนแบบรวมมอื กบั กับการ สอนตามแนวคมู อื คร.ู ” ปริญญานพิ นธ การศึกษามหาบณั ฑติ สาขาหลกั สูตรและการนิเทศ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. [52] บญั ชา ชินโณ. (2556). การพฒั นากิจกรรมการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชรปู แบบแบงกลมุ ผลสัมฤทธิ์ (STAD) รวมกับกระบวนการสรา งตัวแบบเชงิ คณติ ศาสตร ท่ีสงผลตอ ความสามารถในการแกป ญ หาทาง คณิตศาสตร พฤติกรรมการทาํ งานกลุม และเจตคติตอวิชาคณิตศาสตร ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4.” วทิ ยานพิ นธปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร. [53] ภาคิน อนันตกิจบาํ รงุ . (2557). “การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น เรือ่ ง สมการเชงิ เสน ตวั แปรเดยี ว ความสามารถในการใหเหตผุ ลทางคณิตศาสตร และเจตคตติ อ การเรียนวิชาคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ระหวา งการจัดการเรยี นรแู บบกลมุ รวมมอื STAD กับการจัดการเรียนรแู บบกลมุ รว มมอื TGT.” วทิ ยานพิ นธ ปรญิ ญาศึกษาศาตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. [54] ภาวินี อว นศรเี มอื ง. (2557). “การเปรยี บเทียบผลการเรียนเรอ่ื งระบบฐานขอ มลู ของนักเรียนทเี่ รียนดวยบทเรียน บนเวบ็ รว มกบั การเรยี นรแู บบ TGT และการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแบบ STAD ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5.” วิทยานพิ นธป รญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยแี ละสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.

75 [55] พรภทั ร สนิ ดี. (2557). “ ผลการจดั การเรียนรูแบบบูรณาการเชิงวธิ ีการท่ีเนนกระบวนการกลุมทีม่ ตี อ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร ความสามารถในการสอื่ สารทางคณิตศาสตรแ ละพฤติกรรมการทาํ งานกลมุ เร่อื ง ลําดบั และอนุกรม ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5.” ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการมธั ยมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒประสานมิตร. [56] มินตา ชนะสิทธ์ิ. (2558). “การเปรียบเทียบความสามารถในการแกปญ หาทางคณิตศาสตร ดวยการจัดการเรยี นรู แบบรว มมอื โดยใชเ ทคนิค STAD และเทคนคิ TAI ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 1.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญา ครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราํ ไพพรรณ.ี [57] ลียานา ประทีปวัฒนพนั ธ. (2558). “การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรเรื่องความนาจะเปน ของ นักเรียนหอ งเรยี นเรียน สสวท. ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 3 โดยการจัดการเรยี นรแู บบวัฏจกั รการเรียนรู 7E รว มกบั การ เรียนแบบ STAD.” วทิ ยานพิ นธป รญิ ญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าคณิตศาสตรศ ึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา. [58] อําภา บรบิ รู ณ. (2561). “การพฒั นาชุดการสอนคณติ ศาสตร โดยการเรียนรแู บบใชป ญหาเปนฐาน (PBL) และทีมแขง ขัน (TGT) ทเี่ สริมสรา งทกั ษะกระบวนการทางคณติ ศาสตร เจตคติ และผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน สาํ หรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 3.” วทิ ยานิพนธปริญญาครศุ าสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. [59] Slavin, Robert E. (1990). Cooperative Learning : Theory, Research and Practice. New Jersey : Prentice - Hall. [60] Suyanto, Wardan. (1999). “The Effects of Student Team-Achievement Division on Mathematics Achievement in Yogyakata Rural Primary Schools (Indonesia),” Dissertation Abstracts International. 59(10) : 3766-A. [61] Tarim, Kamuran and Fikri Akdeniz. (2008). The Effects of Cooperative Learning on Turkish Elementary Students’ Mathematics Achievement and Attitude Towards Mathematics Using TAI and STAD Methods. Educational Studies in Mathematics. [62] มนตรี อนันตรกั ษแ ละคณะ. (2546). วิธกี ารทางสถิติสาํ หรบั วจิ ัย. มหาสารคาม : ภาควชิ าวิจัยการศึกษาคณะ ศึกษาศาสตร มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. [63] สุวทิ ย มลู คํา. (2547). กลยทุ ธก ารสอนคดิ เชงิ กลยุทธ. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พภ าพพิมพ. [64] อารี บัวศร.ี (2560). “ผลการจัดการเรยี นรูแบบรว มมือกนั ดวยเทคนิค TGT เร่ือง กฎเกณฑเบ้อื งตนเกยี่ วกับการนบั ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนโพธิสารพิทยากร.” วิทยานิพนธป รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลัยรามคาํ แหง. [65] ศิริณา จา ทอง. (2560). “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร เรื่อง สมการเชิงเสนตัวแปร เดยี ว ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 1 ระหวา งการจัดการเรยี นรแู บบ TGT กบั แบบปกติ.” โรงเรยี นพรตพทิ ยพยตั .” วิทยานพิ นธปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคําแหง. [66] เพ็ญศริ ิ ศรีชมภ.ู (2559). “การศกึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร เรอ่ื ง ความนา จะเปน โดยการ จดั การเรียนรแู บบกลมุ รวมมอื เทคนิค STAD ขอนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สวุ ินทวงศ.” วทิ ยานพิ นธปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าคณติ ศาสตรศึกษา มหาวิทยาลยั รามคาํ แหง. [67] ณฏั ฐช ญา อินพูลวงษ. (2559). “ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นคณิตศาสตร เจตคตติ อ คณิตศาสตร และพฤติกรรมการ ทํางานกลุมของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปท ่ี 6 ทเ่ี รยี นโดยการจดั การเรียนรูแบบรวมมือ เทคนิค STAD.” วิทยานิพนธป ริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลักสตู รและการสอน มหาวิทยาลัยบูรพา. [68] ธัญญลกั ษณ ศรีอนิ ทร. (2555). “ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนคณติ ศาสตรเร่ือง เสน ขนาน โดยวธิ ีการเรียนแบบรวมมอื เทคนิค TGT, STAD และ LT ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 2.” วิทยานิพนธป รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลกั สตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรัมย.

76 ภาคผนวก

77 ภาคผนวก ก คณุ ภาพของเครอื่ งมือท่ใี ชใ นการวจิ ัย

78 ตาราง ก.1 คาดัชนีความสอดคลอ งของวตั ถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอแผนการจดั การเรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนิค TGT แผนการจดั การเรยี นรทู ่ี 2 เร่ือง อัตราสวนและอัตราสว นท่เี ทากัน (TGT) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ช้ีวัด ผูเชี่ยวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลองกับจดุ ประสงคการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสําคญั สอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกับสาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคก ารเรียนรสู อดคลองกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคก ารเรยี นรูสอดคลอ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรยี นรู 5.1 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลอ งกับสาระสาํ คัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรยี นรูส อดคลองกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรยี นรูส อดคลองกับการวัดและการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สื่อ/แหลงการเรียนรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรยี นรสู อดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมินผลสอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั กิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม

79 ตาราง ก.2 คาดัชนีความสอดคลอ งของวตั ถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอ แผนการจดั การเรยี นรแู บบรวมมือโดยใชเ ทคนิค TGT แผนการจดั การเรียนรูท ี่ 4 เร่ือง อัตราสวนของจํานวนหลาย ๆ จาํ นวน (TGT) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรียนรูและตวั ช้ีวดั ผเู ช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลอ งกับจุดประสงคการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรยี นรสู อดคลอ งกบั สาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคการเรยี นรูส อดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคก ารเรียนรสู อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรยี นรู 5.1 กจิ กรรมการเรียนรูส อดคลอ งกบั สาระสําคัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกบั การวัดและการประเมนิ ผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. ส่อื /แหลงการเรยี นรู 6.1 สื่อ/แหลง การเรยี นรูสอดคลอ งกับกิจกรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกบั สาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั สาระการเรยี นรู 7.1 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม

80 ตาราง ก.3 คาดัชนีความสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอแผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนคิ TGT แผนการจัดการเรยี นรทู ี่ 7 เร่อื ง สัดสว น (TGT) รายการ ความคดิ เห็น 1. มาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัด ผเู ช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลอ งกบั จดุ ประสงคก ารเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสาํ คัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกับสาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จดุ ประสงคการเรยี นรู 4.1 จุดประสงคก ารเรียนรูสอดคลองกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จุดประสงคก ารเรียนรสู อดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรยี นรู 5.1 กิจกรรมการเรียนรูสอดคลอ งกบั สาระสําคัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลองกับการวดั และการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สื่อ/แหลง การเรียนรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรียนรูสอดคลอ งกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวดั และการประเมินผลสอดคลอ งกับสาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั สาระการเรยี นรู 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม

81 ตาราง ก.4 คา ดัชนคี วามสอดคลองของวตั ถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ที่มีตอ แผนการจัดการเรียนรูแบบรวมมอื โดยใชเทคนิค TGT แผนการจดั การเรียนรูท ี่ 9 เร่อื ง อัตราสวนและรอยละ (TGT) รายการ ความคิดเห็น 1. มาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวช้ีวดั ผเู ช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลอ งกบั จุดประสงคการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสาํ คญั 2.1 สาระสําคัญสอดคลอ งกบั สาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรียนรู 3.1 สาระการเรียนรูสอดคลอ งกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคการเรียนรสู อดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคก ารเรยี นรูส อดคลอ งกับกิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรียนรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรูสอดคลองกบั สาระสําคัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลองกบั การวัดและการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สอื่ /แหลงการเรียนรู 6.1 ส่ือ/แหลงการเรยี นรสู อดคลองกับกิจกรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลองกับสาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมินผลสอดคลองกับสาระการเรียนรู 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมินผล 0.95 เหมาะสม รวม

82 ตาราง ก.5 คาดัชนคี วามสอดคลอ งของวัตถุประสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ที่มีตอแผนการจดั การเรยี นรูแ บบรวมมือโดยใชเ ทคนคิ TGT แผนการจดั การเรียนรูท ี่ 12 เรอื่ ง อัตราสวนและรอยละในชีวติ ประจําวนั (TGT) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรียนรูแ ละตวั ช้ีวัด ผูเ ชี่ยวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.1 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลองกับจุดประสงคการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรยี นรูสอดคลองกบั สาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู 4. จุดประสงคการเรยี นรู 4.1 จุดประสงคก ารเรยี นรสู อดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จุดประสงคการเรียนรสู อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรยี นรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลองกับสาระสําคัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรยี นรูสอดคลองกบั สาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กจิ กรรมการเรยี นรูสอดคลอ งกบั การวัดและการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. ส่อื /แหลงการเรยี นรู 6.1 สือ่ /แหลงการเรียนรูส อดคลองกับกิจกรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมินผล 7.1 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลองกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลองกับสาระการเรยี นรู 7.1 การวดั และการประเมินผลสอดคลองกบั กิจกรรมการเรียนรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมินผล 0.95 เหมาะสม รวม

83 ตาราง ก.6 คา ดัชนคี วามสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ตี อ แผนการจัดการเรียนรแู บบรว มมอื โดยใชเทคนิค STAD แผนการจัดการเรียนรูท ่ี 2 เร่อื ง อัตราสว นและอตั ราสว นท่เี ทากัน (STAD) รายการ ความคิดเห็น 1. มาตรฐานการเรยี นรูแ ละตวั ช้ีวัด ผูเช่ียวชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.2 มาตรฐานการเรียนรสู อดคลองกบั จุดประสงคก ารเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลอ งกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรียนรู 3.1 สาระการเรยี นรูสอดคลอ งกบั สาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จดุ ประสงคการเรียนรู 4.1 จดุ ประสงคการเรยี นรสู อดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคการเรยี นรสู อดคลองกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรียนรู 5.1 กจิ กรรมการเรียนรูสอดคลองกบั สาระสาํ คัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กจิ กรรมการเรียนรูสอดคลองกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรียนรสู อดคลองกับการวดั และการประเมินผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. ส่อื /แหลง การเรียนรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรยี นรูส อดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมินผล 7.1 การวดั และการประเมินผลสอดคลอ งกบั สาระสาํ คญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกับสาระการเรยี นรู 7.1 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั กจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม

84 ตาราง ก.7 คา ดัชนีความสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทม่ี ีตอแผนการจดั การเรียนรูแ บบรวมมือโดยใชเทคนคิ STAD แผนการจดั การเรียนรทู ่ี 4 เรือ่ ง อตั ราสว นของจาํ นวนหลาย ๆ จาํ นวน (STAD) รายการ ความคิดเหน็ 1. มาตรฐานการเรียนรแู ละตวั ช้ีวัด ผูเชย่ี วชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.2 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลองกบั จุดประสงคก ารเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสาํ คัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกับสาระสําคญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จดุ ประสงคการเรยี นรู 4.1 จดุ ประสงคก ารเรียนรสู อดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคการเรยี นรสู อดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กจิ กรรมการเรียนรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกับสาระสาํ คัญและมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลองกบั สาระการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กจิ กรรมการเรียนรูส อดคลอ งกับการวัดและการประเมนิ ผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สอ่ื /แหลงการเรยี นรู 6.1 สือ่ /แหลง การเรยี นรสู อดคลองกับกิจกรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมินผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลอ งกับสาระสําคญั +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวัดและการประเมนิ ผลสอดคลอ งกบั สาระการเรียนรู 7.1 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลองกบั กจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวดั และการประเมินผล 0.95 เหมาะสม รวม

85 ตาราง ก.8 คา ดัชนคี วามสอดคลองของวตั ถปุ ระสงค (Index of Item Objective Congruence : IOC) ทมี่ ตี อแผนการจดั การเรียนรูแบบรว มมอื โดยใชเทคนคิ STAD แผนการจัดการเรียนรูท่ี 7 เรอ่ื ง สัดสว น (STAD) รายการ ความคดิ เห็น 1. มาตรฐานการเรยี นรูและตวั ช้ีวัด ผเู ชย่ี วชาญ ∑R IOC ความหมาย 12 3 1.2 มาตรฐานการเรยี นรสู อดคลอ งกับจุดประสงคก ารเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 2. สาระสําคัญ 2.1 สาระสาํ คญั สอดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 3. สาระการเรยี นรู 3.1 สาระการเรียนรสู อดคลองกบั สาระสาํ คัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู 4. จุดประสงคการเรียนรู 4.1 จุดประสงคก ารเรยี นรูสอดคลองกับสาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 4.2 จดุ ประสงคการเรียนรูส อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5. กิจกรรมการเรยี นรู 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลองกับสาระสําคัญและมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.2 กจิ กรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกบั สาระการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 5.1 กิจกรรมการเรยี นรสู อดคลอ งกับการวดั และการประเมนิ ผล +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 6. สือ่ /แหลงการเรียนรู 6.1 สื่อ/แหลง การเรยี นรสู อดคลอ งกับกจิ กรรมการเรียนรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7. การวดั และการประเมนิ ผล 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกับสาระสําคัญ +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม และมาตรฐานการเรยี นรู +1 +1 +1 +3 1.00 เหมาะสม 7.2 การวดั และการประเมนิ ผลสอดคลอ งกับสาระการเรียนรู 7.1 การวัดและการประเมินผลสอดคลองกับกจิ กรรมการเรยี นรู +1 +1 0 +2 0.34 ปรบั ปรุง การวัดและการประเมนิ ผล 0.95 เหมาะสม รวม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook