๙๙ แผนการสอนประจาํ บทที่ ๕ เนอ้ื หา ๓ ชวั่ โมง บทที่ ๕ อริยสจั ๔ ในฐานะจติ วทิ ยาพุทธศาสนา อริยสัจ ๔ ในธมั มจักกัปวัตนสตู ร ปฏิจจสมปุ บาทหมุนวนสคู วามทุกข ความสัมพนั ธระหวางอรยิ สจั ๔ และปฏิจจสมปุ บาท การดําเนนิ ชวี ิตดว ยสมั มาทฏิ ฐิ : การมชี ีวติ อยดู ว ยปญญา ชวี ิตทอ่ี ยอู ยางรูเทา ทนั ตามความเปนจรงิ ดว ยวิถแี หง สติ คําถามทบทวนบทที่ ๕ เอกสารอางองิ ประจาํ บท วัตถุประสงคเ ชิงพฤตกิ รรม หลังจากเรยี นจบบทนี้ นิสิต ๑ รู เขา ใจคําสอนอริยสจั ๔ และคาํ สอนปฏจิ จสมุปบาท และสามารถอธบิ ายได ๒ รู เขา ใจความสัมพันธร ะหวา งอริยสจั ๔ และปฏิจจสมุปบาท และสามารถอธบิ ายได ๓ สามารถประยุกตความรูจากคําสอนเรื่องสัมมาทิฏฐแิ ละวถิ ีแหง สตมิ าใชใ นชีวติ ประจําวนั ได วิธีสอนและกจิ กรรม ๑ ศึกษาเอกสารคาํ สอนบทท่ี ๕ ๒ วิธสี อนแบบอภิปรายเนื้อหา ซักถาม ๓ ศกึ ษาคน ควา ดว ยตนเอง
๑๐๐ ๔ รวมวเิ คราะหแ ละอภปิ รายขอ มลู จาก PowerPoint หนา ช้นั เรียน ๕ สรปุ เนือ้ หาการเรียนการสอนทกุ ครัง้ ๖ ทาํ คาํ ถามทบทวนทา ยบท และนาํ ผลทีไ่ ดจ ากการวิเคราะหความรคู วามเขา ใจของนิสติ มา ปรับปรุง สือ่ การเรยี นการสอน ๑ เอกสารคาํ สอนบทท่ี ๕ ๒ PowerPoint ๓ แบบฝก ปฏบิ ตั ิ ๔ เครือ่ งคอมพวิ เตอร การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑ สงั เกตการณก ารมีสว นรวมและการแสดงความคดิ เห็นของนิสติ ๒ สงั เกตความตง้ั ใจเรียน การต้งั คาํ ถาม/ตอบคาํ ถาม ๓ การทาํ คําถามทบทวนทายบท
๑๐๑ บทที่ ๕ อริยสจั ๔ ในฐานะจิตวิทยาพุทธศาสนา อรยิ สจั ๔ ในธมั มจักกปั วัตนสตู ร ปญหาของคนสวนใหญในโลกก็คือการขาดความรูและความเขาใจอยางลึกซึ้งในธรรมดาของโลก และชีวิต เรามักปรารถนาเพียงใหชีวิตพบกับดานที่เราปรารถนาคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แตดวยวิถี ธรรมของโลกก็มักพาเราใหพบกับ ความเสื่อมลาภ ความเส่ือมยศ นินทา และทุกข ไมทางใดก็ทางหน่ึง บางเปน ครง้ั คราวเพราะเปนธรรมดาของโลก ซึ่งพุทธธรรมเรียกวา โลกธรรม เมื่อเราไดเรียนรูธรรมะท้ังสองดา น เรียนรูความจรงิ ของชวี ติ เรากจ็ ะเปน ผเู ขาใจโลกและชีวติ มาก ข้ึน และเมื่อไดพิจารณาใครครวญดวยธรรมะมากข้ึนเราก็จะเขาใจตนเองมากข้ึน รวมทั้งเขาใจผูอื่นมาก ข้นึ ดวย พระพุทธเจาทรงแสดงความจริงอันประเสริฐผานคําสอนอริยสัจ ๔ ครั้งแรกในธัมมจักกัปวัตน สูตรแกป จจวัคคยี ท้งั ๕ ทรงแสดงไววา “ภิกษทุ ัง้ หลาย ที่สดุ ๒ ประการ บรรพชิตไมพ งึ เสพ ทสี่ ดุ ๒ ประการ อะไรบา ง คอื ๑. กามสขุ ลั ลิกานุโยค (การหมกมนุ อยดู ว ยกามสขุ ในกามทงั้ หลาย) เปนธรรมอนั ทราม เปน ของชาวบา น เปน ของปถุ ชุ น ไมใ ชข อง พระอริยะ ไมประกอบดว ยประโยชน ๒. อตั ตกิลมถานโุ ยค (การประกอบความเดือดรอ นแกตน) เปน ทกุ ข ไมใชของพระอรยิ ะ ไมป ระกอบดวยประโยชน มัชฌมิ าปฏิปทาไมเอียงเขาใกลท่สี ุด ๒ ประการน้ีทต่ี ถาคตไดตรัสรู อนั เปน ปฏปิ ทากอใหเ กดิ จักษุ กอ ใหเกิดญาณ เปนไปเพ่อื สงบระงับ เพือ่ รูย ง่ิ เพอ่ื ตรัสรู เพื่อนพิ พาน มชั ฌมิ าปฏปิ ทาที่ตถาคตไดต รสั รู อนั เปน ปฏปิ ทากอ ใหเ กิดจักษุ กอใหเกดิ ญาน เปนไปเพอื่ สงบระงบั เพอื่ รยู ่งิ เพอ่ื ตรัสรู เพ่ือนพิ พานนน้ั เปนอยางไร
๑๐๒ คือ อริยมรรคมอี งค ๘ นแ้ี ล ไดแ ก ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ๒. สมั มาสงั กัปปะ ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมากัมมนั ตะ ๕. สมั มาอาชวี ะ ๖. สมั มาวายามะ ๗. สัมมาสติ ๘. สัมมาสมาธ”ิ 172๑๗๓ พระพุทธเจาทรงแสดงวิถีแหงการดําเนินชีวิตที่ไมสุดโตงทั้งสองขาง คือการไมหมกมุนมัวเมา กับวิถีแหงกามสุขมากเกินไป และไมทําตนใหเดือดรอนดวยการทรมานตนเองมากเกินไป และทรงแสดง วิถีแหงการดําเนินชีวิตทดี่ ีงามดวยมชั ฌิมาปฏิปทา เพ่ือใหเราเปน ผอู ยูในโลกอยา งตระหนกั รเู ทา ทันความ จรงิ ของโลกและชีวิต และมคี วามสัมพันธตอสิ่งตางๆในโลกอยางผทู ่ีมีปญญา ปฏจิ จสมุปบาทหมนุ วนนาํ ไปสูความทุกข ปญ หาสวนหนึง่ ของโลกยคุ สังคมปจ จบุ ันคือคนเราขาดความเขาใจในกันและกัน มคี วามเคารพซึ่ง กันและกันนอยลง เห็นคุณคาของกันและกันนอยลง โดยเฉพาะอยางยิ่ง การเห็นคุณคาของตนเองนอยลง สาเหตุหนึ่งก็มาจากภาวะของจิตใจท่ีขาดพรองทางความรักความเมตตาตอตนเองและผูอ่ืน รวมท้ังขาด ความตระหนักรวู าส่ิงทง้ั หลายลว นเกิดข้ึนจากเหตแุ ละปจจัย ไมไดเ กดิ ข้ึนตามใจของเราที่ปรารถนาใหเปน หรือไมปรารถนาใหเปน หากกลาวตามหลักพุทธธรรม สาเหตุก็มาจากอวิชชาและตัณหา อุปาทาน (กิเลส วัฏฏ) ซึ่งเปน วงลอ แหงภวจกั รในปฏิจจสมุปบาท ซึง่ เปนหลักธรรมสาํ คญั ของจิตวิทยาพทุ ธศาสนา ปฏิจจสมุปบาทในฐานะลอแหงภวจักร มีอวิชชาและตัณหาเปนมูลแหงภวจักร173๑๗๔ หมายถึง อวิชชาและตัณหาเปนเหตุปจจัยในแงของการเกิดในภพใหม174๑๗๕ ดังน้ันการกําเนิดขึ้นของบุคคลใหมี รางกายพรอมสมบูรณหรือบกพรอง เกิดขึ้นทามกลางสิ่งแวดลอมทางสังคมท่ีดี ไดรับความรักความอบอุน ใสใจจากคนรอบขาง หรือเกิดทามกลางสิ่งแวดลอมทางสังคมท่ีไมดี ขาดความรักความอบอุนความใสใจ ๑๗๓ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๒. ๑๗๔ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๗ , วิสทุ ธ.ิ (ไทย) ๖๕๓/๙๖๓-๙๖๔. ๑๗๕ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๑๐๕.
๑๐๓ จากคนรอบขาง ท้ังนี้ก็เนื่องมาจากอดีตกรรมและวิบาก (ผลของกรรม) เปนปจจัยสวนหนึ่งท่สี งผลตอชีวิต ปจจุบันของบคุ คลนนั้ ในพุทธธรรมเรียก อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน วา กิเลสวฏั ฏ และ สงั ขาร ภพ เรียกวา กรรมวัฏฏ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องคที่ ๑๙ ไดกลาวไวอยาง นา สนใจวา “คําวา วัฎฎะ คือคําวาวน และอยูในขายของกาลเวลา คือ มีอดีต มีอนาคต มีปจจุบัน... ยอมสัมพันธกันอยูกับ อนิจจตา คือ ความไมเที่ยง ทุกขตา คือความเปนทุกข อนัตตา คือความเปน อนัตตามิใชเปนอัตตาตัวตน...และที่วาเปนวัฎฎะคือความวนนั้น ก็เพราะวาวนอยูในความเกิดความ ดับ ไมนอกไปกวาความเกิด ความดับ เกิดดับ แลว กเ็ กดิ ดบั ”175๑๗๖ ความสมั พันธระหวา งอวิชชากบั สงั ขาร กับ ตัณหา อุปาทานและภพ ในวงจรภวจกั รนั้น แสดงถึงอดีต เหตคุ ือ อวิชชาและสงั ขาร กับ ปจ จุบนั เหตุคอื ตัณหา อุปาทานและภพ อรรถกถาจารยไดอ ธิบายใน ประเดน็ นี้วา บุคคลผูมอี วชิ ชา ยอ มยึดมนั่ เพราะอุปาทานเปนปจ จยั ภพจงึ เกดิ แกบุคคลผนู น้ั อวชิ ชา สงั ขาร ตัณหา อปุ าทาน และกรรมภพในภพกอ นเปนปจ จยั แกป ฏสิ นธใิ นภพนี้176๑๗๗ ดงั นน้ั สาเหตุของภาวะ ทีน่ ําไปสคู วามทกุ ขใ นมมุ มองของพุทธธรรม กค็ อื องคธ รรมทัง้ ๕ ไดแ ก อวชิ ชา สังขาร ตณั หา อปุ าทาน ภพ ดังน้ี อวิชชา กับวงลอ แหง ภวจักร ทนี่ ําไปสคู วามทุกข คําวา อวิชชา แปลวา ไมร ู หรอื ธรรมชาติทเ่ี ปนไปตรงกนั ขา มกับปญ ญา ไดแก โมหเจตสกิ 177๑๗๘ ๑๗๖ ดรู ายละเอียดใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก องคท ี่ ๑๙, จติ ศกึ ษา, หนา ๑๕๒-๑๕๔. ๑๗๗ อภิ.ว.ิ อ. ๒/๑/๕๖๑-๕๖๒. ๑๗๘ พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปบาททีปนี, พิมพคร้ังท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิสัทธมั มโชติกะ), หนา ๑๕.
๑๐๔ ในสัมมาทิฏฐิสูตร วิภังคสูตร และสุตตันตภาชนีย พระพุทธองคทรงอธิบายความหมายของ อวิชชาไววา คือ ความไมรูในทุกข ความไมรูในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแหงทุกข) ความไมรูในทุกขนิโรธ (ความดับแหงทุกข) ความไมรูในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ขอปฏิบัติท่ีใหถึงความดับแหงทุกข)178๑๗๙ ซ่ึงมี ความหมายเดียวกับท่ีปรากฏในพระอภิธรรมปฎก ธัมมสังคณี และวิภังค คือโมหะ179๑๘๐ และมีความหมาย เดียวกับอวิชชาสวะ180๑๘๑ ซึ่งในท่นี ไี้ ดเ พม่ิ ความไมร ูอกี ๔ คอื ความไมร ูในสวนอดีต ความไมร ูในสว นอนาคต ความไมรูในสวนอดีตและอนาคต ความไมรูในปฏิจจสมุปบาทวา เพราะธรรมน้ีเปนปจจัย ธรรมนี้จึงมี เรียกวา ความไมร ูในฐานะ ๘ ๑๘๒ 181 เมื่อเขาใจความหมายของอวิชชาแลววา สิ่งที่ควรทําความเขาใจตอมาก็คือ อวิชชาเปนกิเลสที่ สําคัญ เปนประธานแหงวัฏฏะ ๓182๑๘๓ เปนมูลรากของวัฏฏะ คือเปนกิเลสที่เปนเหตุแหงการเวียนวายตาย เกดิ ไมม ีทีส่ นิ้ สดุ ซง่ึ แบงออกเปน ๓ ระดับ183๑๘๔ คือ ก) ระดับอนุสัยกิเลส หมายถึง อวิชชาท่ีเกิดนอนเน่ืองอยูในจิตใจมีมาแตเกิดพรอมกับปฏิสนธิ วญิ ญาณ อันจะเปนปจ จัยใหเ กดิ อวชิ ชาระดบั ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส ข) ระดับปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง อวิชชาที่เกิดขึ้นรบกวนจิต ซ่ึงก็คือ อนุสัยกิเลสที่ฟุงข้ึนมา อันจะเปนปจจัยใหเกิดอวิชชาระดับวีติกมกิเลส อวิชชาข้ันน้ีสังเกตไดยากจึงควรสังเกตดูกิเลสท่ีเกิด เน่อื งมาจากอวิชชา อาทิ กามฉันทะ (ความใครใ นกาม) และพยาบาท (ความคดิ ปองรา ยผูอน่ื ) ค) ระดับวีติกกมกิเลส หมายถึง อวิชชาขั้นหยาบท่ีเปนเหตุใหลวงละเมิดศีล คือ กระทําผิดท้ัง ทางกายและวาจา ซ่งึ กค็ ือปริยุฏฐานกเิ ลสท่ไี มสามารถควบคมุ ได ๑๗๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๐๓/๙๘, ส.ํ น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๘, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๑๙. ๑๘๐ อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๐๖๗/๒๗๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๖, ๒๕๓/๒๓๗, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๔๙-๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๒, ๒๗๓/ ๒๕๔-๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓, ๒๘๑/๒๖๖, ๒๘๓/๒๖๗, ๒๘๗/๒๖๘, ๒๘๙/๒๖๙, ๒๙๑/๒๗๑. ๑๘๑ อภิ.สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๑๐๖/๒๘๒. ๑๘๒ อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๒/๔๑๓. ๑๘๓ วฏั ฏะ ๓ ไดแก ๑. อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน เปนกิเลสวัฏฏ ๒. สังขาร ภพ เปน กรรมวัฏฏ ๓. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา (ชาติ ชรามรณะ) เปน วิปากวัฏฏ, อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๖. ๑๘๔ บรรจบ บรรณรจุ ,ิ ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๑๙.
๑๐๕ ตัวอยางตามท่ีปรากฏเปนขาวทางหนาหนังสือพิมพ อาทิ ในกรณีของชายคนหน่ึงที่เสียใจ เพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัวตายตาม ความเสียใจของชายคนน้ีประกอบดวย อวิชชาที่มาจากกามาสวะเหตุ และเมื่อวาตามองคธรรมแลว โสกะ โทมนัส อุปายาส ท้ัง ๓ น้ีเปนโทมนัส และโทสเจตสิก ดังนั้น เมื่อผูใดมีความเศราโศกเสียใจ คับแคนใจเกิดขึ้นแลว โมหะก็ยอมเกิดรวมดวย ดัง พระอรรถกถาจารยกลาวไววา “อวิชชาสําเร็จแลวแตธรรมมีโสกะเปนตน” ๑๘๕ และเม่ือโสกะ คือความ 184 เศราโศก เพ่ิมข้ึนอยางทวมทนกลายเปนอุปายาส คือความเศราโศกอยางใหญหลวง เปนยอดแหงความ เศราโศก ทําใหบุคคลนั้นกลายเปนคนเสียสติไป หรืออาจทําลายชีวิตของตนเองได185๑๘๖ ทั้งนี้ก็ดวยอํานาจ ของอวชิ ชาทไ่ี มรู ไมเ ขาใจตามความเปนจริงวาความตายไมใ ชท่ีสิ้นสดุ แหง ทุกข เม่อื อวชิ ชาซึ่งเปนกิเลสกอ ตัวถึงขั้นวีติกกมกิเลส จึงเปนแรงผลักดันใหชายคนดังกลาวกออกุศลกรรม คือการฆาตนเองไดในท่ีสุด ดวยเหตุนี้ อวิชชาจึงเปนปจจัยใหเกิดสังขารคืออกุศลเจตนา กอพฤติกรรมที่ไมดีงาม เปนอกุศลกรรม ตอ ไป สังขารในปฏิจจสมุปบาท กับวงลอแหงภวจักร ท่ีนาํ ไปสูค วามทกุ ข คําวา สังขาร หมายถึง ธรรมที่ปรุงแตงใหผลธรรมเกิดข้ึน กลาวคือ เจตนาท่ีเปนเหตุแหงการ ปรงุ แตง ทั้งเจตนาทเ่ี ปน อกุศลและโลกียกุศล186๑๘๗ ในวภิ งั คสูตรพระพทุ ธองคท รงอธิบายสงั ขารวา มี ๓ ประการ คือ ๑) กายสังขาร (สภาวะที่ปรุงแตงกาย) หมายถงึ เจตนาท่ที าํ ใหเกิดการกระทําทางกาย ๒) วจีสงั ขาร (สภาวะทป่ี รงุ แตงวาจา) หมายถงึ เจตนาทที่ ําใหเ กดิ การกระทําทางวาจา ๓) จติ ตสังขาร (สภาวะที่ปรงุ แตงใจ)187๑๘๘หมายถงึ เจตนาที่ทาํ ใหเกิดการกระทาํ ทางใจ ๑๘๕ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๔. ๑๘๖ ดูรายละเอยี ดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจรยิ ะ, ปรมตั ถโชติกะ ปฏจิ จสมุปบาททปี นี, หนา ๑๔๒. ๑๘๗ เร่ืองเดียวกัน, หนา ๓๖. ๑๘๘ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๘, ๓๓/๗๒.
๑๐๖ สวนในปฏิจจสมุปบาทวิภังคอธิบายวา กายสัญเจตนาเปนกายสังขาร วจีสัญเจตนาเปนวจี สังขาร และมโนสัญเจตนาเปน จติ ตสงั ขาร188๑๘๙ หมายถึง ความจงใจ กริ ิยาที่จงใจ ภาวะทจี่ งใจ189๑๙๐ และเพ่ิมเติมสงั ขารอกี ๓ ประการ คือ ๑) ปญุ ญาภิสังขาร (เจตนาท่เี ปน กศุ ลซง่ึ เปนกามาวจร) ๒) อปญุ ญาภสิ งั ขาร (เจตนาที่เปน อกุศลซึง่ เปน กามาวจร) ๓) อาเนญชาภสิ ังขาร (เจตนาท่ีเปน กุศลซึง่ เปนอรปู าวจร)190๑๙๑ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิ วิญญาณในภมู ติ าง ๆ ตามควรแกเหตุ คือ กรรมน้ัน ๆ ดังพทุ ธพจนใ นมหานิทานสูตรวา “กถ็ าวิญญาณจัก ไมหย่ังลงในทองมารดา นามรูปจะกอตัวขึ้นในทองมารดาไดหรือ”๑๙๒ ซ่ึงวิญญาณในท่ีน้ี หมายถึงปฏิสนธิ วิญญาณ และเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณลงสูครรภมารดา จึงเปนปจจัยใหเกิดนามรูป ซ่ึงเปนการอธิบายใน ลกั ษณะขา มภพชาติ ปฏิสนธิจิต (ปฏิสนธิวิญญาณ) เปนวิบากจิต (วิบากวิญญาณ) ซึ่งเกิดข้ึนเพราะกรรมใดกรรม หนง่ึ เปน ปจ จยั กรรมใดเปน ปจ จัยใหปฏิสนธิจิตหรือวิบากจิตใดเกิดขึ้น กรรมนนั้ เปนกมั มปจ จยั แกป ฏิสนธิ จิตหรือวิบากจิตน้ัน ถาเกิดในภูมิมนุษยเปนสุคติภูมิก็ตองเปนผลของกุศลกรรม จิตท่ีปฏิสนธิก็เปนกุศล วิบาก แตเน่ืองจากในอดีตไดกระทําไวท้ังกุศลกรรมและอกุศลกรรม การประสบกับอิฏฐารมณหรือ อนฏิ ฐารมณ จึงขึ้นอยกู บั วา ขณะใดกศุ ลกรรมใหผลหรืออกศุ ลกรรมใหผ ล นอกจากน้ีการทีแ่ ตละกรรมจะใหผลไดยังขึน้ อยกู บั สมบัตแิ ละวบิ ัติ ไดแ ก ๑๘๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐. ๑๙๐ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๖, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/ ๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๔๙-๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓, ๒๘๑/๒๖๖. ๑๙๑ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๒๐. ๑๙๒ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๕/๖๕.
๑๐๗ คติสมบัติ คือการเกิดในภพภูมิท่ีดี เกิดในกําเนิดอันเจริญ สภาพแวดลอมอํานวย คติวิบัติ คือ การเกดิ ในภพภูมิทไี่ มดี เกิดในกาํ เนดิ ตา่ํ ทราม สภาพแวดลอ มไมเ อ้ือตอความเจรญิ , อุปธิสมบัติ คือสมบัติแหงรางกาย ถึงพรอมดวยรูปกาย สงา สวยงาม บุคลิกภาพดี อุปธิวิบัติ คือวิบัตแิ หง รางกาย รา งกายวิกลวกิ าร ไมงดงาม บคุ ลิกภาพไมดี, กาลสมบัติ คือถึงพรอมดวยกาล ทําถูกกาลถูกเวลา กาลวิบัติ คือวิบัติแหงกาล ทําผิดกาลผิด เวลา, ปโยคสมบัติ คอื ถงึ พรอ มดวยการประกอบความเพียร ทําตอ เนอ่ื งมาเปน พื้นแลวจงึ เห็นผลงาย, ปโยควิบัติ คือ วิบตั แิ หงการประกอบ ขาดความรูความสามาถอันเปน พนื้ ฐานนั้น จึงไมส าํ เรจ็ ในผลโดยงาย ๑๙๓ 192 ความหมายขององคธรรมสังขารน้ันสามารถสื่อความหมายไดทั้งแบบขามภพชาติและปจจุบัน ชาติ กลาวคือ ในความหมายแบบขามภพชาติ อธิบายไดวาหมายถึง เจตนาท่ีทําใหเกิดการกระทําในชาติ อืน่ ท่ีจะสงผลสชู าติถดั ไป สวนความหมายแบบปจจบุ ันชาติ อธิบายไดวาหมายถึง เจตนาที่เกิดขึ้นในแตละ ขณะ แตล ะสถานการณท่สี งผลตอ การรับรอู ารมณแ ตกตา งกนั ไป กรณีตัวอยางแบบปจจุบันชาติในกรณีที่ปรากฏเปนขาวในหนังสือพิมพ ดังกลาวมาแลวของ ชายที่เสียใจเพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัวตายตาม ชายคนนี้ตัดสินใจฆาตัวตาย ดวยอวิชชาเปนปจจัยใหเกิดสังขาร คือเจตนาฆาตัวตาย กอใหเกิดภพ (กรรมภพ) คือการกระทําท่ีฆาตัว ตายสาํ เร็จ ทัง้ น้ีเพราะอวชิ ชาเปนปจ จัย สงั ขารคอื เจตนาฆา ตัวตายจึงเกิดขน้ึ จากท่ีกลาวขางตนในความสัมพันธระหวางอวิชชากับสังขารในฐานะอดีตเหตุแหง วงจรปฏิจจสมปุ บาทนั้น จะเหน็ วา อวชิ ชาเปน ปจจัยใหส ังขารเกิดขนึ้ ไดทั้งในแงท ่เี ปนกุศล (ปญุ ญาภิสังขาร และอาเนญชาภิสังขาร) เชน การทําทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพ่ือจะไดเกิดในสุคติโลกสรรค เจตนาที่ ปรุงแตงใหเกิดการกระทําดังกลาวน้ี เกิดขึ้นจากภวาสวะ ทิฏฐาสวะ ดวยความไมรู ไมเขาใจจึงทําให ปรารถนาภพ มรี ูปภพ อรปู ภพ เปนตน และท่เี ปน อกุศล (อปญุ ญาภสิ งั ขาร) เชน การเบียดเบียนผอู ่ืน การ ๑๙๓ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๓๖-๑๓๗, สุจนิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมตั ถธรรมสงั เขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก, หนา ๑๖๑-๑๖๖.
๑๐๘ ทําลายลางผูอ่ืนเพราะความอยากไดสิ่งอันเปนที่รักของผูอ่ืน เจตนาท่ีปรุงแตงใหเกิดการกระทําดังกลาวน้ี เกิดจากกามาสวะ เปนตน ท้ังเจตนาที่ทําใหเกิดการกระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจ การกระทํา ตางๆเหลาน้ี (กรรมภพ) ทั้งที่เปนกุศลหรืออกุศลก็ตามยอมสงผลใหเกิดวิบาก (ผลของกรรม) คือกุศล วบิ าก (ผลของกุศลกรรม) และอกศุ ลวบิ าก (ผลของอกศุ ลกรรม) สะสมสืบตอ เนอื่ งในจติ สนั ดานตอไป193๑๙๔ ตัณหาในปฏจิ จสมปุ บาท กับวงลอ แหง ภวจกั ร ทน่ี าํ ไปสคู วามทุกข ตัณหาเปนกิเลสท่ีผูกมัดสัตวโลกใหหมุนวนเวียนวายตายเกิดอยูในวงลอแหงภวจักรท่ีนําไปสู ความทุกขอยางไมรูจบสิ้น ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปบาททีปนีกลาวไววา “ธรรมชาติที่เปนเหตุใหสัตว ท้งั หลายยินดตี ดิ ใจซ่งึ วตั ถุกาม194๑๙๕ ชอื่ วาตัณหา ไดแก โลภเจตสกิ ทอ่ี ยูในโลภมลู จติ ๘”๑๙๖ คาํ วา ตัณหา หมายถึงธรรมชาตทิ ี่ยนิ ดีตดิ ใจซึ่งวัตถกุ าม ในทางอภิธรรมคอื โลภเจตสกิ 196๑๙๗ วิภังคสูตรอธิบายวา ตัณหามี ๖ ประการ คือ รูปตัณหา (ความทะยานอยากไดรูป) สัทท ตัณหา (ความทะยานอยากไดเสียง) คันธตัณหา (ความทะยานอยากไดกล่ิน) รสตัณหา (ความทะยาน อยากไดรส) โผฏฐัพพตัณหา (ความทะยานอยากไดโผฏฐัพพะ) และธัมมตัณหา (ความทะยานอยากได ธรรมารมณ)197๑๙๘ เชน เดยี วกับในสุตตันตภาชนีย198๑๙๙ ตณั หา ๓ ๒๐๐ ประกอบดวย 199 ๑๙๔ วสิ ุทฺธ.ิ (ไทย) ๖๓๔/๙๒๔-๙๒๕. ๑๙๕ ในกามสุตตนิทเทสสูตร จําแนกกามเปน ๒ อยาง คือ ๑.วัตถุกาม และ๒.กิเลสกาม ซึ่งตัณหา หมายถึง กิเลสกาม , ดูรายละเอยี ดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑/๑, ข.ุ ม.อ. (ไทย) ๕/๑/๔๙. ๑๙๖ พระสทั ธัมมโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปนี, หนา ๗๓. ๑๙๗ อา งแลว . ๑๙๘ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๕, วสิ ทุ ธฺ ิ. ๖๔๔/๙๔๕, พระสทั ธัมมโชติกะ ธัมมาจรยิ ะ, ปรมตั ถโชติกะ ปฏจิ จสมุป บาททีปน,ี หนา ๗๔. ๑๙๙ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑. ๒๐๐ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๓, สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๑, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๗๐/๙๘, องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๑๐๖/๖๒๗, บรรจบ บรรณรุจ,ิ ปฏิจจสมุปบาท, หนา ๕๑.
๑๐๙ ก) กามตัณหา ไดแก ความอยากไดกาม คือ ความอยากไดในอารมณทั้ง ๖ ไดแก รูป (รูป ตัณหา) เสียง (สัททตัณหา) กลิ่น (คันธตัณหา) รส (รสตัณหา) ส่ิงสัมผัสทางกาย (โผฏฐัพพตัณหา) และส่ิง สัมผัสทางใจ (ธัมมตัณหา) เชน เม่ือชายหนุมไดเห็นผูหญิงสวย ก็ยอมเกิดความปรารถนาท่ีจะได ครอบครองผูห ญิงสวยน้นั ความปรารถนาผูห ญิงสวย(รูปตัณหา) นคี้ อื กามตัณหา ข) ภวตัณหา ไดแก ความอยากใหกามนั้นยั่งยืนอยูกับตนนั้นตลอดไป เชน เมื่อชายหนุมได ใกลชิด มีสัมพันธรักกับหญิงสวยแลว ก็ปรารถนาใหความสัมพันธรักกับหญิงสวยนั้นคงอยูตลอดไป ซึ่ง สภาวะของความปรารถนาใหกามตณั หานน้ั ยั่งยืนตลอดไปกค็ ือ ภวตัณหา ค) วิภวตัณหา ไดแก ความอยากใหกามนั้นพนไปจากตน เชน เมื่อชายหนุมรูสึกเบ่ือหนาย หญิงสวยแลว ก็อยากใหความสัมพันธรักที่มอี ยูกับหญิงสวยน้ันพนไปจากตน และในขณะเดียวกนั ก็อยาก ไดหญิงแสนสวยคนใหมเขามาแทนท่ี ซ่ึงสภาวะของความปรารถนาใหกามตัณหานั้นพนไปจากตนก็คือ วิภวตณั หา ตัณหาหรือสภาวะท่ีมีความยินดีติดใจในอารมณนี้ เปนกิเลสเชนเดียวกับอวิชชา โดยตรัส ธรรม ๒ อยา งเปน มูล คือ อวชิ ชาและตณั หาเปน ประธาน200๒๐๑ จาํ แนกเปน กิเลส ๓ ระดับ201๒๐๒คือ ก) ระดับอนุสัยกิเลส หมายถึงตัณหาที่เกิดนอนเน่ืองอยูในจิต มีติดตัวมาตั้งแตเกิดพรอมกับ ปฏิสนธิวิญญาณ เปนความอยากข้ันพ้ืนฐานของมนุษยทุกคนซึ่งแสดงตัวออกมาในความรักตัวเอง อันจะ เปนปจ จยั ใหเกิดตัณหาระดับที่ ๒ ข) ระดับปริยุฏฐานกิเลส หมายถึงตัณหาท่ีเกิดข้ึนรบกวนจิต ทํานองตัวคอยกอกวนไมใหสงบ ลงได ปรุงแตงใหอยากอยูตลอดเวลา ซ่ึงคือตัณหาระดับอนุสัยกิเลสท่ีฟุงข้ึนมา โดยแสดงตัวออกมาเปน ความอยาก ในรูป เสียง กลิ่น รส ส่ิงสัมผัสทางกาย และส่ิงสัมผัสทางใจที่ดี อันเปนปจจัยใหเกิดตัณหา ระดับท่ี ๓ ๒๐๑ ดรู ายละเอียดใน อภ.ิ วิ.อ. ๒/๑/๔๔๕, วิสทุ ฺธ.ิ (ไทย) ๕๙๕/๘๙๐, พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๑๐๕. ๒๐๒ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หนา ๕๙-๖๐.
๑๑๐ ค) ระดับวีติกกมกิเลส หมายถึงตัณหาข้ันหยาบท่ีเปนเหตุใหลวงละเมิดศีล คือ ทําผิดทางกาย และวาจา ซึ่งก็คอื ตัณหาระดับปริยุฏฐานกเิ ลสทก่ี ําเริบขึน้ จนไมสามารถควบคุมได ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ตัณหาเกิดจากเวทนาเปนปจจัย202๒๐๓ โดยมีอวิชชาเปนมูลราก203๒๐๔ เชน การไดเห็นรูปสวย พอใจ ติดใจในรูปสวยนั้น (รูปตัณหา) การไดยินเสียงไพเราะ พอใจ ติดใจในเสียง ไพเราะนั้น (สัททตัณหา) เปนตน204๒๐๕ ซึ่งความพอใจ ติดใจ ใฝรัก อยากไดน้ันเกิดข้ึนเพราะเม่ือเสพ อารมณท่ีนารัก นาปรารถนานั้นแลว ทําใหเกิดความรูสึกสุข (สุขเวทนา) จึงอยากเสพเสวยสุขเวทนา205๒๐๖ นั้นเรื่อยไป ดงั นเี้ ปน ลกั ษณะของตณั หาที่มเี วทนาเปน ปจจัย พุทธพจนกลา วไววา “ความชอบใจวัตถุ ยอมมีแกผ ูกาํ ลังปรารถนา อนึ่ง ความหวั่นไหว ยอมมี เพราะวัตถุท่ีกําหนดแลว”๒๐๗ ซ่ึงความปรารถนา ความตองการในที่น้ีเปนความปรารถนาแบบตัณหา207๒๐๘ ความรักดวยอํานาจตัณหา หรือที่บาลีเรียกวา ตณฺหาเสนฺโห น้ัน เปนความรักที่เกิดจากความยึดถือวัตถุ กามน้ันวาเปนของเรา ความยินดีติดใจในอารมณ ๖ (รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส สิ่งนึกคิดทางใจ) ท่ีมีความ แรงกลามากขนึ้ ความยึดถือน้นั จึงเกิดขึน้ ดวยอาํ นาจของตัณหา เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา กามุปาทาน ๒๐๓ วสิ ทุ ธฺ ิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔. ๒๐๔ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๔๙๐. ๒๐๕ ตณั หา จาํ แนกตามอารมณ มี ๖ อยา ง คือ ๑. รปู ตัณหา คือความยนิ ดีติดใจในรูปารมณ (รปู ) ๒. สัทท ตัณหา คือความยินดีติดใจในสทั ทารมณ (เสียง) ๓. คันธตัณหา คือความยินดีติดใจในคนั ธารมณ (กลิ่น) ๔. รสตัณหา คือ ความยินดีติดใจในรสารมณ (รส) ๕. โผฏฐัพพตัณหา คือความยินดีติดใจในโผฏฐัพพารมณ (สัมผัส) ๖. ธัมมตัณหา คือ ความยนิ ดีตดิ ใจในธรรมารมณ (เร่ืองราวในใจ), ส.ํ นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑, วสิ ทุ ธฺ ิ. (ไทย) ๖๔๔/ ๙๔๔-๙๔๖. ๒๐๖ วิภังคสูตรอธิบายวา เวทนามี ๖ ประการ คือ ๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผัสทางตา) ๒. โสตสมั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู) ๓. ฆานสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผสั ทางจมูก) ๔. ชวิ หา สัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผัสทางลิ้น) ๕. กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย) ๖. มโนสัมผัสส ชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ) เชนเดียวกับในสุตตันตภาชนีย สวนในกาฬารสูตรและเวทนาสูตรอธิบายวา เวทนามี ๓ ประการ คือ ๑.สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อทุกขมสุขเวทนา, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/ ๖๕, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๒๐๗ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๙๐๙/๗๑๙. ๒๐๘ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๔๘๕-๔๘๖.
๑๑๑ ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปปาททีปนี กลาวความวา ตัณหาและกามุปาทานนั้นมีองคธรรม คือ โลภะ เชนเดียวกัน ในการท่ีกลาววา ตัณหาเปนปจจัยใหกามุปาทานเกิดข้ึน หมายความวา โลภะเปน ปจจัยใหเกิดโลภะ208๒๐๙ อธิบายความวา ความติดใจอยากไดในรูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และธัมมารมณ เหลาน้ีชื่อวา ตัณหา และเม่ือความติดใจดังกลาวเหลานี้มีกําลังแรงกลา มากข้นึ ยอ มมีจติ ใจผกู พนั อยกู ับอารมณนัน้ อยเู สมอ หรือเมอื่ ไดสิ่งทต่ี นปรารถนามาแลวกม็ ีความหวงแหน สง่ิ น้นั อยา งไมยอมปลอ ยวาง เชน นี้เรียกวา กามปุ าทาน209๒๑๐ ดังกรณีตัวอยางถึงชายคนหนึ่งท่ีเสียใจเพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัว ตายตาม เมื่อพจิ ารณาในมมุ มองของพุทธธรรมการท่ีชายคนนเ้ี สียใจเพราะภรรยาแยกทาง มนี ยั ทแี่ ฝงดวย ความปรารถนาทีจ่ ะไดรับความรักและใชชีวิตคูอยูรวมกับภรรยาดังเดิม แตเมื่อเปนไปไมไ ดดังใจปรารถนา เขาจงึ อยากพนจากสภาวะที่ผิดหวังในความรักอยา งท่เี ปนอยู (วภิ วตัณหา) ซึ่งตัณหานจี้ ัดเปน กเิ ลสตัวหนึ่ง เม่ือกิเลสกําเริบขึ้น จนไมอาจควบคุมไดกลายเปนวีติกกมกิเลส ผลักดันใหเขาเกิดการกระทําที่เปน อกุศลกรรม ในท่ีนี้คือการทําลายชีวิตของภรรยาและตนเองในท่ีสุด การที่ตัณหาของเขาขยายตัวจนไม สามารถควบคุมกิเลสได ทั้งนี้ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นความรักและคนรักอยางแรงกลา อยางไมยอม ปลอยวาง ซ่งึ คือคืออุปาทาน อุปาทานในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอ แหง ภวจกั ร ทนี่ ําไปสูค วามทุกข คําวา อุปาทาน แปลวา ยึดมั่น210๒๑๑ วิภังคสูตรอธิบายวา อุปาทานมี ๔ ประการ คือ กามุ ปาทาน (ความยึดม่ันในกาม) ทิฏุปาทาน (ความยึดม่ันในทิฏฐิ) สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลพรต) และอัตตวาทุปาทาน (ความยึดม่ันในวาทะวามีอัตตา)211๒๑๒ อรรถกถาจารยใหคําอธิบายวา กามุปาทานเปน ๒๐๙ พระสทั ธัมมโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ ปาททีปนี, หนา ๙๕. ๒๑๐ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา๙๕. ๒๑๑ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท, หนา ๖๑. ๒๑๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๕.
๑๑๒ ตัณหาหลังท่ีเกิดข้ึนดวยอํานาจอุปนิสยปจจัยของตัณหาแรก ดวยความยึดม่ันในตัณหา212๒๑๓ประกอบดวย โลภมลู จิต ๘ ดวง ๒๑๔ สว นอุปาทาน ๓ ที่เหลอื นัน้ ประกอบดวยโลภมลู จิตท่สี มั ปยุตดวยทิฏฐิ ๔ ดวง ๒๑๕ 213 214 ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปปาททีปนีใหคําอธิบายคําวา อุปาทาน หมายถึง การยึดม่ันในส่ิงที่ ผิดโดยโลภะ และทิฏฐิ เม่ือตัณหาและทิฏฐิมีกําลังแรงมากขึ้น กลาวคือ การยินดีติดใจในอารมณนั้นๆ อยางไมยอมปลอย เวลานั้น ตัณหาน้ันไดช่ือวา อุปาทาน และเมื่อเวลาท่ีมีความเห็นผิดนั้นติดแนน เวลา นั้นทิฏฐินั้นก็ไดชื่อวา อุปาทาน215๒๑๖ แสดงใหเห็นรายละเอียดเพิ่มเติมวา ในทางอภิธรรม อุปาทานคือโลภ เจตสิก หรือตัณหาท่ีแรงกลาข้ึน อาการของจิตดังกลาวน้ีเกิดขึ้นจากตัณหา ดังนั้นเมื่อตัณหาเกิดอุปาทาน ยอมเกิดข้ึนตามมาดวยเสมอ216๒๑๗ อุปาทานเปนกิเลสเชนเดียวกับอวิชชาและตัณหา แตไมแยกระดับอยาง กิเลส ๒ ประเภท เพราะอุปาทานแฝงตัวอยูในตัณหาตลอดเวลา เพียงแตวาในบางคร้ังจะไมแสดงตัว ออกมาชดั เจนเทานน้ั 217๒๑๘ ทั้งนี้หากพิจารณาตามองคธรรมแลว ตัณหา มีองคธรรมคือ โลภเจตสิก สวนอุปาทาน มีองค ธรรมอีกอยางคือ ทิฏฐิเจตสิก อรรถกถาจารยใหคําอธิบายวา กามุปาทานเปนตัณหาหลังท่ีเกิดขึ้นดวย อํานาจอุปนิสยปจจัยของตัณหาแรก ดวยความยึดมั่นในตัณหา218๒๑๙ประกอบดวยโลภมูลจิต ๘ ดวง ๒๒๐ 219 สว นอปุ าทาน ๓ ทีเ่ หลือนนั้ ประกอบดวยโลภมลู จิตทส่ี ัมปยุตดวยทิฏฐิ ๔ ดวง ๒๒๑ และทิฏฐิเจตสกิ ท่ยี ึดม่ัน 220 221๒๒๒ไมยอมปลอ ยวาง ยอมเปนเหตุเปนปจจยั กอใหเ กิดภพข้นึ ตามมา นําไปสูภาวะจิตใจที่ทุกข ดวยอาการ ทางจิตที่แหงผาก ปราศจากความสดชื่น เปรียบเสมือนตนไมที่เหี่ยวแหงขาดน้ํา คร่ําครวญรําพันดวย ๒๑๓ อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๐. ๒๑๔ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๓. ๒๑๕ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๑, ๕๔๓. ๒๑๖ พระสทั ธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏจิ จสมุปบาททปี นี, หนา ๘๐-๘๑. ๒๑๗ บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๖๑. ๒๑๘ เร่อื งเดียวกัน, หนา ๖๓. ๒๑๙ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๐. ๒๒๐ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๓. ๒๒๑ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๑, ๕๔๓. ๒๒๒ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา ๒๑๘
๑๑๓ ความคิดถึงส่ิงท่ีลวงแลวมาหรือส่ิงท่ีปรารถนาแตไมไดดังใจปรารถนา ไขวควาก็คลายกับไลควาเงา ตรอมใจ คับแคนใจ เหลา น้ีเปนอาการทางจิตท่มี ีทุกข และแสดงออกมาเปน พฤติกรรมทางกายในที่สดุ ดังกรณีตัวอยางของชายที่ผิดหวังในความรักและตัดสินใจฆาคนรักและตัวเองตาย แสดงให เห็นถึงระดับความรุนแรงของตัณหา คือการแสวงหาความรักและคนรักกลับมาเพื่อเติมความตองการของ ตนเองใหเ ต็ม ซงึ่ ในพทุ ธธรรมเรียกอกี ชือ่ หน่งึ วา เอสนาตณั หา222๒๒๓ และเม่ือส่งิ ทแี่ สวงหาน้ันไมไ ดส มหวงั ดัง ใจปรารถนา จึงอยากจะพนจากสภาวะน้ันไป (วิภวตัณหา) ความอยากจะพนจากสภาวะท่ีประสบความ ผิดหวังนั้นเม่ือมีกําลังแรงกลาอยางไมยอมปลอยวาง (อุปาทาน) ยอมเปนปจจัยใหเกิดภพ (กรรมภพ) ตัวอยางในที่น้ีคอื การกระทําอกศุ ลกรรม ฆา ตนเองไดในท่ีสดุ ภพในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอแหง ภวจักร คาํ วา ภพ แปลวา เกิดมี เกดิ เปน 223๒๒๔ คัมภีรว ิภงั คกลาวถงึ ภพ ๒ คอื ๑) กรรมภพ (ภพคอื กรรม) ไดแ ก ปญุ ญาภสิ ังขาร อปญุ ญาภิสงั ขาร และอเนญชาภิสงั ขาร ๒) อุปปตติภพ (ภพคือความเกิดขึ้น) ไดแก กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนว สัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ และปญจโวการภพ224๒๒๕ซึ่งเปนการอธิบาย แบบขา มภพชาติ สวนในอัญญมัญญจตุกกะอธิบายวา เวนอุปาทานแลว เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ นี้เรียกวา เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพจึงมี225๒๒๖ ซ่ึงก็คือนามขันธ ๔ ส่ือนัยที่ตองการ อธิบายภพในลักษณะแบบชาติปจจุบัน เหตุผลที่เนนปจจุบันเพราะมีแตนามขันธ ไมมีรูปขันธซึ่งเปน ลกั ษณะทช่ี ัดเจนในแบบขามภพชาติ ๒๒๓ ดรู ายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/๒๐๙. ๒๒๔ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หนา ๖๔. ๒๒๕ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๔/๒๒๑, อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๔. ๒๒๖ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๗๓/๒๕๗.
๑๑๔ จากการอธิบายความหมายของสังขารท่ีมีอวิชชาเปนปจจัยใหเกิดและกรรมภพที่มีอุปาทาน เปนปจจัยใหเกิดแสดงใหเห็นวา สังขารและกรรมภพมีความคลายกัน เม่ือพิจารณาตามกาลและตามองค ธรรมแลว ก็เหมือนกัน แตสังขารและกรรมภพมีความแตกตา งกันในรายละเอยี ดคอื สังขาร คือ ปุพพเจตนา ท่ีเกิดกอนการกระทํากุศลหรืออกุศล หมายความวา กุศลหรือ อกุศล เจตนาที่เกิดขึ้นในชวนะดวงที่ ๑ ถึงชวนะดวงที่ ๖ ช่ือวา สังขาร หรืออีกนัยหน่ึงคือ สังขาร ไดแก กุศล หรอื อกศุ ล เจตนาเจตสกิ อยางเดยี ว สวน กรรมภพ คือ มฺุจนเจตนา ท่ีเกิดขึ้นขณะกําลังกระทํากุศลหรืออกุศล หมายความวา เจตนาที่เกิดข้ึนในชวนะดวงที่ ๗ ชื่อวา กรรมภพ หรืออีกนัยหน่ึงคือ กรรมภพ ไดแก กุศล หรือ อกศุ ลเจตนาพรอ มดว ยนามขันธ ๔ ท่เี หลือ226๒๒๗ การอธิบายวงลอแหงภวจักร หรือเรียกอีกอยางวา วัฏฏ ๓ แหงปฏิจจสมุปบาท (กิเลสวัฏฏ กรรมวฏั ฏ วปิ ากวัฏฏ) น้นั สังขารและภพ จดั เปนกรรมวฏั ฏ ในที่น้ี กรรมภพที่เกดิ กอ น หมายถึงกรรมภพ ท่ีทําไวในอดีตชาติ227๒๒๘ ที่สืบเน่ืองในจิตสันดานและเปนปจจัยแกปฏิสนธิวิญญาณในอุปปตติภพน้ี228๒๒๙ ซึ่งก็ คือรางกายและจิตใจที่ประกอบดวยองคธรรม ๕ คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เปนวิ ปากวัฏฏ นอกจากนี้อวิชชา ตัณหา อุปาทานอันเปนกิเลสวัฏฏซึ่งประจําอยูในจิตตสันดานแลว ดวย อํานาจกิเลสวัฏฏนี้ยอมทําใหบุคคลมีการกระทําทางกาย วาจาและใจ ตามท่ีสั่งสมไวในวิบาก เกิดการ กระทํากรรมภพใหม เปนผลปรากฏในกาลขางหนาตอไป หมุนวนไป การทําลายวัฏฏะเพื่อไมใหหมุนวน อีกจึงตองทําลายท่ีกิเลสวัฏฏ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เม่ือกิเลสวัฏฏถูกทําลายแลว กรรมวัฏฏและวิ ปากวัฏฏยอมถกู ทาํ ลายไปดวย ดังน้ันกิเลสวัฏฏจึงเปนตัวสําคัญที่สุด ดวยเหตุน้ีในมุมมองของพุทธธรรม กิเลสวัฏฏ อันไดแก อวชิ ชา ตัณหา อปุ าทาน จึงเปนสาเหตุทแ่ี ทจ ริงของภาวะจติ ใจท่ขี าดพรอง ปราศจากความรักความเมตตา ตอตนเองและผูอ่ืนอยางแทจริง เกิดจิตท่ีคิดเบียดเบียน และเปนแรงผลักดันใหเกิดพฤติกรรม คือ ๒๒๗ พระสัทธัมมโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี, หนา ๑๒๐-๑๒๑. ๒๒๘ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๐. ๒๒๙ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๐.
๑๑๕ กรรมวัฏฏ อันไดแก สังขาร และภพ ทําใหวนเวียนในสังสารวัฏฏประสบกับความสุขสมหวังบาง ประสบ กับความทุกขผิดหวงั บาง ตามเหตปุ จจยั ความสมั พันธร ะหวา งอรยิ สจั ๔ และปฏิจจสมุปบาท จากบทที่กลาวมาแลวในหัวขอปฏิจจสมุปบาท พิจารณาไดวาคําสอนปฏิจจสมุปบาทและ อริยสัจ ๔ มีความสัมพันธเชือ่ มโยงกัน ขอยกตวั อยางการอธิบายท่เี ปนรูปธรรม ดังเชนกรณีของชายคนหนึ่งที่เสียใจเพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัวตาย ตาม ความเสียใจของชายคนนี้ประกอบดวยอวิชชาท่ีมาจากกามาสวะเหตุ และเมื่อวาตามองคธรรมแลว โสกะ โทมนัส อุปายาส ท้ัง ๓ น้ีเปนโทมนัส และโทสเจตสิก ดังนั้น เมื่อผูใดมีความเศราโศกเสียใจ คับ แคนใจเกิดข้นึ แลว โมหะก็ยอ มเกดิ รวมดว ย พระอรรถกถาจารยกลาวไววา “อวิชชาสําเร็จแลวแตธรรมมีโสกะเปนตน” 229๒๓๐ และเม่ือโสกะ คอื ความเศราโศก เพ่ิมขึ้นอยา งทวมทน กลายเปน อุปายาส คอื ความเศราโศกอยา งใหญหลวง เปนยอดแหง ความเศราโศก ทําใหบุคคลน้ันกลายเปนคนเสียสติไป หรืออาจทําลายชีวิตของตนเองได230๒๓๑ ทั้งน้ีก็ดวย อํานาจของอวิชชาที่ไมรู ไมเขาใจตามความเปนจริงวาความตายไมใชที่สิ้นสุดแหงทุกข เม่ืออวิชชาซ่ึงเปน กิเลสกอตัวถึงข้ันวีติกกมกิเลส จึงเปนแรงผลักดันใหชายคนดังกลาวกออกุศลกรรม คือการฆาตนเองไดใน ที่สุด ดวยเหตุน้ี อวิชชาจึงเปนปจจัยใหเกิดสังขารคืออกุศลเจตนา กอพฤติกรรมที่ไมดีงาม และดวย ความรักความผกู พันท่ีมตี อภรรยาอยางแรงกลา และยึดมั่นถอื มน่ั อยางไมย อมปลอ ยวาง เชนน้ีเรียกวา กา มุปาทาน231๒๓๒ ตัณหาและกามุปาทานนั้นมีองคธรรม คือ โลภะ เชนเดียวกัน ตัณหาจึงเปนปจจัยใหกามุ ปาทานเกิดขึ้น แตเม่ือเปนไปไมไดดังใจปรารถนา (ทุกขอริยสัจ) เขาจึงอยากพนจากสภาวะท่ีผิดหวังใน ความรักอยางท่ีเปนอยู (วิภวตัณหา) ซ่ึงตัณหาน้ีจัดเปนกิเลสตัวหน่ึง ซ่ึงเปนเหตุแหงทุกข (สมุทัยอริยสัจ) เมื่อกิเลสกําเริบขึ้น จนไมอาจควบคุมไดกลายเปนวีติกกมกิเลส ผลักดันใหเขาเกิดการกระทําท่ีเปน อกศุ ลกรรม ในทนี่ ้ีคอื การทําลายชวี ติ ของภรรยาและตนเองในทีส่ ดุ ๒๓๐ อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๔. ๒๓๑ ดรู ายละเอียดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปน,ี หนา ๑๔๒. ๒๓๒ เร่อื งเดียวกนั , หนา ๙๕.
๑๑๖ จากท่ีอธิบายกระบวนธรรมของ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ขางตนเพ่ือแสดงใหเห็นถึง สภาวธรรมตามกฎธรรมชาติของโลกและชีวิตท่ีเกิดขึ้นเปนกระบวนการตามเหตุตามปจจัยท่ีเก่ียวของ เชื่อมโยงสัมพันธกันตามคําสอนของปฏิจจสมุปบาท และนําไปสูกระบวนการแหงทุกข ซึ่งพระพุทธเจา ทรงแสดงไวในอรยิ สัจ ๔ วา “ภกิ ษุท้งั หลาย ขอ น้ีเปนทกุ ขอรยิ สจั คือ แมความเกิดก็เปน ทุกข แมค วาม แกก็เปน ทกุ ข แมค วามเจบ็ ก็เปนทุกข แมค วามตายกเ็ ปน ทุกข ความประสบสง่ิ อันไมเ ปน ทรี่ ักกเ็ ปนทกุ ข ความพลดั พรากจากสงิ่ อันเปน ท่รี กั ก็เปน ทุกข ปรารถนา สิ่งใดไมไดสิ่งน้นั ก็เปน ทกุ ข โดยยออปุ าทานขันธ ๕ เปน ทกุ ข ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอน้เี ปนทุกขสมทุ ยอรยิ สัจ คอื ตัณหาอนั ทาํ ใหเ กิดอกี ประกอบ ดวยความเพลิดเพลนิ และความกําหนดั มีปกตใิ หเ พลิดเพลนิ ในอารมณน ัน้ ๆ คือ กามตัณหา ภวตณั หา วภิ วตัณหา”232๒๓๓ ชวี ิตทีม่ ปี ญ หาของมนุษย และการถูกรุมเรากระหนํา่ ดวยความทกุ ขน ั้นเปนเพราะมนษุ ยเขาไป สมั พนั ธก ับส่ิงตา ง ๆในโลกและชวี ิต ดวยอวิชชา ตณั หา อุปาทาน ดว ยความยึดม่นั ถือมน่ั ในอุปาทานขันธ ท้ัง ๕ ปญ หาตา งๆจึงเกดิ ขนึ้ กบั บคุ คลผูน นั้ ทนั ที สภาพปญหาตาง ๆกจ็ ะกลายเปน “ทกุ ข” ทันทเี ชน กัน แตเมื่อใดกต็ ามทีม่ นุษยเกย่ี วขอ งสมั พนั ธกบั สง่ิ ตา งๆในโลกและชีวิตดว ยปญญา ดวยทา ทที ี่ รเู ทาทนั ตามสภาวะความเปนจรงิ ของโลกและชีวิต ดวยสัมมาทฏิ ฐใิ นอรยิ มรรคมอี งค ๘ เปนตน บุคคลผู นัน้ กจ็ ะสงบระงับจากทุกข และเกีย่ วของสัมพันธกับโลกดวยปญญา เขาสกู ระบวนการแหง “ความดบั ทกุ ข” ทันทเี ชน กัน การดาํ เนินชวี ติ ดว ยสมั มาทฏิ ฐิ : การมีชีวิตอยดู วยปญญา ทานพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต) ใหความหมายการมีชีวิตอยูดวยปญญาวา หมายถึงการ อยูอยางรูเทาทันสภาวะ และการถอื ประโยชนจากธรรมชาติอยางประสานกลมกลนื กับธรรมชาติ เปนการ ๒๓๓ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๓.
๑๑๗ อยูอยางอิสระไมตกอยูใ นอํานาจของตัณหาอุปาทาน การมีชีวิตอยูดวยปญญาจงึ เปนการอยูอ ยางไมย ดึ ม่นั ถอื ม่นั รบั รูแ ละเกี่ยวของจดั การกบั สง่ิ ท้ังหลายตามวถิ แี หงเหตุปจ จยั 233๒๓๔ ทานกลาวขยายความวา การมีชีวิตอยูดวยปญญา เปนส่ิงสําคัญยิ่ง ทั้งในฝายรูปธรรมและ นามธรรม ทจี่ ะชว ยใหม นุษยถือเอาประโยชนไดท้งั กระบวนการฝายจติ และกระบวนการฝายวตั ถุ ชวี ติ แหง ปญ ญา จงึ เปน ลกั ษณะท่มี องไดส องดาน คือ ดา นภายใน และดา นภายนอก ชวี ิตแหงปญ ญา ดา นภายใน มีลักษณะสงบ เยอื กเยน็ ปลอดโปรง ผอ งใส ดว ยความรูเ ทา ทัน เปน อิสระ เม่ือเสวยสุขก็ไมหลงระเริง ไมเหลิงลืมตัว เมื่อพลาด เม่ือพรากจาก ก็มั่นคง ปลอดโปรงอยูได ไม หวน่ั ไหวหรือหดหู ซึมเศรา ส้ินหวัง ไมฝากสุขทุกขข องตัวไวกับอามสิ ภายนอก ชีวิตแหงปญญา ดานภายนอก มีลักษณะคลองตัว วองไว พรอมอยูเสมอท่ีจะเขาเกี่ยวของและ จัดการกับส่ิงทั้งหลายตามที่มันควรจะเปน โดยเหตุผลบริสุทธิ์ ไมมีเงื่อนปม หรือความยึดติดภายในที่เปน นิวรณทําใหลําเอียงหรือทําใหพรามัว234๒๓๕ สิ่งสําคัญในที่น้ี คือ ความรู ท่ีเรียกวา ปญญาและปญญาเปน เจตสิกฝายดงี ามท่เี ปน คุณสมบตั ขิ องจิต จดั อยูใ นสงั ขารขันธ ในหลักธรรมขันธ ๕ คําวา “ปญญา” ในพระพุทธศาสนามีไวพจนมากมาย เชน สัมมาทิฏฐิ235๒๓๖ ปญญินทรีย236๒๓๗ อโมหะ237๒๓๘วิปสสนา238๒๓๙ ญาณ ๒๔๐ สัมปชัญญะ240๒๔๑ วิมังสา241๒๔๒ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค242๒๔๓ โกศล ๒๔๔ 239 243 ความหมายของคําวา “ปญญา” คือความรูชัด244๒๔๕ ความหมายรูและความรูแจง ซึ่งไดแก วิปสสนาญาณ ๒๓๔ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๑๖๖. ๒๓๕ เร่ืองเดียวกนั , หนา ๑๖๗. ๒๓๖ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๑. ๒๓๗ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๒/๒๐๑. ๒๓๘ ดรู ายละเอียดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๙๒/๒๗๓. ๒๓๙ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.สงฺ.(ไทย) ๓๔/๕๕/๓๗. ๒๔๐ ดรู ายละเอียดใน ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๒๒/๓๒. ๒๔๑ ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๓๖๐/๓๐๘. ๒๔๒ดูรายละเอียดใน อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๔๒/๓๔๗. ๒๔๓ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๔๗๔/๓๖๒. ๒๔๔ ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๗๙๗/๓๘๒. ๒๔๕ ดรู ายละเอยี ดใน ขุ.ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๒๙/๔๗.
๑๑๘ อันสัมปยุตดวยกุศลจิต245๒๔๖ มีการแทงตลอดสภาวธรรมเปนลักษณะ การที่บุคคลจะเกิดปญญาจากการ ภาวนาไดนนั้ ส่ิงท่ีสําคญั ที่สุดคือการเจรญิ วิปสสนา ปญญา จาํ แนกได ๓ ประเภท246๒๔๗ คือ ๑.สุตมยปญญา ไดแ ก ปญ ญาเกิดจากการสดับ การเลา เรยี น การฟงธรรมจากสัตบุรษุ เปน ความรอบรูจากการไดย ิน ไดฟง คําสอน คําแนะนําจากผอู ่นื นบั เปน ขนั้ ตน ของการเรียนรู ผศู ึกษารบั ทราบ จากประสบการณของผูอ นื่ ในเร่ืองท่ีตองการทราบ แตต นเองไมมีประสบการณโดยตรง ความรรู ะดับนม้ี ีคาในฐานะชน้ี ําการปฏบิ ตั ิ จนกวา จะเกดิ ความรูความเขาใจดว ยตนเองโดยตรง ซ่ึงเปนส่ิงจําเปนในขัน้ ตน ของการดําเนินชีวิตโดยท่ัวไป การศึกษาปรยิ ัตธิ รรมจากพระไตรปฎก การอธิบายขยายความจากอรรถกถาจารย ฯลฯ จดั เขา ในความรูร ะดับสตุ มยปญ ญา หากผศู ึกษานาํ ความรูน้ีไปตรกึ ตรองวเิ คราะห สังเคราะห เพ่ือเสรมิ ตอ เปน ความรูความเขาใจขึน้ ใหม กเ็ ปน การพฒั นาที่สูงขึ้นตอ ไป ๒.จินตามยปญญา ไดแก ปญญาท่ีบุคคลไดมาโดยไมไดเรียนจากผูอ่ืน เปนปญญาที่เกิดจาก กรรมท่ีเปนของแตละบุคคล หรือปญญาท่ีตรงกับความจริงเปนความรูท่ีเก่ียวกับหนาท่ีการงาน หรือ เกี่ยวกับศาสตร อีกนัยหน่ึงเปนปญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบ ลึกซึ้ง บุคคลไมไดฟง มาจากผูอื่นแตอาศัยการคิดพิจารณาแยบคาย ในกัมมัสสกตาญาณ หรือสัจจานุโลมิกญาณ247๒๔๘ เห็นวา ขันธท ั้ง ๕ น้ี ไมเท่ยี ง เปนทุกข มใิ ชตวั ตน ๒๔๖ พระพุทธโฆสเถระ,วสิ ทุ ฺธิมรรค,สมเดจ็ พระพฒุ าจารย(อาจ อาสภมหาเถระ)แปลและเรียบเรยี งพิมพค รง้ั ท๖่ี (กรงุ เทพมหานคร:บริษทั ธนาเพรสจาํ กัด,๒๕๔๘), วสิ ุทฺธิ (ไทย).๔๒๑-๔๒๔/ ๗๓๑-๗๓๕. ๒๔๗ ท.ี ปา(ไทย )๑๑/๓๐๕/๒๗๑, ที.ปา.อ (ไทย) ๓/๒/๓๑๗, พระอุป ติสสเถระ,วิมุตติมรรค,แปลโดย พระเทพ โสภณและคณะ,พมิ พค รั้งท่ี ๖(กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๘) หนา ๒๑๒ ๑.จนิ ตามยปญ ญา (ปญ ญาทเ่ี กิดจากการคดิ ) ๒.สตุ มยปญญา (ปญญาที่เกิดจากการฟง ) ๓.ภาวนามยปญญา (ปญญาท่ีเกิดจากการอบรม) ๒๔๘ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ปา.อ(ไทย) ๓/๒/๓๑๗, วสิ ทุ ธฺ ิ(ไทย) ๔๒๗/๗๓๕.
๑๑๙ สวนปญญาระดับโลกียะ หรือองคความรูใหมเก่ียวกับวิทยาการสมัยใหมสวนใหญเกิดข้ึนจาก การใชส ติและสมาธิในการพิจารณาขบคิดปญหาตา งๆจนกระท่ังเกดิ องคความรู เชน นกั วิทยาศาสตรระดับ โลก คือไอนสไตน ท่ีกลาววา “จินตนาการสําคัญมากกวาความรู” (Imagination is more important than knowledge.) ๓.ภาวนามยปญญา ไดแ ก ปญ ญาเกดิ แตก ารฝก อบรมปฏบิ ตั ิดว ยวธิ กี ารสมถะและวิปสสนาทาํ ใหเกิดความรูแจง เขาใจความเปนจริงของสรรพส่ิงในสามัญลักษณะ วา ไมเ ท่ียง เปนทุกข มใิ ชต วั ตน เปน ความรูความเขา ใจธรรมชาตติ ามเปน จรงิ โดยการประจักษแจงปรมตั ถธรรมที่ดาํ รงอยใู นปจ จบุ ันขณะ ความรรู ะดบั น้เี กดิ ขนึ้ ในกระบวนการวปิ สสนาท่ถี กู ตอ ง และจะเริม่ ตน ข้นึ ก็ตอเมือ่ บุคคลไดม องผานสมมติ บญั ญัติ ประจกั ษน ามรูปปรมัตถที่ดาํ รงอยใู นปจ จบุ นั ขณะทไี่ ตรลกั ษณป รากฏ จากลักษณะของปญญาท้ัง ๓ ประการน้ี จะพบวา จินตามยปญญาและภาวนามยปญญา เปน ปญญาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการภายใน สวนสุตมยปญญาเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นจากปจจัยภายนอก อาทิ จากการคบสัตบุรุษ และการฟงธรรมจากสัตบุรุษ ดวยเหตุน้ี กระบวนการเกิดโยนิโสมนสิการของแต ละบุคคลจงึ แตกตางกนั ตามกาํ ลงั สตปิ ญ ญา248๒๔๙ของแตละบคุ คล และแตกตา งกันตามลักษณะแหง ปญญา ขอยกตัวอยาง พระสารีบุตร เม่ือครั้งเปนอุปติสสมาณพไดฟงธรรมจากพระอัสสชิวา “ธรรม เหลาใดมีเหตุเปนแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหลานั้น และตรัสความดับไปของธรรมเหลาน้ัน ๒๔๙ พระพุทธศาสนาไดจําแนกประเภทบคุ คลไว ๔ ประเภท คอื ๑.อคุ ฆฏติ ญั ู ผูที่พอยกหัวขอกร็ ู ผูรเู ขา ใจไดฉับพลนั ๒.วิปจติ ัญู ผรู ูตอ เม่ือขยายความ ผรู ูเขาใจไดตอ เมือ่ ทา นอธิบายความพศิ ดารออกไป ๓.เนยยะ ผูท่ีพอจะแนะนําได ผูที่พอจะคอ ยชี้แจงแนะนาํ ใหเ ขาใจไดด วยวิธกี ารฝก สอนอบรมตอ ไป ๔.ปทปรมะ ผมู ีบทเปนอยางย่งิ ผูอับปญ ญา สอนใหรูไดแ ตเ พียงตัวบท คือพยัญชนะหรือถอยคํา ไมอาจเขาใจอรรถคอื ความหมาย, อง.ฺ จตกุ ก. (ไทย) ๒๑/๑๓๓/๑๓๕, ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม, หนา ๑๒๐.
๑๒๐ พระมหาสมณะทรงมีวาทะเชนน้ี”๒๕๐ลักษณะกระบวนการเกิดโยนิโสมนสิการของพระสารีบุตรเร่ิมข้ึนใน ข้ันสุตตมยปญญา คือไดฟงเพียงหัวขอธรรมก็สามารถบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันได จัดอยูในบุคคล ประเภทอุคฆฏิตญั ู250๒๕๑ แตในลักษณะบุคคลทั่วไปซึ่งกลาวถึงในงานเขียนนี้จัดเปนบุคคลประเภทเนยยบุคคล ดังนั้น กระบวนการทางปญญาภายในของบุคคลยอมเกิดขึ้นขณะเจริญวิปสสนา ในระดับภาวนามยปญญา ดวย การพิจารณา การกาํ หนดรรู ูปนาม251๒๕๒ ความเหน็ แจงในการเกิดขึน้ และดบั ไปของนามรูปนั้นตองอาศัยการ เจริญวิปสสนากรรมฐาน มิใชการอาศัยความคิดไตรตรอง พิจารณาในระดับความคิดนึกดวยเหตุผลเพียง อยา งเดยี ว ในกระบวนการปฏบิ ตั ธิ รรม ผปู ฏิบัตทิ ี่ยังไมส ามารถกาํ หนดรูนามรปู ปรมัตถไ ด และรแู ตเ พียง บัญญัติธรรมนนั้ ผปู ฏิบตั ิจะไมส ามารถเหน็ ไตรลักษณทแ่ี ทจ รงิ ได เพราะบญั ญัตธิ รรมทเี่ ปน อารมณจ ะไม แสดงอนจิ ตา ทกุ ขตา และอนตั ตา สง่ิ ท่ผี ูปฏิบตั มิ กั กระทําก็คือการนําหลกั ธรรมทเ่ี รียนรูในระดบั สตุ มย ปญ ญามาพจิ ารณา ซง่ึ เปน กระบวนการในระดับจนิ ตามยปญญา ซึง่ บุคคลในระดับอคุ ฆฏติ ญั ูเทา นน้ั ท่ีจะ เกดิ ปญญาในระดับนี้ได252๒๕๓ อีกตัวอยางท่ีปรากฏในพระไตรปฎกเชน พระจูฬปนถกะ เปนนองชายของทานพระมหาปนถ กะ เม่ือพระมหาปน ถกะสําเร็จเปน พระอรหนั ต เสวยวิมตุ ติสุขแลว มคี วามปรารถนาจะใหจ ูฬปนถกะไดถึง ซึ่งความหลุดพนจากทุกขบาง เม่ือจูฬปนถกะไดอุปสมบทเรียบรอยแลว ทานพระมหาปนถกะไดสอนพระ จูฬปนถกะ ๔ เดือนผานไปพระจุลปนถกก็ไมสามารถจะเรียนได ทานพระมหาปนถกะจึงเห็นวาพระจูฬ ปนถกะเปนผูมีปญญาทึบ เปนคนอาภัพในพระพุทธศาสนา จึงขับไลใหลาสิกขาไปเน่ืองดวยเห็นวาไม สามารถบรรลุคุณวิเศษในพระศาสนาได ในเวลาที่พระจูฬปนถกะตัดสินใจจากไปนั้น ไดมีโอกาสเขาเฝา ๒๕๐ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/ ๑๒๖. ๒๕๑ ดูรายละเอียดใน เนตต.ิ (ไทย) หนา๗๔-๗๕. ๒๕๒ เนตตฺ .ิ (ไทย) หนา ๘๑. ๒๕๓ พระมหากจั จายนะเถระ,เนตตปิ กรณ,พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธบิ าย (กรุงเทพมหานคร:ไทยรายวัน การพมิ พ,๒๕๕๐) หนา ๘๒-๘๓.
๑๒๑ พระผูมีพระภาค พระองคทรงพาไปใหน่ังท่ีหนามุขพระคันธกุฎี ประทานทอนผาท่ีสะอาด ซึ่งทรง บนั ดาลข้นึ ดว ยฤทธิ์ และตรสั ใหบรกิ รรมวา “รโชหรณํ รโชหรณํ” กระบวนการทางปญญาของพระจูฬปนถกเกิดขนึ้ ในขณะทพี่ ิจารณาเห็นผา ท่ีสะอาด เมื่อลูบผา ผืนน้ันอยูจึงกลายเปนของเศราหมอง253๒๕๔ ขณะที่พระจูฬปนถกนอมใจไปในอารมณ วิถีในปญจทวาราวัช ชวนจิตดาํ เนินการขน้ึ รับรูส ภาวะตามความเปนจริงในขั้นตอนการทํางานของวิถีปฏปิ าทกมนสิการ แลวสง ตออารมณไปสูมโนทวาราวัชชนจิต พิจารณาโดยแยบคายในขั้นตอนการทํางานของชวนปฏิปาทกมนสิ การ จติ ขนึ้ สูการเจริญวปิ ส สนาพิจารณาสังขารทั้งหลายไมเท่ยี ง เม่ือกระบวนการโยนโิ สมนสกิ ารเกิดข้ึนจึง เปนปจจยั ใหองคธรรมแหงการเจริญปญ ญาเกิดข้ึน จากการศึกษาประวัติของพระจูฬปนถกะทําใหเห็นไดชัดเจนวา พระผูมีพระภาคเจาทรงเปน ยอดแหงกัลยาณมิตรมีอุบายอันแยบคาย ทรงทราบอัธยาศัยของบุคคลที่ตองการแสดงธรรมโปรด เพ่ือให สําเรจ็ ประโยชนท ี่ย่งิ ใหญ เมื่อพระจูฬปนถกไดม โี อกาสฟงพระสัทธรรมและปฏิบัตธิ รรมตามคาํ แนะนําของ พระผูมีพระภาคเจา โดยยกอารมณขึ้นสูวิปสสนา เห็นความไมเท่ียง ความไมสามารถคงสภาพเดิมไวได นอ มใจโดยแยบคายในอารมณกรรมฐานที่เจรญิ จนเกดิ ปญญาญาณ บรรลเุ ปนพระอรหนั ตใ นทีส่ ดุ ชีวิตท่อี ยูอยา งรเู ทาทนั ตามความเปนจรงิ ดวยวถิ ีแหง สติ โดยปกติคนเรามักจะเช่ือความรูทเ่ี กิดขึ้นจากประสาทสัมผัสท่ีผา นกระบวนการรับรู การที่ตาเหน็ หูไดยิน เปนตน แตความเปนจริงแลว ความรูท่ีไดรับจากประสาทสัมผัสไมใชความรูที่ถูกตองตามความ เปนจริงเสมอไป เชน ถาใครเคยเดินทางบนถนนตางจังหวัด ในขณะท่ีแดดสอง จะเห็นคลายน้ํานองๆบน พ้ืนผิวถนน เมื่อเราเขาไปถึงพ้ืนผิวบริเวณน้ัน ทุกอยางก็ปกติ ไมมีนํ้านองพื้น ลักษณะเชนน้ีเรียกกันวา พยบั แดด ๒๕๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๓๓๑.
๑๒๒ การรับรูจากการเห็น (จักขุวิญญาณ) น้ันเปนเรื่องจริง แตส่ิงท่ีเห็นนั้นไมมีอยูจริง เม่ือ ประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสคนเรามีขอบเขตจํากัด ความรูจากการรับรูส่ิงตาง ๆผานประสาทสัมผัส ในบางครัง้ จงึ ไมถูกตองตามสภาวะตามความเปนจริง ดวยเหตุนี้ การแสวงหาความรูที่ถูกตองตามความเปนจริง พระพุทธเจาทรงสอนใหขามพนจาก การรับรูผานประสาทสัมผัสน้ัน ๆ ดวยสัมมาสติ เนื่องจากสติเปนปจจัยสําคัญท่ีทําใหเกิดปญญา ดังที่ พระองคตรัสกับพระพาหยิ ะวา “ ดูกอนพาหิยะ เม่ือเธอเห็นอะไรก็จงสักแตวาเห็น ไดยินอะไรก็จงสักแตวาไดยิน รูอะไรก็จงสัก แตวา รู แลววญิ ญาณจะไมต้ังอยใู นภพไหน ๆ นน่ั แลคือท่สี ุดแหงความพนทุกข” ๒๕๕ พุทธพจนที่พระพุทธเจาตรัสถึงการเห็นสักแตวาเห็น การไดยินสักแตวาไดยินนั้น หมายถึงการ รับรูอารมณตาง ๆท่ีเขามากระทบทางทวารท้ัง ๖ น้ันตามความเปนจริงโดยปราศจากการปรุงแตงดวย อวชิ ชาและตัณหา เปน การรับรูสง่ิ ตา ง ๆท่มี ากระทบอายตนะท้ัง ๖ ดัวยสมั มาสติ ในแงความหมาย สัมมาสติ คือ สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก กิริยาท่ีระลึก ความทรง จาํ ความไมเ ลือ่ นลอย ความไมหลงลมื สติสัมโพชฌงค255๒๕๖ สตินทรยี สตพิ ละ256๒๕๗ หลักพุทธธรรม “สติ” เปนคุณธรรมท่ีสําคัญมาก มีช่ือเรียกโดยเฉพาะวา “อัปปมาท” หรือ ความไมประมาท หมายความถึง ความไมเผลอ ไมเลินเลอ ไมฟนเฟอนเลื่อนลอย ความระมัดระวัง ความ ตื่นตัวตอหนาที่ ภาวะที่พรอมอยูเสมอในอาการคอยรับรูส่ิงตาง ๆที่เขามาเก่ียวของ257๒๕๘ ดวยเหตุน้ีการ ดําเนินชีวิตที่มีสติคอยควบคุมจะเปนเครื่องมือในการปองกันยับยั้งตนเองไมใหหลงไปในอกุศลธรรมทั้ง การกระทาํ คําพดู และความคิด รวมทัง้ เปน เครอื่ งชวยกระตนุ ใหตื่นตัวตอการเจริญกุศลธรรมเมื่อระลึกถึง ความไมประมาทในชีวิต ในอปั ปมาทสูตร พระพทุ ธองคตรัสถึงความไมป ระมาท โดยฐานะ ๔ ประการ คอื ๒๕๕ ข.ุ อุ. ๒๕/๑๐๒,๑๐๓ ๒๕๖ อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕-๒๐๖/๑๗๒,๑๗๕, ๒๑๑-๑๗๙, ๔๙๒/๓๗๕. ๒๕๗ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๐/๒๐๑. ๒๕๘ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๐๕.
๑๒๓ ๑) จงละกายทุจริต บําเพ็ญกายสุจริต และอยาประมาทในการละกายทุจริตบําเพ็ญกายสุจริตน้ัน ๒) จง ละวจีทุจริต บําเพญ็ วจีสจุ รติ และอยาประมาทในการละวจที ุจริตบําเพญ็ วจสี จุ รติ นัน้ ๓) จงละมโนทจุ ริต บําเพ็ญมโนสจุ รติ และอยา ประมาทในการละมโนทจุ ริตบาํ เพ็ญมโนสุจรติ นัน้ ๔) จงละ มิจฉาทฏิ ฐิ บาํ เพญ็ สัมมาทฏิ ฐิ และอยาประมาทในการละมิจฉาทฏิ ฐบิ าํ เพ็ญสมั มาทิฏฐินั้น258๒๕๙ ในแงของความสําคัญ สติ หรือ อัปปมาทธรรมจึงเปนคุณธรรมที่เปนรากฐานของกุศลธรรมท้ัง ปวง ดงั พทุ ธพจนท ่วี า “ภิกษุทั้งหลาย รอยเทา ของสัตวท ีเ่ ท่ียวไปบนแผน ดินทง้ั หมดรวมลงในรอยเทาชาง รอยเทาชา งชาวโลกกลา ววา เลิศกวา รอยเทา เหลานัน้ เพราะเปนรอยเทาใหญ แมฉันใด กศุ ลธรรมทงั้ หมดกฉ็ นั นัน้ เหมือนกัน มคี วามไมป ระมาทเปน มลู ลงในความไมประมาท”๒๖๐ ในแงความสัมพันธระหวางองคมรรคอื่นนั้น การเจริญสัมมาสติข้ันปฏิบัติการน้ันไมใชใชสติ เพยี งองคประกอบเดยี ว แตมธี รรมอน่ื ควบคูอ ยดู วย ธรรมทไ่ี มไ ดแสดงไวค ือสมาธิ ซ่ึงจะตอ งมีอยางนอยใน ขั้นขณิก สมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) กับอุปจารสมาธิ (สมาธิท่ีจวนจะแนวแน) สวนธรรมท่ีระบุไวคือตอง ประกอบดวยองคมรรค ๓ คือ สัมมาวายามะ (มีความเพียร) สัมมาทิฏฐิ (มีสัมปชัญญะ) และสัมมาสติ (มี สติ) ๒๖๑ ในการเจริญสติปฎฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อกําจัดอภิชฌาและโทมนัส ดังพุทธพจน 260 วา “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาแลโทมนัสในโลก ได ๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกได ๒๕๙ ดรู ายละเอียดใน องฺ.จตุกก. (ไทย) ๒๔/๑๑๖/๑๗๘-๑๗๙. ๒๖๐ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๐/๗๕. ๒๖๑ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๗/๑๗๖, พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๑๒-๘๑๔.
๑๒๔ ๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก ได ๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสใน โลกได น้ีเรยี กวา สัมมาสติ261๒๖๒ จากพุทธพจนท่ียกมาขางตนนี้ แสดงใหเห็นถึงหนาที่ของสัมมาสติท่ีปฏิบัติการพรอมกับ สัมมาวายามะคือความเพียร และสัมมาทิฏฐิคือสัมปชัญญะ ในการเฝาระวังประคับประคองจิตใจไมให บาปอกศุ ลธรรมเกิดข้ึนในจิตใจ ขอความที่กลาววา “กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได” แสดงใหเห็นถึงผลจากการมี สติสัมปชัญญะวาสามารถวางใจไวใหเปนกลาง ไมติดใจพัวพันอยากไดและไมขัดเคืองขุนของ เปนความ ทุกขทางใจ ความมีสติสัมปชัญญะจึงทาํ ใหจ ิตใจไมถูกครอบงําดวยอํานาจของกิเลส262๒๖๓ ในประเด็นน้ีพระ พรหมคุณาภรณไดอธิบายขยายความไวความวา สัมปชัญญะเปนตัวที่ปรากฏควบคูกับสติ สัมปชัญญะก็ คือปญญา ดังนั้น การฝกฝนเรื่องสติจึงเปนสวนหน่ึงในกระบวนการพัฒนาปญญา263๒๖๔ เพื่อใหเกิดความรู ความเขาใจสิ่งตาง ๆอยางถูกตอง ไมเกิดความหลงเขาใจผิด รับรูและมองดูสิ่งตาง ๆตามภาวะที่เปน ไม เอนเอียงไปตามอํานาจของอวิชชาตณั หา การดําเนินชีวิตอยางมีสติเปนเครื่องคุมครองตนจะชวยใหเกิดความระมัดระวังควบคุมตนอยู เสมอ ไมใหพล้งั พลาดดําเนินชีวติ ไปในทางผิดที่จะกอ ใหเกิดอกศุ ลกรรมขึ้น และปรารภความเพียรในการ สงเสริมกุศลธรรมใหเกิดข้ึนในจิตใจ สรางสรรคความดีงามและประโยชนสุข ท้ังนี้เพราะเห็นคุณคาและ ความสําคัญของเวลาที่ผานไปทุกขณะ ไมปลอยเวลาและโอกาสใหผานเลยไป ใชเวลาอยางมีคุณคา และ เกิดประโยชน ทั้งนี้ก็ดวยความรู เขาใจอยางชัดเจนวาสิ่งใดเปนอกุศลธรรมและสิ่งใดเปนกุศลธรรมดวย อาํ นาจของสัมมาทฏิ ฐิ ซึ่งเปนช่อื หนึ่งของปญญา ๒๖๒ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๗, ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/ ๒๐๕/๑๗๒, ๔๘๗/๓๗๒. ๒๖๓ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๑๓. ๒๖๔ เรอื่ งเดียวกนั , ๘๑๓.
๑๒๕ เมื่อนํามาประยุกตใชกับบุคคลที่ประสบภาวะแหงทุกข เชน ปญหาความรัก บุคคลท่ีปรารถนา จะพบกับความสุขในภาวะความรักที่ดีงาม การจัดการกับปญหาชีวิตของบุคคลน้ัน ตองดําเนินชีวิตอยาง ไมประมาท ตองสนใจและทําใหชีวิตที่เปนอยูในแตละขณะปจจุบันมีความสุข ดวยการประคับประคอง จิตใจใหมีสติอยูกับขณะปจจุบัน สกัดก้ันความคิดใครครวญถึงอดีต ยับยั้งความคิดใฝหาในอนาคต เพ่ือให มีชีวิตอยูอยางปจจุบัน เพราะถาชีวิตท่ีเปนอยูในแตละขณะน้ียังทําใหมีความสุขไมไดแลว การที่จะมี ความสขุ ในชว งเวลายาวไกลกเ็ ปน เพียงความหวังไมใชความจริง เปน การดาํ เนนิ ชวี ิตอยา งมีสติสัมปชัญญะ ดังนั้น การมีชีวิตอยูดวยปญญา จึงเปนการดํารงอยูอยางมีสติในปจจุบันขณะ ดําเนินชีวิตใน ขณะน้ัน ในเวลาน้ันอยางมีจิตใจท่ีรับรูตามสภาวะที่กําลังเปนอยู ซ่ึงทําใหบุคคลรูและเขาใจสิ่งตาง ๆตาม สภาวะความเปนจริง เม่ือเกิดความรูความเขาใจสิ่งตาง ๆตามสภาวะ การจัดการกับปญหาและส่ิงตาง ๆ ยอมเปนไปไดดี คือเปนการดํารงชีวิตอยูดวยสติปญญา ตามหลักสติปฏฐาน ๔ ๒๖๕ คือ มีสติอยูกับลม 264 หายใจเขาออกของตัวเอง มีสติอยูกับการยืน การเดิน การนั่ง การนอนของตนเอง รับรูอารมณความรูสึก สุข ทุกข เฉยๆ อยางท่ีมันเปนโดยไมปรุงแตงวาอะไรหรือใครท่ีทําใหเราทุกข แครับรู พิจารณาดูอารมณ ความรูสึกวาสุขทุกข หรือเฉยๆเทาน้ัน มีสติอยูกับจิตใจของตนเองวาในขณะน้ันเปนอยางไร มีราคะ มี โทสะ มีโมหะ หรอื ไมม ีราคะ ไมม ีโทสะ ไมมโี มหะ เปนตน สติจะชวยใหบ ุคคลไดร ับรูสภาพจิตนิสัยของตน ตามความเปนจริง วาบุคคลส่ังสมจนคุนชินกับอกุศลธรรมใด และคุนชินกับกุศลธรรมใด เม่ือเราพิจารณา สภาพจิตของตนเองอยางที่เปนจริง กลาท่ีจะเผชิญสภาพความจริงของตนเองได ไมหลอกลวงตนเอง บุคคลนั้นก็จะมีกําลังใจในการสรางเสริมกุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษกับอกุศลธรรมท่ีจิตคุนชินน้ัน สติจะชวย สนับสนุนในการละความเคยชินเกาท่ีไมดี และสรางความเคยชินใหมท่ีดี ทําใหสามารถชําระลางกิเลส เหลาน้ันได แกป ญ หาภาวะแหงทกุ ขตา ง ๆไดดว ยตนเอง ๒๖๕ สตปิ ฏ ฐาน ๔ คือธรรมเปนท่ตี ง้ั ของสติ หมายถงึ การกําหนดสตพิ ิจารณาใหรูเหน็ สิ่งตางๆตามความเปนจริง ไดแก กายานุปส สนา คือการต้ังสติกําหนดพิจารณากาย การกาํ หนดรูล มหายใจ การกําหนดรูอิริยาบถ การกาํ หนดรูธาตุ ตา งๆในรา งกาย เปนตน , เวทนานปุ สสนา คอื การตั้งสตกิ าํ หนดพจิ ารณาเวทนา กําหนดรเู วทนาวา สุข ทุกข หรือเฉยๆ, จิตตานุปสสนา คือการต้งั สติกาํ หนดพจิ ารณาจิต มีสตริ ูชัดจติ ของตน จิตทม่ี รี าคะก็กําหนดรวู า จิตมีราคะ จติ ที่มีโทสะก็ กาํ หนดรวู า จติ มีโทสะ เปนตน และธัมมานปุ ส สนา คือการต้งั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาธรรม มสี ติรูชัดในธรรมท้ังหลายที่ ปรากฏข้ึน ตงั้ อยู และดับไป อาทิ นิวรณ ๕ เชน เม่อื กามฉนั ทะเกิดขน้ึ กม็ ีสติรูชัดวา กามฉันทะเกิดขึ้น เมื่อพยาบาท เกดิ ขึ้น ก็มสี ติรชู ัดวาพยาบาทเกิดขนึ้ เปนตน
๑๒๖ เม่ือบุคคลมีสติเฝาระวังในการรับรอู ารมณที่เขามาทางทวารท้งั ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กายและ ใจ สติจะเปนเคร่ืองชวยในการยับย้ังอกุศลธรรมไมใหเกิดขึ้น เพราะเมื่อบุคคลรับรูอารมณอยางมีสติ ยอม พิจารณาเห็นและเขาใจส่ิงตาง ๆท่ีมากระทบอยางถูกตองตามสภาวะที่เปนจริง ไมถูกครอบงําดวยอํานาจ อวิชชาและตัณหา ที่ทําใหการรับรูบิดเบือนผิดพลาดไปจากความเปนจริง ซึ่งทําใหตกอยูในอํานาจของ ความอยากใหเ ปนอยา งนั้นหรือไมอยากใหเปน อยา งนนั้ ไมม องเหน็ สิ่งท้ังหลายตามท่ีมันเปนจริง กอใหเ กดิ ปญหา ความบกพรอง ความกระวนกระวาย และความทุกขตาง ๆ ในทางตรงขาม การรับรูอารมณอยาง มีสติ มีชีวิตในแตละขณะปจจุบัน ยอมไมมีความบกพรอง ไมมีความกระวนกระวาย จึงมีความสุขภายใน ตัวเองทุกๆขณะ เมื่อภายในจิตใจอยูในภาวะไรทุกขแลว บุคคลน้ันยอมสามารถทํากิจ และจัดการปญหา ภายนอกไดเปน อยา งดี เพราะไมมีเง่อื นปมปญ หาภายในร้งั ดงึ ไว265๒๖๖ ในทางตรงขาม หากบุคคลเกิดภาวะปญหาทางจิตใจ มีความปรารถนาและการแสวงหาเพื่อ ตอบสนองความปรารถนานั้น นั่นหมายความถึง ความขาดแคลน ความบกพรอง ไมมีในส่ิงท่ีตองการ ไม วาจะเปนความตองการท่ีเกิดจากความขาดแคลนจริง ๆ หรือความขาดแคลนท่ีสรางข้ึนเอง ส่ิงท่ีตามมา คอื ความกระสับกระสา ย ทุรนทรุ าย ด้นิ รนแสวงหาเพอ่ื ใหไ ดมาตามความตองการ เมื่อนั้นความสงบระงับ จึงเกิดข้ึน คือในชวงเวลานั้นไดรับความสุข เม่ือไดสมหวังดังปรารถนา แตหากความตองการนั้นไมไดดังที่ ตองการไมไดดังท่ีด้ินรนแสวงหา ก็เกิดความบีบคั้น กระสับกระสายกระวนกระวาย ย่ิงตองการมาก ก็ยิ่ง พรอ งมากกระวนกระวายมาก และความทกุ ขก็ย่งิ แรงมาก ดวยเหตุนี้ ความทุกขอันเกิดจากความตองการไมไดรับการตอบสนองและไมมีหวังวาจะไดรับ การตอบสนอง จึงทุกขยาวนานและทุกขรนุ แรง เม่ือหาทางระงับทุกขไมได ก็ระบายออก ทําใหเกิดปญ หา เพ่ิมทุกขแกตนเอง และผูอื่นมากข้ึน บุคคลที่มีกระบวนการแสวงหาความสุขโดยยึดหลักความตองการ และปรนเปรอเพ่ือสนองความตองการเปนท่ีตั้ง คือฝากความสุขไวกับกระบวนการตอบสนองความ ตองการ บุคคลนั้นก็ยอมมีวงจรชีวิตที่มีความทุกขเปนพื้นฐาน ลักษณะดังกลาวน้ี เปนการดําเนินชีวิต อยางขาดสติ ดําเนินชีวิตไปในทางที่เส่ือมเสีย ทอดทิ้งโอกาสแหงความดีงาม เรียกวา เปนการดําเนินชีวิต อยา งความประมาท ๒๖๖ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๙๑-๘๙๒.
๑๒๗ ดังน้ัน การดําเนินชีวิตท่ีเปนอยูอยางพากเพียรดวยวิถีแหงปญญา โดยมีสติเปนเคร่ืองเราเตือน หรือควบคุม ใหสํานึกอยูเสมอถึงสิ่งที่จะตองเวนและส่ิงที่จะตองทํา ดวยความใสใจ ไมทอดทิ้งโอกาสแหง ความดีงาม รักษาส่ิงดีที่มีอยูและเรงทําส่ิงท่ีดีงามอื่น ๆใหเกิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น เม่ือเราตองการความดี งามความเจริญ เราก็ตองพยายามทํากรรมอันดีงามท้ังหลายอันเปนเหตุใหความดีงามน้ันคงอยู และงอก งามยิง่ ขึน้ คําถามทบทวนประจําบท ๑ อธิบายคาํ สอนเรือ่ งอริยสจั ๔ และปฏจิ จสมุปบาทมาใหเ ขาใจพอสังเขป ๒ อธิบายความสัมพันธร ะหวางอรยิ สัจ ๔ และปฏจิ จสมุปบาทมาใหเขาใจพอสังเขป ๓ อธบิ ายหลกั การนําคาํ สอนเร่อื งสมั มาทิฏฐิและการเจรญิ สตเิ พ่อื การดาํ เนินชีวติ มาใหเขา ใจพอสังเขป
๑๒๘ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑ พระไตรปฎก พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๐ สตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๑๑ สุตตันตกปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๑๒ สุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๔ สตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๖ สุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย นิทานวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๑๙ สตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมที่ ๒๕ สตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อุทาน. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๒๕ สุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๒๕ สุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง
๑๒๙ กรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๒๙ สุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย มหานเิ ทส. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมท่ี ๓๑ สุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ปฏสิ มั ภิทามรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๓๔ อภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๓๕ อภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. ๒ คมั ภรี อรรถกถา ทีฆนิกาย สุมงั คลวิลาสินี มหาวรรคอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราช วทิ ยาลยั พมิ พครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. ทฆี นิกาย สุมงั คลวลิ าสนิ ี ปาฏวิ รรคอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราช วทิ ยาลยั พมิ พคร้ังที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหามกุฎราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖. ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย พิมพค ร้ัง ที่ ๓.กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. ขทุ ทกนิกาย สัทธรรมปชโชตกิ า มหานิเทสอรรถกถา พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎ ราชวิทยาลัย พมิ พค ร้ังท่ี ๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หามกฎุ ราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖. อภิธรรมปฎก วภิ งั ค สมั โมหวโิ นทนีอรรถกถา. พระไตรปฎก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราช
๑๓๐ วิทยาลยั พมิ พครง้ั ที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๓๖. ๓ หนงั สือ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท . พมิ พครงั้ ที่ ๓ . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๙. พระมหากจั จายนะเถระ. เนตติปกรณ. พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย . กรุงเทพมหานคร:ไทย รายวันการพมิ พ, ๒๕๕๐. พระพุทธโฆษะเถระ. คัมภีรวิสทุ ธมิ รรค. ฉบับ ๑๐๐ ป สมเด็จพระพุฒาจารย อาจ อาสภมหาเถระ). พิมพ ครั้งท่ี ๖. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั ธราเพลส จํากดั , ๒๕๔๘. พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม . พมิ พคร้งั ที่ ๑๖. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท เอส อาร พรนิ้ ต้ิง แมส โปรดักส จํากัด, ๒๕๕๑. ______________ . พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ขยาย, พิมพครง้ั ที่ ๓๒, กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พ ผลธิ ัมม, ๒๕๕๕. พระสัทธมั มโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี . พิมพค รั้งที่ ๕. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธสิ ทั ธมั มโชตกิ ะ. พระอนุรุทธาจารย. พระคนั ธสาราภวิ งศ. (ผูแปล). อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมัตถธีปนี. กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวันกราฟฟค เพลท,๒๕๔๖. พระอุป ตสิ สเถระ. วมิ ตุ ติมรรค. แปลโดย พระเทพโสภณและคณะ. พิมพค รั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร:โรง พมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๘. วชั ระ งามจิตรเจรญิ . พทุ ธศาสนาเถรวาท . กรงุ เทพมหานคร : สํานักพมิ พมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร, ๒๕๕๐. สมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆราชสกลมหาสังฆปรนิ ายก องคท ่ี ๑๙. จิตศึกษา. พิมพค รง้ั ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทพิมพสวยจํากดั , ๒๕๕๔.
๑๓๑ สจุ นิ ต บรหิ ารวนเขตต. ปรมตั ถธรรมสังเขป จิตตสงั เขป และภาคผนวก. พมิ พค ร้ังท่ี ๕. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พริน้ ต้ิงเฮาส, ๒๕๕๓.
๑๓๒ แผนการสอนประจาํ บทท่ี ๖ เน้ือหา ๙ ชว่ั โมง บทที่ ๖ อริยมรรคมอี งค ๘ ในฐานะทางแหง ความดับทุกข การปรับเปลี่ยนความเห็นและความคดิ โดยอริยมรรคมอี งค ๘ การปรบั เปลย่ี นสภาวะทางจิตใจและอารมณความรูสกึ โดยอรยิ มรรคมีองค ๘ การปรบั เปลยี่ นทา ทกี ารแสดงออกโดยอริยมรรคมีองค ๘ คําถามทบทวนบทท่ี ๖ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท วัตถปุ ระสงคเ ชิงพฤตกิ รรม หลงั จากเรยี นจบบทนี้ นิสติ ๑ รู เขา ใจหลกั ธรรมอรยิ มรรคมอี งค ๘ ในฐานะทางแหงความดับทกุ ข และสามารถอธบิ ายได ๒ รู เขาใจ หลกั การปรบั เปลีย่ นความเห็น ความคิด และสภาวะทางจติ ใจ และสามารถอธบิ ายได ๓ สามารถประยุกตความรใู นหลกั การปรับเปล่ียนอารมณความรสู กึ และทาทีการแสดงออกโดย อริยมรรคมอี งค ๘ ไปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั ได วิธีสอนและกจิ กรรม ๑ ศกึ ษาเอกสารคําสอนบทท่ี ๒ วธิ ีสอนแบบอภปิ รายเน้ือหา ซกั ถาม ๓ ศึกษาคนควา ดวยตนเอง
๑๓๓ ๔ รวมวเิ คราะหแ ละอภิปรายขอมูลจาก PowerPoint หนา ชั้นเรยี น ๕ สรปุ เนอ้ื หาการเรียนการสอนทกุ คร้งั ๖ ทําคาํ ถามทบทวนทายบท และนาํ ผลที่ไดจ ากการวเิ คราะหความรคู วามเขาใจของนสิ ติ มา ปรับปรงุ สื่อการเรยี นการสอน ๑ เอกสารคําสอนบทที่ ๒ ๒ PowerPoint ๓ แบบฝกปฏบิ ัติ ๔ เครือ่ งคอมพวิ เตอร การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑ สังเกตการณก ารมสี วนรว มและการแสดงความคิดเห็นของนสิ ิต ๒ สงั เกตความตั้งใจเรยี น การต้ังคาํ ถาม/ตอบคําถาม ๓ การทําคาํ ถามทบทวนทา ยบท
๑๓๔ บทที่ ๖ อรยิ มรรคมอี งค ๘ ในฐานะจติ วิทยาพทุ ธศาสนา อรยิ มรรคมีองค ๘ ในฐานะทางแหงความดบั ทกุ ข อริยมรรคมีองค ๘ เปนหลักธรรมท่ีมีความสัมพันธกับหลักอริยสจั ๔ อยางใกลชิด ในฐานะที่เปน ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา266๒๖๗ คือ ทางแหงความดับทุกข ๘ ประการ ไดแก สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ พระพุทธเจาทรงแสดง อริยมรรคมีองค ๘ ในฐานะมัชฌิมาปฏิปทา เปนทางสายกลางเพ่ือความดับแหงทุกข เพื่อพระนิพพาน ดัง พุทธพจนว า “ภิกษทุ ้ังหลาย กม็ ชั ฌิมาปฏิปทาทีต่ ถาคตไดต รสั รแู ลว อนั เปนปฏปิ ทากอให เกดิ จักษุ กอ ใหเ กดิ ญาณ เปน ไปเพือ่ ความสงบ เพ่ือความรยู ่งิ เพ่ือความตรัสรู เพือ่ พระนิพพานนั้นเปน ไฉน มัชฌมิ าปฏิปทาน้นั ไดแก อรยิ มรรคมอี งค ๘ นแี้ หละ คอื ๑- ๑. สมั มาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ) ๒. สมั มาสังกัปปะ (ดํารชิ อบ) ๓. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ) ๔. สมั มากัมมนั ตะ (กระทาํ ชอบ) ๕. สมั มาอาชีวะ (เลย้ี งชีพชอบ) ๖. สมั มาวายามะ (พยายามชอบ) ๗. สมั มาสติ (ระลึกชอบ) ๘. สมั มาสมาธิ (ต้งั จิตมัน่ ชอบ) ภกิ ษุทัง้ หลาย นคี้ อื มัชฌิมาปฏิปทาน้นั ท่ตี ถาคตไดต รสั รแู ลว อนั เปนปฏิปทา กอใหเ กิดจกั ษุ กอใหเ กิดญาณ เปน ไปเพื่อความสงบ เพื่อความรูยงิ่ เพือ่ ความตรัสรู เพื่อพระนิพพาน”267๒๖๘ เม่ือพระพทุ ธเจาทรงพจิ ารณาเห็นธรรมชาตคิ วามทุกขข องมนษุ ย และทรงคน พบทางแกไขปญหา เพ่ือใหพนไปจากความทุกขนั้น อริยมรรคมีองค ๘ จึงมีความสําคัญในฐานะจิตวิทยาพุทธศาสนา ซ่ึงเปน ๒๖๗ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๘๘/๔๒๓. ๒๖๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓/๒๐-๒๑.
๑๓๕ การศึกษาเก่ียวกับการทํางานของความคิด จิตใจในอารมณความรูสึก และพฤติกรรมท่ีแสดงออกมาของ บุคคล สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ไดก ลาวไวในหนงั สือจากจติ วิทยา สูจ ิตภาวนา กลา ว โดยสรุปวา “ระบบชวี ติ ทม่ี ีปญหาของมนุษย มี ๓ ชน้ั คือ ระดับแรก เปนระดับพฤติกรรม ไดแ ก สาเหตทุ างดา นความทุจรติ หรือเจตนาท่ไี มด ีงาม ไม ถูกตอ ง เรียกวาเปน ปญหาในระดับศลี คอื ระดับพฤตกิ รรม ระดับที่สอง คือ ระดับจติ ใจ ไดแก สาเหตรุ ะดับตณั หา ระดบั ท่สี าม เปน ระดับทสี่ ืบลกึ ลงไปอกี ไดแ ก สาเหตทุ างปญญา”268๒๖๙ เน่ืองจาก ธรรมชาติของปุถุชนน้ันยอมมีจิตประกอบดวยอกุศลมูลทั้ง ๓ คือ โลภะ โทสะ และ โมหะ กอใหเกิดการกระทําตาง ๆ (กรรมภพ) ทั้งทางความคิด ทางวาจา และทางกายที่เปนอกุศลกรรม หรือท่ีเรียกอีกอยางหน่ึงวา ทุจริต ๓ ๒๗๐ ไดแก กายทุจริต (ความประพฤติช่ัวทางกาย) วจีทุจริต (ความ 269 ประพฤติชัว่ ทางวาจา) และมโนทจุ ริต (ความประพฤติช่วั ทางใจ) หมุนวนเขาสวู งจรแหง ทกุ ขใ นปฏิจจสมปุ บาทเรือ่ ยไป ดังน้ันหลักการปรับเปลี่ยนในระดับละอกุศลธรรมก็คือ เริ่มตนจากการปรับเปล่ียนภายใน ความคดิ และจติ ใจ จากการสง่ั สม อกศุ ลธรรมใหเ ปนการละการสง่ั สมอกุศลธรรม หมายความวา ขั้นที่หน่ึง เริ่มตนในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมทางใจในมโนทุจริต คือ อภิชฌา (ความเพงเล็ง อยากได) มีอกศุ ลมลู คือโลภะ270๒๗๑ และมจิ ฉาทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด) ซงึ่ จดั เปน ทิฏฐาสวะ271๒๗๒ โดยการละกเิ ลส ๒๖๙ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), จากจิตวทิ ยา สจู ิตภาวนา, กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบัน บันลอื ธรรม, ๒๕๔๖, หนา ๑๗. ๒๗๐ ทุจริต ๓ คือ ความประพฤติช่ัว ประพฤติไมดี ไดแก กายทุจริต ความประพฤติชั่วทางกาย มี ๓ คือ ปาณาติบาต, อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร, วจีทุจริต ความประพฤติช่ัวทางวาจา มี ๔ คือ มุสาวาท, ปสุณาวาจา, ผรุสวาจา, และสัมผัปปลาปะ, มโนทุจริต ความประพฤติชั่วทางใจ มี ๓ คือ อภิชฌา, พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๐, ท.ี ปา.อ. (ไทย) ๓/๒/๒๘๙-๒๙๐. ๒๗๑ อภ.ิ สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑๗. ๒๗๒ อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๒/๔๑๐.
๑๓๖ นั้นเสีย และนําธรรมท่ีเปนคูปฏิปกษมาแทนที่ คือ การละอภิชฌา และนําอนภิชฌา มาแทนท่ี การละ มจิ ฉาทฏิ ฐิ และนําสมั มาทิฏฐิมาแทนท่ี ข้ันตอมา การปรับเปล่ียนความคิดราย ทําลาย หรือพยาบาทตอผูอ่ืน คือ พยายาทวิตก ปรับเปล่ียนความคิดเปนความไมคิดราย ไมคิดทําลาย (อพยาบาทวิตก) ซ่ึงนั่นก็หมายความรวมถึง ความคิดปรารถนาดี ปรารถนาเกือ้ กูลผูอนื่ ดวยนัน่ เอง การเริ่มตนดวยสัมมาทิฏฐิ หรือปญญาน้ัน คือการเริ่มตนดวยความเขาใจปญหา ยอมรับและ การกลาเผชิญหนา กับความจริง เม่ือบุคคลมีความรูความเขา ใจและกลา เผชิญหนากับความจริงของปญหา ในชีวิตแลว บุคคลนน้ั จงึ จะสามารถจดั การและดาํ เนินชวี ติ ตอไปอยา งถกู ตอ งดีงามได แตโดยปกติท่ัวไปของบุคคลท่ีประสบปญหา มักจะไมสามารถมองเห็นปญหาดวยสติปญญา ของตนเองได ดังนั้นการท่สี ัมมาทิฏฐจิ ะเกดิ ขน้ึ ไดจงึ ตองอาศัยปจ จัย สองประการ272๒๗๓ คือ ปจจัยแรก ปจจัยภายนอก คือ ปรโตโฆสะ หรือกัลยาณมิตร ไดแก การคบสัตบุรุษ และการฟง ธรรมจากสัตบุรุษ คือ การศรัทธา เล่ือมใส ไววางใจในปญญาของผูอ่ืน อาศัยปญญาของคนอ่ืนโดยผาน ทางคําแนะนําสั่งสอน เปนตน ซ่ึงเปนปจจัยที่เกิดจากภายนอก จากการไดรับคําแนะนํา การศึกษาอบรม หรือกัลยาณมิตรอ่ืน ๆ ซ่ึงจะมีอิทธิพลตอบุคคลมาก เน่ืองจากเม่ือบุคคลเกิดความศรัทธา เล่ือมใสใน กัลยาณมิตร ศรัทธาน้ีจะเปนคุณธรรมภายในท่ีเชื่อมโยงบุคคลไวกับปจจัยภายนอก เปนปจจัยเริ่มตนของ กระบวนการทางความคิดท่ีถูกตองดีงามข้ึนภายใน และเปนพลังอยูภายใน เมื่อบุคคลรับรูอารมณหรือ ประสบปญ หาตาง ๆ กระแสความคิดก็จะเช่อื มโยงจากประสบการณท่ีตนเองไดรับกับประสบการณท่ีผาน คําแนะนําจากผูอื่นมาเปนแนวทางในการจัดการปญหาตอไป ดังน้ัน ศรัทธาที่บริบูรณจึงเปนอาหารหลอ เล้ียงโยนิโสมนสิการ273๒๗๔ ในทางตรงขาม หากไมมีกัลยาณมิตรคอยช้ีแนะแนวทางที่ถูกตอง หรือมีปาป มิตร ผลอาจตรงกันขามนําพาไปสูความหลงผิด หางไกลจากความรูย่ิงขึ้น274๒๗๕ ดังน้ัน ปจจัยจากภายนอก จึงเปน ส่ิงท่สี าํ คัญอยา งย่ิงดังพระพุทธพจนวา ๒๗๓ ดรู ายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๖/๔๕-๔๖, ๖๒/๔๖-๔๗. ๒๗๔ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖, ๖๒/๑๓๙. ๒๗๕ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๔๓-๔๔.
๑๓๗ “เราไมเล็งเห็นธรรมอ่ืนแมสักอยางหน่ึง ท่ีเปนเหตุใหกุศลธรรมที่ยังไมเกิด เกิดข้ึน หรือ ให อกุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวเส่ือมไป เหมือนความมีกัลยาณมิตรเลย เม่ือบุคคลมีกัลยาณมิตร กุศล ธรรมทย่ี ังไมเ กดิ ยอ มเกิดขน้ึ และอกศุ ลธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ยอมเส่ือมไป”๒๗๖ ปจจัยท่ีสอง ปจจัยภายใน ไดแก โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาโดยแยบคาย การกระทําไว ในใจโดยแยบคาย การใสใจนอมไปในทางที่ดีงาม ดังน้ัน โยนิโสมนสิการจึงเปนธรรมท่ีชักนํากระแส ความคิดใหไปสูแนวทางที่ดีงามท่ีเคยเรียนรูมากอนหรือคุนเคยมากอน ซึ่งตามปกติเปนระดับท่ีชวยใหเกิด โลกียสัมมาทฏิ ฐ2ิ76๒๗๗ได เพราะโยนโิ สมนสกิ ารเปนปจ จยั ใหเกดิ ปญ ญา คอื ใหเกิดสมั มาทิฏฐ2ิ77๒๗๘ แตในบางบุคคลที่สั่งสมความเคยชินท่ีเปนอกุศล โยนิโสมนสิการแบบเรากุศลก็จะชวย ปรบั เปลีย่ นแกไ ขนสิ ยั ความเคยชนิ รายๆ ของจิตทไ่ี ดสัง่ สมไวแตเ ดมิ พรอ มกับสรา งสมความเคยชินใหมที่ดี งามใหแกจิตในเวลาเดียวกันเมื่อไดร ับคาํ แนะนําสัง่ สอนจากกัลยาณมิตร ดังตัวอยางเชน ชายหนุมคนหนึ่งมีนิสัยเจาชู แสดงวาเขาไดสั่งสมอกุศลมูลคือโลภะอยูมาก จึง เปนบุคคลผูหนักดวยตัณหา ตอมาเม่ือชายหนุมเห็นหญิงสาวที่สวยสะดุดตา หากอโยนิโสมนสิการคือการ ใสใจนอมไปในทางที่ไมดีงามปฏิบัติการอวิชชาตัณหาก็จะเกิดข้ึน มีความคิดเพงเล็งอยากไดหญิงสาวสวย น้ันมาครอบครอง (อภิชฌา) และหากตอมาสืบทราบวาหญิงสาวสวยนั้นมีสามีแลว และหากชายหนุมไม อาจจะควบคมุ กิเลสของตนไวไดกจ็ ะกอพฤตกิ รรมท่ไี มด ีงาม เปน กายทุจริต คอื ลว งละเมดิ ทางเพศตอ หญิง ที่มีสามี (กาเมสุมิจฉาจาร) เปนตน สมดังพระพุทธพจนที่วา “การมนสิการโดยไมแยบคายท่ีบริบูรณ ยอม ทําใหความไมมสี ตสิ ัมปชญั ญะบรบิ ูรณ”๒๗๙ เกิดพฤตกิ รรมท่ไี มดงี าม คือ ทุจรติ ๓ ในท่ีสุด แตในทางตรงขาม เม่ือชายหนุมคนนี้ไดรับคําแนะนําสั่งสอนจากกัลยาณมิตร ไดฝกฝนอบรม ตนเพ่ือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ชายหนุมจะปลุกเราโยนิโสมนสิการใหเกิดการพิจารณาดวย ความปรารถนาดี มองเห็นหญิงสาวน้ันวัยใกลเคียงกับนองสาวของตน รักเมตตา ใหความเก้ือกูลเหมือน ๒๗๖ องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๗๒/๑๖. ๒๗๗ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา ๖๗๓. ๒๗๘ มิลนิ ทฺ . (ไทย) ๓๓-๓๔. ๒๗๙ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๕, ๖๒/๑๓๘.
๑๓๘ เปนนองสาวของตน เปนตน ดังนั้น เมื่อโยนิโสมนสิการบริบูรณ ยอมทําใหความมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ เกดิ พฤติกรรมทีด่ งี าม คอื สุจริต ๓ ๒๘๐ ตามมา 279 ลักษณะดังกลาวนี้ คือขั้นตอนของการปรับเปล่ียนในระดับพฤติกรรมทางกาย เปนการ ปรับเปล่ียนโดยละอกุศลธรรม และนํากุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษมาแทนท่ี เพื่อปรับเปล่ียนพฤติกรรมท่ีไมดี งามเปน พฤติกรรมทีด่ ีงาม นอกจากนี้ ความคิดและอารมณความรูสึก (Emotion) มีความสัมพันธกันอยางใกลชิด และ ความคดิ กเ็ ช่ือมโยงกบั ความฉลาดทางอารมณความรูสึกดวย เมื่อความคิดทํางานโดยจับคูกับอารมณ ความคิดดานลบก็จับคูกับอารมณดานลบ และฝงตัวอยู กบั ความคนุ ชินของตวั เอง ความคิดดานลบ อาทิ เสียงกนดาตัวเอง บนตัวเอง พร่ําบอกกับตัวเองวา เราเปนคนโง เราไมเอา ไหน ไมสมบุกสมบัน ออนแอ แลวเราก็จะเปนเชนนั้นจริง ๆตามท่ีเรากลาวกับตัวเอง เราสาปตัวเองไวกับ ความมืดมนแหง ความคนุ ชิน อารมณดานลบ ก็คือรองอารมณทางลบที่เกิดขึ้นมาพรอมกับความคิดดานลบ เปนการทํางาน ของสมองชั้นกลางที่เรียกวา อมิกดาลา สมองสวนนี้จะเก็บรองอารมณทั้งหลายไว และผุดขึ้นพรอมกับ ความคิดดานลบ เม่ือเกิดอารมณโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา หรือนอยใจ สมองสวนพุทธิปญญาจะทํางาน ฟนเฟอน หรือเรียกวาสัญญาวิปลาส คือการรับรูบิดเบือน รับรูส่ิงตาง ๆคลาดเคลื่อนจากความเปนจริง ทั้งนี้เพ่ือตอบสนองความรสู ึกเลวรายตาง ๆทีเ่ กิดขึ้นกบั เรา ใหร สู ึกเลวรายย่ิงข้ึนไปอกี บอยครั้งที่อารมณความรูสึกเปนสิ่งท่ีถูกกดทับเอาไว เรามักจะแยกอารมณออกไป และคิดวาจะ จัดการเรื่องราวตาง ๆไดดวยเหตุผล แลวก็เก็บกดอารมณเอาไว หากอยูในในรองอารมณลบต้ังแตระดับ ความรุนแรงมาก เชน โกรธ เกลียด ริษยา เปนตน ไปจนถึงระดับความรุนแรงเบาบาง เชน หงุดหงิด รําคาญใจ ความกังวล เปนตน เหตุปจจัยดังกลาวน้ีไดกักขังเราไว ทําใหไมเกิดการเรียนรู มองไมเห็นส่ิงดี งามในสายตา ดังนั้น มนุษยจึงตองผานการฝกฝน ในการมีทัศนะที่ดีงาม มีความคิดที่ดีงาม การฝกฝน ๒๘๐ ดรู ายละเอยี ดใน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖, ๖๒/๑๓๙.
๑๓๙ ตนเองใหสามารถอยูกับปจจุบันขณะ จะทําใหเราเขาสูสภาวะปกติ มีอารมณเปนบวก มีพลังทางความคิด มอี สิ ระในการรบั รู ทาํ ใหเ ราสามารถมองเหน็ และคิดอะไรแตกตา งไปจากเดิมได และเกิดการเรียนรใู หม การปรบั เปล่ยี นความเหน็ และความคดิ ในอรยิ มรรคมีองค ๘ การท่ีบุคคลจะปฏิบัติตอบุคคลอ่ืน และมีมุมมองตอชีวิตอยางไรน้ัน ข้ึนอยูกับประสบการณใน ชีวิตท่ีไดรับรู และเรียนรูมา ดวยเหตุน้ีการที่บุคคลจะมองชีวิตในแงดีหรือแงไมดีนั้น ความเห็นที่มีตอชีวิต และประสบการณที่รับรูและการแปลความหมายจากการรับรูนั้นจึงเปนส่ิงสําคัญซึ่งข้ันตอนน้ีเปน กระบวนการทางความคิดภายในจติ ใจ การปรับเปลี่ยนความเห็นคือทัศนะและวิธีคิดเพื่อใหบุคคลมีความเห็นทีถ่ ูกตอง และมีความคิด ทดี่ ีงามนโ้ี ดยใชหลักจิตวทิ ยาพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐแิ ละสัมมาสงั กปั ปะมาประยุกตใ ช ก) การปรับเปลี่ยนทศั นะใหต งั้ อยใู นสมั มาทิฏฐิ คมั ภีรว ิภังคใ หความหมายสัมมาทิฏฐไิ วว า คอื ความรใู นทกุ ข (ความทุกข) ความรใู นทุกขสมทุ ัย (เหตุเกิดแหงทุกข) ความรูในทุกขนิโรธ (ความดับทุกข) และความรูในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ขอปฏิบัติ ใหถ ึงความดบั ทุกข)280๒๘๑ สวนในปปญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ไดใหความหมายไวความวา สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ดีงามและประเสริฐ เปนความเห็นท่ีถูกตอง281๒๘๒ ในสัมมาทิฏฐิสูตร พระสารีบุตรไดอธิบายไววา “เมื่อใด พระอริยสาวกรูชัดอกศุ ลและรากเหงาแหง อกุศล รูชัดกุศลและรากเหงาแหงกุศล เมื่อน้ัน แมดวย เหตุเพียงเทานี้ พระอริยสาวกก็ช่ือวา มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง”๒๘๓ และไดอธิบายขยายความไววา อกศุ ล คือ การฆาสตั ว การลกั ทรพั ย การประพฤตผิ ดิ ในกาม การพดู เทจ็ การพูดสอ เสียด การพดู คาํ หยาบ การพูดเพอเจอ การเพงเล็งอยากไดสิ่งของของผูอื่น การคิดปองรายผูอ่ืน มีมิจฉาทิฏฐิ โดยมีรากเหงาแหง อกุศลคือ โลภะ (ความโลภ) โทสะ(ความคิดประทุษราย) และโมหะ (ความหลง) สวนกุศล คือ เจตนางด ๒๘๑ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๑, ๔๘๗/๓๗๑. ๒๘๒ ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๔๑-๕๔๒. ๒๘๓ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘๙/๘๑-๘๒.
๑๔๐ เวนจากการฆาสัตว เจตนางดเวนจากการลักทรัพย เจตนางดเวนจากการประพฤติผิดในกาม เจตนางด เวน จากการพดู เทจ็ เจตนางดเวน จากการพดู สอเสยี ด เจตนางดเวน จากการพดู คาํ หยาบ เจตนางดเวน จาก การพูดเพอเจอ การไมเ พงเลง็ อยากไดสิ่งของของผูอน่ื การไมคดิ ปองรายผูอนื่ มีสัมมาทฏิ ฐิ โดยมีรากเหงา แหงกศุ ล คอื อโลภะ (ความไมโลภ) อโทสะ (ความไมโกรธ) และอโมหะ (ความไมห ลง)283๒๘๔ เมือ่ บุคคลรูชัดวา ส่ิงใดเปน กุศลส่ิงใดเปนอกศุ ลแลว การกระทาํ คาํ พูด และความคิดตางๆจึงจะ ดําเนินไปในทิศทางท่ีถูกตองเหมาะสม ดวยเหตุนี้ สัมมาทิฏฐิจึงเปนองคนํา หรือเปนหัวหนาแกมรรคองค อ่ืน ดังพระพุทธพจนวา “บรรดาองค ๗ น้ัน สัมมาทิฏฐิเปนหัวหนา”๒๘๕ กลาวคือ สัมมาทิฏฐิยอมทําลาย มิจฉาทฏิ ฐิได กศุ ลธรรมอนั มีสัมมาทิฏฐเิ ปน ปจจัย รวมทงั้ องคม รรคท้ัง ๗ ยอมถงึ ความเจรญิ เตม็ ท่ี285๒๘๖ มหาจัตตารีสกสูตรไดจําแนกสัมมาทิฏฐิเปน ๒ อยางคือ สัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะ เปนสวนแหง บุญ ใหผลคืออุปธิ และสัมมาทิฏฐิอันเปนอริยะ ที่ไมมีอาสวะ เปนโลกุตระ เปนองคแหงมรรค286๒๘๗ ซึ่ง ในปปญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกายไดอธิบายขยายความไวความวา สัมมาทิฏฐิท่ียังมีอาสวะ เปนสวน แหง บุญ ใหผลคอื อุปธนิ ้ี เปน โลกียสัมมาทฏิ ฐิ287๒๘๘ โลกยี สมั มาทิฏฐมิ ี ๒ ระดับ ๒๘๙ คอื 288 ๑) กัมมัสสกตาญาณ หมายถึง ความรูวาสัตวมีกรรมเปนของตน หรือรูวาชีวิตเปนไปตามกฎ แหง กรรม ในระดบั นี้ปถุ ุชนผูเปน ศาสนิกชน (คนในศาสนา) และพาหิรกชน (คนนอกศาสนา) ผูมีความเช่ือ เร่ืองกรรม มีความเห็นวาสัตวมีกรรมเปนของตน ชื่อวาเปนผูมีความเห็นถูกตอง เรียกวาเปนสัมมาทิฏฐิก บุคคล ๒๘๔ ดรู ายละอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘๙/๘๒-๘๓. ๒๘๕ ดรู ายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๕, ๑๔๒/๑๘๑. ๒๘๖ ดรู ายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๒/๑๘๑. ๒๘๗ ดรู ายละเอยี ดใน ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๕. ๒๘๘ ดูรายละเอยี ดใน ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๔๑-๕๔๒. ๒๘๙ ดรู ายละเอียดใน ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๔๒, ม.อ.ุ อ. (ไทย) ๓/๑/๓๕๔, พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พุทธธรรม, หนา ๗๓๘, พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณนา), สัมมาทิฏฐิกับการพัฒนาชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา, สารนิพนธ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา ๑๙- ๒๐.
๑๔๑ ๒) สัจจานุโลมิกญาณ หมายถึง ญาณอันเปนไปโดยอนุโลมในการหย่ังรูอริยสัจ ซึ่งเปนขั้น สุดทายของวิปสสนาญาณ ๙ ในระดับน้ีปุถุชนผูเปนศาสนิกชนเปนผูมีความเห็นทั้งสองอยาง (กัมมัสสกก ตาญาณ และสัจจานุโลมิกญาณ แตยังมีความเห็นเรื่องอัตตาอยู ยังละสักกายทิฏฐิไมได) ซึ่งใน วิทยานิพนธนี้เนนกลาวถึงสัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะในระดับกัมมัสสกตาญาณ คือ ความเช่ือความเขาใจใน เรือ่ งกฎแหงกรรม วาทํากรรมดยี อ มไดร ับผลดี ทํากรรมชั่วยอ มไดรบั ผลชว่ั ดังนั้น การปรับเปลี่ยนทัศนะท่ีถูกตองจึงเปนหลักการที่สําคัญ คือ บุคคลตองเรียนรูและทํา ความเขาใจใหชัดเจนในเร่ืองของหลักกรรม หรือกฎแหงกรรม ปฏิจจสมุปบาท และไตรลักษณใน ระดับโลกียสัมมาทิฏฐิ ซ่ึงปจจัยสําคัญของการมีความเห็นท่ีถูกตองและดีงามคือ ความมีกัลยาณมิตร และ โยนโิ สมนสิการดงั ทก่ี ลาวแลวในเบื้องตน เมื่อบุคคลมีความเห็นท่ีถูกตองและดีงาม คือมีความรูวาสิ่งท้ังหลายเปนไปตามเหตุและปจจัย ยอมทําใหมองเห็นสิ่งทั้งหลายอยางถูกตองตามความเปนจริง และเขาใจความจริงที่เปนไปตามธรรมดา ของกฎธรรมชาติ โดยนัยนี้ บุคคลเม่ือประสบกับปญหา ยอมสามารถวางใจใหเปนกลางได และพิจารณา ดวยความใสใจนอมไปในทางท่ีดีงาม (โยนิโสมนสิการ) มองสภาพการณตาง ๆตามความเปนจริง อยางที่ มนั เปน ไมใชอยางทเ่ี ราอยากใหม ันเปน หรอื ไมอ ยากใหเ ปน คุณแมชีศันสนีย เสถียรสุตไดอธิบายในประเด็นนี้วาการรับรูที่จะไมทําใหเราทุกข สามารถทํา ได คือรับรูสภาวะจิตตาง ๆของตนเองตามความเปนจริง เชน เมื่อเราคิดก็ใหรูวาเราคิด แตถาวาเมื่อ ความคิดเกิดขึ้น แลวเราไมอยากคิด นั่นก็คือทุกขแลว289๒๙๐ ซึ่งน่ันจัดเปนการมองเห็นปญหาดวยอํานาจ อวิชชาตัณหา แตการท่ีบุคคลมองเห็นและเกิดความเขาใจสภาวการณตาง ๆตามความเปนจริงวาทุกส่ิง เปนไปตามเหตุปจจัยแลว บุคคลยอมจะไมถกู อวิชชาตัณหาครอบงํา ก็จะทําใหเกิดปญญาพิจารณาปญหา และวธิ กี ารแกไขปญ หาตาง ๆไดด วยตวั เอง ในทางตรงขาม บุคคลผูประสบภาวะท่ีมีปญหาทางจิตใจ และพิจารณาปญหาดวยความใสใจ นอมไปในทางท่ีไมดีงาม (อโยนิโสมนสิการ) มีความเขาใจทผ่ี ดิ พลาด ไมมองเห็นส่ิงทงั้ หลายตามความเปน ๒๙๐ แมช ศี ันสนีย เสถยี รสตุ , สัมภาษณ, วันองั คารท่ี ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒, อา งใน อายษุ กร งามชาติ, การบรู ณาการหลักพทุ ธธรรมเพื่อเปนเครอื่ งมอื ปรับเปล่ยี นภาวะบกพรอ งทางความรกั , ดุษฎีนพิ นธ พทุ ธศาสตรดุษฎี บณั ฑติ : บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓, หนา ๑๙๓.
๑๔๒ จริง จึงทําใหมีทัศนะตอส่ิงท้ังหลายอยางบิดเบือนผิดพลาด เพราะความไมรู ความไมเขาใจส่ิงท้ังหลาย อยางที่มันเปนตามสภาวะความจริงของธรรมชาติ เมื่อจิตใจถูกครอบงําดวยอวิชชาและตัณหา ยึดติด เหนียวแนน ความเห็นที่มีตอปญหาและวิธีคิดในการแกไขปญหานั้นจึงเปนไปดวยความอยากใหสิ่ง ทั้งหลายเปนอยางท่ีตนเองอยากจะใหเปน และไมอยากใหเปนในส่ิงท่ีตนเองไมอยากใหเปน เม่ือ กระบวนการคิดบิดเบือน เอนเอียง ไมสามารถมองเห็นปญหาไดอยางถูกตองตามความเปนจริงไดแลว ก็ ยอมไมส ามารถนําไปสแู นวทางแกไ ขปญ หาได จงึ นําไปสูความทกุ ขใ นท่สี ดุ ดังปรากฏในคัมภีรปปญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย อธิบายความไววา อโยนิโสมนสิการเปน มูลรากแหงวัฏฏะ การใสใจโดยไมแยบคาย เมื่อเจริญขึ้น ยอมทําใหธรรม ๒ อยางคือ อวิชชา และ ภวตัณหาบรบิ รู ณ กองทุกขจงึ มีการเกดิ ขนึ้ 290๒๙๑ ข) การปรับเปลยี่ นความคิด เม่ือบุคคลมีความเห็นที่ถูกตองและดีงามแลว ขั้นตอนตอไปก็คือ การปรับเปล่ียนใหมีความคิด ที่ดีงาม เรียกวา สัมมาสังกัปปะ ในคัมภีรสัมโมหวิโนทนีกลาวไววาสัมมาสังกัปปะเปนธรรมท่ีมีอุปการะ มากแกสัมมาทิฏฐิ291๒๙๒ กลาวคือ เมื่อมีปญญา (สัมมาทิฏฐิ) แตถาขาดวิตก (สัมมาสังกัปปะ) คือความตรึก โดยอาการตาง ๆ ความยกจิตข้ึนสูอารมณ ก็ไมอาจวินิจฉัยอารมณวาไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ตาม ความรูช ัดของปญญาได292๒๙๓ สัมมาสังกัปปะ คือ ความดําริในการออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปปะ) ความดําริในการไม พยาบาท (อพยาบาทสงั กัปปะ) และความดาํ รใิ นการไมเบียดเบยี น (อวิหิงสาสงั กปั ปะ)293๒๙๔ ความดําริในการออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปปะ) คือความดําริท่ีปลอดจากโลภะ ไมหมกมุน พัวพันติดของในสิ่งสนองความอยากตาง ๆ ความคิดเสียสละ จัดเปนความนึกคิดท่ีปราศจากราคะ หรือ ๒๙๑ ดรู ายละเอียดใน ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๕๘. ๒๙๒ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๑. ๒๙๓ ดรู ายละเอียดใน อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๑๒. ๒๙๔ ดูรายละเอียดใน ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๑-๔๒๒, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/ ๑๗๑, ๔๘๗/๓๗๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๕๑, ม.อ.ุ อ. (ไทย) ๓/๑/๓๕๕-๓๕๖, อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๕-๓๖๖.
๑๔๓ ปราศจากโลภะ294๒๙๕ซึ่งเปนกุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษตอกามวิตก295๒๙๖ คือความดําริท่ีเกี่ยวของกับกาม ความ นึกคิดในทางที่จะแสวงหาหรือหมกมุนพัวพันติดของอยูในสิ่งสนองความตองการ หรือสิ่งสนองตัณหา อุปาทานตาง ๆ ความคิดในทางเห็นแกตัว เปนความนึกคิดในฝายราคะ หรือโลภะ296๒๙๗ วิธีการปฏิบัติเพ่ือ ละกามวิตก คือการเจริญอสภุ กรรมฐาน297๒๙๘ ความดําริในการไมพยาบาท (อพยาบาทสังกัปปะ) คือ ความดําริท่ีไมมีความเคียดแคนไมชิงชัง ไมขัดเคืองหรือไมเพงมองในแงรายตาง ๆ รวมท้ังความปรารถนาดี ความมีไมตรี ตองการใหผูอื่นมี ความสุข จัดเปน ความนกึ คดิ ทีป่ ราศจากโทสะ298๒๙๙ ซ่งึ เปน กุศลธรรมที่เปน ปฏปิ กษตอพยาบาทวติ ก299๓๐๐ คอื ความดําริที่ประกอบดวยความเคียดแคนชิงชัง ขัดเคือง ไมพอใจ คิดเห็นเพงมองในแงรายตาง ๆ มองคน อ่ืนเปนศัตรูผูกระทบกระทั่ง เห็นส่ิงทั้งหลายเปนไปในทางขัดใจ จัดเปนความนึกคิดในฝายโทสะแงถูก กระทบ ๓๐๑ วธิ ปี ฏบิ ัติเพื่อละพยาบาทวิตกคือการเจรญิ เมตตาภาวนา301๓๐๒ 300 สุดทาย ความดําริในการไมเบียดเบียน (อวิหิงสาสังกัปปะ) คือ ความดําริที่ไมมีการเบียดเบียน ไมมีการคิดทํารายหรือทําลาย รวมท้ังความคิดชวยเหลือใหผูอ่ืนพนจากความทุกข จัดเปนความนึกคิดท่ี ปราศจากโทสะเชนเดียวกับอพยาบาทสังกัปปะ302๓๐๓ และเปนกุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษตอวิหิงสาวิตก303๓๐๔ คือความดาํ รใิ นทางทีจ่ ะเบยี ดเบยี น ทาํ รา ย ตัดรอน และทําลาย อยากไปกระทบกระทัง่ รกุ รานผูอื่น อยาก ๒๙๕ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๐. ๒๙๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖. ๒๙๗ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา ๗๔๙. ๒๙๘ อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖-๓๖๗. ๒๙๙ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๑. ๓๐๐ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖. ๓๐๑ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา ๗๔๙. ๓๐๒ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖-๓๖๗. ๓๐๓ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๑. ๓๐๔ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖.
๑๔๔ ใหเขาประสบความทกุ ขความเดือดรอ น จัดเปน ความนกึ คดิ ในฝา ยโทสะแงจ ะไปกระทบ304๓๐๕ วิธีปฏิบตั ิเพ่ือ ละวิหิงสาวิตกคือการเจริญกรุณาภาวนา305๓๐๖ ในประเด็นสัมมาสังกัปปะนี้ พระพุทธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตฺโต) กลาวไวในหนังสือพุทธธรรม โดยเนนวาควรใหความสําคัญเพราะมีความเขาใจผิดพลาด สับสนปะปนกัน โดยไดอธิบายความไววา คุณธรรมท่ีเจริญต้ังแตเริ่มตนของการปฏิบัติธรรม เชน เมตตาในพรหมวิหาร ๔ นั้นไมใชขอธรรมที่งาย อยางที่เขาใจกันผิวเผิน เพราะเมตตาท่ีกลาวถึงทั่ว ๆ ไปนั้น หายากนักที่จะเปนเมตตาที่แทจริง เมตตาใน พรหมวิหาร ๔ ท่ีกลาวถึงนี้จึงเปนคุณธรรมที่เปนพื้นอยูในจิตใจ เปนคุณธรรมประจําใจเปนคุณภาพจิต หรืออยูในระดับความคิด ไมใชจริยธรรมข้ันปฏิบัติการ ดังน้ัน พรหมวิหารธรรม มีเมตตา กรุณา เปนตน จึงอยูในฝายสัมมาสังกัปปะ306๓๐๗ สวนการเจริญเมตตาภาวนา การเจริญกรุณาภาวนา เปนตน เปน กรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ จัดอยูในหมวดสมาธิ หรืออธิจิตตสิกขา ซึ่งไดกลาวไวแลวในรายละเอียดใน หัวขอการปรับเปลี่ยนสภาวะทางจติ ใจ สําหรับความคิดที่ยึดติดหมกมุนในการแสวงหาและสนองความตองการ ความคิดที่เบียดเบียน ความคิดราย ทําลายผูอื่น ความคิดเชนน้ียอมนําไปสูภาวะท่ีมีปญหา ดังน้ัน ขั้นตอนนี้จึงเปนข้ันตอนของ ปรับเปล่ียนความคิดใหเปนไปในทิศทางตรงขาม คือ ฝกความคิดใหเปนอิสระจากความยึดติด สราง ความคิดในทางเสียสละ ไมหมกมุนพัวพันติดของในสง่ิ สนองความอยากตาง ๆ (เนกขัมมวิตก) ความคิดท่ี มคี วามปรารถนาดี มีไมตรี ตอ งการใหผอู ่นื มีความสุข สัง่ สมความคดิ ทไี่ มเ คียดแคน ไมขัดเคอื ง (อพยาบาท วิตก)ดวยการคิดใหอภัย ความคิดชวยเหลือผูอื่นใหพนจากทุกข ความคิดท่ีไมมีการเบียดเบียน ไมมีการ คิดรายทําลายกัน (อวิหิงสาวิตก) โดยการหมั่นยกความคิดดังกลาวเหลานี้ใหแนบแนนอยูในจิตดวยความ เพียร (สัมมาวายามะ) ดวยสติ (สัมมาสติ) ดวยปญญา (สัมมาทิฏฐิ)307๓๐๘ อยางสมํ่าเสมอโดยพยายามไมให ความคดิ ฝา ยอกุศลเขา มาแทรกไดค วามสาํ เรจ็ ผลก็ยอ มจะเกดิ ขน้ึ ๓๐๕ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา ๗๔๙. ๓๐๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖-๓๖๗. ๓๐๗ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๖. ๓๐๘ ดูรายละเอยี ดใน ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๗/๑๗๗.
๑๔๕ ตารางแสดงวธิ ีการปรบั เปลย่ี นทัศนะและความคิด วธิ ีการปรับเปลยี่ นทศั นะ (สมั มาทิฏฐ)ิ วิธีการปรับเปลีย่ นความคิด (สมั มาสังกปั ปะ) โลกยี สัมมาทฏิ ฐิ โลกตุ ตรสมั มาทฏิ ฐิ เนกขมั มวิตก อพยาบาทวิตก อวหิ งิ สาวติ ก ๑.ความมที ัศนะวาสัตว ๑ . ค ว า ม มี ทั ศ น ะ ท่ี ๑ . ส ร า ง ๑ . ส ร า ง ๑ . ส ร า ง ส ม ท้ังหลายเปนไปตาม ถูกตอง คือ ความรูใน ค ว า ม คิ ด ค ว า ม คิ ด ท่ี มี ค ว า ม คิ ด กรรม มีกรรมเปนของ ทุกข ความรูในเหตุเกิด ใ น ท า ง ค ว า ม ช ว ย เ ห ลื อ ตนเอง แหงทุกข ความรูความ เสียสละ ละ ปรารถนาดี มี ผู อื่ น ใ ห พ น ๒.ความมที ัศนะวาชีวิต ดับทุกข และความรูใน วาง ไมตรี มีความ จ า ก ค ว า ม เปนไปตามกฎแหง ขอปฏิบัติใหถึงความดับ ๒.ฝกความคิด ต อ ง ก า ร ใ ห ทกุ ข กรรม มีความเชื่อเร่ือง ทุกข ใหเปนอิสระ ผอู นื่ มคี วามสุข ๒ . ส ร า ง ส ม กฎแหงกรรม ๒ . ค ว า ม มี ทั ศ น ะ ที่ จากการยึดติด ๒.ฝกการคิด ความคิดที่ไม ถูกตอง คือ ความรูใน ถอื มั่น ใ ห อ ภั ย เบยี ดเบยี น ไม รากเหงาของกุศล และ ๓.ไมหมกมุน ความคิดที่ไม คิดทําราย ไม อกศุ ล ติดของพัวพัน เคียดแคน ไม คิดทําลายกัน ๓ . ค ว า ม มี ทั ศ น ะ ท่ี ใ น สิ่ ง ส น อ ง ขัดเคือง ถู ก ต อ ง คื อ ค ว า ม ค ว า ม อ ย า ก รูปฏิจจสมุปบาท และ ตา งๆ ไตรลักษณ คือความรู วาส่ิงท้ังหลายเปนไป ต า ม เ ห ตุ แ ล ะ ป จ จั ย ความเห็นส่ิงทั้งหลาย อ ย า ง ถู ก ต อ ง ต า ม สภาวะความจริงของ กฎธรรดาของธรรมชาติ ท่ีไมเที่ยง ไมสามารถคง สภาพเดิมได และไมมี ตัวตนทีถ่ าวร
๑๔๖ การปรับเปลีย่ นสภาวะทางจติ ใจและอารมณค วามรสู กึ ในอริยมรรคมีองค ๘ การปรับเปลี่ยนภาวะจิตใจและอารมณความรูสึกที่มีปญหาน้ัน สิ่งที่เปนปจจัยสําคัญคือการ นําพาจิตใจของบุคคลผูประสบปญหาใหมีสติ และอยูกับตัวเองในปจจุบันขณะใหได เพ่ือใหสภาวะทาง จิตใจต้ังม่ัน และอยูในสภาวะที่ควรแกกิจในการปรับเปลี่ยนสภาวะทางจิตใจ โดยนําองคมรรค ๓ คือ สมั มาวายามะ สมั มาสติ และสัมมาสมาธิ มาประยกุ ตใชในการปรับเปล่ยี น ก) สมั มาวายามะ คัมภรี ว ิภงั คอธบิ ายไววา สัมมาวายามะ คือ ความเพยี ร308๓๐๙ ความมงุ ม่ัน309๓๑๐ ความพยายาม การ ปรารภความเพียรทางใจ (วิริยารัมภะ) การประคองจิตมุงมั่นเพ่ือปองกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไมเกิดมิให เกิดขน้ึ เพือ่ ละบาปอกศุ ลธรรมทเ่ี กิดขึน้ แลว 310๓๑๑ วิริยะ311๓๑๒ วิรยิ พละ วิริยินทรยี 312๓๑๓ วริ ยิ ะสัมโพชฌงค313๓๑๔ สวนในพระสูตรเรียกสัมมาวายามะอีกชื่อวา สัมมัปปธาน (ความเพียรชอบ) มี ๔ ประการคือ ๓๑๕ 314 ๑) สรา งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มงุ มน่ั เพอ่ื ปอ งกันบาปอกุศลธรรมท่ียัง ไมเกดิ มใิ หเ กิดข้นึ ซ่ึงมีช่ือเรียกความเพียรเพ่ือปองกนั หรือความเพียรระวังวา สังวรปธาน315๓๑๖ ๒) สรา งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มุง มัน่ เพื่อละบาปอกุศลธรรมทเี่ กิดขึ้น แลว ซง่ึ มีช่อื เรยี กความเพียรเพ่อื กําจดั หรอื ความเพยี รละวา ปหานปธาน316๓๑๗ ๓๐๙ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๓๕๘/๓๐๘, ๓๗๐/๓๑๘, ๓๙๔/๓๒๙. ๓๑๐ ดูรายละเอยี ดใน อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๓๕/๓๙๖/๓๒๙, อรรถกถาขยายเปน สาตัจจกริ ิยา หมายถงึ การกระทํา อยา งตอเน่อื ง. ๓๑๑ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒, ๓๙๓-๓๙๔/๓๒๙, ๔๘๗/๓๗๒. ๓๑๒ ดรู ายละเอียดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๘๔/๓๔๙. ๓๑๓ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๐/๒๐๐. ๓๑๔ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๖/๑๗๕, ๒๑๑/๑๗๙, ๔๙๒/๓๗๕, ๔๙๕/๓๗๖. ๓๑๕ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๗, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๓. ๓๑๖ อง.ฺ จตกุ ก. (ไทย) ๒๑/๑๔/๒๔-๒๖. ๓๑๗ อา งแลว .
๑๔๗ ๓) สรางฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุงมั่นเพ่ือทํากุศลธรรมที่ยังไมเกิดให เกดิ ขน้ึ ซ่ึงมีชอื่ เรียกความเพียรเพื่อเจริญ หรือความเพยี รสรางวา ภาวนาปธาน317๓๑๘ ๔) สรางฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุงมั่นเพ่ือความดํารงอยูไมเลือนหาย ภิญโญภาพ ไพบูลย เจริญเต็มท่ีแหงกุศลธรรมที่เกิดข้ึนแลว ซ่ึงมีช่ือเรียกความเพียรเพ่ือความดํารงอยู หรอื ความเพยี รรกั ษาวา อนรุ ักขนาปธาน318๓๑๙ สมั มปั ปธานวิภงั ค อธิบายความไววา บาปอกศุ ลธรรมไดแก อกศุ ลมลู ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ และกเิ ลสท่ตี ้งั อยใู นฐานเดียวกบั อกุศลมลู น้ัน ไดแ ก เวทนาขันธ สัญญาขันธ สงั ขารขนั ธ และวญิ ญาณขนั ธ ที่สัมปยุตดวยอกุศลมูลเหลาน้ัน และกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมท่ีมีอกุศลมูลน้ันเปนสมุฏฐาน เมื่อ ปรารภความเพียรทางใจ เสพใหมาก เจริญใหมาก ดวยความมุงม่ัน ดวยการประคองจิต อกุศลธรรมที่ยัง ไมเ กดิ ยอมไมเ กดิ (สงั วรปธาน)319๓๒๐ และอกุศลธรรมทีเ่ กดิ ขนึ้ แลวยอมเสอื่ มไป (ปหานปธาน)320๓๒๑ สว นกุศลธรรม ไดแก กุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ไดแ ก เวทนาขันธ สญั ญาขนั ธ สังขาร ขันธ และวิญญาณขันธท่ีสัมปยุตดวยกุศลมูลนั้น และกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่มีกุศลมูลน้ันเปน สมุฏฐาน เมื่อปรารภความเพียรทางใจ เสพใหมาก เจริญใหมาก ดวยความมุงม่ัน ดวยการประคองจิต กุศลธรรมท่ียังไมเกิดยอมเกิดข้ึน (ภาวนาปธาน)321๓๒๒ และกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึนแลวยอมดํารงอยูไมเสื่อมไป (อนุรกั ขนาปธาน)322๓๒๓ การปรบั เปลย่ี นสภาวะจติ ใจเบื้องตน ก็คือ ตอ งมคี วามมุงมั่น เพียรพยายามที่จะสรา งความคิดท่ี ถูกตองและดีงาม เชน ความคิดในทางเสียสละ ความคิดเมตตาปรารถนาดี อยากใหคนอ่ืนมีความสุข เม่ือ สั่งสมความคิดท่ีถูกตองและดีงามมากข้ึน กุศลธรรมอันมีอโลภะ อโทสะ อโมหะเปนมูลก็ยอมเจริญขึ้น ตามมาดวย ดังน้ัน ความเพียรในการประคับประคองจิตใจใหมุงมั่นที่จะดําเนินอยูในแนวทางท่ีดีงาม มี ๓๑๘ อา งแลว. ๓๑๙ อา งแลว. ๓๒๐ ดูรายละเอียดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๓๙๑-๓๙๖/๓๒๘-๓๒๙. ๓๒๑ ดูรายละเอียดใน อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๓๙๗-๔๐๒/๓๓๐-๓๓๑. ๓๒๒ ดูรายละเอยี ดใน อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๐๓-๔๐๔/๓๓๑. ๓๒๓ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๐๕-๔๐๗/๓๓๒.
๑๔๘ ความเพียรพยายามประคับประคองจิตใจตนใหประพฤติตนในทางที่ดีงาม ท้ังการกระทํา คําพูด และ ความคิด เพอื่ นาํ พาไปสหู นทางของการแกไ ขปญ หาและปรับเปลยี่ นสภาวะทางจติ ใจได ข) สมั มาสติ ในแงความหมาย สัมมาสติ คือ สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก กิริยาที่ระลึก ความทรง จํา ความไมเ ลื่อนลอย ความไมหลงลืม สตสิ ัมโพชฌงค323๓๒๔ สตนิ ทรยี สตพิ ละ324๓๒๕ หลักพุทธธรรม “สติ” เปนคุณธรรมที่สําคัญมาก มีช่ือเรียกโดยเฉพาะวา “อัปปมาท” หรือ ความไมประมาท หมายความถึง ความไมเผลอ ไมเลินเลอ ความระมัดระวัง ความตื่นตัวตอ หนา ที่ ภาวะท่ี พรอมอยูเสมอในอาการคอยรับรูส่ิงตาง ๆ ท่ีเขามาเกี่ยวของ325๓๒๖ ดวยเหตุน้ีการดําเนินชีวิตที่มีสติคอย ควบคุมจะเปนเคร่ืองมือในการปองกันยับยั้งตนเองไมใหหลงไปในอกุศลธรรมทั้งการกระทํา คําพูด และ ความคิด รวมท้ังเปนเคร่ืองชวยกระตุนใหต่ืนตัวตอการเจริญกุศลธรรมเม่ือระลึกถึงความไมประมาทใน ชีวติ ในอปั ปมาทสตู ร พระพทุ ธองคต รัสถึงความไมป ระมาท โดยฐานะ ๔ ประการ คอื ๑) จงละกายทุจริต บําเพ็ญกายสุจริต และอยาประมาทในการละกายทุจริตบําเพ็ญกายสุจริต นน้ั ๒) จงละวจีทจุ รติ บาํ เพญ็ วจีสจุ รติ และอยา ประมาทในการละวจีทุจรติ บําเพ็ญวจีสจุ รติ นัน้ ๓) จงละมโนทุจริต บําเพ็ญมโนสุจริต และอยาประมาทในการละมโนทุจริตบําเพ็ญมโนสุจริต นนั้ ๔) จงละมจิ ฉาทิฏฐิ บําเพ็ญสมั มาทฏิ ฐิ และอยา ประมาทในการละมจิ ฉาทฏิ ฐบิ าํ เพญ็ สัมมาทิฏฐิ นนั้ ๓๒๗ 326 ๓๒๔ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕-๒๐๖/๑๗๒,๑๗๕, ๒๑๑-๑๗๙, ๔๙๒/๓๗๕. ๓๒๕ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๐/๒๐๑. ๓๒๖ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๐๕. ๓๒๗ ดูรายละเอยี ดใน องฺ.จตกุ ก. (ไทย) ๒๔/๑๑๖/๑๗๘-๑๗๙.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245