Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook หนังสือจิตวิทยาในพระไตรปิฎก

ebook หนังสือจิตวิทยาในพระไตรปิฎก

Published by อยุษกร งามชาติ, 2022-08-08 03:38:55

Description: ebook หนังสือจิตวิทยาในพระไตรปิฎก
โดย ผศ.(พิเศษ) ดร.อยุษกร งามชาติ

Search

Read the Text Version

๙๙ แผนการสอนประจาํ บทที่ ๕ เนอ้ื หา ๓ ชวั่ โมง บทที่ ๕ อริยสจั ๔ ในฐานะจติ วทิ ยาพุทธศาสนา อริยสัจ ๔ ในธมั มจักกัปวัตนสตู ร ปฏิจจสมปุ บาทหมุนวนสคู วามทุกข ความสัมพนั ธระหวางอรยิ สจั ๔ และปฏิจจสมปุ บาท การดําเนนิ ชวี ิตดว ยสมั มาทฏิ ฐิ : การมชี ีวติ อยดู ว ยปญญา ชวี ิตทอ่ี ยอู ยางรูเทา ทนั ตามความเปนจรงิ ดว ยวิถแี หง สติ คําถามทบทวนบทที่ ๕ เอกสารอางองิ ประจาํ บท วัตถุประสงคเ ชิงพฤตกิ รรม หลังจากเรยี นจบบทนี้ นิสิต ๑ รู เขา ใจคําสอนอริยสจั ๔ และคาํ สอนปฏจิ จสมุปบาท และสามารถอธบิ ายได ๒ รู เขา ใจความสัมพันธร ะหวา งอริยสจั ๔ และปฏิจจสมุปบาท และสามารถอธบิ ายได ๓ สามารถประยุกตความรูจากคําสอนเรื่องสัมมาทิฏฐแิ ละวถิ ีแหง สตมิ าใชใ นชีวติ ประจําวนั ได วิธีสอนและกจิ กรรม ๑ ศึกษาเอกสารคาํ สอนบทท่ี ๕ ๒ วิธสี อนแบบอภิปรายเนื้อหา ซักถาม ๓ ศกึ ษาคน ควา ดว ยตนเอง

๑๐๐ ๔ รวมวเิ คราะหแ ละอภปิ รายขอ มลู จาก PowerPoint หนา ช้นั เรียน ๕ สรปุ เนือ้ หาการเรียนการสอนทกุ ครัง้ ๖ ทาํ คาํ ถามทบทวนทา ยบท และนาํ ผลทีไ่ ดจ ากการวิเคราะหความรคู วามเขา ใจของนิสติ มา ปรับปรุง สือ่ การเรยี นการสอน ๑ เอกสารคาํ สอนบทท่ี ๕ ๒ PowerPoint ๓ แบบฝก ปฏบิ ตั ิ ๔ เครือ่ งคอมพวิ เตอร การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑ สงั เกตการณก ารมีสว นรวมและการแสดงความคดิ เห็นของนิสติ ๒ สงั เกตความตง้ั ใจเรียน การต้งั คาํ ถาม/ตอบคาํ ถาม ๓ การทาํ คําถามทบทวนทายบท

๑๐๑ บทที่ ๕ อริยสจั ๔ ในฐานะจิตวิทยาพุทธศาสนา อรยิ สจั ๔ ในธมั มจักกปั วัตนสตู ร ปญหาของคนสวนใหญในโลกก็คือการขาดความรูและความเขาใจอยางลึกซึ้งในธรรมดาของโลก และชีวิต เรามักปรารถนาเพียงใหชีวิตพบกับดานที่เราปรารถนาคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แตดวยวิถี ธรรมของโลกก็มักพาเราใหพบกับ ความเสื่อมลาภ ความเส่ือมยศ นินทา และทุกข ไมทางใดก็ทางหน่ึง บางเปน ครง้ั คราวเพราะเปนธรรมดาของโลก ซึ่งพุทธธรรมเรียกวา โลกธรรม เมื่อเราไดเรียนรูธรรมะท้ังสองดา น เรียนรูความจรงิ ของชวี ติ เรากจ็ ะเปน ผเู ขาใจโลกและชีวติ มาก ข้ึน และเมื่อไดพิจารณาใครครวญดวยธรรมะมากข้ึนเราก็จะเขาใจตนเองมากข้ึน รวมทั้งเขาใจผูอื่นมาก ข้นึ ดวย พระพุทธเจาทรงแสดงความจริงอันประเสริฐผานคําสอนอริยสัจ ๔ ครั้งแรกในธัมมจักกัปวัตน สูตรแกป จจวัคคยี  ท้งั ๕ ทรงแสดงไววา “ภิกษทุ ัง้ หลาย ที่สดุ ๒ ประการ บรรพชิตไมพ งึ เสพ ทสี่ ดุ ๒ ประการ อะไรบา ง คอื ๑. กามสขุ ลั ลิกานุโยค (การหมกมนุ อยดู ว ยกามสขุ ในกามทงั้ หลาย) เปนธรรมอนั ทราม เปน ของชาวบา น เปน ของปถุ ชุ น ไมใ ชข อง พระอริยะ ไมประกอบดว ยประโยชน ๒. อตั ตกิลมถานโุ ยค (การประกอบความเดือดรอ นแกตน) เปน ทกุ ข ไมใชของพระอรยิ ะ ไมป ระกอบดวยประโยชน มัชฌมิ าปฏิปทาไมเอียงเขาใกลท่สี ุด ๒ ประการน้ีทต่ี ถาคตไดตรัสรู อนั เปน ปฏปิ ทากอใหเ กดิ จักษุ กอ ใหเกิดญาณ เปนไปเพ่อื สงบระงับ เพือ่ รูย ง่ิ เพอ่ื ตรัสรู เพื่อนพิ พาน มชั ฌมิ าปฏปิ ทาที่ตถาคตไดต รสั รู อนั เปน ปฏปิ ทากอ ใหเ กิดจักษุ กอใหเกดิ ญาน เปนไปเพอื่ สงบระงบั เพอื่ รยู ่งิ เพอ่ื ตรัสรู เพ่ือนพิ พานนน้ั เปนอยางไร

๑๐๒ คือ อริยมรรคมอี งค ๘ นแ้ี ล ไดแ ก ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ๒. สมั มาสงั กัปปะ ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมากัมมนั ตะ ๕. สมั มาอาชวี ะ ๖. สมั มาวายามะ ๗. สัมมาสติ ๘. สัมมาสมาธ”ิ 172๑๗๓ พระพุทธเจาทรงแสดงวิถีแหงการดําเนินชีวิตที่ไมสุดโตงทั้งสองขาง คือการไมหมกมุนมัวเมา กับวิถีแหงกามสุขมากเกินไป และไมทําตนใหเดือดรอนดวยการทรมานตนเองมากเกินไป และทรงแสดง วิถีแหงการดําเนินชีวิตทดี่ ีงามดวยมชั ฌิมาปฏิปทา เพ่ือใหเราเปน ผอู ยูในโลกอยา งตระหนกั รเู ทา ทันความ จรงิ ของโลกและชีวิต และมคี วามสัมพันธตอสิ่งตางๆในโลกอยางผทู ่ีมีปญญา ปฏจิ จสมุปบาทหมนุ วนนาํ ไปสูความทุกข ปญ หาสวนหนึง่ ของโลกยคุ สังคมปจ จบุ ันคือคนเราขาดความเขาใจในกันและกัน มคี วามเคารพซึ่ง กันและกันนอยลง เห็นคุณคาของกันและกันนอยลง โดยเฉพาะอยางยิ่ง การเห็นคุณคาของตนเองนอยลง สาเหตุหนึ่งก็มาจากภาวะของจิตใจท่ีขาดพรองทางความรักความเมตตาตอตนเองและผูอ่ืน รวมท้ังขาด ความตระหนักรวู าส่ิงทง้ั หลายลว นเกิดข้ึนจากเหตแุ ละปจจัย ไมไดเ กดิ ข้ึนตามใจของเราที่ปรารถนาใหเปน หรือไมปรารถนาใหเปน หากกลาวตามหลักพุทธธรรม สาเหตุก็มาจากอวิชชาและตัณหา อุปาทาน (กิเลส วัฏฏ) ซึ่งเปน วงลอ แหงภวจกั รในปฏิจจสมุปบาท ซึง่ เปนหลักธรรมสาํ คญั ของจิตวิทยาพทุ ธศาสนา ปฏิจจสมุปบาทในฐานะลอแหงภวจักร มีอวิชชาและตัณหาเปนมูลแหงภวจักร173๑๗๔ หมายถึง อวิชชาและตัณหาเปนเหตุปจจัยในแงของการเกิดในภพใหม174๑๗๕ ดังน้ันการกําเนิดขึ้นของบุคคลใหมี รางกายพรอมสมบูรณหรือบกพรอง เกิดขึ้นทามกลางสิ่งแวดลอมทางสังคมท่ีดี ไดรับความรักความอบอุน ใสใจจากคนรอบขาง หรือเกิดทามกลางสิ่งแวดลอมทางสังคมท่ีไมดี ขาดความรักความอบอุนความใสใจ ๑๗๓ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๒. ๑๗๔ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๗ , วิสทุ ธ.ิ (ไทย) ๖๕๓/๙๖๓-๙๖๔. ๑๗๕ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๑๐๕.

๑๐๓ จากคนรอบขาง ท้ังนี้ก็เนื่องมาจากอดีตกรรมและวิบาก (ผลของกรรม) เปนปจจัยสวนหนึ่งท่สี งผลตอชีวิต ปจจุบันของบคุ คลนนั้ ในพุทธธรรมเรียก อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน วา กิเลสวฏั ฏ และ สงั ขาร ภพ เรียกวา กรรมวัฏฏ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องคที่ ๑๙ ไดกลาวไวอยาง นา สนใจวา “คําวา วัฎฎะ คือคําวาวน และอยูในขายของกาลเวลา คือ มีอดีต มีอนาคต มีปจจุบัน... ยอมสัมพันธกันอยูกับ อนิจจตา คือ ความไมเที่ยง ทุกขตา คือความเปนทุกข อนัตตา คือความเปน อนัตตามิใชเปนอัตตาตัวตน...และที่วาเปนวัฎฎะคือความวนนั้น ก็เพราะวาวนอยูในความเกิดความ ดับ ไมนอกไปกวาความเกิด ความดับ เกิดดับ แลว กเ็ กดิ ดบั ”175๑๗๖ ความสมั พันธระหวา งอวิชชากบั สงั ขาร กับ ตัณหา อุปาทานและภพ ในวงจรภวจกั รนั้น แสดงถึงอดีต เหตคุ ือ อวิชชาและสงั ขาร กับ ปจ จุบนั เหตุคอื ตัณหา อุปาทานและภพ อรรถกถาจารยไดอ ธิบายใน ประเดน็ นี้วา บุคคลผูมอี วชิ ชา ยอ มยึดมนั่ เพราะอุปาทานเปนปจ จยั ภพจงึ เกดิ แกบุคคลผนู น้ั อวชิ ชา สงั ขาร ตัณหา อปุ าทาน และกรรมภพในภพกอ นเปนปจ จยั แกป ฏสิ นธใิ นภพนี้176๑๗๗ ดงั นน้ั สาเหตุของภาวะ ทีน่ ําไปสคู วามทกุ ขใ นมมุ มองของพุทธธรรม กค็ อื องคธ รรมทัง้ ๕ ไดแ ก อวชิ ชา สังขาร ตณั หา อปุ าทาน ภพ ดังน้ี อวิชชา กับวงลอ แหง ภวจักร ทนี่ ําไปสคู วามทุกข คําวา อวิชชา แปลวา ไมร ู หรอื ธรรมชาติทเ่ี ปนไปตรงกนั ขา มกับปญ ญา ไดแก โมหเจตสกิ 177๑๗๘ ๑๗๖ ดรู ายละเอียดใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก องคท ี่ ๑๙, จติ ศกึ ษา, หนา ๑๕๒-๑๕๔. ๑๗๗ อภิ.ว.ิ อ. ๒/๑/๕๖๑-๕๖๒. ๑๗๘ พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปบาททีปนี, พิมพคร้ังท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิสัทธมั มโชติกะ), หนา ๑๕.

๑๐๔ ในสัมมาทิฏฐิสูตร วิภังคสูตร และสุตตันตภาชนีย พระพุทธองคทรงอธิบายความหมายของ อวิชชาไววา คือ ความไมรูในทุกข ความไมรูในทุกขสมุทัย (เหตุเกิดแหงทุกข) ความไมรูในทุกขนิโรธ (ความดับแหงทุกข) ความไมรูในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ขอปฏิบัติท่ีใหถึงความดับแหงทุกข)178๑๗๙ ซ่ึงมี ความหมายเดียวกับท่ีปรากฏในพระอภิธรรมปฎก ธัมมสังคณี และวิภังค คือโมหะ179๑๘๐ และมีความหมาย เดียวกับอวิชชาสวะ180๑๘๑ ซึ่งในท่นี ไี้ ดเ พม่ิ ความไมร ูอกี ๔ คอื ความไมร ูในสวนอดีต ความไมร ูในสว นอนาคต ความไมรูในสวนอดีตและอนาคต ความไมรูในปฏิจจสมุปบาทวา เพราะธรรมน้ีเปนปจจัย ธรรมนี้จึงมี เรียกวา ความไมร ูในฐานะ ๘ ๑๘๒ 181 เมื่อเขาใจความหมายของอวิชชาแลววา สิ่งที่ควรทําความเขาใจตอมาก็คือ อวิชชาเปนกิเลสที่ สําคัญ เปนประธานแหงวัฏฏะ ๓182๑๘๓ เปนมูลรากของวัฏฏะ คือเปนกิเลสที่เปนเหตุแหงการเวียนวายตาย เกดิ ไมม ีทีส่ นิ้ สดุ ซง่ึ แบงออกเปน ๓ ระดับ183๑๘๔ คือ ก) ระดับอนุสัยกิเลส หมายถึง อวิชชาท่ีเกิดนอนเน่ืองอยูในจิตใจมีมาแตเกิดพรอมกับปฏิสนธิ วญิ ญาณ อันจะเปนปจ จัยใหเ กดิ อวชิ ชาระดบั ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส ข) ระดับปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง อวิชชาที่เกิดขึ้นรบกวนจิต ซ่ึงก็คือ อนุสัยกิเลสที่ฟุงข้ึนมา อันจะเปนปจจัยใหเกิดอวิชชาระดับวีติกมกิเลส อวิชชาข้ันน้ีสังเกตไดยากจึงควรสังเกตดูกิเลสท่ีเกิด เน่อื งมาจากอวิชชา อาทิ กามฉันทะ (ความใครใ นกาม) และพยาบาท (ความคดิ ปองรา ยผูอน่ื ) ค) ระดับวีติกกมกิเลส หมายถึง อวิชชาขั้นหยาบท่ีเปนเหตุใหลวงละเมิดศีล คือ กระทําผิดท้ัง ทางกายและวาจา ซ่งึ กค็ ือปริยุฏฐานกเิ ลสท่ไี มสามารถควบคมุ ได ๑๗๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๐๓/๙๘, ส.ํ น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๘, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๑๙. ๑๘๐ อภิ.สงฺ. (ไทย) ๓๔/๑๐๖๗/๒๗๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๖, ๒๕๓/๒๓๗, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๔๙-๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๒, ๒๗๓/ ๒๕๔-๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓, ๒๘๑/๒๖๖, ๒๘๓/๒๖๗, ๒๘๗/๒๖๘, ๒๘๙/๒๖๙, ๒๙๑/๒๗๑. ๑๘๑ อภิ.สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๑๑๐๖/๒๘๒. ๑๘๒ อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๒/๔๑๓. ๑๘๓ วฏั ฏะ ๓ ไดแก ๑. อวชิ ชา ตณั หา อปุ าทาน เปนกิเลสวัฏฏ ๒. สังขาร ภพ เปน กรรมวัฏฏ ๓. วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา (ชาติ ชรามรณะ) เปน วิปากวัฏฏ, อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๖. ๑๘๔ บรรจบ บรรณรจุ ,ิ ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๑๙.

๑๐๕ ตัวอยางตามท่ีปรากฏเปนขาวทางหนาหนังสือพิมพ อาทิ ในกรณีของชายคนหน่ึงที่เสียใจ เพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัวตายตาม ความเสียใจของชายคนน้ีประกอบดวย อวิชชาที่มาจากกามาสวะเหตุ และเมื่อวาตามองคธรรมแลว โสกะ โทมนัส อุปายาส ท้ัง ๓ น้ีเปนโทมนัส และโทสเจตสิก ดังนั้น เมื่อผูใดมีความเศราโศกเสียใจ คับแคนใจเกิดขึ้นแลว โมหะก็ยอมเกิดรวมดวย ดัง พระอรรถกถาจารยกลาวไววา “อวิชชาสําเร็จแลวแตธรรมมีโสกะเปนตน” ๑๘๕ และเม่ือโสกะ คือความ 184 เศราโศก เพ่ิมข้ึนอยางทวมทนกลายเปนอุปายาส คือความเศราโศกอยางใหญหลวง เปนยอดแหงความ เศราโศก ทําใหบุคคลนั้นกลายเปนคนเสียสติไป หรืออาจทําลายชีวิตของตนเองได185๑๘๖ ทั้งนี้ก็ดวยอํานาจ ของอวชิ ชาทไ่ี มรู ไมเ ขาใจตามความเปนจริงวาความตายไมใ ชท่ีสิ้นสดุ แหง ทุกข เม่อื อวชิ ชาซึ่งเปนกิเลสกอ ตัวถึงขั้นวีติกกมกิเลส จึงเปนแรงผลักดันใหชายคนดังกลาวกออกุศลกรรม คือการฆาตนเองไดในท่ีสุด ดวยเหตุนี้ อวิชชาจึงเปนปจจัยใหเกิดสังขารคืออกุศลเจตนา กอพฤติกรรมที่ไมดีงาม เปนอกุศลกรรม ตอ ไป สังขารในปฏิจจสมุปบาท กับวงลอแหงภวจักร ท่ีนาํ ไปสูค วามทกุ ข คําวา สังขาร หมายถึง ธรรมที่ปรุงแตงใหผลธรรมเกิดข้ึน กลาวคือ เจตนาท่ีเปนเหตุแหงการ ปรงุ แตง ทั้งเจตนาทเ่ี ปน อกุศลและโลกียกุศล186๑๘๗ ในวภิ งั คสูตรพระพทุ ธองคท รงอธิบายสงั ขารวา มี ๓ ประการ คือ ๑) กายสังขาร (สภาวะที่ปรุงแตงกาย) หมายถงึ เจตนาท่ที าํ ใหเกิดการกระทําทางกาย ๒) วจีสงั ขาร (สภาวะทป่ี รงุ แตงวาจา) หมายถงึ เจตนาทที่ ําใหเ กดิ การกระทําทางวาจา ๓) จติ ตสังขาร (สภาวะที่ปรงุ แตงใจ)187๑๘๘หมายถงึ เจตนาที่ทาํ ใหเกิดการกระทาํ ทางใจ ๑๘๕ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๔. ๑๘๖ ดูรายละเอยี ดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจรยิ ะ, ปรมตั ถโชติกะ ปฏจิ จสมุปบาททปี นี, หนา ๑๔๒. ๑๘๗ เร่ืองเดียวกัน, หนา ๓๖. ๑๘๘ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๘, ๓๓/๗๒.

๑๐๖ สวนในปฏิจจสมุปบาทวิภังคอธิบายวา กายสัญเจตนาเปนกายสังขาร วจีสัญเจตนาเปนวจี สังขาร และมโนสัญเจตนาเปน จติ ตสงั ขาร188๑๘๙ หมายถึง ความจงใจ กริ ิยาที่จงใจ ภาวะทจี่ งใจ189๑๙๐ และเพ่ิมเติมสงั ขารอกี ๓ ประการ คือ ๑) ปญุ ญาภิสังขาร (เจตนาท่เี ปน กศุ ลซง่ึ เปนกามาวจร) ๒) อปญุ ญาภสิ งั ขาร (เจตนาที่เปน อกุศลซึง่ เปน กามาวจร) ๓) อาเนญชาภสิ ังขาร (เจตนาท่ีเปน กุศลซึง่ เปนอรปู าวจร)190๑๙๑ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เปนปจจัยใหเกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิ วิญญาณในภมู ติ าง ๆ ตามควรแกเหตุ คือ กรรมน้ัน ๆ ดังพทุ ธพจนใ นมหานิทานสูตรวา “กถ็ าวิญญาณจัก ไมหย่ังลงในทองมารดา นามรูปจะกอตัวขึ้นในทองมารดาไดหรือ”๑๙๒ ซ่ึงวิญญาณในท่ีน้ี หมายถึงปฏิสนธิ วิญญาณ และเมื่อมีปฏิสนธิวิญญาณลงสูครรภมารดา จึงเปนปจจัยใหเกิดนามรูป ซ่ึงเปนการอธิบายใน ลกั ษณะขา มภพชาติ ปฏิสนธิจิต (ปฏิสนธิวิญญาณ) เปนวิบากจิต (วิบากวิญญาณ) ซึ่งเกิดข้ึนเพราะกรรมใดกรรม หนง่ึ เปน ปจ จยั กรรมใดเปน ปจ จัยใหปฏิสนธิจิตหรือวิบากจิตใดเกิดขึ้น กรรมนนั้ เปนกมั มปจ จยั แกป ฏิสนธิ จิตหรือวิบากจิตน้ัน ถาเกิดในภูมิมนุษยเปนสุคติภูมิก็ตองเปนผลของกุศลกรรม จิตท่ีปฏิสนธิก็เปนกุศล วิบาก แตเน่ืองจากในอดีตไดกระทําไวท้ังกุศลกรรมและอกุศลกรรม การประสบกับอิฏฐารมณหรือ อนฏิ ฐารมณ จึงขึ้นอยกู บั วา ขณะใดกศุ ลกรรมใหผลหรืออกศุ ลกรรมใหผ ล นอกจากน้ีการทีแ่ ตละกรรมจะใหผลไดยังขึน้ อยกู บั สมบัตแิ ละวบิ ัติ ไดแ ก ๑๘๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐. ๑๙๐ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๖, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/๒๔๓, ๒๖๑/ ๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๔๙-๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐, ๒๗๙/๒๖๓, ๒๘๑/๒๖๖. ๑๙๑ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๖/๒๒๐. ๑๙๒ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๕/๖๕.

๑๐๗ คติสมบัติ คือการเกิดในภพภูมิท่ีดี เกิดในกําเนิดอันเจริญ สภาพแวดลอมอํานวย คติวิบัติ คือ การเกดิ ในภพภูมิทไี่ มดี เกิดในกาํ เนดิ ตา่ํ ทราม สภาพแวดลอ มไมเ อ้ือตอความเจรญิ , อุปธิสมบัติ คือสมบัติแหงรางกาย ถึงพรอมดวยรูปกาย สงา สวยงาม บุคลิกภาพดี อุปธิวิบัติ คือวิบัตแิ หง รางกาย รา งกายวิกลวกิ าร ไมงดงาม บคุ ลิกภาพไมดี, กาลสมบัติ คือถึงพรอมดวยกาล ทําถูกกาลถูกเวลา กาลวิบัติ คือวิบัติแหงกาล ทําผิดกาลผิด เวลา, ปโยคสมบัติ คอื ถงึ พรอ มดวยการประกอบความเพียร ทําตอ เนอ่ื งมาเปน พื้นแลวจงึ เห็นผลงาย, ปโยควิบัติ คือ วิบตั แิ หงการประกอบ ขาดความรูความสามาถอันเปน พนื้ ฐานนั้น จึงไมส าํ เรจ็ ในผลโดยงาย ๑๙๓ 192 ความหมายขององคธรรมสังขารน้ันสามารถสื่อความหมายไดทั้งแบบขามภพชาติและปจจุบัน ชาติ กลาวคือ ในความหมายแบบขามภพชาติ อธิบายไดวาหมายถึง เจตนาท่ีทําใหเกิดการกระทําในชาติ อืน่ ท่ีจะสงผลสชู าติถดั ไป สวนความหมายแบบปจจบุ ันชาติ อธิบายไดวาหมายถึง เจตนาที่เกิดขึ้นในแตละ ขณะ แตล ะสถานการณท่สี งผลตอ การรับรอู ารมณแ ตกตา งกนั ไป กรณีตัวอยางแบบปจจุบันชาติในกรณีที่ปรากฏเปนขาวในหนังสือพิมพ ดังกลาวมาแลวของ ชายที่เสียใจเพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัวตายตาม ชายคนนี้ตัดสินใจฆาตัวตาย ดวยอวิชชาเปนปจจัยใหเกิดสังขาร คือเจตนาฆาตัวตาย กอใหเกิดภพ (กรรมภพ) คือการกระทําท่ีฆาตัว ตายสาํ เร็จ ทัง้ น้ีเพราะอวชิ ชาเปนปจ จัย สงั ขารคอื เจตนาฆา ตัวตายจึงเกิดขน้ึ จากท่ีกลาวขางตนในความสัมพันธระหวางอวิชชากับสังขารในฐานะอดีตเหตุแหง วงจรปฏิจจสมปุ บาทนั้น จะเหน็ วา อวชิ ชาเปน ปจจัยใหส ังขารเกิดขนึ้ ไดทั้งในแงท ่เี ปนกุศล (ปญุ ญาภิสังขาร และอาเนญชาภิสังขาร) เชน การทําทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพ่ือจะไดเกิดในสุคติโลกสรรค เจตนาที่ ปรุงแตงใหเกิดการกระทําดังกลาวน้ี เกิดขึ้นจากภวาสวะ ทิฏฐาสวะ ดวยความไมรู ไมเขาใจจึงทําให ปรารถนาภพ มรี ูปภพ อรปู ภพ เปนตน และท่เี ปน อกุศล (อปญุ ญาภสิ งั ขาร) เชน การเบียดเบียนผอู ่ืน การ ๑๙๓ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๓๖-๑๓๗, สุจนิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมตั ถธรรมสงั เขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก, หนา ๑๖๑-๑๖๖.

๑๐๘ ทําลายลางผูอ่ืนเพราะความอยากไดสิ่งอันเปนที่รักของผูอ่ืน เจตนาท่ีปรุงแตงใหเกิดการกระทําดังกลาวน้ี เกิดจากกามาสวะ เปนตน ท้ังเจตนาที่ทําใหเกิดการกระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจ การกระทํา ตางๆเหลาน้ี (กรรมภพ) ทั้งที่เปนกุศลหรืออกุศลก็ตามยอมสงผลใหเกิดวิบาก (ผลของกรรม) คือกุศล วบิ าก (ผลของกุศลกรรม) และอกศุ ลวบิ าก (ผลของอกศุ ลกรรม) สะสมสืบตอ เนอื่ งในจติ สนั ดานตอไป193๑๙๔ ตัณหาในปฏจิ จสมปุ บาท กับวงลอ แหง ภวจกั ร ทน่ี าํ ไปสคู วามทุกข ตัณหาเปนกิเลสท่ีผูกมัดสัตวโลกใหหมุนวนเวียนวายตายเกิดอยูในวงลอแหงภวจักรท่ีนําไปสู ความทุกขอยางไมรูจบสิ้น ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปบาททีปนีกลาวไววา “ธรรมชาติที่เปนเหตุใหสัตว ท้งั หลายยินดตี ดิ ใจซ่งึ วตั ถุกาม194๑๙๕ ชอื่ วาตัณหา ไดแก โลภเจตสกิ ทอ่ี ยูในโลภมลู จติ ๘”๑๙๖ คาํ วา ตัณหา หมายถึงธรรมชาตทิ ี่ยนิ ดีตดิ ใจซึ่งวัตถกุ าม ในทางอภิธรรมคอื โลภเจตสกิ 196๑๙๗ วิภังคสูตรอธิบายวา ตัณหามี ๖ ประการ คือ รูปตัณหา (ความทะยานอยากไดรูป) สัทท ตัณหา (ความทะยานอยากไดเสียง) คันธตัณหา (ความทะยานอยากไดกล่ิน) รสตัณหา (ความทะยาน อยากไดรส) โผฏฐัพพตัณหา (ความทะยานอยากไดโผฏฐัพพะ) และธัมมตัณหา (ความทะยานอยากได ธรรมารมณ)197๑๙๘ เชน เดยี วกับในสุตตันตภาชนีย198๑๙๙ ตณั หา ๓ ๒๐๐ ประกอบดวย 199 ๑๙๔ วสิ ุทฺธ.ิ (ไทย) ๖๓๔/๙๒๔-๙๒๕. ๑๙๕ ในกามสุตตนิทเทสสูตร จําแนกกามเปน ๒ อยาง คือ ๑.วัตถุกาม และ๒.กิเลสกาม ซึ่งตัณหา หมายถึง กิเลสกาม , ดูรายละเอยี ดใน ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑/๑, ข.ุ ม.อ. (ไทย) ๕/๑/๔๙. ๑๙๖ พระสทั ธัมมโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปนี, หนา ๗๓. ๑๙๗ อา งแลว . ๑๙๘ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๕, วสิ ทุ ธฺ ิ. ๖๔๔/๙๔๕, พระสทั ธัมมโชติกะ ธัมมาจรยิ ะ, ปรมตั ถโชติกะ ปฏจิ จสมุป บาททีปน,ี หนา ๗๔. ๑๙๙ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑. ๒๐๐ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๓, สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๓/๑๒๑, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๗๐/๙๘, องฺ.ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/๑๐๖/๖๒๗, บรรจบ บรรณรุจ,ิ ปฏิจจสมุปบาท, หนา ๕๑.

๑๐๙ ก) กามตัณหา ไดแก ความอยากไดกาม คือ ความอยากไดในอารมณทั้ง ๖ ไดแก รูป (รูป ตัณหา) เสียง (สัททตัณหา) กลิ่น (คันธตัณหา) รส (รสตัณหา) ส่ิงสัมผัสทางกาย (โผฏฐัพพตัณหา) และส่ิง สัมผัสทางใจ (ธัมมตัณหา) เชน เม่ือชายหนุมไดเห็นผูหญิงสวย ก็ยอมเกิดความปรารถนาท่ีจะได ครอบครองผูห ญิงสวยน้นั ความปรารถนาผูห ญิงสวย(รูปตัณหา) นคี้ อื กามตัณหา ข) ภวตัณหา ไดแก ความอยากใหกามนั้นยั่งยืนอยูกับตนนั้นตลอดไป เชน เมื่อชายหนุมได ใกลชิด มีสัมพันธรักกับหญิงสวยแลว ก็ปรารถนาใหความสัมพันธรักกับหญิงสวยนั้นคงอยูตลอดไป ซึ่ง สภาวะของความปรารถนาใหกามตณั หานน้ั ยั่งยืนตลอดไปกค็ ือ ภวตัณหา ค) วิภวตัณหา ไดแก ความอยากใหกามนั้นพนไปจากตน เชน เมื่อชายหนุมรูสึกเบ่ือหนาย หญิงสวยแลว ก็อยากใหความสัมพันธรักที่มอี ยูกับหญิงสวยน้ันพนไปจากตน และในขณะเดียวกนั ก็อยาก ไดหญิงแสนสวยคนใหมเขามาแทนท่ี ซ่ึงสภาวะของความปรารถนาใหกามตัณหานั้นพนไปจากตนก็คือ วิภวตณั หา ตัณหาหรือสภาวะท่ีมีความยินดีติดใจในอารมณนี้ เปนกิเลสเชนเดียวกับอวิชชา โดยตรัส ธรรม ๒ อยา งเปน มูล คือ อวชิ ชาและตณั หาเปน ประธาน200๒๐๑ จาํ แนกเปน กิเลส ๓ ระดับ201๒๐๒คือ ก) ระดับอนุสัยกิเลส หมายถึงตัณหาที่เกิดนอนเน่ืองอยูในจิต มีติดตัวมาตั้งแตเกิดพรอมกับ ปฏิสนธิวิญญาณ เปนความอยากข้ันพ้ืนฐานของมนุษยทุกคนซึ่งแสดงตัวออกมาในความรักตัวเอง อันจะ เปนปจ จยั ใหเกิดตัณหาระดับที่ ๒ ข) ระดับปริยุฏฐานกิเลส หมายถึงตัณหาท่ีเกิดข้ึนรบกวนจิต ทํานองตัวคอยกอกวนไมใหสงบ ลงได ปรุงแตงใหอยากอยูตลอดเวลา ซ่ึงคือตัณหาระดับอนุสัยกิเลสท่ีฟุงข้ึนมา โดยแสดงตัวออกมาเปน ความอยาก ในรูป เสียง กลิ่น รส ส่ิงสัมผัสทางกาย และส่ิงสัมผัสทางใจที่ดี อันเปนปจจัยใหเกิดตัณหา ระดับท่ี ๓ ๒๐๑ ดรู ายละเอียดใน อภ.ิ วิ.อ. ๒/๑/๔๔๕, วิสทุ ฺธ.ิ (ไทย) ๕๙๕/๘๙๐, พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๑๐๕. ๒๐๒ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หนา ๕๙-๖๐.

๑๑๐ ค) ระดับวีติกกมกิเลส หมายถึงตัณหาข้ันหยาบท่ีเปนเหตุใหลวงละเมิดศีล คือ ทําผิดทางกาย และวาจา ซึ่งก็คอื ตัณหาระดับปริยุฏฐานกเิ ลสทก่ี ําเริบขึน้ จนไมสามารถควบคุมได ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ตัณหาเกิดจากเวทนาเปนปจจัย202๒๐๓ โดยมีอวิชชาเปนมูลราก203๒๐๔ เชน การไดเห็นรูปสวย พอใจ ติดใจในรูปสวยนั้น (รูปตัณหา) การไดยินเสียงไพเราะ พอใจ ติดใจในเสียง ไพเราะนั้น (สัททตัณหา) เปนตน204๒๐๕ ซึ่งความพอใจ ติดใจ ใฝรัก อยากไดน้ันเกิดข้ึนเพราะเม่ือเสพ อารมณท่ีนารัก นาปรารถนานั้นแลว ทําใหเกิดความรูสึกสุข (สุขเวทนา) จึงอยากเสพเสวยสุขเวทนา205๒๐๖ นั้นเรื่อยไป ดงั นเี้ ปน ลกั ษณะของตณั หาที่มเี วทนาเปน ปจจัย พุทธพจนกลา วไววา “ความชอบใจวัตถุ ยอมมีแกผ ูกาํ ลังปรารถนา อนึ่ง ความหวั่นไหว ยอมมี เพราะวัตถุท่ีกําหนดแลว”๒๐๗ ซ่ึงความปรารถนา ความตองการในที่น้ีเปนความปรารถนาแบบตัณหา207๒๐๘ ความรักดวยอํานาจตัณหา หรือที่บาลีเรียกวา ตณฺหาเสนฺโห น้ัน เปนความรักที่เกิดจากความยึดถือวัตถุ กามน้ันวาเปนของเรา ความยินดีติดใจในอารมณ ๖ (รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส สิ่งนึกคิดทางใจ) ท่ีมีความ แรงกลามากขนึ้ ความยึดถือน้นั จึงเกิดขึน้ ดวยอาํ นาจของตัณหา เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา กามุปาทาน ๒๐๓ วสิ ทุ ธฺ ิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔. ๒๐๔ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๔๙๐. ๒๐๕ ตณั หา จาํ แนกตามอารมณ มี ๖ อยา ง คือ ๑. รปู ตัณหา คือความยนิ ดีติดใจในรูปารมณ (รปู ) ๒. สัทท ตัณหา คือความยินดีติดใจในสทั ทารมณ (เสียง) ๓. คันธตัณหา คือความยินดีติดใจในคนั ธารมณ (กลิ่น) ๔. รสตัณหา คือ ความยินดีติดใจในรสารมณ (รส) ๕. โผฏฐัพพตัณหา คือความยินดีติดใจในโผฏฐัพพารมณ (สัมผัส) ๖. ธัมมตัณหา คือ ความยนิ ดีตดิ ใจในธรรมารมณ (เร่ืองราวในใจ), ส.ํ นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑, วสิ ทุ ธฺ ิ. (ไทย) ๖๔๔/ ๙๔๔-๙๔๖. ๒๐๖ วิภังคสูตรอธิบายวา เวทนามี ๖ ประการ คือ ๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผัสทางตา) ๒. โสตสมั ผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู) ๓. ฆานสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผสั ทางจมูก) ๔. ชวิ หา สัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสมั ผัสทางลิ้น) ๕. กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย) ๖. มโนสัมผัสส ชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ) เชนเดียวกับในสุตตันตภาชนีย สวนในกาฬารสูตรและเวทนาสูตรอธิบายวา เวทนามี ๓ ประการ คือ ๑.สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อทุกขมสุขเวทนา, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/ ๖๕, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗, อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๒๐๗ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๙๐๙/๗๑๙. ๒๐๘ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๔๘๕-๔๘๖.

๑๑๑ ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปปาททีปนี กลาวความวา ตัณหาและกามุปาทานนั้นมีองคธรรม คือ โลภะ เชนเดียวกัน ในการท่ีกลาววา ตัณหาเปนปจจัยใหกามุปาทานเกิดข้ึน หมายความวา โลภะเปน ปจจัยใหเกิดโลภะ208๒๐๙ อธิบายความวา ความติดใจอยากไดในรูปารมณ สัททารมณ คันธารมณ รสารมณ โผฏฐัพพารมณ และธัมมารมณ เหลาน้ีชื่อวา ตัณหา และเม่ือความติดใจดังกลาวเหลานี้มีกําลังแรงกลา มากข้นึ ยอ มมีจติ ใจผกู พนั อยกู ับอารมณนัน้ อยเู สมอ หรือเมอื่ ไดสิ่งทต่ี นปรารถนามาแลวกม็ ีความหวงแหน สง่ิ น้นั อยา งไมยอมปลอ ยวาง เชน นี้เรียกวา กามปุ าทาน209๒๑๐ ดังกรณีตัวอยางถึงชายคนหนึ่งท่ีเสียใจเพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัว ตายตาม เมื่อพจิ ารณาในมมุ มองของพุทธธรรมการท่ีชายคนนเ้ี สียใจเพราะภรรยาแยกทาง มนี ยั ทแี่ ฝงดวย ความปรารถนาทีจ่ ะไดรับความรักและใชชีวิตคูอยูรวมกับภรรยาดังเดิม แตเมื่อเปนไปไมไ ดดังใจปรารถนา เขาจงึ อยากพนจากสภาวะที่ผิดหวังในความรักอยา งท่เี ปนอยู (วภิ วตัณหา) ซึ่งตัณหานจี้ ัดเปน กเิ ลสตัวหนึ่ง เม่ือกิเลสกําเริบขึ้น จนไมอาจควบคุมไดกลายเปนวีติกกมกิเลส ผลักดันใหเขาเกิดการกระทําที่เปน อกุศลกรรม ในท่ีนี้คือการทําลายชีวิตของภรรยาและตนเองในท่ีสุด การที่ตัณหาของเขาขยายตัวจนไม สามารถควบคุมกิเลสได ทั้งนี้ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นความรักและคนรักอยางแรงกลา อยางไมยอม ปลอยวาง ซ่งึ คือคืออุปาทาน อุปาทานในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอ แหง ภวจกั ร ทนี่ ําไปสูค วามทุกข คําวา อุปาทาน แปลวา ยึดมั่น210๒๑๑ วิภังคสูตรอธิบายวา อุปาทานมี ๔ ประการ คือ กามุ ปาทาน (ความยึดม่ันในกาม) ทิฏุปาทาน (ความยึดม่ันในทิฏฐิ) สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลพรต) และอัตตวาทุปาทาน (ความยึดม่ันในวาทะวามีอัตตา)211๒๑๒ อรรถกถาจารยใหคําอธิบายวา กามุปาทานเปน ๒๐๙ พระสทั ธัมมโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ ปาททีปนี, หนา ๙๕. ๒๑๐ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา๙๕. ๒๑๑ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท, หนา ๖๑. ๒๑๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๕.

๑๑๒ ตัณหาหลังท่ีเกิดข้ึนดวยอํานาจอุปนิสยปจจัยของตัณหาแรก ดวยความยึดม่ันในตัณหา212๒๑๓ประกอบดวย โลภมลู จิต ๘ ดวง ๒๑๔ สว นอุปาทาน ๓ ที่เหลอื นัน้ ประกอบดวยโลภมลู จิตท่สี มั ปยุตดวยทิฏฐิ ๔ ดวง ๒๑๕ 213 214 ปรมัตถโชติกะ ปฏิจจสมุปปาททีปนีใหคําอธิบายคําวา อุปาทาน หมายถึง การยึดม่ันในส่ิงที่ ผิดโดยโลภะ และทิฏฐิ เม่ือตัณหาและทิฏฐิมีกําลังแรงมากขึ้น กลาวคือ การยินดีติดใจในอารมณนั้นๆ อยางไมยอมปลอย เวลานั้น ตัณหาน้ันไดช่ือวา อุปาทาน และเมื่อเวลาท่ีมีความเห็นผิดนั้นติดแนน เวลา นั้นทิฏฐินั้นก็ไดชื่อวา อุปาทาน215๒๑๖ แสดงใหเห็นรายละเอียดเพิ่มเติมวา ในทางอภิธรรม อุปาทานคือโลภ เจตสิก หรือตัณหาท่ีแรงกลาข้ึน อาการของจิตดังกลาวน้ีเกิดขึ้นจากตัณหา ดังนั้นเมื่อตัณหาเกิดอุปาทาน ยอมเกิดข้ึนตามมาดวยเสมอ216๒๑๗ อุปาทานเปนกิเลสเชนเดียวกับอวิชชาและตัณหา แตไมแยกระดับอยาง กิเลส ๒ ประเภท เพราะอุปาทานแฝงตัวอยูในตัณหาตลอดเวลา เพียงแตวาในบางคร้ังจะไมแสดงตัว ออกมาชดั เจนเทานน้ั 217๒๑๘ ทั้งนี้หากพิจารณาตามองคธรรมแลว ตัณหา มีองคธรรมคือ โลภเจตสิก สวนอุปาทาน มีองค ธรรมอีกอยางคือ ทิฏฐิเจตสิก อรรถกถาจารยใหคําอธิบายวา กามุปาทานเปนตัณหาหลังท่ีเกิดขึ้นดวย อํานาจอุปนิสยปจจัยของตัณหาแรก ดวยความยึดมั่นในตัณหา218๒๑๙ประกอบดวยโลภมูลจิต ๘ ดวง ๒๒๐ 219 สว นอปุ าทาน ๓ ทีเ่ หลือนนั้ ประกอบดวยโลภมลู จิตทส่ี ัมปยุตดวยทิฏฐิ ๔ ดวง ๒๒๑ และทิฏฐิเจตสกิ ท่ยี ึดม่ัน 220 221๒๒๒ไมยอมปลอ ยวาง ยอมเปนเหตุเปนปจจยั กอใหเ กิดภพข้นึ ตามมา นําไปสูภาวะจิตใจที่ทุกข ดวยอาการ ทางจิตที่แหงผาก ปราศจากความสดชื่น เปรียบเสมือนตนไมที่เหี่ยวแหงขาดน้ํา คร่ําครวญรําพันดวย ๒๑๓ อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๐. ๒๑๔ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๓. ๒๑๕ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๑, ๕๔๓. ๒๑๖ พระสทั ธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏจิ จสมุปบาททปี นี, หนา ๘๐-๘๑. ๒๑๗ บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๖๑. ๒๑๘ เร่อื งเดียวกัน, หนา ๖๓. ๒๑๙ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๐. ๒๒๐ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๓. ๒๒๑ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๑, ๕๔๓. ๒๒๒ วชั ระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา ๒๑๘

๑๑๓ ความคิดถึงส่ิงท่ีลวงแลวมาหรือส่ิงท่ีปรารถนาแตไมไดดังใจปรารถนา ไขวควาก็คลายกับไลควาเงา ตรอมใจ คับแคนใจ เหลา น้ีเปนอาการทางจิตท่มี ีทุกข และแสดงออกมาเปน พฤติกรรมทางกายในที่สดุ ดังกรณีตัวอยางของชายที่ผิดหวังในความรักและตัดสินใจฆาคนรักและตัวเองตาย แสดงให เห็นถึงระดับความรุนแรงของตัณหา คือการแสวงหาความรักและคนรักกลับมาเพื่อเติมความตองการของ ตนเองใหเ ต็ม ซงึ่ ในพทุ ธธรรมเรียกอกี ชือ่ หน่งึ วา เอสนาตณั หา222๒๒๓ และเม่ือส่งิ ทแี่ สวงหาน้ันไมไ ดส มหวงั ดัง ใจปรารถนา จึงอยากจะพนจากสภาวะน้ันไป (วิภวตัณหา) ความอยากจะพนจากสภาวะท่ีประสบความ ผิดหวังนั้นเม่ือมีกําลังแรงกลาอยางไมยอมปลอยวาง (อุปาทาน) ยอมเปนปจจัยใหเกิดภพ (กรรมภพ) ตัวอยางในที่น้ีคอื การกระทําอกศุ ลกรรม ฆา ตนเองไดในท่ีสดุ ภพในปฏิจจสมุปบาท กบั วงลอแหง ภวจักร คาํ วา ภพ แปลวา เกิดมี เกดิ เปน 223๒๒๔ คัมภีรว ิภงั คกลาวถงึ ภพ ๒ คอื ๑) กรรมภพ (ภพคอื กรรม) ไดแ ก ปญุ ญาภสิ ังขาร อปญุ ญาภิสงั ขาร และอเนญชาภิสงั ขาร ๒) อุปปตติภพ (ภพคือความเกิดขึ้น) ไดแก กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนว สัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ และปญจโวการภพ224๒๒๕ซึ่งเปนการอธิบาย แบบขา มภพชาติ สวนในอัญญมัญญจตุกกะอธิบายวา เวนอุปาทานแลว เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ นี้เรียกวา เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพจึงมี225๒๒๖ ซ่ึงก็คือนามขันธ ๔ ส่ือนัยที่ตองการ อธิบายภพในลักษณะแบบชาติปจจุบัน เหตุผลที่เนนปจจุบันเพราะมีแตนามขันธ ไมมีรูปขันธซึ่งเปน ลกั ษณะทช่ี ัดเจนในแบบขามภพชาติ ๒๒๓ ดรู ายละเอียดใน ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๑/๒๐๙. ๒๒๔ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท, หนา ๖๔. ๒๒๕ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๔/๒๒๑, อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๔๔. ๒๒๖ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๗๓/๒๕๗.

๑๑๔ จากการอธิบายความหมายของสังขารท่ีมีอวิชชาเปนปจจัยใหเกิดและกรรมภพที่มีอุปาทาน เปนปจจัยใหเกิดแสดงใหเห็นวา สังขารและกรรมภพมีความคลายกัน เม่ือพิจารณาตามกาลและตามองค ธรรมแลว ก็เหมือนกัน แตสังขารและกรรมภพมีความแตกตา งกันในรายละเอยี ดคอื สังขาร คือ ปุพพเจตนา ท่ีเกิดกอนการกระทํากุศลหรืออกุศล หมายความวา กุศลหรือ อกุศล เจตนาที่เกิดขึ้นในชวนะดวงที่ ๑ ถึงชวนะดวงที่ ๖ ช่ือวา สังขาร หรืออีกนัยหน่ึงคือ สังขาร ไดแก กุศล หรอื อกศุ ล เจตนาเจตสกิ อยางเดยี ว สวน กรรมภพ คือ มุฺจนเจตนา ท่ีเกิดขึ้นขณะกําลังกระทํากุศลหรืออกุศล หมายความวา เจตนาที่เกิดข้ึนในชวนะดวงที่ ๗ ชื่อวา กรรมภพ หรืออีกนัยหน่ึงคือ กรรมภพ ไดแก กุศล หรือ อกศุ ลเจตนาพรอ มดว ยนามขันธ ๔ ท่เี หลือ226๒๒๗ การอธิบายวงลอแหงภวจักร หรือเรียกอีกอยางวา วัฏฏ ๓ แหงปฏิจจสมุปบาท (กิเลสวัฏฏ กรรมวฏั ฏ วปิ ากวัฏฏ) น้นั สังขารและภพ จดั เปนกรรมวฏั ฏ ในที่น้ี กรรมภพที่เกดิ กอ น หมายถึงกรรมภพ ท่ีทําไวในอดีตชาติ227๒๒๘ ที่สืบเน่ืองในจิตสันดานและเปนปจจัยแกปฏิสนธิวิญญาณในอุปปตติภพน้ี228๒๒๙ ซึ่งก็ คือรางกายและจิตใจที่ประกอบดวยองคธรรม ๕ คือ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา เปนวิ ปากวัฏฏ นอกจากนี้อวิชชา ตัณหา อุปาทานอันเปนกิเลสวัฏฏซึ่งประจําอยูในจิตตสันดานแลว ดวย อํานาจกิเลสวัฏฏนี้ยอมทําใหบุคคลมีการกระทําทางกาย วาจาและใจ ตามท่ีสั่งสมไวในวิบาก เกิดการ กระทํากรรมภพใหม เปนผลปรากฏในกาลขางหนาตอไป หมุนวนไป การทําลายวัฏฏะเพื่อไมใหหมุนวน อีกจึงตองทําลายท่ีกิเลสวัฏฏ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เม่ือกิเลสวัฏฏถูกทําลายแลว กรรมวัฏฏและวิ ปากวัฏฏยอมถกู ทาํ ลายไปดวย ดังน้ันกิเลสวัฏฏจึงเปนตัวสําคัญที่สุด ดวยเหตุน้ีในมุมมองของพุทธธรรม กิเลสวัฏฏ อันไดแก อวชิ ชา ตัณหา อปุ าทาน จึงเปนสาเหตุทแ่ี ทจ ริงของภาวะจติ ใจท่ขี าดพรอง ปราศจากความรักความเมตตา ตอตนเองและผูอ่ืนอยางแทจริง เกิดจิตท่ีคิดเบียดเบียน และเปนแรงผลักดันใหเกิดพฤติกรรม คือ ๒๒๗ พระสัทธัมมโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี, หนา ๑๒๐-๑๒๑. ๒๒๘ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๐. ๒๒๙ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๕๖๐.

๑๑๕ กรรมวัฏฏ อันไดแก สังขาร และภพ ทําใหวนเวียนในสังสารวัฏฏประสบกับความสุขสมหวังบาง ประสบ กับความทุกขผิดหวงั บาง ตามเหตปุ จจยั ความสมั พันธร ะหวา งอรยิ สจั ๔ และปฏิจจสมุปบาท จากบทที่กลาวมาแลวในหัวขอปฏิจจสมุปบาท พิจารณาไดวาคําสอนปฏิจจสมุปบาทและ อริยสัจ ๔ มีความสัมพันธเชือ่ มโยงกัน ขอยกตวั อยางการอธิบายท่เี ปนรูปธรรม ดังเชนกรณีของชายคนหนึ่งที่เสียใจเพราะภรรยาแยกทาง จึงตัดสินใจฆาภรรยาและฆาตัวตาย ตาม ความเสียใจของชายคนนี้ประกอบดวยอวิชชาท่ีมาจากกามาสวะเหตุ และเมื่อวาตามองคธรรมแลว โสกะ โทมนัส อุปายาส ท้ัง ๓ น้ีเปนโทมนัส และโทสเจตสิก ดังนั้น เมื่อผูใดมีความเศราโศกเสียใจ คับ แคนใจเกิดข้นึ แลว โมหะก็ยอ มเกดิ รวมดว ย พระอรรถกถาจารยกลาวไววา “อวิชชาสําเร็จแลวแตธรรมมีโสกะเปนตน” 229๒๓๐ และเม่ือโสกะ คอื ความเศราโศก เพ่ิมขึ้นอยา งทวมทน กลายเปน อุปายาส คอื ความเศราโศกอยา งใหญหลวง เปนยอดแหง ความเศราโศก ทําใหบุคคลน้ันกลายเปนคนเสียสติไป หรืออาจทําลายชีวิตของตนเองได230๒๓๑ ทั้งน้ีก็ดวย อํานาจของอวิชชาที่ไมรู ไมเขาใจตามความเปนจริงวาความตายไมใชที่สิ้นสุดแหงทุกข เม่ืออวิชชาซ่ึงเปน กิเลสกอตัวถึงข้ันวีติกกมกิเลส จึงเปนแรงผลักดันใหชายคนดังกลาวกออกุศลกรรม คือการฆาตนเองไดใน ที่สุด ดวยเหตุน้ี อวิชชาจึงเปนปจจัยใหเกิดสังขารคืออกุศลเจตนา กอพฤติกรรมที่ไมดีงาม และดวย ความรักความผกู พันท่ีมตี อภรรยาอยางแรงกลา และยึดมั่นถอื มน่ั อยางไมย อมปลอ ยวาง เชนน้ีเรียกวา กา มุปาทาน231๒๓๒ ตัณหาและกามุปาทานนั้นมีองคธรรม คือ โลภะ เชนเดียวกัน ตัณหาจึงเปนปจจัยใหกามุ ปาทานเกิดขึ้น แตเม่ือเปนไปไมไดดังใจปรารถนา (ทุกขอริยสัจ) เขาจึงอยากพนจากสภาวะท่ีผิดหวังใน ความรักอยางท่ีเปนอยู (วิภวตัณหา) ซ่ึงตัณหาน้ีจัดเปนกิเลสตัวหน่ึง ซ่ึงเปนเหตุแหงทุกข (สมุทัยอริยสัจ) เมื่อกิเลสกําเริบขึ้น จนไมอาจควบคุมไดกลายเปนวีติกกมกิเลส ผลักดันใหเขาเกิดการกระทําท่ีเปน อกศุ ลกรรม ในทนี่ ้ีคอื การทําลายชวี ติ ของภรรยาและตนเองในทีส่ ดุ ๒๓๐ อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๕๕๔. ๒๓๑ ดรู ายละเอียดใน พระสัทธัมมโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปน,ี หนา ๑๔๒. ๒๓๒ เร่อื งเดียวกนั , หนา ๙๕.

๑๑๖ จากท่ีอธิบายกระบวนธรรมของ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ขางตนเพ่ือแสดงใหเห็นถึง สภาวธรรมตามกฎธรรมชาติของโลกและชีวิตท่ีเกิดขึ้นเปนกระบวนการตามเหตุตามปจจัยท่ีเก่ียวของ เชื่อมโยงสัมพันธกันตามคําสอนของปฏิจจสมุปบาท และนําไปสูกระบวนการแหงทุกข ซึ่งพระพุทธเจา ทรงแสดงไวในอรยิ สัจ ๔ วา “ภกิ ษุท้งั หลาย ขอ น้ีเปนทกุ ขอรยิ สจั คือ แมความเกิดก็เปน ทุกข แมค วาม แกก็เปน ทกุ ข แมค วามเจบ็ ก็เปนทุกข แมค วามตายกเ็ ปน ทุกข ความประสบสง่ิ อันไมเ ปน ทรี่ ักกเ็ ปนทกุ ข ความพลดั พรากจากสงิ่ อันเปน ท่รี กั ก็เปน ทุกข ปรารถนา สิ่งใดไมไดสิ่งน้นั ก็เปน ทกุ ข โดยยออปุ าทานขันธ ๕ เปน ทกุ ข ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอน้เี ปนทุกขสมทุ ยอรยิ สัจ คอื ตัณหาอนั ทาํ ใหเ กิดอกี ประกอบ ดวยความเพลิดเพลนิ และความกําหนดั มีปกตใิ หเ พลิดเพลนิ ในอารมณน ัน้ ๆ คือ กามตัณหา ภวตณั หา วภิ วตัณหา”232๒๓๓ ชวี ิตทีม่ ปี ญ หาของมนุษย และการถูกรุมเรากระหนํา่ ดวยความทกุ ขน ั้นเปนเพราะมนษุ ยเขาไป สมั พนั ธก ับส่ิงตา ง ๆในโลกและชวี ิต ดวยอวิชชา ตณั หา อุปาทาน ดว ยความยึดม่นั ถือมน่ั ในอุปาทานขันธ ท้ัง ๕ ปญ หาตา งๆจึงเกดิ ขนึ้ กบั บคุ คลผูน นั้ ทนั ที สภาพปญหาตาง ๆกจ็ ะกลายเปน “ทกุ ข” ทันทเี ชน กัน แตเมื่อใดกต็ ามทีม่ นุษยเกย่ี วขอ งสมั พนั ธกบั สง่ิ ตา งๆในโลกและชีวิตดว ยปญญา ดวยทา ทที ี่ รเู ทาทนั ตามสภาวะความเปนจรงิ ของโลกและชีวิต ดวยสัมมาทฏิ ฐใิ นอรยิ มรรคมอี งค ๘ เปนตน บุคคลผู นัน้ กจ็ ะสงบระงับจากทุกข และเกีย่ วของสัมพันธกับโลกดวยปญญา เขาสกู ระบวนการแหง “ความดบั ทกุ ข” ทันทเี ชน กัน การดาํ เนินชวี ติ ดว ยสมั มาทฏิ ฐิ : การมีชีวิตอยดู วยปญญา ทานพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต) ใหความหมายการมีชีวิตอยูดวยปญญาวา หมายถึงการ อยูอยางรูเทาทันสภาวะ และการถอื ประโยชนจากธรรมชาติอยางประสานกลมกลนื กับธรรมชาติ เปนการ ๒๓๓ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๓.

๑๑๗ อยูอยางอิสระไมตกอยูใ นอํานาจของตัณหาอุปาทาน การมีชีวิตอยูดวยปญญาจงึ เปนการอยูอ ยางไมย ดึ ม่นั ถอื ม่นั รบั รูแ ละเกี่ยวของจดั การกบั สง่ิ ท้ังหลายตามวถิ แี หงเหตุปจ จยั 233๒๓๔ ทานกลาวขยายความวา การมีชีวิตอยูดวยปญญา เปนส่ิงสําคัญยิ่ง ทั้งในฝายรูปธรรมและ นามธรรม ทจี่ ะชว ยใหม นุษยถือเอาประโยชนไดท้งั กระบวนการฝายจติ และกระบวนการฝายวตั ถุ ชวี ติ แหง ปญ ญา จงึ เปน ลกั ษณะท่มี องไดส องดาน คือ ดา นภายใน และดา นภายนอก ชวี ิตแหงปญ ญา ดา นภายใน มีลักษณะสงบ เยอื กเยน็ ปลอดโปรง ผอ งใส ดว ยความรูเ ทา ทัน เปน อิสระ เม่ือเสวยสุขก็ไมหลงระเริง ไมเหลิงลืมตัว เมื่อพลาด เม่ือพรากจาก ก็มั่นคง ปลอดโปรงอยูได ไม หวน่ั ไหวหรือหดหู ซึมเศรา ส้ินหวัง ไมฝากสุขทุกขข องตัวไวกับอามสิ ภายนอก ชีวิตแหงปญญา ดานภายนอก มีลักษณะคลองตัว วองไว พรอมอยูเสมอท่ีจะเขาเกี่ยวของและ จัดการกับส่ิงทั้งหลายตามที่มันควรจะเปน โดยเหตุผลบริสุทธิ์ ไมมีเงื่อนปม หรือความยึดติดภายในที่เปน นิวรณทําใหลําเอียงหรือทําใหพรามัว234๒๓๕ สิ่งสําคัญในที่น้ี คือ ความรู ท่ีเรียกวา ปญญาและปญญาเปน เจตสิกฝายดงี ามท่เี ปน คุณสมบตั ขิ องจิต จดั อยูใ นสงั ขารขันธ ในหลักธรรมขันธ ๕ คําวา “ปญญา” ในพระพุทธศาสนามีไวพจนมากมาย เชน สัมมาทิฏฐิ235๒๓๖ ปญญินทรีย236๒๓๗ อโมหะ237๒๓๘วิปสสนา238๒๓๙ ญาณ ๒๔๐ สัมปชัญญะ240๒๔๑ วิมังสา241๒๔๒ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค242๒๔๓ โกศล ๒๔๔ 239 243 ความหมายของคําวา “ปญญา” คือความรูชัด244๒๔๕ ความหมายรูและความรูแจง ซึ่งไดแก วิปสสนาญาณ ๒๓๔ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๑๖๖. ๒๓๕ เร่ืองเดียวกนั , หนา ๑๖๗. ๒๓๖ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๑. ๒๓๗ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๒/๒๐๑. ๒๓๘ ดรู ายละเอียดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๙๒/๒๗๓. ๒๓๙ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.สงฺ.(ไทย) ๓๔/๕๕/๓๗. ๒๔๐ ดรู ายละเอียดใน ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๒๒/๓๒. ๒๔๑ ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๓๖๐/๓๐๘. ๒๔๒ดูรายละเอียดใน อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๔๒/๓๔๗. ๒๔๓ ดรู ายละเอยี ดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๔๗๔/๓๖๒. ๒๔๔ ดูรายละเอียดใน อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๗๙๗/๓๘๒. ๒๔๕ ดรู ายละเอยี ดใน ขุ.ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๒๙/๔๗.

๑๑๘ อันสัมปยุตดวยกุศลจิต245๒๔๖ มีการแทงตลอดสภาวธรรมเปนลักษณะ การที่บุคคลจะเกิดปญญาจากการ ภาวนาไดนนั้ ส่ิงท่ีสําคญั ที่สุดคือการเจรญิ วิปสสนา ปญญา จาํ แนกได ๓ ประเภท246๒๔๗ คือ ๑.สุตมยปญญา ไดแ ก ปญ ญาเกิดจากการสดับ การเลา เรยี น การฟงธรรมจากสัตบุรษุ เปน ความรอบรูจากการไดย ิน ไดฟง คําสอน คําแนะนําจากผอู ่นื นบั เปน ขนั้ ตน ของการเรียนรู ผศู ึกษารบั ทราบ จากประสบการณของผูอ นื่ ในเร่ืองท่ีตองการทราบ แตต นเองไมมีประสบการณโดยตรง ความรรู ะดับนม้ี ีคาในฐานะชน้ี ําการปฏบิ ตั ิ จนกวา จะเกดิ ความรูความเขาใจดว ยตนเองโดยตรง ซ่ึงเปนส่ิงจําเปนในขัน้ ตน ของการดําเนินชีวิตโดยท่ัวไป การศึกษาปรยิ ัตธิ รรมจากพระไตรปฎก การอธิบายขยายความจากอรรถกถาจารย ฯลฯ จดั เขา ในความรูร ะดับสตุ มยปญ ญา หากผศู ึกษานาํ ความรูน้ีไปตรกึ ตรองวเิ คราะห สังเคราะห เพ่ือเสรมิ ตอ เปน ความรูความเขาใจขึน้ ใหม กเ็ ปน การพฒั นาที่สูงขึ้นตอ ไป ๒.จินตามยปญญา ไดแก ปญญาท่ีบุคคลไดมาโดยไมไดเรียนจากผูอ่ืน เปนปญญาที่เกิดจาก กรรมท่ีเปนของแตละบุคคล หรือปญญาท่ีตรงกับความจริงเปนความรูท่ีเก่ียวกับหนาท่ีการงาน หรือ เกี่ยวกับศาสตร อีกนัยหน่ึงเปนปญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบ ลึกซึ้ง บุคคลไมไดฟง มาจากผูอื่นแตอาศัยการคิดพิจารณาแยบคาย ในกัมมัสสกตาญาณ หรือสัจจานุโลมิกญาณ247๒๔๘ เห็นวา ขันธท ั้ง ๕ น้ี ไมเท่ยี ง เปนทุกข มใิ ชตวั ตน ๒๔๖ พระพุทธโฆสเถระ,วสิ ทุ ฺธิมรรค,สมเดจ็ พระพฒุ าจารย(อาจ อาสภมหาเถระ)แปลและเรียบเรยี งพิมพค รง้ั ท๖่ี (กรงุ เทพมหานคร:บริษทั ธนาเพรสจาํ กัด,๒๕๔๘), วสิ ุทฺธิ (ไทย).๔๒๑-๔๒๔/ ๗๓๑-๗๓๕. ๒๔๗ ท.ี ปา(ไทย )๑๑/๓๐๕/๒๗๑, ที.ปา.อ (ไทย) ๓/๒/๓๑๗, พระอุป ติสสเถระ,วิมุตติมรรค,แปลโดย พระเทพ โสภณและคณะ,พมิ พค รั้งท่ี ๖(กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๘) หนา ๒๑๒ ๑.จนิ ตามยปญ ญา (ปญ ญาทเ่ี กิดจากการคดิ ) ๒.สตุ มยปญญา (ปญญาที่เกิดจากการฟง ) ๓.ภาวนามยปญญา (ปญญาท่ีเกิดจากการอบรม) ๒๔๘ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ปา.อ(ไทย) ๓/๒/๓๑๗, วสิ ทุ ธฺ ิ(ไทย) ๔๒๗/๗๓๕.

๑๑๙ สวนปญญาระดับโลกียะ หรือองคความรูใหมเก่ียวกับวิทยาการสมัยใหมสวนใหญเกิดข้ึนจาก การใชส ติและสมาธิในการพิจารณาขบคิดปญหาตา งๆจนกระท่ังเกดิ องคความรู เชน นกั วิทยาศาสตรระดับ โลก คือไอนสไตน ท่ีกลาววา “จินตนาการสําคัญมากกวาความรู” (Imagination is more important than knowledge.) ๓.ภาวนามยปญญา ไดแ ก ปญ ญาเกดิ แตก ารฝก อบรมปฏบิ ตั ิดว ยวธิ กี ารสมถะและวิปสสนาทาํ ใหเกิดความรูแจง เขาใจความเปนจริงของสรรพส่ิงในสามัญลักษณะ วา ไมเ ท่ียง เปนทุกข มใิ ชต วั ตน เปน ความรูความเขา ใจธรรมชาตติ ามเปน จรงิ โดยการประจักษแจงปรมตั ถธรรมที่ดาํ รงอยใู นปจ จบุ ันขณะ ความรรู ะดบั น้เี กดิ ขนึ้ ในกระบวนการวปิ สสนาท่ถี กู ตอ ง และจะเริม่ ตน ข้นึ ก็ตอเมือ่ บุคคลไดม องผานสมมติ บญั ญัติ ประจกั ษน ามรูปปรมัตถที่ดาํ รงอยใู นปจ จบุ นั ขณะทไี่ ตรลกั ษณป รากฏ จากลักษณะของปญญาท้ัง ๓ ประการน้ี จะพบวา จินตามยปญญาและภาวนามยปญญา เปน ปญญาที่เกิดขึ้นจากกระบวนการภายใน สวนสุตมยปญญาเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นจากปจจัยภายนอก อาทิ จากการคบสัตบุรุษ และการฟงธรรมจากสัตบุรุษ ดวยเหตุน้ี กระบวนการเกิดโยนิโสมนสิการของแต ละบุคคลจงึ แตกตางกนั ตามกาํ ลงั สตปิ ญ ญา248๒๔๙ของแตละบคุ คล และแตกตา งกันตามลักษณะแหง ปญญา ขอยกตัวอยาง พระสารีบุตร เม่ือครั้งเปนอุปติสสมาณพไดฟงธรรมจากพระอัสสชิวา “ธรรม เหลาใดมีเหตุเปนแดนเกิด พระตถาคตตรัสเหตุของธรรมเหลานั้น และตรัสความดับไปของธรรมเหลาน้ัน ๒๔๙ พระพุทธศาสนาไดจําแนกประเภทบคุ คลไว ๔ ประเภท คอื ๑.อคุ ฆฏติ ญั ู ผูที่พอยกหัวขอกร็ ู ผูรเู ขา ใจไดฉับพลนั ๒.วิปจติ ัญู ผรู ูตอ เม่ือขยายความ ผรู ูเขาใจไดตอ เมือ่ ทา นอธิบายความพศิ ดารออกไป ๓.เนยยะ ผูท่ีพอจะแนะนําได ผูที่พอจะคอ ยชี้แจงแนะนาํ ใหเ ขาใจไดด วยวิธกี ารฝก สอนอบรมตอ ไป ๔.ปทปรมะ ผมู ีบทเปนอยางย่งิ ผูอับปญ ญา สอนใหรูไดแ ตเ พียงตัวบท คือพยัญชนะหรือถอยคํา ไมอาจเขาใจอรรถคอื ความหมาย, อง.ฺ จตกุ ก. (ไทย) ๒๑/๑๓๓/๑๓๕, ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม, หนา ๑๒๐.

๑๒๐ พระมหาสมณะทรงมีวาทะเชนน้ี”๒๕๐ลักษณะกระบวนการเกิดโยนิโสมนสิการของพระสารีบุตรเร่ิมข้ึนใน ข้ันสุตตมยปญญา คือไดฟงเพียงหัวขอธรรมก็สามารถบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันได จัดอยูในบุคคล ประเภทอุคฆฏิตญั ู250๒๕๑ แตในลักษณะบุคคลทั่วไปซึ่งกลาวถึงในงานเขียนนี้จัดเปนบุคคลประเภทเนยยบุคคล ดังนั้น กระบวนการทางปญญาภายในของบุคคลยอมเกิดขึ้นขณะเจริญวิปสสนา ในระดับภาวนามยปญญา ดวย การพิจารณา การกาํ หนดรรู ูปนาม251๒๕๒ ความเหน็ แจงในการเกิดขึน้ และดบั ไปของนามรูปนั้นตองอาศัยการ เจริญวิปสสนากรรมฐาน มิใชการอาศัยความคิดไตรตรอง พิจารณาในระดับความคิดนึกดวยเหตุผลเพียง อยา งเดยี ว ในกระบวนการปฏบิ ตั ธิ รรม ผปู ฏิบัตทิ ี่ยังไมส ามารถกาํ หนดรูนามรปู ปรมัตถไ ด และรแู ตเ พียง บัญญัติธรรมนนั้ ผปู ฏิบตั ิจะไมส ามารถเหน็ ไตรลักษณทแ่ี ทจ รงิ ได เพราะบญั ญัตธิ รรมทเี่ ปน อารมณจ ะไม แสดงอนจิ ตา ทกุ ขตา และอนตั ตา สง่ิ ท่ผี ูปฏิบตั มิ กั กระทําก็คือการนําหลกั ธรรมทเ่ี รียนรูในระดบั สตุ มย ปญ ญามาพจิ ารณา ซง่ึ เปน กระบวนการในระดับจนิ ตามยปญญา ซึง่ บุคคลในระดับอคุ ฆฏติ ญั ูเทา นน้ั ท่ีจะ เกดิ ปญญาในระดับนี้ได252๒๕๓ อีกตัวอยางท่ีปรากฏในพระไตรปฎกเชน พระจูฬปนถกะ เปนนองชายของทานพระมหาปนถ กะ เม่ือพระมหาปน ถกะสําเร็จเปน พระอรหนั ต เสวยวิมตุ ติสุขแลว มคี วามปรารถนาจะใหจ ูฬปนถกะไดถึง ซึ่งความหลุดพนจากทุกขบาง เม่ือจูฬปนถกะไดอุปสมบทเรียบรอยแลว ทานพระมหาปนถกะไดสอนพระ จูฬปนถกะ ๔ เดือนผานไปพระจุลปนถกก็ไมสามารถจะเรียนได ทานพระมหาปนถกะจึงเห็นวาพระจูฬ ปนถกะเปนผูมีปญญาทึบ เปนคนอาภัพในพระพุทธศาสนา จึงขับไลใหลาสิกขาไปเน่ืองดวยเห็นวาไม สามารถบรรลุคุณวิเศษในพระศาสนาได ในเวลาที่พระจูฬปนถกะตัดสินใจจากไปนั้น ไดมีโอกาสเขาเฝา ๒๕๐ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/ ๑๒๖. ๒๕๑ ดูรายละเอียดใน เนตต.ิ (ไทย) หนา๗๔-๗๕. ๒๕๒ เนตตฺ .ิ (ไทย) หนา ๘๑. ๒๕๓ พระมหากจั จายนะเถระ,เนตตปิ กรณ,พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธบิ าย (กรุงเทพมหานคร:ไทยรายวัน การพมิ พ,๒๕๕๐) หนา ๘๒-๘๓.

๑๒๑ พระผูมีพระภาค พระองคทรงพาไปใหน่ังท่ีหนามุขพระคันธกุฎี ประทานทอนผาท่ีสะอาด ซึ่งทรง บนั ดาลข้นึ ดว ยฤทธิ์ และตรสั ใหบรกิ รรมวา “รโชหรณํ รโชหรณํ” กระบวนการทางปญญาของพระจูฬปนถกเกิดขนึ้ ในขณะทพี่ ิจารณาเห็นผา ท่ีสะอาด เมื่อลูบผา ผืนน้ันอยูจึงกลายเปนของเศราหมอง253๒๕๔ ขณะที่พระจูฬปนถกนอมใจไปในอารมณ วิถีในปญจทวาราวัช ชวนจิตดาํ เนินการขน้ึ รับรูส ภาวะตามความเปนจริงในขั้นตอนการทํางานของวิถีปฏปิ าทกมนสิการ แลวสง ตออารมณไปสูมโนทวาราวัชชนจิต พิจารณาโดยแยบคายในขั้นตอนการทํางานของชวนปฏิปาทกมนสิ การ จติ ขนึ้ สูการเจริญวปิ ส สนาพิจารณาสังขารทั้งหลายไมเท่ยี ง เม่ือกระบวนการโยนโิ สมนสกิ ารเกิดข้ึนจึง เปนปจจยั ใหองคธรรมแหงการเจริญปญ ญาเกิดข้ึน จากการศึกษาประวัติของพระจูฬปนถกะทําใหเห็นไดชัดเจนวา พระผูมีพระภาคเจาทรงเปน ยอดแหงกัลยาณมิตรมีอุบายอันแยบคาย ทรงทราบอัธยาศัยของบุคคลที่ตองการแสดงธรรมโปรด เพ่ือให สําเรจ็ ประโยชนท ี่ย่งิ ใหญ เมื่อพระจูฬปนถกไดม โี อกาสฟงพระสัทธรรมและปฏิบัตธิ รรมตามคาํ แนะนําของ พระผูมีพระภาคเจา โดยยกอารมณขึ้นสูวิปสสนา เห็นความไมเท่ียง ความไมสามารถคงสภาพเดิมไวได นอ มใจโดยแยบคายในอารมณกรรมฐานที่เจรญิ จนเกดิ ปญญาญาณ บรรลเุ ปนพระอรหนั ตใ นทีส่ ดุ ชีวิตท่อี ยูอยา งรเู ทาทนั ตามความเปนจรงิ ดวยวถิ ีแหง สติ โดยปกติคนเรามักจะเช่ือความรูทเ่ี กิดขึ้นจากประสาทสัมผัสท่ีผา นกระบวนการรับรู การที่ตาเหน็ หูไดยิน เปนตน แตความเปนจริงแลว ความรูท่ีไดรับจากประสาทสัมผัสไมใชความรูที่ถูกตองตามความ เปนจริงเสมอไป เชน ถาใครเคยเดินทางบนถนนตางจังหวัด ในขณะท่ีแดดสอง จะเห็นคลายน้ํานองๆบน พ้ืนผิวถนน เมื่อเราเขาไปถึงพ้ืนผิวบริเวณน้ัน ทุกอยางก็ปกติ ไมมีนํ้านองพื้น ลักษณะเชนน้ีเรียกกันวา พยบั แดด ๒๕๔ ข.ุ ธ.อ.(ไทย) ๑/๒/๑/๓๓๑.

๑๒๒ การรับรูจากการเห็น (จักขุวิญญาณ) น้ันเปนเรื่องจริง แตส่ิงท่ีเห็นนั้นไมมีอยูจริง เม่ือ ประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสคนเรามีขอบเขตจํากัด ความรูจากการรับรูส่ิงตาง ๆผานประสาทสัมผัส ในบางครัง้ จงึ ไมถูกตองตามสภาวะตามความเปนจริง ดวยเหตุนี้ การแสวงหาความรูที่ถูกตองตามความเปนจริง พระพุทธเจาทรงสอนใหขามพนจาก การรับรูผานประสาทสัมผัสน้ัน ๆ ดวยสัมมาสติ เนื่องจากสติเปนปจจัยสําคัญท่ีทําใหเกิดปญญา ดังที่ พระองคตรัสกับพระพาหยิ ะวา “ ดูกอนพาหิยะ เม่ือเธอเห็นอะไรก็จงสักแตวาเห็น ไดยินอะไรก็จงสักแตวาไดยิน รูอะไรก็จงสัก แตวา รู แลววญิ ญาณจะไมต้ังอยใู นภพไหน ๆ นน่ั แลคือท่สี ุดแหงความพนทุกข” ๒๕๕ พุทธพจนที่พระพุทธเจาตรัสถึงการเห็นสักแตวาเห็น การไดยินสักแตวาไดยินนั้น หมายถึงการ รับรูอารมณตาง ๆท่ีเขามากระทบทางทวารท้ัง ๖ น้ันตามความเปนจริงโดยปราศจากการปรุงแตงดวย อวชิ ชาและตัณหา เปน การรับรูสง่ิ ตา ง ๆท่มี ากระทบอายตนะท้ัง ๖ ดัวยสมั มาสติ ในแงความหมาย สัมมาสติ คือ สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก กิริยาท่ีระลึก ความทรง จาํ ความไมเ ลือ่ นลอย ความไมหลงลมื สติสัมโพชฌงค255๒๕๖ สตินทรยี  สตพิ ละ256๒๕๗ หลักพุทธธรรม “สติ” เปนคุณธรรมท่ีสําคัญมาก มีช่ือเรียกโดยเฉพาะวา “อัปปมาท” หรือ ความไมประมาท หมายความถึง ความไมเผลอ ไมเลินเลอ ไมฟนเฟอนเลื่อนลอย ความระมัดระวัง ความ ตื่นตัวตอหนาที่ ภาวะที่พรอมอยูเสมอในอาการคอยรับรูส่ิงตาง ๆที่เขามาเก่ียวของ257๒๕๘ ดวยเหตุน้ีการ ดําเนินชีวิตที่มีสติคอยควบคุมจะเปนเครื่องมือในการปองกันยับยั้งตนเองไมใหหลงไปในอกุศลธรรมทั้ง การกระทาํ คําพดู และความคิด รวมทัง้ เปน เครอื่ งชวยกระตนุ ใหตื่นตัวตอการเจริญกุศลธรรมเมื่อระลึกถึง ความไมประมาทในชีวิต ในอปั ปมาทสูตร พระพทุ ธองคตรัสถึงความไมป ระมาท โดยฐานะ ๔ ประการ คอื ๒๕๕ ข.ุ อุ. ๒๕/๑๐๒,๑๐๓ ๒๕๖ อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕-๒๐๖/๑๗๒,๑๗๕, ๒๑๑-๑๗๙, ๔๙๒/๓๗๕. ๒๕๗ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๐/๒๐๑. ๒๕๘ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๐๕.

๑๒๓ ๑) จงละกายทุจริต บําเพ็ญกายสุจริต และอยาประมาทในการละกายทุจริตบําเพ็ญกายสุจริตน้ัน ๒) จง ละวจีทุจริต บําเพญ็ วจีสจุ รติ และอยาประมาทในการละวจที ุจริตบําเพญ็ วจสี จุ รติ นัน้ ๓) จงละมโนทจุ ริต บําเพ็ญมโนสจุ รติ และอยา ประมาทในการละมโนทจุ ริตบาํ เพ็ญมโนสุจรติ นัน้ ๔) จงละ มิจฉาทฏิ ฐิ บาํ เพญ็ สัมมาทฏิ ฐิ และอยาประมาทในการละมิจฉาทฏิ ฐบิ าํ เพ็ญสมั มาทิฏฐินั้น258๒๕๙ ในแงของความสําคัญ สติ หรือ อัปปมาทธรรมจึงเปนคุณธรรมที่เปนรากฐานของกุศลธรรมท้ัง ปวง ดงั พทุ ธพจนท ่วี า “ภิกษุทั้งหลาย รอยเทา ของสัตวท ีเ่ ท่ียวไปบนแผน ดินทง้ั หมดรวมลงในรอยเทาชาง รอยเทาชา งชาวโลกกลา ววา เลิศกวา รอยเทา เหลานัน้ เพราะเปนรอยเทาใหญ แมฉันใด กศุ ลธรรมทงั้ หมดกฉ็ นั นัน้ เหมือนกัน มคี วามไมป ระมาทเปน มลู ลงในความไมประมาท”๒๖๐ ในแงความสัมพันธระหวางองคมรรคอื่นนั้น การเจริญสัมมาสติข้ันปฏิบัติการน้ันไมใชใชสติ เพยี งองคประกอบเดยี ว แตมธี รรมอน่ื ควบคูอ ยดู วย ธรรมทไ่ี มไ ดแสดงไวค ือสมาธิ ซ่ึงจะตอ งมีอยางนอยใน ขั้นขณิก สมาธิ (สมาธิชั่วขณะ) กับอุปจารสมาธิ (สมาธิท่ีจวนจะแนวแน) สวนธรรมท่ีระบุไวคือตอง ประกอบดวยองคมรรค ๓ คือ สัมมาวายามะ (มีความเพียร) สัมมาทิฏฐิ (มีสัมปชัญญะ) และสัมมาสติ (มี สติ) ๒๖๑ ในการเจริญสติปฎฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อกําจัดอภิชฌาและโทมนัส ดังพุทธพจน 260 วา “ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) พิจารณาเห็นกายในกายอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาแลโทมนัสในโลก ได ๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัส ในโลกได ๒๕๙ ดรู ายละเอียดใน องฺ.จตุกก. (ไทย) ๒๔/๑๑๖/๑๗๘-๑๗๙. ๒๖๐ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๔๐/๗๕. ๒๖๑ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๗/๑๗๖, พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๑๒-๘๑๔.

๑๒๔ ๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก ได ๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู มีความเพียร มีสติสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสใน โลกได น้ีเรยี กวา สัมมาสติ261๒๖๒ จากพุทธพจนท่ียกมาขางตนนี้ แสดงใหเห็นถึงหนาที่ของสัมมาสติท่ีปฏิบัติการพรอมกับ สัมมาวายามะคือความเพียร และสัมมาทิฏฐิคือสัมปชัญญะ ในการเฝาระวังประคับประคองจิตใจไมให บาปอกศุ ลธรรมเกิดข้ึนในจิตใจ ขอความที่กลาววา “กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได” แสดงใหเห็นถึงผลจากการมี สติสัมปชัญญะวาสามารถวางใจไวใหเปนกลาง ไมติดใจพัวพันอยากไดและไมขัดเคืองขุนของ เปนความ ทุกขทางใจ ความมีสติสัมปชัญญะจึงทาํ ใหจ ิตใจไมถูกครอบงําดวยอํานาจของกิเลส262๒๖๓ ในประเด็นน้ีพระ พรหมคุณาภรณไดอธิบายขยายความไวความวา สัมปชัญญะเปนตัวที่ปรากฏควบคูกับสติ สัมปชัญญะก็ คือปญญา ดังนั้น การฝกฝนเรื่องสติจึงเปนสวนหน่ึงในกระบวนการพัฒนาปญญา263๒๖๔ เพื่อใหเกิดความรู ความเขาใจสิ่งตาง ๆอยางถูกตอง ไมเกิดความหลงเขาใจผิด รับรูและมองดูสิ่งตาง ๆตามภาวะที่เปน ไม เอนเอียงไปตามอํานาจของอวิชชาตณั หา การดําเนินชีวิตอยางมีสติเปนเครื่องคุมครองตนจะชวยใหเกิดความระมัดระวังควบคุมตนอยู เสมอ ไมใหพล้งั พลาดดําเนินชีวติ ไปในทางผิดที่จะกอ ใหเกิดอกศุ ลกรรมขึ้น และปรารภความเพียรในการ สงเสริมกุศลธรรมใหเกิดข้ึนในจิตใจ สรางสรรคความดีงามและประโยชนสุข ท้ังนี้เพราะเห็นคุณคาและ ความสําคัญของเวลาที่ผานไปทุกขณะ ไมปลอยเวลาและโอกาสใหผานเลยไป ใชเวลาอยางมีคุณคา และ เกิดประโยชน ทั้งนี้ก็ดวยความรู เขาใจอยางชัดเจนวาสิ่งใดเปนอกุศลธรรมและสิ่งใดเปนกุศลธรรมดวย อาํ นาจของสัมมาทฏิ ฐิ ซึ่งเปนช่อื หนึ่งของปญญา ๒๖๒ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๗, ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๓, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/ ๒๐๕/๑๗๒, ๔๘๗/๓๗๒. ๒๖๓ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๑๓. ๒๖๔ เรอื่ งเดียวกนั , ๘๑๓.

๑๒๕ เมื่อนํามาประยุกตใชกับบุคคลที่ประสบภาวะแหงทุกข เชน ปญหาความรัก บุคคลท่ีปรารถนา จะพบกับความสุขในภาวะความรักที่ดีงาม การจัดการกับปญหาชีวิตของบุคคลน้ัน ตองดําเนินชีวิตอยาง ไมประมาท ตองสนใจและทําใหชีวิตที่เปนอยูในแตละขณะปจจุบันมีความสุข ดวยการประคับประคอง จิตใจใหมีสติอยูกับขณะปจจุบัน สกัดก้ันความคิดใครครวญถึงอดีต ยับยั้งความคิดใฝหาในอนาคต เพ่ือให มีชีวิตอยูอยางปจจุบัน เพราะถาชีวิตท่ีเปนอยูในแตละขณะน้ียังทําใหมีความสุขไมไดแลว การที่จะมี ความสขุ ในชว งเวลายาวไกลกเ็ ปน เพียงความหวังไมใชความจริง เปน การดาํ เนนิ ชวี ิตอยา งมีสติสัมปชัญญะ ดังนั้น การมีชีวิตอยูดวยปญญา จึงเปนการดํารงอยูอยางมีสติในปจจุบันขณะ ดําเนินชีวิตใน ขณะน้ัน ในเวลาน้ันอยางมีจิตใจท่ีรับรูตามสภาวะที่กําลังเปนอยู ซ่ึงทําใหบุคคลรูและเขาใจสิ่งตาง ๆตาม สภาวะความเปนจริง เม่ือเกิดความรูความเขาใจสิ่งตาง ๆตามสภาวะ การจัดการกับปญหาและส่ิงตาง ๆ ยอมเปนไปไดดี คือเปนการดํารงชีวิตอยูดวยสติปญญา ตามหลักสติปฏฐาน ๔ ๒๖๕ คือ มีสติอยูกับลม 264 หายใจเขาออกของตัวเอง มีสติอยูกับการยืน การเดิน การนั่ง การนอนของตนเอง รับรูอารมณความรูสึก สุข ทุกข เฉยๆ อยางท่ีมันเปนโดยไมปรุงแตงวาอะไรหรือใครท่ีทําใหเราทุกข แครับรู พิจารณาดูอารมณ ความรูสึกวาสุขทุกข หรือเฉยๆเทาน้ัน มีสติอยูกับจิตใจของตนเองวาในขณะน้ันเปนอยางไร มีราคะ มี โทสะ มีโมหะ หรอื ไมม ีราคะ ไมม ีโทสะ ไมมโี มหะ เปนตน สติจะชวยใหบ ุคคลไดร ับรูสภาพจิตนิสัยของตน ตามความเปนจริง วาบุคคลส่ังสมจนคุนชินกับอกุศลธรรมใด และคุนชินกับกุศลธรรมใด เม่ือเราพิจารณา สภาพจิตของตนเองอยางที่เปนจริง กลาท่ีจะเผชิญสภาพความจริงของตนเองได ไมหลอกลวงตนเอง บุคคลนั้นก็จะมีกําลังใจในการสรางเสริมกุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษกับอกุศลธรรมท่ีจิตคุนชินน้ัน สติจะชวย สนับสนุนในการละความเคยชินเกาท่ีไมดี และสรางความเคยชินใหมท่ีดี ทําใหสามารถชําระลางกิเลส เหลาน้ันได แกป ญ หาภาวะแหงทกุ ขตา ง ๆไดดว ยตนเอง ๒๖๕ สตปิ ฏ ฐาน ๔ คือธรรมเปนท่ตี ง้ั ของสติ หมายถงึ การกําหนดสตพิ ิจารณาใหรูเหน็ สิ่งตางๆตามความเปนจริง ไดแก กายานุปส สนา คือการต้ังสติกําหนดพิจารณากาย การกาํ หนดรูล มหายใจ การกําหนดรูอิริยาบถ การกาํ หนดรูธาตุ ตา งๆในรา งกาย เปนตน , เวทนานปุ สสนา คอื การตั้งสตกิ าํ หนดพจิ ารณาเวทนา กําหนดรเู วทนาวา สุข ทุกข หรือเฉยๆ, จิตตานุปสสนา คือการต้งั สติกาํ หนดพจิ ารณาจิต มีสตริ ูชัดจติ ของตน จิตทม่ี รี าคะก็กําหนดรวู า จิตมีราคะ จติ ที่มีโทสะก็ กาํ หนดรวู า จติ มีโทสะ เปนตน และธัมมานปุ ส สนา คือการต้งั สตกิ าํ หนดพจิ ารณาธรรม มสี ติรูชัดในธรรมท้ังหลายที่ ปรากฏข้ึน ตงั้ อยู และดับไป อาทิ นิวรณ ๕ เชน เม่อื กามฉนั ทะเกิดขน้ึ กม็ ีสติรูชัดวา กามฉันทะเกิดขึ้น เมื่อพยาบาท เกดิ ขึ้น ก็มสี ติรชู ัดวาพยาบาทเกิดขนึ้ เปนตน

๑๒๖ เม่ือบุคคลมีสติเฝาระวังในการรับรอู ารมณที่เขามาทางทวารท้งั ๖ คือ ตา หู จมูก ล้ิน กายและ ใจ สติจะเปนเคร่ืองชวยในการยับย้ังอกุศลธรรมไมใหเกิดขึ้น เพราะเมื่อบุคคลรับรูอารมณอยางมีสติ ยอม พิจารณาเห็นและเขาใจส่ิงตาง ๆท่ีมากระทบอยางถูกตองตามสภาวะที่เปนจริง ไมถูกครอบงําดวยอํานาจ อวิชชาและตัณหา ที่ทําใหการรับรูบิดเบือนผิดพลาดไปจากความเปนจริง ซึ่งทําใหตกอยูในอํานาจของ ความอยากใหเ ปนอยา งนั้นหรือไมอยากใหเปน อยา งนนั้ ไมม องเหน็ สิ่งท้ังหลายตามท่ีมันเปนจริง กอใหเ กดิ ปญหา ความบกพรอง ความกระวนกระวาย และความทุกขตาง ๆ ในทางตรงขาม การรับรูอารมณอยาง มีสติ มีชีวิตในแตละขณะปจจุบัน ยอมไมมีความบกพรอง ไมมีความกระวนกระวาย จึงมีความสุขภายใน ตัวเองทุกๆขณะ เมื่อภายในจิตใจอยูในภาวะไรทุกขแลว บุคคลน้ันยอมสามารถทํากิจ และจัดการปญหา ภายนอกไดเปน อยา งดี เพราะไมมีเง่อื นปมปญ หาภายในร้งั ดงึ ไว265๒๖๖ ในทางตรงขาม หากบุคคลเกิดภาวะปญหาทางจิตใจ มีความปรารถนาและการแสวงหาเพื่อ ตอบสนองความปรารถนานั้น นั่นหมายความถึง ความขาดแคลน ความบกพรอง ไมมีในส่ิงท่ีตองการ ไม วาจะเปนความตองการท่ีเกิดจากความขาดแคลนจริง ๆ หรือความขาดแคลนท่ีสรางข้ึนเอง ส่ิงท่ีตามมา คอื ความกระสับกระสา ย ทุรนทรุ าย ด้นิ รนแสวงหาเพอ่ื ใหไ ดมาตามความตองการ เมื่อนั้นความสงบระงับ จึงเกิดข้ึน คือในชวงเวลานั้นไดรับความสุข เม่ือไดสมหวังดังปรารถนา แตหากความตองการนั้นไมไดดังที่ ตองการไมไดดังท่ีด้ินรนแสวงหา ก็เกิดความบีบคั้น กระสับกระสายกระวนกระวาย ย่ิงตองการมาก ก็ยิ่ง พรอ งมากกระวนกระวายมาก และความทกุ ขก็ย่งิ แรงมาก ดวยเหตุนี้ ความทุกขอันเกิดจากความตองการไมไดรับการตอบสนองและไมมีหวังวาจะไดรับ การตอบสนอง จึงทุกขยาวนานและทุกขรนุ แรง เม่ือหาทางระงับทุกขไมได ก็ระบายออก ทําใหเกิดปญ หา เพ่ิมทุกขแกตนเอง และผูอื่นมากข้ึน บุคคลที่มีกระบวนการแสวงหาความสุขโดยยึดหลักความตองการ และปรนเปรอเพ่ือสนองความตองการเปนท่ีตั้ง คือฝากความสุขไวกับกระบวนการตอบสนองความ ตองการ บุคคลนั้นก็ยอมมีวงจรชีวิตที่มีความทุกขเปนพื้นฐาน ลักษณะดังกลาวน้ี เปนการดําเนินชีวิต อยางขาดสติ ดําเนินชีวิตไปในทางที่เส่ือมเสีย ทอดทิ้งโอกาสแหงความดีงาม เรียกวา เปนการดําเนินชีวิต อยา งความประมาท ๒๖๖ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๙๑-๘๙๒.

๑๒๗ ดังน้ัน การดําเนินชีวิตท่ีเปนอยูอยางพากเพียรดวยวิถีแหงปญญา โดยมีสติเปนเคร่ืองเราเตือน หรือควบคุม ใหสํานึกอยูเสมอถึงสิ่งที่จะตองเวนและส่ิงที่จะตองทํา ดวยความใสใจ ไมทอดทิ้งโอกาสแหง ความดีงาม รักษาส่ิงดีที่มีอยูและเรงทําส่ิงท่ีดีงามอื่น ๆใหเกิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น เม่ือเราตองการความดี งามความเจริญ เราก็ตองพยายามทํากรรมอันดีงามท้ังหลายอันเปนเหตุใหความดีงามน้ันคงอยู และงอก งามยิง่ ขึน้ คําถามทบทวนประจําบท ๑ อธิบายคาํ สอนเรือ่ งอริยสจั ๔ และปฏจิ จสมุปบาทมาใหเ ขาใจพอสังเขป ๒ อธิบายความสัมพันธร ะหวางอรยิ สัจ ๔ และปฏจิ จสมุปบาทมาใหเขาใจพอสังเขป ๓ อธบิ ายหลกั การนําคาํ สอนเร่อื งสมั มาทิฏฐิและการเจรญิ สตเิ พ่อื การดาํ เนินชีวติ มาใหเขา ใจพอสังเขป

๑๒๘ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑ พระไตรปฎก พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๐ สตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๑๑ สุตตันตกปฎ ก ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๑๒ สุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๔ สตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย อปุ รปิ ณ ณาสก พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๖ สุตตนั ตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย นิทานวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๑๙ สตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย มหาวารวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมที่ ๒๕ สตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย อุทาน. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๒๕ สุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๒๕ สุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย สุตตนิบาต. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง

๑๒๙ กรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๒๙ สุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย มหานเิ ทส. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมท่ี ๓๑ สุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย ปฏสิ มั ภิทามรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๓๔ อภธิ รรมปฎก ธรรมสงั คณี . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๓๕ อภธิ รรมปฎ ก วิภงั ค . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. ๒ คมั ภรี อรรถกถา ทีฆนิกาย สุมงั คลวิลาสินี มหาวรรคอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราช วทิ ยาลยั พมิ พครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. ทฆี นิกาย สุมงั คลวลิ าสนิ ี ปาฏวิ รรคอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราช วทิ ยาลยั พมิ พคร้ังที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหามกุฎราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖. ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย พิมพค ร้ัง ที่ ๓.กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. ขทุ ทกนิกาย สัทธรรมปชโชตกิ า มหานิเทสอรรถกถา พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎ ราชวิทยาลัย พมิ พค ร้ังท่ี ๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หามกฎุ ราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖. อภิธรรมปฎก วภิ งั ค สมั โมหวโิ นทนีอรรถกถา. พระไตรปฎก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราช

๑๓๐ วิทยาลยั พมิ พครง้ั ที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หามกุฎราชวิทยาลยั , ๒๕๓๖. ๓ หนงั สือ บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมปุ บาท . พมิ พครงั้ ที่ ๓ . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๙. พระมหากจั จายนะเถระ. เนตติปกรณ. พระคันธสาราภิวงศ แปลและอธิบาย . กรุงเทพมหานคร:ไทย รายวันการพมิ พ, ๒๕๕๐. พระพุทธโฆษะเถระ. คัมภีรวิสทุ ธมิ รรค. ฉบับ ๑๐๐ ป สมเด็จพระพุฒาจารย อาจ อาสภมหาเถระ). พิมพ ครั้งท่ี ๖. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั ธราเพลส จํากดั , ๒๕๔๘. พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบับประมวลธรรม . พมิ พคร้งั ที่ ๑๖. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท เอส อาร พรนิ้ ต้ิง แมส โปรดักส จํากัด, ๒๕๕๑. ______________ . พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ขยาย, พิมพครง้ั ที่ ๓๒, กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พ ผลธิ ัมม, ๒๕๕๕. พระสัทธมั มโชติกะ ธมั มาจรยิ ะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททปี นี . พิมพค รั้งที่ ๕. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธสิ ทั ธมั มโชตกิ ะ. พระอนุรุทธาจารย. พระคนั ธสาราภวิ งศ. (ผูแปล). อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมัตถธีปนี. กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวันกราฟฟค เพลท,๒๕๔๖. พระอุป ตสิ สเถระ. วมิ ตุ ติมรรค. แปลโดย พระเทพโสภณและคณะ. พิมพค รั้งที่ ๖. กรุงเทพมหานคร:โรง พมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๘. วชั ระ งามจิตรเจรญิ . พทุ ธศาสนาเถรวาท . กรงุ เทพมหานคร : สํานักพมิ พมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร, ๒๕๕๐. สมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆราชสกลมหาสังฆปรนิ ายก องคท ่ี ๑๙. จิตศึกษา. พิมพค รง้ั ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทพิมพสวยจํากดั , ๒๕๕๔.

๑๓๑ สจุ นิ ต บรหิ ารวนเขตต. ปรมตั ถธรรมสังเขป จิตตสงั เขป และภาคผนวก. พมิ พค ร้ังท่ี ๕. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พริน้ ต้ิงเฮาส, ๒๕๕๓.

๑๓๒ แผนการสอนประจาํ บทท่ี ๖ เน้ือหา ๙ ชว่ั โมง บทที่ ๖ อริยมรรคมอี งค ๘ ในฐานะทางแหง ความดับทุกข การปรับเปลี่ยนความเห็นและความคดิ โดยอริยมรรคมอี งค ๘ การปรบั เปลย่ี นสภาวะทางจิตใจและอารมณความรูสกึ โดยอรยิ มรรคมีองค ๘ การปรบั เปลยี่ นทา ทกี ารแสดงออกโดยอริยมรรคมีองค ๘ คําถามทบทวนบทท่ี ๖ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท วัตถปุ ระสงคเ ชิงพฤตกิ รรม หลงั จากเรยี นจบบทนี้ นิสติ ๑ รู เขา ใจหลกั ธรรมอรยิ มรรคมอี งค ๘ ในฐานะทางแหงความดับทกุ ข และสามารถอธบิ ายได ๒ รู เขาใจ หลกั การปรบั เปลีย่ นความเห็น ความคิด และสภาวะทางจติ ใจ และสามารถอธบิ ายได ๓ สามารถประยุกตความรใู นหลกั การปรับเปล่ียนอารมณความรสู กึ และทาทีการแสดงออกโดย อริยมรรคมอี งค ๘ ไปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั ได วิธีสอนและกจิ กรรม ๑ ศกึ ษาเอกสารคําสอนบทท่ี ๒ วธิ ีสอนแบบอภปิ รายเน้ือหา ซกั ถาม ๓ ศึกษาคนควา ดวยตนเอง

๑๓๓ ๔ รวมวเิ คราะหแ ละอภิปรายขอมูลจาก PowerPoint หนา ชั้นเรยี น ๕ สรปุ เนอ้ื หาการเรียนการสอนทกุ คร้งั ๖ ทําคาํ ถามทบทวนทายบท และนาํ ผลที่ไดจ ากการวเิ คราะหความรคู วามเขาใจของนสิ ติ มา ปรับปรงุ สื่อการเรยี นการสอน ๑ เอกสารคําสอนบทที่ ๒ ๒ PowerPoint ๓ แบบฝกปฏบิ ัติ ๔ เครือ่ งคอมพวิ เตอร การวดั ผลและประเมนิ ผล ๑ สังเกตการณก ารมสี วนรว มและการแสดงความคิดเห็นของนสิ ิต ๒ สงั เกตความตั้งใจเรยี น การต้ังคาํ ถาม/ตอบคําถาม ๓ การทําคาํ ถามทบทวนทา ยบท

๑๓๔ บทที่ ๖ อรยิ มรรคมอี งค ๘ ในฐานะจติ วิทยาพทุ ธศาสนา อรยิ มรรคมีองค ๘ ในฐานะทางแหงความดบั ทกุ ข อริยมรรคมีองค ๘ เปนหลักธรรมท่ีมีความสัมพันธกับหลักอริยสจั ๔ อยางใกลชิด ในฐานะที่เปน ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา266๒๖๗ คือ ทางแหงความดับทุกข ๘ ประการ ไดแก สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ พระพุทธเจาทรงแสดง อริยมรรคมีองค ๘ ในฐานะมัชฌิมาปฏิปทา เปนทางสายกลางเพ่ือความดับแหงทุกข เพื่อพระนิพพาน ดัง พุทธพจนว า “ภิกษทุ ้ังหลาย กม็ ชั ฌิมาปฏิปทาทีต่ ถาคตไดต รสั รแู ลว อนั เปนปฏปิ ทากอให เกดิ จักษุ กอ ใหเ กดิ ญาณ เปน ไปเพือ่ ความสงบ เพ่ือความรยู ่งิ เพ่ือความตรัสรู เพือ่ พระนิพพานนั้นเปน ไฉน มัชฌมิ าปฏิปทาน้นั ไดแก อรยิ มรรคมอี งค ๘ นแี้ หละ คอื ๑- ๑. สมั มาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ) ๒. สมั มาสังกัปปะ (ดํารชิ อบ) ๓. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ) ๔. สมั มากัมมนั ตะ (กระทาํ ชอบ) ๕. สมั มาอาชีวะ (เลย้ี งชีพชอบ) ๖. สมั มาวายามะ (พยายามชอบ) ๗. สมั มาสติ (ระลึกชอบ) ๘. สมั มาสมาธิ (ต้งั จิตมัน่ ชอบ) ภกิ ษุทัง้ หลาย นคี้ อื มัชฌิมาปฏิปทาน้นั ท่ตี ถาคตไดต รสั รแู ลว อนั เปนปฏิปทา กอใหเ กิดจกั ษุ กอใหเ กิดญาณ เปน ไปเพื่อความสงบ เพื่อความรูยงิ่ เพือ่ ความตรัสรู เพื่อพระนิพพาน”267๒๖๘ เม่ือพระพทุ ธเจาทรงพจิ ารณาเห็นธรรมชาตคิ วามทุกขข องมนษุ ย และทรงคน พบทางแกไขปญหา เพ่ือใหพนไปจากความทุกขนั้น อริยมรรคมีองค ๘ จึงมีความสําคัญในฐานะจิตวิทยาพุทธศาสนา ซ่ึงเปน ๒๖๗ ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๑๖๘๘/๔๒๓. ๒๖๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๑๓/๒๐-๒๑.

๑๓๕ การศึกษาเก่ียวกับการทํางานของความคิด จิตใจในอารมณความรูสึก และพฤติกรรมท่ีแสดงออกมาของ บุคคล สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ไดก ลาวไวในหนงั สือจากจติ วิทยา สูจ ิตภาวนา กลา ว โดยสรุปวา “ระบบชวี ติ ทม่ี ีปญหาของมนุษย มี ๓ ชน้ั คือ ระดับแรก เปนระดับพฤติกรรม ไดแ ก สาเหตทุ างดา นความทุจรติ หรือเจตนาท่ไี มด ีงาม ไม ถูกตอ ง เรียกวาเปน ปญหาในระดับศลี คอื ระดับพฤตกิ รรม ระดับที่สอง คือ ระดับจติ ใจ ไดแก สาเหตรุ ะดับตณั หา ระดบั ท่สี าม เปน ระดับทสี่ ืบลกึ ลงไปอกี ไดแ ก สาเหตทุ างปญญา”268๒๖๙ เน่ืองจาก ธรรมชาติของปุถุชนน้ันยอมมีจิตประกอบดวยอกุศลมูลทั้ง ๓ คือ โลภะ โทสะ และ โมหะ กอใหเกิดการกระทําตาง ๆ (กรรมภพ) ทั้งทางความคิด ทางวาจา และทางกายที่เปนอกุศลกรรม หรือท่ีเรียกอีกอยางหน่ึงวา ทุจริต ๓ ๒๗๐ ไดแก กายทุจริต (ความประพฤติช่ัวทางกาย) วจีทุจริต (ความ 269 ประพฤติชัว่ ทางวาจา) และมโนทจุ ริต (ความประพฤติช่วั ทางใจ) หมุนวนเขาสวู งจรแหง ทกุ ขใ นปฏิจจสมปุ บาทเรือ่ ยไป ดังน้ันหลักการปรับเปลี่ยนในระดับละอกุศลธรรมก็คือ เริ่มตนจากการปรับเปล่ียนภายใน ความคดิ และจติ ใจ จากการสง่ั สม อกศุ ลธรรมใหเ ปนการละการสง่ั สมอกุศลธรรม หมายความวา ขั้นที่หน่ึง เริ่มตนในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมทางใจในมโนทุจริต คือ อภิชฌา (ความเพงเล็ง อยากได) มีอกศุ ลมลู คือโลภะ270๒๗๑ และมจิ ฉาทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด) ซงึ่ จดั เปน ทิฏฐาสวะ271๒๗๒ โดยการละกเิ ลส ๒๖๙ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), จากจิตวทิ ยา สจู ิตภาวนา, กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภาและสถาบัน บันลอื ธรรม, ๒๕๔๖, หนา ๑๗. ๒๗๐ ทุจริต ๓ คือ ความประพฤติช่ัว ประพฤติไมดี ไดแก กายทุจริต ความประพฤติชั่วทางกาย มี ๓ คือ ปาณาติบาต, อทินนาทาน และกาเมสุมิจฉาจาร, วจีทุจริต ความประพฤติช่ัวทางวาจา มี ๔ คือ มุสาวาท, ปสุณาวาจา, ผรุสวาจา, และสัมผัปปลาปะ, มโนทุจริต ความประพฤติชั่วทางใจ มี ๓ คือ อภิชฌา, พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ, ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๐, ท.ี ปา.อ. (ไทย) ๓/๒/๒๘๙-๒๙๐. ๒๗๑ อภ.ิ สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑๗. ๒๗๒ อภ.ิ สง.ฺ อ. (ไทย) ๑/๒/๔๑๐.

๑๓๖ นั้นเสีย และนําธรรมท่ีเปนคูปฏิปกษมาแทนที่ คือ การละอภิชฌา และนําอนภิชฌา มาแทนท่ี การละ มจิ ฉาทฏิ ฐิ และนําสมั มาทิฏฐิมาแทนท่ี ข้ันตอมา การปรับเปล่ียนความคิดราย ทําลาย หรือพยาบาทตอผูอ่ืน คือ พยายาทวิตก ปรับเปล่ียนความคิดเปนความไมคิดราย ไมคิดทําลาย (อพยาบาทวิตก) ซ่ึงนั่นก็หมายความรวมถึง ความคิดปรารถนาดี ปรารถนาเกือ้ กูลผูอนื่ ดวยนัน่ เอง การเริ่มตนดวยสัมมาทิฏฐิ หรือปญญาน้ัน คือการเริ่มตนดวยความเขาใจปญหา ยอมรับและ การกลาเผชิญหนา กับความจริง เม่ือบุคคลมีความรูความเขา ใจและกลา เผชิญหนากับความจริงของปญหา ในชีวิตแลว บุคคลนน้ั จงึ จะสามารถจดั การและดาํ เนินชวี ติ ตอไปอยา งถกู ตอ งดีงามได แตโดยปกติท่ัวไปของบุคคลท่ีประสบปญหา มักจะไมสามารถมองเห็นปญหาดวยสติปญญา ของตนเองได ดังนั้นการท่สี ัมมาทิฏฐจิ ะเกดิ ขน้ึ ไดจงึ ตองอาศัยปจ จัย สองประการ272๒๗๓ คือ ปจจัยแรก ปจจัยภายนอก คือ ปรโตโฆสะ หรือกัลยาณมิตร ไดแก การคบสัตบุรุษ และการฟง ธรรมจากสัตบุรุษ คือ การศรัทธา เล่ือมใส ไววางใจในปญญาของผูอ่ืน อาศัยปญญาของคนอ่ืนโดยผาน ทางคําแนะนําสั่งสอน เปนตน ซ่ึงเปนปจจัยที่เกิดจากภายนอก จากการไดรับคําแนะนํา การศึกษาอบรม หรือกัลยาณมิตรอ่ืน ๆ ซ่ึงจะมีอิทธิพลตอบุคคลมาก เน่ืองจากเม่ือบุคคลเกิดความศรัทธา เล่ือมใสใน กัลยาณมิตร ศรัทธาน้ีจะเปนคุณธรรมภายในท่ีเชื่อมโยงบุคคลไวกับปจจัยภายนอก เปนปจจัยเริ่มตนของ กระบวนการทางความคิดท่ีถูกตองดีงามข้ึนภายใน และเปนพลังอยูภายใน เมื่อบุคคลรับรูอารมณหรือ ประสบปญ หาตาง ๆ กระแสความคิดก็จะเช่อื มโยงจากประสบการณท่ีตนเองไดรับกับประสบการณท่ีผาน คําแนะนําจากผูอื่นมาเปนแนวทางในการจัดการปญหาตอไป ดังน้ัน ศรัทธาที่บริบูรณจึงเปนอาหารหลอ เล้ียงโยนิโสมนสิการ273๒๗๔ ในทางตรงขาม หากไมมีกัลยาณมิตรคอยช้ีแนะแนวทางที่ถูกตอง หรือมีปาป มิตร ผลอาจตรงกันขามนําพาไปสูความหลงผิด หางไกลจากความรูย่ิงขึ้น274๒๗๕ ดังน้ัน ปจจัยจากภายนอก จึงเปน ส่ิงท่สี าํ คัญอยา งย่ิงดังพระพุทธพจนวา ๒๗๓ ดรู ายละเอียดใน สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๖/๔๕-๔๖, ๖๒/๔๖-๔๗. ๒๗๔ อง.ฺ ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖, ๖๒/๑๓๙. ๒๗๕ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๔๓-๔๔.

๑๓๗ “เราไมเล็งเห็นธรรมอ่ืนแมสักอยางหน่ึง ท่ีเปนเหตุใหกุศลธรรมที่ยังไมเกิด เกิดข้ึน หรือ ให อกุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวเส่ือมไป เหมือนความมีกัลยาณมิตรเลย เม่ือบุคคลมีกัลยาณมิตร กุศล ธรรมทย่ี ังไมเ กดิ ยอ มเกิดขน้ึ และอกศุ ลธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ยอมเส่ือมไป”๒๗๖ ปจจัยท่ีสอง ปจจัยภายใน ไดแก โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาโดยแยบคาย การกระทําไว ในใจโดยแยบคาย การใสใจนอมไปในทางที่ดีงาม ดังน้ัน โยนิโสมนสิการจึงเปนธรรมท่ีชักนํากระแส ความคิดใหไปสูแนวทางที่ดีงามท่ีเคยเรียนรูมากอนหรือคุนเคยมากอน ซึ่งตามปกติเปนระดับท่ีชวยใหเกิด โลกียสัมมาทฏิ ฐ2ิ76๒๗๗ได เพราะโยนโิ สมนสกิ ารเปนปจ จยั ใหเกดิ ปญ ญา คอื ใหเกิดสมั มาทิฏฐ2ิ77๒๗๘ แตในบางบุคคลที่สั่งสมความเคยชินท่ีเปนอกุศล โยนิโสมนสิการแบบเรากุศลก็จะชวย ปรบั เปลีย่ นแกไ ขนสิ ยั ความเคยชนิ รายๆ ของจิตทไ่ี ดสัง่ สมไวแตเ ดมิ พรอ มกับสรา งสมความเคยชินใหมที่ดี งามใหแกจิตในเวลาเดียวกันเมื่อไดร ับคาํ แนะนําสัง่ สอนจากกัลยาณมิตร ดังตัวอยางเชน ชายหนุมคนหนึ่งมีนิสัยเจาชู แสดงวาเขาไดสั่งสมอกุศลมูลคือโลภะอยูมาก จึง เปนบุคคลผูหนักดวยตัณหา ตอมาเม่ือชายหนุมเห็นหญิงสาวที่สวยสะดุดตา หากอโยนิโสมนสิการคือการ ใสใจนอมไปในทางที่ไมดีงามปฏิบัติการอวิชชาตัณหาก็จะเกิดข้ึน มีความคิดเพงเล็งอยากไดหญิงสาวสวย น้ันมาครอบครอง (อภิชฌา) และหากตอมาสืบทราบวาหญิงสาวสวยนั้นมีสามีแลว และหากชายหนุมไม อาจจะควบคมุ กิเลสของตนไวไดกจ็ ะกอพฤตกิ รรมท่ไี มด ีงาม เปน กายทุจริต คอื ลว งละเมดิ ทางเพศตอ หญิง ที่มีสามี (กาเมสุมิจฉาจาร) เปนตน สมดังพระพุทธพจนที่วา “การมนสิการโดยไมแยบคายท่ีบริบูรณ ยอม ทําใหความไมมสี ตสิ ัมปชญั ญะบรบิ ูรณ”๒๗๙ เกิดพฤตกิ รรมท่ไี มดงี าม คือ ทุจรติ ๓ ในท่ีสุด แตในทางตรงขาม เม่ือชายหนุมคนนี้ไดรับคําแนะนําสั่งสอนจากกัลยาณมิตร ไดฝกฝนอบรม ตนเพ่ือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ชายหนุมจะปลุกเราโยนิโสมนสิการใหเกิดการพิจารณาดวย ความปรารถนาดี มองเห็นหญิงสาวน้ันวัยใกลเคียงกับนองสาวของตน รักเมตตา ใหความเก้ือกูลเหมือน ๒๗๖ องฺ.เอก. (ไทย) ๒๐/๗๒/๑๖. ๒๗๗ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา ๖๗๓. ๒๗๘ มิลนิ ทฺ . (ไทย) ๓๓-๓๔. ๒๗๙ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๕, ๖๒/๑๓๘.

๑๓๘ เปนนองสาวของตน เปนตน ดังนั้น เมื่อโยนิโสมนสิการบริบูรณ ยอมทําใหความมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ เกดิ พฤติกรรมทีด่ งี าม คอื สุจริต ๓ ๒๘๐ ตามมา 279 ลักษณะดังกลาวนี้ คือขั้นตอนของการปรับเปล่ียนในระดับพฤติกรรมทางกาย เปนการ ปรับเปล่ียนโดยละอกุศลธรรม และนํากุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษมาแทนท่ี เพื่อปรับเปล่ียนพฤติกรรมท่ีไมดี งามเปน พฤติกรรมทีด่ ีงาม นอกจากนี้ ความคิดและอารมณความรูสึก (Emotion) มีความสัมพันธกันอยางใกลชิด และ ความคดิ กเ็ ช่ือมโยงกบั ความฉลาดทางอารมณความรูสึกดวย เมื่อความคิดทํางานโดยจับคูกับอารมณ ความคิดดานลบก็จับคูกับอารมณดานลบ และฝงตัวอยู กบั ความคนุ ชินของตวั เอง ความคิดดานลบ อาทิ เสียงกนดาตัวเอง บนตัวเอง พร่ําบอกกับตัวเองวา เราเปนคนโง เราไมเอา ไหน ไมสมบุกสมบัน ออนแอ แลวเราก็จะเปนเชนนั้นจริง ๆตามท่ีเรากลาวกับตัวเอง เราสาปตัวเองไวกับ ความมืดมนแหง ความคนุ ชิน อารมณดานลบ ก็คือรองอารมณทางลบที่เกิดขึ้นมาพรอมกับความคิดดานลบ เปนการทํางาน ของสมองชั้นกลางที่เรียกวา อมิกดาลา สมองสวนนี้จะเก็บรองอารมณทั้งหลายไว และผุดขึ้นพรอมกับ ความคิดดานลบ เม่ือเกิดอารมณโกรธ เกลียด อิจฉาริษยา หรือนอยใจ สมองสวนพุทธิปญญาจะทํางาน ฟนเฟอน หรือเรียกวาสัญญาวิปลาส คือการรับรูบิดเบือน รับรูส่ิงตาง ๆคลาดเคลื่อนจากความเปนจริง ทั้งนี้เพ่ือตอบสนองความรสู ึกเลวรายตาง ๆทีเ่ กิดขึ้นกบั เรา ใหร สู ึกเลวรายย่ิงข้ึนไปอกี บอยครั้งที่อารมณความรูสึกเปนสิ่งท่ีถูกกดทับเอาไว เรามักจะแยกอารมณออกไป และคิดวาจะ จัดการเรื่องราวตาง ๆไดดวยเหตุผล แลวก็เก็บกดอารมณเอาไว หากอยูในในรองอารมณลบต้ังแตระดับ ความรุนแรงมาก เชน โกรธ เกลียด ริษยา เปนตน ไปจนถึงระดับความรุนแรงเบาบาง เชน หงุดหงิด รําคาญใจ ความกังวล เปนตน เหตุปจจัยดังกลาวน้ีไดกักขังเราไว ทําใหไมเกิดการเรียนรู มองไมเห็นส่ิงดี งามในสายตา ดังนั้น มนุษยจึงตองผานการฝกฝน ในการมีทัศนะที่ดีงาม มีความคิดที่ดีงาม การฝกฝน ๒๘๐ ดรู ายละเอยี ดใน องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๖, ๖๒/๑๓๙.

๑๓๙ ตนเองใหสามารถอยูกับปจจุบันขณะ จะทําใหเราเขาสูสภาวะปกติ มีอารมณเปนบวก มีพลังทางความคิด มอี สิ ระในการรบั รู ทาํ ใหเ ราสามารถมองเหน็ และคิดอะไรแตกตา งไปจากเดิมได และเกิดการเรียนรใู หม การปรบั เปล่ยี นความเหน็ และความคดิ ในอรยิ มรรคมีองค ๘ การท่ีบุคคลจะปฏิบัติตอบุคคลอ่ืน และมีมุมมองตอชีวิตอยางไรน้ัน ข้ึนอยูกับประสบการณใน ชีวิตท่ีไดรับรู และเรียนรูมา ดวยเหตุน้ีการที่บุคคลจะมองชีวิตในแงดีหรือแงไมดีนั้น ความเห็นที่มีตอชีวิต และประสบการณที่รับรูและการแปลความหมายจากการรับรูนั้นจึงเปนส่ิงสําคัญซึ่งข้ันตอนน้ีเปน กระบวนการทางความคิดภายในจติ ใจ การปรับเปลี่ยนความเห็นคือทัศนะและวิธีคิดเพื่อใหบุคคลมีความเห็นทีถ่ ูกตอง และมีความคิด ทดี่ ีงามนโ้ี ดยใชหลักจิตวทิ ยาพุทธศาสนา คือ สัมมาทิฏฐแิ ละสัมมาสงั กปั ปะมาประยุกตใ ช ก) การปรับเปลี่ยนทศั นะใหต งั้ อยใู นสมั มาทิฏฐิ คมั ภีรว ิภังคใ หความหมายสัมมาทิฏฐไิ วว า คอื ความรใู นทกุ ข (ความทุกข) ความรใู นทุกขสมทุ ัย (เหตุเกิดแหงทุกข) ความรูในทุกขนิโรธ (ความดับทุกข) และความรูในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ขอปฏิบัติ ใหถ ึงความดบั ทุกข)280๒๘๑ สวนในปปญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ไดใหความหมายไวความวา สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ดีงามและประเสริฐ เปนความเห็นท่ีถูกตอง281๒๘๒ ในสัมมาทิฏฐิสูตร พระสารีบุตรไดอธิบายไววา “เมื่อใด พระอริยสาวกรูชัดอกศุ ลและรากเหงาแหง อกุศล รูชัดกุศลและรากเหงาแหงกุศล เมื่อน้ัน แมดวย เหตุเพียงเทานี้ พระอริยสาวกก็ช่ือวา มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นตรง”๒๘๓ และไดอธิบายขยายความไววา อกศุ ล คือ การฆาสตั ว การลกั ทรพั ย การประพฤตผิ ดิ ในกาม การพดู เทจ็ การพูดสอ เสียด การพดู คาํ หยาบ การพูดเพอเจอ การเพงเล็งอยากไดสิ่งของของผูอื่น การคิดปองรายผูอ่ืน มีมิจฉาทิฏฐิ โดยมีรากเหงาแหง อกุศลคือ โลภะ (ความโลภ) โทสะ(ความคิดประทุษราย) และโมหะ (ความหลง) สวนกุศล คือ เจตนางด ๒๘๑ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๑, ๔๘๗/๓๗๑. ๒๘๒ ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๔๑-๕๔๒. ๒๘๓ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘๙/๘๑-๘๒.

๑๔๐ เวนจากการฆาสัตว เจตนางดเวนจากการลักทรัพย เจตนางดเวนจากการประพฤติผิดในกาม เจตนางด เวน จากการพดู เทจ็ เจตนางดเวน จากการพดู สอเสยี ด เจตนางดเวน จากการพดู คาํ หยาบ เจตนางดเวน จาก การพูดเพอเจอ การไมเ พงเลง็ อยากไดสิ่งของของผูอน่ื การไมคดิ ปองรายผูอนื่ มีสัมมาทฏิ ฐิ โดยมีรากเหงา แหงกศุ ล คอื อโลภะ (ความไมโลภ) อโทสะ (ความไมโกรธ) และอโมหะ (ความไมห ลง)283๒๘๔ เมือ่ บุคคลรูชัดวา ส่ิงใดเปน กุศลส่ิงใดเปนอกศุ ลแลว การกระทาํ คาํ พูด และความคิดตางๆจึงจะ ดําเนินไปในทิศทางท่ีถูกตองเหมาะสม ดวยเหตุนี้ สัมมาทิฏฐิจึงเปนองคนํา หรือเปนหัวหนาแกมรรคองค อ่ืน ดังพระพุทธพจนวา “บรรดาองค ๗ น้ัน สัมมาทิฏฐิเปนหัวหนา”๒๘๕ กลาวคือ สัมมาทิฏฐิยอมทําลาย มิจฉาทฏิ ฐิได กศุ ลธรรมอนั มีสัมมาทิฏฐเิ ปน ปจจัย รวมทงั้ องคม รรคท้ัง ๗ ยอมถงึ ความเจรญิ เตม็ ท่ี285๒๘๖ มหาจัตตารีสกสูตรไดจําแนกสัมมาทิฏฐิเปน ๒ อยางคือ สัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะ เปนสวนแหง บุญ ใหผลคืออุปธิ และสัมมาทิฏฐิอันเปนอริยะ ที่ไมมีอาสวะ เปนโลกุตระ เปนองคแหงมรรค286๒๘๗ ซึ่ง ในปปญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกายไดอธิบายขยายความไวความวา สัมมาทิฏฐิท่ียังมีอาสวะ เปนสวน แหง บุญ ใหผลคอื อุปธนิ ้ี เปน โลกียสัมมาทฏิ ฐิ287๒๘๘ โลกยี สมั มาทิฏฐมิ ี ๒ ระดับ ๒๘๙ คอื 288 ๑) กัมมัสสกตาญาณ หมายถึง ความรูวาสัตวมีกรรมเปนของตน หรือรูวาชีวิตเปนไปตามกฎ แหง กรรม ในระดบั นี้ปถุ ุชนผูเปน ศาสนิกชน (คนในศาสนา) และพาหิรกชน (คนนอกศาสนา) ผูมีความเช่ือ เร่ืองกรรม มีความเห็นวาสัตวมีกรรมเปนของตน ชื่อวาเปนผูมีความเห็นถูกตอง เรียกวาเปนสัมมาทิฏฐิก บุคคล ๒๘๔ ดรู ายละอียดใน ม.มู. (ไทย) ๑๒/๘๙/๘๒-๘๓. ๒๘๕ ดรู ายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๕, ๑๔๒/๑๘๑. ๒๘๖ ดรู ายละเอียดใน ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๑๔๒/๑๘๑. ๒๘๗ ดรู ายละเอยี ดใน ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๖/๑๗๕. ๒๘๘ ดูรายละเอยี ดใน ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๔๑-๕๔๒. ๒๘๙ ดรู ายละเอียดใน ม.ม.ู อ. (ไทย) ๑/๑/๕๔๒, ม.อ.ุ อ. (ไทย) ๓/๑/๓๕๔, พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พุทธธรรม, หนา ๗๓๘, พระมหาสมบูรณ วุฑฺฒิกโร (พรรณนา), สัมมาทิฏฐิกับการพัฒนาชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา, สารนิพนธ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา ๑๙- ๒๐.

๑๔๑ ๒) สัจจานุโลมิกญาณ หมายถึง ญาณอันเปนไปโดยอนุโลมในการหย่ังรูอริยสัจ ซึ่งเปนขั้น สุดทายของวิปสสนาญาณ ๙ ในระดับน้ีปุถุชนผูเปนศาสนิกชนเปนผูมีความเห็นทั้งสองอยาง (กัมมัสสกก ตาญาณ และสัจจานุโลมิกญาณ แตยังมีความเห็นเรื่องอัตตาอยู ยังละสักกายทิฏฐิไมได) ซึ่งใน วิทยานิพนธนี้เนนกลาวถึงสัมมาทิฏฐิที่ยังมีอาสวะในระดับกัมมัสสกตาญาณ คือ ความเช่ือความเขาใจใน เรือ่ งกฎแหงกรรม วาทํากรรมดยี อ มไดร ับผลดี ทํากรรมชั่วยอ มไดรบั ผลชว่ั ดังนั้น การปรับเปลี่ยนทัศนะท่ีถูกตองจึงเปนหลักการที่สําคัญ คือ บุคคลตองเรียนรูและทํา ความเขาใจใหชัดเจนในเร่ืองของหลักกรรม หรือกฎแหงกรรม ปฏิจจสมุปบาท และไตรลักษณใน ระดับโลกียสัมมาทิฏฐิ ซ่ึงปจจัยสําคัญของการมีความเห็นท่ีถูกตองและดีงามคือ ความมีกัลยาณมิตร และ โยนโิ สมนสิการดงั ทก่ี ลาวแลวในเบื้องตน เมื่อบุคคลมีความเห็นท่ีถูกตองและดีงาม คือมีความรูวาสิ่งท้ังหลายเปนไปตามเหตุและปจจัย ยอมทําใหมองเห็นสิ่งทั้งหลายอยางถูกตองตามความเปนจริง และเขาใจความจริงที่เปนไปตามธรรมดา ของกฎธรรมชาติ โดยนัยนี้ บุคคลเม่ือประสบกับปญหา ยอมสามารถวางใจใหเปนกลางได และพิจารณา ดวยความใสใจนอมไปในทางท่ีดีงาม (โยนิโสมนสิการ) มองสภาพการณตาง ๆตามความเปนจริง อยางที่ มนั เปน ไมใชอยางทเ่ี ราอยากใหม ันเปน หรอื ไมอ ยากใหเ ปน คุณแมชีศันสนีย เสถียรสุตไดอธิบายในประเด็นนี้วาการรับรูที่จะไมทําใหเราทุกข สามารถทํา ได คือรับรูสภาวะจิตตาง ๆของตนเองตามความเปนจริง เชน เมื่อเราคิดก็ใหรูวาเราคิด แตถาวาเมื่อ ความคิดเกิดขึ้น แลวเราไมอยากคิด นั่นก็คือทุกขแลว289๒๙๐ ซึ่งน่ันจัดเปนการมองเห็นปญหาดวยอํานาจ อวิชชาตัณหา แตการท่ีบุคคลมองเห็นและเกิดความเขาใจสภาวการณตาง ๆตามความเปนจริงวาทุกส่ิง เปนไปตามเหตุปจจัยแลว บุคคลยอมจะไมถกู อวิชชาตัณหาครอบงํา ก็จะทําใหเกิดปญญาพิจารณาปญหา และวธิ กี ารแกไขปญ หาตาง ๆไดด วยตวั เอง ในทางตรงขาม บุคคลผูประสบภาวะท่ีมีปญหาทางจิตใจ และพิจารณาปญหาดวยความใสใจ นอมไปในทางท่ีไมดีงาม (อโยนิโสมนสิการ) มีความเขาใจทผ่ี ดิ พลาด ไมมองเห็นส่ิงทงั้ หลายตามความเปน ๒๙๐ แมช ศี ันสนีย เสถยี รสตุ , สัมภาษณ, วันองั คารท่ี ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒, อา งใน อายษุ กร งามชาติ, การบรู ณาการหลักพทุ ธธรรมเพื่อเปนเครอื่ งมอื ปรับเปล่ยี นภาวะบกพรอ งทางความรกั , ดุษฎีนพิ นธ พทุ ธศาสตรดุษฎี บณั ฑติ : บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓, หนา ๑๙๓.

๑๔๒ จริง จึงทําใหมีทัศนะตอส่ิงท้ังหลายอยางบิดเบือนผิดพลาด เพราะความไมรู ความไมเขาใจส่ิงท้ังหลาย อยางที่มันเปนตามสภาวะความจริงของธรรมชาติ เมื่อจิตใจถูกครอบงําดวยอวิชชาและตัณหา ยึดติด เหนียวแนน ความเห็นที่มีตอปญหาและวิธีคิดในการแกไขปญหานั้นจึงเปนไปดวยความอยากใหสิ่ง ทั้งหลายเปนอยางท่ีตนเองอยากจะใหเปน และไมอยากใหเปนในส่ิงท่ีตนเองไมอยากใหเปน เม่ือ กระบวนการคิดบิดเบือน เอนเอียง ไมสามารถมองเห็นปญหาไดอยางถูกตองตามความเปนจริงไดแลว ก็ ยอมไมส ามารถนําไปสแู นวทางแกไ ขปญ หาได จงึ นําไปสูความทกุ ขใ นท่สี ดุ ดังปรากฏในคัมภีรปปญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย อธิบายความไววา อโยนิโสมนสิการเปน มูลรากแหงวัฏฏะ การใสใจโดยไมแยบคาย เมื่อเจริญขึ้น ยอมทําใหธรรม ๒ อยางคือ อวิชชา และ ภวตัณหาบรบิ รู ณ กองทุกขจงึ มีการเกดิ ขนึ้ 290๒๙๑ ข) การปรับเปลยี่ นความคิด เม่ือบุคคลมีความเห็นที่ถูกตองและดีงามแลว ขั้นตอนตอไปก็คือ การปรับเปล่ียนใหมีความคิด ที่ดีงาม เรียกวา สัมมาสังกัปปะ ในคัมภีรสัมโมหวิโนทนีกลาวไววาสัมมาสังกัปปะเปนธรรมท่ีมีอุปการะ มากแกสัมมาทิฏฐิ291๒๙๒ กลาวคือ เมื่อมีปญญา (สัมมาทิฏฐิ) แตถาขาดวิตก (สัมมาสังกัปปะ) คือความตรึก โดยอาการตาง ๆ ความยกจิตข้ึนสูอารมณ ก็ไมอาจวินิจฉัยอารมณวาไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา ตาม ความรูช ัดของปญญาได292๒๙๓ สัมมาสังกัปปะ คือ ความดําริในการออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปปะ) ความดําริในการไม พยาบาท (อพยาบาทสงั กัปปะ) และความดาํ รใิ นการไมเบียดเบยี น (อวิหิงสาสงั กปั ปะ)293๒๙๔ ความดําริในการออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปปะ) คือความดําริท่ีปลอดจากโลภะ ไมหมกมุน พัวพันติดของในสิ่งสนองความอยากตาง ๆ ความคิดเสียสละ จัดเปนความนึกคิดท่ีปราศจากราคะ หรือ ๒๙๑ ดรู ายละเอียดใน ม.มู.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๕๘. ๒๙๒ อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๑. ๒๙๓ ดรู ายละเอียดใน อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๑๒. ๒๙๔ ดูรายละเอียดใน ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๕, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๑-๔๒๒, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/ ๑๗๑, ๔๘๗/๓๗๑, ที.ม.อ. (ไทย) ๒/๒/๒๕๑, ม.อ.ุ อ. (ไทย) ๓/๑/๓๕๕-๓๕๖, อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๕-๓๖๖.

๑๔๓ ปราศจากโลภะ294๒๙๕ซึ่งเปนกุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษตอกามวิตก295๒๙๖ คือความดําริท่ีเกี่ยวของกับกาม ความ นึกคิดในทางที่จะแสวงหาหรือหมกมุนพัวพันติดของอยูในสิ่งสนองความตองการ หรือสิ่งสนองตัณหา อุปาทานตาง ๆ ความคิดในทางเห็นแกตัว เปนความนึกคิดในฝายราคะ หรือโลภะ296๒๙๗ วิธีการปฏิบัติเพ่ือ ละกามวิตก คือการเจริญอสภุ กรรมฐาน297๒๙๘ ความดําริในการไมพยาบาท (อพยาบาทสังกัปปะ) คือ ความดําริท่ีไมมีความเคียดแคนไมชิงชัง ไมขัดเคืองหรือไมเพงมองในแงรายตาง ๆ รวมท้ังความปรารถนาดี ความมีไมตรี ตองการใหผูอื่นมี ความสุข จัดเปน ความนกึ คดิ ทีป่ ราศจากโทสะ298๒๙๙ ซ่งึ เปน กุศลธรรมที่เปน ปฏปิ กษตอพยาบาทวติ ก299๓๐๐ คอื ความดําริที่ประกอบดวยความเคียดแคนชิงชัง ขัดเคือง ไมพอใจ คิดเห็นเพงมองในแงรายตาง ๆ มองคน อ่ืนเปนศัตรูผูกระทบกระทั่ง เห็นส่ิงทั้งหลายเปนไปในทางขัดใจ จัดเปนความนึกคิดในฝายโทสะแงถูก กระทบ ๓๐๑ วธิ ปี ฏบิ ัติเพื่อละพยาบาทวิตกคือการเจรญิ เมตตาภาวนา301๓๐๒ 300 สุดทาย ความดําริในการไมเบียดเบียน (อวิหิงสาสังกัปปะ) คือ ความดําริที่ไมมีการเบียดเบียน ไมมีการคิดทํารายหรือทําลาย รวมท้ังความคิดชวยเหลือใหผูอ่ืนพนจากความทุกข จัดเปนความนึกคิดท่ี ปราศจากโทสะเชนเดียวกับอพยาบาทสังกัปปะ302๓๐๓ และเปนกุศลธรรมท่ีเปนปฏิปกษตอวิหิงสาวิตก303๓๐๔ คือความดาํ รใิ นทางทีจ่ ะเบยี ดเบยี น ทาํ รา ย ตัดรอน และทําลาย อยากไปกระทบกระทัง่ รกุ รานผูอื่น อยาก ๒๙๕ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๐. ๒๙๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖. ๒๙๗ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา ๗๔๙. ๒๙๘ อภ.ิ วิ.อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖-๓๖๗. ๒๙๙ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๑. ๓๐๐ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖. ๓๐๑ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา ๗๔๙. ๓๐๒ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖-๓๖๗. ๓๐๓ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๑. ๓๐๔ อภ.ิ ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖.

๑๔๔ ใหเขาประสบความทกุ ขความเดือดรอ น จัดเปน ความนกึ คดิ ในฝา ยโทสะแงจ ะไปกระทบ304๓๐๕ วิธีปฏิบตั ิเพ่ือ ละวิหิงสาวิตกคือการเจริญกรุณาภาวนา305๓๐๖ ในประเด็นสัมมาสังกัปปะนี้ พระพุทธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตฺโต) กลาวไวในหนังสือพุทธธรรม โดยเนนวาควรใหความสําคัญเพราะมีความเขาใจผิดพลาด สับสนปะปนกัน โดยไดอธิบายความไววา คุณธรรมท่ีเจริญต้ังแตเริ่มตนของการปฏิบัติธรรม เชน เมตตาในพรหมวิหาร ๔ นั้นไมใชขอธรรมที่งาย อยางที่เขาใจกันผิวเผิน เพราะเมตตาท่ีกลาวถึงทั่ว ๆ ไปนั้น หายากนักที่จะเปนเมตตาที่แทจริง เมตตาใน พรหมวิหาร ๔ ท่ีกลาวถึงนี้จึงเปนคุณธรรมที่เปนพื้นอยูในจิตใจ เปนคุณธรรมประจําใจเปนคุณภาพจิต หรืออยูในระดับความคิด ไมใชจริยธรรมข้ันปฏิบัติการ ดังน้ัน พรหมวิหารธรรม มีเมตตา กรุณา เปนตน จึงอยูในฝายสัมมาสังกัปปะ306๓๐๗ สวนการเจริญเมตตาภาวนา การเจริญกรุณาภาวนา เปนตน เปน กรรมฐานในกรรมฐาน ๔๐ จัดอยูในหมวดสมาธิ หรืออธิจิตตสิกขา ซึ่งไดกลาวไวแลวในรายละเอียดใน หัวขอการปรับเปลี่ยนสภาวะทางจติ ใจ สําหรับความคิดที่ยึดติดหมกมุนในการแสวงหาและสนองความตองการ ความคิดที่เบียดเบียน ความคิดราย ทําลายผูอื่น ความคิดเชนน้ียอมนําไปสูภาวะท่ีมีปญหา ดังน้ัน ขั้นตอนนี้จึงเปนข้ันตอนของ ปรับเปล่ียนความคิดใหเปนไปในทิศทางตรงขาม คือ ฝกความคิดใหเปนอิสระจากความยึดติด สราง ความคิดในทางเสียสละ ไมหมกมุนพัวพันติดของในสง่ิ สนองความอยากตาง ๆ (เนกขัมมวิตก) ความคิดท่ี มคี วามปรารถนาดี มีไมตรี ตอ งการใหผอู ่นื มีความสุข สัง่ สมความคดิ ทไี่ มเ คียดแคน ไมขัดเคอื ง (อพยาบาท วิตก)ดวยการคิดใหอภัย ความคิดชวยเหลือผูอื่นใหพนจากทุกข ความคิดท่ีไมมีการเบียดเบียน ไมมีการ คิดรายทําลายกัน (อวิหิงสาวิตก) โดยการหมั่นยกความคิดดังกลาวเหลานี้ใหแนบแนนอยูในจิตดวยความ เพียร (สัมมาวายามะ) ดวยสติ (สัมมาสติ) ดวยปญญา (สัมมาทิฏฐิ)307๓๐๘ อยางสมํ่าเสมอโดยพยายามไมให ความคดิ ฝา ยอกุศลเขา มาแทรกไดค วามสาํ เรจ็ ผลก็ยอ มจะเกดิ ขน้ึ ๓๐๕ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา ๗๔๙. ๓๐๖ อภิ.ว.ิ อ. (ไทย) ๒/๑/๓๖๖-๓๖๗. ๓๐๗ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๗๕๖. ๓๐๘ ดูรายละเอยี ดใน ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๓๗/๑๗๗.

๑๔๕ ตารางแสดงวธิ ีการปรบั เปลย่ี นทัศนะและความคิด วธิ ีการปรับเปลยี่ นทศั นะ (สมั มาทิฏฐ)ิ วิธีการปรับเปลีย่ นความคิด (สมั มาสังกปั ปะ) โลกยี สัมมาทฏิ ฐิ โลกตุ ตรสมั มาทฏิ ฐิ เนกขมั มวิตก อพยาบาทวิตก อวหิ งิ สาวติ ก ๑.ความมที ัศนะวาสัตว ๑ . ค ว า ม มี ทั ศ น ะ ท่ี ๑ . ส ร า ง ๑ . ส ร า ง ๑ . ส ร า ง ส ม ท้ังหลายเปนไปตาม ถูกตอง คือ ความรูใน ค ว า ม คิ ด ค ว า ม คิ ด ท่ี มี ค ว า ม คิ ด กรรม มีกรรมเปนของ ทุกข ความรูในเหตุเกิด ใ น ท า ง ค ว า ม ช ว ย เ ห ลื อ ตนเอง แหงทุกข ความรูความ เสียสละ ละ ปรารถนาดี มี ผู อื่ น ใ ห พ น ๒.ความมที ัศนะวาชีวิต ดับทุกข และความรูใน วาง ไมตรี มีความ จ า ก ค ว า ม เปนไปตามกฎแหง ขอปฏิบัติใหถึงความดับ ๒.ฝกความคิด ต อ ง ก า ร ใ ห ทกุ ข กรรม มีความเชื่อเร่ือง ทุกข ใหเปนอิสระ ผอู นื่ มคี วามสุข ๒ . ส ร า ง ส ม กฎแหงกรรม ๒ . ค ว า ม มี ทั ศ น ะ ที่ จากการยึดติด ๒.ฝกการคิด ความคิดที่ไม ถูกตอง คือ ความรูใน ถอื มั่น ใ ห อ ภั ย เบยี ดเบยี น ไม รากเหงาของกุศล และ ๓.ไมหมกมุน ความคิดที่ไม คิดทําราย ไม อกศุ ล ติดของพัวพัน เคียดแคน ไม คิดทําลายกัน ๓ . ค ว า ม มี ทั ศ น ะ ท่ี ใ น สิ่ ง ส น อ ง ขัดเคือง ถู ก ต อ ง คื อ ค ว า ม ค ว า ม อ ย า ก รูปฏิจจสมุปบาท และ ตา งๆ ไตรลักษณ คือความรู วาส่ิงท้ังหลายเปนไป ต า ม เ ห ตุ แ ล ะ ป จ จั ย ความเห็นส่ิงทั้งหลาย อ ย า ง ถู ก ต อ ง ต า ม สภาวะความจริงของ กฎธรรดาของธรรมชาติ ท่ีไมเที่ยง ไมสามารถคง สภาพเดิมได และไมมี ตัวตนทีถ่ าวร

๑๔๖ การปรับเปลีย่ นสภาวะทางจติ ใจและอารมณค วามรสู กึ ในอริยมรรคมีองค ๘ การปรับเปลี่ยนภาวะจิตใจและอารมณความรูสึกที่มีปญหาน้ัน สิ่งที่เปนปจจัยสําคัญคือการ นําพาจิตใจของบุคคลผูประสบปญหาใหมีสติ และอยูกับตัวเองในปจจุบันขณะใหได เพ่ือใหสภาวะทาง จิตใจต้ังม่ัน และอยูในสภาวะที่ควรแกกิจในการปรับเปลี่ยนสภาวะทางจิตใจ โดยนําองคมรรค ๓ คือ สมั มาวายามะ สมั มาสติ และสัมมาสมาธิ มาประยกุ ตใชในการปรับเปล่ยี น ก) สมั มาวายามะ คัมภรี ว ิภงั คอธบิ ายไววา สัมมาวายามะ คือ ความเพยี ร308๓๐๙ ความมงุ ม่ัน309๓๑๐ ความพยายาม การ ปรารภความเพียรทางใจ (วิริยารัมภะ) การประคองจิตมุงมั่นเพ่ือปองกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไมเกิดมิให เกิดขน้ึ เพือ่ ละบาปอกศุ ลธรรมทเ่ี กิดขึน้ แลว 310๓๑๑ วิริยะ311๓๑๒ วิรยิ พละ วิริยินทรยี 312๓๑๓ วริ ยิ ะสัมโพชฌงค313๓๑๔ สวนในพระสูตรเรียกสัมมาวายามะอีกชื่อวา สัมมัปปธาน (ความเพียรชอบ) มี ๔ ประการคือ ๓๑๕ 314 ๑) สรา งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มงุ มน่ั เพอ่ื ปอ งกันบาปอกุศลธรรมท่ียัง ไมเกดิ มใิ หเ กิดข้นึ ซ่ึงมีช่ือเรียกความเพียรเพ่ือปองกนั หรือความเพียรระวังวา สังวรปธาน315๓๑๖ ๒) สรา งฉนั ทะ พยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองจติ มุง มัน่ เพื่อละบาปอกุศลธรรมทเี่ กิดขึ้น แลว ซง่ึ มีช่อื เรยี กความเพียรเพ่อื กําจดั หรอื ความเพยี รละวา ปหานปธาน316๓๑๗ ๓๐๙ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๓๕๘/๓๐๘, ๓๗๐/๓๑๘, ๓๙๔/๓๒๙. ๓๑๐ ดูรายละเอยี ดใน อภิ.วิ.อ. (ไทย) ๓๕/๓๙๖/๓๒๙, อรรถกถาขยายเปน สาตัจจกริ ิยา หมายถงึ การกระทํา อยา งตอเน่อื ง. ๓๑๑ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕/๑๗๒, ๓๙๓-๓๙๔/๓๒๙, ๔๘๗/๓๗๒. ๓๑๒ ดรู ายละเอียดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๘๔/๓๔๙. ๓๑๓ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๐/๒๐๐. ๓๑๔ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๖/๑๗๕, ๒๑๑/๑๗๙, ๔๙๒/๓๗๕, ๔๙๕/๓๗๖. ๓๑๕ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๖, ม.มู. (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๗, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๗๕/๔๒๓. ๓๑๖ อง.ฺ จตกุ ก. (ไทย) ๒๑/๑๔/๒๔-๒๖. ๓๑๗ อา งแลว .

๑๔๗ ๓) สรางฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุงมั่นเพ่ือทํากุศลธรรมที่ยังไมเกิดให เกดิ ขน้ึ ซ่ึงมีชอื่ เรียกความเพียรเพื่อเจริญ หรือความเพยี รสรางวา ภาวนาปธาน317๓๑๘ ๔) สรางฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุงมั่นเพ่ือความดํารงอยูไมเลือนหาย ภิญโญภาพ ไพบูลย เจริญเต็มท่ีแหงกุศลธรรมที่เกิดข้ึนแลว ซ่ึงมีช่ือเรียกความเพียรเพ่ือความดํารงอยู หรอื ความเพยี รรกั ษาวา อนรุ ักขนาปธาน318๓๑๙ สมั มปั ปธานวิภงั ค อธิบายความไววา บาปอกศุ ลธรรมไดแก อกศุ ลมลู ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ และกเิ ลสท่ตี ้งั อยใู นฐานเดียวกบั อกุศลมลู น้ัน ไดแ ก เวทนาขันธ สัญญาขันธ สงั ขารขนั ธ และวญิ ญาณขนั ธ ที่สัมปยุตดวยอกุศลมูลเหลาน้ัน และกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมท่ีมีอกุศลมูลน้ันเปนสมุฏฐาน เมื่อ ปรารภความเพียรทางใจ เสพใหมาก เจริญใหมาก ดวยความมุงม่ัน ดวยการประคองจิต อกุศลธรรมที่ยัง ไมเ กดิ ยอมไมเ กดิ (สงั วรปธาน)319๓๒๐ และอกุศลธรรมทีเ่ กดิ ขนึ้ แลวยอมเสอื่ มไป (ปหานปธาน)320๓๒๑ สว นกุศลธรรม ไดแก กุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ไดแ ก เวทนาขันธ สญั ญาขนั ธ สังขาร ขันธ และวิญญาณขันธท่ีสัมปยุตดวยกุศลมูลนั้น และกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่มีกุศลมูลน้ันเปน สมุฏฐาน เมื่อปรารภความเพียรทางใจ เสพใหมาก เจริญใหมาก ดวยความมุงม่ัน ดวยการประคองจิต กุศลธรรมท่ียังไมเกิดยอมเกิดข้ึน (ภาวนาปธาน)321๓๒๒ และกุศลธรรมท่ีเกิดข้ึนแลวยอมดํารงอยูไมเสื่อมไป (อนุรกั ขนาปธาน)322๓๒๓ การปรบั เปลย่ี นสภาวะจติ ใจเบื้องตน ก็คือ ตอ งมคี วามมุงมั่น เพียรพยายามที่จะสรา งความคิดท่ี ถูกตองและดีงาม เชน ความคิดในทางเสียสละ ความคิดเมตตาปรารถนาดี อยากใหคนอ่ืนมีความสุข เม่ือ สั่งสมความคิดท่ีถูกตองและดีงามมากข้ึน กุศลธรรมอันมีอโลภะ อโทสะ อโมหะเปนมูลก็ยอมเจริญขึ้น ตามมาดวย ดังน้ัน ความเพียรในการประคับประคองจิตใจใหมุงมั่นที่จะดําเนินอยูในแนวทางท่ีดีงาม มี ๓๑๘ อา งแลว. ๓๑๙ อา งแลว. ๓๒๐ ดูรายละเอียดใน อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๓๙๑-๓๙๖/๓๒๘-๓๒๙. ๓๒๑ ดูรายละเอียดใน อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๓๙๗-๔๐๒/๓๓๐-๓๓๑. ๓๒๒ ดูรายละเอยี ดใน อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๐๓-๔๐๔/๓๓๑. ๓๒๓ ดูรายละเอยี ดใน อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๔๐๕-๔๐๗/๓๓๒.

๑๔๘ ความเพียรพยายามประคับประคองจิตใจตนใหประพฤติตนในทางที่ดีงาม ท้ังการกระทํา คําพูด และ ความคิด เพอื่ นาํ พาไปสหู นทางของการแกไ ขปญ หาและปรับเปลยี่ นสภาวะทางจติ ใจได ข) สมั มาสติ ในแงความหมาย สัมมาสติ คือ สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก กิริยาที่ระลึก ความทรง จํา ความไมเ ลื่อนลอย ความไมหลงลืม สตสิ ัมโพชฌงค323๓๒๔ สตนิ ทรยี  สตพิ ละ324๓๒๕ หลักพุทธธรรม “สติ” เปนคุณธรรมที่สําคัญมาก มีช่ือเรียกโดยเฉพาะวา “อัปปมาท” หรือ ความไมประมาท หมายความถึง ความไมเผลอ ไมเลินเลอ ความระมัดระวัง ความตื่นตัวตอ หนา ที่ ภาวะท่ี พรอมอยูเสมอในอาการคอยรับรูส่ิงตาง ๆ ท่ีเขามาเกี่ยวของ325๓๒๖ ดวยเหตุน้ีการดําเนินชีวิตที่มีสติคอย ควบคุมจะเปนเคร่ืองมือในการปองกันยับยั้งตนเองไมใหหลงไปในอกุศลธรรมทั้งการกระทํา คําพูด และ ความคิด รวมท้ังเปนเคร่ืองชวยกระตุนใหต่ืนตัวตอการเจริญกุศลธรรมเม่ือระลึกถึงความไมประมาทใน ชีวติ ในอปั ปมาทสตู ร พระพทุ ธองคต รัสถึงความไมป ระมาท โดยฐานะ ๔ ประการ คอื ๑) จงละกายทุจริต บําเพ็ญกายสุจริต และอยาประมาทในการละกายทุจริตบําเพ็ญกายสุจริต นน้ั ๒) จงละวจีทจุ รติ บาํ เพญ็ วจีสจุ รติ และอยา ประมาทในการละวจีทุจรติ บําเพ็ญวจีสจุ รติ นัน้ ๓) จงละมโนทุจริต บําเพ็ญมโนสุจริต และอยาประมาทในการละมโนทุจริตบําเพ็ญมโนสุจริต นนั้ ๔) จงละมจิ ฉาทิฏฐิ บําเพ็ญสมั มาทฏิ ฐิ และอยา ประมาทในการละมจิ ฉาทฏิ ฐบิ าํ เพญ็ สัมมาทิฏฐิ นนั้ ๓๒๗ 326 ๓๒๔ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๐๕-๒๐๖/๑๗๒,๑๗๕, ๒๑๑-๑๗๙, ๔๙๒/๓๗๕. ๓๒๕ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๐/๒๐๑. ๓๒๖ ดรู ายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรม, หนา ๘๐๕. ๓๒๗ ดูรายละเอยี ดใน องฺ.จตกุ ก. (ไทย) ๒๔/๑๑๖/๑๗๘-๑๗๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook