Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook หนังสือจิตวิทยาในพระไตรปิฎก

ebook หนังสือจิตวิทยาในพระไตรปิฎก

Published by อยุษกร งามชาติ, 2022-08-08 03:38:55

Description: ebook หนังสือจิตวิทยาในพระไตรปิฎก
โดย ผศ.(พิเศษ) ดร.อยุษกร งามชาติ

Search

Read the Text Version

๔๙ สภาพธรรมตามความเปนท่ีเกิดขึ้นและดับไปอยูทุกขณะ ดังที่พระพุทธเจาไดตรัสเทศนาแกพระภิกษุ ใน ปฐมเคลัญญสตู ร วาดว ยความเจบ็ ปว ย สตู รที่ ๑ ดงั น้ี “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา นี้เปนคําพรํ่าสอนสําหรับเธอ ทง้ั หลายของเรา ลกั ษณะของผูม สี ติสมั ปชญั ญะ ภิกษุผูม สี ติเปน อยา งไร เมื่อภิกษุในธรรมวินัยน้ี พิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพยี ร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได... ในเวทนาทั้งหลาย ฯลฯ ในจิต ฯลฯ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ท้งั หลาย54๕๕อยู มคี วามเพยี ร มสี ัมปชญั ญะ มีสติ กําจัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได ภกิ ษผุ ูม สี ติเปนอยางน้ีแล ภกิ ษผุ ูม ีสัมปชัญญะเปนอยา งไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยทําความรูสึกตัวในการกาวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคูเขา การเหยียดออก การครองผาสังฆาฏิ บาตร และจีวร การฉัน การดื่ม การเค้ียว การลิ้ม การถา ยอจุ จาระ ปสสาวะ การเดนิ การยืน การนงั่ การนอน การตืน่ การพูด การนง่ิ ภกิ ษผุ มู สี ัมปชญั ญะเปน อยางนแ้ี ล ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุพึงเปนผูมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา นี้เปนคําพรํ่าสอนสําหรับเธอ ทัง้ หลายของเรา”55๕๖ ๕๕ ธรรมทัง้ หลาย ในทีน่ ้ีหมายถงึ นิวรณ ๕ อปุ าทานขันธ ๕ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ โพชฌงค ๗ และอรยิ สัจ ๔ ๕๖ สํ.สฬ. (ไทย) ๑๘/๒๕๕/๒๗๗.

๕๐ สขุ ภาพทางจติ ในจิตวิทยาพทุ ธศาสนา องคการอนามัยโลก (WHO,2491) ไดใหความหมายของคําวา “สุขภาพจิต” ไววาหมายถึง \"สภาพจิตใจท่ี เปนสุข สามารถมีสัมพันธภาพและรักษาสัมพันธภาพกับผูอื่นไวไดอยางราบร่ืน สามารถทําตนใหเปน ประโยชนไดภายใตภาวะส่ิงแวดลอมที่มีการเปล่ียนแปลงท้ังทางสังคม และลักษณะความเปนอยูในการ ดํารงชีพ วางตัวไดอยางเหมาะสม และปราศจากอาการปวยของโรคทางจิตใจและรางกาย56๕๗ รวมท้ัง สนองความสามารถของตนเองในโลกที่กําลังเปลี่ยนแปลงนี้ไดโดยไมมีขอขัดแยงภายในจิตใจ57๕๘ และในที่ ประชุมสมัชชาองคการอนามัยโลก เม่ือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ไดตกลงเติมคําวา “Spiritual Well-being” หรือสุขภาวะทางจิตวิญญาณเขาไป ซง่ึ ความเปนผมู ีสขุ ภาพจิตดีนัน้ เปน สวนหนึ่งของภาวะ ความเปนผมู ีสุขภาพดใี น ๔ สวนคอื สขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ สุขภาพสังคม และสุขภาพจิตวิญญาณ58๕๙ ๑. สุขภาพกาย (Physical Health) หมายถึง สภาพที่ดีของรางกาย กลาวคือ อวัยวะตาง ๆอยูใน สภาพท่ีดี มีความแข็งแรงสมบูรณ ปราศจากโรคภัยไขเจ็บ รางกายสามารถทํางานไดตามปกติ และมี ความสัมพนั ธก ับทุกสวนเปนอยา งดี และกอใหเ กิดประสิทธภิ าพทดี่ ีในการทํางาน ๒. สุขภาพจิต (Mental Health) หมายถึง สภาพของจติ ใจทสี่ ามารถควบคมุ อารมณได มจี ติ ใจเบิก บานแจมใส มิใหเกิดความคับของใจหรือขัดแยงในจิตใจ สามารถปรับตัวเขากับสังคมและส่ิงแวดลอมได อยางมีความสุข สามารถควบคุมอารมณไดเหมาะสมกับสถานการณตาง ๆ ซึ่งผูมีสุขภาพจิตดี ยอมมีผล มาจากสุขภาพกายดีดวย ดังท่ี John Lock ไดกลาวไววา “A Sound mind is in a sound body” คือ “จติ ใจที่แจมใส ยอมอยใู นรางกายที่สมบรู ณ” ๓. สุขภาพสังคม (Social Health) หมายถึง บุคคลที่มีสภาวะทางกายและจิตใจท่ีสุขสมบูรณ มี สภาพของความเปนอยูหรือการดําเนินชีวิตอยูในสังคมไดอยางปกติสุข ไมทําใหผูอ่ืน หรือสังคมเดือดรอน สามารถปฏสิ ัมพนั ธและปรับตัวใหอยูในสงั คมไดเ ปนอยา งดีและมีความสุข ๕๗ ผศ.นพ.พนม เกตมุ าน, เอกสารประกอบการบรรยาย ภาควิชาจติ เวชศาสตร คณะแพทยศ าสตรศิริราช พยาบาล, www.psyclin.co.th/new_page_82_htm. ๕๘ นพ.ธงชัย ทวิชาชาติ, รายงานการวิจัยเรอ่ื งความเครยี ดและสขุ ภาพจติ ของคนไทย, นนทบุรี : กรม สขุ ภาพจติ , ๒๕๔๖, อางใน www.dmh.go.th. ๕๙ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข , www.anamai.moph.go.th.

๕๑ ๔. สุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Health) หมายถึง สภาวะท่ีดีของปญญาท่ีมีความรูทั่ว รูเทาทัน และความเขาใจอยางแยกไดในเหตุผลแหงความดีความช่ัว ความมีประโยชนและความมีโทษ ซ่ึงนําไปสู ความมีจติ อันดงี ามและเออื้ เฟอ เผ่ือแผ การมีสุขภาพจิตดีจึงมีความสัมพันธแบบองครวมท้ังรางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ดังท่ี จอหน ล็อค ไดกลาวไววา “จิตใจที่แจมใส ยอมอยูในรางกายท่ีสมบูรณ” เปนแนวคิดที่สอดคลองกับ จิตวิทยาพุทธศาสนา ท่ีพระพุทธองคตรัสไวใน มาคัณฑิยสูตรสูตร วา “ความไมมีโรค เปนลาภอัน ประเสริฐ”59๖๐ แตอยางไรก็ตาม จิตวิทยาพุทธศาสนาก็มีขอตางจากแนวคิดจิตวิทยาตะวันตกอยูบางสวน ปรากฏในโรคสูตร วา ดว ยโรค ดังนี้ “ภกิ ษุทง้ั หลาย โรค ๒ อยางน้ี โรค ๒ อยาง อะไรบาง คอื ๑ โรคทางกาย ๒ โรคทางใจ สัตวผ ูอางวา ตนเองไมม ีโรคทางกายตลอดระยะเวลา ๑ ปบ าง ๒ ปบ าง ๓ ปบา ง ๔ ปบา ง ๕ ปบา ง ๒๐ ปบาง ๓๐ ปบ า ง ๔๐ ปบา ง ๕๐ ปบาง แมย่ิงกวา ๑๐๐ ปบา ง ยังพอมีอยู แตส ตั วผูจ ะกลาวอา งวา ตนเองไมม โี รคทางใจ ตลอดระยะเวลาแมค รูเดียว หาไดโดยยาก ยกเวน ทานผูหมดกเิ ลสแลว ”60๖๑ พระสูตรนี้แสดงใหเห็นวา ในมุมมองของจิตวิทยาพุทธศาสนา ปุถุชนสวนใหญในโลกนี้เปนโรค ทางใจ หรอื ถา พจิ ารณาตามหลักการขององคการอนามันโลกก็คอื เปน โรคสุขภาพทางจิตวญิ ญาณ ภาวะที่คนในสังคมดํารงชีวิตอยางขาดความเช่ือมโยง ดํารงอยูอยางแปลกแยกระหวางมนุษย ธรรมชาติและสิ่งแวดลอม สะทอนออกมาทางพฤติกรรมแกงแยง แขงขัน ขาดความเอื้อเฟอเก้ือกูล เกิด ภาวะบกพรองทางจิตวิญญาณ (Spiritual Deficiency) ท่ีโหยหาการแสวงหาปจจัยภายนอกเพื่อมาเติม ความตองการภายในใหเต็ม เพ่ือใหรูสึกวาตนเองมีคณุ คา มีความสุข และความมนั่ คง จึงทําใหคนในสังคม ปจจุบันเกิดภาวะความรูสึกโดดเด่ียว แมจะอยูทามกลางผูคนมากมาย ความรูสึกที่วางเปลาและกลวง ภายใน นั่นสะทอนใหเห็นถึงภาวะที่ไรแกนสารยึดเหนี่ยวในการดํารงชีวิต ดังน้ัน จิตวิทยาตะวันตกจึง ๖๐ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๑๕/๒๕๔. ๖๑ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๕๗/๒๑๗.

๕๒ พยายามบูรณาการศาสตรของพระพุทธศาสนา เชน การเจริญสติ การเจริญสมาธิ เพ่ือชวยแกไขปญหา จติ ใจ และพฒั นาจิตใจของมนุษย หลกั ธรรมขันธ ๕ : การอธิบายความสมั พันธระหวางขันธตา ง ๆ การที่เราจะเขาใจลักษณะความสัมพันธระหวางกายกับจิตทั้งลักษณะของบุคคลท่ัวไป และ ลักษณะความสัมพันธระหวางกายกับจิตของผูที่ฝกจิตมาดีแลวไดชัดเจน พระพุทธเจาตรัสสอนผาน หลักธรรมสําคัญ อาทิ ขันธ ๕, ปฏิจจสมุปบาท โดยเฉพาะคําสอนเร่ือง ขันธ ๕ เปนคําสอนท่ีอธิบายให เขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตมนุษยวาประกอบดวย รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และ วญิ ญาณขนั ธ เปน สง่ิ ไมเทยี่ ง มีความปรวนแปร จงึ ไมควรยึดม่นั ถอื มนั่ วา เปนตัวตนของตน61๖๒ การทําความเขา ใจธรรมชาติของชีวิตอันประกอบดวยขันธ ๕ ผานการอธิบายหลักธรรม เร่ืองไตร ลักษณ คือ อนิจจัง ความไมเที่ยง ทุกขัง ความแปรปรวน และอนัตตา ความไมมีตัวตนท่ีเที่ยงแทถาวร การอธิบายลักษณะดังกลาวสามารถตีความไดวา โดยปกติแลวธรรมชาติของมนุษยทั่วไปท่ีมีสุขภาพดี คือ การประกอบดวยขันธ ๕ ท่ีสมดุล ท้ังกายและจิตมีความสบาย ไมกระสับกระสายแตธรรมชาติของขันธ ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เปนสิ่งท่ีไมเที่ยง คือสามารถแปรปรวนจนเกิดภาวะขาด สมดุลได น่ีคือธรรมชาติท่ีแทจริงของกายและจิตของมนุษยท่ีมีความเกี่ยวเนื่องเช่ือมโยงซ่ึงกันและกัน อาศัยปจจัยหลายอยางมาประกอบกัน ในภาษาธรรมเรียกวา สังขตธรรม หรือ สังขาร คือส่ิงที่เกิดจาก ปจ จยั ปรุงแตง กลา วคือ รปู ขนั ธ หมายถึง รูปท่ีแปรสภาพออกไปเปนสงิ่ ตา ง ๆไดม ากมาย มคี วามไมเ ทีย่ ง ไมย ง่ั ยืน เกดิ แลวดับไปตามเหตุปจจัย62๖๓ หรือเรียกในภาษาธรรมวา มหาภูตรูป ๔63๖๔ประกอบดวยธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุ ลม และธาตไุ ฟ มารวมกนั เม่อื ธาตเุ หลา นีม้ ีเหตุปจ จัยทาํ ใหเปล่ียนแปลง เกดิ ภาวะขาดสมดุล ก็จะเกดิ การ แปรปรวนขน้ึ ท่รี า งกาย เกิดความเจ็บไขไ มสบายกาย นอกจากนยี้ งั รวมถงึ รูปท่อี าศัยมหาภูตรูป ๔64๖๕(อปุ า ๖๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๑๘-๖๑๙/๒๔๗. ๖๓ บรรจบ บรรณรุจ,ิ ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๒๘, ๓๕-๔๒. ๖๔ สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๑๑๓/๕๘. ๖๕ สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗.

๕๓ ทายรูป ๒๔) ๖๖ แตในปจจัยจตุกกะ อกุศลจิต ๑๒ กลาววา รูป คือ ความแรกเกิดแหงจักขายตนะ โส 65 ตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ และกายตนะ หรือรูปแมอ่ืนใดมีอยู ไดแก รูปที่เกิดแตจิต มีจิตเปนเหตุ มีจิตเปนสมุฏฐาน รูปที่มโนวิญญาณธาตุอาศัยเปนไป66๖๗ ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมทางกาย คือรูปซึ่งทาง อภิธรรมเรียกวา จิตตชรูป หมายถึงการเคล่ือนไหวและการกระทําตางๆของรางกายในชีวิตประจําวัน67๖๘ เรียกวา รูปที่เกิดจากจิต68๖๙ สวนเรื่องของจิตใจ กลาวถึงนามขันธ ๔ ไดแก เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซ่ึงเปน นามธรรม ในวิภังคสูตรใหความหมายวา นาม คือ เวทนา (ความเสวยอารมณ) สัญญา (ความจําไดหมายรู) เจตนา (ความจงใจ) ผัสสะ (ความกระทบหรือสัมผัส) มนสิการ (ความกระทําไวในใจ) ซ่ึงทางอภิธรรมจัด วาเปนสัพพจิตตสาธารณเจตสิก69๗๐ และการท่ีพระสูตรอธิบายถึงเฉพาะเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะและ มนสิการเทานั้น70๗๑ เน่ืองจากองคธรรมท้ังสามนี้แสดงตัวชัดเจนเดนกวาองคธรรมอ่ืน71๗๒ สวนในสุตตันตภา ชนียก ลาวถึงนามขันธ ๓ คอื เวทนาขนั ธ สญั ญาขันธ และสงั ขารขันธ72๗๓ ซึ่งในทางอภธิ รรมเรยี กวา เจตสกิ คือ อาการหรือพฤติกรรมของจิตหรือวิญญาณ73๗๔ ซ่งึ กลา วรายละเอียดในบทตอไป ๖๖ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐. ๖๗ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๔๐, ๒๖๑/๒๔๔-๒๔๕, ๒๖๓/๒๔๗, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐-๒๖๑, ๒๗๙/๒๖๓. ๖๘ วชั ระ งามจติ รเจรญิ , พุทธศาสนาเถรวาท, หนา ๑๙๑. ๖๙ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/ ๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓-๒๗๕. ๗๐ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก คือ เจตสิกท่ีประกอบในจิตทุกดวง ไดแก ๑.ผัสสะ ๒.เวทนา ๓.สัญญา ๔.เจตนา ๕.เอกัคคตา ๖.ชีวิตินทรยี  ๗.มนสกิ าร ๗๑ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๗. ๗๒ สํ.นิ.อ. (ไทย) ๒/๓๒, นันทพล โรจนโกศล, “การศึกษาวิเคราะหแนวคิดเร่ืองขันธ๕ กับการบรรลุธรรมใน พระพทุ ธศาสนาเถรวาท”, หนา ๑๐๖. ๗๓ อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/ ๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓-๒๗๕. ๗๔ บรรจบ บรรณรจุ ,ิ ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๒๗-๒๘.

๕๔ สวนวิญญาณขันธน้ัน คําวา วิญญาณ หมายถึง ธรรมชาติที่รูอารมณ74๗๕ วิภังคสูตรและสุตตันตภา ชนยี ก ลาวถึง วญิ ญาณมี ๖ ประการ คอื ๑. จักขุวิญญาณ (ความรูแ จงอารมณทางตา) ๒. โสตวญิ ญาณ (ความรูแจง อารมณท างห)ู ๓. ฆานวิญญาณ (ความรูแจงอารมณท างจมกู ) ๔. ชวิ หาวญิ ญาณ (ความรูแจงอารมณทางล้ิน) ๕. กายวญิ ญาณ (ความรแู จง อารมณท างกาย) ๖. มโนวญิ ญาณ (ความรแู จง อารมณท างใจ)75๗๖ ในขณะที่มหานิทานสูตรกลาวถึงวิญญาณในลักษณะขามภพชาติวา “ก็ถาวิญญาณจักไมหย่ังลง ในทองมารดา นามรูปจะกอตัวข้ึนในทองมารดาไดหรือ”๗๗ ซึ่งวิญญาณในท่ีน้ี หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณ เปนการอธบิ ายในระดับขามภพขา มชาติ ปฏิสนธิจิต (ปฏิสนธิวิญญาณ) เปนวิบากจิต (วิบากวิญญาณ) ซ่ึงเกิดขึ้นเพราะกรรมใดกรรม หนงึ่ เปน ปจ จัย กรรมใดเปน ปจ จยั ใหป ฏสิ นธิจิตหรือวิบากจิตใดเกิดขึ้น กรรมน้นั เปน กัมมปจ จยั แกปฏิสนธิ จิตหรือวิบากจิตน้ัน ถาเกิดในภูมิมนุษยเปนสุคติภูมิก็ตองเปนผลของกุศลกรรม จิตที่ปฏิสนธิก็เปนกุศล วิบาก แตเน่ืองจากในอดีตไดกระทําไวท้ังกุศลกรรมและอกุศลกรรม การประสบกับอิฏฐารมณหรือ อนฏิ ฐารมณ จึงข้นึ อยกู ับวาขณะใดกุศลกรรมใหผ ลหรอื อกุศลกรรมใหผล นอกจากนี้การท่ีกรรมแตละประเภทจะใหผลไดยังข้ึนอยูกับสมบัติและวิบัติ ไดแก คติสมบัติ คือการเกิดในภพภูมิท่ีดี เกิดในกําเนิดอันเจริญ สภาพแวดลอมอํานวย คติวิบัติ คือการเกิดในภพภูมิท่ีไมดี เกิดในกําเนิดตํ่าทราม สภาพแวดลอมไมเอื้อตอความเจริญ, อุปธิสมบัติ คือสมบัติแหงรางกาย ถึงพรอม ดวยรูปกาย สงา สวยงาม บุคลิกภาพดี อุปธิวิบัติ คือวิบัติแหงรางกาย รางกายวิกลวิการ ไมงดงาม บุคลิกภาพไมดี, กาลสมบัติ คือถึงพรอมดวยกาล ทําถูกกาลถูกเวลา กาลวิบัติ คือวิบัติแหงกาล ทําผิดกาล ๗๕ วิสุทธฺ ิ. (ไทย) ๕๘๗/๘๘๑. ๗๖ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๖, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๗/๒๒๐. ๗๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๕/๖๕.

๕๕ ผิดเวลา, ปโยคสมบัติ คือถึงพรอมดวยการประกอบความเพียร ทําตอเน่ืองมาเปนพ้ืนแลวจึงเห็นผลงาย, ปโยควิบัติ คือ วิบัติแหงการประกอบ ขาดความรู ความสามารถอันเปนพ้ืนฐานน้ัน จึงไมสําเร็จในผล โดยงาย77๗๘ การทํางานรวมกันของนามขันธ ๔ นั้น มีความสัมพันธกันอยางใกลชิดและสงอิทธิพลเปน ปจจัยแกกัน ดังท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงธรรมในมธุปณฑิกสูตร แลวพระพุทธเจาอนุญาตใหพระมหากัจ จายนะอธิบายขยายความเปน กระบวนธรรมไว ขอยกมาอา งโดยยอ วา “อาศัยตาและรูป เกิดจักขุวิญญาณ (วิญญาณขันธ), ความประจวบแหงธรรมทั้งสามน้ัน เปน ผัสสะ, เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาจึงมี (เวทนาขันธ), บุคคลเสวยอารมณใด ยอมหมายรูอารมณนั้น (สัญญาขันธ), หมายรูอารมณใดยอมตริตรึกอารมณนั้น (วิตก เปนสังขารขันธ), ตริตรึกอารมณใดยอมผัน พิสดารซึ่งอารมณนั้น (ปปญจะ ไดแกตัณหา มานะ ทิฏฐิ เปนสังขารขันธ), บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณใด เพราะการผันพิสดารซึ่งอารมณน้ันเปนเหตุ ปปญจสัญญาแงตางๆ (สัญญาที่ประกอบดวยตัณหา มานะ ทิฏฐิ เปนสัญญาขันธและสังขารขันธ) ยอมผุดพลุงสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลายที่พึงรูไดดวยตา ทั้งที่เปน อดีต อนาคต และปจจบุ ัน”๗๙ จากความสัมพันธระหวางกายและจิต ท่ีแสดงผานกระบวนธรรมน้ี ผูเขียนขออธิบายใน รายละเอียดในหวั ขอกระบวนการรับรูในบทถดั ไป นอกจากพระพุทธองคทรงแสดงความสัมพันธระหวางกายกับจิตในหลักธรรมขันธ ๕ แลวทรง แสดงหลัก ธาตุ ๖ ดวย ดังปรากฏในมัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก ธาตุวิภังคสูตร พระพุทธเจาไดตรัสสอน พระปกุ กุสาติวา “ภิกษุ บุรษุ นมี้ ีธาตุ ๖ มีผสั สายตนะ(แดนเกิดแหง ผสั สะ) ๖ มี มโนปวจิ าร(ความนึกหนว งทางใจ) ๑๘ มีอธษิ ฐานธรรม(ธรรมท่ีควรต้งั ไวใ นใจ) ๔ เมื่อความกําหนดหมาย ซึมซาบไมถึงบุรษุ ผูคงอยใู นอธิษฐานธรรม บัณฑติ จึงเรียกบรุ ษุ น้ันวา ‘มนุ ผี ูสงบแลว ’ บุรษุ ไมพ งึ ประมาทปญ ญา พงึ ตามรักษา สัจจะ พึงเพิม่ พูนจาคะ พึงศกึ ษาแตท างสงบเทา น้ัน’ นีเ้ ปนอทุ เทสแหงธาตวุ ภิ ังค ๖ ประการ ๗๘ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๓๖-๑๓๗, สุจนิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมตั ถธรรมสงั เขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก, หนา ๑๖๑-๑๖๖. ๗๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๙๙-๒๐๕/๒๐๙-๒๑๗.

๕๖ เรากลา วคําน้ไี ววา ‘ภิกษุ บุรุษน้มี ีธาตุ ๖ ประการ’ เพราะ อาศยั เหตอุ ะไร เราจงึ กลาวไวเชนน้ัน ภิกษุ ธาตุ ๖ ประการ น้ี คือ ๑. ปฐวธี าตุ (ธาตุดนิ ) ๒. อาโปธาตุ (ธาตนุ ํา้ ) ๓. เตโชธาตุ (ธาตไุ ฟ) ๔. วาโยธาตุ (ธาตลุ ม) ๕. อากาสธาตุ (ธาตุคืออากาศ) ๖. วญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือวญิ ญาณ) คําท่ีเรากลาวไวว า ‘ภิกษุ บรุ ษุ นมี้ ีธาตุ ๖ ประการ’ นั่น เพราะอาศยั เหตุนี้ เราจึงกลาวไว”๘๐ พระพุทธองคไดอธิบายรายละเอียดของธาตุท้ัง ๖ ไดแก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโย ธาตุ อากาสธาตุ และวญิ ญาณธาตุ ไวด งั นี้ “ปฐวธี าตุ เปน อยางไร คือ ปฐวีธาตภุ ายในกม็ ี ปฐวธี าตภุ ายนอกกม็ ี ปฐวธี าตภุ ายใน เปน อยางไร คอื อปุ าทนิ นกรูป80๘๑ภายในทเ่ี ปนของเฉพาะตน เปนของแขน แข็ง เปน ของหยาบ ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เน้อื เอ็น กระดูก เย่อื ในกระดกู ไต หัวใจ ตับ พังผดื มาม ปอด ไสใ หญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา หรือ อุปาทินนกรูปภายในอ่ืนใดท่เี ปน ของเฉพาะตน เปนของแขน แขง็ เปนของหยาบ น้เี รียกวาปฐวีธาตภุ ายใน ปฐวธี าตภุ ายใน และปฐวธี าตุภายนอกนี้ กเ็ ปนปฐวีธาตนุ ่ันเอง บณั ฑิตควร เห็นปฐวีธาตุน้ัน ตามความเปน จริง ดว ยปญ ญาอนั ชอบอยางนีว้ า ‘น่นั ไมใ ชของเรา เราไมเ ปนนัน่ นน่ั ไมใ ชอตั ตาของเรา’ คร้ันเหน็ ปฐวีธาตุนนั้ ตามความเปน จรงิ ดว ย ๘๐ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๓-๓๔๔/๔๐๓. ๘๑ อุปาทินนกรปู หมายถึงรปู มกี รรมเปน สมุฏฐาน คาํ นเ้ี ปน ช่ือของรูปท่ดี าํ รงอยภู ายในสรรี ะ ที่ยดึ ถือ จับตอ ง ลูบคลําได เชน ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม อาหารเกา คําน้กี ําหนดจําแนกหมายเอาปฐวธี าตุภายใน แตส ําหรับอาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ กม็ นี ัยเชน เดียวกัน พึงทราบความพิสดารในคัมภีรวิสุทธิมรรค (ม.ม.ู อ. ๒/ ๓๐๒/๑๓๐)

๕๗ ปญญาอนั ชอบอยางนี้แลว ยอมเบื่อหนายในปฐวีธาตุ และทาํ จติ ใหค ลายกําหนัดจากปฐวีธาตุ” ๘๒ 81 “อาโปธาตุ เปน อยางไร คือ อาโปธาตุภายในกม็ ี อาโปธาตภุ ายนอกก็มี อาโปธาตภุ ายใน เปน อยางไร คอื อุปาทนิ นกรูปภายในท่เี ปนของเฉพาะตน เปน ของเอิบอาบ มคี วาม เอิบอาบ ไดแก ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ น้าํ ตา มันขน เปลวมนั น้าํ ลาย นา้ํ มกู ไขขอ มตู ร หรอื อปุ าทินนกรปู ภายในอนื่ ใด ทีเ่ ปน ของเฉพาะตน เปน ของเอบิ อาบ มีความเอิบอาบ นี้เรียกวา อาโปธาตภุ ายใน อาโปธาตุภายในและอาโปธาตุภายนอกนี้ ก็เปน อาโปธาตุนัน่ เอง บัณฑติ พึง เหน็ อาโปธาตุนัน้ ตามความเปน จรงิ ดวยปญญาอันชอบอยางน้วี า ‘นั่นไมใชข องเรา เราไมเ ปนน่ัน นัน่ ไมใชอตั ตาของเรา’ คร้นั เหน็ อาโปธาตนุ ั้นตามความเปนจรงิ ดว ยปญ ญาอนั ชอบอยา งนแี้ ลว ยอมเบอ่ื หนา ยในอาโปธาตุ และทาํ จติ ใหค ลายกาํ หนดั จาก อาโปธาต”ุ 82๘๓ “เตโชธาตุ เปนอยางไร คือ เตโชธาตุภายในกม็ ี เตโชธาตภุ ายนอกก็มี เตโชธาตุภายใน เปน อยางไร คือ อปุ าทินนกรูปภายในทีเ่ ปนของเฉพาะตน เปนของเรา รอ น มีความเรา รอน ไดแ ก ธรรมชาตทิ เ่ี ปนเคร่อื งทํารางกายใหอ บอุน ธรรมชาตทิ ีเ่ ปนเครอ่ื งทํารา งกาย ใหท รดุ โทรม ธรรมชาตทิ ีเ่ ปน เครือ่ งทาํ รา งกายใหเรา รอน ธรรมชาติท่เี ปนเครือ่ ง ยอยสิ่งทกี่ นิ แลว ดม่ื แลว เคี้ยวแลว และลิ้มรสแลว หรอื อปุ าทนิ นกรปู ภายในอน่ื ใด ทเ่ี ปน ของเฉพาะตน เปนของเรารอ น มีความเรา รอน นเี้ รยี กวา เตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายในและเตโชธาตุภายนอกนี้ ก็เปน เตโชธาตุน่นั เอง บัณฑิตพึง เห็นเตโชธาตุนั้นตามความเปนจริง ดวยปญญาอันชอบอยางนี้วา ‘นนั่ ไมใชของเรา เราไมเ ปนน่นั นนั่ ไมใชอ ตั ตาของเรา’ ครน้ั เหน็ เตโชธาตนุ ั้นตามความเปนจรงิ ดว ย ๘๒ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๙/๔๐๕-๖. ๘๓ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๕๐/๔๐๖.

๕๘ ปญญาอันชอบอยา งนแี้ ลว ยอมเบือ่ หนา ยในเตโชธาตุ และทาํ จิตใหคลายกาํ หนดั จาก เตโชธาต”ุ 83๘๔ “วาโยธาตุ เปนอยางไร คือ วาโยธาตุภายในกม็ ี วาโยธาตภุ ายนอกก็มี วาโยธาตภุ ายใน เปนอยางไร คือ อุปาทินนกรปู ภายในท่ีเปนของเฉพาะตน เปน ของพัดไปมา มีความ พัดไปมา ไดแก ลมท่พี ัดขึ้นเบ้ืองบน ลมที่พดั ลงเบื้องตํ่า ลมในทอ ง ลมในลาํ ไส ลมทแ่ี ลนไปตามอวยั วะนอยใหญ ลมหายใจเขา ลมหายใจออก หรอื อุปาทินนกรูป ภายในอ่นื ใด ท่ีเปนของเฉพาะตน เปน ของพดั ไปมา มีความพัดไปมา น้เี รยี กวาวาโยธาตภุ ายใน วาโยธาตภุ ายในและวาโยธาตุภายนอกน้ี ก็เปนวาโยธาตุนัน่ เอง บัณฑิตพงึ เห็นวาโยธาตุนั้นตามความเปน จริง ดว ยปญญาอันชอบอยางนวี้ า ‘นัน่ ไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนนน่ั น่ันไมใ ชอัตตาของเรา’ ครน้ั เห็นวาโยธาตุนั้นตามความเปน จริง ดวยปญ ญาอันชอบอยา งนีแ้ ลว ยอ มเบอ่ื หนายในวาโยธาตุ และทาํ จติ ใหค ลาย กําหนดั จากวาโยธาตุ”84๘๕ “อากาสธาตุ เปนอยา งไร คือ อากาสธาตุภายในก็มี อากาสธาตภุ ายนอกก็มี อากาสธาตภุ ายใน เปน อยางไร คอื อุปาทินนกรปู ภายในที่เปนของเฉพาะตน เปนสภาวะวางเปลา มีความ วางเปลา ไดแ ก ชองหู ชองจมกู ชองปาก ชอ งสาํ หรับกลืนของกนิ ของดื่ม ของเค้ียว ของลิม้ รส ชองที่พักอยแู หงของกนิ ของดมื่ ของเค้ยี ว ของลมิ้ และ ชองสาํ หรับของกิน ของดืม่ ของเค้ยี ว ของลม้ิ ไหลลงเบอ้ื งตํา่ หรืออปุ าทนิ นกรปู ภายในอื่นใดทเ่ี ปนของเฉพาะตน เปนสภาวะวางเปลา มคี วามวา งเปลา นี้เรียกวาอากาสธาตุ ภายใน อากาสธาตภุ ายในและอากาสธาตุภายนอกน้ี กเ็ ปนอากาสธาตุนั่นเอง บัณฑติ พงึ เห็นอากาสธาตุน้นั ตามความเปน จริง ดวยปญญาอนั ชอบอยา งนวี้ า ‘น่นั ไมใ ช ของเรา เราไมเ ปน น่นั นนั่ ไมใชอ ตั ตาของเรา’ คร้ันเหน็ อากาสธาตนุ ัน้ ตามความ ๘๔ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๑/๔๐๖-๗. ๘๕ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๒/๔๐๗.

๕๙ เปน จริง ดว ยปญญาอนั ชอบอยางน้ีแลว ยอ มเบ่อื หนา ยในอากาสธาตุ และทําจิต ใหคลายความกําหนดั จากอากาสธาต”ุ 85๘๖ “ทนี น้ั วิญญาณอนั บริสุทธผ์ิ ดุ ผอ ง เหลอื อยู บุคคลยอ มรเู รอื่ งอะไรๆ ไดด ว ยวญิ ญาณนั้น คือรวู า ‘สขุ ’ บา ง รวู า ‘ทุกข’ บา ง รูว า ‘อทุกขมสขุ ’ บาง เพราะอาศัยผัสสะอนั เปนท่ีตัง้ แหงสขุ เวทนา สุขเวทนาจึงเกิด บคุ คลน้ันเมอ่ื เสวย สขุ เวทนา ยอ มรชู ดั วา ‘เราเสวยสุขเวทนาอย’ู รูช ัดวา ‘เพราะผัสสะอันเปน ที่ต้ัง แหง สขุ เวทนานัน้ นั่นแลดับ สขุ เวทนาที่เกดิ เพราะอาศัยผัสสะอนั เปนทต่ี ั้งแหง สุขเวทนา ท่ีเสวยอยูอนั เกิดจากผสั สะน้ันกด็ บั คอื สงบไป’”86๘๗ “เพราะอาศัยผสั สะอันเปน ทตี่ ้ังแหงทุกขเวทนา ทกุ ขเวทนาจึงเกิด บคุ คลนั้นเมอ่ื เสวยทุกขเวทนา ยอ มรชู ัดวา ‘เราเสวยทุกขเวทนาอยู’ รชู ัดวา ‘เพราะผสั สะอันเปน ที่ตั้งแหงทกุ ขเวทนานั้นน่นั แลดบั ทุกขเวทนาทเี่ กดิ เพราะอาศยั ผสั สะอนั เปนทตี่ ้ังแหงทกุ ขเวทนา ที่เสวยอยอู ันเกดิ จากผสั สะน้ันก็ดบั คอื สงบไป’”87๘๘ “เพราะอาศยั ผัสสะอนั เปน ทต่ี ัง้ แหงอทกุ ขมสขุ เวทนา อทกุ ขมสขุ เวทนา จึงเกิด บคุ คลนั้นเมื่อเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนา ยอ มรูชดั วา ‘เราเสวยอทุกขม- สขุ เวทนาอยู’ รูชัดวา ‘เพราะผสั สะอันเปนท่ตี ้งั แหง อทุกขมสุขเวทนาน้ันนั่นแลดบั อทกุ ขมสขุ เวทนาท่เี กิดเพราะอาศยั ผสั สะอันเปน ท่ตี ้ังแหงอทุกขมสขุ เวทนา ทเ่ี สวย อยูอนั เกดิ จากผัสสะนัน้ กด็ ับคอื สงบไป’”88๘๙ จากพระสูตรน้ี คือการอธิบายองคประกอบของรางกาย คือ รูปขันธ วาประกอบดวยธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) ธาตุนํ้า (อาโปธาตุ) ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) ธาตุลม (วาโยธาตุ) และอากาสธาตุ (ชองวาง) ซึ่งเปน ลักษณะของรูปกายท่ีอาศัยการปรงุ แตงของธาตุทงั้ หลายประกอบรวมกันเขา สวนนามขันธ คือ วิญญาณ ธาตุนั้น ทําใหบุคคลยอมรูอะไรๆดวยวญิ ญาณ ยอมรูสึก ยอมเสวยอารมณ ซึ่งเปนเรื่องของจติ ใจ แตการท่ี จะเกิดการรูอารมณ การเสวยอารมณของจิตไดน้ัน ตองอาศัยผัสสะ คืออาการท่ีบุคคลสัมผัส หรือเรียก ภาษาปจจบุ ันวา กระบวนการรับรู และการรบั รนู ัน้ อาจจะทําใหเ กิดความรูส ึกพอใจบา ง ไมพอใจบาง หรอื ๘๖ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๕๓/๔๐๘. ๘๗ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๔/๔๐๘. ๘๘ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๕/๔๐๘. ๘๙ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๖/๔๐๙.

๖๐ เฉยๆบาง ขึ้นอยูกับอาการปรุงแตงของจิต ซึ่งเปนการทํางานของสังขารขันธรวมกับวิญญาณขันธ และ ทาํ งานพรอ มกนั กบั เวทนาขันธแ ละสัญญาขันธด ว ย ขันธ ๕ กบั อปุ าทานขันธ ๕ ขันธท้ัง ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ น้ัน โดยปกติพระพุทธองคไมไดทรง แสดงหลักธรรมขันธ ๕ โดยลําพังโดด ๆ ๙๐ แตพระองคทรงยกหลักธรรมขึ้นมาเพ่ือใหเปนสภาวะที่ 89 พิจารณาใหเห็นวา ส่ิงท่ีเรียกวา สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา น้ัน แทจริงแลวเม่ือแยกสวนประกอบตาง ๆ ตามสภาวะ ยอมปราศจากตวั ตนท่แี ทจ รงิ ท่สี ามารถยึดถือวาเปน เจา ของได สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย ไดอธิบายความไวในหนังสือพุทธธรรมวา “หลักขันธ ๕ แสดงถึง ความเปนอนัตตา ใหเห็นวาชีวิตเปนการประชุมเขาของสวนประกอบตาง ๆ หนวยรวมของสวนประกอบ เหลาน้ี ก็ไมใชตัวตน สวนประกอบแตละอยาง ๆ นั้นเอง ก็ไมใชตัวตน และสิ่งท่ีเปนตัวตนอยูตางหากจาก สวนประกอบเหลา นก้ี ็ไมมี เมื่อมองเหน็ เชนนั้นแลว ก็จะถอนความยึดมน่ั ถือมั่นในเรื่องตัวตนได ความเปน อนัตตาน้ี จะเหน็ ไดช ัดตอเมอื่ เขา ใจกระบวนการของขันธ ๕ ในวงจรแหงปฏจิ จสมุปบาท”90๙๑ นอกจากนี้ พระพทุ ธองคท รงไดย กเหตุการณส ามญั ของมนุษยมาอธิบายไดแ ก ความเกิด ความแก ความเจ็บ และความตาย ซ่ึงลวนเปนเหตุการณท่ีปรากฏขึ้นในชีวิตของมนุษยทุกคน และทรงสรุปยอลง เปนขอเดยี ววา อปุ าทานขันธท ้ัง ๕ คือ ทกุ ข ดงั พระพุทธพจน “ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอนเ้ี ปนทุกขอริยสจั คอื แมค วามเกิดก็เปน ทกุ ข แมค วาม แกกเ็ ปน ทุกข แมค วามเจ็บกเ็ ปนทกุ ข แมค วามตายกเ็ ปน ทกุ ข ความประสบสิ่ง อันไมเ ปน ทร่ี กั กเ็ ปน ทุกข ความพลดั พรากจากสงิ่ อันเปน ที่รักกเ็ ปน ทุกข ปรารถนา ส่งิ ใดไมไดส ง่ิ น้ันกเ็ ปน ทุกข โดยยอ อุปาทานขนั ธ ๕ เปน ทกุ ข” 91๙๒ ๙๐ พระพรหมคณุ าภรณ, ป.อ. ปยตุ ฺโต, พทุ ธธรรม, หนา ๒๔ – ๒๕. ๙๑ ปจ จุบนั ดาํ รงสมณศกั ด์ิ สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย, ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ, ป.อ. ปยุตโฺ ต, พุทธธรรม, หนา ๒๕. ๙๒ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๓.

๖๑ การอธบิ ายความสัมพันธระหวางกายกบั จิตดวยหลักธรรมปฏจิ จสมปุ บาท ในท่ีน้ี ขอเนนถึงพุทธพจนหน่ึงท่ีปรากฏในหลักปฏิจจสมุปบาทวา “วิญญาณเปนปจจัยใหเกิด นามรปู ” และ “นามรูปเปน ปจจัยใหเกิดวญิ ญาณ” เพอ่ื แสดงใหเห็นถึงความสัมพันธร ะหวา งกายกับจิต วิญญาณ ในทีน่ ี้ก็คอื จิต หมายความวา “จิตเปน ปจจัยใหเ กิดนามและรูป” ในวิสุทธิมรรคอธิบายวา วิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนามรูปนั้น มี ๒ ชนิด คือ วิปากวิญญาณ92๙๓ และอวิปากวิญญาณ ซึ่งพระสัทธรรมโชติกะเรียกวา กัมมวิญญาณ93๙๔ ซ่ึงรูปท่ีเกิดข้ึนในปฏิสนธิกาลน้ันมี แตกัมมชรูป โดยอาศัยกัมมวิญญาณในอดีตภพ และปฏิสนธิวิญญาณในภพปจจบุ ันเปนปจจัย สวนรูปในป วตั ติกาลมไี ดท ง้ั กมั มชรปู และจติ ตชรปู การอธิบายนามรูปที่สื่อความแบบชาติปจจุบัน คือ พฤติกรรมการทํางานของวิญญาณ มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ ที่ทําใหเกิดการปรุงแตงวิญญาณใหเปนกุศลหรืออกุศล และรางกายที่ ทํางานรวมกับวิญญาณหรือทํางานตามคําส่ังของวิญญาณ กลาวตามแนวอภิธรรมคือ เจตสิกหรือนามขันธ ๓ และรูปตาง ๆท่ีเกิดข้ึนในขณะรับรูอารมณท่ีมาถึง พฤติกรรมตาง ๆที่เกิดขึ้นเปนกระบวนการทํางาน ของเวทนาขนั ธ สัญญาขันธ และสังขารขนั ธ ไดแ ก เจตนา ผสั สะและมนสกิ ารเปน ตน กับพฤตกิ รรมตา ง ๆ ทางกายก็คือ รูปซึ่งทางอภิธรรมเรียกวา จิตตชรูป หมายถึงการเคลื่อนไหวและการกระทําตาง ๆของ รางกายในชวี ติ ประจาํ วนั เรียกวา รปู ท่เี กิดจากจิต94๙๕ ส่ิงสําคัญท่ีควรทําความเขาใจใหลึกซ้ึงในเรื่องของจิต ไดแก เวทนา สัญญา และสังขาร คือ นาม ขันธท ้งั ๓ ที่เรยี กวา เจตสกิ ซง่ึ เปนคณุ สมบตั ิของจิต เปนเรือ่ งของจติ โดยปกติท่ัวไป เวลาเราไดรับความทบกระเทือนทางกายหรือทางใจ เราจะรูสึกเจ็บหรือไมรูสึก เจ็บ เราจะเขาใจวาเปน เร่ืองของระบบประสาทและสมองโดยตรง คนเราจะจาํ อะไรไดดีหรือไมดีข้ึนอยูกับ ๙๓ วิปากวิญญาณ ไดแ ก โลกยี วปิ ากจิต ๓๒. ๙๔ พระสัทธัมมโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปน,ี หนา ๕๓. ๙๕ อายษุ กร งามชาต,ิ ปฏิจจสมุปบาทผา นแนวคิดพระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต),สารiนพิ นธ พทุ ธ ศาสตรดุษฎบี ัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย), ๒๕๕๒ หนา ๑๙

๖๒ ระบบประสาทของสมอง อารมณดีหรืออารมณราย ข้ึนอยูกับส่ิงแวดลอมและฮอรโมนตางๆในรางกาย ความเขาใจตางๆเหลา นี้เชงิ วทิ ยาศาสตรไ มผ ิด แตสําหรับพุทธศาสนาแลวยังไมครอบคลุมพอ ความรูสึกเจ็บหรือไมเจ็บน้ัน เปนเรื่องของเวทนา เปนส่ิงที่เกิดข้ึนจากจิตโดยตรง แตจิตจะรูสึกอยางน้ันไดตองอาศัยคุณสมบัติของระบบประสาทและสมอง ดว ย ขอสังเกตทางจติ วทิ ยา : การอธบิ ายประสาทวิทยาในฐานะรปู ขนั ธแ ละนามขันธ อ.พร รัตนสุวรรณอธิบายไววา คําวา “ประสาท” เปนคํามาจากภาษาบาลี แปลวา ทางเดินของ กระแสจิตหรอื กระแสวญิ ญาณ เรยี กอีกอยา งวา อายตนะ แปลวา ทเี่ กิดและที่ติดตอ ของวิญญาณ ประสาทและสมองเรียกวา อายตนะ ก็เพราะส่ิงเหลานี้เปนท่ีเกิดของวิญญาณท้ัง ๖ เชน จักษุ ประสาทเปนที่เกิดของจักษุวิญญาณ โสตประสาทเปนท่ีเกิดของโสตวิญญาณ สมองเปนที่เกิดของมโน วิญญาณ ดังนีเ้ ปน ตน และทวี่ า เปน ทต่ี ดิ ตอของวญิ ญาณ หมายความวา วิญญาณจะตดิ ตอโลกภายนอกได จะตองอาศัยระบบประสาทตางๆ และคําวาโลกภายนอก ในท่ีน้ีหมายถึง รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ (สมั ผสั ) และธัมมารมณ (เรอ่ื งราวตา งๆท่ีใจนึกคดิ ) สัญญาและสังขาร ก็เชนเดียวกัน สิ่งเหลาน้ีเปนเจตสิก เปนเร่ืองที่เกิดจากจิตโดยตรง การเขาใจ วา สมองเปนผูจดจําส่ิงตางๆ เปนความเขาใจทผี่ ิวเผิน หนา ท่จี ดจาํ เปนเร่ืองของจิต แตจิตจะจดจาํ ไดดีและ แมนยําตอ งอาศัยสมองดีและระบบประสาทด9ี5๙๖ ในท่ีน้ีนอกจากการท่ีจะพิจารณาดูวา สมองของคนเราจะดีขึ้นหรือวาเลวลง นอกจากพิจารณาใน แงวัตถุแลว อยาลืมพิจารณาในแงของนามธรรมดวย และในหลักของปฏิจจสมุปบาทก็มีอีกตอนหนึ่งวา “นามรูปเปนปจจัยใหเกิดสฬายตนะ” จากหัวขอนี้ก็แสดงไวชัดวา ระบบประสาทของคนจะพัฒนาไปใน ๙๖ พร รัตนสุวรรณ, คาํ บรรยายพทุ ธปรัชญา ภาค ๑ , พิมพค รั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พค นควา ทางวญิ ญาณ, ๒๕๓๒), หนา ๒๐ -๒๑.

๖๓ รูปไหนอยางไรก็ได ท้ังนี้ข้ึนอยูกับสภาพของวิญญาณ เชน หากคนท่ีพยายามฝกสมาธิอยูเสมอจนกระท่ัง เขา ฌานได สมรรถภาพหรือคณุ สมบตั ขิ องสมองกย็ อมจะดขี ึ้นๆโดยลําดบั ถาบุคคลใดย่ิงฝกสมาธิไดขั้นสูงคือไดฌานข้ันที่ ๔ และสําเร็จทิพยจักษุดวย ซ่ึงเมื่อฝกไดถึงข้ันน้ี แลว และยังเขาสมาธิบอยๆ จนมีความชํานาญมาก คือสามารถเขาสมาธิไดเร็วและเขาไดทุกเวลาทุก สถานท่ี ถาทําไดถงึ ขนาดนกี้ แ็ ปลวา สมองไดเ ปลี่ยนสภาพไปจากเดมิ แลว สําหรบั บคุ คลประเภทน้เี ม่ือตาย แลว ก็จะไปเกิดเปนพรหมหรือเทพเจาช้ันสูง และเมื่อเกิดมาเปนมนุษย จากวิบากของสมาธิซึ่งไดอบรม สะสมไวม ากนั้น ก็จะทําใหเ กดิ มามีสมองเปนอจั ฉริยะ ในทางวิทยาศาสตรมีแนวคิดวาคนท่ีเกิดมามีความจําดีหรือไมดีน้ันเกี่ยวของกับกรรมพันธุ คือถา พอแมฉ ลาดมคี วามจาํ ดี ลูกกไ็ ดรับยนี สน้มี าจากพอแม ถา พอ แมเปนคนปญ ญาออน ลูกก็มกั จะตอ งเปนคน ปญญาออนดวย พระพุทธศาสนายอมรับกฎขอน้ี ท่ีเรียกวา สติปญญาถูกจํากัดดวยกรรมพันธุ แต พระพุทธศาสนาไมไดอธิบายเพียงเทานี้ ทางพระพุทธศาสนาอธิบายไดลึกซึ้งกวาวา สมองและระบบ ประสาทท้ังหมดเปนกัมมชรูป ซึ่งแปลวา เปนรูปท่ีเกิดแตกรรม และคําวา กรรม ในที่น้ี หมายถึง กรรม ของตวั เองในอดตี ชาติ บคุ คลใดถาในชาติกอ นเปนคนฉลาดมีความรอบรูแตกฉานในวิชาการตา งๆ สามารถนําความรูน้ัน มาทํางานตางๆไดเปนผลสําเร็จ สําหรับคนที่เคยทํากรรมมาแบบน้ี เมื่อเกิดมาเปนคนอีก ก็จะเกิดมาเปน คนมีสมองดีสติปญญาดีมาต้ังแตเด็ก คือจําอะไรไดงาย รูอะไรไดเร็ว ดวยเหตุน้ี สมองและระบบประสาท ท้งั หมดจงึ ไดช ่ือวา เปนกมั มชรปู เพราะเหตุที่สมองและระบบประสาทท้ังหมดเปนกัมมชรูป สภาพของ สมองและระบบประสาทจึงตองมีการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอตามสภาพของจิตใจ96๙๗ ซ่ึงกอใหเกิดรูปที่มี กรรมเปนสมุฏฐานในกระแสจิตภายในทุกๆขณะนับแตปฏิสนธิเปนตนมา”๙๘ หมายความวา รูป ซึ่งในที่น้ี ๙๗ พร รัตนสุวรรณ , อภญิ ญา เลม ๑, พมิ พค รง้ั ที่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นักคนควา ทางวิญญาณ, ๒๕๓๖), หนา ๑๒๐ – ๑๒๔. ๙๘ สงฺคห. (ไทย) ๗๑.

๖๔ กลาวถึงกัมมชรูป98๙๙ คือรูปท่ีเกิดแตกรรมวาเปนการใหผลของกรรมในขณะปฏิสนธิในภพใหม99๑๐๐ ดังนั้น ในมุมมองของพุทธธรรม การท่ีบุคคลเกิดมามีปจจัยทางชีวภาพที่สมบูรณหรือบกพรองจึงขึ้นอยูกับรูปที่ เกิดแตกรรมดวย และเปนคุณสมบัติของจิต ที่เรียกวา สัญญาเจตสิกดวย คือการกําหนดหมายรูไดของจิต ในสิ่งตางๆทจ่ี ิตไดส่ังสมมา ลักษณะเชนน้เี ปนความสัมพนั ธร ะหวา งกายกับจติ ทั้งในระดับขามภพชาติ และ ปจ จุบนั ชาติ อีกตัวอยางเชน100๑๐๑ แรงขับทางสญั ชาตญาณที่ติดตวั มาแตกาํ เนิด ซึ่งในที่น้ีมุงเนนพิจารณาท่ี แรง ขับทางเพศ (Sexual drive) ซึ่งมีความซับซอนและข้ึนอยูกับหลายปจจัยรวมกัน ในการทําความเขาใจ เร่ิมตน ฟรอยดไดกลาวไววา “แรงขับทางเพศน้ีมีติดตัวเรามาต้ังแตแรกเกิดเปนทารก”๑๐๒ เม่ือพิจารณา จากหลักพุทธธรรมหมายความวา แรงขับทางเพศนี้มีกัมมชรูป คือรูปท่ีเกิดแตกรรมเปนฐานจากอดีตชาติ และเมื่อรางกายไดรับส่ิงกระตุนในปจจุบันดวยความรูสึกรักความรูสึกผูกพันอันเปนเร่ืองของจิตใจ จึงทํา ใหเกิดการหลั่งสารส่ือประสาทที่เก่ียวของกับอารมณความรูสึกรักและผูกพัน เชน สารสื่อประสาทออกซี โทซนิ (oxytoxin)๑๐๓ สารส่ือประสาทซีโรโทนนิ (serotonin) และโดปามนี (dopamine)๑๐๔ เปน ตน ใน พทุ ธธรรมอธบิ ายวา เปน จติ ตชรปู คอื รปู ท่ีเกิดจากจิต ซง่ึ สารส่อื ประสาท หรือฮอรโ มนตางๆดงั กลาวนย้ี อม ๙๙ กัมมชรูป รูปที่เกิดจากกรรม ๑๘ คือ ปสาทรูป ๕, ภาวรูป ๒, หทยรูป ๑, ชีวิตรูป ๑, อวินิพโภครูป ๘, ปริจเฉทรูป ๑ , พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน, (กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธิสทั ธมั มโชติกะ), หนา ๘๙. ๑๐๐ วัชระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา ๒๗๐. ๑๐๑ อายุษกร งามชาต,ิ การบรู ณาการหลักพทุ ธธรรมเพือ่ เปนเคร่ืองมือในการปรบั เปลยี่ นภาวะบกพรองทาง ความรกั ,วทิ ยานิพนธ พทุ ธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย), ๒๕๕๔, หนา ๑๓๐ – ๑๓๑ ๑๐๒ Sigmund Freud, The Psychology of Love, pp. 118-119, 195-197, ปราโมทย เชาวศิลป, คูมือ ทฤษฎจี ติ วิเคราะห, หนา ๑๐-๑๙. ๑๐๓ James F. Leckman, Sarah B. Hrdy, Eric B. Keverne, and C. Sue Carter, “A Biobehavioral Model of Attachment and Bonding”, The new psychology of love, pp.130-131. ๑๐๔ Helen Fisher, “The Drive to Love : The Neutral Mechanism for Mate Selection”, The new psychology of love, pp.91-94.

๖๕ มีความเกีย่ วของกบั ระบบการทํางานของสมอง ตามหลักพทุ ธธรรมอธบิ ายวาคือ หทยรฺ ูป104๑๐๕ท่แี ทรกซมึ อยู ในการทํางานของเซลลสมองน่ันเอง105๑๐๖ กลาวคือปรากฏการณที่ตอบสนองทางรางกายน้ันมาจากจิตใจ ดังทก่ี ลา วมานีค้ ือการทาํ งานรว มกนั ของกายและจติ ประเด็นหนึ่งท่ีสําคัญ ขอกลาวในที่นี้คือ เร่ืองหทยฺรูป “หทยฺรูป” เปนที่อาศัยสําหรับวิญญาณ หรือจิตและนามขันธ ๓ ท่ีปฏิบัติการรวมกัน106๑๐๗ ในพระไตรปฎกไมใชคําวา หทยฺรูป แตใชคําวา “ถํ้า(อัน เปนท่ีอาศัยของจิต)”๑๐๘ ซ่ึงถ้ํานี้ หมายถึงมหาภูตรูป ๔ และหทยฺรูป ดังนั้น หทยฺรูปจึงมีความสัมพันธ อยางใกลช ดิ กับวิญญาณ และเก่ยี วของกับเรอื่ งของจติ ใจ ความรใู นเรื่องเกี่ยวกับหทยรฺ ูปนี้ มนี กั วชิ าการตีความถึงตําแหนงท่ีตั้งของหทยรฺ ูป ๓ ตําแหนง108๑๐๙ คือ ทัศนะท่ีเห็นวาหทยฺรูปอยูท่ีหัวใจ ทัศนะที่เห็นวาหทยฺรูปอยูที่สมอง และทัศนะท่ีเห็นวาหทยฺรูปอยูทั่ว ท้งั รา งกาย ในพทุ ธพจนนนั้ คําวา หทยํ มคี วามหมายสองนัย คือ นัยแรก หมายถึงกอนเน้ือหัวใจ ทําหนาที่สูบฉีดโลหิตเพ่ือหลอเลี้ยงรางกาย ตําแหนงอยูทรวงอก ดานซา ย มีหลกั ฐานปรากฏอยูในอาการ ๓๒ วา เกศา (ผม) ฯลฯ หทยํ (หัวใจ)109๑๑๐ นัยท่ีสอง หมายถึงมันสมอง ซ่ึงตามศัพทแลว มันสมอง มีศัพทเฉพาะเรียกวา มตฺถลุงคํ ศัพทน้ีมี อยูในอาการ ๓๒ (ทฺวตฺตึสาการปาฐ) เหตุผลที่มีทัศนะวาหทยฺรูปอยูที่สมองน้ัน เพราะในอาการปาฐะ พรรณนาถึงอวัยวะตาง ๆของรางกาย และสมองเปนอวัยวะท่ีสําคัญสวนหน่ึง ตามหลักฐานทางสรีรวิทยา ๑๐๕ หทัยรูปเปนท่ีอาศยั สาํ หรบั วญิ ญาณหรอื จิตและนามขันธ ๓ ทีป่ ฏบิ ตั ิการรวมกนั (ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑/ ๔๑๗). ๑๐๖ นันทพล โรจนโกศล, “พุทธประสาทจริยศาสตรกับภาวะบกพรองทางสมอง”, วิทยานิพนธ พุทธศาสตร ดษุ ฎีบัณฑติ , (บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ), ๒๕๕๑, หนา ๓๘๗. ๑๐๗ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑๔๑๗. ๑๐๘ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗/๓๗. ๑๐๙ นนั ทพล โรจนโกศล, “พทุ ธประสาทจริยศาสตรก ับภาวะบกพรอ งทางสมอง”, วทิ ยานิพนธ พุทธศาสตร ดษุ ฎีบณั ฑิต, หนา ๒๓๒-๒๕๖. ๑๑๐ บรรจบ บรรณรุจิ, จิต มโน วญิ ญาณ, หนา ๑๘-๑๙.

๖๖ แพทยพบวา สมองเปน ตน ตอแหงการนึกคิด สว นหลกั ฐานทางอภิธรรม อธิบายวา ธาตุ อาศยั รปู ใดเปนไป รปู นนั้ เรยี กวา หทยั วัตถุ (มโนธาตุ - การนกึ , มโนวญิ ญาณธาตุ - การคิด)110๑๑๑ หากอธิบายตามหลักสรีรวิทยาแลว สมองและหัวใจมีความสัมพันธกันมาก สมองทําหนาท่ี ควบคุมการทํางานของหัวใจ และในขณะเดียวกัน หัวใจก็ทําหนาที่สูบฉีดโลหิตเพ่ือไปเล้ียงสมอง ความสัมพันธท ใ่ี กลชดิ กนั น้ีจงึ มีความเปน ไปไดวา หัวใจและสมอง ถูกเรยี กรวมกนั วา หทยํ111๑๑๒ สมเด็จพระญาณสังวร สังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก องคที่ ๑๙ แหงกรุงรัตนโกสินทร ได อธบิ ายไวในหนงั สอื จติ ศึกษาอยา งนาสนใจวา “คําวาจิตนี้ มีความหมายถึงตัวธาตุรูที่มีอยูในบุคคล อันพระพุทธภาษิตแสดงไววา ‘ไมมี สรีระคือรูปรางทรวดทรงสณั ฐานอันเปนเร่ืองของรูป มีคูหาคือถ้ําเปนทอี่ าศยั ’ ...ถาพิจารณาตาม พระพุทธภาษิต... จิตเปนอสรีระ คือไมมีรูปรางสรีรสัณฐาน ก็จะเปนหลักฐานที่ตองเห็นวาจิตกับ มันสมองตางกัน เพราะมันสมองน้ันเปนสงิ่ ทม่ี สี รรี สัณฐาน จึงเปนรูปกายสวนหนึ่ง แตวาจิตไมม สี รรี สณั ฐาน เพราะฉะนั้น จิตจงึ ไมใชสมอง แตจติ กบั กายตอ งอาศยั กนั เพราะฉะนั้น หากวาจติ เปน ธรรมชาติ ท่ีไมมีสรีรสัณฐาน อาศัยอยูกับกายน้ี จะอาศัยอยูกับสวนไหน ก็นาจะเห็นวาอาศัยอยู กับมันสมองเปนหลักสําคัญ เพราะมันสมองเปนที่ตั้งของประสาทท้ังหลาย ใหเกิดความรูทาง ประสาททั้งปวงและจิตน้ีท่ีจะรูอะไรออกมาทางภายนอกได เชน รูรูปทางตา รูเสียงทางหู ก็ตอง อาศัยประสาทตาอาศัยประสาทสมองเปนตน ซึ่งศูนยรวมของประสาทกร็ วมอยูท ่ีมนั สมอง”112๑๑๓ ในที่นี้ขอยกตัวอยางเปนกรณีศึกษาทางดานวิทยาการสมัยใหมมาใหพ ิจารณาถึงความสมั พันธอ ัน ซับซอนระหวา งกายและจิตใจ จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตรกลุมหนึ่ง โดยมี John และ Beatice Lacey แหง “Fels Research Institute” เปนหนึ่งในรุนแรกๆ และพัฒนาเพิ่มเติมโดยสถาบัน “HeartMath Research ๑๑๑ อางแลว. ๑๑๒ บรรจบ บรรณรุจ,ิ จิต มโน วญิ ญาณ, หนา ๒๐. ๑๑๓ สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสงั ฆปรินายก องคท ี่ ๑๙, จติ ศึกษา, พิมพคร้งั ท่ี ๓, กรงุ เทพมหานคร : บริษทั พิมพสวยจํากดั , ๒๕๕๔, หนา ๑๕-๑๖.

๖๗ Center, Institute of HeartMath”๑๑๔ นักวิทยาศาสตรกลุมน้ีไดพยายามศึกษาการทํางานของหัวใจใน ลักษณะที่แสดงใหเห็นวา หัวใจไมใชแคเพียงอวัยวะท่ีใชในการสูบฉีดโลหิตเทานั้น แตหัวใจสามารถ ประมวลดวยตนเอง และสามารถสื่อสารกับสมองในฐานะผูนํา ไมใชฟงคําสั่งจากสมอง นอกจากน้ี จาก การวิจัยของนักวิทยาศาสตรกลุมน้ียังเสนอวาการเตนของหัวใจสามารถสงอิทธิพลไปสูการเตนของหัวใจ ผูอื่น จนนําไปสูบทสรุปวาการส่ือสารความรูสึกตางๆจากคนหน่ึงไปสูอีกคนหนึ่งไดดวยการแทรกรหัสของ ความรสู ึกไปกับสญั ญาณการเตน ของหวั ใจน้นั ดังคํากลา วท่ีวา “หวั ใจแสดงออกราวกบั วามันมีความคิดของมนั เอง และมีอทิ ธพิ ลอยา งลึกซ้ึงกับแนวทางการรับรู และตอบสนองตอโลก ... ดูเหมือนวาหัวใจสงขอความที่มีความหมายไปยังสมองซึ่งไมเพียงแคเขาใจ เทา นั้น แตยังเช่ือฟงดว ย ...”๑๑๕ นอกจากน้ี ยังมีหลักฐานที่สนับสนุนทัศนะของกลุมน้ี จากการศึกษาวิจัยของ ดร.พอล เพียซอลล (Paul Pearsall) ท่ีแสดงวาหัวใจมีระบบเก็บความจําผานทฤษฎี Cellular Memory กลาวคือ เซลลทุก ชนิดสามารถมีความคิดและระบบความจําของตัวเอง และยังสามารถแผข ยายพลงั งานออกมา โดยมีหัวใจ เปนศูนยกลางในการรวบรวมเรียบเรียงและประสานงานกับเซลลตางๆทั่วรางกาย โดย ดร.พอล ไดศึกษา ผูปวยประมาณ ๑๔๐ ราย ท่ีไดรับการผาตัดเปลี่ยนหัวใจ และปรากฏวามีผูปวยหลายรายมีความทรงจํา ตดิ มาจากหัวใจของผูทบ่ี ริจาค ตัวอยางกรณีของเดวิด (David) และ เกลนดา (Glenda) คูรักทั้งสองเปนแพทย หลังประสบ อุบัติเหตุทางรถยนต เดวิดเสียชีวิตในอุบัติเหตุ และไดบริจาคหัวใจใหกับวัยรุนชายลูกคร่ึงอเมริกันสเปน มารดาของวัยรุนคนนี้เลาวา ในวันท่ีรูสึกตัวข้ึนมาจากการผาตัดเปลี่ยนหัวใจ วัยรุนคนน้ี ไดใชคําที่ไมเคย ใชมากอนวา “everything is copacetic” ซึ่งคําวา “copacetic” นี้ไมมีความหมายสําหรับบุคคลทั่วไป แตเปนรหัสท่ีใชเฉพาะระหวางคูรักท้ังสองที่หมายความวา เม่ือทุกอยางเรียบรอยดีจะใชคําน้ี และในวัน แรกท่ีเกลนดาจะพบวัยรุนรายนี้ ขณะท่ีวัยรุนผูรับบริจาคกําลังจะเดินเขามาหาเกลนดา เธอรูสึกวาเดวิด กําลังอยูใกลๆเธอ และในเวลาเพียงชั่วขณะหลังจากความรูสึกน้ันเกิดข้ึน วัยรุนน้ันไดเขามาถึงจุดนัดพบ ๑๑๔ วธิ าน ฐานะวุฑฒ, หัวใจใหม ชีวติ ใหม, (เชยี งราย : ปต ศิ ึกษา, ๒๕๔๖), หนา ๑๙๒ – ๑๙๓. ๑๑๕ R. McCraty, M. Atkinson, and D. Tomasino, Science of the Heart : Exploring the Role of the Heart in Human Performance, (Boulder Creek, CA : HeartMath Research Center, Institute of HeartMath, 2001), pp.1-2.

๖๘ นอกจากนี้ วัยรุนรายนี้ยังเปล่ียนนิสัยการบริโภคอาหารจากเดิมกินแบบมังสวิรัติ หลังผาตัดกลายเปนคน ชอบกินเน้ือและอาหารมันๆ หลังจากท่ีผาตัดเปลี่ยนหัวใจ ซ่ึงเหมือนกับนิสัยการบริโภคอาหารของเดวิด ไมเพียงเทาน้ี วัยรุนรายน้ียังไดเปล่ียนนิสัยการฟงเพลง จากเดิมชอบฟงเพลง heavy metal เปล่ียนมา เปนชอบฟงเพลงรอ็ คเกาๆ ซงึ่ เดวิดเคยเปนนกั ดนตรขี องวงร็อคแอนดโรลสมัยเปน นักเรยี นแพทย115๑๑๖ กรณีตัวอยางที่นาํ เสนอมานแี้ สดงใหเหน็ วา หทยรฺ ปู แทรกซึมอยูทหี่ ัวใจ คือ พฤติกรรมบางอยางที่ เปล่ียนแปลงไปหลังจากไดรับการผาตัดเปลี่ยนหัวใจ โดยพฤติกรรมใหมดังกลาวโนมเอียงไปเหมือน เจาของหัวใจเดิม ซึ่งแสดงใหเห็นความจําของเจาของหัวใจเดิมสามารถถายทอดมาสูเจาของหัวใจคนใหม นนั้ ๑๑๗ 116 คําถามทบทวนประจาํ บท ๑ ใหน ิสิตอธบิ ายหลกั ธรรมขันธ ๕ มาโดยสังเขป ๒ ใหนิสิตอธบิ ายความสมั พนั ธร ะหวางขันธตา ง ๆ มาโดยสังเขป ๓ ใหน สิ ิตอธิบายอุปาทานขนั ธ ๕ มาโดยสงั เขป ๑๑๖ Pual Pearsall, The Heart’s Code : Tapping the Wisdom and Power of Our Heart Energy, (New York : Broadway Books, 1998), pp. 87. ๑๑๗ ดูรายละเอียดใน นนั ทพล โรจนโกศล, “พุทธประสาทจริยศาสตรก ับภาวะบกพรองทางสมอง”, วิทยานิพนธ พุทธ ศาสตรดุษฎบี ัณฑติ , หนา ๒๕๓.

๖๙ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑ พระไตรปฎ ก พระไตรปฎ ก เลมที่ ๑๐ สุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค . พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๒ สุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๑๓ สุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมที่ ๑๓ สุตตนั ตปฎก มัชฌฺ มิ นกิ าย มชฌฺ ิมปณฺณาสกปาลิ . พระไตรปฎกภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าเตปฏ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๔ สตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณณาสก พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๖ สุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๑๗ สตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมท่ี ๑๘ สุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๑๙ สตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙.

๗๐ พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๒๕ สตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๓๕ อภิธรรมปฎก วิภงั ค . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ๒ คมั ภีรอ รรถกถา ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบทอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลยั พมิ พครัง้ ที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หามกฎุ ราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖. ๓ หนังสอื เดอื น คําด,ี รศ.ดร. ศาสนศาสตร. พมิ พครง้ั ที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพมิ พ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร, ๒๕๔๕. นันทพล โรจนโกศล, “การศึกษาวเิ คราะหแ นวคดิ เร่ืองขันธ๕ กบั การบรรลธุ รรมในพระพทุ ธศาสนาเถร วาท”. วิทยานิพนธ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต .บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ,๒๕๔๘. นนั ทพล โรจนโกศล, “พุทธประสาทจรยิ ศาสตรกับภาวะบกพรองทางสมอง”, วทิ ยานิพนธ พุทธศาสตร ดุษฎบี ณั ฑิต . บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท . พมิ พครง้ั ที่ ๓ . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๙. บรรจบ บรรณรจุ ิ, จติ มโน วิญญาณ, พมิ พครัง้ ท่ี ๔, กรงุ เทพมหานคร : สํานักพิมพธรรสภา,๒๕๓๗ ปราโมทย เชาวศลิ ป. คมู ือทฤษฎีจติ วเิ คราะห . กรงุ เทพมหานคร : เรือนแกว การพมิ พ , ๒๕๒๖. พร รัตนสุวรรณ. คําบรรยายพุทธปรชั ญา ภาค ๑ . พมิ พค รง้ั ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พค นควา ทางวญิ ญาณ , ๒๕๓๒. __________ . อภิญญา เลม ๑. พิมพค รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักคนควา ทางวญิ ญาณ, ๒๕๓๖.

๗๑ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม . พิมพค ร้ังท่ี ๑๖. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั เอส อาร พร้นิ ติ้ง แมส โปรดกั ส จาํ กัด, ๒๕๕๑. ___________ . พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ขยาย. พิมพครัง้ ท่ี ๓๒. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพิมพผลธิ ัมม, ๒๕๕๕. พระพทุ ธโฆษะเถระ. คัมภรี ว ิสทุ ธมิ รรค. ฉบบั ๑๐๐ ป สมเดจ็ พระพุฒาจารย อาจ อาสภมหาเถระ). พิมพ คร้ังที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : บริษัทธราเพลส จํากดั , ๒๕๔๘. พระไพศาล วิสาโล . สุขเหนอื สขุ . กรงุ เทพมหานคร : เนชนั่ บคุ ส . ๒๕๕๔. พระสัทธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจริยะ. ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี . พมิ พค รัง้ ท่ี ๕. นิพพาน. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธสิ ัทธัมมโชติกะ. พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจรยิ ะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปริจเฉทท่ี ๑-๒-๖ จติ เจตสิก รูป นพิ พาน. กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ ิสทั ธัมมโชติกะ. ๒๕๔๗. พระอนรุ ุทธาจารย. พระคันธสาราภิวงศ. (ผูแปล). อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมตั ถธปี นี. กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวันกราฟฟค เพลท,๒๕๔๖. วชั ระ งามจติ รเจริญ. พุทธศาสนาเถรวาท . กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร, ๒๕๕๐. วธิ าน ฐานะวฑุ ฒ. หัวใจใหม ชีวิตใหม . เชยี งราย : ปตศิ กึ ษา, ๒๕๔๖. สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราชสกลมหาสงั ฆปรินายก องคท ี่ ๑๙. จติ ศกึ ษา. พิมพค ร้ังที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : บริษทั พมิ พส วยจาํ กดั , ๒๕๕๔. สจุ ินต บรหิ ารวนเขตต. ปรมัตถธรรมสงั เขป จิตตสังเขป และภาคผนวก. พมิ พครง้ั ท่ี ๕. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นตงิ้ เฮาส, ๒๕๕๓. อายษุ กร งามชาติ, การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพ่อื เปน เครอ่ื งมอื ในการปรบั เปลย่ี นภาวะบกพรอ งทาง ความรัก.วิทยานพิ นธ พทุ ธศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต, บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔. __________ , ปฏิจจสมุปบาทผานแนวคิดพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต). สารนิพนธ พุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑติ , บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓. Helen Fisher. “The Drive to Love : The Neutral Mechanism for Mate Selection”. The new

๗๒ psychology of love. USA. Yale Univerity Press, 2006. James F. Leckman, Sarah B. Hrdy, Eric B. Keverne, and C. Sue Carter. “A Biobehavioral Model ofAttachment and Bonding”. The new psychology of love. USA. Yale Univerity Press, 2006. Pual Pearsall. The Heart’s Code : Tapping the Wisdom and Power of Our Heart Energy. New York : Broadway Books, 1998. R. McCraty, M. Atkinson, and D. Tomasino. Science of the Heart : Exploring the Role of the Heart in Human Performance. Boulder Creek. CA : HeartMath Research Center, Institute of HeartMath, 2001. Sigmund Freud. The Psychology of Love . New York : Penguin classics. 2007. ๔ ส่อื อนิ เตอรเ น็ต www.anamai.moph.go.th www.buddism-online.org www.dmh.go.th www.psyclin.co.th/new_page_82_htm

๗๓ แผนการสอนประจําบทที่ ๔ เนือ้ หา ๓ ช่วั โมง บทท่ี ๔ โครงสรางของชีวติ : อายตนะ ๖ อายตนะ ๖ : แดนรับรูและเสพเสวยโลก กระบวนการรบั รูของจิต กระบวนการสืบตอ ของวิญญาณกบั การรับรูขอมูล การรับรูเกิดข้ึนไดดวยความใสใจ การรับรูเปน ปจจัยใหเกดิ ความรูสึกตอส่ิงทีร่ บั รู ระดับของการรบั รู ความถกู ตอ งในการรบั รู ความผดิ พลาดของการรบั รู คาํ ถามทบทวนบทท่ี ๔ เอกสารอางองิ ประจําบท วัตถปุ ระสงคเ ชงิ พฤติกรรม หลงั จากเรียนจบบทน้ี นิสติ ๑ รู เขา ใจและสามารถอธบิ ายอายตนะ ๖ และกระบวนการรบั รูไดไ ด ๒ รู เขาใจและสามารถอธิบายระดับของการรบั รไู ด ๓ รู เขาใจและสามารถอธิบายความถูกตองและความผิดพลาดของการรบั รูได ๔ สามารถประยุกตค วามรูท ่ไี ดไ ปใชในชวี ติ ประจาํ วัน

๗๔ วิธีสอนและกจิ กรรม ๑ ศกึ ษาเอกสารคาํ สอนบทท่ี ๔ ๒ วธิ ีสอนแบบอภปิ รายเน้ือหา ซักถาม ๓ ศึกษาคนควา ดวยตนเอง ๔ รวมวเิ คราะหแ ละอภิปรายขอมูลจาก PowerPoint หนา ชน้ั เรยี น ๕ สรุปเนื้อหาการเรียนการสอนทุกครั้ง ๖ ทาํ คาํ ถามทบทวนทายบท และนาํ ผลทไี่ ดจ ากการวิเคราะหค วามรูความเขา ใจของนสิ ติ มา ปรบั ปรงุ สือ่ การเรียนการสอน ๑ เอกสารคําสอนบทที่ ๔ ๒ PowerPoint ๓ แบบฝก ปฏบิ ตั ิ ๔ เครื่องคอมพิวเตอร การวัดผลและประเมนิ ผล ๑ สงั เกตการณการมีสวนรวมและการแสดงความคดิ เหน็ ของนสิ ติ ๒ สังเกตความตัง้ ใจเรยี น การตง้ั คาํ ถาม/ตอบคําถาม ๓ การทาํ คาํ ถามทบทวนทา ยบท

๗๕ บทที่ ๔ โครงสรา งของชวี ิต : อายตนะ ๖ อายตนะ ๖ : แดนรบั รแู ละเสพเสวยโลก อายตนะ แปลวา ทต่ี อ หรอื แดน หมายถึงทตี่ อกนั ใหเกดิ ความรู แดนเชอ่ื มตอ ใหเ กดิ ความรู หรอื แหลง ท่ีมาของความรู ทางรบั รู มี ๖ อยาง คอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ๑๑๘ 117 คมั ภรี วิสุทธมิ รรค อธบิ ายขยายความไวว า บอ เกิด ก็เรยี กอายตนะ สถานทช่ี ุมนุม ก็เรยี กอายตนะ คําวา “อายตนะ” มีความหมายหลายนยั อาทิ อายตนโต เพราะเปนท่สี บื ตอ เพราะแผอายะท้ังหลาย (จิต และเจตสิก) และนําอายตะไป (คอื สังสารทกุ ขอ ันยืดเยอ้ื อยูแลวไป)118๑๑๙ สิ่งที่เชื่อมตอใหเกิดความรูภายใน เรียกวา อายตนะภายใน หรือเรียกวา ทวาร ๖ ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ สวนส่ิงที่เช่ือมตอใหเกิดความรูภายนอก เรียกวา อายตนะภายนอก ไดแก หรือเรียกอีกอยางวา อารมณ ๖ หมายถึง ส่ิงที่ถูกรับรู ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ส่ิง สัมผัสทางกาย) และธรรมารมณ (ส่ิงนกึ คิดทางใจ) กระบวนการรบั รูข องจติ องคความรูเรื่องการรับรูในจิตวิทยาพุทธศาสนา พระพุทธเจาตรัสสอนไวในหมวดธรรม อายตนะ เร่มิ จากจาํ แนกอายตนะออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑ อายตนะภายใน การรับรูโลกและสิ่งตาง ๆของผูคนท่ัวไปนั้นอาศัยอุปกรณในการรับรูท่ีอยูภายใน รางกาย คือ อายตนะภายใน ไดแก จักขายตนะ (อายตนะคือตา) โสตายตนะ (อายตนะคอื หู) ฆานายตนะ ๑๑๘ พระพรหมคณุ าภรณ, พทุ ธธรรม, หนา ๒๙. ๑๑๙ วิสุทธฺ ิ. (ไทย) ๕๑๑-๕๑๒/๘๐๖-๘๐๘.

๗๖ (อายตนะคือจมูก) ชิวหายตนะ (อายตนะคอื ลิน้ ) กายายตนะ (อายตนะคือกาย) และ มนายตนะ (อายตนะ คือใจ)119๑๒๐ ในคัมภีรวิสุทธิมรรค อธิบายวา องคธรรมแหงจักขายตนะ คือ จักขุปสาทรูป , องคธรรมแหงโส ตายตนะ คือ โสตปสาทรูป, องคธรรมแหงฆานายตนะ คือ ฆานปสาทรูป, องคธรรมแหงชิวหายตนะ คือ ชิวหาปสาทรูป, องคธรรมแหง กายายตนะ คอื กายปสาทรูป120๑๒๑ จักขุปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบรูปายตนะ ที่จะนําไปสกู ารรูทางตาได โดยรูป นี้ซึมซาบตลอดในแกวตา โตประมาณเทากับศีรษะของเหา เปนเย่ือบางดุจปุยนุนท่ีชุมดวยน้ํามันซอนกัน อยู ๗ ชั้น โสตปสาทรปู หมายถงึ รูปท่สี ามารถรับการกระทบกบั สทั ทายตนะ ทจี่ ะนาํ ไปสกู ารรูทางหูได โดย รูปนี้ซึมซาบตลอดในชองหู มีสัณฐานเปนวง ๆ คลายวงแหวน และมีขนอันละเอียดออนสีแดงปรากฏอยู โดยรอบ ฆานปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบกับคันธายตนะ ที่จะนําไปสูการรูทางจมูกได โดยรูปนซี้ มึ ซาบตลอดในชองจมูก อันมสี ณั ฐานเหมอื นกีบแพะ ชิวหาปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบกับรสายตนะ ท่ีจะนําไปสูการรูทางลิ้นได โดยรูปน้ีซมึ ซาบตลอดในทามกลางล้ิน อนั มสี ณั ฐานเหมือนปลายกลีบดอกบัว เรยี งรายซอนกันเปน ชั้น ๆ กายปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบกับโผฏฐัพพายตนะ ท่ีจะนําไปสูการรูทาง ผิวหนังได โดยรูปน้ีซึมซาบตลอดในประสาทท่ีมีสัณฐานคลายสําลีแผนบาง ๆ ที่ชุบน้ํามันจนชุมซอนกัน หลาย ๆ ช้ัน ตั้งอยูทั่วไปในสรรพางคกาย เวนท่ีปลายผม ปลายขน ที่เล็บ ที่ฟน ที่กระดูก ที่หนังหนาดาน ซ่ึงประสาทตงั้ อยูไมไ ด121๑๒๒ ๑๒๐ ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๔/๑๒. ๑๒๑ วสิ ทุ ธฺ ิ. (ไทย) ๕๑๕/๗๘๗. ๑๒๒ วิสทุ ฺธ.ิ (ไทย) ๔๓๖/๗๔๔-๗๔๕.

๗๗ สวนมนายตนะนั้น เปนนามธรรม ไมใชอวัยวะใด ๆ ตางจากอายตนะภายใน ๕ ประการแรกซ่ึง เปนรูปธรรม122๑๒๓ พระพุทธโฆสเถระไดอธิบายไวในคัมภีรวิสุทธิมรรควา มนายตนะเปนเพียงภวังคมนะ เปนอปุ ปตติทวาร (ทวารเปนที่เกิด) และธัมมายตนะเปน อารมณแหงกองวิญญาณที่ ๖123๑๒๔ เชนเดยี วกนั กบั คาํ อธิบายของพระอนุรทุ ธาจารย ผรู จนาคมั ภีรอภธิ ัมมตั ถสงั คหะ กลา วไวว า “ในบรรดาทวารเหลา นั้น จกั ขปุ ระสาทนนั่ เทียว ช่อื วา จกั ขุทวาร เชนเดยี วกันนี้ โสตประสาทเปนตน ก็ชอื่ วา โสตทวารเปนตน สว นภวังคจิตช่อื วา มโนทวาร”124๑๒๕ จากคําอธิบายขางตน แสดงใหเห็นวา มโนทวาร คือ ภวังคจิต และภวังคจิตเปนตนทางใน กระบวนการสบื ตอ ของวิญญาณทีเ่ รยี กวา อุปปตตทิ วาร125๑๒๖ ๒ อายตนะภายนอก สงิ่ ท่เี ขามาสูอายตนะภายในท้งั ๖ น้นั เรยี กวา อายตนะภายนอก ไดแ ก รู ปายตนะ (อายตนะคือรูป) สัททายตนะ (อายตนะคือเสียง) คันธายตนะ (อายตนะคือกลิ่น) รสายตนะ (อายตนะคือรส) โผฏฐัพพายตนะ (อายตนะคือโผฏฐัพพะ) และธัมมายตนะ (อายตนะคือธรรมารมณ)126๑๒๗ หรอื อารมณ ๖ ไดแก รปู ารมณ สัททารมณ คนั ธารมณ รสารมณ โผฏฐพั พารมณ และธรรมารมณ เม่ืออายตนะภายในกับอายตนะภายนอกปฏิบัติการรวมกันจะเกิดความรูเฉพาะขึ้นมา เรียกวา วญิ ญาณ หรือ จติ ดงั แผนภาพ ก ๑๒๓ ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๔/๑๒. ๑๒๔ วสิ ทุ ฺธิ. (ไทย) ๕๑๓/๘๐๘-๘๐๙. ๑๒๕ สงคฺ ห. (ไทย) ๔๑. ๑๒๖ นันทพล โรจนโกศล, อายตนะ : สนามแหงความรใู นพทุ ธจิตวิทยา, สารนพิ นธ พทุ ธศาสตรด ุษฎบี ัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยลัย), ๒๕๕๐, หนา ๔๘. ๑๒๗ ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๔/๑๒.

๗๘ แผนภาพ127๑๒๘ แสดงความสัมพนั ธระหวา งอารมณ (ส่งิ ที่ถกู ร)ู กับ จิต (ตัวร)ู โดยผา นทางทวาร ๖ จากความละเอียดลึกซ้ึงของพุทธธรรมยังแสดงใหเห็นวามีส่ิงท่ีเกิดข้ึนพรอมความรูเฉพาะท่ี เรียกวา วิญญาณ ดวย นั่นคือ การจําไดหมายรู ที่เรียกวา สัญญา หรือสัญญาเจตสิก เกิดขึ้นขณะ ปฏบิ ัติการรวมกนั สัญญาเจตสิก หมายถึงอาการแหงจิตหรือวิญญาณท่ีแสดงพฤติกรรมออกมาเปนความกําหนด หมาย จําได หมายรู128๑๒๙ ซ่ึงเกิดพรอมกับวิญญาณ ๖ เนื่องจากสัญญาเปนสัพพจิตต สาธารณ เจตสิก129๑๓๐ ดังนั้นเม่ือวิญญาณ ๖ ปฏิบัติการ สัญญา ๖ ที่เก่ียวของยอมปฏิบัติการดวย โดยท่ี รูปสัญญา คือกําหนดหมายรูรูป สัททสัญญา คือกําหนดหมายรูเสียง คันธสัญญา คือกําหนดหมายรูกลิ่น รส สัญญา คือกําหนดหมายรูรส โผฏฐัพพสัญญา คือกําหนดหมายรูโผฏฐัพพะ และธัมมสัญญา คือกําหนด หมายรธู รรม130๑๓๑ นอกจากน้ีในการปฏิบัติการรวมกันระหวางอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกจนเกิด วญิ ญาณข้นึ รับรูนนั้ พทุ ธธรรมยังใหความสําคญั แกก ารประจวบเหมาะในการกระทบกนั ท่เี รียกวา ผัสสะ ๑๒๘ www.buddism-online.org ๑๒๙ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๐/๔๙๐. ๑๓๐ สพั พจติ ตสาธารณเจตสิก คอื เจตสกิ ที่ประกอบพรอมกับจิตทกุ ประเภท ๑๓๑ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๓/๓๑๗-๓๑๘, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๙๓/๒๙๓.

๗๙ ผัสสะ เปนเจตสิกประเภทหนึ่งในเจตสิก ๕๒ ผัสสะเปนนามธรรมที่กระทบอารมณ อาทิ ขณะที่รูป กระทบกับ รูป เชน เสียง (รูป) กระทบกับ โสตปสาท (รูป) ผัสสเจตสิกเกิดข้ึน จิตรูยินเสียง (โสตวิญญาณ) เกิดขึน้ ดงั นน้ั ผัสสเจตสิกเปน สหชาตปิ จ จัย เปน นามธรรมซึ่งเกดิ พรอมกับจติ ดับพรอมกบั จิต รูอารมณเดียวกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต จิตจึงเปนเหตุแหงผัสสะ แตหากวา ตนไมลมกระทบกับ พนื้ ดนิ การกระทบกนั ของตน ไมแ ละพน้ื ดินไมใ ชผสั สะเจตสิก131๑๓๒ การศึกษาการรับรูในจิตวิทยาพุทธศาสนานี้ ผัสสะจะมุงไปในความหมาย การประจวบเหมาะ แหงองคประกอบสามประการ คือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ132๑๓๓ ดังน้ัน ผัสสะจึง สามารถจําแนกตามทิศทางแหงอายตนะได ๖ ประการ ไดแก การสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) การสัมผัส ทางหู (โสตสัมผัส) การสัมผัสทางจมูก (ฆานสัมผัส) การสัมผัสทางล้ิน (ชิวหาสัมผัส) การสัมผัสทางกาย (กายสัมผัส) และการสัมผสั ทางใจ (มโนสัมผสั )133๑๓๔ แผนภาพ แสดงความสัมพนั ธก ารประจวบเหมาะแหงองคประกอบ ๓ ประการ ระหวาง อายตนะภายนอก ๖ อายตนะภายใน ๖ วญิ ญาณ ๖ อายตนะภายนอก (อารมณ์) กระทบ (ผัสสะ) อายตนะภายใน(ทวาร) จติ (วญิ ญาณ) รูป.............................................. จักขุสัมผัส ตา.................................................... รู้เหน็ เสียง............................................. โสตสัมผัส หู..................................................... รู้ได้ยนิ กล่นิ ............................................. ฆานสัมผัส จมูก................................................. รู้กล่นิ รส............................................... ชวิ หาสัมผัส ลนิ้ ................................................... รู้รส โผฏฐัพพะ................................... กายสัมผัส กาย.................................................. รู้สัมผัส ๑๓๒ ดูรายละเอยี ดใน สจุ นิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสงั เขป จิตตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๗๔-๗๕. ๑๓๓ อภ.ิ สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๑/๒๔๒. ๑๓๔ ส.ํ น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๖

๘๐ กระบวนการรับรูโลกแหงปรากฏการณนน้ั มปี จจยั ท่เี ก่ียวขอ งกันอยา งสําคัญ ๒ ประการ คอื ๑. จิต คอื ผูร ู ๒. อารมณ คอื สิ่งที่ถกู จิตรู ความสมั พันธร ะหวา งจิตกับอารมณน ้ันมีลกั ษณะท่จี ะอยูด วยกนั เปนคเู สมอ เรื่อยไปทกุ ขณะจติ และการทาํ หนา ทรี่ ูอารมณของจิต มคี าํ ทใ่ี ชเ รยี กแทนกนั ไดว า วิญญาณ134๑๓๕ เชนในขณะท่เี ราเหน็ สนุ ัขกาํ ลังเหา ตา ซง่ึ เปนอายตนะภายใน กระทบกับรปู ซึ่งเปน อายตนะ ภายนอก หรือ อารมณ เกดิ ผสั สะขึน้ จักขวุ ิญญาณเกิด คอื รเู หน็ เปนขณะจิตหน่ึง และ หู ซงึ่ เปน อายตนะ ภายใน กระทบกบั เสียง ซงึ่ เปน อายตนะภายนอก หรอื อารมณ เม่ืออายตนะภายในกระทบกับอายตนะ ภายนอก เกดิ ผัสสะขึน้ โสตวิญญาณจึงเกดิ ข้ึน คอื รไู ดย นิ เปน ขณะจิตหนึ่ง จิตทีเ่ กดิ ขนึ้ ในขณะเห็น กบั ไดย ิน เปนจิตทเ่ี กดิ ขึ้นตางขณะกนั และแตละขณะจะสามารถรับ อารมณไ ดเพยี งอยา งเดียว คือวิถีจติ ทร่ี ับรเู สยี ง เปน คนละวถิ ที ีร่ บั รสู ีสัน คือขณะเมือ่ มองเห็นรูปารมณน้ัน ไมไดยนิ สัททารมณ และในทางกลับกนั ขณะท่ีไดยนิ เสยี ง กไ็ มเ หน็ รูป แตเ ปนการเปล่ยี นสลับไปมาระหวาง การรบั รู ๒ ทวารของตัวเรา แตเ พราะจิตเกิดดับเร็วมาก ในขณะดดี น้วิ คร้ังเดียว จติ เกิดข้ึนหลายโกฏแิ สน ดวง ๑๓๖ หมายความวา จิตเกดิ ดบั ประมาณ ๑ ลา นลา นครง้ั ตอ เวลา ๑ ลดั น้ิวมือ136๑๓๗ ดว ยเหตนุ ้ีจงึ ทําให 135 บุคคลทั่วไปเขา ใจวา การเหน็ กับการไดยนิ เกดิ ขึ้นพรอ มกนั ดังน้นั ในชวี ติ ประจําวนั ของบุคคลท่ัว ๆ ไปจงึ ไมสามารถรเู ทา ทนั ปรากฏการณใ นแตล ะขณะจิตได แตรบั รูผ ลรวมซง่ึ เปนความรูสกึ นกึ คดิ ตามการปรงุ แตงของจติ เรียบรอยแลว แตบ ุคคลผฝู ก ฝนสตจิ ะตรวจสอบไดถ ึงความรวดเรว็ ในการเกิดดบั ของจติ ๑๓๕ ส.ํ น(ิ ไทย) ๑๖/๖๑/๑๑๕, ส.ํ น.ิ อ. (ไทย) ๒/๒๙๓. ๑๓๖ สํ.นิ.อ.(ไทย) ๒/๒๙๘ ๑๓๗ โกฏิแสน หมายถงึ หนงึ่ แสนของโกฏิ , หนง่ึ โกฏิ มีคา เทา กบั สบิ ลาน ดงั น้ัน โกฏแิ สน มีคาเทากบั ลาน ลา น.

๘๑ แผนภาพ ขณะจติ ๑๗ ขณะ เรยี กตามหนา ท่ีและบทบาท ภวงั คจิต (ภ) คอื จิตท่ีทําหน้าที่รักษาภพชาติ เกิดดบั สืบเนื่องอยนู่ อกวถิ ี ยงั ไมไ่ ด้ขนึ ้ สวู่ ถิ ี ขณะจิตท่ี ๑ อดีตภวงั ค์(ต)ี คอื จิตที่ผา่ นไปเม่ืออารมณ์เกิดขนึ ้ แตย่ งั ไม่กระทบอารมณ์ ขณะจิตท่ี ๒ ภวงั คจลนะ(น) คอื ภวงั คจิตที่ไหวเม่ืออารมณ์มากระทบ ขณะจิตที่ ๓ ภวงั คปุ ัจเฉทะ(ท) คอื ภวงั คจิตดวงสดุ ท้ายก่อนการตดั กระแสภวงั ค์ขนึ ้ สวู่ ถิ ี ขณะจิตท่ี ๔ ปัญจทวาราวชั นะ(ป) คือจิตดวงแรกในปัญจทวารวถิ ี ทําหน้าท่ีเปิดทวาร ๕ ทวารใดทวารหนง่ึ เพื่อให้ทวปิ ัญจวิญญาณจิตรู้อารมณ์ ๕ อนั ใดอนั หนงึ่ ขณะจิตที่ ๕ ทวิปัญจวิญญาณ(วิ) คอื จิต ๑๐ ดวงที่เกิดขนึ ้ รับอารมณ์ทงั้ ๕ ทางใดทางหนง่ึ ตามสมควรแก่ อารมณ์ที่มากระทบทวารทงั้ ๕ ในขณะนนั้ ขณะจิตที่ ๖ สมั ปฏิจฉนะ(สมั ) คอื จิตท่ีเกิดขนึ ้ รับอารมณ์ตอ่ จากทวิปัญจวญิ ญาณแล้วสง่ ตอ่ สนั ตีรณจิต ขณะจิตท่ี ๗ สนั ตรี ณะ(สนั ) คอื จิตทําหน้าท่ีรับอารมณ์ ๕ จากสมั ปฏิจฉนะมาพิจารณาไตร่สวน กระบวนการสบื ตอของวญิ ญาณกับการรบั รขู อมลู กระบวนการสืบตอของวิญญาณกับการรับรู อาศัยการประจวบเหมาะแหงอายตนะ ๕ คูแรก กับปญญจวิญญาณธาตุ คือผัสสะที่ปฏิบัติการพรอมกับวิญญาณน้ันๆอันเปนวิญญาณในขณะที่ ๕ ในปญจ ทวารวิถี และการประจวบเหมาะแหงธรรมารมณกับมนายตนะและมโนวิญญาณ คือผัสสะที่ปฏิบัติการ พรอมกับชวนจติ ในมโนทวารวถิ ี โดยทม่ี นายตนะคือภวังคจติ และมโนวิญญาณคอื ชวนจิต เม่ือเช่ือมโยงองคธรรมท่ีเกี่ยวของกับการรับรูกับกระบวนการสืบตอของวิญญาณไดแลว จึง เร่ิมตนแปลและตีความขอ มลู การรบั รทู างตา เร่มิ จากรูปายตนะหรือสี อนั เปน คุณลกั ษณะท่เี ปนผลจากคณุ สมบตั ิการดูดกลนื แสงในความถ่ีตาง ๆ ไดมาถึงจักขายตนะอันเปนรูปที่แทรกซึมอยูในตัวรับแรงกระตุนของอวัยวะรับความรูสึกทางตา โดยใช แสงเปน ตัวนําคุณสมบตั ินีไ้ ปสจู กั ขายตนะ เม่ือการมาถงึ นี้สมมติวามีข้ึนในขณะท่เี ปนภวังคจิต คือวญิ ญาณ

๘๒ ขณะแรกอันเรียกวา อดีตภวังค แตการกระทบกันระหวางรูปายตนะกับจักขายตนะยังไมเกิดขึ้น และ วญิ ญาณขณะนีย้ ังคงจับอารมณเดมิ ทรี่ กั ษาสบื เนอื่ งจากอดตี ภพ วิญญาณขณะที่ ๒ และ ๓ อันเรียกวา ภวังคคจลนะ และภวังคคุปจเฉทะ ตามลําดับ ยังคงจับ อารมณเดิม โดยท่ีการกระทบกันระหวางรูปายตนะกับจักขายตนะไดเกิดขึ้นในจังหวะของวิญญาณขณะที่ ๒ วญิ ญาณขณะที่ ๔ เรียกวา ปญจทวาราวัชชนจติ เปน วิญญาณขณะแรกในขบวนวิถจี ิต ซงึ่ ในกรณี น้ีคือ วิญญาณที่ทําหนาที่อาวัชชนะรับรูปารมณใหมทางจักขุทวาร แตรูเพียงวาเปนรูปารมณท่ีทําหนาท่ี เปนรูปายตนะ กลาวคือ ทราบวาส่ิงกําลังรับรูน้ันเปนสี ไมใชกลิ่น ไมใชรสชาติ เปนตน แตไมทราบวาเปน สอี ะไร วิญญาณไดสืบตอจนถึงวิญญาณในขณะที่ ๕ อันเรียกวา จักขุวิญญาณธาตุหรือจักขุวิญญาณใน วิญญาณ ๖ อันเปนความรูเฉพาะท่ีเกิดจากการรับรูทางตา และหน่ึงในเจตสิกที่ปฏิบัติการพรอมกับจักขุ วญิ ญาณนี้ คอื กาํ หนดหมายรูรปู ท่เี รยี กวา รูปสัญญา และสามารถหมายรูวา เปนสอี ะไร เขยี ว เหลือง หรือ แดง เปนตน (รูเพียงสภาวะของสี แตไมรูความหมายและชื่อของสี) นอกจากน้ี อีกหนึ่งในเจตสิกที่ ปฏิบัติการพรอมกับจักขุวิญญาณน้ี คือ ผัสสะ ซ่ึงทําหนาที่เปนการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) อันเปนการ ประจวบเหมาะแหง รปู ายตนะ จกั ขายตนะ และจักขุวญิ ญาณ ไดทาํ หนาทใ่ี นวิญญาณขณะท่ี ๕ น้ี วญิ ญาณขณะท่ี ๖ เรียกวา สัมปฏิจฉนจติ รบั รูปารมณตอจากจักขวุ ิญญาณธาตุ วิญญาณขณะท่ี ๗ เรียกวา สันตีรณจิต รับรูปารมณจากสัมปฏิจฉนจิตมาพิจารณาไตสวน วิญญาณขณะท่ี ๘ เรียกวา โวฏฐัพพนะ ทําหนาที่ตัดสินรูปารมณนั้นแลวจึงสงตออารมณสูชวน จติ คอื วิญญาณขณะที่ ๙ ถงึ ๑๕ ทาํ หนาท่ีรบั รรู ปู ารมณแ ละเสวยอารมณนน้ั ตามแรงขับของฝายกุศลหรือ อกศุ ล จากนั้นสงตอวิญญาณขณะท่ี ๑๖ และ ๑๗ เรียกวา ตทาลัมพนจิต ซ่ึงเปนภวังคจิต ทําหนาที่รับ ชวงตอไปในวงจรถัดไปที่เรียกวา มโนทวารวถิ ี ในวงจรมโนทวารวิถี ๒ ขณะแรกยังคงจับอารมณเดิม ที่รักษาสืบเนื่องจากอดีตภพเชนเดียวกับ วิญญาณขณะท่ี ๒ และ ๓ ในวงจรปญจทวารวิถี ซ่ึงวิญญาณใน ๒ ขณะนี้ไดทําหนาท่ีเปนมนายตนะ

๘๓ วิญญาณขณะที่ ๓ เรียกวา มโนทวาราวัชชนจิต ตัดสินธรรมารมณท่ีสืบตอมา จากรูปารมณในวงจรปญจ ทวาราวิถีที่ติดกันกอนหนานวี้ าเปนที่ดีหรือไมแ ลว ดับไป ซึ่งเปนไปในทาํ นองเดียวกันกับขณะท่ี ๘ ในวงจร ปญจทวาราวถิ ี วิญญาณขณะท่ี ๔ ถึง ๑๐ ไดป ฏบิ ัตกิ ารสงธรรมารมณใ นฐานะมโนวิญญาณ กําหนดหมาย รูทางใจ ท่ีเรียกวาธัมมสัญญา และสัมผัสทางใจ (มโนสัมผัส) อันเปนการประจวบเหมาะแหงธัมมายตนะ มนายตนะ และมโนวิญญาณ ไดท าํ หนา ท่วี ญิ ญาณขณะที่ ๔ ถงึ ๑๐ นี้ และวญิ ญาณในขณะที่ ๑๑ กับ ๑๒ ไดป ฏิบตั ิการตอ ธรรมารมณนีต้ ามหนา ท่จี นจบกระบวนการ การรับรเู กดิ ขน้ึ ไดดวยความใสใ จ ความใสใจ ตรงกับคําศัพททางพระพุทธศาสนาวา “มนสิการ” คําวา มนสิการ มีความหมาย ๒ ประการ137๑๓๘ คือสภาวะกระทําอารมณไมใหวางเปลาในจิต138๑๓๙ อีกนัยหนึ่ง คือสภาวะกระทําจิตใหนอมไป ในอารมณเสมอ139๑๔๐ มนสิการเจตสิกเปนเจตสิกประเภทอัญญสมานาเจตสิกท่ีจัดเปนเจตสิกหนึ่งในสัพพจิตตสาธารณ เจตสิก กลาวคือมนสิการเจตสิกเปนเจตสิกท่ีประกอบกับจิตท่ัวไปทุกดวง ท้ังท่ีเปนกุศล อกุศล หรือ อัพ ยากตะ เมอ่ื ประกอบเขากบั ธรรมชนิดใดกม็ ีสภาพเปนชนิดนัน้ ไป มนสิการ มี ๓ ประเภทไดแก ๑. อารมั มณปฏิปาทกมนสกิ าร มนสกิ ารทาํ ใหถ งึ อารมณ ๒.วถิ ปี ฏิปาทกมนสิการ มนสิการทาํ ใหถ งึ วิถีจติ ๓. ชวนปฏปิ าทกมนสกิ าร มนสิการทําใหถ งึ ชวนจิต140๑๔๑ ๑๓๘ พระคันธสาราภิวงศ,อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมัตถทปี น,ี กรุงเทพมหานคร:ไทยรายวนั กราฟฟค เพลท ,๒๕๔๖) ,หนา๒๖๐. ๑๓๙ “มนสฺมึ อารมฺมณึ อสุญฺ ํ กโรตีติ มนสกิ าโร” ดรู ายละเอียดใน ปรมตถฺ .(ไทย) หนา๒๖๐. ๑๔๐ “มนํ อารมฺนเณ นจิ ฺจนนิ ฺนํ กโรตีติ มนสกิ าโร”ดูรายละเอียดใน ปรมตฺถ.(ไทย) หนา๒๖๐. ๑๔๑ อภ.ิ ส.ํ อ. (ไทย) ๑/๑/๓๔๙.

๘๔ แผนภาพ วิถจี ิตประกอบดว ยมนสิการ ๓ ประเภท141๑๔๒ ภ ตี น ท ป วิ ม สัน โว ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ๓ ชวนปฏปิ าทกมนสกิ าร คอื มนสิการทําใหถ งึ ชวนจติ องคธรรม ไดแก มโนทวาราวัชชนจติ ๒ วถิ ปี ฏิปาทกมนสิการ คอื มนสิการทําใหถึงวิถีจติ องคธ รรม ไดแ ก ปญจทวาราวัชชนจิต ๑ อารมั มณปฏิปาทกมนสิการ คือมนสกิ ารทาํ ใหถ ึงอารมณ (ปญจารมณท ง้ั ๕) องคธรรม ไดแ ก มนสกิ ารเจตสกิ ในการทํางานของมนสกิ ารเจตสกิ ประเภทที่ ๑ คืออารมั มณปฏปิ าทกมนสิการนัน้ เปน องคธรรม หนง่ึ ในอปุ ปต ติเหตแุ หง อเหตกุ จติ 142๑๔๓ กลาวคืออเหตกุ จิตเปนวิบากจติ ของกุศล และอกุศล รวมท้ังจิตท่ี ไมใชผ ลของกศุ ลและอกุศล แตเปนจติ ท่ีสักแตกระทําตามหนา ที่143๑๔๔ และเกดิ ขึ้นในขณะ อตตี ภวังค คอื ภวงั คจิตดวงท่ีอารมณปรากฏ แตยงั ไมกระทบอารมณ หากอปุ ปต ติเหตุมีองคธ รรมไมค รบ กระบวนการ ๑๔๒ ดรู ายละเอียดใน อายุษกร งามชาต,ิ การศึกษาวเิ คราะหกระบวนการเกิดโยนโิ สมนสิการใน พระพุทธศาสนาเถรวาท, สารนพิ นธ พุทธศาสตรดุษฎีบณั ฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ย ลัย), ๒๕๕๑, หนา ๑๔๓ อเหตกุ จิต คือจิตท่ีไมป ระกอบดวยเหตุทงั้ ๖ คอื โลภะ โทสะ โมหะ จดั เปน อกศุ ลเหตุ และ อโลภะ อโท สะ อโมหะจดั เปน กศุ ลเหตุ อเหตุกจติ มจี าํ นวน ๑๘ ดวง แบง เปน ๓ จาํ พวก คอื ๑.อกุศลวบิ ากจติ มี ๗ ดวง ๒.อเหตกุ กุศลวบิ ากจติ มี ๘ ดวง ๓.อเหตุกกิรยิ าจติ มี ๓ ดวง ๑๔๔ อเหตุกกริ ิยาจิต คือจิตที่สกั แตว า กระทาํ ตามหนา ที่ มี ๓ ดวง คอื ๑.ปญจทวาราวชั ชจิต ๒.มโนทวาราวัชชน จติ ๓.หสติ ุปปาทจิต

๘๕ รับรกู จ็ ะเกดิ ขึ้นไมไ ด ตวั อยางเชน ขณะทเ่ี ราเหน็ วัตถหุ นง่ึ มีลกั ษณะยาวคลายงู อุปปตตเิ หตใุ หเ กิด จักขุ วญิ ญาณ ประกอบดวยองคธรรม ๔ ประการ คือ ๑.จักขปุ สาท มปี ระสาทตาดี ๒.รปู ารมณ มรี ูป คือสีตา ง ๆ ๓.อาโลกะ มีแสงสวาง ๔.มนสิการ มีความใสใ จในอารมณ ( ปญ จทวารวชั ชนะ) ๑๔๕ หากอปุ ปตตเิ หตุมีองคธ รรมไมค รบ อาทิ มปี ระสาทตาไมด ี ตาพรามวั หรอื แสงสวางในที่นัน้ ไม เพยี งพอ ก็จะมผี ลตอ กระบวนการรับรใู นจกั ขวุ ิญญาณได ในการทาํ งานของมนสกิ ารเจตสกิ ประเภทท่ี ๒ คือวิถีปฏปิ าทกมนสกิ าร เปน มนสิการที่ทําให เกดิ วถิ ีจิต องคธ รรม ไดแก ปญ จทวาราวชั ชนจิต มนสกิ ารเจตสกิ ประเภทน้ี จะรบั อารมณเ ปนปรมัตถ จึง ยังไมเ กดิ การปรุงแตงของจิตในขณะนี้ เปน เพียงการรับรอู ารมณตามสภาวะความจรงิ ตามธรรมชาตเิ ทาน้ัน หากบุคคลผฝู ก ฝนสตมิ าเปนอยางดีแลว ยอ มสามารถรบั รอู ารมณและพิจารณาอารมณข องจติ ใหเ ปน กศุ ล จติ ไดท นั ในขณะนี้ เน่ืองจากในขณะปญจทวาราวชั ชนจิตน้ียังเปนวบิ ากจิต ซึ่งปรากฏไดท ั้งอฏิ ฐารมณแ ละ อนิฏฐารมณ ในการทํางานของมนสิการเจตสิกประเภทที่ ๓ คือชวนปฏิปาทกมนสิการ คือมนสิการใหเกิด ชวนจิต องคธรรม ไดแก มโนทวาราวัชชนจิต ท่ีจะตัดสินวาเปนกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ตามอารมณที่ได รับรูไว หากเปนอิฏฐารมณ คืออารมณที่นาพอใจ ก็ยอมเปนกุศลวิบาก และถาเปนอารมณที่ไมนาพอใจก็ ยอ มเปนอกุศลวิบาก วิบากจิตเปนเพียงผลมาจากเหตุในอดีต อกุศลวิบากมาจากอกุศลเหตุ กุศลวิบากมาจากกุศล เหตุ และธรรมดาของปุถุชนที่ยอมเคยกระทําทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรมมาแลวท้ังส้ิน อีกทั้งเมื่อได กระทํากรรมอันใดไวก็ไมอาจเปล่ียนแปลงการกระทําในอดีตได ดังน้ัน ทุกคนจึงตองรับผลของกรรม ๑๔๕ อภิ.ส.ํ อ.๑/๒/๙๗.

๘๖ (วิบาก) ท้ังผลของอกุศลกรรม (อกุศลวิบาก) และผลของกศุ ลกรรม (กุศลวิบาก) และโดยสวนมาก ในชีวิต ของคนสว นใหญม ักจะไดรับอกุศลวิบาก มากกวา กุศลวิบาก เชน ในแตละวัน เราจะรูสึกพอใจ สุขใจ โปรง โลงใจจากการรับรู ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางล้ิน ทางกาย และทางใจ นอยมาก คนสวนใหญจะรับรู อารมณที่ทําใหจิตใจเศราหมองจากปญหาตาง ๆ มากมาย ในทางตรงขาม หากอารมณฝายกุศลมา กระทบ ปญจวิญญาณฝายกุศลจะทําหนาที่รูอารมณกุศลน้ัน สัมปฏิจฉนจิตฝายกุศลจะรับอารมณที่เปน กุศลนั้น สันตีรณจิตฝายกุศลก็จะพิจารณาเฉพาะอารมณกุศลจิตที่รับและพิจารณาอารมณน้ัน และตอง เปนฝายเดียวกัน สัมปฏิจฉนจิตฝายกุศลจะไปรบั อารมณฝายอกศุ ลไมไ ด ดวยเหตุนี้ในแตละวันไมมี ใครสามารถเลือกรับแตอารมณท่ีดีอยางเดียว และปฏิเสธอารมณท่ีไมดีวาอยาเกิดขึ้นกับตนได เม่ือเรา เลือกรับวิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจไมได ในการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน คือการเจริญสติปฏ ฐาน ๔ จึงมุงสังเกตการกระทบกันของจิตและอารมณทางปญจวิญญาณ โดยมีสติคอยระวังไมใหอภิชฌา (โลภเจตสิก) หรือโทมนัส (โทสเจตสิก) เขามีสวนในการตีความ กลไกของจิตและอารมณยังคงทํางานของ ตนอยางสมํ่าเสมอ แตการกระทบกันของจิตและอารมณจะไดรับการพิจารณาใหมดวยสติ และเปน กระบวนการของการรบั รอู ารมณตามสภาวะความเปน จรงิ โดยปราศจากการปรุงแตงของจิต การรับรเู ปน ปจ จัยใหเกิดความรูส กึ ตอสง่ิ ทรี่ บั รู ผัสสะเปนกระบวนธรรมท่ีสําคัญในการเกิดการรับรู เม่ือผัสสะเกิดขึ้นกระบวนธรรมตอไป ก็ คือความรสู ึกตอ อารมณท ่รี ับรู ความรูสกึ นี้ในภาษาธรรม เรียกวา “เวทนา” เวทนา คือ การเสวยอารมณ145๑๔๖ หมายถึงความรูสึกสุข ทุกข และเฉยๆ ที่เกิดจากการมีผัสสะ 146๑๔๗ วิภงั คสตู รอธิบายวา เวทนามี ๖ ประการ คอื จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผสั ทางตา) โสตสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู) ฆานสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก) ๑๔๖ เวทนา มคี วามหมาย ๓ ประการคอื ๑. สภาวะเสวยอารมณ = เวทยตีติ เวทนา ๒. สภาวะท่ที ําใหเ หลา สตั วเกิดความรูส ึกชอบใจหรือไมชอบใจ = วนิ ทฺ นฺติ เอตาย สตตฺ า สาตํ วา อสาตํ วา ลภนตฺ ตี ิ เวทนา ๓. การเสวยอารมณ = เวทยติ ํ เวทนา, ปรมตถฺ . (ไทย) ๒๕๖. ๑๔๗ บรรจบ บรรณรุจ,ิ ปฏิจจสมปุ บาท, หนา ๔๗-๕๐, วชั ระ งามจติ รเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, หนา ๒๑๐.

๘๗ ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางล้ิน) กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทาง กาย) และมโนสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผัสทางใจ)147๑๔๘ เชน เดยี วกับในสตุ ตันตภาชนีย148๑๔๙ พระสัทธัมมโชติกะไดอธิบายขยายความวา เวทนา ๖ ที่เกิดข้ึนน้ัน เกิดขึ้นโดยอาศัยผัสสะเปน เหตุ ๑๕๐ ดังปรากฏในคัมภีรวิภังควา เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาที่มีผัสสะเปนเหตุจึงมี150๑๕๑ โดยมีการ 149 เสวยอารมณ ๓ ประการคือ ๑) สุขเวทนา ความรูส ึกสบายกายสบายใจเมอ่ื ไดป ระสบกบั อารมณท ่ีถกู ใจ ๒) ทกุ ขเวทนา ความรูส ึกไมส บายกายไมส บายใจเมอ่ื ไดป ระสบกับอารมณที่ไมถกู ใจ ๓) อุเบกขาเวทนา ความรูส ึกเฉยๆเมอื่ ไดประสบกับอารมณป านกลาง151๑๕๒ และปรากฏในเวทนาสังยตุ อฏั ฐสตสตู ร กลา วถงึ เวทนา ๕152๑๕๓ ประการ คอื ๑) สขุ เวทนา ไดแ ก ความรูสึกเปน สุขทางกาย ๒) ทุกขเวทนา ไดแ ก ความรสู ึกเปนทกุ ขทางกาย ๓) โสมนสั เวทนา ไดแ ก ความรูสกึ เปนสขุ ทางใจ ๔) โทมนสั เวทนา ไดแ ก ความรูสึกเปนทกุ ขท างใจ ๕) อุเบกขาเวทนา ไดแ ก ไมส ขุ ไมทกุ ข รูสึกเฉยๆ เวทนาเจตสิก มี ๔ ชาติ ๑๕๔ คือ 153 ๑) เวทนาทเี่ ปน กุศล ๒) เวทนาที่เปน อกศุ ล ๑๔๘ ส.ํ นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖. ๑๔๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๑๕๐ พระสทั ธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททีปน,ี หนา ๖๘-๗๐. ๑๕๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๕๗/๒๔๒. ๑๕๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๒/๖๕, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ขุ.อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗, พระสัทธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปนี, หนา ๖๘-๗๐. ๑๕๓ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๗๐/๓๐๓. ๑๕๔ สจุ นิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒-๑๖.

๘๘ ๓) เวทนาที่เปนวิบาก ๔) เวทนาท่เี ปนกิรยิ า เวทนาเปนเจตสิกหน่ึงในเจตสิก ๕๒ เปนสังขตธรรมท่ีเกิดข้ึนเพราะเหตุปจจัยปรุงแตง เวทนาท่ี เปนวิบาก ยอมเกิดขึ้นเพราะกรรมเปนปจจัย เวทนาที่เปนกุศล อกุศล กิริยา ไมใชวิบาก จึงไมไดเกิดขึ้น เพราะกรรมเปนปจจัย แตกจ็ ะตอ งเกดิ เพราะปจจยั อน่ื โดยนัยของเวทนา ๕ นัน้ สขุ เวทนาและทุกขเวทนา เปนชาติวิบากอยางเดียวเทานั้น โทมนัสเวทนา เปนชาติอกุศลอยางเดียวเทานั้น สวน โสมนัสเวทนาและ อุเบกขาเวทนา เปนชาติกุศลก็ได เปนอกุศลก็ได เปนวิบากก็ได เปนกิริยาก็ได154๑๕๕ เชน ขณะที่รูสึกเจ็บ แขน เปนทุกขเวทนาทางกาย เปนอกุศลวิบาก เปนผลของกรรม มีกรรมที่ไดกระทําแลวเปนปจจัยให เกิดขึ้น แตขณะที่ไมพอใจ เดือดรอนใจ กังวลใจ เพราะทุกขเวทนานั้น เปนอกุศลจิต เกิดรวมกับเวทนาท่ี เปนอกุศล ไมใ ชวิบาก ขณะใดท่ีจิตเกิดข้ึน ขณะน้ันตองมีเวทนาเจตสิกเกิดรวมดวยทุกคร้ัง จิตเปนใหญเปนประธานใน การรูแจงลักษณะตาง ๆของอารมณ แตเวทนาเจตสิกเปนสภาพธรรมท่ีรูสึกดีใจ หรือเสียใจ สุขหรือทุกข หรือเฉย ๆ ในขณะที่รอู ารมณ ดงั พุทธพจนทีป่ รากฏใน ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ยมกวรรควา ธรรมทัง้ หลาย155๑๕๖ มใี จ156๑๕๗เปนหวั หนา157๑๕๘ ๑๕๕ ดูรายละเอียดใน สจุ ินต บริหารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๖- ๒๑๘. ๑๕๖ ธรรมท้งั หลาย มคี วามหมาย ๔ ประการ คือ (๑) คณุ ธรรม (๒) เทศนาธรรม (๓) ปรยิ ัตธิ รรม (๔) นสิ สตั ต ธรรม (สภาวะที่มใิ ชส ตั ว) หรือนิชชวิ ธรรม (สภาวะท่มี ใิ ชช วี ะ) ในท่ีนห้ี มายถึง นสิ สัตตธรรม ไดแ ก อรูปขันธ ๓ คือ เวทนา ขันธ สัญญาขนั ธ และสังขารขนั ธ (ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๐-๒๑) ๑๕๗ ใจ หมายถึง จติ ๔ ระดบั คอื (๑) จติ ระดับกามาวจรภูมิ (๒) จติ ระดบั รปู าวจรภูมิ (๓) จติ ระดับอรูปาวจร ภมู ิ (๔) จิตระดบั โลกตุ ตรภูมิ แตใ นท่นี ี้ จากจักขุปาลเถรวัตถุ เรอ่ื งพระจกั ขบุ าลเถร หมายเอาจติ ทีม่ ีโทมนสั ประกอบดวย ปฏฆิ ะ เดิมทีเดียว จติ นน้ั เปนภวงั คจิต คอื เปนจิตทผี่ อ งใส (ประภัสสรจิต) แตเ มื่อถูกเจตสกิ ธรรมฝายช่วั กลาวคอื อปุ กเิ ลสธรรมจรมากระทบเขา ก็กลายเปน จิตเศรา หมอง ที่เรยี กวา ใจช่ัว ซ่ึงพรอมทจ่ี ะแสดงพฤติกรรมออกมาทางกาย และวาจา (ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๐). ๑๕๘ เปน หวั หนา หมายถึง เปน หัวหนาของเจตสิกธรรม กลาวคือ เปน เหตุปจ จยั ใหเ จตสิกธรรมเกดิ ขึ้น (ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๑)

๘๙ มีใจเปน ใหญ สําเรจ็ ดวยใจ ถา คนมีใจชว่ั ก็จะพูดช่วั หรือทาํ ชว่ั ตามไปดวย เพราะความชั่วนน้ั ทุกขยอ มติดตามเขาไป เหมือนลอ หมุนตามรอยเทาโคท่ีลากเกวยี นไป ฉะน้ัน158๑๕๙ ธรรมทั้งหลาย มใี จเปนหัวหนา มใี จเปนใหญ สําเร็จดวยใจ ถาคนมใี จดี กจ็ ะพดู ดี หรอื ทําดีตามไปดว ย เพราะความดีน้นั สขุ ยอมตดิ ตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตัวเขาไป ฉะนั้น159๑๖๐ เม่อื จติ ตางกันโดยชาติ คอื เปนกศุ ล เปนอกศุ ล เปนวบิ าก เปน กิรยิ า เจตสิกทเ่ี กิดขนึ้ กบั จติ ใดก็ ตอ งเปนชาติเดียวกับจติ นัน้ จติ ตา งกันโดยสมั ปยตุ ตธรรม คอื เจตสกิ ที่เกดิ รวมดวย จงึ จาํ แนกจิตโดยนัยของเวทนาเภท คือ โดยประเภทของเวทนาเจตสิกท่เี กดิ รว มดวยตางกัน ดงั นี้ โสมนสสฺ หคตํ จติ เกดิ รวมกับโสมนัสเวทนาเจตสิก (ความรสู ึกดใี จ) โทมนสสฺ หคตํ จิตเกดิ รว มดวยกบั โทมนสั เวทนาเจตสิก (ความรูสกึ เสียใจ) อเุ ปกขฺ าสหคตํ จิตเกดิ รว มดวยกบั อุเบกขาเวทนาเจตสกิ (ความรูสึกไมสุขไมทกุ ข) สขุ สหคตํ จติ เกดิ รวมดว ยกบั สขุ เวทนาเจตสกิ (ความรูสกึ สุขทางกาย) ทกุ ขฺ สหคตํ จิตเกดิ รวมดวยกบั ทกุ ขเวทนาเจตสกิ (ความรูสึกทกุ ขท างกาย)160๑๖๑ ๑๕๙ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓. ๑๖๐ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒/๒๔. ๑๖๑ สุจินต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๒.

๙๐ เวทนาเจตสิกท่เี ปน วิบากนัน้ มีกรรมทไี่ ดกระทําแลว เปน ปจ จัยใหเกดิ ขนึ้ รสู ึกอารมณท ก่ี ระทบตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ ตามประเภทของวิบากนั้น ๆ ขณะเหน็ จักขวุ ิญญาณ เปนวบิ ากจิต เกิดรว มกบั อุเบกขาเวทนา ซ่งึ เปนวิบากเจตสิก และวบิ าก เจตสกิ อน่ื ๆ โสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชวิ หาวิญญาณ ก็โดยนยั เดยี วกนั แต กายวญิ ญาณ อกศุ ลวิบาก ซง่ึ รูแ จงลกั ษณะตาง ๆ ของโผฏฐพั พารมณท ม่ี ากระทบสมั ผสั กาย นั้น เกดิ รวมกับ ทกุ ขเวทนา และ กายวิญญาณ กุศลวบิ าก เกดิ รว มกับสขุ เวทนา กายวิญญาณเกิดขึ้น เพราะกรรมเปนปจจัย เม่ือกายปสาทรูป กระทบกับมหาภูตรูป (เย็น รอน ออน แข็ง ตึง ไหว) ที่เปนอิฏฐารมณ สุขเวทนาก็เกิด เม่ือกายปสาทรูป กระทบกับมหาภูตรูปที่เปน อนิฏฐารมณ ทกุ ขเวทนาก็เกิด ความรสู กึ ท่เี กิดขนึ้ ปรากฏท่กี ายเปนทกุ ขเวทนา หรอื สขุ เวทนาเทาน้นั ไม เปนอุเบกขาเวทนา หรือโสมนัสเวทนา หรือโทมนัสเวทนา ซ่ึงเปนเวทนาทางใจ ขณะที่เกิดกายวิญญาณ สุขเวทนาหรือทุกขเวทนาเปนชาติวิบาก เปนผลของอดีตกรรม แตขณะท่ีรูสึกไมสบายใจ เสียใจ กังวลใจ ไมแชม ชื่น ขณะน้ันเปน อกุศลจติ เปน การสะสมอกุศลธรรม จงึ เกิดความรสู กึ ไมสบายใจ ไมแ ชมชื่นใจ161๑๖๒ ระดบั ของการรับรู กระบวนการรับรู จําแนกจําแนกระดับได ๒ ระดบั คือ ๑ กระบวนการรับรูแ บบเสพเสวยโลก ๒ กระบวนการรับรแู บบญาณทัศนะ กระบวนธรรมเวทนาเปนจดุ สาํ คญั หนงึ่ ที่เปนปจ จยั กอ ใหเกิดผลสืบเนอ่ื งวา จะเกดิ เปนกระบวน ธรรมแบบเสพเสวยโลก (สงั สารวัฏฏ) ซ่งึ กอ ใหเกดิ กระบวนการรบั รูที่ผิดพลาดจากความเปนจรงิ ไดงาย หรือกระบวนธรรมแบบญาณทัศนะ (ววิ ัฏฏ)ซ่งึ เปน กระบวนการรบั รทู ่ถี ูกตองตามความเปน จริง ๑ กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลกก็คือ เมื่อรับรูอารมณอยางใดอยางหน่ึงท่ีดี (อิฏฐารมณ) แลว เกดิ ความรสู กึ สุขใจ สบายใจ พอใจ (สุขเวทนา) จงึ ติดใจ ใจพวั พนั อยากใหอ ารมณนนั้ คงอยตู ลอด (ตณั หา) ๑๖๒ ดูรายละเอียดใน สุจนิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสงั เขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๗.

๙๑ ยึดติดถือม่ันในอารมณน้ันอยางไมอาจวางลงได คางใจอยูเชนน้ัน (อุปาทาน) กระบวนธรรมน้ียอม กอใหเกิดผลคือทกุ ขต ามมา และจะวนเวยี นซาํ้ ซากในวงจรน้เี ปน สงั สารวัฏฏ หมนุ วนไปในวงจรปฏิจจสมปุ บาทแหงทุกข ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ตัณหาเกิดจากเวทนาเปนปจจัย162๑๖๓ โดยมีอวิชชาเปนมูลราก163๑๖๔ เชน การไดเห็นรูปสวย พอใจ ติดใจในรูปสวยนั้น (รูปตัณหา) การไดยินเสียงไพเราะ พอใจ ติดใจในเสียง ไพเราะนั้น (สัททตัณหา) เปนตน164๑๖๕ ซึ่งความพอใจ ติดใจ ใฝรัก อยากไดน้ัน เกิดขึ้นเพราะเมื่อเสพ อารมณท่ีนารัก นาปรารถนาน้ันแลว ทําใหเกิดความรูสึกสุข (สุขเวทนา) จึงอยากเสพเสวยสุขเวทนา165๑๖๖ นั้นเรื่อยไป ดังน้ีเปนลักษณะของตัณหาท่ีมีเวทนาเปนปจจัย กระบวนการรับรูแบบเสพเสวยโลกนี้จึงทํา ใหเ กิดกระบวนธรรมทบ่ี บี ค้ันและบิดเบอื นไปจากความเปนจรงิ ได แสดงใหเหน็ วา เวทนาเจตสกิ ซึง่ เปนความรูสึกน้นั เปน ทต่ี ัง้ แหงความยดึ ม่นั อยา งเหนยี วแนน เม่ือ มีความรูสึกเกิดขึ้น จึงติดและยึดม่ันในความรูสกึ และอยากไดสิ่งท่ีทําใหรูสึกดีใจเปนสุข ทําใหอกุศลธรรม ท้งั หลายเกดิ ข้ึนบอ ย ๆ เนือง ๆ โดยไมรูตัว ๑๖๗ ๑๖๓ วิสุทธฺ ิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔. ๑๖๔ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา ๔๙๐. ๑๖๕ ตณั หา จาํ แนกตามอารมณ มี ๖ อยา ง คอื ๑. รปู ตณั หา คือความยินดตี ิดใจในรปู ารมณ (รปู ) ๒. สัทท ตัณหา คือความยินดีติดใจในสทั ทารมณ (เสียง) ๓. คันธตัณหา คือความยินดีติดใจในคันธารมณ (กล่ิน) ๔. รสตัณหา คือ ความยินดีติดใจในรสารมณ (รส) ๕. โผฏฐัพพตัณหา คือความยินดีติดใจในโผฏฐัพพารมณ (สัมผัส) ๖. ธัมมตัณหา คือ ความยินดีติดใจในธรรมารมณ (เร่ืองราวในใจ), สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑, วิสุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔-๙๔๖. ๑๖๖ วิภังคสูตรอธิบายวา เวทนามี ๖ ประการ คือ ๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผัสทางตา) ๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู) ๓. ฆานสัมผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมกู ) ๔. ชวิ หา สัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางล้ิน) ๕. กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย) ๖. มโนสัมผัสส ชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ) เชนเดียวกับในสุตตันตภาชนีย สวนในกาฬารสูตรและเวทนาสูตรอธิบายวา เวทนามี ๓ ประการ คือ ๑.สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อทุกขมสุขเวทนา, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/ ๖๕, ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ข.ุ อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๑๖๗ ดูรายละเอียดใน สุจินต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสงั เขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๔- ๒๑๕.

๙๒ ๒ กระบวนการรับรูแบบญาณทัศนะ กระบวนธรรมแบบญาณทัศนะ หรือกระบวนธรรมแบบ วิวัฏฏ หมายความถึง กระบวนการท่ีนําไปสูขั้นตอนแหงความพนทุกข ไมวนเวียนเปนวงจรในปฏิจจสมปุ บาทแหงทุกขอีกตอไป เปนกระบวนการรับรูบริสุทธิ์ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแลว เวทนาเปนเพียง องคประกอบยอย ๆ ที่ชวยใหเกิดความรูท่ีถูกตองสมบูรณ รับรูอารมณท่ีกระทบอยางถูกตองตรงตาม สภาวะความเปนจริงอยางมีสติระลึกรู และปลอยวางดวยปญญา กระบวนธรรมหมุนวนไปสูปฏิจจสมุป บาทสายแหงความดับทุกข ในแงข องการใชช วี ติ ในปจจุบัน กค็ ือ การมชี วี ติ อยดู ว ยปญญา การศึกษาจิตวิทยาในพระไตรปฎก ไมใชเพียงเพ่ือใหรูวาจิตมีก่ีดวง เจตสิกมีกี่ประเภท แตเพื่อให เกิดกระบวนการเรียนรูลักษณะความรูสึกซ่ึงกําลังมี กําลังเกิดข้ึน ในชีวิตประจําวันของแตละบุคคล หาก เรารับรูอารมณที่มากระทบดวยสติ กระบวนการรับรูจะเกิดข้ึนอยางรูเทาทันตามสภาวะความเปนจริง รบั รสู ิง่ เกิดข้นึ แลวปลอ ยวางได ไมนาํ ไปสูกระบวนการแหง ทกุ ข เปนกระบวนธรรมแบบญาณทศั นะ เขยี น แผนภาพแสดงได ดงั นี้ แผนภาพแสดงกระบวนธรรมแบบสังสารวฏั ฏแ ละแบบญาณทศั นะ167๑๖๘ อายตนะ + อารมณ์ + วิญญาณ = ผสั สะ เวทนา กระบวนธรรมแบบ สงั สารวฏั ฏ์ กระบวนธรรมแบบ ญาณทศั นะ ความถูกตอ งในการรบั รู กระบวนการรับรูเกิดข้ึน เม่ือผัสสะเกิดข้ึน เกิดเวทนาท่ีมีตัณหาเปนปจจัย จึงกอใหเกิดกระบวน ธรรมท่ีคลาดเคล่อื นบิดเบอื นไปจากสภาวะความเปน จรงิ ตามการปรุงแตง ของจติ ๑๖๘ ดัดแปลงจาก พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ขยาย, พมิ พครัง้ ที่ ๓๒, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นักพิมพผ ลธิ ัมม, ๒๕๕๕), หนา ๓๖.

๙๓ ดังนั้น การรูสภาพของเวทนาเจตสิกจะเก้ือกูลใหสติเริ่มระลึกรูลักษณะของเวทนาได เม่ือจิตเกิด พรอมกับเวทนาเจตสิกใด มีสติรูสึกลักษณะของเวทนาขณะนั้นอยางใดอยางหนึ่งท่ีเกิดขึ้น คือ อุเบกขา เวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนสั เวทนา โทมนสั เวทนา เมอ่ื มีสติและเรียนรูจ นเขา ใจสภาวะตามความ เปนจริงวา เวทนาเปนสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปจจัยเกิดข้ึนแลวก็ดับไป เม่ือเกิดความรูสึกดีใจ สุขใจ ก็ไม ยึดติดถือมั่นวาความรูน้ีจะอยูกับเราตลอดไป และเมื่อเกิดความรูสึกทุกขใจ ไมแชมชื่น ไมสบายใจ ก็ไม ผลักไสดิ้นรนขัดขืนฝนความรูสึกน้ัน เปนปจจัยเกื้อกูลใหเขาใจลักษณะของจิต เพ่ือใหสติปฏฐานเกิดขึ้น ระลึกรูลักษณะของสภาพธรรมตามความเปนจริง ผูมีสติยอมเรียนรูและรับรูวาความรูสึกน้ันเกิดขึ้นและ ดับไปตามเหตุปจจัยของแตละบุคคล เมื่อปญญาท่ีอบรมเจริญขึ้นแลว ก็จะคลายจากการยึดถือสภาพ ธรรมท้งั หลายวาเปนตัวตนเปน ของตน ความผิดพลาดของการรับรู วิปลาส คือ ความรูท่ีผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากความเปนจริง ในวิปลลาสกถา วาดวยวิปลลาส พระพทุ ธองคท รงแสดงไววา “...ภิกษุท้ังหลาย สัญญาวิปลลาส (ความหมายรูผิด) จิตตวิปลลาส (ความคิดผิด) ทิฏฐิวิปลลาส (ความเห็นผดิ ) ๔ ประการน้ี สญั ญาวปิ ลลาส จิตตวปิ ลลาส ทิฏฐิวิปลลาส ๔ ประการ อะไรบา ง คือ ๑ สญั ญาวิปลลาส จติ ตวิปล ลาส ทิฏฐวิ ปิ ลลาส ในสง่ิ ทีไ่ มเ ทย่ี งวาเทียง ๒ สญั ญาวปิ ล ลาส จิตตวปิ ล ลาส ทิฏฐวิ ิปลลาส ในสง่ิ ทเี่ ปน ทุกขว า เปน สขุ ๓ สัญญาวิปลลาส จติ ตวปิ ล ลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลลาส ในสง่ิ ที่ไมใชอ ตั ตาวาอตั ตา ๔ สัญญาวิปล ลาส จติ ตวิปลลาส ทิฏฐิวปิ ลลาส ในสิ่งทไี่ มงามวา งาม ภกิ ษุท้ังหลาย สญั ญาวิปลลาส จิตตวิปลลาส ทิฏฐวิ ิปล ลาส ๔ ประการนีแ้ ล...”168๑๖๙ ๑๖๙ ขุ.ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๒๓๖/๓๙๙.

๙๔ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายขยายความไววา วิปลาส หมายถึง ความรู คลาดเคล่ือนขั้นพ้ืนฐาน ที่นําไปสูความเขาใจผิด หลงผิด การลวงตัวเอง วางใจ วางทาที ประพฤติ ปฏิบัติ ไมถ ูกตอ ง ตอ โลก ตอชีวติ ตอ สง่ิ ท้งั หลายทั้งปวง และเปนเครอ่ื งกดี กัน้ ขัดขวางไมใ หม องเหน็ สจั ธรรม169๑๗๐ หากอธบิ ายในระดับพนื้ ฐานธรรมดาตามแงมมุ ปถุ ุชนทั่วไป วปิ ลาส ๓ อยา ง คือ ๑ สัญญาวิปลาส สัญญาคลาดเคล่ือน หมายรูผิดพลาดจากความเปนจริง เชน เห็นเชือกเปนงู, เห็นไฟกระพริบอยกู บั ท่ีเปนไฟว่ิง เปน ตน ๒ จิตตวิปลาส จิตคลาดเคล่ือน ความคิดผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากความเปนจริง เชน คนไขทาง จิตทพี่ ูดคุยคนเดยี วราวกับมผี ูท ีก่ าํ ลงั พูดคุยดวย เปน ตน ๓ ทิฏฐิวิปลาส ทิฏฐิคลาดเคล่ือน ความเห็นผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากความเปนจริง สืบ เนื่องมาจากสญั ญาวปิ ลาสและจติ ตวิปลาส170๑๗๑ ในวิปลลาสกถา วิปลาสท้ัง ๓ นี้เปนเคร่ืองกีดกั้นความเจริญทางปญญา และคนท้ังหลายตางถูก ครอบงําดวยวิปลาสท้ัง ๓ น้ี บุคคลที่ปญญาถึงพรอมและละจากวิปลาสทั้ง ๓ ไดก็ยอมจะพนจากทุกข ทงั้ หมดได ดงั พระพุทธพจน ดงั นี้ “เหลา สตั วผูถกู มจิ ฉาทิฏฐทิ าํ ลาย มีจติ ฟุงซา น มีสญั ญาผดิ มสี ัญญาในสิ่งทไ่ี มเท่ยี งวาเที่ยง มสี ัญญาในสง่ิ ทเ่ี ปนทุกขว าเปนสขุ มีสัญญาในสง่ิ ทไ่ี มง ามวา งาม สตั วเ หลานั้นชอ่ื วา ติดอยใู นเครอื่ งประกอบของมาร ๑๗๐ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา ๕๐. (ปจ จบุ ันดาํ รงสมณศักดิ์ สมเด็จพระพุทธโฆษา จารย) ๑๗๑ อา งแลว, หนา ๕๐.

๙๕ ไมเกษมจากโยคะ ประสบกับความเกิดและความตาย ทอ งเท่ียวไปสูสังสารวฎั กใ็ นกาลใด พระพุทธเจา ผจู ดุ ประกายใหแสงสวา ง เสดจ็ อบุ ัติขน้ึ ในโลก ในกาลนั้น พระองคยอ มประกาศธรรมน้ี ใหสตั วถึงความดบั ทกุ ข สัตวเ หลา นั้นผมู ีปญญา ฟงธรรมของพระพทุ ธเจาเหลา นัน้ กลบั ไดค วามคิดเปนของตนเอง ไดเห็นสงิ่ ทีไ่ มเทยี่ งโดยความไมเท่ยี ง ไดเ หน็ สิ่งที่เปน ทกุ ขโ ดยความเปน ทกุ ข ไดเห็นส่งิ ทไี่ มง ามโดยความไมงาม ยึดถอื สมั มาทิฏฐิพน ทุกขท ั้งหมดได”171๑๗๒ คําถามทบทวนประจาํ บท ๑ ใหน สิ ติ อธบิ าย อายตนะ ๖ กระบวนการรับรูและเสพเสวยโลก มาโดยสงั เขป ๒ ใหน สิ ิตอธบิ าย ระดับของการรบั รู มาโดยสังเขป ๓ ใหน สิ ติ อธบิ าย ความถกู ตอ งและความผิดพลาดของการรับรู มาโดยสงั เขป ๑๗๒ ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๒๓๖/๔๐๐.

๙๖ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑ พระไตรปฎก พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๑ สุตตนั ตกปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๒ สุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๑๖ สตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย นทิ านวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมท่ี ๑๘ สุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๑๙ สุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๒๕ สุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ธรรมบท. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๒๕ สตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตกะ. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๓๑ สตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ปฏิสมั ภิทามรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๓๕ อภิธรรมปฎก วิภังค . พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราช

๙๗ วทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. ๒ คมั ภรี อรรถกถา ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบบั มหามกุฎราชวทิ ยาลัย พมิ พครงั้ ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หามกฎุ ราชวทิ ยาลัย , ๒๕๓๖. อภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี อัฏฐสาลนิ ีอรรถกถา. พระไตรปฎก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกฎุ ราช วิทยาลยั พิมพค รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. ๓ หนงั สอื นนั ทพล โรจนโกศล. อายตนะ : สนามแหงความรูในพุทธจติ วทิ ยา. สารนิพนธ พทุ ธศาสตรดษุ ฎีบณั ฑติ . บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยลยั , ๒๕๕๐. บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปฏจิ จสมปุ บาท . พิมพค รั้งท่ี ๓ . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลยั ,๒๕๔๙. พระพทุ ธโฆษะเถระ. คัมภรี วิสทุ ธมิ รรค. ฉบบั ๑๐๐ ป สมเดจ็ พระพฒุ าจารย อาจ อาสภมหาเถระ). พมิ พ คร้ังที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : บริษัทธราเพลส จาํ กดั , ๒๕๔๘. พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบบั ปรับขยาย, พิมพค ร้งั ท่ี ๓๒, กรุงเทพมหานคร : สํานกั พิมพผ ลิธัมม, ๒๕๕๕. พระสทั ธมั มโชติกะ ธัมมาจริยะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี . พิมพค ร้ังท่ี ๕. นิพพาน. กรงุ เทพมหานคร : มลู นธิ ิสทั ธัมมโชติกะ. พระอนุรุทธาจารย. พระคนั ธสาราภวิ งศ. (ผแู ปล). อภธิ ัมมัตถสังคหะและปรมตั ถธีปน.ี กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั กราฟฟค เพลท,๒๕๔๖. วชั ระ งามจิตรเจรญิ . พทุ ธศาสนาเถรวาท . กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พม หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,

๙๘ ๒๕๕๐. สุจินต บรหิ ารวนเขตต. ปรมตั ถธรรมสังเขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก. พมิ พค รง้ั ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นต้ิงเฮาส, ๒๕๕๓. อายุษกร งามชาต.ิ การศกึ ษาวิเคราะหกระบวนการเกิดโยนิโสมนสกิ ารในพระพุทธศาสนาเถรวาท. สาร นิพนธ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยลัย, ๒๕๕๑. ๔ สื่ออนิ เตอรเ น็ต www.buddism-online.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook