๔๙ สภาพธรรมตามความเปนท่ีเกิดขึ้นและดับไปอยูทุกขณะ ดังที่พระพุทธเจาไดตรัสเทศนาแกพระภิกษุ ใน ปฐมเคลัญญสตู ร วาดว ยความเจบ็ ปว ย สตู รที่ ๑ ดงั น้ี “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา นี้เปนคําพรํ่าสอนสําหรับเธอ ทง้ั หลายของเรา ลกั ษณะของผูม สี ติสมั ปชญั ญะ ภิกษุผูม สี ติเปน อยา งไร เมื่อภิกษุในธรรมวินัยน้ี พิจารณาเห็นกายในกาย มีความเพยี ร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัด อภิชฌาและโทมนัสในโลกได... ในเวทนาทั้งหลาย ฯลฯ ในจิต ฯลฯ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ท้งั หลาย54๕๕อยู มคี วามเพยี ร มสี ัมปชญั ญะ มีสติ กําจัดอภชิ ฌาและโทมนสั ในโลกได ภกิ ษผุ ูม สี ติเปนอยางน้ีแล ภกิ ษผุ ูม ีสัมปชัญญะเปนอยา งไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยทําความรูสึกตัวในการกาวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคูเขา การเหยียดออก การครองผาสังฆาฏิ บาตร และจีวร การฉัน การดื่ม การเค้ียว การลิ้ม การถา ยอจุ จาระ ปสสาวะ การเดนิ การยืน การนงั่ การนอน การตืน่ การพูด การนง่ิ ภกิ ษผุ มู สี ัมปชญั ญะเปน อยางนแ้ี ล ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุพึงเปนผูมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา นี้เปนคําพรํ่าสอนสําหรับเธอ ทัง้ หลายของเรา”55๕๖ ๕๕ ธรรมทัง้ หลาย ในทีน่ ้ีหมายถงึ นิวรณ ๕ อปุ าทานขันธ ๕ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ โพชฌงค ๗ และอรยิ สัจ ๔ ๕๖ สํ.สฬ. (ไทย) ๑๘/๒๕๕/๒๗๗.
๕๐ สขุ ภาพทางจติ ในจิตวิทยาพทุ ธศาสนา องคการอนามัยโลก (WHO,2491) ไดใหความหมายของคําวา “สุขภาพจิต” ไววาหมายถึง \"สภาพจิตใจท่ี เปนสุข สามารถมีสัมพันธภาพและรักษาสัมพันธภาพกับผูอื่นไวไดอยางราบร่ืน สามารถทําตนใหเปน ประโยชนไดภายใตภาวะส่ิงแวดลอมที่มีการเปล่ียนแปลงท้ังทางสังคม และลักษณะความเปนอยูในการ ดํารงชีพ วางตัวไดอยางเหมาะสม และปราศจากอาการปวยของโรคทางจิตใจและรางกาย56๕๗ รวมท้ัง สนองความสามารถของตนเองในโลกที่กําลังเปลี่ยนแปลงนี้ไดโดยไมมีขอขัดแยงภายในจิตใจ57๕๘ และในที่ ประชุมสมัชชาองคการอนามัยโลก เม่ือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ไดตกลงเติมคําวา “Spiritual Well-being” หรือสุขภาวะทางจิตวิญญาณเขาไป ซง่ึ ความเปนผมู ีสขุ ภาพจิตดีนัน้ เปน สวนหนึ่งของภาวะ ความเปนผมู ีสุขภาพดใี น ๔ สวนคอื สขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ สุขภาพสังคม และสุขภาพจิตวิญญาณ58๕๙ ๑. สุขภาพกาย (Physical Health) หมายถึง สภาพที่ดีของรางกาย กลาวคือ อวัยวะตาง ๆอยูใน สภาพท่ีดี มีความแข็งแรงสมบูรณ ปราศจากโรคภัยไขเจ็บ รางกายสามารถทํางานไดตามปกติ และมี ความสัมพนั ธก ับทุกสวนเปนอยา งดี และกอใหเ กิดประสิทธภิ าพทดี่ ีในการทํางาน ๒. สุขภาพจิต (Mental Health) หมายถึง สภาพของจติ ใจทสี่ ามารถควบคมุ อารมณได มจี ติ ใจเบิก บานแจมใส มิใหเกิดความคับของใจหรือขัดแยงในจิตใจ สามารถปรับตัวเขากับสังคมและส่ิงแวดลอมได อยางมีความสุข สามารถควบคุมอารมณไดเหมาะสมกับสถานการณตาง ๆ ซึ่งผูมีสุขภาพจิตดี ยอมมีผล มาจากสุขภาพกายดีดวย ดังท่ี John Lock ไดกลาวไววา “A Sound mind is in a sound body” คือ “จติ ใจที่แจมใส ยอมอยใู นรางกายที่สมบรู ณ” ๓. สุขภาพสังคม (Social Health) หมายถึง บุคคลที่มีสภาวะทางกายและจิตใจท่ีสุขสมบูรณ มี สภาพของความเปนอยูหรือการดําเนินชีวิตอยูในสังคมไดอยางปกติสุข ไมทําใหผูอ่ืน หรือสังคมเดือดรอน สามารถปฏสิ ัมพนั ธและปรับตัวใหอยูในสงั คมไดเ ปนอยา งดีและมีความสุข ๕๗ ผศ.นพ.พนม เกตมุ าน, เอกสารประกอบการบรรยาย ภาควิชาจติ เวชศาสตร คณะแพทยศ าสตรศิริราช พยาบาล, www.psyclin.co.th/new_page_82_htm. ๕๘ นพ.ธงชัย ทวิชาชาติ, รายงานการวิจัยเรอ่ื งความเครยี ดและสขุ ภาพจติ ของคนไทย, นนทบุรี : กรม สขุ ภาพจติ , ๒๕๔๖, อางใน www.dmh.go.th. ๕๙ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข , www.anamai.moph.go.th.
๕๑ ๔. สุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Health) หมายถึง สภาวะท่ีดีของปญญาท่ีมีความรูทั่ว รูเทาทัน และความเขาใจอยางแยกไดในเหตุผลแหงความดีความช่ัว ความมีประโยชนและความมีโทษ ซ่ึงนําไปสู ความมีจติ อันดงี ามและเออื้ เฟอ เผ่ือแผ การมีสุขภาพจิตดีจึงมีความสัมพันธแบบองครวมท้ังรางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ดังท่ี จอหน ล็อค ไดกลาวไววา “จิตใจที่แจมใส ยอมอยูในรางกายท่ีสมบูรณ” เปนแนวคิดที่สอดคลองกับ จิตวิทยาพุทธศาสนา ท่ีพระพุทธองคตรัสไวใน มาคัณฑิยสูตรสูตร วา “ความไมมีโรค เปนลาภอัน ประเสริฐ”59๖๐ แตอยางไรก็ตาม จิตวิทยาพุทธศาสนาก็มีขอตางจากแนวคิดจิตวิทยาตะวันตกอยูบางสวน ปรากฏในโรคสูตร วา ดว ยโรค ดังนี้ “ภกิ ษุทง้ั หลาย โรค ๒ อยางน้ี โรค ๒ อยาง อะไรบาง คอื ๑ โรคทางกาย ๒ โรคทางใจ สัตวผ ูอางวา ตนเองไมม ีโรคทางกายตลอดระยะเวลา ๑ ปบ าง ๒ ปบ าง ๓ ปบา ง ๔ ปบา ง ๕ ปบา ง ๒๐ ปบาง ๓๐ ปบ า ง ๔๐ ปบา ง ๕๐ ปบาง แมย่ิงกวา ๑๐๐ ปบา ง ยังพอมีอยู แตส ตั วผูจ ะกลาวอา งวา ตนเองไมม โี รคทางใจ ตลอดระยะเวลาแมค รูเดียว หาไดโดยยาก ยกเวน ทานผูหมดกเิ ลสแลว ”60๖๑ พระสูตรนี้แสดงใหเห็นวา ในมุมมองของจิตวิทยาพุทธศาสนา ปุถุชนสวนใหญในโลกนี้เปนโรค ทางใจ หรอื ถา พจิ ารณาตามหลักการขององคการอนามันโลกก็คอื เปน โรคสุขภาพทางจิตวญิ ญาณ ภาวะที่คนในสังคมดํารงชีวิตอยางขาดความเช่ือมโยง ดํารงอยูอยางแปลกแยกระหวางมนุษย ธรรมชาติและสิ่งแวดลอม สะทอนออกมาทางพฤติกรรมแกงแยง แขงขัน ขาดความเอื้อเฟอเก้ือกูล เกิด ภาวะบกพรองทางจิตวิญญาณ (Spiritual Deficiency) ท่ีโหยหาการแสวงหาปจจัยภายนอกเพื่อมาเติม ความตองการภายในใหเต็ม เพ่ือใหรูสึกวาตนเองมีคณุ คา มีความสุข และความมนั่ คง จึงทําใหคนในสังคม ปจจุบันเกิดภาวะความรูสึกโดดเด่ียว แมจะอยูทามกลางผูคนมากมาย ความรูสึกที่วางเปลาและกลวง ภายใน นั่นสะทอนใหเห็นถึงภาวะที่ไรแกนสารยึดเหนี่ยวในการดํารงชีวิต ดังน้ัน จิตวิทยาตะวันตกจึง ๖๐ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๑๕/๒๕๔. ๖๑ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๕๗/๒๑๗.
๕๒ พยายามบูรณาการศาสตรของพระพุทธศาสนา เชน การเจริญสติ การเจริญสมาธิ เพ่ือชวยแกไขปญหา จติ ใจ และพฒั นาจิตใจของมนุษย หลกั ธรรมขันธ ๕ : การอธิบายความสมั พันธระหวางขันธตา ง ๆ การที่เราจะเขาใจลักษณะความสัมพันธระหวางกายกับจิตทั้งลักษณะของบุคคลท่ัวไป และ ลักษณะความสัมพันธระหวางกายกับจิตของผูที่ฝกจิตมาดีแลวไดชัดเจน พระพุทธเจาตรัสสอนผาน หลักธรรมสําคัญ อาทิ ขันธ ๕, ปฏิจจสมุปบาท โดยเฉพาะคําสอนเร่ือง ขันธ ๕ เปนคําสอนท่ีอธิบายให เขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตมนุษยวาประกอบดวย รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และ วญิ ญาณขนั ธ เปน สง่ิ ไมเทยี่ ง มีความปรวนแปร จงึ ไมควรยึดม่นั ถอื มนั่ วา เปนตัวตนของตน61๖๒ การทําความเขา ใจธรรมชาติของชีวิตอันประกอบดวยขันธ ๕ ผานการอธิบายหลักธรรม เร่ืองไตร ลักษณ คือ อนิจจัง ความไมเที่ยง ทุกขัง ความแปรปรวน และอนัตตา ความไมมีตัวตนท่ีเที่ยงแทถาวร การอธิบายลักษณะดังกลาวสามารถตีความไดวา โดยปกติแลวธรรมชาติของมนุษยทั่วไปท่ีมีสุขภาพดี คือ การประกอบดวยขันธ ๕ ท่ีสมดุล ท้ังกายและจิตมีความสบาย ไมกระสับกระสายแตธรรมชาติของขันธ ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เปนสิ่งท่ีไมเที่ยง คือสามารถแปรปรวนจนเกิดภาวะขาด สมดุลได น่ีคือธรรมชาติท่ีแทจริงของกายและจิตของมนุษยท่ีมีความเกี่ยวเนื่องเช่ือมโยงซ่ึงกันและกัน อาศัยปจจัยหลายอยางมาประกอบกัน ในภาษาธรรมเรียกวา สังขตธรรม หรือ สังขาร คือส่ิงที่เกิดจาก ปจ จยั ปรุงแตง กลา วคือ รปู ขนั ธ หมายถึง รูปท่ีแปรสภาพออกไปเปนสงิ่ ตา ง ๆไดม ากมาย มคี วามไมเ ทีย่ ง ไมย ง่ั ยืน เกดิ แลวดับไปตามเหตุปจจัย62๖๓ หรือเรียกในภาษาธรรมวา มหาภูตรูป ๔63๖๔ประกอบดวยธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุ ลม และธาตไุ ฟ มารวมกนั เม่อื ธาตเุ หลา นีม้ ีเหตุปจ จัยทาํ ใหเปล่ียนแปลง เกดิ ภาวะขาดสมดุล ก็จะเกดิ การ แปรปรวนขน้ึ ท่รี า งกาย เกิดความเจ็บไขไ มสบายกาย นอกจากนยี้ งั รวมถงึ รูปท่อี าศัยมหาภูตรูป ๔64๖๕(อปุ า ๖๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๑๘-๖๑๙/๒๔๗. ๖๓ บรรจบ บรรณรุจ,ิ ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๒๘, ๓๕-๔๒. ๖๔ สํ.ข. (ไทย) ๑๗/๑๑๓/๕๘. ๖๕ สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗.
๕๓ ทายรูป ๒๔) ๖๖ แตในปจจัยจตุกกะ อกุศลจิต ๑๒ กลาววา รูป คือ ความแรกเกิดแหงจักขายตนะ โส 65 ตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ และกายตนะ หรือรูปแมอ่ืนใดมีอยู ไดแก รูปที่เกิดแตจิต มีจิตเปนเหตุ มีจิตเปนสมุฏฐาน รูปที่มโนวิญญาณธาตุอาศัยเปนไป66๖๗ ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมทางกาย คือรูปซึ่งทาง อภิธรรมเรียกวา จิตตชรูป หมายถึงการเคล่ือนไหวและการกระทําตางๆของรางกายในชีวิตประจําวัน67๖๘ เรียกวา รูปที่เกิดจากจิต68๖๙ สวนเรื่องของจิตใจ กลาวถึงนามขันธ ๔ ไดแก เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซ่ึงเปน นามธรรม ในวิภังคสูตรใหความหมายวา นาม คือ เวทนา (ความเสวยอารมณ) สัญญา (ความจําไดหมายรู) เจตนา (ความจงใจ) ผัสสะ (ความกระทบหรือสัมผัส) มนสิการ (ความกระทําไวในใจ) ซ่ึงทางอภิธรรมจัด วาเปนสัพพจิตตสาธารณเจตสิก69๗๐ และการท่ีพระสูตรอธิบายถึงเฉพาะเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะและ มนสิการเทานั้น70๗๑ เน่ืองจากองคธรรมท้ังสามนี้แสดงตัวชัดเจนเดนกวาองคธรรมอ่ืน71๗๒ สวนในสุตตันตภา ชนียก ลาวถึงนามขันธ ๓ คอื เวทนาขนั ธ สญั ญาขันธ และสงั ขารขันธ72๗๓ ซึ่งในทางอภธิ รรมเรยี กวา เจตสกิ คือ อาการหรือพฤติกรรมของจิตหรือวิญญาณ73๗๔ ซ่งึ กลา วรายละเอียดในบทตอไป ๖๖ อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐. ๖๗ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๔๐, ๒๖๑/๒๔๔-๒๔๕, ๒๖๓/๒๔๗, ๒๖๕/๒๔๘, ๒๖๗/๒๕๐, ๒๖๙/๒๕๑, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๓/๒๕๕, ๒๗๕/๒๕๘, ๒๗๗/๒๖๐-๒๖๑, ๒๗๙/๒๖๓. ๖๘ วชั ระ งามจติ รเจรญิ , พุทธศาสนาเถรวาท, หนา ๑๙๑. ๖๙ อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/ ๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓-๒๗๕. ๗๐ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก คือ เจตสิกท่ีประกอบในจิตทุกดวง ไดแก ๑.ผัสสะ ๒.เวทนา ๓.สัญญา ๔.เจตนา ๕.เอกัคคตา ๖.ชีวิตินทรยี ๗.มนสกิ าร ๗๑ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๗. ๗๒ สํ.นิ.อ. (ไทย) ๒/๓๒, นันทพล โรจนโกศล, “การศึกษาวิเคราะหแนวคิดเร่ืองขันธ๕ กับการบรรลุธรรมใน พระพทุ ธศาสนาเถรวาท”, หนา ๑๐๖. ๗๓ อภ.ิ วิ. (ไทย) ๓๕/๒๒๘/๒๒๐, ๒๔๙/๒๓๔, ๒๕๑/๒๓๗, ๒๕๓/๒๓๘, ๒๕๕/๒๓๙, ๒๕๗/๒๔๑, ๒๕๙/ ๒๔๓, ๒๖๑/๒๔๔, ๒๖๓/๒๔๖, ๒๖๙/๒๕๑-๒๕๒, ๒๗๑/๒๕๓, ๒๗๗/๒๖๒, ๒๗๙/๒๖๓-๒๗๕. ๗๔ บรรจบ บรรณรจุ ,ิ ปฏจิ จสมปุ บาท, หนา ๒๗-๒๘.
๕๔ สวนวิญญาณขันธน้ัน คําวา วิญญาณ หมายถึง ธรรมชาติที่รูอารมณ74๗๕ วิภังคสูตรและสุตตันตภา ชนยี ก ลาวถึง วญิ ญาณมี ๖ ประการ คอื ๑. จักขุวิญญาณ (ความรูแ จงอารมณทางตา) ๒. โสตวญิ ญาณ (ความรูแจง อารมณท างห)ู ๓. ฆานวิญญาณ (ความรูแจงอารมณท างจมกู ) ๔. ชวิ หาวญิ ญาณ (ความรูแจงอารมณทางล้ิน) ๕. กายวญิ ญาณ (ความรแู จง อารมณท างกาย) ๖. มโนวญิ ญาณ (ความรแู จง อารมณท างใจ)75๗๖ ในขณะที่มหานิทานสูตรกลาวถึงวิญญาณในลักษณะขามภพชาติวา “ก็ถาวิญญาณจักไมหย่ังลง ในทองมารดา นามรูปจะกอตัวข้ึนในทองมารดาไดหรือ”๗๗ ซึ่งวิญญาณในท่ีน้ี หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณ เปนการอธบิ ายในระดับขามภพขา มชาติ ปฏิสนธิจิต (ปฏิสนธิวิญญาณ) เปนวิบากจิต (วิบากวิญญาณ) ซ่ึงเกิดขึ้นเพราะกรรมใดกรรม หนงึ่ เปน ปจ จัย กรรมใดเปน ปจ จยั ใหป ฏสิ นธิจิตหรือวิบากจิตใดเกิดขึ้น กรรมน้นั เปน กัมมปจ จยั แกปฏิสนธิ จิตหรือวิบากจิตน้ัน ถาเกิดในภูมิมนุษยเปนสุคติภูมิก็ตองเปนผลของกุศลกรรม จิตที่ปฏิสนธิก็เปนกุศล วิบาก แตเน่ืองจากในอดีตไดกระทําไวท้ังกุศลกรรมและอกุศลกรรม การประสบกับอิฏฐารมณหรือ อนฏิ ฐารมณ จึงข้นึ อยกู ับวาขณะใดกุศลกรรมใหผ ลหรอื อกุศลกรรมใหผล นอกจากนี้การท่ีกรรมแตละประเภทจะใหผลไดยังข้ึนอยูกับสมบัติและวิบัติ ไดแก คติสมบัติ คือการเกิดในภพภูมิท่ีดี เกิดในกําเนิดอันเจริญ สภาพแวดลอมอํานวย คติวิบัติ คือการเกิดในภพภูมิท่ีไมดี เกิดในกําเนิดตํ่าทราม สภาพแวดลอมไมเอื้อตอความเจริญ, อุปธิสมบัติ คือสมบัติแหงรางกาย ถึงพรอม ดวยรูปกาย สงา สวยงาม บุคลิกภาพดี อุปธิวิบัติ คือวิบัติแหงรางกาย รางกายวิกลวิการ ไมงดงาม บุคลิกภาพไมดี, กาลสมบัติ คือถึงพรอมดวยกาล ทําถูกกาลถูกเวลา กาลวิบัติ คือวิบัติแหงกาล ทําผิดกาล ๗๕ วิสุทธฺ ิ. (ไทย) ๕๘๗/๘๘๑. ๗๖ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๖, อภ.ิ ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๒๗/๒๒๐. ๗๗ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๑๕/๖๕.
๕๕ ผิดเวลา, ปโยคสมบัติ คือถึงพรอมดวยการประกอบความเพียร ทําตอเน่ืองมาเปนพ้ืนแลวจึงเห็นผลงาย, ปโยควิบัติ คือ วิบัติแหงการประกอบ ขาดความรู ความสามารถอันเปนพ้ืนฐานน้ัน จึงไมสําเร็จในผล โดยงาย77๗๘ การทํางานรวมกันของนามขันธ ๔ นั้น มีความสัมพันธกันอยางใกลชิดและสงอิทธิพลเปน ปจจัยแกกัน ดังท่ีพระพุทธเจาทรงแสดงธรรมในมธุปณฑิกสูตร แลวพระพุทธเจาอนุญาตใหพระมหากัจ จายนะอธิบายขยายความเปน กระบวนธรรมไว ขอยกมาอา งโดยยอ วา “อาศัยตาและรูป เกิดจักขุวิญญาณ (วิญญาณขันธ), ความประจวบแหงธรรมทั้งสามน้ัน เปน ผัสสะ, เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาจึงมี (เวทนาขันธ), บุคคลเสวยอารมณใด ยอมหมายรูอารมณนั้น (สัญญาขันธ), หมายรูอารมณใดยอมตริตรึกอารมณนั้น (วิตก เปนสังขารขันธ), ตริตรึกอารมณใดยอมผัน พิสดารซึ่งอารมณนั้น (ปปญจะ ไดแกตัณหา มานะ ทิฏฐิ เปนสังขารขันธ), บุคคลผันพิสดารซึ่งอารมณใด เพราะการผันพิสดารซึ่งอารมณน้ันเปนเหตุ ปปญจสัญญาแงตางๆ (สัญญาที่ประกอบดวยตัณหา มานะ ทิฏฐิ เปนสัญญาขันธและสังขารขันธ) ยอมผุดพลุงสุมรุมเขา ในเรื่องรูปทั้งหลายที่พึงรูไดดวยตา ทั้งที่เปน อดีต อนาคต และปจจบุ ัน”๗๙ จากความสัมพันธระหวางกายและจิต ท่ีแสดงผานกระบวนธรรมน้ี ผูเขียนขออธิบายใน รายละเอียดในหวั ขอกระบวนการรับรูในบทถดั ไป นอกจากพระพุทธองคทรงแสดงความสัมพันธระหวางกายกับจิตในหลักธรรมขันธ ๕ แลวทรง แสดงหลัก ธาตุ ๖ ดวย ดังปรากฏในมัชฌิมนิกาย อุปริปณณาสก ธาตุวิภังคสูตร พระพุทธเจาไดตรัสสอน พระปกุ กุสาติวา “ภิกษุ บุรษุ นมี้ ีธาตุ ๖ มีผสั สายตนะ(แดนเกิดแหง ผสั สะ) ๖ มี มโนปวจิ าร(ความนึกหนว งทางใจ) ๑๘ มีอธษิ ฐานธรรม(ธรรมท่ีควรต้งั ไวใ นใจ) ๔ เมื่อความกําหนดหมาย ซึมซาบไมถึงบุรษุ ผูคงอยใู นอธิษฐานธรรม บัณฑติ จึงเรียกบรุ ษุ น้ันวา ‘มนุ ผี ูสงบแลว ’ บุรษุ ไมพ งึ ประมาทปญ ญา พงึ ตามรักษา สัจจะ พึงเพิม่ พูนจาคะ พึงศกึ ษาแตท างสงบเทา น้ัน’ นีเ้ ปนอทุ เทสแหงธาตวุ ภิ ังค ๖ ประการ ๗๘ ดูรายละเอียดใน พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม, หนา ๑๓๖-๑๓๗, สุจนิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมตั ถธรรมสงั เขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก, หนา ๑๖๑-๑๖๖. ๗๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๙๙-๒๐๕/๒๐๙-๒๑๗.
๕๖ เรากลา วคําน้ไี ววา ‘ภิกษุ บุรุษน้มี ีธาตุ ๖ ประการ’ เพราะ อาศยั เหตอุ ะไร เราจงึ กลาวไวเชนน้ัน ภิกษุ ธาตุ ๖ ประการ น้ี คือ ๑. ปฐวธี าตุ (ธาตุดนิ ) ๒. อาโปธาตุ (ธาตนุ ํา้ ) ๓. เตโชธาตุ (ธาตไุ ฟ) ๔. วาโยธาตุ (ธาตลุ ม) ๕. อากาสธาตุ (ธาตุคืออากาศ) ๖. วญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือวญิ ญาณ) คําท่ีเรากลาวไวว า ‘ภิกษุ บรุ ษุ นมี้ ีธาตุ ๖ ประการ’ นั่น เพราะอาศยั เหตุนี้ เราจึงกลาวไว”๘๐ พระพุทธองคไดอธิบายรายละเอียดของธาตุท้ัง ๖ ไดแก ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโย ธาตุ อากาสธาตุ และวญิ ญาณธาตุ ไวด งั นี้ “ปฐวธี าตุ เปน อยางไร คือ ปฐวีธาตภุ ายในกม็ ี ปฐวธี าตภุ ายนอกกม็ ี ปฐวธี าตภุ ายใน เปน อยางไร คอื อปุ าทนิ นกรูป80๘๑ภายในทเ่ี ปนของเฉพาะตน เปนของแขน แข็ง เปน ของหยาบ ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เน้อื เอ็น กระดูก เย่อื ในกระดกู ไต หัวใจ ตับ พังผดื มาม ปอด ไสใ หญ ไสน อย อาหารใหม อาหารเกา หรือ อุปาทินนกรูปภายในอ่ืนใดท่เี ปน ของเฉพาะตน เปนของแขน แขง็ เปนของหยาบ น้เี รียกวาปฐวีธาตภุ ายใน ปฐวธี าตภุ ายใน และปฐวธี าตุภายนอกนี้ กเ็ ปนปฐวีธาตนุ ่ันเอง บณั ฑิตควร เห็นปฐวีธาตุน้ัน ตามความเปน จริง ดว ยปญ ญาอนั ชอบอยางนีว้ า ‘น่นั ไมใ ชของเรา เราไมเ ปนนัน่ นน่ั ไมใ ชอตั ตาของเรา’ คร้ันเหน็ ปฐวีธาตุนนั้ ตามความเปน จรงิ ดว ย ๘๐ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๓-๓๔๔/๔๐๓. ๘๑ อุปาทินนกรปู หมายถึงรปู มกี รรมเปน สมุฏฐาน คาํ นเ้ี ปน ช่ือของรูปท่ดี าํ รงอยภู ายในสรรี ะ ที่ยดึ ถือ จับตอ ง ลูบคลําได เชน ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม อาหารเกา คําน้กี ําหนดจําแนกหมายเอาปฐวธี าตุภายใน แตส ําหรับอาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ กม็ นี ัยเชน เดียวกัน พึงทราบความพิสดารในคัมภีรวิสุทธิมรรค (ม.ม.ู อ. ๒/ ๓๐๒/๑๓๐)
๕๗ ปญญาอนั ชอบอยางนี้แลว ยอมเบื่อหนายในปฐวีธาตุ และทาํ จติ ใหค ลายกําหนัดจากปฐวีธาตุ” ๘๒ 81 “อาโปธาตุ เปน อยางไร คือ อาโปธาตุภายในกม็ ี อาโปธาตภุ ายนอกก็มี อาโปธาตภุ ายใน เปน อยางไร คอื อุปาทนิ นกรูปภายในท่เี ปนของเฉพาะตน เปน ของเอิบอาบ มคี วาม เอิบอาบ ไดแก ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ น้าํ ตา มันขน เปลวมนั น้าํ ลาย นา้ํ มกู ไขขอ มตู ร หรอื อปุ าทินนกรปู ภายในอนื่ ใด ทีเ่ ปน ของเฉพาะตน เปน ของเอบิ อาบ มีความเอิบอาบ นี้เรียกวา อาโปธาตภุ ายใน อาโปธาตุภายในและอาโปธาตุภายนอกนี้ ก็เปน อาโปธาตุนัน่ เอง บัณฑติ พึง เหน็ อาโปธาตุนัน้ ตามความเปน จรงิ ดวยปญญาอันชอบอยางน้วี า ‘นั่นไมใชข องเรา เราไมเ ปนน่ัน นัน่ ไมใชอตั ตาของเรา’ คร้นั เหน็ อาโปธาตนุ ั้นตามความเปนจรงิ ดว ยปญ ญาอนั ชอบอยา งนแี้ ลว ยอมเบอ่ื หนา ยในอาโปธาตุ และทาํ จติ ใหค ลายกาํ หนดั จาก อาโปธาต”ุ 82๘๓ “เตโชธาตุ เปนอยางไร คือ เตโชธาตุภายในกม็ ี เตโชธาตภุ ายนอกก็มี เตโชธาตุภายใน เปน อยางไร คือ อปุ าทินนกรูปภายในทีเ่ ปนของเฉพาะตน เปนของเรา รอ น มีความเรา รอน ไดแ ก ธรรมชาตทิ เ่ี ปนเคร่อื งทํารางกายใหอ บอุน ธรรมชาตทิ ีเ่ ปนเครอ่ื งทํารา งกาย ใหท รดุ โทรม ธรรมชาตทิ ีเ่ ปน เครือ่ งทาํ รา งกายใหเรา รอน ธรรมชาติท่เี ปนเครือ่ ง ยอยสิ่งทกี่ นิ แลว ดม่ื แลว เคี้ยวแลว และลิ้มรสแลว หรอื อปุ าทนิ นกรปู ภายในอน่ื ใด ทเ่ี ปน ของเฉพาะตน เปนของเรารอ น มีความเรา รอน นเี้ รยี กวา เตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายในและเตโชธาตุภายนอกนี้ ก็เปน เตโชธาตุน่นั เอง บัณฑิตพึง เห็นเตโชธาตุนั้นตามความเปนจริง ดวยปญญาอันชอบอยางนี้วา ‘นนั่ ไมใชของเรา เราไมเ ปนน่นั นนั่ ไมใชอ ตั ตาของเรา’ ครน้ั เหน็ เตโชธาตนุ ั้นตามความเปนจรงิ ดว ย ๘๒ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๔๙/๔๐๕-๖. ๘๓ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๕๐/๔๐๖.
๕๘ ปญญาอันชอบอยา งนแี้ ลว ยอมเบือ่ หนา ยในเตโชธาตุ และทาํ จิตใหคลายกาํ หนดั จาก เตโชธาต”ุ 83๘๔ “วาโยธาตุ เปนอยางไร คือ วาโยธาตุภายในกม็ ี วาโยธาตภุ ายนอกก็มี วาโยธาตภุ ายใน เปนอยางไร คือ อุปาทินนกรปู ภายในท่ีเปนของเฉพาะตน เปน ของพัดไปมา มีความ พัดไปมา ไดแก ลมท่พี ัดขึ้นเบ้ืองบน ลมที่พดั ลงเบื้องตํ่า ลมในทอ ง ลมในลาํ ไส ลมทแ่ี ลนไปตามอวยั วะนอยใหญ ลมหายใจเขา ลมหายใจออก หรอื อุปาทินนกรูป ภายในอ่นื ใด ท่ีเปนของเฉพาะตน เปน ของพดั ไปมา มีความพัดไปมา น้เี รยี กวาวาโยธาตภุ ายใน วาโยธาตภุ ายในและวาโยธาตุภายนอกน้ี ก็เปนวาโยธาตุนัน่ เอง บัณฑิตพงึ เห็นวาโยธาตุนั้นตามความเปน จริง ดว ยปญญาอันชอบอยางนวี้ า ‘นัน่ ไมใ ชข องเรา เราไมเ ปนนน่ั น่ันไมใ ชอัตตาของเรา’ ครน้ั เห็นวาโยธาตุนั้นตามความเปน จริง ดวยปญ ญาอันชอบอยา งนีแ้ ลว ยอ มเบอ่ื หนายในวาโยธาตุ และทาํ จติ ใหค ลาย กําหนดั จากวาโยธาตุ”84๘๕ “อากาสธาตุ เปนอยา งไร คือ อากาสธาตุภายในก็มี อากาสธาตภุ ายนอกก็มี อากาสธาตภุ ายใน เปน อยางไร คอื อุปาทินนกรปู ภายในที่เปนของเฉพาะตน เปนสภาวะวางเปลา มีความ วางเปลา ไดแ ก ชองหู ชองจมกู ชองปาก ชอ งสาํ หรับกลืนของกนิ ของดื่ม ของเค้ียว ของลิม้ รส ชองที่พักอยแู หงของกนิ ของดมื่ ของเค้ยี ว ของลมิ้ และ ชองสาํ หรับของกิน ของดืม่ ของเค้ยี ว ของลม้ิ ไหลลงเบอ้ื งตํา่ หรืออปุ าทนิ นกรปู ภายในอื่นใดทเ่ี ปนของเฉพาะตน เปนสภาวะวางเปลา มคี วามวา งเปลา นี้เรียกวาอากาสธาตุ ภายใน อากาสธาตภุ ายในและอากาสธาตุภายนอกน้ี กเ็ ปนอากาสธาตุนั่นเอง บัณฑติ พงึ เห็นอากาสธาตุน้นั ตามความเปน จริง ดวยปญญาอนั ชอบอยา งนวี้ า ‘น่นั ไมใ ช ของเรา เราไมเ ปน น่นั นนั่ ไมใชอ ตั ตาของเรา’ คร้ันเหน็ อากาสธาตนุ ัน้ ตามความ ๘๔ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๑/๔๐๖-๗. ๘๕ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๒/๔๐๗.
๕๙ เปน จริง ดว ยปญญาอนั ชอบอยางน้ีแลว ยอ มเบ่อื หนา ยในอากาสธาตุ และทําจิต ใหคลายความกําหนดั จากอากาสธาต”ุ 85๘๖ “ทนี น้ั วิญญาณอนั บริสุทธผ์ิ ดุ ผอ ง เหลอื อยู บุคคลยอ มรเู รอื่ งอะไรๆ ไดด ว ยวญิ ญาณนั้น คือรวู า ‘สขุ ’ บา ง รวู า ‘ทุกข’ บา ง รูว า ‘อทุกขมสขุ ’ บาง เพราะอาศัยผัสสะอนั เปนท่ีตัง้ แหงสขุ เวทนา สุขเวทนาจึงเกิด บคุ คลน้ันเมอ่ื เสวย สขุ เวทนา ยอ มรชู ดั วา ‘เราเสวยสุขเวทนาอย’ู รูช ัดวา ‘เพราะผัสสะอันเปน ที่ต้ัง แหง สขุ เวทนานัน้ นั่นแลดับ สขุ เวทนาที่เกดิ เพราะอาศัยผัสสะอนั เปนทต่ี ั้งแหง สุขเวทนา ท่ีเสวยอยูอนั เกิดจากผสั สะน้ันกด็ บั คอื สงบไป’”86๘๗ “เพราะอาศัยผสั สะอันเปน ทตี่ ้ังแหงทุกขเวทนา ทกุ ขเวทนาจึงเกิด บคุ คลนั้นเมอ่ื เสวยทุกขเวทนา ยอ มรชู ัดวา ‘เราเสวยทุกขเวทนาอยู’ รชู ัดวา ‘เพราะผสั สะอันเปน ที่ตั้งแหงทกุ ขเวทนานั้นน่นั แลดบั ทุกขเวทนาทเี่ กดิ เพราะอาศยั ผสั สะอนั เปนทตี่ ้ังแหงทกุ ขเวทนา ที่เสวยอยอู ันเกดิ จากผสั สะน้ันก็ดบั คอื สงบไป’”87๘๘ “เพราะอาศยั ผัสสะอนั เปน ทต่ี ัง้ แหงอทกุ ขมสขุ เวทนา อทกุ ขมสขุ เวทนา จึงเกิด บคุ คลนั้นเมื่อเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนา ยอ มรูชดั วา ‘เราเสวยอทุกขม- สขุ เวทนาอยู’ รูชัดวา ‘เพราะผสั สะอันเปนท่ตี ้งั แหง อทุกขมสุขเวทนาน้ันนั่นแลดบั อทกุ ขมสขุ เวทนาท่เี กิดเพราะอาศยั ผสั สะอันเปน ท่ตี ้ังแหงอทุกขมสขุ เวทนา ทเ่ี สวย อยูอนั เกดิ จากผัสสะนัน้ กด็ ับคอื สงบไป’”88๘๙ จากพระสูตรน้ี คือการอธิบายองคประกอบของรางกาย คือ รูปขันธ วาประกอบดวยธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) ธาตุนํ้า (อาโปธาตุ) ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) ธาตุลม (วาโยธาตุ) และอากาสธาตุ (ชองวาง) ซึ่งเปน ลักษณะของรูปกายท่ีอาศัยการปรงุ แตงของธาตุทงั้ หลายประกอบรวมกันเขา สวนนามขันธ คือ วิญญาณ ธาตุนั้น ทําใหบุคคลยอมรูอะไรๆดวยวญิ ญาณ ยอมรูสึก ยอมเสวยอารมณ ซึ่งเปนเรื่องของจติ ใจ แตการท่ี จะเกิดการรูอารมณ การเสวยอารมณของจิตไดน้ัน ตองอาศัยผัสสะ คืออาการท่ีบุคคลสัมผัส หรือเรียก ภาษาปจจบุ ันวา กระบวนการรับรู และการรบั รนู ัน้ อาจจะทําใหเ กิดความรูส ึกพอใจบา ง ไมพอใจบาง หรอื ๘๖ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๕๓/๔๐๘. ๘๗ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๔/๔๐๘. ๘๘ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๕/๔๐๘. ๘๙ ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๓๕๖/๔๐๙.
๖๐ เฉยๆบาง ขึ้นอยูกับอาการปรุงแตงของจิต ซึ่งเปนการทํางานของสังขารขันธรวมกับวิญญาณขันธ และ ทาํ งานพรอ มกนั กบั เวทนาขันธแ ละสัญญาขันธด ว ย ขันธ ๕ กบั อปุ าทานขันธ ๕ ขันธท้ัง ๕ ไดแก รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ น้ัน โดยปกติพระพุทธองคไมไดทรง แสดงหลักธรรมขันธ ๕ โดยลําพังโดด ๆ ๙๐ แตพระองคทรงยกหลักธรรมขึ้นมาเพ่ือใหเปนสภาวะที่ 89 พิจารณาใหเห็นวา ส่ิงท่ีเรียกวา สัตว บุคคล ตัวตน เรา เขา น้ัน แทจริงแลวเม่ือแยกสวนประกอบตาง ๆ ตามสภาวะ ยอมปราศจากตวั ตนท่แี ทจ รงิ ท่สี ามารถยึดถือวาเปน เจา ของได สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย ไดอธิบายความไวในหนังสือพุทธธรรมวา “หลักขันธ ๕ แสดงถึง ความเปนอนัตตา ใหเห็นวาชีวิตเปนการประชุมเขาของสวนประกอบตาง ๆ หนวยรวมของสวนประกอบ เหลาน้ี ก็ไมใชตัวตน สวนประกอบแตละอยาง ๆ นั้นเอง ก็ไมใชตัวตน และสิ่งท่ีเปนตัวตนอยูตางหากจาก สวนประกอบเหลา นก้ี ็ไมมี เมื่อมองเหน็ เชนนั้นแลว ก็จะถอนความยึดมน่ั ถือมั่นในเรื่องตัวตนได ความเปน อนัตตาน้ี จะเหน็ ไดช ัดตอเมอื่ เขา ใจกระบวนการของขันธ ๕ ในวงจรแหงปฏจิ จสมุปบาท”90๙๑ นอกจากนี้ พระพทุ ธองคท รงไดย กเหตุการณส ามญั ของมนุษยมาอธิบายไดแ ก ความเกิด ความแก ความเจ็บ และความตาย ซ่ึงลวนเปนเหตุการณท่ีปรากฏขึ้นในชีวิตของมนุษยทุกคน และทรงสรุปยอลง เปนขอเดยี ววา อปุ าทานขันธท ้ัง ๕ คือ ทกุ ข ดงั พระพุทธพจน “ภกิ ษุทงั้ หลาย ขอนเ้ี ปนทุกขอริยสจั คอื แมค วามเกิดก็เปน ทกุ ข แมค วาม แกกเ็ ปน ทุกข แมค วามเจ็บกเ็ ปนทกุ ข แมค วามตายกเ็ ปน ทกุ ข ความประสบสิ่ง อันไมเ ปน ทร่ี กั กเ็ ปน ทุกข ความพลดั พรากจากสงิ่ อันเปน ที่รักกเ็ ปน ทุกข ปรารถนา ส่งิ ใดไมไดส ง่ิ น้ันกเ็ ปน ทุกข โดยยอ อุปาทานขนั ธ ๕ เปน ทกุ ข” 91๙๒ ๙๐ พระพรหมคณุ าภรณ, ป.อ. ปยตุ ฺโต, พทุ ธธรรม, หนา ๒๔ – ๒๕. ๙๑ ปจ จุบนั ดาํ รงสมณศกั ด์ิ สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย, ดูรายละเอียดใน พระพรหมคณุ าภรณ, ป.อ. ปยุตโฺ ต, พุทธธรรม, หนา ๒๕. ๙๒ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๘๑/๕๙๓.
๖๑ การอธบิ ายความสัมพันธระหวางกายกบั จิตดวยหลักธรรมปฏจิ จสมปุ บาท ในท่ีน้ี ขอเนนถึงพุทธพจนหน่ึงท่ีปรากฏในหลักปฏิจจสมุปบาทวา “วิญญาณเปนปจจัยใหเกิด นามรปู ” และ “นามรูปเปน ปจจัยใหเกิดวญิ ญาณ” เพอ่ื แสดงใหเห็นถึงความสัมพันธร ะหวา งกายกับจิต วิญญาณ ในทีน่ ี้ก็คอื จิต หมายความวา “จิตเปน ปจจัยใหเ กิดนามและรูป” ในวิสุทธิมรรคอธิบายวา วิญญาณเปนปจจัยใหเกิดนามรูปนั้น มี ๒ ชนิด คือ วิปากวิญญาณ92๙๓ และอวิปากวิญญาณ ซึ่งพระสัทธรรมโชติกะเรียกวา กัมมวิญญาณ93๙๔ ซ่ึงรูปท่ีเกิดข้ึนในปฏิสนธิกาลน้ันมี แตกัมมชรูป โดยอาศัยกัมมวิญญาณในอดีตภพ และปฏิสนธิวิญญาณในภพปจจบุ ันเปนปจจัย สวนรูปในป วตั ติกาลมไี ดท ง้ั กมั มชรปู และจติ ตชรปู การอธิบายนามรูปที่สื่อความแบบชาติปจจุบัน คือ พฤติกรรมการทํางานของวิญญาณ มีเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ ที่ทําใหเกิดการปรุงแตงวิญญาณใหเปนกุศลหรืออกุศล และรางกายที่ ทํางานรวมกับวิญญาณหรือทํางานตามคําส่ังของวิญญาณ กลาวตามแนวอภิธรรมคือ เจตสิกหรือนามขันธ ๓ และรูปตาง ๆท่ีเกิดข้ึนในขณะรับรูอารมณท่ีมาถึง พฤติกรรมตาง ๆที่เกิดขึ้นเปนกระบวนการทํางาน ของเวทนาขนั ธ สัญญาขันธ และสังขารขนั ธ ไดแ ก เจตนา ผสั สะและมนสกิ ารเปน ตน กับพฤตกิ รรมตา ง ๆ ทางกายก็คือ รูปซึ่งทางอภิธรรมเรียกวา จิตตชรูป หมายถึงการเคลื่อนไหวและการกระทําตาง ๆของ รางกายในชวี ติ ประจาํ วนั เรียกวา รปู ท่เี กิดจากจิต94๙๕ ส่ิงสําคัญท่ีควรทําความเขาใจใหลึกซ้ึงในเรื่องของจิต ไดแก เวทนา สัญญา และสังขาร คือ นาม ขันธท ้งั ๓ ที่เรยี กวา เจตสกิ ซง่ึ เปนคณุ สมบตั ิของจิต เปนเรือ่ งของจติ โดยปกติท่ัวไป เวลาเราไดรับความทบกระเทือนทางกายหรือทางใจ เราจะรูสึกเจ็บหรือไมรูสึก เจ็บ เราจะเขาใจวาเปน เร่ืองของระบบประสาทและสมองโดยตรง คนเราจะจาํ อะไรไดดีหรือไมดีข้ึนอยูกับ ๙๓ วิปากวิญญาณ ไดแ ก โลกยี วปิ ากจิต ๓๒. ๙๔ พระสัทธัมมโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปน,ี หนา ๕๓. ๙๕ อายษุ กร งามชาต,ิ ปฏิจจสมุปบาทผา นแนวคิดพระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต),สารiนพิ นธ พทุ ธ ศาสตรดุษฎบี ัณฑติ , (บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย), ๒๕๕๒ หนา ๑๙
๖๒ ระบบประสาทของสมอง อารมณดีหรืออารมณราย ข้ึนอยูกับส่ิงแวดลอมและฮอรโมนตางๆในรางกาย ความเขาใจตางๆเหลา นี้เชงิ วทิ ยาศาสตรไ มผ ิด แตสําหรับพุทธศาสนาแลวยังไมครอบคลุมพอ ความรูสึกเจ็บหรือไมเจ็บน้ัน เปนเรื่องของเวทนา เปนส่ิงที่เกิดข้ึนจากจิตโดยตรง แตจิตจะรูสึกอยางน้ันไดตองอาศัยคุณสมบัติของระบบประสาทและสมอง ดว ย ขอสังเกตทางจติ วทิ ยา : การอธบิ ายประสาทวิทยาในฐานะรปู ขนั ธแ ละนามขันธ อ.พร รัตนสุวรรณอธิบายไววา คําวา “ประสาท” เปนคํามาจากภาษาบาลี แปลวา ทางเดินของ กระแสจิตหรอื กระแสวญิ ญาณ เรยี กอีกอยา งวา อายตนะ แปลวา ทเี่ กิดและที่ติดตอ ของวิญญาณ ประสาทและสมองเรียกวา อายตนะ ก็เพราะส่ิงเหลานี้เปนท่ีเกิดของวิญญาณท้ัง ๖ เชน จักษุ ประสาทเปนที่เกิดของจักษุวิญญาณ โสตประสาทเปนท่ีเกิดของโสตวิญญาณ สมองเปนที่เกิดของมโน วิญญาณ ดังนีเ้ ปน ตน และทวี่ า เปน ทต่ี ดิ ตอของวญิ ญาณ หมายความวา วิญญาณจะตดิ ตอโลกภายนอกได จะตองอาศัยระบบประสาทตางๆ และคําวาโลกภายนอก ในท่ีน้ีหมายถึง รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ (สมั ผสั ) และธัมมารมณ (เรอ่ื งราวตา งๆท่ีใจนึกคดิ ) สัญญาและสังขาร ก็เชนเดียวกัน สิ่งเหลาน้ีเปนเจตสิก เปนเร่ืองที่เกิดจากจิตโดยตรง การเขาใจ วา สมองเปนผูจดจําส่ิงตางๆ เปนความเขาใจทผี่ ิวเผิน หนา ท่จี ดจาํ เปนเร่ืองของจิต แตจิตจะจดจาํ ไดดีและ แมนยําตอ งอาศัยสมองดีและระบบประสาทด9ี5๙๖ ในท่ีน้ีนอกจากการท่ีจะพิจารณาดูวา สมองของคนเราจะดีขึ้นหรือวาเลวลง นอกจากพิจารณาใน แงวัตถุแลว อยาลืมพิจารณาในแงของนามธรรมดวย และในหลักของปฏิจจสมุปบาทก็มีอีกตอนหนึ่งวา “นามรูปเปนปจจัยใหเกิดสฬายตนะ” จากหัวขอนี้ก็แสดงไวชัดวา ระบบประสาทของคนจะพัฒนาไปใน ๙๖ พร รัตนสุวรรณ, คาํ บรรยายพทุ ธปรัชญา ภาค ๑ , พิมพค รั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พค นควา ทางวญิ ญาณ, ๒๕๓๒), หนา ๒๐ -๒๑.
๖๓ รูปไหนอยางไรก็ได ท้ังนี้ข้ึนอยูกับสภาพของวิญญาณ เชน หากคนท่ีพยายามฝกสมาธิอยูเสมอจนกระท่ัง เขา ฌานได สมรรถภาพหรือคณุ สมบตั ขิ องสมองกย็ อมจะดขี ึ้นๆโดยลําดบั ถาบุคคลใดย่ิงฝกสมาธิไดขั้นสูงคือไดฌานข้ันที่ ๔ และสําเร็จทิพยจักษุดวย ซ่ึงเมื่อฝกไดถึงข้ันน้ี แลว และยังเขาสมาธิบอยๆ จนมีความชํานาญมาก คือสามารถเขาสมาธิไดเร็วและเขาไดทุกเวลาทุก สถานท่ี ถาทําไดถงึ ขนาดนกี้ แ็ ปลวา สมองไดเ ปลี่ยนสภาพไปจากเดมิ แลว สําหรบั บคุ คลประเภทน้เี ม่ือตาย แลว ก็จะไปเกิดเปนพรหมหรือเทพเจาช้ันสูง และเมื่อเกิดมาเปนมนุษย จากวิบากของสมาธิซึ่งไดอบรม สะสมไวม ากนั้น ก็จะทําใหเ กดิ มามีสมองเปนอจั ฉริยะ ในทางวิทยาศาสตรมีแนวคิดวาคนท่ีเกิดมามีความจําดีหรือไมดีน้ันเกี่ยวของกับกรรมพันธุ คือถา พอแมฉ ลาดมคี วามจาํ ดี ลูกกไ็ ดรับยนี สน้มี าจากพอแม ถา พอ แมเปนคนปญ ญาออน ลูกก็มกั จะตอ งเปนคน ปญญาออนดวย พระพุทธศาสนายอมรับกฎขอน้ี ท่ีเรียกวา สติปญญาถูกจํากัดดวยกรรมพันธุ แต พระพุทธศาสนาไมไดอธิบายเพียงเทานี้ ทางพระพุทธศาสนาอธิบายไดลึกซึ้งกวาวา สมองและระบบ ประสาทท้ังหมดเปนกัมมชรูป ซึ่งแปลวา เปนรูปท่ีเกิดแตกรรม และคําวา กรรม ในที่น้ี หมายถึง กรรม ของตวั เองในอดตี ชาติ บคุ คลใดถาในชาติกอ นเปนคนฉลาดมีความรอบรูแตกฉานในวิชาการตา งๆ สามารถนําความรูน้ัน มาทํางานตางๆไดเปนผลสําเร็จ สําหรับคนที่เคยทํากรรมมาแบบน้ี เมื่อเกิดมาเปนคนอีก ก็จะเกิดมาเปน คนมีสมองดีสติปญญาดีมาต้ังแตเด็ก คือจําอะไรไดงาย รูอะไรไดเร็ว ดวยเหตุน้ี สมองและระบบประสาท ท้งั หมดจงึ ไดช ่ือวา เปนกมั มชรปู เพราะเหตุที่สมองและระบบประสาทท้ังหมดเปนกัมมชรูป สภาพของ สมองและระบบประสาทจึงตองมีการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอตามสภาพของจิตใจ96๙๗ ซ่ึงกอใหเกิดรูปที่มี กรรมเปนสมุฏฐานในกระแสจิตภายในทุกๆขณะนับแตปฏิสนธิเปนตนมา”๙๘ หมายความวา รูป ซึ่งในที่น้ี ๙๗ พร รัตนสุวรรณ , อภญิ ญา เลม ๑, พมิ พค รง้ั ที่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นักคนควา ทางวิญญาณ, ๒๕๓๖), หนา ๑๒๐ – ๑๒๔. ๙๘ สงฺคห. (ไทย) ๗๑.
๖๔ กลาวถึงกัมมชรูป98๙๙ คือรูปท่ีเกิดแตกรรมวาเปนการใหผลของกรรมในขณะปฏิสนธิในภพใหม99๑๐๐ ดังนั้น ในมุมมองของพุทธธรรม การท่ีบุคคลเกิดมามีปจจัยทางชีวภาพที่สมบูรณหรือบกพรองจึงขึ้นอยูกับรูปที่ เกิดแตกรรมดวย และเปนคุณสมบัติของจิต ที่เรียกวา สัญญาเจตสิกดวย คือการกําหนดหมายรูไดของจิต ในสิ่งตางๆทจ่ี ิตไดส่ังสมมา ลักษณะเชนน้เี ปนความสัมพนั ธร ะหวา งกายกับจติ ทั้งในระดับขามภพชาติ และ ปจ จุบนั ชาติ อีกตัวอยางเชน100๑๐๑ แรงขับทางสญั ชาตญาณที่ติดตวั มาแตกาํ เนิด ซึ่งในที่น้ีมุงเนนพิจารณาท่ี แรง ขับทางเพศ (Sexual drive) ซึ่งมีความซับซอนและข้ึนอยูกับหลายปจจัยรวมกัน ในการทําความเขาใจ เร่ิมตน ฟรอยดไดกลาวไววา “แรงขับทางเพศน้ีมีติดตัวเรามาต้ังแตแรกเกิดเปนทารก”๑๐๒ เม่ือพิจารณา จากหลักพุทธธรรมหมายความวา แรงขับทางเพศนี้มีกัมมชรูป คือรูปท่ีเกิดแตกรรมเปนฐานจากอดีตชาติ และเมื่อรางกายไดรับส่ิงกระตุนในปจจุบันดวยความรูสึกรักความรูสึกผูกพันอันเปนเร่ืองของจิตใจ จึงทํา ใหเกิดการหลั่งสารส่ือประสาทที่เก่ียวของกับอารมณความรูสึกรักและผูกพัน เชน สารสื่อประสาทออกซี โทซนิ (oxytoxin)๑๐๓ สารส่ือประสาทซีโรโทนนิ (serotonin) และโดปามนี (dopamine)๑๐๔ เปน ตน ใน พทุ ธธรรมอธบิ ายวา เปน จติ ตชรปู คอื รปู ท่ีเกิดจากจิต ซง่ึ สารส่อื ประสาท หรือฮอรโ มนตางๆดงั กลาวนย้ี อม ๙๙ กัมมชรูป รูปที่เกิดจากกรรม ๑๘ คือ ปสาทรูป ๕, ภาวรูป ๒, หทยรูป ๑, ชีวิตรูป ๑, อวินิพโภครูป ๘, ปริจเฉทรูป ๑ , พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๑-๒-๖ จิต เจตสิก รูป นิพพาน, (กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธิสทั ธมั มโชติกะ), หนา ๘๙. ๑๐๐ วัชระ งามจิตรเจริญ, พุทธศาสนาเถรวาท, หนา ๒๗๐. ๑๐๑ อายุษกร งามชาต,ิ การบรู ณาการหลักพทุ ธธรรมเพือ่ เปนเคร่ืองมือในการปรบั เปลยี่ นภาวะบกพรองทาง ความรกั ,วทิ ยานิพนธ พทุ ธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย), ๒๕๕๔, หนา ๑๓๐ – ๑๓๑ ๑๐๒ Sigmund Freud, The Psychology of Love, pp. 118-119, 195-197, ปราโมทย เชาวศิลป, คูมือ ทฤษฎจี ติ วิเคราะห, หนา ๑๐-๑๙. ๑๐๓ James F. Leckman, Sarah B. Hrdy, Eric B. Keverne, and C. Sue Carter, “A Biobehavioral Model of Attachment and Bonding”, The new psychology of love, pp.130-131. ๑๐๔ Helen Fisher, “The Drive to Love : The Neutral Mechanism for Mate Selection”, The new psychology of love, pp.91-94.
๖๕ มีความเกีย่ วของกบั ระบบการทํางานของสมอง ตามหลักพทุ ธธรรมอธบิ ายวาคือ หทยรฺ ูป104๑๐๕ท่แี ทรกซมึ อยู ในการทํางานของเซลลสมองน่ันเอง105๑๐๖ กลาวคือปรากฏการณที่ตอบสนองทางรางกายน้ันมาจากจิตใจ ดังทก่ี ลา วมานีค้ ือการทาํ งานรว มกนั ของกายและจติ ประเด็นหนึ่งท่ีสําคัญ ขอกลาวในที่นี้คือ เร่ืองหทยฺรูป “หทยฺรูป” เปนที่อาศัยสําหรับวิญญาณ หรือจิตและนามขันธ ๓ ท่ีปฏิบัติการรวมกัน106๑๐๗ ในพระไตรปฎกไมใชคําวา หทยฺรูป แตใชคําวา “ถํ้า(อัน เปนท่ีอาศัยของจิต)”๑๐๘ ซ่ึงถ้ํานี้ หมายถึงมหาภูตรูป ๔ และหทยฺรูป ดังนั้น หทยฺรูปจึงมีความสัมพันธ อยางใกลช ดิ กับวิญญาณ และเก่ยี วของกับเรอื่ งของจติ ใจ ความรใู นเรื่องเกี่ยวกับหทยรฺ ูปนี้ มนี กั วชิ าการตีความถึงตําแหนงท่ีตั้งของหทยรฺ ูป ๓ ตําแหนง108๑๐๙ คือ ทัศนะท่ีเห็นวาหทยฺรูปอยูท่ีหัวใจ ทัศนะที่เห็นวาหทยฺรูปอยูที่สมอง และทัศนะท่ีเห็นวาหทยฺรูปอยูทั่ว ท้งั รา งกาย ในพทุ ธพจนนนั้ คําวา หทยํ มคี วามหมายสองนัย คือ นัยแรก หมายถึงกอนเน้ือหัวใจ ทําหนาที่สูบฉีดโลหิตเพ่ือหลอเลี้ยงรางกาย ตําแหนงอยูทรวงอก ดานซา ย มีหลกั ฐานปรากฏอยูในอาการ ๓๒ วา เกศา (ผม) ฯลฯ หทยํ (หัวใจ)109๑๑๐ นัยท่ีสอง หมายถึงมันสมอง ซ่ึงตามศัพทแลว มันสมอง มีศัพทเฉพาะเรียกวา มตฺถลุงคํ ศัพทน้ีมี อยูในอาการ ๓๒ (ทฺวตฺตึสาการปาฐ) เหตุผลที่มีทัศนะวาหทยฺรูปอยูที่สมองน้ัน เพราะในอาการปาฐะ พรรณนาถึงอวัยวะตาง ๆของรางกาย และสมองเปนอวัยวะท่ีสําคัญสวนหน่ึง ตามหลักฐานทางสรีรวิทยา ๑๐๕ หทัยรูปเปนท่ีอาศยั สาํ หรบั วญิ ญาณหรอื จิตและนามขันธ ๓ ทีป่ ฏบิ ตั ิการรวมกนั (ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑/ ๔๑๗). ๑๐๖ นันทพล โรจนโกศล, “พุทธประสาทจริยศาสตรกับภาวะบกพรองทางสมอง”, วิทยานิพนธ พุทธศาสตร ดษุ ฎีบัณฑติ , (บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ), ๒๕๕๑, หนา ๓๘๗. ๑๐๗ ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒/๑๔๑๗. ๑๐๘ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗/๓๗. ๑๐๙ นนั ทพล โรจนโกศล, “พทุ ธประสาทจริยศาสตรก ับภาวะบกพรอ งทางสมอง”, วทิ ยานิพนธ พุทธศาสตร ดษุ ฎีบณั ฑิต, หนา ๒๓๒-๒๕๖. ๑๑๐ บรรจบ บรรณรุจิ, จิต มโน วญิ ญาณ, หนา ๑๘-๑๙.
๖๖ แพทยพบวา สมองเปน ตน ตอแหงการนึกคิด สว นหลกั ฐานทางอภิธรรม อธิบายวา ธาตุ อาศยั รปู ใดเปนไป รปู นนั้ เรยี กวา หทยั วัตถุ (มโนธาตุ - การนกึ , มโนวญิ ญาณธาตุ - การคิด)110๑๑๑ หากอธิบายตามหลักสรีรวิทยาแลว สมองและหัวใจมีความสัมพันธกันมาก สมองทําหนาท่ี ควบคุมการทํางานของหัวใจ และในขณะเดียวกัน หัวใจก็ทําหนาที่สูบฉีดโลหิตเพ่ือไปเล้ียงสมอง ความสัมพันธท ใ่ี กลชดิ กนั น้ีจงึ มีความเปน ไปไดวา หัวใจและสมอง ถูกเรยี กรวมกนั วา หทยํ111๑๑๒ สมเด็จพระญาณสังวร สังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก องคที่ ๑๙ แหงกรุงรัตนโกสินทร ได อธบิ ายไวในหนงั สอื จติ ศึกษาอยา งนาสนใจวา “คําวาจิตนี้ มีความหมายถึงตัวธาตุรูที่มีอยูในบุคคล อันพระพุทธภาษิตแสดงไววา ‘ไมมี สรีระคือรูปรางทรวดทรงสณั ฐานอันเปนเร่ืองของรูป มีคูหาคือถ้ําเปนทอี่ าศยั ’ ...ถาพิจารณาตาม พระพุทธภาษิต... จิตเปนอสรีระ คือไมมีรูปรางสรีรสัณฐาน ก็จะเปนหลักฐานที่ตองเห็นวาจิตกับ มันสมองตางกัน เพราะมันสมองน้ันเปนสงิ่ ทม่ี สี รรี สัณฐาน จึงเปนรูปกายสวนหนึ่ง แตวาจิตไมม สี รรี สณั ฐาน เพราะฉะนั้น จิตจงึ ไมใชสมอง แตจติ กบั กายตอ งอาศยั กนั เพราะฉะนั้น หากวาจติ เปน ธรรมชาติ ท่ีไมมีสรีรสัณฐาน อาศัยอยูกับกายน้ี จะอาศัยอยูกับสวนไหน ก็นาจะเห็นวาอาศัยอยู กับมันสมองเปนหลักสําคัญ เพราะมันสมองเปนที่ตั้งของประสาทท้ังหลาย ใหเกิดความรูทาง ประสาททั้งปวงและจิตน้ีท่ีจะรูอะไรออกมาทางภายนอกได เชน รูรูปทางตา รูเสียงทางหู ก็ตอง อาศัยประสาทตาอาศัยประสาทสมองเปนตน ซึ่งศูนยรวมของประสาทกร็ วมอยูท ่ีมนั สมอง”112๑๑๓ ในที่นี้ขอยกตัวอยางเปนกรณีศึกษาทางดานวิทยาการสมัยใหมมาใหพ ิจารณาถึงความสมั พันธอ ัน ซับซอนระหวา งกายและจิตใจ จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตรกลุมหนึ่ง โดยมี John และ Beatice Lacey แหง “Fels Research Institute” เปนหนึ่งในรุนแรกๆ และพัฒนาเพิ่มเติมโดยสถาบัน “HeartMath Research ๑๑๑ อางแลว. ๑๑๒ บรรจบ บรรณรุจ,ิ จิต มโน วญิ ญาณ, หนา ๒๐. ๑๑๓ สมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสงั ฆปรินายก องคท ี่ ๑๙, จติ ศึกษา, พิมพคร้งั ท่ี ๓, กรงุ เทพมหานคร : บริษทั พิมพสวยจํากดั , ๒๕๕๔, หนา ๑๕-๑๖.
๖๗ Center, Institute of HeartMath”๑๑๔ นักวิทยาศาสตรกลุมน้ีไดพยายามศึกษาการทํางานของหัวใจใน ลักษณะที่แสดงใหเห็นวา หัวใจไมใชแคเพียงอวัยวะท่ีใชในการสูบฉีดโลหิตเทานั้น แตหัวใจสามารถ ประมวลดวยตนเอง และสามารถสื่อสารกับสมองในฐานะผูนํา ไมใชฟงคําสั่งจากสมอง นอกจากน้ี จาก การวิจัยของนักวิทยาศาสตรกลุมน้ียังเสนอวาการเตนของหัวใจสามารถสงอิทธิพลไปสูการเตนของหัวใจ ผูอื่น จนนําไปสูบทสรุปวาการส่ือสารความรูสึกตางๆจากคนหน่ึงไปสูอีกคนหนึ่งไดดวยการแทรกรหัสของ ความรสู ึกไปกับสญั ญาณการเตน ของหวั ใจน้นั ดังคํากลา วท่ีวา “หวั ใจแสดงออกราวกบั วามันมีความคิดของมนั เอง และมีอทิ ธพิ ลอยา งลึกซ้ึงกับแนวทางการรับรู และตอบสนองตอโลก ... ดูเหมือนวาหัวใจสงขอความที่มีความหมายไปยังสมองซึ่งไมเพียงแคเขาใจ เทา นั้น แตยังเช่ือฟงดว ย ...”๑๑๕ นอกจากน้ี ยังมีหลักฐานที่สนับสนุนทัศนะของกลุมน้ี จากการศึกษาวิจัยของ ดร.พอล เพียซอลล (Paul Pearsall) ท่ีแสดงวาหัวใจมีระบบเก็บความจําผานทฤษฎี Cellular Memory กลาวคือ เซลลทุก ชนิดสามารถมีความคิดและระบบความจําของตัวเอง และยังสามารถแผข ยายพลงั งานออกมา โดยมีหัวใจ เปนศูนยกลางในการรวบรวมเรียบเรียงและประสานงานกับเซลลตางๆทั่วรางกาย โดย ดร.พอล ไดศึกษา ผูปวยประมาณ ๑๔๐ ราย ท่ีไดรับการผาตัดเปลี่ยนหัวใจ และปรากฏวามีผูปวยหลายรายมีความทรงจํา ตดิ มาจากหัวใจของผูทบ่ี ริจาค ตัวอยางกรณีของเดวิด (David) และ เกลนดา (Glenda) คูรักทั้งสองเปนแพทย หลังประสบ อุบัติเหตุทางรถยนต เดวิดเสียชีวิตในอุบัติเหตุ และไดบริจาคหัวใจใหกับวัยรุนชายลูกคร่ึงอเมริกันสเปน มารดาของวัยรุนคนนี้เลาวา ในวันท่ีรูสึกตัวข้ึนมาจากการผาตัดเปลี่ยนหัวใจ วัยรุนคนน้ี ไดใชคําที่ไมเคย ใชมากอนวา “everything is copacetic” ซึ่งคําวา “copacetic” นี้ไมมีความหมายสําหรับบุคคลทั่วไป แตเปนรหัสท่ีใชเฉพาะระหวางคูรักท้ังสองที่หมายความวา เม่ือทุกอยางเรียบรอยดีจะใชคําน้ี และในวัน แรกท่ีเกลนดาจะพบวัยรุนรายนี้ ขณะท่ีวัยรุนผูรับบริจาคกําลังจะเดินเขามาหาเกลนดา เธอรูสึกวาเดวิด กําลังอยูใกลๆเธอ และในเวลาเพียงชั่วขณะหลังจากความรูสึกน้ันเกิดข้ึน วัยรุนน้ันไดเขามาถึงจุดนัดพบ ๑๑๔ วธิ าน ฐานะวุฑฒ, หัวใจใหม ชีวติ ใหม, (เชยี งราย : ปต ศิ ึกษา, ๒๕๔๖), หนา ๑๙๒ – ๑๙๓. ๑๑๕ R. McCraty, M. Atkinson, and D. Tomasino, Science of the Heart : Exploring the Role of the Heart in Human Performance, (Boulder Creek, CA : HeartMath Research Center, Institute of HeartMath, 2001), pp.1-2.
๖๘ นอกจากนี้ วัยรุนรายนี้ยังเปล่ียนนิสัยการบริโภคอาหารจากเดิมกินแบบมังสวิรัติ หลังผาตัดกลายเปนคน ชอบกินเน้ือและอาหารมันๆ หลังจากท่ีผาตัดเปลี่ยนหัวใจ ซ่ึงเหมือนกับนิสัยการบริโภคอาหารของเดวิด ไมเพียงเทาน้ี วัยรุนรายน้ียังไดเปล่ียนนิสัยการฟงเพลง จากเดิมชอบฟงเพลง heavy metal เปล่ียนมา เปนชอบฟงเพลงรอ็ คเกาๆ ซงึ่ เดวิดเคยเปนนกั ดนตรขี องวงร็อคแอนดโรลสมัยเปน นักเรยี นแพทย115๑๑๖ กรณีตัวอยางที่นาํ เสนอมานแี้ สดงใหเหน็ วา หทยรฺ ปู แทรกซึมอยูทหี่ ัวใจ คือ พฤติกรรมบางอยางที่ เปล่ียนแปลงไปหลังจากไดรับการผาตัดเปลี่ยนหัวใจ โดยพฤติกรรมใหมดังกลาวโนมเอียงไปเหมือน เจาของหัวใจเดิม ซึ่งแสดงใหเห็นความจําของเจาของหัวใจเดิมสามารถถายทอดมาสูเจาของหัวใจคนใหม นนั้ ๑๑๗ 116 คําถามทบทวนประจาํ บท ๑ ใหน ิสิตอธบิ ายหลกั ธรรมขันธ ๕ มาโดยสังเขป ๒ ใหนิสิตอธบิ ายความสมั พนั ธร ะหวางขันธตา ง ๆ มาโดยสังเขป ๓ ใหน สิ ิตอธิบายอุปาทานขนั ธ ๕ มาโดยสงั เขป ๑๑๖ Pual Pearsall, The Heart’s Code : Tapping the Wisdom and Power of Our Heart Energy, (New York : Broadway Books, 1998), pp. 87. ๑๑๗ ดูรายละเอียดใน นนั ทพล โรจนโกศล, “พุทธประสาทจริยศาสตรก ับภาวะบกพรองทางสมอง”, วิทยานิพนธ พุทธ ศาสตรดุษฎบี ัณฑติ , หนา ๒๕๓.
๖๙ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑ พระไตรปฎ ก พระไตรปฎ ก เลมที่ ๑๐ สุตตนั ตปฎ ก ทฆี นกิ าย มหาวรรค . พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๒ สุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๑๓ สุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มชั ฌิมปณ ณาสก . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมที่ ๑๓ สุตตนั ตปฎก มัชฌฺ มิ นกิ าย มชฌฺ ิมปณฺณาสกปาลิ . พระไตรปฎกภาษาบาลี ฉบบั มหาจฬุ าเตปฏ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๔ สตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย อปุ รปิ ณณาสก พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๖ สุตตันตปฎ ก สังยตุ ตนกิ าย นิทานวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๑๗ สตุ ตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนกิ าย ขันธวารวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมท่ี ๑๘ สุตตันตปฎก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๑๙ สตุ ตันตปฎ ก สงั ยุตตนกิ าย มหาวารวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙.
๗๐ พระไตรปฎ ก เลม ที่ ๒๕ สตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ,๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๓๕ อภิธรรมปฎก วิภงั ค . พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ๒ คมั ภีรอ รรถกถา ขทุ ทกนกิ าย ธรรมบทอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลยั พมิ พครัง้ ที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หามกฎุ ราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖. ๓ หนังสอื เดอื น คําด,ี รศ.ดร. ศาสนศาสตร. พมิ พครง้ั ที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพมิ พ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร, ๒๕๔๕. นันทพล โรจนโกศล, “การศึกษาวเิ คราะหแ นวคดิ เร่ืองขันธ๕ กบั การบรรลธุ รรมในพระพทุ ธศาสนาเถร วาท”. วิทยานิพนธ พุทธศาสตรมหาบัณฑิต .บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ,๒๕๔๘. นนั ทพล โรจนโกศล, “พุทธประสาทจรยิ ศาสตรกับภาวะบกพรองทางสมอง”, วทิ ยานิพนธ พุทธศาสตร ดุษฎบี ณั ฑิต . บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑. บรรจบ บรรณรุจิ, ปฏิจจสมุปบาท . พมิ พครง้ั ที่ ๓ . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๔๙. บรรจบ บรรณรจุ ิ, จติ มโน วิญญาณ, พมิ พครัง้ ท่ี ๔, กรงุ เทพมหานคร : สํานักพิมพธรรสภา,๒๕๓๗ ปราโมทย เชาวศลิ ป. คมู ือทฤษฎีจติ วเิ คราะห . กรงุ เทพมหานคร : เรือนแกว การพมิ พ , ๒๕๒๖. พร รัตนสุวรรณ. คําบรรยายพุทธปรชั ญา ภาค ๑ . พมิ พค รง้ั ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : สํานักพมิ พค นควา ทางวญิ ญาณ , ๒๕๓๒. __________ . อภิญญา เลม ๑. พิมพค รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักคนควา ทางวญิ ญาณ, ๒๕๓๖.
๗๑ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร ฉบับประมวลธรรม . พิมพค ร้ังท่ี ๑๖. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั เอส อาร พร้นิ ติ้ง แมส โปรดกั ส จาํ กัด, ๒๕๕๑. ___________ . พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ขยาย. พิมพครัง้ ท่ี ๓๒. กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพิมพผลธิ ัมม, ๒๕๕๕. พระพทุ ธโฆษะเถระ. คัมภรี ว ิสทุ ธมิ รรค. ฉบบั ๑๐๐ ป สมเดจ็ พระพุฒาจารย อาจ อาสภมหาเถระ). พิมพ คร้ังที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : บริษัทธราเพลส จํากดั , ๒๕๔๘. พระไพศาล วิสาโล . สุขเหนอื สขุ . กรงุ เทพมหานคร : เนชนั่ บคุ ส . ๒๕๕๔. พระสัทธมั มโชตกิ ะ ธมั มาจริยะ. ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี . พมิ พค รัง้ ท่ี ๕. นิพพาน. กรุงเทพมหานคร : มลู นิธสิ ัทธัมมโชติกะ. พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจรยิ ะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปริจเฉทท่ี ๑-๒-๖ จติ เจตสิก รูป นพิ พาน. กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ ิสทั ธัมมโชติกะ. ๒๕๔๗. พระอนรุ ุทธาจารย. พระคันธสาราภิวงศ. (ผูแปล). อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมตั ถธปี นี. กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวันกราฟฟค เพลท,๒๕๔๖. วชั ระ งามจติ รเจริญ. พุทธศาสนาเถรวาท . กรงุ เทพมหานคร : สํานกั พิมพมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร, ๒๕๕๐. วธิ าน ฐานะวฑุ ฒ. หัวใจใหม ชีวิตใหม . เชยี งราย : ปตศิ กึ ษา, ๒๕๔๖. สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราชสกลมหาสงั ฆปรินายก องคท ี่ ๑๙. จติ ศกึ ษา. พิมพค ร้ังที่ ๓. กรุงเทพมหานคร : บริษทั พมิ พส วยจาํ กดั , ๒๕๕๔. สจุ ินต บรหิ ารวนเขตต. ปรมัตถธรรมสงั เขป จิตตสังเขป และภาคผนวก. พมิ พครง้ั ท่ี ๕. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นตงิ้ เฮาส, ๒๕๕๓. อายษุ กร งามชาติ, การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพ่อื เปน เครอ่ื งมอื ในการปรบั เปลย่ี นภาวะบกพรอ งทาง ความรัก.วิทยานพิ นธ พทุ ธศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต, บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔. __________ , ปฏิจจสมุปบาทผานแนวคิดพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต). สารนิพนธ พุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑติ , บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓. Helen Fisher. “The Drive to Love : The Neutral Mechanism for Mate Selection”. The new
๗๒ psychology of love. USA. Yale Univerity Press, 2006. James F. Leckman, Sarah B. Hrdy, Eric B. Keverne, and C. Sue Carter. “A Biobehavioral Model ofAttachment and Bonding”. The new psychology of love. USA. Yale Univerity Press, 2006. Pual Pearsall. The Heart’s Code : Tapping the Wisdom and Power of Our Heart Energy. New York : Broadway Books, 1998. R. McCraty, M. Atkinson, and D. Tomasino. Science of the Heart : Exploring the Role of the Heart in Human Performance. Boulder Creek. CA : HeartMath Research Center, Institute of HeartMath, 2001. Sigmund Freud. The Psychology of Love . New York : Penguin classics. 2007. ๔ ส่อื อนิ เตอรเ น็ต www.anamai.moph.go.th www.buddism-online.org www.dmh.go.th www.psyclin.co.th/new_page_82_htm
๗๓ แผนการสอนประจําบทที่ ๔ เนือ้ หา ๓ ช่วั โมง บทท่ี ๔ โครงสรางของชีวติ : อายตนะ ๖ อายตนะ ๖ : แดนรับรูและเสพเสวยโลก กระบวนการรบั รูของจิต กระบวนการสืบตอ ของวิญญาณกบั การรับรูขอมูล การรับรูเกิดข้ึนไดดวยความใสใจ การรับรูเปน ปจจัยใหเกดิ ความรูสึกตอส่ิงทีร่ บั รู ระดับของการรบั รู ความถกู ตอ งในการรบั รู ความผดิ พลาดของการรบั รู คาํ ถามทบทวนบทท่ี ๔ เอกสารอางองิ ประจําบท วัตถปุ ระสงคเ ชงิ พฤติกรรม หลงั จากเรียนจบบทน้ี นิสติ ๑ รู เขา ใจและสามารถอธบิ ายอายตนะ ๖ และกระบวนการรบั รูไดไ ด ๒ รู เขาใจและสามารถอธิบายระดับของการรบั รไู ด ๓ รู เขาใจและสามารถอธิบายความถูกตองและความผิดพลาดของการรบั รูได ๔ สามารถประยุกตค วามรูท ่ไี ดไ ปใชในชวี ติ ประจาํ วัน
๗๔ วิธีสอนและกจิ กรรม ๑ ศกึ ษาเอกสารคาํ สอนบทท่ี ๔ ๒ วธิ ีสอนแบบอภปิ รายเน้ือหา ซักถาม ๓ ศึกษาคนควา ดวยตนเอง ๔ รวมวเิ คราะหแ ละอภิปรายขอมูลจาก PowerPoint หนา ชน้ั เรยี น ๕ สรุปเนื้อหาการเรียนการสอนทุกครั้ง ๖ ทาํ คาํ ถามทบทวนทายบท และนาํ ผลทไี่ ดจ ากการวิเคราะหค วามรูความเขา ใจของนสิ ติ มา ปรบั ปรงุ สือ่ การเรียนการสอน ๑ เอกสารคําสอนบทที่ ๔ ๒ PowerPoint ๓ แบบฝก ปฏบิ ตั ิ ๔ เครื่องคอมพิวเตอร การวัดผลและประเมนิ ผล ๑ สงั เกตการณการมีสวนรวมและการแสดงความคดิ เหน็ ของนสิ ติ ๒ สังเกตความตัง้ ใจเรยี น การตง้ั คาํ ถาม/ตอบคําถาม ๓ การทาํ คาํ ถามทบทวนทา ยบท
๗๕ บทที่ ๔ โครงสรา งของชวี ิต : อายตนะ ๖ อายตนะ ๖ : แดนรบั รแู ละเสพเสวยโลก อายตนะ แปลวา ทต่ี อ หรอื แดน หมายถึงทตี่ อกนั ใหเกดิ ความรู แดนเชอ่ื มตอ ใหเ กดิ ความรู หรอื แหลง ท่ีมาของความรู ทางรบั รู มี ๖ อยาง คอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ๑๑๘ 117 คมั ภรี วิสุทธมิ รรค อธบิ ายขยายความไวว า บอ เกิด ก็เรยี กอายตนะ สถานทช่ี ุมนุม ก็เรยี กอายตนะ คําวา “อายตนะ” มีความหมายหลายนยั อาทิ อายตนโต เพราะเปนท่สี บื ตอ เพราะแผอายะท้ังหลาย (จิต และเจตสิก) และนําอายตะไป (คอื สังสารทกุ ขอ ันยืดเยอ้ื อยูแลวไป)118๑๑๙ สิ่งที่เชื่อมตอใหเกิดความรูภายใน เรียกวา อายตนะภายใน หรือเรียกวา ทวาร ๖ ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ สวนส่ิงที่เช่ือมตอใหเกิดความรูภายนอก เรียกวา อายตนะภายนอก ไดแก หรือเรียกอีกอยางวา อารมณ ๖ หมายถึง ส่ิงที่ถูกรับรู ไดแก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ส่ิง สัมผัสทางกาย) และธรรมารมณ (ส่ิงนกึ คิดทางใจ) กระบวนการรบั รูข องจติ องคความรูเรื่องการรับรูในจิตวิทยาพุทธศาสนา พระพุทธเจาตรัสสอนไวในหมวดธรรม อายตนะ เร่มิ จากจาํ แนกอายตนะออกเปน ๒ ประเภท คือ ๑ อายตนะภายใน การรับรูโลกและสิ่งตาง ๆของผูคนท่ัวไปนั้นอาศัยอุปกรณในการรับรูท่ีอยูภายใน รางกาย คือ อายตนะภายใน ไดแก จักขายตนะ (อายตนะคือตา) โสตายตนะ (อายตนะคอื หู) ฆานายตนะ ๑๑๘ พระพรหมคณุ าภรณ, พทุ ธธรรม, หนา ๒๙. ๑๑๙ วิสุทธฺ ิ. (ไทย) ๕๑๑-๕๑๒/๘๐๖-๘๐๘.
๗๖ (อายตนะคือจมูก) ชิวหายตนะ (อายตนะคอื ลิน้ ) กายายตนะ (อายตนะคือกาย) และ มนายตนะ (อายตนะ คือใจ)119๑๒๐ ในคัมภีรวิสุทธิมรรค อธิบายวา องคธรรมแหงจักขายตนะ คือ จักขุปสาทรูป , องคธรรมแหงโส ตายตนะ คือ โสตปสาทรูป, องคธรรมแหงฆานายตนะ คือ ฆานปสาทรูป, องคธรรมแหงชิวหายตนะ คือ ชิวหาปสาทรูป, องคธรรมแหง กายายตนะ คอื กายปสาทรูป120๑๒๑ จักขุปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบรูปายตนะ ที่จะนําไปสกู ารรูทางตาได โดยรูป นี้ซึมซาบตลอดในแกวตา โตประมาณเทากับศีรษะของเหา เปนเย่ือบางดุจปุยนุนท่ีชุมดวยน้ํามันซอนกัน อยู ๗ ชั้น โสตปสาทรปู หมายถงึ รูปท่สี ามารถรับการกระทบกบั สทั ทายตนะ ทจี่ ะนาํ ไปสกู ารรูทางหูได โดย รูปนี้ซึมซาบตลอดในชองหู มีสัณฐานเปนวง ๆ คลายวงแหวน และมีขนอันละเอียดออนสีแดงปรากฏอยู โดยรอบ ฆานปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบกับคันธายตนะ ที่จะนําไปสูการรูทางจมูกได โดยรูปนซี้ มึ ซาบตลอดในชองจมูก อันมสี ณั ฐานเหมอื นกีบแพะ ชิวหาปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบกับรสายตนะ ท่ีจะนําไปสูการรูทางลิ้นได โดยรูปน้ีซมึ ซาบตลอดในทามกลางล้ิน อนั มสี ณั ฐานเหมือนปลายกลีบดอกบัว เรยี งรายซอนกันเปน ชั้น ๆ กายปสาทรูป หมายถึง รูปท่ีสามารถรับการกระทบกับโผฏฐัพพายตนะ ท่ีจะนําไปสูการรูทาง ผิวหนังได โดยรูปน้ีซึมซาบตลอดในประสาทท่ีมีสัณฐานคลายสําลีแผนบาง ๆ ที่ชุบน้ํามันจนชุมซอนกัน หลาย ๆ ช้ัน ตั้งอยูทั่วไปในสรรพางคกาย เวนท่ีปลายผม ปลายขน ที่เล็บ ที่ฟน ที่กระดูก ที่หนังหนาดาน ซ่ึงประสาทตงั้ อยูไมไ ด121๑๒๒ ๑๒๐ ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๔/๑๒. ๑๒๑ วสิ ทุ ธฺ ิ. (ไทย) ๕๑๕/๗๘๗. ๑๒๒ วิสทุ ฺธ.ิ (ไทย) ๔๓๖/๗๔๔-๗๔๕.
๗๗ สวนมนายตนะนั้น เปนนามธรรม ไมใชอวัยวะใด ๆ ตางจากอายตนะภายใน ๕ ประการแรกซ่ึง เปนรูปธรรม122๑๒๓ พระพุทธโฆสเถระไดอธิบายไวในคัมภีรวิสุทธิมรรควา มนายตนะเปนเพียงภวังคมนะ เปนอปุ ปตติทวาร (ทวารเปนที่เกิด) และธัมมายตนะเปน อารมณแหงกองวิญญาณที่ ๖123๑๒๔ เชนเดยี วกนั กบั คาํ อธิบายของพระอนุรทุ ธาจารย ผรู จนาคมั ภีรอภธิ ัมมตั ถสงั คหะ กลา วไวว า “ในบรรดาทวารเหลา นั้น จกั ขปุ ระสาทนนั่ เทียว ช่อื วา จกั ขุทวาร เชนเดยี วกันนี้ โสตประสาทเปนตน ก็ชอื่ วา โสตทวารเปนตน สว นภวังคจิตช่อื วา มโนทวาร”124๑๒๕ จากคําอธิบายขางตน แสดงใหเห็นวา มโนทวาร คือ ภวังคจิต และภวังคจิตเปนตนทางใน กระบวนการสบื ตอ ของวิญญาณทีเ่ รยี กวา อุปปตตทิ วาร125๑๒๖ ๒ อายตนะภายนอก สงิ่ ท่เี ขามาสูอายตนะภายในท้งั ๖ น้นั เรยี กวา อายตนะภายนอก ไดแ ก รู ปายตนะ (อายตนะคือรูป) สัททายตนะ (อายตนะคือเสียง) คันธายตนะ (อายตนะคือกลิ่น) รสายตนะ (อายตนะคือรส) โผฏฐัพพายตนะ (อายตนะคือโผฏฐัพพะ) และธัมมายตนะ (อายตนะคือธรรมารมณ)126๑๒๗ หรอื อารมณ ๖ ไดแก รปู ารมณ สัททารมณ คนั ธารมณ รสารมณ โผฏฐพั พารมณ และธรรมารมณ เม่ืออายตนะภายในกับอายตนะภายนอกปฏิบัติการรวมกันจะเกิดความรูเฉพาะขึ้นมา เรียกวา วญิ ญาณ หรือ จติ ดงั แผนภาพ ก ๑๒๓ ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๔/๑๒. ๑๒๔ วสิ ทุ ฺธิ. (ไทย) ๕๑๓/๘๐๘-๘๐๙. ๑๒๕ สงคฺ ห. (ไทย) ๔๑. ๑๒๖ นันทพล โรจนโกศล, อายตนะ : สนามแหงความรใู นพทุ ธจิตวิทยา, สารนพิ นธ พทุ ธศาสตรด ุษฎบี ัณฑิต, (บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยลัย), ๒๕๕๐, หนา ๔๘. ๑๒๗ ขุ.ปฏิ. (ไทย) ๓๑/๔/๑๒.
๗๘ แผนภาพ127๑๒๘ แสดงความสัมพนั ธระหวา งอารมณ (ส่งิ ที่ถกู ร)ู กับ จิต (ตัวร)ู โดยผา นทางทวาร ๖ จากความละเอียดลึกซ้ึงของพุทธธรรมยังแสดงใหเห็นวามีส่ิงท่ีเกิดข้ึนพรอมความรูเฉพาะท่ี เรียกวา วิญญาณ ดวย นั่นคือ การจําไดหมายรู ที่เรียกวา สัญญา หรือสัญญาเจตสิก เกิดขึ้นขณะ ปฏบิ ัติการรวมกนั สัญญาเจตสิก หมายถึงอาการแหงจิตหรือวิญญาณท่ีแสดงพฤติกรรมออกมาเปนความกําหนด หมาย จําได หมายรู128๑๒๙ ซ่ึงเกิดพรอมกับวิญญาณ ๖ เนื่องจากสัญญาเปนสัพพจิตต สาธารณ เจตสิก129๑๓๐ ดังนั้นเม่ือวิญญาณ ๖ ปฏิบัติการ สัญญา ๖ ที่เก่ียวของยอมปฏิบัติการดวย โดยท่ี รูปสัญญา คือกําหนดหมายรูรูป สัททสัญญา คือกําหนดหมายรูเสียง คันธสัญญา คือกําหนดหมายรูกลิ่น รส สัญญา คือกําหนดหมายรูรส โผฏฐัพพสัญญา คือกําหนดหมายรูโผฏฐัพพะ และธัมมสัญญา คือกําหนด หมายรธู รรม130๑๓๑ นอกจากน้ีในการปฏิบัติการรวมกันระหวางอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกจนเกิด วญิ ญาณข้นึ รับรูนนั้ พทุ ธธรรมยังใหความสําคญั แกก ารประจวบเหมาะในการกระทบกนั ท่เี รียกวา ผัสสะ ๑๒๘ www.buddism-online.org ๑๒๙ ม.มู. (ไทย) ๑๒/๔๕๐/๔๙๐. ๑๓๐ สพั พจติ ตสาธารณเจตสิก คอื เจตสกิ ที่ประกอบพรอมกับจิตทกุ ประเภท ๑๓๑ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๒๓/๓๑๗-๓๑๘, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๑๙๓/๒๙๓.
๗๙ ผัสสะ เปนเจตสิกประเภทหนึ่งในเจตสิก ๕๒ ผัสสะเปนนามธรรมที่กระทบอารมณ อาทิ ขณะที่รูป กระทบกับ รูป เชน เสียง (รูป) กระทบกับ โสตปสาท (รูป) ผัสสเจตสิกเกิดข้ึน จิตรูยินเสียง (โสตวิญญาณ) เกิดขึน้ ดงั นน้ั ผัสสเจตสิกเปน สหชาตปิ จ จัย เปน นามธรรมซึ่งเกดิ พรอมกับจติ ดับพรอมกบั จิต รูอารมณเดียวกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต จิตจึงเปนเหตุแหงผัสสะ แตหากวา ตนไมลมกระทบกับ พนื้ ดนิ การกระทบกนั ของตน ไมแ ละพน้ื ดินไมใ ชผสั สะเจตสิก131๑๓๒ การศึกษาการรับรูในจิตวิทยาพุทธศาสนานี้ ผัสสะจะมุงไปในความหมาย การประจวบเหมาะ แหงองคประกอบสามประการ คือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ132๑๓๓ ดังน้ัน ผัสสะจึง สามารถจําแนกตามทิศทางแหงอายตนะได ๖ ประการ ไดแก การสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) การสัมผัส ทางหู (โสตสัมผัส) การสัมผัสทางจมูก (ฆานสัมผัส) การสัมผัสทางล้ิน (ชิวหาสัมผัส) การสัมผัสทางกาย (กายสัมผัส) และการสัมผสั ทางใจ (มโนสัมผสั )133๑๓๔ แผนภาพ แสดงความสัมพนั ธก ารประจวบเหมาะแหงองคประกอบ ๓ ประการ ระหวาง อายตนะภายนอก ๖ อายตนะภายใน ๖ วญิ ญาณ ๖ อายตนะภายนอก (อารมณ์) กระทบ (ผัสสะ) อายตนะภายใน(ทวาร) จติ (วญิ ญาณ) รูป.............................................. จักขุสัมผัส ตา.................................................... รู้เหน็ เสียง............................................. โสตสัมผัส หู..................................................... รู้ได้ยนิ กล่นิ ............................................. ฆานสัมผัส จมูก................................................. รู้กล่นิ รส............................................... ชวิ หาสัมผัส ลนิ้ ................................................... รู้รส โผฏฐัพพะ................................... กายสัมผัส กาย.................................................. รู้สัมผัส ๑๓๒ ดูรายละเอยี ดใน สจุ นิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสงั เขป จิตตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๗๔-๗๕. ๑๓๓ อภ.ิ สงฺ.อ. (ไทย) ๑/๑/๒๔๒. ๑๓๔ ส.ํ น.ิ (ไทย) ๑๖/๒/๖
๘๐ กระบวนการรับรูโลกแหงปรากฏการณนน้ั มปี จจยั ท่เี ก่ียวขอ งกันอยา งสําคัญ ๒ ประการ คอื ๑. จิต คอื ผูร ู ๒. อารมณ คอื สิ่งที่ถกู จิตรู ความสมั พันธร ะหวา งจิตกับอารมณน ้ันมีลกั ษณะท่จี ะอยูด วยกนั เปนคเู สมอ เรื่อยไปทกุ ขณะจติ และการทาํ หนา ทรี่ ูอารมณของจิต มคี าํ ทใ่ี ชเ รยี กแทนกนั ไดว า วิญญาณ134๑๓๕ เชนในขณะท่เี ราเหน็ สนุ ัขกาํ ลังเหา ตา ซง่ึ เปนอายตนะภายใน กระทบกับรปู ซึ่งเปน อายตนะ ภายนอก หรือ อารมณ เกดิ ผสั สะขึน้ จักขวุ ิญญาณเกิด คอื รเู หน็ เปนขณะจิตหน่ึง และ หู ซงึ่ เปน อายตนะ ภายใน กระทบกบั เสียง ซงึ่ เปน อายตนะภายนอก หรอื อารมณ เม่ืออายตนะภายในกระทบกับอายตนะ ภายนอก เกดิ ผัสสะขึน้ โสตวิญญาณจึงเกดิ ข้ึน คอื รไู ดย นิ เปน ขณะจิตหนึ่ง จิตทีเ่ กดิ ขนึ้ ในขณะเห็น กบั ไดย ิน เปนจิตทเ่ี กดิ ขึ้นตางขณะกนั และแตละขณะจะสามารถรับ อารมณไ ดเพยี งอยา งเดียว คือวิถีจติ ทร่ี ับรเู สยี ง เปน คนละวถิ ที ีร่ บั รสู ีสัน คือขณะเมือ่ มองเห็นรูปารมณน้ัน ไมไดยนิ สัททารมณ และในทางกลับกนั ขณะท่ีไดยนิ เสยี ง กไ็ มเ หน็ รูป แตเ ปนการเปล่ยี นสลับไปมาระหวาง การรบั รู ๒ ทวารของตัวเรา แตเ พราะจิตเกิดดับเร็วมาก ในขณะดดี น้วิ คร้ังเดียว จติ เกิดข้ึนหลายโกฏแิ สน ดวง ๑๓๖ หมายความวา จิตเกดิ ดบั ประมาณ ๑ ลา นลา นครง้ั ตอ เวลา ๑ ลดั น้ิวมือ136๑๓๗ ดว ยเหตนุ ้ีจงึ ทําให 135 บุคคลทั่วไปเขา ใจวา การเหน็ กับการไดยนิ เกดิ ขึ้นพรอ มกนั ดังน้นั ในชวี ติ ประจําวนั ของบุคคลท่ัว ๆ ไปจงึ ไมสามารถรเู ทา ทนั ปรากฏการณใ นแตล ะขณะจิตได แตรบั รูผ ลรวมซง่ึ เปนความรูสกึ นกึ คดิ ตามการปรงุ แตงของจติ เรียบรอยแลว แตบ ุคคลผฝู ก ฝนสตจิ ะตรวจสอบไดถ ึงความรวดเรว็ ในการเกิดดบั ของจติ ๑๓๕ ส.ํ น(ิ ไทย) ๑๖/๖๑/๑๑๕, ส.ํ น.ิ อ. (ไทย) ๒/๒๙๓. ๑๓๖ สํ.นิ.อ.(ไทย) ๒/๒๙๘ ๑๓๗ โกฏิแสน หมายถงึ หนงึ่ แสนของโกฏิ , หนง่ึ โกฏิ มีคา เทา กบั สบิ ลาน ดงั น้ัน โกฏแิ สน มีคาเทากบั ลาน ลา น.
๘๑ แผนภาพ ขณะจติ ๑๗ ขณะ เรยี กตามหนา ท่ีและบทบาท ภวงั คจิต (ภ) คอื จิตท่ีทําหน้าที่รักษาภพชาติ เกิดดบั สืบเนื่องอยนู่ อกวถิ ี ยงั ไมไ่ ด้ขนึ ้ สวู่ ถิ ี ขณะจิตท่ี ๑ อดีตภวงั ค์(ต)ี คอื จิตที่ผา่ นไปเม่ืออารมณ์เกิดขนึ ้ แตย่ งั ไม่กระทบอารมณ์ ขณะจิตท่ี ๒ ภวงั คจลนะ(น) คอื ภวงั คจิตที่ไหวเม่ืออารมณ์มากระทบ ขณะจิตที่ ๓ ภวงั คปุ ัจเฉทะ(ท) คอื ภวงั คจิตดวงสดุ ท้ายก่อนการตดั กระแสภวงั ค์ขนึ ้ สวู่ ถิ ี ขณะจิตท่ี ๔ ปัญจทวาราวชั นะ(ป) คือจิตดวงแรกในปัญจทวารวถิ ี ทําหน้าท่ีเปิดทวาร ๕ ทวารใดทวารหนง่ึ เพื่อให้ทวปิ ัญจวิญญาณจิตรู้อารมณ์ ๕ อนั ใดอนั หนงึ่ ขณะจิตที่ ๕ ทวิปัญจวิญญาณ(วิ) คอื จิต ๑๐ ดวงที่เกิดขนึ ้ รับอารมณ์ทงั้ ๕ ทางใดทางหนง่ึ ตามสมควรแก่ อารมณ์ที่มากระทบทวารทงั้ ๕ ในขณะนนั้ ขณะจิตที่ ๖ สมั ปฏิจฉนะ(สมั ) คอื จิตท่ีเกิดขนึ ้ รับอารมณ์ตอ่ จากทวิปัญจวญิ ญาณแล้วสง่ ตอ่ สนั ตีรณจิต ขณะจิตท่ี ๗ สนั ตรี ณะ(สนั ) คอื จิตทําหน้าท่ีรับอารมณ์ ๕ จากสมั ปฏิจฉนะมาพิจารณาไตร่สวน กระบวนการสบื ตอของวญิ ญาณกับการรบั รขู อมลู กระบวนการสืบตอของวิญญาณกับการรับรู อาศัยการประจวบเหมาะแหงอายตนะ ๕ คูแรก กับปญญจวิญญาณธาตุ คือผัสสะที่ปฏิบัติการพรอมกับวิญญาณน้ันๆอันเปนวิญญาณในขณะที่ ๕ ในปญจ ทวารวิถี และการประจวบเหมาะแหงธรรมารมณกับมนายตนะและมโนวิญญาณ คือผัสสะที่ปฏิบัติการ พรอมกับชวนจติ ในมโนทวารวถิ ี โดยทม่ี นายตนะคือภวังคจติ และมโนวิญญาณคอื ชวนจิต เม่ือเช่ือมโยงองคธรรมท่ีเกี่ยวของกับการรับรูกับกระบวนการสืบตอของวิญญาณไดแลว จึง เร่ิมตนแปลและตีความขอ มลู การรบั รทู างตา เร่มิ จากรูปายตนะหรือสี อนั เปน คุณลกั ษณะท่เี ปนผลจากคณุ สมบตั ิการดูดกลนื แสงในความถ่ีตาง ๆ ไดมาถึงจักขายตนะอันเปนรูปที่แทรกซึมอยูในตัวรับแรงกระตุนของอวัยวะรับความรูสึกทางตา โดยใช แสงเปน ตัวนําคุณสมบตั ินีไ้ ปสจู กั ขายตนะ เม่ือการมาถงึ นี้สมมติวามีข้ึนในขณะท่เี ปนภวังคจิต คือวญิ ญาณ
๘๒ ขณะแรกอันเรียกวา อดีตภวังค แตการกระทบกันระหวางรูปายตนะกับจักขายตนะยังไมเกิดขึ้น และ วญิ ญาณขณะนีย้ ังคงจับอารมณเดมิ ทรี่ กั ษาสบื เนอื่ งจากอดตี ภพ วิญญาณขณะที่ ๒ และ ๓ อันเรียกวา ภวังคคจลนะ และภวังคคุปจเฉทะ ตามลําดับ ยังคงจับ อารมณเดิม โดยท่ีการกระทบกันระหวางรูปายตนะกับจักขายตนะไดเกิดขึ้นในจังหวะของวิญญาณขณะที่ ๒ วญิ ญาณขณะที่ ๔ เรียกวา ปญจทวาราวัชชนจติ เปน วิญญาณขณะแรกในขบวนวิถจี ิต ซงึ่ ในกรณี น้ีคือ วิญญาณที่ทําหนาที่อาวัชชนะรับรูปารมณใหมทางจักขุทวาร แตรูเพียงวาเปนรูปารมณท่ีทําหนาท่ี เปนรูปายตนะ กลาวคือ ทราบวาส่ิงกําลังรับรูน้ันเปนสี ไมใชกลิ่น ไมใชรสชาติ เปนตน แตไมทราบวาเปน สอี ะไร วิญญาณไดสืบตอจนถึงวิญญาณในขณะที่ ๕ อันเรียกวา จักขุวิญญาณธาตุหรือจักขุวิญญาณใน วิญญาณ ๖ อันเปนความรูเฉพาะท่ีเกิดจากการรับรูทางตา และหน่ึงในเจตสิกที่ปฏิบัติการพรอมกับจักขุ วญิ ญาณนี้ คอื กาํ หนดหมายรูรปู ท่เี รยี กวา รูปสัญญา และสามารถหมายรูวา เปนสอี ะไร เขยี ว เหลือง หรือ แดง เปนตน (รูเพียงสภาวะของสี แตไมรูความหมายและชื่อของสี) นอกจากน้ี อีกหนึ่งในเจตสิกที่ ปฏิบัติการพรอมกับจักขุวิญญาณน้ี คือ ผัสสะ ซ่ึงทําหนาที่เปนการสัมผัสทางตา (จักขุสัมผัส) อันเปนการ ประจวบเหมาะแหง รปู ายตนะ จกั ขายตนะ และจักขุวญิ ญาณ ไดทาํ หนาทใ่ี นวิญญาณขณะท่ี ๕ น้ี วญิ ญาณขณะท่ี ๖ เรียกวา สัมปฏิจฉนจติ รบั รูปารมณตอจากจักขวุ ิญญาณธาตุ วิญญาณขณะท่ี ๗ เรียกวา สันตีรณจิต รับรูปารมณจากสัมปฏิจฉนจิตมาพิจารณาไตสวน วิญญาณขณะท่ี ๘ เรียกวา โวฏฐัพพนะ ทําหนาที่ตัดสินรูปารมณนั้นแลวจึงสงตออารมณสูชวน จติ คอื วิญญาณขณะที่ ๙ ถงึ ๑๕ ทาํ หนาท่ีรบั รรู ปู ารมณแ ละเสวยอารมณนน้ั ตามแรงขับของฝายกุศลหรือ อกศุ ล จากนั้นสงตอวิญญาณขณะท่ี ๑๖ และ ๑๗ เรียกวา ตทาลัมพนจิต ซ่ึงเปนภวังคจิต ทําหนาที่รับ ชวงตอไปในวงจรถัดไปที่เรียกวา มโนทวารวถิ ี ในวงจรมโนทวารวิถี ๒ ขณะแรกยังคงจับอารมณเดิม ที่รักษาสืบเนื่องจากอดีตภพเชนเดียวกับ วิญญาณขณะท่ี ๒ และ ๓ ในวงจรปญจทวารวิถี ซ่ึงวิญญาณใน ๒ ขณะนี้ไดทําหนาท่ีเปนมนายตนะ
๘๓ วิญญาณขณะที่ ๓ เรียกวา มโนทวาราวัชชนจิต ตัดสินธรรมารมณท่ีสืบตอมา จากรูปารมณในวงจรปญจ ทวาราวิถีที่ติดกันกอนหนานวี้ าเปนที่ดีหรือไมแ ลว ดับไป ซึ่งเปนไปในทาํ นองเดียวกันกับขณะท่ี ๘ ในวงจร ปญจทวาราวถิ ี วิญญาณขณะท่ี ๔ ถึง ๑๐ ไดป ฏบิ ัตกิ ารสงธรรมารมณใ นฐานะมโนวิญญาณ กําหนดหมาย รูทางใจ ท่ีเรียกวาธัมมสัญญา และสัมผัสทางใจ (มโนสัมผัส) อันเปนการประจวบเหมาะแหงธัมมายตนะ มนายตนะ และมโนวิญญาณ ไดท าํ หนา ท่วี ญิ ญาณขณะที่ ๔ ถงึ ๑๐ นี้ และวญิ ญาณในขณะที่ ๑๑ กับ ๑๒ ไดป ฏิบตั ิการตอ ธรรมารมณนีต้ ามหนา ท่จี นจบกระบวนการ การรับรเู กดิ ขน้ึ ไดดวยความใสใ จ ความใสใจ ตรงกับคําศัพททางพระพุทธศาสนาวา “มนสิการ” คําวา มนสิการ มีความหมาย ๒ ประการ137๑๓๘ คือสภาวะกระทําอารมณไมใหวางเปลาในจิต138๑๓๙ อีกนัยหนึ่ง คือสภาวะกระทําจิตใหนอมไป ในอารมณเสมอ139๑๔๐ มนสิการเจตสิกเปนเจตสิกประเภทอัญญสมานาเจตสิกท่ีจัดเปนเจตสิกหนึ่งในสัพพจิตตสาธารณ เจตสิก กลาวคือมนสิการเจตสิกเปนเจตสิกท่ีประกอบกับจิตท่ัวไปทุกดวง ท้ังท่ีเปนกุศล อกุศล หรือ อัพ ยากตะ เมอ่ื ประกอบเขากบั ธรรมชนิดใดกม็ ีสภาพเปนชนิดนัน้ ไป มนสิการ มี ๓ ประเภทไดแก ๑. อารมั มณปฏิปาทกมนสกิ าร มนสกิ ารทาํ ใหถ งึ อารมณ ๒.วถิ ปี ฏิปาทกมนสิการ มนสิการทาํ ใหถ งึ วิถีจติ ๓. ชวนปฏปิ าทกมนสกิ าร มนสิการทําใหถ งึ ชวนจิต140๑๔๑ ๑๓๘ พระคันธสาราภิวงศ,อภธิ ัมมตั ถสังคหะและปรมัตถทปี น,ี กรุงเทพมหานคร:ไทยรายวนั กราฟฟค เพลท ,๒๕๔๖) ,หนา๒๖๐. ๑๓๙ “มนสฺมึ อารมฺมณึ อสุญฺ ํ กโรตีติ มนสกิ าโร” ดรู ายละเอียดใน ปรมตถฺ .(ไทย) หนา๒๖๐. ๑๔๐ “มนํ อารมฺนเณ นจิ ฺจนนิ ฺนํ กโรตีติ มนสกิ าโร”ดูรายละเอียดใน ปรมตฺถ.(ไทย) หนา๒๖๐. ๑๔๑ อภ.ิ ส.ํ อ. (ไทย) ๑/๑/๓๔๙.
๘๔ แผนภาพ วิถจี ิตประกอบดว ยมนสิการ ๓ ประเภท141๑๔๒ ภ ตี น ท ป วิ ม สัน โว ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ๓ ชวนปฏปิ าทกมนสกิ าร คอื มนสิการทําใหถ งึ ชวนจติ องคธรรม ไดแก มโนทวาราวัชชนจติ ๒ วถิ ปี ฏิปาทกมนสิการ คอื มนสิการทําใหถึงวิถีจติ องคธ รรม ไดแ ก ปญจทวาราวัชชนจิต ๑ อารมั มณปฏิปาทกมนสิการ คือมนสกิ ารทาํ ใหถ ึงอารมณ (ปญจารมณท ง้ั ๕) องคธรรม ไดแ ก มนสกิ ารเจตสกิ ในการทํางานของมนสกิ ารเจตสกิ ประเภทที่ ๑ คืออารมั มณปฏปิ าทกมนสิการนัน้ เปน องคธรรม หนง่ึ ในอปุ ปต ติเหตแุ หง อเหตกุ จติ 142๑๔๓ กลาวคืออเหตกุ จิตเปนวิบากจติ ของกุศล และอกุศล รวมท้ังจิตท่ี ไมใชผ ลของกศุ ลและอกุศล แตเปนจติ ท่ีสักแตกระทําตามหนา ที่143๑๔๔ และเกดิ ขึ้นในขณะ อตตี ภวังค คอื ภวงั คจิตดวงท่ีอารมณปรากฏ แตยงั ไมกระทบอารมณ หากอปุ ปต ติเหตุมีองคธ รรมไมค รบ กระบวนการ ๑๔๒ ดรู ายละเอียดใน อายุษกร งามชาต,ิ การศึกษาวเิ คราะหกระบวนการเกิดโยนโิ สมนสิการใน พระพุทธศาสนาเถรวาท, สารนพิ นธ พุทธศาสตรดุษฎีบณั ฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ย ลัย), ๒๕๕๑, หนา ๑๔๓ อเหตกุ จิต คือจิตท่ีไมป ระกอบดวยเหตุทงั้ ๖ คอื โลภะ โทสะ โมหะ จดั เปน อกศุ ลเหตุ และ อโลภะ อโท สะ อโมหะจดั เปน กศุ ลเหตุ อเหตุกจติ มจี าํ นวน ๑๘ ดวง แบง เปน ๓ จาํ พวก คอื ๑.อกุศลวบิ ากจติ มี ๗ ดวง ๒.อเหตกุ กุศลวบิ ากจติ มี ๘ ดวง ๓.อเหตุกกิรยิ าจติ มี ๓ ดวง ๑๔๔ อเหตุกกริ ิยาจิต คือจิตที่สกั แตว า กระทาํ ตามหนา ที่ มี ๓ ดวง คอื ๑.ปญจทวาราวชั ชจิต ๒.มโนทวาราวัชชน จติ ๓.หสติ ุปปาทจิต
๘๕ รับรกู จ็ ะเกดิ ขึ้นไมไ ด ตวั อยางเชน ขณะทเ่ี ราเหน็ วัตถหุ นง่ึ มีลกั ษณะยาวคลายงู อุปปตตเิ หตใุ หเ กิด จักขุ วญิ ญาณ ประกอบดวยองคธรรม ๔ ประการ คือ ๑.จักขปุ สาท มปี ระสาทตาดี ๒.รปู ารมณ มรี ูป คือสีตา ง ๆ ๓.อาโลกะ มีแสงสวาง ๔.มนสิการ มีความใสใ จในอารมณ ( ปญ จทวารวชั ชนะ) ๑๔๕ หากอปุ ปตตเิ หตุมีองคธ รรมไมค รบ อาทิ มปี ระสาทตาไมด ี ตาพรามวั หรอื แสงสวางในที่นัน้ ไม เพยี งพอ ก็จะมผี ลตอ กระบวนการรับรใู นจกั ขวุ ิญญาณได ในการทาํ งานของมนสกิ ารเจตสกิ ประเภทท่ี ๒ คือวิถีปฏปิ าทกมนสกิ าร เปน มนสิการที่ทําให เกดิ วถิ ีจิต องคธ รรม ไดแก ปญ จทวาราวชั ชนจิต มนสกิ ารเจตสกิ ประเภทน้ี จะรบั อารมณเ ปนปรมัตถ จึง ยังไมเ กดิ การปรุงแตงของจิตในขณะนี้ เปน เพียงการรับรอู ารมณตามสภาวะความจรงิ ตามธรรมชาตเิ ทาน้ัน หากบุคคลผฝู ก ฝนสตมิ าเปนอยางดีแลว ยอ มสามารถรบั รอู ารมณและพิจารณาอารมณข องจติ ใหเ ปน กศุ ล จติ ไดท นั ในขณะนี้ เน่ืองจากในขณะปญจทวาราวชั ชนจิตน้ียังเปนวบิ ากจิต ซึ่งปรากฏไดท ั้งอฏิ ฐารมณแ ละ อนิฏฐารมณ ในการทํางานของมนสิการเจตสิกประเภทที่ ๓ คือชวนปฏิปาทกมนสิการ คือมนสิการใหเกิด ชวนจิต องคธรรม ไดแก มโนทวาราวัชชนจิต ท่ีจะตัดสินวาเปนกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ตามอารมณที่ได รับรูไว หากเปนอิฏฐารมณ คืออารมณที่นาพอใจ ก็ยอมเปนกุศลวิบาก และถาเปนอารมณที่ไมนาพอใจก็ ยอ มเปนอกุศลวิบาก วิบากจิตเปนเพียงผลมาจากเหตุในอดีต อกุศลวิบากมาจากอกุศลเหตุ กุศลวิบากมาจากกุศล เหตุ และธรรมดาของปุถุชนที่ยอมเคยกระทําทั้งอกุศลกรรมและกุศลกรรมมาแลวท้ังส้ิน อีกทั้งเมื่อได กระทํากรรมอันใดไวก็ไมอาจเปล่ียนแปลงการกระทําในอดีตได ดังน้ัน ทุกคนจึงตองรับผลของกรรม ๑๔๕ อภิ.ส.ํ อ.๑/๒/๙๗.
๘๖ (วิบาก) ท้ังผลของอกุศลกรรม (อกุศลวิบาก) และผลของกศุ ลกรรม (กุศลวิบาก) และโดยสวนมาก ในชีวิต ของคนสว นใหญม ักจะไดรับอกุศลวิบาก มากกวา กุศลวิบาก เชน ในแตละวัน เราจะรูสึกพอใจ สุขใจ โปรง โลงใจจากการรับรู ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางล้ิน ทางกาย และทางใจ นอยมาก คนสวนใหญจะรับรู อารมณที่ทําใหจิตใจเศราหมองจากปญหาตาง ๆ มากมาย ในทางตรงขาม หากอารมณฝายกุศลมา กระทบ ปญจวิญญาณฝายกุศลจะทําหนาที่รูอารมณกุศลน้ัน สัมปฏิจฉนจิตฝายกุศลจะรับอารมณที่เปน กุศลนั้น สันตีรณจิตฝายกุศลก็จะพิจารณาเฉพาะอารมณกุศลจิตที่รับและพิจารณาอารมณน้ัน และตอง เปนฝายเดียวกัน สัมปฏิจฉนจิตฝายกุศลจะไปรบั อารมณฝายอกศุ ลไมไ ด ดวยเหตุนี้ในแตละวันไมมี ใครสามารถเลือกรับแตอารมณท่ีดีอยางเดียว และปฏิเสธอารมณท่ีไมดีวาอยาเกิดขึ้นกับตนได เม่ือเรา เลือกรับวิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจไมได ในการปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน คือการเจริญสติปฏ ฐาน ๔ จึงมุงสังเกตการกระทบกันของจิตและอารมณทางปญจวิญญาณ โดยมีสติคอยระวังไมใหอภิชฌา (โลภเจตสิก) หรือโทมนัส (โทสเจตสิก) เขามีสวนในการตีความ กลไกของจิตและอารมณยังคงทํางานของ ตนอยางสมํ่าเสมอ แตการกระทบกันของจิตและอารมณจะไดรับการพิจารณาใหมดวยสติ และเปน กระบวนการของการรบั รอู ารมณตามสภาวะความเปน จรงิ โดยปราศจากการปรุงแตงของจิต การรับรเู ปน ปจ จัยใหเกิดความรูส กึ ตอสง่ิ ทรี่ บั รู ผัสสะเปนกระบวนธรรมท่ีสําคัญในการเกิดการรับรู เม่ือผัสสะเกิดขึ้นกระบวนธรรมตอไป ก็ คือความรสู ึกตอ อารมณท ่รี ับรู ความรูสกึ นี้ในภาษาธรรม เรียกวา “เวทนา” เวทนา คือ การเสวยอารมณ145๑๔๖ หมายถึงความรูสึกสุข ทุกข และเฉยๆ ที่เกิดจากการมีผัสสะ 146๑๔๗ วิภงั คสตู รอธิบายวา เวทนามี ๖ ประการ คอื จกั ขสุ ัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผสั ทางตา) โสตสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู) ฆานสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมูก) ๑๔๖ เวทนา มคี วามหมาย ๓ ประการคอื ๑. สภาวะเสวยอารมณ = เวทยตีติ เวทนา ๒. สภาวะท่ที ําใหเ หลา สตั วเกิดความรูส ึกชอบใจหรือไมชอบใจ = วนิ ทฺ นฺติ เอตาย สตตฺ า สาตํ วา อสาตํ วา ลภนตฺ ตี ิ เวทนา ๓. การเสวยอารมณ = เวทยติ ํ เวทนา, ปรมตถฺ . (ไทย) ๒๕๖. ๑๔๗ บรรจบ บรรณรุจ,ิ ปฏิจจสมปุ บาท, หนา ๔๗-๕๐, วชั ระ งามจติ รเจริญ, พทุ ธศาสนาเถรวาท, หนา ๒๑๐.
๘๗ ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางล้ิน) กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทาง กาย) และมโนสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกดิ จากสัมผัสทางใจ)147๑๔๘ เชน เดยี วกับในสตุ ตันตภาชนีย148๑๔๙ พระสัทธัมมโชติกะไดอธิบายขยายความวา เวทนา ๖ ที่เกิดข้ึนน้ัน เกิดขึ้นโดยอาศัยผัสสะเปน เหตุ ๑๕๐ ดังปรากฏในคัมภีรวิภังควา เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาที่มีผัสสะเปนเหตุจึงมี150๑๕๑ โดยมีการ 149 เสวยอารมณ ๓ ประการคือ ๑) สุขเวทนา ความรูส ึกสบายกายสบายใจเมอ่ื ไดป ระสบกบั อารมณท ่ีถกู ใจ ๒) ทกุ ขเวทนา ความรูส ึกไมส บายกายไมส บายใจเมอ่ื ไดป ระสบกับอารมณที่ไมถกู ใจ ๓) อุเบกขาเวทนา ความรูส ึกเฉยๆเมอื่ ไดประสบกับอารมณป านกลาง151๑๕๒ และปรากฏในเวทนาสังยตุ อฏั ฐสตสตู ร กลา วถงึ เวทนา ๕152๑๕๓ ประการ คอื ๑) สขุ เวทนา ไดแ ก ความรูสึกเปน สุขทางกาย ๒) ทุกขเวทนา ไดแ ก ความรสู ึกเปนทกุ ขทางกาย ๓) โสมนสั เวทนา ไดแ ก ความรูสกึ เปนสขุ ทางใจ ๔) โทมนสั เวทนา ไดแ ก ความรูสึกเปนทกุ ขท างใจ ๕) อุเบกขาเวทนา ไดแ ก ไมส ขุ ไมทกุ ข รูสึกเฉยๆ เวทนาเจตสิก มี ๔ ชาติ ๑๕๔ คือ 153 ๑) เวทนาทเี่ ปน กุศล ๒) เวทนาที่เปน อกศุ ล ๑๔๘ ส.ํ นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖. ๑๔๙ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๑๕๐ พระสทั ธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ, ปรมัตถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททีปน,ี หนา ๖๘-๗๐. ๑๕๑ อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๒๕๗/๒๔๒. ๑๕๒ สํ.น.ิ (ไทย) ๑๖/๓๒/๖๕, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ขุ.อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗, พระสัทธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ, ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมุปบาททีปนี, หนา ๖๘-๗๐. ๑๕๓ ส.ํ สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๗๐/๓๐๓. ๑๕๔ สจุ นิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒-๑๖.
๘๘ ๓) เวทนาที่เปนวิบาก ๔) เวทนาท่เี ปนกิรยิ า เวทนาเปนเจตสิกหน่ึงในเจตสิก ๕๒ เปนสังขตธรรมท่ีเกิดข้ึนเพราะเหตุปจจัยปรุงแตง เวทนาท่ี เปนวิบาก ยอมเกิดขึ้นเพราะกรรมเปนปจจัย เวทนาที่เปนกุศล อกุศล กิริยา ไมใชวิบาก จึงไมไดเกิดขึ้น เพราะกรรมเปนปจจัย แตกจ็ ะตอ งเกดิ เพราะปจจยั อน่ื โดยนัยของเวทนา ๕ นัน้ สขุ เวทนาและทุกขเวทนา เปนชาติวิบากอยางเดียวเทานั้น โทมนัสเวทนา เปนชาติอกุศลอยางเดียวเทานั้น สวน โสมนัสเวทนาและ อุเบกขาเวทนา เปนชาติกุศลก็ได เปนอกุศลก็ได เปนวิบากก็ได เปนกิริยาก็ได154๑๕๕ เชน ขณะที่รูสึกเจ็บ แขน เปนทุกขเวทนาทางกาย เปนอกุศลวิบาก เปนผลของกรรม มีกรรมที่ไดกระทําแลวเปนปจจัยให เกิดขึ้น แตขณะที่ไมพอใจ เดือดรอนใจ กังวลใจ เพราะทุกขเวทนานั้น เปนอกุศลจิต เกิดรวมกับเวทนาท่ี เปนอกุศล ไมใ ชวิบาก ขณะใดท่ีจิตเกิดข้ึน ขณะน้ันตองมีเวทนาเจตสิกเกิดรวมดวยทุกคร้ัง จิตเปนใหญเปนประธานใน การรูแจงลักษณะตาง ๆของอารมณ แตเวทนาเจตสิกเปนสภาพธรรมท่ีรูสึกดีใจ หรือเสียใจ สุขหรือทุกข หรือเฉย ๆ ในขณะที่รอู ารมณ ดงั พุทธพจนทีป่ รากฏใน ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ยมกวรรควา ธรรมทัง้ หลาย155๑๕๖ มใี จ156๑๕๗เปนหวั หนา157๑๕๘ ๑๕๕ ดูรายละเอียดใน สจุ ินต บริหารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๖- ๒๑๘. ๑๕๖ ธรรมท้งั หลาย มคี วามหมาย ๔ ประการ คือ (๑) คณุ ธรรม (๒) เทศนาธรรม (๓) ปรยิ ัตธิ รรม (๔) นสิ สตั ต ธรรม (สภาวะที่มใิ ชส ตั ว) หรือนิชชวิ ธรรม (สภาวะท่มี ใิ ชช วี ะ) ในท่ีนห้ี มายถึง นสิ สัตตธรรม ไดแ ก อรูปขันธ ๓ คือ เวทนา ขันธ สัญญาขนั ธ และสังขารขนั ธ (ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๐-๒๑) ๑๕๗ ใจ หมายถึง จติ ๔ ระดบั คอื (๑) จติ ระดับกามาวจรภูมิ (๒) จติ ระดบั รปู าวจรภูมิ (๓) จติ ระดับอรูปาวจร ภมู ิ (๔) จิตระดบั โลกตุ ตรภูมิ แตใ นท่นี ี้ จากจักขุปาลเถรวัตถุ เรอ่ื งพระจกั ขบุ าลเถร หมายเอาจติ ทีม่ ีโทมนสั ประกอบดวย ปฏฆิ ะ เดิมทีเดียว จติ นน้ั เปนภวงั คจิต คอื เปนจิตทผี่ อ งใส (ประภัสสรจิต) แตเ มื่อถูกเจตสกิ ธรรมฝายช่วั กลาวคอื อปุ กเิ ลสธรรมจรมากระทบเขา ก็กลายเปน จิตเศรา หมอง ที่เรยี กวา ใจช่ัว ซ่ึงพรอมทจ่ี ะแสดงพฤติกรรมออกมาทางกาย และวาจา (ข.ุ ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๐). ๑๕๘ เปน หวั หนา หมายถึง เปน หัวหนาของเจตสิกธรรม กลาวคือ เปน เหตุปจ จยั ใหเ จตสิกธรรมเกดิ ขึ้น (ขุ.ธ.อ. (ไทย) ๑/๒๑)
๘๙ มีใจเปน ใหญ สําเรจ็ ดวยใจ ถา คนมีใจชว่ั ก็จะพูดช่วั หรือทาํ ชว่ั ตามไปดวย เพราะความชั่วนน้ั ทุกขยอ มติดตามเขาไป เหมือนลอ หมุนตามรอยเทาโคท่ีลากเกวยี นไป ฉะน้ัน158๑๕๙ ธรรมทั้งหลาย มใี จเปนหัวหนา มใี จเปนใหญ สําเร็จดวยใจ ถาคนมใี จดี กจ็ ะพดู ดี หรอื ทําดีตามไปดว ย เพราะความดีน้นั สขุ ยอมตดิ ตามเขาไป เหมือนเงาติดตามตัวเขาไป ฉะนั้น159๑๖๐ เม่อื จติ ตางกันโดยชาติ คอื เปนกศุ ล เปนอกศุ ล เปนวบิ าก เปน กิรยิ า เจตสิกทเ่ี กิดขนึ้ กบั จติ ใดก็ ตอ งเปนชาติเดียวกับจติ นัน้ จติ ตา งกันโดยสมั ปยตุ ตธรรม คอื เจตสกิ ที่เกดิ รวมดวย จงึ จาํ แนกจิตโดยนัยของเวทนาเภท คือ โดยประเภทของเวทนาเจตสิกท่เี กดิ รว มดวยตางกัน ดงั นี้ โสมนสสฺ หคตํ จติ เกดิ รวมกับโสมนัสเวทนาเจตสิก (ความรสู ึกดใี จ) โทมนสสฺ หคตํ จิตเกดิ รว มดวยกบั โทมนสั เวทนาเจตสิก (ความรูสกึ เสียใจ) อเุ ปกขฺ าสหคตํ จิตเกดิ รว มดวยกบั อุเบกขาเวทนาเจตสกิ (ความรูสึกไมสุขไมทกุ ข) สขุ สหคตํ จติ เกดิ รวมดว ยกบั สขุ เวทนาเจตสกิ (ความรูสกึ สุขทางกาย) ทกุ ขฺ สหคตํ จิตเกดิ รวมดวยกบั ทกุ ขเวทนาเจตสกิ (ความรูสึกทกุ ขท างกาย)160๑๖๑ ๑๕๙ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑/๒๓. ๑๖๐ ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๒/๒๔. ๑๖๑ สุจินต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสังเขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๒.
๙๐ เวทนาเจตสิกท่เี ปน วิบากนัน้ มีกรรมทไี่ ดกระทําแลว เปน ปจ จัยใหเกดิ ขนึ้ รสู ึกอารมณท ก่ี ระทบตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ ตามประเภทของวิบากนั้น ๆ ขณะเหน็ จักขวุ ิญญาณ เปนวบิ ากจิต เกิดรว มกบั อุเบกขาเวทนา ซ่งึ เปนวิบากเจตสิก และวบิ าก เจตสกิ อน่ื ๆ โสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชวิ หาวิญญาณ ก็โดยนยั เดยี วกนั แต กายวญิ ญาณ อกศุ ลวิบาก ซง่ึ รูแ จงลกั ษณะตาง ๆ ของโผฏฐพั พารมณท ม่ี ากระทบสมั ผสั กาย นั้น เกดิ รวมกับ ทกุ ขเวทนา และ กายวิญญาณ กุศลวบิ าก เกดิ รว มกับสขุ เวทนา กายวิญญาณเกิดขึ้น เพราะกรรมเปนปจจัย เม่ือกายปสาทรูป กระทบกับมหาภูตรูป (เย็น รอน ออน แข็ง ตึง ไหว) ที่เปนอิฏฐารมณ สุขเวทนาก็เกิด เม่ือกายปสาทรูป กระทบกับมหาภูตรูปที่เปน อนิฏฐารมณ ทกุ ขเวทนาก็เกิด ความรสู กึ ท่เี กิดขนึ้ ปรากฏท่กี ายเปนทกุ ขเวทนา หรอื สขุ เวทนาเทาน้นั ไม เปนอุเบกขาเวทนา หรือโสมนัสเวทนา หรือโทมนัสเวทนา ซ่ึงเปนเวทนาทางใจ ขณะที่เกิดกายวิญญาณ สุขเวทนาหรือทุกขเวทนาเปนชาติวิบาก เปนผลของอดีตกรรม แตขณะท่ีรูสึกไมสบายใจ เสียใจ กังวลใจ ไมแชม ชื่น ขณะน้ันเปน อกุศลจติ เปน การสะสมอกุศลธรรม จงึ เกิดความรสู กึ ไมสบายใจ ไมแ ชมชื่นใจ161๑๖๒ ระดบั ของการรับรู กระบวนการรับรู จําแนกจําแนกระดับได ๒ ระดบั คือ ๑ กระบวนการรับรูแ บบเสพเสวยโลก ๒ กระบวนการรับรแู บบญาณทัศนะ กระบวนธรรมเวทนาเปนจดุ สาํ คญั หนงึ่ ที่เปนปจ จยั กอ ใหเกิดผลสืบเนอ่ื งวา จะเกดิ เปนกระบวน ธรรมแบบเสพเสวยโลก (สงั สารวัฏฏ) ซ่งึ กอ ใหเกดิ กระบวนการรบั รูที่ผิดพลาดจากความเปนจรงิ ไดงาย หรือกระบวนธรรมแบบญาณทัศนะ (ววิ ัฏฏ)ซ่งึ เปน กระบวนการรบั รทู ่ถี ูกตองตามความเปน จริง ๑ กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลกก็คือ เมื่อรับรูอารมณอยางใดอยางหน่ึงท่ีดี (อิฏฐารมณ) แลว เกดิ ความรสู กึ สุขใจ สบายใจ พอใจ (สุขเวทนา) จงึ ติดใจ ใจพวั พนั อยากใหอ ารมณนนั้ คงอยตู ลอด (ตณั หา) ๑๖๒ ดูรายละเอียดใน สุจนิ ต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสงั เขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๗.
๙๑ ยึดติดถือม่ันในอารมณน้ันอยางไมอาจวางลงได คางใจอยูเชนน้ัน (อุปาทาน) กระบวนธรรมน้ียอม กอใหเกิดผลคือทกุ ขต ามมา และจะวนเวยี นซาํ้ ซากในวงจรน้เี ปน สงั สารวัฏฏ หมนุ วนไปในวงจรปฏิจจสมปุ บาทแหงทุกข ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ตัณหาเกิดจากเวทนาเปนปจจัย162๑๖๓ โดยมีอวิชชาเปนมูลราก163๑๖๔ เชน การไดเห็นรูปสวย พอใจ ติดใจในรูปสวยนั้น (รูปตัณหา) การไดยินเสียงไพเราะ พอใจ ติดใจในเสียง ไพเราะนั้น (สัททตัณหา) เปนตน164๑๖๕ ซึ่งความพอใจ ติดใจ ใฝรัก อยากไดน้ัน เกิดขึ้นเพราะเมื่อเสพ อารมณท่ีนารัก นาปรารถนาน้ันแลว ทําใหเกิดความรูสึกสุข (สุขเวทนา) จึงอยากเสพเสวยสุขเวทนา165๑๖๖ นั้นเรื่อยไป ดังน้ีเปนลักษณะของตัณหาท่ีมีเวทนาเปนปจจัย กระบวนการรับรูแบบเสพเสวยโลกนี้จึงทํา ใหเ กิดกระบวนธรรมทบ่ี บี ค้ันและบิดเบอื นไปจากความเปนจรงิ ได แสดงใหเหน็ วา เวทนาเจตสกิ ซึง่ เปนความรูสึกน้นั เปน ทต่ี ัง้ แหงความยดึ ม่นั อยา งเหนยี วแนน เม่ือ มีความรูสึกเกิดขึ้น จึงติดและยึดม่ันในความรูสกึ และอยากไดสิ่งท่ีทําใหรูสึกดีใจเปนสุข ทําใหอกุศลธรรม ท้งั หลายเกดิ ข้ึนบอ ย ๆ เนือง ๆ โดยไมรูตัว ๑๖๗ ๑๖๓ วิสุทธฺ ิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔. ๑๖๔ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หนา ๔๙๐. ๑๖๕ ตณั หา จาํ แนกตามอารมณ มี ๖ อยา ง คอื ๑. รปู ตณั หา คือความยินดตี ิดใจในรปู ารมณ (รปู ) ๒. สัทท ตัณหา คือความยินดีติดใจในสทั ทารมณ (เสียง) ๓. คันธตัณหา คือความยินดีติดใจในคันธารมณ (กล่ิน) ๔. รสตัณหา คือ ความยินดีติดใจในรสารมณ (รส) ๕. โผฏฐัพพตัณหา คือความยินดีติดใจในโผฏฐัพพารมณ (สัมผัส) ๖. ธัมมตัณหา คือ ความยินดีติดใจในธรรมารมณ (เร่ืองราวในใจ), สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๕, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๒/๒๒๑, วิสุทฺธิ. (ไทย) ๖๔๔/๙๔๔-๙๔๖. ๑๖๖ วิภังคสูตรอธิบายวา เวทนามี ๖ ประการ คือ ๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากการสัมผัสทางตา) ๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางหู) ๓. ฆานสัมผสั สชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางจมกู ) ๔. ชวิ หา สัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางล้ิน) ๕. กายสัมผัสสชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางกาย) ๖. มโนสัมผัสส ชาเวทนา (เวทนาเกิดจากสัมผัสทางใจ) เชนเดียวกับในสุตตันตภาชนีย สวนในกาฬารสูตรและเวทนาสูตรอธิบายวา เวทนามี ๓ ประการ คือ ๑.สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อทุกขมสุขเวทนา, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖, สํ.นิ. (ไทย) ๑๖/๓๒/ ๖๕, ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๒๙/๒๙, ๑๖๙/๙๘, ๑๙๒/๒๙๓, ๔๑๕/๒๗๒, ข.ุ อติ .ิ (ไทย) ๒๕/๕๒-๕๓/๔๐๕-๔๐๗, อภิ.วิ. (ไทย) ๓๕/๒๓๑/๒๒๑. ๑๖๗ ดูรายละเอียดใน สุจินต บรหิ ารวนเขตต, ปรมัตถธรรมสงั เขป จติ ตสังเขป และภาคผนวก, หนา ๒๑๔- ๒๑๕.
๙๒ ๒ กระบวนการรับรูแบบญาณทัศนะ กระบวนธรรมแบบญาณทัศนะ หรือกระบวนธรรมแบบ วิวัฏฏ หมายความถึง กระบวนการท่ีนําไปสูขั้นตอนแหงความพนทุกข ไมวนเวียนเปนวงจรในปฏิจจสมปุ บาทแหงทุกขอีกตอไป เปนกระบวนการรับรูบริสุทธิ์ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแลว เวทนาเปนเพียง องคประกอบยอย ๆ ที่ชวยใหเกิดความรูท่ีถูกตองสมบูรณ รับรูอารมณท่ีกระทบอยางถูกตองตรงตาม สภาวะความเปนจริงอยางมีสติระลึกรู และปลอยวางดวยปญญา กระบวนธรรมหมุนวนไปสูปฏิจจสมุป บาทสายแหงความดับทุกข ในแงข องการใชช วี ติ ในปจจุบัน กค็ ือ การมชี วี ติ อยดู ว ยปญญา การศึกษาจิตวิทยาในพระไตรปฎก ไมใชเพียงเพ่ือใหรูวาจิตมีก่ีดวง เจตสิกมีกี่ประเภท แตเพื่อให เกิดกระบวนการเรียนรูลักษณะความรูสึกซ่ึงกําลังมี กําลังเกิดข้ึน ในชีวิตประจําวันของแตละบุคคล หาก เรารับรูอารมณที่มากระทบดวยสติ กระบวนการรับรูจะเกิดข้ึนอยางรูเทาทันตามสภาวะความเปนจริง รบั รสู ิง่ เกิดข้นึ แลวปลอ ยวางได ไมนาํ ไปสูกระบวนการแหง ทกุ ข เปนกระบวนธรรมแบบญาณทศั นะ เขยี น แผนภาพแสดงได ดงั นี้ แผนภาพแสดงกระบวนธรรมแบบสังสารวฏั ฏแ ละแบบญาณทศั นะ167๑๖๘ อายตนะ + อารมณ์ + วิญญาณ = ผสั สะ เวทนา กระบวนธรรมแบบ สงั สารวฏั ฏ์ กระบวนธรรมแบบ ญาณทศั นะ ความถูกตอ งในการรบั รู กระบวนการรับรูเกิดข้ึน เม่ือผัสสะเกิดข้ึน เกิดเวทนาท่ีมีตัณหาเปนปจจัย จึงกอใหเกิดกระบวน ธรรมท่ีคลาดเคล่อื นบิดเบอื นไปจากสภาวะความเปน จรงิ ตามการปรุงแตง ของจติ ๑๖๘ ดัดแปลงจาก พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ขยาย, พมิ พครัง้ ที่ ๓๒, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นักพิมพผ ลธิ ัมม, ๒๕๕๕), หนา ๓๖.
๙๓ ดังนั้น การรูสภาพของเวทนาเจตสิกจะเก้ือกูลใหสติเริ่มระลึกรูลักษณะของเวทนาได เม่ือจิตเกิด พรอมกับเวทนาเจตสิกใด มีสติรูสึกลักษณะของเวทนาขณะนั้นอยางใดอยางหนึ่งท่ีเกิดขึ้น คือ อุเบกขา เวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนสั เวทนา โทมนสั เวทนา เมอ่ื มีสติและเรียนรูจ นเขา ใจสภาวะตามความ เปนจริงวา เวทนาเปนสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปจจัยเกิดข้ึนแลวก็ดับไป เม่ือเกิดความรูสึกดีใจ สุขใจ ก็ไม ยึดติดถือมั่นวาความรูน้ีจะอยูกับเราตลอดไป และเมื่อเกิดความรูสึกทุกขใจ ไมแชมชื่น ไมสบายใจ ก็ไม ผลักไสดิ้นรนขัดขืนฝนความรูสึกน้ัน เปนปจจัยเกื้อกูลใหเขาใจลักษณะของจิต เพ่ือใหสติปฏฐานเกิดขึ้น ระลึกรูลักษณะของสภาพธรรมตามความเปนจริง ผูมีสติยอมเรียนรูและรับรูวาความรูสึกน้ันเกิดขึ้นและ ดับไปตามเหตุปจจัยของแตละบุคคล เมื่อปญญาท่ีอบรมเจริญขึ้นแลว ก็จะคลายจากการยึดถือสภาพ ธรรมท้งั หลายวาเปนตัวตนเปน ของตน ความผิดพลาดของการรับรู วิปลาส คือ ความรูท่ีผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากความเปนจริง ในวิปลลาสกถา วาดวยวิปลลาส พระพทุ ธองคท รงแสดงไววา “...ภิกษุท้ังหลาย สัญญาวิปลลาส (ความหมายรูผิด) จิตตวิปลลาส (ความคิดผิด) ทิฏฐิวิปลลาส (ความเห็นผดิ ) ๔ ประการน้ี สญั ญาวปิ ลลาส จิตตวปิ ลลาส ทิฏฐิวิปลลาส ๔ ประการ อะไรบา ง คือ ๑ สญั ญาวิปลลาส จติ ตวิปล ลาส ทิฏฐวิ ปิ ลลาส ในสง่ิ ทีไ่ มเ ทย่ี งวาเทียง ๒ สญั ญาวปิ ล ลาส จิตตวปิ ล ลาส ทิฏฐวิ ิปลลาส ในสง่ิ ทเี่ ปน ทุกขว า เปน สขุ ๓ สัญญาวิปลลาส จติ ตวปิ ล ลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลลาส ในสง่ิ ที่ไมใชอ ตั ตาวาอตั ตา ๔ สัญญาวิปล ลาส จติ ตวิปลลาส ทิฏฐิวปิ ลลาส ในสิ่งทไี่ มงามวา งาม ภกิ ษุท้ังหลาย สญั ญาวิปลลาส จิตตวิปลลาส ทิฏฐวิ ิปล ลาส ๔ ประการนีแ้ ล...”168๑๖๙ ๑๖๙ ขุ.ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๒๓๖/๓๙๙.
๙๔ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตฺโต) อธิบายขยายความไววา วิปลาส หมายถึง ความรู คลาดเคล่ือนขั้นพ้ืนฐาน ที่นําไปสูความเขาใจผิด หลงผิด การลวงตัวเอง วางใจ วางทาที ประพฤติ ปฏิบัติ ไมถ ูกตอ ง ตอ โลก ตอชีวติ ตอ สง่ิ ท้งั หลายทั้งปวง และเปนเครอ่ื งกดี กัน้ ขัดขวางไมใ หม องเหน็ สจั ธรรม169๑๗๐ หากอธบิ ายในระดับพนื้ ฐานธรรมดาตามแงมมุ ปถุ ุชนทั่วไป วปิ ลาส ๓ อยา ง คือ ๑ สัญญาวิปลาส สัญญาคลาดเคล่ือน หมายรูผิดพลาดจากความเปนจริง เชน เห็นเชือกเปนงู, เห็นไฟกระพริบอยกู บั ท่ีเปนไฟว่ิง เปน ตน ๒ จิตตวิปลาส จิตคลาดเคล่ือน ความคิดผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากความเปนจริง เชน คนไขทาง จิตทพี่ ูดคุยคนเดยี วราวกับมผี ูท ีก่ าํ ลงั พูดคุยดวย เปน ตน ๓ ทิฏฐิวิปลาส ทิฏฐิคลาดเคล่ือน ความเห็นผิดพลาดคลาดเคล่ือนจากความเปนจริง สืบ เนื่องมาจากสญั ญาวปิ ลาสและจติ ตวิปลาส170๑๗๑ ในวิปลลาสกถา วิปลาสท้ัง ๓ นี้เปนเคร่ืองกีดกั้นความเจริญทางปญญา และคนท้ังหลายตางถูก ครอบงําดวยวิปลาสท้ัง ๓ น้ี บุคคลที่ปญญาถึงพรอมและละจากวิปลาสทั้ง ๓ ไดก็ยอมจะพนจากทุกข ทงั้ หมดได ดงั พระพุทธพจน ดงั นี้ “เหลา สตั วผูถกู มจิ ฉาทิฏฐทิ าํ ลาย มีจติ ฟุงซา น มีสญั ญาผดิ มสี ัญญาในสิ่งทไ่ี มเท่ยี งวาเที่ยง มสี ัญญาในสง่ิ ทเ่ี ปนทุกขว าเปนสขุ มีสัญญาในสง่ิ ทไ่ี มง ามวา งาม สตั วเ หลานั้นชอ่ื วา ติดอยใู นเครอื่ งประกอบของมาร ๑๗๐ พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), พุทธธรรม, หนา ๕๐. (ปจ จบุ ันดาํ รงสมณศักดิ์ สมเด็จพระพุทธโฆษา จารย) ๑๗๑ อา งแลว, หนา ๕๐.
๙๕ ไมเกษมจากโยคะ ประสบกับความเกิดและความตาย ทอ งเท่ียวไปสูสังสารวฎั กใ็ นกาลใด พระพุทธเจา ผจู ดุ ประกายใหแสงสวา ง เสดจ็ อบุ ัติขน้ึ ในโลก ในกาลนั้น พระองคยอ มประกาศธรรมน้ี ใหสตั วถึงความดบั ทกุ ข สัตวเ หลา นั้นผมู ีปญญา ฟงธรรมของพระพทุ ธเจาเหลา นัน้ กลบั ไดค วามคิดเปนของตนเอง ไดเห็นสงิ่ ทีไ่ มเทยี่ งโดยความไมเท่ยี ง ไดเ หน็ สิ่งที่เปน ทกุ ขโ ดยความเปน ทกุ ข ไดเห็นส่งิ ทไี่ มง ามโดยความไมงาม ยึดถอื สมั มาทิฏฐิพน ทุกขท ั้งหมดได”171๑๗๒ คําถามทบทวนประจาํ บท ๑ ใหน สิ ติ อธบิ าย อายตนะ ๖ กระบวนการรับรูและเสพเสวยโลก มาโดยสงั เขป ๒ ใหน สิ ิตอธบิ าย ระดับของการรบั รู มาโดยสังเขป ๓ ใหน สิ ติ อธบิ าย ความถกู ตอ งและความผิดพลาดของการรับรู มาโดยสงั เขป ๑๗๒ ข.ุ ปฏ.ิ (ไทย) ๓๑/๒๓๖/๔๐๐.
๙๖ เอกสารอา งองิ ประจาํ บท ๑ พระไตรปฎก พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๑๑ สุตตนั ตกปฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลมท่ี ๑๒ สุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ท่ี ๑๖ สตุ ตันตปฎ ก สังยุตตนกิ าย นทิ านวรรค. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ า ลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลมท่ี ๑๘ สุตตันตปฎ ก สงั ยตุ ตนิกาย สฬายตนวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๑๙ สุตตันตปฎ ก สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๒๕ สุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย ธรรมบท. พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๒๕ สตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย อติ ิวุตตกะ. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎก เลม ที่ ๓๑ สตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย ปฏิสมั ภิทามรรค. พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. พระไตรปฎ ก เลม ท่ี ๓๕ อภิธรรมปฎก วิภังค . พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราช
๙๗ วทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙. ๒ คมั ภรี อรรถกถา ขุททกนิกาย ธรรมบทอรรถกถา. พระไตรปฎ ก และอรรถกถาแปล . ฉบบั มหามกุฎราชวทิ ยาลัย พมิ พครงั้ ที่ ๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หามกฎุ ราชวทิ ยาลัย , ๒๕๓๖. อภิธรรมปฎก ธรรมสังคณี อัฏฐสาลนิ ีอรรถกถา. พระไตรปฎก และอรรถกถาแปล . ฉบับมหามกฎุ ราช วิทยาลยั พิมพค รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฎราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๖. ๓ หนงั สอื นนั ทพล โรจนโกศล. อายตนะ : สนามแหงความรูในพุทธจติ วทิ ยา. สารนิพนธ พทุ ธศาสตรดษุ ฎีบณั ฑติ . บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยลยั , ๒๕๕๐. บรรจบ บรรณรจุ ิ, ปฏจิ จสมปุ บาท . พิมพค รั้งท่ี ๓ . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม หาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลยั ,๒๕๔๙. พระพทุ ธโฆษะเถระ. คัมภรี วิสทุ ธมิ รรค. ฉบบั ๑๐๐ ป สมเดจ็ พระพฒุ าจารย อาจ อาสภมหาเถระ). พมิ พ คร้ังที่ ๖. กรุงเทพมหานคร : บริษัทธราเพลส จาํ กดั , ๒๕๔๘. พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบบั ปรับขยาย, พิมพค ร้งั ท่ี ๓๒, กรุงเทพมหานคร : สํานกั พิมพผ ลิธัมม, ๒๕๕๕. พระสทั ธมั มโชติกะ ธัมมาจริยะ. ปรมตั ถโชตกิ ะ ปฏิจจสมปุ บาททปี นี . พิมพค ร้ังท่ี ๕. นิพพาน. กรงุ เทพมหานคร : มลู นธิ ิสทั ธัมมโชติกะ. พระอนุรุทธาจารย. พระคนั ธสาราภวิ งศ. (ผแู ปล). อภธิ ัมมัตถสังคหะและปรมตั ถธีปน.ี กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั กราฟฟค เพลท,๒๕๔๖. วชั ระ งามจิตรเจรญิ . พทุ ธศาสนาเถรวาท . กรุงเทพมหานคร : สํานกั พมิ พม หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,
๙๘ ๒๕๕๐. สุจินต บรหิ ารวนเขตต. ปรมตั ถธรรมสังเขป จติ ตสงั เขป และภาคผนวก. พมิ พค รง้ั ท่ี ๕. กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พริ้นต้ิงเฮาส, ๒๕๕๓. อายุษกร งามชาต.ิ การศกึ ษาวิเคราะหกระบวนการเกิดโยนิโสมนสกิ ารในพระพุทธศาสนาเถรวาท. สาร นิพนธ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยลัย, ๒๕๕๑. ๔ สื่ออนิ เตอรเ น็ต www.buddism-online.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245