Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1cd33aabbec8150ec2b44f3c57aa8c03

1cd33aabbec8150ec2b44f3c57aa8c03

Description: 1cd33aabbec8150ec2b44f3c57aa8c03

Search

Read the Text Version

วิชชำธรรมกำย แสดงโดย พระครูสมณธรรมสมำทำน (สด) วันท่ี ๗ พฤศจิกำยน พ.ศ. ๒๔๗๙ (๑๑) พระครสู มณธรรมสมาทาน(สด) เทศนท วี่ ดั ปากนาํ้ ดา น วันท่ี ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ (แลวอธิบายประกอบ นอกเวลาเทศนดวย) ความวาเกิดแกเจ็บตายชื่อวาทุกข ดวย ไมเปนไปตามความปรารถนาและเบียดเบียนใหเรารอนลําบาก กายมนษุ ย กายทพิ ย กายปฐมวญิ ญาณหยาบ เปน กายทเี่ กดิ ขนึ้ แลว ตอ งแตกดบั เพราะเปน กายทปี่ ระกอบดว ยทกุ ข เราตอ งเหนอ่ื ยหนา ย ปลอยวางกายทั้งสามนี้เสีย สวนธรรมกายหาตายไมจึงช่ือวา ระงับทุกข เม่ือจิตเขาถึงธรรมกายก็พนทุกขดวยไดธรรมกาย เปนที่พึ่ง การประชุมพรอมแหงกุศลช่ือวาเปนสงฆ ยอมระงับ โรคทงั้ หลายอนั เปน บาปเสยี ได เวน ไวแ ตก ศุ ลวบิ ากทเี่ ปน กรรมเกา 39 39

อนั กาํ ลงั ใหผ ลอยู ตณั หานนั้ เปน ตวั กายทพิ ย ชอบสนกุ เฮฮาอยเู สมอ กายปฐมวิญญาณหยาบเปนท่ีนอนอยูแหงตัณหาทั้งหลาย ถา ปฐมวญิ ญาณหยาบดบั กเ็ ปนนิโรธคือตัณหาดับหมด แตก ารท่ีจะ ดับตัณหาได ตองใหไดธรรมกายเสียกอน จึงจะรูเหตุเปนที่ดับ แหงปฐมวิญญาณหยาบน้ันได ดังน้ันธรรมกายจึงเปนมัคคสัจจ ทางปฏิบัติใหถ ึงดบั ทุกข กายมนุษยน้ันเขารูปฌานไมได ถาจะเขารูปฌานตอง ใชกายทิพย คือกายเทวดาและรูปพรหม แลวไปเทวดาและ รูปพรหมได กายปฐมวิญญาณหยาบเขารูปฌานแลวไป อรูปพรหมได ธรรมกายเขาโลกุตตรฌานไปนิพพานได ก็ธรรมกายน้ีอันผูมีอารมณสงบระงับจากบาปแลว ยอมเห็นได ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรสั กบั วกั กลวิ า โย โข วกกฺ ลิ ธมมฺ ํ ปสสฺ ติ โส มํ ปสฺสติ วักกลิผูใดเห็นธรรม ผูน้ันชื่อวาเห็นเราผูตถาคต คําวา ตถาคตในทีน่ ้ีคอื ธรรมกาย ดังน้ันผูที่ปรารถนาจะพนทุกขตองเรียนเรื่องกายนี้ ใหตลอด กายมนุษยเกิดข้ึนโดยอาศัยกายทิพย กายทิพยเม่ือ จะมาสิงกายมนุษย ธาตุเห็นจําคิดรูส่ีอยางนี้พรากจากกายทิพย แลวมาตกศูนยท่ีกลางกายบิดากอน เปนดวงใสดวงโตเทาฟอง ไขไก แลวจึงเคลื่อนเขาสูครรภมารดา และเม่ือจะตาย เห็นจํา คิดรูก็ตกศูนยกลางกายของผูตายกอน กลายเปนดวงใสอยาง เดียวกับเม่ือมาเกิด ขาดจากหัวตอที่เชื่อมกันไวเมื่อมาเกิด 40 40

กายมนษุ ยจงึ ตายแล อนั วา เห็นจาํ คิดรขู องบุคคล เมื่อมาสํารวม ใหลงในทอี่ นั เดียวกนั ในทลี่ มหยดุ นิง่ ทเี่ หนือศูนย (สะดอื ) แลว กเ็ กดิ เปนองคศลี มลี กั ษณะเปน ดวงสวา งรงุ เรอื งใสดงั กระจกเงาท่ี สองเงาหนา เปนปฐมมรรค อยางเล็กไมเล็กกวาดวงดาวท่ีเห็น ในอากาศ อยางโตไมเกินกวาดวงพระจันทรพระอาทิตย เมื่อ เพงดูในปฐมมรรคน้ี ก็เห็นกายมนุษยที่ละเอียดกับกายทิพย ท่ีสิงอยูภายในกายมนุษยได คร้ันเห็นจําคิดรูสงบหนักเขาก็เห็น กายปฐมวิญญาณหยาบที่เปนตัวอนุสัย สิงอยูในกายทิพยได ครั้นเมื่อเห็นจําคิดรูสงบละเอยี ดหนกั เขา อกี ถึงมชั ฌมิ าปฏิปทา คอื เหน็ จําคิดรูหยดุ ก็ได เหน็ ธรรมกายท่ีเปน พทุ ธรตั น พรอมทง้ั ดวงพระหฤทยั ของพทุ ธรตั นอนั มีในหอ งปฐมมรรค ปฐมมรรคน้ี เปน รวมยอดองคศลี ที่มาจากวนิ ยั ปฎ ก ตอไปจะเห็นดวงจิตอันพรากจากสมุทัยมาต้ังอยูภายใน ดวงพระหฤทัยของพระพุทธรัตนเปนมรรคจิตต มรรคจิตตน้ี เปน องคสมาธทิ ี่รวบยอดมาจากพระสตุ ตนั ตปฎ ก ตอจากนี้ไปจะรูเห็นดวงวิญญาณที่พรากจากสมุทัยมาตั้ง อยูภายในจิตของพุทธรัตนเปนมรรคปญญา มรรคปญญานี้เปน ทร่ี วบยอดองคป ญ ญามาจากปรมัตถปฎก เนื้อความทงั้ น้ีเมอ่ื กลา วโดยยอ ตามปฏปิ ทาแลวหอ งปฐม มรรครูเห็นกายท่ีพนจากสมุทัยเปนพุทธรัตนกับดวงพระหฤทัย ทพี่ นจากสมุทยั อนั ต้ังอยูในพทุ ธกายเปนธรรมรตั น 41 41

ในหองมรรคจิตต รูเห็นดวงจิตที่พนจากสมุทัยอันต้ังอยู ภายในดวงพระหฤทัยพทุ ธรตั นเปนสงั ฆรตั น ในหองมรรคปญญา รูเห็นดวงวิญญาณท่ีพนจากสมุทัย อนั ตั้งอยภู ายในดวงจติ พระพทุ ธรตั นเปนญาณรัตน อันวาวิธีดําเนินตามทางมัชฌิมาปฏิปทานั้น ทานวา อยา ใหจ ติ (เหน็ จาํ คดิ ร)ู ตกไปในกามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค คอื สขุ เวทนา ท่ีเจือปนดวยกามราคานุสัยและอัตตกิลมถานุโยค ทุกขเวทนา ท่เี จือปนดว ยปฏฆิ านุสัย ใหด ําเนนิ ตามทางสายกลาง คอื ต้งั จิตต ไวในอุเบกขาท่ีไมเจือปนดวยอวิชชานุสัย อันมีอุทธัจจและ วจิ กิ จิ ฉาประกอบ ถา อเุ บกขานนั้ ประกอบดว ยอทุ ธจั จกด็ ี วจิ กิ จิ ฉา ก็ดี อุเบกขานน้ั เปนโมหะ ไมส ามารถจะตรสั รูได ตอเม่ืออเุ บกขา นน้ั ไมป ระกอบดว ยอทุ ธจั จและวจิ กิ จิ ฉาแลว เหน็ จาํ คดิ รทู ห่ี ยดุ นง่ิ อยูในอเุ บกขาน้นั ก็เปน มชั ฌิมาปฏิปทาท่ีจะใหบรรลุธรรมกายแล 42 42

43

44

เทศนำ เร่อื งอรยิ ธนกถำ แสดงโดย พระภำวนำโกศลเถระ วันที่ ๗ กุมภำพันธ พ.ศ. ๒๔๙๗ นโม ตสฺส ภควโต ฯลฯ ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สปุ ตฏิ ติ า สีลจฺ ยสสฺ กลฺยาณํ อริยกนฺตํ ปสํสติ ํ สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ อชุ ุภตู ฺจ ทสสฺ นํ อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ อโมฆนตฺ สฺส ชีวติ ํ ตสฺมา สทฺธจฺ สลี จฺ ปสาทํ ธมมฺ ทสฺสนํ อนยุ ุเฺ ชถ เมธาวี สรํ พทุ ฺธาน สาสนนฺติ ฯ ณ บัดน้ีอาตมภาพจะไดแสดงธรรมิกถา แกดวย อริยธนคาถาวาจาเคร่ืองกลาวปรารภถึงทรัพยของพระอริยเจา 45 45

ทรัพยของพระอริยเจา ในอรยิ ธนกถานี้ มี ๔ ประการ จะช้แี จง แสดงตามวาระพระบาลี คลค่ี วามเปน สยามภาษาตามมตั ยาธบิ าย และจะแสดงเปน ทางปรยิ ตั ิ ปฏบิ ตั ิ ปฏเิ วธ ใหส มกบั พระสตู ร เรยี กวา อริยธนกถา กวาจะยุตติการและโดยสมควรแกเวลาเริ่มตน อริยธนกถา เพราะเราทานทั้งหลายหญิงชายทุกถวนหนา ที่มา ประสพพบพระพทุ ธศาสนา นบั วา เชอ่ื ในพระพทุ ธศาสนา ขอ ที่ ๑ ขอท่ี ๒ กส็ ํารวมกาย วาจา เรียบรอยดไี มม ีโทษ ขอ ที่ ๓ เลอ่ื มใสศรทั ธาในพทุ ธศาสนา ขอที่ ๔ ทาํ ความเหน็ ใหต รงตอ รอ งรอยทางพทุ ธศาสนา ไมใหผิดไมใหพลาด ขอน้ีเปนใจความสําคัญ ของอริยธนกถา เพราะเราทา นทงั้ หลายเกดิ มา ประสพพบพทุ ธศาสนาธรรม ๔ ขอ นต้ี อ งมนั่ ในขนั ธสนั ดาน ใหแ นน อนในใจของตน ใหเ ปน หลกั เปน ประธาน ตามวาระพระบาลีทีช่ ี้ไวเปนหลักฐานวา ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สุปติฏิตา ความเชื่อ อันไมหว่นั ไหวของบุคคลใด ต้งั อยูแลว ในพระตถาคตดว ยดี สลี จฺ ยสฺส กลฺยาณํ อรยิ กนฺตํ ปสํสติ ํ ศีลของบุคคลใด ดีงาม เปน ที่ยนิ ดีของพระอรยิ เจา อนั พระอรยิ เจา สรรเสรญิ แลว สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตถฺ ิ ความเลื่อมใสของบุคคลใดมอี ยูใน พระสงฆ 46 46

อชุ ภุ ตู ฺจ ทสฺสนํ ความเห็นของบคุ คลใด เปน ธรรมชาตติ รง อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ นักปราชญท ง้ั หลายกลา วบุคคลนั้นวา เปนคนไมจ น อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ ความเปนอยูของบุคคลนั้นไมเปลา จากผล ตสฺมา สทฺธจฺ สีลจฺ ปสาทํ ธมมฺ ทสฺสนํ เพราะเหตุนั้น เม่ือผูมีปญญามาระลึกถึงคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย ควรประกอบความเช่ือ และศีล ความเล่ือมใสความเห็นธรรม ไวเ นืองๆ ดวยประการดังน้ี นเี่ นอื้ ความของพระบาลี คลค่ี วามเปน สยามภาษาไดค วาม เทานี้ ตอแตน้ีอรรถาธิบายขยายความในทางพระปริยัติผูปฏิบัติ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ควรมีธรรม ๔ ประการนี้ ตง้ั ใหมนั่ ไวใ นขันธสนั ดาน ความเชื่อ ขอตน เราจะตัง้ ไวอยางไร เชอื่ ใคร ทา นวาง หลักไวแลว เชื่อในพระตถาคตเจาจะเช่ือท่ีอื่นไมได เลอะเลือน ไปใหเชื่อลงไวในพระตถาคตเจา อยากลับกลอก อยาลอกแลก ใหม่ันคงใหดี ตั้งความเชื่อท่ีไมกลับกลอกใหมั่นคงลงไป ใน พระตถาคตเจา อยา งอ นแงน อยา คลอนแคลนเชอื่ ในพระตถาคตเจา เชือ่ อยา งไร เชอื่ ใคร ใครเปนตัวพระตถาคตเจา นี้ตองไดห ลักฐาน ดงั นี้ พระตถาคตเจา คือธรรมกาย เปน ตวั พระตถาคตเจา ท่ีทาน 47 47

ทรงรบั สง่ั โปรดพระวกั กลิ ทา นรบั สง่ั ดว ยพระองคเ องวา ธมมฺ กาโย อหํ อิติป เราผูตถาคตคือ ธรรมกาย นี้รับสั่งดวยพระองคเอง นยั หน่ึง อกี นัยหนึง่ ตถาคตสฺส โข วาเสฏฐา อธวิ จนํ ธมมกาโย อหํ อิติป ดูกรวาเสฏฐะโคตรท้ังหลาย คําวาธรรมกายๆ เปนตถาคตโดยแท ใหเชื่อในธรรมกายอันน้ีแหละ อยางอน อยาคลอนแคลน ใหมั่นคงลงไป เชื่อลงไปในพระตถาคตเจา เมอื่ เชอื่ ลงไปในพระตถาคตเจา แลว ไดช อื่ วา ผมู ศี รทั ธา เชอื่ ลงไป ในพระตถาคตเจา สงิ่ อน่ื นอกจากธรรมกายแลว ไมเ ลศิ ไมป ระเสรฐิ เทาธรรมกาย ธรรมกายนี้เปนของเลิศประเสริฐลนพน ส่ิงอื่น จะวิเศษเทาใดก็ไมถึงธรรมกาย ธรรมกายอยูเหนืออํานาจอื่น ทงั้ หมด อยูในปกครองธรรมกายทงั้ หมด ธรรมกายทว มทบั หมด ใหป รากฏเปน หนงึ่ ลงไปไดด งั นี้ นี้ไดเ ชอื่ วา ลงไปในพระตถาคตเจา แตว า เช่ือลงไปตามความรู ยังไมเ หน็ นเี่ ปนทางปริยัติ ขอ หนง่ึ ขอ สอง ศลี ศลี ของบคุ คลใดดงี าม เปน ทยี่ นิ ดขี องพระอรยิ เจา อนั พระอรยิ เจา สรรเสรญิ แลว ประสงคช นดิ ไหน อริยธนกถาศีล อนั นเี้ ปน ทรพั ยข องพระอรยิ ะเปน ทรพั ยข องพระอรยิ ทเี ดยี ว ศลี ๕ กด็ ี ศลี ๘ ก็ดี ศลี ๑๐ ก็ดี ศลี ๒๒๗ ก็ดี ศลี ทุกชั้นใหม ่นั คงลงไป ดีงามน้ันหมายถึงความบริสุทธิ์ เรียกกัลยาณศีล อริยกันตศีล ศีลที่พระอริยเจาชอบใจ ปสงฺสิตศีล ศีลท่ีพระอริยเจาสรรเสริญ กลั ยาณศลี คอื ศลี ชนดิ ไหน อรยิ กนั ตศลี ศลี ชนดิ ไหน ปสงสฺ ติ ศลี เปนศีลชนิดไหน ศีลไมสะดุดใจของพระอริยเจา ไมมีที่ตําหนิ 48 48

เมอ่ื เขา ถงึ ศลี แลว จะตเิ ตยี นกายของเราก็ไมม ี ตเิ ตยี นวาจาก็ไมม ี ตลอดจนกระท่ังถึงเจตนาศีล หาที่ตําหนิติเตียนไมได น้ีก็เปน กัลยาณศีลอยูแลว ควรรักษาความบริสุทธ์ิอันน้ี ใหเราติเตียน ตัวเราเองไมได และคนอืน่ ก็ติเตยี นเราไมไ ด ทั้งตนและบุคคลอ่นื ตเิ ตยี นไมไ ดท เี ดยี ว ความบรสิ ทุ ธอ์ิ นั นน้ั ควรรกั ษาเปน พนื้ อยเู สมอ ไปไมคลาดเคล่ือนพระอริยเจาตองการรักษาไวจนกระทั่ง กี่วัน กี่คืน กี่เดือน ก่ีป ก็ตาม ไมมีขาดตกบกพรอง สะอาดสะอาน อยูเนืองนิตย ทุกอัตรา ทําไดดังนี้พระอริยเจาก็สรรเสริญวา ลาภา วต เต เปน ลาภของทา นหนอ เปน ลาภทเี ดยี ว ดงั น้ี ใหม ศี ลี มั่นอยอู ยา งนี้ นี่เรียกวาศีล เปน ขอท่ีสอง ขอท่ี ๓ เลื่อมใส ความเล่ือมใส ในหมูมีอยูในบุคคลใด หรอื ความเลอ่ื มใสมอี ยู หรอื ความเลอ่ื มใสของบคุ คลใดมอี ยใู นหมู หรอื ความเล่อื มใสมอี ยูในบุคคลใด อยางนนั้ ก็ได ใชไ ดทกุ เหลีย่ ม ความเลอื่ มใสของบคุ คลใดมอี ยูในสงฆ มอี ยูในหมู ความเลอื่ มใส ในหมเู ปน อยา งไร ดวู นั ๘ คาํ่ ละกม็ า มากนั แนน ทเี ดยี ว พอวนั จรงิ วนั จังวันอาทิตยก็หายไปพรอ งไปเสยี บาง กเ็ พราะเขาไมเล่อื มใส ในหมู พระกด็ ี เณรกด็ ี พอถงึ วนั ทาํ วตั รอาราธนากห็ ายกนั ไปหมด อยางน้ีเรยี กวาไมเ ล่อื มใสในหมู ไมร ักหมูของตวั เอง ไมเ ชดิ หมู ของตวั เองไมท มุ เทใสห มขู องตวั ใหร งุ เรอื งเจรญิ อบุ าสก อบุ าสกิ า ก็แบบเดียวกัน ไมรักหมูของตัวทอดธุระเสีย อยางนี้ฆาตัวเอง ทําลายตัวเอง พระพุทธศาสนาจะเจริญรุงเรืองก็เพราะภิกษุ 49 49

สามเณร อุบาสก อุบาสิกาเล่ือมใสในหมู ไมละหมูทีเดียวกลัว หมจู ะเสียไป จะนอ ยพวก นอยหมู นอยคนไป เพียบพรอ มอยู เสมอไมใหขาดเปอรเซน็ ตท เี ดยี ว ลักษณะเล่ือมใสในหมูเล่ือมใส อยางน้ี ไมใชเล่ือมใสอยางเหลวไหล เล่ือมใสกันจริงๆ อยางนี้ ไมท อดธรุ ะ ไมท งิ้ หมทู เี ดยี ว พวกทงิ้ หมพู วกจบั จดไมแ นน อนในหมู ลอ กแลก ในหมอู ยา งนน้ั เรยี กวา ไมเ ลอื่ มใสในหมู เรอ่ื งนพี้ ระบรมครู ทรงรับสั่งย่ิงนัก ลักษณะไมเล่ือมใสในหมู ทอดทิ้งธุระเสียบาง ไมเ อาใจใสบ า ง เอาใจใสบ า งอยา งนี้ ภกิ ษสุ ามเณรกเ็ รยี กวา ภกิ ษุ สามเณรจร ไมเ รยี กวา ประจํา หรอื อุบาสก อุบาสกิ า ก็เรยี กวา อุบาสก อุบาสิกาจร ไมใชประจํา ทางโลกก็แนะนํากันไววา คบคนจรนอนหมอนหมนิ่ เหมอื นนอนหมอนหมนิ่ ชาวบา นเขาจะ นินทาได เขายงั วากันอยูอยา งน้ีเลย เพราะฉะน้นั ภิกษสุ ามเณร อยวู ดั กด็ ี อุบาสก อบุ าสิกาอยวู ดั กด็ ี ตองเปน คนประจํา ใหรักหมู ใหเ ลอ่ื มใสในหมู อยา ใหข าดหมู หมเู ขาทาํ กนั อยา งไร กท็ าํ ตามหมู ถา หมเู ขาทาํ อยา งไรไมท าํ ตามหมกู ข็ ดั จงั หวะหมู ไมเ ลอื่ มใสในหมู กเ็ ปน การขดั ขอ นเี้ สยี แลว ถา เลอื่ มใสในหมไู มข าดตกบกพรอ งใดๆ ช่ือวา สงฺเฆ ปสาโท เล่ือมใสในหมูแทๆ พระอริยเจาประสงค อยางนน้ั ไมใชประสงคอ ยา งอนื่ เมือ่ เรารูห ลักอนั น้ี กจ็ าํ ไวใ นใจ ถา เราขาดเวลาใด เรากท็ าํ ลายหมเู สยี แลว ทาํ ลายอยา งไร หมเู รา ๑๐๐ คน ลองขาดไปเสยี หนงึ่ คน เปน ๙๙ คนไปแลว หมเู รา ๑๐๐ คน ขาดไป ๒ คนเหลือ ๙๘ คน อยา งนี้ทําใหหมูเ ส่ือม ทําลายหมู อยา งน้ี เรยี กวา ทาํ ลายจรงิ ๆ ไมใชท าํ ลายเลน ๆ ถา เรารเู ชน นแ้ี ลว 50 50

กต็ งั้ ใจไวใ หม นั่ พทุ ธศาสนาประสงคอ ยา งนนั้ เรยี กวา สงเฺ ฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ ความเลื่อมใสในหมูของบุคคลใดมีอยู บุคคลน้ันไมใช เปน คนจน นกั ปราชญท ง้ั หลายกลา ววา ไมเ ปน คนจน เพยี บพรอ ม อยเู สมอ มแี ตเ พมิ่ พนู หมขู นึ้ เชน นช้ี กั ชวนหาคนโนน บา ง ชกั ชวน หาคนนบ้ี า ง มาเพม่ิ หมอู ยเู สมออยา งนี้ จะจนไดอ ยา งไร วดั ปากนาํ้ ไมม ที ี่ใหอ ยถู า คนเลอ่ื มใสหมมู ากๆ ถา คนเลอ่ื มใสหมนู อ ยลงแลว อยาวาวัดปากนํ้าเลย วัดไหนๆ ก็โทรมท้ังน้ัน วัดหมดอําเภอ ภาษีเจริญ เลื่อมใสในหมูมีนอยวัดปากน้ํานับวาเล่ือมใสในหมู ยังมีภาษีกวาวัดตางๆ ใหรูอยางนี้ บานก็ดี ที่จะเจริญขึ้นได เพราะอาศัยเขาเลื่อมใสในหมู เขารักในหมูของเขา เม่ือไมให ขาดตกบกพรอ ง แมบ า นพอ บา นฉลาดนกั ใครเขา บา น เขา ไปอยู ในบานของตัวแลวใชวิธีปฏิบัติวัตรฐาก แกไขใหเพลิดเพลิน ใหเพลิดเพลินเจริญหนักเขาบานน้ันก็ใหญโตขึ้นไปทุกทีๆ เพราะพอ บา น แมบ า น เขาเลอื่ มใสในหมู เขาไมข าดตกบกพรอ ง คนไมเล่ือมใสในหมู คนแกคนเฒาจะไปอาศัยอยูสักสองคนไมได ขับไลเขาแลว ไมเลื่อมใสในหมู พวกไมเล่ือมใสในหมูก็เปน คนหัวเดยี วกระเทียมลบี ใครๆ เขาก็ไมค บคา สมาคมดวย เหตุน้ี สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ ความเล่ือมใสในหมูมีอยูแกบุคคลใด บุคคลนั้นไมใชเปนคนจน นักปราชญทั้งหลายยืนยันทีเดียว เมื่อรจู ักหลกั อนั น้ี ความจริงเปน ดังน้ี อชุ ภุ ูตฺจ ทสฺสนํ ความเหน็ ของบคุ คลใดเปน ธรรมชาตติ รง ความเหน็ ตรง เหน็ อยา งไร เหน็ ตรง เหน็ ถกู ความเจริญ เห็นถูกรอ งรอยของพระพุทธเจาพระอรหนั ต 51 51

เหน็ ถกู หลกี จากความเสอื่ มเสยี ทงั้ หมด เหน็ ถกู ตามทางมรรคผล ปรากฏอยา งน้ีเรยี กวา เหน็ ตรง เหน็ ตรง เหน็ อยางไร ก็เห็นธรรม น้ันแหละจึงเรียกวาเห็นตรง เห็นผิดธรรม ก็คือเห็นคดไป ความเห็นนี้เปนหลักสําคัญ เพราะตางทานมีความเห็น ภิกษุ สามเณรก็มคี วามเหน็ อบุ าสก อุบาสกิ ากม็ ีความเห็น ความเห็น ท้ังหลายเหลานั้นบางคนคด บางคนตรง แตในอริยธนกถานี้ ประสงคเ อาความเหน็ ตรง ความเหน็ คดไมเ อา เพราะฉะน้ันในบททายน้ี ทานจึงยืนยันวา ธมฺมทสฺสนํ ความเหน็ ธรรมนน่ั เองเหน็ ถกู นน่ั เอง เหน็ มอี ยู ๒ อยา งคอื ถกู กบั ผดิ ผดิ กเ็ ปน มจิ ฉาทฏิ ฐิ ถกู กเ็ ปน สมั มาทฏิ ฐิ มี ๒ อยา ง นเ้ี ทา นนั้ เห็นผิดกับเห็นถูก หมดท้ังสากลโลก ตองมีคนเห็น ๒ อยางนี้ เทา นนั้ เหน็ ผดิ มอี ะไรเปน ตวั ยนื เหน็ ถกู มอี ะไรเปน ตวั ยนื มมี รรคผล เปน ตวั ยนื โสดามรรค สกทิ าคามรรค อนาคามรรค อรหตั ตมรรค โสดาผล สกทิ าคาผล อนาคาผล อรหตั ตผล ตรงทางมรรคผลน้ี เรยี กวา ธมฺมทสฺสนํ ท่เี รยี กวา อชุ ุภตู ฺจ ทสสฺ นํ ความเหน็ ของ บคุ คลนัน้ เปน ธรรมชาติตรง อทลิทโฺ ทติ ตํ อาหุ เม่อื พรอ มดวย ธรรม ๔ ประการดงั นี้ นักปราชญทั้งหลายยืนยนั วา ไมใชคนจน เปนคนม่ังมีทีเดียว เม่ือรูจักอันน้ี ในคาถาเบ้ืองทายทานจึง รบั รองวา ตสมฺ า สทธฺ จฺ สลี จฺ ปสาทํ ธมมฺ ทสสฺ นํ เพราะเหตนุ นั้ เมื่อผูมีปญญามาระลึกถึงคําสั่งสอนของพระพุทธเจาท้ังหลาย ควรประกอบความเชอ่ื และศลี และความเลอ่ื มใส กบั ความเหน็ ธรรม 52 52

ใหมั่นในขันธสันดาน ไวเนืองๆ ดวยประการดังนี้ เนื้อความ ของพระปริยัติ ตรัสเทศนาไดเทาน้ี ตอแตนี้จะไดขยายปริยัติ ใหเ ปนปฏบิ ตั ิตอไป เร่ิมตนปริยัติใหเขาปฏิบัตินั้น ความเช่ือไมกลับกลอก ต้ังมั่นแลวดวยดีในพระตถาคตเจา มีอยูแกบุคคลใดความเชื่อ ตอ งเหน็ ถา ไมเ หน็ แลว กเ็ ชอื่ ไมส นทิ เขาวา ๑๐ ปากวา ไมเ ทา ตาเหน็ ๑๐ ตาเหน็ ยงั ไมเทา มอื คลาํ แนก วานัน้ อีก เพราะฉะน้นั ปฏิบตั ิ ก็ตองเห็น เปนแตรูยังเปนปฏิบัติไมได รูเทาไรๆ ก็เปนปริยัติ อยนู นั่ ถา เหน็ ดว ยจงึ จะเปน ปฏบิ ตั ไิ ด เหน็ จะเหน็ อยา งไร เหน็ จรงิ ๆ ไมใชวานึกคาดคะเนดนเดาเอา วัดปากน้ําเขาเห็นกันมาก เหน็ ธรรมกาย เหน็ พระตถาคตเจาทเี ดยี ว ไมใชเหน็ อืน่ แตก วา จะเหน็ พระตถาคต จาํ จะตอ งเลา เรอ่ื งไปตง้ั แตต น จงึ จะเขา หลกั ฐาน ความเห็นลงไปในพระตถาคตเจา ความเหน็ ตอ งมี ถาไมมคี วาม เห็นเชื่อไมสนิท ท่ีตองมีความเห็น เห็นกายมนุษยน้ีไมใชเห็น อยา งอนื่ เราเชอ่ื กายมนษุ ยน ี้ เชอื่ ไปตามหนา ทข่ี องเขาคนใดเขา กเ็ ชื่อไปตามหนาทข่ี องเขา น่เี ราเหน็ กายมนษุ ย เห็นแลว ก็รูจัก กายมนษุ ย น่เี ชอื่ กายมนษุ ยเ พราะเห็นกายมนษุ ย ในกายมนุษย มีอีกกายหน่ึง เขาเรียกวา กายมนุษยละเอียด เวลาฝนออกไป ถาเห็นกายที่ฝนก็เช่ือฝนอีก เชื่ออีก เชื่อฝนนั้น เชื่อกันถึงกับ บนบานศาลกลาวทีเดียว ถงึ กับตองแกส ินบนกัน ฝน อนั นี้แหละ เพราะเช่ือจริงๆ ไมใชเชื่อโลเล เมื่อเช่ือกายท่ีฝนแลว ยังมี 53 53

อกี กายหน่ึง เขาเรียกวากายทพิ ยไปฝนถงึ กายทพิ ยเขา ฝนในฝน กเ็ ชอื่ อกี เพราะไปเหน็ เขา จะไมเ ชอื่ ไดอ ยา งไร กายทพิ ยล ะเอยี ด มอี กี เพราะไปเหน็ กายทพิ ยล ะเอยี ดฝน ในฝน เขา อกี กเ็ ชอื่ กายทพิ ย ละเอียดอีก ตองมีจริงอยางน้ี ฝนในฝนลงไปอีกก็เห็นกาย รูปพรหม เชื่อกายรูปพรหมอีก เพราะไปเห็นเขา เช่ือเหมือน กายมนุษยนี้ เห็นกายรูปพรหมละเอียดเขา เชื่อกายรูปพรหม ละเอยี ดอกี ไปเหน็ กายอรปู พรหมเชอื่ กายอรปู พรหมอกี เหน็ กาย อรูปพรหมละเอียดก็เช่ือกายอรูปพรหมละเอียดอีก ไปเห็น กายธรรม ก็ม่ันใจทีเดียววา พระสิทธัตถราชกุมารแสวงหา พระพทุ ธการกธรรม ไปพบทคี่ วงไมศ รมี หาโพธ์ิ มาพบพระพทุ ธเจา เปนอยางน้ีเองน่ีหรือพระพุทธเจา เห็นทีเดียววา อโห พุทฺโธ นี่พระพทุ ธเจาเหน็ ชัดทีเดียว สาวเขา ไปกจ็ ะเห็นชดั ลงไปกวานนั้ น้ีเพียงแตเช่ือพระพุทธเจาไวทีหนึ่งกอนเห็นธรรมกายก็เช่ือ ธรรมกาย เห็นธรรมกายละเอียดก็เชื่อธรรมกายละเอียด เห็น ธรรมกายโสดาก็เช่ือธรรมกายโสดา เห็นธรรมกายโสดาละเอียด ก็เช่ือธรรมกายโสดาละเอียด เห็นธรรมกายพระสกิทาคาก็เช่ือ ธรรมกายพระสกิทาคา เหน็ ธรรมกายพระสกิทาคาละเอียดกเ็ ชื่อ ธรรมกายพระสกิทาคาละเอียด เห็นธรรมกายพระอนาคาก็เช่ือ ธรรมกายพระอนาคา เห็นธรรมกายพระอนาคาละเอียดก็เชื่อ ธรรมกายพระอนาคาละเอียด เห็นธรรมกายพระอรหัตตก็เช่ือ ธรรมกายพระอรหัตต เห็นธรรมกายพระอรหัตตละเอียดก็เชื่อ ธรรมกายพระอรหัตตละเอียด เช่ืออยางนี้ ตองมีจริงอยางน้ี 54 54

บัดนว้ี ัดปากนาํ้ มตี ้งั ๑๐๐ เหน็ ธรรมกายอยางน้ี อนั นี้ตรงกับบาลี มไิ ดค ลาดเคลอ่ื นกนั เลย วา ยสสฺ สทธฺ า ตถาคเต อจลา สปุ ตฏิ  ติ า ความเช่ือไมกลับกลอกของบุคคลผูใดต้ังม่ันแลว ตั้งมั่น ในพระตถาคตเจา ดว ยดีแลวอยา งน้ี มน่ั ลงไปอยา งน้ี ธรรมขอน้ี ท่ียังไมมีธรรมกายยังไมเห็นธรรมกาย เปนแตไดยินเขาเลา เขาบอก ยังเปนทางปริยัติอยูเมื่อเห็นแลว จึงจะเปนทางปฏิบัติ ถาเห็นเขาแลวเรียกวา ปฏิบัติศาสนาแลว น่ันตัวจริงอยางน้ัน เปน ทางปฏบิ ตั ดิ ังน้ี ปริยัติ ปฏิบตั ิ เมอ่ื เขาถึงพระตถาคตเจาจะมี อะไรตอ ไป เขา ถึงธรรมกาย เขา ถงึ ธรรมกายๆ ทา นไมม ีหนา ที่ อนื่ อกี ตง้ั อยใู นศลี ไมค ลาดเคลอื่ น ตง้ั อยใู นศลี ทเี ดยี วทา นรทู เี ดยี ว จะเขา ถึงธรรมกายน้ตี อ งมาโดยทางศลี มาในทางศลี อะไร ทา นก็ เหน็ ศลี ไมใชเ จตนาศลี ศลี อยใู นกลางดวงธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน กายมนษุ ย ใสบรสิ ทุ ธเิ์ ทา ฟองไขแ ดงของไก นนั่ เปน ธรรมของมนษุ ย ในกลาง ดวงธรรมทที่ าํ ใหเ ปน กายมนษุ ยน น้ั มดี วงศลี สมาธิ ปญ ญา วมิ ตุ ติ วิมุตติญาณทัสสนะ ที่จะเขาถึงกายทิพยละเอียดตอง เดินไป ในทาง ศีล สมาธิ ปญ ญา วิมุตติ วิมตุ ติญาณทัสสนะ จะเขาถงึ กายทิพย ตองเดนิ อยูในทาง ศลี สมาธิ ปญ ญา วมิ ุตติ วิมตุ ต-ิ ญาณทัสสนะ ในกลางดวงธรรมท่ีทําใหเปนกายมนุษยละเอียด แลวก็หยุดนิ่งอยูในกลางดวงธรรมที่ทําใหเปนกายทิพย น่ิงเขา ไปในดวง ศีล สมาธิ ปญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ถงึ กายทพิ ยล ะเอยี ด ไปอยา งนี้ เขา ถงึ ดวงศลี สมาธิ ปญ ญา วมิ ตุ ติ วิมุตติญาณทัสสนะ ในกายทิพยละเอียดก็เขาถึงกายรูปพรหม 55 55

น่งิ อยูในกลางดวงศีล สมาธิ ปญ ญา วมิ ตุ ติ วมิ ุตตญิ าณทัสสนะ ในกายรูปพรหม เขาถึงกายรูปพรหมละเอียด น่ิงอยูในดวงศีล สมาธิ ปญ ญา วมิ ตุ ติ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ในกายรปู พรหมละเอยี ด เขากายอรูปพรหม น่ิงอยูในกลางดวงอรูปพรหม ในกลางดวง ศีล สมาธิ ปญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เขาถึงกาย อรปู พรหมละเอียด น่ิงอยูในกลางดวง ศลี สมาธิ ปญ ญา วมิ ุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ในกายอรูปพรหมละเอียด เขาถึงกายธรรม ทเี ดยี ว รูทเี ดียววา ศีล ทีจ่ ะเขา มาถึงกายธรรม มาดวยศีล ผดิ ศลี มาไมได มาไมถึง มาไมถูกทีเดียว เพราะฉะน้ันความเห็นเชื่อ ลงไปในพระตถาคตเจา แลว กร็ ทู เี ดยี ววา เขา มาถงึ พระตถาคตเจา มาดว ยศลี ธรรมกายก็ไมด ูถูกดหู มิ่นในเรอื่ งศลี มั่นคงเพราะได เห็นศีลเสียแลว โดยปฏิบัติเชนนั้น ปฏิบัติเขาไปถึงธรรมกาย เมื่อเขาถึงธรรมกายแลว มีศีลแลว ก็เลื่อมใสในหมูทีเดียว ธรรมกายนจี้ ะเจริญมากเพราะอาศยั ความพรักพรอ มใจกนั ภกิ ษุ สามเณร ทพ่ี รกั พรอ มใจกนั ธรรมกายกเ็ จรญิ ขนึ้ อบุ าสก อบุ าสกิ า ก็พรักพรอมใจกัน ธรรมกายก็เจริญขึ้น ไมเอาใจไปใชเร่ืองอื่น พวกเอาใจไปใชเร่ืองอื่น ไมเขาถึงธรรมกายกับเขา คนอื่นเขา เขา ถงึ สกั เทา ไรๆ กเ็ ขา ไมถ งึ กบั เขา เพราะเอาใจไปใชท างอนื่ เสยี เม่ือเอากายไปใชเร่ืองอ่ืนเสียเชนน้ันแลว ความเล่ือมใสใน ธรรมกายไมม เี สยี แลว เมอ่ื ความเลอ่ื มใสในธรรมกายไมม เี สยี แลว ขาดอริยธรรมไปขอหน่ึง ตองใหมีความม่ันเลื่อมใสในธรรมกาย ตองทําธรรมกายใหเปนใหได ถาไมเปนก็ขาดความเล่ือมใสไป 56 56

ไมเ ปน เรากต็ าย เรายอมแนน อนทเี ดยี ว ถา วา ไมเ ขา ถงึ ธรรมกาย ไมเปนธรรมกายเราตองตายทีเดียว ตายไปเถอะ ถอดกายตาย ไปเสยี เปน สมณเทพบตุ รตอ ไป ไมอ ยลู ะในมนษุ ย มน่ั ลงไปจรงิ ๆ เชน นนั้ เขา กเ็ ขาถึงธรรมกายจนได ไมยอมกนั เช่ือมน่ั ลงอยา งนี้ รกั หมทู เี ดยี วพอมธี รรมกาย กห็ าหมทู เี ดยี ว ใครใกลเ ขา มา ไมเ ปน ธรรมกายนงิ่ อยไู มไดไมส บายใจ ไมเขาเปนพวกเดยี วกัน ไมเขา หมูกัน ใครใกลไมได เออ นั่งกันเถอะนา จะไดเห็นของดีบาง นง่ั เขา เถอะ อยา คยุ กนั เรอ่ื งอน่ื เลยเสยี เวลา เราคยุ กนั เรอ่ื งอน่ื เลย เสยี เวลา เราคยุ กนั มานานแลว นง่ั ใหเ ขา ถงึ ธรรมกายจะไดม ที พี่ งึ่ จะไดพ บท่ีพ่งึ อน่ื ไมมี นถ่ี าทาํ เขารปู นี้ เปนพระทฉ่ี ลาด เปนเณร ทฉ่ี ลาด อบุ าสก อบุ าสกิ า กฉ็ ลาดเพราะเลอื่ มใสในหมู พวกมนี อ ย ไมยอมทีเดียว ถาโงก็คุยแตเร่ืองอ่ืน เร่ืองธรรมกายไมถามหา ไมต ง้ั ใจทีเดียว ไมเ อาใจใสทีเดยี ว นพ่ี วกทําลายศาสนา ทําหมู ใหแ ชเชอื น ทาํ ใหเ ลอะเลอื น พวกจรงิ กต็ อ งจรงิ ลงไป หาหมหู าพวก เร่ืองธรรมกายอยางเดียว พระพุทธเจา ในเวลาคอนรุงพระองค สอ งดธู รรมปู นสิ ยั ของสตั ว หาพวกหาหมทู า นหาหมทู กุ วนั ทเี ดยี ว เพราะฉะนั้นศาสนาจึงไดเ จรญิ ขนึ้ อยางน้ี ตอ งเลอื่ มใสอยา งนจ้ี งึ จะถูกหลักฐาน รองรอยพระพุทธศาสนา จึงจะไดช่ือวาเปนผู เล่ือมใส เลื่อมใสในหมูเลื่อมใสในหมูนี้เปนทางปฏิบัติ เห็นชัด ทเี ดยี ว ธรรมกายกเ็ หน็ ใครมธี รรมกายกเ็ หน็ ปรากฏชดั อยา งนจี้ งึ เรยี กวา สงเฺ ฆ ปสาโท เลอ่ื มใสในหมู เปน ทางปฏบิ ตั ดิ งั นี้ อชุ ภุ ตู จฺ ทสฺสนํ เห็นตรงหมดทั้งสากลพุทธศาสนา ตองมาแนวเดียวกัน 57 57

ทง้ั น้นั ทางศีล สมาธิ ปญญา วมิ ุตติ วิมุตตญิ าณทสั สนะ มาจาก กายมนษุ ยเ ขา ถงึ กายมนษุ ยล ะเอยี ด จากกายมนษุ ยล ะเอยี ดกเ็ ขา ถึงกายทิพย มาจากกายทิพยก็เขาถึงกายทิพยละเอียด จาก กายทพิ ยล ะเอยี ด เขา ถงึ กายรูปพรหม จากกายรปู พรหมเขาถึง กายรูปพรหมละเอียด มาจากกายรูปพรหมละเอียดเขาถึง กายอรปู พรหม จากกายอรปู พรหมเขา ถงึ กายอรปู พรหมละเอยี ด จากกายอรูปพรหมละเอียด เขาถึงกายธรรม เขาถึงกายธรรม มาทางนี้เปนอันถูก ใหเห็นอยางน้ี ทางอ่ืนไมของแวะ มุงอยู ทางนเ้ี ทา นนั้ ทางอนื่ ไมต อ ง จะเขา ถงึ ธรรมกายไดส มความปรารถนา เพราะความเห็นตรงเห็นตามรองรอยของธรรม เห็นตามธรรม สมดวยบาลีวา ธมฺมทสฺสนํ เห็นธรรมน่ันเอง น้ีทางปฏิบัติ ตองตรงลงไปอยางนี้ ถาไดหลักอันนี้แนนอนแลว ก็ไมเสียที ทมี่ าประสพพบพทุ ธศาสนา เรยี กวา คนรจู กั รอ งรอยพระพทุ ธศาสนา เรยี กวาคนเหน็ ตรง ถา เห็นไปทางอ่ืนเสีย เปนคนคด เปน อะไร เปน มิจฉาทฏิ ฐิ เห็นตรงเปน อะไร เปนสมั มาทฏิ ฐิ พงึ รชู ดั ทีเดยี ว วาตวั เปน สัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิ ที่ไมเ ห็นยงั เปน มิจฉาทฏิ ฐิ อยูยังเห็นผิดอยู เห็นถูกกเ็ ปนสัมมาทิฏฐทิ เี ดยี ว ใหร จู ักหลกั ชัด ดังน้ี เมอ่ื รูจักหลักชดั ดังนี้ ก็สมดว ยบาลวี า อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ ถามวา มีธรรมกาย หรือเขามีเงินโกฏิ เงินลานก็ชางปะไร สูธ รรมกายไมได ธรรมกายเยน็ กายสบายใจอยูกับธรรมกายเรือ่ ย นั่นพระอริยธนกถา เปนทรัพยของพระอริยเจาทานมีแต บาตร ไตรจีวรเทานั้น ทานมีแตผานุงผาหมพอสมควร อยูในปา 58 58

ในดอนในดง ไมกังวลอะไร มุงแตธรรมกายเทาน้ัน ทานเอา ตัวรอดไดอ ยางนี้ พวกเรารูจกั อันน้ี ก็ใหถ ึงธรรมกายใหไ ด ถาไม เขาถงึ ธรรมกายได กเ็ ปนอันวา อริยธนกถาทรพั ยข องพระอรยิ เจา ไมไดพบ เราประสพทรัพยเขา มากนอยเทาไรก็ควรเอาใจ ปลม้ื แคไหน ดีใจแคไ หน ถาประสพธรรมกายเขา ปล้ืมใจยิ่งกวา ทรัพยในสากลโลกได สละทรัพยไดหมด แตวาธรรมกาย สละไดยาก พอเขาถึงธรรมกายเขาแลวไมอาจสละไดทีเดียวนี้ คนมีปญญา คนโงอาจจะท้ิงของดีได เพราะฉะน้ันเขาจึงได วางบทเปน เพลงไว ธรรมกายเปน แกวนี่ วา เกดิ มาจะมาหาแกว พบแลว ไมก าํ จะเกดิ มาทาํ ไม วา หลกั อยา งน้ี แกว นน้ั คอื ธรรมกาย บดั นเี้ รา มาพบแลว ทว่ี ดั ปากนาํ้ มธี รรมกายกนั มาก เรามาพบแกว เขาแลว ถาพบแลวไมกําจะเกิดมาทําอะไร น่ีก็สมกับคํานี้แลว ตอ งไปกําอื่นอยาไปกาํ ๆ ไมไ ด กาํ อื่นเปนมูตร เปนกรีสไปหมด กาํ แกว นแี้ หละ เปน ของจรงิ ของแทแ นน อน จะพาเราพน จากทกุ ขได ถาวาไมกําแกวไวแลวจะพนทุกขไดยาก เหตุนี้สมเด็จพระผูมี พระภาคเจา จงึ ไดท รงรบั สง่ั วา ตสมฺ า สทธฺ จฺ สลี จฺ ปสาทํ ธมมฺ - ทสสฺ นํ อนุยุฺเชถ เมธาวี เพราะเหตุนัน้ เม่อื ผูมีปญญา มาระลึก ถึงคําสอนของพระพุทธเจาท้ังหลายแลวควรประกอบความเช่ือ ควรประกอบศีล ควรประกอบความเลื่อมใส ควรประกอบความ เห็นธรรม ไวเนอื งๆ ในขนั ธสนั ดานของตน ดวยประการดงั นี้ 59 59

ไดช แ้ี จงแสดงมาในอรยิ ธนกถา ตามวาระพระบาลี คลค่ี วาม เปนสยามภาษา และตามมัตยาธิบายเปนปริยัติ และปฏิบัติ ปฏเิ วธ เปนลําดับมา สมควรแกเวลาโดยมคธภาษา ขยายความ เปนสยามภาษาเพียงเทาน้ี ท่ีช้ีแจงแสดงมาน้ีขอทานทั้งหลาย ผเู ปน เมธมี ปี ญ ญา พงึ มนสกิ ารกาํ หนดไวใ นใจของตนทกุ ถว นหนา วา ทรพั ยข องอริยเจาไมใชอน่ื คือ คุณธรรม ๔ ประการน้ี ความเช่ือ และศีล ความเลอื่ มใส ความเห็นธรรม ๔ ประการน้ี เปน ทรพั ย ของอรยิ เจา โดยแท ดว ยประการนี้ ท่ีไดช แี้ จงแสดงมานี้ พอสมควร แกเวลา สมมติวา ยตุ ิธรรมเทศนาโดยอรรถนิยมเพยี งเทา นี้..... เอวํ ก็มีดวยประการฉะนี้ 60 60

61

62

ธรรมเทศนำ ของ พระเดชพระคุณท่ำนเจำ คณุ พระภำวนำโกศลเถระ แสดง ณ วันท่ี ๒๗ มกรำคม พ.ศ. ๒๔๙๗ นโม ตสสฺ ฯลฯ อิธ วสฺสํ วสิสฺสามิ อธิ เหมนฺตคิมฺหสิ ุ อิติ พาโล วิจินเฺ ตติ อนฺตรายํ น พุชฌฺ ติ ปปุ ฺผานิ เหว ปจินนฺตํ พฺยาสตตฺ มนสํ นรํ อตติ ตฺ ํ เยว กาเมสุ อนฺตโก กุรเุ ต วสํ น สนตฺ ิ ปตุ ฺตา ตาณาย น ปต า นป พนธฺ วา อนตฺ เกนาธิปนฺนสฺส นตฺถิ าตสี ุ ตาณตา เอตมตถฺ วสํ ตวฺ า ปณฑฺ โิ ต สีลสํวโุ ต นพิ พฺ านคมนํ มคคฺ ํ ขิปปฺ เมว วโิ สธเย ฯ 63 63

ณ บัดนี้อาตมภาพจักไดแสดงธรรมิกถา แกดวยความรู ความเห็นของคนพาล และความรูความเห็นของบัณทิต ดวย หนทางคนพาลและบัณฑิตนัยหนึ่ง อีกนัยหน่ึง แกดวยหนทาง เปนอัปมงคล หนทางของคนพาล แกดวยหนทางท่ีเปนมงคล เปน หนทางของบณั ฑติ จะชแ้ี จงแสดงตามวาระพระบาลี ซงึ่ ยกขน้ึ ไวเปนนิเขปกถา เร่ิมตนวาระพระบาลี วา อิธ วสฺสํ วสิสฺสามิ เปนอาทิ คนพาลยอมคิดเสียดังนี้ วาเราจักอยูตลอดกาลฝน ในท่ีน้ีในฤดูหนาวตลอดหรือในฤดูแลงตลอดในท่ีนี้ยอมไมเฉลียว ถึงอันตราย ผูกระทําซึ่งท่ีสุดคือความตาย ยอมกระทําคนที่มีใจ มาของอยแู ลว ในอารมณตางๆ มวั เลอื กเก็บดอกไมอ ยูน่ันแหละ ไมอิ่มแลวในกามทั้งหลายทีเดียวสูอํานาจของตน เม่ือบุคคล อันความตายครอบงําแลว บุตรทั้งหลายมีอยูหาตานทานไดไม แมญ าตพิ วกพองมเี ทา ไร ก็ตานทานไมไ ด ช่ือวา ความตา นทาน ไมม ีในญาติทั้งหลายเลย บัณฑิตผูร ูอํานาจแหงเหตุดีแลว เปนผู สํารวมแลว ในศลี รีบชําระทางเปน ท่ีไปสพู ระนิพพาน ใหส ะอาด ดว ยประการดงั นี้ นเ้ี นอ้ื ความของพระบาลี คลค่ี วามเปน สยามภาษา ตอ แตน จ้ี ะอรรถาธบิ ายเปน ลาํ ดบั ไป คนพาลไมร จู กั ทางของบณั ฑติ คนบัณฑิตยอมรูจักทางของคนพาล น้ีจะแสดงในเบื้องตน ทางของคนพาลกอน คนพาลยอมคิดแปลกดังนี้ วาเราจะอยู ตลอดกาลฝน เราจะอยูตลอดฤดูฝนในที่นี้ หรือวาในฤดูแลง ในฤดหู นาวตลอด ฤดูแลง ตลอดในท่ีนี้ คดิ เสยี อยางน้ี ไมเ ฉลยี ว ถงึ อนั ตรายนี้ไดแ กพ วกเราทงั้ หลาย เกดิ มาเปน มนษุ ย เปน คฤหสั ถ 64 64

กด็ ี บรรพชติ กด็ ี คดิ วา วดั ปากนา้ํ นแี่ หละเปน ทอี่ ยขู องเราเปน บา น ของเรา เปนวัดของเราเสียทเี ดยี ว ไมเฉลียววา เราผานมา มาใน มนษุ ยโลกเราผา นมาแลว เรากจ็ ะผา นไปผา นมา ผา นไปอยดู งั นแี้ หละ หมดท้ังสากลโลกแมจะเปนพระเจาแผนดินก็ผานไปผานมา แลว กผ็ า นไปดงั นแ้ี หละ แมจ ะเปน เศรษฐี คหบดีใดๆ ผา นมาแลว กผ็ า นไปอยา งนแ้ี หละ แมจ ะเปน ชาวนา พอ คา พอ ครวั ใดๆ กต็ าม ผานมาแลวกผ็ านไปอยางน้แี หละ ใครจะวาบานของใคร ใครจะ วาท่ีของใครไมไดทั้งนั้นแหละ เรามาชั่วคราวหนึ่งเทานั้น น่ีคน พาลหาคดิ อยา งนน้ั ไม คดิ วา เราจะเปน พระเณรอยนู แี่ หละ เราไม แปรผนั เปน อยา งอ่ืนละ เปนอุบาสก อบุ าสิกา กจ็ ะเปนอบุ าสิกา อุบาสก อยอู ยางนี้แหละ ไมแ ปรผนั เปนอยา งอื่นละ เปน มนุษย เปนหญิงชายก็จะเปนหญิงชายอยูอยางนี้แหละ ไมแปรผันเปน อยางอื่น หาคิดในเรื่องแปรผันไม ถึงกับวิวาทบาดหมาง ฆา ฟนรันแทงซ่งึ กันและกนั รบราฆา ฟนกันกลมุ อยูอยางนแี้ หละ และความคิดความเห็นของคนพาล ไมใชค วามคดิ ความเห็นของ บัณฑิต ไมใชคนมีปญญา คนออนปญญา เม่ือคนออนปญญา เชนน้ี พระยามัจจุราช กระทําซึ่งท่ีสุดของชีวิตยอมทําคนที่มี ใจของอยูในอารมณตางๆ ของอยูในรูปารมณ สัททารมณ คนั ธารมณ รสารมณ โผฏฐพั พารมณ ใจทข่ี อ งอยูในอารมณต า งๆ เหลา น้ี ผมู วั เลอื กเกบ็ ดอกไมอ ยนู นั้ แหละ ไดแ กเ ลอื กดอกไมอ ะไร เลอื กเก็บดอกไมร ปู บาง ดอกไมกล่นิ บาง ดอกไมรสบาง ดอกไม สัมผัสบาง เพลินอยูดวยรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส น่ันแหละ 65 65

น่นั แหละมัวเลือกเก็บดอกไมอ ยู เหมือนชาวสวนดอกไม เขา ไป ในสวนดอกไม มือสอดไปเก็บดอกไมกอน้ี แลวมีอยูในกอน้ันก็ เกบ็ ดอกไมด อกนี้ มอื ยงั ไมท นั เดด็ เลย ตามองไปอยดู อกโนน อกี แลว หรือมือพอจดดอกไมดอกน้ีอยูนั่นแหละ ตามองไปดูดอกโนน อีกแลว มองดูดังนี้แหละไมมีเส่ือมไมมีสางเม่ืออยูรวมดวย สามีภรรยาแลวก็มองดูตอไปอีกๆ เปนถอยเปนความกันปนป เพราะเหตุอะไร เพราะมัวเพลินในการเก็บดอกไมกนั ไมร เู ดียงสา อนั ใด เมอ่ื มวั เลือกเกบ็ ดอกไมอยูเชนนน้ั เพราะเขาไมอ ิ่ม ไมพ อ ในกามเสยี เลย ในกามทั้งหลายเขาไมอ มิ่ ไมพอเสียเลย เม่อื เปน เชนนี้ ก็ตอ งไปสอู าํ นาจของพระยามจั จรุ าช จะไปทางไหนไปไมไ ด ไปไมร อด เรอื่ งพระยามจั จรุ าชแลว เมอื่ บคุ คลอนั พระยามจั จรุ าช ทว มทับเขาแลวครอบงําเขา แลว บุตรทง้ั หลายมอี ยๆู มากๆ คน แตวา หาชวยตา นทานพระยามัจจุราชไดไ ม บิดาหรอื มารดากห็ า ชว ยตา นทานพระยามจั จรุ าชไดไ ม พนี่ อ งพงศาเผา พนั ธใุ ดๆ ก็ไม ตานทานพระยามัจจุราชได ปองกันไมได ความตานทานและ ปอ งกนั พระยามจั จรุ าชในญาตทิ งั้ หลายไมม เี ลย มาคนเดยี ว ตาย คนเดยี วทงั้ นน้ั มาคนเดยี วไปคนเดยี ว ตายคนเดยี ว เกดิ คนเดยี ว ทั้งนั้น แนแ ทไมต อ งสงสัย แงนี้บณั ฑิตทงั้ หลายมปี ญญาเมือ่ มา ทราบอาํ นาจแหงเหตุนีแ้ ลว เปน ผสู ํารวมแลว ในศลี สํารวมแลว ในศลี มน่ั คง สะอาดสะอา นทเี ดยี ว ทาํ ทางเปน ที่ไปพระนพิ พานให สะอาดราบรื่น ทาํ ทางไปพระนิพพานใหสะอาดราบรนื่ นีเ้ ปน ทาง บัณฑติ คดิ เหน็ อยา งนี้ คนพาลเห็นอยา งนั้น นเ้ี ปนอรรถาธบิ าย 66 66

เนอื้ ความของวาระพระบาลคี ลค่ี วามเปน สยามภาษา นเ้ี ปน ทางปรยิ ตั ิ หาใชท างปฏบิ ัติไม ศาสนามที าง ๓ ทาง ทางปริยัติ ทางปฏบิ ัติ ทางปฏิเวธ จะเขาถึงทางปฏิบัติ น้ีทางปริยัติรูแลว ทางปฏิบัติ เมอ่ื รชู ดั วา นนั่ เปน หนทางของคนพาล นนั่ เปน หนทางของบณั ฑติ ทางของคนพาลนน้ั เปน ทางอปั มงคล ทางเสอ่ื มทรามไมใชท างเจรญิ ทางของบัณฑิตน้ันเปนมงคลเปนทางเจริญ เปนเคร่ืองถึงซึ่ง ความเจรญิ แท ทางของคนพาลนนั้ เปน ทางของคนโงเ ขลา ทางของ บัณฑิตน้ันเปนทางของคนฉลาด ความเห็นของคนพาลวา เม่ือ มาเกิดในกามภพ กามภพนแ่ี หละเปน ท่ีเกษมสาํ ราญ อ่นื ยิง่ กวา กามภพไมมี เมื่อเกิดในรปู ภพ รูปภพน่ีแหละเปน ท่ีเกษมสําราญ ส่ิงอ่ืนสูไมได เมื่อไปเกิดในอรูปภพ ก็วาอรูปภพนี่แหละเปนทาง เกษมสําราญ เปน หนทางสําราญอ่ืนสไู มไ ด เหน็ อยา งนี้ เรียกวา ความเหน็ ออ น หรอื ความคดิ ออ น ความรตู า่ํ หาสงู ไม บณั ฑติ ไมเ หน็ ดังน้ัน เห็นวาสัตวโลกที่เกิดในกามภพนี้ ไดรับความทุกข แสนสาหัสสากรรจ แมจะไปเกิดในรูปภพไดรับความสุขแลวก็ ตอ งไดร บั ความทกุ ขอ กี ไปเกดิ ในอรปู ภพไดร บั ความสขุ หมดอาํ นาจ อรูปฌาณ ก็จะตองเวียนวายตายเกิดในวัฏสงสาร คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ อีก ไปไมรอด บณั ฑิตเห็นดงั นี้ ถาใหพนจากภพ ๓ เสียจึงจะเอาตัวรอดได เพราะฉะน้ัน เม่ือเปนคฤหัสถก็ดี บรรพชติ กด็ ี เมอื่ เปน ภกิ ษุ สามเณร อบุ าสกิ า กด็ ี เมอื่ เกดิ ขนึ้ แลว จึงไดเอาศีลเขาสวมตัวทีเดียว อยางอื่นสูไมได เม่ือเอาศีลเขา สวมตัวแลว รีบชาํ ระศีลใหบรสิ ุทธิ์ วาทางศลี น้แี หละจะหลกี เลี่ยง 67 67

จากกามภพ รปู ภพ อรปู ภพ ไปไดไมตองไปสงสัยละ กเ็ อาศลี สวมเขา ต้ังตนแตศีล ๕ กบ็ ริสุทธ์เิ ปน สงั สทุ ธนีไมม รี าคีทเี ดยี ว สวมศลี ๘ เขาก็ศีล ๘ นี่แหละใหเปนสังสุทธนีไมมีราคีทีเดียว ศีล ๑๐ เขา แลว ศลี นแ่ี หละ ใหเ ปน สงั สทุ ธนไี มม รี าคที เี ดยี ว เมอ่ื สวมศลี ๒๒๗ เขาแลว ๒๒๗ นแี่ หละใหบรสิ ุทธิ์ใหเ ปนสงั สทุ ธนไี มมรี าคที เี ดียว ใหบริสุทธิ์สะอาด นี่แหละจึงจะสามารถหลุดพนจากกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไปได น่ีแหละจึงจะออกจากไตรวัฏฏได รูจัก หนทางชดั เชน นก้ี ป็ ระคองศลี เขา ไว ถา ประคองศลี เปน ทางปรยิ ตั ิ ก็ยังไปไมรอด ตองประคองศีลใหเขาถึงทางปฏิบัติดวย น่ีเปน เง่ือนสําคัญ ศีลในทางปริยัติก็รูจักตนศีล กลางศีล ปลายศีล รจู กั ศีล น่ีศลี หยาบ นี่ศลี กลาง นีศ่ ีลละเอียด นเ่ี ปน ศีลเห็น นี่เปน ศลี รไู มใชศ ลี เหน็ รอู ยา งนแ้ี หละ แตว า เขา ไมถ งึ ผปู ฏบิ ตั เิ ขา ถงึ ศลี เห็นศลี ทเ่ี ดียว นตี่ นศีล บริสุทธิ์กาย วาจา นเ่ี ปนตน ศลี ภายนอก นี่เปนปลายศีลเปนภายนอก เขาถึงเจตนา งดเวนจากศีล ๕ ศีล ๑๐ ตามหนา ที่ ศลี ๒๒๗ ตามหนา ที่ นเ่ี ปน เจตนาศีลหรือ เขา ถึงเนือ้ หนังของศีลทีเดียว เขาถงึ ดวงศลี อยูกลางดวงทที่ าํ ให เปนกายมนุษย ใสบรสิ ทุ ธิ์เทาดวงจนั ทร ดวงอาทติ ย นน่ั ไปเห็น ศลี ในดวงธรรมที่ทาํ ใหเ ปนกายมนษุ ยเ ขานี่เปน ตนศีล เมอ่ื เขา ถงึ ตนศีล ใจก็หยุดอยูท่ีกลางดวงศีลทีเดียว น่ีหนทางไปนิพพานละ นี่หนทางไปนิพพานทีเดียว ไมไดไปทางอื่น เมื่อเขาถึงทางได เชนนี้แลว ใจก็ไมล ะเวน หยุดนิง่ อยูกลางศีลนั่น ประคบั ประคอง ไปจนกระทงั่ ถกู สว นพอเขา ถงึ ดวงศลี เทา นน้ั ใจกห็ ยดุ กลางดวงศลี 68 68

พอใจหยุดก็เขากลางของดวงหยุดน่ันเทียว กลางของกลางๆ ซาย ขวา หนา หลัง ลา ง บน นอก ใน ไมไ ป กลางของกลาง ๆ ๆ ๆ พอถูกสวนเขาเทาน้ันก็จะเขาถึงดวงสมาธิ พอเขาถึงดวงสมาธิ เขา เทา นน้ั เขา ถงึ นแี่ ลว เขา ถงึ ดวงสมาธแิ ลว พอเขา ถงึ ดวงสมาธิ แตพ อใจหยดุ เทา นน้ั เขา ตรงกลางของใจทห่ี ยดุ ทเี ดยี ว กลางของ กลาง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พอถกู สว นเขา เขา ถงึ ดวงปญ ญากเ็ ทา ดวงจนั ทร ดวงอาทิตยเทากันหยุดอยูกลางดวงปญญาอีก ใจหยุดท่ีดวง ปญญา ก็เขา กลางดวงทีห่ ยดุ นนั่ กลางของกลาง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ซา ย ขวา หนา หลงั ลา ง บน นอก ใน ไมไปกลางของกลาง หนกั ทกุ ที กลาง หนักเขา ๆ ๆ ก็เขาถงึ ดวงวิมุตติ ถกู สวนเขา ก็ถงึ ดวงวิมุตติ พอเขาถึงดวงวิมุตติ ใจก็หยุดอยูกลางดวงวิมุตติ พอหยดุ เขาก็เขากลางดวงของใจทีห่ ยดุ ทีเดียว กลางของกลาง ๆ ๆ ๆ ซา ย ขวา หนา หลงั ลาง บน นอก ใน ไมไ ป กลางของกลาง หนกั เขา พอถกู สว นเขา กเ็ ขา ถงึ ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ เทา ดวงจนั ทร ดวงอาทติ ย เหมือนกัน หยุดอยกู ลางดวงวมิ ุตตญิ าณทัสสนะอีก พอใจหยุดเขา เขากลางของใจที่หยุดอีก กลางของกลาง ๆ ๆ ซาย ขวา หนา หลัง ลา ง บน นอก ใน ไมไ ป กลางของกลาง หนกั ข้นึ กลางของกลาง ๆ ๆ หนกั เขา พอถกู สว นเขา กเ็ ขา ถึง กายมนษุ ยล ะเอยี ด นจี่ ะไปนพิ พานละนะ ทง้ิ กายมนษุ ยห ยาบแลว เขา ถงึ กายมนษุ ยล ะเอยี ด ใจกายมนษุ ยล ะเอยี ดหยดุ อยศู นู ยก ลาง ของธรรมที่ทําใหเปนกายมนุษยละเอียด พอถูกสวนเขาเทานั้น แหละ พอหยุดเขา เขา กลางของกลาง ๆ ๆ ๆ ๆ ใจหยดุ ตรงเขา 69 69

ถงึ ดวงศลี หยดุ อยกู ลางดวงศลี นนั้ กลางดวงธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน กาย มนษุ ยน น่ั กเ็ ขา กลางดวงใจทห่ี ยดุ นนั่ กเ็ ขา ถงึ ดวงสมาธิ หยดุ อยู กลางดวงสมาธินนั่ พอถูกสว นเขา กลางของกลางหนักเขา พอถกู สวนเขา เขา ถงึ ดวงปญ ญาหยดุ อยูก ลางดวงปญญา เขา กลางของ ใจท่หี ยุดน่ันแหละ กลางถึงกลางหนกั เขา พอถูกสว นเขาก็เขาถึง ดวงวิมุตติ หยุดอยูกลางดวงวิมุตติ พอถูกสวนเขาก็เขาถึงดวง วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ หยดุ อยกู ลางดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะนน่ั แหละ พอถกู สว นเขา กเ็ ขา ถงึ กายทพิ ย กายทฝี่ น ในฝน นเี่ ขา ไปชน้ั ท่ี ๓ แลว ๓ ชน้ั เขา ไปแลว นจี่ ะไปนพิ พานละไปไดจ รงิ ๆ แทๆ วดั ปากนาํ้ เขาไปไดนับจํานวน ๑๐๐ ไปกันทางน้ีแหละไมไดไปกันทางอ่ืน ทางอ่ืนไปไมได ไปไดทางเดียวเทาน้ี พอเขากลางกายทิพยๆ กห็ ยดุ กลางดวงธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน กายทพิ ยพ อใจหยดุ ถกู สว นเขา ก็ เขา ถงึ ดวงศลี หยุดอยูก ลางดวงศลี พอถูกสวนเขา ๆ ถงึ ดวงสมาธิ หยดุ อยกู ลางดวงสมาธิ ใชว ธิ หี ยดุ อนั เดยี ว หยดุ อยกู ลางดวงสมาธิ พอถูกสวนเขาก็เขาถึงดวงปญญา หยุดอยูกลางดวงปญญา พอถูกสวนเขา เขาถึงดวงวิมุตติ ดวงโตเปนลําดับขึ้นไปละ หยดุ อยูศูนยกลางดวงวิมตุ ติ พอถูกสวนเขาๆ ถงึ ดวงวมิ ตุ ติญาณ ทัสสนะ หยุดอยูกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ พอถูกสวนเขาๆ ถึงกายทิพยละเอียด นี่เขาไป ๔ กายแลว นี่ขยับเขาไปใกล นิพพานเขาทุกทีแลว ใจของกายทิพยละเอียดหยุดอยูกลางดวง ของดวงธรรมท่ีทําใหเปนกายทิพยละเอียด ถูกสวนเขาๆ ถึง กลางดวงศีล หยุดอยูกลางดวงศีล ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงสมาธิ 70 70

หยุดอยูกลางดวงสมาธิถูกสวนเขาๆ ถึงดวงปญญา หยุดอยู กลางดวงปญ ญา ถกู สว นเขา ถงึ ดวงวมิ ตุ ติ หยดุ อยกู ลางดวงวมิ ตุ ติ ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสะ หยุดอยูกลางดวงวิมุตติ ญาณทัสสนะ ก็เขาถึงกายรูปพรหม ๕ กายแลว ใกลนิพพาน เขาไปแลว หยุดอยูศูนยกลางของดวงธรรมที่ทําใหกายเปน รปู พรหม กลางน่นั แหละถูกสว นเขา เขา ถงึ ดวงศีล หยดุ อยูกลาง ดวงศลี ถกู สว นเขา ๆ ดวงสมาธิ หยดุ อยกู ลางดวงสมาธิ ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงปญ ญา หยดุ อยกู ลางดวงปญ ญา ถกู สว นเขา กเ็ ขา ถงึ ดวงวมิ ตุ ติ หยดุ อยกู ลางดวงวมิ ตุ ติ ถกู สว นเขา กเ็ ขา ถงึ ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ หยดุ อยกู ลางดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะถกู สว นเขา ๆ ถงึ กายรปู พรหม ละเอียด ใจกายรูปพรหมละเอียดหยุดอยูศูนยกลางของดวงธรรม ทท่ี าํ ใหเ ปน กายรปู พรหมละเอยี ด หยดุ นง่ิ อยกู ลางนน้ั ถกู สว นเขา ๆ ถึงดวงศลี หยุดอยูกลางดวงศลี ถูกสว นเขา ๆ ถึงดวงสมาธิ หยดุ อยู กลางดวงสมาธิ เขาถึงดวงปญญา หยุดอยูกลางดวงปญญา ถกู สวนเขาๆ ถงึ ดวงวิมุตติ หยุดอยกู ลางดวงวิมตุ ติ ถูกสว นเขา ก็เขา ถงึ ดวงวมิ ุตตญิ าณทัสสนะ หยดุ อยกู ลางวิมตุ ตญิ าณทัสสนะ ถกู สว นเขา ๆ ถึงกายอรปู พรหมเขา ไป ๗ กายแลว ใจกายอรปู พรหม หยดุ อยศู นู ยก ลางของดวงธรรม ทท่ี าํ ใหเ ปน กายอรปู พรหม แบบเดยี วกันๆ ไมไดม ีเคลือ่ นคลาดละ หยุดอยกู ลางดวงธรรมที่ ทาํ ใหเ ปน กายอรปู พรหม พอถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงศลี หยดุ อยกู ลาง ศีลถูกสวนเขาๆ ดวงสมาธิหยุดอยูกลางดวงสมาธิ ถูกสวนเขาๆ ถงึ ดวงปญ ญา หยดุ อยกู ลางดวงปญ ญา ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงวมิ ตุ ติ 71 71

หยุดอยกู ลางดวงวมิ ุตติ ถกู สวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตตญิ าณทสั สนะ หยุดอยูกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกสวนเขาๆ ถึงกายอรูป พรหมละเอียด ใจกายอรูปพรหมละเอียดหยุดอยูกลางดวงธรรม ท่ที ําใหเ ปน กายอรปู พรหมละเอียด ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงศลี หยุด อยกู ลางดวงศลี ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงสมาธิ หยดุ อยกู ลางดวงสมาธิ ถูกสวนเขาๆ ดวงปญญา หยุดอยูกลางดวงปญญา ถกู สวนเขา ๆ ถงึ ดวงวมิ ตุ ติ หยุดอยูก ลางดวงวิมตุ ติ ถกู สว นเขา ดวงวิมตุ ติญาณทัสสนะ หยดุ อยูกลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถกู สวนเขาๆ ถึงกายธรรม รปู พระปฏมิ ากรเกตดุ อกบวั ตมู ใสเหมอื นกระจกสอ งเงาหนา กาย นนั้ แหละไปนพิ พานได พอถกู สว นพอทาํ ใหชํานาญก็ไปนิพพาน ได แตไ ปนพิ พานไดไ มส ถู นดั ไมส คู ลอ งนกั ตอ งทาํ ใหเ ลยกวา นี้ไป อกี ใจกายธรรมกห็ ยดุ อยกู ลางดวงธรรม ทที่ าํ ใหเ ปน ธรรมกาย ใจ กายธรรมหยุดอยูศูนยกลางที่ทาํ ใหเ ปน ธรรมกาย หยดุ นง่ิ พอถกู สว นเขา ๆ ถึงดวงศีลดวงใหญ ดวงธรรมทที่ าํ ใหเ ปนธรรมกายน่ัน วัดผาเสนศูนยกลาง เทาหนาตักธรรมกาย หนาตักธรรมกาย หยอนกวา ๕ วา แตไ มถงึ ๕ วา แตวาโตกวา มนษุ ยธ รรมดาแต วาหยอ นกวา ๕ วา ไมถึง ๕ วา ถา วา หนา ตักธรรมกายเทา ไหน ดวงธรรมท่ีทําใหเปนธรรมกายก็เทาน้ัน ใจของกายธรรมก็หยุด อยกู ลางดวงธรรมนนั้ พอถูกสว นเขา ๆ ถึงดวงศีลเทาดวงธรรมท่ี ทําใหเ ปน ธรรมกายนนั้ ใหญออกไป ถา วา ๔ วา ก็ ๔ วา ดวยกัน เกือบถงึ ๕ วา ก็เกอื บถงึ ๕ วาดวยกัน ใหญข นาดนน้ั หยุดอยู ศูนยกลางถูกสวนเขา หยุดอยูศูนยกลางดวงศีลเขาก็เขากลาง 72 72

ของใจทหี่ ยดุ น่นั แหละ กลางของกลางๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ทอี่ ื่น ไมไป ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงสมาธิ หยุดอยูกลางดวงของสมาธิ พอใจหยุดก็เขา กลางของใจท่หี ยดุ นั่น กลางของกลาง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงปญญา หยดุ อยกู ลางดวงปญ ญา นนั่ แหละ พอถกู สว นเขา ๆ กลางของใจทหี่ ยดุ นน่ั แหละ พอใจหยดุ ก็เขากลางของใจที่หยุดนนั่ แหละ กลางของกลาง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พอถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติ หยุดอยูก ลางดวงวมิ ุตติน่ันแหละ มีใจหยุดกเ็ ขากลางของใจที่หยุดนัน่ แหละ กลางของกลางๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ถูกสวนเขาก็ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยูกลางดวง วิมุตติญาณทัสสนะน่ันแหละ พอถูกสวนเขากลางของกลาง หนกั เขา ไป เขา กลาง ของใจทหี่ ยดุ อยูน ัน่ กลางของกลางๆ ๆ ๆ ๆ พอถูกสวนเขาๆ ถึงกายธรรมละเอียดหนาตัก ๕ สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักข้ึนไป ใสเกินใสๆ หนักข้ึนไปใจของ ธรรมกายละเอยี ดหยดุ อยศู นู ยก ลางดวงธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน กายธรรม หยดุ อยนู นั่ พอถกู สว นเขา ในกลางดวงนน่ั เขา ถงึ ดวงศลี วดั ผา เสน ศนู ยกลาง ๕ วา แบบเดยี วกนั กลมรอบตัวหยดุ อยกู ลางดวงศลี ถูกสวนเขา ๆ ถึงดวงสมาธิ ๕ วาเหมอื นกนั วัดผาเสน ศูนยกลาง ๕ วา กลมรอบตวั เหมอื นกนั หยดุ อยกู ลางดวงสมาธิ ถกู สว นเขา ๆ ถึงดวงปญ ญา วัดผา เสนศูนยกลาง ๕ วากลมรอบตวั เหมือนกัน หยุดอยูกลางดวงปญญาถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติ วัดผาเสน ศูนยกลางกลมรอบตัวเหมือนกัน หยุดอยูศูนยกลางดวงวิมุตติ ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ วดั ผา เสน ศนู ยก ลางกลม 73 73

รอบตวั เหมอื นกนั หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ถกู สว น เขาๆ ถงึ กายธรรมพระโสดาหนา ตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตดุ อกบวั ตูม ใสบรสิ ทุ ธห์ิ นกั ขน้ึ ไปคราวน้ีไปนพิ พานสะดวกละ ไปไดค ลอ งแคลว จะไปเทาไรก็ได อยูไดนานเทาไรก็ได อยูจนกระทั่งท้ังวันก็ได ไมเปนไร เมื่อถึงพระโสดาเขาแลวอยูสบาย ใจกายพระโสดา หยดุ นงิ่ อยศู นู ยก ลางของดวงธรรมทท่ี าํ ใหเ ปน พระโสดา ถกู สว นเขา ก็เขาถึงดวงศีล วัดผาเสนศูนยกลาง ๕ วา กลมรอบตัว หยุดอยูศูนยกลางดวงศีลถูกสวนเขาๆ ถึงดวงสมาธิวัดผาเสน ศูนยกลาง ๕ วา กลมรอบตัว หยุดศูนยกลางดวงสมาธิ ถูกสวนเขาๆ ถงึ ดวงปญ ญา วัดผา เสนศนู ยกลาง ๕ วา กลมรอบตวั หยุดอยศู ูนยก ลางดวงปญญา ถกู สว นเขา ๆ ถึงดวงวมิ ตุ ติ วัดผา เสนศูนยกลาง ๕ วา กลมรอบตัวเหมือนกันหยุดอยูศูนยกลาง ดวงวิมุตติ ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ วัดผาเสน ศูนยกลาง ๕ วา กลมรอบตัวเหมือนกันหยุดอยูศูนยกลางของ ดวงวิมุตตญิ าณทัสสนะ ถูกสว นเขาๆ กลางของหยุด ๆ ๆ หนัก เขาๆ ถึงกายพระโสดาละเอียดหนาตัก ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไปๆ ใจของกายพระโสดาละเอียด หยดุ อยศู นู ยก ลางของดวงธรรม ทที่ าํ ใหเ ปน กายพระโสดาละเอยี ด พอถกู สวนเขาๆ ถึงดวง ศีล วัดผา เสน ศูนยกลาง ๑๐ วา กลม รอบตัว หยุดอยูศูนยกลางดวงศีลถูกสวนเขาๆ ถึงดวงสมาธิ วัดผาเสนศูนยกลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว หยุดอยูศูนยกลาง ดวงสมาธถิ กู สว นเขา กเ็ ขา ถงึ ดวงปญ ญา วดั ผา เสน ศนู ยก ลาง ๑๐ วา 74 74

กลมรอบตวั หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงปญ ญา ถกู สว นเขา ถงึ ดวงวมิ ตุ ติ วัดผาเสนศูนยกลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว หยุดอยูศูนยกลาง ดวงวิมุตติ ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ วัดผาเสน ศนู ยก ลาง ๑๐ วา กลมรอบตวั ใจหยุดอยศู ูนยกลางดวงวมิ ตุ ติ ญาณทัสสนะ ถูกสวนเขา ๆ ถึงกายพระสกิทาคาหนา ตกั ๑๐ วา สูง ๑๐ วา เกตุดอกบัวตูมใสหนักขึ้นไป ใจของพระสกิทาคา หยดุ นิ่งอยูในกลางดวงธรรมทีท่ าํ ใหเปนกายพระสกทิ าคา พอถกู สวนเขา ก็เขาถึงดวงศีล วดั ผา เสนศูนยกลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว หยดุ นงิ่ อยกู ลางดวงศลี กเ็ ขา ถงึ ดวงสมาธิ วดั ผา เสน ศนู ยก ลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว หยุดอยศู ูนยก ลางดวงสมาธิ ถกู สว นเขา ดวงปญ ญา วดั ผา เสน ศนู ยก ลาง ๑๐ วา กลมรอบตวั หยดุ อยศู นู ยก ลางปญ ญา ถกู สว นเขาๆ ถงึ ดวงวมิ ตุ ติ วดั ผาเสน ศูนยกลาง ๑๐ วา กลมรอบตวั หยุดอยูศูนยกลางดวงวิมุตติ ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติญาณ ทัสสนะ วัดผาเสนศูนยกลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว หยุดอยู กลางวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกสวนเขาๆ ถึงกายพระสกิทาคา ละเอยี ดหนาตัก ๑๕ วา สงู ๑๕ วา เกตดุ อกบวั ตูมใสหนักขึน้ ไป น่ีไปนิพพานจะสะดวกนักเทียว คลองใจพระสกิทาคา ก็หยุดอยู ศูนยกลางของดวงธรรมท่ีทําใหเปนพระสกิทาคา ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงศีล วัดผาเสนศูนยกลาง ๑๕ วา กลมรอบตัว หยุดอยู ศนู ยก ลางดวงศลี ถกู สว นเขา ๆ ถงึ ดวงสมาธิ วดั ผา เสน ศนู ยก ลาง ๑๕ วา กลมรอบตัว หยุดอยูศนู ยกลางดวงสมาธถิ ูกสว นเขาๆ ถงึ ดวงปญญา วัดผาเสนศนู ยก ลาง ๑๕ วา กลมรอบตัว หยดุ อยู 75 75

ศูนยกลางดวงปญญาก็เขาถึงดวงวิมุตติ วัดผาเสนศูนยกลาง ๑๕ วา กลมรอบตัว หยุดอยูศูนยกลางดวงวิมุตติ ถูกสวนเขาๆ ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ วดั เสนศูนยกลาง ๑๕ วา กลมรอบตวั หยุดอยศู ูนยกลางของดวงวิมตุ ติญาณทสั สนะ ถูกสวนเขา กเ็ หน็ กายพระอนาคา หนาตัก ๑๕ วา สูง ๑๕ วา เกตุดอกบวั ตูมใส หนกั ข้ึนไป ใจของพระอนาคาหยุดอยกู ลางดวงธรรมทที่ าํ ใหเปน พระอนาคา วดั ผาเสนศูนยกลางดวงธรรมนั้น ๑๕ วา กลมรอบตัว หยุดอยูศูนยกลางดวงธรรมท่ีทําใหเปนกายพระอนาคา ถูกสวน เขากเ็ ขา ถงึ ดวงศลี เทากนั หยดุ อยูกลางดวงศลี ถูกสว นเขากถ็ ึง ดวงสมาธเิ ทา กนั หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงสมาธิ ถกู สว นเขา ทถ่ี งึ ดวง ปญญาเทา กัน หยดุ อยศู ูนยกลางดวงปญญาถึงดวงวมิ ุตตเิ ทา กนั หยุดอยูกลางดวงวิมุตติ ถูกสวนเขาก็ถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เทากัน หยุดอยูศูนยกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกสวนเขาๆ ถงึ กายพระอนาคาละเอยี ด หนา ตกั ๒๐ วา สงู ๒๐ วา เกตดุ อกบวั ตมู ใสหนกั ขน้ึ ไป ใจของพระอนาคาละเอยี ดหยดุ อยศู นู ยก ลางของ ดวงธรรม ท่ีทําใหเปนพระอนาคาละเอียดพอถูกสวนเขาก็เห็น ดวงธรรม วัดผาเสนศูนยกลาง ๒๐ วา กลมรอบตัว หยุดอยู ศูนยกลางดวงธรรมน้ัน ถูกสวนเขาก็ถึงดวงศีลเทากัน หยุดอยู กลางดวงศีลก็ถึงดวงสมาธิเทากัน หยุดอยูศูนยกลางดวงสมาธิ ถูกสวนเขาก็ถึงดวงปญญาเทากัน หยุดอยูศูนยกลางดวงปญญา ถูกสวนเขา ก็ถึงดวงวมิ ตุ ติ หยดุ อยกู ลางดวงวมิ ุตติ ถูกสว นเขา ก็ ถงึ ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ 76 76

ถูกสวนเขา ๆ ถึงกายพระอรหัตต หนาตกั ๒๐ สูง ๒๐ วา เกตุ ดอกบวั ตมู ใสหนกั ข้ึนไป ใจของพระอรหตั ตหยุดน่ิงอยูศนู ยก ลาง ของดวงธรรมที่ทาํ ใหเ ปนพระอรหตั ต วดั ผา เสน ศูนยกลาง ๒๐ วา กลมรอบตวั หยุดอยูศูนยกลางดวงธรรมที่ทาํ ใหเปนกายพระอรหตั ต ถกู สวนเขา ๆ ถึงดวงศีลเทากนั หยุดอยูศูนยก ลางดวงศีล ถกู สว น เขา กถ็ งึ ดวงสมาธิ หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงสมาธิ ถกู สว นเขา กเ็ ขา ถงึ ดวงปญ ญา หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงปญ ญา ถกู สว นเขา กถ็ งึ ดวงวมิ ตุ ติ หยดุ อยศู นู ยก ลางดวงวมิ ตุ ติ ถกู สว นเขา กถ็ งึ ดวงวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ ดวงเทาๆ กัน หยุดอยกู ลางดวงวมิ ุตตญิ าณทสั สนะ ถกู สวนเขา กถ็ งึ กายพระอรหัตตละเอียด หนาตักเลย ๒๐ วา ไปเปนลําดบั ไปอยางนี้เลยเร่ือยข้ึนไปหนักข้ึนไปน่ีเขาถึงพระอรหัตตแลว แตกกายทาํ ลายขนั ธไปนพิ พานทเี ดยี ว เขา ถงึ วริ าคธาตวุ ริ าคธรรมแลว น้ีตัวพระนิพพานทีเดียวๆ เปนนิพพานตัวพระนิพพานเรียกวา กายพระนิพพานไมใชนิพพาน กายพระนิพพาน นิพพาน มีอีกเร่ืองหน่ึง นิพพานเทากับภพสามน่ี เหนือภพสามน่ีข้ึนไป โลกันตเทากับภพสามนี้อยูใตภพสามลงไปแตวาสามช่ัว ระยะสามชั่ว โลกันตก็เทาภพสาม นิพพานก็เทาภพสามน้ี ภพสามน้ีไมใชเ ปน ของเล็กๆ จักรวาฬ ทบ่ี รรทุกอยูในภพสามน้ี แสนโกฏิจักรวาฬนับจักรวาฬไมถวนใหญโตมโหฬารๆ ภพสาม น่ีเปนที่กักขังสัตวไวถึงสามภพ กามภพ รูปภพ ก็อยูใน ภพสามน้ีแหละ กามภพพวกติดตาม ใจถอนจากกามไมได รปู เสยี ง กลน่ิ รส สัมผสั ถอนไมอ อก มันติดมันชมุ ชืน่ ของมนั 77 77

มันมีรสมีชาติแกะไมออก ถอนไมออกติดแนนทีเดียว น่ีตอง เวยี นวา ยตายเกดิ ในภพสามนตี้ ดิ ในกาม ถา ตดิ ในรปู ฌาณตอ งอยู ในรูปภพ ๑๖ ชั้น ถาติดในอรูปฌาณตอ งอยูในอรูปภพ ๔ ช้ัน นเ้ี รยี กวา ภพสามน่แี หละ เรยี กวาไตรวฏั ฏ กรรมวัฏฏ วิบากวฏั ฏ กเิ ลสวฏั ฏ ไตรวฏั ฏล ะ กรรมวฏั ฏน ะ บงั คบั ใหท าํ เรยี กวา กรรมวฏั ฏ วิบากวัฏฏนะทําเขาแลวมันเปนผล ผลน่ันแหละมีกิเลสข้ึน เมื่อทําข้ึนแลว เม่ือทําลงไปมันเปนกรรมเปนกิเลสอยางไร เราทํานาพอไดขาวแลว เปนผลพอไดขาวคิดเปนเงินเปนทอง สรางบานสรางเรือนทีเดียว มีผัวมีเมียทํางานสมรสทีเดียว มันรวยขึ้นไปมันเปนกิเลสข้ึน อยางน้ีเปนกิเลสขึ้นชัดๆ การ กระทําเปนกรรม เปนกรรมวัฏฏ เม่ือมีเม็ดขาวข้ึนแลวเปนผล น่ีแหละวิบากวัฏฏ เปนกิเลสก็คิดในเรื่องร่ํารวย สรางบาน สรางเรือนกันตอไป นั่นเปนกิเลสวัฏฏ เหมือนเราเปนมนุษย อยากจะเปนเทวดากับเขาบาง ก็ทําไปในเรื่องเทวดา นั่นเปน กรรมวัฏฏ ไปเปนเทวดาสมความปรารถนา เปนวิบากวัฏฏ พอเปนเทวดาแลวก็มีกิเลสในเร่ืองกิเลสของเทวดาตอไปอีก น่เี ปนกเิ ลสวัฏฏ กรรมวฏั ฏ วิบากวัฏฏ กเิ ลสวัฏฏเ หลา นี้ ถาไมไปนิพพานพนไมได อยูในภพสามน่ี ภพสามนี่ สาํ หรับกกั สัตวทีท่ าํ ดีทําช่วั ทําไมด ีไมชวั่ ดีๆ ชวั่ ๆ ครงึ่ ๆ กลางๆ กันเหลานี้แหละ ไมดีลว นไมช ั่วลว น ถา ดีลวน เสียไมมชี ัว่ เจอื ปน เลย เทาเสน ผมเสนขน น่ันก็ไปนิพพาน ถา วา ชว่ั ลวนไมด เี ขาไป เจือปนเลยเทาเสน ผมปลายขน แตกกายทาํ ลายขันธก ็ไปโลกนั ต 78 78

ชั่วลวนทีเดียว ดีลวนก็ไปนิพพานช่ัวลวนก็ไปโลกันต ดีๆ ชั่วๆ ก็อยูในภพสามน่ี กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่ไมจบไมแลว เพราะฉะนั้นท่ีเราอยูน ้ี ไมใชบานเมืองของเราหนา อยาเขาใจวา อยตู ลอดหนา มาชว่ั คราวหนง่ึ แลว กต็ อ งไปกนั ทง้ั นนั้ แหละ เมอื่ จะ ทาํ อะไรทาํ เสยี เมอื่ จะใหศ ลี บรสิ ทุ ธๆิ์ เสยี ในศลี ๕ ใหเ ปน สงั สทุ ธนยี  เมื่อจะใหศีลบริสุทธ์ิๆ เสียศีล ๘ ใหเปนสังสุทธนีย เมื่อจะให ศลี ๑๐ บริสุทธ์ๆิ เสยี เปน สงั สุทธนยี  เหลวไหลไมได เมือ่ ใหศลี ๒๒๗ บริสุทธ์ิๆ เสียใหเปนสังสุทธนีย จะเหลวไหลไมได ตอง แตกกาย ทําลายขันธท้ังน้ัน เม่ือศีลบริสุทธิ์แลวก็จะไดไปสูทาง พระนิพพานดังกลาวแลว เขาถึงตนศีลทีเดียว เขาถึงดวงศีล สมาธิ ปญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เปนลําดับไป จนกระท่ังทางไปนิพพานเปนช้ันๆ แตวาตองหยุด หยุดอยู ศูนยกลางดวงธรรมท่ีทําใหเปนกายมนุษย น่ีเขาถึงกายทิพย ละเอียด กายรูปพรหม รูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด กายธรรม กายธรรมละเอียด โสดา โสดา ละเอียด สกิทาคา สกิทาคาละเอียด อนาคา อนาคาละเอียด อรหัตต อรหัตตละเอียด พอถึงพระอรหัตต ก็ไปนิพพานอยาง ไมมีปญหาอะไรละ นี่แหละทางไปพระนิพพานแทๆ ทางอ่ืน ไมมี อยาเขาใจผิดไป ถาเขาใจวาในมนุษยโลกน้ีเปนบานเมือง ของเราเปนเมืองของเราละก็เสร็จ มัวหลงไหลอยูเชนน้ันก็ เสร็จกนั นน่ั แหละจงึ ไดแกเปลาไดด ว ยกันเอาอะไรไมได 79 79

เพราะเหตวุ า โงเ ขลาเบาปญ ญา การคดิ การอา นเปน ทางไป ของคนพาลไปไมใชทางของบัณฑิต ทางของบัณฑิตก็บริสุทธ์ิ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เปนสังสุทธนีไมมีราคีแลวก็ทําทาง ไปพระนพิ พานทเี ดยี ว ไมม ที างอน่ื วดั ปากนาํ้ มมี ากแลว นะ ทาํ ทาง ไปพระนพิ พานกัน ไปถึงพระนพิ พานกม็ ากแลว นม่ี ตี วั อยางแลว เปนอเนกอนันต เพราะเหตุนั้นทานทั้งหลายเมื่อไดพากันมาสดับหนทาง ทง้ั สองประการ หนทางบณั ฑติ หนทางของคนพาล ทง้ั สองประการน้ี ใหละเสียในทางพาล เปนปหาตัพพธรรมเสีย ใหเจริญขึ้น หนทางของบัณฑิต ใหเปนภาเวตัพพธรรม ท่ีช้ีแจงแสดงมาน้ี ตามวาระพระบาลี คลค่ี วามเปน สยามภาษา พอสมควรแกเวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ดวยอํานาจความสัจจ ที่ไดอางธรรมปฏิบัติ ต้งั แตตนจนอวสานนี้ ขอความสุขสวัสดีจงบังเกดิ มแี ตทา นทัง้ หลาย บรรดามา สโมสรในสถานทนี่ ที้ กุ ถว นหนา รตนตตฺ ยานภุ าเวน ดว ยอานภุ าพ รตั นทง้ั สามคอื พทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรตั นะ ทง้ั สามประการนี้ จงดลบันดาลความสุขสวัสดิ์ ใหอุบัติบังเกิดแดทานทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานทน่ี ้ี ทกุ ถว นหนา อาตมภาพนแี้ จงแสดงมา พอสมควรแกเวลา สมมติวายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความ เพียงเทา นี้ ฯลฯ เอวํ ก็มีดว ยประการฉะนี้ 80 80

81

82

เทศนำ เร่ือง มงคลสตู ร แสดงโดย พระภำวนำโกศลเถระ ๒๓ กันยำยน พ.ศ. ๒๔๙๖ นโม ตสฺส ภควโต ฯลฯ พาหุสจฺจฺจ สิปฺปฺจ วินโย จ สสุ ิกฺขโิ ต สภุ าสติ า จ ยา วาจา เอตมมฺ งคฺ ลมตุ ตฺ มนฺตฯิ ณ บดั นี้ อาตมภาพจกั ไดแ สดงธรรมกิ า แกด ว ยมงคลสตู ร สูตรแสดงเหตุเคร่ืองถึงซ่ึงความเจริญเรื่องน้ีไดดําเนินมาแลว ๒ พระคาถา วนั นีเ้ ปน พระคาถาท่ี ๓ ตามลําดบั ลงมา จะชแ้ี จง แสดงตามวาระพระบาลคี ลค่ี วามเปน สยามภาษาตามมตั ยาธบิ าย พอเปนเคร่ืองปฏิการสนองประคองศรัทธาประดับสติปญญา คณุ สมบตั ขิ องทา นผพู ทุ ธบรษิ ทั ทงั้ คฤหสั ถ บรรพชติ บรรดามาสโมสร 83 83

เพอ่ื ทําสวนกิจ ในสถานที่นที้ ุกถวนหนา เร่ิมตนแหง พระสตู รวา พาหุสจฺจฺจ ความเปนผูไดยินไดฟง ไดเลาเรียนศึกษามาก สิปฺปฺจ ความเปนผูมีศิลปวิทยามาก ไดศึกษาแลว วินโย จ สสุ ิกขฺ ิโต เปน ผูมวี นิ ัยอันศกึ ษาดีแลว สภุ าสิตา จ ยา วาจา มีวาจาอันเปนสุภาษิต มงคล ๔ ขอนี้ เปนเหตุเครื่องถึงซึ่ง ความเจรญิ อนั สงู สดุ หรอื เปน มงคลอนั อดุ ม เปน ทนี่ ยิ มทกุ ถว นหนา ทุกหมูเหลา เพราะเหตุนั้นเราทานทั้งหลาย เม่ือไดมาประสบ พบพุทธศาสนามารูจักมงคลคาถา หนทางเส่ือมหนทางเจริญ ไดเ ชน นแ้ี ลว จงดาํ เนนิ ตามขอมงคลนี้เปน ลาํ ดบั ไป พาหสุ จจฺ จฺ ความเปนผูไดยินไดฟงมาก เกิดมาเปนมนุษยเปนบุรุษสตรี จาํ เดมิ แตน อ ยมา หญงิ กด็ ี ชายกด็ ี ตอ งเลา เรยี นศกึ ษาตามหนา ท่ี หญิงก็ตองเลาเรียนศึกษาวิชาของหญิงตลอดไป ชายก็ตอง เลา เรยี นวชิ าของชายตลอดไปจนกระทงั่ ไดป รญิ ญา ในหนา ทน่ี น้ั ๆ นี่ในทางโลกการเลาเรียนศกึ ษาก็ไดเชือ่ วา เปน พหสู ตู รพวกหน่งึ ในทางธรรมเมอื่ เปน อบุ าสก อบุ าสกิ า ภกิ ษุ สามเณร ในพทุ ธศาสนา กต็ อ งเลา เรยี นศกึ ษาสดบั รบั ฟง ในเรอื่ งธรรมวนิ ยั ของพระบรมศาสดา ตง้ั ตน แตพ ระวนิ ยั พระสตู ร พระปรมตั ถ เปน ลาํ ดบั มา ในปฎ กทงั้ ๓ ในพระวินัยใหเลาเรียนในเร่ืองศีล ใหรูจักเรื่องศีลในพระสูตร ใหเลาเรียนในเรื่องสมาธิ รูจักในเร่ืองสมาธิในปรมัตถปฎก ใหเลาเรียนในทางปญญา ใหรูจักในเร่ืองปญญา ๓ ปฎกน้ีเปน วชิ าในพทุ ธศาสนา ถา ยน ยอ สกลพทุ ธศาสนาลงไว ไมท าํ ความชว่ั 84 84

ดวยกาย ดวยวาจา ดวยใจน่ีก็เปนพุทธศาสนา ยังกุศลธรรม ใหม ีใหเ ปน ขนึ้ ใหส มบรู ณข นึ้ ทง้ั กาย วาจา ใจ นก่ี เ็ ปน พทุ ธศาสนา ทาํ ใจของตนใหผ อ งใสนกี้ เ็ ปน พทุ ธศาสนารวม ๓ ขอ น้ี เปน โอวาท ของพระศาสดา ทัง้ อดตี ปจจบุ นั อนาคต ยนื ยนั เหมือนกันหมด ปรากฏดังน้ี ถาเขาใจดังนี้ก็ไดชื่อวา เปนพหูสูตร แตวาความ เปนพหูสูตรนก้ี วา งไมใชเปน แคบ ตองเปน คนรูจักเดยี งสาทีเดียว ตองเลาเรียนจริงๆ เปนชายก็ตองมีวิชาของชาย ต้ังตนแตอยู กับมารดา บิดา เลาเรียนศึกษาตามหนา ที่ จนกระทัง่ จบปริญญา ถาจบปริญญาแลวหาวิชาพิเศษเปนเกล็ดของวิชาใหสําเร็จใน วิชาน้ันๆ ใหเลี้ยงชีพของตนได ตั้งเน้ือต้ังตัวได ก็นี่ตองอาศัย ความเปนพหูสูตร หญิงก็ต้ังอยูในปกครองของมารดาบิดา ตอ งทาํ ตามโอวาทของมารดาบิดาแนะนาํ ส่ังสอน ดวยประการใด ตองเลาเรียนศึกษาอุตสาหจนกระท่ังถึงจบปริญญา เมื่อจบ ปรญิ ญาแลว หาวชิ าพเิ ศษ ใหส าํ เรจ็ เลย้ี งชพี ของตนใหไ ด เมอ่ื สาํ เรจ็ เลย้ี งชพี ของตนไดก ็ไดช อื่ วา เปน พหสู ตู ร พหสู ตู รในทางพทุ ธศาสนา ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เร่ิมตน ก็ตองเลาเรียนเรื่อง ศีลกัน ใหร ูจ ักหลกั ของศีล ศีล ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ ศีล ๒๒๗ รจู ักศีล นนั่ เบอ้ื งตน ศลี นน่ั ทา มกลาง ศลี นนั่ เบอื้ งปลาย เบอ้ื งตน ทา มกลาง เบ้ืองปลายของศีลรูตลอด รูเหตุรูผลทีเดียว รูวารักษาศีลเพื่อ ประโยชนอ ะไร เพอ่ื ประโยชนก าํ จดั กเิ ลส คน่ั หยาบ แลว กเ็ ลา เรยี น ศกึ ษาสมาธิ เบือ้ งตน ของสมาธิ ทา มกลางของสมาธิ เบือ้ งปลาย 85 85

ของสมาธิ ใหรูจักเหตุผลของสมาธิ เม่ือเลาเรียนสมาธิแลว ตองการอะไรก็เพ่ือกําจัดกิเลสค่ันกลาง เรียกวาปริยุฏฐานกิเลส ตั้งขึ้นโดยรอบของจิต ทําจิตใหแปรผันเปนไปใหเลาเรียนศึกษา ในทางปญญา น่ีเบื้องตนของปญญา ทามกลางของปญญา เบ้ืองปลายของปญญา นี่เหตุผลของปญญาเปนดังนี้ เมื่อรูจัก ทางปญ ญาชาํ นิชํานาญเขาใจแลว วาเรยี นปญ ญานี้ตอ งการอะไร เพอ่ื กาํ จดั กิเลส คัน่ ปลาย คัน่ ละเอียด เรียกวา อนุสยั กเิ ลส กเิ ลส มี ๓ ชนดิ กิเลสเบ้อื งตน ทามกลาง เบือ้ งปลาย เม่อื รูจ ักเทาทนั พอสมควรแกปญญาของตนแลว โดยยอดังน้ีก็ไดชื่อวา เปนผู ไดยนิ ไดฟง มากไดศ ึกษามาก ถา จะศกึ ษาเอาจรงิ เอาจงั ตวั อยา ง ก็ตองเหมือนพระอานนท รูธรรมของสมเด็จพระทศพลตั้งแต ตนจนอวสาน พระองคตรัสเทศนา ณ ท่ีไหน พระอานนทรู ทกุ สงิ่ ทกุ ประการ ถา วา พระอานนทไมไ ดอ ยใู นทนี่ น้ั ดว ย พระศาสดา ตองมาแสดงแกพระอานนทอีกกัณฑหนึ่ง ดังที่แสดงแลวน้ัน ทุกกณั ฑไป เพราะพระอานนทต ง้ั แตรับเปนพทุ ธปฎฐาก ขอพร ตอ พระศาสดาวา พระองคต รสั เทศนา ณ สถานทใี่ ด ถา ขา พระพทุ ธเจา อยู ณ ทน่ี น้ั ดว ยกเ็ ปน อนั ขา พระพทุ ธเจา ไดฟ ง แลว ถา วา ขา พระพทุ ธเจา ไมไ ดอ ยู ณ ทน่ี น้ั ดว ย มไิ ดฟ ง ธรรมเทศนาของพระองค ขา พระองค ขออาราธนาพระองคจงอนุเคราะหขาพระพุทธเจาตรัสเทศนาอีก ครัง้ หน่ึง พระอานนทขอพรไวดังนี้ พระศาสดาก็ใหพร พระอานนท เปนพหูสูตรแทๆ เรียกวา พหุสจฺจฺจ เปนผูไดยินไดฟงมาก 86 86

ไดศึกษามาก ทรงจํามาก อยูกับพระอานนท พระบรมทศพล เม่ือพราหมณคนหนึ่ง อยูในเมืองราชคฤห สงสัยในเร่ือง บริจาคทานแกพระธรรม คิดแตในใจของตนวาทานไดถวายแก พระพุทธเจาก็หลายคร้ังหลายหน ถวายแกพระสงฆก็หลายคร้ัง หลายหน แตสวนจะถวายทานแกธรรมบาง จะถวายทานในที่ เชน ไรหนอ จงึ จะไดชื่อวา ถวายทานแกธรรม พราหมณคิดไมตก ในใจของตัวไมหายสงสัย เสฺว ในเวลารุงเชา เอโก พราหฺมโณ พราหมณผ หู นง่ึ นน้ั ไปเฝา สมเดจ็ พระผมู พี ระภาคเจา ทวี่ หิ ารเวฬวุ นั ครั้นไปถึงแลวจึงกราบบังคมพระผูมีพระภาคเจาสถิตประดิษฐาน ณ ท่คี วรสว นขางหน่ึงพระพทุ ธเจา ขา พระพุทธเจา จะถวายทาน แดพ ระธรรม ไมรจู ะถวายทานแกใคร ในที่เชน ไร จงึ จะไดช อื่ วา ถวายทานแดพระธรรม พระองคก็ทรงแนะนําพราหมณน้ันวา พราหมณ ถามุงมาตรปรารถนาจะถวายทานแกพระธรรมแลว จงถวายทานแกทานผูเปนพหูสูต จัดไดช่ือวาถวายทานแก พระธรรม พราหมณก ถ็ ามอกี ใครเลา พระพุทธเจาขา เปน พหสู ูต พระบรมศาสดาทรงรับสั่งวา พระสงฆรูจักท้ังน้ัน ทานองคไหน เปนพหูสูต ใหไปถามพระสงฆ พราหมณอําลาพระบรมศาสดา จากสาํ นกั พระบรมศาสดาไปยงั สาํ นกั ของพระสงฆ ไปถามพระสงฆ เจาขา ทานองคไหนเปนพหูสูต พระสงฆบอกเปนคําเดียวกันวา พระอานนทเปนพหูสูต พราหมณก็นอมไตรจีวร ถวายแก พระอานนท มคี า พนั กหาปานะ นนั้ ไดช อื่ วา ถวายทานแดพ ระธรรม 87 87

ตัวอยางทานผูเ ปนพหูสูต คอื พระอานนท เราเปนภกิ ษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มาประพฤติปฏิบัติในพระศาสนา ในคําวา พาหุสจฺจฺจ เปนท่ีปรารถนาของเราทุกถวนหนา อยา เปน คนเกยี จครา นหาสมควรไม ตอ งหมน่ั เลา เรยี นศกึ ษาทเี ดยี ว หมนั่ สดบั ตรับฟง หม่ันดูตาํ ราแบบแผนใหเปน คนรูเขา ใจในเรื่อง ศีล ๕ ศลี ๘ ศีล ๑๐ ศลี ๒๒๗ ใหเขา เนอ้ื เขาใจ และใหรูจกั สมาธิ ใหรูจักเร่ืองจิตเร่ืองเจตสิกเหลานี้ใหเขาใจ ในเรื่องทําสมาธิให เขา ใจทเี ดยี ว ใหถ กู ใหร จู กั ทางปญ ญาเปน ลาํ ดบั ไป วา ทางปญ ญา อะไรใหร ใู หเขา ใจในเร่อื งปญญาทเี ดียว ใหชาํ นชิ าํ นาญ น่ันแหละ เหมือนทานท่ีไดเลาเรียนศึกษาเปนภิกษุ สามเณร เลาเรียน คนั ถธรุ ะ ในเรอื่ งนกั ธรรมชน้ั ตรี ชน้ั โท ชนั้ เอก นกี้ เ็ รม่ิ เปน พหสู ตู แลว เรยี นหนักเขาๆ ไดนักธรรมชั้นตรี ชัน้ โท ชั้นเอก นีก่ เ็ ปนพหสู ูต ตามกาลสมัยแลว เปนเปรยี ญ ๓ ๔ ๕ ๖ ข้ึนไป ๗ ๘ ๙ ข้นึ ไป นน้ั ก็ไดช ือ่ วา เปนพหสู ูตในประเทศไทยแลว ถงึ ๓ ประโยคแลว ก็เปนพหูสูตแลว ไดเปนคนไดยินไดฟงมาก ไดศึกษามากแลว เปน คนมคี วามรหู ลกั ฐานแลว รฐั บาลยกยอ งเชดิ ชแู ลว วา พหสุ ตุ โฺ ต เปนพหูสูตถาวาย่ิงกวาน้ันตองดูพระไตรปฎกใหจบ ดูพระวินัย พระสูตรพระปรมัตถ ใหเขาใจในเร่ือง พระวินัย พระสูตร พระปรมัตถ ใน ๓ ปฎกน้ี ดูเขาใจก็ตัดสินตัวเองได พหุสุตฺโต เปนพหูสูตเหมือนพระอานนทแลว ใหทรงไวไดบอกกลาวได ดูแลวไมเขาใจไมได ดูแลวตองใหเขาใจ ทรงไวได บอกได 88 88


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook