พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวดั ปากนา�้ ผู้ค้นพบวชิ ชาธรรมกาย a1
สมเดจ็ พระมหารชั มังคลาจารย (ชว่ ง วรปุ ฺโ ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดปากน�้า เขตภาษเี จรญิ กรุงเทพฯ a2
คา� ช้ีแจง คณะผจู้ ดั ทา� ไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื เทศนาตา่ งเรอ่ื งของพระมงคลเทพมนุ ี ในวาระครบ ๑๐๐ ป วิชชาธรรมกาย เพ่ือรวบรวมพระธรรมเทศนาของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน�้า พระมงคลเทพมุนีที่ทางคณะผู้จัดท�า ไดค้ น้ พบเพม่ิ เตมิ นอกเหนอื จากพระธรรมเทศนา จา� นวน ๖๗ กณั ฑ ์ ทจ่ี ดั พมิ พ์ กนั มาแลว้ เพราะคณะผจู้ ดั พมิ พเ์ หน็ ความสา� คญั อยา่ งยงิ่ ของพระธรรมเทศนา ท่คี ้นพบได้น ี้ จงึ น�าไปกราบเรียน ทา่ นพระครูไกรสรวลิ าส (ณัฐนันท์ กลุ ศริ ิ) รองพระอาจารย์ใหญฝ่ า่ ยวปิ สั สนาธรุ ะ วดั ปากนา�้ ภาษเี จรญิ เพอ่ื ขอคา� แนะนา� การจัดพิมพ์ จนกระท่ังเป็นหนังสือเทศนาต่างเร่ือง พระมงคลเทพมุนี ในวาระครบ ๑๐๐ ป วิชชาธรรมกาย เล่มน้ ี โดยไดเ้ รยี บเรยี งเนอื้ หาแบง่ ออก เป็นสส่ี ว่ น ประกอบดว้ ย a3
ส่วนแรกเป็นพระธรรมเทศนา โดย เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหารัช- มังคลาจารย์ (ชว่ ง วรปญุ ฺโญ ป.ธ.๙) สว่ นทส่ี อง เปน็ ประวตั ขิ องพระเดชพระคณุ พระมงคลเทพมนุ ี(หลวงพอ่ วัดปากน้า� ) และการสอนภาวนาวชิ ชาธรรมกาย สว่ นทส่ี าม เปน็ พระธรรมเทศนาของพระเดชพระคณุ พระมงคลเทพมนุ ี (หลวงพอ่ วดั ปากนา�้ ) เรอื่ งวชิ ชาธรรมกาย ซงึ่ เปน็ บทเทศนท์ ท่ี รงคณุ คา่ ยงิ่ นกั จากหนังสืออุปกรณ์กัมมัฏฐาน โดยหลวงวิศาลดรุณกร เรียบเรียงค�าเทศน์ สอนของหลวงพ่อ เม่ือวันท่ี ๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๙ เป็น พระธรรมเทศนาเก่าทส่ี ดุ ที่ได้บนั ทึกกนั ไว้ สว่ นท่สี ี่ เป็นพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมนุ ี จ�านวน ๖ กัณฑ์ ท่ีค้นพบได้เพิ่มเติมจากหนังสือ ๓ เล่ม คือ เล่มที่ ๑ หนังสือร่มโพธิ์ พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนายสุธน จึงแย้มปิ่น a4
๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ จา� นวน ๔ กณั ฑ ์ ดังน้ี เรือ่ งท ่ี ๑ เทศนาเรอื่ งอรยิ ธนกถา วนั ท ่ี ๗ กมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ เร่อื งที่ ๒ พระธรรมเทศนาของพระเดชพระคณุ ท่านเจา้ คณุ ภาวนาโกศลเถระ วันท ่ี ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๗ เร่ืองท่ ี ๓ เทศนาเรอ่ื งมงคลสตู ร วนั ท ่ี ๒๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๙๖ เร่อื งท ี่ ๔ เทศนาเรอ่ื งของหาไดย้ าก วนั ท ี่ ๒๑ กมุ ภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ เล่มที่ ๒ หนังสืออนุสรณ์คุณแม่พิศ อารัมภีร ๒๑ ส.ค. ๒๕๑๙ จ�านวน ๑ กัณฑ์ (เทศนาเร่ืองพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเป็นเหตุให้เกิดสุข วนั ท่ ี ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗) และเลม่ ท ี่ ๓ หนงั สอื เทศนาตา่ งเรอื่ งของพระมงคลเทพมนุ ี (หลวงพอ่ วดั ปากนา้� ภาษเี จรญิ ธนบรุ )ี อนสุ รณ์โยมจนิ ตนา บรุ ารกั ษ ์ ๗ เมษายน ๒๕๐๙ จ�านวน ๑ กัณฑ์ (เทศนาเร่ือง ภทฺเทกรตฺตคาถา ตามวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗) ด้วยกุศลผลบุญในการจัดท�าหนังสือเพื่อเผยแผ่วิชชาธรรมกายน้ี ขอจงเปน็ เหตใุ หไ้ ดเ้ ปน็ ไปเพ่ือบรรลมุ รรคผลเข้าส่นู พิ พานเทอญ \"นิพพฺ านปจฺจโย โหต\"ุ คณะผจู้ ัดพิมพ์ คณะผปู้ ฏบิ ัตธิ รรมบา่ ยวันพฤหัสบดี หอสงั เวชนยี มงคลเทพนิรมติ วัดปากนา้� ภาษเี จริญ กรงุ เทพมหานคร นายนพดล ฐิตพิ งษพ์ านิช บุตร ธดิ า หลาน ญาตมิ ิตรของคณุ พอ่ กิมเฮง คณุ แม่หนู แซล่ ้ี พิมพ์ที ่ : เมอื งราชการพิมพ์ จ.ราชบุรี ๐๓๒-๓๒๓๗๗๗, ๐๘๕-๑๙๓๗๒๗๙ a5
พระนิพพานนี้ทรงประทบั เขา้ นโิ รธ สงบกนั ตลอดหมด เพราะความเขา้ นิโรธนี้ เปน ความสขุ อยา่ งยิ่ง และความท่อี ยู่ในนิพพาน มกี ายอนั ย่ังยืนนเี้ องทา่ นจงึ ได้กลา่ ววา่ “นพิ พานํ ปรมํ สขุ ”ํ หนังสอื ค่มู ือสมภาร หลวงพอ่ วัดปากนา�้ a6
เอกสารอา้ งองิ คา� นพิ พาน ทีป่ รากฏในพระไตรปิฎก จากหนังสอื คมู่ อื สมภาร หลวงพ่อวดั ปากน�้า คา� นา� อุบาสิกานวรัตน์ หิรัญรักษ์ อุบาสิกาสมทรง สุดสาคร และ น.ส.ฉลวย สมบตั สิ ขุ เปน็ ศษิ ยเ์ รยี นและปฏบิ ตั เิ จรญิ กมั มฏั ฐาน ในสา� นกั พระครสู มณธรรมสมาทาน วดั ปากนา�้ ภาษเี จรญิ จงั หวดั ธนบรุ ี ได้เขียนเร่ืองวิธีเจริญกัมมัฏฐานที่ตนได้ศึกษาปฏิบัติมา ถวายเจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหาร เพอื่ ทรงอา่ น แตเ่ พราะเปน็ เวลาทป่ี ระชวร แพทยห์ า้ มใชค้ วามคดิ จึงได้มอบใหข้ ้าพเจ้าพจิ ารณาปฏบิ ตั ิการตามแตจ่ ะเห็นสมควร ข้าพเจ้าได้อ่านดูแล้ว เห็นว่าการปฏิบัติธรรมอันเป็นไป ในทางจิต ก็มุ่งหมายเพื่อท�าจิตให้สงบอย่างสูงก็เพื่อท�าจิตให้ หลุดพ้นจากอาสวกิเลส ส่วนอุบายวิธีท่ีจะท�าจิตให้ถึงความเป็น เช่นนั้น แม้มีพระบาลีพุทธภาษิตแสดงไว้แล้ว แต่อาจารย์ผู้ได้ ศึกษาเล่าเรียนมา เข้าใจความต่างๆ กันไป และก็สอนไปตาม ความรู้ความเห็นและที่ตนได้ปฏิบัติ เม่ือเป็นเช่นนี้จึงได้มี วิธีต่างๆ กัน เท่าท่ีปรากฏอยู่ในเวลาน้ี ก็มากครู มากอาจารย์ มากสา� นกั และในบางแหง่ บางสา� นกั อาจผดิ ไปจากหลกั พระพทุ ธศาสนา ก็ได้ แต่ของใครจะผิดหรือถูกดีหรือไม่ดี ก็แล้วแต่ผู้ที่มีปัญญา a7
จะพงึ พจิ ารณาเลือกถือ เอาตามหลกั พระพุทธศาสนา, เพราะมติ หรือความเห็นของอาจารย์ท่านหน่ึง ไม่เหมือนกัน และธรรม ของพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นธรรมท่ีจะพึงรู้เห็นจ�าเพาะตน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ตรัสมหาปเทสฝ่ายพระสูตร ไว้เป็นหลักแห่งการพิจารณา แดภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ความยอ่ วา่ ถา้ มผี กู้ ลา่ วอา้ งวา่ ภาษติ น ี้ ขา้ พเจา้ ได้ฟังมาแล้วในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคก็ดี, ฟงั มาจากพระเถระผพู้ หสู ตู กด็ ี เปน็ ตน้ , วา่ นเ้ี ปน็ ธรรม นเ้ี ปน็ วนิ ยั นี้เป็นคา� สอนของพระศาสดา ท่านท้งั หลายไม่ควรรบั รองไมค่ วร คัดค้านถ้อยค�านั้น ควรเรียนด้วยดี สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าลงกันในพระสูตรหรือพระวินัยไม่ได้ พึงสันนิษฐานว่าน้ีไม่ใช่พุทธพจน์ เธอจ�ามาผิดไม่ควรถือเอา ถ้าลงกันได ้ พงึ สันนษิ ฐานวา่ น้เี ปน็ พุทธพจน์โดยแท ้ พึงถอื เอา สา� หรบั พระครสู มณธรรมสมาทาน ปรากฏวา่ มศี ษิ ย์ไปศกึ ษา ปฏบิ ตั กิ ม็ าก อบุ าสกิ าทงั้ ๓ ทก่ี ลา่ วนามแลว้ ขา้ งตน้ ไดเ้ ลา่ ใหฟ้ งั วา่ ตนไดป้ ฏบิ ัตติ ามนยั ทแี่ สดงไว้ในหนังสอื เลม่ น้ีจนได้ปรากฏผล เมอ่ื ไดอ้ า่ นตลอดแลว้ จกั นา� ใหเ้ หน็ วา่ การปฏบิ ตั ติ ามแนวนี้ จะเห็นเป็นรูปนิมิตตั้งแต่นรก สวรรค์ จนถึงนิพพานและ พระนิพพาน ๑. ขุ. อ.ุ ๒๕/๒๑๖. ๒. วิ. มหา. ๔/๘. a8
อนง่ึ เรอื่ งพระนพิ พานน ้ี มพี ระบาลแี สดงไว ้ แมใ้ นหนงั สอื น้ี ก็ได้ยกขึ้นกล่าวไว้บ้างแล้ว ในตอนนิพพาน แต่ก็หาหมดไม่, ขา้ พเจา้ จงึ ไดค้ ดั มาไวใ้ นทน่ี ้ี เพอ่ื ทา่ นผอู้ า่ นไดพ้ จิ ารณาอกี สว่ นหนง่ึ ดงั ตอ่ ไปนี้ อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตน�, ยตฺถ เนว ปวี น อาโป น เตโช น วาโย, น อากาสานญจฺ ายตน� น วิญฺญาณญฺจายตน� น อากญิ ฺจญญฺ ายตน� น เนวสญญฺ านาสญญฺ ายตน,� นาย� โลโก น ปรโลโก น อโุ ภ จนทฺ มิ สรุ ิยา, ตมห� ภิกขฺ เว เนว อาคตึ วทามิ น คตึ น ติ ึ น จตุ ึ น อปุ ปตตฺ ึ อปปฺ ตฏิ ฐฺ � อปปฺ วตตฺ � อนารมมฺ ณเมว ต� เอเสวนฺโต ทกุ ขฺ สฺส. ภกิ ษุท้งั หลาย อายตนะน้ันมอี ย ู่ ที่ดิน น�า้ ไฟ ลม ไม่มีแล อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มิใช่ โลกน้ีก็มิใช่ โลกอ่ืนก็มิใช่ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ทั้ง ๒ ก็มิใช่, อนึ่ง ภิกษุท้ังหลาย เราไมก่ ลา่ วเลย ซงึ่ อายตนะนน้ั วา่ เปน็ การมา เปน็ การไป เปน็ การ ตง้ั อยู่ เป็นการจตุ ิ เปน็ การเกดิ , อายตนะนน้ั หาทต่ี ัง้ มไิ ด้ มิได้ เปน็ ไป หาอารมณม์ ไิ ด้ น่ันแลทส่ี ดุ แห่งทกุ ข.์ ๑. อง.ฺ อ.ุ นวก. ๒๓/๔๓๙. a9
คมฺภีโร จาย� ธมฺโม ทุทฺทโส ทุรานุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกกฺ าวจโร นปิ โุ ณ ปณฑฺ ิตเวทนโิ ย. ธรรมน้เี ปน็ สภาพลกึ เหน็ ได้ยาก ตรสั รู้ไดย้ าก เปน็ ธรรม สงบ ประณีต คิดเดาไม่ได้ ละเอียด เป็นวิสยั ทบ่ี ณั ฑติ พึงร.ู้ เอต� สนฺต� เอต� ปณตี � ยทิท� สพพฺ สงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏิ- นสิ สฺ คฺโค ตณหฺ กฺขโย วิราโค นิโรโธ นพิ ฺพาน�. ธรรมชาตนิ นั่ สงบแลว้ ธรรมชาตนิ น่ั ประณตี ธรรมชาตไิ รเลา่ เป็นท่ีสงบแห่งสังขารท้ังปวง เป็นท่ีสละคืนอุปธิท้ังปวง เป็นท่ี สิน้ ตัณหา เปน็ ท่ีสิน้ ราคะ เป็นทีด่ ับคือนพิ พาน. แต่ท่ีได้แสดงไว้ในหนังสือน้ี ก็ปรากฏว่าเป็นวิธีหน่ึง ของ คณาจารย์ผู้หนึ่ง ในทางปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาที่มีผู้นิยม อยู่ส่วนหน่งึ . ขอผู้ได้รับหนังสือน้ีไปอ่านจงพิจารณา และปฏิบัติตาม สมควร. พระสาธุศีลสงั วร (สนธิ์ กจิ จฺ กาโร) วดั บวรนิเวศวิหาร ๒๕ กันยายน ๒๔๙๒ a10
สารบัญ ค�าช้แี จง ค�าน�า เร่ือง หนา้ ๑. พระธรรมเทศนา โดยเจา้ พระคณุ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ ป.ธ.๙) วนั ท่ี ๔ มนี าคม ๒๕๕๔ ณ พระอโุ บสถ วัดปากน�า้ ภาษเี จรญิ กรุงเทพฯ ๓ ๒. พทุ ธภาษิต และคตธิ รรม ของพระมงคลเทพมุนี ๑๐ หลวงพ่อวัดปากน้า� ภาษีเจริญ ธนบุรี ๓. พุทธปริตร มงคฺ ลเทวมุนิปตฺตทิ านคาถา ๑๒ ๔. ประวตั ยิ ่อ ของพระเดชพระคณุ ๑๕ พระมงคลเทพมุน ี (สด จนทฺ สโร) ๕. คา� ชแี้ จงกอ่ นภาวนา ๒๒ วธิ บี ชู าพระ ๒๗ ไหวพ้ ระต่อไป ๒๘ คา� อาราธนา ๒๙ คา� อธษิ ฐานต่อไป ๓๐ วิธีน่งั ตอ่ ไป ๓๐ ๖. เทศนาต่างเรอ่ื ง เร่ืองท่ ี ๑ วิชชาธรรมกาย แสดงโดย ๓๙ พระครูสมณธรรมสมาทาน (สด) วนั ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๙ a11
สารบญั (ตอ่ ) เรอื่ ง หน้า ๖. เทศนาต่างเร่ือง (ต่อ) เร่อื งที ่ ๒ เทศนาเรื่องอรยิ ธนกถา แสดงโดย ๔๕ พระภาวนาโกศลเถระ วันท ่ี ๗ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ เรื่องท ่ี ๓ ธรรมเทศนาของพระเดชพระคณุ ท่าน ๖๓ เจ้าคณุ พระภาวนาโกศลเถระ วันท ่ี ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๗ เรอ่ื งท่ี ๔ เทศนาเร่อื งมงคลสูตร แสดงโดย ๘๓ พระภาวนาโกศลเถระ วนั ที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๖ เรื่องที่ ๕ เทศนาเรอ่ื งของหาได้ยาก แสดงโดย ๑๐๑ พระภาวนาโกศลเถระ วนั ท่ี ๒๑ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๙๗ เรอ่ื งที ่ ๖ เทศนาเร่อื งพระพุทธเจ้าบงั เกดิ ขนึ้ เปน็ เหตุใหเ้ กิดสุข แสดงโดย พระภาวนาโกศลเถระ วนั ท ่ี ๒๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ๑๒๙ เรือ่ งที่ ๗ เทศนาเรื่องภทเฺ ทกรตตฺ คาถา แสดงโดย ๑๔๙ พระภาวนาโกศลเถระ วนั ที ่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ บทกรวดน้�า ๑๖๘ ค�าแปล ๑๖๙ a12
1
2
พระธรรมเทศนำ โดยเจำ พระคุณสมเด็จพระมหำรัชมังคลำจำรย (ชว่ ง วรปุ ฺโ ป.ธ.๙) วนั ที่ ๔ มีนำคม ๒๕๕๔ ณ พระอุโบสถ วดั ปำกน�้ำ ภำษเี จรญิ กรุงเทพฯ วะโร วะรญั ู วะระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ อิทมั ป พุทเธ ระตะนงั ปะณีตงั เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ พระธรรมเทศนา ที่อาตมภาพไดแสดงน้ีอยูในบทสวดมนต รตั นสตู ร บทท่ี ๒ รองจากมงคลสตู ร วนั นีเ้ ปน อกี พระคาถาหน่งึ พระคาถานแี้ สดงถงึ พระสจั จะของพระอานนท อา งสจั จะของพระพทุ ธ ของพระธรรม ของพระสงฆแลวประพรมน้ําพระพุทธมนต ขจัดปดเปาภัยทั้งหลายในเมืองไพสาลีสมัยน้ัน ใหสงบระงับ หมดไปหายไป เปนปกตสิ ขุ ดวยพระรัตนสูตรอนั น้ี ตามที่ไดอ า ง คาถารตั นสูตรไวนี้ วะโร วะรญั ู วะระโท วะราหะโร อะนตุ ตะโร ธัมมะวะรงั อะเทสะยิ อทิ ัมป พทุ เธ ระตะนงั ปะณตี ัง เอเตนะ สจั เจนะ สุวัตถิ โหตฯุ แปลเปน ไทยวา พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ผปู ระเสรฐิ ทรงรพู ระ- นพิ พานแลว ทรงแสดงธรรรม คอื พระนพิ พานอนั ประเสรฐิ สงู สดุ นนั้ และทรงแนะนาํ ขอ ปฏบิ ตั อิ ยา งดเี ลศิ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระองคน นั้ 3 3
ผูไมมีใครอ่ืนย่ิงกวา ไดแสดงธรรมคือพระนิพพานแลวน้ี ก็เปน รัตนะอนั สงู สดุ ในพระพุทธเจา ดว ยวาจาแหงคําสัจอันนีข้ อ ความ สวสั ดจี งมีเถิดดังน้ี พระคาถาน้ี พระอานนทซ งึ่ เรยี นจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระคาถาน้ีอางสัจจะ สัจจะน้ีเปนประการสําคัญ ข้ึนช่ือวาสัจจะ เรามสี ัจจะ ดวยกนั ทกุ คน ทาํ อะไรใหม ีความจรงิ ใจ อยูในความ จริงใจ อันนั้นก็เปนสัจจะ เหมือนอยางพระเณรมีความตั้งใจวา ถงึ วนั อโุ บสถ มพี ระธรรมเทศนาในอโุ บสถน้ี ขา พเจา จะตอ งลงมา เพื่อฟงเทศน ฟงธรรม ต้ังใจวาอยางนี้ แลวเม่ือถึงวันเชนน้ี กม็ าอนั นกี้ เ็ ปน สจั จะ ญาตโิ ยมทมี่ าปฏบิ ตั ธิ รรม ใหท าน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา ณ ทนี่ ี้ ก็ตามโยมมีสัจจะยอมต้งั ใจจะมาในโอกาสน้ี ฉนั จะไปปฏบิ ตั ธิ รรมรกั ษาศลี ทว่ี ดั ปากนา้ํ สกั ๓ วนั สมมตวิ า อยา งนน้ั ถึงเวลาก็มาทําตามกําหนดก็เปนสัจจะ โยมบางทานมาทุกวัน อุโบสถก็คงตั้งใจอธิษฐานไววา ทุกวันพระตองมา ก็เปนสัจจะ ของโยม เรามีสัจจะดวยกัน ทุกคนทําไดตามสัจจะ ต้ังใจเอาไว อยา งใดอยา งหนง่ึ และทาํ ใหไ ดจ รงิ สัจจะมอี านิสงส พระพุทธมนตบทน้ี พระอานนทต้ังสัจจะของพระสัมมา สมั พทุ ธเจา วา พระองคต รสั รพู ระนพิ พานแลว พระองคก ป็ ระทาน พระธรรมเทศนาคือพระนิพพานและธรรมะตางๆ ที่สูงสุดและ ประทานขอแนะนําที่ดีเลิศในการประพฤติปฏิบัติ ในการกระทํา ในนจี้ ะแสดงถงึ เรอ่ื งนพิ พาน ทพ่ี ระอานนทส วดวา \"วะโร วะรญั ู วะระโท วะราหะโร\" วะโร แปลวา พระผูเปนเจาอันประเสริฐ 4 4
วะรญั ู คอื รพู ระนพิ พานแตบ างทคี นทว่ั ๆ ไป คดิ วา พระนพิ พาน จะตอ งเปนอยางน้ัน เปนอยางนี้ จะตองอยูทีน่ ัน้ อยทู น่ี ี้ บางที เราคดิ วาสวรรค ดาวดงึ ส ยามา ดุสติ นมิ มานรดี สวรรค ๖ ชน้ั ยอ มมเี ปน ชนั้ ๆ เรารวู า สวรรคม ี ๖ ชนั้ นพิ พานจะตอ งมเี ปน ชนั้ ๆ เหมือนกันทําใหรูสึกวาเทวดาอยูชั้นดาวดึงส เทวดามีปราสาท สวยงาม แตพระนิพพานไมมีอยางท่ีวานี้พระนิพพานทาน กลาวในคมั ภีรวาไมใช ดนิ นา้ํ ไฟ ลม ไมใชอ ากาสานัญจายตนะ วญิ ญาณญั จายตนะ ไมใ ชโ ลกนไี้ มใ ชโ ลกอนื่ ไมม กี ารมา ไมม กี ารไป ไมมีจตุ ิ ไมมเี กิด ไมม ีอะไรทงั้ นั้น แลว นพิ พานคอื อะไร โยมใน พระบาลีบทหนงึ่ พระองครับส่ังไวว า วสิ ทุ ธฺ ิ สพพฺ เกลฺ เสหิ โหติ ทุกเฺ ขหิ นิพฺพตุ ิ เจตโส โหติ สา สนฺติ นพิ ฺพานมีติ วุจจฺ ติ น้ีเปนพระอิริยาบถหน่ึงท่ีสัมมาสัมพุทธเจารับสั่งไว วสิ ทุ ฺธิ สพพฺ เกฺลเสหิ โหติ ทกุ เฺ ขหิ นพิ ฺพตุ ิ เจตโส โหติ สา สนฺติ แปลวาความบริสุทธิ์จากกิเลสท้ังปวง ๑ ความดับทุกขทั้งหลาย ได ๑ ความสงบใจได ๑ อันนแ้ี หละ ตถาคต เรยี กวา \"นิพพาน\" โยมจาํ ไวนะ วิสุทฺธิ สพฺพเกฺลเสหิ ความบริสุทธ์ิจากกิเลสทั้งปวง ๑ โหติ ทกุ เฺ ขหิ นพิ พฺ ตุ ิ ความดบั ทกุ ขท งั้ หลาย ๑ เจตโส โหติ สา สนตฺ ิ มีความสงบใจได ๑ นิพฺพานมีติ วุจฺจติ อันน้ีแหละเราตถาคต เรียกวา \"นิพพาน\" พระพุทธเจาตรัสไวอยางนี้ พระองคไมได บอกวา ถา ทาํ ไดอ ยา งนน้ี ะ จะไดไ ปอยทู นี่ นี่ ะไปอยทู น่ี น่ั นะ บอกวา 5 5
อันน้ีแหละคือนิพพาน อันนี้อาตมาพูดตามตําราพูดตามปริยัติ อาตมาไมไ ดพ ดู ตามปฏบิ ตั ิ โยมมาศึกษาสักเล็กนอยไมตอ งมาก เพราะวา นพิ พานนน้ั พดู ตามความจรงิ ๆ แลว ยอมไมคอยอยาก จะไป อยากไปแคห วั สะพานที่พูดวา อยางน้เี วลาโยมรบั ศีล ๓ ขอ คือ สีเลนะ สุคะตงิ ยันติ (ศีลเปน ปจจัยใหม คี วามสุข) โยมรับสาธุ สเี ลนะ โภคะสมั ปะทา (ศลี เปนปจ จยั ใหม โี ภคสมบตั )ิ โยมรบั สาธุ แตใหร ับศลี ขอ ๓ สีเลนะ นพิ พุตงิ ยันติ (ศีลเปน ปจจยั ใหเขา ถงึ พระนิพพาน) โยมเงียบ ไมรับดวย เปนบางแหงซ่ึงเปนความ ไมร ูข องญาตโิ ยม ณ ทีน่ ั้น วา ตอ งรบั ที่อาตมาพดู เพ่อื ใหรับรูไว การที่โยมมาศึกษาไดคุณธรรม ๓ ประการ ไดแก ความบริสุทธ์ิ จากกิเลส ความดบั ทุกข ความสงบใจ ๓ ประการน้ี เปน นพิ พาน ใครทาํ ไดบ า ง กเิ ลส ไดแ ก ความรกั ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความตระหน่ี ความอิจฉา ความริษยา อะไรตา งๆ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ ทีม่ ีอยูในตัวเรานน้ั โยม มาฟงเทศนท กุ ๆวนั แมชีเปนต้ังแตสาวจนแก หมดหรอื ยัง เจา กเิ ลสถาหมดนั่นแหละ เปนนพิ พาน แตมีใครยนื ยันไดไ หมวา ฉันไมมีกิเลสแลว อาตมา ก็ไมส ามารถยนื ยนั ไดว า มไี หม ใครมบี า งไหม ถา มบี คุ คลทา นนนั้ จะไมพูดไมบอกวากิเลสหมดแลว ถามีคนพูดคนบอกสงสัยตอง จับสง ปากคลองสาน คนท่ีหมดกิเลสจะไมบ อก * ปากคลองสาน หมายถึง \"โรงพยาบาลสมเดจ็ เจา พระยา\" 6 6
สามเณรอายุ ๗ ขวบนารักนาเอ็นดู สมัยพระพุทธเจา สามเณรเดินไปไหนพระก็จับหัวเลน พูดหยอกเยาบาง แตเณร องคนั้นเปนพระอรหันตแ ตก ็ไมบ อก ไมว าอะไร จนพระพุทธเจา ทรงรบั สงั่ วา เธอทงั้ หลายกาํ ลงั เลน กบั ไฟ เพราะเณรเปน พระอรหนั ต ไปทาํ ลว งเกนิ พระอรหนั ต เปน บาปเปน กรรม พระเหลา นนั้ จงึ รวู า เณรเปน พระอรหนั ต แลว ญาตโิ ยมทป่ี ฏบิ ตั อิ ยู โยมบางคนอาจจะ หมดกไ็ ด แตโ ยมกไ็ มบ อกแลว เนอ้ื หาสาระโดยทว่ั ๆ ไปแลว มเี ตม็ เปย ม กันท้ังน้ัน ไมมีใครหมด บางคนบอกวาปฏิบัติอยางเครงครัด เหลอื นอ ยแลว เหลอื แค ๓ ตัว คือ ราคะ โทสะ โมหะ ๓ ตวั นี้ เปนตัวรายกาจ เจากิเลสมีอยูในตัวบุคคลทุกคนถาปฏิบัติได โดยดับไดละได ใหมันหมดไปไดจากอัธยาศัย จิตใจของเรา อันนั้นแหละทานทั้งหลายถาทําได ก็จะมีนิพพาน เปนนิพพาน แลวอยทู ี่ไหน เม่อื เปนอยา งนีแ้ ลว ก็ไมเ กดิ ไมแก ไมเ จ็บ ไมตาย แตอ ยทู ี่ไหนไมรู อันนเี้ รียกวา วิสทุ ธฺ ิ สพฺพเกฺลเสหิ บริสุทธจ์ิ าก กิเลสท้ังหลาย ๑ โหติ ทุกฺเขหิ นิพฺพุติ ดบั ทุกขท ง้ั หลายได ๑ ทุกขห ลายอยาง ไดแ ก ความเกิด ความแก ความเจ็บ ความตาย ความไมส มดงั ปรารถนา กเ็ ปน ทกุ ข โดยสรปุ เบญจขนั ธ ๕ ประการ เปน ทกุ ข เรอ่ื งทกุ ขท า นทงั้ หลาย เรอื่ งเกดิ เรามองไมเ หน็ เปน ทกุ ข เราเห็นวาเปนสุข มีลูกมีหลาน ฉันไดลูกสาว ฉันไดลูกชาย ก็ดีอกดีใจทุกคน แตแทที่จริงแลวเปนทุกข คือ เกิดมาตองอยู ในกองทกุ ข ตอ งทาํ มาหากนิ ตอ งหาเงนิ หาทอง ตอ งเจบ็ ไขไ ดป ว ย ตอ งอยา งนนั้ อยา งนี้ มนั เปน ทกุ ข ตายดไี หม ดี แตก ็ไมอ ยากตาย 7 7
ความคบั แคน ใจ ความพลดั พรากกเ็ ปน ทกุ ข ความประจวบกบั ของที่ ไมเ ปน ทรี่ กั ไมพ บกบั ของทเ่ี ปน ทร่ี กั กเ็ ปน ทกุ ข ความพลดั พราก จากของท่รี ัก ก็เปน ทกุ ข หรือปรารถนาสง่ิ ใดแลว ไมไ ดดงั สมหวงั กเ็ ปน ทกุ ข ทา นทงั้ หลาย เคยเกดิ ขนึ้ กบั ทกุ ทา นหรอื ไม เคยทกุ คน เม่ือพูดโดยสรุป เบญจขันธ ๕ ประการเหลานี้เปนทุกข ไดแก รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ วิญญาณขันธ เรามกี นั คนละ ๕ ขนั ธ ทง้ั ญาติ ท้งั พระ ท้ังเณรมีคนละ ๕ ขันธ น่ีเปนทุกข ดูงายๆ ก็ได เวลาน่ังนานๆ ก็เม่ือยมันก็เปนทุกข การนง่ั พบั เพยี บไมส บาย นานๆ กเ็ ปน ทกุ ข กเ็ ปลยี่ นเปน นง่ั ขดั สมาธิ นงั่ นานๆ กไ็ มเ หมอื นกบั ผอู น่ื เขา อยา ไปฝน สงั คมทาํ ใหเ หมอื นเขา การดับน้ี ใหกาํ หนดรวู า มนั เปน ทกุ ข ทกุ ขน ้มี นั ละไปไมไ ด อยกู บั ตวั เรา อยูกับสังขารเรา แตใ หกําหนดรูว า เปน ตวั ทกุ ข นี้เรยี กวา “ละทุกข” หรือ “กําหนดทกุ ข” นีก่ ็เปน นิพพาน อีกประการหน่ึง วิสุทฺธิ สพพฺ เกลฺ เสหิ สงบใจ ทําใจใหสงบ ใจของคนเราน้ัน ธรรมชาตขิ องใจ ใจมันคิด คิดเรอื่ ยไป ไมห ยดุ ตัวอยนู ี่ ใจคิดถงึ ไหนก็ได แตใจนัน้ ทานเปรียบไวว า ใจของคน เหมอื นกบั ลงิ โยมเหน็ ลงิ นง่ั พบั เพยี บ เรยี บรอ ย อยเู ฉยๆ สงบเสงยี่ ม บา งหรือไม ไมมี ลิงอยูไมสขุ เด๋ยี วมนั กจ็ ับโนน จบั น่ี ใจของคน เปนอยางนั้น เปนธรรมชาติของใจใหคิด เขาเรียกวาใจไมสงบ ฟงุ ซา น พระสมั มาสมั พทุ ธเจา วา ตอ งทาํ ใจใหส งบ สงบคอื ไมฟ งุ ซา น พระ เณร ทุกรูปท่ีบวชเขามาน้ันตองเรียนกรรมฐานทุกองค * ทุกขห ลายอยา ง - ดรู ายละเอียดทห่ี นา ๕๕ เกยี่ วกับ ทุกขอริยสจั 8 8
ทีเ่ รียนกรรมฐานเพ่อื ทาํ ใจใหสงบ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ, ตโจ ทนั ตา นขา โลมา เกสา กรรมฐานนเ้ี พอ่ื รกั ษาใจทาํ ใจใหส งบ อยกู บั เนอ้ื กบั ตวั เหมอื นทหี่ ลวงพอ วดั ปากนาํ้ สอนวชิ าธรรมกาย เพอื่ ใหใ จสงบ รกั ษาใจใหส งบ ทา นทงั้ หลายทมี่ าปฏบิ ตั จิ ติ ภาวนา เชาบา ง บายบา ง เยน็ บา ง อันนั้นแหละถกู ตอง เพอื่ ทาํ ใจใหส งบ ถา ทาํ ใจ รกั ษาใจใหส งบไดก เ็ ปน นพิ พาน วะโร วะรญั ู พระพทุ ธเจา ผปู ระเสรฐิ ทรงรธู รรม คอื นพิ พาน พระองค กก็ เิ ลสไมม ี ความทกุ ข ไมม ี ใจสงบ พระองคต รัสรูอ รยิ สัจ ๔ ทุกข สมทุ ยั นิโรธ มรรค ทานท้ังหลาย เราเรียนปฏิบัติตามเพื่อใหถึงพระนิพพาน กต็ ั้งใจทําความบริสุทธจ์ิ ากกเิ ลสของเรา ใหกเิ ลสของเราหมดไป ทําใจของเราใหสงบได อันน้ันแหละคือนิพพาน แลวลองดูวา นิพพานมีอยูไหม นิพพานมีตัวตนหรือไม ไมมีการปฏิบัติจะให ถึงที่สุดหรอื ไมน ัน้ ขอใหโยมต้ังสัจจะไวกอน ตงั้ ความปรารถนา ไวก อ น โยมทม่ี าปฏบิ ตั จิ ติ ภาวนาทกุ วนั ๆ เชา บา ง บา ยบา ง เยน็ บา ง ต้ังจิตภาวนาอยางนี้แหละวาปฏิบัติเพ่ือนิพพาน เพื่อทําใหแจง ถงึ นพิ พาน แตจ ะทาํ ใหถ งึ นน้ั ไดแ คไ หน ก็ไมว า กนั เหมอื นกบั เดก็ เรยี นหนงั สอื วา จะเรียนใหถงึ ปรญิ ญาเอก กเ็ รยี นอนุบาล ประถม มัธยม เร่ือยมา ถาไมถึงปริญญาเอกน้ันก็ไมวากันแตตั้ง ความปรารถนาไวก อ น ก็ถอื วา เปนความดีอนั หนึ่ง ขออนุโมทนา เจาของกัณฑเ ทศน มา ณ ที่นด้ี วย ทมี่ า : สมเด็จพระมหารชั มงั คลาจารย (ชว ง วรปุโฺ ญ ป.ธ. ๙) เจาอาวาสวัดปากนา้ํ ภาษีเจริญ กรงุ เทพฯ เทศน แรม ๑๔ คํ่า เดอื น ๓ ปข าล ศกุ รท ี่ ๔ มนี าคม ๒๕๕๔ ณ พระอโุ บสถ วัดปากน้าํ ภาษีเจริญ กรงุ เทพฯ 9 9
พทุ ธภำษติ และ คติธรรม ของ พระมงคลเทพมนุ ี หลวงพอ่ วัดปำกนำ้� ภำษีเจริญ ธนบุรี นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสสฺ ฯ จงมตี นเปน ที่พงึ่ จงมีตนเปนท่ีเกาะ จงมีธรรมเปนทพี่ ง่ึ จงมธี รรมเปน ทเ่ี กาะ ความเพียร เคร่ืองเผากิเลสควรทําในวันนี้ทีเดียวใคร พึงรูไดวาความตายจักมีในวันพรุงนี้ เพราะวา การผัดเพ้ียน ดวยความตาย ซึ่งมีเสนาใหญนั้นไมมีแตพวกเราเลยมุนีผูสงบ ยอ มเรยี กบคุ คลผมู ปี กตอิ ยอู ยา งนน้ั ผมู คี วามเพยี รไมเ กยี จครา น (ไมป ระมาท) ตลอดกลางวนั และกลางคนื นนั้ แล วา ผมู รี าตรเี ดยี วเจรญิ . จากหนงั สือ : \"พระธรรมเทศนา ของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพอ วัดปากนํา้ ) พมิ พเ ปนอนสุ รณ แจกในการฌาปนกิจศพ คุณแมอุบาสกิ าเปย ม สงู สุด วนั ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ 10 10
อุฎ Òเนนปฺปมาเทน สฺ เมน ทเมน จ ทปี กยิราถ เมธาวี ยํ โอโฆ นาภิกรี ติ ดว ยความหม่ันม่ันใจไมป ระมาท รักษาอาตมขมใจไวเ ปนศรี ผูฉลาดอาจตัง้ หลกั พํานกั ดี อันหวงน้าํ ไมม มี ารังควาน เกดิ มาวา จะมาหาแกว พบแลวไมก ําจะเกดิ มาทาํ อะไร อา ยท่อี ยากมนั ก็หลอก อายที่หยอกมนั กล็ วง ทําใหจ ติ เปน หวงเปน ใย เลกิ อยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดนิ ตามขนั ธสามเรอื่ ยไป เสร็จกิจสิบหกไมต กกนั ดาร เรียกวา นิพพานก็ได ประกอบเหตุสังเกตผล ทนเอาเถดิ ประเสริฐนัก ไมหยุดไมถึงพระ ตวั หยุดนี่แลเปน ตวั สําเร็จ ผลไมดกนกชุม นา้ํ เยน็ ปลาชอบอาศัย 11 11
พุทธปริตร มงคฺ ลเทวมุนปิ ตฺตทิ ำนคำถำ โย โส จนฺทสโร เถโร สปปฺ ฺโ กรุณายโก ราชทนิ นฺ าภธิ าเนน มงฺคลเทวมนุ วิ หฺ โย ชนานํ อธิ สพเฺ พสํ อสิ สฺ โร ปริหารโก วินยสฺส จ ธมมฺ สสฺ ธมฺมกายสฺส โกวิโท ธมเฺ มสุ ครโุ ก ธีโร สเี ลสุ สุสมาหิโต สสิ สฺ านํ ภกิ ฺขอุ าทีนํ ปต ฏุ าเน ปตฏิ โิ ต อาหาราทหี ิ วตถฺ ูหิ เอเตสํ อนุกมปฺ โก พหุนฺนํ กลุ ปุตฺตานํ อปุ ชฌฺ าโย วิจกขฺ โณ โสทานิ กาลมากาสิ กลยฺ าณกิตตฺ ิ ตฏิ ติ ตมฺมยํ ยติกา เถรา มชฺฌมิ า นวกา จิธ นจิ ฺจํ อนสุ สฺ รนฺตาว ตสสฺ คุเณน โจทติ า ปฺุ นตฺ สฺส กริตวฺ าน เทม ปตตฺ ึ อเสสโต ยํ ยํ เตน กตํ ปฺุํ ยํ ยํ อมฺเหหิ สจฺ ิตํ ตสสฺ ตสฺสานุภาเวน ตสฺส ตสเฺ สว เตชสา สทธฺ มฺมฏติ กิ าโม โส สขุ โิ ต โหตุ สพพฺ ทา สเจ ยตถฺ ปติฏ าย น ลเภยยฺ อมิ ํ วรํ ตตฺถ สพพฺ มเหสกขฺ า เทว คนฺตวา นิเวทยํุ อนโุ มทตุ โส ปุ ฺ ํ ปตฺตึ ลเภตุ สพพฺ โสตฯิ ๑. พระครูธรรมกถาสุนทร (ทองหลอ สวุ ณฺณรํสี ป.ธ.๘) แตง 12 12
13
...(หลวงพอ่ วดั ปำกนำ้� ) จงึ ไดก รำบลำเจำ คณุ สมเดจ็ พระพฒุ ำจำรย (เขม ) เจำอำวำสวัดพระเชตุพนไปจ�ำพรรษำวัดบำงคูเวียงในพรรษำท่ี ๑๒ แต่พอไดกึ่งพรรษำก็มำหวนระลึกขึ้นว่ำในเม่ือเรำต้ังใจจริงๆ ในกำรบวช จำ� เดมิ อำยสุ บิ เกำ เรำไดป ฏญิ ำณตนบวชจนตำย ขออยำ่ ใหต ำยในระหวำ่ ง กอ่ นบวชบัดนี้ก็ไดบอกลำมำถึง ๑๕ พรรษำยำ่ งเขำพรรษำนีแ้ ลว กพ็ อแก่ ควำมประสงคข องเรำแลว บดั นข้ี องจรงิ ทพี่ ระพทุ ธเจำ ทำ่ นรทู ำ่ นเหน็ เรำก็ ยังไม่ไดบรรลุยังไม่รูไม่เห็นสมควรแลว ที่จะตองกระท�ำอย่ำงจริงจัง เมอ่ื ตกลงใจไดด งั นแ้ี ลว วนั นน้ั เปน วนั กลำงเดอื น ๑๐ กเ็ รมิ่ เขำ โรงอโุ บสถ แต่เวลำเย็น ต้ังสัจจาธิษฐานแนนอนลงไปวา ถาเรานั่งลงไปครั้งน้ี ไมเห็นธรรมท่ีพระพุทธเจาตองการ เปนอันไมลุกจากที่น้ี จนหมดชีวิต เม่ือต้ังจิตมั่นลงแลว ก็เร่ิมปรารภนั่ง จึงไดแสดง ความออนวอนแดพระพุทธเจาวา \"ขอพระองคไดทรงพระกรุณา โปรดขาพระพุทธเจาทรงประทานธรรมท่ีพระองคไดทรงตรัสรู อยางนอยที่สุด แลงายท่ีสุดท่ีพระองคไดทรงรูแลวแดขาพระพุทธเจา ถาขาพระพุทธเจารูธรรมของพระองคแลว เปนโทษแกศาสนา ของพระองคแลว ขอพระองคอยาทรงพระราชทานเลย ถาเปน คุณแกศาสนาของพระองคแลว ขอพระองคไดทรงพระกรุณา โปรดพระราชทานแดข าพระองค ขา พระองคร ับเปนทนายศาสนา ในศาสนาของพระองคจนตลอดชวี ติ \" พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺทสโร) หลวงพอ่ วัดปำกน้�ำ 14
ประวตั ิย่อ* ของ พระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปำกน�้ำ ผูค นพบวิชชำธรรมกำย ชาตภิ มู เิ ดมิ เปน พอ คา เขา ตง้ั ภมู ลิ าํ เนาอยทู บ่ี า นหมเู หนอื ของวดั สองพน่ี อ ง คอื ทศิ ใตข องวดั แตต า งฝง กบั วดั วดั อยู ตะวนั ออก เฉยี งเหนอื บา นอยตู ะวนั ตกเฉยี งใต มคี ลองกนั้ ระหวา งวดั กบั บา น คา ขายมาตง้ั แตอ ายุ ๑๔ ปเ ศษๆ นบั ตง้ั แตบ ดิ าลว งไปกเ็ ปน พอ คา แทนบิดา เล้ียงมารดาจนถึงอายุ ๑๙ ป ตรงน้ีไดปฏิญาณตัวบวช จนตาย ดว ยมามอี ปุ สรรคเกดิ ขนึ้ ในระหวา งขายขา วแลว นาํ เรอื เปลา กลบั บา นเขา ลดั ทคี่ ลองบางอแี ทน เหนอื ตลาดใหม แมน าํ้ นครชยั ศรี จังหวัดนครปฐม ในลัดนี้ไมสูไกลนัก แตพวกโจรชุกชุม แตพอ เขา ลดั ไปเลก็ นอ ย กม็ าคดิ แตในใจของตวั วา คลองกเ็ ลก็ โจรกร็ า ย ทา ยเรอื เขา ก็ไลเ ลย่ี กบั ฝง ไมต า่ํ ไมส งู กวา กนั เทา ไหรน กั นา หวาดเสยี ว อนั ตราย เมอื่ โจรมากต็ อ งยงิ หรอื ทาํ รา ยคนทา ยกอ น ถา เขาทาํ เรา เสียไดกอนก็ไมมีทางท่ีจะสูเขา ถาเราเอาอาวุธปนแปดนัดไว ทางหวั เรอื แลว เราไปถอ เรอื ทางลกู จา งเสยี เมอ่ื โจรมาทาํ รา ยเราก็ พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมนุ ี (เปนผบู นั ทึกเอง), ลงพิมพในนติ ยมงคลสาร ปท่ี ๑ เลม ๑, ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๗, หนา ๔-๖ และ ๒๐. 15 15
จะมีทางสูไดบาง คิดดังนี้แลวก็เรียกลูกจางที่ถอเรือแถบทราย มาถอื ทา ย เราออกไปถอ แทน ถอ เรอื ไปก็คิดไป เรอื ก็เดินเขาไป หาทีเ่ ปลย่ี วหนกั ข้ึนทกุ ที ความคิดกถ็ ขี่ ้นึ วา ลกู จา งทีเ่ ราจางมานี้ คนหนงึ่ กไ็ มก บี่ าท เพยี ง ๑๑ บาท หรอื ๑๒ บาทเทา นน้ั สว นตวั เรา เปน เจา ของทรพั ยท ง้ั เรอื หมด สว นตายจะใหล กู จา งตายกอ นไมถ กู เอาเปรยี บลกู จา งมากเกนิ ไปไมส มควร ถอ ไปกค็ ดิ ไปดงั น้ี และคดิ ถหี่ นกั เขา กต็ ดั สนิ ใจเดด็ ขาดออกไป เราเปน เจา ของใหเ ราตายกอ น ดกี วา จึงจะสมควร คิดตกลงแลว กเ็ รยี กลูกจา งใหมาถอ ตัวกห็ ยิบ ปน แปดนดั ทเี่ อาไปไวข า งหวั เรอื มาไวใ กลต วั ขา งทา ยเรอื กถ็ อื ทา ย เรอื่ ยไป ใกลอ อกจากลดั เตม็ ที่ นาํ้ กข็ นึ้ เรอื ขา วทห่ี นกั กต็ ามหวั นา้ํ ขน้ึ สวนเขามาประดังกันแนน จีนก็สง เสยี งแตว า ตูอ า ๆ ประดัง กนั แนน ออกก็ไมไ ด เขา ไปไมไ ด นา้ํ กน็ อ ยเลยตอ งตา งฝา ย ตา งก็ ปกหลักกรานหนาจอดกนั น่ิงอยู เราเปนคนทา ยผา นพน อนั ตราย มาแลวก็มาคิดวาการหาเงินทองน้ีลําบากจริงๆ เจียวหนา บิดา ของเรากห็ ามาดงั นี้ เรากห็ าซา้ํ รอยบดิ าตามบดิ าบา ง เงนิ แลทอง ท่ีหากันท้ังหมดดวยกันนี้ตางคนก็ตางหาไมมีเวลาหยุดดวยกัน ทั้งน้ัน ถาใครไมเรงรีบหาใหมั่งมีก็เปนคนต่ําและเลว ไมมีใคร นับถือแลคบหา เขาหมูเขาก็อายเขา เพราะเปนคนจนกวาเขา ไมเ ทยี มหนาเทยี มบา เทยี มไหลก บั เขา ปุรพชนตนสกุลของเราก็ทํากันมาดังน้ี เหมือนๆ กัน จนถงึ บดิ าของเราแลตวั ของเราบดั น้ี กบ็ ดั นป้ี รุ พชนแลบดิ าของเรา ไปทางไหนหมด กป็ รากฏแกใจวา ตายหมดแลว แลว ตวั ของเราเลา 16 16
ก็ตองตายเหมือนกัน แตพอคิดถึงตายขึ้นมาดังนี้แลว ใจก็ ชกั เสยี วๆ นกึ ถงึ ความตายทจ่ี ะมาถงึ ตวั โดยไมม สี งสยั เลย เราตอ ง ตายแนๆ บดิ าเรากม็ าลอ งขา วขน้ึ จากเรอื ขา วกเ็ จบ็ มาจากตามทางแลว ข้ึนจากเรือขาวไมไดกี่วันก็ถึงแกกรรม เม่ือถึงแกกรรมแลว เราที่ชวยพยาบาลอยู ไมไดเห็นเลยที่จะเอาอะไรติดไป ผาท่ีนุง แลรา งกายของแก เรากด็ แู ลอยไู มเ หน็ มอี ะไรหายไป ทงั้ ตวั เราแล พน่ี อ งของเราทเ่ี นอื่ งดว ยแก ตลอดถงึ มารดาของเรากอ็ ยไู มเ หน็ มี อะไรเลยที่ไปดว ยแก แกไปผูเดยี วแทๆ ก็ตัวเราเลาตองเปนดงั นี้ เคลื่อนความเปนอยางนี้ไปไมไดแน เม่ือคิดตกลงใจดังน้ีแลวก็ ลองทาํ เปน ตายดู นอนแผล งไปทท่ี า ยเรอื นนั้ แลว กท็ าํ ตาย ตายแลว ทาํ ไปหาคนท่เี ปนญาติบา ง พีน่ อ งบาง เพือ่ นที่ชอบกนั บา ง เขาก็ ไมเ หน็ เรา เพราะเราเปน ผี เรากเ็ อากอ นดนิ บา ง ไมบ า ง โยนหรอื ปา เขาไปใหถูก เพราะเขาไมเห็นตัวเรา เขาก็ตองบอกผีโยนมา หรอื ปาเขา มา ไปหาคนโนน ก็ไมเ หน็ มาหาคนน้กี ็ไมเ ห็น คิดไป ดังนีแ้ หละจนเผลอตัว แตพ อรสู กึ ตวั ขนึ้ มา กร็ บี ลกุ ขนึ้ จดุ ธปู อธษิ ฐานในใจตวั เอง วา ขออยา ใหเ ราตายเสยี กอ น ขอใหบ วชเสยี กอ นเถดิ ถา บวชแลว ไมส ึกจนตลอดชวี ิต ตรงน้ี บวชจรงิ มาเสยี แตอายุ ๑๙ ปเ ศษแลว ต้ังแตน้ันก็ประกอบอาชีพตามปกติของพอคา จนอายุครบ ๒๒ โดยปแลว ก็ปรารภถงึ การบวชในปนน้ั พอถงึ เดอื น ๘ ขางข้นึ ก็ ขนขาวลงเรือเต็มลาํ ดีแลว ก็บอกกบั ลกู จางใหน าํ เอาขาวไปขาย โรงสีในกรุงเทพฯ สวนตวั ก็เขา อยวู ัดเปนเจา นาค ฝก หัดเบื้องตน 17 17
แหงการอุปสมบทในสํานักปลัดยัง ผูเปนหลวงตาของตัวซ่ึงเปน นอ งคนเลก็ ของตานอ ย ผเู ปน มารดาของตวั เอง ทา นสง วนิ ยั ยอ ๆ ใหเปนหนังสือสมุดขอย เขียนตัวบรรจงสวยงามมาก ก็ทองวิธี ขอบรรพชาแลดูวินัยไปดวยกันทีเดียว พอจวนเขาพรรษาก็มี ผไู ปนมิ นตพ ระอปุ ช ฌายด ี วดั ประตศู าล จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี มาเปน อุปชฌาย ก็ไดอุปสมบทในตนเดอื นแปด ของ พ.ศ. ๒๔๔๙ ได อยูจําพรรษาในวัดนั้นรวมอยูที่อุปสมบทน้ัน ๗ เดือนเศษ ๆ เทาน้ัน ออกจากวัดที่อุปสมบทน้ันแลว ก็ตรงมาอยูจําพรรษา ในวดั เชตพุ นทเี ดยี ว เรียนมูลกัจจายน ถึงสามจบ แลวเรยี นธรรม บททีปนีและสารสังคหะ แตพอเปนวาแปลออกพอสมควรแลว ก็หยุดการเรียนคันถธุระ เรียนวิปสสนาธุระตอไป ถึงในระหวาง คันถธุระอยูก็เรียนวิปสสนาไปดวยเหมือนกัน เวลาวันแปดค่ํา สบิ หา คา่ํ กม็ กั แสวงหาครสู อนฝา ยสมถวปิ ส สนาอยเู สมอ ๆ โดยมาก แตท เ่ี รยี นโดยตรงทเี ดยี วตงั้ แตบ วชใหม ๆ กเ็ รยี นแตอ นสุ าวนาจารย ทีหนึ่ง บวชแลวรุงขึ้นวันที่สองก็เรียนท่ีหลวงพอเนียมวัดนอย จงั หวดั สพุ รรณ ทส่ี ามเจา คณุ สงั วรานวุ งษ(เอย่ี ม) วดั ราชสทิ ธาราม ท่ีส่เี รยี นกับพระครญู าณวิรัติ (โป) วดั พระเชตพุ น ท่หี าเรยี นกบั พระอาจารยส งิ ห วดั ละครทาํ หลงั วดั ระฆงั โฆสติ าราม ไดต ามแบบ ของทา นสององคพ ระครญู าณวริ ตั แิ ลพระอาจารยส งิ ห ทา นรบั รอง วา ไดต ามแบบของทา น ทา นมอบใหเ ปน ผสู อนเขาไดท ง้ั สองอาจารย แตก็ยังไมพอใจที่จะเปนครูสอนเขา จึงคนควาหาตอไปอีก ถึงพรรษา ๑๑ ก็สําเร็จในการเลาเรียนคันถธุระไดพอสมควร 18 18
แกที่ตง้ั ใจไวว า ตอ งเรียนแปลใหอ อกจะไดค น ธรรมในมคธภาษา ไดตามตองการ กอนแตจะมาเรียนคันถธุระนั้นไดตั้งหนังสือ ใบลานมหาสตปิ ฏ ฐานลานยาวไวท ว่ี ดั สองพนี่ อ งผกู หนง่ึ วา ถา ไป เลา เรยี นคราวนต้ี อ งแปลหนงั สอื ผกู นี้ใหอ อก จงึ เปน ทพี่ อแกค วาม ตองการ ถายังแปลไมออกก็เปนอันไมหยุดในการเรียน แตพอ แปลออกกห็ ยดุ ในพรรษาที่ ๑๑ เมอื่ หยดุ ตอ การเรยี นปรยิ ตั แิ ลว ก็ เรมิ่ ทาํ จรงิ จงั ในทางปฏบิ ตั ิ กค็ ดิ วา ในวดั พระเชตพุ นน้ี ในอโุ บสถกด็ ี มีบริเวณกวา งขวางดีมาก เปน สถานทีค่ วรทําภาวนามาก แตม า หวนระลกึ ถงึ อปุ การคณุ ของวดั บางคเู วยี ง (คอื วดั โบสถบ นบางคเู วยี ง) ในคลองบางกอกนอ ย เจา อธกิ ารชมุ ไดถ วายมลู กจั จายนแ ลคมั ภรี พระธรรมบทให ในตอนเลาเรียนปริยตั นิ ้ัน ก็มอี ุปการคุณอยูมาก ควรไปจาํ พรรษา แลว จะไดแ สดงธรรม แจกแกภ กิ ษสุ ามเณร อบุ าสก อุบาสิกาเปนบรรณาการตออุปการคุณแกวัดน้ัน จึงไดกราบลา เจาคุณสมเด็จพระพุฒาจารย (เขม) เจาอาวาสวัดพระเชตุพน ไปจําพรรษาวดั บางคูเวียง ในพรรษาที่ ๑๒ แตพ อไดกึ่งพรรษา ก็มาหวนระลึกข้ึนวา ในเมื่อเราตั้งใจจริงๆ ในการบวช จําเดิม อายสุ บิ เกา เราไดป ฏญิ าณตนบวชจนตาย ขออยา ใหต ายในระหวา ง กอนบวช บัดน้ีก็ไดบอกลามาถึง ๑๕ พรรษา ยางเขาพรรษา นี้แลว ก็พอแกความประสงคของเราแลว บัดนี้ของจริงที่ พระพุทธเจาทานรูทานเห็น เราก็ยังไมไดบรรลุ ยังไมรูไมเห็น สมควรแลวท่ีจะตองกระทําอยางจริงจังเมื่อตกลงใจไดดังน้ีแลว วันนั้นเปนวันกลางเดือน ๑๐ ก็เร่ิมเขาโรงอุโบสถแตเวลาเย็น 19 19
ตงั้ สจั จาธษิ ฐานแนน อนลงไปวา ถา เรานง่ั ลงไปครงั้ น้ี ไมเ หน็ ธรรม ที่พระพุทธเจาตองการเปนอันไมลุกจากที่นี้จนหมดชีวิต เม่ือตั้ง จิตมั่นลงไปแลว ก็เริ่มปรารภนั่ง จึงไดแสดงความออนวอน แดพ ระพทุ ธเจา วา ขอพระองคไ ดท รงพระกรณุ าโปรดขา พระพทุ ธเจา ทรงประทานธรรมท่ีพระองคไดทรงตรัสรูอยางนอยที่สุด แลงาย ทสี่ ดุ ท่พี ระองคไดท รงรแู ลว แดขาพระพทุ ธเจา ถา ขา พระพทุ ธเจา รูธรรมของพระองคแลว เปนโทษแกศาสนาของพระองคแลว ขอพระองคอยาทรงพระราชทานเลย ถาเปนคุณแกศาสนาของ พระองคแลว ขอพระองคไดทรงพระกรุณาโปรด พระราชทาน แดขาพระองค ขาพระองครับเปนทนายศาสนา ในศาสนาของ พระองคจนตลอดชีวิต แตพอออนวอนเสร็จแลว ก็เริ่มปรารภ เขาท่นี ัง่ สมาธิตอไป มานึกถึงมดคี่ทตี่ ามชองของแผน หินทีย่ าวๆ แลบนแผน หนิ บา ง ไตไ ปมาอยบู า งแตไ มม ากนกั จงึ หยบิ เอาขวด นาํ้ มนั กา ดมา เอานวิ้ จกุ เขา ทป่ี ากขวด แลว ตะแคงขวดใหเ ปย กนวิ้ เขา แลว เอามาลากเปน ทางใหร อบตวั จะไดก นั ไมใหม าทาํ อนั ตราย ในเวลานั่งลงไปแลว แตพ อทางนิ้วท่ีเปยกนา้ํ มันนัน้ ไมทนั ถงึ ครึ่ง ของวงตัวท่ีน่ัง ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้นวา ชีวิตสละไดแตทําไม ยงั กลวั มดคอี่ ยเู ลา กน็ กึ อายตวั เองขน้ึ มา เลยวางขวดนา้ํ มนั เขา ท่ี เลยในเด๋ียวนั้น ประมาณคร่ึงหรือคอนคืนไมมีนาฬกา ไมแนก็ เห็นผังของจริงของพระพุทธเจา ซ่ึงมีอยูในหนังสือธรรมกาย ทค่ี ณุ พระทพิ ยป รญิ ญาเรยี บเรยี งพมิ พแ จกไปแลว นนั้ ในขณะนนั้ ก็มาปริวิตกวา คัมภีรโรจายังธรรมเปนของลึกถึงเพียงนี้ ใครจะ 20 20
ไปคิดคาดคะเนเอาได พนวิสัยของความตรึกนึกคิด ถายังตรึก นึกคิดอยูก็เขาไมถึง ที่จะเขาถึงตองทําใหรูตรึก รูนึก รูคิดนั้น หยุดเปนจุดเดียวกัน แตพอหยุดก็ดับ แตพอดับแลวก็เกิด ถาไมดับแลวไมเกิด ตรองดูเถิดทานท้ังหลาย น้ีเปนของจริง หัวตอมีเปนอยูตรงน้ี ถาไมถูกสวนดังน้ีก็ไมมีไมเปนเด็ดขาด วิตกอยูดังน้ีสักครูใหญๆ ก็กลัววาความมีความเปนนั้นจะเลือน ไปเสยี จึงเขาท่ตี อ ไปใหม ราวสักสามสบิ นาที ก็เห็นวัดบางปลา ปรากฏเหมือนตัวเองไปอยูที่วัดน้ัน แตพอชัดดีก็รูสึกตัวข้ึนมา จึงมีความรูสึกข้ึนมาวาจะมีผูรูเห็นไดยากน้ันในวัดบางปลานี้ จะตองมีผูร เู หน็ ไดแ นน อน จึงมาปรากฏขึน้ บัดนี้ ตอแตน้ันมาก็ คาํ นงึ ที่ไปสอนทว่ี ดั นนั้ อยเู รอื่ ยๆ มา จนถงึ ออกพรรษารบั กฐนิ แลว ก็ลาสมภารวัดบางคูเวียงไปสอนท่ีวัดบางปลาราวสี่เดือน มีพระ ทําเปนสามรูป คฤหัสถส่ีคน นี้เร่ิมตนแผธรรมกายของจริง ที่แสวงหาไดมาจริงปรากฏอยจู นบัดน.้ี 21 21
คำ� ชแี้ จงกอ่ นภำวนำ หนังสือทางมรรคผลนี้ เปนหนังสือสมถวิปสสนาวิชชา ธรรมกาย ซึ่งดําเนินตามแนวทางการเสด็จไปของพระพุทธเจา พระอรหนั ตท กุ ๆ พระองค ทางนท้ี างเดยี วไมม สี องทาง อนั ถกู ตอ ง รอ งรอยความประสงคในพระพุทธศาสนาอยา งแทจ รงิ มีผศู ึกษา และปฏบิ ัติท้ังคฤหสั ถและบรรพชติ อุบาสก อบุ าสกิ า แพรห ลาย แทบทว่ั ประเทศไทย ซง่ึ ไดร บั ผลของการปฏบิ ตั ติ า งยนื ยนั ไดด ว ย ตวั ของทา นเอง ซงึ่ เรยี กวา สนั ทฏิ ฐโิ ก อนั ผไู ดบ รรลจุ ะพงึ เหน็ เอง สวนการท่ีจะทําเปนหรือไมเปนน้ัน เก่ียวกับผูปฏิบัติจริงหรือ ไมจริง ถา ปฏิบตั จิ รงิ แลว ตองเปนทกุ คน เพราะมนษุ ยเ ราทงั้ ชาย และหญิง มีดวงธรรมที่ทําใหเปนกายมนุษย เปนดวงใสบริสุทธิ์ เทาฟองไขแดงของไก อยูท่ีศูนยกลางกายทุกๆ คน ถามนุษย คนใด เอาใจไปหยดุ นง่ิ แนน ทศี่ นู ยก ลางกายใหเ ปน สมาธิ ไมน กึ คดิ ไปในส่ิงตางๆ เอาใจหยุดอยูที่ดวงธรรมน้ันใหมากท่ีสุดหรือ นานทสี่ ดุ ตอ งเปน ทกุ คน ทไ่ี มเ กดิ ไมเ ปน นน้ั เพราะเหตวุ า ใจไมห ยดุ ตัวหยดุ น้ีแลเปนตัวสําเรจ็ สว นการทใ่ี จไมห ยดุ นน้ั เพราะมอี ปุ กเิ ลส ๑๑ ขอ ประจาํ อยู อนั เปนเครื่องสําคัญในเรอื่ งท่จี ะเปนหรอื ไมเ ปน หรอื ไมไดบรรลุ มรรคผล มดี งั นี้ คือ ๑. วิจกิ จิ ฉา ความลังเลหรือความสงสัย ๒. อะมะนะสิการะ ความไมสนใจไวใ หด ี 22 22
๓. ถนี ะมิทธะ ความทอ และความเคลบิ เคลม้ิ ๔. ฉัมภิตตั ตะ งวงนอน ๕. อุพพิละ ความสะดงุ หวาดกลัว ๖. ทุฏุลละ ความตืน่ เตนดวยความยินดี ๗. อจั จารทั ธวริ ยิ ะ ความไมสงบกาย ๘. อะติลีนะวิริยะ ความเพยี รจัดเกนิ ไป ๙. อะภชิ ปั ปา ความเพียรยอ หยอ นเกินไป ๑๐. นานัตตะสญั ญา ความอยาก ความนกึ ไปในสงิ่ ตา งๆ ๑๑. รปู านงั อะตินชิ ฌายติ ัตตะ เรอ่ื งราวตางๆ ท่เี คยผานมา หรอื จดจาํ ไวม าผดุ ขนึ้ ในขณะ ทําสมาธิ ความเพง ตอ รปู หรอื เพง นมิ ติ นนั้ จนเกนิ ไป เมอ่ื อปุ กเิ ลสเหลา นี้ แมอ ยา งใดอยา งหนง่ึ เกดิ ขน้ึ แกเ ราแลว สมาธขิ องเรากเ็ คลอื่ นไป เพราะอปุ กเิ ลสเหลา นเี้ ปน ตน เหตุ ฉะนนั้ ในการบาํ เพญ็ ภาวนา เราตอ งใชค วามเพยี ร ความอดทน ทงั้ ๒ ขอ น้ี เปนขอสาํ คญั ยงิ่ และคอยประคองคุมสติไวไมใหเผลอ ใชปญญา สอดสองดูวาวิธีใดที่จะทําใหอุปกิเลสเหลาน้ีเกิดข้ึนไมไดเราก็จะ ทําใจไวโดยวิธีนนั้ จะวางใจของเราไวใ หเ ปนกลางๆ คือมชั ฌมิ า ปฏิปทาใหเปน อเุ บกขา อยา ยินดีและยินรา ย ใหพยายามละจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง จงทําใจของเราใหใส เปน แกว 23 23
ใหเ ยอื กเยน็ ใหแ ชม ชนื่ ใหถ กู สว นเปน สมาธแิ นแ นว เอาใจจดอยทู ่ี ดวงนมิ ติ ทศ่ี นู ยก ลางกายนน้ั ใหม ากทส่ี ดุ ตอ งทาํ ใหเ สมอทาํ เนอื งๆ ในทกุ อริ ยิ าบถ ไมว า นง่ั นอน เดนิ ยนื ทาํ เรอื่ ยไปอยา หยดุ อยา ละ อยาทอดท้ิง อยาทอแท มุงรุดหนาเร่ือยไป ผลจะเกิดวันหน่ึง ไมต องสงสยั ผลเกดิ อยา งไรทา นรูดวยตวั ของทานเอง อน่ึงในการเจริญภาวนานี้ ขอใหทานจงประกอบเหตุ สังเกตผลทนเอาเถิดประเสริฐนัก เพราะเปนมหัคคตกุศลหรือ มหากศุ ลอนั ยงิ่ ใหญไ พศาล เปน ทางมรรคผลนพิ พาน ถงึ แมไ มไ ด เห็นอะไร ก็จะเปนอุปนิสัยติดตัวไปในปรภพเบื้องหนา ขอทาน ทงั้ หลายจงอตุ สา หม านะ วริ ยิ ะ บาํ เพญ็ เพยี ร ใหบ งั เกดิ มรรคแลผล เพราะเปนวิชชาท่ีชวยและเปนท่ีพ่ึงของตนเองไดอันเท่ียงแท อยา ไดเ คลอื บแคลงสงสยั อยา งหนงึ่ อยา งใดเลย ขอความสขุ สวสั ดี จงบังเกิดมีและสัมฤทธิ์ผลดังมโนรถปรารถนาแดทานทั้งหลาย ที่ไดนําหนังสือทางมรรคผลน้ีไปประพฤติและปฏิบัติโดยทั่วกัน จงทกุ ๆ ประการฯ รักษรางพอสรางราย รอดตน ยอดเย่ยี ม “ธรรมกาย” ผล ผองแผว เลอเลิศลว งกศุ ล ใดอื่น เชิญทา นถอื เอาแกว กอ งหลา เรอื งสกล พระมงคลเทพมุนี 24 24
25
26
วธิ บี ชู ำพระ ว่ำก่อนนง่ั ภำวนำทุกครัง้ ยะมะหงั สมั มาสมั พทุ ธงั , ภะคะวนั ตัง สะระณงั คะโต (ชาย), คะตา (หญิง) อิมนิ า สักกาเรนะ, ตัง ภะคะวนั ตัง อะภปิ ชู ะยามิ ขาพเจาบูชาบัดนี้ ซ่ึงพระผูมีพระภาคเจา ผูตรัสรูแลวเอง โดยชอบ ซึ่งขาพเจาถึงวาเปนที่พึ่ง กําจัดทุกขไดจริง ดว ยสักการะนี้ ยะมะหงั สวากขาตงั , ภะคะวะตา ธมั มงั สะระณงั คะโต(ชาย), คะตา (หญงิ ) อิมินา สักกาเรนะ, ตัง ธมั มงั อะภิปูชะยามิ ขาพเจาบูชาบัดน้ี ซ่ึงพระธรรม อันพระผูมีพระภาคเจา ตรสั ดแี ลว ซงึ่ ขา พเจา ถงึ วา เปน ทพี่ ง่ึ กาํ จดั ภยั ไดจ รงิ ดว ยสกั การะน้ี ยะมะหัง สปุ ะฏิปน นงั , สังฆงั สะระณงั คะโต (ชาย), คะตา (หญงิ ) อิมินา สกั กาเรนะ, ตัง สังฆัง อะภิปชู ะยามิ ขาพเจาบูชาบัดนี้ ซึ่งพระสงฆผูปฏิบัติดี ซึ่งขาพเจาถึงวา เปน ท่ีพ่ึง กาํ จัดโรคไดจ รงิ ดวยสักการะน้ี 27 27
ไหวพระต่อไป อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภวิ าเทมิ (กราบลง ๑ หน) สะวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม, ธมั มงั นะมสั สามิ (กราบลง ๑ หน) สปุ ฏปิ น โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สงั ฆงั นะมามิ (กราบลง ๑ หน) ค�ำขอขมำโทษ ตง้ั นะโม ๓ หน แลว ขอขมำโทษดงั ต่อไปน้ี อกุ าสะ, อจั จะโย โน ภนั เต, อจั จกั คะมา, ยถาพาเล, ยถามฬุ เห, ยะถาอะกสุ ะเล, เย มะยัง กะรมั หา, เอวงั ภนั เต มะยัง, อัจจะโย โน ปะฏคิ คณั หะถะ, อายะติง สังวะเรยยามิ ขาพระพุทธเจา ขอวโรกาส ไดพลั้งพลาดดวยกาย วาจา ใจ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ เพยี งไร แตข าพระพุทธเจา เปนคนพาล คนหลง อกุศลเขาสิงจิต ใหกระทําความผิด ตอ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ ขอพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ จงงดความผดิ ทง้ั หลายเหลา นนั้ แกข า พระพทุ ธเจา จาํ เดมิ แตว นั นี้ เปนตนไป ขาพระพุทธเจาจักขอสํารวมระวังซ่ึงกาย วาจา ใจ สบื ตอ ไปในเบอ้ื งหนา 28 28
คำ� อำรำธนำ อุกาสะ ขาพระพุทธเจาขออาราธนา สมเด็จพระพุทธเจา ท่ีไดตรัสรูลวงไปแลว ในอดีตกาล มากกวาเมล็ดทรายในทอง พระมหาสมุทรท้ัง ๔ แลสมเด็จพระพุทธเจาอันจักไดตรัสรู ในอนาคตกาลภายภาคเบอ้ื งหนา แลสมเดจ็ พระพทุ ธเจา ทไี่ ดต รสั รู ในปจจบุ ันน้ี ขอจงมาบงั เกิดในจกั ขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชวิ หาทวาร กายทวาร มโนทวาร แหง ขา พเจา ในกาลบดั เดย๋ี วนเ้ี ถดิ อกุ าสะ ขาพระพทุ ธเจาขออาราธนา พระนพโลกตุ ตรธรรม เจา ๙ ประการ ในอดีตกาลลว งลับไปแลว จะนบั จะประมาณมิได และพระนพโลกตุ ตรธรรมเจา ๙ ประการ ในอนาคตกาล ภายภาค เบอื้ งหนา และพระนพโลกตุ ตรธรรมเจา ๙ ประการในปจ จุบันน้ี ขอจงมาบังเกิดในจักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวาร แหง ขาพเจาในกาลบดั เด๋ียวน้เี ถดิ อุกาสะ ขาพระพุทธเจาขออาราธนา พระอริยสงฆ กับสมมติสงฆในอดีตกาลลวงลับไปแลว จะนับจะประมาณมิได และพระอรยิ สงฆก บั สมมตสิ งฆ ในอนาคตกาลภายภาคเบอื้ งหนา และพระอริยสงฆกับสมมติสงฆในปจจุบันน้ี ขอจงมาบังเกิดใน จกั ขทุ วาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวาร แหง ขาพระพทุ ธเจาในกาลบัดเดี๋ยวน้ีเถดิ 29 29
คำ� อธษิ ฐำนตอ่ ไป ขอเดชคณุ พระพุทธเจา คณุ พระธรรมเจา คุณพระสงฆเจา (ชาย) คุณครูอุปชฌายอาจารย, (หญิง) คุณครูบาอาจารย คุณมารดาบิดา คุณทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปญญาบารมี วิริยบารมี ขนั ตบิ ารมี สัจจบารมี อธษิ ฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทขี่ าพเจา ไดบําเพ็ญมา แตรอยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติก็ดี ท่ีขาพเจาไดบําเพ็ญมา แตต้ังแตเล็กแตนอย ระลึกไดก็ดี หรือระลึกมิไดก็ดี ขอบารมีท้ังหลายเหลานั้น จงมาชวยประคับประคองขาพเจา ขอใหข า พเจา ไดส าํ เรจ็ มรรคแลผล ในกาลบดั เดยี๋ วนเี้ ถดิ นพิ พานะ ปจ จะโยโหตุ จบวิธีบูชาไหวพระ วธิ ีนั่งต่อไป คบู ลั ลงั กข ดั สมาธิ เทา ขวาทบั เทา ซา ย มอื ขวาทบั มอื ซา ย เวนหัวแมม ือทั้งสองใหหางกนั สององคลุ ี คอื หวั แมมือซายจดกับ ปลายนิ้วช้ีขวา แลวตั้งกายใหตรง คือ วัดต้ังแตปลายน้ิวชี้ของ เทา ขวาถงึ กลางลูกสะบา ของหวั เขา ขวานั้น แลว เอาเคร่ืองวัดนั้น จดลงทต่ี รงบนตาตมุ ขาขวา แลวเอาเครือ่ งวดั อีกขา งหน่งึ จดเขา ท่ีใตลูกคาง นี้เปนสวนของกายตรง เรียกอุชุงกายัง ปะณิธายะ ตั้งกายใหตรง ปะริมุขังสะติงอุปฏฐเปตวา เขาไปตั้งสติไวให 30 30
มีหนารอบ คือเขาไปต้ังสติไวไมใหเผลอ (ตรงกับพระขีณาสพ ผูเปนสติวินัย มีสติทุกเมื่อ) น่ีเปนทางไปของพระพุทธเจา พระอรหันต สติไมเผลอจากบริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต ใหติดกันไมแยกแตกจากกัน น้ีแลเปนของสําคัญในเรื่องท่ีจะ เปน หรอื ไมเ ปน สตไิ มเ ผลอจากบรกิ รรมทงั้ สอง บรกิ รรมวา “สมั มา อะระหัง” น้ีเรียกวาบริกรรมภาวนา กําหนดเคร่ืองหมาย ใหใส เหมอื นเพชรลกู ทเี่ จยี ระไนแลว ไมม ขี นแมว โตเทา แกว ตาประมาณ เทา วงของตาดาํ ใสขาวเหมอื นกระจกทส่ี อ งเงาหนา สณั ฐานกลม รอบตวั ไมม ตี าํ หนเิ รยี บรอบตวั เหมอื นดวงแกว กายสทิ ธ์ิ นเี้ รยี กวา บริกรรมนมิ ติ บรกิ รรมท้ังสองนี้พรากจากกนั ไมไ ด ตอ งใหตดิ กนั อยเู สมอในอิรยิ าบถทงั้ สี่ คือ ยืน เดิน นง่ั นอน ไมเผลอ ใหม ีสติ อยเู สมอมิใหข าด เมอื่ เหน็ ดวงนมิ ติ เกดิ เปน ดวงใสขน้ึ แลว ใหห ยดุ บริกรรมภาวนา เพงอยทู ีก่ ลางดวงนนั้ แลวทําใจใหห ยุดในหยุด ท่ีกลางดวงน้ันมีจุดเปนเคร่ืองหมายใหใสหนักขึ้นทุกที จนเปน รัศมีคือแสงสวาง ถาไมหยุดใหบริกรรมภาวนาไว วา “สัมมา อะระหงั ๆๆ” รอ ยครง้ั พนั ครงั้ จนกระทง่ั ใจคอ ยๆ รวมหยดุ อยทู เ่ี ดยี ว ดังจะอธบิ ายขา งหนา เปนลาํ ดบั ไป 31 31
32 32
รปู ดา นขา งคอื ผา ซกี ๓ จอมประสาท แสดงที่ต้งั ของดวงนิมติ จากฐานที่ ๑ ถงึ ฐานท่ี ๗ 33 33
ฐานที่ ๑ ปากชองจมกู หญงิ ซา ย ชายขวา ตรงกลางพอดี ไมล้าํ เขา ไป ไมเ หลื่อมออกมา ฐานที่ ๒ เพลาตา หญิงซาย ชายขวา ตรงหวั ตาพอดี ตามชองลมเขาออกขางใน ฐานท่ี ๓ กลางก๊กั ศีรษะ ใหไดร ะดับกับเพลาตา อยูภายใน ตรงศูนยก ลางของศรี ษะ ฐานท่ี ๔ ปากชองเพดาน ไมใหล้ําเหลอ่ื ม ตรงชอ งท่ี รบั ประทานอาหารสาํ ลัก ฐานที่ ๕ ปากชอ งคอ เหนอื ลูกกระเดอื ก อยูตรงกลางทเ่ี ดยี ว ฐานท่ี ๖ สดุ ลมหายใจเขา ออก คือกลางตวั ตรงกับสะดอื แตอ ยูภายใน ฐานท่ี ๗ ถอยหลังกลับมาเหนือสะดือ ประมาณ ๒ นิ้วมือ ในกลางตวั กําหนดดวงนิมิตเคร่ืองหมายไปหยุดอยูตามฐานน้ันๆ พรอมกบั ภาวนาในใจวา “สัมมา อะระหัง” สามครงั้ แลว จงึ เล่อื น ดวงนิมติ นน้ั ตอ ไป สําหรับฐานที่ ๓ เวลาจะเลอื่ นดวงนิมิตตอ ไป ตองเหลือบตากลับเขาขางใน คลายๆ กับคนนอนกําลังจะหลับ แตแ ลว กป็ ลอ ยใหเ ปน ไปตามปกติ ทงั้ นเี้ พอื่ จะใหค วามเหน็ ความจาํ ความคดิ ความรู (รวม ๔ อยางนีเ้ รียกวา ใจ) กลบั เขา ขางใน เพราะจะตองดูดวยตาละเอียดตอไป เมื่อเล่ือนดวงนิมิตกลับข้ึน มาอยฐู านที่ ๗ แลว ใหเ พง อยตู รงนนั้ ทเ่ี ดยี ว ใหค กู นั ไปกบั บรกิ รรม ภาวนาวา “สมั มา อะระหงั ” ถา หากรจู กั ทางคอื ฐานทต่ี งั้ เหลา นแี้ ลว 34 34
ในการทําคราวหลังๆ จะเอาใจไปจดฐานท่ี ๗ เลยทีเดียวก็ได ตรงน้ันมีศูนยอ ยู ๕ ศูนย คอื 35 35
ศูนยกลาง หนา ขวา หลัง ซาย (ดูรูปลักษณะของฐานท่ี ๗) ศูนยกลางคืออากาศธาตุ เคร่ืองหมายท่ีใสสะอาดลอยอยูชอง อากาศกลาง พรอ มดว ยความรทู เ่ี รยี กวา “วญิ ญาณธาต”ุ ศนู ยข า งหนา คือธาตุนํ้า ศูนยขางขวาคือธาตุดิน ศูนยขางหลังคือธาตุไฟ ศนู ยข า งซา ยคอื ธาตลุ ม นยิ มพรอ มดว ยธาตทุ งั้ ๖ ธาตไุ มพ รอ มกนั ปฐมมรรคเกดิ ไมไ ด เมอ่ื ไมม ปี ฐมมรรค มรรคผลนพิ พานก็ไปไมถ กู เหตุน้ีจึงตองทําปฐมมรรคใหเ กดิ ใหมขี ้นึ 36 36
37
38
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183