Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore aหนังสือทิพยอำนาจ

aหนังสือทิพยอำนาจ

Description: aหนังสือทิพยอำนาจ

Search

Read the Text Version

หนงั สอื ทพิ ยอาํ นาจ โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสโฺ ส เส็ง ป.๖)

คาํ นาํ ของผเู รยี บเรยี ง เมอ่ื ในพรรษา พ.ศ.๒๔๙๓ ขณะพักวเิ วกอยูใ นปาแหง เขาสวนกวาง จงั หวัดขอนแกน ระลกึ ขึน้ ไดถงึ คาํ อาราธนาของบุคคลหลายคน คําอาราธนาน้ันๆ เราใจใหค ิดแตงหนังสือเลมนข้ี ึ้น. พระอาจารยกนั ตสีลเถระ (เสาร) อาราธนาใหแตง อธิบายโพธปิ กขิยธรรม ดวยสาํ นวนและ ภาษางายๆ เพอ่ื ประโยชนแกนกั ปฏิบตั ิ ผูมกี ารศึกษาปรยิ ตั ธิ รรมนอย จะไดอาศยั ศกึ ษาและปฏบิ ัติ หลวงประฑิตกรณี อาราธนาใหแ ตงสมาธิวิธีท่ีพอจะถือเปนคมู ือในการทาํ สมาธไิ ด. ภิกษรุ ูปหนง่ึ อาราธนาใหแ ตงวิธบี ําเพญ็ ฌานและเจริญญาณทสั นะในพระพทุ ธศาสนา เพอื่ ประโยชนแกผู ตองการปฏบิ ตั ิในดานนี้ และศิษยผ ูอ าราธนาใหแ ตงวิธีสรางทพิ ยอาํ นาจตัง้ แตขนั้ ต่ําๆ ขึ้นไปถงึ ขั้น สงู สดุ เพือ่ เปน คมู ือของผตู อ งการสรางทพิ ยอาํ นาจข้ึนไวบาํ เพญ็ ประโยชน เมอ่ื ประมวลคาํ อาราธนาเหลานี้เขาดว ยกัน เหน็ วา เปนความตองการในแนวเดยี วกัน พอจะทําเปน หนงั สอื เลม เดยี วได จะไดปลดเปล้ืองคําอาราธนานน้ั ใหเ สรจ็ สิ้นไปเสียที ในขณะที่มีกาํ ลงั พอทาํ ไดน.้ี อนึ่ง เม่อื ไดเ รยี บเรียงและพิมพพรหมจรรยคืออะไร? เผยแผไป สังเกตไดวา มผี ูส นใจในการ ฝกฝนจิตใจตามหลักพระพทุ ธศาสนามากขึ้น หนังสือพรหมจรรยค ืออะไร? ไดประมวลหลกั พรหมจรรยใ นพระพทุ ธศาสนาไวเพียงยอๆ ไมพอท่ีจะอาศยั เปน เคร่อื งมอื ของผเู ร่ิมศกึ ษา จงึ เปน โอกาสดีทจี่ ะรีบเรยี บเรยี งวิธีฝกฝนอบรมจติ ใจ ตามหลกั พระพุทธศาสนาไวเสยี ในขณะนี.้ จึงประมวลเรื่องทต่ี องการมาเรยี บเรียงเขาลาํ ดบั และพิจารณาหาคําท่จี ะใชเ ปนชอื่ หนงั สือน้ี ไดคาํ วา “ทพิ ยอํานาจ” ซึง่ เปนคาํ มีความหมายซึง้ ชวนสนใจ และยงั ไมมใี ครเคยใชเปนชอ่ื หนงั สือ ประเภทนีม้ ากอ น แลวตรวจสอบเรอ่ื งเหลา นีใ้ นพระไตรปฎก เชน หมวดพระสตุ ตันปฎ กเทาท่ี สามารถจะคน ได นาํ มาเรียบเรยี งเขา หมวดหมู ตามความเหมาะสมของเร่ืองนนั้ ๆ สวนหนงั สืออ่ืนๆ แมมีความตอ งการจะคนเร่อื งมาเรียบเรยี งบาง ก็ไมมีอยูใกลม ือสกั เลม เดยี ว เพยี งแตอาศัยความ จดจําเร่ืองน้นั ๆ บางประการทีเ่ คยอานมาแลว เทาน้ัน แมเ พียงเทานกี้ ็ตองถือวา เปนหน้ีบุญคณุ ของ หนงั สอื เหลา นี้แลว ขา พเจาขอขอบคุณไวใ นที่นดี้ วย. สาํ นวนโวหารและคําศัพทแ สงตางๆ ทีน่ ํามาใช ไดพยายามใชส ํานวนงา ยๆ และใชคาํ ที่มี ความหมายตายตวั และใชกนั ดื่นแลว ทั้งนม้ี งุ ใหสาํ เร็จประโยชนแ มแ กผ ูพออา นออกเขียนไดแลว . แตก ็ไมพ น ไปจากความยาก เพราะเนอื่ งดว ยหลักวิชาชั้นสูง จะอธิบายใหง า ยเกนิ ไปกไ็ มไดอ ยเู อง ถา ผูอาน อานดวยความสนใจพินิจพจิ ารณาสักหนอ ยก็คงผา นพน ความยากไปไดบ าง. ผลมงุ หมายของการฝก ฝนจติ ใจ ทางพระพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาณ (ญาณเปนเหตุ ทําอาสวะกิเลสใหส ้ินไป) โดยตรง นอกน้ันเปนผลพลอยได ในเมอื่ อบรมจติ ใจไปถงึ ข้ันท่ีควรมี ทพิ ยอํานาจบางประการนน้ั ๆ มิใชผลมุงหมายโดยตรง ถึงอยางนน้ั ผูมงุ บาํ เพ็ญประโยชนกวางขวาง ทพิ ยอาํ นาจ ๒

ก็จําเปนตองฝก ใชท พิ ยอํานาจตางๆ ไปดว ย เพราะคนโดยมากชอบอาํ นาจ ยิ่งเปนอํานาจ มหศั จรรยเทาใด ย่ิงชอบเทา นั้น ที่มีผเู ขา ใจวา สมัยนค้ี นตอ งการเหตุผล ไมจําเปน ตอ งมีฤทธ์ิเดช อํานาจมหัศจรรย ก็สามารถทาํ การเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาได ขาพเจาไดยินแลว กน็ ํามาไตรต รอง แลวมองดโู ลกท่ัวๆ ไปในปจ จุบันนี้ กย็ งั เหน็ วา อาํ นาจมหศั จรรยเ ปน ส่ิงจาํ เปน อยนู ่ันเอง มีคน จาํ นวนนอ ยทส่ี ดุ ที่ตองการเหตผุ ล คนสว นมากแมม ีการศกึ ษาสูงสักเพยี งไรก็ตาม มักไมคอยเชื่อ เหตผุ ลเทา ที่พดู สกู ันฟงไดนนั้ เลย ย่ิงเร่อื งท่ีลึกลับเกนิ เหตุผลธรรมดา ซึง่ ไมสามารถหาเหตผุ ล สามญั ธรรมดามาพูดใหฟ งไดแลว เขายง่ิ ไมย อมเช่ือวา มไี ดเ ปน ได เม่อื หาเหตุผลมาพูดใหฟ ง ไมไ ด เขาก็หาวาทางพระศาสนาหลอกลวงเขาใหเ ชอ่ื เขาไว เพ่อื พระศาสนาและคนของพระศาสนาจะ ดํารงอยไู ดเทานน้ั เขาไมเ ห็นวาศีลธรรมตามท่ีทางพระศาสนาสง่ั สอนเขานน้ั เปนประโยชนของเขา เอง ท้ังๆ ที่เขาอยสู บายดว ยรมเงาของศลี ธรรม คนจําพวกน้ตี อ งอาศัยอํานาจมหศั จรรยเ ขา ชวย จึง จะสามารถปลูกศรัทธาในพระศาสนา หรอื ศีลธรรมอันดีแกเขาได. พระพทุ ธศาสนาผา นพนภยั พิบตั ริ า ยแรงมาไดจ นถงึ ปจจุบัน กด็ ว ยอํานาจมหัศจรรย สมยั พุทธกาลไมตอ งพูดถึงกไ็ ด เพราะเปน สมัยเริม่ ต้ังพระพทุ ธศาสนา ยอมเปน ความจําเปนอยดู ี ท่ตี อง ใชอ าํ นาจมหศั จรรยเ ขา ชว ยในการเผยแผพระพทุ ธศาสนา สมยั หลังพทุ ธปรินพิ พานมาปรากฏใน ประวตั ขิ องพระพทุ ธศาสนาวา ไดผา นพนภยั พิบัตริ า ยแรงมาดวยอํานาจมหศั จรรยหลายครง้ั เทา ท่ี นกึ เหน็ พอจะนํามาเลา ได ดงั น้ี ครง้ั หนง่ึ เมื่อพระพุทธศาสนาลวงไดป ระมาณ ๒๓๖ ป พระเจา ศรธี รรมาโศกราชหันมานบั ถอื พระพุทธศาสนา และทํานุบํารงุ เปนการใหญ กเ็ พราะอํานาจมหัศจรรยของพระภกิ ษรุ ูปหนงึ่ และอํานาจมหศั จรรยข องพระโมคคลั ลีบุตรตสิ สเถระ ถึงกับทําใหพระเจาศรีธรรมาโศกราช ทรง มอบพระกายถวายพระชวี ติ ในพระพทุ ธศาสนา และแผพ ระพทุ ธศาสนาเปน การใหญ. อีกครง้ั หนงึ่ เม่อื พระพทุ ธศาสนาลวงไปประมาณ ๕๐๐ ป คณะสงฆต องแตกพาย พระพุทธศาสนาถกู ทําลายลงดว ยมือของพระราชาชาวกรกี ทม่ี ารกุ รานและครอบงาํ อนิ เดยี แหลง กําเนดิ ของพระพุทธศาสนา พระอศั วคตุ ตเถระ ซง่ึ เปน หัวหนาสงฆฝายเหนือ ถึงตอ งไป อญั เชญิ เทพบุตรใหจ ุติลงมาเกิด แลวใหพระผสู ามารถไปพยายามเอามาบวชในพระพุทธศาสนา อบรมใหสําเรจ็ ความรสู ูงสดุ ในพระพทุ ธศาสนา พรอ มดว ยอาํ นาจมหัศจรรยห ลายประการ แลว สง ไปปราบพระราชาชาวกรีก แหง สาคลนคร ประเทศมจั ฉะ ซึง่ ทรงพระนามวา พระเจามลิ นิ ท พระราชาชาวกรีกทรงเห็นอาํ นาจมหศั จรรยข องพระนาคเสนเถระ ท้ังทรงจํานนตอคาํ แกปญ หา ของพระเถระ จึงบังเกิดพระราชศรัทธาในพระพทุ ธศาสนา และทรงมอบพระกาย ถวายพระชีวิต รบั ใชพระพุทธศาสนา ทรงทาํ นบุ ํารงุ และปองกนั ภยั แหงพระพุทธศาสนาดว ยพระราชอาํ นาจ. เมอ่ื หันมามองดูเหตกุ ารณข องโลกในปจ จบุ ันน้ีแลว พจิ ารณาดูทางท่จี ะรอดพนภัยพบิ ตั ิของ พระพทุ ธศาสนา ก็เหน็ มีแตอ ํานาจมหัศจรรยเ ทา นั้นท่จี ะชว ยได เพราะเพยี งแตป ากพดู ปาวๆ ชีแ้ จงเหตผุ ลเปนการไมเพยี งพอเสียแลว คนของพระพุทธศาสนาจะตองเปน คนศักดส์ิ ทิ ธมิ์ ีฤทธเิ์ ดช มหัศจรรย จงึ จะสามารถรกั ษาพระพทุ ธศาสนาใหด าํ รงอยแู ละแผไพศาลไปได ความจรงิ พระพุทธศาสนาเปน พระศาสนาที่ศักดสิ์ ิทธิใ์ นดานเหตผุ ลอยแู ลว คนของพระพทุ ธศาสนาตอง ทิพยอาํ นาจ ๓

ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ สามารถเปน พยานในเหตผุ ลตามทีท่ างพระพทุ ธศาสนากลาวไวด ว ยจึงจะสมกนั คือ ตอง พูดไดแ ละทําไดตามพูดดว ย เมื่อเปนไดด งั วา นจี้ ะทําใหพระพทุ ธศาสนาเดน และศกั ด์สิ ทิ ธ์ยิ ่งิ ขึ้น เพียงแตพูดได แตท าํ ไมไดต ามพูด กจ็ ะไมศ กั ดิ์สิทธิ์ จะเขาทาํ นองท่วี า “จงทาํ ตามที่ฉันพดู แตอยา ทําตามฉัน” ในเมือ่ ไปสั่งสอนผอู ื่น ถงึ แมไมพ ูดคาํ นี้ออกมาตรงๆ กต็ าม การทาํ และพฤตกิ ารณท ี่ แสดงออกมา มนั บอกอยูโ ดยตรงแลว คนมคี วามคิดยอมรูจักอยดู ี เมอื่ เปน เชนนี้ คาํ พูดสั่งสอน ยอ มไมมีน้ําหนกั พอจะจูงใจผฟู งใหเช่ือถอื ได กจ็ ะเปนเพยี งสกั วา พูดและฟง กนั ไปเทานน้ั เอง จะหา คนทาํ ตามคาํ สง่ั สอนทางพระพทุ ธศาสนาจริงๆ ไมไ ด เม่ือเปนถงึ ขนั้ นี้ จะชือ่ วา ยงั มพี ระพทุ ธศาสนา อยหู รอื ? ขอเชญิ ชวนพุทธบรษิ ัท มาชวยกันคดิ อา นหาทางทํานบุ ํารงุ และปอ งกันภัย พระพทุ ธศาสนา มาชว ยกนั ทําใหเกิดมบี ุคคล ซ่งึ มตี นเปนพยานในคําส่งั สอนของพระบรมศาสดา- จารย สามารถยนื ยันไดเตม็ ปากวา พระพุทธศาสนาอาํ นวยผลสงู สดุ แกผ ูปฏบิ ัติตามไดจริง ไม ลา สมยั มรรค ผล นิพพาน ธรรมวเิ ศษมจี ริง แมในสมัยปจ จบุ นั ขาพเจา เรียบเรยี งทิพยอํานาจน้ี ขึน้ มงุ หมายหาบคุ คลไดเ ปนพยานในคําสงั่ สอนของพระบรมศาสดา หวงั วาจะไดรบั ความสนใจ จากสาธุชนท่วั กนั . บญุ กุศลอันเกิดจากการเรยี บเรยี งหนังสอื น้ที ั้งหมด ขาพเจา ขออทุ ศิ ถวายแด พระมหา กษัตริยาธริ าชเจา ผเู อกอคั รพุทธศาสนปู ถัมภกทุกพระองค และแกพระโบราณาจารย ผบู รหิ าร พระพุทธศาสนาสืบตอ กันมาทุกทา น จนถงึ สมยั ปจจบุ ันน.้ี อนง่ึ การคดั จากตนราง สาํ เรจ็ ดว ยน้าํ พกั นํา้ แรงของ พระภกิ ษุไกรลาส คนฺธรโต ทั้งสน้ิ จึง ขอขอบคณุ เธอไวในท่นี ้ดี วย. พระอรยิ คณุ าธาร สาํ นักบําเพ็ญธรรมเขาสวนกวาง ขอนแกน ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ทพิ ยอํานาจ ๔

สารบาญ บทนาํ ๑๒ ทพิ ยอาํ นาจคืออะไร ๒๐ อุทาหรณป าฏิหาริย ๒๗ ตโิ รภาพปาฏิหารยิ  ปาฏิหาริยทเู รภาพ ยมกปาฏิหาริย ปาฏหิ ารยิ  ๓ อยาง ทพิ ยวิสัย วิชชา ๘ ประการ บทที่ ๑ อะไรเปน ที่ตั้งแหง ทพิ ยอํานาจ ฌาน ๔ นวิ รณ ๕ องคแ หง ฌาน ๕ ปฐมฌานมลี กั ษณะ ๖ ทตุ ิยฌานมลี กั ษณะ ๕ ปติมลี ักษณะ ๕ ตตยิ ฌานมลี ักษณะ ๖ จตตุ ถฌานมลี กั ษณะ ๖ บทที่ ๒ วิธีเจริญฌาน ๔ วธิ กี ารเกีย่ วกบั เวลา วิธีการแก วธิ กี ารปอ งกัน วิธีการสงเสริม วธิ ีการเกีย่ วกบั อิริยาบถ วิธีเดินจงกรม อานิสงสจ งกรม นง่ั เจรญิ ฌาน ทิพยอาํ นาจ ๕

นอนเจรญิ ฌาน ๓๗ วิธีเจรญิ ฌาน ๕๒ บริกรรมนิมิตต อุคคหนิมิตต ปฏิภาคนมิ ิตต ฌายีบคุ คล วธิ เี ลื่อนฌาน ทพิ ยภาวะ บทที่ ๓ บุพพประโยคแหง ฌาน กรรมฐาน ๒ กรรมฐาน ๔๐ กสิณ ๑๐ วิธีปฏบิ ตั ิในกสิณ อสุภ ๑๐ วิธปี ฏิบตั ิในอสุภ ๑๐ อนสุ สติ ๑๐ อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา จตธุ าตุววัตถาน พรหมวหิ าร ๔ อรปู กรรมฐาน ๔ จริต ๖ อัธยาศยั ๖ ปธานิยังคะ ๕ สัปปายะ ๔ บทท่ี ๔ อุปกรณแ หงทิพยอาํ นาจ ลกั ษณะความดี ๓ อยาง ลักษณะความช่ัว ๓ อยาง โลกุตตรธรรมในมนษุ ย สรีรศาสตร ลักษณะอบรมอนิ ทรีย ทิพยอํานาจ ๖

สังวร ๕ เจรญิ สติปฏฐาน ๔ เจริญอทิ ธิบาท ๔ สรางอนิ ทรีย โพชฌงค ๗ เจรญิ อริยมรรค เจริญอรปู ฌาน เจรญิ สัญญาเวทยติ นโิ รธ กฬี าในพระพุทธศาสนา ๑. ฌานกีฬา ๒. จติ ตกีฬา บทที่ ๕ ๗๔ วิธปี ลกู สรา งทพิ ยอาํ นาจ อภญิ ญา ๖ อิทธวิ ธิ ิ ฤทธ์ติ า งๆ ฤทธิ์ ๑๐ อธิษฐานฤทธิ์ ๑๐ วิกพุ พนาฤทธ์ิ มโนมยั ฤทธ์ิ ญาณวปิ ผาราฤทธิ์ สมาธิผาราฤทธ์ิ อรยิ ฤทธิ์ กมั มวิปากชาฤทธ์ิ ปุญญฤทธ์ิ วิชชามยั ฤทธิ์ สมั มัปปโยคปจจัยอชิ ฌนฤทธิ์ พหภุ าพ เอโกภาพ อาวภี าพ ติโรภาพ ติโรกฑุ ฑาสัชชมานภาพ ปฐวอี ุมมชุ ชภาพ อทุ กาภชิ ชมานภาพ ทพิ ยอาํ นาจ ๗

อากาสจงั กมนภาพ สนั ตเิ กภาพ ทูเรภาพ โถกภาพ พหุกภาพ กายวสกิ ภาพ จิตตวสกิ ภาพ ธูมายิกภาพ ปช ชลิกภาพ กาํ ลงั หนนุ ของอธษิ ฐานบารมี บทที่ ๖ ๙๐ วธิ ีสรางทพิ ยอํานาจ มโนมยั ฤทธ์ิ ๙๗ บทท่ี ๗ ๑๐๖ วิธีสรา งทพิ ยอาํ นาจ ๑๑๓ เจโตปรยิ ญาณ รูจักใจผูอน่ื พุทธกิจประจําวนั ๕ ปาฏหิ ารยิ  ๓ สงั ขาร ๓ เปรียบจติ ตสงั ขารเหมือนคล่นื วทิ ยุ เปรยี บวจีสังขารเหมือนคลน่ื เสียง โสฬสจติ อธิบายลกั ษณะกระแสจิต ความกาํ หนดรเู หตุการณและอปุ นสิ ยั ใจของผอู ื่น ๓ อยา ง บทท่ี ๘ ทพิ พโสต หูทพิ ย ธาตุวเิ ศษในกายมนษุ ย ๖ อารมณอนั เปนวสิ ยั ของธาตุ ๖ อธิบายวิธีปลกู สรา งหูทิพย บทที่ ๙ วธิ สี รางทพิ ยอํานาจ ทพิ ยอาํ นาจ ๘

บุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาตกิ อนได ๑๒๒ เขตของจติ ๑๓๙ ระลกึ ชาตไิ ด รายที่ ๑ ระลึกชาตไิ ด รายที่ ๒ ระลกึ ชาตไิ ด รายที่ ๓ อานิสงสของการระลกึ ชาติได วิธเี อาชนะความหลับ วธิ ีทาํ เพ่ือระลึกชาติได วัฏฏะ ๓ บทที่ ๑๐ ทพิ พจกั ขุ ตาทิพย จักษุ ๘ ตาแกว ทพิ พจกั ขเุ ทียบกบั ศาสตรตางๆ พระพุทธศาสนาแผม าในประเทศไทย โบราณวัตถสุ มัยพระเจาอโศกมหาราช พุทธทํานาย คําทํานายของบคุ คลยคุ ใหม ทิพพจักขุญาณ เทยี บนักปราชญทางโบราณคดี ลกั ษณะญาณ ๓ อตตี งั สญาณ เรอ่ื งราวสมยั ดึกดาํ บรรพ พระเถระทีน่ ําพระพุทธศาสนามาในสุวรรณภูมิ อนาคตงั สญาณ วิธกี ําหนดรูเหตกุ ารณใ นอนาคต ปจจปุ นนังสญาณ ภาพนิมติ ตในขณะหลบั วิธฝี กสมาธิ สมั ปยุตตจิต เจริญกสิณ บทที่ ๑๑ วิธีสรา งทพิ ยอํานาจ รูส ตั วเกิดตาย ทพิ ยอํานาจ ๙

กรรมมีอํานาจใหผ ล ๑๔๘ เหตเุ ราใจใหส ัตวทาํ กรรม ทฏิ ฐธรรมเวทนียกรรม อานิสงสพ รหมจรรย ๙ อปุ ปช ชเวทนยี กรรม อปราปรเวทนียกรรม อโหสิกรรม ชนกกรรม กําเนดิ ๔ อปุ ต ตถมั ภกกรรม อุปปฬกกรรม อุปฆาตกกรรม ครกุ รรม พหุลกรรม อาสนั นกรรม กตตั ตากรรม กรรมมลี กั ษณะ บทที่ ๑๒ วธิ ีสรา งทิพยอํานาจ รูจ ักทําอาสวะใหสิน้ กรรมเกิดจากความรสู กึ แหง ใจ ๓ อยา ง สภาวะที่สมปรารถนา ๗ ประการ ปฏิปทาเพ่ือบรรลุจดุ หมายสูงสุด ๗ ประการ หลกั อนมุ านพระนิพพาน คน ๒ จําพวกไมเหน็ พระนิพพาน วธิ ีเจรญิ วปิ ส สนา เพอ่ื ญาณทสั สนะ ความบริสทุ ธิ์ ๗ ประการ กิเลสของวปิ ส สนา ๑๐ วิปส สนาญาณ ๙ ประการ อารมณข องวิปส สนา วธิ เี จริญวิปสสนาอยางพิสดาร วธิ เี จรญิ วิปส สนาอยางลัด พระไตรลกั ษณญาณ พระอาสวกั ขยญาณ วธิ เี จริญอาสวักขยญาณอยางรวบยอด สัญโญชน ๑๐ ทพิ ยอํานาจ ๑๐

อรยิ วาส ๑๐ ๑๖๙ อินทรียแกว ๑๗๔ บทท่ี ๑๓ วิธรี ักษาทพิ ยอาํ นาจ ส่งิ เสียดแทรกใจไมใ หส งบ นิวรณ ๕ สมั พาธเครอ่ื งคับใจ ๑๐ ความฉลาดในสมาธิ ๗ บทที่ ๑๔ วธิ ใี ชท ิพยอํานาจบําเพ็ญประโยชน คุณอนนั ต โทษมหนั ต พทุ ธจริยา ๓ การบาํ เพญ็ ประโยชน วธิ ีใชทิพยอํานาจคมุ ครองตน ภัยในโลก ๔ ประเภท วิธใี ชทพิ ยอาํ นาจกําจดั ภยั อนั ตรายแกต น วิธใี ชทพิ ยอาํ นาจบําบัดอาพาธแกตน วิธีใชท พิ ยอาํ นาจระงับกเิ ลสของตน วิธีใชทพิ ยอํานาจคุมครองผอู ่ืน วิธใี ชท พิ ยอํานาจบรรเทาภยั แกผ ูอื่น วธิ ีใชทพิ ยอํานาจบาํ บดั อาพาธผอู ื่น วิธใี ชทิพยอาํ นาจปลูกศลี ธรรมแกผูอ ื่น (การคน หาเนอื้ เรอ่ื งท่ีตองการ ใหก ดปุม Ctrl+f แลว พมิ พค าํ ท่ตี องการคนหาลงไป) ทิพยอํานาจ ๑๑

ทิพยอํานาจ พระอรยิ คณุ าธาร เรียบเรยี ง .................................................... บทนํา ทพิ ยอาํ นาจคอื อะไร? .................................................... เมอ่ื ไมนานมานี้ มีขา วในหนาหนังสือพมิ พฉบบั หนง่ึ วา มีสตรีในตางประเทศ เกิดมหี ูทิพย ตาทพิ ย สามารถรเู ห็นเหตุการณในที่ไกล เกินวิสัยตามนษุ ยธรรมดาจะมองเหน็ และสามารถ สนทนากบั วิญญาณของคนท่ีตายไปแลว รเู รอื่ งกันได หนังสอื พิมพฉบับน้ันใหขาวตอ ไปวา มี นกั วทิ ยาศาสตรไปพสิ ูจนความจริงกป็ ระจักษวา สตรคี นน้ันซึ่งไมเ คยรูจักนักวทิ ยาศาสตรค นนั้นมา กอน แตส ามารถบอกความจริงบางอยา งของนกั วทิ ยาศาสตรคนน้ัน ถูกตอ งเปนที่นาพศิ วง แต นกั วทิ ยาศาสตรก็ไมกลา ลงความเหน็ รบั รองวาเปนไดดวยความรขู องสตรีคนนัน้ เอง สงสยั วาจะมี อะไรสงิ ใจอยา งพวกแมม ดหมอผี ซึง่ มีดกดื่นในอัสดงคตประเทศ และเขาพากันรงั เกยี จถงึ กบั มี กฎหมายลงโทษผฝู า ฝน หนังสือพิมพฉ บับนั้นใหขาวรายละเอยี ดตอ ไปวา สตรีคนนัน้ เกิดหทู พิ ยต า ทพิ ยขนึ้ โดยบังเอญิ หลังจากปว ยหนกั มาแลว . เร่อื งคลา ยคลงึ กันน้ี กม็ อี ยแู มในเมืองไทยเรา ขา พเจา ไดรูจ ักกบั สตรีคนหน่ึง เมือ่ ปท่ีแลว มา น้เี อง เม่อื คุนเคยกันแลว สตรีคนนั้นไดเลาใหขา พเจาฟงวา ไดป ว ยหนกั มาแรมเดอื น ในระหวา ง ปวยหนักนั้นใครจะมาหาหรอื พูดจาวา กระไรรลู วงหนา หมด ครัน้ หายปวยแลวก็ยงั มีไดเ ปนบางครัง้ บางคราว แตไมบอ ยนัก เน่ืองจากไมค อยไดสงบใจเหมอื นในคราวยงั ปวยอยู เพราะตองวุนวายกับ ธุรกิจประจําวัน ซง่ึ เปน ธรรมดาของผูครองเรือน. เรอ่ื งที่นาํ มาเลา นี้ เปนพยานใหเ ราทราบวา ภายในรางกายของมนษุ ยเ รานี้ มอี าํ นาจสงิ่ หนงึ่ แปลกประหลาดวิเศษเกินกวา อาํ นาจของคนธรรมดาซอ นอยู ทเี่ มื่อทราบวธิ ปี ลกุ หรอื ปลูก สรางขึน้ ใหม ีประจาํ แลว จะเปน ส่งิ ท่มี หัศจรรย โดยสามารถรูเห็นส่ิงตางๆ ซง่ึ มนษุ ยธรรมดาไมอาจ รเู ห็นได. ในทางพระพทุ ธศาสนา ไดกลาวถงึ อาํ นาจทว่ี าน้ี และเรยี กชอ่ื วา ทิพพจักข-ุ ตาทพิ ย, ทิพพ โสต-หทู ิพยค ลายจะยนื ยนั วา มีอํานาจทพิ ยในรางกายมนษุ ยน ี้ดวยแตนกั ศึกษาทางพระพุทธศาสนา ทพิ ยอาํ นาจ ๑๒

โดยสว นมากมองขา มไป ไมไดสนใจศกึ ษาเพือ่ พิสจู นค วามจริงเรอื่ งนี้ เมือ่ มใี ครพูดถงึ เรอ่ื งนี้ ก็มกั ตาํ หนิหาวางมงาย เช่อื ในสิง่ ซ่ึงไมอาจเปนไปได หาไดเฉลียวใจไมว า พระบรมศาสดาเปน ผูทรง แสดงไว ทง้ั ปรากฏในพระประวตั ขิ องพระองคว าทรงสามารถใชอ ํานาจนนั้ ไดอยา งดีดวย นาที่เรา พทุ ธศาสนิกชนจะพึงศึกษาคน ควาพสิ จู นค วามจริงกันดูบา ง จะเปนส่งิ ไรส าระเทยี วหรือ ถา จะทํา การพิสจู นว ชิ าหทู ิพยตาทิพย ใหทราบความจรงิ อยางมีหลกั ฐาน ขาพเจา กลับเห็นวาจะเปนทาง ชว ยใหพ ระพทุ ธศาสนาเดนขน้ึ อกี เพราะสงิ่ ใดท่พี ระบรมศาสดาตรัสไว ซึ่งปรากฏมีอยใู น พระไตรปฎ กหากเราพสิ จู นใ หเห็นจรงิ วา สิ่งนน้ั เปนไดตามที่ดาํ รสั ไว ก็ยอ มเปนพยานแหง พระ ปญ ญาของพระบรมศาสดา เปนทางใหเ ราเกิดความเช่อื มนั่ ในพระปญญาตรัสรขู องพระบรมศาสดา อยา งแนนแฟน จะเพ่ิมกําลงั ใหเ ราปฏิบตั ิตามพระบรมพทุ โธวาทไดโ ดยไมล งั เลใจ ทัง้ เปน หลักฐาน ตอตา นปรัปวาทดวย เพราะในโลกสมัยวทิ ยาศาสตรเฟองฟนู ี้ เขาไมคอยเชอื่ ในอํานาจลึกลับนี้ เมือ่ พระพทุ ธศาสนากลาวถงึ เขาจงึ นาจะย้ิมเยาะอยูแลว แมแ ตเ ราซ่ึงเปนศาสนิกชนแทๆ ก็ยงั ไม เชือ่ แลวจะใหนักวิทยาศาสตรเขาเชื่ออยางไร? เพราะเขาตั้งหลักเกณฑของเขาไวว า เขาจะเชือ่ เฉพาะสงิ่ ที่เขาไดพสิ จู นทราบความจริงแนช ดั แลว เทา นั้น หลักเกณฑท ่ีเขาต้งั ไวนเ้ี ปนหลักเกณฑท ่ี ดี เปนวิสัยแหง นักศึกษาความจรงิ ซ่งึ จะไมย อมใหความเชอ่ื ของเขาไรเ หตผุ ล แมพระบรมศาสดา ของเราก็ปรากฏวาทรงดําเนินปฏบิ ตั มิ าทาํ นองเดยี วกับนักวิทยาศาสตรใ นสมัยปจจบุ นั คอื ทรงทาํ การพสิ จู นค วามจรงิ ทางใจ จนไดหลักฐานแนนอนแลว จงึ ทรงพอพระหฤทัยวา ไดตรสั รูแลว มไิ ด ทรงไปเทีย่ วเก็บเอาความรูของผูอืน่ ทเ่ี ขาคนควาไวมารอ ยกรองเขา เปน หลกั แหงศลี ธรรมจรรยาที่ ทรงสัง่ สอน และมิไดท รงอา งวาใครเปนศาสดา หรอื ผูบงั คับบัญชาเหนือใหประกาศธรรมสั่งสอน มหาชน พระองคทรงคนพบความจรงิ ดว ยพระองคเ อง แมห ลักความรูน ั้นๆ จะมีมาในลทั ธศิ าสนา หรือในความเชอื่ ถือของมหาชนมาแลว แตโ บราณกาลก็ตาม ถา ยงั ไมไดพ ิสูจนดวยความรูของ พระองคเ องกอ นแลวก็มไิ ดนํามาบัญญัติสั่งสอนมหาชนแตประการใด เปนแตไมม ีความรูสว นใดที่ เกนิ พระปญญาของพระองคไ ปเทานั้นเอง เราจึงไดพบวา บรรดาบญั ญตั ธิ รรมที่ถกู ตองตามหลัก เหตผุ ลนนั้ ๆ ไดม าปรากฏในพระบญั ญตั ิของพระองคทั้งหมด ทีป่ รากฏวามีบางอยา งท่ไี มท รง พยากรณไว กม็ ใิ ชวา ไมท รงทราบ เปนแตท รงเห็นวา ไมเปนประโยชน จงึ ไมท รงกลาวแกห รือแสดง ไว เชน อนั ตคาหิกทิฏฐิ หรอื นิยตมิจฉาทิฏฐิ ไมท รงกลาวแก เปน แตท รงแสดงธรรมโดยปริยายอื่น ใหฟง เมื่อผฟู ง พจิ ารณาตามก็ทราบความจรงิ ในเรอื่ งน้ันดว ยตนเอง แลว สิน้ สงสัยไปเอง วธิ ีการ แกความเห็นของคนทพี่ ระบรมศาสดาทรงใช คลายวิธีการรกั ษาโรคของแพทยผูเช่ยี วชาญ ที่ ตรวจหาสมุฏฐานของโรคกอนแลว จึงรักษาแกท ่ีสมุฏฐาน ไมตามรักษาทอี่ าการเจ็บปวดซ่งึ เปน ปลายเหตุ เพราะเม่ือแกสมุฏฐานถูกตองแลวโรคกส็ งบ อาการเจบ็ ปวดก็หายไปเอง ฉะน้นั เรื่องที่ ไมทรงกลา วแกอันตคาหิกทิฏฐิก็เชน เดยี วกัน เพราะความเหน็ นั้นเปนเพียงปลายเหตุ มใิ ชสมุฏฐาน อนั เปนตัวเหตุดั้งเดิม จงึ ทรงแสดงธรรมโดยปริยายอ่ืนอันสามารถแกตวั เหตเุ ดิมซึ่งเปนสมฏุ ฐาน. อํานาจลึกลับมหศั จรรย เกนิ วสิ ยั สามัญมนุษยนั้นแมมิไดตรัสเรียกวา ทิพยอํานาจ โดยตรง กต็ าม ก็ไดท รงกลา วถึงอาํ นาจนน้ั ไวแลว อยา งพรอ มมูล และตรัสบอกวธิ ีปลกู สรา งอาํ นาจน้ันขึน้ ใช ทิพยอํานาจ ๑๓

อยา งดีดวย เปนการเพยี งพอท่เี ราจะสันนิษฐานวา พระบรมศาสดาไดท รงบรรลอุ ํานาจน้นั ทุก ประการ และทรงใชใ หเกดิ ประโยชนอ ยางมหาศาลมาแลวในสมัยทรงพระชนมอ ยู. ความขอนีม้ หี ลกั ฐานในพระไตรปฎกมากมาย จะนํามาเลา พอเปนอุทาหรณ ดังตอ ไปนี้ ๑.๑ เม่ือตรัสรแู ลวใหมๆ เสดจ็ ไปโปรดภกิ ษเุ บญจวัคคียท ส่ี วนกวาง อนั เปนที่พกั ของฤษี ณ เมืองพาราณสี แลว เสดจ็ จาํ พรรษาที่น่ัน. ในภายในพรรษา ทานพระยศเถระเมื่อยงั มิไดบวช บังเกดิ ความคิดเหน็ ข้ึนวา ฆราวาสคับ แคบวนุ วายสุดทจ่ี ะทานทนได จึงหนอี อกจากบา นไปเฝา พระบรมศาสดาทส่ี วนกวางน้นั เดนิ บนไป ตามทางวา ท่นี ่ีคับแคบ ทน่ี ่ีวุนวาย พระบรมศาสดาไดท รงสดบั จึงทรงขานรับวา ท่ีนไี่ มคับแคบ ทน่ี ไี่ มวุนวาย เชิญมาทีน่ ่ี เราจะแสดงธรรมใหฟง ทานพระยศเถระกเ็ ขา ไปตามเสยี งที่ทรงเรียก เมื่อ ไดถ วายบงั คมและนง่ั เรียบรอ ยแลว กไ็ ดรับฟง พระธรรมเทศนาอันนา จบั ใจ จนไดบ รรลุดวงตาเห็น ธรรมข้ึนในใจ ทันใดนั้นบดิ าของทานกต็ ิดตามไปถึง พระบรมศาสดาเกรงวา เมอ่ื พระยศเถระกับ บิดาไดเ ห็นกัน กจ็ ะเปน อันตรายแกธ รรมาภิสมัย จงึ ทรงทาํ ตโิ รภาพปาฏหิ ารยิ  คอื ทรงทาํ ฤทธ์ิ กาํ บงั มใิ หบ ดิ ากับบตุ รเหน็ กัน แลว ทรงแสดงธรรมใหทัง้ สองนั้นฟง จนทา นพระยศเถระไดบรรลุถงึ พระอรหตั ตผล ถึงความเปน ผูบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว และบดิ าของทา นไดบ รรลดุ วงตาเห็นธรรมแลว จงึ ทรง คลายฤทธ์ิใหบ ิดากับบุตรเหน็ กัน ทันใดนัน้ บิดาของทานพระยศเถระก็แจง ใหท ราบวา ทางบานพา กันตามหา ขอใหทา นกลับบา น พระบรมศาสดาจงึ ชิงตรัสวา ยศะไดฟง ธรรม ถงึ ความเปนผูไมค วร แกก ารครองเรอื นแลว บดิ าของทา นพระยศเถระจึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดากบั ทานพระยศ เถระไปฉันทีเ่ รือน ครนั้ บิดากลบั ไปแลว ทา นพระยศเถระจงึ ทลู ขอบรรพชาอุปสมบทเปนภิกษุใน พระพุทธศาสนา แลวเปนปจ ฉาสมณะตามหลังพระบรมศาสดาไปฉันภัตตาหารที่เรอื นของบดิ า เรอื่ งน้ีเปนอุทาหรณแหง อทิ ธิวิธี ชนิดที่เรยี กวา ตโิ รภาพ หรือทส่ี ามญั ชนเรียกวา กําบังหรือหายตวั ๒.๒ เมือ่ ออกพรรษาแรกนนั้ แลว เสด็จไปสอู ุรเุ วลา ตําบลเสนานคิ ม แควนมคธ เพอ่ื โปรด ชฎิล ๓ พน่ี อง พรอมดว ยบริวาร เสด็จเขา ไปขอพกั อาศัย ทานอรุ ุเวลกสั สปะ ผเู ปนหวั หนาชฎลิ ตอบขัดของ พระบรมศาสดาตรสั ขอรอ งดวยเหตุผลทางสมณวสิ ยั ถงึ ๓ ครงั้ ทา นจงึ ยอมรับใหพ ัก อาศัย พระบรมศาสดาขอพกั ในโรงไฟ ทานก็หามวา มนี าคราย เกรงจะเปน อันตราย ขอใหพักในที่ อื่น พระบรมศาสดาตรสั รับรองวา ไมเ ปนไร แลว เสดจ็ ไปพกั ไดท รงทาํ ฤทธส์ิ ูกับนาครายจนมันหมด พยศ รงุ เชาทรงจบั นาครายใสบ าตรมาใหทานอุรุเวลกสั สปะดู ทานกอ็ ศั จรรย แตยงั ไมป ลงใจเชื่อ วา เปน “พระอรหันต” ผวู ิเศษกวาตน จึงไมย อมเปนสาวก. วนั ตอ มาอกี เสด็จไปบณิ ฑบาตอุตตรกุรทุ วปี ไดผลหวา ลูกใหญมาสูทา นอุรเุ วลกัสสปะฉัน ซึง่ เปนทีร่ ูก ันในสมัยนั้นวา ผลหวา ชนดิ นน้ั ไมมีในทใี่ กลๆ น้นั นอกจากในปาหิมพานต ในวัน ตอ มาอกี เวลากลางคืนมีแสงสวา งในบริเวณทปี่ ระทบั ตลอดราตรีทัง้ สามยาม แตละยามกม็ ีแสง สวางตางสีกันดวย รงุ เชา ทา นอุรเุ วลกสั สปะจึงทลู ถาม ตรัสพฤติการณวา ปฐมยามทา วมหาราชทง้ั ๔ มาเฝา มชั ฌิมยามทา วสกั กเทวราชลงมาเฝา ปจฉมิ ยามทาวมหาพรหมลงมาเฝา ทา นอรุ เุ วล- .......................................................................................................................................................... ๑. ว.ิ มหา. ๔/๑๕. , ๒. วิ. มหา. ๔/๕๔ ทิพยอาํ นาจ ๑๔

กัสสปะหลากใจแสดงความอัศจรรย อยากจะยอมตนลงเปนสาวกแลว แตยังมมี านะเกรงจะได ความอบั อายแกส านศุ ิษย รงุ ขนึ้ อกี วันหน่ึง ฝนพรํา อากาศเยน็ จดั พวกชฎิลหนาวพากันผาฟน เพอ่ื กอ ไฟผงิ พระบรมศาสดาทรงทําปาฏหิ าริยใ หผา ฟน ไมแ ตก และกอไฟไมต ิด พวกชฎิลพากัน หลากใจและลงความเห็นวา เปน ดว ยฤทธ์ิของพระบรมศาสดา จงึ พากนั ไปออนวอนอาจารยข อให พาพวกตนถวายตวั เปน ศษิ ยพ ระบรมศาสดา ทา นอุรุเวลกสั สปะไดโอกาส จึงพาศิษยบ ริวารเขา ขอ บรรพชาอุปสมบทในสาํ นกั พระบรมศาสดา นอ งชายทัง้ สองซ่ึงอยูใ นอาศรมทางใตล งไปพาบรวิ าร มาเยย่ี มพ่ชี าย เหน็ บวชเปน ภิกษแุ ลวก็พากันบวชตามพชี่ าย พระบรมศาสดาทรงเทศนาอบรมทาน ทงั้ สาม พรอมดวยบรวิ ารพันหนงึ่ โดยปรยิ ายตางๆ จนเห็นวา มอี นิ ทรียแกกลา พอจะรับฟง พระ ธรรมเทศนาเพ่ือปญ ญาชนชั้นสูงแลว จงึ พาไปสูตําบลคยาสสี ะ๑ ทรงแสดงอาทติ ตปรยิ าย โปรดให บรรลุอรหตั ตผลทง้ั ๑,๐๐๐ องคพ รอ มกนั พอเวลาอนั สมควรแลว จงึ พาพระอรหันตทงั้ ๑,๐๐๐ องค เสด็จยาตราเขาสกู รงุ ราชคฤห เพ่ือโปรดพระเจาพมิ พสิ ารตอไป. เร่ืองที่เลามาน้ี เปนอทุ าหรณแ หงปาฏหิ ารยิ ท ั้งหลายประการ คอื ทรงทรมานนาครา ยให หายพยศไดน ั้นทรงใชป าฏหิ าริยบ ังควันกอน แลวจึงทรงใชปาฏหิ าริยเปลวเพลิงภายหลงั ที่ทรง แหวกนํา้ จงกรมนั้น ทรงใช ปาฏหิ าริยตโิ รปาการภาพ คือทรงเนรมิตกําแพงขน้ึ กนั้ น้าํ ไว ท่ีเสดจ็ ไป บิณฑบาตอตุ ตรกุรุทวีปนั้น ทรงใชป าฏิหารยิ เ หาะไป ทรงทราบวามเี ทวดามาเฝา ยามทง้ั สามของ ราตรนี น้ั เปนดวยทิพพจกั ขุญาณ และ ทพิ พโสตญาณ ท่ีทาํ ใหพวกชฎิลผาฟน ไมแ ตก กอไฟไมต ดิ นน้ั เปนดวยอธิษฐานฤทธิ.์ ๓.๒ ในสมยั พระธรรมวนิ ยั กาํ ลังแผไ ปทว่ั มัชฌิมชนบทน้นั พราหมณพาวรซี ึ่งตั้งอาศรมอยูฝ ง น้าํ โคธาวารี ในแดนทักษณิ าบถ คือ อินเดยี ภาคใต ไดทราบกติ ติศัพทของพระบรมศาสดาวา เปน พระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา จงึ ผกู ปรศิ นาใหศ ิษยผใู หญ ๑๖ คนไปเฝา ทลู ถาม เพือ่ หย่ังภูมิของ พระบรมศาสดาวาจะจรงิ อยางคาํ เลา ลือหรือไม เวลานั้นพระบรมศาสดาเสด็จประทับที่ปาสาณ- เจดยี  ประเทศโกศล มาณพศษิ ยพ ราหมณพาวรที งั้ ๑๖ คน พรอมดว ยบริวารไปถึงเขาเฝา ในเวลา เย็น ณ รม เงาปาสาณเจดียน นั้ พระบรมศาสดาทรงปฏิสนั ถารดวยสัมโมทนยี กถาพอสมควรแลว จึงทรงแสดงพระปาฏิหาริยเปนประเดิมกอ นเปดโอกาสใหถามปรศิ นา ดว ยทรงชมโฉมพาวรี พราหมณ ผเู ปนอาจารยของมาณพเหลานนั้ กอนวา มลี กั ษณะของมหาบรุ ุษ ๓ ประการ และตรสั บอกความคดิ ของพาวรที ี่ผูกปรศิ นามาถามวา มีความประสงคเ ชน ไร แลว จงึ เปดโอกาสใหถ าม ปริศนาทีละคนจนจบทัง้ ๑๖ คน ทา นเหลา น้ันกเ็ กิดอศั จรรยใ จขนพองสยองเกลา จนเกอื บจะไม ทลู ถามปรศิ นา แตพระบรมศาสดาเห็นวา การแกปริศนานั้นจะเกิดสําเรจ็ ประโยชนใ หญหลวง จึง ทรงบญั ชาใหถามปริศนาตอไปแลว ทรงแกปรศิ นาน้ันๆ ไดอยางคลองแคลวไมม กี ารขดั ของอึดอัด ในท่สี ุดแหง การแกป ริศนาของแตละทาน ทา นเจาของปรศิ นาพรอ มดวยบรวิ าร กไ็ ดบ รรลุพระ อรหัตตผลทง้ั หมด เวนแตปงคิยะ หลานทานพาวรีเทา น้นั เพราะโทษทีม่ ีใจหวงใยถึงทา นพาวรผี ู เปนลงุ . .......................................................................................................................................................... ๑. คือ คชาสีสะ เขาหัวชาง. พ.ม.ส. , ๒. ข.ุ สุ. ๒๕/๕๒๔ ทพิ ยอํานาจ ๑๕

เร่ืองน้ี เปนอุทาหรณแ หง อทิ ธิปาฏหิ าริยห ลายประการ คอื ทรงทราบลกั ษณะพาวรี พราหมณดวยทิพยจักษญุ าณ ทรงทราบความคดิ ของพาวรพี ราหมณดวยปรจติ ตวิชชาญาณ หรือที่ เรียกวา เจโตปรยิ ญาณ ทรงแกป ริศนาไดคลองแคลวไมต ิดขัดน้ัน เปนดว ยพระปรีชาญาณหลาย ประการ มีพระปฏิสัมภทิ าญาณ เปน ตน. ๔.๑ สมัยหน่งึ ทรงรับนิมนตของพกาพรหมแลว เสด็จไปพรหมโลก ทรงทรมานพกาพรหม ดวยอทิ ธปิ าฏิหารยิ ห ลายหลาก มกี ารเลน ซอ นหาเปน ตน แลวทรงแสดงธรรมสัง่ สอนใหพ กาพรหม ละพยศรายไดดวยวิธที เ่ี รียกวา ญาณคทา. ๕. สมัยหน่งึ พระมหาโมคคลั ลานะ ไปทําความเพยี ร ณ บา นกลั ลวาลมตุ ตคาม ถกู ถีน- มิทธะครอบงาํ สมเดจ็ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบดว ยเจโตปริยญาณ จงึ เสดจ็ ไปดว ยพระ มโนมยั กาย ทรงแสดงวิธีแกถีนมิทธะแกพ ระเถระ แลวเสด็จกลบั ทปี่ ระทบั . ๖.๒ อีกครงั้ หน่งึ ทรงทรมานทานพระองคุลีมาลเถระ เมอ่ื ยังเปนโจร ดวยพระปาฏหิ าริย ทูเรภาพ คือ ทรงดาํ เนินโดยปกติ แตทา นพระองคลุ มี าลตามไมท นั เห็นพระองคอ ยใู นระยะไกลอยู เสมอ จงึ ตะโกนบอกใหหยดุ ทรงตอบไปวา พระองคหยุดแลว ทา นเองสิไมห ยุด พระองคุลมี าลรอง ตะโกนไปวา ตรัสมุสา เดนิ อยูแทๆ บอกวา หยุดได ตรสั ตอบวา ทรงหยดุ ทําบาปแลวตางหาก ทา น เองสิไมหยุดทาํ บาปใสต ัว พระองคลุ ีมาลไดสติ จงึ ท้งิ อาวุธเขา ไปเฝา ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระ บรมศาสดาก็โปรดใหบ รรพชาอุปสมบท แลว พามาวดั พระเชตวนั ในวันน้นั . ๗.๓ อกี ครัง้ หนงึ่ ซง่ึ เปน คร้ังท่มี ีประวัติการณโดง ดังท่ีสดุ คอื ครั้งทรงทํา ยมกปาฏิหาริย เพือ่ ทรมานเดยี รถียน ิครนถ ท่มี าแขงดที าทายดวยประการตางๆ ครง้ั นั้นทรงทาํ ทก่ี รุงสาวตั ถี ณ ตนไมม ะมว งชือ่ คัณฑามพฤกษ โดยแสดงพระองคใ หม หี ลากหลาย มีอิรยิ าบถและทํากิจตา งๆ กัน บางนงั่ บางนอน บางแสดงธรรม บา งจงกรมกลางหาว และทรงทาํ ทอ น้ํา ทอไฟ และรังสีสลบั สใี ห พุงออกจากพระวรกายเปน คูๆ แลวเสด็จลับพระองคไ ปในอากาศ ณ ยอดเขาพระสเุ มรุ นยั วา เสดจ็ ไปจาํ พรรษา ณ ดาวดึงส ทรงแสดงพระอภธิ รรมโปรดพระมารดา วนั ออกพรรษาจงึ เสดจ็ ลง ณ ประตูนครสังกสั สะ ทางทิศเหนอื กรุงสาวตั ถี แลว ทรงทาํ อาวีภาพปาฏิหาริย คือทรงเปดโลกใหคน และเทวดาเห็นกนั ได พระองคเสดจ็ ลงโดยบนั ไดแกว ทีเ่ ทวดานฤมิต มีพระอนิ ทรกบั พระพรหมตาม เสดจ็ ท้งั สองขา ง ดวยบันไดเงินและทอง มหาชนไดป ระชุมกันตอนรับโดยสักการะมโหฬาร นยั วามี ผปู รารถนาเปนพระพทุ ธเจากนั ในครั้งนนั้ มากมาย ประมาณเทาเมล็ดทรายในแมน ํ้าคงคา คนและ เทวดาไดเ ห็นกนั ชดั แจงในครง้ั นน้ั . ยมกปาฏิหารยิ  เปน สง่ิ ท่ีทําไดยากทสี่ ุด ไมมีพระสาวกรูปใดทําได ไมม ีใครสามารถเปน คแู ขงได จงึ เปน ปาฏหิ าริยท่ีนาอศั จรรยทส่ี ุด. เรื่องเหลา นีเ้ ปน เพยี งสว นนอย นาํ มาเลาพอเปน อุทาหรณเทา น้นั ถา จะเลา เรอ่ื งท่ที รงทาํ ปาฏิหาริยใ นคราวตางๆ ใหสิ้นเชงิ แลว กจ็ ะกลายเปน หนังสอื เลมใหญ ซึ่งมิใชจ ดุ หมายของหนังสอื เลมนี้. .......................................................................................................................................................... ๑. ม. มู. ๑๒/๕๙๐. , ๒. ม. ม. ๑๓/๔๗๙. , ๓. ยมกปฺปาฏหิ ารยิ วตถฺ ุ ธมมฺ ปทฏฐกถา ๖/๒๑๑ ทิพยอํานาจ ๑๖

ปาฏหิ าริยนี้ ทรงแสดงไววามี ๓ ประการ คือ ๑. อทิ ธิปาฏหิ ารยิ  ฤทธิอ์ ศั จรรย ๒. อาเทสนาปาฏิหารยิ  ดักใจถกู ตอ งอยางนา อัศจรรย ๓. อนุสาสนปี าฏิหาริย คาํ สงั่ สอนทน่ี าอัศจรรย โดยมเี หตุผลพรอมมูล และปฏบิ ตั ิไดผ ล จริงๆ ดว ย. ในปาฏิหารยิ ท ้ัง ๓ ประการนี้ ทรงสรรเสริญอนสุ าสนปี าฏิหาริยว าเปนเยีย่ ม เพราะย่งั ยนื ดาํ รงอยหู ลายช่วั อายุคน และสําเร็จประโยชนแ มแกคนรนุ หลงั ๆ สว นปาฏหิ าริยอกี ๒ ประการน้ัน เปนประโยชนเ ฉพาะแกผไู ดป ระสบพบเห็นเทาน้ัน และเปนสงิ่ ท่ีสาธารณะ แมชาวโลกบางพวกเขา ก็ทาํ ได เชน ชาวคันธาระ และชาวมณีปรุ ะ เปนตน ทีเ่ รยี กกนั ในครั้งน้ันวา คันธารวชิ า มณวี ิชา พระบรมศาสดาจึงไมท รงแสดงบอยนัก เวนแตจําเปน และเหน็ วาจะสําเร็จประโยชนจึงทรงทาํ อิทธิปาฏิหาริยและอาเทศนาปาฏหิ ารยิ  นยั วาทรงหา มพระสาวกมใิ หแสดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ  เชนเดียวกนั แตก ป็ รากฏวา มพี ระสาวกแสดงปาฏิหาริยกนั เร่อื ยๆ มา ตง้ั แตส มยั พระบรมศาสดายงั ทรงพระชนมอยู จนถงึ สมัยหลังพุทธปรินพิ พานมานาน ทีต่ รัสส่งั ใหแสดงก็มี เชน ทรงแนะอุปเทศ แหงฤทธ์แิ กพ ระมหาโมคคลั ลานะ ใหทรมานนนั โทปนันทนาคราช และตรัสสัง่ พระมหาโกฏฐิตะไป ทรมานพญานาค ท่ที า ปยาคะ เปนตน เมอ่ื คราวจะทํายมกปาฏิหาริยกม็ พี ระสาวกสาวกิ าหลาย องคข อแสดงฤทธ์แิ ทน แตไมทรงอนุญาต โดยทรงอา งวา เปน พทุ ธวสิ ัย และ พุทธประเพณ.ี อํานาจอันแปลกประหลาดมหศั จรรย ดังทเ่ี ลามาน้ี เปนสง่ิ เกินวิสยั สามัญมนุษยจ ะทาํ ได เปนเหมอื นเทพบันดาลฉะนั้น ขาพเจา จงึ พอใจเรยี กอํานาจชนิดน้ีวา ทิพยอํานาจ แตมไิ ด หมายความวา อาํ นาจนเ้ี ปน ของเทวดาหรอื เทวดาดลใจใหท ํา ขา พเจา หมายถึงภาวะหน่ึงซงึ่ เปน ภาวะทพิ ย มีอยูในภายในกายของมนษุ ยธ รรมดาน่ีเอง หากแตไมทาํ การปลกุ หรือปลูกสรางขึน้ ให มีประจกั ษชดั จึงไมมีสมรรถภาพทําการอนั นา อัศจรรยได สวนผรู ูจักปลกุ หรือปลกู อํานาจชนดิ นนั้ ข้ึนใช ยอ มสามารถทําอะไรๆ ทนี่ าอศั จรรยไดเกินมนุษยธ รรมดา. ทิพยภาวะนัน้ จะปรากฏข้นึ แกบ คุ คลในเม่ือเจรญิ สมาธิจนไดฌาน ๔ แลว และฌาน ๔ นนั้ เองเปน ทพิ ยวิสัย คือ แดนทพิ ย ซ่งึ เม่ือบุคคลเขา ไปถึงแดนทพิ ยน้ีแลว ทกุ สง่ิ ทกุ อยางทเ่ี ก่ียวของ กบั ตนโดยฐานเปนเคร่อื งใช ของกิน ความคดิ นกึ รูส กึ และความรู กย็ อมกลายเปนทพิ ยไปหมด ดงั ที่ ตรัสแกพ ราหมณและคหบดี ชาวเวนาคปุระวา เราเขาฌานท่ี ๑-๒-๓-๔ ถา จงกรมอยูท ่ีจงกรมก็ เปน ทพิ ย ถายืนอยทู ี่ยนื กเ็ ปนทพิ ย ถาน่งั อยูที่นง่ั ก็เปนทพิ ย ถา นอนอยูทน่ี อนก็เปนทิพย ... ดังน้ี และมีในท่อี น่ื อีกหลายแหง ท่ีตรสั เกยี่ วกับเร่ืองน้ี ซ่ึงเม่ือรวมความแลว กท็ รงรับรองวาเม่อื เขา ฌาน ที่ ๑-๒-๓-๔ แลว ทุกสิง่ จะกลายเปนทิพย อาหารทไี่ ดดวยการบิณฑบาตกเ็ ปน ทิพย ผาบังสุกุลก็ เปนทิพย โคนไมท ีอ่ าศยั ก็เปนทพิ ยวมิ าน ยาดองดว ยนํา้ มูตรเนา ก็กลายเปนยาทิพยไ ป เคร่ืองใช สอยตางๆ ก็เปนทพิ ย ภาวะแหงจติ ใจในสมัยนั้นก็บริบรู ณไปดวยทพิ ยภาวะ สงิ่ ท่ีไดประสพพบเหน็ สมั ผสั ถูกตอง ลวนแตน า ชื่นใจ ประหนงึ่ วา ไดเขา ไปอยูใ นโลกทพิ ยอยางเตม็ ท่แี ลว ฉะนั้น. ทิพยอาํ นาจ ๑๗

ฌานท้งั ๔ เปน ท่ีตัง้ แหง ทพิ ยอํานาจทง้ั ปวง คอื ทิพยอํานาจทัง้ ปวงจะเกิดขนึ้ แกบุคคล ยอมตอ งอาศยั ฌาน ๔ เปน บาทฐาน เพราะฌาน ๔ เปน ทิพยวสิ ยั ทีบ่ รบิ ูรณดว ยภาวะทพิ ย ซ่งึ จะ เปนกาํ ลังหนนุ ใหเกิดทพิ ยอํานาจไดง า ย. ทิพยอํานาจนี้ เมอื่ วา โดยลกั ษณะอยางตา่ํ ยอ มหมายถงึ โลกยี อภญิ ญา ๕ ประการ แตเ มือ่ วาโดยลกั ษณะอยา งสงู ยอ มหมายถงึ โลกตุ ตรอภิญญา ๖ ประการ หรอื วิชชา ๘ ประการ คอื ๑. อิทธวิ ิธิญาณ ฉลาดในวธิ ที าํ ฤทธิ์ ๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธิส์ ําเรจ็ ดวยใจ ๓. ทพิ พโสตญาณ ฉลาดในโสตธาตทุ พิ ย ๔. เจโตปรยิ ญาณ ฉลาดในการรูใจผูอ่นื ๕. บุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ ฉลาดในการระลกึ ชาตกิ อนได ๖. ทพิ พจกั ขุญาณ ฉลาดในทางตาทพิ ย ๗. จตุ ปู ปาตญาณ ฉลาดรจู ุติและอุปบตั ิ ตลอดถงึ การไดดีตกยากของสตั วตามกําลังกรรม ๘. อาสวกั ขยญาณ ฉลาดในการทําอาสวะใหส ิน้ ไป. ขอ ๑-๓-๔-๕-๖ และ ๘ เปน อภญิ ญา ถาขาดขอ ๘ ไปกเ็ ปนเพียงโลกยิ อภญิ ญา ถา มีขอ ๘ กเ็ ปนโลกุตตรอภิญญา อภิญญา ๖ หรอื วิชชา ๘ ประการน้ขี าพเจาจะเรยี กวา ทิพยอาํ นาจตอ ไป. ทิพยอาํ นาจน้ี พระบรมศาสดาและพระสาวกสาวกิ าไดท รงมี และไดใชบาํ เพ็ญประโยชน มาแลว มหี ลักฐานมากมายในพระไตรปฎ ก เราผูอนชุ นหรือปจฉิมชนไมควรจะมองขามไป หรือไม ควรดูหม่ินวาไมน า เช่ือ แลว แหละทอดธุระเสยี . บคุ คลผูฝก ฝนอบรมตนจนไดทิพยอํานาจนี้ แมเพยี งบางประการ จะตองมศี ลี ธรรมเปน หลกั ประจําใจมาแลว อยางพอเพยี ง อยางตา่ํ ก็จะตองมีศลี ๕ และกัลยาณธรรมประจาํ ใจ เปนผรู กั ดเี กลียดบาปกลัวบาป ชอบสงบตามวิสยั ของคนดีไมเ ปนภยั แกส ังคม เขาจงึ ควรไดช ื่อวา “นรเทพ” สว นบุคคลผสู มบูรณดว ยทพิ ยอาํ นาจทุกประการนน้ั ยอมบรบิ ูรณด วยศีลธรรมชน้ั สงู สุด เปนอุดม บรุ ษุ ในพระพุทธศาสนา ไมเ ปน ขาศึกตอ โลก ทา นผเู ชนนี้ควรไดช่อื วา เทวาติเทพ ไดแลว. บคุ คลท้งั สองจาํ พวกนี้ เมือ่ มที พิ ยอํานาจขน้ึ ยอ มวางใจไดว าจะไมน ําอาํ นาจนน้ั ไปใช ในทางทเ่ี ปนโทษหรือผดิ ศีลธรรม ยอมใชบ าํ เพ็ญประโยชนต น ประโยชนท าน และประโยชน สว นรวมของชาติและพระศาสนา ดงั ท่ีพระบรมศาสดาและพระสาวกสาวิกา ไดบําเพ็ญมาแลว. ทีนี้มปี ญหาเกิดขึ้นวา ในสมยั ปจจุบนั น้ี จะสรางทิพยอํานาจขนึ้ ใชไดหรือไม? ขา พเจาขอ ตอบเพยี งส้ันๆ วา เมอ่ื ทิพยอํานาจมไี ดใ นความบงั เอิญ ก็ยอ มจะมไี ดใ นการทําจริง และขอช้แี จงวา พระบรมศาสดาทรงแสดงไววา พระธรรมเปนอกาลโิ ก คือไมจ ํากดั กาล มรรค ผล ธรรมวเิ ศษ มีอยู ทกุ ยุคทกุ สมยั มิไดส ูญหายไปไหน เปน แตเมอ่ื บุคคลไมปฏิบตั ิบาํ เพ็ญ มรรค ผล ธรรมวเิ ศษกไ็ ม ปรากฏ เพราะมรรค ผล ธรรมวิเศษ ข้ึนอยูกบั การปฏบิ ัติของบคุ คล เมื่อบคุ คลเปน ผปู ฏิบตั ิจริงจงั ยอมจะตองไดธ รรมวเิ ศษหรือมรรค ผล อยางใดอยางหน่ึงเปนแน และจะถงึ ความเปน สกั ขีพยาน ของพระบรมศาสดาจารยใ นธรรมนั้นๆ สมยั นปี้ ฏปิ ทาเพอื่ ไดเพือ่ ถึงมรรคผลธรรมวิเศษน้นั ๆ ยังมี บรบิ ูรณ ยังไมอ นั ตรธานไปจากโลก. ทพิ ยอาํ นาจ ๑๘

ขาพเจา ขอเชิญชวนสาธชุ นมารว มกัน พิสูจนค วามจริงดวยการปฏบิ ตั ิ ขาพเจา จะประมวล ปฏปิ ทามาไวในทีเ่ ดยี วกนั เพอ่ื สะดวกแกผ ูตอ งการปฏบิ ัติ ดังจะกลาวในบทตอ ไป. .............................................. ทิพยอาํ นาจ ๑๙

บทท่ี ๑ อะไรเปน ทตี่ งั้ แหง ทพิ ยอาํ นาจ ไดกลาวเกร่ินไวใ นบทนาํ วา ฌาน ๔ เปน ทพิ ยวสิ ัย และเปน ทตี่ ัง้ แหง ทพิ ยอาํ นาจดว ย ดงั น้ันในบทนี้ จึงจะแสดงฌานไวเ พ่ือเปนหลักปฏิบตั ิสืบไป. สมาธแิ ละฌานในพระพทุ ธศาสนามีมากประเภท แตท ตี่ รสั ไวเปนมาตรฐานในการเจริญ เพอ่ื เปน ท่ตี ง้ั แหงทิพยอํานาจนั้น ไดแกฌ าน ๔ ประการ ที่เรยี กชือ่ ตามลาํ ดบั ปรู ณะสังขยาวา ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน และจตุตถฌาน ฌาน ๔ ประการนีต้ รัสเรยี กวา สัมมาสมาธิ จดั เปน องคห น่ึงของมรรค ๘ และเปน องคประธาน มอี งค ๗ นอกนนั้ เปนบริขาร คือเปน สวนประกอบ แตเมอ่ื วาโดยกจิ ตัดกเิ ลสแลว สมั มาทิฏฐเิ ปนหวั หนา เปนองคนํา องค ๗ นอกน้ันเปน สวนประกอบ. สมาธกิ บั ฌานมคี วามหมายกวา งแคบกวากัน คอื สมาธมิ ีความหมายกวางกวา ฌาน ความ สงบม่ันคงของใจต้ังแตช้ันตา่ํ ๆ ชั่วขณะหนงึ่ จนถึงความสงบขนั้ สงู สดุ ไมมีอารมณเปน เครื่อง กําหนด เรียกวาสมาธิไดท้ังน้ัน เชน ขณกิ สมาธิ สงบชวั่ ขณะนดิ หนอ ยมีไดแ กส ามัญชนทวั่ ไป, อปุ จารสมาธิ สงบใกลต อความเปน ฌาน คอื เฉียดฌาน, อปั ปนาสมาธิ สงบแนว แนเปนฌาน, สญุ ญตสมาธิ สงบวางโปรง , อนมิ ติ ตสมาธิ สงบไมมอี ารมณปรุงแตง , อัปปณหิ ติ สมาธิ สงบไมม ี ท่ตี ้งั ลง คอื หาฐานรองรบั ความสงบเชน นนั้ ไมม ี สมาธเิ หลานีเ้ ปน ชั้นสงู มีไดแกบางคนเทาน้ัน. สวนฌานมคี วามหมายจํากดั อยใู นวง คือ มอี งคหรืออารมณเปนเครอ่ื งกําหนดโดยเฉพาะ เปน อยางๆ ไป ฌานที่ ๑-๒-๓-๔ นั้นมีอารมณข ้นั ตนไมจ าํ กดั แตมีองคเ ปนเครอื่ งกาํ หนดหมาย คือ จติ เพง พินิจจดจอ อยูใ นอารมณอ ยา งเดยี วจนสงบลง มอี งคของฌานปรากฏข้ึนครบ ๕ ก็เปน ปฐมฌาน, มีองค ๓ ครบบรบิ ูรณก ็เปนทตุ ิยฌาน, มีองค ๒ ครบบรบิ ูรณก็เปนตติยฌาน, มีองค ๒ ครบบริบูรณกเ็ ปน จตุตถฌาน พระอาจารยใ นปูนกอนทานเรียกช่ือฌานทั้ง ๔ นีไ้ ปตามอารมณ ข้นั ตนก็มี เชน อสภุ ฌาน มอี สภุ ะเปนอารมณ, เมตตฌาน มีเมตตาเปนอารมณ, สติปฏ ฐานฌาน มสี ติปฏฐานเปน อารมณ, อนสุ สตฌิ าน มอี นุสสตเิ ปน อารมณ ฯลฯ ฌานชั้นสูงมอี ารมณเ ปน เครอ่ื งกําหนดเฉพาะอยางๆ ไป เชน อากาสานญั จายตนะ มีอากาศเปน เครอื่ งกําหนด, วญิ ญาณัญจายตนะ มีวญิ ญาณเปน เครื่องกาํ หนด, อากญิ จญั ญายตนะ มคี วามไมม อี ะไรเปนเครือ่ ง กาํ หนด, เนวสัญญานาสญั ญายตนะ มคี วามสงบประณีตเปน เครอื่ งกําหนด ฯลฯ ฌานช้นั สูงนี้จะ ไวก ลา วในบทวา ดวยอุปกรณแหง ทิพยอํานาจขา งหนา บทน้จี ะกลา วแตฌาน ๔ ประการ ซง่ึ เปน ฌานมาตรฐานและเปนทตี่ ัง้ แหงทิพยอํานาจเทานน้ั . กอนทจ่ี ะวนิ ิจฉยั ลกั ษณะของฌาน ๔ ชัน้ น้ี จะขอนาํ พระบาลีอันเปน หลักฐานแสดง ลักษณะฌาน ๔ ชั้นนีม้ าตงั้ ไวเปน หลกั กอ น พระบาลอี ันเปนหลักฐานแสดงฌาน ๔ นม้ี ีมากแหง และแสดงลกั ษณะไวต รงกันหมด ทั้งแสดงวา ฌาน ๔ ชนั้ นี้เปน สมาธพิ ละ สมาธสิ มั โพชฌงค และ สมั มาสมาธิองคแ หง มรรคดวย พระบาลีมดี ังตอ ไปน้ี ทิพยอาํ นาจ ๒๐

๑. ปฐมฌาน – วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ววิ ิจจฺ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวติ กฺกํ สวิจารํ วเิ วกชํ ปต สิ ขุ ํ ปมํ ฌานํ อุปสมปฺ ชฺช วหิ รติ. สงัดเงียบจากกาม สงัดเงยี บจากอกศุ ลธรรม แลว เขาปฐมฌาน ซึ่งมวี ติ ก มวี จิ าร มีปต ิ และมสี ุขเกิดจากวิเวกอย.ู ๒. ทตุ ิยฌาน – วติ กกฺ วจิ ารานํ วูปสมา อชฌฺ ตฺตํ สมปฺ สาทนํ เจตโส เอโกทภิ าวํ อวติ กฺกํ อวิจารํ สมาธิชํ ปต ิสขุ ํ ทตุ ิยํ ฌานํ อุปสมปฺ ชชฺ วิหรต.ิ ระงบั วติ กวิจาร แลวเขาทตุ ิยฌาน ซงึ่ มคี วาม ผอ งใสในภายใน มคี วามปรากฏเดนเปนดวงเดยี วแหง จติ ใจ ไมมวี ิตกวจิ าร มปี ติและสุขเกดิ แต สมาธิอย.ู ๓. ตตยิ ฌาน – ปติยา จ วริ าคา อเุ ปกขฺ โก จ วิหรติ สโต จ สมปฺ ชาโน สขุ จฺ กาเยน ปฏสิ -ํ เวเทติ ยนฺตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ “อเุ ปกฺขโก สติมา สขุ วิหารตี ิ ตติยํ ฌานํ อุปสมปฺ ชฺช วหิ รต”ิ สาํ รอก ปติ และเขา ตตยิ ฌาน ซงึ่ เปน ผูวางเฉย มีสตสิ มั ปชัญญะ และเสวยสขุ ดวยกาย ท่ีพระอริยเจา กลาว วา ผวู างเฉยมสี ติอยเู ปนสุข ดังนี้. ๔. จตุตถฌาน – สุขสสฺ จ ปหานา ทุกขฺ สฺส จ ปาหนา ปพุ เฺ พว โสมนสสฺ โทมนสฺสานํ อตถฺ งคฺ มา อทกุ ขฺ มสขุ ํ อุเปกขฺ าสตปิ าริสุทธฺ ึ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมปฺ ชชฺ วหิ รต.ิ ละสุขละทุกข และดับ โสมนัสโทมนสั กอ นนัน่ เทียว แลวเขาจตุตถฌาน ซง่ึ ไมมสี ขุ ไมมีทุกข มแี ตอ เุ บกขากบั สติ และความ บริสุทธ์ขิ องจติ เทาน้ัน. นวิ รณ ๕ ในเบ้อื งตนทีจ่ ะทาํ ความเขา ใจลักษณะของฌาน ควรทาํ ความเขา ใจลกั ษณะของกเิ ลสทก่ี ้ัน กางจติ มิใหบ รรลฌุ านกอน เพราะเมื่อกเิ ลสชนดิ ท่เี รียกวานิวรณ ยังมีอาํ นาจครองใจอยแู ลว จิตจะ เขา ถึงฌานไมได นวิ รณน ้ัน มี ๕ ประการ คือ ๑. กามฉนฺโท ความติดใจในกามคณุ ๒. พยาปาโท ความคมุ แคน ๓. ถนี มทิ ธฺ ํ ความทอ ใจและซมึ เซา ๔. อทุ ฺธจจฺ กุกฺกุจจฺ ํ ความฟงุ ซานและรําคาญใจ ๕. วิจิกจิ ฺฉา ความลงั เลใจ กเิ ลสทั้ง ๕ ประการน้ี แมแ ตป ระการใดประการหน่ึงเขาครองอาํ นาจในจติ ใจ ใจจะเสีย คณุ ภาพออนกําลงั เสยี ปญ ญาไปทันที และจะมลี กั ษณะหมองมวั คดิ อานอะไรไมไดเ หตุผลท่ีแจม แจง บางทีถงึ กบั มืดตอ้ื คิดอะไรไมออกเอาทีเดียว. กามคณุ ๕ คอื รูป เสียง กลิน่ รส และโผฏฐัพพะ ตรสั เรียกวา สมั พาธ คือ สิง่ แคบ เมื่อใจ ไปตดิ พันอยูก บั สงิ่ คบั แคบ ก็ยอ มเกิดความรสู ึกคบั แคบขนึ้ ในใจ เหมอื นเขาไปอยใู นทแ่ี คบฉะน้ัน ฌานตงั้ แตปฐมฌานไป ตรสั เรียกวา โอกาสาธคิ ม คือ สภาพวา งโปรง หรอื ชองวา ง ในท่เี ขา ถึง ความสงบ เปนฌานยอ มรูส กึ ปลอดโปรง เหมือนเขาไปอยูในท่ีวางโปรง ฉะนัน้ เมื่อกามคุณทั้ง ๕ ยังมีอาํ นาจเหนอื ใจ ยั่วใหใ จเกิดกาํ หนัดขดั เคืองคุมแคน ขูใ หเ กิดความทอ ใจ ออ นใจ หมดหวงั ให ทิพยอาํ นาจ ๒๑

เปนใจออ นปวเปย ซึมกะทอื เผยอหัวไมข้ึนหรือกลัวหงอ คาํ รามใหเ กิดความตื่นเตนตกใจคิดเพอไป และใหเกดิ รําคาญใจหงุดหงดิ ปน ใหเขาใจผดิ เกิดสองจติ สองใจข้ึน รวนเรไมแนใจวา จะทําอยางไร ดี เหมือนยืนทท่ี างแยก ไมร จู ะไปทางไหนถกู ฉะน้ัน กามคณุ และกิเลสอนั มีลกั ษณะดังกลา วน้ี ยงั มี อํานาจเหนอื จิตใจอยเู พียงไร จติ ใจจะสงบเปน สมาธ-ิ เปนฌานไมไดเ พียงนั้น เมื่อใดกามคณุ และ กิลสเหลานี้สงบลงไป ไมม ีกาํ ลังเหนอื จติ ใจแลว เมื่อนนั้ จติ จะสงบเปน สมาธิและเปนฌาน จะถึง สภาพโปรงใจที่เรียกวา โอกาสาธคิ ม ทันที ปฐมฌานน้ันทา นกําหนดลักษณะเบอ้ื งตน วา สงัดจาก กามและอกุศลธรรม กห็ มายถงึ สงดั จากกามคุณ ๕ และนวิ รณ ๕ นัน่ เอง แลว จงึ สงบใจลงได เขา ถงึ ความเปนฌานตอ ไป ลักษณะของจิตท่สี งดั จากกามและอกุศลธรรมนี้ ทานไมจัดเปนองค ฌาน จดั เปน เพียงบพุ พปโยคฌาน ซ่งึ นา จะไดแกอปุ จารสมาธิ อันเปนความสงบเฉยี ดฌาน คอื ใกล ตอ ความเปนฌานน่ันเอง สว นองคข องปฐมฌานนนั้ ทานจัดไว ๕ คือ วิตก ความตรกึ คือความคิด, วิจาร ความตรอง คอื ความอาน, ปต ิ ความอม่ิ คอื ความชุมชน่ื , สุข คือความสบาย, และ เอกัคคตา คอื ความเปนหนึ่ง ซงึ่ หมายถึงสมาธนิ ่ันเอง เมอื่ ใจเปนสมาธปิ ระกอบดว ยลกั ษณะทง้ั ๕ นแ้ี ลว ชอ่ื วา เขาปฐมฌานได องคฌ าน ๕ ประการนี้ทานวา เปนปฏปิ ก ษกันกบั นวิ รณ ๕ ดังนี้ ๑. วติ ก–ความคิด เปน ปฏปิ ก ษก ับ ถนี มทิ ธะ ๒. วิจาร–ความอาน เปนปฏิปก ษกับ วจิ กิ จิ ฉา ๓. ปต–ิ ความชมุ ช่ืน เปน ปฏิปกษก บั พยาปาทะ ๔. สขุ –ความสบาย เปนปฏิปกษกบั อุทธจั จกกุ กุจจะ ๕. เอกัคคตา–ความเปน หนึ่ง เปน ปฏิปก ษก ับ กามฉันทะ ท้งั นี้ทา นใหอ รรถาธบิ ายไวว า วิตก = ความคิด ยอมมลี กั ษณะยกจติ ข้ึนสูอารมณ และเคลา คลึงอารมณน นั้ ซ่ึงตรงกันขา ม กับถนี มทิ ธะ ซ่งึ มลี กั ษณะหดหูทอถอย ซมึ เซา ปลอยอารมณ ไมอยากคดิ อะไร เมอ่ื ความคิดกบั ความไมอยากคดิ ประจันหนากัน กย็ อ มจะมีการตอสูหักลา งกันขนึ้ และฝา ยใดฝา ยหนง่ึ จะถงึ แก พายแพไ ป ฝา ยชนะกเ็ ขาครองความเปนใหญใ นจติ ตอไป ถาความคิดมีกาํ ลงั แรงกวา ความไม อยากคดิ ก็จะตอ งตกไปจากจติ ทนั ที สมเด็จพระผูมีพระภาคทรงแนะนําพระมหาโมคคลั ลานเถระ ใหแ กถ นี มิทธะกใ็ หใชความคดิ น้เี อง เปนแตใ ชโวหารวา สัญญา คอื วากอ นแตยังไมงว งซึมไดก าํ หนด หมายในอะไร พอความงวงมาถงึ ก็พงึ ใชส ญั ญาน้ันอกี ใหม ากขึน้ กวาเดมิ ซง่ึ บงความวาใหใ ช ความคดิ เปนเครื่องแกถีนมิทธะ. วิจาร = ความอา น มลี ักษณะตรวจตราพจิ ารณาเหตุผล และขอเท็จจรงิ ใหไดความแนชัด ยอ มเปนลกั ษณะตรงกนั ขามกับวจิ ิกิจฉา ซ่งึ มีลกั ษณะสงสัย ไมแ นใจในเหตผุ ลหรือขอ เทจ็ จริงนั้นๆ เม่อื ลกั ษณะทง้ั สองนีม้ าประจันหนา กันเขาก็จะเกดิ การตอสกู นั และฝายใดฝายหนึง่ จะตอ งพายแพ ไป ถา ความอา นมีกาํ ลังเหนือกวากย็ อมชนะ ครองความเปน ใหญในจิตตอ ไป ขอนีม้ องเห็นงาย เรา สงสยั ในเรอื่ งใด เม่อื ตัง้ ใจพนิ ิจเร่ืองน้ันอยา งเอาจริงเอาจัง เรากส็ ้นิ สงสยั ทนั ท.ี - ทพิ ยอาํ นาจ ๒๒

ปต ิ = ความชุมชนื่ มีลกั ษณะช่นื ฉํา่ สดใส ทาํ กายใหผ อ งใส จิตใจสดชืน่ ยอ มเปน ลักษณะท่ี ตรงกันขามกับพยาปาทะ ซึง่ มีลักษณะรุมรอน เหีย่ วแหง จดื ชดื ซีดเผอื ด เมื่อลักษณะท้งั สองมา ประจนั หนากนั เขา ก็จะตองเกดิ ตอ สกู ันขึ้น และจะตองพายแพไปฝา ยหนงึ่ ถาปต ิมกี าํ ลังมากกวา ก็ ยอมชนะ และครองความเปนใหญในจติ ใจตอ ไป ความจรงิ ขอ น้ีพอมองเหน็ ได คนใจดนี ิสัยสดช่ืน รนื่ เรงิ ไมโ กรธงา ย ถงึ โกรธความถือโกรธคมุ แคน ในใจกม็ ีกาํ ลังออ น พลันท่ีจะจางตกลงไปจากใจ. สขุ = ความสบาย มีลกั ษณะปลอดโปรง ไมอึดอดั กลัดกลมุ เปนลักษณะตรงกันขามกับ อุทธัจจะ และกุกกจุ จะ ซ่ึงมลี กั ษณะเดือดพลา น พุพลงุ และหลกุ หลิก ลกุ ลน รําคาญ เหมือนน้าํ เปนคล่นื ระลอกฉะน้ัน เม่ือลกั ษณะทั้งสองฝายนี้มาประจนั หนากนั เขา ก็จะตองเกิดการตอสู หักลางกนั และจะตอ งปราชัยไปฝายหนึ่ง ถา ความสขุ สบายมีกาํ ลงั เหนือกวา ก็ขมอทุ ธจั จะ และ กุกกจุ จะลงได และเขาครองความเปนใหญใ นจติ ใจตอไป คนมีความสขุ ยอมสงบอยไู ด ไมล ุกลน เหมอื นคนมีทุกข เชน น่งั สบายกม็ กั นั่งนานๆ ได แตถ า ไมส บายแลว แมเวลานดิ หนอยกร็ ูสกึ นาน ถา จาํ เปนตอ งน่งั ตอไปกเ็ กดิ รําคาญหงุดหงดิ ข้ึนในใจ. เอกคั คตา หรือ สมาธิ = ความมใี จเปน หน่ึง หรอื ความสงบ มีลักษณะนง่ิ ๆ เที่ยงตรง ไมซ ดั สาย หรอื สั่นไหว เปนลักษณะตรงกันขามกับกามฉันทะ ซึง่ มลี กั ษณะกระสบั กระสา ย ด้ินรน กระดกุ กระดิกเรา จิตใหส่ันสะเทือน เมื่อลักษณะทั้งสองนี้มาประจันหนากนั ก็จะตองเกิดการตอสู กันขึ้น และจะตองพายแพไปฝา ยหน่งึ เม่ือเอกัคคตามีกําลงั กวา กย็ อ มชนะและครองอํานาจในจติ เอกัคคตาเปนลักษณะอยางออ นของอเุ บกขา พูดฟง กันงา ยๆ ก็คือวาเอกคั คตาคืออุเบกขาอยา ง ออนๆ น่ันเอง พระบรมศาสดาตรัสวา กามราคะละไดด ว ยอเุ บกขา กามฉนั ทะ กับกามราคะกม็ ี ความหมายอยางเดียวกัน ฉะน้ัน กามฉันทะจึงระงับดวยเอกัคคตาในปฐมฌาน สมจรงิ กบั พระพุทธ อุทานวา สุขา วริ าคตา โลเก กามานํ สมติกฺกโม ความไมก ําหนัดกามคณุ ครอบงํากามราคะได เปน ความสขุ ดังน้.ี เทา ทอ่ี ธบิ ายมานี้ ไดความวา ปฐมฌาน มีลกั ษณะ ดังนี้ ๑. จติ สงบเงยี บ กามคณุ และอกศุ ลธรรมสงบไป เปนใจปลอดโปรง วงั เวงเหมือนอยูปา เปลย่ี วคนเดียวฉะนั้น. ๒. จิตคิดอารมณห น่งึ คือขอกมั มัฏฐาน ทาํ การเคลาคลงึ คลอเคลยี อยูก บั อารมณนั้น. ๓. จติ อานอารมณ คือพินจิ ขอกมั มัฏฐาน ทาํ การไตส วนสืบสวนอยใู นอารมณนั้น. ๔. จิตชุมช่ืน คอื เบกิ บานเพราะผานพบความสงดั เงยี บจากกามคณุ และอกุศลธรรมซง่ึ ไม เคยผา นมากอน. ๕. จิตมคี วามสขุ คอื สบายใจ โลงใจ เพราะไมม กี ามคณุ และอกุศลธรรมกอกวนใจให วุนวาย. ๖. จติ มีความเปน หน่งึ คอื จติ เปนอิสระแกต ัว มีสิทธ์ทิ าํ กิจอันเปน ประโยชนต นไดอยา ง สบายไมตอ งพะวงวา จะมีนายมาบงั คบั ใหละทงิ้ การงานของตนไปเพอ่ื ประโยชนของนาย หมาย ความสนั้ ๆ วา จติ เสร.ี เมื่อไดค วามในปฐมฌานเชนนี้แลว จะไดอธิบายลักษณะทตุ ยิ ฌานสบื ไป. ทิพยอํานาจ ๒๓

ทตุ ยิ ฌาน ซ่งึ ปรากฏตามพระบาลีทยี่ กมาต้ังไวเปน หลักนัน้ และแสดงลกั ษณะไววา ระงับ วิตกวจิ ารแลว จงึ เขาทุตยิ ฌาน ซงึ่ มคี วามผอ งใสในภายใน ฯลฯ ดังน้ี แปลวา ทุติยฌาน ละองค ๒ ขางตนของปฐมฌานเสีย เหลือแตเพียง ๓ องค คือ ปต ิ สขุ กบั เอกัคคตา และมีลกั ษณะพเิ ศษ เพมิ่ ขน้ึ คอื ผองใสกบั เปนหน่ึงเดนของใจ ซง่ึ ยงั ไมมใี นปฐมฌาน เพราะในปฐมฌานนน้ั จิตตองคดิ อานอารมณ คอื ขอธรรมกมั มฏั ฐานงวนอยู ยงั ไมวางมือในอารมณไ ด จิตจงึ ตองสงั โยคกับอารมณ อนั เปน ภายนอกอยตู ลอดเวลา จงึ ยังไมมลี กั ษณะผองใส และเปนหนึง่ เดน ได คร้ันมาถึงฌานที่ ๒ น้ี วิตกวิจารระงับไป อารมณภายนอกก็ตองระงับไปดวย จึงมแี ตจ ิตดวงเดยี วเสวยอารมณภ ายใน คอื ปติ สุข อันเกิดจากความสงบนน่ั เองอยางชื่นฉํ่า ผูดํารงอยูใ นฌานชั้นนีจ้ ึงเปนผูนงิ่ ๆ ชื่นบาน ณ ภายในใจ ถาจะพูดใหช ดั วา นัง่ อมย้ิมก็ได สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงอธบิ ายคําวา อรยิ ดุษณี ก็ ทรงชีเ้ อาอาการของผูเ ขาทุตยิ ฌาน โดยใจความวา ภิกษุเขาทุติยฌาน มีใจผองใสในภายใน ไมค ิด อา นอะไร และไมสงใจไปอนื่ มหี นา ตาช่ืนบาน ไมพดู จา และไมเคลื่อนไหวอิรยิ าบถ หรอื อากัปกิริยาใดๆ นง่ั น่งิ ๆ อยูอยางน้แี ล เรยี กวา อรยิ ดุษณี ดังน้ี เมื่อวา ตามหลกั ทุตยิ ฌานในพระ บาลีนี้ ตอ งวาประกอบดวยองค ๕ เหมือนกัน แตพระโบราณาจารยท า นกําหนดไวเ พยี ง ๓ องค เทานัน้ เปน อันไดความวา ทตุ ิยฌานมลี กั ษณะแหงจติ ท่ีพึงสาํ เหนียกไว ดงั นี้ ๑. จติ ไมคิดอา นอะไร วางความคดิ อา นอารมณ คือ กัมมฏั ฐานแลว เหมือนคนทาํ ธรุ ะเสร็จ แลว กาํ ลงั พกั ผอ นฉะนั้น. ๒. จิตผอ งใสและเปนหน่ึงเดน คอื จติ ไมส ังโยคกับอารมณอนั เปนภายนอก ทจ่ี ะทําใหมี อาการกระเพื่อม เปนร้ิวระลอกนอ ยๆ จึงเกดิ มีอาการผอ งแผวและเดน ชัดขนึ้ เหมอื นดวงจนั ทรพน จากเมฆฉะน้ัน. ๓. จิตชน่ื บาน ดว ยอาํ นาจความสงบ. ๔. จิตสบาย ดว ยอํานาจความสงบ. ๕. จติ เปน หน่ึงยิ่งขึ้น เพราะปราศจากอารมณอนั เปน ภายนอกเขาควบคูกบั จติ คงมีแต อารมณภายใน คอื ปติ สขุ เทานั้น. เม่ือไดความในทตุ ิยฌานแลว เชนนี้ จะไดอ ธบิ ายลักษณะตติยฌานสบื ไป. ตตยิ ฌาน ตามลักษณะท่ปี รากฏในพระบาลีที่อญั เชญิ มาตงั้ ไวเปนหลักนั้น คอื สิ้นกาํ หนดั ในปตแิ ลว จงึ เขา ตติยฌาน ซึง่ เปนผมู ีอเุ บกขา มีสติ สัมปชัญญะ เสวยสขุ ดวยกาย (คอื นามกาย) อยู โดยนัยนเี้ ปนอนั วา ตอ งละองคท่ี ๓ ของปฐมฌานเสียอกี คงเหลอื แต ๒ องค คือ สขุ กบั เอกัคคตา แตมลี กั ษณะพิเศษเพ่มิ ข้นึ ในฌานชั้นนีอ้ ีก ๓ คือ อเุ บกขา สติ และสัมปชญั ญะ ฉะน้ันจงึ คงมีองค ๕ เหมอื นกนั แตพ ระโบราณาจารยทา นกาํ หนดไวเพียง ๒ องคเ ทาน้ัน. ทําไมในฌานช้ันนจี้ ึงตอ งกาํ จัดปต ิ เปนเรอื่ งท่คี วรรูไว ปต ิน้ันมลี กั ษณะทัง้ ออ นและรนุ แรง ทา นจําแนกตามลักษณะทพี่ อกําหนดได ๕ ลกั ษณะ ดังน้ี ๑. ขทุ ฺทกาปติ ปต เิ ลก็ นอย มีลกั ษณะชน่ื ๆ เพียงนิดหนอ ย เหมือนฝอยนาํ้ กระเซ็นถูกกาย ฉะนนั้ . ทพิ ยอาํ นาจ ๒๔

๒. ตรุณาปติ ปต อิ อนๆ มีลักษณะเยน็ กาย เย็นใจ ช่ืนใจ เหมือนลมออ นๆ พัดมาเฉื่อยๆ ตองกายพอเย็นสบายฉะนั้น. ๓. ผรณาปต ิ ปตซิ าบซา น มีลกั ษณะชมุ ชื่น แผซา นไปทั่วสรรพางคก ายทัว่ ทุกเสนขน เหมือนอาบนํา้ เย็นทว่ั ท้ังตวั ไดรบั ความชุมเยน็ ดฉี ะน้ัน. ๔. โอกฺกนตฺ กิ าปติ ปตซิ ูซ า มีลักษณะชื่นฉ่ํา ทําใหเ กิดอาการขนพองสยองเกลา นาํ้ ตาไหล หวั ใจเตนแรงต้ึกตัก้ เหมือนคนลงแชใ นนาํ้ เย็นนานๆ เกดิ อาการหนาวสัน่ ขึ้นฉะน้นั . ๕. อพุ ฺเพงฺคาปติ ปติตืน่ เตน มีลักษณะฟขู ้นึ ทําใหจติ ใจเบากายเบาและพองโตขน้ึ บางที ถึงกบั ทาํ ใหลอยไปในอากาศได เหมอื นคนทไี่ ดรับสง่ิ ท่นี า ตืน่ เตนท่ีสดุ ในชวี ติ เชน ไดรบั การยกยอ ง หรอื บาํ เหน็จรางวัลจากผหู ลกั ผูใหญโดยไมน ึกไมฝ น ยอมเกดิ ความต่นื เตน ลงิ โลด ถงึ กบั กระโดด โลดเตนอยา งเดก็ ๆ ก็ไดฉะน้ัน. เมือ่ ปตมิ ลี กั ษณะดังกลา วมา แมเ พียงปติเลก็ นอยก็สามารถทําใจใหกระเพือ่ มหรอื ไหวนิดๆ เหมือนน้าํ ใสๆ ทีใ่ สไ วในภาชนะต้งั ไวในท่ีไมม่นั คง เมื่อคนเดินไปเดินมายอ มทาํ ใหน ้าํ ในภาชนะนั้นมี รว้ิ นอ ยๆ ขน้ึ ได ปตจิ งึ เปนอันตรายของอุเบกขาสุข ซ่ึงเปนองคสาํ คัญของตติยฌาน จาํ เปนตอ ง กาํ จดั เสีย ปติดํารงอยูไดดวยอาํ นาจความพอใจยนิ ดรี ับเสวยอยู ไมด ํารงใจใหเ ปนกลางไว เมอื่ เห็น โทษของปตแิ ลว ตอ งการเสวยสุขประณตี สขุ มุ จึงวางความพอใจในปติเสีย ทําสตสิ มั ปชญั ญะกาํ กบั ใจใหเปนกลางย่ิงข้นึ ปตกิ ็คอยจางไปโดยลําดบั ในทส่ี ุดปต กิ ็หายหมดไปจากใจ คงยงั เหลือแตสขุ สุขุมประณีตกระชับกบั อุเบกขา ทา นจึงเรียกวา อุเบกขาสุข และใชเ ปน ชอ่ื ฌานของชน้ั น้ใี นทบ่ี าง แหง ดว ย เมอ่ื ปตจิ างไปหมดแลว กส็ ามารถเขาตติยฌาน และดาํ รงฌานไวต ามตอ งการได. สวนสุขในฌานช้ันน้ีตางจากสขุ ในฌานที่ ๑-๒ ซึ่งผา นมาแลว สุขในฌานที่ ๑-๒ เปน สขุ เวทนาชัดๆ แผคลุมทงั้ ทางกายทางใจ สว นสขุ ในฌานท่ี ๓ นี้ เปนสุขเวทนาทสี่ ุขมุ ใกลไ ปทาง อุเบกขา เปนความสุขทางใจโดยเฉพาะ ไมค ลุมไปถึงรูปกาย ท่วี า เสวยสขุ ดว ยกายน้ันหมายนาม กาย มใิ ชร ูปกาย ฌานชั้นนีพ้ ระอริยเจา ชมเชยวาเปน สุขวิหาร กโ็ ดยฐานท่เี ปนสขุ ประณตี สขุ มุ ใน ภายใน ไมกระเทือนถงึ รปู กาย สามารถหลบทุกขเวทนาทางกายได ทง้ั อาจระงับอาพาธไดดว ย. เปนอนั ไดความวา ตติยฌานมีลกั ษณะเปนทีส่ ังเกต ดังตอ ไปน้ี ๑. จติ จางปติ คอื หมดความรูสึก ดูดดม่ื ชมุ ชนื่ ดังในฌานกอน. ๒. จิตเปน กลาง คอื วางเฉยไมรบั เสวยปต .ิ ๓. จติ มสี ตคิ วบคมุ คือสติมีกาํ ลังแกก ลาขน้ึ มีอาํ นาจควบคุมใจใหด ํารงเปน กลางเทย่ี งตรง. ๔. จิตมสี ัมปชญั ญะกํากับ คือจิตมคี วามรูสกึ ตัวเองชัดขนึ้ รเู ทาอาการของจติ ใจในขณะน้นั ทนั ทุกอาการ. ๕. จติ เสวยสุขมุ สุข คือเสวยสขุ ประณตี ณ ภายในดวยนามกาย ปราศจากความรูสึกทาง รปู กาย ตดั กระแสสมั พนั ธทางรปู กายได. ๖. จติ ถึงความเปนหน่ึง คอื เปนจิตดวงเดียว มอี ารมณนอย สขุ ุมประณตี . เมอ่ื ไดค วามในตติยฌานเชนนี้แลว ควรทําความเขาใจในจตตุ ถฌานตอ ไป. ทิพยอาํ นาจ ๒๕

จตตุ ถฌาน ตามลกั ษณะทป่ี รากฏในพระบาลี ดงั ท่ียกมาต้งั ไวเ ปนหลกั น้ัน คอื ละสุข ทุกข และดบั โสมนสั โทมนัส ไดก อ นแลว จงึ เขา จตตุ ถฌาน ซง่ึ ไมม สี ขุ ทกุ ข มีแตอ ุเบกขา กบั สตแิ ละ ความบรสิ ทุ ธิข์ องจิตอยู. เปนปญหาทน่ี า คิดขอ หนง่ึ คือ ทุกข และโทมนสั นาจะละได และดับไปต้งั แตฌานช้ันตนๆ มาแลว ไฉนจงึ จะตองมาละและดบั ในช้นั นอี้ ยอู ีก? การท่จี ะแกป ญหาขอ นต้ี ก จะตอ งนึกถึงความ จริงขอ หนึ่งวา สขุ ทุกข และโสมนัส โทมนัส เปนเวทนา ซ่งึ มลี ักษณะเปล่ยี นแปลงไมค งท่ี เมอื่ สขุ เวทนามีในทใี่ ด ทกุ ขเวทนาก็ตองมีในท่ีน้นั โสมนัสมีในทใ่ี ด โทมนัสกจ็ ะตองมีในท่นี ้ันดว ย ในเม่อื มันเปลย่ี นแปลงไป ฉะนัน้ ในฌานที่ ๔ นี้ จึงตองมีการละสขุ ทกุ ข และโสมนัส โทมนสั เปน เบอื้ งตนกอน สุขทกุ ขและโสมนัสโทมนัสในเบ้อื งตนนเี้ กดิ มาจากลมอสั สาสะ ปส สาสะ คือลม หายใจเขา-ออกน่ันเอง เพราะลมหายใจนเ้ี ปน หนามของจตุตถฌาน คือ คอยเสยี ดแทงใหเกิดสุข ทกุ ข และโสมนสั โทมนัสอยเู สมอ ถา ยังระงบั ลมหายใจเขา-ออกไมไ ดต ราบใด สุขทุกขแ ละโสมนัส โทมนัสกจ็ ะตองบงั เกดิ มีอยตู ราบนั้น เม่อื เปน เชนนเี้ ราจงึ จบั จุดไดว า ลมหายใจเปนส่งิ ท่ีควรผอ น บรรเทาใหละเอียดลงไปโดยลําดับ จนกวามันจะระงบั ไป เม่ือลมหายใจระงับไปก็ช่อื วา ละสุขทุกข และดบั โสมนสั โทมนสั ไดโ ดยปรยิ าย แลว ยอ มเขา ถึงฌานท่ี ๔ ได ซงึ่ ฌานในช้ันน้ี จิตใจจะรูสกึ ไม สขุ ไมท ุกข มีความเปนกลาง กบั ความมสี ติและความบรสิ ทุ ธิ์กํากับใจอยูเทานนั้ เปนฌานท่ีมีเวทนา จืดชืด ใจบรสิ ทุ ธิ์ผุดผอ ง นม่ิ นวล ไมมสี ่งิ ยวนใจ ปราศจากหมองมวั ในภายใน ควรแกก ารนอ มไป เพอื่ ทิพยอาํ นาจไดแลว เมื่อวา ตามลกั ษณะทป่ี รากฏในพระบาลี จตุตถฌานกป็ ระกอบดว ยองค ๕ เหมอื นกัน แตพ ระโบราณาจารยก ําหนดไวเ พียง ๒ คอื อุเบกขา กับ เอกัคคตา. เปน อนั ไดค วามวา จตตุ ถฌานมีลกั ษณะท่ีควรสงั เกต ดังตอไปน้ี ๑. ละสขุ ทุกข ได คือ ระงบั ลมหายใจอันเปน ทีต่ ้งั แหง สขุ ทุกขได. ๒. ดบั โสมนสั โทมนสั ได คอื ระงับลมหายใจเปน ท่ตี ัง้ ของมันไดน ่ันเอง. ๓. จิตไมมที กุ ข คอื จิตเสวยเวทนาที่จืดชืด ซ่งึ ไมก วนความรสู ึก. ๔. จติ เปนกลาง คอื จิตมคี วามรูสกึ เปน กลาง เทยี่ งธรรม ซึง่ ขอน้ีเปนขอสําคัญทสี่ ุดในองค ฌานท่ี ๔ นี้ ทา นจึงเรยี กช่อื ฌานนวี้ า อเุ บกขาฌาน. ๕. จติ มีสติพละกาํ กับ คอื สตใิ นช้นั น้เี ปน สตพิ ละ สติสมั โพชฌงค และสตสิ ัมมาสติ ซ่งึ เปน องคข องมรรค เขาควบคุมจิตใจไวอ ยางกระชบั ท่ีสุด จึงมีพละกาํ ลังเพียงพอทจ่ี ะเปน บาทฐานแตง สรา งทพิ ยอาํ นาจได. ๖. จิตมคี วามบรสิ ทุ ธิ์ผุดผอง. หมายเหต:ุ องค ๕ ของจตตุ ถฌาน ตามลกั ษณะในพระบาลี คือ ๑. อทกุ ขมสขุ เวทนา รูสกึ ไมสุขไมทุกข. ๒. อเุ บกขา ใจเปน กลางเทย่ี งธรรม. ๓. สติ สตมิ กี าํ ลงั ควบคมุ . ๔. ปารสิ ทุ ธิ จิตใจบรสิ ุทธ์ิผดุ ผอ ง. ๕. เอกัคคตา จิตใจสงบเปนหนึง่ . ทิพยอํานาจ ๒๖

บทที่ ๒ วิธเี จรญิ ฌาน ๔ เมือ่ ไดท ราบลักษณะของฌาน ๔ ดังกลาวมาในบทท่ี ๑ พอสมควรแลว จงึ ควรทราบวธิ ี เจรญิ ฌาน ๔ นนั้ สืบไป เพ่ือเปนขอ สังเกตในเวลาปฏิบัตจิ รงิ ๆ เหมือนเรยี นวิชาแผนทไ่ี วเ ปน ขอ สงั เกตในเวลาไปสํารวจภูมปิ ระเทศฉะนัน้ . ขอสาํ คัญควรทราบไวในเบ้อื งตน คือ การเจริญฌานเปน การอบรมจิตใหส ขุ มุ ประณตี และ บริสทุ ธ์ิ จิตท่ีตองอบรมนั้นคอื อะไร กไ็ มควรเปนปญหายุงยาก เพราะทกุ คนมีจิตใจอยูแลว ตวั ท่ี รจู ักสขุ ทุกขดชี วั่ น่ันแหละคอื จติ หมายถงึ ธรรมชาตชิ นิดหนึ่งซ่ึงมคี วามรเู ปนลักษณะ และครอง ความเปน ใหญใ นอัตภาพของตน ธรรมชาตชิ นดิ น้ีจะเรียกชอ่ื วา กระไรบา งไมส ําคญั ความสําคญั อยู ทรี่ วู า เปนธรรมชาติที่มอี ํานาจในรางกาย ถาไดฝก ใหดีแลว จะนาํ ประโยชนม าใหเหลือหลาย การท่ี พยายามจะรลู ักษณะทีแ่ ทจรงิ ของจติ กอ นการอบรมจติ นน้ั เปนสิง่ เปน ไปไมไ ด เพราะจติ เปน ธรรมชาติละเอียด ทง้ั มสี วนประกอบหลายซับหลายซอ น ถาขืนพยายามจะไปรูเขา จะเกิดยุง ซง่ึ เขา ทํานองวา “รกู อนเกดิ สะเดิดกอนตาย” เปนเรอื่ งยุงยาก มแี ตพ าใหเ กิดกังขาสงสัยรา่ํ ไป ท้ังเปน ทางพอกพูนทิฏฐคิ าหะใหแ นน แฟน ซ่งึ ยากแกก ารชําระเปนอนั มาก. จิตใจเปนที่ตั้งของกิเลส-ความไมมกี เิ ลส, ของความดี-ความไมด ี, ของความสุข-ความทกุ ข, ของความรผู ิด-และรูถ กู . ความรผู ดิ เปน ปจ จยั ของกเิ ลส กิเลสเปนปจจยั ของความไมด ี ความไมดีเปน ปจจัยของความ ทกุ ข โดยนัยตรงกนั ขาม ความรูถกู เปนปจจยั ของความไมม กี ิเลส ความไมม กี เิ ลสเปนปจจยั ของ ความดี ความดีเปนปจ จยั ของความสุข เมือ่ เปนดงั นี้เรากป็ น แดนออกไดเปน ๒ แดน คอื แดนสขุ กบั แดนทุกข ทางที่จะนาํ ไปสแู ดนทง้ั สองน้ี ก็ปนออกเปน ๒ ทางไดเ ชนกนั คอื ทางสุขกับทาง ทุกข ทางสุขไปสแู ดนสขุ ทางทุกขไปสแู ดนทุกข เม่อื เปน เชนนจ้ี ะมุงไปแดนสขุ หรือแดนทุกขกนั แน? ถามงุ ไปแดนไหนก็จงรบี ตัดสินใจ แลวรบี เรงปฏิบตั ิดําเนินไป เม่ือเดินไมหยุด ก็จะตองถึง ทสี่ ดุ ของทางเขาสักวนั หนง่ึ เปน แน ทสี่ ดุ ของทางนั่นแหละเปนแดนที่ทา นมุงไปละสขุ หรอื ทกุ ขก ็รู เอง ไมต อ งถามใคร. เมื่อจับหลกั สาํ คัญไดว า จติ เปน ทตี่ ้ังของสขุ และทกุ ขเ ชน นี้แลว ก็ลงมืออบรมจติ ไดท ันที ไม ตอ งรีรอ เพราะตา งก็มีจติ ซึง่ ตอ งเสวยทกุ ขแ ละสขุ ทกุ วนั ทาํ อยางไรจึงจะมสี ขุ สมบรู ณสม ปรารถนา กค็ วรรีบทาํ อยา งน้ัน ดีกวาจะปลอ ยไปตามยถากรรม ซึ่งไมแ นวาจะไปสขุ หรอื ไปทกุ ข. วธิ ีการเจรญิ ฌาน ซงึ่ เปน การอบรมจิตใจนั้น ทานมิไดจ าํ กดั กาลเวลาและอริ ิยาบถ คือ ให ทาํ ไดทุกเมอื่ และทุกอิรยิ าบถ คือ ยืน เดิน น่ัง นอน แตถ ึงอยา งนั้นก็ยงั มวี ิธกี ารจําเพาะกาล และ อิริยาบถอยูดว ย ซ่ึงเราจาํ ตอ งศกึ ษาใหรไู ว เพื่อปฏบิ ัติใหถูกตอ งตามวธิ ีนั้นๆ ดงั ตอไปนี้ ทิพยอาํ นาจ ๒๗

๑. วิธกี ารเกี่ยวกบั เวลา ชีวิตของคนเราเนือ่ งอยูกับเวลา คอื ชวี ติ จะตองผานเหตุการณตา งๆ ไปทุกระยะวินาที สง่ิ ทผ่ี านมาสมั ผสั เขากับตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจของเราน้นั ทา นเรียกวาอารมณ เปนส่งิ ทม่ี อี ยู เตม็ โลก และจะตอ งประกอบกบั ชีวิตของเราเสมอไป เวลาที่สงิ่ เหลา นี้ผา นมาสมั ผสั ทวาร คอื ตา หู ฯลฯ ของเราน่ันแหละเปนเวลาทส่ี าํ คญั ทีส่ ดุ ถา นายประตู คอื สติ เปนผูรอบคอบระมดั ระวงั ดี ก็ไมเ กดิ โทษ แตถา นายประตเู ผลอไมร ะมดั ระวงั ใหดีกเ็ กิดโทษข้ึน โทษทีเ่ กิดขึ้นกม็ ีท้งั อยา งออ นๆ และอยา งรายแรง ทาํ ใหจิตผเู ปน เจาของเสยี คุณภาพไป ถาอารมณทีผ่ า นมาสมั ผัสเปนสิง่ ท่ีจะนํา ใจไปทางบญุ กศุ ล ยอมทาํ ใจใหเกดิ มคี ณุ ภาพดีขึ้น เมอ่ื เปนเชนนี้ ทา นจงึ กาํ หนดวธิ ีการเกย่ี วกับ เวลาไว มีทง้ั วธิ กี ารแก วธิ ีการปองกัน และวิธกี ารสงเสรมิ . วธิ กี ารแก ๑. รีบปฏบิ ัตกิ ารทตี่ รงกันขา มกับโทษน้ันทนั ที เชน ความกาํ หนัดเกิดขนึ้ เพราะเหตุเห็น หรือ นึกคิดอารมณทสี่ วยงามเปนตน กร็ ีบสลัดอารมณน น้ั เสีย แลว คดิ ถงึ ส่งิ ไมสวยไมงาม หรอื รบี สงบใจใหไ ดถ ึงขัน้ เอกคั คตา ความกาํ หนัดกจ็ ะสงบไป ฯลฯ ๒. รบี เปล่ียนอริ ิยาบถทันที เชน นัง่ อยู เกิดอารมณขุนหมองข้ึนในใจโดยเหตใุ ดเหตุหนงึ่ พึงลุกยนื หรอื เดนิ เสีย อารมณเชนน้ันก็จะสงบไป. ๓. รบี ทาํ กิจอยา งใดอยางหน่งึ ทันที เชน อยวู า งๆ ความรสู กึ ฝา ยต่ําเกิดขึน้ พงึ รบี ทํากจิ การ งานอยา งใดอยา งหน่งึ เสีย ใสใ จอยกู ับกิจท่ที ํานัน้ ความรูสกึ ฝายต่าํ กจ็ ะตกไปจากจิตทนั ที. วธิ ีการปอ งกนั สํารวมอนิ ทรีย ๖ (อนิ ทริยสงั วร) ดวย ๑. ทาํ สตคิ วบคุมอินทรียเสมอทกุ ขณะไป (สตสิ ังวร). ๒. ทําความรูเ ทาอารมณใ หท นั ทวงที (ญาณสังวร). ๓. ทาํ ความอดทนตออารมณท ส่ี มั ผัส (ขนั ติสังวร). ๔. ทําความพากเพียรละกิเลสลวงหนาไว (วริ ิยสงั วร). วิธกี ารสงเสรมิ ๑. รีบประคบั ประคองความรสู ึกฝายสงู ใหดําเนนิ ไปจนสดุ กระแสของมัน ถา สามารถตอ กระแสความรูสกึ นั้นใหสงู ยงิ่ ๆ ขึ้นได กร็ ีบทาํ ทนั ที อยาละโอกาส. ๒. รีบทาํ กิจตามความคิดฝา ยสูงท่เี กิดขน้ึ นน้ั ใหส ําเรจ็ ไปโดยเรว็ อยาผดั เวลาไป เพราะจติ เปนธรรมชาตกิ ลับกลอกไว อาจละทิง้ ความคดิ ทด่ี นี ้ันในภายหลงั ได. ๓. รีบทาํ ความพากเพียรอบรมจติ ในเวลาทจ่ี ติ ปลอดโปรง จะไดผลดีรวดเร็ว เพราะเวลา เชนนั้นทานวา เปน เวลามารใหโ อกาส ถาปลอยใหเ วลาเชน นน้ั ผานไปเปลา ๆ จะเสียใจภายหลัง. ทพิ ยอาํ นาจ ๒๘

๔. รีบทาํ ความพากเพยี รกา วหนา เร่อื ยไป ในเมื่อไดส มาธิข้ันตน ๆ แลว อยา วางใจและทอด ธุระเสยี และพงึ ระมดั ระวังอันตรายของสมาธดิ ว ย. ๒. วธิ กี ารเกี่ยวกบั อิรยิ าบถ อริ ิยาบถ คือ อาการเคลอื่ นไหวของรา งกาย ในความควบคุมของใจ มี ๔ ประการ คอื ยนื เดนิ นง่ั นอน วธิ ีการอบรมจติ เกี่ยวกบั อิรยิ าบถ เปนดังนี้ ๑. ยนื อบรมจติ มักใชป ฏบิ ัติคน่ั ในระหวางการเดนิ จงกรม เพ่อื พักผอนรางกายเปนระยะๆ ไป คือ ยนื พักขาขา งหน่ึง โดยผลดั เปลย่ี นกันไป ในเม่ือขาหนง่ึ เม่ือย ก็เปล่ียนพักอกี ขาหนึ่ง ในขณะ ทย่ี นื น้ันก็ทาํ การอบรมจติ เร่อื ยไป เมอ่ื ปฏิบัตใิ นอิรยิ าบถยืนพอสมควรแลว ควรใชอิริยาบถอื่น ตอไป. ๒. เดนิ จงกรม คอื เดินสาํ รวมจติ ไปมา บนทางทท่ี าํ ไวอ ยา งดี ราบร่ืนสะอาด กวาง ประมาณ ๒ ศอก ยาวประมาณ ๒๐ ศอก หรอื ๒๐ กาว ทางเชนนี้เรยี กวา ทางจงกรม ตอ งทาํ ไว ในทเ่ี งยี บสงัด ไมเปดเผยเกินไป และไมท บึ เกินไป อากาศโปรง ถามีที่เหมาะพอทาํ ไดพงึ ทําเปน ทาง เฉียงตะวัน เงาของตัวเองไมร บกวนตัวเอง และทา นวาเปน การตดั กระแส แตถา จะทาํ ที่จงกรมตาม ลักษณะท่ีวา น้ไี มได แมที่เชน ใดเชนหน่งึ ก็พงึ ใชเถิด ขอสาํ คัญอยูท ก่ี ารเดินสํารวมจิตเทาน้นั . วิธจี งกรมนี้ พระบาลไี มแสดงไว แตที่ปฏบิ ัติกนั ใหเ อามอื ทงั้ สองกมุ กนั ไวขางหนา ปลอย แขนลงตามสบาย ทอดสายตาลงตา่ํ มองประมาณชั่ววาหนึง่ ทําสติสมั ปชัญญะควบคมุ จติ ใหอยูใน ความสงบ จะเอากมั มฏั ฐานบทหนึง่ มาเปนอารมณห รอื ไมกต็ าม แลวกาวเดินชาๆ ไปสุดหวั จงกรม แลว หยุดยืนนิดหนอย จงึ กลับหลังหนั กาวเดินมาสูท่ีตั้งตน ครั้นถงึ ที่ต้ังตนหยุดยืนนิดหนอ ย แลว กลับหลงั หนั กาวเดนิ ไปอกี โดยทํานองน้ีเรอื่ ยๆ ไป เมือ่ เมือ่ ยขาพึงยนื พกั ดังทก่ี ลา วไวในอิริยาบถ ยืน หรือจะนง่ั พกั ในอิรยิ าบถนั่ง ซงึ่ จะกลาวตอไปก็ได. อานสิ งสท ่ีไดในการจงกรมนี้ พระบรมศาสดาตรัสวา๑ ๑. เดินทางไกลทน. ๒. ทําความเพียรทน. ๓. เจ็บปว ยนอย เดอื ดรอ นนอ ย. ๔. อาหารท่ดี ่ืมกินแลว คอยๆ ยอ ยไปไมบดู เนา . ๕. สมาธทิ ี่ไดด วยการจงกรม ดํารงมั่นนาน ไมเคล่อื นงาย. สว นการเดินยดื แขง ยืดขาน้ันไมมแี บบ แลวแตอ ธั ยาศยั และความถนัด การเดินชนิดน้ัน ทา นเรียก ชงั ฆวหิ าร เปนชนดิ การเดนิ เลนเรอ่ื ยเปอ ยไปตามอธั ยาศยั น่ันเอง ถงึ อยา งน้ันนกั ปฏิบัติ กไ็ มล ะโอกาสเหมือนกนั ยอมมีสติควบคุมจิตใจ หรอื คิดอา นอะไรๆ ซึ่งเปนเครือ่ งอบรมใจไปดว ย. - - .......................................................................................................................................................... ๑. มาใน สุตตนั ตปฎก อังคุตตรนกิ าย เลม ๒๒ หนา ๓๑. ทิพยอํานาจ ๒๙

๓. น่งั เจรญิ ฌาน อิรยิ าบถนง่ั ในการเจริญฌานน้ี พระบาลีบอกไวส ัน้ ๆ เราเขาใจกันไม คอยแจม แจง ที่ทรงแสดงไวใ นวิธีเจรญิ อานาปานสตวิ า ใหน ่ังคูขา (บาลวี า ปลลฺ งกฺ ํ อาภชุ ิตวฺ า) จะคู ขาแบบไหนก็ไมชดั อกี ท้ังนค้ี งเปนเพราะวิธนี ่งั แบบนน้ั เปนท่ีเขา ใจงายในสมยั โนน ที่ทรงใชคํา ส้ันๆ เชนน้ันพอรูเรอื่ งกัน คําวา ปลฺลงกฺ ํ อาจตรงกบั คาํ ไทยวา นงั่ แทนก็ได กิรยิ านงั่ แทนก็คือ น่งั ขดั สมาธินั่นเอง โดยวิธนี ัง่ คขู าทอนลา งเขามา เอาขาขวาทอ นลา งทับขาซา ยทอ นลาง พอให ปลายเทา ทงั้ สองจดถึงเขา ทั้งสองพอดี วิธีนัง่ แบบน้ีตรงกบั แบบของโยคี ท่เี ขาเรียกวา ปทมาศนะ นั่งแบบกลีบบัว จะดวยเหตุนีก้ ระมัง นักจิตรกรจึงวาดภาพพระพุทธเจานงั่ บนดอกบัว การนง่ั แบบ น้บี ังคับใหตอ งนงั่ ตัวตรงจึงสบาย และน่ังทนดว ย สตรีไทยรงั เกยี จการนง่ั แบบน้ี โดยถอื วา เปน การ ขาดคารวะ จงึ ชอบนัง่ แบบที่เรยี กวา พบั เพยี บ คือ ขาคขู างหน่ึงพบั ไปขา งหลงั อกี ขางหน่ึงคูเ ขา มา ยันเขา ขา งหนึ่งไว ทานีบ้ ุรุษเพศไมค อยถนดั ถึงจะนยิ มใชอยใู นหมผู ดู ีก็นง่ั กันไมค อยทน แมในหมู บรรพชติ ทต่ี อ งใชอ ยบู อ ยๆ ก็นั่งไมค อยทน สแู บบบัลลังกไ มไ ด ยังมแี บบนั่งอีกแบบหนงึ่ ในการ เจริญฌาน คอื แบบนั่งตั่ง ไดแกนงั่ เกา อห้ี อยเทาน่นั เอง วธิ นี ี้ใชใ นการเจริญกสิณ สว นน่งั ตามสบาย นั้นไมม ีแบบตายตวั แลวแตความถนดั ของบุคคล. เมอื่ ไดทราบแบบนัง่ เชนน้แี ลว พงึ ทราบวิธปี ฏบิ ัติในการนง่ั สืบไป. ก. นั่งแบบบัลลงั ก ตั้งตวั ใหตรง อยาใหเอน วางหนา ใหตรง อยากม อยา เงย และอยาเอียง วางมือบนตกั เอามือขวาวางทับมือซา ย พอใหห วั แมมือจดกัน ต้งั สตใิ หมัน่ สํารวมจิตเขา มาตัง้ ไว ตรงกลางทรวงอก เอาขอ กัมมฏั ฐานขอหนงึ่ ที่ตนเลอื กแลว มาคดิ และอา นเรอ่ื ยไปจนกวา จะไดค วาม เมื่อไดค วามแลวจิตจะสงบเปน หนึ่ง มีปตแิ ละสขุ เกิดขนึ้ เล้ียงจิตใหเกิดความชุมชนื่ กายใจ มี ความสขุ กายสบายจติ โปรง ใจข้นึ มากนอยตามกาํ ลงั ของความวเิ วก และความสงบ พงึ ดาํ รง ความรสู ึกเชนนี้ไวใหนานท่ีสุดท่ีจะนานได เมอื่ เห็นวาสมควรแลว พงึ คอ ยๆ ถอยจติ ออก คือ นกึ ขึน้ วาจะออกเทานน้ั จติ ก็จะเคล่ือนจากฐานทันที แลวคอยๆ ผอ นความรสู ึกใหจ างออกทีละนอ ยๆ จนกลบั มาสูความรูส กึ อยา งธรรมดา แลว จงึ พจิ ารณาส่ิงแวดลอ มในขณะนน้ั จดจําเอาไวเปน บทเรยี นสําหรบั คราวหนา และพิจารณาตรวจลักษณะองคฌานทปี่ รากฏแกจ ติ ในคราวนน้ั ใหแจม ใจ แลว จึงเคลือ่ นไหวอิรยิ าบถตอไป อยาออกจากสมาธโิ ดยรีบรอ น จะทําใหป ระสาทไดรบั ความ กระเทือนแรงไป เหมอื นต่ืนนอนแลว รีบลกุ อยางตะลตี ะลาน ยอ มไมสบายฉะนั้น. ข. นัง่ แบบนง่ั ตั่ง นงั่ บนเกา อ้ี หรือตั่ง หอ ยเทาลงจดพนื้ ถา เทา ไมจดถึงพื้นเพราะตั่งหรือ เกา อีส้ ูง พงึ หาอะไรรองเทา พอใหส บายๆ โดยไมตองหอยขาตองแตง วางมือแบบเดยี วกับนงั่ บลั ลงั กก็ได เอามือท้ังสองกมุ กันไวบนตักก็ได วางตวั และหนาใหตรงเชนที่กลา วในขอ ก. (น่ังแบบ บัลลังก) ตอน้นั ไปพึงปฏิบตั โิ ดยนยั ท่กี ลาวในขอ ก. ถาเจรญิ กสิณ ก็พึงตงั้ ดวงกสิณใหหางจากที่น่งั ประมาณวาหน่ึง แลว น่ังตามแบบ ลืมตาดูดวงกสณิ พินิจใหแ นแลว หลบั ตานึกดู จนเห็นภาพดวง กสิณชดั เจนในตาใจ วิธีปฏิบัตติ อ ไปนจ้ี ะไดกลาวไวในขอ วา ดว ยกสณิ พงึ ตดิ ตามไปอา นท่ีน้ันอีก. ค. น่ังแบบพับเพียบ แบบนเ้ี ปนแบบทถี่ นัดของสตรไี ทย พึงนง่ั พบั เพียบวางมือบนตกั วางตวั ใหต รง วางหนา ใหตรง ดาํ รงสติใหมนั่ สาํ รวมจิตคิดอา นขอ กมั มฏั ฐานทเ่ี ลือกไว โดยนัยที่ กลา วในขอ ก. น้ันทกุ ประการ. ทพิ ยอาํ นาจ ๓๐

ง. นงั่ แบบสบาย คอื น่งั ตามถนัดของตนๆ แลว คิดอานขอ กัมมัฏฐานอนั ใดอันหนึ่ง หรือไม คดิ อา นอะไร เพียงแตตั้งสตสิ ําเหนยี กอยทู ่ีจติ คอยจับตาดคู วามเคล่อื นไหวของจิต หรอื สังเกตลม หายใจเขาออกตามแตอ ัธยาศยั . การท่แี นะนําขอ นี้ไวก ็โดยทกี่ ารบาํ เพ็ญฌาน ยอมทําไดท ุกทา ผูไมประมาทยอมไมปลอ ยให เวลาลว งไปเปลาๆ ยอมสาํ เหนียกจับตาดจู ิตใจของตนเสมอๆ แมใ นเวลาทาํ กิจใดๆ อยูกไ็ มล ะท้งิ เลย. อนึง่ ในการนง่ั เจรญิ ฌานน้ี กม็ กี ารพกั ผอ นกายในระหวา งๆ ไดเ ชนเดยี วกนั วธิ พี กั กายใน การนัง่ คือ เม่ือนง่ั ตรงๆ เมื่อยแลว พึงนง่ั ยอตัวลงสักหนอ ย หายเมอ่ื ยแลว จึงนั่งตัวตรงอกี สว นการ พกั มือในระหวางก็ทาํ ไดเชนกัน คอื พักในทา วางมือพลกิ ควา่ํ พลิกหงาย หรอื ประสานมอื ก็ได แต ตองระวังอยาใหจ ิตเคล่อื นจากฐานเทา นนั้ คาํ วา ฐาน น้หี มายถงึ วา จิตดาํ รงอยใู นอารมณเชนไร หรือในความสงบขนาดไหน ในขณะน้นั อันน้ันจดั เปนฐานคือทต่ี ้ังของจิตในขณะนั้น. ๔. นอนเจรญิ ฌาน อิริยาบถนอนในการเจรญิ ฌาน มี ๒ อยา ง คอื นอนพกั ผอ นรางกาย กับนอนเพอ่ื หลบั มีวธิ ปี ฏิบัติตางกนั ดังน้ี ก. นอนพักผอ นรางกาย คอื เม่ือเจริญฌานในอริ ิยาบถท้ัง ๓ มาแลว เกดิ ความมนึ เมอ่ื ย หรอื ออนเพลียรา งกาย พงึ นอนเอนกายเสยี บาง นอนในทา ทส่ี บายๆ ตามถนัด จะหลบั ตาหรือลมื ตาก็ได กาํ หนดใจอยใู นกมั มัฏฐานขอ ใดขอหนึง่ หรือเอาสติควบคมุ ใจใหสงบน่ิงอยูเฉยๆ กไ็ ด. ข. นอนเพื่อหลับ การนอนหลับ เปน การพกั ผอ นที่จาํ เปน ของรางกาย ใครๆ ก็เวนไมได แมแตพ ระอรหันตก ็ตอ งพกั ผอ นหลบั นอนเชน เดยี วกับปุถชุ น ทที่ า นวา พระอรหนั ตไมห ลับเลยนัน้ ทา นหมายทางจิตใจตางหาก มไิ ดห มายทางกาย การหลับนอนแตพ อดี ยอ มทาํ ใหร างกายสดชื่น แข็งแรง ถา มากเกินไปทําใหอวนเทอะทะไมแข็งแรง ถา นอยเกนิ ไปทําใหอดิ โรยออ นเพลีย ความจาํ เสื่อมทรามและงว งซึม ประมาณทพี่ อดนี ้ัน สําหรับผทู าํ งานเบาเพยี ง ๔-๖ ชั่วทุมเปน ประมาณพอดี ผทู ํางานหนกั ตอ งถงึ ๘ ช่วั ทมุ จึงจะพอดี ในเวลาประกอบความเปน ผตู ื่น (ชาครยิ านุโยค) น้ัน ทรงแนะใหพกั ผอ นหลบั นอนเพยี ง ๔ ช่ัวทุม เฉพาะยามทามกลางของราตรี เพยี งยามเดยี ว เวลานอกนนั้ เปนเวลาประกอบความเพยี รทง้ั สิ้น และทรงวางแบบการนอนไว เรยี กวา สีหไสยา คอื นอนอยางราชสีห การนอนแบบราชสีหนน้ั คอื นอนตะแคงขา งขวา เอนไป ทางหลงั ใหหนา หงายนิดหนอย มอื ขางขวาหนุนศีรษะ แขนซา ยแนบไปตามตวั วางเทาทบั เหล่อื ม กนั นิดหนอยพอสบาย แลว ตงั้ สติอธษิ ฐานจติ ใหแขง็ แรงวา ถงึ เวลาเทา น้ันตอ งต่ืนข้ึนทาํ ความเพียร ตอ ไป กอ นหลับพึงทําสตอิ ยา ใหไปอยูกบั อารมณภายนอก ใหอยทู จี่ ติ ปลอยวางอารมณเรอ่ื ยไป จนกวาจะหลบั ถาใหส ติอยูก ับอารมณภ ายนอกแลวจะไมห ลับสนทิ ลงได ครัน้ หลบั แลวต่ืนข้ึน พึง กาํ หนดดูเวลาวา ตรงกบั อธษิ ฐานหรือไม? แลวพึงลุกออกจากท่ีนอน ลา งหนา บวนปาก ทาํ ความ พากเพยี รชาํ ระจิตใจใหบ ริสุทธจิ์ ากนิวรณส ืบไป ถาสามารถบังคบั ใหต่ืนไดต ามเวลาทกี่ ําหนดไวไม เคลือ่ นคลาด ชอื่ วาสําเรจ็ อาํ นาจบงั คับตวั เองขน้ั หน่ึงแลว พงึ ฝก หัดใหช ํานาญตอไป ทั้งในการ บังคบั ใหห ลับ และบังคับใหตื่นไดตามความตอ งการ จึงจะช่ือวามอี าํ นาจเหนือกาย ซึง่ เปน ประโยชนอยา งยงิ่ ในการปฏิบัตอิ บรมจิตใจขนั้ ตอ ๆ ไป. ทิพยอํานาจ ๓๑

เมอ่ื ไดท ราบวธิ เี จริญฌานโดยอิริยาบถทง้ั ๔ เชนน้ีแลว พงึ สาํ เหนยี กวิธเี จริญฌานทวั่ ไป ดงั จะกลา วตอไปน้ี ไดท ราบมาแลว วา การเจริญฌานเปนการอบรมจิตใหสงบ เพอ่ื ใหจ ิตบริสทุ ธผิ์ ุดผอง เหมือนการกล่ันน้ําใหใ สสะอาดฉะนน้ั ธรรมชาติของนํา้ มีความใสสะอาดเปนลกั ษณะดั้งเดมิ ท่ี กลายเปนนํา้ ขนุ เพราะถกู เจือดวยสิง่ อ่ืนในภายหลงั ฉันใด จิตใจโดยเนอ้ื แทก็เปน ธรรมชาติใสผอ ง แตที่จิตน้ันมากลายเปน ธรรมชาติเศรา หมองไป เพราะอุปกเิ ลสจรเขา มาเจอื ปนในภายหลังฉันน้ัน วธิ ีกลัน่ กรองจิตใหบรสิ ุทธผิ์ ดุ ผอ งเปนสภาพแทน ้นั ยอมตอ งอาศยั เคร่ืองกรองทเ่ี หมาะสม เคร่อื ง กรองนั้นไดแ กก มั มัฏฐาน ๔๐ ประการ ดงั จะกลาวในบทตอไป พงึ เลือกใชบ ทหน่ึงหรอื หลายบท ตามควรแกเ หตุ เพือ่ ขม กเิ ลสที่ฟขู ้นึ ในขณะน้นั ใหส งบไป กมั มฏั ฐานนน้ั โดยทั่วไปก็เรยี กวาอารมณ แตเม่ือนําเขา มาอบรมจิตแลว กลบั เรียกวา นิมิตไป พึงทราบความหมายของนมิ ิตในการอบรมจติ ซึง่ แปรสภาพไปตามระยะดงั นี้ ๑. บริกรรมนิมติ ไดแกขอกมั มัฏฐานท่ีนํามาเปนขอ อบรมจิต ปรากฏอยใู นหว งนึกคิดของ บคุ คลเปนเวลาช่วั ขณะจิตหนงึ่ แลว เคล่ือนไป ตอ งตัง้ ใหมเปน พักๆ ไป อยางนีแ้ ลเรยี กวา บริกรรม นมิ ิต จิตในขณะนเี้ ปนสมาธเิ พียงชวั่ ขณะจติ หนง่ึ จึงเรียกวา ขณิกสมาธิ. ๒. อคุ คหนิมติ ไดแกขอกัมมฏั ฐานน้ันเหมอื นกนั ปรากฏอยใู นหว งความนึกคดิ ของบคุ คล อยา งชัดเจนขึ้น ดวยอํานาจกาํ ลงั ของสติสัมปชญั ญะควบคมุ และดํารงอยูน านเกินกวา ขณะจติ หนงึ่ จิตไมต กภวังคง า ย องคของฌานปรากฏขึ้นในจติ เกอื บครบถว นแลว อยา งน้เี รียกวา อคุ คหนมิ ติ จติ ในขณะน้ันเปน สมาธิใกลตอ ความเปนฌานแลว เรียกวา อุปจารสมาธิ ถาจะพดู ใหช ัดอีกกว็ า เขา เขตฌานน่ันเอง. ๓. ปฏภิ าคนิมิต ไดแกข อ กัมมัฏฐานทนี่ าํ มาอบรมจติ นัน่ เอง เขาไปปรากฏอยูในหวงนกึ คิด ของบุคคลแจมแจง ชัดเจน ถา เปนรปู ธรรมก็เปนภาพชดั เจนและผองใสสวยสดงดงามกวาสภาพเดิม ของมนั ถาเปนอรปู ธรรมกจ็ ะปรากฏเหตุผลชดั แจง แกใจพรอมทง้ั อุปมาอปุ ไมยหลายหลาก จะเห็น เหตุผลทีไ่ มเคยเห็น และจะทราบอปุ มาทไี่ มเคยทราบอยางแปลกประหลาด อยา งนี้แลเรยี กวา ปฏภิ าคนมิ ติ จติ ใจในขณะนนั้ จะดํารงมนั่ คง มอี งคฌานครบถว น ๕ ประการเกดิ ขน้ึ ในจติ บํารุง เลย้ี งจิตใหสงบสุขแชมชืน่ อยา งยง่ิ จงึ เรยี กวา อปั ปนาสมาธิ จดั เปน ฌานช้ันตนทแ่ี ทจริง จิตจะ ดํารงอยูในฌานนานหลายขณะจิต จงึ จะเคล่อื นจากฌานตกลงสูภวังค คอื จติ ปกติธรรมดา. นมิ ิตทัง้ ๓ เปน เครือ่ งกําหนดหมายของสมาธทิ ัง้ ๓ ชนั้ ดังกลา วมานน้ั ทานจึงเรียกชอ่ื เชนนน้ั ผูปฏบิ ตั ิพงึ สําเหนยี กไวเปนขอสังเกตขีดขนั้ ของสมาธสิ าํ หรับตนเองตอ ไป. ทนี ี้จะไดเร่มิ กลา วถึงวิธเี จรญิ ฌานทีแ่ ทจ ริงสบื ไป เม่อื ผูปฏิบัตทิ ําการอบรมจิตมาจนถึงได สมาธิ คือความเปน หนงึ่ ของจิตขน้ั ที่ ๓ ท่ีเรยี กวา อปั ปนาสมาธแิ ลว ชือ่ วา เขาข้ันของฌาน เปน ฌายบี คุ คล แลว ในขั้นตอ ไป มีแตจ ะทาํ การเจรญิ ฌานน้นั ใหช่าํ ชองย่ิงข้ึนโดยลําดับขั้นทงั้ ๕ ดงั ตอ ไปน้ี - ทิพยอาํ นาจ ๓๒

๑. ขนั้ นกึ อารมณ ฝก หดั นกึ อารมณท ่ใี ชเปนเครื่องอบรมจติ จนไดฌ านนั้นโดยชาๆ กอน เหมือนเมื่อไดคร้ัง แรก ตองนึกคดิ และอา นอารมณต ั้งนานๆ ใจจึงจะเหน็ เหตผุ ลและหยงั่ ลงสคู วามสงบได แลว คอ ย หัดนึกอารมณน ัน้ ไวเ ขา โดยลําดบั ๆ จนสามารถพอนึกอารมณนน้ั ใจกส็ งบทันที เชนนีช้ ่ือวา มี อํานาจในการนึกอารมณ ทที่ า นเรยี กวา อาวัชชนวสี = ชาํ นาญในการนึก. ๒. ขน้ั เขา ฌาน ฝก หดั เขา ฌานโดยวธิ ีเขาชา ๆ คือ คอยๆ เคลอ่ื นความสงบของจติ ไปสูความสงบย่งิ ขึ้น อยางเชือ่ งชา คอยสังเกตความรูส กึ ของจติ ตามระยะท่เี คลอ่ื นเขา ไปนั้น พรอมกบั อารมณท่ีใหเกดิ ความรสู กึ เชนนน้ั ไปดว ย แลว หัดเขา ใหไวข้นึ ทกุ ทๆี จนสามารถเขา ไดทันใจ ผา นระยะรวดเร็ว เขาถงึ จดุ สงบท่เี ราตอ งการเขาทันที เชนน้ีช่อื วา มีอาํ นาจในการเขาฌาน ท่ที า นเรียกวา สมาปช- ชนวสี = ชํานาญในการเขา. ๓. ขน้ั ดาํ รงฌาน ฝก หัดดํารงฌานโดยวิธกี าํ หนดใจดํารงอยใู นฌานเพียงระยะสัน้ ๆ ใหช าํ นาญดีเสยี กอ น แลว จงึ กาํ หนดใหยัง้ อยูนานยิง่ ข้ึนทลี ะนอ ยๆ จนสามารถดํารงฌานไวไ ดต้งั หลายๆ ชั่วโมง ต้งั วัน จนถงึ ๗ วัน เมอื่ การกาํ หนดฌานเปนไปตามทก่ี ําหนดทกุ ครั้งไมเคลือ่ นคลาดแลว ช่ือวามอี าํ นาจในการ ดาํ รงฌาน ทที่ านเรียกวา อธษิ ฐานวสี = ชํานาญในการอธิษฐาน. ๔. ขน้ั ออกฌาน ฝกหดั ออกฌาน โดยวิธีถอนจิตออกจากความสงบอยา งชาๆ กอน คอื พอดาํ รงอยใู นฌาน ไดต ามกําหนดที่ต้งั ใจไวแ ลว พงึ นกึ ขน้ึ วา ออก เทาน้ันจติ ก็เร่ิมไหวตัว และเคลอ่ื นออกจากจดุ สงบ ที่เขา ไปยับยง้ั อยูน้นั พงึ หดั เคลอื่ นออกมาตามระยะโดยทาํ นองเขา ฌานท่ีกลา วแลว และพึงสงั เกต ความรูสกึ ตามระยะนัน้ ๆ ไวด วย จนมาถึงความรูสกึ อยางปกตธิ รรมดา ช่อื วา ออกฌาน ในครง้ั ตอๆ ไปพงึ หดั ออกใหว องไวข้ึนทีละนอยๆ จนถงึ สามารถออกทนั ทที ี่นกึ วา ออก คือ พอนกึ กอ็ อกไดทันที โดยไมม กี ารกระเทอื นตอ วิถปี ระสาทแตประการใด เชน นี้ชื่อวา มีอาํ นาจในการออกฌาน ที่ทา น เรยี กวา วุฏฐานวสี = ชํานาญในการออก. ๕. ขนั้ พิจารณาฌาน ฝกหดั พจิ ารณาฌาน โดยวธิ เี มื่อถอยจติ ออกจากฌาน มาถงึ ข้ันความรูสึกปกตธิ รรมดาแลว แทนทจ่ี ะลกุ โดยเรว็ ออกจากที่ หรือหันไปสนใจเร่อื งอน่ื กห็ ันมาสนใจอยูกบั ฌานอีกที นึกทวนดู ลกั ษณะฌานพรอ มท้งั องคป ระกอบของฌานนนั้ แตละลกั ษณะใหแ จมใสขน้ึ อีกครั้ง โดยความสขุ มุ ไมรบี รอ น ครงั้ ตอ ไปจงึ หดั พจิ ารณาใหร วดเรว็ ข้ึนทีละนอยๆ จนสามารถพอนึกก็ทราบทั่วไปใน ฌานทนั ที เชนนี้ชอ่ื วา มอี ํานาจในการพิจารณาฌาน ทีท่ า นเรยี กวา ปจ จเวกขณวสี = ชํานาญใน การพิจารณา. ในขั้นตอไปกม็ แี ตขั้นของ การเลื่อนฌาน คือกา วหนาไปสูฌ านชนั้ สูงกวา ถาทา นผปู ฏบิ ัติ ไมใ จรอ นเกินไป เมื่อฝก โดยข้นั ทง้ั ๕ ในฌานขั้นหน่ึงๆ ชํานาญแลว การกาวไปสฌู านช้ันสูงกวาจะ ทพิ ยอาํ นาจ ๓๓

ไมลําบากเลย และไมคอยผดิ พลาดดวย ขอใหถือหลักของโบราณวา “ชาเปน การ นานเปนคณุ ” ไวเปน คตเิ ตือนใจเสมอๆ. วธิ กี ารทจ่ี ะเลอื่ นฌานไดสะดวกดงั ใจน้ัน อยทู ี่กาํ หนดหัวเลย้ี วหัวตอของฌานไวใหด ี คอื ขนั้ ตอไปจะตอ งละองคฌานทเี่ ทาไร และองคฌ านนั้นมีลกั ษณะอยา งไร ดาํ รงอยไู ดดวยอะไร ดงั ที่ ขาพเจาไดอธิบายไวแลว ในตอนวา ดว ยลักษณะฌานท้งั ๔ นั้น เมื่อกาํ หนดรูแจม ชัดแลว พึง กําหนดใจไวดว ยองคท ีเ่ ปนปฏิปกษก ับองคท่ีตองละน้ันใหมาก เพียงเทา น้จี ิตกเ็ ล่อื นขึน้ สฌู านช้ันสูง กวาไดท นั ที เม่อื เขา ถึงขดี ชั้นของฌานช้ันนน้ั แลว พึงทําการฝก หดั ตามขนั้ ทง้ั ๕ ใหชํานาญ แลวจึง เล่ือนสูช ัน้ ท่ีสงู กวา ข้ึนไป โดยนัยนี้ ตลอดทง้ั ๔ ฌาน. เพ่อื สะดวกแกการกาํ หนดหวั ตอ ของฌานดงั กลาวแลว แกผ ูปฏิบัติ จงึ ขอช้ี “หนาม” ของ ฌานใหเ หน็ ชัด โดยอาศัยพระพุทธภาษิตเปน หลัก ดงั ตอไปนี้ พระบรมศาสดาตรัสชี้หนามของฌานไววา เสียง เปนหนามของปฐมฌาน, วติ ก = ความคิด วจิ าร = ความอาน เปนหนามของทุติยฌาน, ปต ิ = ความชมุ ช่ืน เปน หนามของตติย- ฌาน, ลมหายใจ เปนหนามของจตุตถฌาน ดังน.้ี ในขน้ั ปฐมฌาน จิตยังสังโยคกบั อารมณอ ยู อายตนะภายในยังพรอมทจี่ ะรบั สัมผัสอายตนะ ภายนอกไดอ ยฉู ะนั้น เสียง จึงสามารถเสยี ดแทรกเขาไปทางโสตประสาทสจู ุดรวมคือใจ แลวทาํ ใจ ใหก ระเทอื นเคลื่อนจากอารมณท ีก่ ําลังคิดอานอยู บรรดาอายตนะภายนอกท่สี ามารถเสียดแทรก ทําความกระเทือนใจในเวลาทาํ ฌานนน้ั เสียงนบั วาเปน เยย่ี มกวาเพือ่ น ยงิ่ เปน เสียงท่กี ระแทก แรงๆ โดยกะทันหนั ย่ิงเปนหนามท่ีแหลมทสี่ ุด สามารถกระชากจติ จากฌานทนั ทที นั ใด แตถา ดื่ม ด่ําในอารมณของฌานใหม ากยิ่งข้ึนเปน ทวีคูณแลว เสียงก็จะทําอะไรใจเราไมไ ด ไดยินก็เหมือน ไมไดยิน ไมก ระเทอื นถงึ ใจน่ันเลย. ในขนั้ ทุติยฌาน ความคิดความอา น จะกลายเปน หนามตําจติ ขนึ้ มาในทันที คอื เมื่อไรดิง่ ลง สคู วามสงบเงยี บโดยไมค ดิ อานอะไรเลยน้ัน ใจกจ็ ะผอ งแผวอยโู ดดเดี่ยวเดียวดาย ภาพนมิ ิตใน ขณะน้ันคือ จติ จะใสแจว เหมอื นนาํ้ ใสน่งิ ๆ ฉะน้ัน แตคร้ันแลวเพราะความเคยชิน คอื จิตเคย ทอ งเท่ียวอยูใ นอารมณม านาน หรอื อารมณเคยคลอเคลยี อยูกับจติ มานาน เมื่อมาพรากกนั เชนนกี้ ็ จะพรากกนั นานไมไ ด ตอ งมาเยอื นบอยๆ จะคอยๆ ปดุ ขึน้ ในจติ เหมือนปุดฟองนํ้า ทป่ี รากฏขึ้นมา จากสว นใตสดุ ของพื้นนํ้าในเมื่อนํา้ เร่มิ ใสใหมๆ ฉะน้ัน เมอ่ื ความคดิ อานปุดโผลข้ึนในจติ จติ กไ็ หว ฉะน้นั ทานจงึ วา เปนหนามของฌานชั้นน้ี วธิ ีแกกค็ ือ ไมเอาใจใสเ สยี เลย เอาสตกิ มุ ใจใหน งิ่ ๆ ไว เหมอื นแขกมาเยอื น เหมอื นเราไมเ อาใจใสต อนรับ แขกกจ็ ะเกอกลับไป และไมม าอีกบอ ยนัก หรอื ไมม าอกี เลยฉะนั้น. ในข้ันตติยฌาน ปติ = ความชมุ ชื่น ซ่งึ เปน ทิพยาหารในฌานที่ ๑-๒ น้ัน จะเกิดเปนหนาม ของฌานช้ันน้ที ันที จะคอยทาํ ใหจติ ใจฟองฟอู ยบู อยๆ เหตผุ ลก็เหมือนในขั้นทุตยิ ฌานน่นั เอง คอื ปตเิ คยเปนทิพยาหารของใจมานานแลว เม่ือมาพรากไปเสียเชน นี้ ก็อดจะคิดถึงและมาเยอื นไมไ ด วิธแี กก ต็ อ งใชสติกมุ ใจใหว างเฉย ไมเอาใจใสถงึ อีกเลย มนั ก็จะหายหนา ไป ถาไมเรยี ก มันก็จะไม มาอีก. ทิพยอํานาจ ๓๔

ในขนั้ จตุตถฌาน ลมหายใจ ซง่ึ เปน เครอ่ื งปรุงแตง กายสืบตอชีวิตน้นั เปนท่ีตั้งของสขุ ทุกข และโสมนัสโทมนัส เม่ือมาปรากฏในความรับรขู องจิตอยูต ราบใด สุขโสมนัส และทุกขโทมนสั ซง่ึ อาศัยอยกู บั มนั ก็จะปรากฏทําการรบกวนจิตอยตู ราบนนั้ เพราะลมหายใจเปนพาหนะของมัน ลม หายใจมอี ยูไดโดยธรรมดาเอง แมจ ติ ไมเขา ไปเปน เจาการ ก็คงมีอยเู หมือนเวลานอนหลบั แตใน ความรสู กึ ของคนตนื่ อยู คลา ยกะวา มันเปนอันเดียวกันกบั จิต จนไมอ ยากวางธุระในมัน เขาไปเปน เจา การกบั มนั อยเู รื่อยไป ผูเ ขา ฌานไมเหมอื นคนหลบั ตรงกันขามเปน คนต่ืน เมอ่ื เปนเชนนี้ลม หายใจจึงคอยแหลมเขา ไปหาจิตบอ ยๆ เมือ่ แหลมเขาไปเม่ือไรจติ ใจก็มักจะสัมปยตุ ตก ับมนั หรอื มิฉะน้ันกส็ ะเทือน จึงช่ือวาเปนหนามของจตตุ ถฌาน วธิ ีการแกกค็ อื เอาสตกิ ุมจติ ใหว างเฉยท่สี ุด ไมใสใ จถึงสว นหนึ่งสว นใดของกายอีกเลย ลมหายใจกไ็ มป รากฏในความรับรูของจิต ท้งั จะ กลายเปน ลมละเอียดน่ิงเต็มตัว ไมมอี าการเคล่อื นไหวไปมา และเวลานน้ั จะรูสึกประหน่งึ วา ตนน่งั อยูใ นกลุมอากาศใสๆ สงบนิง่ แนอยู เหมอื นน่ังเอาผาขาวสะอาดโปรง บางคลมุ ตัวตลอดศีรษะ ฉะน้นั . ผูปฏบิ ัติพงึ สําเหนียกตอไปอกี วา การเจริญฌานน้ัน เปรียบเหมอื นการสาํ รวจภูมปิ ระเทศ ซ่ึงจําตองเดนิ สํารวจกลับไปกลบั มา เท่ยี วแลว เท่ยี วเลาจนชํา่ ชอง มองเหน็ ภมู ิประเทศในหวงนกึ อยางทะลุปรโุ ปรงฉะนน้ั เพราะฉะน้ัน ตอ งเดินฌานท่ีตนไดแ ลว ตั้งแตปลายจนตน เทีย่ วแลว เทีย่ วเลา เปน เหตใุ หเ กิดความชา่ํ ชองในฌานทะลปุ รโุ ปรง. ทิพยภาวะ กอนจบบทนี้ ขา พเจาขอชีแ้ จงเร่ืองทิพยภาวะท่ไี ดพูดเกร่ินไวใ นตอนตนของบทนส้ี ัก เล็กนอ ย ในคราวท่ีพระบรมศาสดาตรัสแกช าวบา นเวนาคะปรุ ะน้ัน ทรงชแ้ี จงวัตถภุ ายนอกในเมอ่ื เจรญิ ฌานแลววา เปนทพิ ย นั่นเปนการชีว้ ตั ถุท่เี กยี่ วขอ งเพือ่ ใหเ ห็นงาย ทง้ั เปนเครื่องยืนยันถึง ภาวะแหงจติ ใจในขณะน้ันวาบรบิ รู ณไ ปดวยทพิ ยสมบตั ิแลว จะมาไยดีอะไรกับสงิ่ ภายนอกซ่งึ เปน ส่งิ ทหี่ ยาบกวาหลายเทา พนั ทวี เมอื่ ชวี ิตจะตอ งเปน อยูไดดวยวัตถุปจ จัย แมเชนใดเชนหนง่ึ ก็เปนท่ี เพียงพอแลว ไมจ ําเปนตอ งใชวัตถุปจจยั ทเ่ี ลอคา และฟมุ เฟอ ย. ความสุขของคนมไิ ดอยูทีว่ ตั ถุอันเลอคา หรอื ฟุม เฟอ ย แตอ ยทู ่ีความอม่ิ เตม็ ตา งหาก เมอ่ื ใจ ยงั ไมอม่ิ เตม็ แมจะมงั่ มีเหลือลนสกั ปานใด กม็ ิไดร บั ความสขุ ฉะนนั้ จดุ ทเ่ี ราควรเอาใจใสจงึ อยทู ่ีใจ ของเราเอง เม่อื แกใ จใหหายหิว มีความอ่มิ เต็มดว ยอุบายวิธใี ดวิธีหนึง่ ไดแลว นั่นช่อื วา บรรลุถงึ ความสุขท่แี ทจ รงิ . พระบรมศาสดาทรงราํ พงึ เม่ือคราวจะเลกิ ทกุ กรกริ ยิ าวา “เราควรกลวั ดวยหรอื ซงึ่ ความสขุ อันปราศจากอามสิ ทป่ี ถุ ุชนเขาไมเสพกนั เราควรกลบั ไปเดินทางน้ัน ซง่ึ มีสุขชมุ ชืน่ ใจ ก็ แตว า บัดน้รี า งกายเราออนแอเต็มที ไมม ีกาํ ลงั พอที่จะเรม่ิ ความเพยี ร เพือ่ บรรลุสขุ ชนดิ นั้นได เรา ควรบํารงุ รา งกายใหแ ขง็ แรงพอสมควรกอน...” ดงั น้ี ครนั้ แลว ภายหลังกท็ รงบรรลุถงึ ความสุขน้ัน และตรสั วา เปนความสขุ ทีป่ ราศจากอามสิ ผูประสพความสขุ ชนิดนีจ้ ะไมค าํ นงึ ถงึ ความเลอคา และ ทิพยอาํ นาจ ๓๕

ฟมุ เฟอยของวัตถุภายนอก วัตถปุ จจยั แมเชนใดเชนหนง่ึ ก็ดูเหมือนเปนของดวี เิ ศษไปหมด และพอ แกความตองการ ด่งั ท่ีตรัสเรียกวา เปนทิพยน้ันแลว . การท่ีวตั ถภุ ายนอกในความรสู ึกของผูเ ขา ฌาน ๔ ปรากฏเปน ทพิ ยไ ปน้ัน กด็ ว ยมีทิพยภาวะ อยใู นจติ ใจพอเพียง หาไมกป็ รากฏเปนทพิ ยไปไมได ฉะนั้น พึงทราบทิพยภาวะในจติ ใจของผไู ด ฌานไวบ าง การที่จะรไู ดก ต็ องอาศยั อนมุ านจากความรูสึกของคนธรรมดาในบางครง้ั บางคราวเปน หลกั เวลาเราคิดอา นเรอ่ื งอะไรอยา งหนึ่งซ่งึ เราพอใจ เราจะรูสกึ เพลดิ เพลิน เกิดความดูดดื่มไม อยากหยดุ และรูสึกวา มสี ขุ เหลือลน ถา ไดม เี วลาคิดอานอะไรเพลนิ ๆ เชนนน้ั น้ีแหละที่พงึ อาศยั เปน หลัก อนมุ านไปถงึ ความรสู กึ ของผไู ดฌ าน และพึงทราบวา อารมณของผไู ดฌ านประณีตกวา ดกี วา ของคนธรรมดาสามญั หลายเทา พนั ทวี อารมณป ระณตี ทีป่ รุงแตง จิตใจของผูไดฌ านอยใู นขณะนนั้ นน่ั แหละเรยี กวา “ทพิ ยภาวะ” ท่ีทําใหรูสึกสิ่งท้ังปวงภายนอกทีต่ นบริโภคใชส อยอยู แมเปน เพียง สงิ่ พน้ื ๆ ไมว เิ ศษวิโส กลายเปน สิ่งวเิ ศษวโิ ส คือเปนทพิ ยไ ปดว ย และทิพยภาวะนแี้ หละจะเปน เคร่อื งเกื้อหนุนใหเกิดทพิ ยอาํ นาจตอ ไป ผตู อ งการทพิ ยอาํ นาจจะมองขามไป แลว จะปลูกสรา ง ทิพยอาํ นาจข้นึ ไดน้ัน มใิ ชฐานะทีจ่ ะเปน ไปได เพราะฉะนน้ั ผตู อ งการทพิ ยอํานาจจงึ ควรเจรญิ ฌาน ซึ่งเปนทต่ี ั้งแหง ทพิ ยภาวะ ใหเ ปน ผบู ริบรู ณด วยทิพยสมบตั กิ อ น แลวจงึ อาศยั เปน ท่ีปลกู สราง ทิพยอาํ นาจตอ ไป จึงจะเปนไดสมปรารถนา. ทพิ ยอํานาจ ๓๖

บทท่ี ๓ บพุ พประโยคแหง ฌาน ทา นท่ไี ดอานบทท่ี ๑-๒ มาแลว ยอมทราบวา ภมู ิจติ ของผไู ดฌานสงู ย่งิ เพียงไร และ หา งไกลจากลักษณะจติ ใจของมนุษยสามัญปานฟา กบั ดิน การท่ีจะกาวพรวดพราดจากลักษณะ จิตใจของคนสามัญข้นึ ไปสูลกั ษณะจิตใจของผไู ดฌานนัน้ ไมมีทางจะสาํ เรจ็ ได จําจะตองปรับปรงุ ลกั ษณะจติ ใจจากความเปนมนษุ ยผไู รศ ีลข้นึ ไปสูความเปนผมู ศี ีลเสียกอ น เพราะทานวา ศลี เปน ทต่ี ัง้ ของสมาธิและฌาน ผมู ศี ลี สมบูรณด ีจงึ จะมสี มาธิและฌานได ศลี นั้นเม่ือวา โดยตนเคา ไดแ ก ความเปนปกติของจิต คือเปนจติ ทีป่ ราศจากความคิดรา ย ความคดิ เบียดเบียน ความคมุ แคนคิดหา ชอ งทางทาํ รายคนท่ตี นเกลียด เปน จติ ท่ปี ราศจากความคดิ โลภเพงเลง็ หาชอ งยอ งเบาเอาทรพั ยสิน ของผูอ ่นื และลว งกรรมสทิ ธ์ใิ นสิง่ ทเี่ ขาหวงแหน และเปนจิตท่ปี ราศจากความเห็นผดิ ไปจากคลอง ของมนษุ ยธรรม มีความเหน็ ชอบอยา งมนุษยท ด่ี ีเขาเห็นกันอยู คอื เห็นวาทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชั่วไดช ่ัว โลก นี้มี โลกอ่นื มี บิดามารดาผใู หกาํ เนิดมี ผเู กิดผดุ ข้นึ เอง (เชน เทวดา) มี ฯลฯ การรกั ษาปกตภิ าพของจติ เปน การรักษาตนศีล สว นการรักษาศลี ตามสกิ ขาบททท่ี รง บญั ญตั ิไวน ้ัน เปนการรักษาปลายศีล เพราะตน เหตุของความดี-ความชว่ั อยทู ่จี ิต ถา จิตช่วั คือมี กเิ ลสและทุจรติ แลว ยอมบงั คบั กายวาจาทําช่ัว ถา จิตดีคอื เปนปกติ กเิ ลสและทุจริตไมค รอง อาํ นาจเหนอื จิต จติ ยอมไมบ ังคบั กายวาจาใหท ําชัว่ การรักษาจติ จึงเปนการรกั ษาตน เหตุ การ รักษากายวาจาเปน การรกั ษาปลายเหตุ แตก เ็ ปน ความจาํ เปนอยเู หมือนกนั ทจี่ ะตอ งรักษาตาม สกิ ขาบทพทุ ธบญั ญัติ เพ่อื ปดกัน้ อกุศลบาปธรรม มิใหม นั หลัง่ ไหลออกไปทางกายวาจา และ ปองกันอกุศลบาปธรรม มใิ หมันไดช อ งเขามาครอบงาํ ยาํ่ ยีจติ ใจ หากแตว าการรักษาศลี ตามขอหา ม นั้นไกลตอ ความเปน สมาธิ ไมพ อจะเปน บาทฐานของสมาธแิ ละฌานได ตองรักษาศีลท่ีจิตใจ คอื รกั ษาความเปนปกติของจิตใจใหม ั่นคงแข็งแรง เมอ่ื จติ ใจดาํ รงอยูในความเปนปกตนิ านๆ เขา ก็ ยอมมลี กั ษณะผอ งแผว ชืน่ บาน เยอื กเย็นและม่นั คง ควรแกความเปนพ้ืนฐานที่ตง้ั ของสมาธติ อ ไป การรักษาศลี อยางนแ้ี ลเปน ศีลในองคอรยิ มรรค ซง่ึ เปนศีลเสมอภาค ผเู ปนพระอรยิ บุคคลไมว า บรรพชิตหรอื คฤหัสถ ยอมมีศีลชนิดน้ีเสมอกัน สว นศีลทร่ี ักษาตามสกิ ขาบทพุทธบญั ญัตินน้ั ยอ ม ไมสมา่ํ เสมอกนั เปนการรักษาศลี ใหเหมาะสมกบั ภาวะท่เี ปนบรรพชิตหรือคฤหสั ถเ ทานั้น เมอื่ รักษาไดดกี เ็ ปน ทางเจริญปต ิปราโมทย ทาํ ใหจติ ใจผอ งแผวขน้ึ ได รกั ษาศีลตามสิกขาบทมวี ธิ ี อยา งไร ไมป ระสงคจะกลาวในที่น้ี ผปู ระสงคจ ะทราบโปรดศกึ ษาจากหนงั สอื อ่ืนๆ ซ่ึงมีผูเขยี นไว มากแลว . อนง่ึ การอบรมจิตใหเ ปน สมาธแิ ละฌานน้นั ยอมตองอาศยั อุบายอนั แยบคายจึงจะสําเร็จ งา ย อบุ ายอันแยบคายนัน้ ทานเรยี กวา กรรมฐาน ทานแยกไวเ ปน ๒ ประเภท คือ สมถกรรมฐาน ประเภทหน่ึง, วปิ ส สนากรรมฐานประเภทหนึ่ง จะกลาวในบทนีเ้ ฉพาะแตสมถกรรมฐาน ซ่ึงเปน ทพิ ยอาํ นาจ ๓๗

ประเภทอบรมจติ ใจใหเ ปน สมาธแิ ละฌาน สว นวิปสสนากรรมฐานอันเปน ประเภทอบรมจิตใจให เกิดปญ ญาน้ัน จะกลาวในบทอน่ื . การอบรมจิตใจใหเ ปน สมาธิและฌานตามหลักสมถกรรมฐาน จัดเปน บุพพประโยคของ ฌาน จะขา มเลยไปเสยี มไิ ด จาํ เปนตอ งใชสมถกรรมฐานขอ หนึง่ หรือหลายขอ เปน เครื่องอบรม จิตใจเสมอไป จิตใจจงึ จะเปนสมาธิและฌานไดดังประสงค. สมถกรรมฐานนน้ั พระบรมศาสดาตรสั ไวในท่ตี า งๆ โดยปริยายหลากหลาย พระโบราณา จารยป ระมวลมาไวในที่เดยี วกนั มจี าํ นวนถงึ ๔๐ ประการ จัดเปนหมวดได ๗ หมวด คือ กสณิ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ๑ จตธุ าตวุ วัตถาน ๑ พรหมวหิ าร ๔ อรูปกรรมฐาน ๔ มวี ภิ าคดงั จะกลา วตอไป การที่แสดงอุบายทาํ ความสงบจิตใจไวมากเชน นี้ กเ็ พอื่ ใหเหมาะ แกจ ริตอธั ยาศัยของเวไนย ซ่งึ มจี รติ อธั ยาศัยตางๆ กัน มไิ ดหมายใหทกุ คนเจริญทั้ง ๔๐ ประการ จนครบ. กสณิ คอื วงกลมทาํ ดว ยวตั ถตุ างๆ ขนาดวัดผาศูนยกลางคืบ ๔ น้วิ สาํ หรบั เปน เคร่ืองเพง ทาํ จิตใจใหสงบ มี ๑๐ ประการ คอื ๑. ปฐวีกสณิ วงกลมทําดวยดินบริสุทธิ์สอี รณุ คอื สีเหลอื งปนแดง เชน สหี มอใหม วิธีทาํ เอาดินบรสิ ุทธิ์สีอรุณมาขยาํ ใหเหนียวดีแลว ลาดลงบนแผนกระดานวงกลม ขนาดวดั ผาศูนยกลาง คบื ๔ นิว้ ขัดใหเกลี้ยงงาม ปราศจากมลทนิ เชนเสนหญา เปนตน ทําใหเกลี้ยงเกลา เปนเงาไดยงิ่ ด.ี ๒. อาโปกสิณ วงกลมทาํ ดวยน้าํ ใสบรสิ ุทธิ์ ปราศจากสีและตะกอน วิธีทาํ เอานา้ํ บรสิ ทุ ธิ์ ใสภาชนะที่มขี อบปากกวางกลมมน วดั ผา ศนู ยก ลางไดค บื ๔ นิ้ว ใสน ้ําเตม็ ขอบปาก. ๓. เตโชกสิณ วงกลมทาํ ดว ยไฟ วิธีทํา กอ ไฟดว ยฟนไมแ กน ใหลุกโชนเปน เปลวสีเหลอื ง เหลืองแก และเอาแผนหนงั หรือเสอ่ื ลาํ แพนมาเจาะรเู ปนวงกลม กวางขนาดวัดผา ศูนยกลางคืบ ๔ นวิ้ ต้ังบังกองไฟใหม องเหน็ ไดโ ดยชอ งวงกลมเทา นน้ั . ๔. วาโยกสิณ เพง ลมท่ีพัดสมั ผสั อวัยวะ หรือพัดยอดไมย อดหญาใหห ว่ันไหว กสณิ น้ที ํา เปน วงกลมหรือดวงกลมไมได ทานจึงแนะใหเ พง ลมท่พี ัดอยูโดยธรรมชาติของมันน้นั เปนอารมณ จนมองเหน็ กลุมลมหรือสายลมทพี่ ดั ไปมานนั้ ตดิ ตา หลบั ตามองเห็น ทา นหามเพงลมท่ีพดั ปน ปว น เชน ลมหัวดวน เปนตน. ๕. นีลกสณิ วงกลมทําดว ยสีเขยี ว วธิ ที ํา เอาส่งิ ทีม่ ีสเี ขียวบริสทุ ธิ์ เชน ดอกบวั เขยี ว หรอื ผาเขยี ว ฯลฯ มาทํา ถา เปนดอกไมพึงบรรจลุ งในภาชนะที่มขี อบปากกลม วดั ผาศูนยก ลางไดค ืบ ๔ นวิ้ ใหเ ต็มขอบปาก อยาใหก านหรอื เกสรปรากฏ ใหแลเห็นแตก ลีบสเี ขียว ถาเปน ผาพงึ ขงึ กับ ทิพยอาํ นาจ ๓๘

ไมวงกลมขนาดนั้นใหต ึงดี อยา ใหย ูย่ี ถา ไดผา เน้ือละเอยี ดเปน เหมาะดี สเี ขียวนี้หมายเขียวคราม ท่ี เรยี กวา นลิ นน่ั เอง. ๖. ปตกสณิ วงกลมทําดวยสเี หลือง วิธที าํ เอาสง่ิ ท่ีมีสีเหลอื งบรสิ ทุ ธ์ิ เชน ดอกกรรณิการ เหลอื ง หรอื ผาสเี หลอื งเปน ตน มาทาํ โดยทาํ นองเดียวกับนลี กสิณ สีเหลอื งน้ี หมายถึงสีเหลอื งออน หรือเหลอื งนวลสีเขียวใบไมหรือมรกต เปนสีทใ่ี กลกับสเี หลืองออ น ทา นวาอนโุ ลมเขา กับกสณิ นี้ได. ๗. โลหติ กสิณ วงกลมทําดว ยสีแดง วิธที ํา เอาสิ่งที่มีสีแดง เชน ดอกบัวแดง ผาแดง ฯลฯ มาทาํ โดยทาํ นองเดยี วกันกับนีลกสณิ . ๘. โอทาตกสณิ วงกลมทําดวยสีขาว วธิ ที าํ เอาสง่ิ ทข่ี าวสะอาด เชน ดอกบัวขาว ผาขาว ฯลฯ มาทํา โดยทํานองเดียวกนั กบั นีลกสิณ. ๙. อากาสกสิณ วงกลมอากาศ วธิ ที ํา เจาะฝาเปน รูปกลม วัดผาศูนยก ลางคบื ๔ นิ้ว หรอื เจาะเสอื่ ลาํ แพนขนาดเดยี วกันน้ันก็ได เพง ดูอากาศภายในชองวงกลมน้ัน หรือจะขดไมเปนวงกลม ขนาดนั้นตงั้ ไวบ นปลายหลกั ในทแี่ จง แลวเพง ดอู ากาศภายในวงกลมน้ันก็ได. ๑๐. อาโลกกสิณ วงกลมแสงสวา ง วธิ ที ํา เจาะกนหมอเปนรกู ลม วดั ผาศูนยกลางคบื ๔ น้วิ ตามตะเกยี งหรอื เทยี นไขไวภ ายในหมอ ใหแสงสวางสองออกมาตามรทู เ่ี จาะไว และหันทาง แสงสวา งน้นั ใหไปปรากฏท่ฝี าหรอื กาํ แพง แลวเพง ดูแสงสวา งทีส่ องเปน ลาํ ออกไปจากรทู ไ่ี ปปรากฏ ทฝี่ าหรอื กาํ แพงนั้น. อาโลกกสณิ น้ี ปรากฏในสมถกรรมฐาน ตามทพ่ี ระโบราณาจารยป ระมวลไว แตทป่ี รากฏ ในพระบาลี ในพระไตรปฎกหลายแหงแทนที่ ขอ นเ้ี ปน วญิ ญาณกสิณ คือ เพงวญิ ญาณ ทัง้ น้ีนาจะ เปน เพราะกสณิ ๑-๘ เปนรูปกสิณ สวนกสิณ ๙-๑๐ เปนอรูปกสณิ ซึง่ ใชเปน อารมณข องอรูปฌาน คือ อากาสานัญจายตนะ และ วญิ ญาณัญจายตนะ ตามลําดบั กัน แสงสวางนาจะใกลต อเตโช หรอื มิฉะน้ันกใ็ กลตอวิญญาณ ซง่ึ มลี กั ษณะสวางเชนเดยี วกัน เม่ือเพง ลักษณะสวางแลวนาจะใกลตอ วญิ ญาณมากกวา ถาเปน วญิ ญาณกสิณจะทาํ วงกลมดว ยวัตถุไมได ตอ งกําหนดดวงขึ้นในใจที่เดยี ว ใหเปน ดวงกลมขนาดวดั ผาศูนยกลางคืบ ๔ นว้ิ อาโลกะและวญิ ญาณมีลักษณะใกลก นั มาก และ อํานวยผลแกผูเพงทํานองเดียวกัน คอื นําทางแหงทิพยจักษุอยางดีวเิ ศษ ผดิ กนั แตล กั ษณะการ เพงเทา นน้ั คือ วิญญาณกสณิ ตองเพง ขา งในไมใ ชเพง ขา งนอกเหมอื นอาโลกกสณิ และอาํ นวยตา ทิพยดกี วา วเิ ศษกวาอาโลกกสณิ . วิธปี ฏิบตั ิ พงึ ชาํ ระตนใหส ะอาด นุง หมผา สะอาด ไปสทู ่เี งียบสงัด ปด กวาดบรเิ วณให สะอาด ตง้ั ตั่งสูงคบื ๔ น้วิ สาํ หรับนัง่ อันหนง่ึ สําหรบั วางวงกสณิ อนั หนง่ึ นั่งหา งจากวงกสณิ ประมาณ ๕ ศอก นัง่ ในทาท่สี บาย วางหนาใหตรง ทอดตาลงแลดดู วงกสณิ พอสมควรแลว หลบั ตา นึกดู ถายงั จาํ ไมไ ดพ งึ ลมื ตาข้นึ ดใู หม แลว หลบั ตานกึ ดู โดยทาํ นองน้ี จนกวาจะเหน็ วงกสณิ ในเวลา หลบั ตาได เมอื่ ไดแ ลว พึงไปนัง่ เพง ดวงกสิณในท่อี ยูใหช าํ นาญ จนสามารถทําการขยายดวงกสณิ ให ใหญ และยนใหเลก็ ไดต ามตอ งการ เพยี งเทา นช้ี ่ือวาสาํ เรจ็ กสิณแลว จิตใจจะสงบเปนสมาธิ ตามลําดบั คือ ชัว่ ขณะ เฉียดฌาน และเปนฌาน ๑-๒-๓-๔ ตามลาํ ดบั ไป ในการเลื่อนช้ันของ ฌานนนั้ ตอ งคอยๆ เลอ่ื นไป อยาดวนกา วหนาในเมื่อฌานท่ไี ดแ ลวตนยงั ไมชาํ นาญในการเขา ออก ทพิ ยอํานาจ ๓๙

การย้งั อยู การนึกอารมณของฌาน และการพิจารณาองคข องฌาน จะพลาดพลั้งแลว จะเสียผลท้งั ขา งหนาขา งหลัง. สวนวาโยกสณิ เปนกสณิ ทท่ี าํ วงกลมไมไ ด และยกไปมาไมได ทา นแนะวาพึงแลดูลมทพี่ ัด ไปมาโดยปกตนิ ้ัน แลว จดจาํ ลักษณะอาการเอาไว แลว ไปสทู สี่ งัด ปฏบิ ัติตนโดยนัยทกี่ ลา วมาแลว นั่งนกึ ถงึ อาการลมพัด จนอาการนน้ั ปรากฏชดั แกใ จ ชอ่ื วา ไดก สณิ ขอน้ีแลว ตอไปก็พงึ ปฏิบัตติ าม นัยที่กลาวมาแลว . อสภุ ะ คอื ส่ิงท่ไี มสวยงาม นาพึงเกลียดพึงหนาย เม่ือนึกเปรยี บเทียบกับอตั ภาพท่ียงั มี ชีวิตอยูกจ็ ะทําใหเกดิ ความสังเวช คือ ซาบซ้งึ ถงึ ความจริง อันเปน ลกั ษณะประจาํ ของสงั ขาร รา งกายเปน อยางดี ทานแนะใหนาํ มาพจิ ารณาเปน อารมณ เพือ่ เกดิ สังเวชและเบื่อหนาย บรรเทา ราคะ คือความกาํ หนัดในอัตภาพ และบรรเทาอสั มิมานะ คือความสาํ คัญผดิ คดิ วา เปนตัวตนของ ตนจรงิ จงั อสุภะในทีน่ ห้ี มายเฉพาะที่เปน ซากศพ หรืออวยั วะสว นใดสวนหน่ึงของคนตายแลว ตลอดถึงของสัตวดวย พระโบราณาจารยท านประมวลมาไว ๑๐ ชนดิ คือ ๑. อทุ ธมุ าตกะ ศพข้นึ อืด ๒. วินลี กะ ศพขึ้นพองเขียว ๓. วปิ ุพพกะ ศพเนาเฟะ นํ้าหนองไหล ๔. วิฉนิ ทกะ ศพขาดเปน ทอ นๆ ๕. วิขายติ กะ ศพท่ถี กู สตั วกัดกนิ ๖. วิขติ ตกะ ศพทก่ี ระจดั กระจาย ๗. หตวขิ ติ ตกะ ศพที่ถูกสบั ฟน แทง ๘. โลหิตกะ ศพทีม่ ีเลอื ดแดงๆ ไหล ๙. ปฬุ ุวกะ ศพท่ีหนอนไชคลาคลํ่า ๑๐. อัฏฐิกะ กระดูกชนิดตา งๆ ในมหาสตปิ ฏฐานสตู ร ทีฆนิกาย ทรงแสดงไว ๙ ลกั ษณะ คอื ๑. ศพท่ีตายแลวขน้ึ อืด พองเขียว-เนา เฟะ ๒. ศพทส่ี ตั วมสี นุ ขั เปนตน กาํ ลังกัดกินอยู ๓. โครงกระดูกสัตวม เี อ็นรัดยึดไว ยงั มเี น้ือเลือด ๔. โครงกระดูกสัตวมเี อ็นรัดยดึ ไว เปอ นเนอ้ื เลือด ๕. โครงกระดกู สัตวม เี อน็ รัดยดึ ไว ปราศจากเน้อื เลือด ๖. กระดูกท่กี ระจดั กระจายไปคนละทศิ ละทาง ๗. กระดกู ที่เปน สขี าวๆ ๘. กระดูกที่เปนสเี หลอื งๆ ๙. กระดูกทีผ่ ุยุยเปนผงละเอียดแลว ทพิ ยอํานาจ ๔๐

สว นทสกนิบาต อังคุตตรนกิ าย ทรงแสดงไวโ ดยเปนสัญญา มี ๕ ลกั ษณะ คือ ๑. อัฏฐิกสญั ญา กาํ หนดหมายกระดูก ๒. ปุฬวุ สญั ญา กําหนดหมายหมหู นอนไชศพ ๓. วนิ ลี กสญั ญา กําหนดหมายศพขึ้นพองเขยี ว ๔. วฉิ นิ ทกสัญญา กาํ หนดหมายศพที่เปนทอ นๆ ๕. อทุ ธมุ าตกสัญญา กําหนดหมายศพข้ึนอดื พระโบราณาจารยค งประมวลเอาลกั ษณะที่ใกลก ัน รวมเปนลกั ษณะเดยี ว และเพม่ิ ลกั ษณะ บางอยางซึง่ นา จะมี จงึ รวมเปน ๑๐ ลกั ษณะ อยางไรก็ตามจดุ หมายของการพิจารณาอสภุ ะอยูท่ี ใหเกดิ ความรสู กึ ซาบซงึ้ ในความจริงของอตั ภาพ โดยมีอสภุ ะเปน ประจักษพ ยานเทานนั้ จะใช อสภุ ะในลกั ษณะใดก็ได แมที่สุดแตแผลในตัวของตวั ซง่ึ เกดิ จากเหตตุ า งๆ ก็นํามาพจิ ารณาเปน อสุภะได. วธิ ีปฏบิ ตั ิในเรือ่ งนี้ ทา นแนะนาํ ไวห ลายปริยาย ตามสมควรแกอสุภะน้ันๆ ประมวลแลว เปน ดังน้ี ๑. ไปพจิ ารณาอสุภะในปาชา หรือในที่ใดทีห่ นง่ึ ซงึ่ มีอสุภะ ถาศพน้นั ยงั บริบูรณต องเปน เพศเดยี วกนั จึงจะไมเกิดโทษ เมอ่ื ไดนิมิตแลวพึงกลับมาน่งั นึกถงึ ภาพอสภุ ะนน้ั ในท่อี ยูใหแจมชดั ใน หวงนกึ ยิ่งข้ึน. ๒. ไปนําเอาอสุภะที่พอนาํ มาได ประดษิ ฐานไวในท่อี ันสมควรแลว เพง พจิ ารณาใหเกดิ ภาพ ติดตา นึกเห็นไดโ ดยนยั ขอ ๑. ๓. นึกหมายภาพอสภุ ะขน้ึ ในใจ ใหปรากฏเปน ภาพท่ีนาเบอื่ หนายในหวงนึกของตวั เอง โดยทไ่ี มต อ งไปดอู สุภะก็ได. เมอ่ื จะเจริญกรรมฐาน พงึ ปฏิบตั ิตนโดยนยั ทีก่ ลา วไวใ นเร่ืองกสิณ. อนุสสติ คอื การนึกถึงบคุ คลและธรรม หรอื ความจริงอันจะกอใหเกดิ ความเล่ือมใส ความ ซาบซ้งึ เหตผุ ล หรือความสงบใจอนั ใดอนั หนงึ่ เปนอบุ ายวธิ ที พี่ ระผมู ีพระภาคเจา ทรงวางไวให สาธุชนทวั่ ไปท้งั บรรพชติ ท้ังคฤหัสถ ก็ปฏิบัติไดสะดวก แมจ ะมีภารกจิ ในการครองชพี หรือธุรกิจ ของหมูคณะ ของพระศาสนาลน มอื ก็อาจปฏบิ ตั ิได เพราะเปน อารมณทหี่ าไดง า ยสะดวกสบาย และทาํ ไดในทีแ่ ทบทกุ แหง ทง้ั ในบาน ทงั้ ในปา ท้ังในทีช่ ุมชน เวนอานาปานสติขอ เดยี วท่จี าํ ตองทํา ในท่ีสงัดเงยี บ ปลอดโปรง จึงจะสําเรจ็ ผล อนุสสติ มี ๑๐ ประการ คือ ๑. พทุ ธานสุ สติ นกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื บุคคลผหู นึง่ ซ่ึงเปน อจั ฉรยิ มนุษย เปนผูม ีคุณธรรม สงู สุดนาอศั จรรย และนาเคารพบูชา เปน พระบรมศาสดาผชู ม้ี รรคาแหงความพน ทกุ ขแกเ วไนย นกิ ร เปนผูสอ งโลกใหส วาง ฯลฯ ใหน กึ ดว ยความเลอ่ื มใสไปในพระพทุ ธคณุ ตา งๆ ตามทต่ี นไดส ดบั มา โดยเฉพาะทข่ี นึ้ ใจกค็ ือพุทธคณุ ๙ บท มี อรหํ เปนตน บทใดบทหน่งึ หรือทั้งหมด. ๒. ธมั มานุสสติ นึกถงึ พระธรรม คอื สภาวะทีจ่ รงิ แท อันพระบรมศาสดาทรงคนพบ แลว นํามาบัญญัติส่ังสอน เปน ภาวะละเอียดประณีต ดาํ รงความจริงของตนยง่ั ยืน ไมเ ปล่ยี นแปลง เปน สภาวะที่เทีย่ งธรรมไมเ ขา ใครออกใคร ใครปฏิบตั ิผดิ ธรรม ก็ไดรับโทษเปน ทกุ ข ใครปฏิบตั ิถูกธรรม ทพิ ยอาํ นาจ ๔๑

กไ็ ดรับอานสิ งสเ ปน สขุ เปน เชนนี้ทุกกาลสมัย ไมม ีใครเปลย่ี นแปลงหรือลบลา งความจรงิ อนั นไี้ ด ฯลฯ โดยเฉพาะแลว พงึ นึกไปตามพระธรรมคุณ อันเปนทข่ี ึ้นใจ ๖ บท มี สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม เปน ตน บทใดบทหน่ึงหรือทง้ั หมด. ๓. สังฆานสุ สติ นึกถึงพระสงฆ คือชนหมูหนง่ึ ซึง่ เปน พระสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา เปนผทู ป่ี ฏบิ ัติตามแบบแผนสิกขาสาชพี ของสมณะทพี่ ระบรมศาสดาทรงบญั ญตั ไิ วเ ปนอยา งดี ถงึ ความเปน สกั ขพี ยานของพระบรมศาสดาจารยในธรรมทีท่ รงบญั ญตั ไิ ว คอื เปนผปู ฏิบตั ิตามได และ ประจักษผลสมจริงตามที่ทรงบัญญตั ิไวน ้ัน มอี ยู ๔ จําพวก คือ (๑.) พระโสดาบัน (๒.) พระ สกิทาคามี (๓.) พระอนาคามี (๔.) พระอรหันต เปน บคุ คลที่นา กราบไหวเคารพสักการบูชา เปน นาบุญของชาวโลก ฯลฯ โดยเฉพาะพึงนึกไปตามคณุ บทของพระสงฆ ๙ บท มี สุปฏิปนโฺ น ภควโต สาวกสงโฺ ฆ เปน ตน บทใดบทหนึ่งหรอื ท้ังหมดกไ็ ด. ๔. สีลานสุ สติ นกึ ถึงศลี คอื คณุ ชาติอนั หนง่ึ ซ่ึงมลี ักษณะทาํ ใจใหเ ปนปกติ-ใหเ ยน็ -ใหไ ม เดือดรอ นกินแหนงใจ และควบคมุ ความประพฤติทางกาย ทางวาจาใหป ราศจากโทษ แผค วามสงบ สุข-ความรมเย็นไปยังผอู น่ื -สัตวอ ื่นๆ ทั่วไป แลวนึกถึงศลี ของตนที่ตนไดปฏบิ ตั ิรักษาอยูนั้นวา ปฏบิ ัติรกั ษาไดด เี พียงไร. ๕. จาคานสุ สติ นึกถงึ ทานบริจาค คอื คุณชาตอิ ันหนงึ่ ซง่ึ มลี ักษณะทาํ ใจใหก วา งขวาง-ให เกิดเมตตากรณุ า-ใหกลาสละของรักของหวงแหนเพือ่ ประโยชน เปน คณุ ชาตทิ ค่ี า้ํ ชูโลกใหดาํ รงอยู ในสันตภิ าพ-สนั ติสุข โลกดาํ รงความเปนโลกที่มสี ขุ พอสมควร ดวยอํานาจความเสยี สละของบคุ คล แตละบคุ คลพอสมควร หากโลกขาดทานบริจาคคํา้ จนุ โลกจะถึงความปนปวนและลมจม ชวี ิตของ มนุษยแ ตละชีวิตท่เี ปน มาได ก็ดวยอาํ นาจทานบริจาคของบิดามารดาหรอื ผอู ุปถมั ภ ไมมีชวี ิตใดท่ี ปราศจากการอุปถัมภอุมชขู องผูม ีเมตตาแลว ดํารงอยูได แลวพึงนึกถงึ ทานบรจิ าคของตนเองวา ตน ไดสาํ นกึ ในคณุ ทานบริจาคและไดท ําทานบรจิ าคมาแลวอยา งไรบาง. ๖. เทวตานุสสติ นึกถึงเทวดา หรือบคุ คลผทู าํ ความดีดวยกาย-วาจา-ใจ แลวอบุ ตั ิข้ึนใน สวรรค ถึงความเปนผูบรบิ รู ณดว ยกามคณุ อนั เปน ทิพย เลิศกวา ประณตี กวา กามคณุ อนั เปนของ มนษุ ย แลว นึกถงึ คุณธรรมทีอ่ าํ นวยผลใหไ ปเกดิ ในสวรรค มีศรัทธาความเชอ่ื กรรมวา ทําดีไดด ี ทํา ชว่ั ไดชว่ั เปนตน แลว นึกเปรยี บเทียบตนกับเทวดาวามีคุณธรรมเหมอื นกันหรอื ไม. ๗. อุปสมานสุ สติ นึกถงึ พระนพิ พาน คอื ธรรมชาติอันสงบประณตี อนั หน่งึ ซึง่ เม่ือถงึ เขา แลว ยอ มหมดทุกข-หมดโศก-หมดโรค-หมดภัย มใี จปลอดโปรงเย็นสบาย หมดความวุนวาย- กระเสอื กกระสนทรุ นทุราย ตัดกระแสวงกลมไดขาดสะบัน้ ไมตองหมุนไปในคตกิ าํ เนดิ เกิดแกตาย อกี เลย. ธรรมชาตินัน้ พระบรมศาสดาทรงคนพบดวยพระองคเอง แลว นํามาบญั ญตั เิ ปด เผยให ปรากฏขนึ้ และบอกแนวทางปฏบิ ตั ิไวเปนอยางดี เพือ่ ใหเขา ถึงธรรมชาตนิ ั้น. ธรรมชาติน้ันเปน อมตะ-มสี ุข-สนิ้ สดุ ซ่ึงเปน สง่ิ ตรงกันขามกบั โลก โลกมีลกั ษณะทเี่ รียกวา “ตาย” คือความแตก-ขาด-ทําลาย เปนลกั ษณะประจําตัว โลกมีลกั ษณะทเ่ี รียกวา “ทุกข” คือ ความลาํ บาก-คบั แคนบีบค้นั เปนลกั ษณะประจําตวั โลกมลี ักษณะที่เรียกวา “ไมแ น” คือมคี วาม เปลย่ี นแปลง ไมส ้ินสุด-ไมหยุดยง้ั เปนลกั ษณะประจาํ ตวั โลกเปนดานนอก พระนิพพานเปนดา น ทพิ ยอาํ นาจ ๔๒

ใน คนสามญั มองเห็นแตด า นนอกไมมองดานใน จึงไมไ ดค วามเย็นใจ เมอื่ ใดบุคคลมามองดา นใน ศกึ ษาสําเหนียกดวยดี พินิจดว ยปญ ญาอนั บริสทุ ธิแ์ ลว เมอื่ น้นั เขาจะพบเห็นธรรมชาติอันปราศจาก ทุกข คือ พระนิพพาน. ในท่ีใดมีทกุ ข ความสนิ้ ทุกขก จ็ ะตอ งมใี นทนี่ ้ัน ก็ในทใ่ี ดมีความรมุ รอน ความส้ินแหง ความ รุมรอ นจะตอ งมีในที่น้นั ความยอ คือเมือ่ มีรอ นก็ยอ มมเี ย็นแก มีมดื กย็ อ มมสี วา งแก เมอ่ื มีทกุ ขก็ จะตอ งมีสขุ แกเปน แท. การนึกถงึ พระนพิ พานโดยบดั นกี้ ็ดี โดยนยั ทีต่ นไดศ ึกษาเลาเรยี นมาจากตําราแบบแผนก็ดี จกั เปนอบุ ายทาํ ใจใหส งบเย็นลงได. ๘. มรณานุสสติ นกึ ถงึ ความตาย คอื สภาวะที่จริงแทอนั หนึง่ ซ่ึงเมอ่ื มาสชู วี ติ แลว ทาํ ให ชีวติ ขาดสะบัน้ ลง แตกอนเคยไปมาได ด่ืมกินได นงั่ นอนได ทํากจิ ตา งๆ ได หัวเราะและรองไหไ ด คร้ันมรณะมาถงึ แลว กิริยาอาการเหลานั้นยอมอันตรธานไปทันที มรณะน้ีมีอํานาจใหญย่งิ ท่ีสดุ ไม มมี นษุ ยคนใดเอาชนะมนั ได นกั วิทยาศาสตรท เ่ี กงที่สดุ กย็ งั ไมสามารถเอาชนะมันได พระบรมครู ของเราไดร ับยกยองวา เปนยอดปราชญม อี าํ นาจใหญย งิ่ กวา เทวาและมนุษยหลายเทา พนั สว น ทรง ยนื ยนั พระองคว า “บรรลุถึงธรรมอันไมตาย” ก็ยงั ทรงตอ งทอดทง้ิ พระสรีรกายไวใ นโลก ใหเ ปน ภาระแกพ ุทธบริษทั จัดการถวายพระเพลิง มพี ระบรมธาตเุ ปน สักขีพยานอยใู นปจจบุ ันน้ี. ใครเลา ที่ไมตองตาย? ตลอดกาลอนั ยืดยาวนานของโลกน้ี มีคนเกิดคนตายสืบเน่ืองกันมาจนนับประมาณ ไมถ ว นแลว มใี ครบา งซง่ึ เกดิ แตแ รกมีมนุษยใ นโลกยง่ั ยนื มาจนถงึ บัดน.ี้ อนึ่ง ความตายน้ี จะมาสชู วี ิตของบคุ คลโดยไมมนี มิ ิตบอกเหตุลว งหนา ดว ย ไมมใี ครกาํ หนด รูวนั เวลาตายของตนไดล วงหนานานๆ ท่ีจะไดมีเวลาเตรยี มตัว และกะการงานใหทนั กาํ หนด ฉะนนั้ จึงไมค วรวางใจในชวี ิต กจิ ใดที่ควรทํา ควรรบี ทํากจิ นน้ั เสยี อยา ผดั วนั ประกนั พรงุ . การนกึ ถึงความตายแลว เกิดใจฝอ หมดเยือ่ ใยในชีวติ ไมอยากจะทาํ กิจอะไร งอมืองอเทา รอคอยความตายเชนน้ี ไมสําเร็จประโยชน เปนการคิดผดิ พงึ กลบั ความคดิ เสยี ใหม พึงนกึ ถึงความ ตายแลว เตือนสตติ นใหต่ืนตัวขึ้น ไมป ระมาทหลับใหลอยู รีบทํากรณียท ีค่ วรทําใหทนั เวลา รีบ พากเพียรชาํ ระลางจิตใจของตนใหส ะอาด ปราศจากกิเลส กอ นความตายมาถงึ ดงั นี้จงึ จะสําเร็จ ประโยชนตามความประสงคของกรรมฐานบทน.ี้ ๙. กายคตาสติ นกึ ถึงสิ่งเปนกาย คือสวนหนึง่ ๆ ซึง่ ประกอบกันขน้ึ เปน อตั ภาพรางกาย ท่ี เรียกวา อาการ ๓๒ ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดกู มาม หัวใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอ ย อาหารใหม อาหารเกา ดี เสลด หนอง เลือด เหงอื่ มนั ขน นํา้ ตา มันเหลว นาํ้ ลาย น้ํามกู ไขขอ มตู ร สมอง๑ นึกถึงสิง่ เหลาน้แี ตล ะสว นๆ โดย วณฺโณ-สี คนโฺ ธ-กล่ิน รโส-รส โอโช-โอชะ สณฺฐาโน-สัณฐาน ใหป รากฏชัดเจนแกใจ. ขน้ั แรกพงึ ทองจาํ อาการ ๓๒ น้ีใหแ มนยํา วาไดท ้ังตามลาํ ดบั ทง้ั ทวนลาํ ดับ ขนั้ สอง สาํ เหนยี กลักษณะของอาการ ๓๒ น้ันแตล ะส่ิง โดยสี กล่นิ รส โอชะ สัณฐาน ขั้นสามพึงดขู องจรงิ .......................................................................................................................................................... ๑. บางอาจารยวา เย่ือในสมอง. ทิพยอาํ นาจ ๔๓

ใหเ หน็ ดว ยตาแมสกั อยา งหนง่ึ พอใหเ ปน ภาพตดิ ตาไวบาง ข้นั ส่ีทําการนกึ ถึงอาการ ๓๒ นีท้ ัง้ หมด ไปตามลาํ ดับ แลว ทวนกลบั หลายๆ เท่ียว ข้นั หาเมอื่ อาการใดใน ๓๒ น้ันปรากฏชดั เจนแกใจ ที่สดุ พึงถือเอาอาการนน้ั ทาํ การนึกเหน็ ใหมากติดตอ เรือ่ ยๆ จนเกดิ เปนภาพชัดเจนทสี่ ดุ ขยายใหใหญ ใหมากไดต ามตองการ ชอื่ วา สาํ เร็จกายคตาสติแลว . กายคตาสติน้ี พระผมู ีพระภาคทรงพรรณนาอานิสงสไวมากมาย มอี ํานวยผลใหสาํ เร็จ อภญิ ญา ๖ ปฏสิ ัมภทิ า ๔ เปนตน . ๑๐. อานาปานสติ นกึ ถงึ ลมหายใจเขา ออก คอื สภาพปรุงแตงกายใหด าํ รงสืบตอไปได เมือ่ ใดสภาพนหี้ ยุดชะงกั ไป ไมทาํ การสบื ตอ เมอ่ื นน้ั ชวี ติ ก็ขาด ท่ีเรียกวาตาย วญิ ญาณธาตุอนั อาศัยอยูใ นรา งกายกอ็ อกจากรางไป นว้ี า โดยลกั ษณะสามญั สว นลกั ษณะพเิ ศษนน้ั อาการไม หายใจยอ มมไี ดแกบุคคล (๑.) ผูอยูในครรภมารดา (๒.) ผูดํานาํ้ (๓.) ผสู ลบชนดิ หนึ่ง และ (๔.) ผู เขาจตตุ ถฌาน ในเวลาปกตยิ อมตอ งมอี าการหายใจ คือ สดู ลมเขา สูรา งกาย ผายลมออกจาก รางกายเสมอ แมใ นเวลาหลับ สภาพปรงุ แตง กายนีก้ ท็ ําหนา ที่อยูเรื่อยๆ ไป. วิธปี ฏิบัติในกรรมฐานบทนี้ พงึ อยูในปา ในรมไม หรือในท่ีวาง ซงึ่ เปนท่สี งดั อากาศโปรงเย็น สบาย อาบนาํ้ ชําระกายใหสะอาด นุงหมผาสะอาด ปราศจากกลนิ่ เหมน็ สาบ นง่ั ในทา ท่ีเรยี กวา บัลลังก ตั้งกายใหต รง ดาํ รงสติใหม นั่ กาํ หนดลมหายใจเขา-ออก อันเปนไปอยูโดยปกติน้ันใหรทู ัน ท้ังเวลาลมเขา เวลาลมออก แลวกาํ หนดระยะเวลาลมเขาออกสัน้ ยาวใหร ูทัน ตอ น้ันกําหนดท่ีทีล่ ม สมั ผสั คอื ตนลมสมั ผสั ทีป่ ลายจมกู กลางลมสัมผสั ทที่ รวงอก ปลายลมสมั ผัสทต่ี รงสะดือ ในเวลา ลมออกตรงกันขามกบั ท่กี ลาวมานี้ คอื ทวนลาํ ดบั ออกไป ในระยะแรกๆ สติจะปรากฏประหนึ่งวา แลนไปตามอาการของลมเขาลมออก แตเม่อื ทําไปนานๆ ในระยะตอๆ ไปสตจิ ะใหญโ ตครอบคลมุ รางกายแมทงั้ หมดไว จะไมมีอาการแลนตามอาการอกี ตอ ไป และลมหายใจกจ็ ะปรากฏละเอยี ด เขาทกุ ที จนปรากฏวาไมม ใี นท่ีสดุ จะเหน็ วา ลมปรงุ กายซา นอยูทั่วทุกสวน แมก ระทัง่ ปลายเสนขน เมื่อมาถึงขน้ั นีช้ อื่ วาไดผลในการเจริญอานาปานสตกิ รรมฐานขนั้ ตนแลว พึงเจริญใหแคลวคลอง เชยี่ วชาญตอ ไป. อานาปานสตกิ รรมฐานนี้ สามารถตดั กระแสวติ กไดดี เหมาะสําหรบั คนวติ กจรติ คอื คน ชอบคิดชอบนึก เปน กรรมฐานสุขุม ประณตี เหมาะสาํ หรบั มหาบุรุษ พระบรมศาสดาทรงบําเพ็ญ กรรมฐานขอ น้มี าก เวลาทรงพกั ผอ น ท่เี รยี ก “ปฏิสลั ลนี วิหาร” ก็ทรงอยดู ว ยอานาปานสตสิ มาธิ วิหารเสมอ ทรงแสดงอานสิ งสข องกรรมฐานบทน้ีไวมากมายวา กายก็ไมล าํ บาก จักษกุ ไ็ มล าํ บาก จิตกพ็ น จากอาสวะ ละความคิดเกีย่ วกบั เสยี งทเ่ี คยชินได กาํ หนดนาเกลียดในสง่ิ ไมนาเกลียดได กําหนดไมน าเกลียดในส่ิงนาเกลยี ดได กําหนดนา เกลียดไดทั้งในสิ่งไมน า เกลยี ด ทงั้ ในสง่ิ ไมน า เกลยี ด กําหนดไมนา เกลยี ดไดทั้งในสงิ่ นาเกลียด ทั้งในส่งิ ไมน า เกลียด ไดฌานสมบัตโิ ดยไมย าก ตงั้ แตฌานที่ ๑ ถงึ สัญญาเวทยิตนิโรธ กาํ หนดรูเวทนาไดด ี ไดบรรลอุ รหัตตผล หรอื อนาคามีใน ปจ จบุ ัน ฯลฯ. อาหารเรปฏกิ ลู สญั ญา กําหนดความนา เกลียดในอาหาร สง่ิ ที่เรานํามากลนื กินเขา ไปบํารุง เล้ยี งรางกายเรียกวา อาหาร โดยปกติเปน ส่ิงที่เราไมเกลียด ถา รสู ึกเกลียดข้นึ เมอ่ื ไร ก็จะกลืนเขาไป ทพิ ยอํานาจ ๔๔

ไมไดเมื่อนัน้ ส่ิงท่เี ราไมเ กลียดนั้นเปนเคร่ืองสองใหร ูวา เรามฉี ันทะราคะในสิ่งนน้ั อยแู ลว อาหาร ที่เราพอใจเราก็จะอยาก เมอื่ ความอยากรุนแรงกก็ อ เกดิ ความโลภและทุจริตเปน ลาํ ดับไป อาหาร เปนสิง่ ทีเ่ ราตอ งกินทุกวัน ถา เราไมพจิ ารณาใหดีกจ็ ะเปนปากทางใหบ าปอกุศลไหลเขาตัวเราทุกวัน ฉะนั้นจึงควรกาํ หนดความนา เกลยี ดในอาหาร เพ่อื ตดั ตนเหตแุ หงบาปอกศุ ลเหมอื นตดั ตนไฟแตหวั ลมฉะนน้ั ทีจ่ ะเหน็ ความนาเกลยี ดของอาหารได ตองกําหนดเทยี บเคียงเวลาทั้งสอง คือเวลาเขา กบั เวลาออก ไดแกเวลากนิ กบั เวลาถาย เวลากนิ รวมหมูก นั กนิ ได เวลาถายจะทําเชนนั้นไมได นา เกลยี ด ฯลฯ พงึ เพง ดอู าหารท่ีระคนอยใู นภาชนะเทยี บกับอาหารเกาในทอ ง และในเวจกฎุ วี า มี สภาพเหมือนกันหรอื คลา ยคลงึ กัน แตนน้ั ก็จะเกดิ ปฏิกลู สญั ญาขึน้ แทบจะกลนื กนิ อาหารนั้นไมไ ด แตตอ งขืนใจกินดว ยนกึ เพียงวา เปนเคร่ืองยงั ชพี ใหสืบตอไป โดยนยั นี้ความอยากความติดรส อาหาร ความโลภอาหารและความทุจริตเนอื่ งดวยอาหารกจ็ ะบรรเทาเบาบางลง และหายไปโดย ลาํ ดบั จิตใจยอ มสงบระงบั ไมด ิน้ รน จดั วา ไดผ ลในกรรมฐานขอนีใ้ นข้ันตนแลว พึงเจรญิ ใหมาก ให ชํานิชํานาญสืบไป. จตุธาตุววัตถาน กาํ หนดธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุนาํ้ ธาตไุ ฟ ธาตุลม อันมีอยใู นกายของตน โดยกาํ หนดเอาวา สงิ่ ทีม่ ีลักษณะแขนแข็งในรางกายรวมเปน ธาตุดนิ สิ่งทมี่ ีลักษณะเอบิ อาบซึม ซาบไหลไปมาไดใ นรางกายรวมเปนธาตนุ ํ้า ส่งิ ท่ีมลี ักษณะรอนอบอนุ ในรา งกายรวมเปนธาตไุ ฟ ส่งิ ท่ีมลี ักษณะพดั ไปมาในรางกายรวมเปนธาตลุ ม กาํ หนดใหม องเห็นส่ิงน้นั ๆ ชัดเจน จนเห็นชัดใน ใจวา กายนเี้ ตม็ ไปดวยธาตุท้ัง ๔ หรือเปนกลมุ ธาตุท้ัง ๔ แลวกําหนดส่งิ ทมี่ ลี ักษณะเปนธาตุดิน น้ํา ไฟ ลม ในภายนอก ทม่ี าสัมผัสเขา กบั กายน้ี หรือทีเ่ ราตองกนิ ดมื่ ใชสอยอยูท ุกวันนั้นวา เปนแต ธาตุทัง้ สิ้น จนเหน็ ชัดขึ้นในใจวา “ธาตกุ ินธาตุ” เม่ือใด เมือ่ น้ันช่อื วา ปฏบิ ัติกรรมฐานนี้สาํ เรจ็ ผล ในขัน้ ตน แลว พงึ ปฏิบตั ใิ หช ํานิชาํ นาญตอ ไป. พรหมวหิ าร อยอู ยา งพรหม บุคคลจําพวกหน่ึงซ่งึ ทําความดแี ลว ไดอุบตั ิในพรหมโลก เรียกวาพรหม พรหมนัน้ มีใจสะอาด น่มิ นวล ออนโยน ควบคมุ ใจไวในอํานาจไดดี มคี ุณธรรม ประจาํ ใจ ๔ ประการ คือ เมตตา กรณุ า มุทิตา และอุเบกขา ธรรม ๔ ประการนีจ้ ึงไดน ามวา “พรหมวหิ าร” การอบรมใจโดยยึดเอาลกั ษณะของพรหมเปน ตัวอยา ง และปลกู ธรรม ๔ ประการ น้ันขึ้นในใจของตน ทาํ ตนใหเ หมือนพรหม เรียกวาเจริญพรหมวิหาร พึงเจรญิ ไปตามลาํ ดบั ขอธรรม ๔ ประการ คอื ๑. เมตตา ความรกั ที่บริสุทธ์ิ มีลกั ษณะมงุ ดี หวงั ดี ตรงกันขามกบั ความขึ้งเคียดเกลียดชัง และเปน ความรกั ท่ีปราศจากกามราคะ (คือความกาํ หนดั ) เปนชนิดความรกั ระหวางมารดาบิดากับ บตุ รธิดา. ๒. กรุณา ความเอ็นดู มีลักษณะทนดูดายไมไ ด พอใจชวยเหลือเก้อื กลู ใหเ ขาไดร ับสุข โดย ไมเ หน็ แกเหนื่อยยากและส่งิ ตอบแทน ตรงกันขา มกับความพยาบาทมาดรา ย. ๓. มทุ ติ า ความช่ืนใจ มีลกั ษณะราเริงช่ืนบาน พลอยมีสวนในความสขุ ความเจรญิ ของ ผูอื่น ตรงกนั ขามกับความริษยา ซึง่ ไมอ ยากใหใครไดดมี สี ขุ กวา ตนหรอื เทา เทยี มตน. ทพิ ยอํานาจ ๔๕

๔. อุเบกขา ความเทีย่ งธรรม มลี ักษณะเปน ผใู หญใ จหนักแนน รจู ักส่งิ เปน ได-เปนไมได ดี แลว มองเห็นความเปนไปตามกรรมของสัตวแจง ชัดในใจ ควรชวยก็ชว ย ไมควรชว ยก็ไมชว ย เปน ผูรจู กั ประมาณ ทําใหค ุณธรรม ๓ ขอ ขา งตนสมดลุ กันดวย ใจจะสงบเยน็ ดวยคณุ ธรรมขอ นีอ้ ยา ง มากทีเดยี ว จึงสามารถขมกามราคะไดอ ยางด.ี วธิ ีปฏบิ ตั ิ ปลกู คุณธรรม ๔ ประการนข้ี ึน้ ในใจทลี ะขอกอ น ทาํ ใจใหมลี กั ษณะตาม คณุ ธรรม ๔ ประการนีท้ ีละขอ แลว แผน ํา้ ใจเชน นั้นไปยังผอู ื่น ต้ังตน แตค นทีเ่ รารักอยูแลว (เวน คน ตางเพศกัน) ไป คนท่เี ปนกลาง – คนท่ีเกลียดชัง – คนทั่วไป – สตั วท่ัวไปตลอดสากลโลกทุกทศิ ทุกทาง เมอ่ื ปฏบิ ัตไิ ดถึงขั้นน้ีช่ือวาสําเร็จอปั ปมัญญาเจโตวมิ ตุ ติ ใจจะมีอทิ ธพิ ลเกิดคาดหมาย กาํ จัดศัตรูภาพไดด ี กรณุ าพละกาํ จัดทารุณภาพไดด ี มุทิตาพละกาํ จดั ความทุกขโ ศกของผูอ่ืนไดดี อุเบกขาพละกาํ จดั กามราคะในเพศตรงกนั ขามไดดี สตรีกบั บุรษุ ผูม ีอเุ บกขาพละจะเปน มติ รสนิท สนมกนั ได โดยไมละเมิดอธิปไตยของกันและกนั . อรปู กรรมฐาน คอื สง่ิ มิใชรปู เปนนามธรรมทปี่ รากฏแกใจ หรือทร่ี สู กึ ไดดวยใจ ทา นให นาํ มาเปน บทบริกรรม คือเปน ขออบรมจติ ใหสงบ มี ๔ ประการ คือ ๑. อากาศ ไดแกความเว้ิงวา ง-วางเปลา -ปลอดโปรง-ไมมีท่สี ิน้ สุด-ไมต ิดขดั ไมอ าจมองเห็น ไดด ว ยตาเนื้อ และไมอาจสมั ผสั ไดด วยกาย ส่งิ ที่เห็นไดห รือสัมผสั ไดในอากาศนัน้ เปน อากาสธาตุ คือธาตุในอากาศ เชน กอนเมฆ หรือละอองนํ้า ฯลฯ ๒. วิญญาณ ในที่นไี้ ดแกธ าตุรู ซึง่ เปน ธาตุวิเศษศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มรี ูเปนลกั ษณะ ประกอบดวย แสงสคี ลายเปลวไฟฉะนนั้ ธรรมดาเปลวไฟยอมมีความรอ นเปน ลกั ษณะ ประกอบดว ยแสง-สี คอื มี แสงสวา งสีตางๆ ฉนั ใด วญิ ญาณก็มี “ร”ู เปนลักษณะ ประกอบดว ยแสง-สี คือมแี สงสวาง สตี างๆ ฉนั น้ัน วญิ ญาณท่ยี ังมสี ี เปนวญิ ญาณที่ยังไมบ ริสุทธ์ิ วญิ ญาณที่ปราศจากสี เปนวญิ ญาณที่ บรสิ ทุ ธ์ิ ซงึ่ มลี กั ษณะใสบรสิ ุทธิ์ดุจแกวมณีโชติ. ๓. ความไมมีอะไร ไดแ กความโปรงใจ ปราศจากความอึดอดั -ความคบั แคน-ความราํ คาญ เหมือนหนึง่ ตนคนเดียวอยโู ดดเดย่ี วในสญุ ญวิมาน ฉะน้นั . ๔. ความสงบ ความประณตี ไดแกค วามดาํ รงมั่นคงของจติ ละเอียดออน ประณีต สละสลวย ไมเปนคล่ืนระลอก กระฉอกกระฉอ นวูบวาบ. วิธีปฏิบตั ิ วางสญั ญาในอารมณตางๆ ทัง้ ท่ีเปนรูปและอรูปเสีย กําหนดจติ ใหอยูในอารมณ อันเดียว คือ อรปู กรรมฐานนี้อันใดอันหนงึ่ เม่ือวางสญั ญาในอารมณต า งๆ ได และจติ กาํ หนดจด จอ อยูแตอ ารมณอันเดียวน้ีได แมจ ะดาํ รงอยูไดเ พยี งชั่วขณะหนง่ึ ก็ชอ่ื วาสาํ เร็จอรูปฌานนแี้ ลว พึง ฝกหัดใหเชี่ยวชาญชํานาญยงิ่ ขึ้นไป. อรปู ฌานน้ี เปน ฌานประณตี โดยอารมณ เรียกชอื่ เชนน้ีตามอารมณท เี่ ปนอรูปเทานั้น เขาใจกนั โดยมากวา ผูจะเจรญิ อรปู ฌานนีไ้ ดจะตอ งเจริญรูปฌานสําเรจ็ มากอ น ความจรงิ อรูป กรรมฐานน้ี เปน อารมณของสมถะชนิดหนง่ึ แตเปนอารมณละเอียดประณีตกวารูปกรรมฐาน เทานั้น เม่อื เปนเชนนี้ จะจับตงั้ ตน เจรญิ อรปู กรรมฐานทีเดยี วก็ยอ มจะได เปนแตทําไดยากสกั หนอ ย ไมเ หมอื นผูเ คยผานรูปกรรมฐานมากอ น. ทพิ ยอํานาจ ๔๖

ความแปลกกันแหงอากาสกสณิ กบั อากาสฌาน นอี้ ยทู ีอ่ ากาสกสณิ เพง วงกลมอากาศ พงุ ออกไปขางนอก สว นอากาสฌานเพง อากาศโดยไมกาํ หนดขางหนาขา งหลงั วางจิตเปน กลาง ใสใ จ แตอ ากาศอยางเดยี ว เม่ือจติ สงบกจ็ ะเหน็ มีแตอากาศเวง้ิ วา ง ไมม ขี อบเขตจาํ กัด ไมม อี ะไรซ่งึ เปน รูปธรรมปรากฏในความรูส กึ ในขณะน้ัน ปรากฏประหนึง่ วา ตนคนเดียวอยโู ดดเดยี่ วในนภากาศ ฉะนั้น อรูปฌานนี้จะไวก ลา วพสิ ดารในบทขางหนา . สมถกรรมฐาน ๔๐ ประการน้ี แยกออกเปน ๒ ประเภท คอื รปู กรรมฐาน และอรูป กรรมฐาน ฌานทส่ี ําเร็จข้นึ โดยอาศัยรูปกรรมฐานเปนอารมณ เรยี กวารปู ฌาน ฌานทส่ี ําเร็จขนึ้ โดยอาศยั อรูปกรรมฐานเปนอารมณเรียกวา อรปู ฌาน. และทานแบงออกโดยกจิ เปน ๒ ประเภทเหมอื นกัน คอื กรรมฐานทเี่ ปนอารมณช นิดใช ความคดิ คํานึงใครค รวญเหตุผลเขาประกอบเพือ่ อบรมจติ ใหส งบน้นั ประเภทหนึง่ ผูบําเพ็ญสมถ- กรรมฐานประเภทนเ้ี รยี กวา “วปิ สสนายานิก” ซ่ึงมคี วามหมายวา ผบู าํ เพญ็ ภาวนาทอ่ี าศยั ความเหน็ เหตุผลหรือความจริงในกรรมฐานขอ นน้ั ชัดใจ เปน พาหนะนําจติ ไปสูความสงบ อกี ประเภทหนงึ่ คอื กรรมฐานที่เปน อารมณสงบ-ประณตี โดยธรรมชาติ ไมตอ งใชความคิดคาํ นงึ ใครครวญเหตุผลเขาประกอบ เพียงแตก ําหนดน่งิ สําเหนียกอยแู ตในอารมณเดียวนั้นเรอ่ื ยไปจนจติ สงบลง ผูบาํ เพ็ญสมถกรรมฐานประเภทนี้ เรียกวา “สมถยานิก” ซึ่งมีความหมายวา ผูบําเพ็ญ ภาวนาที่อาศยั ความสงบเปน ยานพาหนะนําจิตไปสคู วามสงบ ทา นจะเลอื กบาํ เพญ็ ประเภทไหนก็ แลว แตจรติ อธั ยาศยั ของทานจะเหมาะกับกรรมฐานประเภทไหนเปนประมาณ จะถอื เอาความยาก งายเปนประมาณหาไดไ ม ฉะนน้ั กอนแตทา นจะเลือกกรรมฐานบทใดมาเปน บทบรกิ รรม คอื ขอ อบรมจติ น้นั ควรตรวจจรติ อัธยาศัยของตนใหร ูแนชัดเสียกอ น ดังตอไปนี้. จริต ๖ พระบรมศาสดาทรงจาํ แนกจริต คอื กเิ ลส และคณุ ธรรมทที่ องเที่ยวอยูในจติ ใจของบุคคล ฝา ยละ ๓ รวมเปน ๖ ประการ คอื ๑. ราคจริต คนกาํ หนัดกลา มีราคะ คือความกาํ หนดั ในกามคุณทอ งเที่ยวอยูในจิตมาก จนเปน เจาเรือน คอื ครองความเปนใหญใ นจิตใจ ดลใจใหกาํ หนัดในกามคุณมาก ติดพนั ในกามคณุ จนถงึ ลุม หลงมวั เมา ราคะเปน ประดุจหนามยอกใจ การแกร าคะก็ตอ งใชวริ าคะ คอื หนามวิเศษ เหมอื นหนามยอกก็เอาหนามบง ฉะน้ัน ราคะต้งั ลงท่ีกามคุณ คอื รูปสวยงามนารักนา ชนื่ ใจ, เสยี ง ไพเราะ, กลนิ่ หอม, รสอรอ ย, สัมผสั นมุ ละเอยี ดออน ราคะทาํ ใหมองไมเ ห็นตําหนิที่นาเบ่อื หนา ย ของกามคณุ ซ่งึ มอี ยโู ดยธรรมดาแลว วธิ ีแกจึงตองพลกิ เหลย่ี มขน้ึ มองดคู วามนาเบอ่ื หนา ยนา เกลยี ดอันมอี ยใู นกามคุณนั้น ฉะน้ันกรรมฐานเนอื่ งดวย อสภุ ะ-ปฏิกลู จงึ เปน สัปปายะ คือเหมาะ แกค นราคจรติ เปนไปเพ่ือความเจริญ แมปจจยั เลีย้ งชพี กต็ อ งเปน สง่ิ ปอนๆ-เศราหมอง-หยาบ จงึ จะเปน ไปเพื่อถอนราคะออกจากใจได. ทพิ ยอาํ นาจ ๔๗

๒. โทสจริต คนใจราย มีโทสะ คือความดรุ ายทองเทย่ี วอยูในจติ ใจมากจนเปน เจาเรือน คอื ครองความเปน ใหญใ นจติ ใจ ดลใจใหด รุ าย กร้วิ โกรธ แมใ นเหตุเลก็ ๆ นอยๆ อันไมสมควรโกรธ ก็โกรธ ประดจุ ผยี กั ษสงิ ใจฉะนน้ั ธรรมดาผียอ มกลัวเทวดาฉนั ใด อธรรมคือโทสะก็ยอ มพา ยแพแ ก ธรรมฉนั น้นั ธรรมอันจัดเปนเครือ่ งแกโทสะน้นั ตองเปน ธรรมฝายเย็น สภุ าพ ออ นโยน จึงมี ลักษณะตรงกนั ขามกบั โทสะ เมื่อโทสะซ่งึ เปรยี บเหมือนผียกั ษสิงใจอยู จงึ ควรเชญิ ธรรมซง้ึ เปรยี บ เหมือนเทวดามาสิงใจแทนทเ่ี สีย เพราะธรรมดายกั ษย อ มกลัวเทวดาฉนั ใด ธรรมจะกาํ จดั อธรรม ออกไปฉนั นัน้ ฉะนัน้ กรรมฐานอันเนือ่ งดว ยคุณธรรมฝายสงู เชน เมตตา กรณุ า ฯลฯ พุทธคณุ ธรรมคณุ สังฆคณุ ฯลฯ จึงเปนสปั ปายะ คือ เหมาะแกค นมีโทสจริต เปนไปเพ่อื ความเจรญิ แม ปจ จยั เลี้ยงชพี กต็ อ งเปน สิ่งสวยงาม-ประณีต-สขุ มุ จงึ จะเปนไปเพื่อถอนโทสะออกจากจติ ใจ. ๓. โมหจรติ คนหลง มีโมหะ คอื ความหลงทองเท่ียวอยใู นจติ ใจมากจนเปนเจาเรือน คือ ครองความเปนใหญในจติ ใจมาก ดลใจใหม ดื มัว อ้ันตู ไมรจู กั ผิดชอบช่ัวดี แมม วี ัยผา นมานานควร เปน วญิ ูชนไดแ ลว ก็ยังคงมีลักษณะนิสัยเหมือนเด็กๆ อยู และดลใจใหม องเห็นในแงที่ตรงกันขา ม กับเหตผุ ลและความจริงเสมอ ประดุจกลีสงิ ใจฉะนน้ั กลี คอื ผีชนิดหน่ึง มีลกั ษณะมดื ดํา ทาํ ใหเปน คนหลง คลัง่ เพอไปตา งๆ ปราศจากความรสู กึ ผิดชอบชั่วดใี นเมื่อมันเขา สงิ ใจ โมหะทานเปรียบ เหมือนกลนี ้ัน ผีกลกี ลัวแสงสวา ง ฉะนน้ั การแกโ มหะจึงตองอาศัยธรรมะ ซงึ่ มลี ักษณะสวาง- กระจางแจง เปนปจจัย เชน การอยูใ กลไ ดปรึกษาไตถ ามทา นผพู หูสูตเนอื งๆ ขอธรรมที่มเี หตผุ ล กระจา งในตัว ไมมแี งชวนใหส งสัย กรรมฐานที่เหมาะแกคนจําพวกน้ี ตอ งเปนกรรมฐานท่ีเน่ือง ดวยกสิณและอรูป ซ่งึ เปนอบุ ายเปด ใจใหส วาง แมปจ จยั เล้ยี งชีพก็ตองเปน ส่ิงโปรง บาง-เปด เผย- สะดวก ทอ่ี ยูถ า เปน ท่ีโปรงๆ หรือกลางแจงเปน เหมาะทส่ี ุด. ๔. สัทธาจรติ คนเจาศรัทธา มศี รัทธาความเชื่อทอ งเทีย่ วอยูใ นจติ มากจนเปนเจา เรอื น คือ ครองความเปนใหญในจิตใจ ดลใจใหเ ช่อื สิง่ ตา งๆ งายจนเกือบจะกลายเปนงมงายไป ความจริง ศรทั ธาเปนคณุ ธรรม เมอ่ื มีอยูในใจยอมหนุนใหทําความดีไดง า ยเหมือนมีทนุ สํารองอยูแลว ยอม สะดวกแกก ารคา หากําไรฉะนนั้ คนเจา ศรัทธาเปนคนใจบุญสนุ ทาน ชอบดี รักงาม ทาํ อะไรก็ ประณตี บรรจง เปน คนใจละเอยี ดออน บาํ เพญ็ กรรมฐานไดแทบทกุ อยาง แตทเ่ี หมาะทสี่ ุด คอื อนุสสติ และกรรมฐานท่เี กยี่ วกับการคิดคน หาเหตผุ ล เชน จตธุ าตุววตั ถาน ฯลฯ. ๕. พทุ ธจิ รติ คนเจา ปญญา มีพทุ ธคิ อื ความรทู อ งเที่ยวอยใู นจติ มากจนเปนเจาเรอื น คือ ครองความเปนใหญอ ยใู นจิตใจ ดลใจใหรูอะไรๆ ไดงา ยๆ จนเกอื บจะกลายเปนคนสรู ไู ป ความ จริง พุทธิ เปนคณุ ธรรมนาํ ใหร ูเหตผุ ล และความจริงไดงาย คนจาํ พวกน้ีชอบทาํ อะไรๆ ดวยความรู และก็มกั ผิดพลาดเพราะความรเู หมอื นกัน ฉะนั้น กรรมฐานอันเปนทส่ี ปั ปายะแกค นจาํ พวกนี้ ตอ งเปน กรรมฐานที่ประคับประคองจิตใจไปในเหตุผลทถ่ี ูกตอง ทาํ ใหป ญญามหี ลกั ฐานมัน่ คง เชน อุปสมานุสสติ เปน ตน. ๖. วิตกั กจริต คนเจา ความคดิ มีวิตกั กะคอื ความคิดทองเท่ียวอยูในจติ ใจมากจนเปน เจา เรอื น คอื ครองความเปนใหญในจิตใจ ดลใจใหค ิดใหอานอยเู ร่อื ย จนกลายเปนฟงุ ซานหรอื เลอ่ื น ลอยไป ความจริงวติ กั กะเปน คุณธรรม เมือ่ มีอยูในใจยอมหนุนใหเปนคนชางคิดชา งนกึ ในเหตุผล ทพิ ยอาํ นาจ ๔๘

และความจริงจากแงต างๆ เปนทางเรอื งปญ ญา แตถามากเกนิ ไปจะตกไปขา งฝา ยโมหะ กลายเปน หลงทศิ ทางไปได ทเ่ี ขาเรียกวา “ความคิดตกเหว” ไมร จู กั แกไ ขตนออกจากความผิด ไดแ ตคิดเพอ ไปทา เดยี ว กรรมฐานที่เหมาะแกคนจาํ พวกนต้ี อ งเปนกรรมฐานทไี่ มตอ งใชความคิด เชน กสณิ - อรูป และทีเ่ หมาะทีส่ ดุ คอื อานาปานสติ. จรติ ๑ – ๓ เปนอกุศลเจตสิก ๔ – ๖ เปนอัญญสมานาเจตสกิ ใกลไปขา งฝายกศุ ล คนมี จรติ ๑ – ๓ เปน เจาเรือนจงึ มกั ทําความชวั่ ใหป รากฏ สว นคนมจี รติ ๔ – ๖ เปน เจาเรอื นจงึ มักทาํ ความดีใหป รากฏ. อัธยาศัย ๖ ๑. โลภัชฌาสยะ คนมคี วามโลภเปนเจาเรอื น เปนคนมักได-ตระหน่ี-หวงแหน. ๒. โทสชั ฌาสยะ คนมีโทสะเปนเจาเรือน เปน คนดุราย โกรธงา ย ใจรอนเหมือนไฟ. ๓. โมหัชฌาสยะ คนมีโมหะเปนเจาเรอื น เปนคนหลงงายลมื งา ย ใจมดื มัว ซบเซา มึนซมึ . ๔. อโลภชั ฌาสยะ คนมีอโลภะเปนเจาเรอื น เปนคนใจบญุ สุนทาน เอื้ออารี มีใจพรอมท่จี ะ สละเสมอ. ๕. อโทสชั ฌาสยะ คนมีอโทสะเปน เจาเรือน เปน คนใจด-ี เยอื กเย็น มีใจพรอ มท่ีจะใหอภัย เสมอ. ๖. อโมหัชฌาสยะ คนมีอโมหะเปนเจา เรือน เปนคนใจผอ งแผว -เปดเผย มีใจปราศจาก มายาสาไถย พรอ มท่ีจะรับผดิ อยางหนาชืน่ ใจบาน ในเม่อื ทําความผิด. คนมีอัธยาศัยฝา ยอกุศล คือ ๑ – ๓ นน้ั เปนคนหยาบ มักทําความชวั่ หยาบทางกาย วาจา ใจ ใหปรากฏ คนมีอธั ยาศยั ฝายกศุ ล คอื ๔ – ๖ นั้น เปนคนละเอยี ด ประณตี มกี ิเลสนอ ยเบาบาง ในขนั ธสันดาน มกั ไมทําความชวั่ หยาบทางกาย วาจา ใจ ใหปรากฏ มีแตท าํ คุณงามความดีให ปรากฏทางกาย วาจา ใจ เสมอ คนจําพวกนง้ี ายแกการอบรมศลี ธรรมในขั้นสูง ถา ไมประมาทและ ไดกลั ยาณมิตรแลว อาจปฏิบตั บิ รรลมุ รรคผลนพิ พานในชาติปจจบุ ันไดงา ย. เมอื่ รวมจริตและอัธยาศยั เขากนั แลว พเิ คราะหด ูกจ็ ะไดบคุ คล ๓ จาํ พวก คอื (๑.) พวกจรติ อธั ยาศัยหยาบ อินทรยี ออน แนะนําในกศุ ลสัมมาปฏบิ ตั ยิ าก. (๒.) พวกจริตอัธยาศัยปานกลาง อนิ ทรียป านกลาง อาจแนะนาํ ในกุศลสัมมาปฏิบัตไิ ด. (๓.) พวกจริตอธั ยาศยั ประณตี อินทรยี กลา แนะนําในกุศลสัมมาปฏิบตั งิ าย. ปธานยิ ังคะ ๕ เม่ือไดพ เิ คราะหดจู ริตอัธยาศัยแลว พึงพิเคราะหด ูอัตภาพวา สมบรู ณพ รอ ม เกิดมาจากกศุ ล สมบตั หิ รือไม? เพราะถาอตั ภาพไมสมบรู ณพรอม ธาตไุ มแขง็ แรงเนอื่ งจากอกุศลสมบตั เิ ปนปจ จัย ขืนไปทําความพากเพียรอยางขะมกั เขมน เขา เกิดเจบ็ ปว ยรา ยแรงถึงธาตุพกิ าร สตวิ ิปลาสข้นึ ก็จะ ลงโทษขอ ปฏิบัติวาพาใหเ ปน เชนน้ัน เรือ่ งนไ้ี ดเ กิดเปน ขอ หวาดหว่ันแกสาธชุ นอยูมาก เลย กลายเปน เครอ่ื งมือขูอ ยางดขี องมารไป ความจริงขอสมั มาปฏบิ ัตมิ แี ตใ หค ุณ ไมใหโ ทษเลย ผู ทิพยอํานาจ ๔๙

ปฏิบัติตามขอ สัมมาปฏิบัตแิ ลวเกดิ เจบ็ ปว ยขึ้นน้ัน มิใชเ ปน เพราะขอปฏบิ ตั ิ เปนเพราะเหตุอื่น ตางหาก เมือ่ ไดส อบสวนดตู ัวเองแลว เห็นวา สมบรู ณพรอม พอท่ีจะปฏิบัตพิ ากเพียรไดแ ลว ก็ไม ควรจะหวาดหว่นั วา จะเปน บาเปนหลังไป นอกจากพเิ คราะหอตั ภาพแลว พึงพิเคราะหองคคณุ อนั เปน ประธานและเปนกําลังหนนุ ในการปฏิบัติอกี ดว ย. หลักทค่ี วรพจิ ารณานน้ั สมเด็จพระผูมพี ระภาคเจา ทรงวางไวแลว ดงั ตอ ไปน้ี ภิกษทุ ง้ั หลาย องคคุณอนั เปนท่ีตัง้ แหงความเพยี ร มี ๕ ประการ คือ ๑. สทโฺ ธ โหติ สททฺ หติ ตถาคตสฺส โพธึ เปนผมู ีศรัทธาเช่อื พระปญ ญาตรัสรูของตถาคต = เชอ่ื ความรูของคร.ู ๒. อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตงฺโก สมเวปากินยิ า คหณยิ า สมนฺนาคโต เปนผมู ีอาพาธนอย มคี วามเดือดรอนนอ ย ประกอบดวยธาตุในรา งกายอันสาํ เรจ็ มาแตว ิบากแหงกรรมสมา่ํ เสมอ ไมเย็น เกินไป ไมร อ นเกินไป พอปานกลาง ทนทานตอการพากเพียร. ๓. อสโฐ โหติ อมายาวี เปน คนไมโ ออ วด ไมม มี ายา เปนผูเ ปด เผยตนตามเปนจริงในพระ ศาสดา หรอื ในสพรหมจารีผวู ญิ ชู น. ๔. อารทธฺ วิริโย วิหรติ เปนผูพากเพยี รละอกศุ ล เจรญิ กศุ ล ขยันขันแข็ง บากบ่ันม่ันคง ไม วางธุระในกุศลธรรม. ๕. ปญฺ วา โหติ เปน ผูม ีปญญา ประกอบดวยปญญาอันประเสริฐ ท่ีใหเ กดิ ความเบอ่ื หนา ย เหน็ ความเกิด-ความตาย และใหถงึ ธรรมเปน ท่ีส้นิ ทกุ ขโดยชอบ.๑ เมื่อไดพิเคราะหต ามหลักนแี้ ลว เห็นวาตนเปนผูพ รงั่ พรอมเพอ่ื ปฏบิ ัติพากเพียรแลว พึง เลอื กกรรมฐานอันเหมาะแกจริตอธั ยาศยั แลว แสวงหาทีป่ ระกอบความพากเพียรตอไป. สปั ปายะ ๔ สถานทท่ี ีเ่ หมาะแกก ารพากเพยี รน้นั สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงแสดงไวห ลายปรยิ าย เม่ือ ประมวลแลว ตอ งเปน ทซ่ี ง่ึ ประกอบดว ยสัปปายะ ๔ ประการ คอื ๑. อาวาสสัปปายะ ท่อี ยูเ หมาะสม คือที่ซงึ่ ตนมีอิสระทจี่ ะอยูไดสบาย กลางวันปราศจาก คนพลุกพลาน กลางคืนเงียบสงดั ปราศจากกลิน่ ไอของมนษุ ย เปน ที่ท่ีอมนษุ ยไมหวงแหน หรอื ยินดีใหอ ยูดว ยกันไดโดยปลอดภัย สตั วร ายเชนยุงไมชมุ พอทนได นาํ้ ใชนํา้ กินมอี ยูใกล หาไดงาย โคจรคามไมใ กลเกนิ ไป และไมไ กลเกินไป มที างไปมาสะดวก มีพระเถระพหสู ูตซ่ึงอาจแกค วาม สงสัยใหไ ด อยูใกลหรือยดู วยกนั ในท่ีนัน้ สะดวกแกการไตถามขอ สงสยั ขอ งใจ อากาศปลอดโปรง ถูกกับธาตุ ทั้งอํานวยผลทางใจคอื โลง ใจ สงบใจไดง าย ไดอ บุ ายปญญาบอยๆ ชวนใหทาํ ความเพยี ร และกเิ ลสไมฟุง. ๒. บุคคลสปั ปายะ บคุ คลเหมาะสม คอื ผูอยรู ว มกนั ก็ดี ผไู ปมาหาสชู ัว่ ครง้ั คราวก็ดี เปน ท่ี ถกู อธั ยาศัยกนั สามารถเกื้อกูลกันในทางสัมมาปฏบิ ตั ิได อยา งต่าํ ๆ กต็ อ งไมเ ปนภยั แกก นั ทง้ั .......................................................................................................................................................... ๑. มาใน พระสตุ ตันตปฎก อังคุตตรนิกาย เลม ๒๒ หนา ๗๔. ทพิ ยอาํ นาจ ๕๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook