Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมไฟล์แผนการสอนพลังงาน

รวมไฟล์แผนการสอนพลังงาน

Published by sirinun2563, 2022-06-19 13:08:14

Description: รวมไฟล์แผนการสอนพลังงาน

Search

Read the Text Version

101 7)ใส่เทอร์โมมิเตอร์ในรทู ่ี เจาะไวข้ ้างขวด โดยใหป้ ลายเทอรโ์ มมเิ ตอร์อยู่บริเวณ ณ จดุ ศูนยก์ ลางของ ขวดเหนอื ระดับนา้ํ อดั ลม 8. นาํ ขวดทงั้ สองไปวางไว้กลางแดด หรือนําไฟสปอตไลตม์ าส่อง โดยแต่ละขวดควร มรี ะยะหา่ งจากไฟประมาณ 25 เซนตเิ มตร หรือ 10 น้ิว 9. บนั ทึกอณุ หภูมิทุกนาที จนครบ 10 นาที (ไม่ควร ปลอ่ ยการทดลองไวน้ านกวา่ 10 นาที เพราะกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์จะกระจายออกสู่บรรยากาศหมด) 10) นำผลทไ่ี ดม้ าเขียนกราฟความสัมพันธ์ของอุณหภมู ิกบั เวลา เปรียบเทียบระหวา่ งขวดพลาสตกิ ท้ัง สองใบและอภิปรายผล ชุดการทดลองกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดก์ บั ปรากฏการณ์เรือนกระจก 8.9 แบบบันทึกผลการทดลอง 8.10 วาดกราฟแสดงความสัมพนั ธร์ ะหว่างอณุ หภมู แิ ละเวลา ระหว่างขวดพลาสตกิ ทง้ั 2 ใบ 8.11 อภปิ รายผล 9.ผ้เู รียนจดั เตรยี มอปุ กรณ์ และดําเนนิ กิจกรรมตามทีก่ ําหนดให้ แลว้ บนั ทึกผลลงในแบบบันทกึ ผลการ ทดลอง 10.ครเู น้นผเู้ รยี นให้มีความละเอยี ดรอบคอบ มคี วามอดทน มคี วาเขม้ แขง็ มคี วามเพยี รพยายาม นอกจากนนั้ ยังให้ระมัดระวังความปลอดภยั ในการทำกจิ กรรมใบงานทีอ่ าจผิดพลาดเกิดขึน้ ไดโ้ ดยไม่ได้ ขัน้ สรปุ และการประยกุ ต์ 11.สรุปเน้ือหาโดยครูสมุ่ ผู้เรียนใหต้ อบคำถามปัญหาจากการใช้พลังงาน: สภาวะโลกรอ้ น 12.ผเู้ รียนทำกจิ กรรมใบงาน 13.ผู้เรยี นทำแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ี่...7........) ข้ันนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครใู ชเ้ ทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรเู้ ดมิ จากสปั ดาห์ท่ผี ่านมา โดยดงึ ความรเู้ ดมิ ของผเู้ รียนในเร่อื งที่จะเรยี น เพื่อชว่ ยให้ผเู้ รียนมีความพร้อมในการเช่ือมโยงความรใู้ หม่กบั ความรู้ เดมิ ของตน ผู้สอนใชก้ ารสนทนาซักถามให้ผู้เรียนเลา่ ประสบการณ์เดิม 2.ครูและผเู้ รียนสนทนาเร่ืองปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ไดแ้ ก่ ปัญหาบรรยากาศชัน้ โอโซนซง่ึ เปน็ ตัวก้ันรงั สี อลั ตราไวโอเลตไม่ใหเ้ ข้มขน้ เกินไปถูกทำลายให้บางลง ปัญหาภาวะเรอื นกระจก ปัญหาขาดแคลนพลังงาน ปัญหาป่า ไม้เขตร้อนถูกทำลาย ปญั หาเหล่านม้ี ผี ลกระทบกับทกุ ประเทศทัว่ โลก 3.ครูยกตัวอย่างของปัญหาภาวะโลกร้อน 4.ครูแสดงรูปภาพประกอบ เพอื่ เชอื่ มโยงเข้าสเู่ นอื้ หา

102 ขั้นสอน 4.ครใู ชส้ อื่ Power Point ประกอบการอธิบายเรื่องผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น โดยการที่อุณหภูมิของโลก สูงขึน้ กอ่ ให้เกดิ ปญั หาทเ่ี ป็นผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อมดังน้ี 4.1. ระบบนเิ วศ 4.2. สภาพภูมอิ ากาศ การเปลี่ยนแปลงท่มี ีตอ่ สภาพภมู ิอากาศของโลก มีดงั น้ี 2.1 อณุ หภูมขิ องผิวโลกเพมิ่ สงู ขึน้ 2.2 นา้ํ ทะเลเพมิ่ ระดับ 2.3 การเปล่ียนแปลงของหยาดนำ้ ฟา้ 4.3. สิ่งมีชวี ติ บนโลก ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนท่มี ีต่อสงิ่ มชี วี ติ บนโลกทพ่ี บในปัจจบุ นั มที ัง้ การ ทาํ ลายพันธ์ุพชื การทําลายวิถกี ารดํารงชวี ติ ของสิ่งมชี ีวติ ดังนี้ 3.1 การเปลี่ยนแปลงเขตพนั ธพ์ุ ืช 3.2 การเสื่อมโทรมของปะการัง 3.3 การเปลีย่ นแปลงดา้ นเกษตรกรรม 3.4 สุขภาพอนามยั ของมนษุ ย 3.5 ผลกระทบด้านสงั คมและการเมอื ง 5.ครใู ชเ้ ทคนคิ การเรียนรู้แบบ Discussion Method การจัดการเรยี นรแู้ บบการป้องกนั แกไ้ ขผลกระทบจาก สภาวะโลกร้อน 5.1 การมีสว่ นร่วมของประชาชน การป้องกนั และแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น เปน็ ปัญหา ระดบั โลกท่ีทกุ ชาตใิ ห้ความสําคญั ในการดําเนินการอยา่ งมาก ดังนี้ 1) การลดปรมิ าณการปลอ่ ยก๊าซเรือนกระจก 2) การอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 3) การรกั ษา เสรมิ สรา้ ง และเพม่ิ พนู 5.2 การมีส่วนร่วมในระดบั นานาชาติ อนุสญั ญาวา่ ดว้ ยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศและพิธสี ารวา่ ด้วย การเปลย่ี นแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ เกดิ ขึน้ ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจบุ นั ดังน้ี 1) อนุสญั ญาเวยี นนา (Vienna Convention) 2) พธิ ีสารมอนทรอี อล (Montreal Protocol) 3) การประชุม Earth Summit 4) พิธสี ารเกียวโต (The Kyoto Protocol) พ.ศ.2540 นอกจากน้ยี งั ไดก้ าํ หนดหลกั เกณฑ์ใหม่ซ่งึ อนญุาตให้มีกฎที่แตกต่างกนั ระหวา่ งประเทศพัฒนาแล้วกบั ประเทศท่กี าํ ลังพัฒนา คือประเทศทก่ี าํ ลงั พฒั นาจะได้รับการสนับสนุนเงนิ ทนุ และมกี ลไกติดตามผลที่ยืดหยนุ่ กวา่ ประเทศพฒั นาแลว้ 6. ครูใชเ้ ทคนิควิธีการจัดการเรียนรูแ้ บบรว่ มมือ (Cooperative Learning) หมายถึงกระบวนการเรยี นรูท้ ่ี จัดให้ผเู้ รียนไดร้ ว่ มมอื และชว่ ยเหลอื กันในการเรียนรูโ้ ดยแบง่ กลุ่มผู้เรียนทม่ี ีความสามารถตา่ งกันออกเป็นกล่มุ เล็ก ซ่ึง เป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมโี ครงสร้างท่ชี ดั เจน มกี ารทำงานรว่ มกัน มกี ารแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ มีการ ชว่ ยเหลือพ่ึงพาอาศัยซ่งึ กันและกัน มีความรบั ผดิ ชอบร่วมกนั ทั้งในสว่ นตนและส่วนรวมเพอ่ื ใหต้ นเองและสมาชิกทุก คนในกลมุ่ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทกี่ ำหนดไว้ ดังนี้

103 1). แบ่งผเู้ รยี นเป็นกล่มุ ๆ ละ 4-5 คน 2).ปญั หาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกร้อน ดังตอ่ ไปน้ี 1.ความหมายของสภาวะโลกรอ้ น 2.ก๊าซเรอื นกระจก 3.กลมุ่ ธรุ กิจกรรมทที่ทำให้เกดิ สภาวะโลกรอ้ นในประเทศไทย 4.ผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น 5.การป้องกนั แกไ้ ขผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น 3) นำเสนอหนา้ ชั้นเรียน 7.ผเู้ รยี นทำกิจกรรมใบงาน ข้ันสรปุ และการประยกุ ต์ 8.ครแู ละผู้เรยี นสรุปเนอ้ื หาทีเ่ รียน โดยท่ีสภาพภูมิอากาศทแี่ ปรปรวนไปท่ัวโลก ทง้ั ฝนตกหนกั อากาศทหี่ นาว เย็น พายุหมิ ะ และฤดูแลง้ ที่ยาวนาน ล้วนเปน็ ปญั หาทเี่ กิดจากสภาวะโลกรอ้ นเน่ืองจากอณุ หภูมขิ องโลกทสี่ ูงขนึ้ ซง่ึ สง่ ผลกระทบต่อมนษยุ ์ และส่งิ มชี ีวตี ิอนืๆ่ และยงั ทำให้ระบบนิเวศมีการเปลีย่ นแปลง ปัญหาดังกลา่ ว เกิดจาก กจิ กรรมตา่ งๆ ของมนษยุ ท์ ท่ี ำให้ก๊าซเรอื นกระจกเพม่ิ ข้นึ แนวทางป้องกนั และแก้ไขปัญหาคือ การร่วมมอื กันทั้ง ประชาชน ภาครฐั และเอกชน ในการลดปรมิ าณกา๊ ซเรอื นกระจก การอนรุ กั ษ์พลงั งาน และการรกั ษา เสรมิ สร้าง แหล่งกกั เกบ็ ก๊าซเรือนกระจก โดยการรักษาพนื้ ทปี่ ่าไม้ รวมท้งั การดำเนินงาน รว่ มกนั ในระดบั นานาชาตเิ พือ่ พทิ กั ษ์ สภาพภมู ิอากาศ โดยการจดั ประชมุ ระหวา่ งประเทศเก่ยี วกับการเปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศเพื่อกระตนุ้ ให้เหน็ ความสาํ คัญการจดั ทําเอกสารขอ้ ตกลงรวมกนั ใน ระดับนานาชาติเพือ่ รว่ มมือกันในการลดผลกระทบจากการ เปล่ียนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ 9.ผู้เรียนทำแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 10.สรปุ สาระสำคญั เพื่อใหเ้ กิดการเรยี นรู้และนำไปปฏบิ ตั ไิ ด้ และประเมนิ ผเู้ รยี นดงั นี้ ชือ่ ผเู้ รียน ธรรมชาติของผู้เรียน วิธีการเรยี นรู้ ความสนใจ สตปิ ัญญา วฒุ ภิ าวะ 1. 2. 3. 4. 5. 6. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 1.หนงั สือเรียน วชิ าพลังงาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม ของสำนักพิมพ์เอมพันธ์ 2.สอ่ื Power Point, วดี ีทัศน์ 3.กิจกรรมการเรียนการสอน

104 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 7.หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1.บนั ทกึ การสอนของผู้สอน 2.ใบเช็ครายช่ือ 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน 8.การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วิธกี าร 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกล่มุ 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกล่มุ 4 ตรวจกิจกรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมินพฤตกิ รรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ (โดยผเู้ รียน) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ และแบบฝึกปฏิบัติ 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรยี นร่วมกนั ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไม่มีช่องปรับปรงุ 2. เกณฑ์ผ่านการประเมินพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ คือ ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้ึนไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรมู้ ีเกณฑ์ผ่าน และแบบฝึกปฏบิ ัติ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมเี กณฑ์ผ่าน 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยู่ กับการประเมนิ ตามสภาพจรงิ

105 9.บนั ทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 9.1 ขอ้ สรุปหลงั การจดั การเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปญั หาที่พบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

ใบความร้ทู ี่ .....6-7.......... 106 หลักสตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ หน่วยที่ 6 รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดล้อม สอนครั้งท่ี......6-7 ชอ่ื เรื่อง เร่ือง ปัญหาจากการใช้พลังงาน: สภาวะโลกรอ้ น เวลา......4............ชม. 1. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผเู้ รียนเข้าใจผลกระทบจากการใชพ้ ลังงาน 2. ผเู้ รียนเขา้ ใจสาเหตแุ ละผลกระทบจากการเกิดภาวะโลกรอ้ น 2. สมรรถนะ 1. อธิบายผลกระทบจากการใชพ้ ลังงานได้ 2. อธิบายผลกระทบเม่ือก๊าซโอโซนถูกทำลายได้ 3. สรุปสาเหตุและผลกระทบจากการเกดิ ภาวะโลกรอ้ นได้ 4. วิเคราะหผ์ ลกระทบจากการใช้พลงั งานทมี่ ตี อ่ ส่งิ แวดล้อมได้ 5. มีความตระหนักในการใชพ้ ลังงานอย่างประหยัด 3. เน้ือหาสาระ 1. ผลกระทบจากการใชพ้ ลงั งาน สภาพความเสื่อมโทรมของสภาวะแวดล้อมส่วนใหญ่ อาจกล่าวได้ว่ามีสาเหตุมาจากการผลิตและการใช้ พลงั งานของมนุษยแ์ ทบทงั้ สนิ้ เกดิ ผลกระทบแบง่ ตามประเภทของพลังงานที่ใช้ดงั นี้ 1. ผลกระทบจากการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม การเผาไหม้ปิโตรเลียมจะก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ โดยการปล่อยไอเสียออกมาจากปล่องควันของโรงงานอุตสาหกรรม โรงจักรไฟฟ้าและจากรถยนต์ สารมลพิษ ดงั กลา่ ว คอื ก๊าซซลั เฟอร์ไอออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สารไฮโดรคารบ์ อน และ ฝุ่นละออง เขม่าตา่ ง ๆ 2. ผลกระทบจากการใช้ถ่านหินลิกไนต์ การใช้ถ่านหินลิกไนต์มาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าหรือ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ถึงแม้จะได้ประโยชนอ์ ย่างมากมาย แต่การพัฒนาถ่านหินมาใช้ประโยชน์จะกอ่ ให้เกิดมลภาวะ ตอ่ สิง่ แวดลอ้ มหลายด้าน ทั้งจากการทำเหมืองและการเผาไหม้เน่ืองจากสมบัติและองค์ประกอบของถ่านหนิ เอง ทำ ใหเ้ กดิ นำ้ เสยี จากบ่อเหมอื ง น้ำกระด้าง มีสารแขวนลอยและซัลเฟตสูงมาก ทำให้เกิดฝนุ่ ละอองทั้งของแขวนลอย โลหะหนักลอยอยู่ทั่วไปรอบ ๆ บริเวณเหมือง เมื่อขุดหน้าดินทิ้งไปทำให้สิ่งมีชีวิตเสียสมดุลปลูกพืชไม่ได้ มีการ ทำลายปา่ ไม้ เสยี ดุลธรรมชาติ ต้องอพยพราษฏร เพราะตอ้ งใช้บริเวณกวา้ งในการเปิดหนา้ เหมือง เกดิ กา๊ ซพษิ จาก การเผาไหม้ถ่านหิน 3. ผลกระทบจากการใช้พลังน้ำผลิตกระแสไฟฟ้า การใช้พลังน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจัดเป็นพลังงาน บริสทุ ธไ์ิ ม่ก่อใหเ้ กิดมลพิษทางอากาศ เหมอื นกบั การใช้พลงั งานจากการเผาไหม้เช้ือเพลงิ และมีตน้ ทุนในการผลิตต่ำ อยา่ งไรกต็ ามการพัฒนาพลังนำ้ โดยการสร้างเขอื่ นกกั เก็บนำ้ จะมีปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มทคี่ วรคำนึงเป็นอย่างมากในเรอ่ื ง ของการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้เพ่ือใช้เป็นอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน ราษฎรในพื้นที่น้ำท่วมต้องอพยพย้ายที่ตั้งถ่ินฐานใหม่ สัตว์ปา่ สูญเสียท่อี ยอู่ าศัยหรืออาจสูญพันธ์ุไป นอกจากนั้นแรธ่ าตตุ ่าง ๆ ที่มีอยใู่ นพน้ื ที่อาจถูกท้งิ ใหจ้ นอยใู่ ตน้ ำ้ โดย

107 ไม่มีโอกาสนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ดังน้ันจึงมขี ้อแม้ว่าจะทำการพัฒนาอย่างไร ผลกระทบจึงเกิดขึ้นน้อยที่สุดและให้ คุม้ คา่ กบั สิง่ ท่สี ูญเสยี ไป 4. ผลกระทบจาการใช้กังหันลม ถึงแม้การใช้พลังงานลมจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะร้ายแรงใด ๆ ต่อ สิ่งแวดล้อม เนื่องจากพลังงานลมค่อนข้างเป็นพลังงานบริสุทธิ์ แต่ในการพัฒนาแหล่งพลังงานชนิดนี้มาใช้เป็น พลังงานทดแทนน้ัน ควรได้คำนึงถึงผลกระทบทอี่ าจเกิดขน้ึ ได้ คอื การใชก้ ังหันขนาดใหญอ่ าจบดบงั สว่ น ต่าง ๆ ของพื้นทีไ่ ป เม่ือใบพดั ขนาดใหญ่ทำงานจะเกดิ เสียงดังมารบกวนผู้อย่ใู กลเ้ คยี ง การรบกวนคลื่นวทิ ยุ และการติดต้ัง กังหนั ลมขนาดใหญอ่ าจทำให้สงิ่ มีชีวิตใกล้เคียงอพยพไปอย่ทู ีอ่ นื่ 5. ผลกระทบจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพ ถึงแม้ความร้อนใต้พิภพจะเป็นพลังงานได้เปล่าจาก ธรรมชาติ สามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำ แต่อย่างไรก็ตามการนำพลังงานชนิดนี้มาใช้งานอาจ กอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อม สารเคมีอนั ตรายท่ลี ะลายปนอยู่อาจปนเปอื้ นระบบนำ้ บาดาล หรอื นำ้ ผิวดิน เชน่ สารหนู ปรอท เป็นต้น มีก๊าซอันตราย เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และก๊าซอื่นๆ ระเหยออกมาด้วย ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อระบบหายใจ มไี อนำ้ รอ้ นทใ่ี ช้ผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวนมาก จะทำให้เกิดความร้อนตกค้างในอากาศส่ง ผลกระทบต่อระบบนิเวศที่อยู่ใกล้เคียง หากเป็นการตั้งโรงฟ้าขนาดใหญ่อาจะก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของ แผ่นดินได้ 6. ผลกระทบจากการใช้พลังงานนวิ เคลยี ร์ รงั สีทีเ่ กดิ จากปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร์อาจรวั่ ไหลซงึ่ เปน็ อันตรายมาก โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงถา้ เกิดการระเบิดฝนุ่ รังสีจะฟงุ้ กระจาย ทำอนั ตรายต่อสง่ิ มชี วี ิตในทนั ทีทันใด และเกิดผลกระทบ ระยะยาว ยิง่ ไปกวา่ น้นั น้ำเสียจากการระบายความรอ้ นท่ีปล่อยออกส่แู หลง่ น้ำกจ็ ะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบ นเิ วศตามมา 2. ผลกระทบเมื่อกา๊ ซโอโซนถกู ทำลาย ดวงอาทิตย์ศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล เป็นต้นกำเนิดของพลังงานอันมหาศาลได้ส่งรังสีแมม่เหล็ก ไฟฟา้ มายงั โลก แต่เนือ่ งจากมบี รรยากาศหอ่ หุ้มโลกอยู่หลายชัน้ และมกี ลุ่มเมฆและไอนำ้ รังสดี วงอาทิตยป์ ระมาณ คร่งึ หนงึ่ เทา่ นั้นท่จี ะผา่ นบรรยากาศลงมาถงึ พ้นื ผวิ โลกได้ การท่ีบรรยากาศห่อหุม้ โลกอยู่หลายชน้ั น้นั มีประโยชน์ต่อ การดำรงชพี ของสิง่ ท่ีมชี วี ิตเปน็ อันมาก เชน่ บรรยากาศชั้นช่วยกรองรงั สีหลายอย่างท่ีเปน็ อนั ตราย เชน่ รงั สเี อกซ์ และรังสีอลั ตราไวโอเลต สว่ นบรรยากาศช้ันล่างจะดูดซมึ รงั สอี ินฟราเรดซึ่งโลกสะท้อนกลับ ทำใหโ้ ลกเก็บความร้อน ไวอ้ ยู่ในระดบั ที่เหมาะสมตอ่ การดำรงชวี ติ ของคน สัตว์ และพชื 2.1 สาเหตกุ ารเกดิ รูโอโซน โอโซน( O3) เป็นก๊าซทเี่ กดิ จากอะตอมของออกซเิ จน 3 อะตอมรวมกนั ซง่ึ ตามปกติ โอโซนจะมปี ริมาณเพียงเลก็ นอ้ ยในบรรยากาศช้ันลา่ ง แตจ่ ะมหี นาแน่นทส่ี ดุ ในบรรยากาศชั้นบนหรอื สตราโตส เฟยี ร์ ทคี่ วามสูง 20 - 25 กโิ ลเมตร โอโซนมคี ุณสมบตั พิ เิ ศษคอื ตัวมันเองเกดิ จากแสงอัลตราไวโอเลตซี ซึง่ มีคลน่ื ส้นั และอนั ตรายทสี่ ุด แตเ่ มื่อมนั เกดิ ขึน้ แล้วกลบั ดูดซบั รังสีน้ไี ว้จนหมดสนิ้ ไมใ่ หต้ กสู่ผวิ โลกแมแ้ ต่น้อย และยงั ดูด ซับแสงอัลตราไวโอเลตบี ที่มคี ลนื่ ยาวกวา่ และอนั ตรายนอ้ ยกว่าไดถ้ งึ รอ้ ยละ 70-90 ปล่อยใหร้ อดลงสูผ่ ิวโลกไดเ้ พยี ง รอ้ ยละ 10-30 แตป่ ริมาณทต่ี กสู่ผวิ โลกขนาดนี้กย็ งั เปน็ อันตรายต่อสขุ ภาพมนษุ ย์ เช่น ทำให้ผวิ เกรียม

108 ผวิ หนังแกก่ ่อนวัย และเกดิ มะเรง็ ผิวหนงั ทำลายเน้ือเยื่อตา เป็นตน้ ดงั น้ัน ถ้าปริมาณโอโซนในบรรยากาศลดลงก็ จะยิ่งมอี นั ตรายมากขน้ึ และถา้ ไมม่ ีโอโซนในชน้ั บรรยากาศแลว้ สิง่ มชี วี ิตบนแผ่นดินจะถูกเผาผลาญทำลายไปจน หมดส้นิ รวมทัง้ ชวี ติ มนุษยด์ ว้ ย สำหรับแสงอลั ตราไวโอเลตเอซง่ึ เป็นคลื่นยาวและไมเ่ ปน็ อันตรายตอ่ สิ่งมชี ีวิต และเปน็ ประโยชน์ต่อมนุษย์ในการช่วยสรา้ งวิตามนิ ดี โอโซนจะปลอ่ ยให้ผา่ นมายงั ผิวโลกไดเ้ กือบท้งั หมด นอกจากนโี้ อโซนยงั มบี ทบาทชว่ ยควบคุมอุณหภมู ิโลก ในฐานะท่ีเป็นกา๊ ซเรอื นกระจก โอโซนใน บรรยากาศช้ันบน ทำให้บรรยากาศในชั้นน้ันกลายเป็นเขตอุ่น ซ่ึงจะเปน็ ตวั ป้องกันไมใ่ หค้ วามร้อนจากโลกระบาย ออกสอู่ วกาศ สำหรบั โอโซนในบรรยากาศช้นั ล่าง หรอื โทรโพสเฟียร์นั้น ในธรรมชาตมิ ีปรมิ าณไมม่ าก คอื ประมาณ 10 สว่ นในพนั ลา้ น จะช่วยดูดซับรังสคี วามรอ้ นท่ีสะท้อนจากพน้ื โลกช่วยใหโ้ ลกอบอ่นุ ไมห่ นาวเยน็ ในเวลา กลางคนื แต่สถานการณ์ปัจจุบนั กค็ ือ ขณะทโี่ อโซนในบรรยากาศชัน้ สูงลดลง เนอื่ งจากถูกทำลายโดยสารซเี อฟ ซีและสารมลพิษอ่นื ๆ โอโซนชัน้ ล่างกลบั เพม่ิ จำนวนมากขึน้ ทำให้โลกรอ้ น และเกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจกขึน้ สารซีเอฟซี หรือ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน มนษุ ยไ์ ด้นำมาใช้ในอตุ สาหกรรม เชน่ การผลติ โฟม สารทีใ่ ช้ในอปุ กรณ์ทำความเย็น ( ในตู้เย็น เคร่อื งปรบั อากาศ กระปอ๋ งสเปรย์ ฯลฯ และสารจำพวก ฟรอี อน) สารซเี อฟซเี ป็นสารท่ีไม่สลายตวั งา่ ย ๆ ดงั น้นั สาร CFC จะลอยข้ึนสู่บรรยากาศช้นั สตราโตสเฟยี ร์ และกระทบกบั พลังรงั สีอลั ตราไวโอเลตท่ีรนุ แรง สารซีเอฟซีจะแตกตวั ปลอ่ ยอะตอมคลอรนี อิสระออกมา อะตอมคลอรีน(Cl) นี้ พรอ้ มจะทำปฏิกริ ิยาเมื่อกระทบกบั โอโซน (O3) ท่ามกลางแสงแดด อะตอมคลอรนี จะดึงออกซิเจน (O) จาก โอโซนออกมา 1 อะตอม กลายเป็นคลอรนี มอนอกไซด์ (ClO) และ โมเลกุลออกซเิ จน (O2) 1 โมเลกลุ ดงั สมการ Cl + O3 ------------------> ClO + O2 ต่อมา คลอรีนมอนอกไซด์ (ClO) จะทำปฏกิ ิริยากบั อะตอมออกซเิ จนอสิ ระ (O) เกิด คลอรนี (Cl) และโมเลกุลของออกซิเจน (O2) ขึ้น คลอรีนตวั เดิมนี้ จะหลดุ ออกมาทำลายโอโซนตอ่ ไปอกี ดงั สมการ O + ClO ------------------> Cl + O2 คลอรนี จงึ เปน็ ตัวเรง่ ปฏิกิริยาทำใหโ้ อโซนแตกตัว โดยตวั มันเองไมเ่ ปลี่ยนแปลง ดงั นนั้ อะตอมของคลอรีนเพียงอะตอมเดยี วสามารถทำลายโอโซนไดถ้ ึงพนั ๆ คร้งั แต่คลอรนี มอนอกไซดส์ ลายตัวไดง้ า่ ยใน บรรยากาศ จงึ เปน็ ข้อดีทไี่ มท่ ำใหบ้ รรยากาศเสียหายมากเกนิ ไป ผลกระทบเม่อื กา๊ ซโอโซนถูกทำลาย ผลกระทบเม่ือก๊าซโอโซนถกู ทำลาย จะก่อใหเ้ กิดผลกระทบต่อเน่ืองคือ พลังงานความร้อนบนพ้ืนโลก มากขึ้น และรังสีอัลตราไวโอเลตในช่วงคลื่นซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งที่มีชีวิตผ่านลงมาถึงพื้นโลกมากขึ้น จะเกิดผล กระทบได้หลายอย่าง ดงั น้ี 1. ระดบั น้ำทะเลอาจจะข้นึ สงู อีก 40-120 เซนติเมตร ซง่ึ จะมีผลต่อพน้ื ทช่ี ายทะเล และกจิ กรรม ตา่ ง ๆ ในบริเวณนั้น เช่น การเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์ในป่าชายเลน การท่องเที่ยว และการที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นก็ เพราะน้ำทะเลขยายตัวเม่อื ไดร้ ับความรอ้ น และนำ้ แข็งในแถบข้วั โลกละลายเป็นน้ำ 2. ทำใหภ้ มู อิ ากาศเกิดความปรวนแปร จากเหตุการณ์ที่ผา่ นมาพบวา่ พายไุ ซโคลน ซึ่งเคยเกิดขนึ้ 3 คร้ัง ในคาบ 10 ปี คือ ตงั้ แต่ พ.ศ. 2483 และไดเ้ พม่ิ เป็น 15 ครงั้ ใน พ.ศ. 2523 ดงั นน้ั จงึ เกรงว่าถ้าอุณหภูมิของ โลกเพมิ่ ขนึ้ จะทำให้ลมมรสุมในคาบสมุทรเอเซยี แหซฟิ ิกเพมิ่ กำลังแรงมากขึน้ และจะพดั เลยขนึ้ เหนือไป ทำใหฝ้ นไป

109 3. ตกในท้องถิ่นกันดาร และในทางตรงกันข้ามจะทำให้เกิดความแห้งแล้งในที่ที่มีฝนตกชุก ตลอดจนจะ สง่ ผลใหเ้ กิดน้ำท่วมฉับพลันข้ึนในบางแห่ง เกิดนำ้ เซาะดินพงั ทลายลง น้ำขุน่ ตามทางนำ้ ทำให้แหลง่ นำ้ ต้ืนเขนิ ด้วย 4. แหล่งนำ้ ใชใ้ นการชลประทานจะผันแปรไปด้วย ปริมาณน้ำฝนจะเพิม่ ขึ้นร้อยละ 7-15 ทัว่ โลก แต่มิได้ กระจายไปทุกแห่งอย่างทั่วถึง ต้องมีการจัดสรรน้ำเพื่อการชลประทานเป็นพิเศษกว่าเดิมด้วยต้องพัฒนาและ ปรับปรงุ เกษตรกรรม ให้เหมาะสมกบั การเปลี่ยนแปลงทาง สภาพภมู ิอากาศและน้ำท่ีใช้ในการเพาะปลูก ซง่ึ อาจจะ ต้องแสวงหาพืชพันธุ์ใหม่ที่เหมาะสมกับสภาพของสิ่งแวดล้อม มีการวางแผนการเพาะปลูกและการจำหน่ายที่มี คณุ ภาพ มฉิ ะนั้นแล้วจะสง่ ผลกระทบตอ่ สภาพสงั คม เศรษฐกิจและการเมืองในสภาวะปจั จบุ นั อยา่ งหลกี เลีย่ งไม่ได้ 5. แหล่งพลังงานได้รับผลกระทบเนื่องจากการแปรปรวนของภูมิอากาศ เช่น การเกิดลมมรสุมต่าง ๆ อย่างรุนแรง เคยทำให้เรือขุดเจาะน้ำมันควำ่ เกิดการเสียหายตอ่ ชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนขดั ขวางการแสวงหา แหล่งพลังงานใหม่ ๆ การผลิตไฟฟ้าดว้ ยพลังน้ำ พลังลม และพลังนิวเคลยี ร์ ก็อยู่ในขา่ ยที่จะได้รับผลกระทบจาก ความแปรปรวนทางภูมิอากาศดว้ ยเช่นกนั 6. การรับรังสีอัลตราไวโอเลตเพิ่มขึ้นทำให้ แพลงก์ตอน สาหร่าย ไดอะตอม ยูกลีนอยด์เกิดการกลาย พนั ธุไ์ ด้ ส่วนพืชช้นั สูงจะมกี ารสงั เคราะหแ์ สงลดลง เพราะเซลล์คลมุ รอบปากใบได้รบั อนั ตรายจากแสงจะปิดปากใบ จนวัตถุดิบไม่สามารถผ่านเข้าไปในใบได้ เกิดการกลายพันธุ์หรือเกิดโรคมะเร็งขึ้นในสัตว์ ถ้าได้รับรังสี อัลตราไวโอเลตต่อเน่ืองในระยะยาว 7. สำหรับมนุษยน์ ั้นถ้าได้รบั รังสีอัลตราไวโอเลตมากไป ทำให้ผิวกรา้ นหนาเพราะเซลล์แบง่ ตัวเพิ่มจำนวน มากขึ้น ผิวจะมีรอยย่นสีคล้ำหรือจาง ทำให้ดูแก่เกินวัย ในที่สุดอาจเกิดมะเร็วที่ผิวหนัง สำหรับดวงตาที่รับ แสงแดดกล้าเกดิ ไปในระยะยาวจะเกิดมะเร็งที่เยื่อบุชน้ั นอกของนยั นต์ าหรอื เปน็ ต้อกระจกได้ 3. สาเหตุและผลกระทบจากการเกดิ ภาวะโลกรอ้ น ปฏิกริ ยิ าเรอื นกระจก (1) สาเหตกุ ารเกิดปฏิกริ ยิ าเรือนกระจก เรอื นกระจก ได้แก่ เรือนท่ีปดิ ลอ้ มดว้ ยกระจก หรอื วัสดอุ ื่น ซ่งึ มีผลในการเกบ็ กักความรอ้ น ปรากฏการณน์ เี้ กดิ ขน้ึ จากคณุ สมบตั พิ เิ ศษของกระจกที่ยอมให้ความร้อนจากดวงอาทติ ยผ์ ่านเขา้ มา โดยกระจกคุณภาพดจี ะให้ความร้อนผา่ นเข้ามาได้ถงึ ร้อยละ 90 แตเ่ มื่อรงั สีความรอ้ นภายในเรอื นกระจกจะผ่านออก กระจกกส็ ามารถกน้ั ความร้อนไว้ไดถ้ ึงรอ้ ยละ 90 เชน่ เดยี วกัน ทำใหอ้ ณุ หภมู ิภายในเรอื นกระจกสูงขึน้ กวา่ อณุ หภูมิ ทีอ่ ย่ภู ายนอก ซ่งึ เปน็ ลกั ษณะเดียวกับ ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Green house effect) นนั่ คอื พลงั งานจาก ดวงอาทติ ย์ทส่ี อ่ งมายงั โลก ส่วนใหญแ่ ล้วจะอยูใ่ นรปู ของคลืน่ แสง แสงแดดซ่งึ เปน็ รังสคี ล่ืนส้ัน จะผา่ นเขา้ มาในชั้น บรรยากาศของโลกได้งา่ ย พอ ๆ กับแสงแดดท่ีส่องผ่านกระจกของเรอื นกระจก พลังงานจากแสงอาทติ ย์ทำให้โลก อบอุน่ แต่เมือ่ แสงกระทบกับผวิ โลกแลว้ จะสะท้อนรงั สีความร้อนทมี่ คี วามยาวคลนื่ มากกว่าออกไป แตค่ วามร้อน บางส่วน ไม่สามารถทะลุผา่ นชนั้ บรรยากาศออกไปได้ เนอื่ งจากกา๊ ซท่ีทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกจะเปน็ ตัว สกัดกน้ั ความรอ้ น โดยการดูดซบั ความรอ้ นนไ้ี ว้ไมใ่ ห้กระจายออกสู่อวกาศ อุณหภูมิภายในโลกจงึ สูงข้นึ คล้ายในเรอื น กระจก จนกระทง่ั จุดหนึ่ง ความร้อนทีโ่ ลกไดร้ ับกับทสี่ ะท้อนสอู่ วกาศเทา่ กัน

110 ก๊าซเรือนกระจกท่ีสำคัญ ได้แก่ กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ (เป็นสาเหตทุ ำใหเ้ กิดปรากฏการณเ์ รือนกระจก ถึงร้อยละ 50) กา๊ ซมเี ทน (มสี ่วนทำใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก ร้อยละ 16) คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกร้อยละ 8) ทีเ่ หลือ เปน็ ก๊าซ ไนตรัสออกไซด์ ก๊าซโอโซน และอนื่ ๆ เป็นที่ นา่ สงั เกตว่า ประเทศอุตสาหกรรมจะเปน็ ตัวการสำคัญในการเพมิ่ ปริมาณกา๊ ซเรอื นกระจกในบรรยากาศ (2) ผลกระทบจากปรากฏการณเ์ รอื นกระจก เม่ือเกดิ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกย่อมส่งผลกระทบตามมาก คือ ผลกระทบต่อภมู อิ ากาศ ในกรณที ่ีบรรยากาศแถบขวั้ โลกรอ้ นข้นึ ความแตกตา่ งระหวา่ งอุณหภูมิบรเิ วณเสน้ ศนู ย์ สตู รกบั ขั้วโลกยอ่ มลดนอ้ ยลง ส่งผลกระทบดังต่อไปน้ี 1) ส่งผลต่อการเกิดลมและฝนภาวะความกดอากาศต่ำอาจเพ่ิมขึ้น ทำใหม้ ีลมมรสุมพดั แรงและเลยขนึ้ ไปทางเหนือ ซงึ่ อาจช่วยบรรเทาความแห้งแลง้ ในบางพ้นื ท่ี แต่ในส่วนที่ไดร้ ับนำ้ ฝนมากเกินไปอาจ เกดิ อุทกภัยได้ 2) ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ เน่อื งจากนำ้ แข็งในข้ัวโลกละลาย จงึ กอ่ ใหเ้ กิดนำ้ ทะเลหนุนสงู เกิดความแหง้ แล้งในบางพน้ื ท่ี และเกดิ แหล่งน้ำใหม่ และเนอื่ งจากมกี ๊าซคาร์บอนไดออกไซดม์ ากขึน้ ซ่ึงจะเปน็ ตัวเร่งให้มกี ารสังเคราะห์แสงมากข้ึน เรง่ การเจริญเตบิ โตของพชื มากก็จะใชน้ ้ำมากขึ้น ทำใหน้ ้ำขาดแคลนได้ 3) ผลกระทบตอ่ แหลง่ พลงั งาน การขุดเจาะน้ำมนั ในทะเลและมหาสมุทรขนึ้ อยกู่ บั สภาพทางภูมอิ ากาศ เมื่อมีความรุนแรงของพายมุ ากขึ้น เกิดวาตภยั ยอ่ มได้รับผลกระทบตอ่ การขดุ เจาะหา พลังงานด้วย 4) ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของมนษุ ย์ อากาศท่รี ้อนจดั และความชื้นสงู เป็นส่งิ บน่ั ทอนสมรรถภาพในการทำงานของมนุษย์ มคี วามกดดันต่อสุขภาพ ร่างกายและจติ ใจ ง่ายต่อการแพรเ่ ช้อื โรคตา่ ง ๆ 4. ปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม สภาพส่ิงแวดลอ้ มทีเ่ ป็นปัญหาในปจั จุบันมีมากมายหลายอย่าง อาทิ นำ้ ในแม่น้ำลำคลองที่เน่าเสีย น้ำขุ่น ข้นด้วยโคลนตมและขยะมากมายจะใช้อาบหรอื ใช้ด่มื กินเหมอื นแต่ก่อนนน้ั ไมไ่ ด้ ดนิ ที่ใช้ปลูกพชื เสีย เพาะปลูกพืชก็ ไมเ่ จริญเตบิ โต อากาศท่ีหายใจในชุมชนที่แออัด กลิน่ เหมน็ ของขยะทีม่ นุษย์นำมากองสมุ กันไว้ กลิ่นเหม็นจากควัน รถยนต์และจักรยายนต์ นอกจานั้นก็มีเขม่าและควันไฟจากปล่องของโรงงานอตุ สาหกรรมอีกมากมาย มนุษย์เรา ชว่ ยกันสร้างมลพิษข้ึนมา จนกระทง่ั ทำลายส่งิ แวดลอ้ มตามธรรมชาตใิ หเ้ สียไป สาเหตุของปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของมนษุ ยน์ ้นั เอง เช่น 1. มนษุ ยต์ ดั ไม้ทำลายปา่ กันมากขึ้น 2. มนษุ ยเ์ ผาเชือ้ เพลิงตามบ้านเรือน และตามโรงงานอตุ สาหกรรมมากข้ึน 3. มนุษยผ์ ลติ สารสังเคราะหบ์ างอยา่ งทไี่ ม่สลายตวั และสลายตัวยากมากขึน้ เช่น พลาสตกิ โฟม จงึ ทำให้ เกิดขยะเหล่านี้มากขึ้น ส่วนสารบางอย่างที่เป็นก๊าซ เช่น ฟรีออน ซึ่งใช้ช่วยในการฉีดสเปรย์และใช้ในเครื่องทำ ความเย็น ก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในอากาศฟุ้งกระจายทั่วไป ซึ่งจะไปทำลายโอโซนในบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้ และมีผลกระทบทำให้อณุ หภูมขิ องโลกสงู ข้ึน

111 4. มนษุ ย์สร้างผลติ ภัณฑ์ตา่ ง ๆ ขน้ึ ใชแ้ ทนวตั ถุดิบทไ่ี ด้จากธรรมชาติ เชน่ ใชไ้ ฟเบอร์กลาสแทนไม้ ใช้ฟรี ออนแทนแอนโมเนยี เหลวในตู้เย็น และใชผ้ งซักฟอกแทนสบู่ เป็นตน้ เมือ่ ใชแ้ ลว้ มีส่ิงตกค้างเป็นมลพิษอย่ใู นอากาศ ในน้ำ และในดนิ ทำให้เกดิ ผลเสียหายตอ่ พืช สตั วแ์ ละมนุษยด์ ว้ ยกันเองในท่สี ุด 5. มนษุ ย์สรา้ งอุปกรณเ์ คร่อื งใช้ไฟฟ้าบางชนิดทีใ่ ห้ความร้อน แสง เสียง ทท่ี ำให้เกิดอนั ตรายต่อมนุษย์ได้ มากขน้ึ มนษุ ยส์ รา้ งบายพาหนะที่ใช้ในการเดนิ ทาง เชน่ จกั รยานยนต์ รถยนต์ และยานอวกาศ เพอื่ ออกไปสำรวจ อวกาศนอกโลกมากขน้ึ สภาวะท่เี ป็นพิษและทเ่ี ปน็ อันตรายต่อมนษุ ย์ 1. อากาศทีห่ ายใจไม่บริสุทธ์ มเี มา่ และควนั ปะปนมา ตลอดจนมีกลิน่ เหมน็ และมีกา๊ ซท่ีเป็นอันตรายต่อ ระบบหายใจของมนุษย์ 2. น้ำแข็งข้ัวโลกละลาย ทำใหน้ ำ้ ทะเลมรี ะดบั สูงและไหลเข้ามาปนกับน้ำจืดในแม่น้ำลำคลองมากข้ึน น้ำ ท่วมไร่นา บ้านเรอื น ถนนเสยี หายโดยฉบั พลนั 3. ฝนเปน็ กรดทำลายพืชพันธธ์ุ ัญญาหาร ทำลายดิน ทำให้ปลกู พชื ไมง่ อกงาม 4. โลกจะรอ้ นขนึ้ ฤดูกาลจะแปรปรวน 5. ช้นั โอโซนถกู ทำลายและไมช่ ว่ ยกรองรงั สอี ันตราย ทำใหต้ าเป็นต้อ และผวิ หนงั เป็นมะเร็ง สารมลพิษมบี ทบาทต่อความร้อนของโลก 1. ทำลายโอโซนในชั้นสตราโทสเฟียร์ จึงทำให้โลกรับพลังงานความร้อนโดยตรงจากดวงอาทิตย์มากข้ึน โอโซนถกู ทำลายได้ด้วยสารคลอโรฟลูออโรคารบ์ อน หรือท่ีเรียกว่า ฟรีออน ส่วนใหญ่ใช้ในเครอ่ื งทำความเย็นและ เคร่อื งปรบั อากาศ นอกจากน้นั ยงั ใช้เปน็ กา๊ ซขบั ดน้ ในกระปอ๋ งฉีดสเปรย์ต่าง ๆ หรอื ใชเ้ ปา่ ให้เกิดฟองในเนื้อของโฟม ทใี่ ชท้ ำกลอ่ งบรรจุอาหารต่าง ๆ เน่ืองจากสารเหล่านมี้ ีอายุอยู่ในบรรยากาศได้ 75-110 ปี จงึ ทำลายก๊าซโอโซนได้ ตอ่ เนอื่ งเป็นระยะเวลาอนั นาน ดังทไ่ี ด้พบหลักฐานชอ่ งโหว่ในชน้ั โอโซนขยายตัวกว้างขึ้นทุกปี 2. มีมลพิษในบรรยากาศช้ันล่างทห่ี ่อหุ้มผิวโลกมากข้ึนกว่าปกติ สารมลพิษเหลา่ น้ีจะเก็บกักรังสีความร้อน ไวม้ ากกว่าปกติ จึงทำใหโ้ ลกมีอุณหภูมิสงู ขนึ้ การเกดิ มลพษิ ในส่งิ แวดลอ้ ม 1. มลพิษที่เปน็ กา๊ ซของเหลวและของแข็ง จะเกดิ ขนึ้ จากธรรมชาตจิ ากการเผาไหมเ้ ชื้อเพลิง จากการตัดไม้ ทำลายปา่ และจากการปนเปอื้ นแทรกซมึ ของสารสงั เคราะห์บางชนดิ ท่ีมนษุ ยเ์ ราผลติ ใชก้ ัน 2. มลพิษทเ่ี ปน็ พลังงาน เช่น พลังงานความรอ้ นท่ีทำให้โลกมีอุณหภูมิสงู ขึ้นเน่อื งมาจากการตัดไม้ทำลาย ป่า การทำลายโอโซนในบรรยากาศที่หอ่ หุ้มโลกไว้ การสรา้ งยานพาหนะท่ีมกี ารเผาไหม้สูง หรอื มีการเผาไหม้ท่ีไม่ สมบรู ณ์ เปน็ ต้น สว่ นมลพษิ ที่เป็นพลังงานชนดิ อื่น เชน่ แสง เสยี ง และแมเ่ หล็กไฟฟา้ นั้น กเ็ กิดจากการทม่ี นษุ ย์ ผลติ สินค้าและผลติ ภัณฑใ์ หม่ ๆ ท่ไี ปทำลายประสาทหู ตา และประสาทสัมผัสอ่ืนของมนุษยม์ ากขน้ึ ปัญหาดา้ นพลงั งานท่สี ำคัญในปจั จบุ ันท่ีมีผลกระทบของพลงั งานต่อการดำรงชวี ิต ดังตอ่ ไปนี้

112 1. พลังงานที่มีอยู่เร่ิมลดปรมิ าณและจะหมดสิ้นไปในระยะเวลาไม่นาน เช่น ปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ เปน็ ตน้ 2. มีการใช้พลังงานที่ไม่เหมาะสมและมีอันตรายในการผลิตหรือใชพ้ ลังงาน เช่น ใช้น้ำมันค่าออกเทน สูง เติมในรถยนต์ท่สี ามารถใช้คา่ ออกเทนต่ำได้ เปน็ ต้น 3. ใชพ้ ลงั งานอย่างส้นิ เปลอื ง ไม่คำนงึ ถงึ ผลกระทบทีจ่ ะเกิดขึ้นจากการใช้พลังงานน้นั ๆ เช่น เปดิ ไฟฟ้าทิ้ง ไว้ ใชร้ ถโดยไมค่ ำนึงถึงการบรโิ ภคนำ้ มนั เป็นต้น 4. เร่งพัฒนาศักยภาพด้านอุตสาหกรรมของประเทศ ส่งผลให้การใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้ประสิทธภิ าพ มีการใช้พลังงานในปริมาณมากเกินที่ประเทศมี ต้องนำเข้าจากต่างประเทศส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ต่อไป 5. เกิดขยะที่เหลือจากการผลิตหรือใช้งานพลังงาน ในระบบค่อนข้างมากส่งผลให้เกิดมลภาวะต่อ สภาพแวดลอ้ ม ทั้งที่ส่งิ ที่เหลือจากการผลติ หรอื ใช้งานพลงั งานดงั กลา่ วสามารถนำมาใชไ้ ด้อกี ก็ตาม 6. เกดิ ความเสียหายต่อระบบและสิ่งแวดลอ้ มจากการผลิตหรอื ใชพ้ ลงั งานค่อนขา้ งมาก ในปัจจุบัน 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ข้อสอบประจำหน่วยท่ี 6 เรอ่ื ง เร่อื ง ปัญหาจากการใชพ้ ลงั งาน: สภาวะโลกรอ้ น วิชา พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม รหสั 20001-1002 ระดบั ปวช. คำชแ้ี จง: 1 ข้อสอบมีจำนวน 10 ขอ้ 2. ใหน้ กั เรียนเขยี นเครอ่ื งหมาย X ข้อทเ่ี หน็ ว่าถกู ตอ้ งทส่ี ดุ เพียงขอ้ เดียวลงในกระดาษคำตอบ

113 1. การตั้งโรงไฟฟา้ ขนาดใหญจ่ ากพลังงานชนดิ ใดท่ี Cl + O3 ClO + O2 อาจก่อใหเ้ กดิ ปญั หาการทรุดตวั ของแผน่ ดินได้ ก. พลงั งานจากกงั หนั ลม O + ClO Cl + O2 ข. พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ค. พลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ ก. คลอรนี เป็นตวั เร่งปฏิกิรยิ า ทำให้โอโซนแตกตวั ง. พลังงานถ่านหนิ ข. คลอรนี ชว่ ยเพ่ิมออกซเิ จนในอากาศ 2. พลงั งานชนิดใด ถา้ เกดิ การรัว่ ไหลแล้วจะเปน็ อนั ตรายมากต่อส่ิงมชี วี ติ ในทนั ทที นั ใด และเกดิ ผล ค. คลอรนี สามารถรวมกับก๊าซใดก็ได้ ระยะยาว ก. พลงั งานจากกงั หันลม ง. คลอรนี เปล่ียนแปลงเปน็ สารอน่ื เสมอ ๆ ข. พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ค. พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ 6. ปัญหาสงิ่ แวดล้อมระดบั โลกในปจั จุบนั ทสี่ ่งผล ง. พลงั งานถ่านหนิ กระทบกวา้ งขวางไปทั่วโลก คือข้อใด 3. พลงั งานทีไ่ มก่ อ่ มลพษิ ร้ายแรงแต่อาจมเี สียงรบกวน หรือ รบกวนคลนื่ วทิ ยุคือพลงั งานใด ก. ดนิ เสอื่ มสภาพ ก. พลังงานจากกงั หันลม ข. บรรยากาศชน้ั โอโซนถกู ทำลาย ข. พลังงานนวิ เคลยี ร์ ค. พลังงานความร้อนใต้พิภพ ค. ภาวะนำ้ ทว่ ม ง. พลงั งานถ่านหิน 4. สารท่ีใชใ้ นเคร่อื งทำความเย็น เปน็ อนั ตรายตอ่ รู ง. มลพิษทางนำ้ โอโซน คอื สารอะไร ก. คารบ์ อนมอนอกไซด์ 7. การเกดิ รโู อโซน ทำให้รงั สที ี่เป็นอนั ตรายตอ่ มนษุ ย์ ข. ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ ค. ไนตรัสออกไซด์ ส่องมายังโลกในปรมิ าณที่มากข้นึ คือรงั สีอะไร ง. คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน จากสมการต่อไปนี้ เป็นปฏิกิริยาท่เี กิดข้นึ ในช้ัน ก. รังสอี ลั ตราไวโอเลต เอ โอโซน หมายความวา่ อยา่ งไร ตอบข้อ5 ข. รังสอี ัลตราไวโอเลต บี ค. รังสอี นิ ฟราเรด เอ ง. รงั สีอินฟราเรด บี 8. การท่ีกา๊ ซโอโซนถกู ทำลาย ให้ส่ิงมชี ีวิตบนโลกได้รับ รงั สีอลั ตราไวโอเลตเพ่มิ ขน้ึ ส่งผลตอ่ สงิ่ มชี ีวติ อยา่ งไร ก. พชื จะสงั เคราะห์แสงลดลงเพราะเซลลค์ ลุมรอบปาก ใบได้รับอนั ตรายจากแสงจะปิดปากใบ ข. พชื จะสังเคราะหแ์ สงมากขึ้น เพราะแสงมีความ เขม้ ขน้ สงู ข้ึน ค. พชื จะออกดอกออกผลมากข้ึนแตจ่ ะกลายพนั ธุ์ ง. พืชใหผ้ ลผลิตมากขึน้ เนื่องจากกระแสน้ำเปลยี่ นทศิ

114 9. การเกิดภาวะเรือนกระจก เกดิ ขน้ึ เพราะเหตุใด 13. ข้อใดเป็นขยะอันตราย ก. แสงไม่สามารถสอ่ งเข้ามายังโลกได้ เพราะเหมอื น ก. เศษแกว้ ถว้ ยชาม มกี ระจกก้ันไว้ ข. เศษโลหะ เศษยาง ข. แสงทีส่ ่องมายังโลกได้ แต่ความร้อนกลับออกไป ไมไ่ ด้ ทำให้โลกร้อนข้นึ ค. เศษอาหาร ที่มแี บคทีเรียเนา่ เหมน็ ค. รังสที ส่ี ่องมายังโลกเป็นรังสีคล่นื ยาว แตเ่ มอื่ ง. ถา่ นไฟฉาย หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ กระทบกบั โลกจงึ เปล่ียนเป็นรังสคี ล่ืนส้นั ทำให้ 14. นำ้ เสียจากครวั จะเป็นน้ำเสียประเภทใด ควรกำจดั กลับออกไปไมไ่ ด้ ดว้ ยวธิ ีใด ง. อุณหภูมิภายในโลกสูงขนึ้ เนอื่ งจากพลังงานใต้ พิภพมากขึน้ จ. เป็นน้ำท่มี ีความขุ่นมาก ควรใชว้ ิธีการกรอง 10. กา๊ ซตัวการสำคญั ท่ีทำใหเ้ กดิ ปฏิกิริยาเรือนกระจก ฉ. เปน็ น้ำทมี่ สี ารพษิ สงู ต้องใชว้ ิธีตกตะกอน มากท่สี ุดในปัจจุบนั คอื ก๊าซใด ก. คลอรีน ช. เป็นนำ้ ทม่ี ีความกระดา้ งมาก ควรใชส้ ารสม้ แกวง่ ข. มเี ทน กอ่ น ค. ออกซเิ จน ง. คาร์บอนไดออกไซด์ ซ. เป็นน้ำท่ีมีไขมนั มาก ควรตักไขมนั ท่ลี อยเปน็ ฝา แข็งอยูบ่ รเิ วณผวิ หนา้ ทิ้งไปกอ่ น 11. กา๊ ซใดไม่ใช่กา๊ ซเรือนกระจก ก. คารบ์ อนไดออกไซด์ 15. ช้ันโอโซนถูกทำลายสง่ ผลต่อสขุ ภาพของมนษุ ย์ ข. ไนโตรเจน อย่างไร ค. คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน ง. มเี ทน ก. เป็นโรคเร้อื น 12. ขอ้ ใดไมใ่ ชผ่ ลกระทบจากปรากฏการณ์เรอื นกระจก ข. เปน็ อมั พาต ก. นำ้ แขง็ ขวั้ โลกละลาย นำ้ ทะเลหนุนสูงข้นึ ข. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง พืชสงั เคราะหแ์ สง ค. ตาเป็นต้อ ได้นอ้ ยลง ง. ผิวหนังเปน็ สีเผอื ก ค. อากาศรอ้ นจดั ความช้ืนสงู บ่ันทอนต่อสุขภาพ 16. ข้อใดถอื ว่าเปน็ การใช้พลงั งานอย่างไมเ่ หมาะสม กายของมนษุ ย์ ก. ตดิ ตง้ั แก๊ส NGV ในรถยนตเ์ พอื่ ทดแทนน้ำมัน ข. ใช้น้ำมันที่ใช้แล้วมาพชื มาผลิตมาผลติ น้ำมันไบ ก. ลมพายุในทะเลมีความรุนแรงมากขึ้น อาจเกดิ วาตภยั ในทะเลได้ โอดีเซล ค. ใช้เครือ่ งปรับอากาศเบอร์ 5 ในทกุ หอ้ งท่ี ตอ้ งการทำความเยน็ ง. ใช้น้ำมันเบนซนิ 95 เติมในรถยนตท์ ี่สามารถ 17. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ ปัญหาดา้ นพลงั งาน ก. พลังงานเริ่มลดปรมิ าณลงและจะหมดในไม่นาน ข. ใชพ้ ลงั งานไมเ่ หมาะสม ค. การลดกจิ กรรมที่ใช้พลังงานลง ง. ใช้พลังงานอยา่ งไรป้ ระสิทธภิ าพ

115 18. เหตใุ ดจึงตอ้ งใชอ้ ปุ กรณไ์ ฟฟ้าในบ้านที่มี 23. เหตุใดการประชุมทก่ี รงุ เวียนนา จึงมขี อ้ ตกลงใหล้ ด ประสิทธิภาพสงู การผลิตและใช้สารคลอโรฟลอู อโรคาร์บอนทว่ั โลก ก. ช่วยประหยัดพลงั งาน ก. เพราะสารน้รี าคาแพงเกนิ ไป และหาสารอืน่ ข. ทันสมยั แทนไดแ้ ล้ว ค. สวยงาม ข. เพราะสารน้ีทำลายก๊าซโอโซน ง. หาซอื้ งา่ ย ค. เพราะสารนี้มรี ังสีทเ่ี ป็นอันตรายตอ่ มนุษย์ ง. เพราะสารนี้เม่ือรวมตัวกับฝนแลว้ ทำให้เกดิ ฝน 19. เพราะเหตใุ ดจึงต้องมีการพกั น้ำหลอ่ เยน็ กอ่ นปลอ่ ยลง กรด สู่แมน่ ้ำ ก. นำ้ จะไดต้ กตะกอน มเี ฉพาะนำ้ ใสลู่แม่น้ำ 24. ผงซกั ฟอกทีผ่ สม ZEOLITE มคี ุณสมบัตอิ ยา่ งไร ข. สารพษิ จะได้เจือจางลง ก่อนลงส่แู มน่ ำ้ ก. ช่วยทำให้ผ้าสะอาดข้นึ ค. น้ำจะมสี ีจางลงกอ่ นลงสแู่ มน่ ้ำ ข. ชว่ ยดแู ลรกั ษานำ้ ง. นำ้ จะได้ปรบั อณุ หภูมิลง ก่อนลงส่แู ม่นำ้ ค. ช่วยลดตน้ ทนุ ง. ชว่ ยให้มือน่มุ 20. วธิ กี ารใดเป็นวธิ กี ารแกไ้ ขปัญหาส่งิ แวดลอ้ มได้ ก. ชว่ ยกันปลูกตน้ ไมบ้ รเิ วณท่ีสาธารณะ 25. การนำของเสียมาผา่ นกระบวนการผลิต ข. ท้ิงขยะใหเ้ ปน็ ที่ลงในถงั เป็นของใช้ใหม่ เชน่ นำเศษพลาสติก ค. ดแู ลเครื่องรถยนต์ไมใ่ หม้ คี วนั ดำ แตกมาผลติ เป็นภาชนะตา่ ง ๆ ง. ถูกทุกข้อ ก. Recycle (เวยี นใชใ้ หม่) ข. Refill (การใช้ผลติ ภัณฑ์ชนดิ เติม) 21. การปลูกป่าทดแทนช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างไร ค. Reuse (ใช้ใหม่อีก) ก. ต้นไม้สามารถดดู ซบั นำ้ ไว้ ง. Reclaim (ทำซำ้ ) ข. ตน้ ไม้สามารถดูดซบั สารพษิ ตา่ ง ๆได้ ค. ตน้ ไม้ทำใหร้ ม่ รนื่ สบายตา สบายใจ ง. ตน้ ไมช้ ว่ ยลดคารบ์ อนไดออกไซดซ์ งึ่ เปน็ ตวั การทำให้โลกรอ้ น 22. สารต่อไปนก้ี อ่ ให้เกิดมลพษิ ความร้อน ยกเวน้ สาร ชนดิ ใด ก. ก๊าซออกซิเจน ข. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ค. แกส๊ มเี ทน ง. สารคลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน

ใบงาน ที่ ........ 6........ 116 หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หน่วยที่ 6 รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สอนครั้งที.่ ..6-7.... ชื่องาน........ผลกระทบจากการผลิตและการใชพ้ ลงั งาน เวลา.........4.........ชม. 1. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม หลังจากทำกิจกรรมนเี้ สรจ็ แลว้ นกั เรยี น อธบิ ายเรอื่ ง ผลกระทบและการปอ้ งกันแก้ไขปญั หาด้านพลังงานและ ส่ิงแวดลอ้ มได้ 2. สมรรถนะ นกั เรยี นมคี วามเข้าใจเรอื่ ง ผลกระทบและการปอ้ งกันแก้ไขปญั หาด้านพลงั งานและสง่ิ แวดลอ้ ม 3. เคร่อื งมอื วัสดุ และอุปกรณ์ แบบสอบถาม แบบสงั เกต ภาพถ่าย 4.คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวัง - อย่าให้นักเรียนที่คดิ ได้ คิดเพยี งคนเดยี ว 6. ลำดับขน้ั การปฏิบตั ิงาน 5. แบง่ นักเรยี นเป็นกลมุ่ ละ 5 คน เพ่ือระดมสมอง 6. ให้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาผลกระทบจากการใช้พลังงานของชุมชนรอบบา้ น เพ่ือนำมาวิเคราะหว์ ่าพบ ปัญหาใดบ้าง และหาวิธีการแกไ้ ขปญั หา 3. นกั เรียนนำเสนอผลงาน รวมทุกกลุ่มประมาณ 20 นาที 4. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั สรุป 7. ผลการศกึ ษา 3. เนื้อหาที่นำเสนอ 4. วธิ กี ารนำเสนอ 8. สรปุ และวิจารณผ์ ล ............................................................................................................................. .......................... ....................................................................................................................................... .............................

117 9. การประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุม่ 3. สงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกล่มุ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสรมิ คณุ ธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏิบัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 10. เอกสารอ้างองิ /เอกสารคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ หนงั สือเรยี นวิชา พลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมสำนักพิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ น็ต

118 แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 7 หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ สอนครัง้ ที่ 8 (15-16) รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ สถานการณ์ปญั หาพลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั พลังงานนับเปน็ ปจั จยั พื้นฐานทสี่ าํ คญั ในชวี ิตประจาํ วนั ของมนุษย์ในปัจจุบัน การพฒั นาเศรษฐกิจ ทำให้มกี าร นำพลังงานฟอสซิลมาใช้มากยิง่ ขึน้ เปน็ ผลใหเ้ กิดสารพษิ จากการเผาไหม้ และเกิดปัญหาความเสอื่ มโทรมของ สภาพแวดลอ้ ม การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทเ่ี พิม่ สงู ข้ึน ก่อให้เกดิ วกิ ฤตการณ์ขาดแคลนพลงั งาน ท่มี ี ผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ ท้งั ในระดับครอบครวั ระดบั ประเทศ และระดับโลกเปน็ อย่างมาก 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นกั เรียนสามารถวเิ คราะหป์ ัญหาพลังงานของโลกได้ 2.นกั เรียนสามารถวิเคราะห์ปญั หาการใชพ้ ลังงานในประเทศไทยได้ 3.นกั เรียนสามารถวเิ คราะหผ์ ลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมจากการผลิตและการใชพ้ ลงั งานในประเทศไทยได้ 4.นักเรยี นสามารถสรปุ กลมุ่ กจิ กรรมที่ทำใหเ้ กิดสภาวะโลกร้อนได้ 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.วิเคราะหป์ ัญหาพลังงานของโลกได้ 2.วิเคราะห์ปัญหาการใช้พลังงานในประเทศไทยได้ 3.วเิ คราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มจากการผลิตและการใชพ้ ลังงานในประเทศไทยได้ 4. มีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องผูส้ ำเรจ็ การศึกษา สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ครูสามารถสังเกตได้ขณะทำการสอนในเรื่อง 4.1 ความมมี นษุ ยสมั พนั ธ์ 4.2 ความมีวนิ ยั 4.3 ความรับผดิ ชอบ 4.4 ความซื่อสัตย์สุจริต 4.5 ความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง 4.6 การประหยัด 4.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 4.8 การละเว้นสิง่ เสพติดและการพนัน 4.9 ความรักสามัคคี 4.10 ความกตัญญูกตเวที 4.11 แตง่ กายตามข้อตกลง ตรงเวลา รกั ษาสิ่งแวดล้อม ใจอาสา

119 4. สาระการเรยี นรู้ 1.ปัญหาพลังงานของโลก 2.ปัญหาการใชพ้ ลังงานในประเทศไทย 3.ผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อมจากการผลิตและการใช้พลังงานในประเทศไทย 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ที.่ ..8........) ขน้ั นำเขา้ สู่บทเรียน 1.ครูกลา่ ววา่ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งทใ่ี หพ้ ลังงานกบั ระบบนเิ วศของโลก โลกไดร้ บั พลังงานในรูปของการแผ่รงั สี รังสที ้งั หมดท่ีสง่ มาจากดวงอาทติ ยจ์ ะผ่านช้ันบรรยากาศของโลกเพอ่ื ใชใ้ นการสงั เคราะห์แสงเพยี ง 1% เท่านนั้ ผูผ้ ลิต คือพืชทมี่ ีคลอโรฟลิ ล์จะเปลีย่ นพลงั งานแสงใหเ้ ป็นพลงั งานเคมี แล้วนำพลงั งานเคมไี ปสงั เคราะห์ สารประกอบที่มี โครงสรา้ งงา่ ยๆ คอื คารบ์ อนไดออกไซด์ ใหส้ ารประกอบท่มี ีโครงสรา้ งซับซ้อนและมพี ลงั งานสูงคือ คารโ์ บไฮเดรต 2.ครกู ล่าวเพม่ิ เตมิ วา่ อัตราการใชพ้ ลังงานของประชาคมโลกเพมิ่ ขึ้นอยา่ งรวดเรว็ ดังนั้นความตอ้ งการจงึ มี เพิ่มข้นึ เป็นจำนวนมาก และปัญหาทตี่ ามมากม็ ากเชน่ เดยี วกนั หากทกุ คนไมช่ ่วยกันและใชพ้ ลงั งงานอยา่ งถกู ต้อง 3.ผู้เรียนเลา่ ถึงการร่วมกิจกรรมการรณรงคป์ ัญหาการใช้พลังงานทีเ่ คยมปี ระสบการณท์ ผ่ี ่านหาใหเ้ พื่อนในชัน้ เรียนฟงั ขน้ั สอน 4.ครใู ช้เทคนิคการสอนแบบบรยาย และใช้ Power Point เปน็ สอื่ ประกอบ เพอ่ื อธิบายสถานการณ์ปญั หา พลงั งานเกยี่ วกบั ปัญหาพลังงานของโลก ซง่ึ มกี ารศกึ ษาเปรียบเทียบพลังงานท่ีผลติ ไดก้ บั ปรมิ าณความตอ้ งการใช้ พลังงานของโลกทุกๆ 25 ปี โดยเนน้ พลังงานจากนวิ เคลยี ร์ นา้ํ มัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ผลการศึกษา เปรียบเทียบพลงั งาน ทง้ั 4 ประเภท ดงั แผนภูมิ 5.ครูใช้สือ่ Power Point ประกอบการสรุปสถานการณ์แนวโนม้ ในอนาคตทางด้านพลังงานของโลก จนกระทงั่ ถึงปี ค.ศ. 2030 ไดด้ งั นี้ 5.1 จำนวนประชากรโลกมกี ารเพ่ิมขึ้นในอตัราทล่ี ดลงทุกช่วงเวลาท่ีพิจารณา โดยลดลงจาก 1.5% ใน อดตี เหลอื เพยี งประมาณ 1% ในชว่ งปี 2000-2030 5.2 ค่าผลิตภัณฑม์ วลรวมในประเทศ (GDP) แสดงรปู ภาพความสัมพันธ์ระหวา่ งจํานวนประชากรและ ผลติ ภัณฑม์ วลรวมในประเทศของโลก ดังน้ี

120 5.3 ความตอ้ งการพลงั งานของโลกเพ่ิมขึ้นอย่างตอ่ เน่ือง แสดงรปู ภาพแนวโนม้ ความตอ้ งการพลงั งาน ของโลก 5.4. การใชพ้ ลงั งานในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ดังแสดงในรูปภาพ 5.5 แนวโน้มราคานํา้ มนั และก๊าซธรรมชาติ ดังแสดงในรูปภาพ 6.ครูและผู้เรียนใช้ส่อื วีดโิ อ (วีดีทศั น)์ เพอ่ื ให้ผเู้ รียนไดศ้ กึ ษาหาความรูเ้ รื่องปญั หาการใช้พลงั งานใน ประเทศไทย ซ่ึงการพัฒนาไปสคู่ วามทันสมัย (Modernization) ตามแบบสังคมตะวันตก ได้กอ่ ให้เกิดการ เปล่ียนแปลงในการใชพ้ ลงั งาน และทรัพยากรธรรมชาตขิ องไทย เช่นเดียวกบั ทเี่ กิดขนึ้ ในประเทศต่างๆ ท่วั โลก ซึง่ เปน็ การเปลี่ยนแปลงทีเ่ พิม่ มากขึ้นเรือ่ ยๆ จนถงึ ปจั จุบนั ดังรูปภาพทแี่ สดงการใช้พลงั งานต้งั แต่ปี พ.ศ.2532- 2557 ปญั หาการใชพ้ ลังงานของประเทศรุนแรงขน้ึ จนอาจกลา่ วได้ว่าเป็นวิกฤตการณด์ ์านพลังงาน ซึง่ สรุป สาเหตุของวิกฤตการณพ์ ลังงานได้ดังน้ี 1) การขาดแคลนพลังงานประเภทนาํ้ มันเชื้อเพลิง 2) ตอ้ งพ่งึ พาการนําเข้านํ้ามนั เช้ือเพลงิ จากต่างประเทศ 3) ขาดความรู้ และเทคโนโลยีในการพฒั นาพลังงาน 4) นโยบายด้านพลงั งานของประเทศเพง่ิ เริ่มต้นอย่างจริงจัง 5) ความฟ่มุ เฟือย และการใช้พลงั งานอย่างขาดประสิทธภิ าพ 7.ครูและผูเ้ รียนใช้สอื่ Power Point ประกอบการเรยี นเร่อื งผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มจากการผลิตและ การใช้พลงั งานในประเทศไทย โดยการใช้พลงั งาน และทรพั ยากรธรรมชาติอื่นๆ ในการผลติ การบริโภคทผี่ ่านมา ได้ กอ่ ใหเ้ กดิ การสญเู สยี ทรพั ยากรธรรมชาตโิ ดยตรง เช่น การขดุ เจาะ จดั หา และลำเลยี พลงั งาน เปน็ ต้น การผลิตและใช้พลังงานของประเทศมผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มดงั นี้ อุณหภูมสิ งู ข้นึ อากาศเป็นพษิ สภาพภมู ิศาสตรเ์ ปลยี่ นแปลง

121 8.ผเู้ รียนปฏิบตั ิกจิ กรรมดังต่อไปน้ี 8.1 ผเู้ รียนวิเคราะห์ขา่ ว 8.2 ผ้เู รยี นอภปิ รายแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั การแกว้ ิกฤตการณ์พลงั งานแบ่งเปน็ 3 กลมุ่ กลุม่ ที่ 1 การสรา้ งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ กล่มุ ท่ี 2 การสร้างโรงไฟฟ้าพลังนํ้าจากเข่ือน กล่มุ ที่ 3 การสรา้ งโรงไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 8.3 แต่ล่ะกลุ่มคน้ คว้าหาขอ้ มูล ในประเด็น ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการสร้างโรงไฟฟา้ ทั้ง 3 กลุ่มใน มมุ มองของผ้ทู ี่เกยี่ วขอ้ งกบั สถานการณ์ทก่ี ำหนดให้ เชน่ นกั วิชาการ นกั ธุรกจิ ทีจ่ ะมาลงทุน ชาวบา้ นในพนื้ ที่ นักอนุรกั ษ์ ผู้นําชมุ ชนในพ้ืนท่ี เจา้ ของทีด่ นิ 8.4 ผ้ดู าํ เนินรายการ 8.5 ผูเ้ รยี นเขยี นขอ้ มูลสําหรบั การอภิปราย หัวขอ้ อภปิ ราย ผูร้ ว่ มอภปิ ราย/ขอ้ มลู ข้ันสรุปและการประยกุ ต์ 9.ครสู รุปโดยถามคำถามหรือกำหนดปญั หาโดยให้ผู้เรยี นระดมสมองช่วยกันคดิ หาคำตอบแลว้ อธิบาย คำตอบให้เพอ่ื นทุกคนในกลมุ่ ของตนเองเข้าใจ 10.ครูและผู้เรียนสรุปว่าการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มุ่งเปลี่ยนแปลง ประเทศอย่างเร่งรัด และรวดเร็วให้ไปสู่ความทันสมัยในด้านเศรษฐกิจ สังคม โดยมุ่งหมาย “การพฒันา” ไปท่ี ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยกี ารผลติ และการบรโิ ภคตามแบบประเทศตะวันตก เกิดนโยบาย ส่งเสริมอุตสาหกรรม การปรับปรุงการคมนาคม การทําเกษตรกรรมแผนใหม่ ซึ่งใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานสัตวและคน ช่วงของการ พัฒนาไปสู่ความทันสมัยน ทำให้เกิดความต้องการพลังงานที่มีมากเกินกว่าปริมาณพลังงานที่จะจัดหาได้ ภายในประเทศ จนตอ้ งมีการนำเข้าพลังงานจำนวนมหาศาล สญู ูเสยี เงนิ ตราและงบประมาณแผน่ ดนิ เปน็ จาํ นวนมาก 11.ครใู ช้วธิ ีสมุ่ ผ้เู รียนทุกกลุ่มตอบคำถามและอธิบายใหเ้ พื่อนฟังทงั้ ชนั้ เรียน 12.ผู้เรียนทำใบงาน และทำแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 6. สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้ 1.หนังสอื เรยี น วชิ าพลงั งาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดลอ้ ม ของสำนกั พิมพ์เอมพนั ธ์ 2.สื่อ Power Point, วดี ีทัศน์ 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้

122 7.หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1.บันทกึ การสอนของผู้สอน 2.ใบเช็ครายชื่อ 3.แผนจัดการเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวดั และประเมินผล 8.1 วธิ กี าร 1. สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรู้ และแบบฝกึ ปฏิบัติ 5. แบบประเมินกจิ กรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรียนร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรับปรุง 2. เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้มีเกณฑ์ผา่ น และแบบฝกึ ปฏิบตั ิ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมนิ ตามสภาพจรงิ

123 9.บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลังการจดั การเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปญั หาท่ีพบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

124 ใบความรทู้ ่ี .....7 หน่วยท่ี 7 หลักสูตร ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ สอนคร้ังท่ี 8 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากร และส่งิ แวดลอ้ ม ชือ่ เรอื่ ง เรอ่ื ง สถานการณป์ ญั หาพลังงาน 1. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. ผ้เู รียนเข้าใจสถานการณพ์ ลงั งานของประเทศไทยและของโลก 2. ผเู้ รยี นเขา้ ใจวธิ ีการแกไ้ ขวกิ ฤตพลังงาน 2. สมรรถนะ 1. อธบิ ายสถานการณพ์ ลังงานโลกได้ 2. อธบิ ายสถานการณพ์ ลังงานของประเทศไทยได้ 3. วิเคราะห์สาเหตปุ ญั หาพลงั งานได้ 4. เสนอแนวทางแกไ้ ขวกิ ฤตการณ์พลงั งานได้ 5. มีความตระหนกั ในการใชพ้ ลงั งานอยา่ งประหยดั 3. เนอ้ื หาสาระ 1. สถานการณพ์ ลงั งานของโลก แหล่งพลังงานส่วนใหญท่ ่ใี ชใ้ นกระบวนการผลติ ทางอตุ สาหกรรม การขนส่ง คมนาคม และอื่น ๆ มักอยใู่ น รูปของพลังงานสิ้นเปลอื ง เช่น กา๊ ซธรรมชาติ นำ้ มนั และถ่านหนิ ตัวอยา่ งเช่น ในปี ค.ศ. 1998 ความต้องการ พลังงานของโลกมีค่าเทียบเทา่ กบั ปรมิ าณน้ำมนั ดิบ 8,477.4 ล้านตัน (British Petroleum, 1999:2) โดยถ้าเทียบ กับจำนวนประชากรของโลกในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งมีประมาณ 6,000 ล้านคน เชื้อเพลิงที่ใช้เฉลี่ยต่อคนต่อปีจะมีค่า เทียบเทา่ นำ้ มันดิบประมาณ 1.4 ตนั จากตวั เลขดังกล่าวจะเหน็ ไดว้ ่าปริมารพลงั งานเฉล่ยี ท่ีบรโิ ภคต่อปีต่อคนอยู่ใน อัตราท่ีสงู และความต้องการพลังงานจะมีค่าเพิ่มมากขึ้นตลอดเนอื่ งจากจำนวนประชากรของโลกเพ่ิมมากข้ึนในทุก ๆ ปี จากการศกึ ษาวจิ ยั โดยองค์การสหประชาชาตไิ ด้ประมาณวา่ จำนวนประชากรของโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึน อย่างต่อเนื่องไปจนถงึ 8,000 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2025 และจะยังคงเพ่ิมข้ึนอยา่ งต่อเนื่อง โดยประมาณว่าปลาย ศตวรรษท่ี 21 จะมีประชากรในโลก 10,000-12,000 ลา้ นคน โดยประชากรที่เพ่ิมขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศ กำลังพัฒนา (Boyle, 1996:8) และจะมีผลทำให้ความต้องการใช้พลังงานมีค่าสูงมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นจึง จำเป็นต้องพัฒนาหาแหล่งพลังงานเพิ่มขึ้น ทางเลือกหนึ่งก็คือการพัฒนานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างจริงจัง และอีกทางหนึ่งคือการพฒั นาและส่งเสริมให้มกี ารใช้พลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างจริงจัง และอีกทางหนึ่งคือการ พัฒนาและสง่ เสริมใหม้ ีการใช้พลังงานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ ซึ่งเปน็ แนวทางทจ่ี ะลดการใชพ้ ลังงานลงได้ การใช้พลงั งานในอนาคตของโลกมีแนวโนม้ เพิม่ มากข้ึน เน่อื งจากจำนวนประชากรของโลกเพมิ่ มากขึน้ ถ้า พจิ ารณาจากปริมาณการใชพ้ ลงั งานของประเทศตา่ ง ๆ ในโลก ไดม้ ีการจดั กลุ่มประชากรบนโลกนเี้ ป็น 6 กลุ่ม

125 ไดแ้ ก่ ประชากรในกลุ่มประเทศอตุ สาหกรรมซ่ึงไดแ้ ก่ ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ (ประเทศสหรัฐอเมรกิ า แคนาดา และเม็กซิโก) ยุโรปตะวันตก และประเทศอุตสาหกรรมในทวีปเอเชีย (ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์) มีประชากรร้อยละ 15 ของประชากรทั่วโลก ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและกลุ่ มประเทศ สหพันธรัฐรัสเซีย มีประชากรร้อยละ 6 ของประชากรทั่วโลก ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในทวีปเอเชีย มี ประชากรรอ้ ยละ 54 ของประชากรท่วั โลก ในกลุม่ ประเทศตะวันออกกลาง มปี ระชากรร้อยละ 4 ของประชากร ทั่วโลก ส่วนกลุ่มทวีปแอฟริกา มีประชากรร้อยละ 14 ของประชากรทั่วโลก และกลุ่มทวีปอเมริกากลางและ อเมริกาใต้ มปี ระชากรร้อยละ 7 ของประชากรทวั่ โลก (U.S. Department of Energy, 2004:9-10) จากรายงาน การคาดการณ์พลังงานของโลกประจำปี พ.ศ. 2547 (International Energy Outlook, 2004) ได้คาดการณก์ าร ใช้พลังงานของโลกว่าจะเพิม่ ข้นึ อย่างต่อเน่ือง โดยอัตราการบริโภคพลังงานของโลกจะเพิม่ ข้ึนร้อยละ 54 ภายใน รอบ 24 ปี นับจากปี พ.ศ. 2544-2568 โดยปริมาณพลังงานที่ใช้ในปี พ.ศ. 2544 มีค่าเทียบเท่าน้ำมันดิบ 9,405 ล้านตัน และคาดว่าในปี พ.ศ. 2568 ความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้นมีค่าเทียบเท่าน้ำมันดิบ 14,503 ล้านตัน สัดส่วนการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้นเกิดจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในทวีป เอเชยี เช่น ประเทศจีนและอนิ เดยี โดยคาดวา่ ผลติ ภัณฑม์ วลรวมของประเทศกำลงั พัฒนาในเอเชยี จะขยายตัวร้อย ละ 5.5 ต่อปี ในขณะที่คา่ เฉลี่ยของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมคี ่าเพียงรอ้ ยละ 3 ต่อปี (U.S. Department of Energy, 2004:1) จากการศึกษาวิจัยขององค์การสหประชาชาติ แสดงปริมาณพลังงานที่ใช้เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพ่ิม ประชากรของโลกดงั แสดงในตาราง ตาราง ปรมิ าณพลังงานที่ใชเ้ พ่ิมขึน้ เนอื่ งจากการเพ่มิ ประชากรของโลก ปี ค.ศ. จำนวนประชากร พลงั งานทีใ่ ช้ท้งั หมด พลังงานทใ่ี ชต้ ่อคน (พันล้านคน) (x 1018 จูลตอ่ ป)ี (x 109 จลู ตอ่ ป)ี 1990 (1) 1.2 284 237 1990 (2) 4.1 142 35 1990 (3) 5.3 426 80 2025 (1) 1.4 167 120 2025 (2) 6.8 473 69 2025 (3) 8.2 640 78 หมายเหตุ (1) ประเทศท่พี ัฒนาแล้ว (2) ประเทศท่กี ำลงั พฒั นา (3) ทกุ ประเทศในโลก ท่ีมา : boyle, 1996: 11. (อา้ งใน วรนชุ แจง้ สว่าง, 2551) ความต้องการพลงั งานของโลกมีค่าสูงเพ่ิมมากขึน้ มาโดยตลอด จากขอ้ มลู สถิติแสดงความตอ้ งการพลังงาน ของโลกจำแนกตามชนิดของเชื้อเพลิง ดังแสดงในตารางที่ 3.2 ซึ่งรายงานโดยกรมพลังงานแห่งประเทศ สหรัฐอเมริกา ได้แสดงสถิตกิ ารใช้พลงั งานในปที ่ีผ่านมาและคาดการณ์ความต้องการพลังงานในอนาคต ดังจะเห็น ได้วา่ ความตอ้ งการพลงั งานของโลกมคี ่าเพิม่ ข้ึน โดยพลังงานสว่ นใหญท่ ีใ่ ชย้ งั คนอยู่ในรูปของน้ำมนั เช้ือเพลิงและก๊าซ ธรรมชาติ

126 ตาราง ความตอ้ งการพลงั งานของโลกจำแนกตามชนดิ ของเชือ้ เพลงิ หน่วย : เทียบเทา่ ล้านตนั น้ำมันดบิ , ( ) : ร้อยละ ชนดิ ของพลงั งาน 2533 2543 2544 2553 2558 2563 2568 นำ้ มัน 3,145.2 3,629.4 3,643.3 4,316.1 4,749.1 5,210.0 5,710.6 (38.8) (39.1) (38.7) (34.9) (39.4) (39.4) (39.4) กา๊ ซธรรมชาติ 1,746 2,127.8 2,167.4 3,922.6 2,840.1 3,231.3 3,643.3 (21.5) (22.9) (23.0) (31.8) (23.6) (24.5) (25.1) ถา่ นหิน 2,132.4 2,179.0 2,232.5 2,514.2 2,714.4 2,951.9 3,263.8 (26.3) (23.4) (23.7) (20.4) (22.5) (22.3) (22.5) พลงั งานนิวเคลยี ร์ 472.6 593.6 614.6 693.7 730.9 740.3 707.7 (5.8) (6.4) (6.5) (5.6) (6.1) (5.6) (4.9) พลังน้ำและอืน่ ๆ 614.6 763.6 749.6 907.9 1,005.7 1,084.9 1,173.3 (7.6) (8.2) (8.1) (7.3) (8.4) (8.2) (8.1) รวม 8,110.8 9,293.4 9,407.4 12,354.5 12,040.2 13,218.4 14,498.7 (100) (100) (100) (100) (100) (100) (100) ที่มา : U.S. Department of Energy, 2004 : 164-165. (อ้างในวรนุช แจ้งสว่าง, 2551) 2. สถานการณ์พลงั งานของประเทศไทย พลังงานเป็นรากฐานที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของประชากร และการพัฒนาประเทศ รัฐบาลมีหน้าที่ใน การจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศ โดยมีการกำหนดนโยบายทางด้านพลังงานของ ประเทศในแผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดหา และใช้พลงั งานเพือ่ ตอบสนองความต้องการ พลังงานของประเทศ ภาพรวมทางด้านพลังงานของประเทศพิจารณาได้จากองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น การจัดหา พลังงาน การใชพ้ ลงั งาน แผนพัฒนาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ดา้ นพลังงานและความสัมพนั ธข์ องพลังงานกับการพัฒนา เศรษฐกิจ ดัชนีที่เป็นตัวชีวัดเสถียรภาพและประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ ได้แก่ การใช้พลังงานต่อ มลู ค่าผลติ ภัณฑร์ วมในประเทศ ภาวะพลงั งานกับดุลการค้า การลงทุนในสาขาพลงั งานและประสทิ ธิภาพในการใช้ พลังงานตอ่ ผลผลิตเปรียบเทียบกบั ประเทศตา่ ง ๆ (กรมพฒั นาและสง่ เสรมิ พลงั งาน, 2541) 1. การจดั หาพลังงานภายในประเทศ การจัดหาพลังงานของประเทศส่วนหนึง่ จัดหาจากแหล่งพลังงานภายในประเทศ และอีกส่วนหนึ่งจากการ นำเข้าจากต่างประเทศ จากรายงานพลังงานของประเทศไทย ปี 2547 ได้สรุปว่ามีการจัดหาพลังงานรวมทั้งสิน้ เทยี บเทา่ กับน้ำมนั ดิบ 107.8 ลา้ นตนั โดยจัดหาจากแหล่งพลงั งานภายในประเทศร้อยละ 46.5 และนำเข้าจาก ต่างประเทศร้อยละ 53.5 (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, 2547 : 4) แหล่งพลังงาน ภายในประเทศมาจากน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว ลิกไนต์ พลังน้ำ และพลังงานชีวมวล ส่วน พลังงานที่นำเข้าจากต่างประเทศได้แก่ น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปโิ ตรเลียม ถ่านหิน ไม้ฟืนและกระแสไฟฟ้า ปริ มารพลังงานทผ่ี ลติ จากแหล่งพลงั งานภายในประเทศ

127 สรปุ ได้วา่ พลังงานท่ีจดั หาจากแหล่งพลงั งานภายในประเทศจำแนกได้เปน็ 2 ประเภท คือ พลงั งานเชิง พาณิชย์ ได้แก่ พลังงานจากนำ้ มนั ดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม กา๊ ซธรรมชาติ ถ่านหนิ และพลงั งานหมุนเวยี นได้ จาก ไม้ฟืน ชานอ้อย แกลบและของเหลือทิ้งจากการเกษตรโดยในปี พ.ศ. 2547 มีการจัดหาพลังงาน ภายในประเทศจากพลงั งานเชิงพาณิชย์ ร้อยละ 84.9 และผลติ จากพลังงานหมุนเวียนรอ้ ยละ 15.1 ดังจะเห็นได้ ว่าพลังงานหมุนเวียนมีการผลิตในอัตราส่วนที่ตำ่ มาก ดังนั้นถ้ามีการพัฒนานำพลังงานหมนุ เวียนมาใช้อยา่ งจรงิ จัง ภายในประเทศ จะสามารถลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้ทางหนึ่ง และลดปัญหามลพิษที่กระทบต่อ ส่งิ แวดลอ้ มจากการใชเ้ ชอื้ เพลงิ ฟอสซลิ ไดอ้ กี ทางหนง่ึ ตาราง การใช้พลังงานในภาคเศรษฐกิจตา่ ง ๆ ของประเทศไทย หน่วย : พนั ตนั น้ำมันดิบ, ( ) : ร้อยละ ชนดิ ของพลังงาน 2543 2544 2545 2546 2547 3,032 3,308 3,443 การเกษตร 2,791 2,847 (5.7) (5.9) (5.7) 106 115 135 (5.8) (5.7) (0.2) (0.2) (0.2) 18,679 1,988 21,377 เหมืองแร่ 85 93 (35.3) (35.5) (35.5) 149 152 171 (0.2) (0.2) (0.3) (0.3) (0.3) 7,909 8,173 8,370 อตุ สาหกรรม 16,208 16,922 (14.9) (14.5) ()13.9 3,468 3,626 3,866 (33.9) (34.2) (6.5) (6.4) (6.4) 19,636 20,927 22,907 การก่อสร้าง 149 128 (37.1) (37.2) (38) 52,979 56,289 60,269 (0.3) (0.3) (100) (100) (100) บ้านอยูอ่ าศัย 7,433 7,483 (15.6) (15.1) ธุรกิจการคา้ 3,118 3,437 (6.5) (6.9) การคมนาคม 18,022 18,632 (37.7) (37.6) รวม 47,806 49,542 (100) (100) ที่มา : กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพ์ ลังงาน, 2547 จากตาราง จะเหน็ ไดว้ ่า ความตอ้ งการพลังงานในปี พ.ศ. 2547 มปี รมิ าณเทียบเทา่ นำ้ มนั ดบิ 60.27 ล้าน ต้น พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินลิกไนต์ และไฟฟ้า โดยภาค คมนาคมขนส่งเปน็ ภาคเศรษฐกจิ ทใี่ ช้พลังงานมากท่สี ุด มีอตั ราการใช้เพ่ิมขน้ึ มาโดยตลอด รองลงมาคือพลังงานทใี่ ช้ ในภาคอุตสาหกรรมและภาคที่อยู่อาศัย มีการใช้พลังงานในอัตราที่สูง เนื่องจากมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพม่ิ มากขน้ึ 1. ปญั หาพลังงาน ปัญหาพลังงานของโลก ทรัพยากรพลงั งานถูกนำมาใชใ้ นการผลติ และการบริโภคของทกุ ประเทศทว่ั โลก แม้ประเทศท่มี กี ารพฒั นา น้อยทีส่ ุดกม็ กี ารนำพลังงานมาใชเ้ พม่ิ ขึ้นทุกขณะ ไมว่ ่าจะเปน็ ฟืน ถ่านหนิ น้ำมันเชือ้ เพลิง หรอื แกส๊ ธรรมชาติ

128 อัตราการใชพ้ ลังงานของประชาคมโลกเพมิ่ ขึน้ อย่างรวดเรว็ ในศตวรรษท่ี 20 นบั ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1900 เป็น ต้นมา ดังจะเห็นได้ว่า ในปี ค.ศ. 1925 อัตราการใช้พลังงานในโลกเพิ่มขึ้น 5-10 เท่า มีการใช้พลังงานใน ปรมิ าณเชน่ นี้จนถงึ ค.ศ. 2000 การใชพ้ ลงั งานโดยรวมของโลกในช่วย 25 ปีหลงั น้ี (ค.ศ. 1975-2000) เพิ่มเป็น 2 เท่าของช่วง 75 ปีที่ผ่านมา (ค.ศ. 1900-1975) นับว่ามีการใช้พลังงานเพิม่ ขึ้นอย่างมากมาย ในขณะที่มีการ คาดการณ์วา่ นำ้ มนั และแก๊สซง่ึ เป็นพลงั งานหลักของโลกจะมใี ช้ต่อไปไดอ้ กี ประมาณ 20 ปี มกี ารศึกษาเปรยี บเทียบพลงั งานท่ผี ลิตไดก้ ับปรมิ าณความตอ้ งการใชพ้ ลังงานของโลกทุก ๆ 25 ปี โดยเน้น พลังงานจากนิวเคลียร์ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และถ่านหิน ผลการศึกษาเปรียบเทียบพลังงานทั้ง 4 ประเภท ปรากฏว่าการใชถ้ ่านหินและพลงั งานนวิ เคลยี รม์ ีแนวโนม้ สงู ขน้ึ ในปี ค.ศ. 2025 สำหรบั นำ้ มนั และแกส๊ ธรรมชาติจะ ลดลง นอกจากสถานการณ์เก่ียวกับการผลิต และความต้องการใช้พลังงานจะแสดงให้เห็นว่าทรัพยากรพลังงาน นับวันจะหมดไปจากโลกแลว้ ปัญหาทีน่ ่าห่วง และต้องเร่งแกไ้ ขคือ ปญั หาส่งิ แวดล้อม ไมว่ า่ จะเป็นปัญหามลพิษ ทางอากาศ ฝนกรด หรอื ภาวะเรือนกระจก ปัญหาเหล่าน้ลี ว้ นส่งผลกระทบต่อการดำเนินชวี ิตของมนุษยโ์ ดยตรง ปัญหาการใชพ้ ลังงานในประเทศไทย การพัฒนาไปส่คู วามทนั สมัย (Modernization) ตามแบบสังคมตะวนั ตก ไดก้ ่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงใน การใช้พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติของไทย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ก่อนการ เปลยี่ นแปลงตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 1 ซึง่ เริ่มต้นปี พ.ศ. 2504 นน้ั พลังงานทใ่ี ช้ได้แก่พลงั งาน จากนำ้ มนั ซึง่ มีปริมาณไมม่ ากนัก เพราะการคมนาคมขนสง่ การผลิตภาคอตุ สาหกรรมมีน้อย พลังงานไฟฟ้ามีจำกัด ใชใ้ นเมืองใหญห่ รือเมืองสำคัญ ผลิตโดยใชน้ ้ำมนั และถา่ นหนิ ประชาชนสว่ นใหญซ่ ึ่งอยูใ่ นชนบทใช้พลงั งาน และ ทรพั ยากรในทอ้ งถ่นิ เปน็ หลกั เพราะแบบแผนการผลิต และการบรโิ ภคยังเป็นแบบสังคมเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ เช่น ใช้พลงั งานจากแสงอาทิตย์ ไม้ฟืน ถา่ น แกลบ และเชอื้ เพลงิ อืน่ ๆ ท่ีหาไดจ้ ากธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2500 ปริมาณการใช้น้ำมันอยู่ในระดับ 6 ล้านบาร์เรล เมื่อเริ่มการพัฒนาแบบใหม่ ความ ตอ้ งการใชน้ ้ำมันได้เพ่มิ ข้ึนอย่างทวคี ณู คอื เมือ่ เร่ิมแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2510 ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 19 ล้านบาร์เรล มากขึ้นถึงกว่า 3 เท่า หลังจากนั้นอีก 10 ปี คือ พ.ศ. 2520 การใช้น้ำมันเพิ่มเป็น 70 ล้านบาร์เรล และความต้องการใช้มีอัตราเพมิขึ้นในลักษณะก้าวกระโดดอยู่ ตลอดเวลา มใิ ช่เพียงนำ้ มนั เทา่ นัน้ การใชพ้ ลงั งานของประเทศไทยมีลักษณะเพ่มิ มากขึน้ ทกุ ปี โดยการเพ่ิมในช่วง พ.ศ. 2529-2539 มอี ตั ราเพ่ิมถงึ รอ้ ยละ 16.8 นำ้ มันสำเรจ็ รูปยงั เปน็ พลงั งานท่ีใชก้ ันมากทส่ี ดุ ภาพรวมการใช้พลังงานในปี พ.ศ.2548 มีมูลค่า 1,227,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2547 ประมาณ 196,063 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19.0 โดยมูลค่าการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 147,191 ล้าน บาท หรือร้อยละ 24.3 และมูลคา่ การใชไ้ ฟฟ้าเพ่ิมขึ้น 26,811 ล้านบาท คดิ เป็นร้อยละ 8.9 จากสถิติปริมาณการนำเข้าน้ำมันในรอบ 14 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะลดลง บ้างในช่วงปี พ.ศ. 2541 และ 2542 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัญหาการลอยตัวของค่าเงินบาทในช่วง เศรษฐกิจยุคฟองสบู่แตก แต่ในปี พ.ศ.2547 ปริมาณการนำเข้าน้ำมันได้เพิ่มสูงขึ้นมาก และมีแนวโน้มว่าจะ เพ่ิมขึ้นตอ่ ไปจากการขยายตวั ทางเศรษฐกิจอยา่ งตอ่ เน่ือง การเปลี่ยนแปลงแบบแผนเศรษฐกิจ และสังคมแบบใหม่ ยังมผี ลให้เกดิ การใชพ้ ลังงานประเภทใหม่เพิ่มขึ้น เช่นเดยี วกบั น้ำมันทหี่ ลากหลายชนิดขน้ึ มที งั้ น้ำมันเบนซนิ ดีเซล น้ำมันเตา เปน็ ตน้ พลงั งานท่เี พมิ่ มากขนึ้ และ

129 ท่เี พิ่มใหม่ คือพลงั งานนำ้ แก๊สธรรมชาติ นำ้ มนั เตา ดเี ซล ซงึ่ ถูกใช้เพอื่ การผลิตพลังงานไฟฟ้า อันเป็นพลังงาน แปรรูปหรือพลังงานทุตยิ ภูมิ (Secondary Energy) ที่มีความสำคัญ และเป็นพลังงานที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และใช้กันในทกุ ระดับ ทั้งบุคคลครัวเรอื นในเมือง ในชนบท โรงงานอุตสาหกรรม ธุรกิจการค้า บริการ เป็นตน้ โดยโรงงานอตุ สาหกรรม และธุรกิจการคา้ การบรกิ ารเปน็ ผูใ้ ชไ้ ฟฟา้ สว่ นใหญ่ มปี ริมาณมากกว่าการใช้ในบา้ นเรือน ประมาณ 4-5 เท่า กรุงเทพฯ นนทบรุ ี และสมุทรปราการ ซึ่งเป็น 3 จังหวัดของเขตการไฟฟา้ นครหลวง คือผู้ ร่วมกันใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดของประเทศ คือมากกว่า 1 ใน 3 ของการใช้ไฟฟ้า หรือประมาณร้อยละ 40 ในขณะทีอ่ กี 73 จงั หวดั ทีเ่ หลือ ซง่ึ มพี ื้นที่ และจำนวนจังหวัดมากกวา่ ถึงเกอื บ 25 เท่า เป็นผูใ้ ชพ้ ลังงานไม่ถงึ 2 ใน 3 หรือประมาณร้อยละ 60 และสถานการณเ์ ป็นเช่นน้ีมาโดยตลอด มิใช่เพียงพลงั งานไฟฟา้ เทา่ น้ัน แมใ้ นส่วน ของพลงั งานโดยรวมทุกชนิดกป็ รากฏวา่ ภาคอตุ สาหกรรม และการขนส่งกเ็ ปน็ ผู้ใช้พลงั งานส่วนใหญด่ ว้ ยเชน่ กัน ใน ภาคอุตสาหกรรมนั้น อุตสาหกรรมอาหารใช้พลังงานในการผลิตมากเป็นอันดับหนึ่ง สะท้อนถึงการกินอยู่ของคน ไทยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากที่เคยกินใช้ของในท้องถิ่น ชุมชน มากเป็นการกินการใช้สินค้าข้าวของแบบ เดยี วกันทั้งประเทศ มีผลใหเ้ กิดการผลิต และการขนส่งสินค้าอปุ โภคบรโิ ภคจากแหล่งผลิตหรอื โรงงานสู่ผู้บริโภคใน พืน้ ที่ตา่ ง ๆ ทั่วประเทศเพมิ่ มากขึน้ ทงั้ ทางรถไฟ รถยนต์ เครอ่ื งบิน การเพิม่ ปรมิ าณของรถบรรทกุ ขนาดใหญ่ และ รถกระบะของพ่อค้าคนกลางผนู้ ำสินค้าเขา้ ไปจำหน่ายตอ่ ในทกุ ซอกซอย ทุกล่มุ น้ำ และการปรากฏตวั ของบะหม่ีก่ึง สำเร็จรูป กาแฟกระป๋อง น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยวแบบใหม่ เป็นต้น ในเกือบทุกหมู่บ้านของประเทศไทย ร้าน อาหารฟาสต์ฟู้ดตามเมืองต่าง ๆ อาหารจานหรูจากยุโรปที่ลัดฟ้ามาอยู่ในโรงแรมใหญ่ เป็นต้น เป็นเครื่องบ่งชี้ท่ี ชดั เจนของการใชพ้ ลังงานเพอื่ การบรโิ ภคแบบใหมท่ ่ีเพิ่มมากขึน้ การเพิ่มขึ้นของปรมิ าณรถยนต์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งของเครื่องบง่ ชี้ ที่แสดงถึงวิถีชวี ิตที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การ บริโภคพลังงาน และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาลของสังคมไทย ปริมาณรถยนต์มีการเพิ่มขึ้นเกือบ เท่าตวั หรือร้อยละ 100 ในช่วงเวลาเพยี ง 5 ปี คอื พ.ศ. 2534 มีรถยนตท์ ี่จดทะเบยี นท้ังประเทศ รวมทกุ ประเภท จำนวน 8,427,086 คัน แล้วเพิม่ เป็น 16,093,896 คัน ใน พ.ศ.2539 เพิ่มขึน้ เกือบเท่าตัวหรือกว่าในรถยนตท์ ุก ประเภท ทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์รับจ้าง รถจักรยานยนต์ รถโดยสาร รถบรรทุก คิดเฉลี่ยมีรถยนต์จด ทะเบียนประมาณ 44,093 คันตอ่ วนั และตัง้ แตป่ ี พ.ศ. 2546-2548 มรี ถยนตท์ กุ ประเภทที่จดทะเบียนใหม่กว่าปี ละ 2 ล้านคัน โดยในปี พ.ศ.2548 มีรถยนต์ทุกประเภทจดทะเบียนใหม่ 2,751,116 คัน และเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2548 มีรถยนตท์ ุกประเภทจดทะเบียนรวม 25,266,294 คนั ดงั นั้นแบบแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมแบบใหม่จงึ มผี ลกำหนดวิถีชีวิต การกินอยูก่ ารผลิต ท่ีมีผล โดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของการใช้พลังงานไฟฟ้า และพลังงานอื่น ๆ โดยผู้มีความสามารถบริโภคมากจะเป็นผู้ใช้ พลังงานมาก การใช้พลังงานในประเทศไทยจึงก่อผลกระทบในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการขาดแคลนพลงั งาน หรอื ปัญหามลพิษต่าง ๆ ปญั หาการใชพ้ ลังงานของประเทศรนุ แรงขึ้น จนอาจกล่าวไดว้ า่ เปน็ วกิ ฤตการณด์ ้านพลงั งาน ซง่ึ สรปุ สาเหตุ ของวกิ ฤตการณพ์ ลงั งานไดด้ ังนี้ ก. การขาดแคลนพลังงานประเภทนำ้ มันเชือ้ เพลงิ ข. ราคาน้ำมนั เช้ือเพลงิ ของโลกสูงขึน้ ค. ขาดความรู้ และเทคโนโลยใี นการพฒั นาพลงั งาน ง. นโยบายดา้ นพลังงานของประเทศเพิ่งเรม่ิ ต้นอยา่ งจรงิ จัง จ. ความฟุม่ เฟือย และการใชพ้ ลังงานอย่างขาดประสทิ ธิภาพ

130 4. การแก้ปัญหาวิกฤตการณพ์ ลงั งาน พลงั งานทดแทน เป็นอกี ทางเลือกหนึง่ ของการแก้ไขปญั หาพลังงาน ปัจจุบันโลกมีอัตราการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศทั่วโลกจึงแสวงหาแหล่งพลังงาน ทดแทนรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว ทั้งยังเป็นการลดปริมารก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานที่ได้จากฟอสซิล เช่น น้ำมัน และถ่านหิน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ เกิดภาวะโลกร้อน พลังงานทดแทน หมายถึง พลังงานที่ได้จากธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดในแง่ ปรมิ าณ ยกเว้นพลงั งานไฟฟา้ นิวเคลยี รแ์ ละพลังงานจากถา่ นหิน ประเทศในยุโรปมีความก้าวหนา้ ในการนำพลังงาน ทดแทนมาใช้ พลงั งานทดแทนที่สำคญั ๆ ไดแ้ ก่ พลงั งานลม พลังงานแสงอาทติ ย์ พลังงานทไี่ ดจ้ ากคล่ืนในทะเล พลังงานจากกระแสนำ้ และความรอ้ นจากใตผ้ ิวโลก รวมทงั้ พลงั งานจากกระบวนการทางชีวภาพ สำหรับประเทศไทย จากความต้องการใช้พลังงานของประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแหล่ง พลังงานในประเทศมอี ตั ราการผลิตไดไ้ ม่เพยี งพอกบั อัตราการใช้ ประกอบราคาน้ำมนั ซ่ึงเปน็ แหลง่ พลังงานสำคัญใน ตลาดโลกมีราคาแพง จึงตอ้ งเร่งรัดคน้ ควา้ หาแหล่งพลังงานทดแทน ซ่ึงเป็นพลงั งานทางเลอื กมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ สูงสดุ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานได้ศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทน ตลอดจนส่งเสริมและเผยแพร่พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็น แหล่งพลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่น ๆ เพื่อให้มีการผลิตและการใช้ ประโยชน์อยา่ งแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทงั้ ทางดา้ นเทคนิค เศรษฐกิจ และสงั คม สำหรับ ผู้ใชใ้ นเมอื งและชนบท ทศิ ทางเทคโนโลยีด้านพลงั งานทดแทนในประเทศ สามารถสรปุ รูปแบบของการพฒั นาได้เป็น 2 สว่ นหลัก ส่วนแรก คอื พลังงานทดแทนท่นี ำมาใช้แทนน้ำมนั เช้อื เพลิง ประกอบด้วย 1. พลังงานแสงอาทติ ย์ 2. พลงั งานลม 3. พลังงานชีวมวล 4. พลังงานก๊าซชวี ภาพ 5. พลงั งานขยะ 6. พลังงานนำ้ จากเขื่อนขนาดเลก็ 7. พลงั งานถา่ นหิน สว่ นทส่ี อง คือ พลงั งานทดแทนท่ผี ลติ ข้นึ ใชแ้ ทนน้ำมนั เชอื้ เพลิง ประกอบดว้ ย 1. เอทานอล (แกส๊ โซฮอล)์ 2. ไบโอดเี ซล 3. NGV 4. น้ำมันจากขยะพลาสติก 5. เซลลเ์ ช้อื เพลิง

131 4. แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ ข้อสอบประจำหน่วยที่ 7 เร่ือง เรื่อง ปัญหาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลกรอ้ น วชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและส่งิ แวดลอ้ ม รหสั 20001-1002 ระดับ ปวช. คำชี้แจง: 1 ขอ้ สอบมีจำนวน 10 ขอ้ 2. ใหน้ ักเรยี นเขียนเครอ่ื งหมาย X ขอ้ ทเี่ ห็นว่าถูกต้องทสี่ ดุ เพยี งข้อเดียวลงในกระดาษคำตอบ 1. กลุ่มประเทศที่มีประชาชนมากท่ีสุด คือกลมุ่ ประเทศใด 5. ดชั นที ีเ่ ปน็ ตัวช้วี ัดเสถยี รภาพและประสิทธภิ าพ การใช้ ก. ประเทศในทวปี อเมรกิ าเหนือ พลังงานของประเทศ คอื ข้อใด ข. ประเทศอุตสาหกรรมในทวีปเอเชยี ก. การใช้พลังงานตอ่ มูลค่า ผลติ ภัณฑ์รวมใน ค. กลุ่มประเทศยุโรปตะวนั ออก ประเทศ ง. กลุ่มประเทศกำลังพฒั นาในทวีปเอเชีย ข. ภาวะพลังงานกบั ดุลการคา้ 2. ปรมิ าณพลงั งานท่ใี ช้ตอ่ คนกลุ่มใดใช้พลงั งานมากทส่ี ดุ ค. การลงทุนในสาขาพลงั งาน ก. ประเทศทพ่ี ฒั นาแลว้ ง. ทีก่ ล่าวมาถูกทุกขอ้ 6. ในปี 2025 การใช้ ข. ประเทศที่กำลังพัฒนา พลงั งานจะเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งไร ค. ประเทศโลกที่สาม ก. ใช้พลังงานจากน้ำมันเพ่ิมขึ้น พลังงานจากถา่ น ง. ประเทศในแถบขัว้ โลกเหนือ หินลดลง 3. ในอนาคตประเทศท่คี าดว่า จะมีผลิตภัณฑม์ วลรวม ข. ใช้พลังงานจากแก๊สธรรมชาติเพิม่ ข้ึน พลังงาน ขยายตัวในอตั ราสงู กว่าประเทศอ่นื คือประเทศใด จากนิวเคลียร์ลดลง ก. ประเทศไทย ลาว พมา่ ค. ใช้พลังงานจากน้ำมนั ลดลง พลังงานจากถา่ น ข. ประเทศจนี อินเดีย หนิ เพิ่มขน้ึ ค. ประเทศอเมรกิ า อังกฤษ ง. ใช้พลังงานจากแกส๊ ธรรมชาติลดลง พลังงาน ง. ประเทศออสเตรเลีย นวิ ซีแลนด์ จากนำ้ มนั เพ่ิมขน้ึ 4. การใชพ้ ลังงานในประเทศไทย สว่ นใหญใ่ ช้เชอ้ื เพลิง 7. การใชพ้ ลงั งานถา่ นหนิ มาก ๆ พอ คือข้อใด ไปในดา้ นใดมากที่สุด ก. เกิดมลพิษทางอากาศ ก. ด้านอตุ สาหกรรม ข. ถ่านหนิ เปน็ พลังงานทหี่ ายาก จะหมดไป ข. ด้านคมนาคมขนส่ง อยา่ งรวดเร็ว ค. ดา้ นสาธารณสุข ค. เกดิ มลพิษทางน้ำ ง. ดา้ นการเกษตร ง. ถ่านหนิ มรี าคาสูง ทำให้ตอ้ งจ่ายค่าพลังงานสูง ไปด้วย

132 8. จงั หวดั ทใี่ ชไ้ ฟฟา้ ถา้ 1 ใน 3 ของการใช้ไฟฟ้าท่วั ไป 10. ทางเลือกที่ดีอกี ทางทางเลอื กหนึง่ ของการแกป้ ัญหา ประเทศคือขอ้ ใด วกิ ฤติพลงั งานอาจทำไดโ้ ดยวธิ ีใด ก. ภูเกต็ เชยี งใหม่ สงขลา ก. ผลติ น้ำมันใชเ้ อง ข. กรงุ เทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ข. ใชพ้ ลงั งาทดแทน ค. กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบรุ ี ค. ใชพ้ ลงั งานจากฟอสซลิ ง. อบุ ลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น ง. รว่ มมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพือ่ ซ้ือ พลงั งาน 9. ในปี 2548 ประเทศไทยมีรถจดทะเบียนมาก 25 ลา้ น คนั เพราะเหตุใด ก. คนไทยมธี รุ ะมากขึ้น ข. คนไทยเปล่ียนแปลงวิถชี วี ิตในการพลงั งานมาก ข้นึ ค. ประเทศไทยผลิตรถไดม้ ากข้นึ ง. ประเทศไทยมแี หลง่ พลงั งานมาก จำผลติ รถใช้ มาก

133 ใบงาน ที่ ........ 7........ หนว่ ยท่ี 8 หลกั สตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชพี สอนครั้งท.ี่ ..8 รหัส 20001-1002 พลงั งาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม เวลา.........2 ชม. ช่อื งาน........สถานการณ์ปัญหาพลังงาน 1. จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม หลังจากทำกิจกรรมนีเ้ สรจ็ แล้ว . 1. อธิบายเร่ืองสภาวะโลกรอ้ นและปรากฏการณ์เรือนกระจกได้ 2. แยกแยะประเภทวสั ดทุ ี่ทำให้โลกรอ้ นได้ 2. สมรรถนะ นักเรยี นวิเคราะหก์ ารใช้วสั ดทุ ่เี หมาะสมในชีวติ ประจำวันได้ 3. เครอื่ งมอื วัสดุ และอปุ กรณ์ เครือ่ งมือ วัสดุ-อปุ กรณ์ เอกสาร สภาวะโลกร้อนและปรากฏการณ์เรอื นกระจก เรามาดูกันวา่ ทำไมก๊าซเรือนกระจกจงึ ทำใหเ้ กดิ ภาวะโลกร้อน และมนั สง่ ผลกระทบอะไรกับโลกของเราบา้ ง เมื่อหลายปีท่ีผ่านมาคงมคี นเคยได้ยนิ เรอื่ งราวเกยี่ วกบั ปรากฏการณ์ เรือนกระจกมาบ้างแล้ว? โจเซฟ ฟรู ิเออร์ เปน็ ผู้ค้นพบปรากฏการณ์เรอื นกระจกเมือ่ ปี พ.ศ. 2367 ปรากฏการณ์เรือนกระจกนี้ทำใหโ้ ลกของเราเก็บความอบอุ่น ไว้เพือ่ ให้ส่งิ มี ชวี ติ ในโลกดำรงชวี ิตอยู่ได้ แต่ในปัจจุบนั ประชากรของโลกเรานัน้ เพม่ิ ขน้ึ มาอยา่ งรวดเร็ว จากเมื่อ 57 ปีทแ่ี ล้วมี 2,500 ลา้ นคน ปัจจบุ นั เพิ่มขน้ึ มาถงึ 6,600 ล้านคน เมือ่ ประชากรกำลงั ขยายตวั มากขนึ้ ทรัพยากรก็ถกู นำมาใช้มากมายเพ่ือสนองความ ตอ้ งการของพวกเรา ท้ังการตดั ไม้เพ่ือมาสรา้ งที่อยหู่ รือเครื่องใช้ตา่ งๆ รวมไปถงึ นำ้ มัน ก๊าซ และถา่ นหนิ ?เกิด อตุ สาหกรรมผลติ อาหารและสนิ ค้ามากมาย ผลกระทบของการเผาผลาญพลังงานเหลา่ น้ีกค็ ือก๊าซเรือนกระจกท่ี ค่อยๆจับตัวกนั บนชั้นบรรยากาศของโลก ในขณะท่ปี า่ ไม้ก็ลดลงไปอย่างรวดเรว็ เมอื่ กา๊ ซเรือนกระจกเหลา่ นจี้ ับตัวหนาอยบู่ น ชนั้ บรรยากาศ ก็ทำใหค้ วามรอ้ นจากดวงอาทิตย์ที่จะตอ้ งระบาย ออกไปอย่างสมดลุ เป็นไปไมไ่ ด้ โลกเราก็เลยเปรยี บเหมอื นเตาอบท่ีอณุ หภูมิสูงขึ้นเรอื่ ยๆ เมื่ออุณหภูมสิ งู ขึ้นเรื่อยๆ นำ้ แขง็ ท่อี ยู่ตรงข้วั โลกและท่ีธารนำ้ แข็งต่างๆ ก็จะละลายเรว็ เกินไป ปกตินำ้ แข็งจะสะสมไว้ในฤดูฝน เพื่อท่จี ะ ค่อยๆละลายออกมาไหลลงเป็นแมน่ ้ำตา่ งๆ อยา่ งเชน่ แมน่ ำ้ คงคา 70%?เป็นนำ้ ทไ่ี หลมาจากการละลายของน้ำแขง็ ที่เทอื กเขาหมิ าลัย

134 เม่อื นำ้ แขง็ ละลายเร็วเกินไปกส็ ง่ ผลกระทบมาก มายให้กับส่งิ มีชวี ติ ทอี่ ยู่บนโลก อยา่ งเช่นหมขี วั้ โลกก็จะไม่มี น้ำแข็งไว้เหยยี บ ต้องว่ายๆน้ำเป็นระยะทางไกลๆเพอื่ หาอาหาร และอาหารของมนั กห็ ายากมากขน้ึ ทุกที ทำให้หมี ขว้ั โลกนัน้ ใกล้จะสญู พนั ธุ์ สว่ นผลกระทบท่ีมตี ่อพวกเรานัน้ ก็ได้เหน็ กนั ไปมากมายแล้ว พอน้ำแขง็ ละลายอยา่ ง รวดเรว็ ก็ทำใหอ้ ุณหภูมิของมหาสมทุ รเปลย่ี นไป ส่งผลกระทบกับสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงทำให้เกดิ ภยั พิบัติ มากมาย พอนำ้ ในมหาสมุทรเปลย่ี นไปกส็ ่งผลกระทบตอ่ สง่ิ มีชีวิตท่ีอยู่ในทะเล พวกปะการังกจ็ ะคอ่ ยๆตาย?แนว ปะการงั เปน็ แหล่งอนบุ าลสตั ว์น้ำ ถ้าไมม่ ีปะการงั สตั ว์น้ำมากมายก็จะสญู พนั ธไ์ุ ป?ตวั ที่ยงั อย่กู ็ไมส่ ามารถฟักไข่ได้ เพราะอุณหภูมใิ นน้ำไมเ่ หมาะสม อนาคตถ้าเรายังไมช่ ว่ ยกันลดภาวะโลกรอ้ น เราอาจจะไม่มีปลากนิ แล้วก็ได้?? น้ำแข็งท่ีละลายอย่างรวดเรว็ ยงั ทำให้น้ำใน มหาสมทุ รสูงข้นึ เร่ือยๆ ตอนนเี้ ฉล่ยี 3 มลิ ลิเมตรต่อปี แถม แผน่ ดินกเ็ กิดเการทรุดตัวลงมาอีกด้วย แถวชานเมืองฝ่ังตะวันออกของกรงุ เทพทุรดตัวลงมา 5-10 เซนติเมตรต่อปี ถา้ เรายังไม่ช่วยกันลดภาวะโลกรอ้ น ต่อไปคงจะไดเ้ ล่นน้ำในกรงุ เทพกนั เปน็ ทะเลกรงุ เทพของแท้เลย เราสามารถชว่ ยลดกา๊ ซเรอื นกระจกเพอ่ื ลดภาวะโลก รอ้ นได้ โดยการหลกี เล่ยี งการใช้สิ่งของทที่ ำให้เกิดกา๊ ซ เหล่านี้ เช่น ตเู้ ยน็ เก่าๆท่ยี งั ใชส้ ารทำความเย็น CFCs อย,ู่ ?พวกสเปรย์ และยาฆา่ แมลงที่มีสารพวกน้ี?หรอื อาจจะ ไม่บริโภคสนิ คา้ ที่ใชย้ าฆา่ แมลง นอกจากจะดีต่อโลกแล้วยังดตี อ่ ตัวเองอกี ด้วย และวิธีท่ดี มี ากๆน่นั กค็ อื การช่วยกนั ปลูกต้นไม้ นอกจากนี้ยงั มอี กี หลายวิธีทีค่ ณุ กท็ ำได้ มาช่วยกนั เถอะครบั คนละนดิ ละหนอ่ ยเพอ่ื ลดภาวะโลกร้อน เพื่อโลกของเราน่นั เอง? การท่ีเราทิ้งขยะทกุ ประเภทรวมกนั โดยไม่แยกนั้น ทำใหข้ ยะที่สามารถนำมาใชใ้ หมไ่ ด้ (Reuse) และขยะท่ี สามารถนำไปรไี ซเคิลได้ (Recycle) ถกู ทง้ิ รวมไปกับขยะเปยี กทง้ั หลาย และอาจจะไมไ่ ดถ้ ูกนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้อีก และทอ่ี ันตรายมากกค็ ือขยะท่เี ป็นสารพิษ พวกบรรจุภัณฑ์สารเคมี กระป๋องยาฉดี กนั ยงุ พวกหลอดไฟซง่ึ มสี ารเคมี ฉาบไว้ ถา่ นไฟฉาย เหล่านลี้ ว้ นเปน็ อันตรายตอ่ สิง่ แวดลอ้ มมากๆ ถ้าเราเอาท้ิงไปรวมกบั ขยะอน่ื ๆโดยที่ไมแ่ ยก สารเคมีกจ็ ะไหลลงสพู่ ื้นดิน ถา้ ถูกเผาก็จะเป็นกา๊ ซพิษลอยข้นึ ไปในอากาศ หรือถา้ ถกู ฝ่งั กระบวนการย่อยสลายก็ จะทำให้เกิดก๊าซพิษลอยขึ้นไปในอากาศ ซ่ึงจะเป็นอันตรายตอ่ สิ่งแวดลอ้ มและเป็นสาเหตุหนง่ึ ของภาวะโลกรอ้ น ดว้ ย ในบ้านเรายงั ไมม่ ีกฎหมายทเ่ี ขม้ งวดเกย่ี วกับการแยกขยะ แต่ถ้าเราทกุ คนช่วยกันทำก็คงจะดีต่อสง่ิ แวดล้อม เวลาจะท้ิงกใ็ หเ้ ราแยกระหว่าง ขยะเปียก แก้ว พลาสตกิ และขยะท่ีเปน็ พษิ เวลาเขาเก็บไปจะได้สามารถนำไป กำจัดได้อยา่ งถกู วธิ ี บรรจุภัณฑ์ประเภทแกว้ นอกจากจะดตี ่อสงิ่ แวดล้อม เพราะวา่ สามารถนำมารีไซเคลิ ได้ นอกจากนน้ั ยงั ดีตอ่ สขุ ภาพของเราอีกด้วย เพราะขวดแกว้ จะไมท่ ำปฏิกริ ยิ าตอ่ ส่ิงทบี่ รรจุอยูใ่ นน้นั ซ่งึ หมายความว่ามันดตี อ่ สขุ ภาพของ เรา และถอื ว่าเป็นบรรจุภณั ฑ์ของยุคภาวะโลกร้อนเลยทีเดยี ว

135 เรามาดกู นั ว่าอะไรย่อยสลายยากท่สี ุด * โฟม 500 – 1,000 ปี * ผา้ อ้อมสำเรจ็ รูป 500 ปี * ถุงพลาสตกิ 100 – 450 ปี * อะลูมเิ นียม 80 – 100 ปี * เคร่อื งหนงั 25 – 40 ปี * ก้นบุหรี่ 12 ปี * ถ้วยกระดาษเคลอื บ 5 ปี * เปลือกส้ม 6 เดอื น * เศษกระดาษ 2 – 5 เดือน การท่ีเรานำของเกา่ กลบั มาใชอ้ ีก และการรีไซเคลิ นน้ั สามารถลดการใชพ้ ลังงานไปได้มาก เพราะฉะนน้ั การ แยกขยะให้เป็นประเภทและท้งิ ให้ถูกวิธีน้ัน กเ็ ปน็ วธิ หี นึ่งท่จี ะสามารถลดภาวะโลกร้อนได้ 4.คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวงั - อย่าให้นกั เรยี นทค่ี ิดได้ คิดเพยี งคนเดยี ว 6. ลำดบั ขัน้ การปฏิบัตงิ าน 7. แบ่งนักเรยี นเปน็ กลุ่มละ 5 คน เพือ่ ระดมสมอง 8. ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลมุ่ เลอื กว่า จะวางแผนการใชว้ สั ดใุ นชวี ิตประจำวนั อย่างไรบ้าง เพือ่ ให้ลดสภาวะโลก ร้อนได้ 9. นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มค้นควา้ 10. นกั เรยี นนำเสนอผลงาน รวมทกุ กลุ่มประมาณ 20 นาที 5. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรปุ 7. ผลการศกึ ษา 5. เน้อื หาทนี่ ำเสนอ 6. วธิ กี ารนำเสนอ

136 8. สรุปและวิจารณผ์ ล ............................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ............................................................ 9. การประเมินผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 10. เอกสารอ้างองิ /เอกสารคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ หนงั สือเรยี นวชิ า พลงั งาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดลอ้ มสำนักพิมพเ์ อมพนั ธ์ รหสั 20001-1002 และ อินเทอร์เนต็ http://www.greentheearth.info

137 แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ 8 หลกั สูตร ประกาศนยี บัตรวิชาชีพ สอนครั้งที่ 9-11 (17-22) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม ท-ป-น 2-0-2 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ พลงั งานทดแทน ทฤษฎี 6 ชม. 1. สาระสำคัญ ปัจจบุ นั ไดม้ ีความพยายามศกึ ษา ค้นคว้า วิจยั และพฒั นาพลังงานทดแทนรปู แบบตา่ งๆ ให้สามารถ นำมาใช้ ประโยชน์ได้สะดวก และมปี ระสิทธิภาพมากขน้ึ เพ่อื ช่วยประหยดั พลังงาน และลดค่าใชจ้ า่ ย โดยตง้ั อย่บู นพน้ื ฐาน ของการพึ่งพาพลงั งานจากแหลง่ ในท้องถิ่น และภายในประเทศให้สามารถผลิต และใช้พลังงานอย่างย่งั ยืน ซงึ่ จะเปน็ หนทางหนึง่ ท่ชี ว่ ยลดการทําลายทรพั ยากรท่กี ำลังเกดิ ข้นึ อย่างรุนแรง ในปัจจบุ นั ช่วยรกั ษาความสมดลุ ของธรรมชาติ ตลอดจนลดการสร้างปญั หามลพษิ ให้กบั สภาวะแวดลอ้ ม พลงั งานทดแทนจะเป็นหนทางหน่งึ ของการแก้ไข วิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และสงิ่ แวดล้อมของโลกได้ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นักเรียนเหน็ ความสำคัญของวกิ ฤตการณแ์ ละ ระบุแนวทางแก้ไขปญั หาได้ 2.นกั เรียนสามารถบอกความหมายของพลังงานทดแทนได้ 3.นกั เรยี นสามารถวเิ คราะห์เกยี่ วกบั พลังงานทดแทนแต่ละประเภทได้ 4.นกั เรยี นสามารถทดลองโดยใชช้ ุดทดลองพลงั งาน แสงอาทิตยไ์ ด้ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1.เห็นความสำคญั ของวิกฤตการณ์และ ระบุแนวทางแกไ้ ขปญั หาได้ 2.บอกความหมายของพลังงานทดแทนได้ 3.วิเคราะหเ์ กยี่ วกบั พลังงานทดแทนแต่ละประเภทได้ 4.ทดลองโดยใชช้ ุดทดลองพลงั งาน แสงอาทติ ย์ได้ 5. มีการพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผู้สำเรจ็ การศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ท่ีครูสามารถสงั เกตไดข้ ณะทำการสอนในเร่ือง 5.1 ความมีมนุษยสมั พันธ์ 5.2 ความมีวินยั 5.3 ความรับผิดชอบ 5.4 ความซ่อื สตั ย์สุจริต 5.5 ความเช่ือม่ันในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 5.8 การละเวน้ สง่ิ เสพตดิ และการพนนั 5.9 ความรักสามัคคี 5.10 ความกตัญญกู ตเวที 5.11 แตง่ กายตามขอ้ ตกลง ตรงเวลา รักษาส่ิงแวดลอ้ ม ใจอาสา

138 4. สาระการเรยี นรู้ 1.ความหมายของพลงั งานทดแทน 2.พลังงานแสงอาทติ ย์ (Solar Energy) 3.พลังงานน้ำ (Water Energy) 4.พลงั งานลม (Wind Energy) 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาห์ท.ี่ ..9........) ขน้ั นำเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.ครแู ละผูเ้ รยี นสนทนาถงึ วกิ ฤตการณ์ด้านพลงั งานไดก้ อ่ ตัวและทวีความรุนแรงเพิม่ มากขน้ึ ทัง้ จากการขาด แคลน แหล่งพลงงั าน และผลกระทบของการใชพ้ ลังงานทีม่ ต่ี ่อสภาวะแวดล้อมท่วั โลกตา่ งตระหนกั ถึงวกิ ฤตการณ์น้ี และพยายามคดิ คน้ เพ่อื หาทางออก แนวทางหนึ่งในการแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวคอื การใชพ้ ลงั งานทดแทน 2.ผเู้ รียนยกตวั อยา่ งการใชพ้ ลังงาน ขั้นสอน 3.ครูใช้เทคนคิ วธิ ีสอนแบบบรรยาย ด้วยการเล่าอธิบายแสดงสาธติ ให้ผู้เรยี นเปน็ ผฟู้ งั และเปิดโอกาสให้ ผเู้ รยี นซักถามปัญหาไดใ้ นตอนท้ายของการบรรยายความหมายของพลงั งานทดแทน 4.ครูเปดิ VDO ใหผ้ เู้ รียนดูพลงั งานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เชน่ เซลล์แสงอาทติ ย์เปลย่ี นพลงั งาน แสงอาทิตยเ์ ปน๋ พลังงานไฟฟ้า หรกื ารทำเครอ่ื งทํานํ้าร้อน และเครอ่ื งอบแห้งใช้พลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทติ ย์ โดยตรง และการใชพ้ ลังงานดา้ นอ่นื ๆ 5.ครแู ละผ้เู รยี นใช้เทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารอภปิ ราย พลังงานนำ้ (Water Energy) และเปิดสอื่ วดี ีโอเก่ียวกับการใช้พลงั งานน้ำให้ผเู้ รยี นดปู ระกอบ ซง่ึ กาํ ลังน้าํ เป็นแหลง่ พลงั งานที่สามารถนําไปใช้โดยวิธีการต่างๆ ได้ถงึ 5 ทาง ดงั นี้ 5.1 การสรา้ งเขื่อนหรอื กักเก็บน้ำไวใ้ นท่ีสงู 5.2 การใชพ้ ลงั งานจากนำ้ ขึ้นนำ้ ลงท่มี ีระดบั แตกต่างกันมากมาผลตกิ ระแสไฟฟา้ 5.3 การใช้พลังงานคลืน่ ในมหาสมุทรมาผลิตกระแสไฟฟา้ 5.4 การใชค้ วามแตกตา่ งของอุณหภมู ริ ะหวา่ งบรเิ วณผวิ นํ้าทะเลท่ีอบอนุ่ และบรเิ วณนาํ้ ท่ีอยู่ในระดบั ลึกซ่งึ เยน็ กวา่ 5.5 การใช้พลงั งานจากกระแสนํ้าในมหาสมุทร 6.ครแู ละผู้เรียนใช้เทคนิคการสอนแบบ Discussion Method การจดั การเรียนรแู้ บบอภิปรายพลังงานลม (Wind Energy) และเปิดวดี โี อใหผ้ เู้ รยี นดูประกอบ ซง่ึ ลมเป็นพลงั งานท่มี อี ยู่ทัว่ ไป ไมม่ ีวันหมด เกดิ จากการถา่ ยเท เคลือ่ นย้ายมวลอากาศ เพราะความ แตกต่างของอณุ หภูมใิ นบริเวณหนึ่ง ลมที่มีความรุนแรงเตม็ ที่ เช่น พายเุ ฮอรเิ คน หรอื ทอร์นาโด จะมี พลังงานสะสมอยูเ่ ทียบเท่ากับแรงระเบดิ ของระเบิดปรมิ าณ ในสมัยโบราณมนุษยร์ ู้จกั นาํ พลังงาน ลมมาใช้ เช่น สบู นา้ํ บดขา้ วโพด แลน่ เรอื ใบ เป็นตน้ 7.ผเู้ รยี นปฏิบัตกิ จิ กรรมทดลองโดยใชช้ ุดทดลองพลงั งานแสงอาทิตย์ แล้วตอบคาํ ถามทก่ี ำหนด ดงั น้ี

139 7.1 การทดลองกับใบไมแ้ ห้ง มวี ธิ ที ดลองดังน้ี ใช้คลิปท่ีเตาแสงอาทิตยห์ นบี ใบไมแ้ หง้ ช้ินเลก็ ๆ จัดให้ส่วนของใบไมท้ ตี่ ้องการเผาอยู่ตรงก่ึงกลาง ของตัวสะทอ้ นแสงในแนวต้ังฉาก หันเตา และปรับตัวสะทอ้ นแสงรับแสงอาทิตยใ้ ห้จุดรวมแสงอยูใ่ นสว่ นของใบไม้ท่ี ต้องการเผา หมนุ นอตหางปลาเพื่อปรับใหไ้ ด้จุดรวมแสงทม่ี ขี นาดเลก็ ที่สุดเท่าทีจ่ ะปรับได้ จับเวลา และสงั เกตผล ท่ี เกดิ ข้ึน 7.2 การทดลองกบั ไมข้ ีดไฟ มวี ิธที ดลองดงั น้ี นําไมข้ ีดไฟมา 1 กา้ น ใชค้ ลปิ ท่ีเตาแสงอาทิตย์หนีบไมข้ ีดไฟ จดั ใหห้ วั ไมข้ ีดอยู่ตรงก่ึงกลางของตวั สะท้อนแสงในแนวต้ังฉากหันเตา และปรับตวั สะท้อนแสงรับแสงอาทติ ยืให้จุดรวมแสงอย่ทู ห่ี วั ไม้ขดี ไฟ แลว้ หมุนนอต หางปลาเพอ่ื ปรับใหไ้ ดจ้ ดุ รวมแสงทีม่ ขี นาดเลก็ ทส่ี ุดเท่าท่จี ะปรับได้ จับเวลา และสังเกตผลที่เกดิ ขึน้ 7.3 ขอ้ ควรปฏิบตั กิ ่อนและหลงั การทดลอง กอ่ นและหลงั การทดลองควรใช้ผา้ นุ่มๆ ชุบนำ้ บิดใหแ้ ห้ง เชด็ เบาๆ เพือ่ ทําความสะอาดผิวหน้าของเตา (สว่ นท่ีสะทอ้ นแสง) โดยระวังไมใ่ หม้ รี อยขีดขว่ นทีผ่ ิวหน้าเตาเพราะจะทำ ให้การทดลองไม่ไดผ้ ลดี เม่ือเลกิ ทดลองแล้วควรเกบ็ อุปกรณ์ไว้ในกล่องให้เรียบร้อย เพอื่ ปอ้ งกนั ฝนุ่ ไมใ่ ห้มาเกาะท่ี ผิวหน้าของเตา 8.ครูแนะนำให้ผู้เรยี นบันทกึ บัญชีครัวเรือน เพอ่ื ให้เกดิ การปฏบิ ตั ิพฒั นาความรู้ ความคดิ และปฏิบัติถกู ตอ้ ง ก่อใหเ้ กดิ ความเจริญในด้านอาชพี หรือเศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม ซง่ึ การทำบญั ชีครัวเรอื นเป็นเรอ่ื งการบันทึก รายรับรายจา่ ยประจำวัน/เดอื น/ปี ว่ามรี ายรบั รายจา่ ยจากอะไรบา้ ง จำนวนเท่าใด รายการใดจา่ ยน้อยจา่ ยมาก จำเปน็ น้อยจำเป็นมาก กอ็ าจลดลงหรอื เพมิ่ ขนึ้ ตามความจำเปน็ ถา้ ทกุ คนคดิ ไดก้ ็แสดงวา่ เป็นคนรจู้ กั พัฒนาตนเอง มี เหตมุ ผี ล รู้จักพอประมาณ รกั ตนเอง รกั ครอบครัว รกั ชุมชน และรักประเทศชาติมากข้นึ จงึ เหน็ ได้วา่ การทำบญั ชี ครวั เรือน คือวถิ แี ห่งการเรียนรู้เพือ่ พฒั นาชวี ติ ตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ขน้ั สรปุ และการประยุกต์ 9.ครูและผเู้ รยี นสรปุ ความหมายของพลงั งานทดแทน พลังงานแสงอาทติ ย์ (Solar Energy) พลังงานน้ำ (Water Energy) และพลังงานลม (Wind Energy) โดยการถามตอบ และทำกจิ กรรม 10.ครูสุม่ ถามผู้เรียนรายบุคคล เพื่อทดสอบความเขา้ ใจของผู้เรยี น 11.ผ้เู รยี นตอบคำถาม ทำใบงาน และแบบประเมินผลการเรียนรู้ สปั ดาหท์ ่ี 10-11 ข้นั นำเข้าสู่บทเรียน 1.ครใู ชเ้ ทคนิคการสอนแบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรูเ้ ดิมจากสัปดาหท์ ่ผี ่านมา โดยดึงความรู้เดมิ ของผู้เรียนในเรอ่ื งทจ่ี ะเรยี น เพ่ือชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมีความพร้อมในการเช่อื มโยงความรูใ้ หมก่ บั ความรู้ เดมิ ของตน ผสู้ อนใชก้ ารสนทนาซกั ถามใหผ้ ูเ้ รยี นเล่าประสบการณ์เดิม 2.ครูและผเู้ รียนสนทนาเก่ียวกบั พลังงานความรอ้ นใตพ้ ิภพเป็นแหล่งพลงั งานธรรมชาติทมี่ ีขนาดใหญแ่ หล่งหน่ึง ของโลกเกดิ จาก การเคล่ือนตัวของเปลอื กโลก เกิดแนวรอยเล่อื นแตก ทาํ ใหน้ าํ้ บางสว่ นไหลซมึ ลงไปใต้ผวิ โลกไปสะสม ตัว และรบั ความร้อนจากช้ันหนิ ท่ีมีความรอ้ นสงู กลายเป็นนาํ้ ร้อน และไอนาํ้ ที่พยายามแทรกตวั ตาม รอยเล่อื นแตกของ ช้ันหินขึน้ มาบนผวิ ดนิ อาจจะเปน็ ในลกั ษณะของนํา้ พุร้อน ไอนา้ํ รอ้ น โคลนเดอื ด และกา๊ ซ พลงั งานความรอ้ นนจ้ี ะ

140 สะสมอย่ใู ต้ผิวโลก ยิ่งลกึ ลงไปอุณหภมู กิ ย็ ิง่ สงู ข้นึ เชน่ ท่ีระดับความลกึ ประมาณ 25-30 กิโลเมตรลงไป อณุ หภูมิ จะมคี ่าอยู่ในเกณฑ์เฉลย่ี ประมาณ 550-1,000 องศาเซลเซยี ส สว่ นทีต่ รงจุดกลางโลกจะมอี ุณหภูมิสูงมากถงึ 3,500- 4,500 องศาเซลเซยี ส ขน้ั สอน 3.ครแู ละผเู้ รียนใชเ้ ทคนคิ การบรรยายอธบิ าย โดยครูใช้ส่ือ Power Point ประกอบการสอนพลังงานความ ร้อนใตพ้ ิภพ (Geothermal Energy) นํา้ รอ้ นจากใต้พนื้ ดินสามารถนํามาถ่ายเทความร้อนให้กับของเหลวหรอื สารท่ีมี จุดเดือดตา่ํ งา่ ยต่อการเดือด และการเป็นไอ แล้วนาํ ไอทไี่ ดไ้ ปหมุนกงั หนั เพื่อขบั เคลอื่ นเครือ่ งกําเนิดไฟฟา้ 4.ครเู ปิดวดี ิทัศน์เพอื่ ให้ผู้เรยี นศึกษาพลงั งานชวี มวล (Biomass Energy) เม่อื ดูจบแล้วให้สรปุ สาระสำคญั ให้ สัมพันธ์กับเนือ้ หาการเรยี น 5.ผเู้ รยี นยกตัวอยา่ งพลงั งานทดแทนมา 1 ประเภท แลว้ วิเคราะห์จดุ เด่น ข้อจาํ กดั ของการผลติ วัตถุดบิ ที่ใชใ้ น การผลติ และได้พลงั งานเพยี งพอกบั ความตอ้ งการใช้หรอื คมุ้ กบั การลงทนุ เพียงใด โดยเขียนเปน็ แผนที่ความคิด 6.ผเู้ รยี นทำใบงาน 7.ครูแนะนำให้ผเู้ รียนบนั ทกึ บญั ชีครวั เรือน เพือ่ ให้เกิดการปฏบิ ัตพิ ัฒนาความรู้ ความคดิ และปฏบิ ตั ิ ถกู ต้อง ก่อใหเ้ กิดความเจริญในด้านอาชพี หรอื เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซง่ึ การทำบัญชีครวั เรอื นเปน็ เร่ืองการ บันทึกรายรับรายจา่ ยประจำวัน/เดอื น/ปี ว่ามรี ายรับรายจา่ ยจากอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด รายการใดจ่ายน้อยจา่ ยมาก จำเป็นน้อยจำเปน็ มาก กอ็ าจลดลงหรือเพ่มิ ขนึ้ ตามความจำเป็น ถ้าทกุ คนคิดได้กแ็ สดงว่าเป็นคนรจู้ ักพฒั นาตนเอง มี เหตมุ ีผล รู้จกั พอประมาณ รกั ตนเอง รกั ครอบครัว รกั ชมุ ชน และรักประเทศชาติมากข้นึ จงึ เหน็ ได้ว่าการทำบญั ชี ครัวเรือน คือวิถีแหง่ การเรียนรเู้ พื่อพฒั นาชีวติ ตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ขั้นสรุปและการประยุกต์ 8.ครใู ช้คำถามหรือกำหนดปัญหาโดยให้ผู้เรียนระดมสมองช่วยกนั คิดหาคำตอบแล้วอธิบายคำตอบให้เพ่ือน ทุกคนเขา้ ใจ 9.ครใู ช้วธิ สี ุ่มผู้เรยี นทกุ กลุ่มตอบคำถามและอธิบายให้เพอ่ื นฟงั ทั้งชั้นเรยี น 10.ผเู้ รียนฝึกทกั ษะทำใบงาน และแบบประเมินผลการเรยี นรู้ 6. สอื่ และแหลง่ การเรียนรู้ 1.หนงั สือเรยี น วชิ าพลงั งาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดลอ้ ม ของสำนักพิมพ์เอมพันธ์ 2.ส่อื Power Point, วดี ที ัศน์ 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้

141 7.หลกั ฐานการเรยี นรู้ 1.บันทกึ การสอนของผู้สอน 2.ใบเช็ครายชื่อ 3.แผนจัดการเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวดั และประเมินผล 8.1 วธิ กี าร 1. สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมส่งเสริมคณุ ธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤติกรรมดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เคร่อื งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผู้เรยี น) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรู้ และแบบฝกึ ปฏิบัติ 5. แบบประเมินกจิ กรรมใบงาน 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรียนร่วมกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ ่านการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรับปรุง 2. เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้มีเกณฑ์ผา่ น และแบบฝกึ ปฏิบตั ิ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมีเกณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนข้นึ อยู่ กับการประเมนิ ตามสภาพจรงิ

142 9.บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ 9.1 ขอ้ สรปุ หลงั การจดั การเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาท่ีพบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

ใบความรูท้ ี่ .....8 143 หลักสูตร ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ หนว่ ยที่ 8 รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม สอนครงั้ ท่ี 9-11 ช่อื เรอ่ื ง เรอ่ื ง พลังงานทดแทน เวลา......6............ชม. 1. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความหมายและความสำคัญของพลังงานทดแทนได้ 2. บอกขอ้ ดีและข้อเสียของการใชพ้ ลังงานนำ้ ได้ 3.บอกข้อดีและขอ้ เสียของการใช้พลงั งานแสงอาทิตย์ได้ 4.บอกผลกระทบจากการใชพ้ ลงั งานลมได้ 5. อธิบายกระบวนการแปรรปู พลงั งานชวี มวลได้ 6. อธิบายเก่ียวกบั พลังงานจากขยะได้ 7. บอกผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมจากการใชพ้ ลงั งานชวี มวลได้ 2. สมรรถนะ ผู้เรยี นมคี วามตระหนกั ในการใชพ้ ลงั งานอย่างประหยัด 3. เนอื้ หาสาระ ความหมายของพลงั งานทดแทน พลงั งานทดแทน หมายถึง พลงั งานทนี่ ำมาใช้แทนนำ้ มนั เชอื้ เพลงิ สามารถแบ่งตามแหล่งทีไ่ ด้มา เป็น 2 ประเภท คือ พลังงานทดแทนจากแหลง่ ท่ีใชแ้ ล้วหมดไป เรยี กว่า พลังงานสิน้ เปลือง (Alternative Energy) ได้แก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นวิ เคลียร์ หนิ น้ำมัน และทรายนำ้ มนั เป็นต้น และพลังงานทดแทนอีก ประเภทหนึ่งเปน็ แหล่งพลังงานทใี่ ช้แลว้ สามารถหมุนเวยี นมาใช้ไดอ้ กี เรยี กวา่ พลังงานหมนุ เวียน (Renewable Energy) ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชวี มวล น้ำ และไฮโดรเจน เปน็ ต้น พลังงานทดแทน เป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่ใน ท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล และอื่นๆ จึงมีการส่งเสริมให้มีการผลิต และการใช้ประโยชน์อยา่ ง แพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจ และสังคม สำหรับผู้ใช้ในเมือง และ ชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าว ยังรวมถึงการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ และ อุปกรณ์เพื่อการใช้งานมปี ระสิทธิภาพสูงสุดด้วย งานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทน เป็นส่วนหนึ่งของแผนงาน พัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งมีโครงการทเี่ กยี่ วขอ้ งโดยตรงภายใตแ้ ผนงานนค้ี อื โครงการศึกษาวิจัยดา้ นพลงั งาน และมี ความเชื่อมโยงกับแผนงานพัฒนาชนบทในโครงการจัดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ สำหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษา และพัฒนาพลังงานทดแทนจะเป็นงานประจำที่มีลักษณะการ ดำเนินงานของกจิ กรรมต่างๆ ในเชงิ กว้างเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยพี ลังงานทดแทน ท้ังในด้านวิชาการเชิง ทฤษฎี และอุปกรณ์เครอื่ งมือทดลอง และการทดสอบ รวมถึงการสง่ เสริมและเผยแพร่ ซ่งึ จะเป็นการสนับสนุน และ รองรบั ความพร้อมในการจดั ต้งั โครงการใหมๆ่ ในโครงการศึกษาวิจัยด้านพลงั งานและโครงการอน่ื ๆ ท่ีเก่ียวข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น การติดตามความกา้ วหน้าและร่วมมือประสานงานกับหนว่ ยงานที่เก่ียวขอ้ งในการพฒั นา

144 ต้นแบบ ทดสอบ วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมเบื้องต้น และเป็นงานส่งเสริมการพัฒนาโครงการที่กำลัง ดำเนินการใหม้ ีความสมบูรณย์ ิง่ ข้ึน ตลอดจนสนับสนุนให้โครงการที่เสร็จสิ้นแล้วไดน้ ำผลไปดำเนนิ การส่งเสริม และ เผยแพร่และการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ซึ่งการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนใหม้ ีประสิทธิภาพ และขยายวงกว้างออกไปนั้นจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนพลังงานในอนาคต และจะช่วยลดปัญหาด้านมลพิษท่ี เกิดจากการใช้พลงั งานในปจั จบุ ันลงไปด้วย วิกฤตการณ์ด้านพลังงานของโลกได้ก่อตัว และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ในระยะเวลา 10 ปที ีผ่ า่ นมา ปญั หาใหญท่ สี่ ร้างความตระหนักใหก้ ับผู้คนบนโลกได้มากท่ีสุดคงหนไี ม่พน้ ปัญหาผลกระทบของ การใช้พลังงานที่มีต่อสภาวะแวดล้อม สง่ ผลให้ทุกประเทศทัว่ โลกตา่ งตอ้ งเผชิญกับภยั อันตรายทเ่ี กดิ จากปัญหานี้ ไม่ ว่าจะเป็นอุทกภัย อัคคีภัย วาตภัย และภัยจากความแห้งแล้งที่โหมกระหน่ำทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้การ รายงานถึงสภาวะการสำรองพลังงานจากธรรมชาติของทุกประเทศมีสภาวะลดน้อย ไม่พอเพียงที่จะใช้ในระยะ เวลานานได้ อันเนื่องมาจากการขาดแคลนแหล่งพลังงานใหม่ๆ ส่งผลให้กลุ่มประเทศที่มีพลังงานจำนวนมาก รวมตัวตัวกันขึ้นราคาพลังงานจนมีราคาในระดับที่สูงมากในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงอยา่ งต่อเนือ่ งต่อไป จากสถานการณ์ดงั กล่าวจึงมีการพยายามคิดค้นเพอ่ื หาทางออกในการแก้ไขปญั หาดังกล่าว แนวทางหนึ่งท่ีค้นพบ ในการแก้ไขวกิ ฤตการณ์ดงั กล่าวคอื การใชพ้ ลังงานทดแทน ซงึ่ ในปจั จุบันได้มีความพยายามศึกษา คน้ คว้า วิจัย และพัฒนาพลงั งานทดแทนรปู แบบต่าง ๆ ใหส้ ามารถนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ดส้ ะดวก และมีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น เพ่ือ ช่วยประหยัดพลังงาน และลดค่าใช้จ่าย โดยการคิดคน้ และนำพลังงานทดแทนมาใช้ตอ้ งต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของการ พึง่ พาแหล่งพลงั งานจากในท้องถิ่น และภายในประเทศ อนั จะสง่ ผลให้สามารถผลิตและใชพ้ ลงั งานอย่างยั่งยนื อัน จะเปน็ หนทางหน่งึ ท่ชี ่วยลดการทำลายทรพั ยากรที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปัจจบุ ัน อีกทงั้ ยงั ช่วยในรักษาความ สมดุลของธรรมชาติ ตลอดจนลดการสร้างปัญหามลพิษให้กับสภาวะแวดล้อม พลังงานทดแทนจึงเป็นหนทางท่ี สำคัญหนทางหนึ่งในการแก้ไขวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อมของโลกประเภทพลังงานทดแทนที่ใช้กนั แพรห่ ลายในปจั จบุ นั ปัจจุบันพลังงานทดแทนได้มีการพัฒนาเพื่อผลิตและนำมาใช้งานค่อนข้างแพร่หลาย พิจารณาเฉพาะ ประเทศไทย นอกเหนอื จากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ถูกนำมาใชเ้ พือ่ ผลติ พลังงานไฟฟ้าอย่างท่ีทราบกันมานานแลว้ นั้น ปัจจุบันที่มีการทดลองใช้งานและหนว่ ยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมีการโหมประชาสัมพนั ธ์เพื่อให้เกิดการผลติ และใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ น้ำมันไบโอดีเซลล์ และการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยกังหันลม แม้ว่าใน ความเป็นจริงการผลิตและใช้งานน้ำมันไบโอดีเซลล์ และการผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยกังหันลม จะเป็นไปแบบคอ่ ย เปน็ ค่อยไป ยังไมเ่ ป็นท่ีแพร่หลายนกั แต่เชื่อวา่ แนวโน้มในอนาคต พลังงานทดแทนทัง้ สองประเภท ต้องมีการใช้ งานอย่างมากมายแน่นอน พลังงานทดแทนที่ใช้งานกันแพร่หลายอยู่ในโลกปัจจุบันมีด้วยกันหลายประเภท ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้าน สภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ว่ามีความเหมาะสมในการนำพลังงานชนิดใดมาใช้งาน อาทิเช่น ประเทศ เนเธอร์แลนด์ มีกระแสลมแรงอยู่ตลอดปี ต้องนั้นจึงมีการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากกังหันมาใช้อย่างกว้างขวาง หรอื พืน้ ท่ภี าคเหนอื ของประเทศไทย เช่น อำเภอฝาง จงั หวดั เชียงใหม่ มีบอ่ นำ้ พุรอ้ นท่ีใหแ้ รงดันสงู จงึ ได้มกี ารนำ พลังงานความร้อนจากนำ้ พุร้อนดังกล่าว ไปขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ได้พลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งไว้ใช้ในชุมชน เป็น โรงไฟฟ้าพลงั ความร้อนใตพ้ ิภพ เป็นตน้ ปจั จบุ ันพลังงานทดแทนทีแ่ พรห่ ลายและใช้ประโยชน์ได้จริง

145 วัฎจักรของนำ้ 1. วฏั จกั รของน้ำ น้ำเปน็ ทรพั ยากรทีม่ ีความสำคัญและจำเปน็ ทส่ี ุดต่อการดำรงชวี ติ ของคน สัตวแ์ ละพืช และ วฏั จักรของนำ้ ภายในระบบนเิ วศ กเ็ ปน็ ตวั การสำคัญท่ีทำให้ธาตุและสารประกอบที่จำเปน็ ต่อสงิ่ มีชวี ิต ไดถ้ ูกใช้ หมนุ เวียนกันอยา่ งสม่ำเสมอ นำ้ เป็นส่วนประกอบของสิง่ มชี วี ติ ประมาณ 70 เปอร์เซน็ ต์ของนำ้ หนกั ทั้งหมด วัฏ จกั รของนำ้ จะถูกส่งผ่านแลกเปลีย่ นกันระหวา่ งสว่ นทีเ่ ปน็ ผิวโลก และส่วนท่เี ปน็ บรรยากาศโดยวิธที เ่ี รยี กว่า การ กลน่ั (Precipitation) และการระเหย (Evaporation) การกลัน่ และการระเหยจะควบคมุ ปรมิ าณน้ำทม่ี อี ยใู่ น บรรยากาศ และบนพ้ืนโลกให้มปี รมิ าณคงตวั น่ันคือ ถา้ ปรมิ าณน้ำในบรรยากาศมมี ากเกินไป จะมผี ลทำให้ไอนำ้ ในบรรยากาศกลน่ั ตวั เป็นน้ำตกลงสพู่ ้ืนดิน หรอื ถา้ น้ำบนโลกมีมากเกินไปกจ็ ะมีผลทำใหน้ ำ้ ระเหยสู่บรรยากาศไดม้ าก ขน้ึ ปริมาณนำ้ จากบรรยากาศทก่ี ล่นั ตัวตกลงมา จะมีปรมิ าณเทา่ กบั น้ำจากพื้นโลกระเหยข้ึนไป วัฏจักรของน้ำจะดำรงอยู่ได้ ดว้ ยกระบวนการ 5 กระบวนการดังนี้ 1. การระเหย (Evaporation) เปน็ การเปลย่ี นสภาพของนำ้ จากของเหลวเป็นไอ เขา้ ไปปนอยใู่ นอากาศ 2. การกลั่น (Precipitation) เปน็ การเปล่ียนสภาพของนำ้ จากไอนำ้ ในอากาศมาเปน็ นำ้ ซงึ่ เปน็ ของเหลว 3. การไหล (Run off) เป็นการเคลื่อนยา้ ยนำ้ ไปสู่ท่ตี ่าง ๆ ทางผวิ ดนิ 4. การหายใจ (Aspiration) เปน็ การนำน้ำเข้าสรู่ ่างกายของส่งิ มีชีวิต อันเนื่องจากการหายใจ 5. การคายนำ้ (Transpiration) เปน็ การลดระดบั ของน้ำในส่วนประกอบของสิง่ มชี วี ติ อยา่ งหนงึ่ แหลง่ ของพลงั งานนำ้ (Water Energy) ช่วงปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 ตอ่ กบั ตน้ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 20 มนษุ ย์ได้ พัฒนาโรงงานไฟฟา้ พลังนำ้ ขึ้นมาใช้ โรงไฟฟ้าดังกล่าวมามารถเปลีย่ นพลังงานของน้ำตกให้เป็น กระแสไฟฟ้าได้โดยอาศัยเคร่ืองยนต์กังหันน้ำและเครื่อง กำเนิดไฟฟ้า นำ้ ธรรมดาน้นั ไม่อาจจะผลิตพลังงานไดน้ อกเสียจากว่ามีการไหลจากท่ีสงู ลงสู่ที่ต่ำ โรงงานไฟฟ้าพลัง น้ำส่วนมากจึงตั้งอยู่ใกล้น้ำตกและเขื่อนทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ในปัจจุบันน้ำตก สำคัญ ๆ ของโลกหลายแหง่ กไ็ ดใ้ ช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟา้ พลังนำ้ กันทง้ั น้ัน แหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ พลังน้ำอีกแหล่ง หนึ่งของโลกเราที่ควรทราบกันก็คือ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ในรอบ 24 ชั่วโมงของแต่ละวัน ระดับน้ำของ มหาสมุทรจะขึ้น-ลงเป็นประจำ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่าน้ำขึ้น-น้ำลง หลายประเทศทั่วโลก ได้ทำ โครงการท่จี ะใชป้ ระโยชน์จากสภาวะน้ำขึน้ เพ่อื นำมาผลิตไฟฟ้าพลงั น้ำ ที่สำคัญน้ำเปน็ พลงั งานสะอาด ไม่มีผลเสีย ตอ่ สิง่ แวดลอ้ มมากนัก มกี ารทดแทนต่อเนอื่ งตลอดเวลา ทำประโยชน์ใหไ้ ด้ไมส่ ิน้ สดุ แตเ่ ป็นพลังงานทีต่ อ้ งลงทนุ สูง คา่ ใช้จา่ ยในการบำรงุ รกั ษาสงู และมีปญั หาการโยกย้ายถนิ่ ฐานของชุมชนเพือ่ สร้างเข่อื นขนาดใหญ่ การท่ีจะนำมาใช้ จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ และให้สามารถใช้ได้ผลอย่างคุ้มค่าจริง ๆ กำลังน้ำเป็นแหล่งพลังงานที่สามารถ นำไปใช้โดยกลวิธกี ารตา่ ง ๆ ไดถ้ ึง 5 ทาง ดังนี้ 1. การสร้างเขื่อนหรอื กกั เก็บนำ้ ไว้ในที่สูง แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงมาตามท่อเข้าสู่เครือ่ งกังหนั น้ำผลักดนั ใบพัดให้กังหันน้ำหมุน เพลาของเคร่ืองกังหันน้ำที่ต่อเข้ากับเพลาของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะหมุนตาม เกิดการ เหน่ยี วนำข้ึนในเครื่องกำเนดิ ไฟฟา้ ทำให้เกิดพลงั งานไฟฟา้

146 2. การใชพ้ ลังงานจากนำ้ ขนึ้ น้ำลงทม่ี ีระดบั แตกต่างกนั มากมาผลิตกระแสไฟฟา้ ซง่ึ ปจั จบุ นั มีอยู่ในประเทศ ฝรัง่ เศส และรสั เซีย 3. การใชพ้ ลังงานคลืน่ ในมหาสมทุ รมาผลติ กระแสไฟฟา้ โดยการสรา้ งทุ่นลอยอยู่บนผวิ น้ำ การเคล่ือนไหว ของท่นุ ลอยเหลา่ นีโ้ ดยคล่นื ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ปัจจบุ นั หลายประเทศกำลงั ศึกษาทดลองอยู่ 4. การใช้ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างบริเวณผิวน้ำที่อบอุ่น และบริเวณน้ำที่อยู่ในระดับลึกซึ่งเย็น กว่า ความแตกตา่ งของอุณหภมู ลิ กั ษณะนี้เกดิ ขึ้นเสมอในทะเลแถบโซนร้อนโดยท่ัวไปในการผลติ ไฟฟา้ ดว้ ยไอน้ำจะมี หม้อต้มน้ำเพือ่ ผลิตไอน้ำใหไ้ ปหมุนเครอ่ื งกำเนิดไฟฟา้ โดยใช้เช้ือเพลงิ ในการเผาไหม้ แต่ในกรณีน้จี ะใช้ความร้อนของ นำ้ ในระดบั ผวิ บนซึ่งมอี ณุ หภมู ิสงู ทำใหแ้ อมโมเนียเหลวซงึ่ บรรจอุ ยูใ่ นเคร่อื งเปล่ียนพลังงานกลายเปน็ ไอ และใชค้ วาม เยน็ ในระดับลึกเปน็ ผลให้แอมโมเนียควบแนน่ กลบั มาอยู่ในสถานะของเหลวเชน่ เดิม ดงั นน้ั ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ดว้ ยเทคโนโลยนี ้ีจึงไมต่ อ้ งใชพ้ ลังงานเช้อื เพลงิ เลย ปจั จุบันอยู่ในขนั้ ศึกษาพฒั นาเพ่ือใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 5. การใชพ้ ลงั งานจากกระแสน้ำในมหาสมุทร โดยใช้การไหลวนของกระแสน้ำในมหาสมุทรท่ีเกิดข้ึนอย่าง สม่ำเสมอ และมีการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ในปริมาณมากมายมหาศาลและมีพลังงานมากพอที่จะนำมาใช้ ประโยชน์ได้ เช่น การติดตั้งกังหันคอริโอลิสในอ่าวฟลอริดาบริเวณนี้มีความเร็วของกระแสน้ำประมาณ 2 นอต ใช้กังหันประเภทนีว้ างขวางกั้นทิศทางการไหลของกระแสน้ำสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในข้ัน ศกึ ษาวจิ ัย ขอ้ ดแี ละขอ้ เสียของการใช้พลงั งานนำ้ ได้ ข้อดีของการใชพ้ ลงั งานน้ำได้ 1. น้ำเป็นพลงั งานสะอาด ไม่มีผลเสียต่อส่งิ แวดล้อมมากนัก 2. มีการทดแทนต่อเน่ืองตลอดเวลา ทำประโยชน์ให้ไดไ้ ม่สิน้ สดุ 3. ชว่ งทีม่ ีการใชไ้ ฟฟา้ สงู หรอื เรียกวา่ พคี โหลด (peak load) โรงไฟฟา้ จากพลังงานน้ำ มีความสามารถใน การเดนิ เครือ่ งได้รวดเร็ว และสามารถหยุดเดินเครอ่ื งได้ทุกเวลาตามความตอ้ งการ ต่างจากโรงไฟฟา้ ท่ีใช้ เชอ้ื เพลงิ ฟอสซลิ เปน็ เชอ้ื เพลงิ ตอ้ งใช้เวลานานในการเรม่ิ เดนิ เครื่อง ขอ้ เสยี ของการใชพ้ ลงั งานน้ำได้ 1. พลงั งานนำ้ ใชเ้ งนิ ลงทนุ สูง 2. พลังงานนำ้ เสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสงู และสถานที่ยงั ตงั้ อยู่หา่ ง 3. ทำใหส้ ญู เสยี พ้ืนท่ปี า่ ไปบางสว่ นมปี ัญหาการโยกยา้ ยถ่ินฐานของชุมชนเพอื่ สร้างเขอื่ นขนาดใหญ่ 4. พลังงานนำ้ มีความไม่แนน่ อนเกิดข้นึ เช่น หนา้ แล้ง หรอื กรณที ่ีฝนไม่ตกต้องตามฤดกู าล พลงั งานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก เป็นพลังงานที่สะอาด พลังงานที่โลกได้รับจากแสงอาทิตย์โดยตรง คือ พลังงานความร้อน และแสงสว่าง ซึ่งมนุษย์สามารถนำมาใช้ ประโยชน์ตามสภาพธรรมชาติ เช่น ใช้ในการอบหรอื ตากผลผลิตทางการเกษตร เช่น การทำเนื้อแห้ง ปลาแห้ง ผลไมแ้ หง้ การตากขา้ วโพด มนั สำปะหลงั หรือใชใ้ นการทำนาเกลือ เปน็ ตน้ แต่การใชป้ ระโยชน์จากพลังงาน แสงอาทติ ย์ยงั มขี ้อจำกดั เน่อื งมาจากแสงอาทติ ย์จะมีเฉพาะในเวลากลางวัน และความเขม้ ข้นของแสงหรือปรมิ าณ

147 ความร้อนทีไ่ ด้จากแสงอาทิตย์ไม่มีความแน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูกาลท่ีเปลีย่ นไป แสงอาทิตย์เกิด จากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียรใ์ นดวงอาทิตย์ เมื่อแสงอาทติ ย์เดินทางมาถงึ นอกช้ันบรรยากาศของโลก จะมีความ เข้มข้นของแสงโดยเฉลี่ยประมาณ 1,350 วัตต์/ตารางเมตร แต่เมื่อผ่านมายังพื้นผิวโลกความเข้มข้นของแสงจะ ลดลงเหลือประมาณ 1,000 วตั ต/์ ตารางเมตร อนั เนือ่ งมาจากการสูญเสยี ทชี่ ัน้ บรรยากาศตา่ งๆ ทห่ี ่อหุ้มโลก เช่น ชั้นโอโซน ชั้นไอน้ำ ชั้นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น ปริมาณแสงอาทิตย์ท่ีไดร้ ับบนพืน้ ทใ่ี ด จะมีปรมิ าณสูงสุดเมือ่ พื้นท่ีนนั้ ทำมุมต้งั ฉากกบั แสงอาทิตย์ ประเทศ ไทยเป็นประเทศทีต่ ั้งอยู่ในเขตใกล้เสน้ ศนู ย์สตู ร คอื อยรู่ ะหวา่ งเสน้ ขนานที่ 6 – 10 องศาเหนือ จงึ ได้รับพลงั งาน แสงอาทิตย์ค่อนข้างสูง ค่าความเข้มพลังงานแสงอาทิตย์รวมเฉลีย่ ของประเทศ ประมาณ 4.7 กิโลวัตต์-ชั่วโมง / ตารางเมตร / วัน หากสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตยท์ ี่สาดสอ่ งลงมาบนพื้นท่ขี องประเทศไทยเพียงหนง่ึ ในร้อยส่วน ของพน้ื ทท่ี ้ังหมด จะได้พลงั งานเทยี บเทา่ กับการใชน้ ้ำมันดิบประมาณ 7,000,000 ตันต่อปี และหากสามารถปรับ พ้ืนทร่ี ับแสงใหต้ ิดตามแสงอาทติ ยไ์ ดต้ ลอดเวลา คาดวา่ จะสามารถรับแสงไดเ้ พิม่ ขึน้ อกี ประมาณ 1.3 – 1.5 เทา่ เลย ทีเดยี ว การนำพลงั งานแสงอาทติ ยม์ าใช้ทำได้ 2 ลกั ษณะ คอื กระบวนการเปลยี่ นรปู เปน็ พลงั งานความรอ้ น โดย ใหแ้ สงอาทิตย์ส่องผา่ นแผ่นรบั แสงมาตกกระทบยังพืน้ สดี ำ เป็นผลใหเ้ กิดความร้อนเพม่ิ มากขึน้ เหนอื บริเวณพืน้ ทำให้ สามารถนำพลังงานความร้อนที่ได้ไปใช้ประโยชนใ์ นลักษณะต่าง ๆ เช่น นำไปใช้ผลิตน้ำร้อน กลั่นน้ำ อบแห้ง พืชผลทางการเกษตร ส่วนการพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้อีกรปู แบบหนึง่ คือ กระบวนการเปลีย่ นรูปเป็นพลังงาน ไฟฟ้า โดยเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบลงแผงเซลล์แสงอาทิตย์ เซลล์แสงอาทิตย์จะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตย์เป็นพลงั งานไฟฟ้า เพ่อื นำไปใชก้ ับอปุ กรณ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ การผลติ ไฟฟ้าโดยเซลลแ์ สงอาทิตย์ (Solar cell) เซลล์แสงอาทติ ย์ มกี ำเนิดในช่วงปี ค.ศ.1950 ที่ Bell Telephone Laboratory ประเทศสหรฐั อเมริกา โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เบ้อื งต้นเพื่อผลิตไฟฟา้ จากแสงอาทิตย์ สำหรับใช้ในโครงการอวกาศ ต่อมาจึงไดเ้ รม่ิ มกี ารนำมาใช้ อย่างกวา้ งขวางทั้งในกจิ วตั รประจำวันและในระบบอุตสาหกรรม โดยในระยะแรกเซลล์แสงอาทิตย์จะมีราคาแพง มาก จึงจำกัดการใช้งานในระบบวิทยุสื่อสารและระบบแสงสว่างขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น เซลล์ แสงอาทติ ย์ เปน็ สิง่ ประดษิ ฐท์ ส่ี ร้างขน้ึ มาเพอ่ื เป็นอุปกรณ์สำหรับการเปล่ยี นพลงั งานแสงให้เปน็ พลงั งานไฟฟ้า โดย การนำสารกึ่งตวั นำ เช่น ซลิ ิกอน ซึ่งมีราคาถูกท่ีสุดและมีมากท่ีสดุ บนโลกมาผ่านกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ผลิต ให้เป็นแผน่ บาง บรสิ ุทธิ์ และในทนั ทีทมี่ ีแสงตกกระทบบนแผน่ เซลล์ รงั สีของแสงที่มอี นภุ าคของพลงั งานประกอบ ที่เรียกว่า โปรตอน (Proton) จะถา่ ยเทพลังงานให้กับอิเล็กตรอนในสารก่งึ ตวั นำ จนมพี ลงั งานมากพอที่จะกระโดด ออกมาจากแรงดึงดูดของอะตอม และสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ เมื่ออิเล็กตรอนมีการเคลื่อนที่ได้ครบวงจร จะทำให้เกดิ ไฟฟ้ากระแสตรงขน้ึ ดงั นนั้ เมื่อมกี ารเช่ือมกบั วงจรภายนอก เชน่ เอาหลอดไฟฟ้ามาต่อครอ่ มข้ัวต่อกจ็ ะ เกิดการไหลของอิเล็กตรอน ส่งผลให้หลอดสว่างได้ และจะให้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่ยังมี แสงอาทิตย์ตกกระทบเซลล์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที หรือนำไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อใช้งานใน ภายหลงั ได้ ข้อมูลของการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อใช้งานในประเทศไทย มีหน่วยงานต่างๆ ได้ติดตั้งเซลล์ แสงอาทิตย์ที่มีลักษณะการใช้งานเป็นการติดตั้งเพื่อใช้งานในพื้นที่ห่างไกล เช่น สถานีเติมประจุแบตเตอรี่ ระบบสื่อสารหรือสถานีทวนสัญญาณขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

148 ระบบไฟฟ้าหมู่บ้านที่ห่างไกล ระบบไฟฟ้าในโรงเรียนประถมศึกษา สาธารณสุข และไฟสัญญาณไฟกระพริบ นอกจากนั้นยังมีการใช้งานพลังงานแสงอาทติ ยผ์ สมผสานกบั พลงั งานรปู แบบอื่นๆ ด้วย เช่น พลงั งานนำ้ พลงั งาน ลมและใช้ร่วมกบั เครอื่ งยนตด์ เี ซลด้วย การผลติ ไฟฟา้ ด้วยเซลล์แสงอาทิตยม์ ี 3 ระบบ ดังน้ี 1. การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตยช์ นิดติดตั้งอสิ ระ เป็นระบบผลิตไฟฟ้าที่ออกแบบ สำหรับใช้ งานในพ้ืนท่ชี นบทท่ีไม่มรี ะบบสายส่งไฟฟา้ อุปกรณร์ ะบบทสี่ ำคญั ประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์ควบคุม การประจแุ บตเตอร่ี และอุปกรณเ์ ปลย่ี นระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับแบบอิสระ 2. การผลิตกระแสไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดตอ่ เชือ่ มระบบสายสง่ เป็นระบบผลติ ไฟฟ้าท่ีถูกออกแบบ สำหรบั ผลติ ไฟฟ้าผา่ นอุปกรณ์เปล่ียนระบบไฟฟา้ กระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลบั เขา้ สู่ระบบสายส่งไฟฟ้าโดยตรง ใช้ ผลติ ไฟฟ้าในเขตเมอื งหรอื พื้นท่ีท่ีมีระบบจำหน่ายไฟฟ้าเข้าถงึ อปุ กรณร์ ะบบที่สำคญั ประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์เปลีย่ นระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลบั ชนิดตอ่ กบั ระบบจำหนา่ ยไฟฟ้า 3. การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบผสมผสาน เป็นระบบผลิตไฟฟ้าที่ถูกออกแบบสำหรับ ทำงานร่วมกับอปุ กรณ์ผลิตไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น ระบบเซลล์แสงอาทิตยก์ ับพลังงานลม และเครื่องยนต์ดีเซล ระบบเซลล์ แสงอาทิตย์กับพลังงานลม และไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นต้น โดยรูปแบบระบบจะขึ้นอยู่กับการออกแบบตามวัตถุประสงค์ โครงการเปน็ กรณี การใชพ้ ลังงานแสงอาทิตยข์ องประเทศไทย ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ของพื้นที่แห่งหนึ่งจะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีดวงอาทิตย์ที่ตกกระทบ พื้นท่นี ั้น โดยบริเวณที่ไดร้ ับรังสีดวงอาทติ ยม์ ากจะมศี กั ยภาพในการนำพลังงานแสงอาทติ ย์มาใช้งานสงู ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทย (พ.ศ. 2542) โดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และคณะ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่าการกระจายของความเข้มรังสีจากดวงอาทิตย์ตามบริเวณต่าง ๆ ในแต่ละ เดือนของประเทศ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต้ และพื้นที่ส่วนใหญ่ ของประเทศไดร้ บั รังสีดวงอาทติ ยส์ ูงสุดระหว่างเดือนเมษายน และพฤษภาคม โดยมีค่าอยู่ในช่วง 20 ถึง 24 เมกะ จลู /ตารางเมตร-วนั ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์รายวันเฉล่ียต่อปี พบว่าบรเิ วณท่ีไดร้ บั รงั สีดวงอาทิตยส์ ูงสุดเฉลี่ยทัง้ ปีอยู่ทีภ่ าค ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยครอบคลุมบางส่วนของจงั หวดั นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร อบุ ลราชธานี และอุดรธานี และบางส่วนของภาคกลางทจี่ ังหวดั สุพรรณบุรี ชยั นาท อยุธยา และลพบุรี โดยไดร้ บั รังสี ดวงอาทิตย์ เฉลี่ยทั้งปี 19 ถึง 20 เมกะจูล/ตารางเมตร-วัน พื้นที่ดังกล่าวคิดเป็น 14.3% ของพื้นที่ทั้งหมดของ ประเทศ นอกจากนยี้ ังพบว่า 50.2% ของพ้ืนที่ทง้ั หมดไดร้ ับรังสีดวงอาทติ ยเ์ ฉล่ียทั้งปี ในช่วง 18-19 เมกะจลู /ตาราง เมตร-วัน จากการคำนวณรงั สีรวมของดวงอาทิตย์รายวนั เฉลีย่ ต่อปีของพื้นที่ทั่วประเทศพบวา่ มีค่าเท่ากบั 18.2 เมกะ จลู /ตารางเมตร-วนั จากผลท่ีไดน้ ี้แสดงใหเ้ ห็นวา่ ประเทศไทยมีศักยภาพพลงั งาน แสงอาทิตย์ค่อนขา้ งสูง การใช้พลงั งานแสงอาทติ ยใ์ นประเทศไทย ปจั จบุ ัน (ปี 2550) มีการติดตงั้ การใชง้ านระบบไฟฟา้ ด้วยเซลล์แสงอาทิตยป์ ระมาณ 32,249.992 กิโลวตั ต์ ส่วนใหญจ่ ะเปน็ การใชง้ านในพื้นท่ที ไี่ มม่ ไี ฟฟา้ เขา้ ถึง กิจกรรมทีน่ ำเซลลแ์ สงอาทติ ย์ไปใช้งานมากท่สี ุด คอื ระบบผลิต ไฟฟา้ ดว้ ยเซลลแ์ สงอาทติ ย์ รองลงมาเปน็ ระบบผลิตไฟฟ้าเชื่อมตอ่ กบั ระบบจำหนา่ ย ระบบประจแุ บตเตอรร์ ดี่ ว้ ยเซลล์ แสงอาทติ ย์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และระบบสบู น้ำ ตามลำดบั ซง่ึ หนว่ ยงานทีน่ ำระบบดงั กล่าวไปใชป้ ระโยชน์ ยงั คงเป็นหนว่ ยงานของรฐั ท่ีจัดหาพลงั งานสำหรับสาธารณประโยชน์

149 ตาราง การผลติ ไฟฟา้ จากเซลล์แสงอาทติ ย์ใช้ในกิจกรรมตา่ ง ๆ ของประเทศไทย ลำดับที่ กจิ กรรมใชง้ าน จำนวนการตดิ ตั้ง (kw) ร้อยละ 1 ระบบผลติ ไฟฟา้ 25,996.781 80.61 1,400.954 4.34 2 ระบบประจแุ บตเตอร่ี 1,142.022 3.54 3,382.014 10.49 3 ระบบสือ่ สารโทรคมนาคม 328.221 1.02 4 ระบบผลิตไฟฟ้าเช่อื มตอ่ กับระบบจำหน่าย 32,249.992 100 5 ระบบสูบน้ำ รวม ข้อดีและขอ้ เสียของการใชพ้ ลังงานแสงอาทิตย์ ขอ้ ดขี องพลังงานแสงอาทติ ย์ ในอดีตการผลติ ไฟฟ้าจากเซลลแ์ สงอาทิตย์มีราคาแพงมาก แตเ่ น่อื งจากปัจจุบันราคาของเซลล์แสงอาทิตย์ ได้ลดลงมาอย่างมาก และมีแนวโนม้ วา่ จะลดลงอีกเรอื่ ย ๆ เพราะประชาชนโดยทว่ั ไปได้ตระหนกั ถงึ สภาวะแวดล้อม เป็นพิษ เนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ในการผลิตพลังงานจึงหันมาใช้เซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การผลติ ไฟฟ้าจากเซลลแ์ สงอาทติ ย์มจี ดุ เด่นท่สี ำคญั แตกต่าง จากวธิ อี ื่นหลายประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ไมม่ ชี ้ินสว่ นท่เี คลื่อนไหวในขณะใช้งาน จึงทำใหไ้ มม่ มี ลภาวะทางเสยี ง 2. ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ มลภาวะเปน็ พิษจากขบวนการผลติ ไฟฟา้ 3. มกี ารบำรุงรกั ษานอ้ ยมากและใช้งานแบบอัตโนมัติได้ง่าย 4. ประสทิ ธภิ าพคงท่ีไม่ข้ึนกบั ขนาด 5. สามารถผลิตเปน็ แผงขนาดตา่ ง ๆ ได้ง่าย ทำให้สามารถผลติ ไดป้ ริมาณมาก 6. ผลิตไฟฟ้าแมม้ แี สงแดดออ่ นหรอื มเี มฆ 7. เป็นการใชพ้ ลงั งานแสงอาทิตยท์ ไ่ี ด้มาฟรแี ละมีไม่สิน้ สุด 8. ผลิตไฟฟ้าไดท้ ุกมุมโลกแม้บนเกาะเลก็ ๆ กลางทะเล บนยอดเขาสูง และในอวกาศ 9. ไดพ้ ลงั งานไฟฟา้ โดยตรงซ่ึงเป็นพลังงานที่นำมาใชไ้ ดส้ ะดวกทสี่ ุด ขอ้ เสียของการใชพ้ ลงั งานแสงอาทติ ย์ 1. ค่าใช้จา่ ยในการติดตง้ั และอุปกรณใ์ นการติดต้งั ราคาคอ่ นขา้ งแพง 2. ขึ้นอยกู่ บั สภาวะภมู อิ ากาศ 3. ผลกระทบจากระบบผลิตความร้อนและความเยน็ จากแสงอาทติ ย์ อาจเกดิ การร่วั ซึมของสารทำงานทใ่ี ช้ ในระบบ เกิดการแพร่ของเชื้อราหรือแบคทีเรียที่เติบโตในหน่วยเก็บสะสมพลังงานเข้าไปในห้องหรืออาคาร และ อาจเกิดอนั ตรายในการติดตัง้ ระบบทจี่ ำเปน็ ตอ้ งตดิ ต้ังบนหลังคา 4. ผลกระทบจากระบบผลิตไฟฟา้ เซลลแ์ สงอาทติ ย์ อาจเกดิ ไฟรว่ั ในระหวา่ งการประจุแบตเตอรไ่ี ด้ 5. ผลกระทบจากระบบผลติ ความร้อนขนาดใหญ่ ในระบบทีใ่ ชต้ ัวเก็บรงั สอี าทิตยข์ นาดใหญจ่ ะตอ้ งใชพ้ ื้นท่ี มาก จะมีผลกระทบตอ่ รงั สที ่สี ะท้อนจากพืน้ ดนิ (albedo) ซึง่ มีผลตอ่ ความเรว็ ลม ปริมาณเมฆ และปริมาณฝนใน บรเิ วณนนั้ และมผี ลกระทบตอ่ อัตราการระเหยของน้ำบนพนื้ ดิน

150 พลังงานลม (Wind Energy) ลมเป็นพลังงานที่มีอยู่ทั่วไป และเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ กล่าวคือเมื่อเกิดการถ่ายเทเคลื่อนย้ายมวลอากาศเพราะความแตกต่างของอุณหภูมิในบริเวณหน่ึง ไปยังอีกบริเวณ หนึ่งจะทำให้เกิดลม นอกจากอุณหภูมิแล้วความดันบรรยากาศและแรงจากการหมุนของโลก ก็เป็นปัจจัยท่ี กอ่ ใหเ้ กดิ ความเรว็ ลมและกำลงั ลมดว้ ยเช่นกัน และลมท่มี คี วามรนุ แรงเต็มที่ เชน่ พายุเฮอรเิ คนหรอื ทอร์นาโด จะ มีพลังงานสะสมอยู่เทียบเท่ากับแรงระเบิดของระเบิดปรมาณู ในสมัยโบราณมนุษย์รู้จักนำพลังงานลมมาใช้ เช่น สบู น้ำ บดขา้ วโพด และแลน่ เรือใบ เป็นตน้ ปจั จบุ นั มนุษยไ์ ด้ใหค้ วามสำคญั และนำพลงั งานจากลมมาใช้ประโยชน์ มากขน้ึ เน่ืองจากพลงั งานลมมอี ย่ทู ่วั ไป ไม่ต้องซอ้ื หา เป็นพลงั งานทส่ี ะอาดไมก่ อ่ ให้เกดิ อันตรายต่อสภาพแวดล้อม และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างไม่รู้จักหมดสิน้ ประมาณกันว่าปจั จุบันทั่วโลกมีกังหันลมท่ีใช้ในการสูบนำ้ มากกวา่ 1 ลา้ นตัว และเปน็ กังหันลมท่ีใช้ผลิตไฟฟ้าขนาดหนงึ่ กิโลวัตต์ขนึ้ ไปมากกว่า 12,000 ตัว การผลติ ไฟฟา้ จากพลังงานลมจะใชค้ วบคไู่ ปกับการผลิตพลังงานไฟฟา้ จากพลังงานรปู อืน่ เชน่ พลังงานแสงอาทติ ย์ เปน็ ตน้ กระแสลมโดยเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ในระดับกลางถึงต่ำ มีความเร็วของกระแสลมต่ำกว่า 4 เมตรต่อ วินาที เราได้นำพลังงานจากกระแสลมมาใช้ในการหมุนกังหันลมสูบน้ำ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศไทยประมาณ 5,800 ชุด และมีการคิดค้นพัฒนาในการนำกังหันลมมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดย เฉพาะที่แหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ต ได้นำกังหันลมมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าร่วมกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก แสงอาทติ ย์ พลังงานลม การเกิดพลงั งานลมและลมในประเทศไทย พลังงานลมถอื เป็นพลังงานที่สะอาด ไมก่ ่อใหเ้ กิดอันตรายต่อสงิ่ แวดล้อม ใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างไม่มีวันหมด พลงั งานลมเกดิ จากอากาศได้รบั ความรอ้ นทแ่ี ผ่รังสีจากดวงอาทติ ย์ ทำใหค้ วามหนาแนน่ ของอากาศลดลง อากาศ รอ้ นทเ่ี บากวา่ จะลอยตวั ขึ้นสู่เบ้ืองบน อากาศเยน็ ทีห่ นกั กวา่ จะเคลื่อนตวั เข้าแทนท่ี เชน่ บรเิ วณเขตศนู ย์สูตรจะมี อากาศท่ีร้อนกว่าบริเวณเขตขัว้ โลก เมอื่ เคลอื่ นตัวเขา้ มาแทนทจ่ี ะก่อให้เกิดกระแสลมพัดผ่านกระจายอยทู่ ่วั ไปในช้ัน บรรยากาศ การหมนุ ของโลกยงั เป็นปัจจัยที่มีผลตอ่ ความเร็วของลมหรือกำลังลม ดงั นน้ั ลมคอื การเคล่ือนไหวของ อากาศ ถา้ ลมแรง แสดงวา่ มวลของอากาศเคลอ่ื นตวั มาก และเรว็ การวัดทิศทางของลมใช้เคร่อื งมือทีเ่ รยี กวา่ ศร ลม (wind vane) ส่วนการวัดความเร็วของลมใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อะนีมอมิเตอร์ (anemometer) สำหรับ หน่วยวัดความเร็วของลมมีหน่วยที่ใชก้ ันอยู่หลายหน่วย ได้แก่ นอตหรือไมล์ทะเลต่อชั่วโมง กิโลเมตรตอ่ ช่วั โมง และไมลบ์ กต่อชว่ั โมง ลมสำคัญทเ่ี กิดขึ้นในประเทศไทย 1) ลมมรสมุ คือ ลมประจำฤดูของไทย เกดิ ข้ึนเพราะอุณหภูมิทแ่ี ตกตา่ งระหว่างมวลอากาศ ในเขตพื้นดินกับพื้นนำ้ ในแต่ละฤดูกาล จึงเกิดการไหลเวียนของอากาศระหว่างพื้นน้ำกับพื้นดิน ลมมรสุมมีกำลัง อ่อนบา้ งแรงบา้ ง ขน้ึ อยกู่ บั แนวรอ่ งความกดอากาศต่ำ 1.1) ลมมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้ หรือเรียกวา่ ลมมรสมุ ฤดูร้อน พดั จากมหาสมทุ รอินเดียเข้า สู่ประเทศไทยในระหว่างเดือนพฤษภาคมถงึ เดือนตุลาคม หอบเอาความชนื้ จากทะเลมา ปะทะแนวเขา เกิดเป็นฝนตกชุกในแถบภาคใต้ฝั่งอันดามัน พัดผ่านประเทศไทยขนึ้ เหนือส่ปู ระเทศจีนตอ่ ไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook