Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-book anatomy ส่ง

e-book anatomy ส่ง

Published by ศุภิสรา แท่นแก้ว, 2021-10-14 17:25:47

Description: e-book anatomy ส่ง

Search

Read the Text Version

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การกาเนิดไข่ ▪ ในรงั ไข่ของทำรกมี oogonium ประมำณ 7 ลำ้ นใบ เรยี ก primordial follicle เหน็ nucleolus ชดั เจน ลอ้ มรอบดว้ ย follicular cells ซง่ึ ยงั เป็น เซลลแ์ บนๆ ชนั้ เดียว ▪ Oogonium มี 46 chromosome (2n) แบง่ เซลลแ์ บบ mitosis หลำยครงั้ กลำยเป็น primary oocyte ซง่ึ ระยะนีf้ ollicular cells จะหนำตวั ขนึ้ มีกำร แบ่งตวั ไดเ้ ป็น cells หลำยๆชน้ั ซง่ึ รอบๆ cell membrane จะมี membrane หนำ เรยี ก zona pellucida สว่ น connective tissue cells ท่ีอย่โู ดยรอบจะ ห่อหมุ้ เป็น capsule เรยี ก theca folliculi ต่อมำ primary oocyte ก็จะเจรญิ ตอ่ ไป จนถึงระยะกำรแบง่ เซลลแ์ บบ meiosis ครงั้ ท่ี 1 ก็จะหยดุ เจรญิ เตบิ โต รอจนกว่ำ ตวั อ่อนจะคลอดออกมำแลว้ เจรญิ เตบิ โตจนเขำ้ ส่วู ยั ▪ เม่ือเขำ้ ส่วู ยั เจรญิ พนั ธจุ์ ะไดร้ บั กำรกระตนุ้ โดย FSH จำกต่อม ▪ primary oocyte ซง่ึ อย่ภู ำยใน primodial follicle ก็จะเจรญิ ตอ่ ไปจน กลำยเป็น growing และ graafian follicle ▪ ก่อนมีกำรตกไข่ primary oocyte ท่ีอยใู่ น graafian follicle ก็จะแบง่ เซลลแ์ บบ meiosis ครงั้ ท่ี 1 โดยสมบรู ณ์ ท ำใหไ้ ดเ้ ซลล์ 2 ชนดิ ซง่ึ มีจำนวนของ chromosome ลดลงคร่ึ งหน่ึ งเป็น 23 chromosome (n) เซลลช์ นิดแรกเป็น เซลลข์ นำดใหญ่มี cytoplasm มำก เรยี กวำ่ secondary oocyte หรอื ootid เซลลช์ นิดท่ี 2 มีขนำดเลก็ cytoplasm นอ้ ยกวำ่ เรยี กว่ำ first polar body ซง่ึ ทงั้ 2 เซลลย์ งั คงอย่ใู น zona pellucida ▪ secondary oocyte จะหยดุ กำรเจรญิ เติบโตรอจนมีกำรตกไข่ ▪ ในขณะตกไข่ secondary oocyte และ first polar body ซง่ึ มี zona pellucida และ corona radiata หอ่ หมุ้ ก็จะเคล่ือนผ่ำนไปตำมทอ่ ไข่ ▪ เม่ือsecondary oocyte ไดร้ บั กำรผสมกบั sperm กำรแบง่ เซลลแ์ บบ meiosis ครง้ั ท่ี 2 เกิดขนึ้ ทนั ทีกลำยเป็น mature ovum และ second polar body ▪ กรณีท่ีไมไ่ ดร้ บั กำรปฏสิ นธิsecondary oocyte ก็จะไมม่ ีกำรแบง่ เซลล์ และสลำยตวั ภำยในท่อน ำไข่ แลว้ อีก 14 วนั ต่อมำ primary oocyte กล่มุ ใหมใ่ นรงั ไขก่ ็จะไดร้ บั กำรกระตนุ้ โดย hormone จำกตอ่ มใต้ สมองใหส้ รำ้ งเซลลไ์ ข่เซลลใ์ บใหมต่ ่อไป

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM พัฒนาการของฟอลลเิ คลิ ในรังไข่ OOGENESIS

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การปฏสิ นธิ (FERTILIZATION) สัปดาหท์ ่ี 1

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การปฏสิ นธิ (FERTILIZATION)

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การปฏสิ นธิ (FERTILIZATION)

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การปฏสิ นธิ (FERTILIZATION)

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การปฏสิ นธิ (FERTILIZATION) Trophoblast cells Inner cell mass Inside wall of the mother’s uterus

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การปฏสิ นธิ (FERTILIZATION) สรุป ▪ Oocyte เม่ือ ovulate จำกรงั ไขม่ ีเปลือกหมุ้ อยู่ คือ zona pellucida และ corona radiate ▪ กำรปฏิสนธิเกิดขนึ้ บรเิ วณ ampulla ของ uterine tube เกิดหลงั ovulation ประมำณ 12-24 ชม. ▪ หลงั กำรปฏิสนธิผ่ำนไปประมำณ 30 ชม. First cleavage เสรจ็ สนิ้ ลงได้ 2 cell stage มี 2 blastomere ▪ วนั ท่ี 3 หลงั ปฏิสนธิ zygote มีประมำณ 8-12 blastomere เรยี ก morula ▪ วนั ท่ี 4 จำนวน blastomere เพม่ิ ขนึ้ ▪ เม่ือ morula เคล่ือนเขำ้ สู่ uterine cavity zona pellucida เรม่ิ สลำยไปทำ ให้ fluid ซมึ เขำ้ ไปเป็นชอ่ งภำยในเรยี กวำ่ blastocyst cavity ระยะนี้ เรยี กวำ่ blastocyst ▪ วนั ท่ี 6 blastocyst เคล่ื อนไปแตะท่ีผวิ endometrium

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM สัปดาหท์ ี่ 2 IMPLANTATIO N

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การฝังตัว (IMPLANTATION) ▪ zona pellucida เรม่ิ สลำยไป Blastocyst จะไดร้ บั สำรอำหำรจำก uterine gland ▪ ประมำณวนั ท่ี 6-7 blastocyst จะเรม่ิ ฝังตวั ลงใน endometrium ▪ ตำแหนง่ ในกำรฝังตวั posterior wall ของ body หรอื fundus of uterus ▪ trophoblast จะแบ่งตวั เป็น 2 ชน้ั ▪ ชน้ั ท่ีตดิ อยกู่ บั endometrium จะไม่เหน็ ขอบเขตเซลลช์ ดั เจนและเหน็ เป็นลกั ษณะ คลำ้ ย multinucleated cell เรยี กวำ่ syncytiotrophoblast ➢ ชนั้ ท่ีอย่ลู กึ กวำ่ และเห็นขอบเขตเซลลช์ ดั เจน เรยี กวำ่ cytotrophoblast ซง่ึ จะปล่อย enzyme ไปย่อยสลำย endometrial tissue ชว่ ยให้ blastocyst ฝังตวั จม ลงไปใน endometrium และยงั ทำใหไ้ ดร้ บั สำรอำหำรจำก endometrial tissue ➢ ทงั้ 2 ชน้ั นี้ จะเจรญิ ไปเป็น chorion ➢ Blastocyst มีกำรเปล่ียนแปลงรูปรำ่ ง

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM การฝังตัว (IMPLANTATION) ➢ Embryoblast มีกำรจดั รูปใหม่ ไดเ้ ป็นกล่มุ เซลลแ์ บนๆ เรยี ก embryonic disc ประกอบดว้ ยเซลล์ 2 ชนั้ คือ epiblast รูปรำ่ งสงู ชิด ทำง cytotrophoblast จะเจรญิ เป็นเซลลเ์ กือบทง้ั หมดของตวั ออ่ น (วนั ท่ี 8) ➢ Hypoblast รูปรำ่ งหลำยเหล่ียมอยชู่ ดิ ทำง blastocyst cavity มีกำร แบง่ ตวั ไปเป็นส่วนหนง่ึ ของ extraembryonic membrane (วนั ท่ี 8) ➢ ซง่ึ 2 เซลลน์ ี้ เรยี ก bilaminar germ disc ▪ เกิดชอ่ งวำ่ งระหว่ำง embryoblast กบั trophoblast เป็นโพรงใหญ่เรยี ก amniotic cavity ▪ เซลลแ์ บนๆ ขนำดใหญ่ตำมแนวของขอบ trophoblast เรยี ก amnioblast ซง่ึ จะเจรญิ เป็น amnion ▪ Hypoblast แบ่งตวั เรยี ก exocoelomic membrane มีโพรงตรงกลำง เรยี ก primary yolk sac ▪ ต่อมำ cytotrophoblast จะแบง่ ตวั เป็นเซลลอ์ ีกชนั้ หน่งึ เรยี ก extraembryonic mesoderm หมุ้ รอบ amnion และ primary yolk sac ▪ เรม่ิ มี uteroplacental circulation ▪ ในขณะมีกำรฝังตวั ของตวั อ่อน อำจมี implantation bleeding ได้

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM สัปดาหท์ ี่ 3 ▪ กำรเจรญิ ระยะนีจ้ ะเรว็ มำกพรอ้ มกบั มำรดำขำดประจำเดือนครง้ั แรก ▪ ระยะนี้ embryo ยำว 1.5 มิลลเิ มตร ▪ วนั ท่ี 18 เซลลช์ นั้ บนของ Embryonic disc เพม่ิ จำนวน และมว้ นตวั แทรกลงไป ระหวำ่ งชนั้ บนและลำ่ ง เกิดเป็นชน้ั กลำง เรยี ก mesoblast (เรยี กเซลล์ 3 ชน้ั ว่ำ trilarminar germ disc) ตรงท่ีเวำ้ ตวั ลงเหน็ ชดั เจน เพม่ิ จำก 2 ชนั้ เป็น 3 ชนั้ ไดแ้ ก่ ectoderm, mesoderm และ endoderm o ectoderm เจรญิ มำจำก epiblast เป็น neural plate ตอ่ ไปเจรญิ เป็น สมองและไขสนั หลงั o Endoderm เจรญิ มำจำก hypoblast o Mesoderm เจรญิ มำจำก epiblast ท่ี migrate ผำ่ น primitive streak ลงมำแทรกอย่รู ะหว่ำง epiblast และ hypoblast ▪ ส่วนหำงยำวขนึ้ สว่ นหวั หนำขนึ้ ส่วนขำ้ ง เป็นรอ่ งแคบ ๆ ▪ วนั ท่ี 20 กำรเจรญิ ของระบบประสำท (nervous system) เจรญิ เป็น ระบบแรก ▪ ทำใหต้ วั อ่อนเปล่ียนรูปจำกแผน่ (disc- like) ไปเป็นรูปรำ่ งทรงกระบอก (tube-like) ▪ neural plate มว้ นตวั ตำมแนวยำว เกิดเป็น รอ่ งยำวเรยี ก neural groove ซง่ึ มี neural fold เกิดขนึ้ ▪ แต่ละขำ้ งของรอ่ ง neural fold เคล่ือนมำชิดกนั ทำให้ neural plate กลำยเป็น neural tube ▪ วนั ท่ี 24-26 neural groove ปิด

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM สัปดาหท์ ี่ 3 การเจริญของระบบไหลเวยี นโลหติ ▪ วนั ท่ี 13-15 เกิดกำรเจรญิ ของหลอดเลือด บรเิ วณ extraembryonic mesoderm เรยี ก angiogenesis และอีก 2 วนั หลอดเลือดของ embryo ก็ เรม่ิ เจรญิ ▪ สปั ดำหท์ ่ี 5 เรม่ิ มีกำรสรำ้ งเซลลเ์ ม็ดเลือดภำยใน embryo ▪ หวั ใจเรม่ิ เจรญิ จำก mesenchymal cell ▪ มี heart tube ในสปั ดำหท์ ่ี 3 ▪ มีกำรเช่ือมติดกนั เป็น primitive heart tube และเช่ือมตดิ กบั หลอดเลือดในตวั embryo ▪ ระบบไหลเวียนโลหติ จงึ ทำงำนไดเ้ ป็นระบบแรก ประมำณปลำยสปั ดำหท์ ่ี 3 สัปดาหท์ ่ี 3การเปล่ยี นแปลงของ chorionic villi ▪ สปั ดำหท์ ่ี 2 เรม่ิ ม่ี chorionic villi ▪ ตน้ สปั ดำหท์ ่ี 3 เรม่ิ มีกำรแตกแขนง เป็นเนือ้ เยือ้ ▪ วนั ท่ี 15-20 มีกำรสรำ้ งหลอดเลือดฝอย เกิดเป็น arterio-capillary-venous net works ซง่ึ ตดิ ตอ่ กบั หวั ใจได้ ▪ วนั ท่ี 19-20 chorionic cavity และ embryo จะมี connecting แคบๆ ซง่ึ จะ ยดึ กบั chorionic plate และตดิ แน่นกบั embryo ท่ีสว่ นปลำยทำงหำง และต่อไป จะเจรญิ ไปเป็นสำยสะดือ umbilical cord ▪ สิน้ สดุ วนั ท่ี 21 มีกำรไหลเวียนของเลือด chorionic villi ดดู ซมึ สำรอำหำร จำกเลือด ของมำรดำท่ีอย่ใู น intervillous space สัปดาหท์ ี่ 4 ▪ embryo ยำวประมำณ 3-4 มม. ▪ Embryo เรN่ิ eural tube สว่ นท่ีอย่ตู รงขำ้ มกบั somites ปิด, posterior neuropore ปิดมมีกำรงอตวั ทำงดำ้ นหวั และหำง (cephalocaudal folding) มีส่วน ปลำยหำงเรยี วยำว ลกั ษณะโคง้ รูปตวั C ▪ Branchial arch ท่ี 1,2,3,4 เกิดขนึ้

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM สัปดาหท์ ่ี 4 ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของ pharyngeal arches, ขำกรรไกรบน (maxilla) และ ขำกรรไกรลำ่ ง (mandible) เรม่ิ เจรญิ ▪ เหน็ หวั ใจนนู ออกมำเป็นกอ้ น (heart prominence) ชดั เจน ท่ีบรเิ วณดำ้ นหนำ้ ของตวั อ่อน และหวั ใจเรม่ิ สบู ฉีดเลือดไปเลีย้ งส่วนต่ำงๆ ของตวั ออ่ นแลว้ * ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของเลนสต์ ำ คือ lens placodes ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของหู คือ otic vesicles ▪ มีกำรเจรญิ ของ limb buds ทงั้ upper limb buds (เจรญิ ไปเป็น แขน) และ lower limb buds (เจรญิ ไปเป็นขำ) โดย upper limb buds เกิดขนึ้ ก่อน สว่ น lower limb buds จะเกิดขนึ้ ทีหลงั ใน ตอนปลำยสปั ดำหท์ ่ี 4 ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของทอ่ ทำงเดนิ อำหำร (primitive gut tube) จำกกำรท่ี yolk sac บำงส่วนถกู ดงึ เขำ้ ไปในตวั ออ่ น สัปดาหท์ ี่ 5 ▪ embryo ยำวประมำณ 8 มม. ▪ รูปรำ่ งเปล่ียนจำกสปั ดำหท์ ่ี 4 เพยี งเลก็ นอ้ ย ▪ บรเิ วณศีรษะเจรญิ มำกกว่ำสว่ นอ่ืนๆ เน่ืองจำกกะโหลกศีรษะและสมองเจรญิ รวดเรว็ มำก ▪ ทำให้ embryo มีลกั ษณะคว่ำหนำ้ ลง เห็นส่วนศีรษะโนม้ ลงมำแตะกบั heart prominence ▪ Branchial arch ท่ี 2 เจรญิ ดี จนปกคลมุ arch ท่ี 3,4 ▪ Lens placode เจรญิ ไปเป็น lens vesicle ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของจมกู (nasal pits) ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของ cervical sinus (รอยบ๋มุ ของ ectoderm) ▪ Limb buds เจรญิ มำกขนึ้ โดย upper limb buds เจรญิ เรว็ กวำ่ lower limb buds ท่ี upper limb buds มีลกั ษณะคลำ้ ยใบพำย (paddle- shaped) สว่ น lower limb buds มีลกั ษณะคลำ้ ยครบี (flipper-liked) ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของไต คือ mesonephric ridge

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM สัปดาหท์ ี่ 6 ▪ embryo ควำมยำวประมำณ 14 มม. ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของ retina pigment เหน็ นยั ตต์ ำชดั เจนขนึ้ ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของใบหู คือ auricular hillocks และรูหู ▪ Upper limb buds มีกำรเจรญิ ใหเ้ ห็นเป็นลกั ษณะของขอ้ ศอก และ hand plates ท่ี hand plates เรม่ิ เหน็ ลกั ษณะของ digital rays คือ เรม่ิ แยกเป็นนวิ้ ให้ เห็นแลว้ สว่ น lower limb buds จะมีลกั ษณะเป็น foot plates ▪ ลำตวั เรม่ิ ตงั้ ตรง สัปดาหท์ ่ี 7 ▪ embryo ยำวประมำณ 20 มม. เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของเปลือกตำ ▪ ศีรษะเจรญิ มำกขนึ้ เน่ืองจำก cerebral vesicles เจรญิ รวดเรว็ มำก ▪ ท่ี upper limb buds เรม่ิ เห็นรอยคอด (notches) ระหว่ำง digital rays ของ hand plates ชดั เจนขนึ้ ส่วนท่ี lower limb buds เรม่ิ เห็น toe rays ▪ เรม่ิ มีกำรเจรญิ ของ nipple ▪ ช่องทำงตดิ ต่อระหวำ่ ง primitive gut tube กบั yolk sac แคบลงกลำยเป็น yolk stalk ▪ ตบั เจรญิ ใหญ่ขนึ้ มำก ทำใหล้ ำไสอ้ อกมำกองอยนู่ อกลำตวั ภำยใน umbilical cord เรยี กว่ำ เกิด umbilical herniation* ▪ เรม่ิ มี bone ossification ท่ี upper limbs สัปดาหท์ ี่ 8 ▪ embryo ยำวประมำณ 30 มม. ▪ เรม่ิ มีใบหนำ้ เหมือนมนษุ ย์ แต่ศีรษะมีขนำดใหญ่ประมำณครง่ึ หน่งึ ของลำตวั ▪ ท่ีศีรษะมีกำรเจรญิ ของ scalp vascular plexus ▪ ลำตวั ยืดยำวออกและหำงหดสน้ั หำยไป เห็นแขนขำชดั เจน ▪ พงั ผืดระหวำ่ งนวิ้ ค่อยๆ หำยไป ทำใหเ้ ห็นเป็นนวิ้ ชดั เจนขนึ้ ทง้ั มือและเทำ้ ▪ ลำไสย้ งั อยภู่ ำยนอกลำตวั ▪ external genitalia เรม่ิ เจรญิ แต่ยงั ไม่สำมำรถแยกเพศ มีรูปเปิดทวำรหนกั ▪ เปลือกตำบนและเปลือกตำล่ำงเช่ือมติดกนั ท่ีปลำยสปั ดำหท์ ่ี 8

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM Fetal period ▪ สปั ดำหท์ ่ี 9 ถึงคลอด อวยั วะตำ่ งๆ ถกู สรำ้ งครบตง้ั แต่embryonic period แตจ่ ะยงั มี กำรเจรญิ ของอวยั วะต่ำงๆ อยำ่ งตอ่ เน่ือง ▪ ระยะนี้ เรยี กตวั อ่อนว่ำ fetus ▪ ควำมแตกต่ำงของระยะ fetal period กบั embryonic period คือ ในระยะ fetal period จะเป็นกำรเจรญิ ท่ีเพ่มิ ทงั้ ขนำดและนำ้ หนกั ของทำรก และกำรเจรญิ ท่ี ศีรษะจะลดนอ้ ยลงเม่ือเทียบกบั ส่วนอ่ืนๆ ของรำ่ งกำย

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM

ANATOMY OF FEMALE REPRODUCTIVE SYSTEM

ENDOCRINE SYSTEM

ลักษณะการทางานของตอ่ มไร้ทอ่ ✓ ระบบต่อมไร้ทอ่ • ควบคมุ เช่ือมโยงประสำนกำรทำงำน ระบบประสำทและต่อมไรท้ อ่ ีกำรทำงำน เช่ือมโยงประสำนกนั เพ่อื สำมำรถดำเนินไป ของระบบ ต่ำง ๆ ภำยในรำ่ งกำย เพ่อื ไดอ้ ยำ่ งรำบรน่ื และสมดลุ ดำรงไวซ้ ง่ึ สภำวะภำยในใหค้ งท่ี (homeostasis) ✓ ระบบประสาท • ทำงำนท่ีค่อนขำ้ งชำ้ แตม่ ีผลกำรทำงำน • ส่งข่ำวสำรไปยงั เซลลเ์ ปำ้ หมำยโดยผ่ำนทำง นำน • อำศยั สำรเคมีท่ีเป็นสำรส่ือข่ำวเรยี กวำ่ เซลลแ์ ละเสน้ ใยประสำทโดยหล่งั สำรส่ือ ฮอรโ์ มนท่ีผลติ จำกตอ่ มไรท้ ่อ ประสำท (neurotransmitter) • กำรทำงำนเหมือนกบั กำรทำงำนของโทรศพั ทท์ ่ี (endocrine gland) จะส่งข่ำวไปตำมสำยเพ่อื ควบคมุ ติดตอ่ ประสำนงำนระหวำ่ งอวยั วะท่ีอยหู่ ำ่ งไกลกนั • รวดเรว็ ฉบั ไว (rapid action) • ส่งขำ่ วแบบจำเพำะเจำะจง (specific message) ✓ ต่อมไร้ทอ่ (ENDOCRINE หรือ ➢ ชนิดที่เป็นตอ่ มอยเู่ ดยี่ วแยกตำ่ งหำก ไดแ้ ก่ Pituitary gland, Thyroid gland, Parathyroid glands, DUCTLESS GLANDS) Adrenal gland, Pineal gland, Thymus gland • ผลติ และหล่งั สำรเขำ้ ส่รู ะบบไหลเวียน ➢ ชนิดพกอยรู่ ว่ มกบั ตอ่ มมีทอ่ ไดแ้ ก่ Islets of Langerhans โดยไมผ่ ่ำนทอ่ ชนดิ ใด เน่ืองจำกไม่มีทอ่ ท่ี ใน pancreas, Ovary และ testis, Kidney, ตดิ ต่อกบั เย่ือบผุ วิ แตจ่ ะสมั ผสั กบั หลอด Placenta เลือดภำยในตอ่ ม • สรำ้ งฮอรโ์ มนเขำ้ สู่ กระแสเลือด ➢ ชนิดทีเ่ ป็นเซลลก์ ระจำยอยตู่ ำมอวยั วะตำ่ ง ๆ เรยี กวำ่ diffuse • ต่อมมีทอ่ จะสรำ้ งนำ้ ย่อยหรอื เซลลเ์ พศ neuroendocrine glands ประกอบดว้ ย เซลลท์ ่สี รำ้ ง แลว้ หล่งั ไปตำมท่อโดยเฉพำะ ฮอรโ์ มนทเี่ ป็นสำรประกอบพวก peptides

ความผดิ ปกตขิ องตอ่ มไร้ท่อ กรรมพนั ธุ์ • ทำใหข้ ำดสำรเรง่ ปฏกิ ิรยิ ำท่ีใชส้ งั เครำะหฮ์ อรโ์ มน หรอื มีสำรเรง่ ปฏิกิรยิ ำทำงำนมำกเกินไป • กำรหล่งั ฮอรโ์ มนผดิ ปกติ 1. กำรขำดฮอรโ์ มน ทดสอบโดยกำรกระตนุ้ ต่อม (stimulation test) โดยใชย้ ำกระตนุ้ ตอ่ มหรอื ให้ trophic hormone 2. ฮอรโ์ มนมำกผดิ ปกติ เกิดเนือ้ งอก (hyperplasia, adenoma or carcinoma) ทดสอบไดโ้ ดย ยบั ยงั้ กำรทำงำนของต่อม (suppression test) 3. Hormone resistance เซลลเ์ ปำ้ หมำยไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ของฮอรโ์ มน แสดงอำกำรขำดฮอรโ์ มน ▪ ไฮโพทำลำมสั (Hypothalamus) ✓ เป็นโครงสรำ้ งของสมองท่ีอยใู่ ตท้ ำลำมสั (thalamus) แตเ่ หนือกำ้ นสมอง (brain stem) ✓ เช่ือมโยงกำรทำงำนของระบบประสำทและระบบตอ่ มไรท้ อ่ ✓ โครงสรำ้ งหลกั ท่ีอยดู่ ำ้ นลำ่ งของ ไดเอนเซฟำลอน (diencephalon) ✓ กำรกระตนุ้ หรือยบั ยงั้ กำรหล่งั ฮอรโ์ มนจำกตอ่ มใตส้ มอง (pituitary gland) ซ่งึ ฮอรโ์ มนท่ีสรำ้ งจำกไฮโพทำ ลำมสั Anti-diuretic hormone (ADH) Corticotropin-releasing hormone (CRH) Gonadotropin-releasing hormone (GnRH) Growth hormone-releasing hormone (GHRH) Oxytocin Prolactin-releasing hormone(PRH) Thyrotropin releasing hormone (TRH)

โครงสร้างของ Hypothalamus and Pituitary gland ▪ ตอ่ มใตส้ มอง (Pituitary gland หรอื Hypophysis) ✓ รูปรำ่ งคอ่ นขำ้ งกลมคลำ้ ยถ่วั (bean-shaped) ✓ อยใู่ นแอ่งเซลลำเทอรซ์ กิ ำ (sella turcica) ของกระดกู สฟีนอยด(์ sphenoid) โดยอย่ใู ต้ ส่วนไฮโปทำลำมสั ✓ เป็นต่อมไรท้ อ่ ขนำดเลก็ และสำคญั ตอ่ อรำ่ งกำยเพรำะสรำ้ งฮอรโ์ มนหลำยชนดิ เพ่อื ควบคมุ กำร ทำงำนของตอ่ มไรท้ อ่ อ่ืนๆ ✓ neurohypophysis หรอื ต่อมใตส้ มองส่วนหลงั (posterior pituitary) เป็นเซลล์ ประสำท และมีเสน้ ประ สำมมำเลีย้ งมำกมำย ✓ adenohypophysis อยทู่ ำงดำ้ นหนำ้ เรยี กวำ่ ต่อมใตส้ มองส่วนหนำ้ (anterior pituitary) ✓ ส่วนท่ีแทรกระหว่ำงสองส่วนคือ pars intermedia ในคนจะฝ่อไม่มีบทบำทในกำรผลิต ฮอรโ์ มน

ต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Adenohypophysis หรอื Anterior pituitary gland) ➢ ส่วนท่ีอยหู่ ำ่ งไกลออกไป เรยี กวำ่ พำรส์ ดสิ ตำลิส (pars distalis) ➢ สว่ นท่ีมีลกั ษณะเป็นทอ่ เรยี กวำ่ พำรส์ ทเู บอรำลสิ (pars tuberalis) ➢ ส่วนท่ีอย่ตู รงกลำง เรยี กว่ำ พำรส์ อินเทอร์ มีเดีย (pars intermedia) ไม่มีบทบำทในมนษุ ย์ การควบคุมการหล่ังฮอรโ์ มนจากตอ่ มใต้ ▪ สรำ้ งและหล่งั ฮอรโ์ มนสำคญั 6 ชนิด มีผล โดยตรงต่ออวยั วะเปำ้ หมำย 2 ชนิด คือ GH สมองส่วนหน้า และโพรแลกทิน ส่วนอีก 4 ชนดิ เป็ นฮอรโ์ มนท่ีมี • ระบบประสำท โดยผำ่ นทำงไฮโพทำลำมสั ผลควบคมุ กำรทำงำนของตอ่ มไรท้ ่ออ่ืนอีกต่อ หน่งึ เรยี กวำ่ โทรฟิคหรอื โทรปิกฮอรโ์ มน สรำ้ งสำรท่ีเรยี กว่ำ Hypothalamic (trophic หรอื tropic hormone) ▪ กำ หนดปรมิ ำณฮอรโ์ มนของรำ่ งกำยหลำย hormone (Hypophysiotropic ชนดิ ให้ อย่ใู นระดบั พอเหมำะ ▪ สรำ้ งฮอรโ์ มนไปควบคมุ กำรทำงำนของต่อม hormone, Neuroendocrine ไทรอยดต์ อ่ มหมวกไตสวน่นอกระบบสืบพนั ธุ์ ▪ ฮอรโ์ มนท่ีมีผลต่อเซลลเ์ ปำ้ หมำยของรำ่ งกำย hormone โดยตรง เช่น GH และโพรแลกทนิ ถำ้ ต่อมใต้ • เป็นตวั กระตนุ้ เรยี กวำ่ Releasing สมองส่วนหนำ้ ไม่ ทำงำน ต่อมต่ำงๆ ทำงำนไดแ้ ต่ ประสิทธิภำพลดลง hormone (RH) หรอื เป็นตวั ยบั ยง้ั เรยี กวำ่ inhibiting hormone (IH) ฮอรโ์ มนจากต่อมใตส้ มองส่วนหน้า ปั จจบุ บั นมีกำรสงั เครำะห์ hormone เพ่อื ใชร้ กั ษำผปู ่วย • Adrenocorticotropic hormone (ACTH) • กำรควบคมุ โดยกำรยบั ยงั้ ยอ้ นกลบั • Follicle-stimulating hormone (FSH) • Growth hormone (GH) (negative feedback control) จะ • Luteinizing hormon หล่งั ฮอรโ์ มนไปกระตนุ้ ต่อมเปำ้ หมำยให้ e (LH) เจรญิ เตบิ โตเพ่อื สรำ้ งฮอรโ์ มนเม่ือระดบั • Prolactin ฮอรโ์ มนสงู ขนึ้ จะมีกำรส่ือ กลบั ไปยบั ยง้ั กำร • Thyroid-stimulating hormone (TSH) ทำงำนของต่อมใตส้ มองสว่ นหนำ้ โดยตรง เพ่อื ลดกำรผลติ ฮอรโ์ มน

ภาวะความผิดปกตขิ องต่อมใตส้ มองสว่ นหน้า ตอ่ มใตส้ มองส่วนหลัง ❖ โรคขำดฮอรโ์ มนจำกตอ่ มใตส้ มอง (THE NEUROHYPOPHYSIS) (hypopituitarism) งอำกำรขำดฮอรโ์ มน ทง้ั หมด เรยี กว่ำ Panhypopituitarism ➢ ประกอบดว้ ย มีเดียน เอมีเนนส์ มีสำเหตจุ ำกตอ่ มพทิ อู ิทำร่โี ดนทำลำยและควำม ผดิ ปกตทิ ่ีมีตน้ เหตมุ ำจำกไฮโพทำลำมสั (median eminence) ส่วนท่ีมี ❖ โรคท่ีเกิดจำกตอ่ มใตส้ มองส่วนหนำ้ หล่งั ฮอรโ์ มน เสน้ ประสำท อยมู่ ำก เรยี กว่ำ พำรส์ เนอ มำกเกินไป (Hyperpituitarism)เกิดจำก เนือ้ งอกเพ่มิ จำนวนและขนำดของเซลล์ รกั ษำ โวซำ (pars nervosa) โดยกำรฉำยแสงหรอื ทำกำรผำ่ ตดั ตอ่ มออกทง้ั ➢ สองส่วนเช่ือมดว้ ยสว่ นท่ีสำม คือกำ้ นอนิ หมดแลว้ ใหฮ้ อรโ์ มนทดแทน ฟันดบิ ิวลมั (infundibulum) ฮอรโ์ มนทส่ี ร้างตอ่ มใตส้ มองส่วนหลัง ➢ เป็นท่ีเก็บและหล่งั เพปไทดฮ์ อรโ์ มนสอง • Anti-diuretic hormone (ADH): This ชนดิ คือ ออกซโิ ทซนิ (oxytocin) และ hormone prompts the kidneys to increase วำโซเพรสซนิ (vasopressin: VP water absorption in the blood. หรอื antidiuretic hormone: • Oxytocin: Oxytocin is involved in a variety ADH) ซง่ึ สรำ้ งจำกเซลลป์ ระสำทใน ไฮ of processes, such as contracting the uterus โพทำลำมสั during childbirth and stimulating breast milk production.

❑ เป็นตอ่ มไรท้ อ่ ท่ีใหญ่ท่ีสดุ ในรำ่ งกำย เก็บ ฮอรโ์ มนไวไ้ ดม้ ำกท่ีสดุ และเป็นตอ่ มท่ีไดร้ บั เลือดมำ เลยี้ งในปรมิ ำณสงู มำก ❑ ต่อมนีม้ กั เกิดพยำธิสภำพ และพบไดบ้ ่อย ❑ ฝังอยบู่ รเิ วณ หลอดลมคอ มีสองกลีบ เช่ือมตอ่ กนั ตรงกลำงดว้ ย Isthmus ขนำดของต่อมจะเลก็ ลงตำมอำยทุ ่ีเพม่ิ ขนึ้ ฮอรโ์ มนทผี่ ลิต ✓ tetraiodothyronine หรอื Thyroxine (T4) และ Triiodothyronine (T3) ✓ แคลซโิ ทนน เป็นตอ่ มสีนำ้ ตำลแดงท่ีมี เลือดมำเลีย้ งมำก อยทู่ ่ี ส่วนล่ำงของคอทำงดำ้ นหนำ้ ตรงกบั กระดกู สนั หลงั ส่วนคอ ตง้ั แต่อนั ท่ี 6 ถึงกระดกู สนั หลงั ส่วนอกอนั ท่ี 1 ถกู หมุ้ ดว้ ย เย่ือพงั ผืดท่ีหมุ้ กล่องเสียงและ หลอดลม เรยี กวำ่ Pretracheal layer of deep cervical fascia ประกอบดว้ ยกลีบขวำ (right lobe) และกลีบ ซำ้ ย (left lobe) ตดิ ต่อถึง กนั ขำ้ มแนวกลำงตวั โดยส่วน คอด เรยี กวำ่ isthmus

หน้าทแ่ี ละบทบาท ➢ มีควำมสำคญั มำกตอ่ เมทำบอลซิ ึมของ รำ่ งกำยโดยท่วั ไป ➢ มีผลตอ่ กำรหล่งั ทำลำย ฮอรโ์ มนเกือบทุก ชนิด ตลอดจนกำรตอบสนองของรำ่ งกำยต่อ ฮอรโ์ มนตำ่ ง ๆ ▪ ตวั กระตนุ้ กำร เจรญิ เตบิ โตของเนือ้ เย่ือ (tissue growth factors) สรำ้ งโปรตีนเพ่มิ ถำ้ มำก ไปจะกระตนุ้ กำรสลำยโปรตีน กลำ้ มเนือ้ ออ่ นแรง กำรเติบโตหยดุ ชะงกั ✓ กำรผลติ ควำมรอ้ นและกำรใชอ้ อกซเิ จน ✓ เมตำบอลซิ มึ ของคำรโ์ บไฮเดรต กระตนุ้ กำรสรำ้ งกลโู คส เรง่ ขบวนกำรสลำยไกลโค เจนเป็นกลูโคส (glycogenolysis) ✓ ลดกำรสรำ้ งไขมนั และ cholesterol ในเลือด และถกู เซลล์ ตำ่ ง ๆ นำไปใชเ้ ป็นพลงั งำนเพ่ิมขนึ้ ✓ เมตำบอลิซมึ ของโปรตีน กระตนุ้ กำรหมนุ เวียนของโปรตีนใหม้ ี กำรสรำ้ งและสลำยตลอดเวลำเป็น วงจร ถำ้ ขำดฮอรโ์ มนทำใหม้ ีอำกำรบวม นำ้ ใตผ้ ิวและอว้ นฉเุ รยี กวำ่ Myxedema ✓ เมตำบอลิซมึ ของวิตำมนิ สงั เครำะหว์ ิตำมนิ A จำก carotene และเปล่ียนวิตำมนิ A ใหเ้ ป็น เรดนิ ลั (retinal) ▪ ผลตอ่ ระบบประสำท ถำ้ ขำดฮอรโ์ มนจะคิด อะไรไดเ้ ช่ืองชำ้ แต่ถำ้ มำกไปจะคิดไดว้ ่องไวกระวน กระวำยและหงดุ หงิด

ภาวะความผดิ ปกติ คอพอก (goiter)ต่อมไทรอยดม์ ีขนำดโตขนึ้ กวำ่ ปกติ ➢ ไดร้ บั สำร goitrogens มำกเกินไป ➢ ถำ้ สรำ้ งฮอรโ์ มนไมเ่ พียงพอจะเป็น hypothyroid goiter ➢ ไดร้ บั ธำตไุ อโอดีนในอำหำรนอ้ ยผิดปกติ ➢ ฮอรโ์ มนใในเลือดต่ำจงึ กระตนุ้ กำรสรำ้ งและ กำรหล่งั TSH สงู กว่ำปกติ ➢ กระตนุ้ ใหส้ รำ้ งฮอรโ์ มนมำกเกินไปจะเกิด goitroushyperthyroidism หรอื toxic goiter ❖ ไทรอยดฮ์ อรโ์ มนมำกเกินไป (Hyperthyroidism) หรอื ต่อมไทรอยดเ์ ป็นพษิ (thyrotoxicosis) ❖ ขำดไทรอยดฮ์ อรโ์ มน (Hypothyroidism) เป็นภำวะท่ีมีไทรอยดฮ์ อรโ์ มนไม่เพยี งพอกบั ควำม ตอ้ งกำรของรำ่ งกำย ❖ เกิดโรคของตอ่ มไทรอยดเ์ อง ตอ่ มไม่ทำงำน กำรผำ่ ตดั ตอ่ มออกมำกเกินไป กำรฉำยแสง หรอื ไดร้ บั ยำ พวก goitrogens จะไปยบั ยงั้ กำรสรำ้ งฮอรโ์ มน อตั รำกำรเผำผลำญสำรอำหำรตำ่ ง ๆ ลดลง ทน อำกำศเย็นไมค่ ่อยได้

o เป็นอวยั วะท่ีประกอบดว้ ยตอ่ มมีทอ่ และตอ่ มไรท้ ่ออย่รู วมกนั o ตงั้ อยทู่ ่ีดำ้ นบนซำ้ ยของชอ่ งทอ้ ง โดยวำงตวั จำกส่วนโคง้ ของลำไสเ้ ล็กส่วนดโู อดีนมั (duodenum) ถึงมำ้ ม 11 (spleen) และดำ้ นหลงั ของกระเพำะ (stomach) มีลกั ษณะค่อนขำ้ งแบน มีควำมยำว ประมำณ 12 – 15 เซนติเมตร o ตบั อ่อนเป็นทงั้ ตอ่ มมีทอ่ คือ กำรสรำ้ งนำ้ ยอ่ ยไปท่ีลำไสเ้ ล็ก o เป็นต่อมไรท้ ่อท่ีสรำ้ งฮอรโ์ มนโดยเป็นแหลง่ ท่ีสรำ้ งและหล่งั ฮอรโ์ มนอินซลู ินและกลูคำกอน o ควบคมุ ตบั ในกำรผลติ สะสม และปลอ่ ยสำรอำหำร ต่ำง ๆ ใหร้ ำ่ งกำยใชใ้ นกำรสรำ้ งพลงั งำนสำหรบั เม ตำบอลซิ มึ ตลอดเวลำ



Islets of Langerhans • Alpha or A cell กอยบู่ รเิ วณของกลมุ่ เซลลท์ ำหนำ้ ท่ีสรำ้ งและ หล่งั ฮอรโ์ มน Glucagon เพ่ือเพ่มิ ระดบั นำ้ ตำลในเลือด • Beta or B cell ตดิ สีเหลืองนำ้ ตำลกระจำยอยทู่ ่วั ไป ทำหนำ้ ท่ีสรำ้ งและหล่งั ฮอรโ์ มน Insulin เพ่ือลดระดบั นำ้ ตำลในเลือด ถำ้ ขำดจะเป็นโรคเบำหวำน (Diabetes Mellitus) • Delta or D cell ตดิ สีนำ้ เงินทำหนำ้ ท่ีสรำ้ งฮอรโ์ มน Somatostatin ตบั ออ่ นมหี น้าทผี่ ลติ ฮอรโ์ มนทปี่ ระกอบด้วย Gastrin, Glucagon, Insulin, Somatostatin,Vasoactive intestinal peptide (VIP) เมตาบอลิซมึ และพลังงาน ระดบั นา้ ตาลในเลือด พลงั งำนท่ีรำ่ งกำยใชอ้ ย่เู ป็นพลงั งำน ✓ ระดบั นำ้ ตำล กลโู คสในเลือดต่ำกว่ำ 60 มก% เคมีเกิดจำกกำรเผำผลำญสำรอำหำร ประเภท ไขมนั คำรโ์ บไฮเดรต โปรตีน (hypoglycemia) เกิดจำกกำรไดร้ บั อนิ ซลู นิ มำก เม่ือสำรอำหำรเหล่ำนีเ้ ขำ้ ส่รู ำ่ งกำยจะ เกินไป ถกู เปล่ียนแปลงเพ่อื ใหไ้ ดพ้ ลงั งำน ออกมำ เรยี กว่ำ เมตำบอลซิ มึ ✓ ระดบั นำ้ ตำลในเลือดสงู กวำ่ ปกติ(hyperglycemia) คือ สงู ถึง 300-400 มก% จะทำให้ ปัสสำวะมำก ฮอรโ์ มนทเี่ กยี่ วข้องและควบคุมเมตา บอลซิ ึมของ คารโ์ บไฮเดรต ✓ พวกท่ีทำใหร้ ะดบั นำ้ ตำลในเลือดลด ต่ำลง (Hypoglycemic group) ไดแ้ ก่ อนิ ซูลนิ ✓ พวกท่ีทำใหร้ ะดบั นำ้ ตำลในเลือด สงู ขนึ้ (hyperglycemic group) ไดแ้ ก่ กลคู ำกอน Growth hormone, คอรท์ ิ ซอล, เอพเิ นฟรนิ , ไทรอกซนิ

เป็นกอ้ นเนือ้ สีเหลืองแบนทำงดำ้ นหนำ้ หลงั ประกอบดว้ ย กอ้ น 2 กอ้ น โดยแต่ละกอ้ นวำง อยู่ ในตำแหน่งของแนวกลำงตวั หลงั ต่อเย่ือบุ ชอ่ งทอ้ ง (peritoneum) และอย่ตู ิด ดำ้ นบนค่อนไปทำงดำ้ นหนำ้ ของขว้ั บนของไต (superior pole of kidney) ❖ ต่อมหมวกไตขวำ รูปรำ่ งคลำ้ ยปิรำมดิ คือเป็นรูปจตั รุ มขุ หรอื รูปกรวยสำมเหล่ียม ❖ ต่อมหมวกไตซำ้ ยรูปรำ่ ง เหมือน พระจนั ทรเ์ สีย้ ว และมกั ใหญ่และอย่สู งู กวำ่ ต่อมทำงดำ้ นขวำ

ตอ่ มหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex) ชัน้ นอกสุด Zona glomerulosa ➢ ตดิ กบั เปลือกหมุ้ ตอ่ ม เป็นชน้ั บำงๆ ➢ สรำ้ งและหล่งั ฮอรโ์ มนพวก mineralocorticoids และ อลั โดสเตอโรน (aldosterone) ➢ ควบคมุ สมดลุ ของนำ้ และเกลือแรใ่ นรำ่ งกำย ชั้นกลาง zona fasciculata ➢ หล่งั ฮอรโ์ มนกลโู คคอรท์ ิคอยด์ (glucocorticoids) ไดแ้ ก่ คอรท์ ซิ อล (cortisol) คอรท์ ิโซน (cortisone) และคอรท์ ิโคสเตอโรน (corticosterone) มีควำมจำเป็นตอ่ ชีวิตขำดไม่ได้ ➢ ควบคมุ เมแทบอลซิ มึ ของโปรตีน คำรโ์ บไฮเดรต และไขมนั ชั้นในทต่ี ดิ กบั ต่อมหมวกไตส่วนใน zona reticularis ➢ หล่งั ฮอรโ์ มนเพศชำย (androgens) ➢ มีผลตอ่ กระบวนกำรสืบพนั ธนุ์ อ้ ยกวำ่ ฮอรโ์ มนท่ีไดจ้ ำกอณั ฑะ ในเพศหญิง อตั รำกำรหล่งั แอนโดรเจนจะต่ำกวำ่ เพศชำย ✓ ชว่ ยใหร้ ำ่ งกำยเตรยี มพรอ้ มในกำรสงั เครำะหส์ ำรอำหำรเม่ือขำดอำหำรและนำ้ เพ่อื ปรบั ปรมิ ำณ ของเกลือ แรแ่ ละของเหลวในรำ่ งกำยใหค้ งท่ี ✓ กำรสรำ้ งฮอรโ์ มนทกุ ตวั จำกตอ่ มหมวกไตส่วนนอกตอ้ งเรม่ิ จำก cholesterol ถกู กระตนุ้ โดย ACTH globulin ในพลำสมำ เรยี กวำ่ transcortin

ตอ่ มหมวกไตส่วนใน (adrenal medulla) • หล่งั ฮอรโ์ มนแคทีโคลำมีน (catecholamine) ในอตั รำท่ีสงู เม่ือ ถกู กระตนุ้ หล่งั ออกมำใน ขณะท่ีรำ่ งกำย อยใู่ นภำวะคบั ขนั เครง่ เครยี ด ต่ืนเตน้ ต่อสู้ หนีภยั ตกใจ กลวั หวิ กระหำย เจบ็ ปวด หรอื เม่ือออก กำลงั กำย • รำ่ งกำยจะตอบสนองตอ่ ฮอรโ์ มนดว้ ย ปฏิกิรยิ ำต่อสหู้ รอื หนี • ทำงำน รว่ มกบั ระบบประสำทชิมพำเทติก • ฮอรโ์ มนออกฤทธิ์เรว็ มำก และจบลงอยำ่ ง รวดเรว็ ฮอรโ์ มนทสี่ ร้างจากต่อมหมวกไต • หล่งั ฮอรโ์ มนแคทีโคลำมีน 2 ชนดิ คือ Hydrocortisone และCorticosterone เอพเิ นฟรนิ ในปรมิ ำณ 85% เป็นตวั ท่ีสำคญั และนอรเ์ อพเิ นฟ รนิ ในปรมิ ำณ 15%

• เป็นตอ่ มแบนรูปกลมรสี ีนำ้ ตำลอมเหลืองเลก็ มำก อย่ทู ำงดำ้ นหลงั ของตอ่ ม ไทรอยดใ์ ตเ้ ย่ือหมุ้ ของตอ่ มไทรอยด์ นำ้ หนกั ประมำณ 50 มก. มกั มีจำนวน 4 ต่อม โดยแบ่งเป็นขำ้ งละ 2 ตอ่ ม และ ถกู เรยี กตำแหนง่ ออกเป็น superior และ inferior parathyroid glands • ทอดตวั อยตู่ ำมขอบหลงั ของตอ่ มไทรอยด์ จำกขวั้ บนของต่อมไปยงั ขวั้ ลำ่ ง มองหำต่อมนีต้ ำม แนวหลอดเลือดนีไ้ ดง้ ่ำย พาราไทรอยดฮ์ อรโ์ มน (Parathyroid hormone, PTH) ▪ เป็นพอลิเพป ไทดฮ์ อรโ์ มนสรำ้ งจำก chief cells ของตอ่ มพำรำไทรอยด์ ▪ มีจำนวน 2 คู่ อย่ดู ำ้ นหลงั ใตผ้ ิวของตอ่ ม ไทรอยด์ เป็นตอ่ มไรท้ ่อท่ีมีขำดเลก็ มำก แต่มีควำมจำเป็นตอ่ ชีวติ ▪ ควบคมุ ระดบั แคลเซียมในรำ่ งกำยทำให้ แคลเซียมในเลือด เพม่ิ ขนึ้ แต่ฟอสเฟต ต่ำลง มีผลโดยตรงท่ีกระดกู และไต Calcium Balance

ระดับแคลเซยี มในเลอื ด บทบาทของ Calcium Balance ➢ แคลเซียมไอออนอสิ ระ (free สมดลุ แคลเซยี ม calcium) สำคญั มำกตอ่ ขบวนกำร • เป็นสว่ นประกอบสำคญั ของกระดกู และฟัน ทำหนำ้ ท่ี ทำงำนของระบบต่ำงๆ ของ รำ่ งกำย ➢ แคลเซยี มท่ีรวมกบั ไอออนอ่ืน จะซมึ ผ่ำน เป็นตวั สง่ ข่ำวตวั ท่ีสอง (secondary messenger) ในเซลลต์ ำ่ งๆ ผนงั หลอดเลือดฝอยได้ (diffusible • ถกู ดดู ซมึ เขำ้ สู่ ทำงเดินอำหำรกบั แคลเซียมท่ีรำ่ งกำย สญู เสียโดยขบั ออกทำงอจุ จำระ ปัสสำวะ และสมดลุ calcium) ระหวำ่ งแคลเซยี มท่ีเขำ้ ไปสะสมในกระดกู กบั ➢ แคลเซยี มท่ีรวมกบั โปรตีน albumin แคลเซยี มท่ีสลำยออกจำกกระดกู เขำ้ มำท่ีนอกเซลล เชน่ protein bound calcium ระดบั แคลเซยี มในเลือดต่า ซมึ ผ่ำนออกนอกหลอดเลือด ไมไ่ ด้ (hypocalcaemia) เชน่ มีกำรชกั กระตกุ ของ กลำ้ มเนือ้ (tetany) (nondififusible calcium) ระดบั แคลเซยี มอสิ ระ (free ระดับแคลเซยี มสูง (hypercalcaemia) calcium) ในเลือดจะถกู ควบคมุ ใหม้ ี เชน่ คล่ืนไส้ อำเจียน ระดบั คงท่ี แคลเซยี มเมตาบอลซิ ึม o กำรดดู ซมึ ท่ีลำไส้ แคลเซียมสว่ นใหญ่จะถกู ดดู ซมึ ท่ีลำไสเ้ ลก็ ส่วน jejunum และ ileum และท่ีลำไสใ้ หญ่เป็นส่วนนอ้ ย o กำรขบั ถ่ำยแคลเซียม แคลเซยี มส่วนใหญ่จะถกู ขบั ออกในอจุ จำระ และเพยี งส่วนนอ้ ยเท่ำนน้ั จะ ถกู ขบั ในปัสสำวะ o กระดกู กระดกู เป็นเนือ้ เย่ือชนิดหนง่ึ มีกำรสลำย (bone resorption) และสรำ้ งใหม่ (bone formation หรอื accretion) ตลอดเวลำ และเกิดขนึ้ ไดพ้ รอ้ ม ๆ กนั ปรบั ปรุง รูปรำ่ งของกระดกู ใหเ้ หมำะสมกนั หนำ้ ท่ีท่ีกระทำอยู่

ความผิดปกตขิ องแคลเซยี มเมตาบอลซิ ึม โรคขาดวติ ามินดี คนท่ีขำดวิตำมนิ ดี ก็เหมือนกบั ขำดแคลเซียม เพรำะ • ระดบั แคลเซียมในเลือดสูงเกนิ ปกติ ถึงแมจ้ ะกินอำกำรท่ีมี แคลเซียมเขำ้ ไป (Hypercalcemia) เกิดจำกควำมผิดปกติ แตอ่ ำจไมถ่ กู ดดู ซมึ ของระบบควบคมุ แคลเซียม ✓ โรคกระดกู ออ่ น (Rickets) ใน • ระดับแคลเซียมในเลอื ดต่ากวา่ ปกติ เด็กระดบั แคลเซียมในพลำสมำจะ (hypocalcemia) เกิดจำกกำรทำงำนของ ต่ำ กลำ้ มเนือ้ ลำ้ กำรเจรญิ เตบิ โต พำรำไทรอยดแ์ ละวติ ำมนิ ดีนอ้ ยกวำ่ ปกติหรอื ของกระดกู และฟันผดิ ปกติหรอื อวยั วะเปำ้ หมำย ไมต่ อบสนองตอ่ ฮอรโ์ มน หยดุ ชะงกั วติ ามินดเี ป็ นพษิ (vitamin D ✓ โรคกระดกู น่วม intoxication ) ทำใหม้ ีระดบั แคลเซียมและ ฟอสเฟตในพลำสมำ สงู เกิน มอี ำกำรกระสบั กระสำ่ ย (Osteomalacia) เป็นโรค นำ้ หนกั ลด และอำจเกิดอำกำรผิดปกติของไต ขำดวติ ำมนิ ดีในผใู้ หญ่ ระดบั แคลเซียมในพลำสมำต่ำจงึ มี การออกฤทธิร์ ่วมของฮอรโ์ มนต่างๆ เพอ่ื ควบคุม อำกำรกลำ้ มเนือ้ กระตกุ อ่อน แรง สมดุลของแคลเซยี ม ซกั เกรง็ กระดดู กรอ่ น กระดกู บำง ปรมิ ำณแคลเซียมท่รี ำ่ งกำยไดร้ บั จำกระบบทำงเดนิ และหกั อำหำรขนึ้ อย่กู บั วิตำมนิ ดี ซง่ึ ใกลเ้ คียงกับท่ี รำ่ งกำย ขบั ออกทำงไต ซ่งึ อยภู่ ำยใตก้ ำรควบคมุ ของพำรำ ไทรอยดฮ์ อรโ์ มนและแคลซโิ ทนิน

ต่อมไพเนียล ▪ เป็นอวยั วะเลก็ ๆ สีนำ้ ตำลแดงรูปลกู แพร์ ซง่ึ ▪ ผลิตฮอรโ์ มนเมลำโทนิน (melatonin) วำงอยเู่ หนือสมองสว่ นกลำง (midbrain) อยใู่ ต้ spleniun ของ corpus ▪ ทำหนำ้ ท่ีเป็นตวั สง่ ขำ่ ว (neuroendocrine transducer) มีผลยบั ยงั้ กำรทำงำนของ callosum อวยั วะท่ีสรำ้ งเซลลส์ ืบพนั ธ์ (gonads) ไมใ่ ห้ ▪ ยบั ยง้ั กำรทำงำน (inhibitory) ของตอ่ ม ทำงำนเรว็ เกินไป ไรท้ ่ออ่ืน ๆ ▪ ในคนดเู มลำโทนินจะไมม่ ีผลตอ่ ▪ เม่ือเสน้ ประสำทตำถกู กระตนุ้ แลว้ จะมี กำร melanocyte ยบั ยง้ั กำรทำงำนของตอ่ มนี้ และตอ่ มนีจ้ ะ ทำงำนมำกในเวลำกลำงคืน เป็นผลใหม้ ีกำร พกั ของตอ่ มไรท้ อ่ อ่ืน ๆ

▪ มีขนำดเปล่ยี นแปลงไปตำมอำยุ เป็น อวยั วะแรกท่ีเป็นหลกั ของระบบ นำ้ เหลอื ง แรกเกิดมี นำ้ หนกั ระหว่ำง 10 ถึง 15 กรมั และยงั คงโตขนึ้ เร่อื ย ๆ จนกระท่งั เขำ้ สวู่ ยั รุน่ ▪ อย่ใู น anterior และ superior mediastinum ขอใหช้ อ่ งอก และ ย่ืนลงไปดำ้ นลำ่ งจนถึง กระดกู อ่อนของ ซ่ีโครงซ่ีท่ี 4 และสว่ นบนท่ีมีลกั ษณะ เรยี บเลก็ ย่ืนเขำ้ ไปในคอ บำงครง้ั ใกลถ้ งึ ระดบั ขว้ั ลำ่ งของตอ่ ม ไทรอยดห์ รอื สงู กว่ำ ทำงดำ้ นหนำ้ ถกู ปิดทบั ดว้ ยกระดกู หนำ้ อก (sternum) และกระดกู อ่อน ของซ่ีโครงส่ีซ่ีบน และ ดำ้ นบนเป็น กลำ้ มเนือ้ คอ

ตอ่ มไทมัส ✓ ต่อมไทมสั เป็นท่ีสรำ้ งฮอรโ์ มนไทโมซนิ ❖ Cortex ชน้ั นอก (thymosin) เพ่อื สรำ้ งภมู ิคมุ้ กนั กบั โรค ประกอบดว้ ย small เก่ียวกบั เซลล์ (cellular immunity) โดย lymphocyte อยกู่ นั ให้ lymphokines ทำหนำ้ ท่ีเก่ียวกบั หนำแน่นเห็น nucleus ปฏกิ ิรยิ ำภมู ิ แพจ้ ำกกำรไมย่ อมรบั เนือ้ เย่ือท่ี มำกมำยเป็นจดุ สีเขม้ อยู่ แปลกปลอมท่ีนำเขำ้ มำปลกู เขำ้ กบั รำ่ งกำย ชดิ กนั เรยี กเซลลพ์ วกนีว้ ำ่ Thymocytes ❖ Medulla เป็นเนือ้ ใน ของดิบยอ่ ยมีสีจำงกว่ำ สว่ น cortex เพรำะเซลล์ สว่ นใหญ่เป็นพวก reticular cell มี lymphocytes คนอยู่ เล็กนอ้ ยในบรเิ วณ medulla นีม้ ีโครงสรำ้ ง เป็นวงซอ้ นกนั เป็นชนั้ ๆ (connective lamellae of epithelial structure) ยอ้ มติดสี ชมพเู รยี กว่ำ Hassal’s corpuscle หรอื Thymic corpuscle

SKELETAL SYSTEM

• กระดกู ยงั เป็นแหลง่ เก็บสะสม เกลอื แรช่ นิดต่ำงๆ โดยเฉพำะ อยำ่ งย่ิงแคลเซียมและฟอสฟอรสั • บรเิ วณรอบกระดกู จะมเี นือ้ เย่ือ หนำห่อหมุ้ อยเู่ รยี กวำ่ เย่ือหมุ้ กระดกู (Periosteum) ซง่ึ เย่ือหมุ้ กระดกู นี้ ประกอบดว้ ยเซลล์ กระดกู และหลอด-เลือด ซ่งึ จะนำ เลอื ดมำเลยี้ งในสว่ นของกระดกู ชนั้ นอก ➢ กระดกู ชนั้ นอกหรอื เรยี กวำ่ กระดกู องคป์ ระกอบทส่ี าคัญของระบบโครงกระดกู ทบึ (Compact bone) ประกอบดว้ ยเกลือแรส่ ะสมอยเู่ ป็น 1.กระดกู อ่อน (Cartilage) ทำหนำ้ ท่ี วงกลมลอ้ ม รอบท่อขนำดเลก็ ๆ ซ่ึง รองรบั ส่วนท่ีอ่อนนมุ่ ของรำ่ งกำย เพ่อื ท่ีจะทำให้ เรยี กว่ำ ท่อฮำเวอรเ์ ชียน กำรเคล่ือนไหวไดส้ ะดวก ปอ้ งกนั กำรเสียดสี (Haversian canal) เซลลก์ ระดกู เน่ืองจำกผวิ ของกระดกู อ่อนเรยี บ จงึ พบวำ่ กระดกู รอบๆทอ่ ฮำเวอรเ์ ชียน จะไดร้ บั ออ่ นจะอย่ทู ่ีปลำยหรอื หวั กระดกู ท่ีประกอบเป็นขอ้ อำหำรและ-ออกซิเจนจำกหลอด ต่อตำ่ ง ๆ และยงั เป็นตน้ กำเนิดของกระดกู แขง็ ท่วั เลอื ดท่ีผำ่ นทอ่ ฮำเวอรเ์ ชียนท่ีผำ่ น รำ่ งกำย ทอ่ เหลำ่ นี้ ➢ กระดกู ชนั้ ในคลำ้ ยรวงผงึ้ มี 2.ขอ้ ตอ่ (Joints) คือสว่ นต่อระหว่ำงกระดกู ตงั้ แต่สองชนิ้ ขนึ้ ไปมำตอ่ กนั เพ่อื กำรเคล่ือนไหว ลกั ษณะเป็นรำ่ งแหท่ีมีชอ่ งว่ำง ของรำ่ งกำย ระหวำ่ งกระดกู เรยี กว่ำ กระดกู 3.เอ็น (Tendon) มีทง้ั ท่ีเป็นเอน็ กลำ้ มเนือ้ และเอ็นยดึ ขอ้ (Ligament) เป็นเนือ้ เย่ือท่ีมี พรุน (Spongy bone) ควำมแขง็ แรงมำก มีลกั ษณะเป็นเสน้ ใยเหนียว ช่วย ยดึ กระดกู กบั กลำ้ มเนือ้ สว่ นตำ่ ง ๆ ไวด้ ว้ ยกนั 4.กระดกู (Bone) เป็นส่วนท่ีแข็งท่ีสดุ โครง กระดกู ในผใู้ หญ่ ประกอบดว้ ยกระดกู จำนวน 206 ชนิ้ สว่ นในทำรกแรกเกิดจะมีกระดกู ถึง 300 ชนิ้ เพรำะกระดกู อ่อนยงั ไมต่ ดิ กนั

1. กระดกู แท่งยำว (long bone) ทำหนำ้ ท่ีรองรบั นำ้ หนกั ของรำ่ งกำยและเคลอ่ื นไหว ไดม้ ำก เช่น กระดกู ตน้ แขน กระดกู ตน้ ขำ 2. กระดกู แท่งสน้ั (short bone) ทำหนำ้ ท่ีใหค้ วำมแข็งแรงเม่ือทำงำนแตเ่ คล่ือนไหวไม่ มำกนกั เช่น กระดกู ขอ้ มือ ขอ้ เทำ้ 3. กระดกู แบน (flat bone) ทำหนำ้ ท่ีปอ้ งกนั อวยั วะภำยใน จงึ มกั ไมค่ อ่ ยเคล่ือนท่ี ไดแ้ ก่ กระดกู กะโหลก กระดกู เชงิ กรำน กระดกู สะบกั กระดกู อก กระดกู ซ่โี ครง 4. กระดกู รูปรำ่ งไมแ่ นน่ อน (irregular bone) มกั มีรูปรำ่ งเป็นเหล่ียม มีแง่ มีช่องโคง้ ไปมำมำกมำย ทำใหเ้ หมำะสมกบั สว่ นตำ่ งๆ ของรำ่ งกำย ไดแ้ ก่ กระดกู สนั หลงั กระดกู แกม้ กระดกู ขำกรรไกร เป็นตน้

✓ ปอ้ งกนั สมอง ✓ คำ้ จนุ รำ่ งกำย ✓ ปอ้ งกนั อวยั วะภำยใน ✓ สรำ้ งเมด็ เลอื ดแดงเมด็ เลือดขำว ✓ เป็นท่ียดึ เกำะของกลำ้ มเนือ้ ✓ เคล่ือนไหว ✓ เก็บสะสมแรธ่ ำต(ุ แคลเซียม,ฟอสฟอรสั ) กระดูกแกน (Axial Skeleton) ❑ กะโหลกศีรษะ (Skull) จำนวน 22 ชิน้

❑กระดกู หู จำนวน 6 ชิน้ ❑กระดกู โคนลนิ้ 1 ชิน้

❑ กระดกู สนั หลงั (Vertebral Column) - กระดกู สนั หลงั ส่วนคอ (Cervical vertebrae) 7 ชนิ้ 33 ชนิ้ (ในวยั เด็ก) หรอื 26 ชนิ้ (ในวยั - กระดกู สนั หลงั สว่ นอก (Thoracic ผใู้ หญ่) vertebrae) 12 ชนิ้ - กระดกู สนั หลงั ส่วนเอว (Lumbar vertebrae) 5 ชนิ้ - กระดกู กระเบนเหนบ็ (Sacrum) 5 ชนิ้ - กระดกู กน้ กบ (Coccyx) 4 ชนิ้ ❑ กระดกู ซ่โี ครง (Ribs) จำนวน 24 ชนิ้ ❑ กระดกู อก (Sternum) จำนวน 1 ชนิ้ ชนิ้ ท่ี1-7 กระดกู ซ่โี ครงแท้ ต่อกบั กระดกู โดยตรง ชนิ้ ท่ี 8-10 กระดกู ซ่โี ครงไม่แท้ ชนิ้ ท่ี 11-12 กระดกุ ซ่โี ครงลอย หกั ง่ำย ไมย่ ดึ เกำะกบั อะไร

กระดกู รยางค์ (Appendicular Skeleton) ❑ กระดูกไหล่ (Pectoral girdle) • กระดกู ไหปลำรำ้ (Clavicle) • กระดกู สะบกั (Scapula) ชนิดละ 2 ชนิ้ ❑ กระดกู แขนและกระดกู มือ

❑ กระดกู โอบเชงิ กรำน (Pelvic girdle) ❑ กระดกู ขำ และกระดกู เทำ้ ❑ ขอ้ ต่อ (joints) สว่ นของรอยต่อ กระดกู ท่ีเกิด จำกกำรเช่ือม กนั ของกระดกู ตง้ั แต่ 2 ชิน้ ขนึ้ ไป โดยมีเอ็น และกลำ้ มเนือ้ ช่วยยดึ เสรมิ ควำมแขง็ แรง

MUSCULAR SYSTEM

MUSCULAR SYSTEM กล้ามเนื้อมี 3 ชนิด กล้ามเนือ้ ลาย (Striated muscle กล้ามเนือ้ เรียบ (Smooth muscles) อย่ภู ำยในหลอดเลือด หลอดอำหำร หรือ Skeletal muscle) กลำ้ มเนือ้ ลำยในรำ่ งกำยมที งั้ หมด ทำงำนภำยนอกอำนำจจติ ใจ เซลลล์ กั ษณะ จะยำวเรยี ว และบำงเป็นรูปกระสวย 792 มดั ทำงำนภำยใตอ้ ำนำจจิตใจเซลล์ กลำ้ มเนือ้ ชนิดนีส้ ว่ นมำกจะมีเสน้ ใยประสำท เสน้ ใยกลำ้ มเนือ้ (muscle fiber) มี อตั โนมตั มิ ำควบคมุ ดว้ ย เช่น ผนงั หลอดเลอื ด รูปเป็นทรงกระบอก มีนิวเคลียสหลำย มำ่ นตำ มดลกู กระเพำะอำหำร ผนงั ท่อ อนั มคี ณุ สมบตั หิ ดตวั จงึ ทำใหเ้ กิดแรงไป ทำงเดนิ อำหำร ผนงั ทอ่ ระบบขบั ถ่ำยปัสสำวะ เคล่ือนไหวสว่ นตำ่ งๆของรำ่ งกำย กล้ามเนือ้ หัวใจ (Cardiac muscles) คลำ้ ยกลำ้ มเนือ้ ลำย คือเสน้ ใยจะมลี ำยตำมขวำงเหมือนกนั แต่สีจำง กวำ่ เสน้ ใยกลำ้ มเนือ้ หวั ใจจะคอ่ นขำ้ งสนั้ มแี ขนงแยกออกไปเช่ือมตดิ กนั มำก เรยี กวำ่ Syncytium

MUSCULAR SYSTEM ส่วนประกอบของกล้ามเนือ้ ตามลักษณะทาง ส่วนประกอบทสี่ าคญั ของกล้ามเนือ้ • โปรตีน กายวภิ าค • คำรโ์ บไฮเดรต ดงั นี้ • ไขมนั 1. เซลลก์ ลำ้ มเนือ้ • สำรท่ีทำใหก้ ลำ้ มเนือ้ หดตวั มี 2. เสน้ ใยกลำ้ มเนือ้ ATP & ADP 3. มดั กลำ้ มเนือ้ (belly) 4. หลอดเลือดแดง 5. หลอดเลือดดำ 6. เสน้ ประสำท 7. พงั ผืด (fascia) 8. เอน็ (tendon) 9. แผน่ พงั ผืดตดิ เอน็ (aponeurosis) Origin & insertion (จุดเกาะของ กล้ามเนือ้ ) ท่ียดึ เกำะกลำ้ มเนือ้ มี 2 ชนิด - origin เป็นจดุ เกำะแรก /ตำยตวั หรอื เป็น จดุ เกำะของกลำ้ มเนือ้ ท่ีมกี ำรเคล่อื นไหวนอ้ ย มำก เม่อื กลำ้ มเนือ้ หดตวั - insertion เป็นจดุ เกำะปลำย ตำแหน่งท่ี เกำะของกลำ้ มเนือ้ และเป็นจดุ ท่ีมกี ำร เคล่ือนไหวมำกเม่อื กลำ้ มเนือ้ หดตวั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook