1 แผนการจดั การเรียนรปู้ ระจำปีการศึกษา 1/2565 ระดบั ประถมศกึ ษา นายเอนก เหมอื นทอง ครู กศน.ตำบลด่นู ้อย ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อำเภอจตรุ พักตรพมิ าน สำนกั งานการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวดั ร้อยเอ็ด สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศกึ ษาธิการ
2 คำนำ แผนการจดั การเรียนรู้รายภาคเรยี น ประจำภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั ประถมศกึ ษา แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับครูท่ีจะทำให้การจัดการเรียนรู้บรรลุเป้าหมายท่ีต้องการ เป็นการ วางแผนไว้ล่วงหน้าโดยศึกษาในเรื่อง สาระพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕) หมวด ๓ ระบบการศึกษา และ หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา ทุกมาตรากรอบของการจัดการศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เอกสารเกี่ยวกับการประกันคุณภาพ การศึกษา โดยจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานเอกสารเกี่ยวกับเนอื้ หาในรายวิชาท่ีจัดการเรียนรู้ และ ศกึ ษาหาขอ้ มลู จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ วธิ ีการจัดการเรียนรู้แบบต่าง ๆ ซึ่งเนน้ ผู้เรียนเป็นสำคญั และรูปแบบการเรยี นรู้ โดยกำหนดให้ใชร้ ปู แบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ กศน. (ONIE MODEL) ซึ่งมี ๔ ขั้นตอน ไดแ้ ก่ ข้ันตอนท่ี ๑ การกำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation ) ขั้นตอนที่ ๒ การแสวงหาข้อมูลและจัดการ เรียนรู้ (N : New ways of learning) ข้ันตอนที่ ๓ การปฏิบัติและนำไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) ข้ันตอน ที่ ๔ การประเมินผล (E : Evaluation) แผนการเรียนรู้จะทำให้ครูได้คู่มือการจัดการเรียนรู้ ทำให้ดำเนินการจัดการ เรียนร้ไู ดค้ รบถว้ นตรงตามหลกั สูตรและจดั การเรียนร้ไู ด้ตรงเวลา ขอขอบคุณ ผ้มู ีส่วนเกยี่ วข้องทุกทา่ น ที่ให้ความรู้ คำแนะนำและให้คำปรึกษาเป็นแนวทาง ทำให้แผนจดั การ เรียนรู้รายภาคเรียนเล่มนี้จนสำเร็จ เป็นรูปเล่มสมบูรณ์ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ สำหรับ ผู้นำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพหากพบข้อผิดพลาดหรือ มีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จดั ทำขอน้อมรับไวแ้ กไ้ ข ปรับปรงุ ด้วยความขอบคุณย่งิ นายเอนก เหมือนทอง ครู กศน.ตำบล
3 สารบญั หน้า คำนำ ก สารบัญ ข แผนการกำหนดการจัดการเรียนการสอน ประจำภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 จ แผนการจัดการเรียนรปู้ ฐมนิเทศ 1 แผนการจดั การเรียนรรู้ ายวิชาทักษะการเรยี นรู้ ครงั้ ที่ 1 5 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาศลิ ปศกึ ษา ครั้งท่ี 2 21 แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ คร้ังที่ 3 26 แผนการจดั การเรียนรรู้ ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครงั้ ที่ 4 36 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส้ อื่ ออนไลน์ ครง้ั ที่ 5 49 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวชิ าสุขศึกษาพลศึกษา ครง้ั ท่ี 6 61 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวชิ าสขุ ศกึ ษาพลศึกษา ครงั้ ที่ 7 71 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวชิ าภาษาไทย ครั้งที่ 8 82 แผนการจดั การเรยี นรู้รายวิชาคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส้ อื่ ออนไลน์ ครงั้ ที่ 9 86 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาศาสนาและหน้าท่ีพลเมือง คร้ังท่ี 10 95 แผนการจัดการเรียนรู้รายวชิ าศาสนาและหนา้ ท่พี ลเมือง คร้ังท่ี 11 102 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาช่องทางการเขา้ สู่อาชพี ครั้งท่ี 12 118 แผนการจดั การเรยี นรู้รายวชิ าชอ่ งทางการเข้าสูอ่ าชีพ คร้ังท่ี 13 125 แผนการจัดการเรียนรู้รายวชิ าสังคมศึกษา คร้งั ท่ี 14 136 แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ครงั้ ที่ 15 147 แผนการจดั การเรียนรู้รายวชิ าสังคมศึกษา ครง้ั ที่ 16 156 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาพัฒนาตนเองชุมชนสงั คม ครงั้ ที่ 17 163 แผนการจดั การเรยี นรู้รายวิชาพฒั นาตนเองชุมชนสังคม คร้ังท่ี 18 174 แผนการจดั การเรียนรูป้ จั ฉิมนิเทศ 181 คณะผู้จดั ทำ ซ
4 แผนกำหนดการจัดการเรียนการสอนของนักศกึ ษา ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา ๒๕65 หลกั สูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ระดับ ประถมศึกษา ช่ือครูผู้สอน นายเอนก เหมือนทอง ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพิมาน สำนกั งาน กศน.จงั หวัดร้อยเอด็ สัปดาห์ วัน/เดือน/ปี เวลา วชิ า/กิจกรรม สถานทจ่ี ัดการเรยี น ที่ กจิ กรรมปฐมนิเทศ การสอน ๑ 17 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กศน.ตำบลด่นู อ้ ย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรดู้ ้วยตนเอง กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย 1 17 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าทกั ษะการเรียนรู้ กศน.ตำบลด่นู ้อย (5 นก.) ทร 11001 ตามอธั ยาศยั ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 2 24 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าศิลปศึกษา กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ตามอธั ยาศัย (2 นก.) ทช 11003 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 3 31 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าวิทยาศาสตร์ กศน.ตำบลดนู่ ้อย ตามอัธยาศัย (3 นก.) พว 11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 4 7 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าวิทยาศาสตร์ กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ตามอธั ยาศยั (3 นก.) พว 11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 5 14 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการ กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ใชส้ ่อื สังคมออนไลน์ (2 นก.) สค020035 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ตามอธั ยาศยั 6 21 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาสขุ ศกึ ษาพลศึกษา กศน.ตำบลดู่น้อย (2 นก.) ทช 11002 กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
5 แผนกกำหนดการจัดการเรยี นการสอนของนกั ศึกษา ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา ๒๕65 หลักสตู ร การศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ระดับ ประถมศกึ ษา ช่ือครผู สู้ อน นายเอนก เหมือนทอง ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน สำนักงาน กศน.จังหวดั ร้อยเอด็ สปั ดาห์ วัน/เดือน/ปี เวลา วิชา/กิจกรรม สถานท่จี ัดการเรยี น การสอน ท่ี วิชาสขุ ศกึ ษาพลศกึ ษา (2 นก.) ทช 11002 กศน.ตำบลดู่น้อย 7 28 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรดู้ ้วยตนเอง กศน.ตำบลดนู่ ้อย กศน.ตำบลดนู่ ้อย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กศน.ตำบลดู่น้อย กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย 8 5 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาภาษาไทย กศน.ตำบลดู่นอ้ ย กศน.ตำบลดู่นอ้ ย (3 นก.) พท 11001 กศน.ตำบลดู่น้อย กศน.ตำบลดูน่ ้อย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรู้ด้วยตนเอง ตามอธั ยาศัย 9 12 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาภาษาไทย กศน.ตำบลดู่นอ้ ย (3 นก.) พท 11001 ตามอธั ยาศยั ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรดู้ ้วยตนเอง กศน.ตำบลดู่นอ้ ย กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ๑0 19 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมือง (2 นก.) สค11002 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรู้ด้วยตนเอง ๑1 26 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศาสนาและหน้าที่พลเมือง (2 นก.) สค11002 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรียนรู้ดว้ ยตนเอง สอบกลางภาค ๑2 2 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าชอ่ งทางการเขา้ สู่อาชีพ (2 นก.) อช11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 13 9 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาชอ่ งทางการเข้าสู่อาชีพ (2 นก.) อช11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นร้ดู ้วยตนเอง
6 แผนกำหนดการจัดการเรยี นการสอนของนกั ศึกษา ประจำภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา ๒๕65 หลักสูตร การศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ระดับ ประถมศกึ ษา ชอ่ื ครูผสู้ อน นายเอนก เหมือนทอง ตำแหนง่ ครูกศน.ตำบล กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน สำนักงาน กศน.จังหวัดร้อยเอ็ด สัปดาห์ที่ วนั /เดือน/ปี เวลา วชิ า/กิจกรรม สถานท่ีจดั การเรยี น การสอน ๑4 16 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาสังคมศึกษา ( 2 นก.) สค11001 กศน.ตำบลดู่น้อย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง ๑5 23 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กศน.ตำบลดนู่ ้อย ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (3 นก.) สค12024 กศน.ตำบลดนู่ ้อย กจิ กรรมการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง กศน.ตำบลดู่น้อย ๑6 30 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาสงั คมศึกษา กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย ( 2 นก.) สค11001 กศน.ตำบลดู่น้อย ๑7 6 ก.ย. 2565 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง กศน.ตำบลดู่น้อย ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กศน.ตำบลดนู่ อ้ ย พัฒนาตนเองชุมชนสงั คม กศน.ตำบลดู่นอ้ ย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (2 นก.) สค11002 กศน.ตำบลดู่นอ้ ย 18 13 ก.ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนร้ดู ้วยตนเอง กศน.ตำบลดู่นอ้ ย 17 - 18 กันยายน 2565 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. 19 20 ก.ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. พัฒนาตนเองชุมชนสงั คม (2 นก.) สค11002 กิจกรรมเรียนรดู้ ้วยตนเอง สอบปลายภาค ปจั ฉมิ นิเทศ ลงชื่อ............................................................ครูผสู้ อน ( นายเอนก เหมือนทอง ) ครู กศน.ตำบล ลงชื่อ............................................................ผรู้ ับรองขอ้ มลู ( นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร ) ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน
7 แผนการจัดการเรียนรู้ ปฐมนิเทศ ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั ประถมศกึ ษา กศน.ตำบลดู่น้อย 1. สปั ดาหท์ ี่ 1 วนั ที่ 17 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วชิ า ปฐมนเิ ทศ 3. มาตรฐานท่ี 4. หนว่ ยการเรยี นรู/้ เรอ่ื ง การจดั การเรียนรตู้ ามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 5. สาระสำคัญ โครงสร้างหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พ.ศ.2551 ประกอบดว้ ย 5 สาระ การเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะการเรียนรู้ ทกั ษะการดำเนนิ ชีวติ ความรู้พ้นื ฐาน การประกอบอาชีพ และการพฒั นาสังคม ซง่ึ แตล่ ะสาระประกอบด้วยรายวชิ าบังคับ และวชิ าเลอื ก (เลือกบงั คบั และเลือกเสรี)ตามจำนวนหน่วยกติ ในโครงสร้าง รายวชิ าบังคบั ทกุ วิชาผูเ้ รยี นต้องลงทะเบียนเรียนตามท่กี ำหนด ส่วนรายวชิ าเลอื กเสรสี ถานศึกษากำหนดได้ตาม ความต้องการ และรายวิชาเลือกตามทีส่ ่วนกลางกำหนดในรายวิชาเลอื กบังคับ นอกจากนี้ทุกระดับตอ้ งทำกจิ กรรม คณุ ภาพชีวติ อยา่ งน้อย 200 ชวั่ โมง โครงงาน 3 หนว่ ยกติ และการทดสอบทางการศกึ ษาระดับชาติ ด้านการศกึ ษา นอกระบบโรงเรียน (N-NET) 6. เนือ้ หา 1. โครงสร้างการศึกษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 2. วธิ ีการจัดการเรยี นรู้ 7. จดุ ประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรยี นรูท้ ่ีคาดหวัง (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. ผู้เรียนรู้ และเข้าใจวิธีการจัดการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 - รูปแบบวิธเี รียน - การวดั และประเมินผลการเรยี น - การจัดกจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชีวติ (กพช.) - การประเมินคณุ ธรรม - การจบหลักสูตร คุณธรรม - มคี วามขยัน - ความรบั ผดิ ชอบ - ความสามัคคี พอประมาณ - การวางแผนท่ีความเหมาะสมในการศึกษาเรยี นรู้ - เวลาในการเรียน - การใช้ส่ือและแหล่งเรยี นรู้
8 มเี หตุผล - เหตผุ ลในการเรียน กศน. - การนำความรแู้ ละวุฒิการศึกษาไปใช้ในการดำเนินชวี ิต มภี ูมิคุ้มกนั - การนำความรู้ที่ได้รบั จากการเรยี น ไปปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจำวัน วตั ถุ - การนำวฒุ ิการศกึ ษาไปศกึ ษาตอ่ ในระดับทสี่ ูงขึ้น - ผูเ้ รยี นไดร้ บั ความรู้ มีทักษะในการ สงั คม - มกี ารทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มแลกเปล่ยี นความคดิ และวเิ คราะห์ร่วมกัน สงิ่ แวดล้อม - การใช้วสั ดุทางการศึกษาที่ไมท่ ำใหเ้ กิดความเสยี หายกบั ส่ิงแวดลอ้ ม - การรักษาความสะอาดในการจดั การเรยี นการสอน วัฒนธรรม - การอยรู่ ่วมกัน - การทำงานกลุ่ม/ การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ - การแบง่ ปัน 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กำหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ ครูผู้สอนกล่าวทกั ทายผู้เรยี น และแจ้งจุดประสงค์ของการปฐมนิเทศ ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ 1. ครูผู้สอนให้ผูเ้ รยี นกลา่ วทักทายและสนทนากันเอง 2. ครูอธิบายหลกั การโครงสร้างหลกั สตู รการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนำไปใช้ 1. ครูและผเู้ รียนร่วมกันสรปุ 2. ครใู ห้ความรู้เพ่มิ เตมิ ในส่วนของความรทู้ ี่ยังไม่ครบถว้ น ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ครผู สู้ อนสรุปผลจากการนำเสนอ และเติมเตม็ องค์ความรู้พรอ้ มมอบหมายงาน 10. สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2. หนงั สือเรียน 10. การวดั และประเมินผล 10.1 วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผู้อืน่ ของผู้เรยี นรายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น
9 10.2 เครอื่ งมือวดั และประเมินผล - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรว่ มกับผูอ้ นื่ ของผเู้ รยี นรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 10.3 เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผ้อู ื่นของผูเ้ รียนรายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควร ปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เกณฑผ์ ่านและไมผ่ ่าน กจิ กรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................... .............................................. ......................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู สู้ อน (นายเอนก เหมอื นทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชื่อ………………………………………………………ผอู้ นุมัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
10 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตำบลดูน่ ้อย ครงั้ ที่ 1 วนั ที่ 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอน นายเอนก เหมอื นทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00- 12.00 น. เข้าเรียน…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่ากอ่ นเรยี นจำนวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................... 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื .....................................................ครูผ้สู อน (นายเอนก เหมือนทอง) วนั ท.่ี ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................................... ...... .............................................................................................................. ......................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน
11 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาทกั ษะการเรียนรู้ ครั้งท่ี 2 การจดั ทำหน่วยเรียนร้บู รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตำบลดู่น้อย 1. สัปดาห์ที่ 1 วันที่ 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วิชา ทักษะการเรยี นรู้ รหสั วชิ า ทร11001 จำนวน 5 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2. รู้จกั เห็นคุณคา่ และใชแ้ หล่งเรียนรู้ถูกตอ้ ง 4. หน่วยการเรยี นรู/้ เรอื่ งการใช้แหล่งเรียนรู้ 5. สาระสำคญั การเรยี นรูจากสิ่งแวดลอมในชมุ ชนท่มี อี งคความรูทเ่ี รียกวาแหลงเรียนรูตางๆ ทาํ ให ผูเรยี นสามารถรูถงึ การสั่ง สมความรู ประสบการณทีผ่ านมาจากแหลงเรียนรูประเภทตาง ๆ เรียนรูไดเทา ทันความเปล่ยี นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ เกดิ โลกทศั นกวางขวางมากย่ิงข้นึ กวาการเรยี นจากการพบกลุมในหอง หรือการเรยี นรูในรูปแบบอน่ื ๆ 6. เนือ้ หา ๑.ความหมายความสำคัญของแหลง่ เรยี นรโู้ ดยทัว่ ไป ๒.การเข้าถงึ และเลอื กใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ๓.บทบาทหนา้ ทแ่ี ละการบริการของแหล่งเรยี นรู้ด้านต่างๆ ๔.กฏกติกาเงือ่ นไขต่างๆ ในการไปขอใช้บริการแหล่งเรียนรู้ ๕.ทักษะการใช้ข้อมูลสารสนเทศจากห้องสมุดทีส่ อดคล้องกบั ความต้องการ ความจำเปน็ เพื่อนำไปใชใ้ นการ เรยี นรู้ของตนเอง 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวงั (ดูจากผงั การออกข้อสอบ) 1. ผเู รยี นสามารถบอกประเภทคณุ ลกั ษณะของแหลงเรยี นรูและเลอื กใชแหลงเรียนรู ไดตามความเหมาะสม 2. ผเู รยี นเห็นคุณคาแหลงเรยี นรูประประเภทตาง ๆ 3. ผเู รียนสามารถสงั เกต ทาํ ตาม กฎ กติกา การใชแหลงเรียนรู้ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3หลกั การ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ 1. ความหมายของการใช้แหล่งเรยี นรู้ 2. ลำดับความคดิ เร่ืองการใชแ้ หล่งเรยี นรูผ้ ่านเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตดว้ ยตนเอง คณุ ธรรม 1 .ความรับผดิ ชอบในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 2. ตรงต่อเวลา 3. ความเพยี ร ความพยายาม 4. มีความสามัคคีในการทำงานกลุม่ พอประมาณ 1. กำหนดหน้าทีข่ องคนในกลุ่มใหเ้ หมาะสมกับแต่ละคน 2. ความสามารรถในเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ 3. ผู้เรียนสามารถเลอื กแหล่งเรยี นรู้ทม่ี อี ยใู่ นท้องถน่ิ
12 มเี หตผุ ล 1. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายความหมายของการใช้แหล่งเรยี นรู้ 2. นกั ศึกษามีทักษะในการค้นคว้าความรผู้ า่ นเครือข่ายได้ดว้ ยตนเอง 3. นักศึกษามีความตระหนักและเหน็ คุณคา่ ของแหล่งเรียนรู้ มภี ูมคิ ุม้ กัน 1. ผเู้ รียนสามารถวางแผนการทำงานกลุม่ ได้ 2. ผเู้ รยี นสามารถบันทึกผลการเรยี นรูต้ ามใบงานกลุ่มได้ 3. ทำความเขา้ ใจกับกจิ กรรมการเรียนรทู้ ค่ี รูกำหนด วัตถุ - มีทักษะในการใชส้ ือ่ วสั ดุ อปุ กรณ์ในห้องสมดุ เห็นความสำคญั ของการใชส้ อ่ื วัสดุ อุปกรณ์ ใน ห้องสมดุ อยา่ งคุ้มคา่ สังคม - มคี วามรใู้ นการแบ่งงานในกลุ่มตามความถนัดทำงานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้ - มีความรับผิดชอบในการทำงานยอมรบั ความคดิ เห็นของเพือ่ นในกลุ่ม สงิ่ แวดล้อม - จติ สำนกึ และรู้วธิ ีใชแ้ หล่งเรียนรู้ วฒั นธรรม - บอกภมู ปิ ญั ญาที่เรียนรู้ในแหล่งเรียนรู้ และตระหนกั ถึงข้อมูลในท้องถ่ิน 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ 1 กำหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1.ครูและผู้เรียนพูดคุย / ซกั ถามความเป็นอย่ปู จั จุบนั 2.ทบทวน / ตดิ ตามผลการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 3.ทบทวน / ตดิ ตามการศกึ ษาคน้ ควา้ ในสัปดาหท์ ่ผี า่ นมา ขนั้ ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียนด้วย เพ่ือทดสอบความรู้เบ้อื งตน้ 2. ใหน้ กั ศกึ ษาศึกษาเรอ่ื งการใช้แหล่งเรียนรู้ จากหนงั สอื เรียนสาระความรู้พนื้ ฐาน รายวิชาทกั ษะ การเรียนรู้ระดบั ประถมศกึ ษา รหัส ทร11001 3. ครูใช้ส่ือ You Tube เร่อื ง แหล่งเรียนร้พู อเพยี ง เพอื่ อธบิ ายความรู้เพ่มิ เติมให้นักศึกษา ผ่านเว็บ https://www.youtube.com/watch?v=MZqZrAs-cqY ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) ครูให้นักศึกษาระดมความคดิ จากการศึกษาแหล่งเรียนรู้หอ้ งสมดุ แหล่งเรยี นรู้ในทอ้ งถิน่
13 ขนั้ ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ให้นักศกึ ษาออกมาหน้าชั้นเรยี น เพอ่ื นำเสนอการถอดบทเรยี นแหล่งเรยี นรทู้ ี่ได้ศึกษามา ให้สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง จากน้นั ครูให้คะแนน 2. แบบทดสอบ 3. ใบงาน 10. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนสาระความรู้พ้ืนฐาน รายวชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ ระดบั ประถมศึกษา รหัส ทร11001 2. แหล่งเรียนรู้ในท้องถน่ิ ห้องสมดุ ประชาชน 3. แหล่งเรียนรู้ภมู ิปัญญาในท้องถิ่น 4. ใบความรู้ 11. การวดั และประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผูอ้ ื่นของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน 2. เคร่อื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผอู้ ่ืน ของนกั ศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผู้อืน่ ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช้ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน เกณฑ์ผา่ นและไม่ผา่ น กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงชอื่ …………………………………………….ครูผ้สู อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร .......................................................................................................................... ............................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน
14 บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทำหนว่ ยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คร้งั ท่ี 1 วนั ท่ี 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 ครผู ู้สอน นายเอนก เหมอื นทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการเรยี นรู้ รายวิชาทักษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร11001 จำนวนผู้เรียนทั้งหมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวา่ กอ่ นเรียนจำนวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกวา่ ก่อนเรียนจำนวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................. .............................................. ............................................................................................................................... ................................. 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผูส้ อน วนั ท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................... ................................................ ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน วนั ที่.............../.................../...............
15 แบบทดสอบ เรื่อง การใชแหลงเรียนรู ระดบั ประถมศกึ ษา 1. แหลงเรียนรูมีความสําคญั ตอผูเรียนในขอใดมากทสี่ ดุ ก. การศึกษาตามอัธยาศยั ข. ชวยสรางเสริมประสบการณภาคปฏิบุติ ค. แหลงสรางเสรมิ ความรู ความคดิ วทิ ยาการ ง. เปนแหลงปลกู ฝงนสิ ัยรักการอาน การศึกษาคนควาแสวงหาความรูดวยตนเอง 2. ขอใดใหความหมายของ \"แหลงเรยี นรู\" ไดสมบรู ณที่สุด ก. เปนแหลงความรูทางวิชาการ ข. เปนแหลงสารสนเทศใหความรูอยางกวางขวาง ค. เปนแหลงรวมภูมิปญญาชาวบานใหศกึ ษาคนควา ง. เปนแหลงขอมูลขาวสารและประสบการณทีส่ งเสริมใหผูเรียนแสวงหาความรูดวยตนเอง ตามอัธยาศยั อยางตอเนื่อง 3. ขอใดเปนแหลงเรียนรูกลุมขอมลู ทองถน่ิ ก. สถานประกอบการ ขอใดเปนแหลงเรยี นรูกลมุ ขอมูลทองถ่ิน ข. ภมู ิปญญาชาวบานและปราชญชาวบาน ค. แหลงเรยี นรูในโรงเรยี นและหอกระจายขาว ง. แหลงเรียนรูในโรงเรียนและแหลงเรยี นรูในทองถ่นิ 4. ขอใดคือการแสวงหาความรูดวยตนเองจากแหลงเรยี นรูในทองถ่นิ ก. เรยี นทําอาหารไทยจาก ข. ไปที่หองคอมพิวเตอรเพ่ือสืบคนขอมลู มาทาํ รายงาน โรงเรียนสอนอาหารไทย ค. อานหนังสือคูมือฟสิกสที่ศูนยวิทยาศาสตร ง. ไปศกึ ษาคนควาเรื่องประโยชนของพืชสมุนไพรท่สี วนสมนุ ไพร 5. ขอใด คือแหลงเรยี นรูในชุมชนท่มี ที รัพยากรสารสนเทศหลากหลายมากที่สุด ก. หองสมดุ ประชาชน ข. ศูนยนนั ทนาการ ค. สวนพฤษศาสตร ง. อทุ ยานวทิ ยาศาสตร์ 6. ถาจะศึกษาคนควาเร่ืองความเปนมาของประวตั ิเขาพระวหิ าร ควรจะศกึ ษาจากแหลงใดท่มี ขี อมูล มากที่สดุ ก. อุทยานประวัตศิ าสตร ข. พิพธิ ภณั ฑแหงชาติ ค. อินเทอรเน็ต ง. เขาพระวหิ าร
16 7. จาํ นง ตองการปลูกขาวใหไดผลดีมากท่สี ดุ จํานงควรเรยี นรูจากแหลงใดมากที่สดุ ก. ภมู ิปญญา ข. หอกระจายขาว ค. สวนสมุนไพร ง. สวนสาธารณะ 8. ขอใดเปนแหลงเรียนรูกลุมศลิ ปวัฒนธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรีย ค. หอศิลป ง. ถูกทกุ ขอ 9. วัตถปุ ระสงคของการจัดแหลงเรยี นรูในทองถนิ่ คือขอใด ก. เปนขอมูลเพือ่ การพัฒนาประเทศชาติ ข. เปนแหลงคนควาสนบั สนุนการเรียนการสอน ค. เพอื่ เปนการพฒั นาชมุ ชนใหเจริญกาวหนาทนั เทคโนโลยี ง. เปนแหลงการศึกษาตลอดชวี ติ ท่ีประชาชนสามารถหาความรูตางๆ ไดดวยตนเอง 10. ขอใดควรปฏบิ ัตใิ นหองสมุดประชาชน ก. ตวิ เขมเพ่ือเตรียมตวั สอบ ข. เตรยี มอาหารและเครื่องด่ืมไปเอง ค. ตองยืมหนังสือดวยบตั รสมาชกิ ของตนเอง ง. ทกุ ครั้งทห่ี ยบิ หนังสือมาอานใหนําไปเก็บทีช่ น้ั หนังสอื ดวย เฉลย 1. ง 2. ง 3. ข 4. ง 5. ก 6. ค 7. ก 8. ง 9. ง 10. ค
17 ใบความรู้ การใชแหลงเรียนรู ความหมายของแหล่งเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้ หมายถงึ แหล่งข้อมลู ขา่ วสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ทีส่ นับสนุนสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนใฝ่ เรยี น ใฝ่รู้ แสวงหาความรูแ้ ละเรยี นรู้ดว้ ยตนเองตามอัธยาศยั อยา่ งกว้างขวางและต่อเน่ือง เพ่ือเสริมสร้างใหผ้ เู้ รียนเกิด กระบวนการเรยี นรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรยี นรู้ ความสำคญั ของแหล่งเรยี นรู้ 1. แหล่งการศกึ ษาตามอัธยาศยั 2. แหล่งการเรยี นรตู้ ลอดชวี ิต 3. แหล่งปลูกฝงั นสิ ัยรักการอา่ น การศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง 4. แหลง่ สร้างเสรมิ ประสบการณภ์ าคปฏิบัติ 5. แหลง่ สรา้ งเสริมความรู้ ความคิด วทิ ยาการและประสบการณ์ ประเภทของแหลง่ เรยี นรู้ แหลง่ เรียนรู้ จำแนกตามลกั ษณะที่ตัง้ ได้ ดงั นี้ 1. แหลง่ เรียนรูใ้ นโรงเรยี น 2. แหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน วตั ถปุ ระสงค์ของการจดั แหล่งเรียนรูใ้ นโรงเรียน 1. เพื่อพัฒนาโรงเรยี นใหเ้ ป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ มีแหล่งข้อมลู ข่าวสาร ความรู้ วทิ ยาการ และสรา้ งเสริม ประสบการณ์ ท กว้างขวางหลากหลาย 2. เพอ่ื เสรมิ สรา้ งบรรยากาศการเรียนรู้ในโรงเรยี น โดยเน้นผ้เู รียนเป็นสำคญั 3. เพ่อื จัดระบบและพัฒนาเครือขา่ ยสารสนเทศ และแหล่งการเรยี นรู้ในโรงเรียน 4. เพอื่ สง่ เสริมใหผ้ ้เู รียนมที กั ษะการเรียนรู้ เปน็ ผใู้ ฝร่ ู้ ใฝเ่ รียน และเรียนรู้ดว้ ยตนเองอย่างต่อเนือ่ ง การนำแหล่งเรียนร้แู ละภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ มาใชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน มแี นวทางดงั น้ี 1. ศกึ ษาหลักสตู ร และสาระการเรยี นรู้ 2. จดั ทำข้อมูลสารสนเทศแหลง่ เรียนรู้ ภมู ิปัญญาท้องถิ่น 3. จดั ทำแผนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกบั จุดประสงค์ 4. ขอความรว่ มมือกับชุมชนและตัววิทยากรทอ้ งถนิ่ 5. เชิญวิทยากรท้องถนิ่ มาถ่ายทอดความรู้ หรือนำนกั เรียนไปยังแหล่งเรียนรู้ 6. ทำการวัด ประเมนิ ผล
18 7. รายงานผล สรปุ ผลใหผ้ ทู้ ีเ่ ก่ียวข้องได้ทราบ ข้อดีในการนำแหลง่ เรียนรู้ และภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ มาใช้ในกระบวนการเรยี นการสอน 1. ผูเ้ รียนได้เรียนรู้จากของจรงิ ทำให้เกิดประสบการณต์ รง 2. ผู้เรียนเกิดความสนุกสนาน 3. ผเู้ รียนมีเจตคตทิ ดี่ ีต่อชุมชน และกระบวนการเรยี นรู้ 4. ผู้เรยี นเห็นคุณคา่ ของแหล่งเรียนรู้ ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ 5. ผู้เรียนเกดิ ความรกั ทอ้ งถิ่นและเกดิ ความรใู้ นการอนุรักษ์สิง่ ทม่ี ีคุณค่าในท้องถิน่ ความหมายประเภทของแหล่งการเรยี นรู้ 1.1 ความหมายของแหล่งการเรียนรู้ แหลง่ การเรยี นรู้ หมายถงึ แหล่งขา่ วสารข้อมูล สารสนเทศ แหลง่ ความรทู้ างวิทยาการ และประสบการณท์ ่สี นับสนนุ สง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียน ใฝเ่ รียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรูแ้ ละเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ตามอธั ยาศัยอยา่ งกว้างขวางและต่อเน่ืองจากแหล่งต่าง ๆ เพ่อื เสรมิ สร้างใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้ และเปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ (กรมสามญั ศกึ ษา, 2544, หน้า 6) 1.2 ความหมายประเภทของแหลง่ การเรียนรู้ ในการแบง่ ประเภทของแหลง่ การเรียนรู้น้นั พระพทุ ธทาสภิกขุ (อา้ งใน สุมน อมรววิ ฒั น์ 2548: ออนไลน์) ไดแ้ สดง ธรรมเรอ่ื ง “โรงเรียนทท่ี ่านยังไมร่ ้จู กั ”มคี วามตอนหน่ึงว่า โรงเรียนมีอย่ทู ว่ั ทุกหนทุกแหง่ ตำหตู ำตาของทา่ นท้งั หลาย แต่ทา่ นก็ไมร่ ู้จัก การเรยี นรู้จากธรรมชาติช่วยให้ผู้เรียนเขา้ ใจความเปน็ จริงของชีวิต ที่มีการเปล่ยี นแปลง มกี ารต่อสูด้ ้นิ รน มปี ญั หา มีสุนทรียภาพ มีคุณค่า ท้ังความจรงิ ความงามและความดี ในทางตรงกนั ข้าม ธรรมชาติก็มที งั้ ความเสอ่ื ม สลาย และความโหดรา้ ย ทำลายล้าง มนษุ ยจ์ งึ จำเป็นต้องเรียนรู้ และอยรู่ ่วมกับธรรมชาติ ด้วยการอนุรักษ์ และ ยอมรบั คุณค่าของธรรมชาติ ปรับตนเองไดใ้ นความเปลยี่ นแปลง และทำอยา่ งไรจึงจะให้เดก็ รู้ ด้วยตนเองมากขึน้ น่ัน คอื ต้องสร้างแหลง่ การเรียนรู้ใหเ้ ขา ตอ้ งสอนใหเ้ ขารู้จกั ใช้แหล่งการเรยี นรู้ แหลง่ การเรียนรู้แบ่งได2้ ประเภทดังนี้ 1) แหล่งการเรยี นรใู้ นโรงเรียน 2) แหลง่ การเรียนรนู้ อกโรงเรียน หรืออาจแบ่งแหลง่ การเรียนรทู้ ี่อยูร่ อบตัวผู้เรยี น (ศิรกิ าญจน์ โกสมุ ภ์ และดารณี คำวัจนัง, 2545, หนา้ 33) เทคโนโลยี ได้แก่ - คอมพิวเตอร์ - อเี มล์ (e-mail) - อนิ เทอรเ์ นต็ - ส่ิงแวดล้อม ไดแ้ ก่ - แหล่งน้ำ เช่น แมน่ ้ำ ลำคลอง หว้ ย หนอง บึง วนอทุ ยาน ภูเขา เช่น ถ้ำหิน งอก หินย้อย - สวนพฤกษศาสตร์ เชน่ สวนสมนุ ไพร สวนปา่ ธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ใน โรงเรียน สวนสาธารณะ
19 - สถานท่ี ได้แก่ - สถานทส่ี ำคญั ทางศาสนา เช่น วัด โบสถ์ มสั ยดิ สเุ หรา่ - ปูชณียสถาน โบราณสถาน - โรงเรียน - โรงพยาบาล - ไปรษณีย์ - สถานตี ำรวจ - พพิ ธิ ภณั ฑ์ - หอ้ งสมุด เชน่ ห้องสมดุ โรงเรยี น ห้องสมุดในชมุ ชน - สอื่ สารมวลชน ไดแ้ ก่ - หนังสือพิมพ์ -โทรทัศน์ ETV - วทิ ยุ สารสนเทศ - บุคลากร ไดแ้ ก่ - เพือ่ น เช่น เพื่อนในหอ้ งเรียน เพื่อนในชุมชน - ครู เชน่ ครูใหญ่ ผู้อำนวยการ ครูวิชาตา่ ง ๆ - ผนู้ ำชมุ ชน เช่น ผนู้ ำศาสนา - แพทย์ - องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) - ตำรวจ - ภมู ปิ ญั ญาชาวบ้าน เช่น ดนตรี ก่อสรา้ ง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ ความสำคัญของแหล่งการเรยี นรู้ การเพิม่ ศักยภาพของผเู้ รยี นใหส้ ูงขนึ้ สามารถดำรงชวี ติ อย่างมีความสุขได้บนพนื้ ฐานของความเป็นไทย และ ความเป็นสากลเปน็ การเรียนรู้คขู่ นานระหว่างความรสู้ ากลกบั ความรู้ท้องถ่นิ เพราะทอ้ งถ่ินเปน็ ระบบความรทู้ ี่มี การพฒั นาอย่างต่อเนื่อง โดยผา่ นมิตสิ มั พนั ธก์ ารส่งั สมและถ่ายทอดผา่ นรุ่นสูร่ ุ่น สว่ นใหญเ่ ปน็ ช้ินงาน เครือ่ งดนตรี เครื่องใช้ ผา้ ไหม ผ้าฝา้ ย การละเลน่ ของเล่น และความรู้ท่ีอยู่ในตวั ของบุคคลที่เปน็ ข้อควรปฏบิ ัติ บทสวด ภาษา เขยี น นิทาน คำกลอน บทเพลง ตำรายาของปราชญ์ชาวบา้ น ซ่ึงสิ่งเหล่าน้มี ี ความเชือ่ มโยงกับธรรมชาติ และ เทคโนโลยพี นื้ บา้ น สอดคล้องกับสังคมการดำรงชวี ิตของผเู้ รียน ถือวา่ เปน็ การเรียนรู้แบบคู่ขนานระหวา่ งความรู้ ทอ้ งถิ่นส่สู ากล 2.1 เจเดด (Jedede 1995: 97-137) ได้เสนอวา่ รปู แบบของการเรียนรู้คขู่ นาน ระหว่างความร้สู ากล แหลง่ การเรียนร้แู ละภูมิปัญญา สง่ ผลต่อการพฒั นากระบวนการเรยี นร้ทู ่มี ีความจำระยะยาวของผ้เู รียน ทำให้สนใจ ใฝ่ รู้ รกั การเรยี นรู้ แสวงหาความรู้ และสามารถนำความร้ทู ้องถิ่นไปปรับประยกุ ต์สู่สากล 2.2 ซนิ เวล่แี ละคอร์ซิงเลีย (Sinvely และCorsinglia 2001d:a6-34) กลา่ วถึง กระบวนการ ผสมผสานความรูท้ อ้ งถิน่ เข้ากับความรู้สากลในการจัดการเรียนการสอน โดยยดึ แหล่งการเรยี นรู้ในท้องถิน่ เปน็ แกน หลักเสริมการเรียนรูท้ ำให้เกิดการยอมรบั พูดคุยและรับฟงั ความเหมือนความต่างระหวา่ งวฒั นธรรม โครงสรา้ ง รูปแบบการคดิ โดยที่วัฒนธรรมเดมิ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสรา้ งตัวเองทั้งหมด ก่อนทีจ่ ะรบั วัฒนธรรมใหม่เข้าไป
20 2.3 แอพเพลิ (Apple 1990: 50-67) การนำวิทยาการพน้ื บา้ นมาใช้ในการเรยี น การสอนจะชว่ ยให้ เกิดความเจรญิ งอกงามทางสติปัญญา ผู้เรียนสามารถดำรงชีวติ อยู่ไดใ้ นท้องถิ่นอย่างปกติสุข บนพืน้ ฐานของ กระบวนการเรียนรตู้ ามสภาพภูมิศาสตร์ นิเวศวิทยา ความเชอ่ื ปรชั ญา วถิ ที อ้ งถน่ิ และวิถแี ห่งการดำรงชีวิต 2.4 ก่ิงแกว้ อารรี กั ษ์ (2548:118) ใหค้ วามสำคัญของการศึกษาโดยใช้แหล่งเรยี นรู้ ไว้ดงั น้ี 1) กระตุ้นให้เกดิ การเรยี นรู้เรื่องใดเรือ่ งหนงึ่ โดยอาศยั การมปี ฏิสัมพันธก์ บั ส่อื ทห่ี ลากหลาย 2) ช่วยเสริมสรา้ งการเรียนรใู้ ห้ลึกซึง้ ข้ึน โดยใชเ้ วลาในการรวบรวมขอ้ มลู สะท้อนความ คิดเหน็ จากแหล่งการเรียนรู้ 3) กระตนุ้ ม่งุ เน้นลกึ ในเร่ืองใดเร่ืองหนงึ่ ซึง่ ผลกั ดันใหผ้ ู้เรยี นแสวงหาขอ้ มลู ท่ีเกีย่ วขอ้ งเพิ่ม มากขึ้น สามารถสรา้ งผลผลิตในการเรยี นรูท้ ม่ี ีคุณภาพสงู ข้ึน 4) เสรมิ สร้างการเรียนรู้ จนเกดิ ทักษะการแสวงหาขอ้ มูลท่มี ปี ระสิทธภิ าพ โดยอาศัยการ สรา้ งความตระหนักเชงิ มโนทัศนเ์ ก่ยี วกบั ธรรมชาตแิ ละความแตกต่างของข้อมูล 5) แหล่งการเรียนรู้เสริมสรา้ งการพัฒนาการคดิ เชน่ การแก้ปญั หา การใหเ้ หตผุ ล และการ ประเมินอย่างมวี จิ ารญาณ โดยอาศยั กระบวนการวจิ ยั อิสระ 6) เปล่ยี นเจตคติของครูและผเู้ รยี นท่มี ีต่อเนื้อหารายวชิ า และผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 7) พัฒนาทกั ษะการวิจยั และความเช่อื ม่นั ในตนเองในการค้นหาข้อมูล 8) เพ่มิ ผลสมั ฤทธ์ิด้านวชิ าการ ในด้านเน้อื หา เจตคติ และการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ โดย อาศัยแหล่งการเรยี นรู้ทห่ี ลากหลายในการเรียนรู้ 2.5 นเรนทร์ คำมา (2548 : ออนไลน)์ ได้กลา่ ว ถงึ ความสำคญั ของแหลง่ การเรียนรู้ไวด้ ังน้ี 1) เป็นแหลง่ ที่รวบรวมขององค์ความร้อู นั หลากหลาย พร้อมทีจ่ ะให้ผู้เรียนไดศ้ กึ ษาค้นคว้า ดว้ ยกระบวนการจดั การเรยี นรทู้ ีแ่ ตกต่างกันของแต่ละบุคคล และเป็นการสง่ เสรมิ การเรียนรู้ตลอดชวี ิต 2) เป็นแหล่งเชื่อมโยงให้สถานศึกษาและท้องถิ่นมีความใกลช้ ดิ กัน ทำใหค้ นในท้องถน่ิ มี สว่ นร่วมในการจดั การศึกษาแก่บุตรหลาน 3) เปน็ แหล่งข้อมูลทท่ี ำใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความสนุกสนานและมี ความสนใจทจ่ี ะเรียนรู้ไมเ่ กดิ ความเบือ่ หนา่ ย 4) ทำใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรียนรูจ้ ากการท่ีไดค้ ิดเอง ปฏบิ ตั ิเอง และสรา้ งความรู้ ดว้ ยตนเอง ขณะเดยี วกันกส็ ามารถเข้ารว่ มกจิ กรรมและทำงานร่วมกบั ผู้อื่นได้ 5) ทำใหผ้ ู้เรียนได้รบั การปลูกฝงั ให้รูแ้ ละรักท้องถิ่นของตน มองเหน็ คุณค่าและตระหนกั ถงึ ปัญหาในท้องถน่ิ พรอ้ มท่จี ะเป็นสมาชิกทดี่ ขี องทอ้ งถนิ่ ทง้ั ปัจจบุ นั และอนาคต 2.6 ประเวศ วะสี (2536:1) กล่าวว่า ท้องถ่ินมีแหลง่ การเรยี นรู้ และผูร้ ู้ดา้ นตา่ งๆมากมาย มากกวา่ ที่ ครูสอนท่องหนังสือ ถา้ เปิดโรงเรียนสู่ท้องถ่ินให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากครใู นท้องถนิ่ จะมีครูมากมายหลากหลายเปน็ ครูที่รู้ จริงทำจรงิ จะทำใหก้ ารเรียนรูไ้ ปสูก่ ารปฏิบตั จิ รงิ การเรียนสนุกไม่นา่ เบื่อ ท่สี ำคญั เป็นการปรับระบบท่ีมีคุณคา่ เดมิ การศึกษามองข้ามคุณคา่ เหล่านี้ เมอ่ื ผรู้ ูใ้ นท้องถ่ินเหล่านเ้ี ป็นครูได้ จะเป็น การยกระดับคุณค่า ศักดิศ์ รแี ละความ ภาคภูมิใจของท้องถิน่ อย่างแรง เป็นการถักทอทางสังคม แหล่งการเรียนรู้มบี ทบาทในการให้การศึกษาแก่ผ้เู รียน ทั้งใน ระบบและนอกระบบ(กรมสามญั ศกึ ษา 2544 : 7) ดังน้ี 1) แหลง่ การเรียนรู้สามารถตอบสนองการเรียนรู้ทเี่ ปน็ กระบวนการ (Process Of Learning) การเรยี นรโู้ ดยการปฏิบตั ิจรงิ (Learning By Doing) ท้งั จากท้องถน่ิ ซ่ึงเปน็ แหล่งการเรียนรู้ท่ีตนเองมีอยู่ แลว้ 2) เปน็ แหลง่ กจิ กรรม แหลง่ ทัศนศึกษา แหล่งฝึกงาน และแหล่งประกอบอาชีพของผเู้ รยี น 3) เป็นแหล่งสร้างกระบวนการเรยี นรใู้ หเ้ กดิ ขึ้นโดยตรง
21 4) เป็นหอ้ งเรยี นธรรมชาติ เป็นแหล่งค้นคว้า วิจยั และฝกึ อบรม 5) เปน็ องค์กรเปิด ผู้สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อยา่ งเต็มท่ีและทว่ั ถงึ 6) สามารถเผยแพร่ข้อมลู แก่ผู้เรียนในเชงิ รุก เขา้ สูก่ ล่มุ เปา้ หมายอย่างทวั่ ถึงประหยดั และ สะดวก 7) มกี ารเชื่อมโยงและแลกเปล่ยี นข้อมลู ระหวา่ งกัน 8) มีสื่อประเภทต่างๆ ประกอบดว้ ย สอื่ ส่ิงพิมพ์ และส่ืออิเลกทรอนิกส์ เพือ่ เสรมิ กจิ กรรม การเรยี นการสอนและพฒั นาอาชพี สรปุ ความสำคัญของแหล่งการเรยี นรู้ไดว้ า่ แหลง่ การเรยี นรู้ชว่ ยเชื่อมโยงเร่ืองราวในท้องถ่ินสูก่ าร เรียนรูส้ ากล พฒั นาคณุ ลักษณะและความคิด ความเข้าใจในคุณคา่ และทัศนคติ คา่ นิยม ใฝร่ ู้ ใฝเ่ รยี น รักการเรยี นรู้ มี ทกั ษะการแสวงหาความรู้ สามารถจัดการความรู้ ซง่ึ มีความสำคญั และมคี วามหมายอย่างมากสำหรบั ผ้เู รยี น ดงั นี้ 1) ผู้เรียนไดเ้ รยี นรู้จากสภาพชีวิตจริง สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ช่วยให้เกิดการ พัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของตน ครอบครัว ทอ้ งถน่ิ 2) ผู้เรียนได้เรียนในสิง่ ท่ีมคี ุณค่า มีความหมายตอ่ ชวี ติ ทำใหเ้ ห็นคุณคา่ เห็นความสำคัญของสิ่งท่ีเรียน 3) ผ้เู รียนสามารถเช่ือมโยงความรู้ทอ้ งถนิ่ สคู่ วามรสู้ ากลสิง่ ทอี่ ยู่ใกลต้ ัวไปสู่ส่งิ ทอ่ี ยไู่ กลตวั ได้อย่างเป็น รูปธรรม 4) เหน็ ความสำคัญของการอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ วฒั นธรรม ทรัพยากร และส่ิงแวดล้อม ในทอ้ งถิน่ ได้อย่างต่อเน่ือง 5) มสี ่วนรว่ มในองค์กร ท้องถิ่น บุคคล และครอบครัวในการพัฒนาท้องถิน่ 6) ไดเ้ รยี นรูจ้ ากแหลง่ การเรยี นรูท้ ี่หลากหลาย ไดล้ งมือปฏบิ ัตจิ ริง สง่ ผลให้ เกิดทักษะการแสวงหา ความรู้ เปน็ บุคคลแห่งการเรยี นรู้ ขอบข่ายของอินเทอรเ์ นต็ การคน้ หาขอ้ มูลผา่ น Website การสง่ จดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์ 3.1 ขอบขา่ ยของอินเทอร์เนต็ ในปจั จุบันอนิ เทอร์เนต็ มีบทบาทและมีความสำคัญตอ่ ชีวติ ประจำวนั ของคนเราเปน็ อย่างมาก เพราะทำ ใหว้ ิถชี ีวติ เราทันสมัยและทนั เหตุการณ์อยู่เสมอ เน่ืองจากอนิ เทอรเ์ น็ตจะมีการเสนอข้อมูลขา่ วปจั จุบัน และส่ิงตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ผู้ใช้ทราบเปลย่ี นแปลงไปทุกวนั สารสนเทศทีเ่ สนอในอนิ เทอรเ์ นต็ จะมีมากมายหลายรปู แบบเพื่อสนอง ความสนใจและความต้องการของผใู้ ชท้ ุกกล่มุ อินเทอร์เนต็ จงึ เป็นแหล่งสารสนเทศสำคัญสำหรับทกุ คนเพราะสามารถ ค้นหาส่งิ ทต่ี นสนใจไดใ้ นทนั ทีโดยไมต่ ้องเสียเวลาเดนิ ทางไปคน้ คว้าในหอ้ งสมดุ หรือแม้แต่การรับรู้ขา่ วสารท่ัวโลกก็ สามารถอา่ นได้ในอินเทอรเ์ น็ตจากเว็บไซตต์ ่าง ๆ ของหนังสือพิมพ์ ดงั นนั้ อินเทอรเ์ น็ตจึงมคี วามสำคัญกบั วิถชี วี ติ ของคนเราในปจั จบุ นั เปน็ อยา่ งมากในทุก ๆ ดา้ น ไม่วา่ จะ เป็นบคุ คลท่ีอยู่ในวงการธุรกจิ การศึกษา ต่างก็ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากอินเทอรเ์ นต็ ดว้ ยกนั ทั้งน้ัน 3.1.1 ด้านการศกึ ษา อนิ เทอรเ์ น็ตมีความสำคัญ ดงั น้ี 1) สามารถใชเ้ ป็นแหลง่ ค้นควา้ หาขอ้ มลู ไม่ว่าจะเปน็ ขอ้ มูลทางวิชาการ ขอ้ มูลด้านการ บันเทิง ดา้ นการแพทย์ และอื่น ๆ ทน่ี ่าสนใจ 2) ระบบเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ จะทำหน้าท่ีเปรยี บเสมอื นเป็นห้องสมดุ ขนาดใหญ่ 3) นกั เรยี นนักศึกษาสามารถใช้อนิ เทอร์เนต็ ติดต่อกับมหาวทิ ยาลยั หรอื โรงเรยี นอ่ืน ๆ เพื่อ คน้ หาข้อมลู ที่กำลงั ศึกษาอยูไ่ ด้ ท้งั ทขี่ ้อมูลที่เป็นข้อความเสียง ภาพเคล่อื นไหวตา่ ง ๆ 3.1.2 ดา้ นธรุ กิจและการพาณิชย์ อนิ เทอรเ์ นต็ มีความสำคัญดงั น้ี 1) คน้ หาข้อมูลตา่ ง ๆ เพื่อช่วยในการตดั สินใจทางธรุ กิจ
22 2) สามารถซอ้ื ขายสนิ ค้า ทำธุรกรรมผา่ นระบบเครอื ข่าย 3) เป็นชอ่ งทางในการประชาสัมพนั ธ์ โฆษณาสนิ คา้ ตดิ ต่อส่ือสารทางธรุ กจิ 4) ผใู้ ชท้ เ่ี ป็นบรษิ ัท หรือองค์กรต่าง ๆ กส็ ามารถเปดิ ให้บรกิ าร และสนบั สนุนลูกคา้ ของตน ผ่านระบบเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตได้ เช่น การใหค้ ำแนะนำ สอบถามปัญหาตา่ ง ๆ ใหแ้ ก่ลูกค้า แจกจ่ายตวั โปรแกรม ทดลองใช้ (Shareware) โปรแกรมแจกฟรี (Freeware) 3.1.3 ดา้ นการบันเทิง อนิ เทอร์เน็ตมีความสำคญั ดังน้ี 1) การพักผ่อนหยอ่ นใจ สนั ทนาการ เชน่ การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผา่ นระบบเครือขา่ ย อนิ เทอร์เน็ต ทเี่ รียกวา่ Magazine Online รวมทง้ั หนงั สอื พมิ พ์และข่าวสารอนื่ ๆ โดยมีภาพประกอบท่ี จอคอมพวิ เตอร์เหมือนกับวารสารตามรา้ นหนังสือท่ัว ๆ ไป 2) สามารถฟงั วิทยุหรือดรู ายการโทรทัศน์ผ่านระบบเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตได้ 3) สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์มาดูได้ 3.2 การสบื คน้ ข้อมูลผ่าน Website Search Engineเปน็ เคร่ืองมือหรอื โปรแกรมในการคน้ หาเว็บตา่ งๆ โดยมีการเก็บ รายช่ือเว็บไซตแ์ ละ ข้อมลู ที่เกี่ยวข้องตา่ งๆ ของเว็บไซตแ์ ละนำมาจดั เก็บไวใ้ น server เพือ่ ให้สามารถคน้ หาและแสดงผลไดส้ ะดวก และ รวดเร็วมากยง่ิ ขึน้ ท้ังนี้ บาง search engine อาจไม่ไดม้ ีการเก็บข้อมูลในserverของตวั เอง แต่อาจอาศยั ข้อมูลจาก เจ้าของ server นน้ั ๆ เครือ่ งมอื หรือโปรแกรมสำหรบั การสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมใี หบ้ ริการอยู่ตาม เว็บไซตต์ ่างๆ ท่ีใช้บริการการสืบค้นขอ้ มลู โดยเฉพาะ การเลอื กใช้นั้นขนึ้ กับประเภทของข้อมูล สารสนเทศทตี่ ้องการ สืบค้น Search Engine ตา่ งๆ จะให้ข้อมูลท่ีมีความลกึ ในแง่มมุ หรอื ศาสตรต์ ่างๆ ไมเ่ ท่ากัน ตวั อยา่ ง Search Engine ทน่ี ยิ มใชม้ ีทั้งเว็บไซต์ท่เี ป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง เว็บไซต์ Search Engine ยอดนยิ ม 3.2.1 Sanook http://www.sanook.com เป็นเวบ็ ไซตช์ ือ่ ดงั ของไทยที่เป็นแหล่งค้นหาข้อมลู ของไทยทม่ี ีข้อมลู ใหค้ น้ หามากมายทัง้ ของไทยและท่ัว โลกซึ่งมที ้งั แบบนามานุกรม และคำคน้ ซ่ึงจะบอกท่อี ยู่ของเวบ็ ไซต์และมคี ำอธิบายเว็บทหี่ าอย่างเข้าใจง่าย และยัง สามารถสง่ เวบ็ ไซตน์ ้ีใหเ้ พ่ือนๆ ทางอเี มล์ดว้ ย 3.2.2 Google www.google.com Google เปน็ เว็บไซตฐ์ านข้อมูลท่ีใหญ่มากแห่งหนึง่ ของโลก ในอดีตเป็นบริษทั ทดี่ ำเนินการด้าน ฐานขอ้ มูลเพ่อื ให้บริการแกเ่ ว็บไซต์ค้นหาอ่ืนๆ ปัจจบุ นั ได้เปิดเว็บไซต์ค้นหาเอง มีฐานข้อมลู มากกวา่ สามพันลา้ น เวบ็ ไซต์และเพิ่มข้นึ เรอ่ื ยๆ ทุกวัน จุดเดน่ ที่เหนอื กว่าผู้ใหบ้ ริการรายอ่ืนๆ คือเป็นเว็บไซตค์ ้นหาที่สนับสนุนภาษาตา่ งๆ มากกวา่ 80 ภาษาท่ัวโลก(รวมทั้งภาษาไทย) และมเี ครอื่ งเซิร์ฟเวอรใ์ ห้บริการในสว่ นตา่ งๆ ของโลกมากถึง 36 ประเทศ รวมท้ังในประเทศไทย ซึ่งบรกิ ารคน้ หาของ Google จะแยกฐานข้อมลู ออกเปน็ 4 หมวด และแตล่ ะหมวดมี การค้นหาแบบพเิ ศษเพิ่มเติมดว้ ย คอื - เวบ็ : เปน็ การคน้ หาข้อมูลจากเว็บไซตต์ า่ งๆ ทั่วโลก - รปู ภาพ : เป็นการคน้ หารูปภาพหลากหลายฟอร์แมตจากเว็บไซต์ต่างๆ - กลุ่มขา่ ว : เป็นการคน้ หาเรอ่ื งราวท่ีน่าสนใจจากกลุ่มข่าวต่างๆ - สารบนเว็บ : การค้นหาข้อมูลจากเวบ็ ไซตท์ ี่แยกออกเป็นหมวดหมู่
23 3.3 วิธกี ารสบื ค้นขอ้ มูลทางอินเทอร์เน็ต 3.3.1 การสบื คน้ ขอ้ มลู ทางอินเทอร์เน็ต ดว้ ยการใช้ Search Engine Search Engine จะมหี น้าที่รวบรวมรายชอ่ื เว็บไซตต์ า่ งๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผใู้ ชง้ าน เพียงแต่ทราบหัวขอ้ ท่ีต้องการคน้ หาแลว้ ปอ้ น คำหรือข้อความของหัวข้อน้นั ๆ ลงไปในชอ่ งท่ีกำหนด คลิกปุ่มค้นหา เทา่ นนั้ ขอ้ มูลอยา่ งย่อ ๆ และรายชอ่ื เว็บไซตท์ ่ีเก่ียวข้องจะปรากฏให้เราเขา้ ไปศึกษาเพ่มิ เติมได้ทนั ที Search Engine แต่ละแหง่ มวี ธิ กี ารและการจดั เก็บฐานข้อมลู ท่แี ตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ท่ีแตล่ ะเวบ็ ไซต์ นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมลู ดังน้นั การท่ีจะเขา้ ไปหาข้อโดยวธิ ีการ Search นั้น อยา่ งน้อยเราจะตอ้ งทราบวา่ เวบ็ ไซต์ที่ จะเขา้ ไปใช้บรกิ าร ใช้วธิ ีการหรอื ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแตล่ ะประเภทมีความละเอียดในการ จัดเกบ็ ข้อมลู ตา่ งกันไป 1) การสืบค้นแบบใช้คยี ์เวริ ์ด ใชใ้ นกรณีที่ตอ้ งการคน้ ขอ้ มูลโดยใช้คำทม่ี ีความหมายตรงกับความ ต้องการ โดยมากจะนยิ มใช้คำที่มคี วามหมายใกลเ้ คียงกบั เนื้อเรื่องที่จะสืบค้นข้อมูล มวี ิธกี ารค้นหาได้ดังนี้ 1.1) เปิดเว็บเพจ ทีใ่ ห้บริการในการสบื คน้ ข้อมูล ตัวอย่างเช่น www.google.co.th เปน็ เวบ็ ท่ีใชส้ บื คน้ ขอ้ มูลของต่างประเทศ ข้อดีคือ ค้นหาง่าย เร็ว www.yahoo.com เปน็ เว็บท่ใี ช้สืบคน้ ทดี่ ีตวั หนึ่งซง่ึ ค้นหาข้อมูลงา่ ย และข้อเดน่ คือภายใน เว็บของ www.yahoo.com เองจะมฟี รีเว็บไซต์ ทรี่ ูจ้ ักกนั ในนาม http://www.geocities.com ซงึ่ มีจำนวนเวบ็ มากมาย ให้ค้นหาข้อมลู เองโดยเฉพาะ www.sanook.com เปน็ เว็บของคนไทย www.siamguru.com เปน็ เวบ็ ของคนไทย โดยพมิ พ์ช่องเว็บทชี่ ่อง Address ดงั ตัวอย่างซ่งึ ใช้ www.google.co.th 1.2) ที่ช่อง คน้ หา พมิ พข์ ้อความต้องการจะคน้ หา ในตวั อย่างจะพิมพ์คำว่า แหลง่ ท่องเทยี่ วเมืองโคราช 1.3) คลิกปุ่ม คน้ หาดว้ ย Google 1.4) จากนน้ั จะปรากฏรายชือ่ ของเวบ็ ที่มีขอ้ มลู 1.5) คลกิ เวบ็ ทจี่ ะเรยี กดขู ้อมลู 2) การสืบคน้ ขอ้ มูลภาพ ในกรณีทนี่ ักเรียนตอ้ งการทีจ่ ะคน้ หาข้อมูลที่เป็นภาพ เพื่อนำมาประกอบกับ รายงาน มีวธิ กี ารคน้ หาไฟล์ภาพได้ดงั น้ี 2.1) เปดิ เว็บ www.google.co.th 2.2) คลิกตวั เลอื ก รปู ภาพ 2.3) พิมพ์กลุ่มชอ่ื ภาพท่ีต้องการจะค้นหา (ตัวอยา่ งทดลองหาภาพเกี่ยวกบั ปราสาทหินพิ มาย) 2.4) คลิกปุม่ ค้นหา 2.5) ภาพทคี ้นหาพบ 2. 6) การนำภาพมาใช้งาน ใหค้ ลิกเมาสด์ ้านขวาทีภ่ าพ > Save Picture as 2.7) กำหนดตำแหนง่ ทจ่ี ะบันทึกทช่ี อ่ ง Save in 2.8) กำหนดช่อื ทีช่ ่อง File Name 2.9) คลกิ ป่มุ Save 3.4 การส่งจดหมายอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
24 จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ (E-Mail) คอื การสง่ ข้อความหรือขา่ วสารจากบุคคลหน่ึงไปยังบุคคลอ่ืนๆ ผ่าน ทางคอมพวิ เตอร์และระบบเครอื ขา่ ยเหมือนกับการสง่ จดหมาย แตอ่ ยู่ในรปู แบบของสัญญาณข้อมูลท่เี ป็น อิเล็กทรอนิกส์ โดยเปลี่ยนการนำส่งจดหมายจากบรุ ุษไปรษณยี ์มาเป็นโปรแกรม และเปลี่ยนจากการใช้เส้นทางจราจร คมนาคมทวั่ ไปมาเปน็ ชอ่ งสญั ญาณรูปแบบต่างๆ ทเ่ี ชื่อมต่อระหวา่ งเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ซึง่ จะตรงเข้ามาสู่ Mail Box ทถี่ กู จดั สรรใน Server ของผู้รับปลายทางทันที - เม่อื ต้องการส่ง E-Mail มสี ว่ นประกอบสำคัญทีต่ อ้ งให้รายละเอยี ด คือ 1) To: ระบุ E-Mail Address ของผู้รับปลายทาง 2) Subject: ใสห่ ัวเรือ่ งย่อๆของเนื้อหา 3) CC (Carbon Copy): เป็นการระบุ E-Mail Address ของผทู้ ่ีเราต้องการให้ไดร้ ับสำเนาของจดหมาย ฉบบั นี้ด้วย 4) BCC (Blind Carbon Copy): เช่นเดียวกับ CC แต่ทำให้ผูร้ บั ไม่ทราบวา่ เราต้องการ สง่ ใคร 5) Attachment: เราสามารถแนบไฟล์ไปกบั การสง่ E-Mail ด้วยกไ็ ด้ 6) Body: เปน็ เนอ้ื หาข้อความของจดหมาย การส่ง E- Mail ขั้นท่ี 1 นำ Mouse ไป Click ที่ Compose ขัน้ ท่ี 2 หลังจากเลือก Compose แล้ว หลังจากนั้นมีวิธีการ ดงั นี้ - หลังคำวา่ To: ใหใ้ สช่ ือ่ E-Mail ของคนทเี่ ราต้องการจะส่ง Mail ไปหา หากต้องการสง่ ไปให้หลายคน ให้ใช้เครอื่ งหมาย Comma (,) ค่นั ระหวา่ ง E-Mail address ของแต่ละคน - หลังคำวา่ Subject: ใหใ้ สช่ ่อื เร่ืองของ E-Mail ของเรา หรืออาจจะไม่ใส่ก็ได้ - ในชอ่ ง CC: เปน็ การทำสำเนา (Carbon Copy ) ของ Mail ไปถึงผู้รับ โดยการใสช่ อ่ื E-Mail ของคนท่ี เราตอ้ งการสง่ Mail ไปให้ (เพิ่มเติมจากใน To: ) - ในชอ่ ง Bcc: เป็นการทำสำเนาแบบ Blind Carbon Copy ใช้ในกรณที ีต่ ้องการส่ง E-Mail ถึงบุคคลอื่น โดยบุคคลทีเ่ ราสง่ E-Mail ไปให้ใน To: และ CC: จะไมท่ ราบว่าเราสง่ ไปใหบ้ ุคคลนีด้ ้วย - ในกล่องใหญ่ในส่วนล่าง จะเปน็ พ้ืนทใ่ี นการเขยี นขอ้ ความท่ีเราต้องการท่ีจะส่ง - เมื่อเขียนข้อความเสรจ็ แล้วให้นำ Mouse ไป Click ทป่ี ุ่ม “Send” การส่ง File ข้อมูลใดๆ ไปกับ E-Mail ในกรณีท่เี ราตอ้ งการส่ง File ใด ๆ กต็ ามแนบไปกบั E-mail ดว้ ย มขี ัน้ ตอนการส่งดังน้ี 1) นำ Mouse ไป Click ทป่ี มุ่ ท่ีมีคำว่า “Attachments” 2) เลอื ก File ทตี่ ้องการจะส่ง โดยกดปุ่มทีม่ ีคำว่า “Browse” 3) เม่อื เลือก File ทต่ี ้องการสง่ ไดแ้ ลว้ กดปุ่มท่ีมีคำว่า “Open” แลว้ จะเห็นวา่ ชื่อ File ที่เราเลือกจะ ปรากฏอยู่ในชอ่ งว่าง 4) ขัน้ ตอ่ มากดป่มุ ทมี่ ีคำวา่ “Attachments” เพอื่ แนบ File ไปกับ E-mail 5) เห็นได้ว่าช่อื File ท่ตี อ้ งการจะส่งจะปรากฏบนช่องว่าง ถา้ เราเกดิ ลงั เลเปลย่ี นใจจะเปลย่ี นแปลง File ทจี่ ะสง่ สามารถทำได้โดยการนำ Mouse ไป Click ท่ีปุม่ Remove ถ้าทุกอยา่ งเรียบรอ้ ยแลว้ ให้ Click ท่ีปมุ่ Done (ในทีน่ ท้ี าง Hotmail.com มขี ดี ความสามารถในการส่ง File มขี นาดสงู ท่สี ดุ ได้ไมเ่ กนิ 1 Mb เทา่ นัน้ )
25 6) ขั้นตอนสุดทา้ ยคอื หลังจากทีเ่ รากด Done แลว้ จะกลับมายงั หนา้ จอเดิม การจะส่ง E-Mail ที่มีการ แนบ File ใดๆ ไปด้วยนั้น ก็ให้ทำตามวธิ กี ารส่ง E-Mail ตามปกติ จะเห็นไดว้ า่ ในสว่ นที่มีคำว่า Attachments จะมีชอ่ื File ทีเ่ ราแนบไปดว้ ย ข้อดี และข้อจำกดั ของจดหมายอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 4.1 ความหมายของไปรษณีย์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ( E-Mail) E-Mail หรือ Electronic Mail เปน็ ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนิกส์ รับ-ส่งเอกสารอเิ ลก็ ทรอนกิ สโ์ ดยผา่ น ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) ไปยังผรู้ ับทอ่ี าจจะอยู่ท่ีใดก็ได้ในโลก การใชง้ านอีเมล์ทำให้เรา สามารถติดต่อกับผู้คนทัว่ โลกได้ทันที โดยที่ เราสามารถรับและตอบจดหมายกลับได้ภายใน เวลาไม่ก่ีนาที ทำให้ ผใู้ ช้งานมคี วามสะดวกรวด เร็ว ไมต่ ้องเสยี เวลารอคอยที่ยาวนานเหมือนกบั ไปรษณยี ์ทว่ั ไป การตดิ ต่อโดยใชไ้ ปรษณยี ์ ธรรมดาติดต่อภายในประเทศอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 วนั ถา้ หากเป็นจดหมายท่สี ง่ ไปยังตา่ งประเทศ (Air mail) อาจใชเ้ วลานานเปน็ สปั ดาห์ e-Mail ชว่ ยประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายซง่ึ ถกู กวา่ การใช้โทรศัพทห์ รือการสง่ จดหมายโดยวธิ ี ปกตทิ ี่ใช้กนั หลายเทา่ ตัวโดยทั่วไป ค่าใช้จา่ ยในการสง่ e-Mail ไม่วา่ จะส่งจากแหง่ ใดในทุกมมุ โลกก็ไมต่ ่างกนั ไม่วา่ จดหมายนนั้ จะส้ันหรือยาว จะส่งไปใกล้หรือไกล E-Mail เปน็ ช่องทางสำหรับการส่งขอ้ มลู ทไี่ ด้รบั ความนิยมอยา่ งสงู รปู แบบการใช้งานแตกตา่ งกันไป นักเรียน-นักศึกษา นยิ มใช้ในการตดิ ต่อส่ือสาร ระหว่างกนั หรอื ติดตอ่ ส่งข้อมลู ขอ้ ความ ขอคำปรึกษาจากอาจารย์ ผู้สอน องค์กรขนาดใหญ่ๆ กส็ ามารถติดต่อกับบคุ ลากร หรือทำธรุ กรรมผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและอเี มล์ เปน็ ตน้ 4.2 ข้อดีของ E-mail - ประหยดั เวลา - ประหยดั เงิน - สามารถส่งในรปู แบบมลั ตมิ ีเดยี ได้ - สามารถแนบไฟลท์ ่ีเปน็ เอกสารส่งได้ - สามารถส่งตอ่ ขอ้ มูลหรือทเ่ี รยี กว่า forward ได้ 4.3 ขอ้ จำกดั ของ E-mail - ไม่สามารถเขา้ ถึงบคุ คลไดท้ ุกคน - ไม่ได้รบั ตน้ ฉบับซึง่ ควรคา่ แก่การเก็บรักษา - อาจมีไวรสั มาพร้อมกับเอกสารที่สง่ มา - ถ้าเครือขา่ ยล่ม ทำใหก้ ารสง่ หรือรับข้อมูลล้มเหลว - ถา้ ขอ้ มลู ใน mail box เต็มก็ไม่สามารถรบั ข้อมลู อื่นได้ - Angun.จดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์.
26 ใบงาน เรอื่ งการใช้แหล่งเรยี นรู้ คำช้แี จง จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้ 1. ให้นักศึกษาอธิบายถึงความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... .............................................................................................. ................................................ ....................... ........................................................................................................................................... .......................... ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................ ......................................................... .............................................................................................................................................. ....................... ..................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................... ........................................... .............................................................................................................................................. ....................... ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ 2. ให้นักศึกษาสำรวจแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน ตำบล และอำเภอ ว่ามแี หล่งเรยี นรูอ้ ะไรบ้าง พรอ้ มท้งั จดั แบ่ง ประเภทตามลักษณะ 6 ประเภท ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ .......................................................................................................................................... ........................... ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ .............................................................................................................................................. ....................... ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ .............................................................................................................................................. ....................... ................................................................................................. .................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ...................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................
27 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาศลิ ปศกึ ษา ครั้งที่ 2 การจดั ทำหนว่ ยเรียนรูบ้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตำบลดู่นอ้ ย ระดับประถมศึกษา 1. สปั ดาห์ท่ี 2 วนั ที่ 24 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วิชา ศลิ ปศกึ ษา รหสั วิชา ทช11003 จำนวน 2 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 4.3 มคี วามรู้ความเข้าใจ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม ช่ืนชม เหน็ คณุ ค่าความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ ส่งิ แวดล้อม ทางทัศนศลิ ปไ์ ทย ดนตรไี ทย นาฏศิลปไ์ ทย และวเิ คราะห์ได้อย่างเหมาะสม 4. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เร่ืองทัศนศิลปพ์ น้ื บา้ น 5. สาระสำคญั มคี วามร้คู วามเข้าใจ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม ชน่ื ชม เหน็ คุณคา่ ความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม ทางทศั นศิลป์ไทย ดนตรีไทย นาฏศิลปไ์ ทย และวิเคราะห์ได้อยา่ งเหมาะสม 6. เน้อื หา 1. ทัศนศลิ ปพ์ ้ืนบา้ น 1.1 รูปแบบและวิธกี ารนำจดุ เส้น สี แสง-เงา รูปรา่ ง รปู ทรง มา จนิ ตนาการ สร้างสรรค์ ประกอบ ใหเ้ ปน็ งานทศั นศลิ ป์พืน้ บ้าน 1.2 รปู แบบและววิ ฒั นาการของงานทัศนศลิ ปพ์ น้ื บ้านในด้าน - จติ รกรรม - ประติมากรรม - สถาปตั ยกรรม - ภาพพิมพ์ 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรยี นรูท้ คี่ าดหวงั (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจและอธบิ ายรปู แบบและวธิ กี ารในการนำ จุด เส้น สี แสง-เงา รูปร่าง รปู ทรง มา จนิ ตนาการสร้างสรรค์ ประกอบใหเ้ ป็นงานทัศนศลิ ปพ์ ้ืนบา้ นได้ 1.2 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจและอธิบายรูปแบบและววิ ัฒนาการในเร่ืองของงานทัศนศลิ ป์พ้ืนบา้ น ต่างๆ ได้ เชน่ - จิตรกรรม - ประติมากรรม - สถาปัตยกรรม - ภาพพิมพ์ 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการการเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ -รูปแบบทัศนธาตุ และองค์ประกอบศลิ ป์ การออกแบบ ความเป็นเอกภาพ ความกลมกลนื ความสมดุล -หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คณุ ธรรม - มีความรบั ผดิ ชอบ ความมีสติ ความสามัคคี ประหยัด และตรงต่อเวลา
28 พอประมาณ - ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ เร่ืองการแบง่ เวลาใน การทำกจิ กรรมตามท่ี ได้รับมอบหมาย - เรยี นรู้การใช้วัสดุ อปุ กรณแ์ ละ งบประมาณท่ีมีอยู่ อยา่ งประหยัดและ คุ้มคา่ - ผู้เรยี นเรยี นรู้ใน การทำกิจกรรม ภาระ งานได้เหมาะสมกับ ความรู้ ความสามารถ ตามวัย ของผู้เรยี น มีเหตผุ ล - ผู้เรียนมีความรู้ และเชอ่ื มโยงความรู้ จากกลุ่มสาระการ เรียนรูอ้ น่ื - เสรมิ สรา้ ง กระบวนการทำงาน การคิด การแกป้ ัญหา ในการทำงาน - ผู้เรียนรู้จักเลอื กใช้ วสั ดุอปุ กรณท์ ม่ี ีอยู่ อย่างประหยัดและ คุ้มค่า - กระต้นุ ให้ผเู้ รียนมี ความคิดริเร่มิ สร้างสรรค์ในงาน ทัศนศิลป์ - นำหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งมา ประยุกต์ใชใ้ นการ ดำรงชวี ิต มภี ูมิคุ้มกัน -ร้จู ักการวางแผน กระบวนการทำงาน อย่างเป็นระบบให้ ประสบความสำเร็จ และ ปลอดภยั - ปรบั ตัวในการ ดำเนนิ ชีวติ พรอ้ มรบั การเปล่ยี นแปลงใน สังคม - เกดิ ความตระหนัก ในการประหยัด วตั ถุ - มคี วามร้ใู นการ ออกแบบช้ินงาน ใหมท่ ี่ หลากหลาย - มคี วามรู้ความ เขา้ ใจในการ เลอื กใช้วสั ดุ อุปกรณ์ อยา่ ง คุ้มคา่ และถกู วธิ ี สงั คม - ร้จู ักแบ่งหนา้ ที่ รบั ผดิ ชอบในการ ทำงาน -แลกเปล่ียน เรยี นรู้จากเพ่ือน ครูและภมู ปิ ญั ญา ท้องถิ่น สิง่ แวดล้อม - มคี วามรใู้ นการ เหลือใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ใน ท้องถิ่นมาใช้ ประโยชนไ์ ด้ อย่างเหมาะสม และ ใชธ้ รรมชาติรอบ ๆตวั เปน็ แบบในการสร้างสรรค์งาน - มคี วามรู้ เกี่ยวกับการ รักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม - มีความรคู้ วามเข้าใจในภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ มาใช้ในการ ออกแบบชิน้ งานได้ อยา่ ง หลากหลาย รจู้ ักการอนุรักษ์ภมู ิ ปญั ญาท้องถิน่ 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 1 กำหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครใู หน้ กั เรียนสังเกตธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อมรอบตัวแล้วตอบว่าสงั เกตเหน็ อะไรบา้ ง ให้ นกั เรยี นสงั เกต
29 ๒. ครอู ธบิ ายถึงเศษใบไม้ใน ธรรมชาติที่หาได้ง่ายในโรงเรียน ใบไมท้ ี่อาจ เป็นขยะนี้ เราสามารถ นำมาสรา้ งสรรค์ เป็น ผลงานทศั นศลิ ป์ได้โดยใช้กระบวนการทาง ทศั นศลิ ป์ ๓. ชีแ้ จงจุดประสงค์การเรยี นรู้ ข้นั ที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูอธบิ ายรูปแบบและววิ ฒั นาการในเรือ่ งของงานทัศนศิลป์พน้ื บ้าน ต่างๆ ได้ (หรือเปิด ซีดี ทัศนศิลปพ้นื บ้าน)จากนั้นใหน้ ักศึกษาทำใบงาน 2. ใหน้ ักศกึ ษาสรา้ งสรรค์ผลงานทศั นศิลป์ด้านใดกไ็ ด้ เปน็ กลุ่มตามท่เี ลน่ เกมแบง่ ไวเ้ บื้องตน้ หรือตาม ความสมัครใจของผู้เรยี น ขนั้ ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) ๑. แบ่งนักเรยี นเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๕–๖ คน ร่วมกันสรา้ งสรรคต์ ามขั้นตอน โดย การเตรยี มวัสดุ อุปกรณ์ ทเี่ ตรยี มมา ๑.แป้ง มันสำปะหลังหรอื แปง้ ข้าวเหนียว ๒.กระดาษหนังสอื พิมพ์ ๓.เศษใบไมแ้ หง้ ท่หี าได้ ๒. แตล่ ะกลมุ่ นำแปง้ ที่เตรียมมา มาเทใส่พาชนะที่เตรียมไว้ ผสมน้ำ แล้วนำตัง้ ไฟ เค่ยี วให้เปน็ แป้ง เปยี ก พกั ให้เยน็ ๓. นำเศษใบไม้แหง้ ทเ่ี ก็บมาเขย่าให้ ละเอยี ด กะให้พอประมาณเพียงพอต่อความ ต่อการให้การทำ กระถาง แต่ละชิ้น ๔. นำเศษใบไมท้ ่ีไดม้ าลงผสมกบั แป้งเปียก คนให้เขา้ กนั ๕. นำแปง้ เปียกทผี่ สมเศษใบไมเ้ สรจ็ แล้วมา หลอ่ ลงในแบบพิมพ์กระถางทเี่ ตรยี ม ไวอ้ ดั ลงไปให้ แนน่ เพราะการอดั ไม่เตม็ จะทำ ใหก้ ระถางที่ออกมาขาด แห่วงได้ ๖. นำกระถางที่ได้รปู ไปตากแดดไว้ ประมาณ ๑ วนั จะแหง้ สนทิ ๗. นำกระถางทีแ่ หง้ แล้วมาประติดด้วย กระดาษหนังสือพิมพ์ ใหเ้ ตม็ กระถาง ทิง้ ไว้ให้ แหง้ ประมาณ ๑-๒ ช่วั โมง (ทงิ้ ไว้คาบตอ่ ไป) ๘. นำกระถางมา ตกแต่งใหส้ วยงามดว้ ย วิธีการปะตดิ จากกระดาษเหลือใช้ เพ่อื ความ สวยงามและ ปูองกันน้ำได้อีกดว้ ย ๙. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันนำเสนอ ผลงานและบรรยายสรุป ถอดบทเรยี นการ ปฏบิ ัตงิ านการการ สร้างประประติมากรรม กระถางพอเพียง โดยครคู อยใหค้ วามร้เู สริม ในส่วนทนี่ กั เรียนไม่เขา้ ใจหรอื สรปุ ไมต่ รงกบั ขนั้ ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ประเมนิ ผลจากการทำใบกิจกรรม 2. การสังเกตการมีส่วนร่วม 10. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ - หนังสอื เรียน - ใบกิจกรรม 11. การวดั ผลและประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผู้อน่ื ของนักศึกษารายบุคคล
30 - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น 2. เครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผล - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานร่วมกบั ผอู้ ืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผู้อืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช้ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรยี น เกณฑผ์ า่ นและไม่ผา่ น กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู สู้ อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร .................................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงช่อื ………………………………………………………ผอู้ นุมัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน
31 บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจัดทำหน่วยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง คร้งั ที่ 2 วนั ที่ 24 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 ครผู ู้สอน นายเอนก เหมือนทอง ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรยี นรู้ รหัสวิชา ทช11003 จำนวน 2 หนว่ ยกติ จำนวนผูเ้ รยี นท้ังหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไมเ่ ข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่าก่อนเรียนจำนวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจำนวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ ................................................................................................................................................................ .................................................................................................................. .............................................. ............................................................................................................................... ................................. 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครผู สู้ อน วนั ท่ี.............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................... ................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพิมาน วนั ที่.............../.................../...............
32 แผนการจดั การเรยี นร้รู ายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ครั้งท่ี 3 การจดั ทำหน่วยเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตำบลดนู่ ้อย ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สปั ดาหท์ ี่ 3 วนั ท่ี 31 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว1๑๐๐๑ จำนวน 3 หนว่ ยกิต ๓. มาตรฐานที่ ๒.๒ มคี วามรู้ความเข้าใจ และทักษะพ้นื ฐานเกีย่ วกบั คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. หนว่ ยการเรียนรู/้ เรอ่ื ง โครงงานวิทยาศาสตร์ ๕. สาระสำคญั มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเห็นคุณค่า เกีย่ วกับกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี ส่งิ มีชวี ิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ ส่ิงแวดล้อมในท้องถนิ่ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลยี่ นแปลง ของโลกและ ดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์ และนำ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ในการดำเนินชวี ิต ๖. เนือ้ หา กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 1.1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 1.2 โครงงานวิทยาศาสตร์ ๗. จุดประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรียนรูท้ ี่คาดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใน การดำรงชีวติ ได้อยา่ งเหมาะสม 2. อธบิ ายธรรมชาติและความสำคญั ของ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและอธบิ าย กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ได้ 3. นำความรู้ และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไปใช้แกป้ ัญหาต่างๆ ได้ 4. จำแนกประเภทโครงงาน วางแผนการทำ โครงงานและเสนอแนวทางการนำความรู้ เก่ียวกับ โครงงานไปใช้ได้ ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่ือนไข 3หลักการการเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศกึ ษามคี วามรู้เรื่อง ฮอร์โมนไข่ ,สรรพคุณจากไข่ - อปุ กรณ์ และวิธกี ารทำฮอรโ์ มนไข่ คณุ ธรรม - มคี วามมุง่ มั่นในการทำงาน - มีความสามคั คใี นหมู่คณะ - ใฝห่ าความรเู้ พ่ือพัฒนาอยเู่ สมอ พอประมาณ -รู้จักอัตราส่วนของไข่ไก่ ผงชูรส นมเปร้ียว ทำให้ได้ฮอร์โมนไข่ บำรุงพืชผัก ที่ได้มาตรฐาน และมีคณุ ภาพ - ใช้วัสดทุ ีห่ าง่ายในท้องถิน่ ทำเป็นฮอร์โมนพืชได้อย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชนส์ ูงสดุ มีเหตุผล - ไดค้ วามรเู้ กีย่ วกบั การทำฮอรโ์ มนไข่
33 - ได้ฮอรโ์ มนไข่ ใช้ฮอร์โมนทม่ี ีในท้องตลาดท่เี ส่ียงตอ่ สารเคมี มีภมู คิ มุ้ กนั - รจู้ กั การทำฮอรโ์ มนไข่ เปน็ ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ ซ่งึ ปลอดภัยไมม่ ีสารพิษตกค้าง - สามารถต่อยอดความรู้ สร้างผลติ ภัณฑ์ สร้างรายได้ใหช้ มุ ชน วตั ถุ - รู้จักเลอื กใชผ้ ลติ ภณั ฑใ์ นทอ้ งถ่ินได้อยา่ งค้มุ ค่าและเหมาะสม - มีทักษะในการใชอ้ ุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ และการดูแลรักษา สังคม - มที ักษะการอยูร่ ว่ มกนั ในกลุ่ม และทำงานรว่ มกบั ผู้อื่นได้อย่างมคี วามสุข - สามารถนำความรู้ดา้ นโครงงานวิทยาศาสตร์ และการฮอรโ์ มนไข่ ไปต่อยอดใหก้ ับชุมชน สง่ิ แวดล้อม - รจู้ ักการนำวัสดุทมี่ ีอยูใ่ นทอ้ งถ่นิ มาพฒั นาเป็นฮอร์โมนไข่ บำรงุ พืชไดอ้ ยา่ งคมุ้ คา่ และเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ - ฮอร์โมนจากไข่ เป็นผลิตภณั ฑ์ธรรมชาติ ไมเ่ ปน็ พิษต่อส่ิงแวดลอ้ ม วฒั นธรรม - ตอ่ ยอดภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่ ในการทำฮอร์โมนจากไข่ เพ่ือเพิ่มมลู คา่ และพัฒนา ผลติ ภัณฑ์ 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี ๑ กำหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครสู อบถามนักศึกษาเรอ่ื งเก่ยี วกบั การเขียนโครงงานวิทยาศาสตร์ ๒. ชี้แจงจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๓. ครูให้นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพื่อทดสอบดูว่านักศกึ ษามีพนื้ ฐานระดับใด ขนั้ ท่ี ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครูอธบิ ายเกยี่ วกับความหมาย ความสำคญั วิธีการดำเนินการ และการนำเสนอโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ๒. นักศกึ ษาแบ่งกลุ่ม ๓ กลุ่ม ให้นกั ศกึ ษา ค้นคว้าเร่ืองโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๓. ตัวแทนแตล่ ะกล่มุ นำเสนอหนา้ ช้นั เรยี น ในรปู แบบผังมโนทัศน(์ Mapping ขั้นที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนำไปใช้ (I : Implementation) ครใู หน้ กั ศึกษาระดมความคดิ ถอดบทเรยี นโครงงานเรอ่ื งฮอรโ์ มนพชื จากไข่ ใหส้ อดคล้องกับหลกั เศรษฐกิจพอเพียงใส่กระดาษชาร์ท ข้ันท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ให้นักศกึ ษาออกมาหนา้ ช้ันเรียน เพือ่ นำเสนอการถอดบทเรยี นโครงงานเรื่องฮอร์โมน จากไข่ ให้ สอดคลอ้ งกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง จากนั้นครใู ห้คะแนน 2. แบบทดสอบก่อนเรยี น 10. สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียนสาระความร้พู ื้นฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ระดบั ประถมศึกษา รหสั พว11001 2. Power point เร่อื ง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และขั้นตอนการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
34 3. กระดาษชารท์ ถอดบทเรียนโครงงานเรือ่ งฮอรโ์ มนพชื จากไขใ่ หส้ อดคล้องกับหลักเศรษฐกจิ พอเพียง 11. การวดั และประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผู้อื่นของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น 2. เครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผอู้ ่นื ของนักศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น 3.เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกบั ผูอ้ ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น เกณฑผ์ า่ นและไม่ผา่ น กิจกรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................. ........................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชอื่ …………………………………………….ครูผสู้ อน (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ................................................................................................................................... ...................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงช่อื ………………………………………………………ผู้อนมุ ตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
35 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทำหน่วยเรียนรบู้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คร้งั ที่ 3 วนั /เดือน/ปีวันที่ 31 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อน นายเอนก เหมือนทอง ระดับ ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา พว11001 จำนวนผู้เรียนทั้งหมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่าก่อนเรยี นจำนวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกว่าก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ........................................................................................................................................................ ........... ......................................................................................... .......................................................................... 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ....................................................... ..................................................................................................... ....... ................................................................................................................................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื .........................................................(ผู้บนั ทกึ ) (นายเอนก เหมือนทอง) ครู กศน.ตำบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ................................................................................. .................................................................................. ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พักตรพมิ าน
36 แบบทดสอบกอ่ นเรียน เร่ีอง การเขียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขอ้ ท่ี 1) ข้อใดใหค้ วามหมายของคำวา่ โครงงานได้ถูกตอ้ ง ก. วิธีการทีศ่ ึกษาอย่างมีระบบตามขัน้ ตอน ข. กระบวนการใชง้ บประมาณ ค. วิธกี ารดำเนินงานแบบไม่ได้วางแบบแผน ง.กระบวนการใช้ทรัพยากรท้องถิ่น ข้อท่ี 2) การวางแผนเพ่ือเขียนโครงงานควรเริม่ จากขอ้ ใด ก. ชอ่ื หัวข้อโครงงาน ข. ชื่อครทู ่ปี รึกษาโครงงาน ค. ทมี่ าและความสำคัญของโครงงาน ง. วตั ถุประสงค์ของการศึกษาคน้ คว้า ขอ้ ท่ี 3) ความสำคัญของโครงงานขอ้ ใดไม่ถูกต้อง ก. การปฏบิ ตั งิ านชดั เจน ข. สรา้ งอคตติ ่อบุคคลภายในหน่วยงาน ค. การปฏบิ ตั เิ ป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ ง. ลดความขัดแย้งและความซ้ำซอ้ นในหนา้ ที่ ขอ้ ที่ 4) ข้อใดกล่าวถงึ ส่วนประกอบของโครงไดถ้ ูกตอ้ ง ก. สว่ นนำ สว่ นขยาย สรปุ ข.สว่ นตน้ สว่ นกลาง ส่วนทา้ ย ค. สว่ นนำ สว่ นเนื้อความ ส่วนขาย ง. สว่ นเนื้อความ สว่ นขยาย ส่วนท้าย ข้อที่ 5) ข้นั ตอนการทำโครงงานขอ้ ใดเรยี งลำดับถูกต้อง ก. การคดิ และการเลือกหวั เรอ่ื ง การวางแผน การดำเนนิ งาน การเขียนรายงาน การนำเสนอ ข. การคดิ และการเลือกหวั เรอ่ื ง การวางแผน การเขยี นรายงาน การดำเนินงาน การนำเสนอ ค. การวางแผน การคดิ และการเลือกหัวเร่ือง การดำเนินงาน การเขียนรายงาน การนำเสนอ ง. การวางแผน การคิดและการเลือกหัวเร่ือง การเขียนรายงาน การดำเนินงาน การนำเสนอ ข้อที่ 6) เมือ่ เลือกหวั เร่ืองทเี่ หมาะสมไดแ้ ลว้ ข้ันตอนต่อไปควรทำตามข้อใด ก. การค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล ข. การเรยี บเรียงการทำรายงาน ค. กำหนดจุดมงุ่ หมายและขอบเขตของเรื่อง ง. เขยี นท่มี าและความสำคัญของโครงงาน
37 ขอ้ ท่ี 7) การเสนอผลงานทำได้หลายรูปแบบขึน้ อยู่กับความเหมาะสมต่อประเภทโครงงานข้อใดไม่ถูกต้อง ก. การแสดงบทบาทสมมุติ ข. การใช้งบประมาณจา้ งหนว่ ยงานต่างๆทำ ค. การจัดนทิ รรศการเกี่ยวกับผลงาน ง. การจดั แสดงและการอธิบายดว้ ยคำพูด ขอ้ ท่ี 8) การวางแผนการทำโครงงานข้อใดไม่ถกู ต้อง ก. การวางแผนเพ่อื ให้การดำเนนิ การเปน็ ไปอยา่ งรอบคอบ ข. การวางแผนจะสามารถรู้แหลง่ คน้ ควา้ และรู้งบประมาณการใชจ้ า่ ย ค. การวางแผนสามารถทราบถึงจดุ ประสงค์เร่ืองทีท่ ำและทราบถึงขอบเขตได้ ง. การวางแผนจะทำโครงงานเสรจ็ เมอ่ื ไหร่ก็ได้ไม่ต้องนำเสนอใหใ้ ครทราบงานก่อน ขอ้ ท่ี 9) การเขยี นรายงานโครงงานควรใชภ้ าษาเขียนแบบใด ก. การเขียนโครงงานควรใช้ภาษาท่ีอ่านเขา้ ใจงา่ ยและตรงประเด็น ข. การเขียนโครงงานควรใชภ้ าษาแบบเป็นกนั เองตามความเข้าใจของผจู้ ัดทำ ค. การเขยี นโครงงานควรใชท้ ั้งวจั นภาษาและอวัจนภาษาเพื่อเปน็ ทางเลือกให้ผู้อ่านติดตาม ง. การเขียนโครงงานควรใช้ท้งั รูปภาพและวัสดจุ รงิ มาเป็นสว่ นประกอบของการเขยี นรายงาน ข้อที่ 10) ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้องเกย่ี วกับการเรียบเรียงรายงาน ก. เรียบเรียงขอ้ มลู ตามความสนใจอะไรมาก่อนก็ไดท้ ำตามสิ่งท่ีวางไว้ ข. สำคัญทส่ี ดุ คอื ต้องคัดลอกผลงานผู้อนื่ มาเรียงเปน็ ผลงานของตวั เองต้องขอบคุณเขาด้วย ค. เม่อื จำเปน็ ต้องคัดลอกข้อความหรือนำข้อมลู ของผู้อื่นมาอา้ งองิ ต้องบอกใหช้ ดั เจนนำมาจากไหน ง. การเรียบเรยี งเขยี นรายงานควรใช้สำนวนภาษาของตนเองให้มากท่สี ุดและควรมผี ูต้ รวจสอบการใช้ภาษา เฉลย 1.ก 2.ก 3.ข 4.ข 5.ก 6.ง 7.ข 8.ง 9.ก 10.ก
38 ใบความรู้ เรอ่ี ง การเขียนโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภททดลอง โครงงานทมี่ ีลักษณะการออกแบบการทดลอง เพอ่ื ศกึ ษาผลของตัวแปรตวั หนง่ึ โดย ควบคุมตวั แปรอื่น ๆ ตวั อย่างโครงงาน เช่น การทำยากนั ยุงจากพืชในท้องถ่นิ การใช้มลู วิธีปอ้ งกนั วัวกินใบพชื การบงั คับผลแตงโมเป็นรูปสี่เหล่ยี ม 2. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทการสำรวจ โครงงานประเภทนี้ไม่กำหนดตวั แปรในการเก็บข้อมูลอาจเป็นการสำรวจในภาคสนาม หรอื ในธรรมชาตหิ รอื นำมาศึกษาในหอ้ งปฏบิ ตั ิการ ตวั อย่างโครงงานประเภทนเ้ี ชน่ การสำรวจพืช พนั ธุ์ไม้ในโรงเรยี นในท้องถน่ิ การสำรวจพฤติกรรมด้านตา่ ง ๆ ของสัตว์ 3. โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทส่งิ ประดิษฐ์ โครงงานประเภทน้ีเปน็ การประดิษฐส์ ่ิงใดสิ่งหน่ึงเครอ่ื งมือเครอ่ื งใช้ หรอื อุปกรณ์เพ่ือ ใชส้ อยตา่ ง ๆ สิ่งประดิษฐ์อาจคิดข้ึนมาใหม่ ปรบั ปรงุ หรอื สรา้ งแบบจำลอง โดยประยุกต์หลกั การ ทางวิทยาศาสตร์ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการกำหนดตวั แปรท่ีจะศึกษา และทดสอบ ประสทิ ธิภาพของชน้ิ งานด้วย 4. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททฤษฎี โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่ผทู้ ำโครงงานจะต้องศึกษารวบรวมขอ้ มลู ความรู้ หลกั การ ข้อเทจ็ จรงิ และแนวความคิดต่าง ๆ อยา่ งลึกซ้ึง แล้วเสนอเป็นหลกั การ แนวความคดิ ใหม่กฎ หรอื ทฤษฎีใหม่ 2. การเลือกหัวขอ้ โครงงาน หัวข้อโครงงานมกั จะไดจ้ ากขอ้ มูลดังต่อไปน้ี 1. สอื่ สิ่งพมิ พ์เชน่ หนงั สือเรยี น หนงั สอื พิมพว์ ารสาร เอกสารเผยแพร่ แผ่นพบั 2. สือ่ วทิ ยโุ ทรทศั น์ 3. การทัศนศึกษา เชน่ การไปศึกษาดงู าน 4. งานอดเิ รก 5. ศึกษาจากโครงงานวทิ ยาศาสตรข์ องผู้อน่ื ท่ีได้ทำไว้แลว้ 6. การปรกึ ษาผู้มีความรู้ 7. การหาขอ้ มลู จากอนิ เทอรเ์ น็ต
39 ลำดับขน้ั ตอนในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ สำรวจและตัดสินใจเลือกเรื่องท่จี ะทำโครงงาน ศกึ ษาขอ้ มลู ทเี่ กยี่ วข้องกับเรื่องท่ีจะทำเอกสารและแหลง่ ข้อมลู ตา่ ง ๆ วางแผนทดลอง การใชว้ ัสดอุ ุปกรณแ์ ละระยะเวลาในการดำเนนิ งาน เขียนเคา้ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ลงมอื ศึกษาทดลอง วิเคราะห์ขอ้ มลู และสรปุ ผล เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เสนอผลงานของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3. การเขียนโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน ควรใชภ้ าษาที่อา่ นแล้วเขา้ ใจงา่ ย กะทดั รดั ตรงไปตรงมา และการ เขียนรายงานโครงงานไม่ควรยาวเกินไป เพราะทำใหไ้ มน่ ่าสนใจเทา่ ทค่ี วร หัวเรอ่ื งในการเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์มดี ังน้ี 1. ชื่อโครงงาน 2. ชอ่ื ผู้ทำโครงงาน 3. ชือ่ ท่ปี รกึ ษา 4. บทคัดย่อ 5. ทมี่ าและความสำคัญของโครงงาน 6. จุดมุ่งหมายของการศึกษาคน้ ควา้ 7. สมมตฐิ านของการศึกษาค้นคว้า (ถ้ามี) 8. วธิ ีดำเนนิ การ 8.1 วสั ดุอุปกรณ์ 8.2 วธิ ีดำเนนิ การทดลอง 9. ผลการศึกษาค้นควา้ 10. สรุปและข้อเสนอแนะ 11. คำขอบคุณหนว่ ยงาน หรือบคุ ลากรทมี่ ีสว่ นช่วย 12. เอกอ้างองิ 4. การนำเสนอโครงงาน
40 หลงั จากทำโครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ สรจ็ แล้วตอ้ งนำเสนอโครงงาน การแสดงผลงานโครงงาน นนั้ อาจทำได้หลายรปู แบบ เช่น การแสดงในรูปนิทรรศการ หรือในรูปของการรายงานปากเปลา่ แต่ไมว่ ่าจะแสดงผลงานรูปแบบใด จะต้องครอบคลุมประเด็นดังต่อไปน้ี 1. ชื่อโครงงาน ชอ่ื ผู้ทำโครงงาน ช่ือท่ีปรกึ ษา 2. คำอธบิ ายถึงเหตุจงู ใจในการทำโครงงาน และความสำคัญของโครงงาน 3. วิธีดำเนินการ โดยเลือกเฉพาะขน้ั ตอนทีเ่ ด่นและสำคญั 4. การสาธติ หรือแสดงผลท่ไี ดจ้ ากการทดลอง 5. ผลการสงั เกต และข้อมลู ต่าง ๆ ท่ไี ด้จากการทำโครงงาน นอกจากนี้แล้วยงั ต้องคำนงึ ถงึ สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ 1. ความแขง็ แรงและความปลอดภัยของนิทรรศการ 2. ความเหมาะสมกบั พ้นื ท่จี ัดแสดง 3. คำอธิบายควรเนน้ หัวข้อที่สำคญั ใช้ขอ้ ความกะทัดรดั ชัดเจน และเข้าใจง่าย 4. ใช้ตาราง และรปู ภาพประกอบ 5. ส่งิ ทีจ่ ัดแสดงจะตอ้ งถูกตอ้ ง ไม่มีคำสะกดผิด หรืออธิบายหลกั การผิด 6. ในกรณที เี่ ปน็ โครงงานประดษิ ฐ์สิง่ ประดิษฐจ์ ะต้องสามารถทำงานไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ในกรณที จี่ ัดแสดงผลงานดว้ ยปากเปล่า จะต้องคำนงึ ถงึ เร่ืองตอ่ ไปนี้ 1. ต้องเข้าใจเร่ืองท่ีอธบิ ายอย่างดี 2. ภาษาทีใ่ ช้ต้องกะทัดรัด เข้าใจงา่ ย ตรงไปตรงมา 3. ควรรายงานแบบเป็นธรรมชาตไิ ม่ควรรายงานแบบท่องจำ 4. ตอบคา ถามอย่างตรงไปตรงมา 5. ควรรายงานใหเ้ สรจ็ สน้ิ ภายในเวลาที่กำหนด 6. ควรมสี อ่ื อุปกรณ์ ประกอบการรายงานด้วยเพื่อจะทำให้การรายงานสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น
41 ใบงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ คำสงั่ ให้ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 3 คน เขียนเค้าโครงงานท่ตี นเองต้องการจะทำกลมุ่ ละ 1 โครงงาน 1. ช่ือโครงงาน............................................................................................................................................................... 2. ชอื่ ผู้ทำโครงงาน 1.................................................................................................................................................................................... 2 ....................................................................................................................................... ............................................. 3. ชื่อทป่ี รกึ ษา................................................................................................................................................................. 4. ท่มี าและความสำคญั ของโครงงาน ......................................................................................................................................................................................... .............................................................................................. ................................................................................ ........... ........................................................................................................................................................................................ 5. จุดมงุ่ หมายของการศึกษาค้นควา้ ......................................................................................................................................................... ................................ ........................................................................................................................................................................................ 6. สมมติฐานการคน้ คว้า ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... 7. วิธีการดำเนนิ การ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... …................................................................................................ ...................................................................................... 7.1 วสั ดุ อปุ กรณ์ และสารเคมี ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................................
42 แผนการจัดการเรียนรู้รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ครั้งท่ี 4 การจัดทำหน่วยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตำบลดู่น้อย ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สัปดาห์ที่ 4 วนั ที่ 7 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว1๑๐๐๑ จำนวน 3 หน่วยกิต ๓. มาตรฐานที่ ๒.๒ มคี วามรู้ความเขา้ ใจ และทักษะพ้ืนฐานเกย่ี วกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เร่อื งการแยกสาร ๕. สาระสำคัญ ความสำคญั วิธกี ารและกระบวนการแยกสารต่อการนำไปใชป้ ระโยชน์มกี ารใช้วิธกี ารแยกสารที่เหมาะสม ๖. เนื้อหา -การแยกสาร -การเข้าสู่ร่างกายของสาร -ประเภทของสารที่พบในชวี ติ ประจำวนั -สารและผลติ ภัณฑข์ องสารท่ีใชใ้ นชวี ิตประจำวัน -ผลกระทบท่เี กดิ จากสารต่อชีวิตและส่งิ แวดล้อม ๗. จุดประสงค์การเรยี นรู/้ ผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) ๑. อธิบายความสำคญั วิธกี ารและกระบวนการแยกสารได้ ๒. สามารถเลอื กใช้วธิ กี ารแยกสารทเ่ี หมาะสมและนำไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจำวันได้ ๘. การบรู ณาการกับหลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงือ่ นไข 3หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ 1. ความรูใ้ นเรอ่ื งของการแยกสาร 2. มคี วามรแู้ ละมีทกั ษะในการใช้สื่อและอุปกรณ์ คุณธรรม 1. ความสามัคคี 2. ช่วยเหลือแบง่ ปัน ความเอือ้ เฟ้ือเผ่ือแผ่ 3. มวี ินัย ตรงต่อเวลาความรบั ผิดชอบ 4. ใฝ่รู้ใฝเ่ รยี น มจี ติ อาสา พอประมาณ 1. นกั ศึกษารจู้ ักบริหารเวลาในการทำกจิ กรรมในการเรียนการสอน 2. นกั ศึกษาทำกจิ กรรมได้เตม็ ศักยภาพตนเอง มเี หตุผล 1. มีความรู้ความเขา้ ใจในการเลือกใชเ้ ทคโนโลยใี นการสืบค้นข้อมูลและนำเสนอ 2. นำความรู้ทีไ่ ดไ้ ปปรบั ใช้ในชีวติ ประจำวนั
43 มีภมู ิคุ้มกนั 1. มกี ารวางแผนในการสืบค้นขอ้ มูลจากแหลง่ เรียนรู้ตา่ งๆ 2. มีการวางแผนการทำงานอย่างรอบคอบดว้ ยความสามัคคีจนทำใหง้ านสำเร็จ วัตถุ -การใชส้ ่ือตา่ ง ๆ ในการศกึ ษาคน้ คว้าและแกป้ ัญหา เพิ่มเติม สังคม 1. นักศกึ ษามีความรู้เกีย่ วกับการวางแผนการทำงาน 2. นกั ศกึ ษาสามารถทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ทักษะปฏสิ มั พันธ์ กบั บคุ คลอ่นื ทักษะการฟังที่ดี สง่ิ แวดล้อม - นักศกึ ษาเลือกแนวทางในการใช้แยกสาร เพื่อลดผลการทบตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติ ในชีวิตประจำวนั วฒั นธรรม - มคี วามรับผดิ ชอบต่อตนเองและผ้อู ่นื มีความเออ้ื เฟื้อแบ่งปันความรู้ และชว่ ยเหลือ ผ้อู ่ืนด้วยความเต็มใจในท้องถ่ิน 9. กระบวนการจัดการเรยี นรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ ๑ กำหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูสอบถามนักศกึ ษาเรอื่ งการแยกสาร ๒. ช้แี จงจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ข้นั ท่ี ๒ แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธิบายวิธกี ารแยกสารต่างๆ 2. นักศึกษาอภปิ รายเลือกใช้วิธกี ารแยกสารท่ีเหมาะสม และนำมาใช้ ขั้นท่ี ๓ การปฏบิ ัติและการนำไปใช้ (I : Implementation) ๑. นักศกึ ษาทำแบบทดสอบก่อน - หลงั เรยี น ๒. ครูสรปุ องคค์ วามรู้ในเน้ือหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลย่ี นความรู้ ข้นั ที่ ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ประเมินจากใบงาน 2. สงั เกตจากการนำเสนอหน้าชัน้ เรยี น 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื แบบเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ 2. ใบงาน 1 เร่อื ง การแยกสาร 3. แบบทดสอบ 4. ใบความรเู้ รือ่ ง การแยกสาร 5. อินเตอรเ์ น็ต
44 6. หอ้ งสมุด 11. การวดั และประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ื่นของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน 2. เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานรว่ มกับผอู้ ่ืน ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น 3. เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทำงานร่วมกับผอู้ ่นื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน เกณฑ์ผ่านและไมผ่ ่าน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ู้สอน (นายเอนก เหมอื นทอง) ครู กศน.ตำบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชือ่ ………………………………………………………ผู้อนมุ ัตแิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
45 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทำหน่วยเรยี นร้บู รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คร้งั ท่ี 4 วันท่ี 7 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอน นายเอนก เหมือนทอง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู้พนื้ ฐาน รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว1๑๐๐๑ จำนวนผเู้ รียนทง้ั หมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไมเ่ ขา้ เรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ กอ่ นเรียนจำนวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น้อยกว่าก่อนเรยี นจำนวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ................................................................................................................................................................ .......................................................................................... ...................................................................... ................................................................................................................................................................ ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ....................................................................................................................................... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ........................................................................................ ........................................................................ ................................................................................................................................................................ ลงชอื่ ....................................................... (นายเอนก เหมือนทอง) ครูผูส้ อน วนั ท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ำนวยการ กศน.อำเภอจตุรพักตรพมิ าน วันท่ี.............../.................../...............
46 ใบความรู้ เร่ือง การแยกสาร หลกั และวิธีการแยกสาร 1. การแยกสารเน้ือผสม 1.1 การกรองคือการทำให้ของแข็งและของเหลวแยกออกจากกันโดยใช้วัสดุต่างๆนอกเหนือ จากกระดาษ กรองก็ได้ เช่น ผ้าขาวบางหรือผ้าชนิดต่างๆ เป็นต้นส่วนวิธีกรองนั้นก็นำที่มีส่ิงอ่ืนๆเจือปนมาเทลงที่กระดาษกรองท่ี พับ เป็นรูปกรวยและใส่กรวยแก้วไว้แล้วถ้าของแข็งที่เจือปนอยู่ในของเหลวน้ันมี ขนาดใหญ่กว่า10 ยกกำลังลบ4 ของแข็งน้ันก็ไม่สามารถผ่านกระดาษกรองไปได้แต่ถ้า เล็กกว่าก็จะสามารถผ่านได้ สำหรับกรณีท่ีของแข็งเล็กกว่า10 ยกกำลงั ลบ4 นั้นเรากส็ ามารถใช้กระดาษเซลโลเฟน ทม่ี ขี นาด10 ยกกำลงั ลบ7 ก็ได้ 1.2 การระเหิด (sublimation หรือ primary drying) คอื ปรากฏการณ์ทีส่ สารเปลี่ยนสถานะจาก ของแข็ง กลายเป็น ไอหรือกา๊ ซ ท่ีอณุ หภมู ิตำ่ กวา่ จดุ หลอมเหลว โดยไมผ่ า่ นสถานะ ของเหลว ปจั จยั ท่ีมีผลต่อการระเหิด 1.อุณหภมู ิ อตั ราการระเหิดเปน็ สัดส่วนโดยตรงกับอุณหภูมิ 2.ชนิดของของแข็ง ของแข็งทีม่ แี รงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนภุ าคนอ้ ยจะระเหิดไดง้ า่ ย 3.ความดนั ของบรรยากาศ ถ้าความดันของบรรยากาศสูงของแข็งจะระเหิดได้ยาก 4.พ้ืนท่ผี ิวของของแข็ง ถ้ามพี ื้นทมี่ ากจะระเหิดไดง้ ่าย 5.อากาศเหนือของแข็ง อากาศเหนือของแขง็ จะตอ้ งมีการถ่ายเทเสมอ เพือ่ ป้องกนั การอ่มิ ตัวของไอ สารท่ีระเหดิ ได้ไดแ้ ก่ แนฟทาลนี (ลูกเหมน็ )คารบ์ อนไดออกไซด์ (น้ำแข็งแหง้ )การบรู พมิ เสน 1.3 การใชแ้ ม่เหล็กดูด การใช้อำนาจแม่เหล็ก เป็นวิธีที่ใช้แยกองค์ประกอบของสารเน้ือผสมซึ่งองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติในการ ถูก แม่เหล็กดูดได้ เช่น ของผสมระหว่างผงเหล็กกับผงกำมะถัน โดยใช้แม่เหล็กถูไปมาบนแผ่นกระดาษที่วางทับของผสม ทัง้ สอง แม่เหล็กจะดูดผงเหลก็ แยกออกมา 1.4 การใชม้ ือหยบิ ออกหรือเขย่ี ออก ใช้แยกของผสมเนื้อผสม ที่ของผสมมีขนาดโตพอที่จะหยิบออกหรือเข่ียออกได้ การแพร่คือการเคลื่อนที่ของ โมเลกุลของสารชนิดหนึ่งจากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ี หนึ่ง ท้ังนี้การแพร่เกิดได้หลายรูปแบบแล้วแต่แรงขับเคลื่อนท่ีมีใน ขณะนั้น การแพร่ของสารแบบธรรมดา (simple diffusion) คือการเคลอื่ นท่ขี องโมเลกุลสาร จากทที่ ่ีความเข้มขน้ มาก ไปความเข้มข้นน้อย ตัวอย่างท่ีเห็นง่ายๆก็ คือ เวลาเราหยดหมึกลงในน้ำแล้วโมเลกุลหมึกค่อยๆกระจายไปในโมเลกุล นำ้ 1.5 การตกตะกอน การตกตะกอน ใช้แยกของผสมเนื้อผสมท่ีเป็นของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว ทำได้โดยนำของผสมนั้นวาง ท้งิ ไวใ้ ห้สารแขวนลอยคอ่ ยๆ ตกตะกอนนอนกน้ ในกรณีท่ตี ะกอนเบามากถ้าต้องการให้ตกตะกอนเรว็ ขึ้นอาจทำได้โดย
47 ใช้สารตัวกลางให้อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เม่ือมีมวลมากขึ้น น้ำหนักจะมากขึ้นจะตกตะกอนได้เร็วข้ึน เช่น ใช้ สารส้มแกวง่ อนภุ าคของสารสม้ จะทำหนา้ ที่เป็นตัวกลางใหโ้ มเลกุลของสารทีต่ อ้ งการตกตะกอนมาเกาะ ตะกอนจะตก เร็วขึ้น 1.6 การใช้กรวยแยก ใช้แยกสารเนื้อผสม ที่เป็นของเหลวผสมอยู่กับของเหลวแต่ไม่รวมเป็นเน้ือเดียวกัน โดยของเหลวท่ีมี ความ หนาแน่นน้อยกว่าจะอยู่ข้างบน ของเหลวที่มีความหนาแน่นมากกว่า จะอยู่ข้างล่าง ตัวอย่าง การแยกน้ำมันท่ีผสมปน อยู่กับน้ำ ทำได้โดยนำของผสมมาใส่ลงในกรวยแยก น้ำมันมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำจะลอยอยู่เหนือน้ำ จากนั้น คอ่ ย ๆเปดิ ก๊อกของกรวยแยกไข แยกนำ้ ออกมาก่อน และแยกนำ้ มนั ออกมาทีหลงั 1.7 การสกดั ด้วยตัวทำละลาย การสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นวิธีทำสารให้บรสิ ุทธ์ิ หรือเป็นวิธีแยกสารออกจากกันวิธีหน่ึงการสกัดด้วยตัวทำ ละลาย อาศัยสมบัตขิ องการละลายของสารแต่ละชนิดสารที่ตอ้ งการสกัดต้องละลายอยูใ่ นตัว ทำละลายซอลซ์เลต เป็น เครื่องมือท่ีใช้ตัวทำละลายปริมาณน้อย การสกัดจะเป็นลักษณะการใช้ตัวทำละลายหมุนเวียนผ่านสารที่ต้องการสกัด หลายๆ ครั้ง ตอ่ เน่อื งกันไปจนกระท่ังสกดั สาร ออกมาไดเ้ พียงพอ หลกั การสกัดสาร เติมตัวทำละลายที่เหมาะสมลงในการที่เราต้องการสกัดจากน้ันก็เขย่าแรงๆหรือนำไปต้ม เพ่ือให้สารที่เรา ต้องการจะสกัดละลายในตัวทำละลายท่ีเราเลือกไว้ สารท่ีเราสกัดได้นั้นยังเป็นสารละลายอยู่ ถ้าเราต้องการทำให้ บริสุทธ์ิเราควรจะนำสารที่ได้ไปแยกตัวทำละลายออกมาก่อน อาจจะนำไประเหย หรือนำไปกลั่นต่อไป ตัวอย่างเช่น การสกัดนำ้ ขงิ จากขิง การสกดั คลอโรฟลี ล์ของใบไม้ 2. การแยกสารเนอื้ เดยี ว 2.1 การระเหยแหง้ การแยกสารด้วยวิธีน้ีเหมาะสำหรับใช้แยกสารผสมท่ีเป็นของเหลวและมีของแข็ง ละลายในของเหลวนี้ จน ทำให้สารผสมมีลักษณะเป็นของเหลวใส ซึ่งเราเรียกสารผสมนี้ว่า สารละลาย เช่น น้ำทะเล น้ำเชื่อมน้ำเกลือ เป็นต้น การแยกสารโดยวิธีการระเหยแห้งนิยมใช้ในการแยกเกลือออกจากน้ำทะเล มีการนำเกลือเพ่ือแยกน้ำทะเลให้ได้เกลือ สมุทรโดยวิธีการระเหยแห้ง ชาวนาเกลือเตรีมแปงนาแล้วใช้กังหันฉุดน้ำทะเลเข้าสู้แปลงนาเกลือหลังจาก น้ันปล่อย ให้น้ำทะเลได้รับแสงแดดเป็นเวลานานจนกระทั่งน้ำระเหยจนแห้ง จะเหลือเกลืออยู่ในนา เกลือท่ีได้นี้เรียกว่า เกลือ สมทุ รซง่ึ เป็นเกลือท่ีนำมาปรุงอาหาร ทำเคร่ืองดม่ื การเปล่ียนอุณหภมู ิและความดนั วธิ ีนี้ใช้สำหรบั แยกของผสมท่ีองคป์ ระกอบทัง้ หมดเป็นกา๊ ซแต่ละชนดิ มีจุด เดือดไม่เทา่ กัน การใชค้ วามร้อนวธิ นี แี้ ยกของผสมชนดิ กา๊ ซละลายในของเหลว 2.2 โครมาโทรกราฟี
48 อาศยั สมบัติ2ประการคือ สารต่างชนดิ กันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลายได้ต่างกันสารต่างชนิด กันมีความสามารถในการถูกดูดซบั ด้วยตวั ดดู ซบั ไดต้ ่างกนั โครมาโทกราฟี (chromatography)เป็นการแยกสารผสมท่ีมีสี หรือสารท่ีสามารถทำให้เกิดสีได้ วิธีการนี้ จะมีเฟส 2 เฟส คอื เฟสอยู่กับท่ี (stationary phase) กบั เฟสเคล่ือนท่ี (mobile phase) โดยทส่ี ารในเฟสอยกู่ บั ท่ี จะทำหน้าท่ีดูดซับ (adsorb) สารผสมด้วยแรงไฟฟ้าสถิตย์ สารท่ีใช้ทำเฟสอยู่กับที่จึงมีลักษณะเป็นผง ละเอียดมี พ้ืนที่ผิวมากเช่นอลูมินา (alumina,Al2O3) ซิลิกาเจล(silica gel,SiO2) หรืออาจจะใช้วัสดุที่สามารถดูดซับได้ดี เช่น ชอล์ก กระดาษ ซ่ึงสารท่ีทำหน้าท่ีดดู ซับในเฟสอยู่กับที่ เช่น น้ำ ส่วนเฟสเคลอื่ นทจ่ี ะทำหนา้ ท่ีชะ (elute)เอาสาร ผสมออกจากเฟสอยู่กับที่ให้เคล่ือนที่ไปด้วย การจะเคลื่อนที่ ได้มากหรือน้อยข้ึนอยู่กับแรงดึงดูดระหว่างสารในสาร ผสมกับตัวดูดซับในเฟสอ ยู่กับท่ี ดังนั้นสารที่ใช้เป็นเฟสเคลอ่ื นท่ีจึงได้แก่ พวกตัวทำละลาย เช่น ปโิ ตรเลียมอีเทอร์ เฮ กเซน คลอโรฟอร์ม เบนซีน ฯลฯ การทำโครมาโทกราฟีสามารถทำได้หลายวิธีจะแตกต่างกันท่ีเฟสอยู่กับที่ว่า อยู่ใน ลกั ษณะใด เช่น -โครมาโทกราฟีแบบคอลัมน์ (column chromatography)ทำได้โดยการบรรจุสารที่เป็นเฟสอยู่กับท่ี เช่น อลูมินาหรือซิลิกาเจลไว้ ในคอลัมน์ แล้วเทสารผสมที่เป็นสารละลายของเหลวลงสู่คอลัมน์ สารผสมจะผ่าน คอลัมน์ช้าๆ โดยตัวทำละลายซ่ึงเป็นเฟสเคลื่อนท่ี เป็นผู้พาไป สารในเฟสอยู่กับที่จะดูดซับสารในสารผสมไว้ ส่วนประกอบใดของสารผสมที่ถูกดูด ซับได้ดีจะเคลื่อนท่ีชา้ สว่ นท่ีถูกดูดซับไม่ดีจะเคล่ือนท่ีได้เร็ว ทำใหส้ ารผสมแยก จากกนั ได้ - โครมาโทกราฟีแบบช้ันบาง (thin layer chromatography)เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบ(plane chromatography) โดยทำเฟสอยู่กับที่ให้มีลักษณะเป็นครีมข้น แล้วเคลือบบนแผ่นกระจกให้ความหนาของการ เคลือบเท่ากันตลอดแล้วนำไปอบให้แห้ง หยดสารละลายของสารผสมท่ีต้องการแยกบนแผ่นท่ีเคลือบเฟสอยู่กับที่น้ีไว้ แล้วนำไปจุ่มในภาชนะที่บรรจุตัวทำละลายที่เป็นเฟสเคล่ือนที่ไว้ โดยให้ระดับของตัวทำละลายต้องอยู่ต่ำกว่าระดับ ของจุดที่หยดสารผสมไว้ ตัวทำละลายจะซึมไปตามเฟสอยูก่ ับที่ด้วยการซึมตามรเู ล็กเหมือนกับน้ำท่ีซมึ ไป ในกระดาษ หรือผ้า เมื่อซึมถึงจุดที่หยดสารผสมไว้ ตัวทำละลายจะชะเอาองค์ประกอบในสารผสมนั้นไปด้วยอัตราเร็วท่ีแตกต่าง กัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพมีข้ัว (polarity) ของสารท่ีเป็นองค์ประกอบกับสารท่ีเป็นตัวทำละลาย ถ้าตัวทำละลายเป็น โมเลกุลมขี ้ัว (polar molecules) จะชะเอาสารในสารผสมทเ่ี ป็นสารมีขว้ั ไปด้วยได้เรว็ ส่วนสารที่ไมม่ ขี ว้ั ในสารผสมจะ ถกู ชะพาไปได้ช้า สารผสมกจ็ ะแยกออกจากกัน - โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ (paper chromatography)เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบอีกแบบหนึ่ง มี วธิ กี ารและหลักการเหมือนกับโครมาโทกราฟีแบบชั้นบาง แตกตา่ งกนั ท่ีเฟสอยกู่ ับท่ใี ชก้ ระดาษทส่ี ามารถดูดซบั ได้แทน กระจกทเ่ี คลือบ ด้วยซลิ กิ าเจล – โครมาโทกราฟีแบบแกส๊ (gas chromatography , GC) ใช้สำหรบั แยกสารผสมท่เี ปน็ แก๊ส โดยมีเฟสเคล่ือนทเ่ี ปน็ แก๊สเช่นกนั แต่ไมท่ ำปฏกิ ริ ิยากับสารผสม เช่น ฮีเลียม จะทำหนา้ ทีเ่ ป็นตวั พา (carier) สารผสม สว่ นเฟสอยู่กับที่ อาจจะเป็นของแข็งหรือของเหลวทบ่ี รรจุอยู่ในคอลมั น์ เมื่อทงั้ ตัวพาและสารผสมเคลื่อนทีผ่ า่ นคอลมั น์น้ี เฟสอยู่กับท่ี ในคอลมั น์จะดงึ ดูดด้วยแรงดงึ ดดู ไฟฟ้าสถติ ย์ตามความเป็นขั้วของ สารกับโมเลกุลในสารผสมทำให้องค์ประกอบในสาร ผสมถกู พาไปด้วยอัตราเรว็ ทต่ี ่าง กนั สารผสมกจ็ ะแยกออกจากกนั
49 ปจั จุบันเทคนิคของโครมาโทกราฟีไดถ้ ูกพัฒนาให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว และใช้แยกสารตัวอย่างได้ครั้งละ หลายสารตัวอย่าง เช่น Gas – Liquid Chromatography (GLC), High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เป็นตน้ หลกั การของโครมาโทกราฟี โครมาโทกราฟี อาศัยหลักการละลายของสารในตัวทำละลาย และการถูกดูดซับโดยตัวดูดซับ โดยสารท่ี ต้องการนำมาแยกโดยวิธีน้ีจะมีสมบัติการละลายในตัวทำละลาย ได้ไม่เท่ากัน และตัวถูกดูดซับโดยตัวดูดวับได้ไม่ เท่ากัน ทำให้สารเคลอ่ื นที่ไดไ้ มเ่ ทา่ กัน วิธกี ารทำโครมาโทกราฟี นำสารท่ีต้องการแยกมาละลายในตัวทำละลายที่เหมาะสมแล้วให้เคล่ือนท่ีไปบนตัวดูดซับ การเคล่ือนท่ีของ สารบนตัวดดู ซบั ขนึ้ อยู่กับความสามารถในการละลายของสารแต่ละชนิดในตัวทำละลาย และความสามารถในการดูด ซับท่ีมตี อ่ สารน้ัน กลา่ วคอื สารทลี่ ะลายในตัวทำละลายไดด้ ี และถูกดูดซับน้อยจะถกู เคลือ่ นทอี่ อกมาก่อน ส่วนสารท่ี ละลายได้น้อยและถกู ดูดซับได้ดี จะเคล่ือนท่อี อกมาทีหลงั ถา้ ใชต้ ัวดูดซับมากๆ จะสามารถแยกสารออกจากกันได้ การเลอื กตวั ทำละลายและตัวดูดซับ 1. ตวั ทำละลายและสารทต่ี ้องการแยกจะต้องมีการละลายไมเ่ ท่ากัน 2. ควรเลือกตวั ดูดซับที่มีการดูดซบั สารได้ไมเ่ ท่ากัน 3. ถ้าต้องการแยกสารท่ผี สมกันหลายชนิด อาจต้องใชต้ ัวทำละลายหลายชนิดหรอื ใชต้ ัวทำละลายผสม 4. ตัวทำละลายท่นี ิยมใช้ ได้แก่ เฮกเซน ไซโคลเฮกเซน เบนซนี อะซีโตน คลอไรฟอร์ม เอธานอล 5. ตวั ดดู ซับท่นี ยิ มใช้ ได้แก่ อะลมู นิ าเจค (Al2O3) ซลิ กิ าเจล (SiO2) ข้อดีของโครมาโทกราฟี 1. สามารถแยกสารที่มีปริมาณนอ้ ยได้ 2. สามารถแยกได้ทง้ั สารท่ีมีสี และไม่มสี ี 3. สามารถใชไ้ ด้ทัง้ ปริมาณวเิ คราะห์ (บอกไดว้ ่าสารที่แยกออกมา มีปริมาณเท่าใด)และคุณภาพวเิ คราะห์ (บอกไดว้ ่าสารนน้ั เป็นสารชนิดใด) 4. สามารถแยกสารผสมออกจากกันได้ 5. สามารถแยกสารออกจากกระดาษกรองหรือตัวดูดซับโดยสกดั ดว้ ยตวั ทำละลาย 2.3 การกลนั่ (distillation) การกล่ันเปน็ การแยกสารละสายท่ีเปน็ ของเหลวออกจากของผสม โดยอาศยั หลักการระเหยกลายเปน็ ไปและ ควบแน่น โดนท่ีสารบริสุทธิ์แต่ละชนิดเปล่ียนสถานะได้ที่อุณหภูมิจำเพาะ สารที่มจุดเดือดต่ำจะเดือดเป็นไอออกมา ก่อน เม่ือทำให้ไอของสารมอี ุณหภูมติ ำ่ ลงจะควบแนน่ กลับมาเป็นของเหลวอีกคร้งั
50 2.3.1การกลน่ั แบบธรรมดาหรอื การกลั่นอย่างงา่ ย(simple distillation) เป็นวิธีการท่ีใช้กล่ันแยกสารที่ระเหยง่ายซ่ึงปนอยู่กับสารท่ีระเหยยาก การกล่ันธรรมดาน้ีจะ ใช้แยกสาร ออกเป็นสารบรสิ ุทธ์ิเพียงครัง้ เดียวได้สารที่มีจุดเดอื ดต่างกัน ต้ังแต่ 80 องศาเซลเซียส ข้ึนไปเครือ่ งมือที่ใช้สำหรับการ กล่ันอย่างง่าย ประกอบด้วย ฟลาสกลั่น เทอร์โมมิเตอร์ เคร่ืองควบแน่น และภาชนะรองรับสารท่ีกลั่นได้ การกล่ัน อย่างงา่ ยมเี ทคนิคการทำเปน็ ข้นั ๆ ดังนี้ 1. เทของเหลวท่ีจะกลัน่ ลงในฟลาสกลั่น โดยใช้กรวยกรอง 2. เตมิ ชิ้นกันเดือดพลุ่ง เพื่อให้การเดือดเป็นไปอยา่ งสมำ่ เสมอและไม่รุนแรง 3. เสยี บเทอร์โมมิเตอร์ 4. เปิดน้ำใหผ้ ่านเขา้ ไปในคอนเดนเซอร์เพอ่ื ให้คอนเดนเซอร์เยน็ โดยให้น้ำเขา้ ทางที่ต่ำแล้วไหลออกทางทส่ี ูง 5. ให้ความร้อนแก่พลาสกลั่นจนกระท่ังของเหลวเร่ิมเดือด ให้ความร้อนไปเรื่อยๆจนกระทั่งอัตราการกลั่น คงท่ี คอื ได้สารทก่ี ล่นั ประมาณ 2-3 หยด ตอ่ วินาที ใหส้ ารที่กลั่นไดน้ ้ีไหลลงในภาชนะรองรบั 6. การกลน่ั ต้องดำเนนิ ต่อไปจนกระทง่ั เหลอื สารอยู่ในฟลาสกล่นั เพียงเลก็ น้อยอย่ากลั่นให้แห้ง การกล่ันสามารถนำมาใช้ทดสอบความบริสุทธ์ขิ องของเหลวได้ ซึง่ ของเหลวทบ่ี รสิ ทุ ธจ์ิ ะมีลกั ษณะดังนี้ 1. ส่วนประกอบของสารที่กล่ันได้ จะมลี ักษณะเหมือนกับสว่ นประกอบของของเหลว 2. สว่ นประกอบจะไมม่ ีการเปล่ียนแปลง 3. อณุ หภมู ิของจุดเดอื ดในขณะกลัน่ จะคงทต่ี ลอดเวลา 4. การกลนั่ จะทำให้เราทราบจดุ เดอื ดของของเหลวบรสิ ุทธิ์ได้ การกลั่นนอกจากจะนำมาใช้ตรวจสอบ ความบริสุทธ์ิของของเหลวแล้ว ยังสามารถใช้กลั่น สารละลายได้อีก ด้วย การกลั่นสารละลายเป็นกระบวนการแยกของแข็งท่ีไม่ระเหยออกจากตัวทำละลายหรือ ของเหลวท่ีระเหยง่าย โดยของแข็งท่ีไม่ระเหยหรือตัวละลายจะอยู่ในฟลาสกลั่น ส่วนของเหลวที่ระเหยง่ายจะถูกกล่ันออกมา เมื่อการกลั่น ดำเนินไปจนกระท่งั อณุ หภมู ิของการกลัน่ คงท่ีแสดงวา่ สารทเี่ หลือ นน้ั เป็นสารบรสิ ุทธ์ิ อน่ึงในขณะกลั่นจะสังเกตเห็นว่าอุณหภูมิของสารละลายจะเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ เพราะสารละลายเข้มข้นขึ้น เนือ่ งจากตัวทำละลายระเหยออกไปและได้ของแขง็ ท่ีบริสุทธ์ใิ นทสี่ ุด 2.3.2การกลั่นลำดบั สว่ น(fractional distillation) การกลั่นลำดับส่วนเป็นวิธีการแยกของเหลวทส่ี ามารถระเหยได้ตั้งแต่ 2 ชนิดขนึ้ ไป มหี ลกั การเช่นเดียวกันกับ การกลั่นแบบธรรมดา คือเพ่ือต้องการแยกองค์ประกอบในสารละลายให้ออกจากกัน แต่ก็จะมีส่วนที่แตกต่างจากการ กลั่นแบบธรรมดา คือ การกล่ันแบบกลั่นลำดับส่วนเหมาะสำหรับใช้กลัน่ ของเหลวที่เป็นองค์ประกอบของ สารละลาย ที่จุดเดือดต่างกันน้อยๆ ในขั้นตอนของกระบวนการกลั่นลำดับส่วน จะเป็นการนำไอของแต่ละส่วนไปควบแน่น แล้ว นำไปกล่ันซ้ำและควบแน่นไอเรื่อยๆ ซ่ึงเทียบได้กับเป็นการการกลั่นแบบธรรมดาหลายๆ ครั้งนั่นเอง ความแตกต่าง ของการกล่ันลำดับสว่ นกับการกล่ันแบบธรรมดา จะอยู่ที่คอลัมน์ โดยคอลัมน์ของการกลนั่ ลำดับส่วนจะมีลักษณะเป็น ชั้นซบั ซอ้ น เปน็ ช้ันๆ ในขณะทค่ี อลมั น์แบบธรรมดาจะเป็นคอลัมนธ์ รรมดา ไม่มคี วามซับซ้อนของคอลมั น์ ในการกลั่น แบบลำดับส่วน จะต้องมีการเพ่ิมอุณหภูมิอย่างช้าๆ ดังนั้น จำเป็นท่ีจะต้องมีอุปกรณ์ที่ให้ความร้อน (heater) และ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190