Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีจันทร์

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีจันทร์

Published by jatu library, 2022-06-27 02:22:56

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูจันทร์ทิพย์ ศรีจันทร์

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรยี นรูร้ ายวชิ า ระดบั ประถมศึกษา ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 นางสาวจนั ทรท์ พิ ย์ ศรลี ยั ครู กศน.ตาบล กศน.ตาบลศรโี คตร ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน สานกั งานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั รอ้ ยเอด็ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

คานา แผนการจดั การเรยี นรรู๎ ายภาคเรียน ประจาภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับประถมศึกษา แผนการจัดการเรียนรู๎ เป็นเครื่องมือสาคัญสาหรับครูที่จะทาให๎การจัดการเรียนร๎ูบรรลุเปูาหมายท่ีต๎องการ เป็นการ วางแผนไว๎ลํวงหน๎าโดยศึกษาในเรื่อง สาระพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕) หมวด ๓ ระบบการศึกษา และ หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา ทุกมาตรากรอบของการจัดการศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เอกสารเกี่ยวกับการประกันคุณภาพ การศึกษา โดยจัดกระบวนการเรียนรูใ๎ หส๎ อดคล๎องกับมาตรฐานเอกสารเกี่ยวกับเนื้อหาในรายวิชาที่จัดการเรียนร๎ู และ ศกึ ษาหาข๎อมลู จากแหลงํ เรยี นร๎ตู ําง ๆ วิธกี ารจัดการเรียนรู๎แบบตําง ๆ ซึ่งเน๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญและรูปแบบการเรียนร๎ู โดยกาหนดให๎ใช๎รปู แบบการจดั กระบวนการเรียนร๎ู กศน. (ONIE MODEL) ซึ่งมี ๔ ข้นั ตอน ไดแ๎ กํ ขั้นตอนท่ี ๑ การกาหนดสภาพ ปัญหา ความตอ๎ งการในการเรียนรู๎ (O : Orientation ) ขั้นตอนที่ ๒ การแสวงหาข๎อมูลและจัดการ เรียนรู๎ (N : New ways of learning) ขั้นตอนท่ี ๓ การปฏิบัติและนาไปประยุกต์ใช๎ (I : Implementation) ข้ันตอน ที่ ๔ การประเมินผล (E : Evaluation) แผนการเรียนร๎ูจะทาให๎ครูได๎คูํมือการจัดการเรียนร๎ู ทาให๎ดาเนินการจัดการ เรยี นรู๎ไดค๎ รบถว๎ นตรงตามหลักสูตรและจัดการเรียนร๎ไู ดต๎ รงเวลา ขอขอบคุณ ผ๎ูมสี ํวนเกีย่ วข๎องทกุ ทําน ที่ใหค๎ วามร๎ู คาแนะนาและให๎คาปรึกษาเป็นแนวทาง ทาให๎แผนจัดการ เรียนร๎ูรายภาคเรียนเลํมนี้จนสาเร็จ เป็นรูปเลํมสมบูรณ์ ผู๎จัดทาหวังเป็นอยํางย่ิงวําเอกสารเลํมนี้ จะเป็นประโยชน์ สาหรับ ผ๎ูนาไปใช๎จัดกิจกรรมการเรียนร๎ู ได๎อยํางมีประสิทธิภาพหากพบข๎อผิดพลาดหรือ มีข๎อเสนอแนะประการใด ผู๎จดั ทาขอน๎อมรับไว๎แกไ๎ ข ปรับปรุงดว๎ ยความขอบคุณยิ่ง นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรลี ัย ครู กศน.ตาบล

สารบัญ หน๎า เรอ่ื ง 1 5 คานา 21 สารบญั 26 แผนการกาหนดการจัดการเรียนการสอน ประจาภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 36 แผนการจัดการเรียนร๎ูกจิ กรรมปฐมนิเทศ 49 แผนการจัดการเรยี นร๎รู ายวิชาทักษะการเรยี นร๎ู ครง้ั ท่ี 1 61 แผนการจัดการเรยี นรู๎รายวิชาศิลปศกึ ษา ครงั้ ที่ 2 71 แผนการจดั การเรยี นรร๎ู ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 3 82 แผนการจดั การเรยี นรร๎ู ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 4 86 แผนการจดั การเรียนรู๎รายวิชาคุณธรรมและจริยธรรมในการใช๎ส่ือออนไลน์ ครั้งท่ี 5 95 แผนการจัดการเรยี นร๎รู ายวิชาสุขศึกษาพลศึกษา ครงั้ ท่ี 6 102 แผนการจัดการเรียนรร๎ู ายวิชาสขุ ศึกษาพลศึกษา ครง้ั ที่ 7 118 แผนการจัดการเรยี นรู๎รายวิชาภาษาไทย ครั้งที่ 8 125 แผนการจัดการเรยี นรร๎ู ายวิชาคุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ ื่อออนไลน์ คร้ังท่ี 9 136 แผนการจดั การเรยี นร๎รู ายวิชาศาสนาและหน๎าที่พลเมือง ครั้งที่ 10 147 แผนการจัดการเรียนรร๎ู ายวชิ าศาสนาและหนา๎ ท่ีพลเมือง คร้ังท่ี 11 156 แผนการจดั การเรยี นร๎ูรายวชิ าชํองทางการเขา๎ สูอํ าชพี ครั้งท่ี 12 163 แผนการจัดการเรียนรู๎รายวชิ าชอํ งทางการเขา๎ สูอํ าชพี ครง้ั ที่ 13 174 แผนการจดั การเรยี นรู๎รายวิชาสังคมศึกษา ครัง้ ที่ 14 181 แผนการจัดการเรียนรร๎ู ายวชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย ครง้ั ที่ 15 แผนการจัดการเรยี นรู๎รายวิชาสังคมศึกษา ครัง้ ที่ 16 แผนการจดั การเรียนร๎ู รายวชิ าพัฒนาตนเองชุมชนสงั คม ครง้ั ท่ี 17 แผนการจดั การเรยี นรู๎รายวชิ าพัฒนาตนเองชุมชนสังคม คร้ังที่ 18 แผนการจัดการเรียนร๎ปู จั ฉิมนิเทศ คณะผูจ๎ ัดทา

แผนกาหนดการจดั การเรยี นการสอนของนกั ศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา ๒๕65 หลักสตู ร การศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ระดับ ประถมศกึ ษา ช่ือครูผู้สอน นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรีลัย ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน สานักงาน กศน.จงั หวัดร้อยเอ็ด สัปดาห์ วนั /เดือน/ปี เวลา วิชา/กจิ กรรม สถานทจี่ ดั การเรยี น ท่ี กจิ กรรมปฐมนเิ ทศ การสอน ๑ 17 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กศน.ตาบลศรีโคตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนร๎ูด๎วยตนเอง กศน.ตาบลศรีโคตร 1 17 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาทกั ษะการเรยี นรู๎ กศน.ตาบลศรโี คตร (5 นก.) ทร 11001 ตามอัธยาศัย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรด๎ู ๎วยตนเอง 2 24 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศิลปศกึ ษา กศน.ตาบลศรีโคตร ตามอัธยาศยั (2 นก.) ทช 11003 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรู๎ด๎วยตนเอง 3 31 พ.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าวทิ ยาศาสตร์ กศน.ตาบลศรีโคตร ตามอธั ยาศยั (3 นก.) พว 11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรูด๎ ๎วยตนเอง 4 7 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าวิทยาศาสตร์ กศน.ตาบลศรีโคตร ตามอัธยาศยั (3 นก.) พว 11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นร๎ดู ว๎ ยตนเอง 5 14 มิ.ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาคณุ ธรรมและจริยธรรมในการ กศน.ตาบลศรโี คตร ใชส๎ อ่ื สังคมออนไลน์ (2 นก.) สค020035 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรู๎ด๎วยตนเอง ตามอธั ยาศัย 6 21 มิ.ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าสขุ ศกึ ษาพลศึกษา กศน.ตาบลศรีโคตร (2 นก.) ทช 11002 กศน.ตาบลศรโี คตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรด๎ู ๎วยตนเอง

แผนกกาหนดการจัดการเรียนการสอนของนักศกึ ษา ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา ๒๕65 หลกั สตู ร การศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ระดับ ประถมศึกษา ชื่อครผู ู้สอน นางสาวจนั ทร์ทพิ ย์ ศรีลัย ตาแหนง่ ครู กศน.ตาบล กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน สานกั งาน กศน.จงั หวัดร้อยเอ็ด สปั ดาห์ วนั /เดอื น/ปี เวลา วชิ า/กจิ กรรม สถานท่ีจดั การเรียน การสอน ท่ี วชิ าสขุ ศึกษาพลศกึ ษา (2 นก.) ทช 11002 กศน.ตาบลศรีโคตร 7 28 ม.ิ ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรดู๎ ว๎ ยตนเอง กศน.ตาบลศรีโคตร กศน.ตาบลศรโี คตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กศน.ตาบลศรีโคตร กศน.ตาบลศรีโคตร 8 5 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าภาษาไทย กศน.ตาบลศรโี คตร กศน.ตาบลศรีโคตร (3 นก.) พท 11001 กศน.ตาบลศรีโคตร กศน.ตาบลศรโี คตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง ตามอธั ยาศัย 9 12 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาภาษาไทย กศน.ตาบลศรโี คตร (3 นก.) พท 11001 ตามอัธยาศัย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นรด๎ู ๎วยตนเอง กศน.ตาบลศรีโคตร กศน.ตาบลศรีโคตร ๑0 19 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศาสนาและหน๎าท่ีพลเมือง (2 นก.) สค11002 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรียนรด๎ู ๎วยตนเอง ๑1 26 ก.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาศาสนาและหนา๎ ที่พลเมือง (2 นก.) สค11002 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรียนรู๎ด๎วยตนเอง สอบกลางภาค ๑2 2 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วิชาชํองทางการเขา๎ สอํู าชีพ (2 นก.) อช11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมเรยี นรดู๎ ๎วยตนเอง 13 9 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าชํองทางการเข๎าสูํอาชีพ (2 นก.) อช11001 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กจิ กรรมเรยี นร๎ูด๎วยตนเอง

แผนกาหนดการจัดการเรยี นการสอนของนกั ศกึ ษา ประจาภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา ๒๕65 หลักสูตร การศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ระดับ ประถมศกึ ษา ชอื่ ครูผสู้ อน นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรลี ัย ตาแหน่ง ครูกศน.ตาบล กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน สานักงาน กศน.จังหวดั ร้อยเอ็ด สัปดาห์ท่ี วนั /เดอื น/ปี เวลา วชิ า/กจิ กรรม สถานที่จดั การเรียน การสอน ๑4 16 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าสงั คมศึกษา ( 2 นก.) สค11001 กศน.ตาบลศรโี คตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. กิจกรรมการเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง ๑5 23 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. กศน.ตาบลศรโี คตร ประวัตศิ าสตรช์ าติไทย ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (3 นก.) สค12024 กศน.ตาบลศรีโคตร กจิ กรรมการเรยี นร๎ดู ว๎ ยตนเอง กศน.ตาบลศรโี คตร ๑6 30 ส.ค. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. วชิ าสังคมศึกษา กศน.ตาบลศรีโคตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. ( 2 นก.) สค11001 กศน.ตาบลศรีโคตร ๑7 6 ก.ย. 2565 กจิ กรรมการเรียนรด๎ู ว๎ ยตนเอง 18 13 ก.ย. 2565 ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. พัฒนาตนเองชุมชนสังคม กศน.ตาบลศรโี คตร 17 - 18 กันยายน 2565 ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (2 นก.) สค11002 กศน.ตาบลศรโี คตร 19 20 ก.ย. 2565 กจิ กรรมเรียนรูด๎ ว๎ ยตนเอง ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. พฒั นาตนเองชุมชนสังคม กศน.ตาบลศรโี คตร ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. (2 นก.) สค11002 กศน.ตาบลศรโี คตร กิจกรรมเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง สอบปลายภาคโรงเรียนจตรุ พักตรพิมานรัชดาภเิ ษก ๐๙.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. ปจั ฉิมนเิ ทศ กศน.ตาบลศรโี คตร ลงช่อื ............................................................ครผู ๎ูสอน ( นางสาวจันทร์ทพิ ย์ ศรลี ัย ) ครู กศน.ตาบล ลงชอื่ ............................................................ผู๎รับรองข๎อมลู ( นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร ) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน

แผนการจดั การเรยี นรู้ ปฐมนิเทศ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั ประถมศกึ ษา กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาห์ท่ี 1 วนั ที่ 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วชิ า ปฐมนเิ ทศ 3. มาตรฐานท่ี 4. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เร่ือง การจดั การเรยี นรู๎ตามหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 5. สาระสาคญั โครงสร๎างหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พ.ศ.2551 ประกอบด๎วย 5 สาระ การเรียนรู๎ ได๎แกํ ทกั ษะการเรียนร๎ู ทักษะการดาเนนิ ชีวิต ความรพู๎ ื้นฐาน การประกอบอาชีพ และการพัฒนาสังคม ซง่ึ แตลํ ะสาระประกอบดว๎ ยรายวชิ าบงั คบั และวชิ าเลอื ก (เลือกบงั คบั และเลอื กเสร)ี ตามจานวนหนวํ ยกติ ในโครงสรา๎ ง รายวชิ าบังคบั ทุกวชิ าผูเ๎ รียนต๎องลงทะเบียนเรียนตามทกี่ าหนด สวํ นรายวชิ าเลอื กเสรีสถานศกึ ษากาหนดไดต๎ าม ความต๎องการ และรายวชิ าเลือกตามทส่ี ํวนกลางกาหนดในรายวชิ าเลอื กบงั คบั นอกจากนี้ทกุ ระดับต๎องทากิจกรรม คุณภาพชวี ิต อยํางน๎อย 200 ช่วั โมง โครงงาน 3 หนํวยกติ และการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาติ ด๎านการศกึ ษา นอกระบบโรงเรียน (N-NET) 6. เนอ้ื หา 1. โครงสร๎างการศึกษานอกระบบ ระดับการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 2. วธิ ีการจดั การเรียนร๎ู 7. จุดประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวงั (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) 1. ผเู๎ รยี นร๎ู และเขา๎ ใจวิธีการจดั การศกึ ษานอกระบบ ระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - โครงสร๎างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 - รปู แบบวิธีเรียน - การวัดและประเมนิ ผลการเรียน - การจัดกจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชีวิต (กพช.) - การประเมนิ คณุ ธรรม - การจบหลกั สูตร คณุ ธรรม - มีความขยัน - ความรับผิดชอบ - ความสามคั คี พอประมาณ - การวางแผนทคี่ วามเหมาะสมในการศกึ ษาเรยี นรู๎ - เวลาในการเรยี น - การใชส๎ ื่อและแหลํงเรียนร๎ู

มีเหตผุ ล - เหตผุ ลในการเรยี น กศน. - การนาความรแ๎ู ละวฒุ ิการศึกษาไปใช๎ในการดาเนนิ ชีวิต มีภมู คิ มุ้ กนั - การนาความร๎ูที่ไดร๎ บั จากการเรียน ไปปรบั ใชใ๎ นชีวติ ประจาวัน วัตถุ - การนาวุฒิการศึกษาไปศกึ ษาตํอในระดับท่สี งู ขน้ึ - ผ๎ูเรียนได๎รับความรู๎ มีทักษะในการ สังคม - มีการทางานรวํ มกันเป็นกลุํมแลกเปล่ียนความคดิ และวเิ คราะหร์ วํ มกัน สิง่ แวดล้อม - การใชว๎ สั ดทุ างการศึกษาที่ไมํทาให๎เกิดความเสยี หายกับสิ่งแวดล๎อม - การรกั ษาความสะอาดในการจดั การเรียนการสอน วัฒนธรรม - การอยูรํ วํ มกัน - การทางานกลุํม/ การแลกเปล่ยี นเรยี นร๎ู - การแบํงปนั 9. กระบวนการจดั การเรยี นรูแ้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ ครผู ู๎สอนกลาํ วทักทายผู๎เรยี น และแจง๎ จุดประสงค์ของการปฐมนิเทศ ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ 1. ครผู ู๎สอนให๎ผเู๎ รียนกลําวทักทายและสนทนากนั เอง 2. ครอู ธบิ ายหลกั การโครงสร๎างหลักสตู รการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 ขั้นที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ 1. ครแู ละผ๎ูเรยี นรวํ มกันสรปุ 2. ครใู หค๎ วามรู๎เพิม่ เติมในสํวนของความร๎ทู ย่ี ังไมํครบถว๎ น ขัน้ ท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ ครผู ๎สู อนสรุปผลจากการนาเสนอ และเติมเต็มองค์ความรูพ๎ รอ๎ มมอบหมายงาน 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ 1. ใบความร๎ู 2. หนังสอื เรียน 10. การวัดและประเมินผล 10.1 วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎อู น่ื ของผเู๎ รียนรายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรียน

10.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎อู นื่ ของผ๎ูเรยี นรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรยี น 10.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู น่ื ของผู๎เรียนรายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควร ปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น เกณฑผ์ ํานและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นางสาวจนั ทร์ทพิ ย์ ศรีลยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงช่ือ………………………………………………………ผอู๎ นมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครงั้ ท่ี 1 วนั ท่ี 17 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎ูสอน นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรีลัย ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00- 12.00 น. เข๎าเรยี น…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กํอนเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ .......................................................................................................................... ...................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................... 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ.....................................................ครผู ส๎ู อน (นางสาวจันทรท์ ิพย์ ศรีลัย) วนั ที่.............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................... .............. .............................................................................................................. ......................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

แผนการจัดการเรียนร้รู ายวิชาทักษะการเรียนรู้ ครงั้ ที่ 1 การจัดทาหน่วยเรยี นรูบ้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับประถมศกึ ษา กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาห์ที่ 1 วันท่ี 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า ทักษะการเรียนรู้ รหัสวชิ า ทร11001 จานวน 5 หนํวยกติ 3. มาตรฐานท่ี 2. รู้จกั เห็นคุณค่า และใชแ้ หล่งเรียนรู้ถูกตอ้ ง 4. หนว่ ยการเรียนร้/ู เรอื่ งการใช้แหล่งเรยี นรู้ 5. สาระสาคญั การเรยี นรูจากส่งิ แวดลอมในชุมชนทม่ี ีองคความรูทเี่ รียกวาแหลงเรยี นรูตางๆ ทาให ผูเรียนสามารถรูถึงการส่งั สมความรู ประสบการณทีผ่ านมาจากแหลงเรยี นรูประเภทตาง ๆ เรียนรูไดเทา ทันความเปลี่ยนแปลงทเ่ี กิดขนึ้ เกิด โลกทัศนกวางขวางมากย่ิงขน้ึ กวาการเรียนจากการพบกลุมในหอง หรือการเรยี นรูในรปู แบบอนื่ ๆ 6. เนือ้ หา ๑.ความหมายความสาคัญของแหลงํ เรียนรโู๎ ดยทัว่ ไป ๒.การเข๎าถงึ และเลอื กใช๎แหลํงเรียนร๎ู ๓.บทบาทหนา๎ ที่และการบริการของแหลงํ เรยี นรู๎ดา๎ นตํางๆ ๔.กฏกตกิ าเงอ่ื นไขตํางๆ ในการไปขอใช๎บริการแหลงํ เรยี นรู๎ ๕.ทกั ษะการใช๎ข๎อมูลสารสนเทศจากหอ๎ งสมดุ ทส่ี อดคล๎องกบั ความต๎องการ ความจาเปน็ เพื่อนาไปใชใ๎ นการ เรยี นร๎ูของตนเอง 7. จดุ ประสงค์การเรียนรู/้ ผลการเรยี นรู้ท่ีคาดหวัง (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) 1. ผูเรียนสามารถบอกประเภทคุณลักษณะของแหลงเรยี นรูและเลือกใชแหลงเรยี นรู ไดตามความเหมาะสม 2. ผูเรยี นเหน็ คณุ คาแหลงเรียนรูประประเภทตาง ๆ 3. ผูเรยี นสามารถสังเกต ทาตาม กฎ กตกิ า การใชแหลงเรียนร๎ู 8. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ 1. ความหมายของการใช๎แหลํงเรียนร๎ู 2. ลาดับความคดิ เร่ืองการใช๎แหลงํ เรียนร๎ูผํานเครอื ขํายอินเทอรเ์ น็ตด๎วยตนเอง คุณธรรม 1 .ความรบั ผิดชอบในการจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ู 2. ตรงตํอเวลา 3. ความเพยี ร ความพยายาม 4. มีความสามคั คีในการทางานกลมํุ พอประมาณ 1. กาหนดหน๎าท่ีของคนในกลํุมให๎เหมาะสมกบั แตํละคน 2. ความสามารรถในเข๎าถึงแหลงํ เรยี นรู๎ 3. ผูเ๎ รียนสามารถเลือกแหลงํ เรียนรทู๎ ม่ี ีอยใํู นทอ๎ งถน่ิ มีเหตผุ ล

1. นกั ศึกษาสามารถอธบิ ายความหมายของการใช๎แหลงํ เรยี นรู๎ 2. นักศกึ ษามีทักษะในการค๎นควา๎ ความรูผ๎ าํ นเครือขํายได๎ด๎วยตนเอง 3. นกั ศกึ ษามีความตระหนักและเหน็ คุณคาํ ของแหลํงเรยี นรู๎ มีภูมิค้มุ กนั 1. ผู๎เรยี นสามารถวางแผนการทางานกลมํุ ได๎ 2. ผ๎เู รียนสามารถบันทกึ ผลการเรยี นรู๎ตามใบงานกลํมุ ได๎ 3. ทาความเขา๎ ใจกับกจิ กรรมการเรียนร๎ทู ่ีครูกาหนด วตั ถุ - มีทกั ษะในการใช๎สอ่ื วัสดุ อุปกรณ๑ในหอ๎ งสมดุ เห็นความสาคญั ของการใช๎ส่อื วัสดุ อปุ กรณ๑ ใน ห๎องสมดุ อยํางค๎ุมคํา สังคม - มีความรใ๎ู นการแบงํ งานในกลุมํ ตามความถนัดทางานรวํ มกับผ๎อู ืน่ ได๎ - มีความรบั ผิดชอบในการทางานยอมรับความคิดเหน็ ของเพอื่ นในกลมุํ สิง่ แวดล้อม - จิตสานึกและรู๎วิธีใชแ๎ หลงํ เรียนร๎ู วัฒนธรรม - บอกภูมปิ ญั ญาทเ่ี รียนร๎ูในแหลํงเรยี นร๎ู และตระหนกั ถงึ ข๎อมลู ในท๎องถ่ิน 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1.ครูและผเ๎ู รียนพูดคยุ / ซักถามความเปน็ อยํูปจั จบุ นั 2.ทบทวน / ตดิ ตามผลการเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง 3.ทบทวน / ตดิ ตามการศึกษาคน๎ ควา๎ ในสัปดาหท์ ่ผี าํ นมา ขัน้ ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ให๎นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอนเรยี นดว๎ ย เพ่ือทดสอบความร๎ูเบ้อื งต๎น 2. ใหน๎ กั ศึกษาศึกษาเรื่องการใช๎แหลงํ เรียนรู๎ จากหนงั สือเรียนสาระความรู๎พ้นื ฐาน รายวชิ าทกั ษะ การเรยี นร๎ูระดับประถมศกึ ษา รหัส ทร11001 3. ครใู ช๎สื่อ You Tube เร่ือง แหลงํ เรียนรูพ๎ อเพียง เพ่อื อธบิ ายความรเ๎ู พ่ิมเตมิ ให๎นักศกึ ษา ผํานเวบ็ https://www.youtube.com/watch?v=MZqZrAs-cqY ขนั้ ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครูใหน๎ ักศึกษาระดมความคดิ จากการศึกษาแหลํงเรยี นรห๎ู ๎องสมดุ แหลํงเรียนร๎ูในทอ๎ งถ่ิน

ข้ันท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ให๎นักศึกษาออกมาหนา๎ ชัน้ เรียน เพ่ือนาเสนอการถอดบทเรยี นแหลํงเรียนรูท๎ ี่ได๎ศึกษามา ให๎สอดคล๎องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง จากนนั้ ครใู ห๎คะแนน 2. แบบทดสอบ 3. ใบงาน 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรียนสาระความร๎พู ื้นฐาน รายวิชาทักษะการเรยี นร๎ู ระดบั ประถมศึกษา รหสั ทร11001 2. แหลงํ เรยี นรใ๎ู นท๎องถ่นิ ห๎องสมุดประชาชน 3. แหลํงเรยี นรภ๎ู ูมปิ ัญญาในท๎องถิ่น 4. ใบความรู๎ 11. การวดั และประเมินผล 1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผอู๎ ื่นของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน 2. เครื่องมอื วัดและประเมนิ ผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู น่ื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรยี น 3. เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผอู๎ ื่นของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน เกณฑผ์ าํ นและไมํผําน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ๎สู อน (นางสาวจนั ทร์ทพิ ย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ...................................................................................................................... ................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชื่อ………………………………………………………ผอ๎ู นุมัตแิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทาหน่วยเรยี นรบู้ ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ครั้งที่ 1 วนั ที่ 17 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 ครูผ๎ูสอน นางสาวจันทร์ทิพย์ศรีลัย ระดับ ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการเรียนรู๎ รายวิชาทักษะการเรยี นรู๎ รหัสวิชา ทร11001 จานวนผูเ๎ รยี นทง้ั หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กํอนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ ....................................................................................................................................................... ......... ......................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................. ................................... 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ....................................................... (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลยั ) ครูผส๎ู อน วนั ท่ี.............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................. ........................................................ ....................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน วนั ท.่ี ............../.................../...............

แบบทดสอบ เร่ือง การใชแหลงเรยี นรู ระดับประถมศกึ ษา 1. แหลงเรยี นรูมคี วามสาคัญตอผูเรียนในขอใดมากท่ีสุด ก. การศกึ ษาตามอธั ยาศยั ข. ชวยสรางเสริมประสบการณภาคปฏิบุติ ค. แหลงสรางเสรมิ ความรู ความคิด วิทยาการ ง. เปนแหลงปลูกฝงนิสัยรกั การอาน การศึกษาคนควาแสวงหาความรูดวยตนเอง 2. ขอใดใหความหมายของ \"แหลงเรยี นรู ไดสมบรู ณท่ีสุด ก. เปนแหลงความรูทางวิชาการ ข. เปนแหลงสารสนเทศใหความรูอยางกวางขวาง ค. เปนแหลงรวมภูมิปญญาชาวบานใหศึกษาคนควา ง. เปนแหลงขอมูลขาวสารและประสบการณท่สี งเสริมใหผูเรยี นแสวงหาความรูดวยตนเอง ตามอธั ยาศยั อยางตอเนื่อง 3. ขอใดเปนแหลงเรยี นรูกลุมขอมลู ทองถ่นิ ก. สถานประกอบการ ขอใดเปนแหลงเรียนรูกลมุ ขอมูลทองถ่นิ ข. ภูมิปญญาชาวบานและปราชญชาวบาน ค. แหลงเรียนรูในโรงเรียนและหอกระจายขาว ง. แหลงเรียนรูในโรงเรียนและแหลงเรียนรูในทองถิ่น 4. ขอใดคือการแสวงหาความรูดวยตนเองจากแหลงเรยี นรูในทองถน่ิ ก. เรียนทาอาหารไทยจาก ข. ไปทีห่ องคอมพิวเตอรเพ่ือสืบคนขอมูลมาทารายงาน โรงเรียนสอนอาหารไทย ค. อานหนงั สือคูมือฟสกิ สท่ีศูนยวิทยาศาสตร ง. ไปศึกษาคนควาเรื่องประโยชนของพืชสมุนไพรท่ีสวนสมุนไพร 5. ขอใด คอื แหลงเรียนรูในชุมชนที่มีทรัพยากรสารสนเทศหลากหลายมากทส่ี ดุ ก. หองสมุดประชาชน ข. ศนู ยนันทนาการ ค. สวนพฤษศาสตร ง. อุทยานวิทยาศาสตร์ 6. ถาจะศึกษาคนควาเรอ่ื งความเปนมาของประวัตเิ ขาพระวหิ าร ควรจะศึกษาจากแหลงใดที่มขี อมูล มากที่สดุ ก. อุทยานประวัติศาสตร ข. พพิ ธิ ภัณฑแหงชาติ ค. อินเทอรเน็ต ง. เขาพระวิหาร

7. จานง ตองการปลกู ขาวใหไดผลดีมากทีส่ ุด จานงควรเรียนรูจากแหลงใดมากท่สี ดุ ก. ภมู ปิ ญญา ข. หอกระจายขาว ค. สวนสมนุ ไพร ง. สวนสาธารณะ 8. ขอใดเปนแหลงเรยี นรูกลุมศิลปวัฒนธรรม ก. ศาสนสถาน ข. อนุสาวรีย ค. หอศลิ ป ง. ถูกทกุ ขอ 9. วตั ถปุ ระสงคของการจัดแหลงเรียนรูในทองถน่ิ คือขอใด ก. เปนขอมูลเพอ่ื การพัฒนาประเทศชาติ ข. เปนแหลงคนควาสนับสนนุ การเรียนการสอน ค. เพอื่ เปนการพฒั นาชมุ ชนใหเจริญกาวหนาทันเทคโนโลยี ง. เปนแหลงการศกึ ษาตลอดชวี ิตทีป่ ระชาชนสามารถหาความรูตางๆ ไดดวยตนเอง 10. ขอใดควรปฏบิ ัติในหองสมดุ ประชาชน ก. ตวิ เขมเพื่อเตรียมตวั สอบ ข. เตรยี มอาหารและเคร่ืองด่ืมไปเอง ค. ตองยมื หนังสือดวยบตั รสมาชกิ ของตนเอง ง. ทุกครั้งทหี่ ยบิ หนงั สือมาอานใหนาไปเก็บท่ชี ้ันหนงั สอื ดวย เฉลย 1. ง 2. ง 3. ข 4. ง 5. ก 6. ค 7. ก 8. ง 9. ง 10. ค

ใบความรู้ การใชแหลงเรยี นรู ความหมายของแหล่งเรียนรู้ แหลงํ เรยี นรู๎ หมายถึง แหลํงข๎อมูลขาํ วสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ ทสี่ นับสนนุ สํงเสรมิ ให๎ผูเ๎ รียนใฝุ เรยี น ใฝรุ ู๎ แสวงหาความรแ๎ู ละเรียนร๎ูดว๎ ยตนเองตามอธั ยาศัย อยาํ งกวา๎ งขวางและตํอเนื่อง เพ่ือเสริมสรา๎ งให๎ผูเ๎ รยี นเกิด กระบวนการเรียนร๎ู และเปน็ บุคคลแหํงการเรยี นรู๎ ความสาคญั ของแหล่งเรยี นรู้ 1. แหลงํ การศึกษาตามอัธยาศยั 2. แหลงํ การเรียนรต๎ู ลอดชีวติ 3. แหลงํ ปลกู ฝงั นิสัยรักการอําน การศึกษาคน๎ คว๎า แสวงหาความรด๎ู ๎วยตนเอง 4. แหลงํ สรา๎ งเสรมิ ประสบการณภ์ าคปฏิบตั ิ 5. แหลงํ สรา๎ งเสรมิ ความร๎ู ความคดิ วิทยาการและประสบการณ์ ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ แหลํงเรียนร๎ู จาแนกตามลักษณะท่ตี ง้ั ได๎ ดงั นี้ 1. แหลงํ เรียนรใ๎ู นโรงเรยี น 2. แหลงํ เรยี นร๎ใู นท๎องถิ่น วัตถปุ ระสงคข์ องการจดั แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรยี น 1. เพื่อพัฒนาโรงเรยี นใหเ๎ ป็นสังคมแหํงการเรยี นร๎ู มีแหลงํ ข๎อมลู ขําวสาร ความรู๎ วิทยาการ และสร๎างเสรมิ ประสบการณ์ ท กวา๎ งขวางหลากหลาย 2. เพื่อเสรมิ สร๎างบรรยากาศการเรียนร๎ูในโรงเรียน โดยเนน๎ ผ๎เู รยี นเป็นสาคญั 3. เพื่อจัดระบบและพฒั นาเครือขาํ ยสารสนเทศ และแหลงํ การเรียนร๎ใู นโรงเรยี น 4. เพ่ือสงํ เสรมิ ใหผ๎ ๎เู รียนมีทักษะการเรียนรู๎ เปน็ ผใ๎ู ฝุรู๎ ใฝุเรยี น และเรียนรูด๎ ๎วยตนเองอยํางตํอเนอื่ ง การนาแหลํงเรยี นร๎ูและภมู ิปัญญาท๎องถิน่ มาใชใ๎ นการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน มีแนวทางดังน้ี 1. ศกึ ษาหลักสตู ร และสาระการเรยี นรู๎ 2. จัดทาข๎อมลู สารสนเทศแหลํงเรียนรู๎ ภมู ปิ ัญญาท๎องถิน่ 3. จดั ทาแผนการเรยี นร๎ู กระบวนการเรยี นร๎ูใหส๎ อดคลอ๎ งกบั จุดประสงค์ 4. ขอความรวํ มมอื กบั ชมุ ชนและตวั วิทยากรทอ๎ งถ่นิ 5. เชิญวิทยากรท๎องถน่ิ มาถํายทอดความรู๎ หรอื นานักเรียนไปยังแหลงํ เรยี นร๎ู 6. ทาการวดั ประเมินผล 7. รายงานผล สรุปผลให๎ผทู๎ เี่ กย่ี วขอ๎ งได๎ทราบ

ข๎อดใี นการนาแหลงํ เรียนร๎ู และภูมิปญั ญาท๎องถ่นิ มาใช๎ในกระบวนการเรียนการสอน 1. ผู๎เรียนได๎เรียนรูจ๎ ากของจริง ทาใหเ๎ กิดประสบการณ์ตรง 2. ผ๎ูเรียนเกดิ ความสนุกสนาน 3. ผูเ๎ รียนมีเจตคติที่ดตี ํอชุมชน และกระบวนการเรยี นร๎ู 4. ผเ๎ู รยี นเห็นคุณคาํ ของแหลงํ เรียนร๎ู ภูมิปัญญาทอ๎ งถนิ่ 5. ผู๎เรยี นเกิดความรกั ท๎องถน่ิ และเกดิ ความรู๎ในการอนุรักษ์สง่ิ ที่มคี ุณคําในทอ๎ งถ่ิน ความหมายประเภทของแหล่งการเรียนรู้ 1.1 ความหมายของแหล่งการเรยี นรู้ แหลํงการเรยี นร๎ู หมายถึง แหลงํ ขําวสารข๎อมลู สารสนเทศ แหลํงความร๎ูทางวทิ ยาการ และประสบการณท์ ่ีสนบั สนนุ สงํ เสรมิ ให๎ผ๎ูเรียน ใฝุเรียน ใฝรุ ู๎ แสวงหาความร๎ูและเรียนรดู๎ ๎วยตนเอง ตามอธั ยาศัยอยาํ งกว๎างขวางและตอํ เน่ืองจากแหลงํ ตาํ ง ๆ เพือ่ เสรมิ สร๎างให๎ผเ๎ู รียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู๎ และเป็น บคุ คลแหงํ การเรียนรู๎ (กรมสามญั ศกึ ษา, 2544, หน๎า 6) 1.2 ความหมายประเภทของแหล่งการเรียนรู้ ในการแบํงประเภทของแหลงํ การเรียนร๎ูน้ัน พระพทุ ธทาสภิกขุ (อา๎ งใน สุมน อมรววิ ฒั น์ 2548: ออนไลน์) ได๎แสดง ธรรมเรอ่ื ง “โรงเรยี นที่ทํานยงั ไมํรู๎จัก”มีความตอนหน่ึงวํา โรงเรยี นมอี ยทํู ่วั ทุกหนทุกแหงํ ตาหตู าตาของทาํ นท้ังหลาย แตทํ าํ นก็ไมํรจ๎ู ัก การเรยี นร๎ูจากธรรมชาตชิ ํวยให๎ผู๎เรยี นเขา๎ ใจความเป็นจรงิ ของชวี ิต ทีม่ ีการเปล่ียนแปลง มกี ารตํอสู๎ด้นิ รน มีปัญหา มสี นุ ทรียภาพ มีคุณคาํ ท้ังความจริง ความงามและความดี ในทางตรงกันข๎าม ธรรมชาติก็มที ้ังความเสือ่ ม สลาย และความโหดรา๎ ย ทาลายล๎าง มนุษยจ์ งึ จาเป็นต๎องเรียนร๎ู และอยํรู วํ มกับธรรมชาติ ดว๎ ยการอนรุ ักษ์ และ ยอมรับคุณคําของธรรมชาติ ปรบั ตนเองได๎ในความเปลย่ี นแปลง และทาอยํางไรจึงจะให๎เดก็ ร๎ู ดว๎ ยตนเองมากขึน้ น่ัน คือ ต๎องสร๎างแหลํงการเรยี นร๎ูให๎เขา ต๎องสอนใหเ๎ ขารจ๎ู กั ใช๎แหลงํ การเรยี นรู๎ แหลํงการเรียนรแู๎ บํงได๎2 ประเภทดังนี้ 1) แหลํงการเรียนรใู๎ นโรงเรยี น 2) แหลงํ การเรยี นร๎นู อกโรงเรียน หรอื อาจแบ่งแหลง่ การเรยี นรูท้ ่อี ยรู่ อบตัวผู้เรยี น (ศริ ิกาญจน์ โกสมุ ภ์ และดารณี คาวัจนงั , 2545, หนา๎ 33) เทคโนโลยี ไดแ๎ กํ - คอมพวิ เตอร์ - อีเมล์ (e-mail) - อินเทอร์เนต็ - ส่ิงแวดล้อม ได๎แกํ - แหลํงนา้ เชํน แมํนา้ ลาคลอง หว๎ ย หนอง บึง วนอุทยาน ภเู ขา เชํน ถ้าหนิ งอก หินย๎อย - สวนพฤกษศาสตร์ เชนํ สวนสมนุ ไพร สวนปาุ ธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ใน โรงเรียน สวนสาธารณะ - สถานท่ี ได๎แกํ - สถานที่สาคญั ทางศาสนา เชนํ วัด โบสถ์ มสั ยดิ สเุ หราํ - ปชู ณียสถาน โบราณสถาน

- โรงเรยี น - โรงพยาบาล - ไปรษณีย์ - สถานีตารวจ - พพิ ิธภณั ฑ์ - ห๎องสมุด เชํน ห๎องสมุดโรงเรียน หอ๎ งสมดุ ในชุมชน - สอื่ สารมวลชน ไดแ๎ กํ - หนงั สือพมิ พ์ -โทรทัศน์ ETV - วิทยุ สารสนเทศ - บุคลากร ได๎แกํ - เพื่อน เชนํ เพื่อนในหอ๎ งเรียน เพ่ือนในชุมชน - ครู เชนํ ครใู หญํ ผ๎ูอานวยการ ครวู ิชาตําง ๆ - ผ๎นู าชมุ ชน เชํน ผ๎ูนาศาสนา - แพทย์ - องค์การบริหารสํวนตาบล (อบต.) - ตารวจ - ภูมิปญั ญาชาวบ๎าน เชํน ดนตรี กอํ สร๎าง ยารักษาโรค การนวดแผนโบราณ ความสาคญั ของแหล่งการเรยี นรู้ การเพิม่ ศักยภาพของผเ๎ู รยี นใหส๎ ูงขึน้ สามารถดารงชวี ิตอยํางมีความสุขได๎บนพื้นฐานของความเป็นไทย และ ความเป็นสากลเป็นการเรยี นร๎ูคํขู นานระหวํางความรู๎สากลกบั ความรู๎ท๎องถิ่น เพราะท๎องถิน่ เป็นระบบความรู๎ที่มี การพฒั นาอยาํ งตํอเน่ือง โดยผํานมิตสิ มั พนั ธ์การสงั่ สมและถาํ ยทอดผํานรนํุ สรํู ุํน สวํ นใหญเํ ป็นชิน้ งาน เครือ่ งดนตรี เครอ่ื งใช๎ ผ๎าไหม ผ๎าฝูาย การละเลนํ ของเลํน และความรท๎ู ี่อยใํู นตวั ของบคุ คลทเ่ี ปน็ ข๎อควรปฏิบตั ิ บทสวด ภาษา เขยี น นิทาน คากลอน บทเพลง ตารายาของปราชญ์ชาวบ๎าน ซง่ึ สง่ิ เหลํานีม้ ี ความเช่ือมโยงกับธรรมชาติ และ เทคโนโลยพี น้ื บ๎าน สอดคล๎องกบั สงั คมการดารงชีวิตของผู๎เรียน ถือวาํ เป็นการเรยี นร๎แู บบคขํู นานระหวาํ งความร๎ู ทอ๎ งถน่ิ สํสู ากล 2.1 เจเดด (Jedede 1995: 97-137) ไดเ๎ สนอวาํ รูปแบบของการเรยี นร๎ูคูํขนาน ระหวํางความร๎สู ากล แหลงํ การเรียนร๎แู ละภมู ิปัญญา สํงผลตอํ การพัฒนากระบวนการเรียนรู๎ทมี่ ีความจาระยะยาวของผ๎เู รยี น ทาให๎สนใจ ใฝุ รู๎ รักการเรียนรู๎ แสวงหาความร๎ู และสามารถนาความรู๎ท๎องถน่ิ ไปปรับประยุกตส์ ูสํ ากล 2.2 ซินเวล่ีและคอร์ซิงเลีย (Sinvely และCorsinglia 2001d:a6-34) กลําวถึง กระบวนการ ผสมผสานความรู๎ทอ๎ งถิน่ เข๎ากับความรสู๎ ากลในการจัดการเรียนการสอน โดยยึดแหลํงการเรยี นรใู๎ นท๎องถน่ิ เป็นแกน หลักเสริมการเรยี นร๎ทู าให๎เกดิ การยอมรบั พูดคยุ และรับฟงั ความเหมอื นความตาํ งระหวาํ งวัฒนธรรม โครงสร๎าง รูปแบบการคิดโดยท่ีวัฒนธรรมเดิมไมจํ าเป็นต๎องเปล่ียนโครงสรา๎ งตัวเองทัง้ หมด กํอนทจี่ ะรับวัฒนธรรมใหมํเข๎าไป 2.3 แอพเพลิ (Apple 1990: 50-67) การนาวทิ ยาการพ้ืนบ๎านมาใช๎ในการเรียน การสอนจะชํวยให๎ เกดิ ความเจริญงอกงามทางสตปิ ัญญา ผเู๎ รียนสามารถดารงชวี ิตอยไํู ด๎ในท๎องถิน่ อยํางปกติสุข บนพืน้ ฐานของ กระบวนการเรยี นรตู๎ ามสภาพภูมิศาสตร์ นิเวศวทิ ยา ความเชอ่ื ปรชั ญา วิถีท๎องถน่ิ และวิถีแหํงการดารงชีวิต 2.4 กิ่งแก้ว อารีรักษ์ (2548:118) ให๎ความสาคญั ของการศึกษาโดยใช๎แหลํงเรียนร๎ู ไว๎ดังนี้ 1) กระตนุ๎ ให๎เกดิ การเรยี นรูเ๎ รื่องใดเรือ่ งหนึง่ โดยอาศยั การมปี ฏิสัมพันธ์กับสอ่ื ที่หลากหลาย 2) ชวํ ยเสรมิ สรา๎ งการเรียนรใู๎ หล๎ กึ ซ้งึ ข้นึ โดยใชเ๎ วลาในการรวบรวมข๎อมูลสะท๎อนความ

คดิ เห็นจากแหลํงการเรยี นร๎ู 3) กระตนุ๎ มุํงเนน๎ ลึกในเรื่องใดเร่ืองหนง่ึ ซ่งึ ผลกั ดนั ใหผ๎ ๎เู รยี นแสวงหาขอ๎ มลู ทเ่ี ก่ยี วข๎องเพ่ิม มากขน้ึ สามารถสร๎างผลผลิตในการเรยี นรท๎ู ่ีมีคุณภาพสงู ข้ึน 4) เสริมสรา๎ งการเรียนรู๎ จนเกดิ ทกั ษะการแสวงหาข๎อมลู ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ โดยอาศยั การ สรา๎ งความตระหนักเชิงมโนทัศนเ์ กย่ี วกับธรรมชาติและความแตกตาํ งของข๎อมลู 5) แหลํงการเรียนรูเ๎ สรมิ สร๎างการพฒั นาการคิด เชนํ การแก๎ปญั หา การให๎เหตผุ ล และการ ประเมนิ อยาํ งมีวิจารญาณ โดยอาศยั กระบวนการวิจยั อิสระ 6) เปลี่ยนเจตคติของครูและผู๎เรียนทม่ี ตี ํอเน้ือหารายวชิ า และผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 7) พฒั นาทักษะการวจิ ัยและความเชือ่ ม่ันในตนเองในการค๎นหาขอ๎ มูล 8) เพิ่มผลสมั ฤทธิ์ด๎านวิชาการ ในด๎านเน้อื หา เจตคติ และการคดิ อยํางมวี จิ ารณญาณ โดย อาศัยแหลํงการเรียนร๎ทู ีห่ ลากหลายในการเรียนรู๎ 2.5 นเรนทร์ คามา (2548 : ออนไลน)์ ได๎กลาํ ว ถงึ ความสาคัญของแหลํงการเรียนรไู๎ วด๎ งั นี้ 1) เปน็ แหลํงท่ีรวบรวมขององค์ความรอู๎ ันหลากหลาย พร๎อมทจ่ี ะให๎ผู๎เรียนไดศ๎ กึ ษาคน๎ คว๎า ดว๎ ยกระบวนการจดั การเรยี นร๎ูทแ่ี ตกตํางกนั ของแตํละบุคคล และเป็นการสํงเสรมิ การเรียนร๎ตู ลอดชวี ิต 2) เปน็ แหลํงเช่อื มโยงใหส๎ ถานศึกษาและท๎องถน่ิ มคี วามใกลช๎ ิดกัน ทาใหค๎ นในท๎องถน่ิ มี สํวนรํวมในการจัดการศึกษาแกํบุตรหลาน 3) เป็นแหลํงขอ๎ มูลท่ีทาให๎ผูเ๎ รียนเกดิ การเรียนรู๎อยํางมีความสุข เกิดความสนุกสนานและมี ความสนใจทจี่ ะเรียนร๎ูไมํเกดิ ความเบ่ือหนาํ ย 4) ทาใหผ๎ เ๎ู รยี นเกดิ การเรยี นรูจ๎ ากการที่ได๎คิดเอง ปฏบิ ัติเอง และสร๎างความร๎ู ดว๎ ยตนเอง ขณะเดยี วกันกส็ ามารถเข๎ารวํ มกิจกรรมและทางานรํวมกับผูอ๎ น่ื ได๎ 5) ทาใหผ๎ ๎ูเรยี นไดร๎ ับการปลกู ฝังให๎ร๎ูและรกั ท๎องถ่ินของตน มองเห็นคุณคําและตระหนกั ถึง ปญั หาในท๎องถ่นิ พร๎อมที่จะเปน็ สมาชิกที่ดีของทอ๎ งถนิ่ ท้ังปัจจบุ ันและอนาคต 2.6 ประเวศ วะสี (2536:1) กลําววํา ท๎องถนิ่ มแี หลํงการเรยี นร๎ู และผ๎ูร๎ูดา๎ นตาํ งๆมากมาย มากกวําท่ี ครูสอนทํองหนังสือ ถา๎ เปดิ โรงเรยี นสทูํ ๎องถิน่ ใหผ๎ เ๎ู รยี นได๎เรียนรจู๎ ากครูในท๎องถ่นิ จะมีครูมากมายหลากหลายเป็นครูที่รู๎ จรงิ ทาจริง จะทาใหก๎ ารเรียนรู๎ไปสูกํ ารปฏบิ ัตจิ ริง การเรียนสนกุ ไมํนาํ เบื่อ ที่สาคัญเปน็ การปรบั ระบบทมี่ ีคุณคํา เดิม การศกึ ษามองข๎ามคุณคาํ เหลํานี้ เมื่อผูร๎ ูใ๎ นท๎องถ่ินเหลํานี้เป็นครูได๎ จะเปน็ การยกระดบั คุณคํา ศักด์ศิ รแี ละความ ภาคภมู ิใจของท๎องถน่ิ อยํางแรง เปน็ การถักทอทางสังคม แหลงํ การเรียนร๎ูมบี ทบาทในการให๎การศึกษาแกผํ ๎เู รยี น ทัง้ ใน ระบบและนอกระบบ(กรมสามัญศกึ ษา 2544 : 7) ดงั น้ี 1) แหลํงการเรียนรูส๎ ามารถตอบสนองการเรียนร๎ูที่เปน็ กระบวนการ (Process Of Learning) การเรยี นรูโ๎ ดยการปฏิบัตจิ รงิ (Learning By Doing) ทง้ั จากท๎องถิ่น ซึ่งเป็นแหลํงการเรยี นร๎ทู ต่ี นเองมีอยํู แล๎ว 2) เปน็ แหลํงกิจกรรม แหลงํ ทศั นศึกษา แหลงํ ฝึกงาน และแหลงํ ประกอบอาชีพของผ๎เู รยี น 3) เปน็ แหลงํ สร๎างกระบวนการเรียนรใ๎ู หเ๎ กิดข้ึนโดยตรง 4) เป็นหอ๎ งเรยี นธรรมชาติ เป็นแหลํงคน๎ คว๎า วิจัย และฝกึ อบรม 5) เป็นองค์กรเปดิ ผส๎ู นใจสามารถเข๎าถึงข๎อมูลได๎อยํางเต็มท่ีและทั่วถงึ 6) สามารถเผยแพรํขอ๎ มลู แกํผเ๎ู รียนในเชิงรกุ เขา๎ สํกู ลมํุ เปาู หมายอยํางทั่วถึงประหยัดและ สะดวก 7) มกี ารเชือ่ มโยงและแลกเปลย่ี นขอ๎ มลู ระหวาํ งกัน 8) มสี อื่ ประเภทตาํ งๆ ประกอบดว๎ ย ส่อื ส่ิงพิมพ์ และสอื่ อิเลกทรอนิกส์ เพ่อื เสริมกจิ กรรม การเรยี นการสอนและพฒั นาอาชพี

สรุปความสาคญั ของแหลงํ การเรียนรไู๎ ด๎วํา แหลํงการเรยี นรู๎ชํวยเช่อื มโยงเรือ่ งราวในท๎องถน่ิ สูํการ เรียนรู๎สากล พัฒนาคุณลักษณะและความคิด ความเขา๎ ใจในคณุ คาํ และทัศนคติ คํานิยม ใฝุร๎ู ใฝเุ รียน รักการเรียนร๎ู มี ทักษะการแสวงหาความรู๎ สามารถจัดการความร๎ู ซงึ่ มีความสาคัญและมีความหมายอยํางมากสาหรับผเ๎ู รียน ดังนี้ 1) ผู๎เรียนได๎เรียนร๎จู ากสภาพชวี ติ จรงิ สามารถนาความรท๎ู ี่ได๎ไปใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั ได๎ ชํวยให๎เกิดการ พัฒนาคุณภาพชีวติ ของตน ครอบครวั ท๎องถ่นิ 2) ผูเ๎ รียนไดเ๎ รยี นในสิ่งทมี่ ีคุณคํา มีความหมายตอํ ชีวิต ทาให๎เห็นคุณคาํ เห็นความสาคญั ของส่งิ ทีเ่ รยี น 3) ผู๎เรยี นสามารถเชอ่ื มโยงความรู๎ทอ๎ งถิ่นสูํความร๎ูสากลสง่ิ ทีอ่ ยูํใกล๎ตัวไปสํูสิ่งทอี่ ยํูไกลตัวได๎อยํางเปน็ รูปธรรม 4) เหน็ ความสาคัญของการอนรุ กั ษ์และพฒั นาภมู ปิ ัญญาท๎องถนิ่ วัฒนธรรม ทรพั ยากร และสิ่งแวดล๎อม ในทอ๎ งถน่ิ ได๎อยาํ งตอํ เน่ือง 5) มสี ํวนรํวมในองค์กร ท๎องถิ่น บคุ คล และครอบครัวในการพฒั นาท๎องถิ่น 6) ได๎เรียนร๎ูจากแหลํงการเรียนร๎ทู ี่หลากหลาย ไดล๎ งมอื ปฏิบตั จิ รงิ สงํ ผลให๎ เกิดทกั ษะการแสวงหา ความร๎ู เป็นบุคคลแหํงการเรยี นรู๎ ขอบข่ายของอนิ เทอร์เน็ต การคน้ หาขอ้ มลู ผา่ น Website การสง่ จดหมายอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 3.1 ขอบข่ายของอินเทอรเ์ น็ต ในปจั จุบันอนิ เทอรเ์ น็ตมีบทบาทและมีความสาคญั ตอํ ชวี ติ ประจาวนั ของคนเราเปน็ อยาํ งมาก เพราะทา ให๎วิถชี ีวติ เราทนั สมัยและทันเหตกุ ารณ์อยํเู สมอ เนื่องจากอินเทอรเ์ นต็ จะมีการเสนอข๎อมลู ขาํ วปจั จบุ ัน และสง่ิ ตําง ๆ ที่เกิดข้ึนใหผ๎ ูใ๎ ชท๎ ราบเปลยี่ นแปลงไปทุกวัน สารสนเทศทีเ่ สนอในอินเทอรเ์ นต็ จะมมี ากมายหลายรปู แบบเพื่อสนอง ความสนใจและความต๎องการของผู๎ใช๎ทุกกลมํุ อนิ เทอร์เน็ตจึงเป็นแหลงํ สารสนเทศสาคัญสาหรบั ทุกคนเพราะสามารถ คน๎ หาสง่ิ ท่ตี นสนใจได๎ในทันทีโดยไมตํ ๎องเสียเวลาเดินทางไปคน๎ คว๎าในห๎องสมุด หรอื แม๎แตํการรบั รข๎ู ําวสารท่ัวโลกก็ สามารถอํานได๎ในอนิ เทอรเ์ น็ตจากเวบ็ ไซตต์ ําง ๆ ของหนังสอื พิมพ์ ดังน้นั อินเทอรเ์ นต็ จงึ มีความสาคัญกบั วถิ ีชวี ติ ของคนเราในปจั จุบันเป็นอยาํ งมากในทุก ๆ ด๎าน ไมวํ ําจะ เป็นบุคคลท่ีอยใํู นวงการธรุ กจิ การศกึ ษา ตํางก็ไดร๎ ับประโยชน์จากอินเทอรเ์ นต็ ด๎วยกนั ทง้ั น้ัน 3.1.1 ดา้ นการศกึ ษา อนิ เทอร์เนต็ มคี วามสาคญั ดงั นี้ 1) สามารถใชเ๎ ป็นแหลํงค๎นคว๎าหาขอ๎ มูล ไมวํ าํ จะเปน็ ข๎อมูลทางวิชาการ ข๎อมลู ด๎านการ บนั เทิง ด๎านการแพทย์ และอื่น ๆ ทีน่ าํ สนใจ 2) ระบบเครอื ขํายอินเทอร์เน็ต จะทาหนา๎ ที่เปรยี บเสมอื นเป็นห๎องสมุดขนาดใหญํ 3) นกั เรียนนกั ศึกษาสามารถใช๎อินเทอรเ์ น็ตติดตํอกับมหาวทิ ยาลัยหรอื โรงเรยี นอื่น ๆ เพ่ือ ค๎นหาขอ๎ มลู ทกี่ าลงั ศกึ ษาอยํไู ด๎ ท้ังท่ีข๎อมลู ทเี่ ปน็ ข๎อความเสียง ภาพเคลือ่ นไหวตําง ๆ 3.1.2 ดา้ นธุรกจิ และการพาณิชย์ อินเทอรเ์ นต็ มคี วามสาคัญดังน้ี 1) คน๎ หาข๎อมูลตําง ๆ เพื่อชวํ ยในการตดั สินใจทางธุรกิจ 2) สามารถซ้อื ขายสินค๎า ทาธุรกรรมผาํ นระบบเครอื ขําย 3) เปน็ ชอํ งทางในการประชาสมั พนั ธ์ โฆษณาสนิ คา๎ ตดิ ตํอส่ือสารทางธุรกิจ 4) ผ๎ูใช๎ท่เี ปน็ บริษัท หรือองค์กรตาํ ง ๆ กส็ ามารถเปดิ ใหบ๎ รกิ าร และสนับสนนุ ลูกคา๎ ของตน ผาํ นระบบเครือขาํ ยอินเทอร์เน็ตได๎ เชํน การให๎คาแนะนา สอบถามปัญหาตําง ๆ ใหแ๎ กลํ ูกค๎า แจกจํายตวั โปรแกรม ทดลองใช๎ (Shareware) โปรแกรมแจกฟรี (Freeware) 3.1.3 ด้านการบนั เทิง อนิ เทอรเ์ น็ตมีความสาคัญดังนี้

1) การพกั ผํอนหยํอนใจ สนั ทนาการ เชนํ การคน๎ หาวารสารตําง ๆ ผาํ นระบบเครือขําย อินเทอร์เนต็ ทีเ่ รยี กวาํ Magazine Online รวมทง้ั หนงั สือพมิ พ์และขําวสารอืน่ ๆ โดยมีภาพประกอบที่ จอคอมพวิ เตอร์เหมือนกบั วารสารตามรา๎ นหนงั สอื ทั่ว ๆ ไป 2) สามารถฟังวิทยหุ รือดรู ายการโทรทศั น์ผํานระบบเครอื ขํายอินเทอรเ์ น็ตได๎ 3) สามารถดึงข๎อมูล (Download) ภาพยนตร์มาดูได๎ 3.2 การสบื ค้นข้อมลู ผ่าน Website Search Engineเป็นเครื่องมือหรือโปรแกรมในการค๎นหาเวบ็ ตาํ งๆ โดยมีการเก็บ รายชือ่ เว็บไซต์และ ข๎อมลู ที่เก่ยี วข๎องตํางๆ ของเวบ็ ไซตแ์ ละนามาจดั เก็บไว๎ใน server เพือ่ ให๎สามารถคน๎ หาและแสดงผลไดส๎ ะดวก และ รวดเร็วมากยิ่งข้ึน ท้งั น้ี บาง search engine อาจไมํได๎มีการเก็บข๎อมูลในserverของตัวเอง แตํอาจอาศัยข๎อมลู จาก เจ๎าของ server น้ันๆ เครอื่ งมือหรือโปรแกรมสาหรับการสบื คน๎ (Search Engine) มีอยมูํ ากมายและมีให๎บริการอยํูตาม เว็บไซต์ตํางๆ ท่ีใชบ๎ ริการการสบื คน๎ ข๎อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใชน๎ น้ั ขนึ้ กบั ประเภทของข๎อมลู สารสนเทศทตี่ ๎องการ สบื คน๎ Search Engine ตํางๆ จะให๎ข๎อมลู ท่ีมีความลึกในแงํมมุ หรือศาสตรต์ าํ งๆ ไมํเทํากัน ตัวอยําง Search Engine ทนี่ ยิ มใช๎มีทั้งเวบ็ ไซต์ท่ีเป็นของตาํ งประเทศ และของไทยเอง เวบ็ ไซต์ Search Engine ยอดนยิ ม 3.2.1 Sanook http://www.sanook.com เปน็ เว็บไซต์ชื่อดังของไทยทเ่ี ป็นแหลงํ คน๎ หาข๎อมูลของไทยท่มี ีข๎อมูลให๎คน๎ หามากมายทัง้ ของไทยและทั่ว โลกซึง่ มีทั้งแบบนามานุกรม และคาคน๎ ซึ่งจะบอกทอ่ี ยูํของเวบ็ ไซตแ์ ละมคี าอธบิ ายเว็บท่หี าอยาํ งเขา๎ ใจงําย และยงั สามารถสงํ เวบ็ ไซต์นี้ให๎เพื่อนๆ ทางอีเมลด์ ว๎ ย 3.2.2 Google www.google.com Google เปน็ เว็บไซต์ฐานข๎อมลู ท่ีใหญมํ ากแหํงหน่ึงของโลก ในอดตี เปน็ บริษัททีด่ าเนนิ การดา๎ น ฐานขอ๎ มลู เพ่ือให๎บรกิ ารแกํเว็บไซตค์ น๎ หาอ่นื ๆ ปจั จบุ นั ไดเ๎ ปดิ เวบ็ ไซต์คน๎ หาเอง มฐี านข๎อมูลมากกวําสามพนั ล๎าน เวบ็ ไซต์และเพม่ิ ขึน้ เรอ่ื ยๆ ทุกวัน จดุ เดนํ ทเ่ี หนือกวาํ ผใู๎ หบ๎ ริการรายอื่นๆ คือเปน็ เว็บไซตค์ ๎นหาทีส่ นับสนนุ ภาษาตาํ งๆ มากกวาํ 80 ภาษาทั่วโลก(รวมทั้งภาษาไทย) และมีเครือ่ งเซริ ฟ์ เวอรใ์ หบ๎ ริการในสํวนตํางๆ ของโลกมากถึง 36 ประเทศ รวมท้ังในประเทศไทย ซ่งึ บริการคน๎ หาของ Google จะแยกฐานข๎อมลู ออกเป็น 4 หมวด และแตํละหมวดมี การคน๎ หาแบบพิเศษเพ่ิมเตมิ ดว๎ ย คอื - เว็บ : เปน็ การค๎นหาข๎อมูลจากเวบ็ ไซตต์ าํ งๆ ท่ัวโลก - รูปภาพ : เปน็ การค๎นหารูปภาพหลากหลายฟอร์แมตจากเว็บไซตต์ ํางๆ - กลมุ่ ขา่ ว : เป็นการคน๎ หาเร่อื งราวท่ีนําสนใจจากกลํุมขาํ วตํางๆ - สารบนเว็บ : การค๎นหาข๎อมูลจากเว็บไซตท์ ี่แยกออกเป็นหมวดหมูํ 3.3 วิธีการสบื ค้นขอ้ มลู ทางอนิ เทอรเ์ น็ต 3.3.1 การสืบค๎นข๎อมลู ทางอินเทอร์เน็ต ดว๎ ยการใช๎ Search Engine Search Engine จะมหี นา๎ ที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซตต์ าํ งๆ เอาไว๎ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมูํ ผูใ๎ ช๎งาน เพียงแตํทราบหัวข๎อทต่ี ๎องการค๎นหาแลว๎ ปอู น คาหรือข๎อความของหวั ขอ๎ นั้นๆ ลงไปในชํองท่ีกาหนด คลิกปุมคน๎ หา เทาํ นัน้ ขอ๎ มลู อยํางยํอ ๆ และรายชอื่ เว็บไซตท์ ี่เก่ยี วข๎องจะปรากฏให๎เราเข๎าไปศึกษาเพิ่มเติมได๎ทันที Search Engine แตํละแหงํ มีวธิ ีการและการจดั เก็บฐานข๎อมูลทีแ่ ตกตํางกันไปตามประเภทของ Search Engine ทแี่ ตลํ ะเว็บไซต์ นามาใชเ๎ กบ็ รวบรวมข๎อมูล ดังน้ันการทจ่ี ะเข๎าไปหาข๎อโดยวิธกี าร Search นนั้ อยํางน๎อยเราจะต๎องทราบวํา เวบ็ ไซต์ท่ี

จะเข๎าไปใชบ๎ รกิ าร ใชว๎ ิธกี ารหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เน่ืองจากแตํละประเภทมคี วามละเอยี ดในการ จัดเกบ็ ข๎อมูลตาํ งกนั ไป 1) การสืบคน้ แบบใช้คีย์เวริ ด์ ใชใ๎ นกรณีที่ต๎องการคน๎ ขอ๎ มูลโดยใช๎คาทีม่ ีความหมายตรงกบั ความ ต๎องการ โดยมากจะนิยมใชค๎ าท่ีมีความหมายใกลเ๎ คยี งกับเน้ือเรอื่ งท่ีจะสืบคน๎ ข๎อมลู มีวิธกี ารค๎นหาได๎ดังนี้ 1.1) เปิดเว็บเพจ ทใี่ หบ๎ ริการในการสืบคน๎ ข๎อมลู ตวั อยํางเชนํ www.google.co.th เปน็ เว็บที่ใช๎สบื ค๎นขอ๎ มูลของตํางประเทศ ขอ๎ ดีคอื คน๎ หางาํ ย เร็ว www.yahoo.com เปน็ เว็บที่ใชส๎ บื ค๎นท่ีดีตัวหนึ่งซึ่งคน๎ หาข๎อมูลงาํ ย และข๎อเดํนคือภายใน เวบ็ ของ www.yahoo.com เองจะมีฟรเี ว็บไซต์ ท่รี ๎จู ักกนั ในนาม http://www.geocities.com ซง่ึ มีจานวนเว็บ มากมาย ให๎คน๎ หาข๎อมูลเองโดยเฉพาะ www.sanook.com เป็นเวบ็ ของคนไทย www.siamguru.com เป็นเว็บของคนไทย โดยพิมพช์ อํ งเว็บที่ชํอง Address ดงั ตัวอยํางซ่ึงใช๎ www.google.co.th 1.2) ทชี่ ํอง ค๎นหา พมิ พข์ ๎อความต๎องการจะค๎นหา ในตวั อยํางจะพิมพ์คาวํา แหลงํ ทอํ งเทยี่ วเมืองโคราช 1.3) คลิกปุม คน๎ หาด๎วย Google 1.4) จากน้นั จะปรากฏรายชอ่ื ของเว็บท่ีมีขอ๎ มลู 1.5) คลกิ เว็บทจ่ี ะเรียกดูข๎อมูล 2) การสืบคน้ ข้อมูลภาพ ในกรณีทน่ี กั เรียนต๎องการทีจ่ ะคน๎ หาข๎อมลู ทเ่ี ป็นภาพ เพ่ือนามาประกอบกบั รายงาน มวี ิธกี ารค๎นหาไฟลภ์ าพได๎ดงั น้ี 2.1) เปดิ เวบ็ www.google.co.th 2.2) คลิกตัวเลอื ก รูปภาพ 2.3) พิมพก์ ลํุมชอื่ ภาพท่ีตอ๎ งการจะคน๎ หา (ตัวอยาํ งทดลองหาภาพเกย่ี วกับ ปราสาทหนิ พิ มาย) 2.4) คลกิ ปุม คน๎ หา 2.5) ภาพทีคน๎ หาพบ 2. 6) การนาภาพมาใช๎งาน ใหค๎ ลกิ เมาสด์ ๎านขวาท่ีภาพ > Save Picture as 2.7) กาหนดตาแหนงํ ที่จะบนั ทึกท่ีชอํ ง Save in 2.8) กาหนดชือ่ ท่ชี ํอง File Name 2.9) คลิกปมุ Save 3.4 การสง่ จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-Mail) คอื การสํงข๎อความหรือขาํ วสารจากบุคคลหน่ึงไปยังบคุ คลอืน่ ๆ ผาํ น ทางคอมพิวเตอรแ์ ละระบบเครอื ขํายเหมือนกับการสงํ จดหมาย แตอํ ยูํในรูปแบบของสญั ญาณข๎อมูลทเี่ ปน็ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ โดยเปล่ยี นการนาสงํ จดหมายจากบรุ ุษไปรษณียม์ าเปน็ โปรแกรม และเปลี่ยนจากการใช๎เส๎นทางจราจร คมนาคมทั่วไปมาเป็นชํองสัญญาณรูปแบบตาํ งๆ ท่เี ชือ่ มตํอระหวํางเครือขาํ ยคอมพวิ เตอร์ ซงึ่ จะตรงเข๎ามาสํู Mail Box ท่ถี กู จดั สรรใน Server ของผ๎ูรับปลายทางทนั ที - เมือ่ ต๎องการสงํ E-Mail มสี ํวนประกอบสาคัญท่ตี ๎องให๎รายละเอยี ด คือ 1) To: ระบุ E-Mail Address ของผรู๎ บั ปลายทาง

2) Subject: ใสหํ วั เรือ่ งยอํ ๆของเนือ้ หา 3) CC (Carbon Copy): เปน็ การระบุ E-Mail Address ของผ๎ทู เี่ ราต๎องการใหไ๎ ด๎รบั สาเนาของจดหมาย ฉบบั น้ดี ๎วย 4) BCC (Blind Carbon Copy): เชนํ เดยี วกบั CC แตํทาให๎ผร๎ู บั ไมํทราบวําเราตอ๎ งการ สงํ ใคร 5) Attachment: เราสามารถแนบไฟล์ไปกับการสํง E-Mail ด๎วยกไ็ ด๎ 6) Body: เป็นเนอื้ หาข๎อความของจดหมาย การส่ง E- Mail ขั้นที่ 1 นา Mouse ไป Click ท่ี Compose ข้นั ที่ 2 หลงั จากเลือก Compose แล๎ว หลงั จากนนั้ มีวิธกี าร ดังนี้ - หลงั คาวํา To: ใหใ๎ สํชื่อ E-Mail ของคนที่เราต๎องการจะสํง Mail ไปหา หากตอ๎ งการสงํ ไปให๎หลายคน ใหใ๎ ชเ๎ ครอ่ื งหมาย Comma (,) คน่ั ระหวําง E-Mail address ของแตํละคน - หลงั คาวาํ Subject: ใหใ๎ สํช่ือเรือ่ งของ E-Mail ของเรา หรอื อาจจะไมใํ สํก็ได๎ - ในชํอง CC: เปน็ การทาสาเนา (Carbon Copy ) ของ Mail ไปถงึ ผร๎ู ับ โดยการใสํช่ือ E-Mail ของคนที่ เราตอ๎ งการสงํ Mail ไปให๎ (เพมิ่ เตมิ จากใน To: ) - ในชอํ ง Bcc: เป็นการทาสาเนาแบบ Blind Carbon Copy ใช๎ในกรณที ี่ต๎องการสงํ E-Mail ถึงบุคคลอ่ืน โดยบุคคลทเี่ ราสงํ E-Mail ไปใหใ๎ น To: และ CC: จะไมทํ ราบวําเราสํงไปให๎บคุ คลนีด้ ๎วย - ในกลํองใหญใํ นสวํ นลําง จะเปน็ พน้ื ทใ่ี นการเขยี นข๎อความท่ีเราต๎องการที่จะสํง - เมอ่ื เขยี นข๎อความเสร็จแลว๎ ให๎นา Mouse ไป Click ทปี่ ุม “Send” การส่ง File ขอ้ มลู ใดๆ ไปกับ E-Mail ในกรณีทเ่ี ราต๎องการสํง File ใด ๆ ก็ตามแนบไปกบั E-mail ดว๎ ย มขี ั้นตอนการสํงดังน้ี 1) นา Mouse ไป Click ท่ปี มุ ที่มีคาวาํ “Attachments” 2) เลือก File ทต่ี ๎องการจะสํง โดยกดปุมท่มี ีคาวาํ “Browse” 3) เมือ่ เลือก File ท่ตี อ๎ งการสํงได๎แลว๎ กดปุมทม่ี คี าวํา “Open” แล๎วจะเหน็ วาํ ช่ือ File ทเ่ี ราเลือกจะ ปรากฏอยํใู นชอํ งวําง 4) ขน้ั ตอํ มากดปุมทีม่ คี าวาํ “Attachments” เพอื่ แนบ File ไปกับ E-mail 5) เห็นได๎วําช่ือ File ทต่ี ๎องการจะสํงจะปรากฏบนชอํ งวาํ ง ถา๎ เราเกดิ ลงั เลเปลย่ี นใจจะเปลี่ยนแปลง File ทีจ่ ะสงํ สามารถทาไดโ๎ ดยการนา Mouse ไป Click ที่ปมุ Remove ถา๎ ทุกอยํางเรยี บร๎อยแล๎วให๎ Click ท่ีปุม Done (ในทน่ี ี้ทาง Hotmail.com มีขดี ความสามารถในการสํง File มขี นาดสูงท่ีสดุ ได๎ไมํเกนิ 1 Mb เทํานน้ั ) 6) ขนั้ ตอนสดุ ท๎ายคือ หลังจากทเ่ี รากด Done แล๎วจะกลบั มายังหนา๎ จอเดิม การจะสํง E-Mail ที่มีการ แนบ File ใดๆ ไปดว๎ ยน้ัน ก็ใหท๎ าตามวิธกี ารสงํ E-Mail ตามปกติ จะเห็นไดว๎ ําในสวํ นทมี่ ีคาวํา Attachments จะมีชื่อ File ทเ่ี ราแนบไปดว๎ ย ข้อดี และข้อจากัดของจดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ 4.1 ความหมายของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ( E-Mail) E-Mail หรือ Electronic Mail เป็นไปรษณยี อ์ เิ ล็กทรอนิกส์ รบั -สงํ เอกสารอเิ ล็กทรอนกิ สโ์ ดยผาํ น ระบบเครือขาํ ยคอมพิวเตอร์ (Computer Network) ไปยงั ผ๎รู ับทอี่ าจจะอยูทํ ่ีใดก็ได๎ในโลก การใชง๎ านอเี มล์ทาให๎เรา สามารถตดิ ตํอกบั ผ๎ูคนทว่ั โลกไดท๎ นั ที โดยท่ี เราสามารถรับและตอบจดหมายกลับได๎ภายใน เวลาไมกํ ี่นาที ทาให๎ ผ๎ใู ชง๎ านมีความสะดวกรวด เร็ว ไมํต๎องเสียเวลารอคอยที่ยาวนานเหมือนกบั ไปรษณีย์ท่วั ไป การติดตํอโดยใชไ๎ ปรษณีย์ ธรรมดาตดิ ตอํ ภายในประเทศอาจใช๎เวลาประมาณ 1-3 วนั ถา๎ หากเป็นจดหมายที่สงํ ไปยังตาํ งประเทศ (Air

mail) อาจใช๎เวลานานเป็นสัปดาห์ e-Mail ชํวยประหยดั คําใชจ๎ าํ ยซ่งึ ถูกกวําการใชโ๎ ทรศัพทห์ รอื การสงํ จดหมายโดยวิธี ปกตทิ ใ่ี ช๎กันหลายเทําตัวโดยท่ัวไป คําใช๎จาํ ยในการสงํ e-Mail ไมํวาํ จะสงํ จากแหงํ ใดในทุกมุมโลกก็ไมตํ ํางกนั ไมํวํา จดหมายน้นั จะสนั้ หรือยาว จะสงํ ไปใกล๎หรอื ไกล E-Mail เปน็ ชํองทางสาหรบั การสงํ ขอ๎ มลู ทไี่ ด๎รับความนยิ มอยาํ งสงู รูปแบบการใชง๎ านแตกตาํ งกนั ไป นักเรียน-นกั ศึกษา นิยมใชใ๎ นการติดตํอส่อื สาร ระหวาํ งกนั หรอื ติดตํอ สํงขอ๎ มลู ขอ๎ ความ ขอคาปรึกษาจากอาจารย์ ผส๎ู อน องค์กรขนาดใหญๆํ กส็ ามารถติดตํอกับบุคลากร หรือทาธรุ กรรมผาํ นระบบเครือขํายอินเทอร์เนต็ และอีเมล์ เป็น ตน๎ 4.2 ขอ้ ดขี อง E-mail - ประหยดั เวลา - ประหยัดเงนิ - สามารถสํงในรูปแบบมลั ติมเี ดยี ได๎ - สามารถแนบไฟล์ทเ่ี ปน็ เอกสารสงํ ได๎ - สามารถสํงตํอขอ๎ มูลหรือทเ่ี รยี กวาํ forward ได๎ 4.3 ขอ้ จากดั ของ E-mail - ไมสํ ามารถเขา๎ ถงึ บุคคลได๎ทุกคน - ไมํไดร๎ บั ต๎นฉบับซ่งึ ควรคําแกํการเกบ็ รักษา - อาจมีไวรัสมาพร๎อมกับเอกสารที่สํงมา - ถา๎ เครือขาํ ยลมํ ทาใหก๎ ารสํงหรือรบั ข๎อมูลล๎มเหลว - ถา๎ ข๎อมลู ใน mail box เต็มก็ไมํสามารถรบั ข๎อมูลอืน่ ได๎ - Angun.จดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์.

ใบงาน เร่อื งการใช้แหล่งเรยี นรู้ คาช้ีแจง จงตอบคาถามตํอไปนี้ 1. ให๎นักศึกษาอธบิ ายถึงความสาคญั ของแหลํงเรยี นรู๎ ............................................................................................................................. ........................................ .................................................... .......................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ................................................................................................................................. .................................... .............................................................................................. ................................................ ....................... ............................................................................................................................. ........................................ 2. ให๎นกั ศึกษาสารวจแหลํงเรยี นร๎ูภายในชุมชน ตาบล และอาเภอ วาํ มีแหลํงเรยี นร๎ูอะไรบ๎าง พร๎อมทงั้ จัดแบํง ประเภทตามลักษณะ 6 ประเภท ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ....................................................................................... ....................................................... ....................... ............................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................................................................ ............................. ..................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ........................................ .............................................................................................................................................. ....................... ................................................................................................................... .................................................. ............................................................................................................................. ........................................ ...................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาศลิ ปศกึ ษา ครงั้ ท่ี 2 การจดั ทาหนว่ ยเรียนรู้บรู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลศรโี คตร ระดับประถมศึกษา 1. สัปดาห์ท่ี 2 วนั ที่ 24 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า ศิลปศึกษา รหัสวิชา ทช11003 จานวน 2 หนํวยกิต 3. มาตรฐานที่ 4.3 มีความร๎ูความเข๎าใจ มคี ุณธรรม จริยธรรม ชน่ื ชม เห็นคณุ คําความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ๎ ม ทางทัศนศิลปไ์ ทย ดนตรไี ทย นาฏศิลปไ์ ทย และวเิ คราะห์ไดอ๎ ยาํ งเหมาะสม 4. หน่วยการเรียนรู้/เรื่องทัศนศลิ ปพ์ ้นื บา้ น 5. สาระสาคญั มคี วามรคู๎ วามเขา๎ ใจ มีคุณธรรม จริยธรรม ชน่ื ชม เหน็ คุณคําความงาม ความไพเราะ ธรรมชาติ สิ่งแวดลอ๎ ม ทางทัศนศลิ ป์ไทย ดนตรีไทย นาฏศิลปไ์ ทย และวเิ คราะห์ได๎อยํางเหมาะสม 6. เน้ือหา 1. ทัศนศิลป์พืน้ บ๎าน 1.1 รูปแบบและวธิ กี ารนาจุด เส๎น สี แสง-เงา รูปราํ ง รปู ทรง มา จินตนาการ สร๎างสรรค์ ประกอบ ให๎เปน็ งานทัศนศิลปพ์ ื้นบ๎าน 1.2 รปู แบบและวิวัฒนาการของงานทัศนศลิ ปพ์ ื้นบ๎านในด๎าน - จิตรกรรม - ประตมิ ากรรม - สถาปตั ยกรรม - ภาพพิมพ์ 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร้/ู ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) 1.1 มีความรู๎ ความเขา๎ ใจและอธบิ ายรูปแบบและวธิ กี ารในการนา จุด เส๎น สี แสง-เงา รปู ราํ ง รูปทรง มา จนิ ตนาการสรา๎ งสรรค์ ประกอบใหเ๎ ป็นงานทัศนศิลป์พ้นื บา๎ นได๎ 1.2 มีความร๎ู ความเข๎าใจและอธบิ ายรูปแบบและววิ ฒั นาการในเรอื่ งของงานทัศนศิลป์พื้นบา๎ น ตาํ งๆ ได๎ เชํน - จติ รกรรม - ประตมิ ากรรม - สถาปัตยกรรม - ภาพพมิ พ์ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการการเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ -รปู แบบทศั นธาตุ และองค๑ประกอบศลิ ป์ การออกแบบ ความเปน็ เอกภาพ ความกลมกลนื ความสมดุล -หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คณุ ธรรม - มีความรบั ผิดชอบ ความมสี ติ ความสามัคคี ประหยดั และตรงตํอเวลา

พอประมาณ - ผู๎เรยี นได๎เรยี นร๎ู เรื่องการแบํงเวลาใน การทากจิ กรรมตามท่ี ได๎รบั มอบหมาย - เรียนร๎กู ารใช๎วสั ดุ อปุ กรณแ๑ ละ งบประมาณท่ีมอี ยํู อยํางประหยดั และ คุม๎ คํา - ผ๎ูเรยี นเรยี นรูใ๎ น การทากิจกรรม ภาระ งานไดเ๎ หมาะสมกับ ความรู๎ ความสามารถ ตามวัย ของผเ๎ู รยี น มเี หตุผล - ผูเ๎ รยี นมคี วามร๎ู และเชือ่ มโยงความรู๎ จากกลุํมสาระการ เรียนรู๎อื่น - เสรมิ สร๎าง กระบวนการทางาน การคดิ การแกป๎ ัญหา ในการทางาน - ผเู๎ รยี นรูจ๎ ักเลอื กใช๎ วสั ดุอปุ กรณ๑ท่ีมีอยูํ อยํางประหยัดและ คมุ๎ คํา - กระตน๎ุ ให๎ผู๎เรยี นมี ความคิดริเริ่ม สร๎างสรรค๑ในงาน ทัศนศลิ ป์ - นาหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงมา ประยุกต๑ใชใ๎ นการ ดารงชีวิต มภี ูมคิ มุ้ กัน -รู๎จักการวางแผน กระบวนการทางาน อยาํ งเป็นระบบให๎ ประสบความสาเรจ็ และ ปลอดภัย - ปรับตวั ในการ ดาเนนิ ชีวติ พร๎อมรบั การเปล่ยี นแปลงใน สงั คม - เกิดความตระหนัก ในการประหยดั วตั ถุ - มีความร๎ใู นการ ออกแบบช้ินงาน ใหมทํ ี่ หลากหลาย - มคี วามร๎ูความ เข๎าใจในการ เลอื กใช๎วสั ดุ อุปกรณ๑ อยาํ ง ค๎ุมคําและถกู วิธี สงั คม - รจู๎ กั แบํงหนา๎ ท่ี รับผิดชอบในการ ทางาน -แลกเปลย่ี น เรียนร๎จู ากเพ่ือน ครแู ละภูมปิ ัญญา ท๎องถ่นิ สิ่งแวดล้อม - มีความรใ๎ู นการ เหลือใชว๎ ัสดุ อุปกรณ๑ใน ท๎องถนิ่ มาใช๎ ประโยชน๑ได๎ อยาํ งเหมาะสม และ ใชธ๎ รรมชาติรอบ ๆตวั เปน็ แบบในการสรา๎ งสรรค๑งาน - มคี วามร๎ู เกย่ี วกับการ รกั ษาธรรมชาติ และสงิ่ แวดลอ๎ ม วฒั นธรรม - มีความร๎คู วามเข๎าใจในภมู ปิ ัญญาท๎องถนิ่ มาใช๎ในการ ออกแบบช้ินงานได๎ อยําง หลากหลาย ร๎จู ักการอนุรกั ษ๑ภูมิ ปญั ญาท๎องถิ่น 9. กระบวนการจัดการเรยี นรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูให๎นักเรยี นสงั เกตธรรมชาติ และสง่ิ แวดล๎อมรอบตัวแล๎วตอบวาํ สังเกตเห็น อะไรบา๎ ง ให๎ นักเรยี นสงั เกต

๒. ครอู ธิบายถึงเศษใบไม๎ใน ธรรมชาติท่ีหาไดง๎ ํายในโรงเรียน ใบไมท๎ ่ีอาจ เป็นขยะนี้ เราสามารถ นามาสรา๎ งสรรค๑ เป็น ผลงานทศั นศิลป์ไดโ๎ ดยใชก๎ ระบวนการทาง ทศั นศลิ ป ๓. ช้ีแจงจุดประสงค์การเรยี นร๎ู ขั้นที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธบิ ายรูปแบบและวิวัฒนาการในเรอื่ งของงานทศั นศลิ ป์พน้ื บา๎ น ตาํ งๆ ได๎ (หรือเปิด ซีดี ทัศนศิลปพ้นื บ๎าน)จากนั้นให๎นักศกึ ษาทาใบงาน 2. ให๎นกั ศกึ ษาสร๎างสรรค์ผลงานทศั นศิลป์ดา๎ นใดก็ได๎ เป็นกลํุมตามทเี่ ลนํ เกมแบงํ ไวเ๎ บอื้ งตน๎ หรอื ตาม ความสมคั รใจของผ๎ูเรยี น ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. แบํงนักเรียนเปน็ กลุมํ กลุมํ ละ ๕–๖ คน รวํ มกนั สร๎างสรรคต๑ ามข้นั ตอน โดย การเตรียมวัสดุ อุปกรณ๑ ทเ่ี ตรียมมา ๑.แปงู มันสาปะหลังหรอื แปงู ขา๎ วเหนียว ๒.กระดาษหนังสอื พิมพ๑ ๓.เศษใบไมแ๎ หง๎ ท่ีหาได๎ ๒. แตํละกลํมุ นาแปงู ที่เตรียมมา มาเทใสํพาชนะที่เตรียมไว๎ ผสมน้า แล๎วนาต้ังไฟ เค่ยี วให๎เป็นแปูง เปยี ก พกั ใหเ๎ ยน็ ๓. นาเศษใบไม๎แหง๎ ท่ีเก็บมาเขยาํ ให๎ ละเอยี ด กะให๎พอประมาณเพียงพอตํอความ ตํอการให๎การทา กระถาง แตลํ ะชิน้ ๔. นาเศษใบไม๎ที่ไดม๎ าลงผสมกับแปูงเปียก คนให๎เข๎ากัน ๕. นาแปงู เปยี กที่ผสมเศษใบไม๎เสรจ็ แล๎วมา หลํอลงในแบบพมิ พ๑กระถางท่เี ตรียม ไว๎อัดลงไปให๎ แนํน เพราะการอดั ไมํเต็มจะทา ให๎กระถางท่ีออกมาขาด แหํวงได๎ ๖. นากระถางท่ีได๎รปู ไปตากแดดไว๎ ประมาณ ๑ วนั จะแห๎งสนิท ๗. นากระถางทแ่ี ห๎งแล๎วมาประติดดว๎ ย กระดาษหนังสอื พมิ พ๑ ใหเ๎ ตม็ กระถาง ทิง้ ไว๎ให๎ แหง๎ ประมาณ ๑-๒ ชั่วโมง (ทง้ิ ไว๎คาบตํอไป) ๘. นากระถางมา ตกแตํงใหส๎ วยงามด๎วย วิธกี ารปะติดจากกระดาษเหลือใช๎ เพื่อความ สวยงามและ ปอู งกันน้าได๎อกี ดว๎ ย ๙. ครูและนักเรยี นรวํ มกนั นาเสนอ ผลงานและบรรยายสรุป ถอดบทเรยี นการ ปฏิบัตงิ านการการ สร๎างประประติมากรรม กระถางพอเพยี ง โดยครคู อยให๎ความรูเ๎ สรมิ ในสวํ นท่ีนกั เรยี นไมํเข๎าใจหรอื สรุปไมํตรงกบั ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ประเมินผลจากการทาใบกิจกรรม 2. การสงั เกตการมีสํวนรวํ ม 10. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ - หนงั สือเรยี น - ใบกิจกรรม 11. การวัดผลและประเมินผล 1. วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอน่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน

- แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น 2. เครื่องมอื วัดและประเมนิ ผล - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎อู นื่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกํอนเรียนและหลังเรยี น 3. เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ ื่นของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น เกณฑ์ผาํ นและไมํผาํ น กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................... ................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นางสาวจนั ทรท์ พิ ย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงช่ือ………………………………………………………ผอู๎ นุมัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน

บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คร้งั ท่ี 2 วันที่ 24 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 ครูผ๎สู อน นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลัย ระดับ ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรียนรู๎ รหัสวิชา ทช11003 จานวน 2 หนํวยกติ จานวนผูเ๎ รียนท้งั หมด ............... คนเขา๎ เรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น๎อยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นร๎อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ .................................................................................................................................................... ............ ...................................................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปัญหา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรลี ัย) ครูผู๎สอน วนั ท.่ี ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................. ........................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน วันที่.............../.................../...............

แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ ครงั้ ที่ 3 การจัดทาหน่วยเรยี นร้บู รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตาบลศรโี คตร ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สัปดาห์ท่ี 3 วนั ที่ 31 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว1๑๐๐๑ จานวน 3 หน่วยกติ ๓. มาตรฐานท่ี ๒.๒ มีความร๎คู วามเขา๎ ใจ และทักษะพืน้ ฐานเกีย่ วกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔. หนว่ ยการเรยี นรู้/เรอ่ื ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๕. สาระสาคญั มคี วามรู๎ ความเข๎าใจ ทกั ษะ และเห็นคุณคํา เกยี่ วกับกระบวนการทาง วิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี สง่ิ มชี ีวติ ระบบนิเวศ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ส่ิงแวดลอ๎ มในท๎องถนิ่ สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปลี่ยนแปลง ของโลกและ ดาราศาสตร์ มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ และนา ความร๎ูไปใชป๎ ระโยชน์ ในการดาเนินชีวิต ๖. เน้อื หา กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 1.1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 1.2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๗. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวงั (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) 1. ใช๎ความรูแ๎ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใน การดารงชีวติ ไดอ๎ ยํางเหมาะสม 2. อธิบายธรรมชาตแิ ละความสาคัญของ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีและอธบิ าย กระบวนการทาง วิทยาศาสตรไ์ ด๎ 3. นาความร๎ู และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ไปใชแ๎ ก๎ปัญหาตํางๆ ได๎ 4. จาแนกประเภทโครงงาน วางแผนการทา โครงงานและเสนอแนวทางการนาความร๎ู เกี่ยวกับ โครงงานไปใช๎ได๎ ๘. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3หลกั การการเช่ือมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความรเ๎ู รื่อง ฮอร๑โมนไขํ ,สรรพคณุ จากไขํ - อุปกรณ๑ และวิธีการทาฮอรโ๑ มนไขํ คุณธรรม - มคี วามมุํงม่นั ในการทางาน - มคี วามสามคั คใี นหมํูคณะ - ใฝหุ าความรู๎เพื่อพัฒนาอยํเู สมอ พอประมาณ -ร๎ูจักอัตราสํวนของไขํไกํ ผงชูรส นมเปร้ียว ทาให๎ได๎ฮอร๑โมนไขํ บารุงพืชผัก ท่ีได๎มาตรฐาน และมคี ณุ ภาพ - ใช๎วสั ดทุ ห่ี างํายในทอ๎ งถิ่น ทาเปน็ ฮอร๑โมนพชื ได๎อยํางคมุ๎ คํา และเกิดประโยชน๑สงู สุด มเี หตผุ ล - ไดค๎ วามรเ๎ู กีย่ วกบั การทาฮอรโ๑ มนไขํ

- ได๎ฮอร๑โมนไขํ ใช๎ฮอร๑โมนท่ีมีในท๎องตลาดทเ่ี สี่ยงตํอสารเคมี มภี มู ิคุม้ กัน - รจู๎ ักการทาฮอร๑โมนไขํ เปน็ ผลติ ภณั ฑ๑ทางชีวภาพ ซ่ึงปลอดภัยไมมํ ีสารพิษตกคา๎ ง - สามารถตํอยอดความร๎ู สร๎างผลิตภณั ฑ๑ สร๎างรายไดใ๎ ห๎ชมุ ชน วัตถุ - รจ๎ู ักเลือกใช๎ผลติ ภณั ฑ๑ในทอ๎ งถน่ิ ได๎อยํางคมุ๎ คําและเหมาะสม - มีทักษะในการใชอ๎ ุปกรณ๑วิทยาศาสตร๑ และการดแู ลรักษา สงั คม - มที กั ษะการอยํูรํวมกนั ในกลุํม และทางานรวํ มกบั ผู๎อืน่ ได๎อยาํ งมีความสุข - สามารถนาความรู๎ด๎านโครงงานวิทยาศาสตร๑ และการฮอรโ๑ มนไขํ ไปตํอยอดใหก๎ ับชมุ ชน สิ่งแวดล้อม - รจ๎ู กั การนาวัสดุทมี่ อี ยใํู นท๎องถิ่นมาพฒั นาเป็นฮอรโ์ มนไขํ บารุงพชื ได๎อยาํ งคมุ๎ คาํ และเกิด ประโยชนส์ ูงสุด - ฮอรโ๑ มนจากไขํ เป็นผลิตภณั ฑ๑ธรรมชาติ ไมํเปน็ พิษตํอสิง่ แวดล๎อม วัฒนธรรม - ตํอยอดภมู ิปัญญาท๎องถน่ิ ในการทาฮอร์โมนจากไขํ เพ่ือเพิ่มมูลคาํ และพฒั นา ผลิตภณั ฑ์ 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูสอบถามนักศึกษาเร่ืองเก่ยี วกบั การเขยี นโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๒. ชี้แจงจดุ ประสงค์การเรียนรู๎ ๓. ครูให๎นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอนเรยี น เพ่ือทดสอบดูวาํ นกั ศกึ ษามีพ้นื ฐานระดบั ใด ขั้นที่ ๒ แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครอู ธิบายเกย่ี วกับความหมาย ความสาคัญ วิธกี ารดาเนินการ และการนาเสนอโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ๒. นกั ศึกษาแบํงกลมุํ ๓ กลมุํ ให๎นักศึกษา ค๎นควา๎ เร่ืองโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ๓. ตวั แทนแตํละกลํมุ นาเสนอหนา๎ ชัน้ เรยี น ในรูปแบบผงั มโนทัศน(์ Mapping ขนั้ ท่ี 3 การปฏบิ ัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) ครูให๎นกั ศึกษาระดมความคดิ ถอดบทเรียนโครงงานเรื่องฮอร์โมนพืช จากไขํ ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั หลกั เศรษฐกิจพอเพยี งใสํกระดาษชารท์ ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ใหน๎ ักศึกษาออกมาหน๎าช้นั เรยี น เพือ่ นาเสนอการถอดบทเรียนโครงงานเร่ืองฮอร์โมน จากไขํ ให๎ สอดคล๎องกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง จากนัน้ ครใู ห๎คะแนน 2. แบบทดสอบกํอนเรยี น 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียนสาระความร๎ูพื้นฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา รหัส พว11001 2. Power point เรอ่ื ง ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ และขั้นตอนการทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 3. กระดาษชาร์ทถอดบทเรียนโครงงานเรอื่ งฮอร์โมนพืช จากไขใํ หส๎ อดคลอ๎ งกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง

11. การวดั และประเมินผล 1. วิธีการวดั และประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรียน 2. เครื่องมอื วัดและประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู ่นื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกํอนเรียนและหลังเรียน 3.เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอนื่ ของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น เกณฑ์ผํานและไมํผําน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชือ่ …………………………………………….ครผู ู๎สอน (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรลี ยั ) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชอื่ ………………………………………………………ผ๎อู นมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทาหน่วยเรียนรบู้ ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คร้ังท่ี 3 วนั /เดือน/ปวี นั ที่ 31 เดอื น พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ครผู ส๎ู อน นางสาวจนั ทร์ทิพย์ ศรลี ยั ระดับ ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู๎พ้นื ฐาน รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว11001 จานวนผ๎เู รยี นทัง้ หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมํเข๎าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวาํ กํอนเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวิชา .......................................................................................................................................................... ......... ......................................................................................................................... .......................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผ๎บู นั ทกึ ) (นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรลี ัย) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข๎อเสนอของผบู๎ ริหาร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

แบบทดสอบก่อนเรียน เรี่อง การเขยี นโครงงานวิทยาศาสตร์ ข้อท่ี 1) ข้อใดใหค้ วามหมายของคาวา่ โครงงานไดถ้ ูกตอ้ ง ก. วธิ กี ารทีศ่ ึกษาอยํางมรี ะบบตามข้นั ตอน ข. กระบวนการใชง๎ บประมาณ ค. วิธกี ารดาเนินงานแบบไมํได๎วางแบบแผน ง.กระบวนการใชท๎ รัพยากรท๎องถ่ิน ข้อที่ 2) การวางแผนเพื่อเขียนโครงงานควรเรม่ิ จากขอ้ ใด ก. ช่อื หัวข๎อโครงงาน ข. ช่อื ครูท่ปี รกึ ษาโครงงาน ค. ท่มี าและความสาคัญของโครงงาน ง. วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษาคน๎ ควา๎ ขอ๎ ที่ 3) ความสาคญั ของโครงงานข๎อใดไมถํ ูกตอ๎ ง ก. การปฏบิ ัติงานชัดเจน ข. สร๎างอคตติ อํ บุคคลภายในหนวํ ยงาน ค. การปฏบิ ตั เิ ปน็ ไปอยาํ งมีประสิทธิภาพ ง. ลดความขดั แยง๎ และความซ้าซอ๎ นในหนา๎ ที่ ข๎อท่ี 4) ขอ๎ ใดกลาํ วถึงสํวนประกอบของโครงไดถ๎ ูกตอ๎ ง ก. สวํ นนา สวํ นขยาย สรปุ ข.สวํ นตน๎ สวํ นกลาง สวํ นทา๎ ย ค. สํวนนา สวํ นเน้อื ความ สํวนขาย ง. สวํ นเน้อื ความ สํวนขยาย สํวนท๎าย ข๎อที่ 5) ขัน้ ตอนการทาโครงงานข๎อใดเรยี งลาดับถูกต๎อง ก. การคดิ และการเลือกหวั เรอื่ ง การวางแผน การดาเนนิ งาน การเขียนรายงาน การนาเสนอ ข. การคดิ และการเลอื กหัวเรือ่ ง การวางแผน การเขยี นรายงาน การดาเนินงาน การนาเสนอ ค. การวางแผน การคดิ และการเลอื กหวั เรื่อง การดาเนินงาน การเขียนรายงาน การนาเสนอ ง. การวางแผน การคิดและการเลอื กหัวเร่ือง การเขยี นรายงาน การดาเนินงาน การนาเสนอ ข๎อที่ 6) เม่อื เลือกหัวเรอ่ื งทีเ่ หมาะสมไดแ๎ ลว๎ ข้ันตอนตํอไปควรทาตามข๎อใด ก. การค๎นคว๎าและรวบรวมขอ๎ มูล ข. การเรียบเรยี งการทารายงาน ค. กาหนดจุดมงํุ หมายและขอบเขตของเร่ือง ง. เขียนท่ีมาและความสาคัญของโครงงาน

ข๎อที่ 7) การเสนอผลงานทาได๎หลายรูปแบบข้นึ อยํูกับความเหมาะสมตอํ ประเภทโครงงานขอ๎ ใดไมํถกู ต๎อง ก. การแสดงบทบาทสมมุติ ข. การใช๎งบประมาณจ๎างหนวํ ยงานตํางๆทา ค. การจดั นิทรรศการเก่ียวกับผลงาน ง. การจดั แสดงและการอธิบายดว๎ ยคาพูด ขอ๎ ที่ 8) การวางแผนการทาโครงงานข๎อใดไมํถูกต๎อง ก. การวางแผนเพือ่ ให๎การดาเนินการเป็นไปอยาํ งรอบคอบ ข. การวางแผนจะสามารถรแ๎ู หลงํ คน๎ ควา๎ และร๎ูงบประมาณการใช๎จําย ค. การวางแผนสามารถทราบถงึ จดุ ประสงคเ์ ร่ืองที่ทาและทราบถึงขอบเขตได๎ ง. การวางแผนจะทาโครงงานเสรจ็ เมื่อไหรํกไ็ ด๎ไมํต๎องนาเสนอใหใ๎ ครทราบงานกํอน ข๎อที่ 9) การเขยี นรายงานโครงงานควรใชภ๎ าษาเขยี นแบบใด ก. การเขยี นโครงงานควรใช๎ภาษาทอ่ี ํานเข๎าใจงาํ ยและตรงประเด็น ข. การเขียนโครงงานควรใช๎ภาษาแบบเป็นกนั เองตามความเข๎าใจของผจ๎ู ัดทา ค. การเขยี นโครงงานควรใชท๎ ั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาเพ่อื เป็นทางเลือกให๎ผู๎อาํ นติดตาม ง. การเขียนโครงงานควรใช๎ทั้งรปู ภาพและวัสดุจรงิ มาเปน็ สวํ นประกอบของการเขยี นรายงาน ขอ๎ ท่ี 10) ข๎อใดกลาํ วไมํถูกต๎องเก่ยี วกับการเรยี บเรียงรายงาน ก. เรยี บเรยี งขอ๎ มูลตามความสนใจอะไรมากํอนก็ไดท๎ าตามสง่ิ ท่ีวางไว๎ ข. สาคัญท่สี ุดคอื ต๎องคดั ลอกผลงานผูอ๎ ื่นมาเรยี งเป็นผลงานของตัวเองต๎องขอบคุณเขาดว๎ ย ค. เม่อื จาเปน็ ตอ๎ งคัดลอกข๎อความหรือนาข๎อมูลของผ๎ูอืน่ มาอา๎ งองิ ต๎องบอกใหช๎ ัดเจนนามาจากไหน ง. การเรียบเรยี งเขยี นรายงานควรใชส๎ านวนภาษาของตนเองใหม๎ ากทสี่ ดุ และควรมผี ๎ูตรวจสอบการใช๎ภาษา เฉลย 1.ก 2.ก 3.ข 4.ข 5.ก 6.ง 7.ข 8.ง 9.ก 10.ก

ใบความรู้ เรอ่ี ง การเขียนโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภททดลอง โครงงานที่มีลกั ษณะการออกแบบการทดลอง เพ่อื ศึกษาผลของตัวแปรตัวหนึ่ง โดย ควบคุมตวั แปรอื่น ๆ ตวั อยํางโครงงาน เชนํ การทายากันยุงจากพชื ในท๎องถน่ิ การใช๎มลู วิธีปอู งกนั ววั กนิ ใบพืช การบงั คับผลแตงโมเป็นรูปสเ่ี หล่ยี ม 2. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทการสารวจ โครงงานประเภทน้ีไมํกาหนดตัวแปรในการเก็บข๎อมลู อาจเป็นการสารวจในภาคสนาม หรือในธรรมชาตหิ รอื นามาศึกษาในหอ๎ งปฏิบตั ิการ ตัวอยํางโครงงานประเภทนี้เชํน การสารวจพืช พันธไ์ุ มใ๎ นโรงเรยี นในท๎องถิน่ การสารวจพฤติกรรมด๎านตาํ ง ๆ ของสตั ว์ 3. โครงงานวทิ ยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์ โครงงานประเภทนีเ้ ป็นการประดิษฐส์ ง่ิ ใดส่ิงหนึง่ เครือ่ งมือเคร่อื งใช๎ หรอื อปุ กรณ์เพอ่ื ใช๎สอยตาํ ง ๆ สิ่งประดิษฐอ์ าจคิดขึน้ มาใหมํ ปรับปรงุ หรือสร๎างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลักการ ทางวทิ ยาศาสตร์ ใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มกี ารกาหนดตัวแปรทีจ่ ะศึกษา และทดสอบ ประสิทธภิ าพของชน้ิ งานดว๎ ย 4. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททฤษฎี โครงงานประเภททฤษฎี เปน็ โครงงานทผ่ี ูท๎ าโครงงานจะต๎องศึกษารวบรวมขอ๎ มูลความรู๎ หลกั การ ข๎อเท็จจรงิ และแนวความคิดตาํ ง ๆ อยาํ งลึกซง้ึ แลว๎ เสนอเป็นหลักการ แนวความคิดใหมํกฎ หรือทฤษฎีใหมํ 2. การเลือกหัวข๎อโครงงาน หวั ข้อโครงงานมกั จะไดจ้ ากขอ้ มูลดังต่อไปนี้ 1. สอื่ สง่ิ พิมพ์เชนํ หนังสือเรียน หนังสือพิมพ์วารสาร เอกสารเผยแพรํ แผํนพบั 2. สือ่ วทิ ยุโทรทัศน์ 3. การทศั นศึกษา เชํน การไปศกึ ษาดูงาน 4. งานอดเิ รก 5. ศกึ ษาจากโครงงานวทิ ยาศาสตร์ของผ๎ูอื่นที่ได๎ทาไวแ๎ ล๎ว 6. การปรึกษาผ๎มู คี วามร๎ู 7. การหาข๎อมูลจากอนิ เทอร์เน็ต

ลาดับขน้ั ตอนในการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สารวจและตดั สินใจเลือกเร่ืองท่จี ะทาโครงงาน ศึกษาข๎อมูลท่ีเกี่ยวข๎องกบั เรอ่ื งท่จี ะทาเอกสารและแหลงํ ข๎อมลู ตาํ ง ๆ วางแผนทดลอง การใชว๎ ัสดอุ ุปกรณ์และระยะเวลาในการดาเนนิ งาน เขียนเคา๎ โครงของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ลงมอื ศึกษาทดลอง วิเคราะห์ขอ๎ มูลและสรปุ ผล เขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ เสนอผลงานของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 3. การเขียนโครงงาน การเขียนรายงานโครงงาน ควรใชภ๎ าษาทอ่ี าํ นแลว๎ เขา๎ ใจงาํ ย กะทัดรัด ตรงไปตรงมา และการ เขยี นรายงานโครงงานไมํควรยาวเกนิ ไป เพราะทาให๎ไมํนําสนใจเทาํ ทีค่ วร หัวเร่อื งในการเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรม์ ดี ังน้ี 1. ชื่อโครงงาน 2. ชื่อผู๎ทาโครงงาน 3. ชอ่ื ท่ปี รกึ ษา 4. บทคัดยอํ 5. ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน 6. จดุ มุํงหมายของการศึกษาค๎นควา๎ 7. สมมติฐานของการศกึ ษาค๎นคว๎า (ถ๎ามี) 8. วธิ ดี าเนนิ การ 8.1 วสั ดอุ ปุ กรณ์ 8.2 วธิ ดี าเนินการทดลอง 9. ผลการศึกษาค๎นควา๎ 10. สรุปและข๎อเสนอแนะ 11. คาขอบคุณหนํวยงาน หรือบคุ ลากรทีม่ สี ํวนชํวย 12. เอกอา๎ งอิง 4. การนาเสนอโครงงาน

หลงั จากทาโครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ สรจ็ แลว๎ ต๎องนาเสนอโครงงาน การแสดงผลงานโครงงาน นั้นอาจทาได๎หลายรูปแบบ เชํน การแสดงในรปู นิทรรศการ หรอื ในรปู ของการรายงานปากเปลํา แตํไมํวาํ จะแสดงผลงานรูปแบบใด จะต๎องครอบคลุมประเด็นดังตํอไปน้ี 1. ชือ่ โครงงาน ชอื่ ผ๎ทู าโครงงาน ช่ือท่ปี รกึ ษา 2. คาอธบิ ายถงึ เหตุจูงใจในการทาโครงงาน และความสาคัญของโครงงาน 3. วธิ ดี าเนินการ โดยเลือกเฉพาะข้ันตอนท่เี ดํนและสาคัญ 4. การสาธิต หรือแสดงผลทไี่ ดจ๎ ากการทดลอง 5. ผลการสังเกต และข๎อมูลตําง ๆ ท่ไี ดจ๎ ากการทาโครงงาน นอกจากนีแ้ ล๎วยงั ตอ๎ งคานึงถึงส่ิงตําง ๆ ตอํ ไปนี้ 1. ความแขง็ แรงและความปลอดภยั ของนิทรรศการ 2. ความเหมาะสมกับ พน้ื ท่จี ัดแสดง 3. คาอธิบายควรเน๎นหวั ข๎อท่ีสาคัญ ใช๎ข๎อความกะทดั รดั ชัดเจน และเข๎าใจงําย 4. ใชต๎ าราง และรูปภาพประกอบ 5. สง่ิ ท่ีจัดแสดงจะตอ๎ งถูกต๎อง ไมมํ ีคาสะกดผิด หรอื อธิบายหลกั การผิด 6. ในกรณที ีเ่ ป็นโครงงานประดิษฐส์ ง่ิ ประดิษฐ์จะต๎องสามารถทางานไดอ๎ ยํางสมบูรณ์ ในกรณที จี่ ัดแสดงผลงานดว๎ ยปากเปลํา จะต๎องคานึงถงึ เรื่องตํอไปนี้ 1. ตอ๎ งเข๎าใจเรื่องที่อธบิ ายอยํางดี 2. ภาษาที่ใชต๎ ๎องกะทัดรัด เข๎าใจงาํ ย ตรงไปตรงมา 3. ควรรายงานแบบเปน็ ธรรมชาติไมํควรรายงานแบบทํองจา 4. ตอบคา ถามอยาํ งตรงไปตรงมา 5. ควรรายงานใหเ๎ สรจ็ สิน้ ภายในเวลาทีก่ าหนด 6. ควรมีส่อื อปุ กรณ์ ประกอบการรายงานด๎วยเพือ่ จะทาให๎การรายงานสมบรู ณ์มากยิ่งขนึ้

ใบงาน โครงงานวิทยาศาสตร์ คาสัง่ ให๎ผเ๎ู รยี นแบงํ กลํุม ๆ ละ 3 คน เขียนเคา๎ โครงงานท่ตี นเองต๎องการจะทากลมํุ ละ 1 โครงงาน 1. ช่ือโครงงาน............................................................................................................................................................... 2. ชอื่ ผ๎ูทาโครงงาน 1............................................................................................................................ ........................................................ 2 .................................................................................................................................................................................... 3. ชือ่ ท่ีปรกึ ษา................................................................................................................................................................. 4. ทมี่ าและความสาคญั ของโครงงาน ........................................................................................................................ ................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ..................................................................................................................... ................................................................... 5. จดุ มงํุ หมายของการศึกษาค๎นควา๎ .......................................................................................................................................................................... ............... .................................................................................................................... .................................................................... 6. สมมติฐานการคน๎ คว๎า ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... 7. วิธีการดาเนินการ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………........... ….............................................................................................................................. ........................................................ 7.1 วสั ดุ อปุ กรณ์ และสารเคมี .................................................................................................................................. ....................................................... ........................................................................................................................................................................................

แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 4 การจัดทาหน่วยเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลศรีโคตร ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สปั ดาห์ที่ 4 วันท่ี 7 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว1๑๐๐๑ จานวน 3 หนว่ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี ๒.๒ มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจ และทักษะพนื้ ฐานเกีย่ วกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔. หนว่ ยการเรียนรู้/เร่ืองการแยกสาร ๕. สาระสาคัญ ความสาคญั วธิ ีการและกระบวนการแยกสารตํอการนาไปใชป๎ ระโยชน์มีการใช๎วธิ ีการแยกสารท่ีเหมาะสม ๖. เนอื้ หา -การแยกสาร -การเข๎าสรูํ าํ งกายของสาร -ประเภทของสารท่ีพบในชีวิตประจาวัน -สารและผลิตภณั ฑ์ของสารที่ใชใ๎ นชีวติ ประจาวนั -ผลกระทบที่เกิดจากสารตํอชีวิตและสิง่ แวดลอ๎ ม ๗. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) ๑. อธิบายความสาคัญวิธกี ารและกระบวนการแยกสารได๎ ๒. สามารถเลือกใชว๎ ธิ ีการแยกสารท่ีเหมาะสมและนาไปใช๎ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได๎ ๘. การบูรณาการกับหลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ 1. ความรใู๎ นเรอื่ งของการแยกสาร 2. มีความรูแ๎ ละมีทกั ษะในการใช๎สือ่ และอุปกรณ์ คุณธรรม 1. ความสามคั คี 2. ชํวยเหลอื แบํงปนั ความเอือ้ เฟื้อเผื่อแผํ 3. มีวนิ ัย ตรงตอํ เวลาความรับผดิ ชอบ 4. ใฝรุ ๎ูใฝเุ รียน มีจติ อาสา พอประมาณ 1. นักศกึ ษาร๎ูจักบริหารเวลาในการทากจิ กรรมในการเรียนการสอน 2. นักศึกษาทากจิ กรรมได๎เต็มศักยภาพตนเอง มเี หตผุ ล 1. มีความร๎ูความเข๎าใจในการเลือกใช๎เทคโนโลยีในการสบื คน๎ ข๎อมูลและนาเสนอ 2. นาความรูท๎ ไ่ี ดไ๎ ปปรับใชใ๎ นชีวติ ประจาวนั

มีภมู คิ ุ้มกนั 1. มีการวางแผนในการสบื คน๎ ข๎อมลู จากแหลงํ เรียนรู๎ตํางๆ 2. มกี ารวางแผนการทางานอยาํ งรอบคอบดว๎ ยความสามคั คจี นทาให๎งานสาเรจ็ วตั ถุ -การใช๎สอื่ ตําง ๆ ในการศกึ ษาค๎นควา๎ และแก๎ปัญหา เพ่ิมเตมิ สังคม 1. นกั ศึกษามคี วามรู๎เก่ียวกับการวางแผนการทางาน 2. นกั ศกึ ษาสามารถทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ทักษะปฏสิ มั พนั ธ์ กับบุคคลอื่น ทักษะการฟังที่ดี สงิ่ แวดล้อม - นักศกึ ษาเลือกแนวทางในการใช๎แยกสาร เพ่ือลดผลการทบตํอทรัพยากรธรรมชาติ ในชีวิตประจาวัน วฒั นธรรม - มคี วามรบั ผิดชอบตํอตนเองและผ๎ูอน่ื มีความเอื้อเฟ้ือแบํงปนั ความร๎ู และชํวยเหลอื ผอู๎ ื่นดว๎ ยความเต็มใจในท๎องถ่ิน 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูสอบถามนักศึกษาเร่ืองการแยกสาร ๒. ช้ีแจงจดุ ประสงค์การเรยี นรู๎ ขั้นที่ ๒ แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธิบายวิธกี ารแยกสารตํางๆ 2. นกั ศึกษาอภิปรายเลือกใชว๎ ิธกี ารแยกสารทเ่ี หมาะสม และนามาใช๎ ขั้นที่ ๓ การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. นักศึกษาทาแบบทดสอบกํอน - หลังเรียน ๒. ครูสรุปองคค์ วามรูใ๎ นเน้ือหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลี่ยนความร๎ู ขัน้ ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ประเมินจากใบงาน 2. สังเกตจากการนาเสนอหน๎าช้ันเรยี น 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสอื แบบเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ 2. ใบงาน 1 เรือ่ ง การแยกสาร 3. แบบทดสอบ 4. ใบความร๎ูเร่อื ง การแยกสาร 5. อนิ เตอรเ์ น็ต 6. ห๎องสมดุ 11. การวัดและประเมินผล

1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน 2. เคร่อื งมอื วัดและประเมนิ ผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผอู๎ ื่น ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอู๎ ่นื ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น เกณฑ์ผาํ นและไมผํ ําน กิจกรรมเสนอแนะ .......................................................................................................... ............................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชอื่ …………………………………………….ครผู สู๎ อน (นางสาวจันทรท์ พิ ย์ ศรีลัย) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชือ่ ………………………………………………………ผูอ๎ นุมตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน

บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ การจดั ทาหน่วยเรยี นร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง คร้งั ที่ 4 วนั ที่ 7 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ๎สู อน นางสาวจนั ทรท์ ิพย์ ศรีลยั ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พน้ื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว1๑๐๐๑ จานวนผูเ๎ รยี นทงั้ หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมํเข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ .................................................................................................................................. .............................. .................................................................................................... ............................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ....................................................... (นางสาวจันทร์ทิพย์ ศรีลยั ) ครูผสู๎ อน วนั ท่.ี ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน วนั ท.่ี ............../.................../...............

ใบความรู้ เรอ่ื ง การแยกสาร หลกั และวธิ ีการแยกสาร 1. การแยกสารเน้ือผสม 1.1 การกรองคือการทาให๎ของแข็งและของเหลวแยกออกจากกันโดยใช๎วัสดุตํางๆนอกเหนือ จากกระดาษ กรองก็ได๎ เชํน ผ๎าขาวบางหรือผ๎าชนิดตํางๆ เป็นต๎นสํวนวิธีกรองน้ันก็นาท่ีมีส่ิงอ่ืนๆเจือปนมาเทลงที่กระดาษกรองท่ี พับ เป็นรูปกรวยและใสํกรวยแก๎วไว๎แล๎วถ๎าของแข็งท่ีเจือปนอยํูในของเหลวนั้นมี ขนาดใหญํกวํา10 ยกกาลังลบ4 ของแข็งน้ันก็ไมํสามารถผํานกระดาษกรองไปได๎แตํถ๎า เล็กกวําก็จะสามารถผํานได๎ สาหรับกรณีท่ีของแข็งเล็กกวํา10 ยกกาลงั ลบ4 นนั้ เราก็สามารถใชก๎ ระดาษเซลโลเฟน ท่ีมีขนาด10 ยกกาลังลบ7 ก็ได๎ 1.2 การระเหิด (sublimation หรือ primary drying) คือ ปรากฏการณท์ ่ีสสารเปลีย่ นสถานะจาก ของแขง็ กลายเปน็ ไอหรือกา๏ ซ ที่อุณหภูมิต่ากวําจุดหลอมเหลว โดยไมํผาํ นสถานะ ของเหลว ปัจจัยที่มผี ลต่อการระเหิด 1.อณุ หภมู ิ อัตราการระเหิดเปน็ สดั สวํ นโดยตรงกับอุณหภูมิ 2.ชนดิ ของของแข็ง ของแข็งทม่ี แี รงยดึ เหนี่ยวระหวาํ งอนุภาคน๎อยจะระเหดิ ได๎งําย 3.ความดันของบรรยากาศ ถ๎าความดันของบรรยากาศสงู ของแข็งจะระเหดิ ไดย๎ าก 4.พนื้ ทผี่ วิ ของของแข็ง ถ๎ามีพื้นทมี่ ากจะระเหดิ ไดง๎ ําย 5.อากาศเหนือของแข็ง อากาศเหนือของแข็งจะต๎องมีการถํายเทเสมอ เพอื่ ปูองกนั การอ่ิมตัวของไอ สารทร่ี ะเหิดได้ได๎แกํ แนฟทาลนี (ลูกเหมน็ )คารบ์ อนไดออกไซด์ (น้าแข็งแหง๎ )การบูรพมิ เสน 1.3 การใช้แม่เหลก็ ดดู การใช๎อานาจแมํเหล็ก เป็นวิธีท่ีใช๎แยกองค์ประกอบของสารเน้ือผสมซ่ึงองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติในการ ถูก แมํเหล็กดูดได๎ เชํน ของผสมระหวํางผงเหล็กกับผงกามะถัน โดยใช๎แมํเหล็กถูไปมาบนแผํนกระดาษที่วางทับของผสม ทง้ั สอง แมํเหลก็ จะดูดผงเหลก็ แยกออกมา 1.4 การใชม้ อื หยิบออกหรือเขี่ยออก ใช๎แยกของผสมเนื้อผสม ที่ของผสมมีขนาดโตพอที่จะหยิบออกหรือเข่ียออกได๎ การแพรํคือการเคลื่อนที่ของ โมเลกุลของสารชนิดหน่ึงจากท่ีหนึ่งไปยังอีกท่ี หน่ึง ท้ังนี้การแพรํเกิดได๎หลายรูปแบบแล๎วแตํแรงขับเคลื่อนที่มีใน ขณะนัน้ การแพรขํ องสารแบบธรรมดา (simple diffusion) คือการเคลือ่ นทข่ี องโมเลกุลสาร จากท่ีที่ความเข๎มข๎นมาก ไปความเข๎มขน๎ น๎อย ตัวอยํางท่ีเห็นงํายๆก็ คือ เวลาเราหยดหมึกลงในน้าแล๎วโมเลกุลหมึกคํอยๆกระจายไปในโมเลกุล นา้ 1.5 การตกตะกอน การตกตะกอน ใช๎แยกของผสมเน้ือผสมท่ีเป็นของแข็งแขวนลอยอยูํในของเหลว ทาได๎โดยนาของผสมน้ันวาง ท้งิ ไวใ๎ หส๎ ารแขวนลอยคอํ ยๆ ตกตะกอนนอนกน๎ ในกรณีทีต่ ะกอนเบามากถ๎าต๎องการให๎ตกตะกอนเร็วข้ึนอาจทาได๎โดย ใช๎สารตัวกลางให๎อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากขึ้น น้าหนักจะมากขึ้นจะตกตะกอนได๎เร็วข้ึน เชํน ใช๎

สารส๎มแกวํง อนุภาคของสารส๎มจะทาหน๎าทีเ่ ปน็ ตวั กลางใหโ๎ มเลกุลของสารที่ต๎องการตกตะกอนมาเกาะ ตะกอนจะตก เร็วขึน้ 1.6 การใชก้ รวยแยก ใช๎แยกสารเนื้อผสม ที่เป็นของเหลวผสมอยูํกับของเหลวแตํไมํรวมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยของเหลวที่มี ความ หนาแนนํ น๎อยกวาํ จะอยํขู ๎างบน ของเหลวที่มีความหนาแนํนมากกวํา จะอยูํข๎างลําง ตัวอยําง การแยกน้ามันที่ผสมปน อยํูกับน้า ทาได๎โดยนาของผสมมาใสํลงในกรวยแยก น้ามันมีความหนาแนํนน๎อยกวําน้าจะลอยอยูํเหนือน้า จากนั้น คอํ ย ๆเปิดกอ๏ กของกรวยแยกไข แยกนา้ ออกมากอํ น และแยกน้ามนั ออกมาทหี ลงั 1.7 การสกัดดว้ ยตัวทาละลาย การสกัดดว๎ ยตัวทาละลาย เป็นวิธีทาสารให๎บรสิ ุทธิ์ หรือเปน็ วิธีแยกสารออกจากกันวิธีหน่ึงการสกัดด๎วยตัวทา ละลาย อาศยั สมบตั ขิ องการละลายของสารแตลํ ะชนิดสารทีต่ ๎องการสกดั ตอ๎ งละลายอยใูํ นตวั ทาละลายซอลซ์เลต เป็น เครื่องมือท่ีใช๎ตัวทาละลายปริมาณน๎อย การสกัดจะเป็นลักษณะการใช๎ตัวทาละลายหมุนเวียนผํานสารที่ต๎องการสกัด หลายๆ คร้งั ตํอเนื่องกันไปจนกระท่ังสกัดสาร ออกมาไดเ๎ พยี งพอ หลกั การสกัดสาร เติมตัวทาละลายที่เหมาะสมลงในการท่ีเราต๎องการสกัดจากนั้นก็เขยําแรงๆหรือนาไปต๎ม เพื่อให๎สารท่ีเรา ต๎องการจะสกัดละลายในตัวทาละลายที่เราเลือกไว๎ สารที่เราสกัดได๎นั้นยังเป็นสารละลายอยูํ ถ๎าเราต๎องการทาให๎ บริสุทธิ์เราควรจะนาสารที่ได๎ไปแยกตัวทาละลายออกมากํอน อาจจะนาไประเหย หรือนาไปกล่ันตํอไป ตัวอยํางเชํน การสกดั น้าขิงจากขิง การสกดั คลอโรฟีลลข์ องใบไม๎ 2. การแยกสารเนอ้ื เดียว 2.1 การระเหยแห้ง การแยกสารด๎วยวิธีนี้เหมาะสาหรับใช๎แยกสารผสมที่เป็นของเหลวและมีของแข็ง ละลายในของเหลวนี้ จน ทาให๎สารผสมมีลักษณะเป็นของเหลวใส ซ่ึงเราเรียกสารผสมน้ีวํา สารละลาย เชํน น้าทะเล น้าเชื่อมน้าเกลือ เป็นต๎น การแยกสารโดยวิธีการระเหยแห๎งนิยมใช๎ในการแยกเกลือออกจากน้าทะเล มีการนาเกลือเพื่อแยกน้าทะเลให๎ได๎เกลือ สมุทรโดยวิธีการระเหยแห๎ง ชาวนาเกลือเตรีมแปงนาแล๎วใช๎กังหันฉุดน้าทะเลเข๎าส๎ูแปลงนาเกลือหลังจาก น้ันปลํอย ให๎น้าทะเลได๎รับแสงแดดเป็นเวลานานจนกระทั่งน้าระเหยจนแห๎ง จะเหลือเกลืออยํูในนา เกลือท่ีได๎น้ีเรียกวํา เกลือ สมุทรซ่ึงเป็นเกลอื ท่ีนามาปรงุ อาหาร ทาเครื่องดมื่ การเปลยี่ นอุณหภมู ิและความดนั วธิ นี ีใ้ ช๎สาหรบั แยกของผสมที่องค์ประกอบทัง้ หมดเปน็ กา๏ ซแตลํ ะชนดิ มจี ุด เดอื ดไมํเทํากัน การใชค้ วามรอ้ นวธิ นี แ้ี ยกของผสมชนดิ กา๏ ซละลายในของเหลว 2.2 โครมาโทรกราฟี อาศัยสมบตั ิ2ประการคือ สารตาํ งชนดิ กนั มีความสามารถในการละลายในตวั ทาละลายได๎ตาํ งกนั สารตํางชนดิ กันมีความสามารถในการถูกดูดซับด๎วยตวั ดูดซบั ได๎ตํางกนั

โครมาโทกราฟี (chromatography)เป็นการแยกสารผสมที่มีสี หรือสารท่ีสามารถทาให๎เกิดสีได๎ วิธีการนี้ จะมีเฟส 2 เฟส คือ เฟสอยกูํ ับท่ี (stationary phase) กบั เฟสเคลอ่ื นที่ (mobile phase) โดยที่สารในเฟสอยูํกับท่ี จะทาหน๎าที่ดูดซับ (adsorb) สารผสมด๎วยแรงไฟฟูาสถิตย์ สารที่ใช๎ทาเฟสอยํูกับท่ีจึงมีลักษณะเป็นผง ละเอียดมี พ้ืนท่ีผิวมากเชํนอลูมินา (alumina,Al2O3) ซิลิกาเจล(silica gel,SiO2) หรืออาจจะใช๎วัสดุที่สามารถดูดซับได๎ดี เชํน ชอล์ก กระดาษ ซงึ่ สารทที่ าหนา๎ ท่ดี ดู ซับในเฟสอยํูกับที่ เชํน น้า สํวนเฟสเคล่ือนที่จะทาหน๎าที่ชะ (elute)เอาสาร ผสมออกจากเฟสอยํูกับที่ให๎เคล่ือนที่ไปด๎วย การจะเคล่ือนท่ี ได๎มากหรือน๎อยขึ้นอยํูกับแรงดึงดูดระหวํางสารในสาร ผสมกบั ตวั ดดู ซับในเฟสอ ยกูํ บั ท่ี ดังน้ันสารท่ีใช๎เป็นเฟสเคล่ือนท่ีจึงได๎แกํ พวกตัวทาละลาย เชํน ปิโตรเลียมอีเทอร์ เฮ กเซน คลอโรฟอร์ม เบนซีน ฯลฯ การทาโครมาโทกราฟีสามารถทาได๎หลายวิธีจะแตกตํางกันท่ีเฟสอยํูกับที่วํา อยํูใน ลักษณะใด เชํน -โครมาโทกราฟีแบบคอลัมน์ (column chromatography)ทาได๎โดยการบรรจุสารที่เป็นเฟสอยูํกับท่ี เชํน อลูมินาหรือซิลิกาเจลไว๎ ในคอลัมน์ แล๎วเทสารผสมที่เป็นสารละลายของเหลวลงสํูคอลัมน์ สารผสมจะผําน คอลัมน์ช๎าๆ โดยตัวทาละลายซ่ึงเป็นเฟสเคลื่อนท่ี เป็นผ๎ูพาไป สารในเฟสอยูํกับท่ีจะดูดซับสารในสารผสมไว๎ สวํ นประกอบใดของสารผสมทีถ่ กู ดูด ซับได๎ดีจะเคล่ือนท่ีช๎า สํวนท่ีถูกดูดซับไมํดีจะเคลื่อนท่ีได๎เร็ว ทาให๎สารผสมแยก จากกันได๎ - โครมาโทกราฟีแบบช้ันบาง (thin layer chromatography)เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบ(plane chromatography) โดยทาเฟสอยํูกับที่ให๎มีลักษณะเป็นครีมข๎น แล๎วเคลือบบนแผํนกระจกให๎ความหนาของการ เคลือบเทํากันตลอดแล๎วนาไปอบให๎แห๎ง หยดสารละลายของสารผสมที่ต๎องการแยกบนแผํนท่ีเคลือบเฟสอยูํกับท่ีนี้ไว๎ แล๎วนาไปจุํมในภาชนะที่บรรจุตัวทาละลายที่เป็นเฟสเคล่ือนที่ไว๎ โดยให๎ระดับของตัวทาละลายต๎องอยํูต่ากวําระดับ ของจุดทหี่ ยดสารผสมไว๎ ตัวทาละลายจะซมึ ไปตามเฟสอยูกํ ับที่ด๎วยการซึมตามรูเล็กเหมือนกับน้าที่ซึมไป ในกระดาษ หรือผ๎า เมื่อซึมถึงจุดท่ีหยดสารผสมไว๎ ตัวทาละลายจะชะเอาองค์ประกอบในสารผสมนั้นไปด๎วยอัตราเร็วท่ีแตกตําง กัน ท้ังน้ีข้ึนอยูํกับสภาพมีข้ัว (polarity) ของสารที่เป็นองค์ประกอบกับสารที่เป็นตัวทาละลาย ถ๎าตัวทาละลายเป็น โมเลกุลมขี วั้ (polar molecules) จะชะเอาสารในสารผสมท่เี ปน็ สารมขี ั้วไปดว๎ ยไดเ๎ รว็ สํวนสารที่ไมมํ ขี วั้ ในสารผสมจะ ถกู ชะพาไปได๎ชา๎ สารผสมกจ็ ะแยกออกจากกัน - โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ (paper chromatography)เป็นโครมาโทกราฟีแบบระนาบอีกแบบหน่ึง มี วิธีการและหลักการเหมอื นกบั โครมาโทกราฟแี บบช้นั บาง แตกตาํ งกันทีเ่ ฟสอยูํกับที่ใช๎กระดาษที่สามารถดูดซับได๎แทน กระจกที่เคลอื บ ดว๎ ยซลิ กิ าเจล – โครมาโทกราฟีแบบแกส๏ (gas chromatography , GC) ใชส๎ าหรบั แยกสารผสมที่เป็นแก๏ส โดยมีเฟสเคลื่อนทเ่ี ป็น แก๏สเชนํ กันแตํไมํทาปฏิกิรยิ ากบั สารผสม เชนํ ฮเี ลยี ม จะทาหนา๎ ทเี่ ป็นตวั พา (carier) สารผสม สํวนเฟสอยกูํ บั ท่ี อาจจะเปน็ ของแข็งหรือของเหลวที่บรรจุอยํใู นคอลัมน์ เมื่อทงั้ ตวั พาและสารผสมเคล่อื นท่ผี ํานคอลัมนน์ ้ี เฟสอยูํกบั ท่ี ในคอลัมนจ์ ะดึงดูดดว๎ ยแรงดึงดดู ไฟฟูาสถติ ย์ตามความเป็นขวั้ ของ สารกบั โมเลกุลในสารผสมทาให๎องค์ประกอบในสาร ผสมถูกพาไปด๎วยอตั ราเร็วทตี่ ําง กนั สารผสมกจ็ ะแยกออกจากกัน ปจั จุบนั เทคนคิ ของโครมาโทกราฟีได๎ถูกพัฒนาให๎สามารถทางานได๎รวดเร็ว และใช๎แยกสารตัวอยํางได๎คร้ังละ หลายสารตัวอยําง เชํน Gas – Liquid Chromatography (GLC), High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เป็นต๎น

หลักการของโครมาโทกราฟี โครมาโทกราฟี อาศัยหลักการละลายของสารในตัวทาละลาย และการถูกดูดซับโดยตัวดูดซับ โดยสารที่ ต๎องการนามาแยกโดยวิธีนี้จะมีสมบัติการละลายในตัวทาละลาย ได๎ไมํเทํากัน และตัวถูกดูดซับโดยตัวดูดวับได๎ไมํ เทํากนั ทาให๎สารเคล่ือนทไี่ ด๎ไมเํ ทํากัน วธิ ีการทาโครมาโทกราฟี นาสารท่ีต๎องการแยกมาละลายในตัวทาละลายท่ีเหมาะสมแล๎วให๎เคล่ือนท่ีไปบนตัวดูดซับ การเคลื่อนที่ของ สารบนตัวดูดซบั ขึน้ อยูกํ บั ความสามารถในการละลายของสารแตลํ ะชนิดในตัวทาละลาย และความสามารถในการดูด ซับทม่ี ีตํอสารน้นั กลาํ วคอื สารท่ลี ะลายในตวั ทาละลายได๎ดี และถกู ดดู ซบั น๎อยจะถูกเคลื่อนท่ีออกมากํอน สํวนสารที่ ละลายได๎น๎อยและถกู ดดู ซบั ไดด๎ ี จะเคล่ือนท่ีออกมาทีหลงั ถา๎ ใชต๎ ัวดูดซบั มากๆ จะสามารถแยกสารออกจากกนั ได๎ การเลอื กตัวทาละลายและตัวดดู ซับ 1. ตัวทาละลายและสารทต่ี ๎องการแยกจะต๎องมีการละลายไมํเทาํ กัน 2. ควรเลือกตัวดดู ซับทมี่ ีการดูดซบั สารได๎ไมํเทํากนั 3. ถ๎าตอ๎ งการแยกสารทผ่ี สมกันหลายชนิด อาจต๎องใชต๎ ัวทาละลายหลายชนิดหรอื ใช๎ตัวทาละลายผสม 4. ตัวทาละลายทีน่ ิยมใช๎ ได๎แกํ เฮกเซน ไซโคลเฮกเซน เบนซนี อะซโี ตน คลอไรฟอร์ม เอธานอล 5. ตวั ดูดซบั ท่นี ยิ มใช๎ ไดแ๎ กํ อะลูมินาเจค (Al2O3) ซิลิกาเจล (SiO2) ขอ้ ดีของโครมาโทกราฟี 1. สามารถแยกสารทีม่ ีปริมาณน๎อยได๎ 2. สามารถแยกได๎ทัง้ สารท่ีมสี ี และไมํมีสี 3. สามารถใช๎ได๎ท้งั ปริมาณวเิ คราะห์ (บอกไดว๎ ําสารทแ่ี ยกออกมา มปี ริมาณเทาํ ใด)และคณุ ภาพวิเคราะห์ (บอกได๎วําสารน้นั เป็นสารชนิดใด) 4. สามารถแยกสารผสมออกจากกันได๎ 5. สามารถแยกสารออกจากกระดาษกรองหรอื ตวั ดูดซบั โดยสกดั ดว๎ ยตัวทาละลาย 2.3 การกลัน่ (distillation) การกลนั่ เป็นการแยกสารละสายทเ่ี ปน็ ของเหลวออกจากของผสม โดยอาศัยหลักการระเหยกลายเป็นไปและ ควบแนํน โดนท่ีสารบริสุทธิ์แตํละชนิดเปล่ียนสถานะได๎ที่อุณหภูมิจาเพาะ สารที่มจุดเดือดต่าจะเดือดเป็นไอออกมา กอํ น เมอ่ื ทาใหไ๎ อของสารมีอณุ หภมู ิต่าลงจะควบแนนํ กลบั มาเป็นของเหลวอีกคร้งั 2.3.1การกล่ันแบบธรรมดาหรอื การกลน่ั อยา่ งง่าย(simple distillation) เป็นวิธีการที่ใช๎กลั่นแยกสารที่ระเหยงํายซึ่งปนอยํูกับสารที่ระเหยยาก การกล่ันธรรมดานี้จะ ใช๎แยกสาร ออกเป็นสารบริสุทธิเ์ พียงคร้ังเดยี วได๎สารที่มีจดุ เดือดตาํ งกนั ต้ังแตํ 80 องศาเซลเซียส ข้ึนไปเครื่องมือท่ีใช๎สาหรับการ กลัน่ อยําง

งาํ ย ประกอบด๎วย ฟลาสกลัน่ เทอร์โมมิเตอร์ เคร่อื งควบแนํน และภาชนะรองรับสารท่ีกล่ันได๎ การกล่ันอยําง งาํ ยมเี ทคนิคการทาเป็นขัน้ ๆ ดังนี้ 1. เทของเหลวทีจ่ ะกลัน่ ลงในฟลาสกลนั่ โดยใชก๎ รวยกรอง 2. เตมิ ชน้ิ กันเดือดพลุงํ เพ่ือให๎การเดอื ดเป็นไปอยํางสม่าเสมอและไมรํ นุ แรง 3. เสยี บเทอร์โมมเิ ตอร์ 4. เปดิ น้าใหผ๎ ํานเขา๎ ไปในคอนเดนเซอรเ์ พอื่ ให๎คอนเดนเซอร์เย็นโดยใหน๎ า้ เขา๎ ทางทต่ี ่าแล๎วไหลออกทางท่ีสงู 5. ให๎ความร๎อนแกํพลาสกลั่นจนกระทั่งของเหลวเริ่มเดือด ให๎ความร๎อนไปเร่ือยๆจนกระทั่งอัตราการกล่ัน คงท่ี คอื ได๎สารทีก่ ล่ันประมาณ 2-3 หยด ตํอวินาที ใหส๎ ารที่กลัน่ ไดน๎ ี้ไหลลงในภาชนะรองรบั 6. การกลน่ั ต๎องดาเนินตํอไปจนกระทงั่ เหลอื สารอยํูในฟลาสกล่นั เพยี งเลก็ น๎อยอยาํ กล่นั ให๎แห๎ง การกลน่ั สามารถนามาใช๎ทดสอบความบริสุทธข์ิ องของเหลวได๎ ซ่งึ ของเหลวท่ีบรสิ ทุ ธ์ิจะมีลักษณะดังน้ี 1. สํวนประกอบของสารทีก่ ล่ันได๎ จะมีลักษณะเหมือนกับสํวนประกอบของของเหลว 2. สํวนประกอบจะไมํมีการเปล่ียนแปลง 3. อุณหภมู ิของจุดเดือดในขณะกลั่นจะคงทตี่ ลอดเวลา 4. การกลั่นจะทาใหเ๎ ราทราบจุดเดอื ดของของเหลวบริสุทธิ์ได๎ การกล่ันนอกจากจะนามาใช๎ตรวจสอบ ความบริสุทธิ์ของของเหลวแล๎ว ยังสามารถใช๎กล่ัน สารละลายได๎อีก ด๎วย การกลั่นสารละลายเป็นกระบวนการแยกของแข็งที่ไมํระเหยออกจากตัวทาละลายหรือ ของเหลวที่ระเหยงําย โดยของแข็งที่ไมํระเหยหรือตัวละลายจะอยูํในฟลาสกลั่น สํวนของเหลวที่ระเหยงํายจะถูกกล่ันออกมา เม่ือการกลั่น ดาเนินไปจนกระทง่ั อณุ หภมู ิของการกลน่ั คงที่แสดงวาํ สารที่เหลอื นนั้ เปน็ สารบรสิ ทุ ธิ์ อนึ่งในขณะกล่ันจะสังเกตเห็นวําอุณหภูมิของสารละลายจะเพ่ิมข้ึนเร่ือยๆ เพราะสารละลายเข๎มข๎นขึ้น เนอื่ งจากตวั ทาละลายระเหยออกไปและได๎ของแขง็ ท่ีบริสทุ ธิ์ในทส่ี ุด 2.3.2การกล่ันลาดับสว่ น(fractional distillation) การกล่ันลาดับสํวนเป็นวธิ ีการแยกของเหลวทีส่ ามารถระเหยไดต๎ ง้ั แตํ 2 ชนิดขนึ้ ไป มีหลักการเชํนเดียวกันกับ การกลน่ั แบบธรรมดา คือเพื่อต๎องการแยกองค์ประกอบในสารละลายให๎ออกจากกัน แตํก็จะมีสํวนท่ีแตกตํางจากการ กล่นั แบบธรรมดา คอื การกล่ันแบบกล่ันลาดับสํวนเหมาะสาหรับใช๎กล่ันของเหลวท่ีเป็นองค์ประกอบของ สารละลาย ท่ีจุดเดือดตํางกันน๎อยๆ ในข้ันตอนของกระบวนการกลั่นลาดับสํวน จะเป็นการนาไอของแตํละสํวนไปควบแนํน แล๎ว นาไปกลั่นซ้าและควบแนํนไอเร่ือยๆ ซึ่งเทียบได๎กับเป็นการการกลั่นแบบธรรมดาหลายๆ ครั้งนั่นเอง ความแตกตําง ของการกล่นั ลาดับสวํ นกบั การกลัน่ แบบธรรมดา จะอยูํท่ีคอลัมน์ โดยคอลัมน์ของการกลั่นลาดับสํวนจะมีลักษณะเป็น ช้ันซบั ซอ๎ น เปน็ ชนั้ ๆ ในขณะที่คอลมั นแ์ บบธรรมดาจะเปน็ คอลมั น์ธรรมดา ไมมํ คี วามซบั ซ๎อนของคอลัมน์ ในการกลั่น แบบลาดับสํวน จะต๎องมีการเพ่ิมอุณหภูมิอยํางช๎าๆ ดังนั้น จาเป็นท่ีจะต๎องมีอุปกรณ์ท่ีให๎ความร๎อน (heater) และ สามารถควบคุมอุณหภูมิได๎ เพราะของผสมที่กล่ันแบบลาดับสํวนมักจะมีจุดเดือดที่ใกล๎เคียงกัน ซ่ึงตรงกันข๎ามกับการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook