Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมเล่ม_นวัตกรรมด้านชิ้นงานสร้างสรรค์ 2566

รวมเล่ม_นวัตกรรมด้านชิ้นงานสร้างสรรค์ 2566

Published by Wanpen Instructor, 2023-07-29 17:48:11

Description: รวมเล่ม_นวัตกรรมด้านชิ้นงานสร้างสรรค์ พ.ศ. 2566 ในงานประชุมวิชาการ เรื่อง การวิจัยเชิงสุขภาพ สร้างดุลยภาพชีวิตในยุค Next Normal ณ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

Search

Read the Text Version

14 แผนภมู ทิ ี4่ .1 แผนภมู กิ ารเปรยี บเทียบผลระดับความพงึ พอใจของการนอนท่ีนอนชนดิ เดิมตอ่ นวตั กรรมทนี่ อนหลอดซับพอร์ต กันเปอ้ื น แผนภูมิเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของการใช้งานที่นอนเดิม และนวัตกรรมท่ีนอนหลอดซับพอร์ตกันเปื้ อน (ค่าเฉลีย่ ) 65 4 4.5 4.75 4.5 4 4 5 4.25 4.25 2.5 3.5 4.25 4 3.75 3 2.25 2.5 2.75 2.5 2 1.75 1.5 2 1 0 ทนี่ อนแบบเดมิ นวตั กรรมทน่ี อนหลอดซบั พอร์ตกนั เปือ้ น จากแผนภมู พิ บว่า ระดบั ความพึงพอใจในการใชง้ านนวัตกรรมท่นี อนหลอดซับพอร์ตกนั เปอื้ นมีระดบั ความพึงพอใจ เฉลยี่ มากกวา่ ระดับความพงึ พอใจในการใช้งานที่นอนชนดิ เดมิ สรุปผลการศกึ ษา การศึกษาวจิ ัยคร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ พัฒนานวัตกรรมที่นอนหลอดซับพอรต์ กันเปือ้ น ของนักศึกษาพยาบาลศา สตรบัณฑิตชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ผู้วิจัยใชก้ ารศึกษาการวิจัยกึ่งทดลอง(Quasi Experimental Research )โดยเก็บขอ้ มลู จากการประชาการคอื ผปู้ ว่ ยติดเตยี งท่ีมีแผลกดทบั และมีผ้ดู ูแล กลมุ่ ตวั อย่างที่ใช้ในงานวิจัยคร้ังนี้ คอื ผปู้ ว่ ยติดเตียงทีอ่ าศยั อยู่ใน อำเภอบ้านโป่ง จงั หวัดราชบรุ ี และ อำเภอทองผาภูมิ จังหวดั กาญจนบุรี จำนวน 4 คน โดย ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครือ่ งมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมูลซ่ึงเก็บข้อมูลมาได้ 4 ชุดโดยใช้ประเมินความพึง พอใจในการนอนทน่ี อนทั่วไปโดยประเมินกอ่ นใชง้ านใช้นวตั กรรม โดยแบ่งออกเปน็ 3 ส่วน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 ข้อมลู เก่ียวกบั สถานภาพและขอ้ มูลพื้นฐานของผ้ตู อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ เพศ อายุ คะแนนADL นำ้ หนัก สว่ นสงู ระยะเวลาทน่ี อนตดิ เตียง ชนิดของท่ีนอนเดมิ ทีใ่ ช้ ตอนที่ 2 การประเมินความพึงพอใจในการนอนทน่ี อนแบบทั่วไปของผใู้ ชน้ วตั กรรม ตอนที่ 3 การประเมนิ ความพงึ พอใจในการนอนทน่ี อนนวตั กรรมที่นอนหลอดซบั พอร์ต กนั เป้อื น

15 เอกสารอ้างองิ จฬุ ารตั น์ บนั ลือหาญ.(2558).โครงการทน่ี อนหมอนหลอดปลอดภยั จากแผลกดทับ.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโคก ตะเคียนงาม.สบื ค้นจาhttps://www.govesite.com/uploads/20171118111659ECctOc3/ ปรชั ญพร คำเมอื งลอื .(2563). การฟ้นื ฟูผู้ป่วยทม่ี แี ผลกดทบั . คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่ https://w1.med.cmu.ac.th/rehab/images/Study พรทิพย์ สารีโส.(2560). ประสทิ ธผิ ลการป้องกันการเกิดแผลกดทับของทนี่ อนชนดิ ไมม่ ีการเคลือ่ นทข่ี องลมและชนดิ ทีม่ ีการ เคลอื่ นทข่ี องลม.วารสารสภาการพยาบาล,31(3),195-285.สืบคน้ จาก https://he02.tci- thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/49845 ปรัชญพร คำเมอื งลอื .(2564).การฟ้นื ฟูผู้ป่วยทม่ี ีแผลกดทบั .เวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่ สบื ค้น จากhttps://w1.med.cmu.ac.th/rehab/images/Study_guide/ พมิ พ์นิภา ศรีนพคณุ .(2564).ประสทิ ธิภาพของโปรแกรมการพยาบาล นวตั กรรมที่นอนยางหา่ งหายแผลกดทบั ในผปู้ ่วยกลุ่ม เสย่ี งตอ่ การเกิดแผลกดทบั .พยาบาลสาร,48(4),294-395.สืบคน้ จาก https://www.google.com/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=&ved=2ahUKEwjaoMXj- P35AhVpumMGHaAgB28QFnoECA4QAQ&url=https%3A%2F%2Fhe02.tci- ชวลี แยม้ วงษ.์ (2562).อุบัตกิ ารณแ์ ละปัจจยั เสี่ยงตอ่ การเกิดแผลกดทบั ในผู้ป่วยที่เข้ารบั การรักษาในแผนกอายรุ ศาสตร์. วารสารสภาการพยาบาล,20(1),33-47.สบื คน้ จากhttps://he02.tci- thaijo.org/index.php/TJONC/article/view/5576/4850

1 ถงั ขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เชอ้ื สุดาวดี บญุ มาก1*, วรรณดิ า เจียมจำเรญิ 2, ชาลิสา พนู ดี3, ชตุ นิ ันท์ มาเทศ4, ฐิตาภา ล่าทา5, เมธาพร วุฒิพงศ์วโิ รจน์6,รงุ่ อรุณ เอี่ยมสะอาด7,ศศิกานต์ คล้ายขำ8, อภิญญา พราหมณ์คล้ำ9 วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรัช คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั บรมราชชนก *[email protected] บทคัดย่อ เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาขยะมีปริมาณมากและส่งผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของประชาชน โดยสาเหตุเกิดจากการทิ้งขยะที่ไม่ถูกตามหลักวิธีและไม่แยกขยะส่งผลให้เกิดเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้นจากการที่ขยะปะปนกัน ซึ่ง รัฐบาลได้มีนโยบายควบคุมการทิง้ ขยะโดยส่งเสริมให้เกิดการแยกประเภทของขยะให้ถกู ต้องเพื่อลดปจั จยั เสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค ซึ่งการทิ้งขยะติดเชื้อมีขั้นตอนและวิธีการที่แตกต่างจากขยะทั่วไป การจัดการขยะติดเชื้อของสถานพยาบาล โดยเน้นเรื่อง ความสะอาดและปลอดภัย วิธีการเก็บรวบรวม ขั้นตอนการขนย้ายขยะติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงาน วัสดุอุปกรณ์ จนถึงวิธีการกำจัด ต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด ซึ่งในบุคคลท่ัวไปไม่เห็นถึงความสำคัญในการแยกยะติดเชื้ออกจากขยะท่ัวไปทำให้เกดิ ความ เสี่ยงในการแพร่ของโรคเพิม่ ข้นึ การวิจัยนี้เป็นแบบวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเชื้อ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของ ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK) และขยะติดเชื้อ กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัญฑิตชั้นปีที่ 3 จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK) และขยะติดเชื้อ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินประสิทธิภาพนวัตกรรม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติใช้แจกแจงความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์ ประสทิ ธภิ าพที่มตี ่อการใชถ้ ังขยะทง้ิ Antigen Test Kit (ATK) และขยะตดิ เชอื้ ดว้ ยคา่ เฉล่ียและสถิตคิ า่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลวิจัยพบวา่ ผลจากแบบประเมินประสิทธภิ าพนวตั กรรม ถงั ขยะทงิ้ Antigen Test Kit (ATK) และขยะตดิ เชอื้ ในกล่มุ ตัวอย่าง คือนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้นั ปที ่ี 3 จำนวน 50 คน วผั ลประสทิ ธภิ าพนวัตกรรมตอ่ กลมุ่ ตวั อยา่ งต่อการใชถ้ ังขยะทง้ิ Antigen Kit และขยะติดเช้ือ พบว่า ผลรวมอยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ (X = 4.30, S.D = 2.32) คำสำคัญ : Antigen test kit (ATK), ถงั ขยะ, ขยะติดเชือ้

2 Garbage can for disposing of ATK and infectious waste Sudawadee Boonmak1* , Wannida Jiamjamroen2 , Chalisa Poondee3 , Chutinun Mates4 , Thitapha Lata5 , Maytaporn Wuttipongwirote6 , Rungarun aeamsaard7 , Sasikarn klaikum8 , Apinya Pramklum9 Abstract Thailand is facing the problem of a large amount of waste that affects the health of the people. This was caused by the disposing of garbage that was not according to the method and separating the waste, resulting in more pathogens from the mixed garbage. The government has a policy to control waste disposal by encouraging proper classification of waste to reduce risk factors causing disease. The disposal of infectious waste has different procedures and methods from general waste. The management of infectious waste in hospitals by focusing on cleanliness and safety collection methods. Procedures for transporting infectious waste operators, materials and methods of disposal must comply with the law. The general public does not see the importance of separating infectious agents from general waste, increasing the risk of spreading the disease. This research is a quasi-experimental research with the aim of creating innovative garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. To study the effectiveness of garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. The sample group consisted of 50 third-year bachelor of nursing students. The research instruments were garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. The tool used for data collection was the Innovation Performance Assessment Form. Statistics were used to distribute frequency, percentage, and efficacy analysis on the use of Antigen Test Kit (ATK) trash and infectious waste with mean and standard deviation statistics. The results showed that Results from the innovation efficiency assessment form, garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste. In the sample group of 50 third-year bachelor of nursing students, the results of innovation efficiency per sample on the use of garbage cans for disposing of Antigen Test Kit (ATK) and infectious waste were found at the highest level (X = 4.30, S.D = 2.32). Keywords Antigen test kit (ATK), Garbage, infectious waste

3 บทนำ 1.1 หลักการและเหตุผล จุดเริ่มต้นการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธ์ุใหม่ เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ซึ่งเป็น เมอื งที่มีประชากรมากทส่ี ดุ ในภาคกลางของประเทศจนี กว่า 19 ล้านคน โดยเมอ่ื วนั ท่ี 30 ธนั วาคม 2562 มกี ารรายงานว่า พบ การระบาดของกลุ่มโรคทางเดินหายใจแบบไม่ทราบสาเหตุ หลังจากพบการระบาดของ เชื้อไวรัสสายพันธุใ์ หม่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนและองค์การอนามัยโลก ไดอ้ อกมาระบุวา่ ไวรสั ชนดิ ดังกล่าว คอื เชือ้ ไวรัสโคโรนา หรือ “โควดิ -ไนน์ทนี ” (COVID- 19) ตามการประกาศช่ืออยา่ งเปน็ ทางการที่ใชเ้ รยี กโรคทางเดินหายใจทีเ่ กิดจากไวรสั โคโรนาสายพันธุ์ใหมข่ ององค์การอนามัย โลก และพบการแพร่เชื้อจากคนส่คู น ผา่ นละอองฝอยขนาดเล็ก (aerosol) จากเหตกุ ารณด์ งั กล่าวทำใหเ้ ร่ิมมผี ู้ป่วยเพมิ่ ขน้ึ เป็น วงกว้าง มีการแพร่ระบาดลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ส่งผลกระทบไปทั่วโลกมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่าง รวดเร็ว แม้สถานการณ์ในภาพรวมของประเทศไทยอยู่ในระดับคงตัวมีแนวโน้มลดลง เฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยในระบบบริการ อย่างไรก็ตามยังคงพบผตู้ ิดเช้ือจากการดำเนนิ การเชิงรกุ ในหลายพนื้ ท่ีและเรม่ิ พบการตดิ เช้ือภายในครอบครัว เพ่ือนร่วมงาน/ ร่วมกิจกรรม และบุคคลสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพมหานครมากขึ้น ทำให้ต้องดำเนินการเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างต่อเนื่องทั้งใน พืน้ ที่เสีย่ ง อีกทั้งสถานการณก์ ารระบาดในระดับโลกยังคงมคี วามรนุ แรง และมคี วามเป็นไปได้ท่จี ะพบการแพร่ระบาดเช่นน้ีใน ประเทศไทยเปน็ ระยะ รูปแบบการแพร่ระบาดอาจจะแตกตา่ งกันในแตล่ ะจังหวัด ซ่ึงแต่ละประเทศมีมาตรการการปอ้ งกันและ ควบคมุ การแพร่ระบาดของโควิดทแี่ ตกต่างกนั (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ , 2564) มาตรการด้านสาธารณสุขในประเทศไทยมีมาตรการการล็อกดาวน์ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของ ประชาชนและธุรกิจในวงกว้าง ความรุนแรงของโรคและการแพร่กระจายบีบบังคับให้ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการมี ปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้อ่ืน คนจำนวนไม่น้อยต้องกักตัวทำงานที่บ้าน บ้างต้องด้ินรนหาวิธสี รา้ งรายได้ช่องทางอ่ืน บางคนต้อง เปลี่ยนอาชีพ ต้องประหยัดอดออม และใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น นอกจากนั้น การดำเนินชีวิตในแต่ละวันยังเปลีย่ นแปลงไปตั้งแต่ เช้าจนถึงเขา้ นอน มีมาตรฐานใหมท่ ี่กลายเป็นความจำเป็นในการดำรงชีวติ ประจำวนั เช่น การใส่หนา้ กากอนามัย การพกเจล แอลกอฮอล์เพื่อทำความสะอาดมือ ตลอดจนการหลกี เลีย่ งการสัมผัสวตั ถุสาธารณะ หรือหลีกเล่ียงการอยูก่ ับผู้คนเพื่อป้องกนั การตดิ เชือ้ ซ่ึงส่งผลต่อการเกิดขยะเพมิ่ มากขน้ึ (กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2564) การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ปริมาณของขยะติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นจากแหล่งกำเนิดท่ี ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและความช่วยเหลือของภาคประชาชน เช่น โรงพยาบาลสนาม สถานบริการสาธารณสุข ผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospital) ศูนย์ฉีดวัคซีน (Vaccine Pop-Up) การแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และการแยกกักตวั ในชุมชน (Community Isolation) โดยขยะติดเชื้อที่พบมากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ชุดป้องกันอันตรายสว่ นบุคคล (PPE) และแผน่ ป้องกันใบหน้า (Face Shield) นอกจากน้ี ในกรณีของสถานที่กักตัว หากผู้ป่วยได้ส่ังอาหารเดลิเวอร่ีมารับประทาน กล่องบรรจุอาหารและภาชนะที่ใช้แล้ว รวมท้ัง กระดาษทิชชู่ ก็มีแนวโน้มได้รับการปนเปือ้ นเชื้อและกลายเป็นมูลฝอยติดเชือ้ ด้วย ซึ่งขยะเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการจัดการ อยา่ งถูกตอ้ ง เพ่อื ป้องกนั การแพร่กระจายของเชอ้ื โรคการจดั การขยะตดิ เชอื้ ของโรงพยาบาลสนามและสถานทีพ่ กั คอย สถานท่ี กักตัวในครอบครัวที่มีสมาชิกติดเชื้อ โดยหลักการแล้วไม่แตกต่างจากการจัดการขยะตดิ เชื้อของสถานพยาบาล โดยเน้นเรื่อง ความสะอาดและปลอดภัย วิธีการเก็บรวบรวม ขั้นตอนการขนย้ายขยะติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงาน วัสดุอุปกรณ์ จนถึงวิธีการกำจดั ต้องเปน็ ไปตามกฎหมายกำหนด สว่ นกลุม่ รักษาตัวทีบ่ ้าน (Home Isolation) กม็ ีวธิ แี นะนำการกำจดั ขยะติดเช้ือสำหรับทำเอง ได้ทีบ่ า้ น การคัดแยกให้บรรจุใสใ่ นถงุ ขยะติดเชื้อ (ถงุ แดง) มัดปากถงุ แลว้ พน่ นำ้ ยาฆ่าเชื้อใสถ่ ุงอกี ช้ัน เกบ็ รวบรวมไว้ในจุดที่

4 ปลอดภยั และประสานหน่วยงานที่เกย่ี วข้องเข้ามารับขยะตดิ เชื้อ เชน่ องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ บรษิ ัทเอกชน โรงพยาบาล ชุมชน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพ่ือนำไปกำจดั ต่อไป (มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2564) ปัจจุบันมีการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) อย่างแพร่หลายและอยู่ในชีวิตประจำวันซึ่งจะก่อให้เกิดขยะขนึ้ ซึ่งขยะที่ได้จากการตรวจ Antigen Test Kit (ATK) นั้นจะมีประเภทท่ีแตกต่างกันซึ่งควรมีการคดั แยกเพื่อความปลอดภยั แต่ พบมีผู้ทิ้งชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) แบบที่ใช้แล้วลงถังขยะทั่วไป โดยไม่มีการผูกมัดถุงขยะให้มิดชิดหรือเขียนป้าย บอกเตือน เนื่องจากชุดตรวจ ATK ส่วนที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง น้ำมูก หรือน้ำลาย ที่ใช้ทดสอบถือเป็นขยะติดเชื้อ โดยการทงิ้ ควรแยกเป็น 2 ส่วน คือ ขยะที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือ สารคัดหลั่ง และขยะที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือสารคดั หล่งั ท่ใี ช้ทดสอบ เช่น ตลบั หรือแผน่ ทดสอบ หลอดใสน่ ำ้ ยา ฝาหลอดหยดไม้ Swap และยังมขี ยะทปี่ นเปอื้ นสารคดั หล่ังอน่ื ๆอกี ที่ทิ้งไม่ถูกต้อง เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิชชู่ที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง ซึ่งขยะประเภทนี้ถือเป็นขยะที่มีความเสี่ยงสงู ต้อง แยกจัดการจากขยะทั่วไป เพราะมโี อกาสแพรก่ ระจายเชอ้ื โรคได้ (โรงพยาบาลบางปะกอก, 2565) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช มีมาตรการในการป้องกันโควิดโดยให้นักศึกษามีการตรวจโควิดด้วยตนเอง และมสี ถานท่ีกกั ตวั สำหรบั นักศึกษาทป่ี ่วยเป็นโควิด สง่ ผลให้เกิดขยะประเภทขยะตดิ เชือ้ เพิ่มมากขนึ้ ซง่ึ ภายในวทิ ยาลัยไมม่ ีถัง ขยะติดเชื้อที่สามารถทิ้งขะติดเชื้อและอุปกรณ์ภายหลังการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการ แพร่กระจายเช้ือเพิ่มมากขนึ้ ภายในวิทยาลยั ผูจ้ ดั ทำจึงเลง็ เห็นความสำคัญของการแยกขยะติดเชื้อภายหลังการตรวจโควิดดว้ ย ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK)และการแยกขยะประเภทขยะติดเชื้ออ่นื ๆเช่น หนา้ กากอนามัย ทิชชู่ทป่ี นเปื้อนสารคัดหล่ัง เพื่อออกแบบอปุ กรณถ์ ังขยะท่ีมคี วามเหมาะสมกบั การทง้ิ ขยะอย่างถูกต้องและปลอดภัย 1.2 วัตถปุ ระสงค์ 1.2.1 เพอื่ สรา้ งสรรค์นวตั กรรม ถงั ขยะท้งิ Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเชื้อ 1.2.2 เพอ่ื ศกึ ษาประสทิ ธิภาพของถังขยะทิง้ Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเช้ือ 1.3 สมมตุ ิฐาน 1.3.1 ภายหลงั การใชถ้ งั ขยะทง้ิ Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เชือ้ ผใู้ ช้สามารถทง้ิ ขยะตดิ เชือ้ ได้อยา่ งถูกตอ้ ง มากกว่าก่อนการใช้ 1.4 ตัวแปรศึกษา ตวั แปรตน้ นวตั กรรมท้งิ Antigen Test Kit (ATK) ตวั แปรตาม ประสิทธภิ าพการใชถ้ งั ขยะโดยการใชว้ ิธีการสังเกต ตวั แปรควบคุม นักศกึ ษาพยาบาลศาสตร์บัณฑติ ชั้นปีที่ 3 จำนวน 50 คน 1.5 ขอบเขตของการศกึ ษา 1.5.1 ขอบเขตด้านเน้อื หา - การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง การแยกชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ภายหลังการใช้งาน และการทิ้งขยะติดเชื้ออ่ืนๆอย่างถกู ต้องของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบ์ ันฑิตชนั้ ปีท่ี 3 วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รรี ชั 1.5.2 ขอบเขตดา้ นพน้ื ทที่ ี่ศึกษา - วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช

5 1.5.3 ขอบเขตด้านประชากร - นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบันฑิตชน้ั ปีท่ี 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรรี ัช นกั ศึกษา จำนวน 50 คน 1.5.4 ขอบเขตด้านเวลา - ระยะเวลาในการดำเนนิ การวิจัยตงั้ แตว่ นั ท่ี 6 เดอื นกรกฏาคม พ.ศ.2565 ถงึ วนั ที่ 5 ตลุ าคม พ.ศ. 2565 1.6 คำนิยามศพั ทเ์ ฉพาะ Antigen test kit (ATK) คอื ชดุ ทดสอบโควิด-19 ทีร่ วดเร็วและสะดวกตอ่ การใชง้ านโดยตรวจหาโปรตนี หรือ แอนตเิ จนของเชอื้ ก่อโรคโควดิ -19 โดยการเกบ็ ตัวอยา่ งจากทางจมูกลกึ ถึงคอหรือเก็บจากลำคอ เหมาะสำหรบั ผสู้ ัมผัสโรคระดบั ความเสยี่ งสงู ท่ีมอี าการ เพอื่ คัดแยกตนเองออกจากผ้อู ่ืนและติดตอ่ ขอเข้ารับการรกั ษาหากมกี ารสัมผสั โรคระดบั ความเสย่ี งสูง แตไ่ มม่ ีอาการ อาจใชก้ ารทดสอบนต้ี รวจเบื้องต้น ขยะติดเชอื้ หมายถงึ มูลฝอยทีม่ ีเช้อื โรคปะปนอยู่ ซึง่ ถา้ มีการสัมผสั หรือใกล้ชิดกับขยะนัน้ แล้วสามารถทำให้เกิดโรค ได้ ซึ่งหมายรวมถึงขยะดังต่อไปน้ี ทีเ่ กิดขึ้นหรือใช้ในกระบวนการตรวจวนิ จิ ฉัยทางการแพทย์และการรกั ษาพยาบาล การให้ ภมู คิ ุม้ กนั โรคและการทดลองเกย่ี วกับโรคและการตรวจชนั สูตรศพหรือซากสตั ว์ ขยะตดิ เช้ือที่ปนเปือ้ นสารคดั หลั่ง เชน่ นำ้ มูก เสมหะ และน้ำลายของผ้ปู ่วยโรคโควดิ -19 ขยะติดเชอ้ื เชน่ กระดาษทชิ ชู หนา้ กากอนามยั ชดุ ตรวจแอนติเจนแบบเรว็ (Antigen Test Kit) ขยะทัว่ ไป หมายถงึ มลู ฝอยทเ่ี กดิ จากบ้านพัก รา้ นค้าสวสั ดกิ าร บรเิ วณสาธารณะ และสำนกั งานในโรงพยาบาลทไี่ ม่ เก่ยี วข้องกับการให้การตรวจวนิ ิจฉัย การดูแลรักษาพยาบาล เชน่ เศษกระดาษ เศษใบไมแ้ หง้ เศษวสั ดุ ตา่ ง ๆ ขวด หรอื ภาชนะ พลาสตกิ ทไี่ มส่ ามารถนำกลบั มาใช้ใหม่ได้ ประสิทธภิ าพ หมายถึง กระบวนการ วธิ ีการ หรือการกระทำใด ๆ ท่นี ำไปสผู่ ลสำเร็จ โดยใช้ทรพั ยากรตา่ ง ๆ อันได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน เงนิ ทุน และวิธกี ารดำเนนิ การหรอื ประกอบการ ทีม่ คี ณุ ภาพสงู สุดในการดำเนินการไดอ้ ย่างเตม็ ศักยภาพ อยา่ งไรก็ตามการดำเนนิ การใด ๆ น้นั ก็ขึน้ อยกู่ ับทรัพยากร ณ ขณะนน้ั ดว้ ยวา่ มีคณุ ภาพและปรมิ าณเพียงใด หากมี คณุ ภาพมากการจะใช้อย่างเตม็ ศกั ยภาพได้นัน้ จะตอ้ งใช้ในปรมิ าณนอ้ ยจงึ จะเรียกไดว้ า่ มปี ระสทิ ธิภาพ ตา่ งกันกบั ทรพั ยากรท่ีมี ปริมาณมากแตค่ ุณภาพต่ำท่ีจะต้องเลอื กวธิ ีการดงึ ศกั ยภาพของทรพั ยากรออกมาใหไ้ ด้มากทสี่ ดุ จงึ จะเรียกวา่ มปี ระสิทธภิ าพ 1.7 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั - ค่า 1.7.1 ผู้ใช้สามารถทิ้งขยะตดิ เช้ือภายในชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) และขยะตดิ เชอ้ื อนื่ ๆ ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง 1.7.2 สามารถลดปรมิ าณขยะตดิ เช้อื ได้ 1.7.3 นวตั กรมมสามารถนำไปใชใ้ นกิจกรรมการตรวจคดั กรองโควิดภายในชุมชนได้ 1.8 สถานท่ที ำโครงการ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รรี ัช 1.9 งบประมาณ วัสดุในการทำนวัตกรรม 1,500 บาท

6 วิธกี ารดำเนินงาน การศึกษาครั้งนี้ เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลอง(Quasi Experimental Research) ศึกษาประสิทธิภาพถังขยะทิ้งชุดตรวจ Antigen test kit (ATK) โดยการสังเกตจากผู้ใช้งานถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อว่านวัตกรรม มปี ระสิทธภิ าพมากนอ้ ยเพยี งใด 3.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากร คือ นกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช จำนวน 390 คนโดยใช้เกณฑ์ การคัดเลือกเขา้ รว่ มการศึกษา (inclusion criteria) ไดเ้ เก่ 1) เป็นบุคคลท่ัวไป อายุ 18 ปขี นึ้ ไป 2) อยใู่ นพ้นื ใกล้เคียงกับผวู้ ิจยั 3) มีความสมัครใจในการเขา้ ร่วมงานวจิ ัย เกณฑก์ ารคัดเลอื กออกจากการศึกษา (exclusion criteria) ไดเ้ เก่ 1) ผู้เขา้ รว่ มวจิ ยั ขอถอนตัว กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์บัณฑิตชั้นปีท่ี 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัชโดยการเลือก ตัวอย่างเจาะจง จำนวน 50 คน 3.2 เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวิจยั เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครัง้ นี้คอื 1. เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการดำเนินงานวิจยั 1.1 ถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชือ้ 2. เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการวิจัย 2.1 แบบประเมินประสิทธภิ าพนวัตกรรมจากพฤติกรรมการใช้ถังขยะทง้ิ Antigen test kit (ATK)และขยะ ตดิ เชอื้ ของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตชน้ั ปีที่ 3 จำนวน 50 คน เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลแบ่งเปน็ 2 สว่ น ดงั นี้ ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลสว่ นบคุ คล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ส่วนที่ 2 แบบสอบถามประเมินประสทิ ธิภาพนวตั กรรมของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี จกั รีรัช จำนวน 16 ข้อ แบ่งระดับประสิทธิภาพนวัตกรรมการใช้นวัตกรรมถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ จากการ สอบถามและสังเกตนกั ศึกศาพยาบาลศาสตรบณั ฑิต เกณฑ์การให้คะแนนแบง่ เปน็ 5 ระดับ คือ มากทีส่ ุด = 5 มาก = 4 ปาน กลาง = 3 น้อย = 2 น้อยทีส่ ุด = 1 เกณฑ์การประเมิน โดยใชค้ ่าทางสถิตคิ ะแนนเฉลย่ี เลขคณติ กำหนดช่วงวัดดังนี้ คะแนนเฉลยี่ 4.21 - 5.00 หมายถึง อย่ใู นเกณฑ์มากที่สุด คะแนนเฉล่ยี 3.41 – 4.20 หมายถงึ อยูใ่ นเกณฑม์ าก คะแนนเฉลี่ย 2.61 - 3.40 หมายถงึ อย่ใู นเกณฑ์ปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.81 – 2.60 หมายถึง อยู่ในเกณฑน์ อ้ ย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.80 หมายถึง อยู่ในเกณฑ์นอ้ ยทส่ี ุด สว่ นท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะและปรับปรงุ นวัตกรรม

7 3.3 การตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื การตรวจสอบเคร่อื งมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครง้ั นี้ ผ้วู ิจัยไดท้ ำการตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมือ ดงั นี้ ผู้วิจัยนำเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไปตรวจสอบ หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ทา่ น ประกอบดว้ ย ดร.บรรณฑวรรณ หิรญั เคราะห์ ดร.พิมพ์ลดา อนันตส์ ริ ิเกษม อาจารย์ ดนัย ดุสรักษ์ ทำการตรวจสอบความเป็นไปได้ของข้อคำถาม ความถูกต้องตามเนื้อหา นำวิเคราะห์หาค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่างรายการข้อคำถามกับ วัตถุประสงค์การวิจัยด้วยค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) ซ่ึง จะต้องไดค้ ่ามากกวา่ เทา่ กับ 0.50 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ข้นั ตอนการดำเนินการวิจยั ขนั้ ตอนก่อนการทดลอง 1. ประชุมวางแผน(plan) ศึกษาข้อมูล ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยสืบค้นจากตำรา งานวิจัย เอกสารทาง วชิ าการ เพ่ือคน้ ควา้ ศึกษาปญั หาในการท้ิงขยะท่ไี ด้จากการตรวจ Antigen test kit (ATK) เเละนำข้อมูลท่ีได้รับมา พัฒนาเป็นผลงานถังขยะทงิ้ Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชอ้ื 2. ออกเเบบถังขยะทิง้ Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชอ้ื จัดเตรียมวสั ดุ อปุ กรณ์ ในการทำถังขยะ วัสดุอุปกรณ์ 1. ถงั สีพลาสตกิ กลม 2 ใบ 2. สติกเกอร์รปู สว่ นประกอบ Antigen test kit (ATK) 3. ทอ่ PVC 3. ป้ายใหค้ วามรู้ 4. น้ำยาฆา่ เชือ้ 5. ท่พี ่นละอองฝอย ขั้นตอนเเละวิธีทำ 1. ออกแบบลักษณะถังขยะใหเ้ หมาะสมกบั วัตถปุ ระสงคแ์ ละปัญหา 2. สบื ค้นขอ้ มลู ทั่วไปเกีย่ วกบั ถังขยะ และการควบคุมการแพร่กระจายเช้ือโควดิ 3. นำรูปแบบนวตั กรรมไปปรกึ ษาอาจารยป์ ระจำกลุ่ม และนำรูปแบบนวัตกรรมไปปรกึ ษา การประดิษฐ์กับชา่ ง 4. ตรวจสอบนวตั กรรมใหเ้ ป็นไปตามที่ออกแบบ 5. นำแผน่ ความรูต้ ิดบริเวณป้ายดา้ นหลงั ถงั ขยะ 6.ทดสอบชิน้ งานนวตั กรรมกอ่ นการนำไปใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ ง 3. ผู้วิจัยติดต่อขออนุญาตทำการวิจัยท่ีวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ขออนุญาตในการศึกษาและเก็บข้อมลู เพ่อื ศึกษาวจิ ัยในเร่อื งดังกลา่ ว พรอ้ มขอการรบั รองจรยิ ธรรมการวิจัยในมนษุ ย์ 4. ผู้วิจัยอธิบายบทบาทของผู้วิจัยและวิธีการเก็บข้อมูล รวมถึงวิธีการปฏิบัติตลอดจนเก็บข้อมูลพื้นฐานก่อนลงมือ ปฏิบัติและอธิบายวิธีการทำความเข้าใจในการใช้ถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อ เพื่อให้กลุ่ม ตัวอยา่ งเตรียมความพร้อมความเขา้ ใจของตนเองในการวจิ ยั

8 ข้นั การทดลอง 1.เก็บข้อมูลทั่วไปโดยการสังเกตพฤติกรรมการท้ิงชุดตรวจ Antigen test kit (ATK) ในนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ช้ันปที ่ี 3 ก่อนการใชก้ ารใช้นวตั กรรม 2.อธิบายลักษณะการใช้งานของถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อกับนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ทดลองใช้เเละติดตามผลของ การใช้ถังขยะ โดยใช้เวลาทำการทดลอง 2 สัปดาห์ ในการเก็บรวบรวม สังเกตพุ ฤติกรรมการ ท้งิ Antigen test kit (ATK) เเละบนั ทึกผล 3. เมอ่ื เสร็จส้นิ ผู้วิจยั เก็บขอ้ มลู พฤกรรมการทิ้งขยะการท้ิงขยะโดยใช้ถังขยะท้ิง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเช้ือ ในนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปีท่ี3 จากการสังเกตพฤติกรรมการใช้ถังขยะ เเละให้ผู้เข้าร่วมประเมิน ประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรมหลังการใช้งาน แลว้ เกบ็ รวบรวมผลการทดสอบ ขั้นหลังการทดลอง ผู้วิจัยนำผลที่ได้จากการทดลองพฤติกรรมเปรียบเทียบก่อนและหลังการการทิ้งขยะโดยใช้ ถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เช้อื ในนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑติ ช้ันปีที่ 3 และวิเคราะหด์ ว้ ยวธิ ีการทางสถิติตอ่ ไป 3.5 การพทิ ักษ์สิทธิ์กลมุ่ ตวั อย่าง การจัดทำนวัตกรรมครั้งนี้ผู้จัดทำส่งโครงร่างการจัดทำนวัตกรรมเข้ารับการพิจารณาจากคณาจารย์คณะกรรมการ จริยธรรมการวจิ ัยในมนุษย์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช เพื่อขออนุญาตในการเกบ็ ข้อมูลการทดลอง เมื่อได้รบั อนญุ าตใหท้ ำการเก็บข้อมลู ผวู้ จิ ัยได้ให้ความสำคัญในการพิทกั ษ์สิทธิข์ องกลุ่มตวั อยา่ ง โดยการใชห้ ลักการเคารพในความเป็น บุคคล หลักผลประโยชน์ และหลักความยุติธรรม ดังนี้ ผู้จัดทำ แนะนำตัว ชี้แจงในการเข้าร่วมการทดลองใช้นวัตกรรม ให้ ผู้เข้ารว่ มทราบวัตถปุ ระสงคแ์ ละข้ันตอนการผลิตนวัตกรรม พร้อมทั้งลงนามยนิ ยอมและขอความรว่ มมือในการรวบรวมข้อมลู โดยชี้แจงสิทธท์ิ ก่ี ล่มุ ตัวอยา่ งสามารถเข้าร่วมการทดลองใช้ หรอื สามารถปฏเิ สธท่จี ะไมเ่ ข้าร่วมการทดลองในคร้ังน้ีได้ โดยไม่มี ผลต่อการบรกิ ารใด ๆ ทจี่ ะไดร้ ับ สำหรบั ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากทดสอบนวตั กรรมครัง้ นจ้ี ะไม่มกี ารเปดิ เผยใหเ้ กิดความเสยี หายแก่กลุ่ม ตวั อย่างท่ีทำการทดลองนวตั กรรม โดยผจู้ ดั ทำจะนำเสนอนวัตกรรมในภาพรวมและนำมาใชป้ ระโยชน์ในการศึกษาเทา่ นั้น 3.6 สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. วเิ คราะห์ข้อมูลท่วั ไปโดยใชส้ ถติ ิใช้แจกแจงความถี่ ร้อยละ… 2. การวเิ คราะห์ประสทิ ธิภาพถงั ขยะท้งิ Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เชอื้ ในนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้ันปที ี่ 3 โดยใช้ค่าเฉล่ยี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน

9 3.7 แผนการดำเนินงาน เดือนกรกฏาคม-สงิ หาคม เดือนกันยายน-ตลุ าคม กิจกรรม 1-20 21-10 11-31 1-20 21-10 11-31 1.ประชุมการวางแผนงานในการทำนวัตกรรม 2.ศึกษาคน้ คว้านวัตกรรมและนำมาประยุกต์ใชก้ บั แนวคิดของ กลุ่ม 3.ออกแบบช้นิ งานนวตั กรรมและนำเสนอข้อมูลเพมิ่ เติมกบั อาจารย์ท่ีปรึกษา 4.ประชมุ กันวางแผนกับสมาชิกในกลมุ่ กำหนดรปู แบบและการ ดำเนนิ กิจกรรม เพื่อแบ่งหน้าทีค่ วามรับผดิ ชอบในแตล่ ะฝ่าย 5.ออกแบบโครงร่างชิน้ งานนวตั กรรม 6.นำเสนอรูปแบบชน้ิ งานนวัตกรรม เพ่อื ให้อาจารย์ทีป่ รึกษาให้ คำแนะนำ และนำไปปรับปรงุ แกไ้ ข 7.นำเสนอช่อื และโครงร่างนวัตกรรม ครั้งที่ 1 8.นำช้นิ งานนวตั กรรมทไี่ ดป้ รบั แกต้ ามคำแนะนำของเสนอ อาจารย์อกี คร้ัง 9.โครงร่างนวตั กรรม ครง้ั ท่ี 2 10.ซอื้ วัสดอุ ปุ กรณเ์ พอ่ื ท่ีจะไปจัดทำนวตั กรรมทางการพยาบาล 9.จดั ทำผลงานนวตั กรรม “ถงั ขยะท้งิ Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเชือ้ ” 10.นำเสนอช้ินงานนวตั กรรมเพอ่ื ให้อาจารยท์ ่ีปรกึ ษาแนะนำ และ นำไปปรบั ปรุงแก้ไข 11.นำชิน้ งานนวัตกรรมไปทดลองใช้กลมุ่ ตวั อยา่ ง 12.รวบรวมข้อมูลการทดลองนวัตกรรมกบั กล่มุ ตวั อยา่ ง สรุปงาน หรอื ผลงานนวัตกรรม สรุปแบบประเมินความพงึ พอใจ และจัดทำ รปู เลม่ 13.นำเสนอผลงานนวัตกรรม

10 ผลการดำเนนิ งาน การศึกษาครั้งนีเ้ ปน็ การศึกษา “ถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK)และขยะติดเชื้อ” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์ นวัตกรรม ถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเชื้อ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของถังขยะทิ้ง Antigen Test Kit (ATK)และขยะติดเช้อื โดยผลการดำเนนิ งานแบ่งเปน็ 2 สว่ น ดงั นี้ ส่วนท่ี 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ท่วั ไปโดยใชส้ ถติ ใิ ชแ้ จกแจงความถ่ี ร้อยละ สว่ นท่ี 2 ผลการวเิ คราะห์ประสิทธิภาพต่อนวัตกรรมถงั ขยะทง้ิ Antigen test kit (ATK)และขยะตดิ เชอื้ โดยใช้ คา่ เฉลี่ย และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ส่วนที่ 1 ผลวเิ คราะห์ข้อมูลทัว่ ไปโดยใชส้ ถิติใชแ้ จกแจงความถี่ รอ้ ยละ ผลการวิเคราะห์ข้อมลู พบวา่ กลุม่ ตวั อยา่ งจำนวน 50 คน ผลการดำเนนิ งาน พบว่ากลมุ่ ตวั อย่างในงานวจิ ัยครั้งน้ี สว่ นใหญเ่ ป็นเพศหญิง รอ้ ยละ 96 อยูใ่ นช่วงอายุ 16-20 ปี รอ้ ยละ 56 จบการศกึ ษาระดับปริญญาตรหี รอื เทียบเท่า ร้อยละ 86 (ดังตารางท่ี 1) ตารางที่ 1 แสดงจำนวน รอ้ ยละ ของขอ้ มลู ทั่วไปของกลมุ่ ตวั อยา่ ง ขอ้ มูลท่ัวไป จำนวน รอ้ ยละ เพศ ชาย 2 4 หญิง 48 96 อายุ 16-20 ปี 28 56 21-25 ปี 20 40 25-30 ปี 12 30 ปี 1 2 การศึกษา ไมไ่ ด้รบั การศกึ ษา 00 ประถมศกึ ษา 00 มธั ยมศึกษาตอนตน้ 00 มัธยมศกึ ษาตอนปลาย 7 14

ประกาศนียบตั รขัน้ สูง 11 ปริญญาตรหี รือเทยี บเทา่ สูงกว่าปริญญาตรี 00 43 86 00 สว่ นที่ 2 ผลการวิเคราะหป์ ระสทิ ธิภาพการใช้นวัตกรรม โดยใชค้ า่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การวดั ผลประสฃื ทิ ธิภาพนวัตกรรมของกลมุ่ ตัวอย่างต่อการใช้ถงั ขยะทง้ิ Antigen Kitและขยะติดเช้ือ พบว่า ผลรวม อยูใ่ นระดบั มากทส่ี ดุ (���̃��� = 4.30, S. D = 2.32) พบวา่ กลุม่ ตวั อยา่ งมีคะแนนการวัดประสทิ ธภิ าพในประเดน็ ตา่ ง ๆดังน้ี ด้าน โครงสร้าง วัสดุที่นำมาใช้มีน้ำหนักเบาเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ขนาดของสิ่งประดิษฐ์มีความ เหมาะสมเฉลี่ยเท่ากับ 4.5 คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 ตกั ารออกแบบสงิ่ ประดษิ ฐม์ คี วามเหมาะสมเฉลยี่ เทา่ กับ 4.6 ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 วัสดุของสิ่งประดิษฐ์มีความทนทานเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.76 มี รูปลักษณ์สวยงาม น่าใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.65 ด้านการใช้งาน นวัตกรรมถังขยะทิ้ง ATK สามารถแยกขยะตดิ เชอ้ื และขยะท่วั ไปเฉล่ียเท่ากบั 4.5 ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 นวตั กรรมถงั ขยะ ATK สามารถลด จำนวนขยะติดเชื้อได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 นวัตกรรมน้ีไม่มีความซับซ้อนในการใช้งานเฉล่ีย เท่ากับ 4.58 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 นวัตกรรมมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.60 นวัตกรรมถังขยะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.6 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ด้าน ความคุ้มคา่ ท่านมคี วามต้องการใช้นวัตกรรมน้ีในอนาคตเฉล่ียเท่ากับ 4.62 คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60 ประสิทธิภาพ โดยรวมของนวัตกรรมถังขยะ ATK เฉลีย่ เทา่ กบั 4.62 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60 (ดงั ตารางที่ 2) ตารางที่ 2 ตารางแสดงการแจกแจงความถ่ี คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ของประสทิ ธิภาพตอ่ ถงั ขยะทิง้ Antigen test kit (ATK) และขยะตดิ เชอื้ ระดับความพึงพอใจ ประเดน็ ข้อคิดเห็น ���̃��� S.D การแปลผล ด้านโครงสร้าง 4.44 0.61 มากที่สุด 1.วสั ดุท่นี ำมาใช้มีนำ้ หนกั เบา 4.5 0.64 มากทีส่ ดุ 2.ขนาดของสิ่งประดษิ ฐม์ คี วามเหมาะสม 4.6 0.64 มากท่ีสดุ 3.การออกแบบสง่ิ ประดษิ ฐม์ ีความเหมาะสม

12 4.วัสดุของสง่ิ ประดษิ ฐม์ คี วามทนทาน 4.42 0.76 มากท่ีสุด 5.มีรูปลักษณ์สวยงาม น่าใช้งาน 4.52 0.65 มากที่สุด ด้านการใชง้ าน 6.นวัตกรรมถงั ขยะท้ิง ATK สามารถแยกขยะตดิ เช้ือ 4.5 0.61 มากทส่ี ดุ และขยะทั่วไป 7.นวัตกรรมถงั ขยะ ATK สามารถลดจำนวนขยะตดิ 4.52 0.61 มากที่สดุ เชื้อได้ 8.นวัตกรรมนไี้ มม่ คี วามซับซอ้ นในการใชง้ าน 4.58 0.70 มากที่สุด 9.นวัตกรรมมีประโยชน์ตอ่ ผใู้ ชง้ าน 4.64 0.60 มากทส่ี ุด 10.นวัตกรรมถังขยะสามารถนำไปใชใ้ น 4.6 0.61 มากที่สดุ ชีวติ ประจำวันได้ ดา้ นความคมุ้ ค่า 4.62 0.60 มากทส่ี ุด 11.ท่านมคี วามตอ้ งการใช้นวตั กรรมนใี้ นอนาคต 4.62 0.60 มากที่สดุ 12.ความพึงพอใจโดยรวมของนวตั กรรมถงั ขยะ ATK 4.55 0.05 มากท่ีสดุ คะแนนรวม

13 อภปิ รายผลการวิจัย สรปุ ผล ประโยชน์ และขอ้ เสนอแนะ งานวิจัย เร่ือง นวัตกรรมถังขยะทิง้ Antigen test kit (ATK) และขยะตดิ เชือ้ ครัง้ น้มี ีวตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื สรา้ งสรรค์ นวตั กรรม ถังขยะทงิ้ Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เชื้อ เพอื่ ศึกษาประสทิ ธิภาพของถงั ขยะทง้ิ Antigen Test Kit (ATK)และขยะตดิ เชื้อ ข้อมลู สว่ นบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา แบบประเมินประสิทธิภาพนวตั กรรม จำนวน 12 ข้อ มา ใชเ้ กบ็ ข้อมูลในกลมุ่ ตวั อยา่ งนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตชน้ั ปีที่ 3 จำนวน 50 คน ซง่ึ สามารถสรปุ ผลการศกึ ษาดงั น้ี สรปุ ผลการศกึ ษา 1) ขอ้ มลู ทั่วไป โดยการแจกแจงความถ่ี รอ้ ยละ ผลการวิจัยนวัตกรรมถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า กลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 50 คน ผลการดำเนินงาน พบว่ากลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 96 อยู่ในช่วง อายุ 16-20 ปีร้อยละ 56 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทยี บเท่าร้อยละ 86 3) ผลการวิเคราะหค์ วามพึงพอใจต่อถังขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ โดยใช้ค่าเฉลี่ย และ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน การวัดผลประสิทธิภาพนวัตกรรมของกลุ่มตัวอย่างต่อการใช้ถังขยะทิ้ง Antigen Kitและขยะติดเชื้อ พบว่า ผลรวม อยใู่ นระดบั มากที่สดุ (X ̃ = 4.30, S. D = 2.32) พบวา่ กลุม่ ตัวอย่างมีคะแนนการวัดประสิทธภิ าพในประเด็นต่าง ๆดังนี้ ด้าน โครงสร้าง วัสดุที่นำมาใช้มีน้ำหนักเบาเฉลี่ยเท่ากับ 4.44 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ขนาดของสิ่งประดิษฐ์มีความ เหมาะสมเฉลย่ี เทา่ กับ 4.5 ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.64 ตกั ารออกแบบสง่ิ ประดษิ ฐ์มคี วามเหมาะสมเฉลย่ี เทา่ กบั 4.6 ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64 วัสดุของสิ่งประดิษฐ์มีความทนทานเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.76 มี รูปลักษณ์สวยงาม น่าใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.65 ด้านการใช้งาน นวัตกรรมถังขยะทิ้ง ATK สามารถแยกขยะติดเช้ือและขยะท่วั ไปเฉลี่ยเทา่ กบั 4.5 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.61 นวตั กรรมถังขยะ ATK สามารถลด จำนวนขยะติดเชื้อได้เฉลี่ยเท่ากับ 4.52 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 นวัตกรรมนี้ไม่มีความซับซ้อนในการใช้งานเฉลยี่ เท่ากับ 4.58 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 นวัตกรรมมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.60 นวัตกรรมถังขยะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เฉลี่ยเท่ากบั 4.6 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.61 ด้าน ความคุม้ คา่ ท่านมีความต้องการใชน้ วตั กรรมน้ีในอนาคตเฉลี่ยเท่ากบั 4.62 คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.60 ประสิทธิภาพ โดยรวมของนวัตกรรมถงั ขยะ ATK เฉลยี่ เทา่ กับ 4.62 ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กบั 0.60 ซึ่งจากการศกึ ษาเรือ่ ง นวัตกรรมถงั ขยะทิง้ Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชือ้ เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย นวัตกรรมถงั ขยะทิ้ง Antigen test kit (ATK) และขยะติดเชื้อ

ซ เอกสารอา้ งอิง กฤษณ์ ถิรพนั ธเุ์ มธ.ี ( 9 มีนาคม 2563). น้ำยาฆา่ เชอื้ กบั โควิด-19โคโรน่าไวรสั . มหาวทิ ยาลยั มหิดล คณะเภสชั ศาสตร์. จาก https://pharmacy.mahidol.ac.th กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2564). สรุปสถานการณก์ ารระบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย. จาก chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj /https://udch.go.th/uploads/doc/covid-19 พรทพิ ย์ มธรุ วาทิน. (ม.ป.ป.). ความรู้ความเข้าใจของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหม่บู า้ น ในจังหวัดเชยี งใหม่ ในเรอ่ื งการใช้หนา้ กากอนามัยให้ปลอดภัย จากโรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019. จาก https://www.chiangmaihealth.go.th/cmpho_web/document/220304164638738469.pdf มนัสชนก ไชยรตั น์. (ม.ป.ป.). พฤติกรรมผู้บรโิ ภคทเี่ ปลีย่ นแปลงไปช่วงสถานการณ์ COVID-19 ในพืน้ ท่ี กรุงเทพมหานคร. จาก chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/https:// mmm.ru.ac.th/MMM/IS/vlt15-1/6114993677.pdf มนันญา ภ่แู กว้ . (2563). ปญั หามลู ฝอยตดิ เชอ้ื จากโรคระบาดโควดิ – 19. จาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=2599 มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ศนู ยล์ ำปาง. (2564). การจัดการขยะติดเชอ้ื ความทา้ ทายในยคุ โควิด–19. จาก https://tu.ac.th/thammasat-080964-infectious-waste-challenges-in-covid19 โรงพยาบาลบางปะกอก. (2565). แยกทง้ิ ชดุ ตรวจ ATK ให้ถกู วิธ.ี จาก https://bangpakok3.com/care_blog/view/169 วกิ พิ เี ดยี สารานุกรมเสรี. (ม.ป.ป.). ประสิทธิภาพ. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E 0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9 ศริ ิพร คาวานลิ และณรงค์ศักดิ์ หนูสอน. (2563). ขยะมลู ฝอย: ในชว่ งสถานการณ์ COVID-19 เปน็ อย่างไร. 34(2).จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/download/245801/166768/ สวรรยา ธรรมอภิพลและคณะ.(2564).ความรแู้ ละพฤติกรรมในการจดั การขยะติดเชือ้ ประเภทหน้ากาก อนามัยของชุมชน บา้ นกลาง-ไผ่ขาด จงั หวดั นครปฐม ในช่วงวกิ ฤตการระบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรสั โคโรนา 2019. เขา้ ถงึ เม่ือ 12 สงิ หาคม 2565. จาก https://so03.tcithaijo.org/index.php /journalcim/ article/download/249523/172958 DDproperty Editorial Team. (2564). น้ำยาฆ่าเชอื้ ไวรัสโควิด-19 หาได้งา่ ย ๆ ในบ้านคณุ . จาก https://www.ddproperty.com/คู่มือซอ้ื ขาย/ยาฆ่าเชอ้ื ไวรสั โควิด-19-หาไดง้ า่ ย-ในบา้ นคณุ -24350

9

เสื้อชว่ ยพยุง คัทลยี า พมุ่ ชยั 1,ชลธิชา ฟก� โต2,ชลติ า นพศรี3,ชาลสิ า ชนื่ วเิ ศษ4 ,ณัฐพร ดาบเเก้ว5 ,นงนภัส อ่วมคํา6 , พรี ยา อินทรพรหม7 และภทั รดา ปทุมสตู 8ิ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จกั รรี ชั คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก *[email protected] บทคัดยอ่ ในป�จจุบันสังคมในประเทศไทยกําลังเข้าสู่ สังคมของผู้สูงอายุ (Aged Society) ตั้งแต่ป� พ.ศ. 2548 ตามคํานิยามของ องค์การสหประชาชาติที่กําหนดสัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ป�ขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของจํานวนประชากร ซึ่งจะเข้าสู่ สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Complete - Aging Society) ซึ่งผู้สูงอายุนั้นเป�นวัยที่อยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต มีโอกาสเกิดการ เจ็บป่วยได้ง่ายโดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะนําไปสู่โรคต่างๆเช่น ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรังจนเกิด สภาวะร่างกายเสอื่ มโทรมทาํ ให้ไม่สามารถใช้ชีวติ ประจาํ วันได้เหมือนคนปกติ กล่าวคือผปู้ ว่ ยจะชว่ ยเหลอื ตนเองได้น้อยหรืออาจไม่ สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลยแม้แต่นอ้ ย ผู้ป่วยจงึ ไม่อาจเลี่ยงที่จะต้องนอนอยูบ่ นเตียงเป�นเวลานานๆ อาจเกิดจากการป่วยเปน� โรคร้าย อุบัติเหตุจากการรักษา เช่น การผ่าตัดใหญ่ ความผิดปกตขิ องระบบประสาท ฯลฯ ด้วยสาเหตุดังกล่าว ทําให้ร่างกายของ ผู้ป่วยอ่อนแอและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ป�จจุบันมีเครื่องช่วยอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเครื่องช่วย อาํ นวยความสะดวกในการเคล่อื นยา้ ยน้นั อาจมรี าคาท่ีค่อนข้างสูง ทําใหค้ นทีม่ ีกําลงั ทรพั ย์นอ้ ยไมส่ ามารถจบั ตอ้ งได้ ดังนนั้ คณะผวู้ ิจยั ไดเ้ ลง็ เห็นปญ� หาน้ี จงึ จัดทําโครงการนวตั กรรมในหัวข้อ \"เส้อื ช่วยพยงุ \" ชดุ ที่ชว่ ยพยุงผู้ป่วยเพ่ือช่วยพยุง ผู้ป่วยขณะที่อยู่บ้านให้มีความสะดวกต่อญาติที่เป�นผู้ทําการพยุงและปลอดภัยต่อตัวผู้ป่วย ในกรณีผู้ป่วยติดเตียงเสื้อช่วยพยุงจะ ชว่ ยพยุงตวั ผปู้ ่วย คำสำคัญ : ผปู้ ว่ ยตดิ เตียง,การพยงุ ,เส้ือ

1. ความเปน� มาและความสำคัญของปญ� หา ในป�จจุบันสังคมในประเทศไทยกําลังเข้าสู่ สังคมของผู้สูงอายุ (Aged Society) ตั้งแต่ป� พ.ศ. 2548 ตามคํานิยามของ องค์การสหประชาชาติทีก่ ําหนดสัดส่วนของประชากรท่ีมีอายุ 60 ป�ขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของจํานวนประชากร ซึ่งจะเข้าสู่ สังคมสงู อายุโดยสมบูรณ์ (Complete - Aging Society) เมอื่ มีสัดสว่ นของประชากรที่มอี ายุ 60 ป�ข้ึนไปเกินรอ้ ยละ 20และเข้า สูส่ ังคมสงู อายรุ ะดับสดุ ยอด (Super - Aging Society) เมื่อมสี ัดสว่ นของประชากรท่มี อี ายุ 60 ปข� ึ้นไปเกินร้อยละ 28 ตามลําดบั สําหรับสถานการณ์ผสู้ ูงอายไุ ทย ในป� พ.ศ. 2564 มปี ระชากรผสู้ งู อายุสงู ถงึ ร้อยละ 17.81 ของจํานวนประชากรไทยทั้งประเทศ ตามการคาดประมาณการประชากรประเทศไทยของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2562)คาดการณ์ว่าในป� พ.ศ. 2566 จะมีประชากรผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 20.66 ของจํานวนประชากรไทยทั้ง ประเทศ โดยสถานการณ์ผูส้ งู อายเุ ขตสุขภาพท่ี 6 ในป� 2562-2564 ซึ่งผสู้ ูงอายุน้ันเป�นวยั ทีอ่ ย่ใู นช่วงบ้นั ปลายของชวี ติ มีโอกาส เกดิ การเจบ็ ป่วยไดง้ ่ายโดยเฉพาะการเกดิ อุบัติเหตุทีอ่ าจจะนาํ ไปสูโ่ รคต่างๆเช่น ผปู้ ว่ ยติดเตียง ผปู้ ว่ ยจะมีอาการเจ็บป่วยเร้ือรัง จนเกิดสภาวะร่างกายเสื่อมโทรมทําให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้เหมือนคนปกติ กล่าวคือผู้ป่วยจะชว่ ยเหลอื ตนเองไดน้ ้อย หรืออาจไม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองไดเ้ ลยแมแ้ ต่น้อย ผปู้ ว่ ยจึงไม่อาจเลี่ยงทจ่ี ะต้องนอนอยู่บนเตียงเป�นเวลานานๆ อาจเกิดจาก การปว่ ยเปน� โรคร้าย อบุ ัติเหตจุ ากการรักษา เช่น การผา่ ตัดใหญ่ ความผิดปกติของระบบประสาท ฯลฯ ดว้ ยสาเหตุดังกล่าว ทํา ใหร้ า่ งกายของผปู้ ว่ ยอ่อนแอและไม่สามารถชว่ ยเหลอื ตนเองได้ ปจ� จุบันมีเคร่ืองชว่ ยอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเครื่องช่วยอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนั้นอาจมีราคาทีค่ ่อนข้างสูง ทําให้คนท่ีมีกําลังทรัพย์น้อยไม่สามารถจับต้อง ได้ ดงั น้ันคณะผู้วิจัยไดเ้ ล็งเห็นป�ญหาน้ี จึงจดั ทําโครงการนวัตกรรมในหัวข้อ \"เสอ้ื ช่วยพยงุ \" ชุดทีช่ ว่ ยพยุงผู้ป่วยเพื่อช่วยพยุง ผูป้ ว่ ยขณะท่อี ยู่บา้ นให้มีความสะดวกตอ่ ญาตทิ ่ีเป�นผทู้ ําการพยงุ และปลอดภัยต่อตวั ผปู้ ว่ ย ในกรณผี ปู้ ว่ ยติดเตียงเสือ้ ช่วยพยุงจะ ช่วยพยุงตัวผู้ป่วย โดยเสื้อพยงุ มีตัวล็อกช่วยให้กระชับกับตัวของผู้ป่วย บริเวณไหลด่ ้านหลังของเสื้อจะมชี ่องสอดสําหรับใส่มอื ให้กับผดู้ แู ลผ้ปู ว่ ยเพือ่ ให้สามารถชว่ ยพยุงตัวผู้ปว่ ย อกี ท้ังเส้อื พยุงเปน� ฟรไี ซสเ์ พอื่ ให้เหมาะกบั สัดส่วนของผ้ปู ว่ ย ภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว คือ การเกิดแผลกดทับผู้ป่วยที่มีการนอนอยู่บนเตียงเป�นเวลานาน นอนติดเตียง ไม่ค่อยพลิกตะแคงตัวหรือเป�นผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตวั เองได้ ทําให้ผิวหนังตามตําแหน่งต่างๆ โดยเฉพาะ บรเิ วณปุ่มกระดกู เช่น กระดูก กนั กบ กระดกู เชิงกราน กระดูกสันหลงั ขอ้ ศอกและส้นเทา้ ทถ่ี ูกกดทับเปน� เวลานานเกดิ เป�นแผล ความชุกการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตยี ง ส่งผลเสยี ตอ่ ทางสขุ ภาพจติ และคุณภาพชีวติ ของผปู้ ่วยและผู้ดูแล (ผกามาศ พีธรา กร, 2564) 2. วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื วดั ประสิทธผิ ลของเส้ือชว่ ยพยุงตอ่ ความพงึ พอใจของญาติผดู้ แู ลผู้ปว่ ยตดิ เตยี ง 2. เพอ่ื ประเมนิ ความพึงพอใจของผ้ดู ูแลผ้ปู ่วยต่อการใชน้ วตั กรรมเสอ้ื ช่วยพยุง 3.กลุ่มเปา้ หมาย 1.ผใู้ ช้บริการทเ่ี ป�นผดู้ แู ลผปู้ ว่ ยตดิ เตยี งวยั สูงอายุ

4. กระบวนการพัฒนา (ตามข้ันตอน plan do check act) 4.1 ขน้ั การวางแผน (Plan) 1. สมาชิกในกลุม่ แตล่ ะคน ศึกษาปญ� หานวตั กรรมทีส่ นใจ คนละ 1 ชิน้ งาน 2. สมาชิกในกลมุ่ แตล่ ะคนนําเสนอหวั ข้อนวัตกรรมกับอาจารย์ที่ปรึกษาประจํากลุ่ม 3. อาจารย์ท่ีปรกึ ษาประจาํ กลมุ่ และสมาชิกเลือกช้ินงานนวัตกรรมท่ีสนใจ 1 ชน้ิ งาน 4. สมาชิกภายในกลุ่มร่วมออกแบบชนิ้ งานนวัตกรรมเพ่ิมเตมิ จากเดิมใหส้ มบูรณ์ 5. นําเสนอรปู แบบนวัตกรรม เพอื่ ขอคาํ แนะนาํ และปรับปรงุ แกไ้ ขชิ้นงานวัตกรรม 6. วางแผนการดาํ เนนิ งานและลงมอื ปฏบิ ัติ 4.2 ข้ันการดําเนนิ การ (Do) การออกแบบ ตัวอยา่ งการออกแบบ

วัสดแุ ละอุปกรณ์ 1.ผ้าแคนวาส 2 เมตร 2.ดา้ ย 3 หลอด 3.ตัวลอ็ คยึดแนน่ ตวั ผูป้ ว่ ย 3 ตัว 4.กรรไกร 2 อัน 5.จักรเย็บผ้า 1 เครอ่ื ง 6.ดนิ สอ 2 แท่ง ขัน้ ตอนการดาํ เนนิ งานวจิ ัย 1.จดั หาซ้ืออปุ กรณ์ในการผลิตชน้ิ งาน คอื ผ้าแคนวาสขนาด 1.5*2 เมตร จดั ซอื้ ตัวลอ็ คยึดแนน่ ตวั ผู้ป่วย 2. ร่างแบบตวั ชดุ ลงในผ้าใหข้ นาดเทา่ ออกเปน� 2 สว่ น คือฝง� ตวั ชุดดา้ นหนา้ และด้านหลงั โดยตวั ชดุ มีทง้ั หมด2ขนาด คือ ขนาด 42*36 นว้ิ และ 44*38 เพ่ือหาขนาดท่ีพอดตี อ่ ตวั ผู้ป่วย 3.เม่อื ร่างแบบเสรจ็ แล้ว ทาํ การเยบ็ ด้วยเครอื่ งจักร นําตวั เสื้อทีร่ า่ งเสร็จแลว้ ไปเย็บประกอบเขา้ กัน 4.จากนั้นทาํ หจู บั ด้านข้างของลาํ ตัวโดยเยบ็ พาดไปด้านหลงั ของชุดและด้านบนไหล่ชดุ ขา้ งละ 2 อนั โดยจะอยบู่ รเิ วณชว่ งเอวและช่วงไหล่ อย่างแน่นหนาและกระชบั มือ 5.เพ่มิ ตวั ล็อคบรเิ วณดา้ นหนา้ ลําตัวโดยการเยบ็ เข้ากับเสื้อ โดยจะเยบ็ ยึดติดกบั เสื้อจํานวน 3 ตวั ล็อค 6.จากน้ันนําไปทดลองกบั กลมุ่ ตัวอย่าง ข้ันตอนการดําติดตาม (Check) 1.ประเมนิ ชิน้ งาน โดยใชแ้ บบประเมนิ ความพงึ พอใจ 2.สรุปผลการประเมินโดยใช้คะแนนการประเมินตามความเป�นจริง ขนั้ ตอนการนาํ ผลการประเมนิ ไปปรบั ปรงุ พฒั นา (Act) ปรับปรงุ แกไ้ ขในสว่ นที่มีปญ� หา และตามข้อเสนอแนะจากแบบประเมินความพงึ พอใจ 5. รายละเอียดและวธิ กี ารใชง้ านนวัตกรรม 5.1 นำนวัตกรรมไปใช้กับกลมุ่ เปา้ มาย โดยมีขั้นตอนในการใช้ ดงั น้ี 1.พลิกตะแคงตวั ผปู้ ว่ ยทีละดา้ นเพ่ือสวมเสื้อช่วยพยงุ 2.ตดิ เข็มกลดั ให้เรยี บรอ้ ยเพ่ือความปลอดภยั 3.เชค็ ความแนน่ หนาเพอ่ื ตรวจสอบการเลื่อนหลดุ ของสาย 5.2 สำรวจความพึงพอใจกับตวั นวตั กรรมโดยใช้โดยใชแ้ บบประเมินความพงึ พอใจกบั ผดู้ ูแลทีท่ ดลองใชน้ วัตกรรมเส้อื ช่วยพยงุ

6. ผลการทดลองใชน้ วตั กรรมและการอภปิ รายผล จากผลการวเิ คราะห์ จากกลุม่ ตัวอยา่ งจาํ นวน 5 คน พบว่า สว่ นใหญ่เปน� เพศหญงิ รอ้ ยละ 80 ประกอบ อาชีพรบั จ้างทว่ั ไป ร้อยละ 80 มโี รคประจําตัวคอื โรคเสน้ เลือดในสมองตีบและอัมพฤกษค์ รึง่ ซีก รอ้ ยละ40 ตามลําดบั ความพงึ พอใจต่อการใช้ นวตั กรรมเส้ือชว่ ยพยงุ ” สามารถสรปุ ผลไดด้ ังน้ี ดา้ นการใชง้ าน 1.อํานวยความสะดวกตอ่ ผ้ชู ว่ ยพยุงผู้ปว่ ยตดิ เตียง อยูใ่ นระดับความพึงพอใจมากทส่ี ดุ 2.ช่วยผ่อนแรงขณะพยุงและพลกิ ตะแคงผู้ป่วย อยู่ในระดับความพึงพอใจมากทส่ี ุด 3.นวัตกรรรมนม้ี ีความปลอดภยั อย่ใู นระดับความพึงพอใจปานกลาง ด้านรูปแบบ 1.รูปร่าง และการออกแบบมีความเหมาะสม แขง็ แรง คงทน ใช้งานสะดวก อยูใ่ นระดับความพงึ พอใจปาน กลาง 2.สามารถใช้ไดจ้ รงิ ในชวี ิตประจาํ วนั อยใู่ นระดบั ความพงึ พอใจปานกลาง 3.ขนาดของเสื้อมีความเหมาะสมต่อการใช้งาน อยู่ในระดับความพึงพอใจปานกลาง 4.เนื้อผ้านุ่มเบา เหมาะกบั การสวมใส่ อย่ใู นระดับความพึงพอใจปานกลาง ดา้ นการนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ 1.นาํ ไปใชไ้ ด้งา่ ย สะดวกและรวดเร็ว อยู่ในระดับความพงึ พอใจมากที่สุด 2.ใสง่ ่ายสะดวกตอ่ การใช้งาน อยใู่ นระดบั ความพึงพอใจปานกลาง 3.นวตั กรรมมีความน่มุ ไม่รดั ตงึ หรอื แน่นเกินไป อย่ใู นระดบั ความพึงพอใจมากทสี่ ดุ 4.นาํ ไปซักทําความสะอาด และนํากลับมาใชง้ านใหม่ได้ อยใู่ นระดับความพึงพอใจมากทีส่ ุด อภิปรายผล จากการศึกษา พบว่า การวัดประสิทธิผลของเสื้อช่วยพยุงต่อความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียงของกลุ่ม ตัวอย่าง จํานวน 5 คนต่อการใช้ นวัตกรรมเสื้อช่วยพยุง พบว่า ความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม ในภาพรวมอยู่ใน ระดับพึงพอใจมากที่สุด ( ������������������ = 4.35 , S.D. = 0.53 ) ซึง่ สามารถช่วยลดแรงของผดู้ ูแลผปู้ ว่ ยติดเตียงได้ และเป�นไป ตามสมมตฐิ านการวจิ ยั นวตั กรรมเสอื้ ช่วยพยุง 7. ขอ้ เสนอแนะ จากการรวบรวมข้อมลู กลามตวั อยา่ งที่ใชน้ วัตกรรมเสอ้ื ชว่ ยพยุง ได้ใหค้ ำเสนอแนะเพม่ิ เติมทเี่ ป�นประโยชน์ ในในพัฒนานวัตกรรม คือนวัตกรรมเสื้อชว่ ยพยุงควรมหี ลายขนาดเพือ่ ให้ผู้ปว่ ยใสก่ ระชับและพอดีตัวมากขนึ้

8. เอกสารอ้างองิ 1.กาญจนา ปญ� ญาด.ี อุปกรณ์เคลอื่ นย้ายผู้ปว่ ยพึ่งพิง [อินเตอรเ์ นต็ ]; 2561 [เขา้ ถึงเมื่อ31 กรกฎาคม 2565].เขา้ ถงึ ได้ จาก: http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57920334.pdf 2.ฉัตรศริ ิ ป�ยะพิมลสิทธิ์. ทฤษฎีขีดจาํ กัดเข้าสู่ศนู ย์กลาง ( Central Limit Theorem )[อินเตอรเ์ น็ต] ; 2545 [เขา้ ถึงเม่อื 5 สิงหาคม 2565]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: http://www.watpon.in.th/Elearning/stat32.htm 3.เตมิ ศักดิ์ สุขวบิ ลู ย์. ขอ้ คํานึงในการสรา้ งเครือ่ งมอื ประเภทมาตรประมาณคา่ (rating scale)เพื่องานวิจยั [อนิ เตอรเ์ น็ต] ; 2560 [เข้าถึงเม่อื 31 สงิ หาคม 2565]. เข้าถึงไดจ้ าก: https://view.officeapps.live.com/op/view.aspx? 4.ผกามาศ พธี รากร. ผู้ป่วยติดเตยี งท่ีมภี าวะพึ่งพงิ [อินเตอรเ์ น็ต] ; 2564 [เขา้ ถงึ เมื่อ 21 กรกฎาคม 2565].เขา้ ถึง ไดจ้ าก: https://www.chiangmaihealth.go.th/cmpho_web/document/210318161604249238.pdf 5.ศิรกิ ญั ญา อสุ าหพิริยกลุ . การปอ้ งกนั การเกิดแผลกดทับในผปู้ ว่ ยสงู อายุกลุ่มเสี่ยงที่มภี าวะพง่ึ พาโดยผู้ดูแลมีส่วน ร่วมในการดแู ล [อนิ เตอรเ์ น็ต] ; 2564 [เขา้ ถงึ เมอื่ 29 กรกฎาคม 2565]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: https://rsujournals.rsu.ac.th/index.php/ajnh/article/view/1353/1695 6.สนุ รี ัตน์ ภู่เอ่ยี ม. อปุ กรณ์เคลือ่ นยา้ ยผปู้ ่วยพ่งึ พิง [อินเตอรเ์ น็ต] ; 2561 [เข้าถงึ เม่ือ31 กรกฎาคม 2565].เข้าถงึ ไดจ้ าก: http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/57920334.pdf 7.อนิรุจน์ สาระกจิ . การออกแบบอุปกรณ์กายภาพบําบดั ผู้ปว่ ยติดเตียง [อนิ เตอรเ์ นต็ ] ; 2560 [เข้าถงึ เมอื่ 29 กรกฎาคม 2565]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: file:///C:/Users/ASUS/Downloads/30f2019050114545335.pdf 8.อรวี องค์อาจ. ผ้าเล่อื น เคลื่อนง่าย สะดวกคนยา้ ย สบายคนนอน[อินเตอรเ์ นต็ ] ; 2560 [เขา้ ถึงเมอื่ 31 สงิ หาคม 2565]. เข้าถงึ ไดจ้ าก: https://he02.tcithaijo.org/index.php/trcnj/article/download/39964/32994/0 9.อญั ชษฐฐา ศริ ิคาํ เพ็ง และภักดี โพธสิ์ งิ ห์ .การดแู ลผู้สงู อายุระยะยาวท่ีมีภาวะพึ่งพงิ ในยุคประเทศไทย 4.0 อินเตอร์เน็ต] ; 2560 [เข้าถึงเมอื่ 31 กรกฎาคม 2565]. เข้าถึงไดจ้ าก: file:///C:/Users/ASUS/Downloads/sariga2527,+Journal+editor,+22.+%E0%B8%AD%E0%B8%B1 %E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%90%E0%B8%B2+235 -244.pdf

ช้นิ งานนวตั กรรม “เส้อื ช่วยพยงุ ”

นวัตกรรม Little Pigs Edema ธญั ญารตั น์ ถอื ศิล , นรรี ัตน์ คดิ รัมย์ , นุสรา สุรวิ งค์ , พนติ ตา พมุ่ ภู่ศรี , พรรณภทั ร พพิ ัฒนพ์ รวงค์ วัลลภา อุยยาหาญ และวรางคณา สายสทิ ธ์ิ คณะพยาบาลศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครปฐม, นครปฐม บทคัดย่อ นวตั กรรม Little Pigs Edema จัดทำข้ึน โดยมวี ัตถุประสงค์เพือ่ ประเมินผปู้ ่วยเบอื้ งต้นถึงภาวะความ สมดุลของสารน้ำออกจากร่างกายเพอื่ มุ่งให้ผทู้ ี่สนใจมีความรู้ความเข้าใจในหลักการประเมนิ ภาวะบวมกดบุ๋ม มากยิ่งขึ้น และมีความแม่นยำที่ถูกต้องตามหลักทฤษฎี โดยสร้างนวัตกรรมให้ผู้ที่สนใจไดเ้ ข้าถึงระดับความ รุนแรงของภาวะบวม โดยวิธีการใช้นิ้วกดที่ผิวหนังนาน 5 วินาทีในบริเวณที่มีอาการบวม ซึ่งตำแหน่งท่ี ตรวจสอบได้งา่ ยทส่ี ุดคือ หนา้ แข้ง ข้อเท้า และหลังเท้า การกดเพ่ือประเมนิ อาการบวมแบง่ ออกเป็น 4 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดบั 1+ กดบุ๋มลกึ 2 มิลลิเมตร มองไม่เห็นชดั เจนหายไปอยา่ งรวดเร็ว ระดบั 2+ กดบุ๋มลึก 4 มิลลเิ มตร สงั เกตได้ยากรอยบมุ๋ หายไปภายใน 15 วนิ าที ระดับ 3+ กดบุม๋ ลกึ 6 มลิ ลิเมตร สงั เกตไดช้ ดั รอยบุ๋มอยู่นานกวา่ 1 นาที ระดับ 4+ รอยบุ๋มลกึ 8 มิลลิเมตร ชัดเจนอยู่นานกว่า 2 นาที ซึ่งจะชว่ ยในการประเมินผู้ปว่ ยในกลุ่ม โรคหวั ใจ โรคไตและผูป้ ว่ ยทางด้าน อายุรกรรมท่วั ไป ผลการนำนวัตกรรม Little Pigs Edema ไปใช้ พบวา่ ความพึงพอใจระดับมากที่สุดในด้านนวตั กรรมมี ความง่ายในการใช้ นวัตกรรมมีความน่าสนใจในการนำไปใช้ และความสะดวกในการใช้นวัตกรรม มีคะแนน เฉล่ียความพงึ พอใจ ภาพรวมอย่ใู นระดับมากที่สดุ คะแนนเฉล่ีย 5 1.ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคญั และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างตอ่ เน่อื ง เป็นโรคทีไ่ ม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้เนื่องจากมีพยาธสิ ภาพของโรคทำให้เกดิ ความบกพร่องและสูญเสีย หน้าที่การทางานของไต ทำให้ของเสียในร่างกายเกิดการคั่งและส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ใน ประเทศไทยพบว่ามีรายงานอัตรา ความชุกของผู้ป่วยโรคไตเพิ่มขึ้น ปี พ.ศ.2562-2564 มีอัตราความชกุ ของ ผู้ป่วยเป็น 1,073.3 คน 1,198.8 คน และ 1,306.6 คน ตอ่ ประชากรหน่งึ ลา้ นคน ภาวะหวั ใจล้มเหลวเป็นกลุ่ม อาการซึง่ มีสาเหตุจาก ความผิดปกติของการทํางานในหวั ใจ อาจเกดิ จากการมีความผดิ ปกติของโครงสรา้ งหรือ การทาํ หน้าท่ขี องหวั ใจ สง่ ผลทาํ ให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลอื ดไปเลี้ยงร่างกาย หรอื รับเลือดกลบั เข้าสู่หัวใจได้ ตามปกติอาการทีพ่ บบอ่ ยของภาวะหวั ใจล้มเหลว ไดแ้ ก่ อาการเหนือ่ ย (dyspnea) อาการเหน่ือยหายใจ สำหรับประเทศไทยสาเหตุการเสียชวี ิต ด้วยโรคหัวใจอื่นซึ่งรวมภาวะหัวใจล้มเหลว มีจำนวนและอัตรา ตายต่อประชากร 100,000 คน เพิ่มขึ้นจาก 4,634 คน (7.1 %) ในปี 2558 เป็น 7,605 คน (11.6 %) ในปี 2562 ทั้งนีอ้ ุบตั ิการณ์ การเกดิ ภาวะหวั ใจล้มเหลว ในประเทศ สหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยท่ีได้รับการวนิ จิ ฉยั วา่ มี ภาวะ หัวใจล้มเหลวรายใหม่ประมาณปีละ 550,000 ราย และมีผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากภาวะภาวะหัวใจ 1

ลม้ เหลวเร้ือรงั หายใจไม่สะดวกขณะนอนราบ (orthopnea), อาการหายใจ ไมส่ ะดวกขณะนอนหลับและต้อง ตนื่ ขน้ึ เน่ืองจากอาการ หายใจไม่สะดวก (paroxysmal nocturnal dyspnea, PND), อาการบวมในบริเวณที่ เป็นรยางค์สว่ นล่างของรา่ งกาย (dependent part) เชน่ เทา้ ขา เปน็ ลกั ษณะ บวมกดบุ๋ม, ออ่ นเพลยี หลักการประเมินภาวะบวมกดบุม๋ โดยวิธกี ารใช้นิ้วกดที่ผิวหนังนาน 5 วนิ าทีในบริเวณที่มีอาการบวม ซึ่งตำแหน่งที่ตรวจสอบได้ง่ายที่สุดคือ หน้าแข้ง ข้อเท้า และหลังเท้า การกดเพื่อประเมินอาการบวมแบ่ง ออกเปน็ 4 ระดับ ได้แก่ ระดบั 1+ กดบุม๋ ลึก 2 มิลลิเมตร มองไมเ่ ห็นชดั เจนหายไปอย่างรวดเร็ว ระดับ 2+ กด บมุ๋ ลกึ 4 มลิ ลิเมตร สงั เกตไดย้ ากรอยบ๋มุ หายไปภายใน 15 วินาที ระดบั 3+ กดบมุ๋ ลึก 6 มิลลเิ มตร สังเกตได้ ชัดรอยบุ๋มอยู่นานกวา่ 1 นาที ระดบั 4+ รอยบุ๋มลกึ 8 มลิ ลเิ มตร ชดั เจนอยนู่ านกวา่ 2 นาที ซ่ึงจะช่วยในการ ประเมนิ ผู้ปว่ ยในกลมุ่ โรคหัวใจ โรคไตและผู้ป่วยทางด้านอายุรกรรมทัว่ ไป ดังน้นั ผูป้ ระเมนิ จะต้องมีความรู้และ ทกั ษะในการประเมินภาวะบวมไดเ้ ปน็ อย่างดี ซ่งึ ในบทความนจี้ ะกลา่ วถึงหลกั การปฏบิ ตั ิการประเมินภาวะบวมกดบุ๋มเพ่อื ใหเ้ กิดการพฒั นาการ ปฏิบัติงานดังกล่าว นกั ศึกษาคณะพยาบาลศาสตรช์ ้ันปที ่ี3 มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม จึงได้จดั ทำนวตั กรรม เรอ่ื ง Little Pigs Edema 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อพฒั นานวัตกรรม Little Pigs Edema 2.2 เพื่อศกึ ษาความเป็นไปไดข้ องการนำ นวตั กรรม Little Pigs Edema ไปใช้ 3. กลุ่มเป้าหมายในการประเมินความเป็นไปไดข้ องการนำไปใช้ นักศึกษาช้ันปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครปฐม จำนวน 10 คน 4. ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รบั 4.1 นักศกึ ษาพยาบาลมนี วตั กรรมเสมอื นจริงในการประเมนิ pitting edema 4.2 เป็นสื่อสำหรบั การเรียนการสอนท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ 5. กระบวนการพฒั นา (ตามขน้ั ตอน plan do check act) ขน้ั ที่ 1 ขน้ั วางแผน (Plan) 1) ประชุมสมาชกิ กลุ่ม กำหนดหัวขอ้ ทีต่ ้องการและตง้ั กลุ่มเป้าหมายเพอ่ื ให้ง่ายตอ่ การดำเนินงาน แบง่ หน้าทร่ี ับผดิ ชอบในการดำเนนิ งาน 2) ศกึ ษาและสบื คน้ ขอ้ มูล เพือ่ นำไปพฒั นาเป็นนวตั กรรม 3) วางแผนและจดั หาอุปกรณ์ในการพัฒนาวตั กรรม 2

ขนั้ ท่ี 2 ขน้ั ตอนการปฏิบัติ (Do) พฒั นานวัตกรรม Little Pigs Edema โดยนำอุปกรณ์มาจำลองเสมือนจรงิ สำหรับการประเมนิ ภาวะ บวมกดบ๋มุ ได้ คือ ตัวตุ๊กตามหมแู ละน้ิวมือทมี่ ีความนมุ่ และยืดหย่นุ ได้ (ดังภาพท่ี 1 และ 2) ภาพที่ 1 ตุ๊กตาหมู สำหรบั จำลองเปน็ หน้าแข้งในการประเมนิ pitting edema ภาพท่ี 2 น้ิวมือจำลอง สำหรับใชเ้ ปน็ นิ้วมอื ประเมนิ pitting edema ขั้นที่ 3 ขั้นตอนการตรวจสอบ (Check) นำนวัตกรรม Little Pigs Edema ไปทดลองใช้ และปรบั ปรุงให้เหมาะสม คอื การสวมใสร่ องเทา้ ให้ ตวั หมู เพ่อื ให้มีความเหมอื นกับหน้าแขง้ เสมือนจรงิ สำหรบั การประเมนิ pitting edema มากขนึ้ (ภาพที่ 3) 3

ภาพที่ 3 นวตั กรรม Little Pigs Edema ข้ันท่ี 4 ขนั้ ตอนการดำเนนิ งานให้เหมาะสม (Act) หลงั จากการนำนวัตกรรมนี้ไปทดลองใช้และให้ทำแบบประเมนิ ความพึงพอใจโดยมีความพึงพอใจมาก ทีส่ ุด ซ่ึงมคี ะแนนเฉลย่ี เทา่ กบั 5 ซง่ึ หมายความวา่ นวัตกรรมชนิ้ นมี้ ปี ระโยชน์และสามารถทำใหผ้ ู้เข้ามาศึกษามี ความร้แู ละความสามารถในการประเมนิ ภาวะบวมกดบุ๋ม 5. รายละเอยี ดและวิธีการใช้งานนวตั กรรม 5.1 ใชน้ วิ้ มือจำลอง ซง่ึ มสี เกลบอกระดับความรนุ แรงของภาวะบวม (ภาพท่ี 4) ภาพท่ี 4 นิ้วมอื จำลอง 5.2 ใช้นิ้วจำลองกดลงไปทตี่ ัวนวตั กรรม Little Pigs Edema และดรู ะดบั ความรุนแรงทีส่ เกลของน้วิ จำลอง (ภาพที่ 5) 4

ภาพที่ 5 ตวั อย่างการประเมนิ pitting edema โดยใช้นวัตกรรม Little Pigs Edema 6. ผลการทดลองใช้นวัตกรรมและการอภิปรายผล จากการนำนวัตกรรมนี้ไปทดลองใชก้ บั ผทู้ ที่ ดลองใช้นวตั กรรม Little Pigs Edema พบว่ามคี วามพึงพอใจ มากทีส่ ุดในด้านนวัตกรรมมีความง่ายในการใช้ นวัตกรรมมคี วามนา่ สนใจในการนำไปใช้ และความสะดวกใน การใช้นวตั กรรม มีคะแนนเฉล่ียความพงึ พอใจ ภาพรวมอยูใ่ นระดับมากที่สุด คะแนนเฉลีย่ 5 7. ขอ้ เสนอแนะ นำไปต่อยอดเปน็ งานวจิ ัยในชนั้ เรียนต่อไป 8. บรรณนุกรม ธนาพร ค้มุ สว่าง. (2563). การจัดการภาวะน้ำเกนิ และการปรับยาขับปัสสาวะดว้ ยตนเองของผู้ป่วยภาวะหัวใจ ลม้ เหลว. บทความการศกึ ษาตอ่ เนื่อง, 30(3), 213-226. อรวกิ าญจน์ ชัยมงคล. (2565). บทบาทพยาบาลในการดแู ลผู้ปว่ ยภาวะหัวใจลม้ เหลว ณ หนว่ ยบรกิ ารผ้ปู ่วย นอก. วชริ สารการพยาบาล, 24(1), 75-95. อารยา ดำรงกจิ . (2565). การพยาบาลผปู้ ่วยไตวายเรือ้ รังระยะสดุ ทา้ ยร่วมกับภาวะหัวใจล้มเหลวทไี่ ดร้ บั การ ล้างไตทางช่องท้อง. วารสารอนามนั สิ่งแวดลอ้ ม และอนามยั ชมุ ชน, 7(2), 93-99. 5

เครื่องหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ จารวุ รรณ จนั ทรค์ ณาโชค1, ฟ้าใส ขวยเขนิ 2 , ภทรพร รอดไทรป่า3, ภทั รวดี เพชรเเต่ง4, ภาวิณี ทองดอนน้อย5, สุภา พร ทองสุข6, อโนชา พรประสาตร์7, อรณุ ี หงษเ์ วยี งจันทร์8 1วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จักรรี ัช คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก *[email protected] บทคดั ย่อ การศกึ ษาประสิทธผิ ลนวัตกรรมในคร้ังนี้มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื ศกึ ษาสภาพปญั หาเกย่ี วกับการเกดิ อุบัตเิ หตกุ ารหักหลอดแก้ว ยา พฒั นานวัตกรรมเคร่อื งหกั หลอดแก้วยาอัตโนมัติและทดสอบประสิทธิผลของนวัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติในด้าน อตั ราการเกดิ อุบตั ิเหตุของมีคมบาดจากการหักหลอดแกว้ ยาและความพึงพอใจต่อการใชน้ วัตกรรมเครอ่ื งหักหลอดแก้วยาอตั โนมตั ิ นวัตกรรมครั้งน้ีเป็นวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Designs) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ พยาบาลวิชาชีพที่ ปฏิบตั งิ านในสถานบริการและมีประสบการณใ์ นการเตรยี มยาที่ ปฏิบตั งิ านบนหอผ้ปู ่วยศัลยกรรมและอายรุ กรรม โรงพยาบาลบา้ น โป่ง จังหวัดราชบุรี จํานวน 30 คน โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 2 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 การศึกษาสภาพปัญหาเก่ียวกับการเกิด อบุ ตั ิเหตุการหักหลอดแกว้ ยา ระยะท่ี 2 การทดสอบประเมินประสทิ ธิผลหลังการใช้นวตั กรรม ประกอบดว้ ย แบบบนั ทึกความถ่ใี น การเกิดอุบัติเหตุ และแบบประเมินความพึงพอใจของนวัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิง พรรณนา ผลการศึกษาทดสอบผลของนวัตกรรม พบว่า ความถี่การเกดิ อบุ ัติเหตุ อัตราการเกิดอบุ ัติเหตุของการหกั หลอดแก้วยาเป็น แบบปากฉลาม คิดเปน็ ร้อยละ 5.83 หลอดแก้วยาแตกรา้ ว คิดเป็นรอ้ ยละ 3.33 และไม่พบอบุ ัตเิ หตหุ ลอดแก้วยาบาดมอื จากการใช้ นวัตกรรม และพบความพึงพอใจของนวัตกรรม “เคร่ืองหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ” ในภาพรวมเฉลีย่ เท่ากับ 4.03(S.D.=0.63) คิด เป็นรอ้ ยละ 81.33 คาสาคัญ: หลอดแก้วยา อตั ราการเกิดอบุ ตั เิ หตุ

1. ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา พยาบาลวิชาชีพ เป็นกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง จากการสํารวจพบว่า พยาบาลวชิ าชีพทวั่ โลกมีมากกว่า 59 ลา้ นคน1 เผชิญกับความเร่งรีบความเครียดตลอดเวลา รวมถึงสารเคมีหรอื สารอนั ตรายต่าง ๆ และยงั มีอีกหลายปจั จัยทั้งสภาพแวดลอ้ มและลักษณะการทํางานที่ไม่ปลอดภยั 2 ซ่งึ แตกตา่ งไปในแต่ละโรงพยาบาล ที่จะส่งผลต่อ สุขภาพหรือการบาดเจ็บระหว่างการทํางาน โดยพยาบาลวิชาชีพมากกว่า 35 ล้านคนมีการทํางานที่ต้องสัมผัสกับอุปกรณ์หรือ เคร่ืองมือทางการแพทย์ท่ีมีความแหลมคม3 ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการบาดเจ็บของพยาบาลวิชาชีพ ส่งผลกระทบต่อ คณุ ภาพชวี ติ และทาํ ให้ประสิทธภิ าพการทํางานลดลง เนื่องจากในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีในแต่ละเวร กิจกรรมบางกิจกรรมอาจก่อให้เกิดอันตราย การเตรยี มยาฉีดก็เป็น กิจกรรมการพยาบาลหนง่ึ ทพ่ี ยาบาลทุกคนต้องปฏิบัติ การบริหารยาจําเปน็ ตอ้ งมกี ารหกั หลอดแก้วยาหรอื ท่เี รียกวา่ ยาชนิดแอมพูล (Ampule) หรือที่เรียกสั้นๆว่า “แอมป์ยา” หรือ “หลอดแก้วยา” การหักหลอดแก้วยามกั ควบคู่กับการเตรยี มยาเสมอ การเตรียม ยาในลักษณะของหลอดแก้วยา (Ample) ซึ่งขนาดสําหรับคอขวดของหลอดแก้วยา พบได้หลายขนาด คือ 0.5 มล. 1.0 มล. 2.0 มล. 3.0 มล. 5.0 มล. และ 10.0 มล. เป็นต้น4 ในการหักหลอดยาบางครั้งมักเกิดอุบัติเหตุ หลอดแก้วยาบาดนิ้วมือของพยาบาล จากการศกึ ษาของพาลม์ เมอรแ์ ละบอล อ้างถงึ ในกาญจนา ชาญประเสรฐิ 4 การหักหลอดแก้วยาทําใหเ้ หลือเศษแก้วแหลมขน้ึ 51.7% ยังมีเศษแก้วท่ีตกลงไปในขวดของหลอดแก้วยาท่ีบรรจุยา ซ่ึงในการหักหลอดแก้วยาน้ันสามารถทําให้เกิดบาดแผลบริเวณมือได้ เนื่องจากบริเวณขอบที่ได้ทําการหักมีลักษณะเป็นขอบแหลมพยาบาลหรือบุคคลากรทางการแพทย์จึงได้รับบาดเจ็บ และจาก การศึกษาของปาร์คเกอร์ อ้างถึงในกาญจนา ชาญประเสริฐ4 พบว่า การบาดเจ็บท่ีเกิดข้ึนจากการหักหลอดแก้วยา 6% ลักษณะ ของบาดแผลที่ได้รับมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ไม่เท่ากันบางคร้ังกท็ ําใหเ้ ส้นเอ็นและเส้นประสาทบริเวณท่ีเกิดบาดแผลเสียหายได้ และการศกึ ษาของ เกา, เส่า, ชวง และฮวง อา้ งถึงในกาญจนา ชาญประเสริฐ4 พบว่า บาดแผลทไ่ี ด้รับจากการหกั หลอดแก้วยาเป็น อันดบั ที่ 4 ของสาเหตจุ ากการบาดเจบ็ ของพยาบาลและบคุ คลากรทางการแพทย์ ลักษณะของการเกิดอุบัติการณ์ส่วนใหญ่ถูกหลอดแก้วยาหรือเศษแก้วบาด ร้อยละ 90.91 เกิดอุบัติการณ์ในขณะกําลัง เตรียมอุปกรณ์ ร้อยละ 78.41 มีตําแหน่งอวัยวะท่ีเกิดอุบัติการณ์เกิดขึ้นท่ีบริเวณปลายนิ้วมือร้อยละ 1005 ปัจจัยที่ทําให้เกิด อุบัติการณจ์ ากการถูกหลอดแกว้ ยาบาด คือ การปฏิบัติงานด้วยวธิ ีท่ไี ม่ถูกต้อง ประสบการณ์ในการทํางาน สภาพร่างกายที่เหนอ่ื ย อ่อนลา้ ช่วงเวลาของการปฏิบัตงิ าน การไมไ่ ดร้ ับการสนับสนนุ นอปุ กรณใ์ นการปอ้ งกันอบุ ตั เิ หตุ การจดั อตั รากําลังในการปฏิบตั ิงาน ท่ไี มเ่ พยี งพอ การจดั สงิ่ แวดล้อมทีไ่ ม่เอ้ืออํานวย6 วิธีในการหักหลอดแกว้ ยามีด้วยกันหลากหลายวธิ ี อาจมีบางวิธกี ารท่ีตอ้ งใชต้ ะไบ เล่ือย เล่ือยหลอดแก้วยาแล้วหักหรือใช้สําลี 2 ก้อน ผ้าก๊อซ ซองใส่ syringe ผ้าสะอาด ฯลฯ7 ประกอบส่วนบนและส่วนล่างของ หลอดแกว้ ยาแลว้ หัก ในบางครัง้ ไม่สามารถหักได้เนื่องจากหลอดแกว้ ยาแตล่ ะชนิดมขี นาด ความหนาบางท่ีแตกต่างกันใช้เวลานาน ในการหักหลอดแกว้ ยา และเกดิ อุบัตเิ หตจุ ากการหักหลอดแก้วยาได้ เช่น ถกู หลอดแก้วยาบาดมอื เกิดการบาดเจ็บ เกิดบาดแผลที่ นิ้วมือส่งผลต่อการปฏิบัติงานเปน็ อย่างย่ิงเนื่องจากบาดแผลอาจเส่ยี งต่อการติดเชื้อเน่ืองจากต้องปฏิบัตงิ านกบั ผู้ป่วยบนหอผู้ป่วย และเกิดสูญเสียจํานวนยาท่ีบรรจุอยู่ภายในหลอดยาแก้ว เป็นด้น จะเห็นได้ว่าปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบหลายอย่างทางด้าน ร่างกายและด้านจิตใจแต่ผลกระทบหลักที่ตามมาคือได้รับบาดเจ็บที่บริเวณมือ จึงต้องมีการป้องกันและการรับมือจากอุบัติเหตุที่ เกดิ ขึ้นจากการถูกหลอดแกว้ ยาบาด สามารถทาํ ได้โดยใชผ้ า้ สะอาดหรอื สาํ ลีรองเพ่อื ปอ้ งกนั อุบตั เิ หตุเศษแกว้ ท่ิมตาํ หรอื บาดมอื เม่ือ ทาํ การหักหลอดแก้วยาแลว้ จะมีหลอดแก้วยาทีผ่ ่านการหกั หรอื ผ่านการใชง้ านแล้วใหบ้ รรจุลงในภาชนะที่แก้วแทงไมท่ ะลเุ พ่ือนําไป ทิง้ ตามหลักการควบคุมการตดิ เชือ้ (Infection control)8

ผลของการทบทวนวรรณกรรมพบว่า มนี วตั กรรมกล่องหักแอมปย์ า ของเจียมจิตต์ เฉลิมชุติเดชและภคมน กรี ติเดชากิจ9 มกี ารประดิษฐ์เปน็ แบบกล่องและมีก้านสับลงมาบบี ให้หักแอมป์ ผลการทดลองพบว่า ไดท้ าํ การทดลองใช้นวัตกรรมเป็นระยะเวลา 6 เดือน ทดลองใชท้ ีห่ อผปู้ ่วยกุมารเวชกรรม 2 จํานวน 10 คน มกี ารใช้กลอ่ งหกั แอมปย์ าแทนการใช้มอื หกั แอมป์ยา ในข้นั ตอนการ เตรียมยาสําหรับให้ผู้ป่วยพบว่ามีความสะดวก รวดเร็วซึ่งใช้เวลาในการหัก 0.5 วินาที จากเดิมใช้มือนานประมาณ 10 วินาที ใช้ เวลาในการเตรยี มยาลดลง และปลอดภัยต่อผ้ปู ว่ ยและบุคลากร อย่างไรก็ตามยังพบข้อจาํ กัดในการใช้หักแอมป์ยาทบี่ รรจุยาขนาด 10 ml มีโอกาสแตก 30% ซ่ึงไดต้ ิดตามวิเคราะหป์ ัญหาร่วมกัน พบวา่ บุคลากรผใู้ ช้บางคนขาดทกั ษะในการใช้ คือ วางแอมปย์ าไม่ พอดีกับเส้นแนวท่ีกําหนดไว้ เป็นต้น ต่อมานวัตกรรมการหักแอมพ์ยาด้วยไซริงก์ ของรุ่งตะวัน โคตรวงศ์10 เป็นการทดลองด้วย กระบวนการ CQI โดยนาํ อุปกรณ์ท้ังหมดของการฉีดยา เช่น ฝาเข็มฉดี ยา กล่องฉีดยา สําลี มาเป็นอปุ กรณ์ทดลองในการหักแอมป์ ยา ซง่ึ ได้แนวคดิ มาจากการแกไ้ ขปัญหาของหญิงต้ังครรภ์ทมี่ ีหัวนมสั้นด้วยการตัดไซรงิ ค์ ทําให้จุกของแอมป์ยายาวขนึ้ และไม่ต้องใช้ มอื จับท่ีแอมปย์ า ผลการทดลองพบวา่ เจา้ หน้าทใี ชไ้ ซริงก์หกั หลอดแก้วยามคี วามพึงพอใจมากที่สุด รอ้ ยละ 42.8 พอใจมากรอ้ ยละ 57.1 ไม่พบการบาดเจ็บจากการ ใช้ไซริงก์หักหลอดแก้วยา และนอกจากการใช้ไซริงก์หักหลอดยา ทําให้หลอดยาไม่แตกแล้ว ยัง ส่งผลดีต่อผู้ป่วยคือ ผู้ป่วยได้รับยาครบตามขนาดการรักษาของแพทย์ ยงั มีข้อจํากัดคือ ตัวนวัตกรรมยังต้องใช้แรงเป็นจํานวนมาก ในการชว่ ยหักและไม่สามารถทาํ งานได้อย่างอตั โนมตั ิ หากมกี ารหกั แอมปย์ าในเวลาเร่งเรบี ก็ยงั มโี อกาสเกิดอบุ ตั ิเหตจุ ากของมีความ บาดได้ จากการทบทวนวรรณกรรมข้างต้นน้ัน นวัตกรรมยงั มีการใช้แรงจากมือในการหักหลอดแก้วยา และอาจเกดิ อบุ ตั ิเหตุจาก การหักหลอดแกว้ ยาได้ คณะผู้จัดทําจงึ ไดศ้ กึ ษาสภาพปัญหาเกีย่ วกบั การเกดิ อบุ ตั เิ หตกุ ารหักหลอดแกว้ ยาของพยาบาลวชิ าชพี จึงมี แนวคิดในการจัดทาํ นวัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติขึ้นมา โดยลดการสัมผัสกับหลอดแก้วยาในขณะหักเพื่อป้องกันการ เกดิ อบุ ัตเิ หตจุ ากการหกั หลอดแกว้ ยาใหแ้ ก่พยาบาลวิชาชพี ท่ีปฏบิ ัตงิ านอยูบ่ นหอผู้ปว่ ยและต้องทาํ การเตรยี มยาใหแ้ ก่ผ้ปู ว่ ย เพอื่ ให้ เกดิ ความสะดวกสบายในการหักหลอดแกว้ ยา ลดการเกดิ การบาดเจ็บจากการหักหลอดแกว้ ยา 2. วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาเก่ยี วกบั การเกดิ อบุ ตั เิ หตกุ ารหกั หลอดแก้วยา 2. เพอ่ื พฒั นานวตั กรรมเครือ่ งหักหลอดแก้วยาอตั โนมตั ิ 3. เพ่ือทดสอบประสิทธผิ ลของนวัตกรรมเครือ่ งหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมัตใิ นด้านอัตราการเกิดอุบตั ิเหตุของมคี มบาดจากการ หักหลอดแก้วยาและความพงึ พอใจต่อการใชน้ วัตกรรมเครอ่ื งหกั หลอดแก้วยาอตั โนมัติ 3. กลมุ่ เป้าหมาย พยาบาลวิชาชพี ท่ปี ฏบิ ตั งิ านในสถานบริการสุขภาพและมปี ระสบการณใ์ นการเตรยี มยาจากหลอดแก้วยาท่ีปฏบิ ัติงานในหอ ผ้ปู ว่ ยศลั ยกรรมและอายรุ กรรม โรงพยาบาลบา้ นโปง่ จ.ราชบุรี จาํ นวน 30 คน

4. กระบวนการพัฒนา (ตามขนั้ ตอน plan do check act) 4.1 ขนั้ ตอนการเตรยี ม (PLAN) 1. ศึกษาปัญหากําหนดหัวข้อนวัตกรรมที่สนใจ ในการปฏิบัติการเตรียมยาบนหอผู้ป่วยจะพบเจอปัญหาเรื่องการหัก หลอดแก้วยา เน่ืองจากพยาบาลวิชาชีพจะต้องทําการเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วยมักมีการหักหลอดแก้วยาเพ่ือทําการเตรียมยา และทํา การหกั หลอดแกว้ ยาดว้ ยมือเปลา่ จึงทําให้เกิดบาดแผลช้ินเนื่องจากมกี ารบาดของหลอดแกว้ ยาท่ีได้ทําการหักเพ่ือนํายาทไ่ี ด้ไปใชใ้ น การเตรียมยา ให้แก่ผู้ป่วย ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาต่อยอดจากขวดนํ้ายาในการช่วยหักหลอดแก้วยามาเป็นเคร่ืองหัก หลอดแกว้ ยาอัตโนมัตเิ พื่อความปลอดภัยระหว่างการเตรยี มยาและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเตรียมยาให้แก่ผู้ป่วยและศึกษา ค้นคว้าหาขอ้ มลู วิจัยเพิม่ เติม นาํ มาสร้างพัฒนาชน้ิ งานนวตั กรรมโดย พัฒนาแนวคิดจากการส่ิงประดิษฐท์ ่ีชว่ ยในการหกั หลอดแก้ว ยาเรอ่ื ง “ ท่ีหกั ด.ี ..ใช้ไมบ่ าดนว้ิ มอื ” ซง่ึ เป็นปัญหา สาํ คญั หนง่ึ อย่างในการปฏบิ ัติงานของพยาบาลวิชาชีพบนหอผ้ปู ่วย 2. เสนอหวั ขอ้ /แนวคดิ เกย่ี วกับนวตั กรรมกับอาจารยท์ ีป่ รกึ ษา 3. กาํ หนดโครงออกแบบรา่ งนวัตกรรม 4. กําหนดวัตถปุ ระสงค์ และขอบเขตการดําเนินงาน 5. กาํ หนดตวั ชวี้ ดั และตัง้ เป้าหมาย 6. กาํ หนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง ลกั ษณะผลงานนวัตกรรม 4.2 การดาเนินการ (DO) โครงรา่ ง การประดิษฐ์ 1. ปรกึ ษา ผู้เชย่ี วชาญเก่ียวกับทเ่ี รียนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ - อตุ สาหกรรม และ วิศวกรรมศาสตร์ในการเขยี น นวตั กรรมเก่ยี วกบั การผลิตช้นิ งานนวตั กรรม เชน่ การเขยี นโปรแกรม 2. ออกแบบโครงรา่ งนวัตกรรมเพอ่ื ทาํ การประดษิ ฐ์ ภาพท่ี 1 โครงร่างนวัตกรรม Version 1 และ Version 2 3. จัดซื้ออปุ กรณใ์ นการจดั ทําชิน้ งานนวตั กรรม 4. ลงมือเขียนโปรแกรม Arduino R3 โดยผเู้ ชย่ี วชาญทีเ่ รียนอิเล็กทรอนกิ ส์ - อุตสาหกรรม และวิศวกรรมศาสตร์ 5. นําขอ้ มลู ทีท่ าํ การเขยี นโปรแกรมเสรจ็ ลงบอรด์ ควบคมุ วงจร

6. จัดทาํ อุปกรณโ์ ดยมีการอา้ งอิงรปู แบบอุปกรณม์ าจากแทนเจาะเหล็ก 7. นาํ อปุ กรณ์ท่จี ดั ทาํ มาต่อเขา้ กบั วงจรที่ไดล้ งโปรแกรมไว้ 8. จากนัน้ นําระบบทงั้ หมดกบั อุปกรณ์แลว้ ต่อเข้ากบั แหล่งจ่ายไฟ 9. ทดสอบอปุ กรณใ์ นประเด็น อตั ราการเกดิ อุบัตเิ หตจุ ากการหักหลอดยาแก้ว ความสะดวกในการปฏบิ ตั ิงานและ ระยะเวลาท่ใี ช้ในการหกั หลอดยาแก้ว 4.3 ขัน้ ตอนการติดตาม ตรวจสอบ ประเมิน (CHECK) ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ได้เเก่ 1. ทาํ การทดสอบอปุ กรณโ์ ดยคณะผ้จู ัดทํา ในประเดน็ อตั ราการเกดิ อุบตั ิเหตจุ ากการหกั หลอดยาแกว้ ความพึงพอใจใน การปฏิบตั ิงาน และใหอ้ าจารยป์ ระจาํ กลมุ่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของเน้ือหา รูปแบบของนวตั กรรม และตรวจสอบอุปกรณ์ ก่อน นาํ ชิน้ งานของนวัตกรรมไปใช้กบั พยาบาลวชิ าชีพ 2. ทาํ การทดสอบอปุ กรณใ์ นสถานการณ์จริง โดยทดสอบกับพยาบาลวิชาชีพ โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้  ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร คือ พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานในสถานบริการสุขภาพและมีประสบการณ์ในการเตรียมยาจาก หลอดแก้วยา กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยศัลยกรรมและอายุรกรรม โรงพยาบาลบ้านโป่ง จ . ราชบรุ ี จาํ นวน 30 คน  การกาหนดขนาดตวั อยา่ ง ผู้วิจัยเลอื กกลุ่มตวั อย่างแบบโควต้า (Quota sampling) ผวู้ จิ ัยกาํ หนดคณุ สมบัตแิ ละจาํ นวนของกล่มุ ตวั อย่างท่ีใช้ ในการศึกษาและเก็บตัวอย่างโดยการเลือกแบบบังเอิญ ได้ตัวเลือกขนาดกลุ่มตัวอย่างพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอ ผ้ปู ่วยศัลยกรรม โรงพยาบาลมะการักษ์ 30 คน ดังน้ัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศกึ ษาครั้งน้ีมีจํานวน 30 ราย ลักษณะของ กลมุ่ ตัวอยา่ งมีคุณสมบตั ติ ามเกณฑท์ ่กี าํ หนดดังนี้ เกณฑ์คัดเขา้ (Inclusion criteria): กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคคลากรทางการแพทย์ท่ีปฎิบัติงานในหน่วยงานท่ีมีความเส่ียงต่อการบาดเจ็บจากของมีคม และมีคมและยนิ ดีเขา้ ร่วมการวจิ ยั เกณฑ์คดั ออก (Exclusion criteria): 1. ไม่สามารถให้ความร่วมมือไดต้ ลอดระยะเวลาการวจิ ยั 2. ปฎิเสธการใหข้ อ้ มลู  เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นนวตั กรรม เครื่องมือที่ใช้ในนวัตกรรมครั้งน้ีประกอบด้วยเคร่ืองมือ คือ บบสอบถามการเกิดอุบัติเหตุจากจากการหักหลอดแก้วยา แบบประเมินความพงึ พอใจใน และแบบบันทึกอบุ ัติเหตุ หลังการใชบ้ ริการนวัตกรรม “เครอ่ื งหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ”

แบบสารวจกอ่ นทานวัตกรรม 1. แบบสอบถามการเกิดอุบัติเหตุจากจากการหักหลอดแก้วยา ประกอบข้อคําถาม 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อมูลของผู้ตอบ สอบถาม ประกอบด้วย อีเมลของผตู้ อบแบสอบถาม เพศ ประสบการณ์การทํางาน โรงพยาบาลและหน่วยงาน/แผนกท่ีปฎิบตั ิงาน ส่วนที่ 2 แบบประเมินปัญหาเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุจากการหักหลอดแก้วยา ประกอบด้วยคําถามทั้งหมด 7 ข้อ ประกอบด้วย ขนาดหลอดแก้วยาท่ีมีปัญหา ขนาดของหลอดแก้วยาท่ีใช้บ่อย ปัญหาเก่ียวกับการหักหลอดแก้วยา ส่ิงที่ควรระวังพิเศษเม่ือหัก หลอดแก้วยา อัตราการเกิดอบุ ัตเิ หตุ ปจั จยั ท่ีทําให้เกิดอุบตั ิเหตุและผลกระทบจากการเกิดหักหลอดแกว้ ยา แบบสอบถามมลี กั ษณะ เป็นคาํ ถามปลายเปดิ และเลอื กตอบตามความเป็นจริงกับทีผ่ ตู้ อบแบบสอบถามพบเจอ แบบประเมนิ หลงั ทดลองใช้นวัตกรรม 1. แบบประเมนิ ความพึงพอใจในการใชบ้ รกิ ารนวตั กรรม ประกอบดว้ ยขอ้ คาํ ถามทงั้ หมดจาํ นวน 9 ข้อ แบ่งเปน็ 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการออกแบบนวตั กรรม ด้านโครงสร้างนวัตกรรม และด้านประโยชนใ์ นการใช้งาน แบบสอบถามนีม้ ีลักษณะเป็น แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ ดงั น้ี 5 หมายถึง พึงพอใจมากท่สี ดุ , 4 หมายถึง พงึ พอใจมาก, 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง, 2 หมายถึง พงึ พอใจน้อย, 1 หมายถงึ พึงพอใจนอ้ ยท่ีสุด 2.แบบบันทึกอุบัติเหตุ ประกอบข้อคําถาม 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ ข้อมูลพ้ืนฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย เพศ ประสบการณใ์ นการทาํ งาน โรงพยาบาลและหนว่ ยงาน/แผนกท่ีปฎิบัติงาน ส่วนท่ี 2 คือ แบบบันทึกความถี่การเกิดอุบัติเหตุ ประกอบด้วย วันเดือนปี จาํ นวนคร้ังท่ีเตรียมยา จํานวนหลอดแก้วยาที่หักทั้งหมด จํานวนครงั้ ทเ่ี กิดอุบัติเหตุ ขนาดของหลอดแก้ว ยาที่เกดิ อุบตั เิ หตแุ ละหมายเหตุ แบบบันทึกเป็นคาํ ถามปลายเปดิ และตอบตามความเปน็ จริงกบั ที่ผู้ตอบแบบสอบถามพบเจอ คณุ ภาพของเครอ่ื งมอื แบบประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการนวัตกรรม “เครื่องหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ” และ แบบสอบถามการเกิด อุบัติเหตุจากจากการหักหลอดแก้วยา นี้ได้รับการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา (Content Validity) จากผู้เช่ียวชาญจํานวน 3 ทา่ น คอื อาจารย์พยาบาลที่มีประสบการณแ์ ละความเชีย่ วชาญในการผลติ หรือพัฒนานวัตกรรม การปฏบิ ัติงานท่ตี ้องหกั หลอดแก้ว ยาเปน็ ประจํา และมคี วามเชีย่ วชาญด้านการวัดประเมนิ ผล เพ่ือดูความครอบคลุมของเน้ือหา ( Content Validity ) และตรวจสอบความชัดเจนของภาษาที่ใช้และนําเครื่องมือมา ปรับปรุงแก้ไข พบว่ามีดัชนีความสอดคล้อง (Index of consistency ) อยู่ระหว่าง 0-1 ซ่ึงไม่เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้คือ เกณฑ์ทก่ี าํ หนดไวค้ ือ ค่า Index of consistency เท่ากับ 0.50-1.00 ถือว่ามีความตรงตามเน้ือหา คะแนนรวมแตล่ ะแบบสอบถาม มดี งั น้ี 1.แบบสอบถามสารวจการเกดิ อุบัตเิ หตจุ ากการหกั หลอดแกว้ ยา ขอ้ มูลพืน้ ฐานของผู้ตอบแบบสอบถาม คะแนนต่ําสดุ เทา่ กับ -0.33 มีการปรับปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ คะแนนสูงสดุ เทา่ กบั 0.33 มกี ารปรับปรงุ แกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ ปัจจยั ดา้ นหลอดแก้วยาทม่ี ปี ัญหา คะแนนตาํ่ สุดเทา่ กบั -0.67 มกี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ

คะแนนสูงสดุ เท่ากบั 0.67 มคี า่ คะแนนเปน็ ไปตามเกณฑท์ ่ีกาํ หนด 2.แบบบันทกึ ข้อมลู ในการเกิดอุบัตเิ หตุหลงั การใช้นวัตกรรมเคร่ืองหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ ข้อมูลพน้ื ฐานของผ้ตู อบแบบสอบถาม คะแนนตา่ํ สดุ และสงู สดุ เทา่ กนั เทา่ กบั 0.67 คา่ คะแนนเป็นไปตามเกณฑ์ท่ี กาํ หนด ปจั จยั ดา้ นหลอดแกว้ ยาทมี่ ปี ัญหา คะแนนต่ําสุดเท่ากับ -1.00 ตัดขอ้ คําถามออก 3.แบบประเมินความพึงพอใจนวัตกรรม\"เคร่อื งหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ คะแนนตํ่าสุดเท่ากับ -0.67 มีการปรับปรุงแก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ คะแนนสูงสดุ เทา่ กับ 1.00 มีคา่ คะแนนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กาํ หนด  การพิทักษส์ ทิ ธิ์กลมุ่ ตัวอยา่ ง ในการวิจัยคร้ังนี้คณะผู้จดั ทาํ คํานึงถงึ การพิทักษ์สิทธิ์กล่มุ ตัวอย่าง โดยก่อนทําการวิจยั คณะผู้จดั ทําได้เสนอโครงร่างวิจัย ประสทิ ธผิ ลของนวัตกรรม “เครอ่ื งหักหลอดแกว้ ยาอัตโนมัติ” ให้คณะกรรมการจริยธรรมการวิจยั ในคน วิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี จักรีรัช เพ่ือพิจารณาความเหมาะสมทางจริยธรรมก่อนการทําการเก็บรวบรวมข้อมูล หลังจากคณะกรรมการจริยธรรมการ วิจยั วิทยาลัยพยาบาลบรมราชนนี จกั รรี ัชได้อนุมตั ิผลแลว้ นั้น คณะผู้จดั ทําขออนญุ าตผูอ้ ํานวยการโรงพยาบาลบา้ นโปง่ เก็บข้อมูล ในกลมุ่ ตัวอยา่ ง หลงั จากไดร้ ับการอนุมตั ิ คณะผ้จู ัดทําเข้าพบกบั กลุ่มตัวอย่างและดาํ เนินการแนะนําตวั ชี้แจงวตั ถุประสงค์ ข้ันตอน การใชน้ วัตกรรมและการเก็บข้อมลู การเขา้ ร่วมการวิจัยครั้งนี้เป็นไปตามความสมัครใจของกลุ่มตัวอย่าง และสามารถถอนตัวออก จากการเป็นกลุ่มตัวอยา่ งจากงานวิจัยนี้ไดต้ ลอดเวลาที่ต้องการโดยไม่มีผลกระทบตอ่ ผลการทาํ งาน พร้อมท้ังถามความสมคั รใจจาก กลุ่มตัวอย่างและลงช่ือไว้ในหนังสือยินยอมเข้าร่วมวิจัยในการเก็บข้อมูลและข้อมูลที่ได้จะถูกเก็บเป็นความลับ และนําเสนอใ น ภาพรวมเพ่ือประโยชน์ทางการศึกษาเทา่ น้ัน  ขัน้ ตอนและวธิ เี ก็บรวบรวมขอ้ มูล การจดั ทาํ นวตั กรรมคร้ังนีผ้ จู้ ัดทาํ ได้ดําเนนิ การโดยเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยดาํ เนินการตามขนั้ ตอน ดังนี้ ขนั้ เตรยี มการ 1. คณะผู้จัดทาํ เตรียมชิ้นงานนวตั กรรม “เคร่ืองหกั หลอดแกว้ ยาอัตโนมตั ิ” และเครื่องมือในการเก็บขอ้ มลู ทีไ่ ดพ้ ฒั นาตาม คาํ แนะนาํ จากคณะกรรมการผูท้ รงคุณวฒุ แิ ล้ว เพือ่ เตรยี มความพรอ้ มในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 2. คณะผจู้ ัดทําขออนุมัตทิ ําการศกึ ษาจากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยในมนษุ ย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรัช เมื่อได้รับการอนุมัติทําการศึกษาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัชแล้ว คณะผู้วิจัยขออนญุ าตจากผู้อาํ นวยการโรงพยาบาลบ้านโปง่ เพื่อดําเนินการเก็บข้อมูลในกลุ่มตวั อย่าง ณ โรงพยาบาลบา้ นโป่ง หอ ผู้ปว่ ยศัลยกรรมและอายรุ กรรม 3. คณะผู้จัดทําเข้าพบกับกลุ่มตัวอย่างและดําเนินการแนะนําตัว ชี้แจงวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการใช้นวัตกรรมการเก็บ ข้อมลู การพทิ กั ษส์ ิทธ์ิ พรอ้ มทั้งถามความสมัครใจจากกลุ่มตัวอย่าง และลงช่ือไว้ในหนังสอื ยนิ ยอมเขา้ ร่วมวจิ ยั

ขัน้ ดาเนินการ 1.ใหป้ ระชากรทที่ ํางานในสถานบรกิ ารสขุ ภาพที่มปี ระสบการณใ์ นการเตรียมยาจากหลอดแก้วยา ทาํ แบบสอบถามสาํ รวจ การเกดิ อุบตั เิ หตจุ ากการหักหลอดแก้วยา 2.ชแ้ี จงการใชอ้ ุปกรณ์ นวตั กรรมเคร่ืองหักหลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ” 3.เมื่อกลุ่มตัวอย่างได้ทดลองใช้นวัตกรรม “เคร่ืองหกั หลอดแก้วยาอตั โนมตั ิ” และทาํ แบบสอบถามเกีย่ วกบั อัตราการเกิด อุบัตเิ หตแุ ละความพงึ พอใจต่อการใช้นวตั กรรมแล้วเปิดโอกาสให้กลุม่ ตัวอย่าง ได้แสดงความคดิ เห็นหรือแนวทางท่ีเปน็ ประโยชน์ใน การพัฒนา/ปรบั ปรงุ ช้นิ งานนวตั กรรมทเี่ หมาะสมกับบรบิ ทการใช้งานจรงิ 3. คณะผูจ้ ดั ทาํ รวบรวมขอ้ มลู ท้ังหมด ตรวจดูความสมบูรณข์ องแบบสอบถามทง้ั หมดลงรหสั ข้อมลู และวเิ คราะหท์ างสถิติ วิเคราะห์ค่าสถิติโดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูป โดยใชส้ ถิตใิ นการวิเคราะห์ ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้ ได้แก่ อัตราการเกิดอุบัติเหตุและผลประเมินความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรม “เคร่อื งหกั หลอดแก้วยาอตั โนมตั ิ” โดยการใช้ จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลย่ี สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 4.4 ขน้ั ตอนการนาผลการประเมนิ ไปปรับปรงุ พัฒนา (ACT) ตรวจสอบปญั หา จดุ ด้อย และจากเคร่ืองมอื การวดั ประเมนิ นวตั กรรม แบ่งประเดน็ ตามหัวขอ้ และร่วมมอื ปรกึ ษาอาจารย์ ประจํากลุ่ม และผเู้ ชีย่ วชาญเพ่อื รว่ มแก้ไขปัญหา 5. รายละเอยี ดและวิธกี ารใชง้ านนวตั กรรม ใช้โปรแกรม Arduino เป็นกลไกในการหกั หลอดแก้วยา Step 1 นาํ นวตั กรรมเสียบเข้ากับแหล่งจา่ ยไฟอาทิ เพาเวอร์แบงค์ Adaptor Step 2 ทําการเช็ดแอลกอฮอลลบ์ รเิ วณปากขวดและบริเวณหวั ตัว Step 3 นาํ หลอดแก้วยาขนาด 5 m.ใสล่ งในฐานของตัวนวัตกรรม โดยนําด้านที่มือจดุ หันออกทางด้านนอกและปดิ ฝา ครอบ Step 4 กดปมุ่ ดา้ นบนของตวั นวตั กรรม เพอ่ื เรม่ิ การทาํ งาน Step 5 นําหลอดแกว้ ยาทหี่ ักสาํ เรจ็ ออกจากฐานและนําไปใชง้ าน 6. ผลการทดลองใช้นวตั กรรมและการอภิปรายผล การศึกษาครัง้ น้ีเปน็ การศกึ ษา ประสิทธผิ ลของนวตั กรรม “เครือ่ งหกั หลอดแก้วยาอัตโนมตั \"ิ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื พฒั นา นวตั กรรมทางการพยาบาล “เครอื่ งหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ\" เพอื่ ใช้เป็นเครอ่ื งมือในการใชห้ ักหลอดแกว้ ยาอัตโนมตั ิ เพอื่ ลดการ เกิดอบุ ตั ิเหตุ และชว่ ยเพม่ิ ความสะดวกสบายมากยงิ่ ขน้ึ ในระหว่างท่ีเตรยี มยา ผลของการดาํ เนนิ งานนาํ เสนอในรปู แบของตาราง ประกอบคาํ บรรยาย แบ่งเป็น 2 สว่ น ดงั น้ี ระยะที่ 1 การศกึ ษาสภาพปัญหาเก่ียวกับการเกดิ อบุ ตั ิเหตุการหกั หลอดแก้วยา

ตอนท่ี 1 ข้อมลู พื้นฐานของผตู้ อบแบบสอบถาม ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู พบว่า พพ่ี ยาบาลที่ปฏบิ ตั งิ านในสถานบรกิ ารสุขภาพและจาํ เป็นต้องหักหลอดแกว้ ยาเพือ่ เตรยี มยาจาํ นวน 17 คน สว่ นใหญเ่ ป็นเพศหญิง รอ้ ยละ 70.6 และเพศชาย ร้อยละ 29.4 มีอายสุ ่วนใหญอ่ ยู่ในชว่ ง 1-1ปคี ร่งึ ร้อยละ 70.7 อายชุ ว่ ง 2 ปี ร้อยละ 23.5 อายชุ ่วง 4 ปี ร้อยละ 5.9 โดยปฏบิ ัตงิ านท่โี รงพยาบาลมะการักษ์ ร้อยละ 29.4 โรงพยาบาลนครปฐม รอ้ ยละ 23.6 โรงพยาบาลพหลพลพยหุ เสนา ร้อยละ 17.7 โรงพยาบาลทองผาภมู ิ รอ้ ยละ 5.9 โรงพยาบาลดา่ นมะขามเต้ีย ร้อยละ 5.9 โรงพยาบาลเมตตาประชารกั ษ์ ร้อยละ 5.9 โรงพยาบาลเลาขวญั รอ้ ยละ 5.9 และแผนกทปี่ ฏิบัติงาน แผนกฉุกเฉิน ร้อยละ 35.3 แผนกห้องผ่าตดั ร้อยละ 11.8 แผนกศัลยกรรมชาย รอ้ ยละ 5.9 แผนกศลั ยกรรมหญงิ รอ้ ยละ 5.9 แผนกอายุรกรรมชาย รอ้ ยละ 5.9 แผนกอายุรกรรมหญงิ ร้อยละ 5.9 แผนกอื่นๆ ร้อยละ 23.6 (ดงั ตารางท่ี 1) ตอนที่ 2 แบบประเมินสภาพปญั หาเก่ยี วกบั การเกิดอุบัติเหตุการหักหลอดแก้วยา หลอดแกว้ ยาท่มี ีปัญหาทสี่ ุดในการหักก่อนการใชง้ าน คอื 50 CC รอ้ ยละ 70.6 ,รองลงมา คอื 2 cc ร้อยละ 23.5 และ 10 cc ร้อยละ 5.9 หลอดแก้วยาท่ีใช้บ่อยท่ีสุดของแต่ละโรงพยาบาล โดยเฉล่ียอยู่ที่ 2 cc ร้อยละ 64.7 , 1 cc ร้อยละ 17.7 , 5 cc รอ้ ยละ 5.9 , 10 cc รอ้ ยละ 5.9 และ 50 cc รอ้ ยละ 5.9 • ปญั หาเก่ียวกบั การหักหลอดแก้วยา 1. ความหนาของหลอดแก้วยา ความยากในการหัก ขนาดปริมาณของยา รอยหักมีจุดน้อย หาใบ เล่อื ยสําหรับตัดไมเ่ จอ เลยใชม้ อื เปลา่ หักแทน เนื่องจากสถานการณค์ อ่ ยข้างรบี และแอมปเ์ หนยี ว • สิง่ ท่คี วรระมัดระวังการในหกั หลอดแกว้ ยา 1. ไมย่ ึดหลักsterile ความปลอดภยั หลอดแกว้ ยาบาดนิว้ มอื หลอดแกว้ ยาแตก การหกั หลอดแก้วยา ใหถ้ ูกทาง อัตราการเกดิ อบุ ัติเหตหุ ลอดแกว้ ยาบาด ในรอบ 1 เดือนทีแ่ ผนกคิดเปน็ อัตราส่วน 1:10 • ปัจจัยทีท่ าํ ให้เกิดอุบตั เิ หตุมากทส่ี ุด 1. ขนาดของหลอดแก้วยา ร้อยละ 52.9 2. วธิ กี ารหกั หลอดแกว้ ยา รอ้ ยละ 29.4 3. ความชํานาญของพยาบาล รอ้ ยละ 17.6 ระยะท่ี 2 การทดสอบประเมนิ ประสิทธผิ ลหลังการใช้นวัตกรรม 1) แบบบนั ทึกข้อมูลในการเกดิ อุบัติเหตุหลังการใชน้ วัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยาอัตโนมัติ ตอนที่ 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม สาเหตุท่ีขยายขอบเขตการทดลองใช้นวัตกรรม เน่ืองจาก จํานวนพยาบาลวิชาชีพในตึกผู้ป่วยอายุรกรรมและ ศัลยกรรม มีจํานวนไมเ่ พยี งพอกับขนาดกลุม่ ตวั อย่างทก่ี ําหนด และจากการศึกษา พบวา่ ความเส่ียงต่อการบาดเจบ็ จาก หลอดแก้วยา ซึ่งแผนกท่ีปฏิบัติงานสูติศาสตร์มีความจําเป็นทตี่ ้องหักหลอดแก้ว เพ่ือผสมยา ดังน้ัน ผู้จดั ทําจงึ เลือกกลุ่ม ตวั อยา่ งเพมิ่ เตมิ ในตึกผปู้ ่วยสตู ศิ าสตร์ ตอนที่ 2 แบบบันทึกความถ่ีการเกิดอุบตั ิเหตุ จากการนาํ นวัตกรรมไปทดลองที่โรงพยาบาลบ้านโป่ง จาํ นวน 30 คน โดยทําการทดสอบการหักหลอดแกว้ ยา คนละ 4 หลอด อัตราการเกิดอุบัติเหตุการหักหลอดแก้วยาเป็นแบบปากฉลามจํานวน 7 หลอดแก้วยา คิดเป็นร้อยละ

5.83 หลอดแก้วยาแตกร้าว จํานวน 4 หลอด คิดเป็นร้อยละ 3.33 และไม่พบอุบัติเหตุหลอดแก้วยาบาดมือจากการใช้ นวตั กรรม 2) แบบประเมินความพึงพอใจของนวัตกรรม “เคร่ืองหักหลอดแก้วยาอตั โนมัติ” ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู พบว่า 1. ดา้ นการออกแบบนวัตกรรม : นวตั กรรมมีการพัฒนาไดส้ อดคล้องตามแนวคิด ทฤษฎอี ยา่ งสมเหตสุ มผล คา่ เฉลย่ี 4.17 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.61 รอ้ ยละ 83.33, มคี วามสมบรู ณ์ และความพร้อมในการใช้งาน คา่ เฉลยี่ 4.03 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน 0.77 และร้อยละ 80.67 2. ด้านโครงสร้างนวัตกรรม : นวัตกรรมมีโครงสรา้ งทแ่ี ขง็ แรง คงทน คา่ เฉลย่ี 4.23 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.97 ร้อยละ86.00 ,ความปลอดภัย คา่ เฉลย่ี 4.06 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.72 รอ้ ยละ 81.33, มีขนาด และนํา้ หนักเบา เหมาะสมกับ การใชง้ าน คา่ เฉล่ีย 3.97 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.52 และร้อยละ 79.33 3. ด้านประโยชน์การใช้งาน: ไม่เกิดอุบัติเหตุจากการหักหลอดแก้วยาขณะเตรียมยา ค่าเฉล่ีย 4.40 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 0.61 ร้อยละ 88.00 ,มีความสะดวกต่อการใช้งาน ค่าเฉล่ีย 3.77 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.70 ร้อยละ 75.33, ลด ระยะเวลาในการหักหลอดแก้วยาลง ค่าเฉล่ีย 3.73 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.95 ร้อยละ 67.33 ,ความพึงพอใจในภาพรวม นวตั กรรม คา่ เฉลีย่ 4.03 สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน 0.63 ร้อยละ 81.33 4. รวมคา่ เฉลยี่ 4.00 รวมค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน0.15 จากผลการวจิ ยั นวตั กรรม “เคร่ืองหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมัติ” สามารถนาํ มาอภปิ รายผลการศกึ ษา ได้ 5 ข้ันตอนดงั น้ี 1)วิเคราะห์ความต้องการของพยาบาลวชิ าชีพ 2) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้อง 3) สร้างนวัตกรรม “เคร่ืองหัก หลอดแก้วยาอัตโนมัติ” 4) ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 5) ทดลองใช้และประเมินผลของการใช้นวัตกรรม “เคร่ืองหักหลอดแก้วยา อัตโนมัติ” จากการศึกษาสภาพปัญหาเก่ียวกับการเกิดอุบัติเหตุการหักหลอดแก้วยาเพ่ือนํามาพัฒนานวัตกรรมให้สอดคล้องกับ ปัญหา พบว่าปัจจัยที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุ คือ ขนาดของหลอดแก้วยา วิธีการหักหลอดแก้วยา และความชํานาญของพยาบาล ซ่ึง สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษาของณัฐชา เจียรนลิ กลุ ชยั และสิรณี เกจิกรแก้ว พบวา่ ปัจจยั ท่ีสาํ คัญของการบาดเจ็บจากการหกั หลอดแก้ว ยา ได้แก่ วิธกี ารแตกหัก ประสบการณ์ ขนาดของหลอด ทิศทางการหกั 8 ผู้จัดทําจงึ พัฒนาเปน็ นวัตกรรม “เครอื่ งหักหลอดแก้วยา อตั โนมัติ” เพ่ือลดปัจจัยตา่ ง ๆ ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และป้องกันการเกิดอุบัตเิ หตุ ซ่ึงจากสมมติฐานทีว่ ่า “ไม่เกิดอบุ ัติเหตุจากการ หกั หลอดแก้วยาหลังจากการใชน้ วตั กรรมเครือ่ งหกั หลอดแก้วยาอัตโนมัติ” สอดคล้องกบั การศึกษาของ Richard, et al. อ้างถึงใน ไหมไทย ไชยพันธ์ุ และคณะ กล่าวว่าการลดอุบัติการณ์ถูกเข็มตํา หรือของมีคมบาดของบุคลากรทางการแพทย์แนวทางหน่ึง คือ การออกแบบอุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการรกั ษาพยาบาลและอปุ กรณ์ปอ้ งกันตา่ ง ๆ ให้มีความปลอดภยั ต่อผปู้ ฏบิ ัตซิ ่ึงจะสง่ ผลให้ผูป้ ฏบิ ัติงาน ทาํ งานได้มปี ระสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน25 และสมมติฐานท่ีว่า “คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจในการใช้นวัตกรรมเคร่ืองหักหลอดแก้วยา อตั โนมัติ อย่างน้อย 3.51 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน”จากผลการทดลองพบความพึงพอใจในภาพรวม 4.00 ตามทฤษฎี ความพึงพอใจทีก่ ล่าวว่า แรงจูงใจภายในที่แสดงรู้สกึ เห็นดว้ ย ไม่เห็นด้วย ชอบ ไม่ชอบ เม่ือได้รบั การตอบสนองและความคาดหวัง จากการทํากิจกรรมเพ่ือตอบสนองความต้องการเป้าหมายของแต่ละบุคคล17 และจากผลของการประเมินความพึงพอใจ ในส่วน ของผลการทดลองใช้โดยพยาบาล พบว่า ไม่ลดระยะเวลาในการหกั หลอดแก้วยาลง ซ่ึงไมส่ อดคลอ้ งกบั นวตั กรรมกลอ่ งหักแอมป์ยา ของเจยี มจิตต์ เฉลมิ ชุติเดชและภคมณ กีรติเดชากิจทีว่ า่ ใช้เวลาในการเตรียมยาลดลง คือใช้ระยะเวลาในการหัก 0.5 วินาที เดิมใช้

มือนานประมาณ 10 วนิ าที 12 ซึ่งเปน็ เพราะกลไกการทาํ งานของเครอ่ื งหักหลอดแก้วยา ด้วยกลไกการทาํ งานเป็นระบบอตั โนมัติ มีการสั่งการผ่านบอร์ด Arduino และมกี ารป้อนคาํ สง่ั ที่มีการใช้ระยะเวลาและระยะทางในการทํางาน เพือ่ ลดแรงกระแทกระหวา่ ง ตวั นวัตกรรมและหลอดแก้วยา 7. ขอ้ เสนอแนะ จากการเก็บรวบรวมข้อมลู กลมุ่ ตัวอยา่ งทใ่ี ช้นวตั กรรม“เครือ่ งหกั หลอดแก้วยาอัตโนมัติ”ได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเตมิ ท่เี ป็น ประโยชน์ในการพัฒนานวตั กรรม ดังนี้ 1. ควรเปล่ียนขนาดหลอดแก้วยาให้เหมาะสมกบั การใชง้ านบนหอผู้ป่วยและควรเลือกหักหลอกแก้วยาทมี่ ขี นาดใหญ่เช่น 50 ml ท่ีหกั คอ่ นขา้ งยาก 2. ควรพัฒนาให้มีการหกั หลอดแก้วยาไดห้ ลายรูปแบบ เชน่ 5 ml 10 ml 20 ml 3. ควรพฒั นาใหส้ ามารถใชง้ านไดร้ วดเร็วและปลอดภัยขนึ้ เน่ืองจากบางสถานการณ์ที่เร่งรีบ การหักหลอดแกว้ ยาด้วยวิธี ปกติ มคี วามรวดเร็วกว่า เมื่อต้องใช้ตัวนวัตกรรมแตค่ งยังต้องเช็ดแอลกอฮอล์ก่อนเข้าเครื่องหักหลอดแก้วยาทุกคร้ัง ซึ่งยังไม่ตอบ โจทยใ์ นเร่ืองประโยชนข์ องการใช้งาน

8. เอกสารอ้างอิง [1] The United States Department of Health and Human Services. Determinants of health: HealthyPeople 2020Jinternetj. [Internet]. 2012 [cited 2022 Sep 4]. Available from: www.healthypeople.gov/ 2020 /about/DOHAbout.aspx [2] รตั ตกิ าล สขุ พร้อมสรรพ.์ อุบัตกิ ารณข์ องการบาดเจบ็ ทเ่ี กย่ี วเนื่องจากการทํางานของพยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลพะเยา จงั หวดั พะเยา. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข [อนิ เทอรเ์ นต็ ]. 2560[เขา้ ถึงเมือ่ 4 กันยายน 2565]; 3: 107-118. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://he02.tcithaijo.org/index.php/tnaph/article/download/111196/86932/ [3] The United States Bureau of Labour statistics. Workplace injuries and illness-2011 [Internet]. 2011. [cited 2022 Sep 4].Available from:https://www.bls.gov/news.release/pdf/osh.pdf [4] Kanchana Chanprasert. AMPOULE BREAKER: RSU I. 38th Congress on Science and Technology of Thailand [Internet]. [date unknown] [cited 2022 Sep 14] Available from: https://www.thaiscience.info/Article%20for%20ThaiScience/Article/62/10031943.pdf [5] Hambridge, Kevin. An exploration of sharps injuries within a nursing student population in the UK. Research Theses Main Collection [Internet]. 2019.[cited 2022 Sep 14] Available from: https://pearl.plymouth.ac.uk/bitstream/handle/10026.1/15173/2019Hambridge933059PhD.pdf?seq uence=1 [6] นวัตกรรมเรอื่ งกลว้ ย กลว้ ยของแอมป์ยา. [อินเทอร์เน็ต]. [ม.ป.พ.] [เข้าถงึ เมื่อ 14 ส.ค. 2565]. เขา้ ถึงจาก: http://maelanhos.com/home/images/PDF [7] สนุ ทรภี รณ์ ทองไสย. Psychiatric and Mental Health Nursing. พยาบาลกับการพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ Nurse and the Development of Creative Thinking. วารสารวทิ ยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จันทบุร.ี 2559;1:112- 119. [8] เจยี มจติ ต์ เฉลมิ ชุติเดช,ภคมณ กีรติเดชากิจ. กล่องหกั แอมปย์ า. [อินเทอรเ์ นต็ ]. 2554. [เข้าถงึ วนั ท่ี 4 กันยายน 2565. เข้าถึงไดจ้ าก;https://bppbh.blogspot.com/2011/06/blog-post_4583.html [9] ร่งุ ตะวนั โคตรวงศ.์ นวัตกรรมการหกั แอมปย์ าดว้ ยไซรงิ ก.์ วารสารวชิ าการสาธารณสขุ 2558;3:543-547 [10] จารวุ รรณ วงศว์ ิเศษ, ผกาทพิ ย์ นวลใหม.่ นวัตกรรมหักเเอมปย์ า. [อนิ เทอร์เน็ต]. [ม.ป.ป.] [เขา้ ถงึ เม่ือ 13 ก.ค. 2565]. เขา้ ถึงจากhttp://203.157.71.172/academic/web/files/2563/innovation/MA2563-001-04-0000000151- 0000000032.pdf

ภาพที่ 2 เคร่อื งหกั หลอดแกว้ ยาอตั โนมตั ิ

ปฏทิ ินเตอื นใจ ตา้ นภัย ไขเ้ ลอื ดออก ถาวรยี ์ แสงงาม1*, ธนดล ตอเสนา1 , กติ ติพงษ์ โมคสริ 1ิ , กญั จนาภรณ์ ทองนาค1, กัญญารตั น์ ทองมาก1 และ กรรณกิ าร์ ศรวี งษา1 (ไมใ่ ส่คานาหน้า หรอื ตาแหนง่ ) (Font 16) 1 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏบรุ รี มั ย์, บรุ รี มั ย์ *ผู้รบั ผดิ ชอบบทความ: email [email protected] บทคัดยอ่ คาสาคญั : ไขเ้ ลือดออก ปฎทิ ิน 1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา โรคไข้เลือดออกนบั เป็นปัญหาสาธารณสขุ ท่สี าคัญของประเทศไทยตลอดมา เพราะไขเ้ ลือดออกเป็นโรคตดิ ตอ่ โดยมี ยุงลายเป็นพาหะ ทสี่ ร้างความสญู เสียชีวติ คา่ ใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและความสญู เสียทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งที่ทกุ ฝา่ ยไดช้ ว่ ยกนั รณรงค์ป้องกนั และควบคุมมาโดยตลอด และได้รบั ความรว่ มมือจากหน่วยงานตา่ งๆ ท้ังภาครฐั และเอกชน แต่ยงั พบว่าปัญหาโรคไข้เลอื ดออกไมไ่ ดล้ ดลงมากนัก และยังคงเป็นปัญหาสาคัญในระดับประเทศเร่อื ยมา ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไขเ้ ลือดออกที่มมี าอย่างต่อเนื่อง ทาให้เกิดการปรบั เปล่ียน แนวคดิ ในการแก้ไขปัญหา จาก การตงั้ รบั ไปสูน่ โยบายเชิงรุกโดยใช้ยทุ ธศาสตร์การมีส่วนร่วมให้คนในชุมชนได้ ตระหนกั ถงึ สภาพปัญหาของโรคไข้เลือดออก เกดิ ความรบั ผิดชอบต่อปัญหาท่เี กิดขน้ึ ในชุมชนของตนเอง พร้อม ทง้ั หาวธิ ีการแก้ไข ซง่ึ ปัญหาของโรคไขเ้ ลือดออกเป็นเรอื่ งที่เก่ียวข้อง กบั พฤติกรรมและสิง่ แวดล้อม ดังนัน้ การดาเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไขเ้ ลือดออก จงึ ต้องปรับเปลีย่ นใหส้ อดคล้องกบั สถานการณ์ของโรคท่ี เปลยี่ นแปลงไป โดยเน้นให้ประชาชนเห็นความสาคญั และถือเป็นภารกิจทีต่ อ้ งชว่ ยกัน กระตุ้นและชักนาให้ ประชาชน องค์กรชุมชน โรงเรียน ศาสนสถาน ตลอดจนเครือข่ายสุขภาพให้มสี ่วนร่วมอยา่ งจรงิ จงั และต่อเนื่อง จึงเป็นกจิ กรรม สาคัญท่ตี อ้ งเร่งรัดดาเนินการ บ้านหนองทบั อ.บ้านด่าน จ.บรุ รี ัมย์ เปน็ อีกพนื้ ที่หนึ่งทมี่ ีปัญหาการระบาดของโรคไข้เลอื ดออกจะเหน็ ได้ว่าอัตราการปว่ ย มีแนวโนม้ สูงข้ึนเม่ือเทียบดูจากสถติ ิการเกิดโรคในปที ่ผี ่านมา มสี ถติ ิการเกิดโรคไข้เลอื ดออกจังหวัดบรุ รี ัมยใ์ นปี พ.ศ. 2564 (ขอ้ มูล ณ วันท่ี 1 มกราคม – 14 สิงหาคม 2564) ปว่ ยดว้ ยโรคไข้เลอื ด 33 ราย อัตราปว่ ย 2.07 ต่อแสนประชากร และในปี พ.ศ.2565 พบผู้ป่วยเพ่ิมข้นึ เป็น 45 ราย อัตราป่วย 2.89 ต่อแสนประชากร ด้วยเหตุน้กี ารควบคุมโรคจะตอ้ งอาศัยความร่วมมือทง้ั จากชมุ ชน โรงเรียน องค์การบริหารส่วนตาบล โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบลและหน่วยงานอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง ดังน้ันเพื่อเปน็ การเฝ้าระวงั และควบคมุ การแพรร่ ะบาดของโรคไขเ้ ลอื ดออก นักศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบรุ ีรัมย์ จงึ ได้ทาโครงการ ปฏทิ นิ เตอื นใจ ต้านภยั ไข้เลือดออก ซ่งึ เปน็ การจัดกิจกรรมที่ดาเนินการเฝ้าระวังโรค และปอ้ งกันการแพรร่ ะบาด การป้องกันและ ควบคมุ โรค โดยการเผยแพร่ความรู้ ส่งเสรมิ บทบาทการป้องกันและการควบคมุ โรคไข้เลือดออก โดยการแนะนาวิธีการกาจัดแหล่ง เพาะพันธ์ยุ งุ ลายและลดการชกุ ชุมของยุงลาย เพือ่ ให้ประชาชนในชุมชนสามารถรบั มือกบั ปัญหาโรคไข้เลือดออกได้อยา่ งย่ังยนื

2. วัตถปุ ระสงค์ 2.1 เพ่ือลดอตั ราป่วยด้วยโรคไขเ้ ลอื ดออก 2.2 เพื่อกาจัดแหล่งเพาะพันธยุ์ ุงลายและกาจัดลูกน้ายงุ ลาย 2.3 เพ่อื ใหป้ ระชาชนมีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการควบคมุ ป้องกันโรคไข้เลือดออกทีถ่ ูกวธิ ี และเหมาะสม 2.4 ทาใหป้ ระชาชนเกดิ พฤตกิ รรมในการทาลายแหลง่ เพาะพันธ์ยุงลายอย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอ 3. กลุ่มเป้าหมาย 3.1 เป้าหมายสถานท่ีและแหลง่ ดาเนินการ ได้แก่ บ้านเรือนประชาชน วัด โรงเรียน ในเขตตาบลบา้ นหนองทับ หมู่ 13 อ. บา้ นด่าน จ.บรุ รี มั ย์ 177 ครวั เรอื น 3.2 เปา้ หมายผเู้ ข้ารว่ มกจิ กรรม ได้แก่ 1) ผูบ้ ริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบล 2) กานัน ผใู้ หญบ่ ้านทุกหมู่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญบ่ ้าน สารวตั รกานนั แพทยป์ ระจาตาบล 3) สมาชิกสภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบลบา้ นหนองทบั 4) ผ้บู ริหารโรงเรียน คณะครู นกั เรยี น โรงเรยี นบ้านดงกระทิง 5) ประธานอาสาสมัครสาธารณสขุ หม่บู ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขหม่บู ้าน (อสม.) 6) ผอู้ านวยการโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพประจาตาบลบ้านดงกระทิงและคณะเจ้าหน้าที่ 7) ประชาชนเขตตาบลบา้ นหนองทบั หมู่ 13 รวมผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรม/โครงการ จานวน 50-100 คน 4. กระบวนการพฒั นา (ตามข้นั ตอน plan do check act) 4.1 ขัน้ วางแผน (Plan) 1) วเิ คราะห์บรบิ ทขอ้ มูลพื้นฐาน นาผลการประชาคมมาวเิ คราะหห์ าสาเหตปุ ัญหาและอุปสรรคการป้องกันและ ควบคุมโรคไข้เลือดออกในชุมชน 2) ศึกษาข้อมูลต่างๆ ท่เี กีย่ วขอ้ ง เพื่อวางแผนคดิ คน้ นวัตกรรมเพ่ือแกป้ ัญหาไข้เลือดออก 3) ระดมความคิดในการวางแผนปฏบิ ัติการ/กิจกรรมทไี่ ดเ้ พื่อให้มรี ูปแบบท่ชี ัดเจน จนสามารถนาไปปฏบิ ัตทิ ี่เปน็ รูปธรรมต่อไป 4) แตง่ ตั้งคณะทางาน เพือ่ มอบหมายหนา้ ที่และความรบั ผิดชอบ 5) คณะทางานประสานงานตามหน้าท่ที ่ไี ด้รับมอบหมาย ไดแ้ ก่ จดั ซื้อวสั ดุอปุ กรณ์ จดั เตรียมสถานที่ ประสานงาน กบั ผนู้ าหมบู่ า้ น ติดต่อ อสม. 6) จดั เตรยี มนวตั กรรม ไดแ้ ก่ ปฏิทนิ เตอื นใจ และ แผ่นพับให้ความรู้ 7) จดั เตรียมแบบสอบถาม Pre-Post test และแบบประเมินความพึงพอใจในการจัดโครงการ 4.2 ขน้ั ทา (Plan)

คอื การดาเนนิ งานการตามรูปแบบการป้องกันโรคไขเ้ ลอื ดออกโดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมคั รสาธารณสุข (อสม.) ประกอบดว้ ย 2 กจิ กรรม 1. กิจกรรมใหค้ วามรู้เร่อื งไขเ้ ลือดออก การป้องกนั วิธกี ารดแู ลพนื้ ท่ี หาพนื้ ทเี่ สีย่ งแหลง่ เพราะพันธ์ยุ งุ ลาย 2. กจิ กรรมใชน้ วตั กรรมในพน้ื ที่ เพอื่ แกไ้ ขปัญหา โรคไขเ้ ลอื ดออก คือ “ปฏิทนิ เตอื นใจ ต้านภัย ไข้เลือดออก” ซ่งึ เปน็ นวัตกรรมท่ใี ชเ้ ตอื นความจาในการกาจดั แหลง่ เพราะพันธย์ุ งุ ลาย เชน่ การคว่าภาชนะ การเปล่ยี นน้าในแจกัน ถังเก็บน้า ทุกๆ 7 วนั 4.3 ขน้ั ตอน Check 1) ประเมินความรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับโรคไขเ้ ลือดออกโดยการตอบคาถามกอ่ นการใหค้ วามรู้ และหลังการให้ ความรู้ โดยผเู้ ขา้ รว่ มสามารถตอบคาถามไดถ้ ูกต้อง 9 ใน 10 ข้อ 2) ถามผ้เู ข้าร่วมในด้านของความรุนแรงโรคไขเ้ ลือดออก เพ่ือให้ผ้เู ข้าร่วมเกิดความตระหนัก และเห็นความสาคัญ ของการปอ้ งกันและควบคมุ โรคไขเ้ ลอื ดออก โดยผเู้ ข้าร่วมสามารถบอกความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกได้ และจะร่วมด้วยช่วยกนั ปอ้ งกันไมใ่ ห้เกิดโรคไขเ้ ลอื ดออกในชุมชน 3) ถามผเู้ ข้าร่วมถงึ วิธีการใช้ และการเผยแพร่นวัตกรรม โดยผเู้ ขา้ ร่วมสามารถบอกวิธกี ารใช้นวัตกรรมได้ และจะ นานวัตกรรมไปเผยแพร่แกค่ นในครอบครวั ต่อไป 4.4 ข้ันตอน Act การถอดบทเรียน เพ่ือเป็นข้อมูลสะท้อนผลในการพัฒนารปู แบบการดาเนินการปอ้ งกันโรคไขเ้ ลือดออกพื้นที่ และ การหาข้อดีขอ้ เสียปรบั ปรงุ นวตั กรรมในพืน้ ท่ี 5. รายละเอยี ดและวิธีการใช้งานนวัตกรรม ปฏิทนิ เตือนใจ ตา้ นภยั ไขเ้ ลอื ดออก มขี นั้ ตอนการผลิตดงั นี้ อุปกรณ์การประดิษฐ์ นวตั กรรม 1. กระดาษ A 4 2 รมี 2. เครอื่ งปรน้ิ เตอร์ (ส)ี 3. กระดาษกาว 2 หน้า 5 ม้วน ดาเนินการออกแบบ ปฏิทินเตือนใจ ตา้ นภยั ไขเ้ ลอื ดออก เพื่อใหส้ ามารถง่ายต่อการจดจาในการตรวจสอบภาชนะ สารวจลูกน้ายุงลาย และการคว่าภาชนะ การเปล่ยี นน้าในแจกัน ถังเก็บน้า ทุกๆ 7 วนั ไดร้ ปู แบบดงั นี้ ภาพที่ 1 ปฏทิ ินเตอื นใจ ต้านภยั ไขเ้ ลือดออก

วิธกี ารใชง้ านนวตั กรรม นาปฏิทนิ เตือนใจ ตา้ นภัย ไขเ้ ลือดออกทีไ่ ด้ ไปตดิ ทบ่ี า้ น ในบรเิ วณท่ีสงั เกตเห็นไดง้ ่าย ในการเตอื นใจ เพือ่ ตรวจสอบภาชนะ สารวจลูกน้ายุงลาย และการควา่ ภาชนะ การเปล่ียนน้าในแจกนั ถงั เก็บน้า ตามวันท่ีทาเครอื่ งหมายไวท้ ี่ปฏทิ นิ 6. ผลการทดลองใช้นวตั กรรมและการอภปิ รายผล ผลการทดลองใช้ พบว่า ประชาชนสามารถใช้นวตั กรรมได้ดี นาไปติดภายในบ้านบริเวณที่สังเกตงา่ ย เชน่ ฝาตูเ้ ยน็ ฝาตู้ กับขา้ ว หรอื โตะ๊ เครือ่ งแปง้ เปน็ ต้น ทาใหเ้ ตือนความจาในการในการตรวจสอบภาชนะ สารวจลูกนา้ ยงุ ลาย และการคว่าภาชนะ การเปล่ียนนา้ ในแจกนั ถงั เกบ็ นา้ ตามวันท่ีทาเครือ่ งหมายไว้ที่ปฏทิ ิน มีพฤติกรรมในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกาจดั และทาลายแหล่ง เพาะพันธล์ ูกน้ายุงลายเปน็ ประจา การอภปิ รายผล ยงุ ลายมักวางไขต่ ามผิวภาชนะเหนอื ระดับน้าเลก็ น้อย โดยวางไข่ฟองเด่ียวอยรู ่วมกันเปน็ กลุ่ม ตวั เมยี วางไข่ครง้ั ละประมาณ 100 ฟอง ยุงลายวางไข่มากน้อยเป็นจังหวะใน 24 ชั่วโมง ตัวอ่อนที่อยู่ในไข่จะเจริญเตบิ โตพรอ้ มที่จะ ฟกั ออกเป็นลูกน้ายงุ ลายภายใน 2 วัน ระยะทเี่ ป็นลูกน้ากินระยะเวลาประมาณ 6 – 8 วัน กล็ อกคราบเป็นตัวยุงแตถ่ ้า สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น ขาดความชน้ื จะทาใหต้ วั อ่อน ตายได้ ไมม่ าสามารถกลายเป็นยุงได้ ซึ่งถ้าสามารถตดั วงจรชีวติ นี้ ได้ จะทาให้ลดจานวนยงุ ลายลงไดใ้ นท่ีสุด 7. ขอ้ เสนอแนะ 1. แตเ่ น่อื งจากปฏิทินท่ไี ดร้ บั บางเกินไป ใช้ไประยะหนงึ่ ขาด และหลดุ จงึ ตอ้ งอาจมีสารองใหไ้ ว้ในในแตล่ ะบา้ นๆละ 3- 4 แผ่น 2. สนับสนนุ การผลิตนวตั กรรมอยา่ งต่อเนื่องในทุกพื้นท่ีของตาบลบา้ นหนองทับและขยายผลสชู่ ุมชนอื่น 3. สง่ เสริมการปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมหรือรูปแบบการเสรมิ สรา้ งจิตสานกึ ให้กบั ประชาชนร่วมรบั ผิดชอบสังคมกาจัด แหล่งเพาะพนั ธย์ุ งุ ลายอย่างสม่าเสมอตลอดทกุ เดือน 4. จากบทความทางวิชาการพบวา่ ยุงลายจะวางไข่เป็นฟองเดีย่ วๆติดไวท้ ี่ผนังดา้ นในเหนือระดับผิวน้า บริเวณท่ีช้ืนๆไข่ ใหม่มสี ขี าวต่อมาประมาณ 12-24 ช่วั โมงจะเปล่ยี นเป็นสดี าระยะฟักตัวในไข่ประมาณ 2.5-3.5 วัน ในสภาพความช้ืนสงู และ อุณหภมู ปิ ระมาณ 28-30 องศา สามารถอยใู่ นที่แห้งไดน้ านเปน็ ปีเมื่อระดบั น้าท่วมไข่จึงฟกั ตัวออกมาเป็นลูกนา้ ดงั นน้ั การตรวจพบ ลกู น้ายงุ ลายแล้วแค่เทน้าท้งิ หรอื คว่าภาชนะน้ันไม่ลดการเกิดโรคไข้เลอื ดออกในพืน้ ทไี่ ด้ ดงั นั้น หลงั จากที่เทนา้ ทงิ้ หรือคว่าภาชนะ น้ัน ควรเน้นยาแนะนาให้มีการขดั รอบภาชนะทพี่ บลูกน้ายงุ ลายก่อนเทนา้ ท้งิ ในพ้นื ที่แหง้ ๆร่วมกับการใส่ถงุ ทรายอะเบทในภาชนะท่ี บรรจนุ ้าขนาดใหญ่ 8. เอกสารอ้างอิง ชนิดา มัททวางกรู และคณะ. (2561). ปจั จยั ทม่ี ีความสมั พันธ์กบั พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั และควบคุมโรคไข้เลอื ดออกของ ประชาชน ในพน้ื ท่รี ับผดิ ชอบของ โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบลสายส่ี จงั หวัดสมุทรสาคร. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม.

สมหวงั วงษ์เรณแู ละคณะ. (2559). ความรู้ และพฤตกิ รรมการปอ้ งกันโรคไขเ้ ลือดออกของประชาชนในเขตตาบลคลองนา อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวดั ฉะเชิงเทรา.โรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบลคลองนา อาเภอเมอื งฉะเชงิ เทรา จงั หวดั ฉะเชิงเทรา. สานักโรคตดิ ตอ่ นาโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2558). โรคไขเ้ ลือดออกสาหรบั ประชาชนและเครือข่ายภาค ประชาสังคม. (พมิ พ์คร้ังท่ี 2). กรงุ เทพฯ: ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั

ผลการใช้สื่อการเรียนรผู้ ่านแอพพลิเคชัน่ การฉีดยาทางกลา้ มเนอ้ื ตอ่ ความรู้การฉดี ยาทาง กลา้ มเน้อื และความพึงพอใจของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้นั ปีที่ 2 กมลชนก เทวัญรัตนโชติ1,กุลนิษฐ์ อินทจร2, เกวลนิ บังเกิด3, เกษราภรณ์ สังขวลิ าศ4 จีรนนั ท์ จันทรโ์ สม5, เดือน ขันตนิ ติ ิกลุ 6, เพ็ญพิชชา บวั บาน7 ,ไพลนิ สนุ ทร8 วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จกั รีรัช โทรศัพท์ 0966954118 * [email protected] บทคัดยอ่ นวตั กรรมแอพพลเิ คชั่นการฉดี ยาทางกล้ามเนอื้ มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื สรา้ งสอื่ การเรยี นรผู้ า่ นแอพพลเิ คช่นั เรอื่ งการฉดี ยา ทางกลา้ มเนือ้ ของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชน้ั ปีท่ี 2 เพ่อื ศึกษาผลการจดั การเรยี นรผู้ ่านแอพพลิเคช่ันเร่ืองการฉีดยาทาง กล้ามเน้อื ตอ่ ความรู้ และ ความพึงพอใจของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชั้นปที ี่ 2 และเพ่ือเปรยี บเทียบความรู้ก่อนและหลงั การใชส้ อ่ื การเรียนรผู้ า่ นแอพพลิเคชนั่ เรือ่ งการฉดี ยาทางกล้ามเนอ้ื ของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตชัน้ ปที ่ี 2 โดยวิธกี ารใชง้ าน กรอกข้อมลู ผเู้ ขา้ การเรยี นร้เู ลือกเข้าสู่รายการ(Menu) ทบทวนความรกู้ ายวภิ าคและสรีรวิทยาของกลา้ มเนอ้ื (Anatomy and physiology) โดยมสี อื่ วดิ ีโอการฉดี ยา (Medicinal Injection Demonstration Video) การเตรียมยาฉดี การตรวจสอบยา ตาม หลัก 10R การเตรยี มอปุ กรณ์ (Syringe, เขม็ ฉดี ยา) การเตรยี มยา การจดั ท่า การวดั และเลือกบริเวณทีฉ่ ดี ยา การฉดี ยา โดยมี แบบทดสอบ สถานการณ์จำลองการฉีดยาทางกลา้ มเนอ้ื มี 3 สถานการณแ์ ละเลือกคำแนะนำท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นแอพลิ เคชัน่ ท่สี ะดวกเขา้ ถงึ งา่ ยและสามารถตดิ ต้งั ใช้ในโทรศพั ทไ์ ด้อกี ดว้ ย กลมุ่ เป้าหมายคือ นกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้นั ปีที่ 2 รุ่น ท่ี 25 จำนวน 88 คน ผลการวิจัยพบวา่ คณุ ภาพของแอพพลเิ คชัน่ การฉดี ยาเขา้ กลา้ มเน้อื สำหรับนักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้ันปีที่ 2 มี ผลสรปุ ไดว้ า่ จากการประเมนิ ผา่ นผทู้ รงคุณวุฒิ ตรวจสอบแบบสอบถามการวจิ ัย พบคา่ ความเทยี่ งตรงของแบบสอบถาม (ค่า IOC = 0.68) ด้านค่าเฉล่ีย คะแนนความรูภ้ ายหลงั การทดลองใชส้ อื่ การเรยี นการสอนของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชั้นปีที่ 2 จำนวน 88 คน ผลการศึกษาพบว่า การเปรียบเทียบค่าเฉลยี่ คะแนนความรู้กอ่ น หลัง การใชส้ อื่ การเรยี นการสอน เพม่ิ ข้ึนอย่างมี นัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดับ 0.00 เนื่องจากมกี ารใหค้ วามรผู้ ่านสอ่ื วีดโี อ และรปู ภาพประกอบทีส่ ามารถทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิม่ ขึน้ ความพงึ พอใจจากการใช้งานแอพพลิเคชัน่ ของ นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชั้นปที ี่ 2 ทไี่ ดจ้ ากการใช้งานแอพพลเิ คชนั่ มี ผลสรุปได้วา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งมีความพงึ พอใจโดยรวมอย่ใู นระดับ ดมี าก มผี ลสรปุ ไดว้ ่า โดยแบ่งเปน็ ดา้ นเน้ือหา แบบทดสอบ สถานการณจ์ ำลองการฉีดยาเขา้ กล้ามเนือ้ กลุ่มตัวอยา่ งมีความพึงพอใจโดยรวมอยใู่ นระดบั ดมี าก (คะแนนเฉลยี่ = 4.45) ดา้ นความ ชดั เจนของส่ือการเรยี นรตู้ ามการทำงาน แบบออนไลน์ ความถูกต้องของคำตอบจากการแสดงผลแบบออนไลน์ กลมุ่ ตวั อยา่ งมคี วาม พงึ พอใจโดยรวมอย่ใู นระดับ ดมี าก (คะแนนเฉลย่ี = 4.23) ดา้ นการใชง้ าน แอพพลิเคชน่ั สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ในการฉดี ยาได้จริง อย่ใู นระดบั ดมี าก (คะแนนเฉล่ยี = 4.52) คำสำคญั : Application; ความรู้การฉดี ยาเขา้ กล้ามเน้ือ

1. ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา การเรยี นการสอนในรายวชิ าการพยาบาลขั้นพื้นฐาน (Fundamental Nursing) ของนักศกึ ษาพยาบาลศาสตร บณั ฑิตชั้น ปที ี่ 2 ได้เรียนเกย่ี วกบั แนวคิด หลกั การ การประเมนิ สขุ ภาพ เทคนิคการปฏิบตั ิการพยาบาลข้ัน พ้นื ฐานและความปลอดภัยในการ ให้การพยาบาล (หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ฉบับปรบั ปรงุ 2561 คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบนั พระบรมราชชนก) โดยมีการ เรยี นทงั้ ในภาคทฤษฎี และทดลอง โดยเฉพาะทกั ษะการ พยาบาลที่สำคัญจะมีการสอบ โดยประเมนิ ทักษะทางคลินกิ (Objective Structured Clinical Examination : OSCE) เพอ่ื ให้นกั ศกึ ษาสามารถปฏิบตั ิการพยาบาลได้ถูกต้อง ได้แก่ การใหส้ ารน้ำทางหลอด เลอื ดดำ การให้อาหารทางสายยาง การทำแผล การทำแผล การวดั สญั ญาณชีพ การดดู เสมหะ และการฉีดยาทางกล้ามเน้อื โดยใน ทกุ ทักษะจะได้ปฏิบตั กิ บั หนุ่ จำลองสำหรับการปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล ทักษะการฉีดยาจดั เป็นการพยาบาลขัน้ พนื้ ฐานทีส่ ำคญั ซง่ึ นักศึกษาพยาบาลชนั้ ปีที่ 2 ตอ้ งฝึกทักษะความ ชำนาญในห้องปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล (nursing skill laboratory) ก่อนทีจ่ ะขึน้ ฝกึ ปฏบิ ตั ิจริงในคลนิ กิ โดยตอ้ งมี ความรู้เกี่ยวกับขนาดของยาที่ให้ อุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการใหย้ า เทคนิคการใหย้ า และตำแหน่งที่เหมาะสม ในการฉดี ยาเข้ากล้ามเนอ้ื ไม่วา่ จะเป็นบรเิ วณหัวไหล่ สะโพก หรอื ตน้ ขาเด็กเล็ก การให้ยาโดยขาดความชำนาญ อาจ ก่อใหเ้ กดิ ภาวะแทรกซ้อนและเป็นอนั ตรายตอ่ ผปู้ ่วยได้ เชน่ เป็นอันตรายตอ่ เส้นประสาททำใหเ้ น้ือเยอ่ื เปลย่ี นแปลงและกอ่ ให้เกดิ การติดเชื้อ การลงนำ้ หนักมือ ความเรว็ -ช้าในการฉีด สามารถลดความเจบ็ ปวด ใหก้ บั ผปู้ ว่ ยไดด้ ังนน้ั การฝกึ ทกั ษะการฉีดยาทางกลา้ มเน้อื จึง เปน็ เร่ืองสำคญั ท่นี ักศึกษาพยาบาลตอ้ งไดร้ บั การ ฝกึ ปฏิบัตใิ หถ้ ูกต้อง (ณัฏฐชา เจียรนลิ กลุ ชัย, 2559) เพื่อปอ้ งกนั อันตรายทีอ่ าจเกิด กับผู้ปว่ ยและนักศึกษา พยาบาลผทู้ ำการฝกึ ปฏบิ ตั ิบนหอผปู้ ว่ ยจริงคร้ังแรก การเตรียมความพรอ้ มของนกั ศึกษาพยาบาลมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรบั การข้ึนฝกึ งานบนหอผู้ป่วย ตอ้ งอาศัยความรู้ และความชำนาญในทักษะด้านตา่ งๆ จึงจำเปน็ อย่างย่ิงที่ตอ้ งมีการ สง่ เสรมิ ความสามารถใน การใชก้ ระบวนการพยาบาล ปัจจบุ นั การฝกึ ทกั ษะปฏิบตั ิการพยาบาลขัน้ พ้ืนฐาน จากการสอบถามข้อมลู นกั ศึกษาพยาบาลศาสตร บัณฑติ ชั้นปที ่ี 3 รุ่น ท่ี 24 พบวา่ จากปที ผ่ี ่านมากอ่ นขึ้นฝกึ ปฏิบัตบิ นหอผู้ปว่ ยครง้ั แรก นักศกึ ษาขาดความมัน่ ใจ ในตำแหนง่ ทีจ่ ะทำการฉีดยาในการขน้ึ ปฏิบตั จิ ริงงานคดิ เปน็ ร้อยละ 51.2% เนอื่ งจากกลัวฉดี ยาผดิ เพราะไม่มี ความมั่นใจและแมน่ ยำกบั ตำแหน่งในการฉีดยา กลัวความ ผิดพลาดเม่อื ฉดี ไปแลว้ จะเกดิ อันตรายต่อผปู้ ่วย รวมถึงไมม่ สี ื่อการเรยี นการสอนท่จี ะสามารถฝกึ และเรยี นรกู้ ารฉดี ยาไดด้ ้วยตนเอง และพบว่านักศกึ ษามี ความเห็นทอี่ ยากจะใหม้ ีสือ่ การเรยี นการสอนเรอื่ งการฉดี ยาทเี่ สมอื นจรงิ สามารถเรยี นรไู้ ดท้ กุ ที่ สามารถ ฝึกฝน ไดต้ ามความตอ้ งการและมคี วามสะดวกตอ่ การใช้งาน มากถึงร้อยละ 97.6% เพอื่ ทำให้นกั ศึกษามีทกั ษะและความชำนาญใน การฉดี ยามากย่งิ ขน้ึ อีกทัง้ ยังสร้างความม่นั ใจในการทจ่ี ะปฏบิ ัตงิ านในหอผูป้ ่วยไดเ้ พมิ่ ขนึ้ และ ปจั จบุ ันการฝึกทกั ษะปฏิบัติการ พยาบาลพืน้ ฐานของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตร์บณั ฑติ ช้นั ปีท่ี 2 ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนจี กั รีรชั การทำหตั ถการส่วนใหญ่ จะไดฝ้ กึ กับหุ่นจำลองในหอ้ งปฏิบตั ิการ ยกเวน้ ทกั ษะ การฉดี ยาทางกลา้ มเน้อื ทีน่ ักศึกษาจะไดฝ้ ึกการผสมยาจบั เข็มจริง ฝกึ ฉดี กับ หมอนหรือผา้ และปฏบิ ตั จิ รงิ กับ เพ่ือนเพ่ือสอบและฝกึ ทกั ษะการฉดี ยา จากการทบทวนวรรณกรรมเกย่ี วกบั การพฒั นาสื่อการจัดการเรียนรู้พบวา่ มีหลากหลายวธิ ี เชน่ สือ่ การเรยี นรู้ ออนไลน์ แบบเวบ็ ไซตแ์ ละสอื่ การเรยี นรูแ้ บบแอพพลิเคชัน่ ซ่งึ ปจั จบุ ันเทคโนโลยเี ขา้ มามบี ทบาทในการจดั ทำ สื่อการจัดการเรียนรูม้ ากข้ึน โดยเฉพาะในสถานการณก์ ารระบาดของ Covid-19 ดังการศึกษาของ (ณฐั ธยาน์ ชาบวั คำ,2565) ทีก่ ลา่ วถงึ ความต้องการและความ สะดวกของตัวผเู้ รยี นตลอดจนส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมี ปฏสิ มั พนั ธ์กับสื่อให้เกิดการเรยี นรูด้ ้วยตนเองและยังเพ่ิมศักยภาพในการเรยี นรู้ ดว้ ยตนเอง ซ่ึงเหมาะสำหรับ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตบณั ฑติ ชน้ั ปีที่ 2 ท่ตี อ้ งเตรยี มความพร้อมกอ่ นข้นึ ฝกึ ภาคปฏบิ ตั ิ ทางคณะ ผู้จัดทำจงึ ได้ จดั ทำเว็บไซต์ใหค้ วามรู้ทางออนไลนเ์ รือ่ งการฉีดยาเขา้ กล้ามเนอ้ื เพอื่ พฒั นาทกั ษะความรู้ และเป็นการทบทวน ความรู้ ไดอ้ ยา่ งสะดวก รวดเร็วและทนั สมยั เหมาะแกน่ กั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑิตทีจ่ ะขึน้ ฝกึ ปฏบิ ตั ิงานบน หอผู้ป่วยจรงิ และการศกึ ษา ของ (ณัฏจริ า วินจิ ฉยั , 2564) พบวา่ การจดั การเรียนรดู้ ้วยโปรแกรม Simulation ฉดี ยาต่อความพึงพอใจของนกั ศึกษาพยาบาลศา

สตรบณั ฑติ ชนั้ ปที ่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า นกั ศกึ ษาพยาบาล ศาสตรบ์ ณั ฑิตช้นั ปที ่ี 2 มีความพึงพอใจตอ่ การใชโ้ ปรแกรม Simulation ฉีดยาโดยรวมอยู่ในระดบั พงึ พอใจ มากและผลการศกึ ษาครัง้ น้ีแสดงใหเ้ หน็ วา่ การเรยี นการสอนในวชิ าปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลใน ห้องทดลองของ นักศกึ ษาพยาบาลศาสตรใ์ นปจั จบุ ันควรมีการใช้เทคโนโลยีทมี่ ีความเสมือนจรงิ เพอ่ื ใหน้ ักศกึ ษาไดก้ ารฝกึ ทกั ษะ ทบทวนหลกั การท่ีถูกตอ้ ง ในหอ้ งทดลอง ให้เกิดความม่นั ใจ สามารถนำความรูแ้ ละทักษะทไี่ ดไ้ ปใชใ้ นการฝกึ ปฏบิ ัตงิ านจรงิ เพอ่ื ป้องกนั เหตกุ ารณไ์ มพ่ ึงประสงคท์ อี่ าจเกิดขึน้ บนหอผปู้ ว่ ย โดยในปัจจุบนั ท่ีมกี ารระบาดของ Covid-19 มกี ารนำเทคโนโลยมี าใช้ในการจดั ทำสอื่ การเรยี นรู้ เพอ่ื ให้ สามารถเข้าถงึ การเรยี นรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง และเข้าถงึ ได้งา่ ย สะดวก ดังการศึกษาของ (บุษบา ทาธง, 2562) กลา่ วคอื การจัดการเรยี นการสอนโดย ประยกุ ต์ใช้แอพพลิเคช่นั ไลนต์ ่อผลลัพธ์การเรยี นรูแ้ ละความพงึ พอใจ ของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ในรายวชิ า การพยาบาล บคุ คลทม่ี ีปญั หาสุขภาพ 1 วิทยาลยั พยาบาลบรม ราชชนนี ชัยนาทโดยศึกษาผลของการจดั การเรยี นการสอนโดยประยุกตใ์ ช้ แอพพลเิ คชนั่ ไลนม์ าใช้ในการ จดั การเรยี นการสอนเพ่ือสรา้ งแรงจงู ใจในการเรยี นรู้ทเี่ หมาะสม มคี วามทันสมัยซึ่งสอดคล้องกบั พฤติกรรมใน การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ของคนในปจั จุบนั ผลการวจิ ยั พบว่า ผลลพั ธก์ ารเรยี นรขู้ องนักศกึ ษาพยาบาลโดยรวมอย่ใู น ระดบั ปานกลางและความพงึ พอใจต่อการจดั การเรยี นการสอนโดยประยุกต์ใช้แอพพลเิ คชั่นไลนอ์ ยูใ่ นระดบั มากซงึ่ ในงานวจิ ัยได้มี ข้อเสนอแนะว่าควรขยายผลการนำรปู แบบการจดั การเรียนการสอนโดยประยุกตใ์ ช้ แอพพลเิ คช่นั ไลน์หรือรูปแบบการจัดการสอน การสอนในรูปแบบอน่ื ๆ เชน่ E-learning เป็นตน้ เพ่อื ชว่ ย ส่งเสรมิ ผลลัพธก์ ารเรียนรแู้ ละพฒั นาคณุ ภาพของนักศกึ ษามากขึ้น ดว้ ยเหตุนค้ี ณะผู้จัดทำ จึงเล็งเหน็ ถงึ ความสำคัญในการสรา้ งแอพพลเิ คช่ันส่อื การเรยี นรเู้ ร่ือง ผลการใช้ ส่อื การเรยี นรผู้ า่ น แอพพลิเคช่ันเร่ืองการฉีดยาทางกล้ามเน้อื ตอ่ ความรูก้ ารฉดี ยาทางกลา้ มเนื้อ และความพึง พอใจของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตร บณั ฑิตช้นั ปีที่ 2 และมแี นวคิดการจดั ทำแอพพลิเคช่นั ใหค้ วามรู้ทาง ออนไลน์ เพอ่ื พฒั นาทกั ษะความรู้ และเป็นการทบทวนความรู้ ได้อยา่ งสะดวก รวดเร็วและทันสมยั เหมาะแก่ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ทจี่ ะขึน้ ฝึกงานปฏบิ ัตติ ามโรงพยาบาล 2.วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย 1. เพือ่ สร้างสือ่ การเรียนรผู้ า่ นแอพพลเิ คช่ันเรอื่ งการฉดี ยาทางกลา้ มเนอื้ ของนกั ศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ช้นั ปที ี่ 2 2. เพอ่ื ศึกษาผลการจัดการเรยี นรู้ผ่านแอพพลเิ คชั่นเร่อื งการฉดี ยาทางกลา้ มเนือ้ ตอ่ ความรู้ และ ความพงึ พอใจของ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ ชน้ั ปีที่ 2 3. เพอื่ เปรยี บเทยี บความรูก้ อ่ น และหลังการใช้สอื่ การเรยี นร้ผู ่านแอพพลเิ คชนั่ เรอื่ งการฉีดยาทาง กล้ามเนอื้ ของนกั ศึกษา พยาบาลศาสตรบณั ฑิตช้นั ปที ่ี 2 3. กล่มุ เปา้ หมาย กลมุ่ นกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตช้นั ปีท่ี 2 รนุ่ ท่ี 25 วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี จักรีรชั ท่ีลงทะเบยี นเรยี นวชิ า การ พยาบาลข้ันพ้ืนฐาน ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 88 คน โดยการคัดเลอื กกลมตัวอยา่ งเป็นการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) และ กาํ หนดคณุ สมบตั ขิ องกลมุ่ ตวั อยา่ ง ดงั นี้(Inclusion criteria) จากกลุม่ ตวั อยา่ งนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร บัณฑติ ชนั้ ปที ่ี 2 ร่นุ ท่ี 25 วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีจักรรี ชั ท่ลี งทะเบยี นเรียนวิชาการพยาบาลขั้น พ้นื ฐาน ปีการศกึ ษา 2565 จำนวน 88 คน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook