Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-10 08:10:13

Description: หลักการความเชื่อที่ผิดพลาดของพวกวะฮาบีในเรื่องชีริก

Search

Read the Text Version

โองการตางๆ เหลา นี้ชีไ้ ปถงึ ใคร เปา หมายพื้นฐานของโองการทคี่ ลา ยกันเหลานอี้ ยตู รงท่วี า : หามการวงิ วอนของตามแบบ ของพวกบชู าเจว็ด ซ่ึงไดนําเองรูปปนขึ้นมาเปนภาคหี ุนสวนกับอัลลอฮในกจิ การบริหารบางอยาง หรือเปนผูท รงสทิ ธิในการใหความอนุเคราะหน่ันเองเปนอยา งนอย กลา วคือพวกเขากระทาํ การนบ นอบและออนวอน ขอความชว ยเหลอื ตอรูปปนเหลา น้ีโดยถอื วา มันเปน พระเจา ยอ ย อนั ไดรบั มอบหมายซ่งึ อํานาจในกิจการดานบริหารจกั รวาลและกิจการในสว นของโลกน้แี ละโลกหนา แลวโองการตา งๆ เหลา นจ้ี ะมาเก่ยี วของอะไรกบั การขอความชว ยเหลือตอวญิ ญาณของผู บรสิ ทุ ธใ์ิ นขณะที่วา ผขู อดําเนินการกระทาํ ไปโดยมิไดออกหา งไปจากความเชอ่ื ถอื ท่วี า บุคคล เหลา นนั้ คอื บา วผูท รงคุณธรรมของอลั ลอฮแมแ ตน อย สวนความหมายของโองการทวี่ า “และแทจ ริงมสั ยิดทัง้ หลายของอัลลอฮน้ัน พวกเจาจง อยาไดว งิ วอนขอกับสงิ่ ใดๆ ควบคูกับอลั ลอฮ” กบั โองการที่คลา ยๆ กันกบั ที่ผานมาแลวในตอนแรกก็หมายถึง การวงิ วอนในแงข องการ เคารพภักดซี ึ่งพวกตงั้ ภาคไี ดก ระทาํ ตออลั ลาต, อุซซา, มะนาตและเทพเจา แหง ชั้นฟา ตลอดถงึ กับมะ ลาอกิ ะฮแ ละญิน ความหมายของโองการน้กี เ็ หมือนกับท่วี า : “และสเู จา อยา เคารพส่งิ ใดควบคูก บั อัลลอฮ” ดังนั้น ถา อลั -กรุ อานหามปรามการต้งั ภาคีในการเคารพภกั ดีโดยยกสง่ิ อนื่ ขึน้ มาเคยี ง กับอลั ลอฮแลว ประเดน็ น้จี ะมีสวนเกย่ี วของอะไรกบั ประเดน็ การขอตอบรรดาผูทรงคณุ ะรรมใน เมอ่ื พวกเขาไดรบั สงิ่ นั้นโดยอนุมตั ขิ องอัลลอฮและการจาํ กัดของพระองค ดังน้ัน ในเม่อื อลั -กรุ อานมโี องการวา : “และบรรดาส่ิงที่พวกเขาวงิ วอน นอกเหนือไปจากอลั ลอฮน้ัน พวกมันจะไมใ หการ ตอบสนองเลยแมแตส่ิงใดแกพวกเขา” (อัรเราะอด -ุ ๑๔) “และทสี่ เู จา วงิ วอนขอตอสิ่งทน่ี อกเหนือจากอลั ลอฮนั้น พวกมันไมส ามารถใหความ ชว ยเหลอื ใดๆ แกสเู จาเลย” (อัล-อะอรอฟ-๑๙๗) “แทจ ริงบรรดาสิง่ ทสี่ ูเจา วิงวอนขอนอกเหนือจากอัลลอฮนั้น กเ็ ปน บา วเชน เดยี วกบั สเู จา ” (อลั -อะรอฟ-๑๙๔) “และบรรดาส่งิ ทสี่ เู จา วิงวอนขอนอกเหนือจากอัลลอฮนั้น มันมิไดม ีสิทธิครอบครองอะไร เลยแมแตเ ปลือกเมด็ อินทผลัม” (ฟาฏริ -๑๓) “พวกเขากลาวววา : เราจะวงิ วอนขอตอสิง่ ทไ่ี มใ หคุณและไมใหโทษเรานอกเหนอื ไปจาก อลั ลอฮกระน้ันหรือ”

(อลั -อนั อาม-๗๑) “และเจา อยา วงิ วอนขอตอส่ิงที่ไมใ หค ณุ และไมใ หโทษแกเ จา นอกเหนอื ไปจากอัลลอฮ เลย” (ยูนสุ -๑๐๖) ตลอดถึงโองการอนื่ ๆ อีกทม่ี ีอยูใ นอัล-กุรอานอยา งมากมาย ก็หมายความวา ทกุ ๆ โองการ เหลานี้ เกี่ยวของกบั การวิงวอนขอ อันหมายถงึ การเคารพภกั ดีรปู ปน , ดวงดาว, มะลาอิกะฮและญนิ โดยถือวา สิง่ เหลา นนั้ เปนพระเจา ตา งๆ ระดับยอย อีกทง้ั ถือวาส่งิ ตา งๆ เหลา นน้ั เปนสิ่งไดรบั การ เคารพและเปน ผูบ ริหารจักรวาล อกี ทง้ั ใหการอนเุ คราะหอยางสมบูรณ และจะหลีกเลี่ยงมไิ ดเ ลยวา การวิงวอนขออยางใดก็ตามที อันมลี ักษณะเปนไปเชน นี้แลว จะตอ งหมายถึงการอิบาดะฮ ดงั นั้น โองการตางๆ เหลาน้ีจะเกย่ี วขอ งอะไรกับการวงิ วอนตอ บรรดาผูมีคณุ ธรรมตลอดภึงการขอ อนเุ คราะหค วามชว ยเหลอื จากพวกเขาพรอมกับท่ีมคี วามเชื่อม่ันวา พวกเขาไมมีความสามารถในส่ิง ใดเลยโดยทมี่ ิไดมาจากการอนุมตั ิของพระผเู ปนเจาและพรอ มกบั เชอื่ มั่นวา พวกเขาไมมีสทิ ธิ ครอบครองในกิจการแหง สภาพความเปนพระเจา และสภาพความเปนผูอภบิ าลและการบรหิ ารและ อนื่ ๆ เลย ดังนั้นจะสามารถเอาการวงิ วอนขอในสองลักษณะน้มี าเปรียบเทียบใหเขา กนั ไดกระนัน้ หรือ ในขณะทีท่ ้งั สองอยางมลี ักษณะทแ่ี ตกตา งกนั เหลอื เกนิ ? หลกั ฐานที่ชดั เจนอนั หน่ึงสําหรบั การใหความเขา ใจในระหวา งการวงิ วอนขอสองลกั ษณะ น้ี น่ันคือกรณีท่วี า พวกวะฮาบียเ ช่ือม่นั วาการวงิ วอนขอจากบรรดานบีผูทรงคณุ ธรรมอยา งนี้ เปน การตัง้ ภาค,ี เปน ทตี่ อ งหาม หลงั จากท่ที า นเหลานั้นตายไปแลวเทา น้ัน และเปนทอ่ี นญุ าตตาม บทบัญญัตสิ ําหรับการขอเมอื่ ยามมีชวิ ติ อยู แนน อนเราไดยืนยันไปแลว วา ความตายและความเปน มใิ ชต ัวตัดสินทีเ่ ด็ดขาด สาํ หรบั เน้ือหาทแี่ ทของการกระทาํ ตลอดภงึ สําหรับการจะใหเปนเรอ่ื ง อนุญาตหรอื ไมอ นญุ าต ดังท่ไี ดกลา วผานมาแลว มีอยใู นหนังสอื “ฟตหุล-มะญีด” ที่ไดอธบิ ายวา : คาํ วา “หรอื พวกวงิ วอนขอตอ สิง่ อืน่ นอกจากพระองค” หมายถงึ : แนนอนอยา งย่ิงวา การ วิงวอนขอนั้น มีอยูสองประเภท คือ การวงิ วอนขอประเภททเ่ี ปนอบิ าดะฮ และการวิงวอนขอ ประเภทที่เปน มซั อะละฮ (เรือ่ งทเี่ ปน ปญหาใดปญหาหนึ่ง) ในอลั -กรุ อานมีการกลวถึงความหมาย ของการวิงวอนขอทงั้ สองอยา งน้ไี วเปน เร่ืองๆ และยงั ไดร วมความหมายทั้งสองน้ใี หเ ขา ดว ยกันอีก ดว ย กลาวคอื การวงิ วอนขอประเภทมซั อะละฮน ้ัน คือการขอในส่งิ ที่จะใหบังเกิดผลแกผ ุขออัน ไดแก การใหค ณุ หรือใหโทษ การขอในลักษณะนี้ อลั ลอฮทรงปฏิเสธตอผูที่วงิ วอนขอสงิ่ ใดๆ กต็ าม จากผุท่ไี มมสี ทิ ธใิ นการใหโ ทษและไมมสี ิทธใิ นการใหค ุณนอกเหนือจากอัลลอฮดงั โองการของ พระองคท่วี า (จงกลาวเถิด สเู จาจะเคารพภักดสี ิ่งไมมีอํานาจครอบครองการใหโทษแลไมใ หค ณุ แก สเู จานอกเหนือจากอัลลอฮกระนั้นหรื อแนนอนอัลลอฮคือผทู รงไดย ิน ผทู รงรอบรู) และโองการ

ที่วา (๖-๗๖- “จงกลา วเถดิ เราจะวิงวอนขอตอ สิง่ ทไี่ มใ หคุณและไมใ หโ ทษแกเ ราและเราจะหวล กลบั สูรอยเดมิ ของเราหลงั จากท่อี ัลลอฮทรงนําทางเราแลว เชน ผูท พ่ี วกมารในแผนดินไดล อลวงให พรา มัว ท้งั ๆ ทเ่ี ขามพี รรคพวกท่ีเรียกรอ งยงั ทางนาํ อยวู า “จงมายงั เราเถิด” กระนั้นหรอื ? จงกลาวเถดิ แทจ ริงทางนําของอลั ลอฮ คือทางนําทแี่ ทแ ละเราถกู บัญชาใหย อมรับตอ พระผูอภบิ าลแหงสากล โลก) และโองการท่วี า (และเจา อยา วิงวอนขอตอ สง่ิ ท่ีไมใหค ณุ และไมใหโ ทษตอ เจา นอกเหนือจาก อัลลอฮเลย ดงั นั้นถาเจา กระทํากเ็ ทากับวา เจา เปน ผอู ธรรมนน่ั เอง ทา นชยั ค อบิ นุตัยมยี ะฮไ ดก ลาววา : ดงั นั้น การวิงวอนขอประเภทท่ีเปน อิบาดะฮทกุ ประการจงึ หมายถึงการวิงวอนขอประเภทมซั อะละฮดว ย และการวงิ วอนขอประเภทมซั อะละฮท กุ ประการก็เปนส่ิงที่ชีถ้ งึ การวงิ วอนขอประเภททเี่ ปน อบิ าดะฮ อลั ลอฮผูทรงสูงสดุ ดวย ไดม ีโองการ วา : (๗ : 55) สเู จาจงวิงวอนขอตอพระผอุ ภิบาลของสเู จา อยา งนอบนอ มและแผว เบาแทจริง พระองคไ มทรงรกั ผูละเมิด พระองคทรงมีโองการท่วี า : (๖ : 40, 41) “จงกลาวเถดิ สูเจาพิจารณา หรอื ไม ถา ลงโทษของอัลลอฮหรือยามอวสานไดม มี ายังสูเจา แลว สเู จา จะวงิ วอนขอตอส่งิ ท่ี นอกเหนอื จากอลั ลอฮกระนั้นหรอื ถา สูเจา เปนผูสจั จริง” หากแตยงั พระองคเ ทาน้ันทีส่ ูเจาจะวิงวอน ขอ ดงั น้ันถา พระองคป ระสงคกจ็ ะทรงเปด ทางใหส าํ หรบั สิ่งท่ีสเู จา ขอยงั พระองคและสูเจากจ็ ะลมื สิง่ ทส่ี ูเจา เคยตง้ั ภาคี พระองคยังมโี องการอกี วา : (๗๒ : 18) และแทจริงมัสยดิ ท้งั หลายน้นั เปน ของอลั ลอฮ ดังนนั้ จงอยา วงิ วอนขอตอผูใ ดควบคูกับอลั ลอฮ) และพระองคทรงมีโองการอกี วา (๑๓ : ๑๔) การวงิ วอนขออันสัจจรงิ น้นั เปนของพระองค สว นบรรดาผวู งิ วอนขอสง่ิ นอกเหนือจาก พระองค มนั ยอมไมต อบสนองสิ่งใดแกพวกเขาไดเ ลย นอกจากเสมือนผูท ีย่ นื ฝา มอื ของตนท้งั สอง ขา งไปยังนํา้ เพ่ือใหมันมาถึงปากของเขาแตม ันไมถงึ ปากอยา งแนนอน และการวงิ วอนขอของพวก ปฏเิ สธนั้น ไมใชอ ะไรอน่ื นอกจากความหลงผิด) โองการตา งๆ เหลา นีใ้ นอัล-กุรอานใหค วามหมาย ในแงของการวงิ วอนประเภทมซั อะละฮ มรี ะบอุ ยมู ากมายเกินกวา จะนาํ มาอา งใหห มดไดแ ละมนั ยังใหความหมายช้ีไปยังลักษณะของการวงิ วอนประเภทอบิ าดะฮอกี ดวย เพราะผขู อไดร ะบุใหก าร ขอของตนบริสทุ ธใ์ิ จสาํ หรับอัลลอฮ ดว ยเหตนุ แี้ หละมันจงึ เปน ความประเสริฐสดุ ของการอบิ าดะฮ ตางๆ ทา นชยั คไดอธิบายโองการตางๆ เหลา น้วี า การวงิ วอนขอประเภทอบิ าดะฮน ้ันยอมหมายถึง การวิงวอนขอประเภทมซั อะละฮ ทาํ นองเดยี วกบั ทก่ี ารวิงวอนประเภทมซั อะละฮก็หมายถงึ การ วิงวอนขอประเภทอบิ าดะฮ( ๑) ในการอธบิ ายตอนนี้จะกลา วถงึ เร่อื งราวเกีย่ วกับการวิงวอนทัง้ สองประเภทและจะให ทศั นะสาํ หรับการวงิ วอนประเภทหนง่ึ วา เปน เร่ืองอิบาดะฮ แตอีกประเภทหนึ่งนั้นเปนเรอื่ งทอี่ ยุ นอกเหนอื ไปจากเรอื่ งอบิ าดะฮ ดังจะไดอธิบายตอไ ปน้ี : (๑) หนงั สือ ฟตหลุ -มะญีด หนา ๑๖๖

ประการท่ีหน่ึง : ทานอิบนุ อัยมยี ะฮใหความหมายโองการทวี่ า “สูเจา จงวงิ วอนขอตอพระ ผอู ภิบาลของสูเจา อยา งนอบนอ มและอยางแผวเบา” กับโองการทว่ี า “และแทจ ริงมสั ยดิ ทง้ั หลาย เปน ของอลั ลอฮ ดงั น้ัน สเู จา จงอยา วิงวอนขอตอ สิง่ ใดควบคูกบั อัลลอฮ” วา หมายความวา การขอ ความชวยเหลอื สง่ิ ใดจากใครก็ตามก็จะหมายถงึ การวิงวอนขอประเภทอิบาดะฮทมี่ ตี อ ผูถูกขอ ทง้ั สิ้น! จะเปน ไปไดอ ยา งไรกนั ? กลา วคอื ถาหากคําวา “สูเจา จงวิงวอน” ในโองการทวี่ า “สูเจา จงวงิ วอนขอตอพระผอู ภิบาล ของสเู จา อยา งนอบนอ ม” กับคาํ วา “สูเจา จงอยา วิงวอนขอ” ในโองการนว้ี า “ดังน้ันสูเจา จงอยา วิงวอนขอตอส่งิ ใดควบคูก ับอลั ลอฮ” มคี วามหมายวา “การรอ งเรยี ก” แลว การวิงวอนขอความ ชวยเหลอื จะหมายถงึ การวงิ วอนประเภทอิบาดะฮไดอยา งไร? แนนอน ท้ังสองโองการน้ี ตามหลกั ฐานท่มี อี ยใู นตัว ยงั มไิ ดใหเ หตผุ ลในเรื่องใดมากไป กวา การหา มมใิ หทาํ การวงิ วอนขอตอ สง่ิ อ่ืนทีน่ อกเหนอื จากอัลลอฮ สวนประเด็นทีว่ า การวิงวอน ขอตอพระองคจ ะหมายความวา เปน การอิบาดะฮตอ พระองคด ว ยน้ัน เนหื้ าของโองการยังมิไดให เหตผุ ลไวเลย ในฐานะทว่ี า การหา มมใิ หก ระทาํ อยา งใดอยางหน่งึ น้ัน มิใชหลักฐานที่แสดงวา สาเหตุ การหา มในเร่ืองนน้ั ๆ จะตอ งเก่ยี วขอ งกบั เรอื่ งการอบิ าดะฮเสมอไป ประการทีส่ อง : การวงิ วอนขอความชว ยเหลือ จะหมายถึงการวิงวอนประเภทอบิ าดะฮไดก็ ตอ เม่อื ผขู อมีความเชื่อมัน่ ในสภาพความเปนพระเจา ของผถู กู ขอในประเดน็ ตางๆ กลา วคอื การ วิงวอนขอในลักษณะอยางนเี้ ทา นน้ั ท่จี ะหมายถึง : การวงิ วอนขอประเภททเี่ ปน อิบาดะฮ ย่งิ ไปกวา นนั้ การวงิ วอนขอประเภททเี่ ปน อิบาดะฮแ ทๆ ที่มิไดแสดงลักษระออกมาในรูปของอบิ าดะฮ ก็ยงั ไมถ ือวาการวงิ วอนขอดงั กลาวนี้ จะหมายถงึ การอบิ าดะฮไ ปดว ย แตถา หากวา ผขู อไดว งิ วอนขอตอผใู ดกต็ าม โดยปราศจากความเชอ่ื มนั่ ดังกลา ว การวิงวอน ขอของเขาที่มตี อผูน ั้น ก็ยงั ไมถอื วาเปน การอิบาดะฮแตอ ยางใด ประการทส่ี าม : ที่นา แปลกประหลาดอยางยง่ิ ก็คอื ประเด็นทว่ี า การขอความชวยเหลือตอ ผู มชี ีวติ เปน สง่ิ ที่ถูกตอง และเปนไปตามบทบญั ญัติศาสนาอยางแนน อน โดยไมค าํ นงึ ถึงประเด็นทว่ี า ถา การวงิ วอนขอความชว ยเหลือตอ สงิ่ อ่ืนนอกเหนือจากอัลลอฮ (แมก ระทง่ั มไิ ดประกอบดวยความ เช่อื ตอ สภาพความเปน พระเจาหรือความเปน ผมู สี ทิ ธคิ รอบครองอํานาจในการชว ยเหลอื ) เปน การ ตัง้ ภาคีแลว ความตายและความเปน ของผูถ ูกขอจะมผี ลกระทบอะไรข้ึนมาในสว นนี้ดว ยเลา? มีรายงานจากทา นนบี ผทู รงเกยี รติอยูบทหนงึ่ วา แทจ ริงการวิงวอนขอเปนสมองของอิบา ดะฮ ก็หมายถึงวา การวิงวอนขอเฉพาะเรอ่ื ง อันหมายถึง ถา เปน การวงิ วอนขอทปี่ ระกอบขน้ึ โดย ความเช่อื ถือตอสภาพแหงความเปนพระเจา ของผถู ูกขอ อกี นัยหนึ่งก็คือ ความหมายของคําวา การวิงวอนขอในฮาดีษดงั กลาวหมายถงึ การวิงวอน ขอที่มีตออลั ลอฮเทา นนั้ กลา วคอื การวิงวอนขอตอ อัลลอฮคอื สมองของอบิ าดะฮ

แลว ฮาดษี บทน้ี จะมสี วนเกี่ยวของอะไรกบั การวงิ วอนขอตอ บรรดานบผี ูมคี ุณธรรม ซงึ่ มไิ ดป ระกอบขึน้ มาจากความเชอ่ื ทีว่ า ผูถูกขอมีสภาพความเปนพระเจา แตอยางใดเลย? ใชแ ลว คาํ ถามหนง่ึ ที่ยังคงมีอยูในเรอื่ งนี้ ก็คอื วา แมว า การวิงวอนขอตอ ผอู น่ื จะมไิ ด หมายถงึ การอิบาดะฮต อ ผนู ัน้ ตามที่เราไดใหการอธิบายอยางชัดแจง ไปแลวก็ตาม แตม ันเปนเร่อื งท่ี ตองหา ม (ฮะรอม) ตามกฎเกณฑข องโองการตา งๆ เหลา นอ้ี ยูน่ันเอง กลา วคอื การวิงวอนขอตอผมู ี คณุ ธรรมท่ตี ายไปแลว เปน การวงิ วอนขอท่ตี อ งหา ม เพราะเหตวุ า เปน การวงิ วอนขอตอ ส่งิ อ่นื ท่ี นอกเหนือจากพระองค และการวงิ วอนขอตอสิง่ อ่ืนนอกเหนือจากอลั ลอฮนั้น เปนสงิ่ ท่ีตองหามแต ทงั้ นคี้ วามหมายของโองการไมรวมไปถึงการวงิ วอนขอตอคนเปน เพราะเปนส่งิ ทอี่ นุญาตใหก ระทาํ ไดในยามจําเปน ดงั น้ันจงึ สรุปความไดว า หามมใิ หวิงวอนขอตอ ผมู ีคุณธรรมทไ่ี ดลวงลับไปแลว แมว า จะไมเปน การต้งั ภาคีกต็ าม คําตอบสาํ หรบั เร่ืองนี้ จะเปน ท่เี ขาใจอยา งแจม ชัดได หลังจากพิจารณาอยางถ่ถี วนตาม เรอ่ื งราวทเ่ี ราไดก ลาวไปแลว เพราะวา โองการตา งๆ ไดร ะบุไปยังการวงิ วอนขอเฉพาะสวนอนั เกดิ ข้ึนโดยพวกตัง้ ภาคี นั่นคือการวงิ วอนขอตอ พระเจาตา งๆ และผูอภบิ าลตา งๆ ของพวกเขาทถี่ ูก อุปโลกขข ึ้น การหามมใิ หว งิ วอนขอเฉพาะเร่ืองอยางนี้ มไิ ดหมายความวา เปน การหา มมิใหวิงวอน ขอในเร่ืองตา งๆท้ังหมด แมกระท่งั กับการวงิ วอนขอท่มี ไิ ดเปนไปในรปู แบบน้กี ็ตาม หลักฐานอันแนชัดตามทเี่ ราไดกลาวมานีก้ ค็ อื วา ผูตัง้ คาํ ถามไดย อมรบั วาประเดน็ ของ คาํ ถามมไิ ดรวมไปถึงการวิงวอนขอความชวยเหลือตอ คนเปน ดงั นั้นการนาํ ประเดน็ นอ้ี อกมาจึงมใิ ช เปน ความเขา ใจท่อี อกมาจากกฎเกณฑข องโองการจนกระทงั่ ใหถอื มาเปนขอ แมเฉพาะ เพยี งจะแสดงใหเหน็ ถงึ การอธบิ ายท่ีมาจากเรอื่ งของโองการน้ันๆ กต็ ามและเปน เร่ืองทีไ่ มม ี สว นเกีย่ วของกนั ตง้ั แตต อนแรกอยแู ลว และไมม ีประเด็นใดอีกเลยทจ่ี ะถอื วา ออกมาจากความหมาย ของโองการ นอกจากตามเ่ี ราไดกลา วไปแลว ในสว นท่วี า โองการตา งๆ ไดระบถุ ึงการวงิ วอนขอที่ พวกตง้ั ภาคีไดกระทาํ ขนึ้ ในการดาํ เนนิ ชีวิตของพวกเขา นนั่ คือการวงิ วอนขอตอ รูปปน และเจวด็ ใน ฐานะทถี่ อื วา มนั เปน พระเจา ผคู รอบครองสิทธิการใหคุณและใหโ ทษ ตลอดถงึ การอนุเคราะห ความชวยเหลือ และการอภยั โทษแกพวกเขา, ซ่งึ หลักสาํ คญั ตา งๆ เหลานไี้ มม อี ยใู นการวิงวอนขอ ตอ บรรดาผูมีคุณธรรม โดยเหตุทว่ี า ใหค วามเช่อื ถอื อยา งนี้ไวใ นสิทธิของพระเจา ยอ ยทง้ั หลาย อัลลอฮไดท รง กลา วถึงพระเจา ที่ซามริ ยี ไ ดสรา งขึน้ วา : “นคี่ อื พระเจา ของพวกทาน และพระเจา ของมซู า แตเ ขาลืมเสยี แลว ” พวกเขาไมส ังเกตหุ รือ วา (รูปโค) น้ันมิไดโ ตตอบคาํ พดู กับพวกเขาเลย และมันไมม ีอํานาจท่ีจะใหโทษและใหค ุณแกพวก เขาดว ย” (ฏอฮา-๘๘-๘๙)

หลักฐานอยา งหน่ึงทใ่ี หเหตุผลตามท่เี ราไดก ลาวไปแลว คอื การยํ้าคําวา “นอกเหนือไปจาก พระองค” ในโองการตางๆ กลาวคือมันมิไดม ีความหมายคลุมไปถงึ การวงิ วอนทกุ ๆ ประเภทที่มตี อ สิ่งอ่ืนนอกจากอัลลอฮ จนกระทงั่ เราถึงกบั จําเปนตองวินิจฉยั ความในบางสว นวา การวิงวอนขอ ความชวยเหลอื น้ัน มีไดกับคนเปน หรือวาการวิงวอนขอตอผูต ายน้นั มใิ ชเพอ่ื ความหวังความ ชว ยเหลอื หากแตเปนเรอ่ื งแสวงหาความสมั พันธและขอการอนเุ คราะห แตทวา มคี วามหมายเฉพาะ เพื่อเปน ความเขา ใจสาํ หรบั การวิงวอนขอเหลานี้ นั่นคอื การวงิ วอนขอตอ ส่ิงอนื่ โดยจติ สาํ นึกวา ส่งิ นั้นดาํ เนินกิจการไปโดยความมอี สิ ระนอกเหนอื ไปจากอัลลอฮ ดังเชนจติ สาํ นกึ ที่ถูกอปุ โลกขขึ้นมา สาํ หรับพวกตงั้ ภาคีในพระเจา ตา งๆ ของพวกเขา สว นการขอความชว ยเหลอื จากผูทีไ่ มสามารถกระทําสิง่ ใดไดนอกจากโดยอนมุ ตั ขิ อง พระองค และตามเจตนารมณข องพระองค (ในจติ สํานึกของผขู อ) ตลอดทง้ั การวิงวอนของเขาก็มไิ ด ตัดขาดจากการวิงวอนขอตอ อลั ลอฮนั้น ยังมไิ ดเ ปนไปตามความหมายของโองการทกี่ ลา ววา “และบรรดาผูท ี่วิงวอนขอตอส่งิ อืน่ นอกเหนอื จากอลั ลอฮนน้ั พวกมันมิไดตอบสนองสิง่ ใด เลย” (อรั เราะอด -ุ ๑๔)

ภาคที่สาม พวกวะฮาบยี กับประเด็นตางๆ ท่สี าํ คัญของหลกั เอกภาพและการตัง้ ภาคี ๑- ความเช่ือทมี่ ีตอ อาํ นาจอนั เรน ลบั ของผูอน่ี นอกจากอลั ลอฮอยใู นขา ยของหลักเอกภาพและการตง้ั ภาคีดว ยหรอื ? ไมต องสงสัยเลยวา การขอความชว ยเหลือจากใครคนหน่ึง (ในลักษณะทีเ่ ปนไปได) น้ัน มนั จะมขี นึ้ ไดกต็ อ เมื่อ ผขู อความชว ยเหลอื เชือ่ มน่ั วา เขาผูนั้นเปนผมู ีความสามารถทาํ ใหความ ตอ งการของตนสมั ฤทธผิ์ ลได และความสามารถอนั นเ้ี ปนความสามารถอันเปดเผยและตามสภาพ วตั ถกุ ม็ ี เชน การท่ีเราขอนํา้ จากใครคนหนงึ่ เพ่ือนํามาดม่ื เขากจ็ ะทาํ ตามทีเ่ ราตอ งการได และ ความสามารถทเ่ี ปนไปอยา งเรน ลบั ก็มี โดยอยูนอกเหนอื วิสัยของกฎธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑทาง สภาพวตั ถุ เชน การทคี่ นๆ หนง่ึ เชอ่ื วา ทา นอมิ ามอาลี (ความสนั ติสขุ พึงมแี ดท าน) เปดประตู “คัยบรั ” ไดดว ยความสามารถอนั เรนลับ ดังทม่ี เี รือ่ งราวปรากฎอยูใ นฮาดษี หรือที่วา ทา นมะซหี  (เยซู)-ความสนั ตสิ ขุ พงึ มแี ดท าน- มีความสามารถอนั เรนลับโดย บาํ บัดรกั ษาคนปวยใหห ายไดโดยไมใ ชยาหรอื ดําเนินวธิ กี ารทางแผลแตอยางใด ความเชื่อถอื ทีม่ ตี อ ความสามารถอนั เรนลับเชน นีถ้ า วางอยบู นความเช่อื ถือทว่ี า มนั เปน ความสามารถทีเ่ ชื่อมโยงกบั การอนุมตั ิของพระผเู ปน เจา และความสามารถที่ไดร บั มาจากพระองค ผทู รงบริสุทธ์ิ กลาวคือในกรณเี ชนน้ี มันกไ็ มแตกตา งไปจากความสามารถทางสภาพวตั ถอุ ันเปด เผย ย่งิ ไปกวานัน้ มันยังเหมือนกับความสามารถทางสภาพวตั ถุซึ่งความเชอื่ ถอื ทมี่ ตี อ กัน มิไดหมายถงึ การต้ังภาคีเลย เพราะวา อัลลอฮคือผูป ระทานความสามารถทางสภาพวัตถุใหแกบคุ คลนน้ั และ ประทานความสามารถอนั เรนลับใหแ กบ คุ คลนี้ โดยที่ยังมไิ ดถือเอาผูถกู สรา งขนึ้ มาอยใู นฐานะ ผูสราง และยงั มไิ ดถือวา จะมใี ครทม่ี ง่ั คัง่ เหลือหลายนอกไปจากอลั ลอฮ ดงั นั้น ถา หากใครไดทําการรักษาบาํ บดั โรคของคนปวยใหห ายไปโดยวธิ ีทใี่ ชอาํ นาจเรน ลบั ก็หมายความวา เขาดาํ เนนิ ไปโดยพระบัญชาของอลั ลอฮโดยการอนุมัติและเจตนารมณข องพระองค ความเชือ่ เชนน้ี ไมถือวาเปน การต้งั ภาคี การอธบิ ายถึงอาํ นาจทีเ่ ชอ่ื มโยงยังอัลลอฮวา เปน อาํ นาจโดย อิสระ คือรากฐานที่สําคัญจนทาํ ใหอ ธบิ ายเรอื่ งหลักเอกภาพไปเปน เร่ืองการต้ังภาคี ดว ยเหตุนจี้ งึ ทํา ใหเกิดความเขา ใจผิดพลาดขึ้นอยางมากมายจากผทู มี่ ิไดอธิบายแยกแยะระหวางความเช่ือในเร่ือง อํานาจอันเรนลับที่เชื่อมโยงกบั ความเช่อื ในอํานาจอนั เรนลับท่ีไมเ ชอ่ื มโยง พวกเขากลาววา : ถา คนใดคนหนึง่ ขอจากผูมคี ุณธรรม (ศอลฮิ ีน)คนหนง่ึ (ไมว า จะตายไป แลวหรอื มีชวี ติ อย)ู วาใหเ ขาหายปว ย หรือใชของทีส่ ูญหายไปกลบั คืนมา หรอื ใหป ลดเปลื้องหนี้สิน ได ดังนั้นการขอเชน นี้ เทากับเชื่อถอื วา อาํ นาจอันเรนลับอยใู นสทิ ธขิ องผมู คี ุณธรรมคนน้ัน และถือ วา เขามีอาํ นาจในการจัดระบบของธรรมชาติ วางกฎเกณฑข องจกั รวาลจนมคี วามสามารถเหนือ ความเปน ไปแบบธรรมดาของมนั ได ความเชื่อถอื ทีว่ า อาํ นาจเชน นเี้ ปน ของผอู ่ืนทน่ี อกเหนอื ไปจาก

อัลลอฮ หมายถงึ การเชอ่ื ถือวา ผถู กู ขอคนนี้มสี ภาพความเปนพระเจาและการขอความชว ยเหลือใน ลกั ษณะเชน น้ีกเ็ ปนการตง้ั ภาคี ดงั นั้น ถาคนๆ หน่ึงขอน้าํ ดืม่ จากคนใช แลว คนใชก ท็ าํ ตามกฎของระบบธรรมชาตเิ พื่อทํา ใหสงิ่ ท่คี นๆ นั้นขอเปน จริงขนึ้ มา สว นกรณีท่ีถา เขาขอนํา้ จาอิมามหรือนบี ไมว า นา้ํ น้ันจะอยูใต พืน้ ดินหรืออยูในคูกต็ าม กลาวคือทไี่ ดขอยางน้กี ็หมายถงึ วา เชอ่ื มั่นตอ อาํ นาจอันเรนลับของนบี หรืออมิ ามทานน้ีโดยท่ขี ึ้นอยูก ับอลั ลอฮ การขออยางนี้ หมายถงึ เช่อื ถือวา ผูถูกขอมีสภาพความเปน พระเจา ดวยหรอื ??? ผทู อ่ี ธิบายเรือ่ งนี้ไดอยางชัดเจนคือ ทา นอะบูอะลา เมาดดู ีย โดยทานไดกลาวววา : “เน้ือหาของคาํ อธบิ ายกค็ ือวาประเด็นที่มนุษยไดวิงวอนขอความชว ยเหลือและนอบนอม ตอพระเจา เพ่ือส่งิ น้ัน โดยถือวา พระองคท รงเปน ผอู ภิสทิ ธแ์ิ หงอํานาจอนั เด็ดขาด เหนือกฎเกณฑ ทางธรรมชาติ และเปน ผอู ภสิ ิทธแิ์ หง ความสามารถท่อี ยนู อกเหนอื วสิ ัยที่เปน ไปตามกฎเกณฑ ธรรมชาต”ิ (๑) คําอธบิ ายตอนน้ี ไดยืนยันอยางชดั เจนในประเดน็ ท่กี ําหนดใหความเชอ่ื ถอื ตออาํ นาจอนั เด็ดขาด เปน ประเด็นหลักสําหรับความเช่อื ถอื ตอสภาพความเปน พระเจา คอื ความเชอ่ื ถอื ที่วา ผูถ กู ขอเปนผูม คี วามสามารถในอนั ทจ่ี ะใหค ณุ หรือใหโ ทษได ตามลักษณะทอี่ ยนู อกเหนอื วสิ ัยของ กฎเกณฑทางธรรมชาติทัว่ ๆ ไป ดงั ทท่ี านไดก ลาววา : “ดงั นั้น ผทู ่ีถอื เอาบคุ คลใดกต็ ามขน้ึ มาเปน ผูค ุมครอง, ผชู วยเหลือ, และผูข จัดปด เปา ความ ชวั่ รา ยใหออกไปจากตน และเปนผูก ําหนดส่ิงที่ตนเองตอ งการอกี ทัง้ เปนผตู อบสนองการวงิ วอนขอ ของตน และเปน ผูมีความสามารถในการใหค ณุ แกตนได โดยทคี่ วามเปน ไปทุกอยางนหี้ มายถงึ ส่ิงที่ อยนู อกเหนอื วิสยั แหงกฎเกณฑท างธรรมชาติ อนั เปนเหตุใหเรามคี วามเช่อื ถืออยา งนเี้ กิดขน้ึ กับผูนนั้ วา เปน ผหู นง่ึ ท่ีมีอํานาจในการจดั ระบบของโลกน้ี ทํานองเดียวกันกบั เขาเกรงกลัวคนใดคนหน่งึ โดยยาํ เกรงตอ คนๆ นน้ั ในฐานะทว่ี า ถา ทรยศกบั เขาแลว ตนจะเกิดมอี ันตรายแตถ า ทาํ ใหเขาพอใจ แลว ตนจะไดร บั ผลประโยชน โดยที่ความเชอื่ และการกระทาํ อยางนี้ของเขายงั ไมเกดิ ข้ึน นอกจากวา ในจติ ใจของเขาตระหนักวา คนผูนั้นมีอํานาจอยูอยา งหน่งึ ตอจกั รวาลนี้ หลังจากนั้น สําหรับผูท่ี วิงวอนขอตอสิ่งอื่น นอกจากอลั ลอฮและไดข อในส่ิงที่ตนตอ งการยังเขาผูน ัน้ หลังจากท่เี ขามีความ ศรัทธาตออลั ลอฮ ผูทรงสูงสุดแลว ก็ไมอ าจเรียกกรณเี ชนน้วี าเปนอยา งอ่ืนได นอกจากวา ความเชอื่ ของเขาทมี่ ตี อสงิ่ น้ัน เปนการต้งั ภาคีตอพระองคอยา งหนึง่ ในแงของการตงั้ ภาคีในประเภทของ อาํ นาจแหงพระผเู ปน เจา” (๒) คําอธบิ ายตอนนไ้ี ดระบุถงึ การยนื ยนั ตอ กันและกนั ระหวา งความสามารถในการใหคุณให โทษ กับความเช่อื ถอื ตออํานาจแหง ความเปน พระเจา และถือวา ความสามารถทุกๆ ประการในการ (๑) อลั -มัศฏอลิหาตตลุ -อรั บะอะฮ หนา ๑๗ (๒) อลั -มศุ ฏอลาฮาตลุ อัรบะอะฮ หนา ๒๓

ใหค ุณใหโ ทษอันมไิ ดเกิดขน้ึ ตามกฎธรรมชาตินั้น เปนการชีใ้ หเหน็ ถึงสภาพความเปน พระเจา โดย อาศัยการยืนยันซ่งึ กันและกัน ดังกลาวน้คี อื เรื่องทีน่ าแปลกเรื่องหน่ึงจากทานเมาดูดยี  ในขณะทมี่ ันไปประกอบกับความเหน็ ทวี่ า ความเชอ่ื ทมี่ ตี อ สภาพของพระเจา นั้น มไิ ด หมายถงึ ความเชอื่ ทีม่ ีตอ อํานาจในดา นอ่นื หากแตม ันครบถวนบรบิ ูรณอยูกบั ความเชอื่ ถอื วา สภาพ ของพระองคคือผูทรงครอบครองอํานาจแหง การอนเุ คราะหค วามชว ยเหลอื และการอภยั โทษ เหมอื นกบั ความเชือ่ ถอื ของชาวอาหรับในยุคงมงายกลุม หนงึ่ ท่พี วกเขาเชือ่ มนั่ ในคุณานภุ าพของรูป ปนของพวกเขาวา เปนพระเจา ของพวกเขา ก็เพราะวา มันเปนผูครอบครองอาํ นาจแหงการ อนุเคราะหค วามชว ยเหลือและการอภัยโทษใหแกพ วกเขาได และเปน ที่รูกนั อยูแลวอยางดที ่สี ดุ วา ความเปนผคู รอบครองอาํ นาจแหง การอนุเคราะหความชว ยเหลอื นั้น เปนคนละสว นกันกบั การ กลาวถึงความหมายของการมอี ยแู หง อาํ นาจ น่นั คอื : อาํ นาจเหนอื สากลจักรวาล แทจริงความเช่อื ถอื ทม่ี ตี อ อาํ นาจอนั เรนลับที่อยนู อกเหนือกรอบของกฎธรรมชาติ มไิ ด หมายถึงความเชื่อในสภาพของความเปนพระเจา ความเชอ่ื วา ใครจะมีอาํ นาจในการจัดระบบของจกั รวาลไมว า จะท้ังหมดหรือบางสวนก็ตาม ถามนั เปนไปโดยการกาํ หนดและการอนุมตั ิ จากพระองคแ ลว ก็จะไมห มายถงึ วา ตองเชือ่ วา เขามี สภาพแหง ความเปนพระเจา กลาวคอื เชน ในกรณที ่ีวา อัลลอฮทรงมอบสทิ ธิพเิ ศษใหแกม นษุ ยซ ่ึง ความสามารถอยา งหน่ึง ในการดาํ เนนิ กจิ การตามสภาพปกตแิ ละไดใ หบางคนมคี วามสามารถใน เรอ่ื งน้นั เหนือกวาอกี บางคน โดยไมม ขี อแมใดๆ มาหา มพระองคว า อยา มอบใหบ ุคคลใดบคุ คลหนึ่ง หรือบรรดาบุคคลผูมคี ณุ ธรรมในปวงบา วของพระองค ซึ่งความสามารถทส่ี มบรู ณใ นการดําเนนิ กจิ การของจกั รวาลท้ังหมดไมว า ในสภาพทเ่ี ปนปกติวิสัยหรือเหนือปกติวิสยั นี่ก็เชนเดียวกันคอื ยัง ไมหมายความวา พวกเขามสี ภาพแหงความเปน พระเจา และสว นทีถ่ ือวา อาจเกิดประเดน็ ข้ึนมาใน การอธิบายก็คือ ประเด็นท่ีเกียวกับความสามารถดงั กลาวน้นั วาอลั ลอฮไดท รงประทานใหอ ยางน้ัน หรอื ไมอ ลั -กุรอานไดเปดเผยในเรื่องน้ีไวหลายแหง เชน ตอนทีอ่ ธิบายถึงเรอ่ื งราวของทา นนบยี ูซุฟ (ความสันตสิ ขุ พึงมแี ดท าน) นบยี ูซุฟกับอํานาจอันเรน ลบั ทา นนบียูซุฟ (ความสันติสุขพึงมีแดท า น) ไดสั่งใหพนี่ องของทานวา ใหเอาเสอื้ ของทานไป ใหบ ดิ า และใหโยนเสอื้ ตว น้นั ไปที่นัยนตาเพอ่ื จะไดกลับมามองเหน็ ได ดังท่ีอลั -กุรอาน อนั ทรง เกยี รติไดกลา วถึงเร่อื งนเ้ี อาไวว า : “ทา นทง้ั หลายจงนาํ เสือ้ ของฉนั ตวั นไ้ี ปเถดิ และจงวางมนั ไปท่ีใบหนาบิดาของฉนั ทา นจะ ไดมองเห็น” (ยซู ฟุ -๙๓)

“ดังนั้น เม่ือผูแจงขา วดีไดม าถึง เขาก็ไดว างมันลงบนใบหนาของเขา (นบียะอก ูบ) แลว เขาก็ กลบั มองเห็น...” (ยซู ุฟ-๙๖) ลักษณะของโองการไดใหค วามหมายวา การกลบั มามองเห็นท่ีเกิดข้ึนแกนบียะอก บู นน้ั เปนไปโดยเจตนารมณข องนบยี ูซุฟ กลาวคือ มไิ ดเ ปน การกระทาํ โดยเปดเผยในทันทีทนั ใด ของอลั ลอฮ เพียงแตว า นบียูซุฟไดก ระทําสง่ิ น้ันไปโดยอํานาจที่รับมาจากพระองค ผทู รงบรสิ ุทธ์ิ ซงึ่ ถา หากวา การหายจากตาบอดของนบียะอกบู เปน งานที่เกีย่ วขอ งกบั อลั ลอฮโดยตรงอยาง ทนั ทที ันใด โดยไมพาดพิงมาเกยี่ วกบั นบยี ูซุฟแลว แนน นอทา นก็ไมต องสง่ั ใหพ่ีนองของทา นนาํ เสือ้ ไปวางทใี่ บหนา ของผเู ปนบดิ า หากแตใชดุอาอข องทา นก็พอ ทั้งๆทีอ่ ยไู กลนั่นแหละ และเร่ืองน้ี กม็ ใิ ชอื่นใด นอกจากเปนการดาํ เนินงานของวะลยี ุลลอฮ (บคุ คลผูเปนที่รกั ของอัลลอฮ) ทม่ี ีขึ้นใน จกั รวาล โดยการอนุมตั ิของพระองคน ่ันเอง นบมี ูซากับอาํ นาจท่มี เี หนือจักรวาล เรอื่ งเชนนี้ เราไดพบอยูในนบีอื่นๆ ดวยเชน นบี มูซา (ความสันตสิ ุขพึงมแี ดทาน) ในขณะ ท่ีมกี ารกลาวแกทา นวา : “เจา จงตีหนิ ดวยไมเ ทา ของเจาเถดิ แลว ตอนาํ้ กแ็ ยกออกมาจากหนิ นั้นถงึ สบิ สองตานา้ํ ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๖๐) กลา วคือ ถาการดขี องทา นดว ยไมเ ทาจากเจตนารมณข องทา นมไิ ดมผี ลในการทําใหต าน้ํา แยกออกมาจากหินแลว ไซร แนนอน อลั ลอฮผูทรงความบริสุทธจ์ิ ะไมบญั ชาแกท า นเลย อาจมขี อ แยง ในลักษณะที่วา จริงอยู ทานนบมี ูซาไดต ีลงดว ยไมเทา ของทา น แตอ ัลลอฮคอื ผูท ่ที ําใหสายน้ําแยกออกมา ดังน้ัน เรอ่ื งน้ี ยงั ไมแสดงวาอาํ นาจอันเรนลับเปนของทานนบีมูซา ในขณะท่คี วามสําเรจ็ ของกิจการอนั นอี้ ยูต รงทว่ี าอลั ลอฮ ทรงทําใหสายนํา้ แยกออกมาในขณะท่ที า น ไดตีลงไป แตขอ แยงน้ีไมม ีน้าํ หนกั เมือ่ นําไปพจิ ารณากบั สํานวนของคําสงั่ ท่วี า ใหเ อาไมเ ทา ตี กลาวคอื การตลี งไปกับไมเทา มใิ ชอยูในประเภทการวิงวอนขอ (ดุอาอ) ที่อลั ลอฮทรงกลา ววา จะ ทรงสนองตอบการวงิ วอนขอเม่ือทานขอ และกลาวโดยสรปุ กค็ ือ จะตองไมป ฏเิ สธวาการตขี องทา น กับไมเทาและเจตนารมณของอลั ลอฮอยูกต็ ามอกี ทั้งโองการนี้ ก็มไิ ดใหหลักฐานที่แสดงถึงสิง่ ที่ เพ่ิมเตมิ ไปจากน้ี : อยางเชนโองการของพระองคท ว่ี า : “ดงั นั้นเราไดสั่งโดยการดล (วะหย)ู ยังมซู าวา จงตที ะเลดว ยไมเ ทาของเจา เถิด แลว มนั ก็ แยกออกซึง่ แตล ะชองทางนนั้ ประหนงึ่ ภูเขาที่ใหญโต” (อัช-ชอุ ะรออ-๖๓)

หลักฐานในโองการน้ี ตามทเี่ ราไดพิจารณากจ็ ะเหน็ ไดวา ไมมหี ยงิ่ หยอ นไปกวา หลักฐาน ในโองการทผ่ี านมาแลว พวกของนบสี ุลยั มานกับอํานาจอนั เรน ลับ เรื่องของอาํ นาจอันเรน ลับดงั ท่จี ะกลา วถึงน้ี ก็ไมยงิ่ หยอนไปกวา เรอื่ งที่เราไดกลา วถึงไป แลว เชนกนั ยง่ิ ไปกวานัน้ อัล-กรุ อานยังไดยืนยนั วา มนั มแี กพรรคพวกของทา นนบสี ุลยั มาน ซ่ึง ทา นนบสี ุลยั มานมคี วามมน่ั ใจวา เขาผูเ ปน เพือ่ นสนิทของทานคนน้ันสามารถนาํ บลั ลงั คของราชินี แหง ซาบาอม าใหไดกอนท่ีทานจะลกุ ไปจากท่ีนั่งของทา นโดย อัลลอฮทรงมโี องการวา : “เขาไดก ลาววา : โออํามาตยทั้งหลาย มคี นใดบา งในหมพู วกทานทสี่ ามารถไปนาํ บัลลังค ของนางมาใหแ กขา พเจา ไดกอ นท่ีพวกเขาจะมายังขาพเจา ในฐานะผูนอบนอม” อิฟรตี ผเู ปน หนึง่ ใน หมญู นิ ไดก ลา ววา ขาพเจา ขออาสาไปนําบลั ลงั คนั้นมาเองกอ นท่ที า นจะลุกออกไปจากทขี่ องทา นน่ี แหละ และแทจ ริงขา พเจา มพี ลงั และซอ่ื สัตยใ นการนั้น” (อันนัมลุ-๓๘-๓๙) ย่งิ ไปกวา นน้ั ยงั ไดมที ่ีปรึกษาอกี คนหนง่ึ ของทา นรบั รองตอทานวา เขาจะนําบลั ลงั ค ดังกลาวมาใหเ ร็วทส่ี ดุ ภายในกระพริบตาเปนอยา งนอ ย โดยกลาววา : “ผมู คี วามรใู นบางสวนของคัมภรี ไดก ลา ววา : ขา พเจา ขอเปนผูไปนํามันมาใหแกทา น กอ นทเี่ ปลอื กตาของทา นกระพรบิ ครน้ั เม่ือเขาไดมองเห็นบัลลงั คมาวางอยุตรงหนา เขาไดก ลาววา นคี่ ือสว นหน่งึ จากความโปรดปรานแหงพระผูอ ภบิ าลของฉัน” (อนั นมั ลุ-๔๐) จนถงึ ปจจุบนั นี้ก็ยงั ไมเปนท่ีแนช ัดวา อะไรคอื ความรูของคนพูดทเ่ี ปนถึงกบั ทาํ ใหเขาพูด ประโยคนี้วา “ขาพเจา ขอเปน ผไู ปนาํ มนั มาใหแ กท านกอนที่เปลือกตาของทา นกระพริบ” (๑) อาจเปนไปไดทงั้ นน้ั ไมว าจะเปนความรูเฉพาะเรื่องของส่งิ เรนลบั และวธิ ีการนําบลั ลังคมา จากสถานท่ีทอ่ี ยไู กลไดเ รว็ ท่ีสดุ อยางนอ ยภายในช่ัวกระพรบิ ตาหรอื อาจหมายถึงความหมายอยา ง อ่ืนอกี ก็ได จะอยางไรก็แลวแต ความรนู จ้ี ะตอ งมใิ ชเ กดิ ขึ้นมาจากลักษณะของการศึกษาทางสตปิ ญญา โดยทวั่ ไปที่ไดรับและแสวงหามาไดดวยการเรยี นรู และถอื วาเรื่องนเี้ ปน เร่ืองทผ่ี ิดวิสยั ของ ธรรมชาตโิ ดยทัว่ ไปกแ็ ลวกัน อาจตคี วามกนั ไปไดอ ีกวา ถา ในเมือ่ การกระทาํ ของเขาถูกยอมรบั วา เปน การกระทําทีม่ ี ความมหศั จรรยซึ่งไมเปนทีเ่ ขา ใจสําหรบั มนุษยแลว มันก็จะไมออกนอกประเภททว่ี า เปน การ กระทําตามวสิ ัยของธรรมชาติ แตถ า หากถือวา มนั เปนการกระทําทม่ี ีความมหัศจรรยและถือวาเขา (๑) นกั อถาธบิ ายอลั -กรุ อานทัง้ หลายไดพิจารณาในเรื่องนก้ี ันหลายประเด็นและหลายแงมุม โปรดดู หนงั สืออลั -มีซาน เลม ๑๕ หนา ๓๖๓

อาจมคี วามรูประเภทมหศั จรรยท ีพ่ เิ ศษแลว ละก็ แมจ ะเปน การตีความท่ีไมม หี ลกั ฐาน แตก็ถอื ไดวา มันก็เปนการกระทาํ ที่ไมออกไปอยูนอกเหนือวสิ ัยของการสาํ แดงอภินิหาร (มุอญิชาต) ซึง่ ไมมใี คร สามารถกระทาํ ไดนอกจากบรรดาวะลยี ของอลั ลอฮเทานัน้ นบีสุลัยมานกับอํานาจในดา นความเปน ไปของจักรวาล อัล-กรุ อานไดยืนยนั ถึงอาํ นาจพเิ ศษของทานนบีสลุ ยั มาน (ความสันติสุขพึงมแี ดทา น) ไว เชนเดียวกันนี้ ในลักษณะท่ีแตกตา งกนั คือ : 1- ทานนบีสุลัยมานมีอํานาจเหนือญินและนก จนกระทง่ั มันไดกลายมาเปน ทหารของทาน ดังน้ี : “และไดถูกนาํ มาชุมนุมแกสุลยั มานซึง่ ทหารของเขาอันมาจากหมญู นิ มนุษยแ ละนก...” (อนั นัมลุ-๑๗) ๒- ทา นมีอํานาจควบคมุ โลกของสตั วจนกระทัง่ วา ทา นพดู กับมันได สาํ ทบั มนั ไดและยงั ขอรอ งใหมนั ทาํ ตามคาํ ส่งั ของทา นใหสําเรจ็ ได ดงั นี้ : “และเขาขาดนกไปตัวหนึง่ ดังนั้นเขาจึงกลา ววา : ฉนั มไิ ดเห็นนกฮุดฮุดเลย หรือวา มนั เปน พวกที่หายลบั ไป” แนน อนฉันจะตอ งลงโทษมนั อยางสาหัสแนหรือวา ฉันจะตองเชอื ดมันแน หรือ วา มันจะตอ งนําหลกั ฐานอนั ชดั เจนมาใหฉนั สักอยา ง” (อนั นมุ ลุ-๒๐-๒๑) ๓- ทานมีอาํ นาจเหนอื ญิน จะเห็นไดวา ญนิ ไดทํางานตามคาํ ส่ังของทานและตาม จดุ ประสงคข องทา น “และสวนหนึ่งจากญิน มีผทู ที่ าํ งานกบั เขาโดยอนุมัติของพระผอู ภิบาลของเขา...พวกทัน ทาํ งานใหเขาตามท่ีเขาประสงค” (ซาบาอ- ๑๒) ๔- ทา นมีอาํ นาจควบคมุ ทศิ ทางของลม “และสาํ หรับสลุ ัยมานน้ันมีลมทพี่ ัดแรง โดยมันเคล่ือนไปตามคาํ สั่งของเขา” (อัล-อัมบิยาอ- ๘๑) อัล-มะซหี  (เยซู) กบั อาํ นาจอันเรนลับ เรอ่ื งราวท่ีสาํ แดงออกมาจากทา นนบีอซี า อลั มะซีห (เยซ)ู (ความสันติสุขพึงมีแดทา น) ใน บทบาทของการแสดงออกมาใหเ ห็นถงึ อาํ นาจที่เหนอื ธรรมชาตกิ ็เชนเดียวกัน กลาวคือทานไดสราง รูปนกขึน้ มาจากดนิ และไดเปาเขา ไปขา งในทันใดนั้น มันก็กลายเปนนกทีเ่ คลอ่ื นไหวและบินได หรือการรักษาคนปวยเรื้อรังใหหายจากโรคโดยไมต อ งใชยาใดๆ ดังทอ่ี ัล-กุรอานไดบอกเลา ใหเรา ทราบดงั น้ี :

“แทจรงิ ฉันจะสรา งจากดนิ ขึ้นมาเปน รูปนกใหแกพวกทาน แลวฉนั จะเปา เขา ไปในมนั แลว มนั ก็จะเปนนกโดยอนุมัติของอัลลอฮ ฉันรกั ษาคนตาบอดไดฉ ันรักษาคนเปนโรคผิวหนังตางๆ ได และฉนั ชุบชีวติ คนตายไดดวยการอนมุ ัติของอลั ลอฮ และฉนั จะแจง แกพ วกทานไดว าอะไรทีพ่ วก ทานไดร ับประทานและทีพ่ วกทานเกบ็ สะสมไวใ นบา นของพวกทาน แทจรงิ ในเรือ่ งนัน้ ยอ มเปน สญั ญาณหนึง่ สําหรับพวกทานถาหากพวกทานเปน ผูศรัทธา” (อาลิ อมิ รอน-๔๙) ควรทจ่ี ะกลาวไวด วยวา อัลลอฮไดท รงยืนยันไวใ นโองการอ่นื ๆ อกี วาความเปนไปใน กิจการตา งๆ เหลา นีค้ ือผลลัพธแ หง การกระทาํ ของทานนบีอซี าเองทีเ่ ปดเผยออกมาจากอาํ นาจของ พระองคโ ดยพระองคทรงมโี องการวา : “และขณะท่เี จา สรา งรูปนกขึ้นมาจากดินโดยการอนมุ ตั ขิ องฉัน แลว เจา ไดเปาไปในมนั มนั จงึ เปน นกขึ้นมา โดยอนมุ ตั ิของฉัน และเจา รักษาคนตาบอดและโรคเร้ือนไดโ ดยอนุมัตขิ องฉัน และ ขณะทเ่ี จา ทาํ ใหคนตายฟนข้ึนมาก็โดยอนุมัติของฉัน” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๐) สาเหตทุ ่โี องการตา งๆ เหลานไ้ี ดยาํ้ คาํ วา “โดยอนุมัติของอลั ลอฮ” กห็ มายถงึ วา การกระทาํ เหลา น้ัน เชอ่ื มโยงไปยงั อาํ นาจของอลั ลอฮ ซึ่งมใิ ชเกิดข้ึนมาจากอาํ นาจอสิ ระของทา นนบีดซี าแต อยา งใดเลย เพื่อมนุษยจ ะไมเกิดความสบั สนในตัวของทานโดยเช่อื ถอื วาทา นมสี ภาพความเปนพระ เจา และดวยเหตุน้ี ทา นมะซีห (เยซ)ู ก็ไดกลาวไวใ นทุกโองการทก่ี ลาวถึงการกระทําของทา นเชน การสรางการชบุ ชวี ติ วา “โดยอนมุ ตั ขิ องอลั ลอฮ” หลังจากนนั้ ทานกไ็ ดสรปุ คาํ พดู ลงในอกี โองการ หนง่ึ วา “แทจรงิ อลั ลอฮ คอื พระผูอภิบาลของฉนั และพระผอู ภบิ าลของพวกทานดังน้ันพวกทานจง เคารพภักดพี ระองคเ ถดิ น่แี หละ หนทางอันเที่ยงตรง” (อาลิ อิมรอน-๕๑) ลกั ษณะคาํ พูดของทา นทก่ี ลาววา : “แทจ รงิ ฉันจะสรา งใหแ กพ วกทาน” นัน้ โองการเหลา นี้ ไดแสดงเหตผุ ลเอาไวเ ปนเรอื่ งภายนอก อีกทัง้ มไิ ดแ สดงความหมายถงึ การอุทธรณแ ละการรองขอ มาจากผใู ด ซึ่งถา หากมันหมายถึงลกั ษณะเชน น้ันแลว แนน อนทีเดยี ววา คาํ พดู ของทา นจะตอ งเปน ดงั น้ี : ถา หากพวกทานขอรองหรือถาหากพวกทา นตอ งการ ตามที่อลั ลอฮไดทรงเลาถึงเรอื่ งราวของทา นและการตรัสของพระองคทมี่ กี ับทานในวันฟน คนื ชีพนั้น ไดใหเหตผุ ลตรงตามโองการตา งๆ เหลา น้อี ยา งสมบรู ณไปดวยหลักฐาน ดังโองการที่วา : “และขณะทีเ่ จา สรา งรูปนกข้ึนมาจากดินโดยการอนุมตั ิของฉนั แลว เจา ใหเ ปาไปในมนั มัน จงึ เปนนกข้ึนมาโดยอนุมัติของฉัน และเจารักษาคนตาบอลและโรคเรื้อนไดโ ดยอนุมัตขิ องฉนั และ ขณะทีเ่ จา ชุบชวี ติ คนตาย...”

ไดม คี าํ ถามขึ้นมาในเรอ่ื งนี้วา ถาหากการบอกเรอื่ งราวท่ีอยูในความลับไดเปน สัญญาณหนง่ึ ของการแสดงอภินิหารแลว ทําไม จงึ ไมม คี าํ วา โดยอนุมัติของอัลลอฮตดิ ตามอยดู ว ย ใหเ หมือนกนั ไปกับท่คี าํ นีต้ ิดตามอยูกบั การกลา วถงึ สญั ญาณอื่นๆ ในฐานะทวี่ า สัญญาณใดๆ กต็ ามทบี่ รรดาศาสน ทูตแสดงออกมาน้ัน ลว นผูกพนั ธก บั การอนุมตั ิของอลั ลอฮ ทั้งส้นิ ดงั โองการทว่ี า : “มใิ ชเปนสทิ ธิของศาสนทตู ใดในอันทจ่ี ะแสดงสญั ญาณหนึ่งๆ ได นอกจากโดยอนุมตั ิ ของอัลลอฮ” (ฆอฟร -๗๘) คาํ ตอบสาํ หรบั ปญ หาขอนชี้ ัดเจนมาก คือ : สาํ หรบั การบอกถึงประเภทของอาหารทคี่ น รับประทานก็ดี การบอกถงึ สงิ่ ของท่คี นเก็บไวใ นบานก็ดี ไมเหมอื นกับการสราง, การชบุ ชีวติ , การ ทาํ ใหตาบอดและโรคเรอื้ นหาย กลาวคอื พนื้ ฐานของจติ ใจมีสว นท่จี ะยอมรับและนึกคดิ ในสภาพ ความเปนพระเจา ของผทู สี่ รา งนกและผชู ุบชวี ติ คนตายใหเปน ข้ึนมาอกี ทง้ั ผทู ท่ี ําใหคนตาบอดและ คนเปน โรคเร้ือนหายในฉบั พลัน ในลักษณะท่ไี ขวเ ขวและเขาใจผดิ ได โดยแตกตา งกันกับการทจ่ี ะ ยอมรบั ในสภาพความเปนพระเจาของผูท่ีบอกเลาในส่งิ ทีเ่ ปน ความเรน ลบั กลาวคอื ไมม คี วามมั่นใจ ไดอยา งเดด็ ขาดวา สงิ่ เรน ลบั มผี ูท่ีลว งรไู ดเ ฉพาะแตเ พียงอลั ลอฮหากแตย งั เชื่อม่ันวา มันเปนเรอื่ งที่ผู ไดรับความโปรดปรานหรอื นกั พยากรณมีโอกาสรับได ดว ยเหตนุ ้เี อง เร่ืองนจี้ ึงไมจาํ เปนตอ งติดตาม ดว ยคาํ ที่วา “โดยอนมุ ตั ขิ องอลั ลอฮ” (๑) ปญหาตอไปก็คือ : คํากลาวของพระองคท ี่วา “(อีซาไดกลาววา ) แทจ รงิ ฉนั จะสรา งรปู นก ข้นึ มาจากดนิ ใหแกพ วกทานแลวฉันจะเปาไปในมัน ดังนั้นมันจะเปนนกโดยการอนมุ ตั ขิ องอัลลอฮ” เปน ประโยคท่ีประกอบดว ยประเด็นตางๆ ดงั น้ี : 1- การสรางรูปนกมาจากดนิ 2- การเปา เขา ไปในรูปนกน้ัน 3- การกลายสภาพมาเปน นกโดยอนุมตั ิของอัลลอฮ สว นทเ่ี ปน การกระทําของนบีอซี า (ความสนั ติสุขพึงมีแดท า น) มเี พียงสองประเด็นแรก ซง่ึ ประเดน็ ท่สี ามน้ันอยนู อกเหนอื ไปจากการกระทาํ ของทา น หากแตเปน การกระทาํ ของอลั ลอฮ ใน ฐานะทป่ี ระเดน็ ทสี่ ามน้ตี ิดตามมาดว ยคาํ วา โดยอนมุ ตั ขิ องอลั ลอฮ ซ่งึ ไมมีประเดน็ ท่ีหน่ึงและท่ีสอง จงึ สรปุ ความไดว า สาํ หรับคําวา สรา งในท่นี ้ี มอี ยสู องความหมายดวยกันคือ : ก. ทําใหส่งิ ทย่ี งั ไมม ี ใหมีข้ึน ( ) ข. การกะเกณฑ, ประมาณการ ( ) ที่ถกู ตองอยางแนน อนก็คือ ความหมายทสี่ อง สว นการทําใหส ่งิ ทยี่ ังไมมีมขี ้ึนนั้น จะใชไดก ็ ตอเมอื่ ที่ตรงน้ันไมม วี ัตถุใดๆ แวดลอมอยูเลย และที่แนน อนก็คือ ณ ท่ีตรงนน้ั ตองมี “ดิน” อยแู ลว และสง่ิ ทส่ี ําแดงออกมาจากนบอี ซี ากค็ อื การกะเกณฑ, ประมาณการ (ตักดรี ) คอื หมายถึงการเอาดนิ (๑) หนังสือ “อัล-มีซาน” เลม ๓ หนา ๒๑๘

มากะเกณฑ, ประมาณการใหเปน รูปนกเทานัน้ สว นประเด็นทส่ี ามทีว่ า มันกลายมาเปน นกจริงๆ ก็ คือการกระทาํ ของอลั ลอฮ ที่สาํ แดงจากการอนุมัตขิ องพระองค ฉะนน้ั ในเรื่องนี้จึงมิใชเ ปนการ กระทําที่เหนือธรรมชาติที่วามนั เกิดข้ึนมาโดยพฤติกรรมของทานมะซหี  (เยซู) (ความสันตสิ ุขพึงมี แดท าน) เราจะขอใหคาํ ตอบดงั นี้ : ประการแรกก็คือ เราไมถ อื วาโองการของพระองคท่วี า “โดย อนมุ ัตขิ องอลั ลอฮ” น้ัน หมายถงึ เฉพาะเพยี งสําหรับประเด็นทีส่ ามหากแตเปนที่แนนอนอยา งยิ่งวา มนั จะตอ งหมายถงึ เรอ่ื งราวทัง้ สามประเดน็ หลักฐานดงั กลาวน้ีก็คอื การทคี่ าํ ๆ นี้ติดตามประเด็นที่ หนงึ่ อยูในซเู ราฮอ ัล-มาอดะฮดังทพ่ี ระองคทรงมโี องการวา : “และขณะท่เี จา สรา งรปู นกขึ้นมาจากดนิ โดยการอนมุ ัติของฉนั แลววเจา ไดเปาเขาไปในมัน มนั จงึ เปนนกขึน้ มาโดยอนุมัติของฉนั ...” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๓) ดว ยเหตุนีเ้ อง จงึ ระบไุ มไ ดวา ประเด็นทส่ี ามเทานน้ั ท่ตี ิดตามดว ยการอนมุ ัติของอลั ลอฮ โดยที่สองประเด็นแรกเปนการกระทาํ ของนบีอซี าเอง สวนประเด็นท่ีสามเปนการกระทาํ ของอลั ลอฮ แตท วา เรอ่ื งราวทงั้ หมดนน้ั เปนการกระทําของทา นนบีอซี า (ความสันติสขุ พึงมแี ดท าน) ดา นหนงึ่ และเปนการกระทาํ ของอัลลอฮอกี ดานหนึ่ง ประการท่ีสอง : ถา หากเรายอมรบั ในเร่ืองการสรา งนกไปตามการอธิบายอยา งนนั้ แลว เรา สามารถท่จี ะอธิบายไดอ ยา งไรอีกในกรณีของการรกั ษาคนตาบอดและคนเปน โรคเรื้อนใหหาย ตลอดท้งั การชุบชีวิตใหแกค นตาย ในกรณีท่ใี หถอื วา มันเปน การกระทาํ ของอัลลอฮ เชนเดยี วกบั ทาํ ใหด นิ กลายเปนนกข้ึนมา โดยท่ีอัลลอฮทรงถือวา เปน งานของพระองคเ อง ขณะที่ทานนบีอีซาได กลา ววา “ฉนั ไดรักษาคนตาบอดและโรคเรื้อนใหหายและชุบชวี ติ คใหแ กค นตายไดโดยอนมุ ตั ิ ของอลั ลอฮ” (อาลิ อมิ รอน-๓๙) แมกระทั่งอลั ลอฮกย็ ังถือวามนั เปน งานของทา นมะซีห (เยซ)ู และพระองคท รงตรสั กับทา น ถงึ เรื่องนวี้ า : “และเจา ไดท ําใหคนตาบอดและเปน โรคเร้ือนหายโดยอนุมตั ขิ องฉัน และขณะที่เจา ทาํ ให คนตายฟนข้ึนมาไดโ ดยอนมุ ัติของฉัน” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๐) ในกรณที ีอ่ ัลลอฮทรงกลาวถึงลกั ษณะของมะลาอกิ ะฮพวกหน่งึ ของพระองคอ กี เชน กนั วา มี อาํ นาจดังกลาวน้ี โดยพระองคท รงกลา วถงึ ญิบรออีลวา “เปนผทู รงพลังอนั เขม แขง็ ยิ่ง” (อจั ญม ุ-๕)

กลาวคือพลังของทา นมีอยา งเขม แขง็ เหนือทกุ สว นของโลก เชน ทานรูและประกอบกจิ การ (๑) ทา น จะไมเปน เจา แหงพลังไดอ ยางไร ในเมอ่ื กระชากเมืองของพวกลฏู แลว ยกข้ึนไปสูฟากฟา หลงั จาก นน้ั ก็พลิกเมอื งน้นั ลงไป และสว นหน่งึ จากพลงั อันเขม แข็งของทานกค็ ือ สุรเสยี งของทานทมี ีข้นึ แก พวกษะมดู จนกระทั่งวาคนพวกนัน้ พินาศส้นิ (๒) และถา หากประโยคที่วา “เปน ผูท รงพลงั อัน เขม แขง็ ยิ่ง” หมายถึง “ญิบรออลี ” แลวแนนอนอัลลอฮยังทรงสาธยายถึงเรอ่ื งของทา นไดวใ น โองการอ่นื อีกนนั่ คือ : “ผทู รงพลังแหงบัลลงั คอ ันสูงสง” (อัตตักวรี -๒๐) จากเร่อื งน้ี แสดงใหเ ห็นวา ทา นมีอาํ นาจอนั เรน ลบั โดยอนุมัตขิ องอัลลอฮเกย่ี วกบั ความ เปนไปในจักรวาล อาํ นาจอนั เรน ลบั เหลานเ้ี ปนท่ยี นื ยันไวโดยอัล-กรุ อานวา เปน ของสว นหนง่ึ จากผูเปนบา ว ของอลั ลอฮและผใู กลช ดิ ของพระองค (บรรดาวะลีย) ดวยกระน้ันหรือกลา วคือถา หากความเช่ือถือ วา อาํ นาจอนั เรน ลับเปน ของคนใดคนหนง่ึ หมายถึงวา เปน ความเชอื่ ถือในสภาพความเปน พระเจา แลว กจ็ ะเปนอยางยิง่ ท่ีจะตอ งถอื วาบคุ คลเหลา น้ันท้งั หมดเปน พระเจา ตามทัศนะของอลั -กรุ อาน หากแตจ าํ เปนที่จะตองกลาววา การไดรบั อํานาจอันเรนลับเหลา น้ี คือเร่ืองที่เปน ไปได สาํ หรับ บคุ คลตางๆ ประเภทหอืน่ ๆ อีก (แมจ ะมใิ ชบ รรดานบี) โดยแนวทางของการอิบาดะฮ กลาวคอื การอบิ าดะฮ ท่ีคนสว นใหญค ิดวา คุณภาพของมนั จาํ กดั อยูแ ตเพยี งในความโปรด ปรานของอลั ลอฮและปกปองจากความกรว้ิ ของพระองคเ ทานน้ั ยังชวยสรางพลงั อันใหญหลวงให เกดิ ข้ึนแกจ ติ วิญญาณ และมคี วามหมายลึกซงึ้ ยง่ิ ไปกวา น้นั อีกดว ย! การอบิ าดะฮ เปน สง่ิ ท่ที รงอิทธพิ ลอยางใหญหลวงสําหรับดา นในและวิญญาณ ในขณะที่การยบั ยง้ั ตนเองจากการกระทาํ ในสงิ่ ตอ งหา ม, สิ่งทีน่ า รงั เกยี จมคี วามจริงจงั ใน การกระทําส่งิ ท่เี ปนขอ บงั คับและทีเ่ ปน การกระทําทช่ี อบ มีความบริสทุ ธิ์ใจในสิ่งนั้นๆ จะสงผล อยางใหญห ลวงและลกึ ซง้ึ ในพลังทางดานจติ วญิ ญาณและจะเปน ทีม่ าของความสามารถพิเศษทอ่ี ยู เหนือกฎเกณฑธรรมชาติ โดยเหตทุ ว่ี า จติ วญิ ญาณคือแหลงทีก่ อใหเกิดความเปน ไปทเี่ หนือวิสยั ธรรมชาติ ดงั กลาวน้ี คอื เรอื่ งราวทีฮ่ าดษี ตา งๆ ทม่ี สี ายสืบชดั เจนแสดงหลักฐานไวอ ยางเชน : ตามทมี่ ี โองการของอัลลอฮ ดังปรากฏในรายงานฮาดษี อลั -กุดซียวา : “ไมมีอะไรทีท่ ําใหผูเ ปน บา วไดใกลช ิดฉนั ยงิ่ ไปกวาสิง่ ทฉ่ี ันไดกาํ หนดใหแกเ ขา และ แทจรงิ เขาจะสามารถอยอู ยางใกลช ดิ กับฉันไดโดยการทําความดีพเิ ศษแบบอาสา (นาฟล ะฮ) (๑) “มัจมอุ ลุ -บะยาน” เลม ๕ หนา๑๗๓ (๒) “มะฟาตหี ลุ -ฆยั บ” ของทา นอรั รอซี เลม ๗ หนา ๗๐๒

จนกระทงั่ วา ฉนั รักเขา ดงั นั้น เมอื่ ฉนั รักเขาแลว ฉันจะเปน ทรี่ บั ฟง ของเขาซึ่งเขาไดย ินกับมัน และ เปนที่มองเหน็ ของเขาซึ่งเขาไดม องเห็นกับมนั และเปน ล้ินของเขาซง่ึ เขาพูดดว ยมัน และเปนมอื ของ เขาซ่ึงเขาไดแ บกับมนั (๑) ดังนั้นขอ เทจ็ จรงิ จึงมีอยวู า : อํานาจอันเรน ลับซ่งึ พระองคไ ดทรงประทานแกบ าวที่ ประเสรฐิ ของพระองค เพอ่ื ดําเนินกิจการในจักรวาลโดยอนมุ ัตแิ ละเจตนารมณของพระองค และ พวกเขามีความสามารถเหนือธรรมชาติในแงต า งๆ โดยเฉพาะนนั้ มไิ ดหมายความถงึ ความเชอื่ ถอื ตอ สภาพความเปน พระเจา และผเู ปน เจาของอาํ นาจนน้ั กม็ ิไดเปนภาคี คูเ คียงกับอัลลอฮ ผูทรงสูงสุด เลย ใชแ ลว ความเชอื่ ถือทม่ี ตี ออํานาจอนั เรนลับวา “เปนไปโดยอสิ ระ” อันมิไดเชอ่ื มโยงยงั พระองค เปน การยืนยันถงึ ความเชอ่ื ถอื ตอสภาพความเปน พระเจา และพระองคก ็ไดทรงมโี องการใน ประเด็นน้ีวา : “และมิใชส ิทธิสาํ หรบั ศาสนทูตตอการทจี่ ะแสดงสญั ญาณใดออกมา นอกจากโดยอนมุ ตั ิ ของอัลลอฮ” (อรั เราะอด-ุ ๓๘) คํากลา วอกี ตอนหน่ึงของทานเมาดูดยี  : ทา นเมาดูดียไดส าธยายถึงความเชื่อถอื ของพวกทอ่ี ยใุ นยุคงมงายวา : “ความเชื่อถอื ท่แี ทจรงิ ของพวกเขาทีม่ ใี นเรื่องราวของพระเจา ยอยทงั้ หลายกค็ ือวา พวกเจวด็ มีส่งิ หนึ่งท่เี ขามาอยใุ นลกั ษณะแหง ความเปนพระเจา ของพระเจา ผูทรงสงู สุดนั้น และถอื วา คาํ พูด ของพวกมันทั้งหลายเปน ทีถ่ ูกยอมรบั ฉะนั้นความปลอดภยั ของเราอยางแทจริงจงึ ขน้ึ อยูกบั การเอา พวกมนั เปนสื่อกลาง และเราจะขอใหไ ดรับคณุ และขอใหหา งไกลจากเภทภยั ไดก ็โดยอาศยั การขอ ความอนุเคราะหชวยเหลือตอพวกมัน” (๒) (๑) หนังสอื อุศูลลุ กาฟย เลม ๑ หนา ๓๕๒ ฮาดษี นมี ีสายสบื ที่ถกู ตอ ง และเน้อื หาของรายงานฮา ดษี อยใุ นแงท ถ่ี อื วาการอิบาดะฮน ้นั สามารถสรางพลงั ที่เหนือธรรมชาตใิ หเ กดิ ขน้ึ แกจติ ใจไดอ ยาง ไมตอ งสงสัย จงรไู วเ ถดิ วาการนมาซนั้น ไมวา จะเปนนมาซฟรฎหรือนะวาฟล ลวนกอใหเ กิดพลงั ที่ แข็งแกรงขึน้ ในจติ ใจและจิตวิญญาณจนยกระดบั ของมนุษยใหสูงสงขึ้น ถึงกับจะไดเปน เครื่องหมายหนงึ่ สําหรบั การแสดงถงึ การรูแจง เห็นจรงิ ของอัลลอฮ กลาวคือเขามองเห็นสิ่งที่ พระองคม องเหน็ เขาไดยินสงิ่ ท่ีพระองคไดย ิน ในขณะทส่ี ่ิงน้ันๆ บคุ คลอ่นื ๆ มองไมเห็นและฟง ไมไ ดยิน (๒) อลั -มศั ฏอลาฮาตลุ อัรบะอะฮ หนา ๑๙

ประเดน็ ทยี่ อ นกลบั ไปหาทา น ในฐานะทีท่ า นใหท ศั นะถึงความเช่ือถือของพวกทีอ่ ยูในยคุ งมงายทีม่ ีตอ เร่ืองราวของพระเจา ยอยทงั้ หลายทว่ี า “โดยถอื วา พวกเจวด็ เหลา นั้น มสี ิ่งหน่งึ ท่เี ขามา อยูในลักษณะแหง ความเปนพระเจาตามคณุ ลกั ษณะของพระเจาผทู รงสูงสุด” กลา วคือยังจําเปน ตอ ง อธบิ ายใหกระจาง เพราะการถอื วา สงิ่ อ่ืนเขามาอยใู นลกั ษณะตางๆ ของพระองคน ั้น ตองแบง ออกเปนสองประเภท ประเภทที่หนงึ่ : โดยอาศยั ความเขา ใจที่วา สภาพของบคุ คลน้ัน มีความเปนอิสระในการ กระทําและประกอบการงานของพวกเขาเอง นคี่ ือประเภททีเ่ ปนการตั้งภาคี และนาํ เขา ไปสูฐานะ ของพระเจา ซงึ่ การยอมรบั ตอ สง่ิ น้ัน คือการอิบาดะฮ ประการท่สี อง : ความเชอ่ื วา ผุน้ันไดรับอํานาจของพระองคเ ขาไปโดยการอนุมัติของ พระองค ดังนั้นเราจะยอมรบั วา มันเปนความผิดไมได และการเช่อื ถอื ตอเรอ่ื งน้นั ก็มิใชเปนการตัง้ ภาคี การขอความชว ยเหลือก็มใิ ชเ ปน การอบิ าดะฮ ลองมาพิจารณาดูเถดิ วา อลั -กรุ อานไดยนื ยันถึง มะลาอกิ ะฮ บรหิ ารกิจการตางๆ ของโลกอยางไรบาง : “ดังนั้น สําหรับบรรดา (มะลาอิกะฮ) ทีเ่ ปน ผบู รหิ ารกิจการงาน” (อันนาซอิ าด-๖) แนน อนพวกเขาเหลานัน้ คอื ผทู ถ่ี อดวิญญาณและใหความพนิ าศเกดิ ขึ้นแกประชาชาตติ า งๆ ทท่ี รยศดงั ทอี่ ัล-กุรอานไดกลา วถึงถอ ยคําของพวกมะลาอิกะฮเ องทีว่ า : “แทจริงเราไดถกู สง มายังพวกพอ งของลฏู ... “ดงั น้ันเม่ือคาํ ส่ังของเราไดม าถงึ เรากไ็ ดบันดาลใหส วนทอ่ี ยุส งู ของเมืองเปน สวนที่อยตู ํา่ และเราไดใหฝ นเทลงมา” (ฮูด-๗๐-๘๒) กลาวคือ แนน อนทสี่ ุด เราสงั เกตอยางเห็นไดชัดเลยทีเดียววา อลั ลอฮคอื ผุทรงบันดาล แตผ ุ ที่ทําใหเกิดความพนิ าศในทนั ใดนัน้ ไดแ ก พวกมะลาอกิ ะฮ ดังนัน้ จงึ ไมม ที างเลี่ยงไดอกี ไมว า จะ ดวยเปล่ยี นคาํ พูดจากคาํ วา เปน การรับพลังของอัลลอฮเขา มา ออกไปโดยใชค ําวา เปนการมอบ อํานาจให เขา มาแทน กย็ งั ไมทําใหถอื วา กจิ การตา งๆ ทเ่ี กิดขึ้น เปน เร่อื งท่ีอยนู อกเหนือการบญั ชา การอนุมตั แิ ละเจตนารมณข องอัลลอฮได สวนกรณที ีอ่ างวา พวกงมงายมคี วามเชอื่ ถอื ในความเปน จริงแหง พระเจาตา งๆ ของพวกเขา วา “ความปลอดภัยของพวกเขาเปนจริงไดกโ็ ดยการมีพวกมนั เปนส่อื เขาขอใหไ ดรบั คณุ และให หางจากเภทภยั กโ็ ดยอาศยั การขออนุเคราะหความชว ยเหลือตอพวกมัน” นัน้ ยงั เปนการใหทัศนะท่ี

ไมพ นไปจากความบกพรอ ง (๑) กลา วคือ ถาหากหมายถึงวา คณุ ประโยชนแ หงวันปรโลกและการหา งไกลจากเภทภัยแหง วันปรโลก เปนเรอ่ื งที่ไมอนุญาตใหขอตอผูอืน่ นอกจากอัลลอฮและการกระทาํ ดงั กลาวโตแยง ไว อยางชดั เจน ในขณะทีไ่ มเปนขอ สงสยั เลยวา การวงิ วอนขอที่ทา นศาสนทตู กระทาํ เพ่ือคนทีบ่ ริจาค ซะกาตนัน้ ยืนยนั ถงึ ความสงบสขุ สาํ หรับพวกเขา และเปน สิง่ ที่ลบลา งภัยพบิ ตั อิ อกไปจากพวกเขา ดงั โองการของพระองคท วี่ า : “และเจา จงวงิ วอนขอใหแ กพ วกเขาเถิด แทจ ริงการวงิ วอนขอของเจา จะเปนความสงบสขุ แกพ วกเขา” เชนเดยี วกันกับท่วี า การขออภัยโทษโดยทา นศาสนทตู กย็ ืนยันถึงการไดรับ การอภยั ใน ความผิดความบาป ตามท่ีพระองคทรงมีโองการวา “และถา หากพวกเขาไดอ ธรรมแกต ัวของพวกเขาเอง แลว มายงั เจา และขอใหเจาขออภยั ตอ อลั ลอฮให และศาสนทูตกไ็ ดข ออภยั แกพ วกเขา แนนอนท่ีสุดพวกเขาจักไดพบวา อัลลอฮทรงรบั การสารภาพ ทรงเมตตาย่งิ เสมอ” (อัน-นิซาอ- ๖๔) เชนเดยี วกับการวิงวอนขอของนบยี ะอก ูบทีเ่ ปน ส่ิงยืนยนั ถึงการอภัยในความผดิ บาปของ ลูกๆ ของทา น โดยพวกเขากลาววา : โอบ ดิ าขา โปรดขออภัยใหแกเราซงึ่ ความผิดบาปของเราดวย เถดิ ” แลว ทา นนบยี ะอกบู (ความสันตพิ งึ มีแดทาน) ก็ไดตอบพวกเขา โดยกลา ววา : “ฉนั จะขออภัยโทษตอ พระผูอภิบาลของฉันใหแ กพวกเจา ” (ยซู ุฟ-๙๘) (๑) ถา หากชาวอาหรับยคุ งมงายมเี พียงแคข อใหห างไกลจากเภทภัยโดยอาศยั การอนเุ คราะหค วาม ชว ยเหลือของพวกเจวด็ เทาน้ี หมายถงึ วาพวกเขามีความเช่อื ในสภาพความเปน พระเจา ของเจวด็ และพวกเขาถกู จัดวา เปนพวกต้งั ภาคเี พราะสาเหตุนเ้ี ทา น้นั เองแลว จะมขี อแตกตา งอะไรกันนัก ระหวา ง : ๑. การขอใหห า งจากเภทภยั และขออนุเคราะหค วามชว ยเหลือ ในกรณีท่ีขอกบั บาวผูทรง เกียรติซึง่ ใหการอนเุ คราะหไ ดโดยการอนุมตั ขิ องพระองค หรอื วา ทเี่ ปน การตัง้ ภาคีนนั้ หมายถงึ : ๒. เชือ่ วา เปน พระเจา ทีไ่ ดร ับการเคารพ และมอี สิ ระในการกระทาํ ของตน ท้ังนี้โดยไมตอ งจําแนกวา เปนเร่อื งของ “เภทภัยแหง โลกนี้” หรอื “ปรโลก” ที่อนุญาตไดน ้ันคือประเภทแรก และทไ่ี มอนุญาต เด็ดขาดคอื ประเภททีส่ อง และสําหรับคาํ อธบิ ายของทา นอสุ ตาซเมาดดู ยี ท ี่ช้แี จงถงึ ความเช่ือถอื ของ ผูขอทม่ี ตี อความเปนจรงิ ของผูถูกขอวา สามารถใหคุณและสะกัดก้ันเภทภยั ไดนั้น จาํ เปน จะตอง พจิ ารณาอกี ดว ยวาเขาไดเช่อื ถอื ในความเปน พระเจา ผูถูกขอ และความเปนอสิ ระในการใหค ุณ และ สะกัดก้นั เภทภัยดว ยหรือไม? หรือวาเขาเชอ่ื ในความเปนบาวของผนู ัน้ และเขาใหค ุณ หรือปด กั้น เภทภัยกไ็ มได นอกจากโดยอนุมตั ิของพระองคจาํ เปน ท่จี ะตองพิจารณาในแงน้ี มใิ ชพ จิ ารณาในแง ขอแตกตา งระหวาง “เภทภยั แหง โลกนี้” กับ “เภทภัยแหง ปรโลก”

นน่ั หมายความวา ทา นเปน ผูเ ปด เผยใหเ ห็นถงึ ความเปน ไปไดสําหรบั การขออภัยโทษของ ทา น กลา วคือ ถา มฉิ ะน้ันแลว ทา นจะไมสญั ญากบั พวกลูกๆ เชน น้ัน และดงั กลาวนี้ก็แสดงวา อนุญาตใหข อรองจากศาสนทูตเพื่อใหท า นวิงวอนขอและขอการอภยั โทษให และใหขอสิ่งท่ยี งั ประโยชนในวันปกโลกได ทา นคิดวา จะมคี ณุ ประโยชนอ ันใดท่สี ําคัญกอ นคณุ ประโยชนแหง วนั ปรโลกและการ สะกดั กน้ั เภทภัยอะไรอกี ท่ีสําคัญย่ิงไปกวา การสะกดั กั้นเภทภัยแหงการลงโทษของอัลลอฮดว ยการ วงิ วอนขอของทา นนบี? และถาใครคนใดก็ตามไดขอความชว ยเหลอื จากศาสนทตู วา ใหว งิ วอนขอ และขออภัยโทษใหแกเ ขาเพื่อใหไดคุณประโยชนอ ยางนี้เขาก็ยงั ไมเปนผตู ง้ั ภาคี และยงั ไมเปนบาว ของนบีแตอ ยา งใดเลย ยังจะมีบทเรยี นท่ีชัดเจนยิ่งไปกวานีอ้ กี หรือที่ทําใหถ อื วา ความเชอื่ มั่นตอ คณุ านุภาพของน บีและของวะลีในแงทีส่ ามารถสะกัดกั้นเภทภัยและอาํ นวยคณุ ประโยชนแหง วันปรโลกน้ัน หมายถึง การตงั้ ภาคี ในขณะที่อลั -กุรอานไดยืนยนั อยา งเปดเผย ดวยสุรเสยี งท่ีชัดเจนเหนอื หลักฐานใดๆ ถงึ เรื่องนี้อยูแลว ถาหากคาํ วา สง่ิ ใหค ุณและเปนเภทภัยตามคาํ อธิบายของทานมันหมายถึงส่ิงใหค ณุ และเปน เภทภยั ในสวนของโลกน้ี และถือวา การขอความชวยเหลอื ในเรอ่ื งทง้ั สอง หมายถวึ การตง้ั ภาคแี ลว ก็ เทา กับวา อลั -กรุ อานไดย อมรับถงึ เรื่องนี้ไวในโองการตา งๆ มากมายเชน กัน กลาวคอื พวกของทา นนบีมูซา (ความสนั ติสุขพงึ มีแดท าน) ไดขอนํา้ จากทา น ในขณะท่ี พวกเขาพลัดหลงกลางทะเลทราย จะเหน็ ไดวาพวกเขาขอความชว ยเหลือจากทานในส่ิงที่ยัง ประโยชนแ หงโลกน้ี โดยท่ีทา นนบมี ซู ากม็ ิไดยบั ยง้ั พวกเขายิ่งไปกวา นั้น ทา นยังไดข อน้ํา จากอัลลอฮใหแกพวกของทา นในทันที อลั -กรุ อานไดช้ีแจงถึงเรอ่ื งน้ี โดยกลาววา : “แลวเม่อื มซู าไดข อน้าํ ใหแกพวกของเขา...” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๖๐) เชน เดยี วกบั ที่พวกเขาเหลา นนั้ ไดว ิงวอนขอความชว ยเหลอื จากทาน วา ใหม ีความโปรด ปรานตางๆ ถกู ประทานมาจากฟากฟา ซ่ึงทานกม็ ไิ ดห า มพวกเขาวา อยา ขอเรือ่ งนี้ หากแตท า นยงั ได วิงวอนขอใหแกพ วกเขา แนน อนยงิ่ วงศวานของฟร อาวนไดขอความชวยเหลือจากทา นวา ใหช วยถอดถอนภัยพิบัติ ออกไปจากพวกเขา (ภยั พิบัติทางโลกท่มี กี ลาวไวใ นโองการกอ น) วา : “และเมอ่ื การลงโทษไดอุบัติข้ึนแกพวกเขา พวกเขาก็กลาววา โอมซู าทา นจงวงิ วอนขอจาก พระผอู ภบิ าลของทานเพื่อพวกเราเถดิ ตามทพี่ ระองคทรงสญั ญาไวก บั ทาน แนนอนถาหากทา น ปลดเปลอ้ื งโทษทัณฑใหพน ไปจากเราไดแลวเราจะศรัทธากับทา นอยา งแนนอน และเราจะยอมสง พวกบะนอี ิสรอเอลใหแ กท า น”

(อลั อะอร อฟ-๑๓๔) ดังน้ัน ทุกอยางเหลา นี้ ลว นใหเ หตผุ ลวา การขอใหไดร บั คุณ และการขอใหส ะกัดกน้ั เภทภยั ในสวนของโลกนจี้ ากผูอนื่ โดยอนุมัตขิ องอลั ลอฮ กเ็ ปนท่ีอนุญาตใหกระทาํ ไดเชน กัน ในขณะทีถ่ า หากมิใชเ ชนน้นั แลว แนน อนทานนบีจะตองยบั ยงั้ และลําทับพวกเขาเหลา นน้ั ไปแลว ใน ทุกๆ ประเด็นสาํ หรบั การขอเหลา น้แี ละทา นจะตอ งใหการพจิ ารณาของพวกเขามุงไปยังอัลลอฮ เพ่อื ใหพวกเขาขอตอ พระองคโดยตรง มิใชว า จะมาขอ และวิงวอนความชว ยเหลือในเรื่องน้ีจากทาน ในขณะทที่ านเปนส่งิ ถูกสรา งส่ิงหนึ่งมาจากอัลลอฮ และเปนบา วคนหน่ึงจากบรรดาบา วของ พระองคเ ทา นน้ั ไมเปน ที่นาสงั สยั เลยวา สําหรับทา นนบมี ซู าน้นั มีการไดรับในสวนของการอาํ นวย คุณประโยชนและสะกัดก้ันเภทภัยแหงโลกนี้ดว ยเชน กัน จงึ จาํ เปน สําหรบั ทานอสุ ตาซเมาดูดยี ท จ่ี ะตองนําคาํ อธบิ ายของทานทห่ี า มมิใหขอในสิ่งทย่ี ัง คณุ ประโยชนและขอการสะกดั กั้นเภทภัย มาเชือ่ มติดกับคําอธิบายของเราตอไปดว ย นั่นคือ : โดย ถอื วา มคี วามเปนอสิ ระและคณุ นภุ าพอืน่ ๆ จนถึงกับวา สง่ิ ถูกขอ มคี วามเปน อสิ ระในเร่อื งนน้ั ๆ คาํ อธิบายโดยสรุปก็คือ ทางแกไ ขปญ หานีก้ ค็ อื เราจะตอ งแยกแยะออกจากกนั ระหวา ง ความเชือ่ ในอํานาจที่เชือ่ มโยงไปยงั เจตนารมณข องอลั ลอฮ, การอนุมตั ขิ องพระองค, ตลอดท้ัง เจตนารมณของพระองค, กบั ความเชอ่ื ในอาํ นาจทม่ี คี วามอิสระ, และจะตองไมนําท้งั สองประเด็น เขามาอธบิ ายปะปนกนั

สรุป ทัศนะตา งๆ ทมี่ ใี นเร่ืองการสําแดงมุอญ ชิ าต (อภินหิ าร) จากบาวของอลั ลอฮน้ันหนีไมพ น ไปจากส่ที ัสนะดงั ตอ ไปนี้ ๑- มันมิไดเปนเร่อื งของความเกนิ เลยและความมอี าํ นาจอนั เหลือลนมาจากสภาพของพวก เขาเองในฐานะของผูมคี วามอิสระในงานสรา ง, งานบนั ดาล, งานใหช วี ติ , และใหมีความตาย ๒- แทจริงอัลลอฮ ทรงบันดาลเร่อื งราวเหลานั้น โดยเกี่ยวพันกับความประสงคข องพวกเขา สองทัศนะนี้ เราไดอ ธบิ ายผา นไปแลว ในเรอ่ื งที่เกยี่ วกบั การมอบอํานาจเดด็ ขาดให ๓- โองการตา งๆ ไดแสดงเปนหลักฐานใหแกเราวา การกระทําน้นั ๆ เปน เรอ่ื งของพวกเขา (บรรดานบ-ี อ-) โดยการอนมุ ตั ิของอัลลอฮ และโดยการกําหนดใหข องพระองค ๔- ทศั นะท่ีวาดวยเรื่องของการควบคมุ เอาไวในอํานาจ ซง่ึ มรี ายงานฮะดษี กลาวถงึ ไว นอกเหนือจากทีเ่ ราไดช ี้แจงไปแลว และทงั้ สามทัศนะหลังไมขดั แยง กันเลย กลาวคอื ไมมปี ระเด็น ใดที่เขา กันไมได ทศั นะหลงั สุดนี้ มีหลกั เกณฑเ ปน พื้นฐานอยกู ับเร่ือง ความมอี ยูของความรสู กึ และความ เขา ใจในทุกสรรพสงิ่ ทีม่ ีอยู ซ่ึงเรอื่ งนี้เราอธบิ ายไปแลว อยา งชัดเจนในภาคทสี่ าม สําหรบั เร่อื งนี้ ก็คือการท่ีส่งิ ตางๆ ในจักรวาลทําตามคาํ สง่ั ของทา นนบีในเมอื่ ทานไดบัญชา ส่ิงใดไป และมีโองการของพระองคส นับสนุนเร่อื งนเ้ี อาไว คือ : “แลวเราไดบ ันดาลใหล มอํานวยประโยชนแ กเ ขา มนั จะเคลอ่ื นไปตามการบัญชาของเขา อยา งเรียบรอย ไมวาเขาจะมงุ ไปทางใด” (ศอด-๓๖)

๒- ความเปนไปโดยปกตวิ ิสัยและเหนือปกตวิ สิ ยั ของเหตกุ ารณอยุในขา ยของหลกั เอกภาพและการ ตัง้ ภาคีกระนนั้ หรือ? พวกศูฟยและพวกตะรอวิชไดม ที ัศนะตอ บรรดาหัวหนาและผูอ าวโุ สแหง แนวทางของพวก เขาเลยเถิดไปจนเขา ขา ยของการตง้ั ภาคอี ยา งเหน็ ไดช ัด ดวยเหตุนี้พวกเขาจึงทาํ ลายขอบเขตของหลัก เอกภาพและการตัง้ ภาคีอีกท้งั ยังไดเ อาหลกั เกณฑของทัง้ สองอยางมาทาํ ใหเ ขา กัน แรกเรมิ่ เดมิ ทีของ เรื่องน้ีเกิดขนึ้ มาจากบทกวที ปี่ ระพนั ธข ึ้นมาเทิดทูนบรรพชนของพวกเขา โดยท่เี ต็มไปดว ยกลิ่นไอ ของการต้งั ภาคีอยา งสดุ เหลือที่จะกลาว เหลา น้ันคอื บทกวีทไ่ี มเ ขากันกับพืน้ ฐานตามความเปน จรงิ (ของหลกั เอกภาพตามความหมายของอลั -กุรอาน) ถงึ แมพวกเขาบางคนพยายามทีจ่ ะพสิ ูจนวาบทกวี และคาํ กกลอนตา งๆ เหลา นั้นเปน เรื่องทีอ่ ยนู อกเหนอื เรื่องการต้งั ภาคี แตความจริงกไ็ ดพิสูจนให เหน็ วา ไมส มควรและไมอนญุ าตใหผ ูอยูในหลักเอกภาพเปลงคาํ พดู ใดๆ ก็ตามท่ีไมเ ขา กนั กบั หลัก เอกภาพของอสิ ลามตามความหมายของอลั -กรุ อานออกมาเลยเปน อนั ขาด โดยแนน อนย่ิง ทศั นะของคนพวกนท้ี ี่มตี อความหมายของการตงั้ ภาคนี ัน้ เปน ทศั นะท่ี จาํ เพาะและปลกี ยอยมาก จนถึงกับวา ไดจาํ กดั ความใหเรอื่ งการตงั้ ภาคที แ่ี นน อนประเภทตา งๆ สวนมาก เปน เร่ืองของหลักเอกภาพไปเสยี ?? ดวยเหตนุ ้พี วกเขาจงึ จาํ กดั ขอบเขตท่ีเปนแวดวงของ การต้ังภาคใี หม ันแคบลงจนสดุ เหลอื ทีจ่ ะแคบ?? ในทางตรงกนั ขา มกับคนพวกนี้อยางสิ้นเชิงกไ็ ดแ กพวกวะฮาบีย กลา วคอื พวกเขาขยาย ขอบเขตความหมายท่แี ทจ รงิ ของเรอื่ งการต้ังภาคใี หก วา งออกไปจนแทบจะถือไดวา ทุกๆ อริ ยิ าบถ ของการเคลื่อนไหวและหยุดนง่ิ อีกทง้ั การแสดงออกทุกอยา งจากพวกทถ่ี ือในหลักเอกภาพอนั มตี อ บรรดาผมู เี กียรตสิ ูงแหงอัลลอฮ (เอาลยิ าอลุ ลอฮ) ท่มี ีจุดมุงหมายไปในแงข องการใหเกยี รติ, นอบ นอ ม ลวนแตเปนเรอ่ื งท่ีพวกวะฮาบยี ถ ือวา เปน การตงั้ ภาคีและออกนอกขอบขายของหลักเอกภาพ ทัง้ ส้ิน?? พวกเขาเรยี กคนทกี่ ระทาํ ส่งิ เหลาน้นั วา ผูตง้ั ภาคี (มชุ รกิ ) จนถึงกับวาขา พเจาไดพ บกับสิ่ง เหลา น้ีดวยตัวเอง นนั่ คือในวนั หนง่ึ ที่มัสยิด อัล-ฮะรอม ขา พเจา ไดแ สดงความคารวะเพอ่ื เปนเกียรติ แกผ ูทรงคุณวุฒิคนหน่ึงท่ีมี “ลักษณะของความเปน ผสู ง่ั สอนคนใหกระทาํ ความดี” ดว ยการกมศรี ษะ ใหเน่ืองในการพบปะคราวนัน้ แตแ ลว ชายคนน้ันกลบั พดู ดวยลักษณะทจี่ รงิ จงั และเสยี งดังฟงชัดวา : “คณุ อยา ทาํ อยา งน้ัน น่ันมันเปนชริ ก (การตง้ั ภาค)ี เปนสิ่งตองหาม...คณุ อยา กม ศีรษะให เพราะมนั เปนชริ ก !! ความจรงิ แลว ถา หากความหมายของการตง้ั ภาคีและหลกั เอกภาพเปน เหมือนอยางกับที่ พวกวะฮาบยี ใหท ศั นะและกลา วไว ก็เปน อันวาทง้ั ใตน ภาและหนาแผน ดนิ น้ี เราไมอาจจดั ใครสัก คนขน้ึ มาใหเ ปน ผูอยใู นหลกั เอกภาพไดเลย และจะไมมใี ครเลยแมแตคนเดียวที่จะถูกจัดวามี คุณสมบัติอนั น้ันไดอ ยางแนน อน...

แนน อนทส่ี ดุ เพอ่ื นคนหน่งึ ของขาพเจาทเ่ี ปน คนซอื่ สัตยมากไดเ ลา ใหฟงวา อมิ าม มสั ยิด อัล-นะบะวียไ ดกลา วคาํ ปราศรัยในคุฏบะฮวา : ชยั ค อบั ดุลอะซีซไดกลาวถงึ ขอบเขตของการต้ังภาคี วา : “ทกุ ส่ิงทุกอยางทส่ี ัมพันธกับส่งิ อ่นื อันนอกเหนือไปจากอัลลอฮ ลว นเปนการต้ังภาคี ท้งั ส้ิน”... ขาพเจา ขอกลาววา : ถาความหมายของการตั้งภาคี เปนไปอยา งที่คนนี้พดู แลวละก็ แนน อน ทีส่ ดุ เราจะตองถอื วา มนษุ ยท กุ คนทีเ่ กดิ มาในโลกน้ี ลวนเปนผูต ัง้ ภาคี โดยไมมกี ารยกเวน แมแ ต พวกวะฮาบยี เ อง เพราะพวกเขาประกอบกจิ การงานตางๆ ท่จี าํ เปน ไดสําเรจ็ อยา งแทจ ริงกโ็ ดยอาศัย การสัมพันธแ ละการติดตอ กับส่งิ ท่ีเปน ตน เหตุประเภทตา งๆ ทัง้ สิน้ โดยไมอ าจจะกลา วไดวา ตนเหตุตา งๆ และสาเหตหุ ลักเหลาน้ันคืออัลลอฮ หากแตมันหมายถงึ สิ่งท่นี อกเหนอื จากอัลลอฮเมือ่ เปน เชน น้ี จึงสรปุ ไดว า พวกเขามีความสมั พนั ธแ ละการติดตอกบั ตนเหตุและสง่ิ ตา งๆ ทเี ปนสาเหตุ หลกั ท่ีนอกเหนือไปจากอัลลอฮ และเปนการสัมพันธก ับส่งิ อนื่ ที่นอกเหนอื จากพระองค... ในขณะเดียวกับท่วี า ความสมั พันธและการตดิ ตอตา งๆ เหลาน้มี ิไดเปนแตเพียง การไมตงั้ ภาคีเทา นั้น หากแตย งั เปนเนื้อหาของหลกั เอกภาพอันลึกซ้งึ อีกดว ย เพราะชีวติ ของมนุษยในโลกน้ี ยอมขน้ึ อยกู ับสาเหตุหลกั และสงิ่ ตางๆ ทีเ่ ปน ตนเหตุทง้ั ส้ิน ประเด็นสําคญั ทส่ี ดุ อยูตรงท่ีวา เขาจะตองไมเชอ่ื ถือวา ตน เหตตุ า งๆ และสาเหตหุ ลักเหลา นี้ มีความเปนอสิ ระใดๆ แกตวั เองและแยกตวั ออกไปตา งหากจากเจตนารมณของพระผูเปน เจาผทุ รง สงู สุด หากแตจําเปน ทเ่ี ขาจะตอ งเชอ่ื ถอื วา ผลลัพธข องมันทเี่ กิดขึ้นมานัน้ เปนไปตามเจตนารมณ ของพระองคท้ังสน้ิ ใชแลวสําหรบั ประเดน็ ท่ีวา ความสมั พันธก บั สิง่ ตา งๆ ท่ีเปน ตน เหตุและทีเ่ ปน สาเหตหุ ลกั ประเภททเ่ี ปน วัตถุอยางเปดเผยนั้น มันเปนเนื้อหาในเรือ่ งหลกั เอกภาพดา นหนึง่ และเปน เนอ้ื หาในเร่อื งการต้ังภาคอี ีกดา นหน่งึ กลาวคอื ตราบใดทเ่ี รามไิ ดเ ชอ่ื ถือ...วา สิง่ ตา งๆ ทเ่ี ปนตน เหตุ เหลานมี้ คี วามเปนอสิ ระแกตัวของมันเอง (ในขณะทเี่ รามกี ารการตดิ ตอ กับมัน) และเรากม็ ไิ ดถอื วา ผลลัพธอ ันเกิดขึ้นมาจากมนั อยใู นสภาพทีพ่ น ไปจากเจตนารมณของพระผูเ ปน เจา หากแตเราเชือ่ ม่ัน วา มันอยูในประเภทที่เชื่อมโยงอยูกับความประสงคของอัลลอฮ ตราบน้ันเรากย็ งั ไมออกไปจาก กรอบของหลักเอกภาพ ในเร่ืองความเชอ่ื สาํ หรบั หลักเอกภาพยอมจะไมม สี ่งิ ใดเปนพ้ืนฐานรองรับได นอกจาก ความเช่ือถือเชนนแี้ ละดําเนนิ ไปตามครรลองน้ี สว นในกรณที ่ีหากเรามคี วามเห็นวา สงิ่ ท่ีเปน ตนเหตแุ ละสาเหตหุ ลกั ตา งๆ เหลา น้ีมีความ เปนอิสระแกตัวของมนั เอง และเชอ่ื ถือวา ความเปนไปแหงผลลัพธของมันเปน เรือ่ งที่อยุนอกเหนอื เจตนารมณของพระผุเปนเจา โดยไมข ึ้นอยูกบั ความประสงคของพระผเู ปน เจา กเ็ ปนอนั วา ในความ เชอ่ื ถือลักษณะน้นี ี่เอง ทเ่ี ราจะเปนผุท่เี ช่อื มน่ั ตอ ผูสรา งหลายองค...

เปนอนั วา ผยุ ดึ มน่ั ในหลักเอกภาพจะตอ งรักษาความเช่อื ถอื ท่ีวา ในปรากฎการณต างๆ ของ ธรรมชาติน้นั มีกฎเกณฑค วบคุม (ความเปน ไปบของสง่ิ ทเี่ ปนตนเหตแุ ละสาเหตุหลกั ) อยแู ละตอ ง เชื่อถือวา สิง่ ทเี่ ปน ตนเหตุและสาเหตหุ ลักเหลาน้ี ไมม ีอํานาจอสิ ระในการทาํ ใหเกิดผลลัพธใ ดๆ ท่ี เดด็ ขาดได หากแตม ันหมายถงึ สิ่งทข่ี ้นึ อยูกับอัลลอฮ ในการเกดิ ผลลัพธข องมัน เชนเดยี วกับในแง การมอี ยุและการดาํ รงอยขู องมันนั่นเอง ผุท อ่ี ยูในหลักเอกภาพนนั้ ถึงแมเ ขาจะยอมรบั วา ชวี ติ นี้ จะตอ งดาํ เนนิ ไปตามพืน้ ฐานทว่ี า เปน ผูจํานนอยูกับกฎเกณฑแ หง ความเปนไปของสงิ่ ท่เี ปนสาเหตุก็ตามที แตอ ยางไรกด็ ี เขาก็ยัง พจิ ารณาตอ ไปอกี วา ส่งิ ทีเ่ ปน สาเหตเุ หลาน้ีอยูใ นพน้ื ฐานที่วา การมอี ยูของมนั กด็ ี การคงอยูของมนั ก็ดี การเกดิ ผลลัพธของมันก็ดลี วนเปนเร่ืองท่ีมาจากอัลลอฮทงั้ สิน้ กลา วคอื ปฐมบทแหงเหตทุ ั้งปวงคอื อัลลอฮ สวนสง่ิ อนื่ ๆ ท่เี ปนเหตุ คอื สรรพส่งิ ท่ถี ูกสราง ของพระองค เปน ส่งิ ท่ียอมจาํ นนอยกู บั เจตนารมณ โดยเปน ไปตามครรลองแหงความประสงคข อง พระองค อันมิไดขัดขืนแตป ระการใดเลย แทจ ริง ขอแตกตางขั้นพนื้ ฐานระหวา ง ผูยึดถอื ในหลกั เอกภาพกบั นักวตั ถนุ ิยม น้ันมีแฝงอยู ในเร่อื งน้ี กลา วคอื ฝา ยท่สี องเชอ่ื ถอื วา “วตั ถุเปนพ้ืนฐานหลักสาํ หรับสงิ่ ทเ่ี ปน ตนเหตุและมันมอี ิสระ ในการทําใหเกิดผลลัพธ” ในขณะท่ผี ูยึดมั่นตอหลักเอกภาพเชือ่ ถือวา มนั เปน เรื่องของอัลลอฮ ผุ สรางสรรพสิง่ พรอ มๆ กบั ที่วา เขายอมรบั ตอกฎเกณฑแ หงความเปน ไปของสิง่ ท่ีเปน เหตซุ ึง่ เปนกฎ ควบคุมจกั รวาลนอ้ี ยู ขอพิสูจนจากอลั -กรุ อาน การพจิ ารณาในหวั ขอ เรือ่ งความเปนอิระ และความไมเ ปนอสิ ระของสิ่งที่เปน สาเหตุแหง กฎธรรมชาตทิ างดานวตั ถุ คอื สิ่งทีจ่ ะแบง แยกระหวางหลกั เอกภาพกับการต้ังภาคี และเรื่องน้จี ะ สามารถแยกแยะคนท่อี ยูในหลักเอกภาพออกไปจากคนต้ังภาคีไดอยา งชดั เจน สาํ หรับความจรงิ ใน เรือ่ งน้ีอลั -กุรอานอันทรงเกยี รตไิ ดชแี้ จงไวในโองการตา งๆ มากมาย กลา วคอื มีคนอยูพวกหน่งึ เม่ือ ถึงคราวท่ีพวกเขาประสบกับปญ หาใดๆ ทเี่ กดิ ขึ้นจนหมดหนทางแกไ ข พวกเขาก็จะยอมรับเอา ความหายนะตา งๆ เหลานน้ั โดยถอื วา เปนเรอ่ื งท่ขี ้ึนอยูกับอัลลอฮ มอบหมายยังอลั ลอฮ และจะไม พจิ ารณาไปยังสิง่ อน่ื ที่นอกเหนือจากอัลลอฮ ดว ยความจาํ ยอมและความบริสุทธิใ์ จ ครน้ั พอเขาไดรบั ความปลอดภัย ก็หวลกลับไปสูส ภาพของผตู ้งั ภาคีอกี คร้งั หนง่ึ และน่คี ือสภาพความเปน ไปของคน พวกน้ี ซง่ึ ในอัล-กรุ อานมอี ยหู ลายโองการทเี ดียวทชี่ ี้แจงเก่ียวกับสภาพอยางนี้ ซึ่งเราจะกลาวถึงใน บางสว น ในกรณีที่เปน หวั ขอ สําคญั สาํ หรับการทจ่ี ะทาํ ใหเ ราเขา ใจวา อะไรคือความหมายของการ ตงั้ ภาคีตามท่ีไดรับการกลา วถึงไวในโองการตา งๆ เหลา นี้ เราขอใหทา นไดพจิ ารณาประเด็นตางๆ ของโองการตอไปนี้ :

“และเมื่อเภทภยั หนึ่งๆ ไดส ัมผัสมนุษย พวกเขากว็ งิ วอนขอตอพระผูอภบิ าลของพวกเขา โดยมีจติ นอมกลบั สูพระองค แตแ ลว เม่ือพระองคใ หพวกเขาล้ิมรสความเมตตาจากพระองค ขณะน้ันกจ็ ะมีกลมุ หนง่ึ จากพวกเขาทําการตัง้ ภาคตี อพระผุอ ภบิ าลของพวกเขา” (อัรรมู -33) “ครนั้ เม่ือพวกเขาไดข ่เี รอื อยู พวกเขากว็ ิงวอนขอตอ อลั ลอฮโดยเปนผูบรสิ ุทธใิ์ จนอบนอม ตอพระองค คร้นั พอพระองคไ ดใหพวกเขาปลอดภยั จนถงึ บนบกพลนั พวกเขาก็ต้ังภาค”ี (อัล-องั กะบตู -๖๕) “จงกลาวเถดิ อลั ลอฮไดทําใหสูเจา ปลอดภัยจากสงิ่ เหลา นัน้ และจากทกุ ขภัยทกุ ประการ หลงั จากน้นั สูเจา กต็ ัง้ ภาค”ี (อลั -อันอาม-๖๔) “หลงั จากน้ัน เม่ือพระองคท รงถอดถอนเอาเภทภัยออกไปจากสูเจา แลว ขณะน้นั ก็จะมีกลุม หนึ่งจากพวกสูเจา ทีต่ ง้ั ภาคตี อ พระผอู ภิบาลของพวกเขา” (อัน-นะฮัล-๕๔) นีค่ ือบางโองการท่ีระบุถึงความเปน ไปในแงนี้ ความหมายท่ีเปนตัวบังคับท่อี ยใู นรปู ของ ประโยคกค็ อื “ขณะนั้นเองพวกเขาก็ตัง้ ภาค”ี แทจริง ความหมายของการตงั้ ภาคใี นโองการน้ี มไิ ดห มายความแตเ พียงวา เม่อื คนเหลานั้น ขน้ึ ไปถึงบนบก หรอื ไดร ับความปลอดภยั แลว พวกเขาจะกมกราบกรานเจวด็ กนั เลย แตวา ความหมายที่แทจรงิ จะตองกวา งออกไปกวาน้ี กลาวคือเมื่อพวกเขาไดรับความปลอดภยั แลว กก็ ลบั กลายเปนลมื เหตกุ ารณในคร้ังกอนและมอบหมายเรือ่ งท้ังหมดไปใหแกส าเหตตุ า งๆ ตามวิสยั ของ วัตถุ โดยคิดวา สง่ิ ตางๆ เหลานน้ั เปนสาเหตหุ ลักที่มีอิสระในการยืดชีวิตพวกเขาใหด ํารงอยโู ดยมิได คํานึงวา มันเปน การสนับสนุนมาจากอลั ลอฮ และเปนผพุ ิจารณาไปยังส่ิงเหลา น้ันวา มนั คือเหตทุ ่ี เปน ไปอยางมคี วามอิสระ โดยไมมสี วนพาดพิงไปยังอลั ลอฮเลย ไมต องสงสยั เลยวา การพจิ ารณา วา มันเปน เรื่องของสาเหตทุ ่เี กิดมาจากธรรมชาติลวนๆ อนั หมายถงึ ความเปน อิสระในตัวของมันเอง นั้น คือการตัง้ ภาคอี ยางหน่งึ เชน กัน ท่าํ จาํ เปน ตองหลีกเล่ยี ง และมนั คือจดุ ทเ่ี ปนขอ จําแนกออกจาก กันระหวา งสํานกั ทางวิชาการท่ีเชือ่ ในพระเจา กบั สํานกั ทางวชิ าการแบบวัตถุนิยม และถาหากได นําโองการเลหน ้ีมาศึกษาเกย่ี วกับเรอื่ งการตง้ั ภาคีและหลักเอกภาพกันในเชิงวชิ าการแลว ก็จะเหน็ ไดวา อลั -กุรอานไดเ นนไวอยา งไรบางในแงท ว่ี า ในโลกนี้ไมม ีอํานาจของส่ิงอ่ืนใดอีกแลว ทีเ่ ปน อสิ ระออกไปจากอาํ นาจของพระผูเปนเจาและไมม เี จตนารมณข องผใู ดอกี ทส่ี ามารถขดั ขืน เจตนารมณอ นั น้นั ไดเลย ในเร่อื งนี้ยังชนี้ าํ ทานไปพจิ ารณาอีกวา อัล-กุรอานยืนยันวา พระองคผ ทู รงบรสิ ทุ ธค์ิ อื ผุนาํ ทางในทา มกลางความมืดของบนบกและทะเล พระองคคอื ผูสงลมที่รําเพยพักเอาความเมตตาและ หล่งั นาํ้ ฝนลงมา ดงั โองการทว่ี า :

“ยงั มผี ุใดอีกหรอื ที่นําทางสูเจาในทากลางความมืดตา งๆ ทัง้ บนบกและทะเลและผูท ส่ี ง ลาํ รําเพยพักเอาความเมตตาของพระองคม าประทานให ยงั จะมพี ระเจา ควบคกู ับอลั ลอฮกระน้นั หรอื ? อลั ลอฮทรงสูงสดุ พน ออกไปจากสงิ่ ตา งๆ ทพ่ี วกเขาตงั้ ภาค”ี (อนั นัมลุ-๖๓) พรอ มกับท่ีมนุษยยงั มแี ละเขาก็จะหนีไมพ นจากการแสวงหาประโยชนจ ากส่งิ ตา งๆ ทเี่ ปน ตนเหตุและปจ จยั ทง้ั หลายทางธรรมชาติเชน ดาว, เสน รงุ , เสนแวง ซงึ่ เขาใชส่ิงเหลา นน้ี ําทศิ ทาง อกี ทงั้ สิง่ อน่ื ๆ ทนี่ อกเหนอื จากเร่อื งเหลา นอ้ี นั ไดแกเ คร่อื งมือทางวทิ ยาศาสตรเทคโนโลยี ทใ่ี ชในการ เดินทางทง้ั ทางบกและทางทะเล สง่ิ เหลาน้ที ัง้ หมดหาใชอ ่นื ใดไม นอกจากแสดงใหเห็นวา ความ เปนไปแหง สาเหตหุ ลักนั้นมาจากอัลลอฮ ผุท รงความบรสิ ทุ ธิ์น่ันเอง เชน เดยี วกับที่วา ลมและฝน ในกฎธรรมชาตอิ นั นีม้ ันเกิดขน้ึ มาจากกระบวนการตางๆ ท่ี เปน ผลมาจากปฏิกริ ิยาของสาเหตุหลกั แหงระบบธรรมชาติทสี่ งผลออกมาใหป รากฏในรูปของลม หรอื นา้ํ ฝน แตอลั -กรุ อานกลาวกับเรือ่ งนวี้ า : “พระองคค ือผุซง่ึ ไดสง ลมรําเพยพดั มาเปน ความเมตตาของพระองค” (อลั -อะอร อฟ-๕๗) “พระองคคอื ผูทรงหลัง่ ฝนลงมาหลงั จากทพี่ วกเขาทอแท และไดทรงกระจายความเมตตา ของพระองค” (อัชชูรอ-๒๘) ท้งั หมดนี้มใิ ชเพราะเหตใุ ด นอกจากเปนเพราะวา อัลลอฮ ทรงอยเู บือ้ งหลังสาเหตหุ ลกั ตา งๆ เหลานน้ั และส่งิ เหลานน้ั ก็เปน ไปตามบญั ชาและการกําหนดของพระองค อาจกลาวไดอ กี นัยหนงึ่ วา สาเหตุหลักและตนเหตตุ า งๆ เหลาน้ี แทท่จี รงิ แลวมันหาไดมี ความเปนอิสระในตวั ของมนั เองไม มันไมม ีท้ังอาํ นาจในการดาํ รงอยูและในการสาํ แดงผลลัพธของ มันเองแตอ ยางใด หากแตมนั คือสิง่ ทถ่ี ูกสรา งมาทง้ั สิน้ ไมว า จะเปน การเคล่ือนท่ีไปของมนั และการ มีอยอู ยา งสมบูรณข องมนั และการเกดิ ผลลัพธข้ึนมาของมัน ลว นเปนของอัลลอฮท้ังสิน้ ดวยเหตุ นี้อัล-กุรอานจึงไดยืนยันวา พระองคทรงเปน ผูนาํ ทางทา มกลางความมดื ท้ังหลาย ทงั้ บนบกและใน ทะเลและทรงเปนผทุ ่สี งลมมา อกี ทง้ั เปน ผปู ระทานฝนมาใหห ลงั จากทพี่ วกเขาทอแท ความเปน จรงิ ตา งๆ เหลานี้ มรี ะบุไวอ ยา งชดั เจนท่ีสุดในโองการตา งๆ ของซเู ราฮ อัล-วา กอิ ะฮ สิ่งเหลาน้ี มไิ ดห มายความวา อัล-กุรอานปฏเิ สธกับส่ิงทเี่ ปนตน เหตุและสาเหตตุ า งๆ ทเ่ี ปน หลักในทางธรรมชาติ อกี ทัง้ มิไดป ฏเิ สธความมีอยู และพลังของมนั ตลอดจนมิไดปฏิเสธตอบทบาท ของมนั เลย หากแตม ันอยใู นประเดน็ ท่ีวา ตน เหตแุ ละสาเหตหุ ลักตา งๆ เหลา นี้ ไมมีอํานาจควบคมุ ตัว ของมันเองโดยอิสระแตอ ยางใด และมนั ขึน้ อยูกับอํานาจของอลั ลอฮ ท้ังความหมายในแงข องการ ผนั แปรและความหมายในแงข องสรรพนาม โดยเหตุท่วี า ถามนั ตดั ขาดออกไปจากเจตนารมณของ

พระองคแ ลว มนั จะเสียหายและจะพินาศส้นิ โลกกบั ทุกสง่ิ ท่มี องเห็นอยูกจ็ ะกลับกลายเปนความ มืดมนตมืดบอด ดว ยเหตุนศ้ี ิลปะในการอธบิ ายถึงปรากฏการณแหง ธรรมชาตจิ งึ มอี ยใุ นอลั -กรุ อาน โดยท่ใี นบางครั้งกอ็ ธิบายสรุปวา เปน เรื่องของอลั ลอฮ บางครั้งกอ็ ธบิ ายไปหาสาเหตุหลักตางๆ บางครัง้ กจ็ ะอธบิ ายรวมท้งั สองอยา งเขา ดว ยกนั พระองคก ลาววา : “และเจา หาไดขวา งไปไมในขณะท่ีเจา ไดขวา ง แตอ ลั ลอฮตางหากเลาทไ่ี ดขวา ง” (อัล-อันฟาล-๑๗) ความสัมพันธกับปรากฏการณท ่ีอยูนอกเหนือกฎธรรมชาติ บัดนี้ เปนท่เี ขาใจอยางแจม ชัดแลววา ทัศนะทมี่ ีตอส่ิงทเี่ ปน สาเหตหุ ลักประเภททเี่ ปน กฎ ธรรมชาตนิ ้ัน ถา เปน การมองในแงทวี่ า มนั เปนสาเหตหุ ลักทไี่ มม คี วามเปน อสิ ระในตัวเอง มนั กย งั หมายถงึ เรือ่ งของหลักเอกภาพอยู สวนถา มองในแงท ่วี า มนั มคี วามเปน อสิ ระในการทาํ ใหเกิดผล ลัพธ มันก็จะหมายถึงการตั้งภาคีไป และสําหรบั กรณขี องสง่ิ ทีเ่ ปนสาเหตุประเภททอี่ ยนู อกเหนือกฎ ธรรมชาตนิ ้นั กฎเกณฑของมนั กเ็ ปนไปตามกฎเกณฑของสิง่ ท่อี ยูน อกเหนือกฎธรรมชาตินนั้ กฎเกณฑของมันก็เปน ไปตามกฎเกณฑของสิ่งท่ีอยูในประเภททเ่ี ปนกฎธรรมชาตินั่นเอง โดยถือวา ถา ความสัมพันธเ ปน ไปตามการมองในแงทีห่ นึ่ง กจ็ ะหมายถงึ เรอ่ื งของหลักเอกภาพ และถา ความสมั พนั ธเปน ไปตามการมองในแงท่หี น่งึ กจ็ ะหมายถึงเรื่องของหลกั เอกภาพ และถา ความสัมพนั ธเปนไปตามการมองในแงท่ีสอง กจ็ ะหมายถงึ การตั้งภาคชี นดิ คําตอคํา แตอ ยางไรกด็ ี พวกวะฮาบียย ังถอื วา ความสมั พันธท ม่ี กี ับส่ิงที่อยเู หนอื กฎธรรมชาติน้ัน เปน ความสัมพันธทร่ี วมอยู ในประเภทการต้งั ภาคีทานเมาดดู ยี ไดกลาวไวในเรอื่ งนว้ี า : “ดงั นั้นในเมอื่ คนใดหวิ นํ้า แลวเขาไดเ รยี กคนใชข องตนมา และสงั่ ใหคนใชน ําน้ํามาให ก็ จะมไิ ดหมายความวา ชายคนน้ันทําการ “วงิ วอนขอ” (ดอุ าอ) และมไิ ดห มายความวา ชายคนนั้นเอา คนใชของตนขึน้ เปนพระเจา และใครกต็ ามที่ดาํ เนินไปตามกฎเกณฑน ้ีกับสงิ่ ทีเ่ ปน สาเหตหุ ลักตา งๆ กจ็ ะเปน ไปตามนี้ แตถาเขาขอความชว ยเหลือตอ วะลยี แ ลว ไซร ก็ไมต อ งสงสัยเลยวา เขาไดวิงวอน ขอเพื่อปลดปลอยทุกขภ ยั และกําลังเอาสิ่งนนั้ ขึ้นเปนพระเจา ” “เพราะเปนเสมอื นหนึ่งวา เขาลงความเหน็ วาวะลียนั้น มีคณุ ลกั ษณะเปน ผทู รงไดย ิน ทรง มองเหน็ ท้งั ส้ินเสมอ และสาํ คัญวา วะลียมีอาํ นาจประเภทหนงึ่ ท่ีอยเู หนอื โลก เปนตนวาการท่จี ะนํา น้าํ มาใหถงึ เขา หรือทาํ ใหเขาหายปว ยไข” “กลา วโดยสรุปแลว เหตผุ ลท่ีทําใหม นษุ ยวิงวอนขอตอพระเจา ออ นวอนตอ พระเจา นบ นอบตอพระเจากค็ อื เหตผุ ลที่วา พระองคม สี ภาพเปนผูท รงอภิสิทธิใ์ นอาํ นาจอยา งเดด็ ขาดเหนือ กฎเกณฑท างธรรมชาติ และเปนผุทรงสทิ ธิ์ในพลงั ท่ีอยูนอกเหนอื กรอบแหง กฎธรรมชาต”ิ ขอความดังกลาวมีปญ หาอยสู องประเด็นคือ :

ประเด็นทหี่ นึ่ง/ถาคนเราคดิ วา แทจ ริงสาํ หรับปรากฏการณทม่ี อี ยูน้ี เปนส่ิงที่มาจากสาเหตุ สองประเภท คอื ประเภททเ่ี ปนไปตามกฎธรรมชาตแิ ละประเภททอ่ี ยูนอกเหนอื กฎธรรมชาติ กลา วคือ ไมอยางใดอยา งหน่ึง จะถือวา ความคิดเชนนเ้ี ปนการต้ังภาคี หรือไม? ประเดน็ ทสี่ อง/ถาคิดวา ใครสกั คนหน่งึ มอี ํานาจอันเรน ลับในจักรวาลโดยการอนมุ ตั ิของ พระองค ผทู รงบรสิ ุทธ์ิ จะถือวา ความเช่อื อยางน้ี เปนความเช่อื ในสภาพความเปน พระเจา ของคน น้ันหรอื ไม? แนน อนเราไดวเิ คราะหความเปนไปเกย่ี วกบั ประเดน็ ทสี่ องไปแลว และตอไปนี้ เราจะมา กลา วถึงประเด็นท่ีหนึง่ กัน : ถาคนๆ หนง่ึ เชือ่ วา เขาจะหายจากโรคไดโดยสองวธิ ี วธิ ีหนึ่งคือเปนไปตามธรรมชาติ อกี วิธหี นึ่งคอื วิธีทีน่ อกเหนอื กฎธรรมชาติ และเขาก็ไดด ําเนินการไปตามวิธีท่ีหน่ึงแลว แตก ็ไม บรรลุผล ดงั น้ันเขาจึงกลับมาดําเนนิ การรักษาโดยยึดเอาวธิ ีท่สี อง เชน วธิ ที ท่ี านมะซีห (เยซู) ใชม ือ ทัง้ สองขางมาสัมผัสเปนตน จะจดั วา ความเชือ่ อยา งนแี้ ละการขอความชว ยเหลอื อยางนเ้ี ปนการต้ัง ภาคี และเปน การกระทําที่ออกนอกขอบขายของหลกั เอกภาพหรอื ไม ถา ทา นไดพ ิจารณาอยางจรงิ จงั กบั หลักเกณฑต างๆ ตามที่ทา นรบั รมู าเก่ียวกับเรือ่ งการ แยกแยะลกั ษระการต้ังภาคีกบั เร่ืองอื่นๆ ออกจากกนั แนนอนทานก็จะสามารถใหค าํ ตอบไดเ ลยวา มนั มไิ ดขัดกับเอกภาพแตอ ยา งใด ยงิ่ ไปกวานัน้ ยังถอื วา อยใู นหลักเอกภาพอยา งบริบูรณ เพราะเขา เชือ่ ถอื วา อลั ลอฮ ผูซ่งึ ไดประทานผลลัพธในทางบาํ บัดโรงตามกฎธรรมชาติ หรือผทู ่ไี ดทาํ ใหน้ําผ้งึ เปนยาบาํ บดั โรคนั้น คอื ผูซ่งึ ประทานความสามารถใหแกทานมะซีห จนสามารถรกั ษาคนปวยให หายไดโดยอนุมัติของพระองคเม่อื เปน เชนนีจ้ ะถือวา ความเชือ่ ของเขาเปนการต้ังภาคอี ยางไร? ใชแ ลว คนใดคนหนึ่งอาจกลา วถงึ เรื่องของความเปนไปในสงิ่ ๆ หนึ่งใหผ ิดพลาดได และ อาจกลา ววา อลั ลอฮไมท รงประทานความสามารถอันนั้น ไดแ กวะลยี คนน้ันโดยเฉพาะ หรอื จะ กลา ววา เขาไมม ีความสามารถจะทําใหหายไดแ ตมันเปน เรอ่ื งทอ่ี ยูนอกเหนือขอบเขตการอธิบาย ของเรา กลาวคอื เราต้งั หวั ขอ การอธบิ ายแยกแยะเรอ่ื งการตั้งภาคี ใหอ อกจากเรือ่ งอืน่ ๆ เทา นนั้ มิได อธบิ ายในหัวขอที่วา ยนื ยันถึงความสามารถหรือปฏิเสธความสามารถของวะลียคนใดคนหนงึ่ และ หวงั วา ผุทอี่ ธิบายวา ความเชอ่ื ถือและการขอความชว ยเหลืออยา งน้ีเปน การตั้งภาคีนนั้ ถาหากวา ได พิจารณาแยกแยะประเด็นหลักของการต้งั ภาคีใหออกจากเรอ่ื งอน่ื ไดแ ลว กจ็ ะเปน การงา ยสาํ หรบั พวกเขาในแงข องการจาํ แนกความจริงออกจากความไมเ ปน จริง ในขณะทีว่ า มีอะไรแตกตา งกันบาง ระหวางความเช่อื ถอื ที่วา อลั ลอฮใหดวงอาทิตยข น้ึ ใหไฟเผาไหม ใหน้าํ ผึง้ เปน ยาบาํ บดั กับความ เชอื่ ถือทว่ี า อัลลอฮใหดวงอาทติ ยขึน้ ใหไฟเผาไหม ใหน า้ํ ผง้ึ เปนยาบาํ บดั กบั ความเชอื่ ถอื ทีว่ า พระองคน ีแ่ หละคอื ผซู ึง่ ใหอํานาจแกว ะลยี ของพระองคเชนทา นมะซหี และคนอืน่ ๆ ในการบาํ บัด โรคใหห าย หรอื กับความเชอื่ ที่วา พระองคนีแ่ หละที่ใหอาํ นาจแกว ิญญาณอนั บริสุทธขิ์ องวะลีย ท้งั หลายในการดําเนนิ กจิ การของจกั รวาลและอาํ นาจในการใหความชว ยเหลอื

แนน อนทสี่ ุด ในอลั -กุรอานไดมีการกลา วถงึ การมอบอํานาจทอ่ี ยุนอกเหนอื ธรรมชาตใิ หแ ก คนบางคนโดยเฉพาะ ดังท่ีเราไดก ลา วไปแลว จงึ ขอใหท านพิจารณากับเรื่องเหลา นนั้ ดังตอ ไปน้ี : 1- อลั กุรอานไดกลาวถงึ ลกั ษณะววั ของซามิรยี วา “แลว เขา (ซามริ ยี ) ก็นาํ รปู ววั ออกมาเปนตัวใหแกพ วกเขา อกี ท้ังยังสง เสียงรอ ง ดังน้ันพวก เขาจงึ กลา ววา นแี่ หละพระเจาของพวกทา น และพระเจา ของมซู าแตเ ขาลมื เสียแลว ” (ฏอฮา-๘๘) ครัน้ พอหลงั จากท่ีทานนบีมูซากลับจากการเขาเฝา และไดเ ห็นสภาพเชนนั้นก็ถามซามริ ยี ถงึ เรอ่ื งการกระทาํ ของเขา วา มคี วามสามารถในการประดษิ ฐงานน้ีขึน้ มาไดอยางไร ซามริ ยี ก ็ตอบวา : “เขาตอบวา ฉนั เห็นในสง่ิ ท่ีพวเขาไมเห็น แลวฉันไดกาํ ฝน จากรอยของทูต (ญิบรีล) กําหน่ึง แลว ฉันกโ็ ปรยมนั ลงไป และตามน้นั แหละท่จี ิตใจของฉนั คลอยตามไป” (ฏอฮา-๙๖) เปน อันวา ตน เหตสุ าํ หรับการกระทําของเขาคราวน้คี อื ฝนุ กาํ มือหนึง่ ท่ีเอามาจากรอยของทูต โดยไดนาํ มนั ไปใชใ นส่ิงทีเ่ ขาตองการ แลว มันก็กลายมาเปน วัวที่รอ งออกมาไดและนี่กห็ มายความ วา ดนิ ท่ีถูนํามาจากรอยเทา ของทตู น้นั มปี ระสิทธภาพพเิ ศษ แลวซามริ ยี ก ็มีความสัมพันธก ับดินน้ัน ๒- อลั -กุรอานไดก ลา วถงึ ลักษณะทน่ี บยี ะอก บู หายจากตาบอด วา สืบเนื่องมาจากทา นนบี ยูซุฟ โดยไดกลาวดงั น้ี : “พวกทานจงรําเสือ้ ของฉันตัวนี้ไป แลว วางมันลงไปทีบ่ นใบหนาบดิ าของฉนั แลว มนั กจ็ ะ ทําใหม องเหน และพวกทา นจงนาํ สมาชกิ ครอบครวั ของพวกทานท้งั หมดมาหาฉนั ” (ยูซุฟ-๙๓) “ครัน้ เม่ือผูแจง ขาวดีไดม าแลว เขากว็ างมนั ลงไปบนใบหนาของเขา (บดิ า) พลันกก็ ลับมา มองเหน็ เขาไดกลาววา ฉันยงั มิไดบอกพวกทา นอกี หรือวา แทจริงฉันรใู นสิ่งที่พวกทา นไมรูมา จากอลั ลอฮ” (ยูซุฟ-๙๖) ดังน้ัน ถา คนใดเช่ือมน่ั วา ผูซ ึ่งไดทรงสรา งประสิทธิภาพพเิ ศษโดยเฉพาะไวในดนิ ท่ถี ูก นาํ เอามาจากรอยของทตู ท่ีวาพอนําไปใหเ ขากับสภาพหน่ึงๆ แลวกจ็ ะทําใหมนั มีเสียงรอ งออกมา หรอื เช่อื ถือวา ผูทไี่ ดใหประสทิ ธภิ าพอนั มหัศจรรยแกเ สื้อตัวน้นั คอื ผูซงึ่ ไดใหป ระสิทธภิ าพพเิ ศษ โดยเฉพาะแกสง่ิ ท่ีเปนสาเหตุหลักท้ังหลายประเภททอี่ ยูนอกเหนอื กฎธรรมชาติ จนมนุษยใ ช ประโยชนกบั มันไดในสง่ิ แวดลอมเฉพาะอยา งใดอยา งหนงึ่ แลวจะเปน ทอ่ี นุญาตใิ หเ ราโจมตคี นที่ เช่ืออยางน้วี า เขาเปนผตู ้งั ภาคีไดกระน้ันหรอื ? และจะมอี ะไรตา งกนั ระหวา งการทซ่ี ามริ ียน าํ ดนิ มา จากรอยของทตู ? หรอื เสื้อของนบยี ซู ุฟ? กับสาเหตุหลักตางๆ ท้งั หลายแมกระทัง่ กบั สาเหตหุ ลกั ท้งั มวลทีน่ อกเหนอื ธรรมชาติ?

แทจริง การแสวงหาความสมั พันธก บั บรรดาวญิ ญาณอันบริสทุ ธทิ์ ่ีสถติ ยอ ยู ณ พระผู อภบิ าลนน้ั เปนการถือปฏบิ ัตติ อ สิง่ ที่เปนสาเหตุหลกั ชนิดหน่งึ ท่ีอยใู นหลักความเชอื่ ดานการถือ ปฏิบตั ิ ดังทีพ่ ระองคไ ดมโี องการวา : “โอบรรดาผศู รทั ธาทง้ั หลาย สเู จาจงยําเกรงอัลลอฮและจงแสวงหาสือ่ ในการเชือ่ มสมั พนั ธ ยังพระองค” (มาอิดะฮ- ๓๘) สว นกรณที ่วี า บรรดาวิญญาณและตวั ของบุคคลประเภทนี้ จะมคี วามสามารถในการ ชวยเหลอื ผทู ่ีขอความชว ยเหลือหรอื ไมน้นั นับวาเปนเร่อื งทิ่อยูนอกเหนือไปจากหัวขอ ท่เี รากาํ ลัง อธิบายอยู

๓- การมีชีวติ อยูแ ละการตาย เขามาอยใู นขายของหลักเอกภาพและการตง้ั ภาคดี วยหรอื ? ไมตอ งสงสัยเลยวา การชว ยเหลือซง่ึ กันและกัน การสนบั สนุนซ่ึงกนั และกันระหวางมนุษย นั้น เปนพ้ืนฐานของชีวติ ประวตั ศิ าสตรความเปนมาของมนุษยชาติก็หาใชอนื่ ใดไม นอกจากวา เปนความสามารถของมวลมนษุ ยชาตทิ ส่ี บื เนื่องมาจากการชว ยเหลือซง่ึ กนั และกัน การ แบงสันปน สวน การแลกเปล่ียนผลประโยชนซ่ึงกันและกันตามวสิ ยั ของมนษุ ย อลั -กรุ อานไดส อนบทเรยี นเรอ่ื งการชว ยเหลือเกื้อกูลกันของมนุษยไ วอ ยางมากมาย ดงั โองการท่วี า : “ดังนั้น ผทู ่เี ปนพรรคพวกของเขาก็ไดข อความชว ยเหลือจากเขาใหเ อาชนะแกผทุ ีเ่ ปน ศัตรู ของเขา ดงั นั้นมูซากไ็ ดช กเขา จนความตายมแี กผ ุน ั้น” (อลั -เกาะศ็อศ-๑๕) เพราะฉะนัน้ การชวยเหลอื เก้ือกูลกันของมนุษย เปนความจริงที่ปรากฎอยูอยางหนึ่งใน ชีวิตอขงมนษุ ยชาติและเปนเร่ืองท่ยี อมรบั กนั อยูในทศั นะของมนุษยชาติทัง้ มวล เพยี งแตวา พวกวะ ฮาบยี นั้น ไดมีคาํ อธิบายใหร ายละเอียดตามความเหน็ วา ในประเดน็ ของสิ่งทเ่ี ปนไปตามธรรมชาติ นน้ั ไมเ กี่ยวกับในเรอ่ื งหลักเอกภาพและการตัง้ ภาคี กลาวคอื พวกเขาไดกลาววา การแสวงหาสื่อสมั พันธกบั บรรดานบีและบรรดาวะลยี นัน้ อนญุ าตใหก ระทาํ ไดในขณะทค่ี นเหลานั้นมีชีวิตอยู แตจะทาํ ไมไดในขณะที่คนเหลานน้ั ตายไปแลว ทานมฮุ ัมมัด บนิ อับดุลวะฮาบไดก ลาวในประเด็นน้วี า : “นค่ี ือเรอื่ งที่อนญุ าตใหกระทาํ ได ไมวา จะขอเพื่อโลกน้ีเหรือเพ่ือปรโลกสําหรับกรณีท่ีวา ไปหาคนมคี ุณะรรมแลว กลา วกบั เขาวา : ชวยวิงวอนขอตอ อัลลอฮใหขาพเจา ดวยเถิด ดังท่ีสาวกของ ทานศาสนทูต (ศ) เคยขอตอ ทา นในขณะท่ที า นมีชีวติ อยู แตใ นกรณที ่หี ลงั จากตายไปแลว จะกระทาํ มิได คือพวกเขาก็มไิ ดขออยา งนัน้ อกี เลย แมแ ตผูอ าวโุ สในยุคกอนๆ กป็ ฏเิ สธมิใหมีใครไปวิงวอน ขอตออัลลอฮ ณ สสุ านของทาน กลาวคอื ทา นจะขอดว ยตัวของทา นไดอยา งไรกันอีก” (๑) สําหรับเรื่องของหลักเอกภาพและการต้ังภาคนี ้ัน มเี ครื่องวัดท่แี นน อนของมนั โดยสามารถ แยกแยะเรอ่ื งหนง่ึ ออกจากเร่อื งหนึ่งได และอิสลามมิไดล ะเลยในการท่จี ะใหเ ครื่องวดั เหลานั้นแก เรา ยงิ่ ไปกวาน้นั ยังใหร ายละเอียดทแ่ี นช ัดกับทุกแงทุกมมุ อีกดวย แนน อนทส่ี ุด ในบทกอ นๆ เราไดเ ขาใจอยา งชดั เจนในเรือ่ งนไ้ี ปแลว แตเรายังมิไดกลาวถึง ในประเดน็ ของเครื่องวัดเหลานีว้ า การมชี วี ติ อยู และการตายไปมีความหมายสําหรบั หลกั เอกภาพ และการต้งั ภาคดี ว ยกันท้งั สองอยา งได ทา นจะทราบไดเ ลยวา สําหรับการมชี วี ติ อยแู ละการตายไปของผูท่ถี ูกขอความชว ยเหลือนั้น มไิ ดเ ขา มาอยใู นขอบขายของการต้ังภาคหี รอื หลักเอกภาพอยา งแนน อน นอกจากในกรณีท่ถี าขอ (๑) “กะชะฟุล-อัรตีหยาบ” หนา ๒๗๑ อา งจาก “กะชะฟุชชบุ ฮาบ” รวบรวมโดย มุฮัมมดั บนิ อบั ดุ ลวะฮาบ พิมพท ่อี ียิปต หนา ๗๐

ความสนบั สนุนและขอความชว ยเหลือตอ ผูมชี วี ติ พรอมกบั มีความเช่ือถอื วา เขามีความเปนอสิ ระใน ตัวเองสาํ หรบั การแสดงความสามารถและการใหงานสมั ฤทธ์ิผลกจ็ ะหมายถงึ การตง้ั ภาคี ลักษณะ การขอความชว ยเหลอื ตอคนเปนในกิจการใดๆ โดยใหความหวงั อยางเตม็ ทนี่ ้ัน ผุม ีสตปิ ญญายอ ม ไมถ อื วา เปน การถกู ตอ งถา หากเปนการขอความชว ยเหลอื ที่ประกอบขนึ้ กบั ความเช่อื ถอื วา ผไุ ดร บั การขอรองมคี วามสามารถอสิ ระในการใหความชวยเหลอื เพราะเปนท่รี ูกนั ในหมูผมู ีสติปญญาวา พน้ื ฐานของการขอความชว ยเหลอื ตอ ผมู ีชีวิตนน้ั จะตองไมถ อื วา ผุถกู ขอมีความเปนอิสระในการ กระทํา กลา วคอื การขอความชว ยเหลอื ของพรรคพวกนบมี ูซา จะไมถ ูกตอ งตามหลักของเอกภาพ เลย นอกจากวา จะตอ งอยใู นรูปเดียวเทา นั้น คือ : ในขณะทข่ี อน้ันเขาจะตอ งไมเชอื่ ถอื วา นบีมูซามี ความเปนอิสระแกต นเองในการทาํ ใหสัมฤทธผิ์ ล หากแตตองถือวา ความสามารถและผลลัพธข องมู ซาท่เี กดิ ขึน้ นั้น เช่ือมโยงกับความสามารถของพระผเู ปนเจา และไดร ับการสนับสนุนมาจาก พระองค ความจริงอันเดยี วกันน้ีก็ดาํ เนินอยใู นกฎของการขอความเก้ือหนุนและขอความชว ยเหลอื ตอ “บรรดาวญิ ญาณบริสทุ ธ”์ิ ตามคาํ อธิบายของอลั -กุรอาน และตามหลักวชิ าการฮาดีษดว ย กลาวคือ ถาพรรคพวกของนบีมูซาขอความชว ยเหลือตอทาน (ความสันตสิ ุขพงึ มแี ดทา น) หลังจากที่ วญิ ญาณออกจากรา งทา นไปแลว โดยมคี วามเช่ือถอื อยา งนีอ้ ยุ การกระทาํ ของเขาก็จะไมเปน การต้ัง ภาคี และยงั มไิ ดตง้ั ใหทา นนบีมซู าเปนภาคกี ับอัลลอฮไมวา จะเปนในแงข องสภาวะ, คณุ ลักษณะ, การกระทํา หรือในแงของการเคารพภักดีก็ตาม และเขายงั ไมเคารพภักดีตอบูชาเพราะการขอความ ชว ยเหลือแบบน้ี สว นในกรณีท่ีถาหากวา เขาขอความชว ยเหลือจากทาน โดยเชื่อถือวาวญิ ญาณของทา นมี ความเปนอิสระในการใหความชว ยเหลอื และเชอ่ื มนั่ วา เปน วิญญาณทีม่ ีความสามารถในการให สัมฤทธผิ์ ลไดโดยไมเก่ียวกับอาํ นาจของพระผเุ ปนเจา ก็เทา กับวา ผูขอความชว ยเหลือคนนเี้ ปนผูตั้ง ภาคี และความเช่ือของเขาอยา งนคี้ ือการตัดสินวา มซู าอยใู นคณุ สมบตั ิของพระผูเปนเจา ถา หากวา เร่อื งการมีชีวิตอยุและการตายไปของผูถกู ขอใหช วยเหลือจะมีผลกระทบใน สว นๆ ใดแลว ประการแรกมนั กจ็ ะมีผลกระทบในประเดน็ ท่วี าความเปน ไปได ของการใหค วาม ชว ยเหลือ คอื ไมอยใุ นขอบขายของการต้งั ภาคแี ละหลักเอกภาพ และสาํ หรับการกลาวถึงเรื่องความ เปนไปได หรือไมกเ็ ปนประเด็นที่อยนุ อกเหนอื ไปจากหัวขอเรื่องท่เี ราอธิบาย นับวาเปน เรื่องแปลกสุดเหลือทจ่ี ะแปลก สําหรบั การตคี วามวา การหาสอื่ และการขอความ ชว ยเหลอื ตอ คนเปนและการขออนุเคราะหจากเขาถกู จดั วา หมายถงึ หลักการเอกภาพ และการขอ ความชวยเหลอื ขอการบาํ บัดอยา งเดียวกันน้ใี นทกุ ๆ ขอแมกับคนตายกลบั หมายถงึ การตง้ั ภาคี และ ผูใดที่ทําเชน นั้น มกี ฎลงโทษท่ตี อ งถงึ กับใหป ระหารชีวติ ทีเดยี ว

พวกวะฮาบียย อมรบั วา อัลลอฮ ไดทรงมีบัญชาใหคนทําบาปไปหาทา นนบี(ศ) และขอให ทา นนบีวิงวอนขอการอภัยโทษแกพวกเขา โดยถอื เอาตามความหมายของโองการ (อัน-นิซาอ- ๖๔) เชนเดยี วกันนี้พวกเขากย็ อมรบั วา ลกู ๆของนบยี ะอกบู ขอใหบิดาวงิ วอนขอการอภัยโทษแกพวกเขา (ยูซฟุ -๙๗-๙๘) อยา งไรกด็ ีพวกเขากไ็ ดก ลา ววา ขอ มูลสองประการนี้ มนั เขา กับหลักเอกภาพไดก็ เพยี งเพราะความมชี วี ิตอยขู องผถู ูกขอความชวยเหลอื เทา น้นั สว นถาขออยางนใี้ นขณะทเ่ี ขาไดตาย ไปแลว จะตองถอื วา เปนการตง้ั ภาคี อยางไรกต็ าม ทานผูอ านกย็ อมรูอยางดีทสี่ ุดอยแุ ลววา การมีชีวติ อยูและการตายไปของ ทานศาสนทูตนั้นมิไดเปล่ยี นแปลงเนื้อหาทีแ่ ทจรงิ ของการงานแตอยางใดเลย กลาวคอื ถา หากวา การแสวงหาส่อื สัมพันธ เปนการตงั้ ภาคที ่ีแทจ ริงแลว แนน อนท่ีสุดวามันจะตอ งเปนอยา งน้ที ้ังใน สองสถานโดยไมม ขี อ แมระหวา งสถานภาพของคนเปนกับคนตาย ถา จะอา งวา การขอความชว ยเหลอื ตอ คนตายเปน การกระทาํ ที่ไรส าระในประการทห่ี นงึ่ และเปนการกระทาํ อตริ (บดิ อะฮ) ไมถ ูกยอมรับวาอยใู นบทบญั ญัตศิ าสนาเปน ประการทสี่ องแลว ละก็ จะขอกลาวคาํ ตอบดังน้ี ประการทีห่ นึ่ง การกระทําอนั น้จี ะเปน สิ่งอุตริ (บดิ อะฮ) ไดกต็ อ เม่อื ผูขอความชว ยเหลือได ดาํ เนนิ ไปในฐานะทีถ่ อื วา มนั เปนคาํ ส่งั หนึ่งทอ่ี ยูในบทบัญญัตแิ ตถา หากกระทําส่งิ ดงั กลา วขึน้ มา จากสว นของมนั เองตา งหากโดยมิไดถือวาเปน เร่อื งของหลกั การ ก็จะไมเปนบิดอะฮแ ละไมเปน การ ตัง้ กฎเกณฑใ นศาสนาขึ้นมาใหมแ ตอ ยา งใด เพราะการกระทาํ ในสงิ่ อุตริ (บิดอะฮ) นน้ั หมายถึงการ นาํ สิง่ ท่มี ิใชม าจากศาสนาเขา ไปในหลักศาสนา และไดถือปฏิบัติในส่ิงนัน้ ๆ ขนึ้ มาในฐานะท่ีถอื วา เปนคาํ สัง่ ของศาสนา ประการทีส่ อง/การอธบิ ายในท่นี ี้ หมายถงึ เพียงแตการจํากดั ความในเรอ่ื งหลกั เอกภาพกับ การต้ังภาคเี ทา นนั้ และมิไดเ กีย่ วขอ งกบั ประเด็นที่วาการกระทําอนั นเ้ี ปนส่ิงที่เกิดผลหรือไมเกิดผล หรอื วา จะเปนเร่ืองบิดอะฮไมบดิ อะฮ กลาวคอื ประเดน็ ตา งๆ เหลาน้ี ลวนอยูนอกเหนือหวั ขอ การ อธิบายของเรา ประกอบกบั วา ตอ งการใหเ รอื่ งน้ี ดําเนินไปตามทร่ี ะบมุ าในประเด็นทเ่ี ปนแงของ บทบญั ญัติอันวา ดวยการแสวงหาส่ือสัมพันธกับบรรดาวญิ ญาณอันบรสิ ุทธต์ิ ามหลักฐานตา งๆ ทถี่ กุ นํามาอา งไวอ ยา งชดั เจนเทาน้นั (๑) เหนือสงิ่ อื่นใดทกุ ประการ การขอความชวยเหลอื ตอ ผุตาย ยังไมอ าจถือวา เปน การตั้งภาคี ไดเลย ในเมือ่ เขามไิ ดท ําการต้งั ภาคี และอนั ทีจ่ รงิ แลว ความเช่อื ถือทว่ี า ผกุ ระทํามีความเปน อสิ ระใน ตัว และในการกระทาํ อกี ทงั้ มอบหมายตนกบั เขาไปในลักษณะดังกลาวเชน เดียวกันกบั การตงั้ ภาคี ในการเคารพภกั ดนี ั่นแหละจึงจะถอื วา เปน การต้ังภาคี ขณะเดยี วกนั กับท่เี ชอ่ื ถอื วา ผูกระทําไมม ี ความเปนอิสระในตัว ในคณุ สมบัติตางๆ ในการกระทําตา งๆ ของตนเลย อีกท้ังยงั มกี ารยอมรบั ถึง (๑) โปรดดูการอางหลักฐานน้ันไดใ นหนงั สือ กะชะฟลุ อิรตยิ าบ หนา ๓๐๑

ฐานะความเปน บา วของผูน้นั อยู และมอบหมายตนยังผูนัน้ ในฐานะเปน การใหเกยี รตแิ ละยกยอง ก็ จะไมถอื วา เปน การต้งั ภาคี แตถ า หากเขาลมื กฎเกณฑอนั นี้ไป แนน อนเหลือเกินวา * เราจะไม สามารถพบวา ในโลกน้จี ะมผี ทู อ่ี ยูใ นหลักเอกภาพไดเ ลย ในลําดบั ตอไปจากนี้ เราขอนาํ ทานผอุ านมาพจิ ารณาคาํ อธิบายของลูกศิษยทา นอบิ นตุ ัยมี ยะฮในประเดน็ น้ีบาง ทา นอิบนกุ ็อยยมิ ไดกลา ววา : “สวนหนึ่งจากการต้งั ภาคปี ระเภทตา งๆ ก็คือ การขอความชวยเหลือจากผตุ ารยและน่ีคือ รากเงาของการตง้ั ภาคีในโลก กลาวคือ ผุตายนัน้ การงานของเขาถกู ตดั ขาดเสยี แลว และเขาไมม ี อํานาจควบคมุ เภทภัยและส่ิงท่ีเปนคณุ ไวใ นตวั เองไดเ ลย...(๒) เหตุผลตามที่เขาไดอา งมานน้ั ไมตรงกับประเดน็ ที่เปน ขอหาของเขาเลย เพราะคํากลา วของ เขาทว่ี า “กลา วคือผตุ ายนน้ั การงานของเขาไดถกู ตัดขาดไปเสยี แลว ” ใหเ หตุผลวา การขอความ ชว ยเหลือตอ ผุตายจะไมมีผลประโยชนใ ดๆ เทานั้น ยงั มไิ ดเ ปนเหตุผลท่ีแสดงวา เปน การต้ังภาคี ซ่งึ เขามไิ ดแบงแยกสองเร่ืองน้ีออกจากกนั ที่แปลกย่งิ ไปกวานน้ั ก็คือคําหลาวของเขาทีว่ า : “และเขาไม มอี าํ นาจควบคมุ เภทภยั และสง่ิ ทเ่ี ปน คุณไวในตัวเองไดเ ลย” ในขณะท่วี า ในประเด็นนไ้ี มมขี อ แตกตา งกันเลย ระหวางคนเปนและคนตาย กลาวคือตางก็ไมม ีใครเลยทม่ี อี าํ นาจในการควบคมุ เภทภัยและสงิ่ ท่ีเปน คุณไวใ นตวั เองไดโดยที่มิไดรบั การอนุมตั ิของอลั ลอฮ และมิไดเ ปน ไปตาม ความประสงคข องพระองค ไมวา คนเปนหรอื คนตาย แตถาเปน การอนมุ ัตขิ องอลั ลอฮแลว ทัง้ คน เปน และคนตายก็จะมอี ํานาจควบคมุ ส่งิ ที่เปนคุรและสิง่ ทเี่ ปนเภทภยั ไดอยูดี จากเรือ่ งเหลานนแี้ สดงใหเ หน็ ถงึ ความเขา ใจท่ีคลอนแคลนของทานอิบนุตัยมียะฮใ นเรอื่ ง ดังกลาว ขณะทที่ านกลาววา : “ทกุ ๆ คนทเี่ ทิดทูนนบี หรอื คนทม่ี ีคุณธรรมอยางเหลอื ลน และกระทาํ ในสิ่งทเ่ี กยี่ วกบั ความ เปน พระเจาประการใดๆ ขน้ึ มา เชนกลา ววา : ยาซัยยิดี (โอป ระมุขของขา ) พรอมกับ เอย ช่อื คนนัน้ คนนี้ โปรดชวยเหลือขาดวย หรือสงเคราะหข าดว ย...ทุกสิง่ เหลานล้ี ว นเปน การต้งั ภาคี และหลงผดิ คนกระทาํ ตองทาํ การเตาบะฮ (ขอนิรโทษภัย) ถามเิ ชนน้ัน กต็ องประหารชวี ิต” (๑) ถา หากวา การขอความชว ยเหลอื ตอ “บรรดาวิญญาณของผบุ รสิ ทุ ธ์ิ” (บรรดาผุตายตาม ทศั นะของพวกวะฮาบยี ) มันคอื การกระทําทหี่ มายถึงความเช่ือถอื ในสภาพความเปน พระเจา ของ บรรดาวิญญาณเหลานั้นอยา งหนงึ่ แลว ไซร ฉะนัน้ กจ็ ําเปน ที่จะตองถือวา การขอความชวยเหลอื ตอ ใครสักคนหน่ึง (ไมว าจะเปน หรือตาย) ก็ยอมเปน การหมายถึงความเช่อื ถืออยา งน้ดี ว ย เพราะวา การ มีชิวิตและการตายของผุถกู ขอความชว ยเหลอื เมื่อประเด็นทใ่ี หท้ังความเปน ไปไดแ ละความเปน ไป ไมไ ดของการใหค วามชว ยเหลือนน้ั มิไดเปน เรื่องของหลกั เอกภาพ ในขณะเดียวกันจะตอ งถือวา (๒) ฟตหุลมะญดี หนา ๖๘ พมิ พครั้งที่ ๖ (๑) เลมเดิน หนา ๑๖๗

การขอความชว ยเหลือตอ คนเปน อันไดเ กิดขึ้นมาจากความเดอื ดรอ นในชีวติ สงั คมมนษุ ยชาติ และ เกดิ ขึ้นจากสิง่ ตางๆ ท่ีประชาชนในสงั คมดําเนนิ อยูก็เปนเร่อื งที่อยใุ นประเดน็ ของการตั้งภาคี ขอใหท า นพิจารณาคาํ อธบิ ายทบ่ี กพรองอีกประการหนึ่งในเร่อื งนี้ ของทา นอิบนุตยั มียะฮ น่ันคือ : “และบรรดาผุซึ่งวงิ วอนขอตอ บรรดาพระเจายอยอืน่ ๆ ควบคกู ับอลั ลอฮ เชน ทานมะซีห (เยซู) มะลาอิกะฮ รปู ปนนั้น พวกเขามิไดเ ชื่อถือวา สิง่ เหลาน้นั สรางสรรพสิง่ ตา งๆ หรือประทาน ฝนลงมาหรอก อนั ท่ีจรงิ แลว ท่ีคนเหลานนั้ เคารพภักดีส่ิงเหลาน้นั หรือสุสานของพวกเขาเหลา นั้น หรอื เคารพภกั ดรี ูปภาพของพวกเขาเหลานน้ั พวกเขากลาววา เพื่อพวกเขาทาํ ใหเราไดเ ขาใกลชดิ อยา งยง่ิ ตออัลลอฮหรอื จะกลา ววา พวกเขาเหลา น้ัน ใหการอนเุ คราะหช วยเหลอื เรา” การนาํ เรื่องการขอความชว ยเหลือตอ บรรดาวะลยี ุลลอฮไปเปรยี บเทยี บกบั การถอื ปฏิบตั ิ ของพวกคริสเตียนและพวกมูซาเจว็ดน้ัน หา งไกลจากขอเท็จจริงอยางยิง่ เพราะพวกคริสเตยี น เช่อื ถอื วา อัล-มะซีห (เยซู) มิสิทธิในความเปนพระเจาอยางหนึ่ง และพวกมูชาเจว็ดก็เช่ือถอื วา รปู เจวด็ ตา งๆ มอี าํ นาจควบคุมการอนุเคราะหค วามชวยเหลอื ไดดวยตวั ของมนั เอง ยง่ิ ไปกวาน้นั บาง พวก (ตามทที่ า นอบิ นุฮชิ ามไดอางไว) เช่ือถือวา บรรดาเจว็ดคอื ผจุ ัดการในสากลจกั รวาล หรอื อยาง นอยทีส่ ุดก็ถอื วา เปน ผปุ ระทานฝนใหต กลงมา และเปน เพราะความเชอ่ื ถอื อันนีเ้ องท่ีเปน เหตุใหก าร ขอความชว ยเหลอื และขออนุเคราะหข องพวกเขาทีม่ ีตออลั -มะซหี ก ับบรรดาเจว็ดเหลาน้ัน มีผล เทากับเคารพภกั ดี (อบิ าดะฮ) ตอสิ่งดงั กลาว ดวยเหตนุ ้ีเอง ถาหากวา การขอความชว ยเหลอื ประกอบขึน้ มากับความเชื่อถอื วาผถุ กู ขอมี สภาพความเปน พระเจา กจ็ ะเปน การต้งั ภาคอี ยา งส้นิ เชิง แตกรณีทถี่ า หากการขอความชว ยเหลอื ไม วา จากคนเปนหรอื คนตายก็ตาม มไิ ดเกีย่ วขอ งใดๆ กับเง่ือนไขอันนี้ กจะไมเ ปนการตงั้ ภาคีและมิได เปนการอบิ าดะฮแตอยา งใดเลย หากแตเ ปนการขอความชวยเหลอื ตอ บาวคนหนึ่งท่เี รารูดวี า เขาไม สามารถดําเนนิ กจิ การใดๆ ได เวน แตดว ยการอนุมัติของอัลลอฮ ใชแลว ในการอธิบายถงึ เรื่องการขอความชว ยเหลือตอผตุ ายน้นั ถาจําเปน จะตอ งถกกัน ก็ ตองถกกันในประเดน็ ทว่ี า ในการขอความชวยเหลอื อยางน้จี ะเปน ผลหรอื ไมเ ปน ผล โดยมใิ ชเปน ประเดน็ ท่ีตอ งถกกนั ในแงท่ีวา มันเปนการตงั้ ภาคีและการเคารพภักดีสิ่งอืน่ ท่นี อกเหนอื จากอัลลอฮ สว นคําอธบิ ายท้ังสนิ้ มเี พียงประเดน็ ที่สองเทานน้ั โดยไมไดพูดถงึ ประเดน็ หนึ่งกันเลย

4- การมสี มรรถภาพ กับการไมมสี มรรถภาพเปนประเดน็ หนึง่ สําหรบั หลกั เอกภาพและการตงั้ ภาคี ดวยหรอื ? บางทีคาํ อธิบายของพวกวะฮาบียจะใหประโยชนอยบุ า งก็ตรงท่วี า มเี คร่อื งวัดอกี อยาง สําหรับเร่อื งการตง้ั ภาคใี นการอบิ าดะฮ นน่ั คอื ประเดน็ “ความมสี มรรถภาพของผูถ กู ขอในการให ความตองการเปนจริงข้ึนมาและการไรซึ่งสมรรถภาพในสง่ิ นั้น” กลาวคือถาคนใดขอความ ชวยเหลือจากใครกต็ ามซ่ึงส่ิงทีข่ อน้นั ไมม ีใครสามารถจะทาํ ใหไ ดนอกจากอลั ลอฮแลว กเ็ ทา กับวา งานของเขาเปน การอบิ าดะฮแ ละเปน การตง้ั ภาคทนั ที ทานอิบนุดับมียะฮไ ดเ ขียนในประเด็นน้เี อาไว วา : “ใครกต็ ามทไ่ี ปยงั สุสานของนบี หรอื คนมคี ณุ ะรรม แลวขอความชว ยเหลอื ในส่ิงท่ตี น ตองการ เชนขอวา ใหหายจากโรคภยั ใหหมดหน้สี ิน หรืออ่ืนๆ ในสว นทีไ่ มม ใี ครสามารถจะใหเปน เชนน้ันได นอกจากอลั ลอฮ ผูทรงสงู สุด ก็จะหมายถึงวา เร่อื งน้ี เปน การตัง้ ภาคอี ยางชดั เจน จาํ เปน ที่ ตองใหผ ูน้ัน ขอการนิรโทษ (เตาบะฮ) ถาไมเ ชน นั้น ก็ตองประหารชีวิต” (๑) แนน อนที่สุ ดในประเด็นนไ้ี ดถูกนาํ มาเปน เครอ่ื งวดั อกี ประการหน่ึงสาํ หรับเรอื่ งการต้งั ภาคี นนั่ กค็ อื สมรรถภาพของผูถกู ขอและการไมมสี มรรถภาพในอันทจ่ี ะตอบสนองคาํ ขอรอ งของผูข อ ถา หากวา เรอื่ งนจี้ ะหมายถึงตราชทู ต่ี องนํามาวดั วา อะไรเปนการตง้ั ภาคแี ละอะไรเปน เรื่องของหลัก เอกภาพแลว ทา นอิบนตุ ัยมียะฮก็ควรทีจ่ ะไดกลา วเสรมิ ไปขางหลังประโยคท่วี า “สสุ านของนบหี รอื ผมู คี ณุ ธรรม” สักอีกประโยคหนึง่ นั่นก็คือ “หรอื จากวะลยี ท ีม่ ชี วี ิตอยุ” เพ่อื จะอธิบายใหช ดั ไปเลยวา ขอพิสูจนท กี่ ลาวถึงในทน่ี ้ี มิใชอ ยุท ค่ี วามตายและความเปน ของผูถูกขอความชว ยเหลอื หากขอ พสิ ูจนใ นท่ีน้ี คอื เร่ืองการมีสมรรถภาพในการตอบสนองสง่ิ ท่ตี อ งการและการไมมสี มรรถภาพใน เรือ่ งนนั้ อยางที่ทานอัศ-ศ็อนอานี (นกั เขียนชาววะฮาบยี ค นหนง่ึ ) ไดตั้งเปน ประเด็นไว โดยกลาววา : “ไมว าจะขอจากคนตายหรอื จะขอจากคนเปน กต็ าม” ขอใหทา นพิจารณาคาํ อธิบายในประเดน็ นี้ของทานอัศ-ศอ็ นอานี : “การขอความชวยเหลอื ตอบรรดาสงิ่ ท่ถี กู สรา งท่มี ีชีวติ ในกรณีท่ีพวกเขามสี มรรถภาพนน้ั ไมมใี ครปฏเิ สธแมแ ตค นเดยี ว แตป ญหามันมีเพียงในเรือ่ งการขอความชว ยเหลอื ตอ ชาวสุสานและทีน่ อกเหนอื ไปจากนั้น เชนขอกับบรรดาวะลยี ข องพวกเขา โดยทผ่ี ขู อไดขอจากเขาเหลา นั้นในกจิ การที่ไมม ใี ครสามารถทาํ ใหไ ดนอกจากอลั ลอฮ เชนการขอใหหายจากโรคภัยและอนื่ ๆ แนน อนทานอมุ มซุ าลมี ไดเคยกลา วว วา : โอ ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮอานสั เปนคนรับใชข องทา น โปรดขอดอุ าอจ ากอลั ลอฮใหแ กเ ขา ดว ย (๑) “การชยิ าเราะฮสุสานและการขอตอ สุสาน” หนา ๑๕๖ “รชิ าละฮ อลั -ฮะดยี ะฮ ซุนนีย หนา ๔๐

แนน อน บรรดาสาวกไดเคยขอรอ งตอทา น วาใหท า นวิงวอนขอใหในขณะทที่ า นมีชีวติ อยู ซึง่ น่ีก็หมายถึงเร่อื งทีเ่ หน็ พองตองกันวา เปน เรือ่ งอนุญาตใหก ระทําได ปญหาจึงอยูใ นประเด็นการขอตอชาวสุสาน ขอจากคนตายหรือจากคนเปนเพอ่ื ใหหายจาก โรคภัย ใหไดของท่หี ายไปกลับคืนมาและส่ิงท่อี ยูในจาํ พวกน้ีน้ันนบั เปน เร่ืองทีไ่ มมีใครสามารถทาํ ใหไ ดนอกจากอัลลอฮ” (๑) เมอ่ื เปน เชน น้ี เราก็จะรไู ดเลยวา ขอ พสิ จู นส ําหรบั ในท่นี ี้ มนั มใิ ชเร่ืองเดียวกับทก่ี ลา วไป แลว กลาวคือ ในการอธิบายบทกอน มีขอ พิสจู นอ ยตู รงที่วา : ความเปน และความตายของผูถ กู ขอ คอื ถอื วาการขอความขว ยเหลือจากคนมีชวี ติ อยูไมเ ปนการต้ังภาคี ในขณะเดยี วกันก็ถือวา การ ขอความชว ยเหลือจากผตู ายเปน การตงั้ ภาคีแตในบทนี้ เรอ่ื งการมสี มรรถภาพหรืการไมมี สมรรถภาพในการใหสิง่ ที่ขอสมั ฤทธผิ์ ลไดถูกกําหนดขึ้นมาใหเปน ตราชแู ละเคร่ืองวดั สาํ หรบั หลัก เอกภาพและการตงั้ ภาคี กลาวคอื ถอื วา ถาหากคนใดไดข อในส่ิงทต่ี นตองการจากบคุ คลอ่นื (นอกจากอลั ลอฮ) และ ปรากฏวา ความตอ งการอันนั้นเปนสิ่งที่ไมม ีใครสามารถกระทาํ ใหได นอกจากอัลลอฮ กจ็ ะ หมายความตามขอพิสูจนอนั ใหมน้วี า เปนผตู ั้งภาคี ไมว า ผูถกู ขอจะมีชีวิตหรอื ตายไปแลว ก็ตองเปน อยา งน้ี เพราะฉะน้ัน ในขอพิสจู นดงั กลา วน้ี จงึ ไมเ กี่ยวกับประเด็นระหวางความเปน และความตาย ของผูถกู ขอ ถกปญหากับทัศนะอนั นี้ ความจรงิ มีอยวู า ทศั นะดังกลา วน้แี ทบจะไมจ าํ เปน ตองวจิ ารณและวพิ ากษแตอยา งใดเลย ท่ี เปนเชน นเ้ี พราะวา ความมสี มรรถภาพหรือความไมมีสมรรถภาพของผถู กู ขอนนั้ มันเปน เพียงขอ พิสจู นสาํ หรบั การมสี ติปญ ญากบั การไมม ีสตปิ ญ ญาทม่ี ีตอ การขออยา งน้ีเทา น้ันเอง คือมไิ ดเปนขอ พสิ ูจนสําหรับเรอื่ งหลักเอกภาพและการตง้ั ภาคี กลา วคือสมมตวิ า คนหนงึ่ ตกบอ ถา หากเขาขอ ความชว ยเหลือกบั หินดินทรายแลว ละก็ ในสามัญสาํ นึกของผมู สี ติปญญาก็ตอ งถือวา เปนคนไรสติ แตถาขอความชวยเหลือจากคนท่ียืน อยูริมปากบอ เพื่อใหช ว ยเขา ก็ตอ งถอื วา การขอของเขา เปน การกระทําของคนมสี ตปิ ญ ญา เปนท่ีตระหนักชดั ไดด ที เี ดียววา ทศั นะของพวกวะฮาบียท ถี่ ือวา “เปน สง่ิ ท่ีไมมใี ครสามารถ ใหไ ดนอกจากอัลลอฮ” นั้น มิไดหมายถึงขอ จาํ แนกระหวาง “ผมู คี วามสามารถกับผไู ร ความสามารถ” และมใิ ชว า ถาขอจากคนจาํ พวกท่ีสองก็จะเปน การตงั้ ภาคี สวนการขอจากคนจําพวก ทห่ี น่ึงกจ็ ะไมเ ปน แตถาหากวา ประโยชนจากคําอธิบายของพวกเขาในเรื่องน้ี มีอยูบา ง ก็เปน เพียงแตความหมายอันเกิดจากขอ สรุปดงั กลาวนั้น คอื ขอจาํ แนกที่อยรู ะหวางการขอในส่งิ ทเี่ ปนงาน

ของอลั ลอฮและในส่ิงทไี่ มอ ยใู นกิจการเฉพาะของพระองค ดังน้ันขอ สรุปจึงมอี ยูวา ถา คนใดขอ ความชวยเหลอื จากผอู ื่นนอกเหนอื จากอลั ลอฮ ในกรณีท่ีส่ิงนั้นๆ เปนงานของอลั ลอฮแลว กต็ องถอื วา เขาเปนผตู งั้ ภาคี เชนในทศั นะของทานอบิ นตุ ัยมียะฮท ่ีไดใ หใ นเรือ่ งนไี้ ววา “ถา ขอตอ เขาเพือ่ ให หายปวย ใหปลดเปล้อื งหน้ีสิน หรอื อ่ืนๆ อันเปน สิง่ ที่ไมมีใครสามารถใหไดนอกจากอัลลอฮ” และ เชนเดยี วกันน้ี ตามทศั นะของทานอศั -ศอ็ นอานี ดงั ทีท่ านไดกลา ววา : เชน ขอใหหายปวยและอ่ืนๆ ไมต องสงสัยเลยวา การขอในสิง่ ที่เปน งานของอลั ลอฮจากบุคคลอื่นนั้นเปนการต้ังภาคี ประการหนึง่ และถือวา ผขู อคนน้ัน ไดเปนบา วของผูถ ูกขอแลว การกระทาํ อันนนั้ ของเขาก็ถอื วา เปนการอบิ าดะฮ แนน อนเราไดอธิบายถงึ การตัง้ ภาคีในสวนน้ไี ปแลว เมื่อตอนที่พูดถึงคําจาํ กัด ความประการทส่ี ามของคาํ วา อบิ าดะฮซ ่งึ เราและบรรดามสุ ลิมท้งั มวลตา งกเ็ ห็นพอ งกับพวกเขาใน ความจริงอันน้ี อยา งไรก็ดี ปญหาทั้งหมดมีอยูเ พียงประเด็นทว่ี า การจาํ แนกแยกแยะเอากจิ การของอลั ลอฮออกไปเสียจากกจิ การสวนอ่ืน กลา วคอื ทา นอิบนุตยั มยี ะฮ ยอมรับวา การบาํ บัดโรค การปลด เปลื้องหน้ีสนิ เปนกจิ การสวนของอลั ลอฮอยา งเดด็ ขาดและดว ยเหตุนเ้ี องจงึ ไมอ นุญาตใหข อเร่อื งน้ี จากผูอ ีน่ โดยเดด็ ขาด ท้ังๆ ทคี่ วามจรงิ แลว กิจการเหลา นี้ มิไดเปนกิจการในสวนของอลั ลอฮโดย เด็ดขาด หากแตม ีสวนจําเพาะอยดู า นหนงึ่ ท่ตี อ งถือวา เปน กิจการของพระองค และพระองคน นั่ เอง ที่บนั ดาลใหก ารขอสมั ฤทธ์ผิ ลได (เชน การบําบัดโรค การปลดเปลือ้ งหน้ีสนิ การไดของหายคือมา และกิจการอื่นๆ ทัง้ หลายโดยมีความเปน อสิ ระอยางชนดิ ที่ไมตอ งอาศัยความชวยเหลือของผใู ดเลย) สวนในกรณที ี่บุคคลอื่นไดด ําเนินการนั้นๆ ไปไดโ ดยการอนุมัติของพระองคและดว ยการ กําหนดใหของพระองค ก็ยังไมถ อื วามนั เปนงานของคนคนนั้นโดยเฉพาะ ดว ยเหตนุ ้ีแหละ ถา หาก ใครไดข อกจิ การเหลานีจ้ ากบุคคลอน่ื นอกเหนือจากอัลลอฮพรอ มกับมีความเชื่อถือวา ผถู กู ขอ ดาํ เนนิ กิจการเหลานี้ไดก ็โดยการสนบั สนนุ จากพลานภุ าพของอัลลอฮ และเปนสิ่งทีเ่ กิดมาจากการ อนมุ ัติของพระองค กไ็ มถือวา เปนการตัง้ ภาคี จะไมใชไดอ ยางไร ในเมื่ออัล-กรุอานไดถือวา การทาํ ใหค นปว ยและคนตาบอดหาย เปน เรอ่ื งของอลั -มะซหี  (อ) โดยการอนุมตั ิของอลั ลอฮ ดงั ที่ไดกลา ววา : “และเจา ทาํ ใหคนตาบอดกับคนเปน โรคเรื้อนหายไดโดยอนุมัติของฉัน” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๓) ทาํ นองเดียวกันน้ี อัล-กรุ อานก็ยังถอื วา : การสรา ง, การบรหิ าร, การทาํ ใหเปน, การทําให ตาย, การใหปจ จยั ยังชีพ ตลอดถงึ สิ่งอ่ืนอีกมากมาย เปนเร่อื งของผูเปน บา วได พรอ มกันนั้น ก็ไม ตอ งสงสยั เลยวา มนั หมายถงึ การกระทําของพระองคน ่ันเอง ซึ่งลวนแตเปนเร่ืองท่อี ยใู นประเด็น ทอ่ี บิ นุตยั มียะฮยกมาเปนตัวอยา งวา เปนการตง้ั ภาคี การถือวาเปน เรอ่ื งของผอู ่นื นอกจากอลั ลอฮ มิไดหมายความเปนอยา งอน่ื นอกจากตามทีเ่ รา ไดช ี้แจงไปแลวน้ใี นฐานะที่วา กรณีท่ีจะตดั สินวาเปน กจิ การของพระองคน ้นั มิไดหมายถึงวา เปน ผู

เด็ดขาดเฉพาะในการสรา งการใหป จจยั ยงั ชพี การจัดระบบบริหาร การใหเปน และการใหต าย จนถงึ กบั วา ไมอ าจมอบหมายใหแ กผ อุ ืน่ นอกจากพระองคไ ด (ตามทีม่ อี ยใู นหลายโองการ) หากแต ประเดน็ สาํ คญั เฉพาะในเรอ่ื งน้ี อยูตรงท่วี า ผุก ระทํามไิ ดมีความเปนอิสระในการกระทําของตน โดย อยูในอาํ นาจทพ่ี ระองคทรงจาํ กดั ใหอยู เชน เดียวกบั ทวี่ า การทีม่ ุสลมิ คนใดขอกิจการเหลาน้ี โดย ความคิดอยางนี้ กบั สงิ่ อืน่ นอกจากอลั ลอฮ กไ็ มถึงกับจนกระทง่ั ตองตัดสินวา การกระทําของเขา เปนการตง้ั ภาคี และการขอของเขาเปนอิบาดะฮ จึงจาํ เปน สาํ หรบั นักศึกษาของทานอิบนตุ ัยมียะฮท่จี ะตอ งศึกษาเก่ียวกบั กจิ การในสว น ของอลั ลอฮและการจาํ แนกกิจการน้ันๆ ออกมาจากกิจการในสว นของบุคคลอ่นื ใหไดเ สยี กอ น เพราะมนั คือกุญแจอนั เดยี วเทา นัน้ สาํ หรับคลี่คลายปญหา ๕- การขอในกจิ การทีผ่ ิดวิสัยธรรมชาตอิ ยูในขา ยของการตงั้ ภาคีดว ยหรือ? ไมต อ งสงสัยเลยวา เหตุการณทกุ อยา งท่ีปรากฎอยู ตามกฎเกณฑข องเหตุและผลน้ัน ไมอาจ ดําเนินขน้ึ มาได ถาหากไมมีเหตทุ ี่มา กลา วคือไมม ีส่ิงใดในโลกกวา งจะสาํ แดงปรากฏการณข น้ึ มา ไดโดยไมเ กยี่ วขอ งกับเหตุและการแสดงปาฏิหาริย ของบรรดานบี การสาํ แดงคณุ านภุ าพตา งๆ ของ บรรดาวะลียก ็มิไดเ ปนขอ แมท อี่ ยูน อกเหนือไปจากกฎเกณฑอ นั นี้ กลา วคอื จะเปน ไปไมได โดยที่ไม มีเหตุ กลาวโดยสรุปแลว ก็คือวา เหตุหลักของมนั มไิ ดมาจากรากเงาของสาเหตแุ หงกฎธรรมชาติ และไมอ าจกลาวไดเ ลยวา สภาพการณของมันทป่ี รากฏอยู ไมม ซี ึ่งสาเหตุหลกั ใดๆ อยา งเดด็ ขาด ดังน้ัน การทไ่ี มเทาของนบมี ซู าเปล่ียนกลายเปน งู ที่เคลอ่ื นไหวได การทว่ี ญิ ญาณไดกลับสู รา งคนตายดว ยปาฏหิ าริยข องพระเยซู (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) และการท่ดี วงจันทรไ ดแ ยก ออกเปนสองสวนโดยปาฏหิ ารยิ ของประมุขแหงบรรดานบี (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เริญและ ความสันตสิ ขุ แดทานและแดว งศว านของทา น) หรือการท่กี อนกรวดสนทนากับทา น หรือสดุดี สรรเสริญในมือของทาน ก็มิไดหมายความวา ส่งิ เหลานี้ ไมเกี่ยวขอ งกับเหตุ เชนเดยี วกับ ปรากฏการณท ั้งหลายทั่วๆ ไป หากแตมนั เกย่ี วขอ งกับเหตหุ ลักจําเพาะ ซึ่งอยูน อกเหนือเหตผุ ลแหง กฎธรรมชาติ สาํ หรบั กรณีท่ีวา ถา คนหน่ึงใหความชว ยเหลืออีกคนหน่ึง เพื่อใหเขาบรรลุในสิ่งที่เขา ตองการเกีย่ วกับเหตผุ ลตามกฎธรรมชาติกน็ ับวา เปนเรื่องทีด่ ําเนนิ ไปตามกฎของเหตุผลสาํ หรบั บรรดาผูมีสติปญ ญา แตป ญหาอยูตรงท่ีวา การใหค วามชว ยเหลอื เพ่ือใหบ รรลุถงึ ส่ิงตอ งการจาก วธิ กี ารอนั เรน ลบั และเหตผุ ลท่อี ยูนอกเหนือกฎธรรมชาติ และเรื่องนเ้ี อง ท่ีไดถกู มองวา เปน เร่ืองการ ตัง้ ภาคี ทา นเมาดูดยี ก ็ไดก ลาวไวในเร่อื งนวี้ า ถา ใครขอความตอ งการและกิจการใดเพอ่ื ใหไดแ กเ ขา โดยนอกเหนอื วิสยั ของธรรมชาตแิ ลว ไซร ก็เทากับการต้งั ภาคีและเปน การหมายถงึ ความเชอ่ื ใน สภาพความเปน พระเจา ของผถู กู ขออีกดานหนง่ึ ดวย” (๑) (๑) ดูหนังสอื มุศฏอลหิ าตุล อัรบะอะฮ หนา ๑๔

อยา งไรก็ดีรายละเอยี ดของเรื่องนยี้ ังไมอ าจใหความเช่ือถือเชนน้ันได ในเมื่อผูม สี ติปญญา ไดพจิ ารณาถึงการขอใหแ สดงปาฏิหารยิ แ ละกิจการที่อยูเหนือวสิ ัยธรรมชาติจากบรรดานบี และอลั - กรุ อานก็ไดอา งเรือ่ งราวเหลานนั้ ไว เกี่ยวกับบรรดาคนในสมยั ของทา นนบีตา งๆ โดยที่มิไดคาดโทษ เอาไวดว ยการโจมตแี ละติติงการกระทาํ อยา งน้นั เลย อัลลอฮไดท รงกลา วถงึ เรอ่ื งราวจากพวกเขาวา : “เขา (ฟร เอาวน ) กลาววา “หากวาเจา นํามาซงึ่ สัญญาณแลว เจา จงนาํ มนั มาซิ ถา หากเจาเปน หนึง่ ในผูสัจจรงิ ” (อัล-อะอรอฟ-๑๐๖) แนนอนบรรดานบเี องก็เรยี กประชาชนเพื่อมาประจกั ษกบั สงิ่ ทเี่ กดิ ข้ึนโดยฝม อื ของพวกเขา ในเร่อื งตางๆ ทนี่ อกเหนอื ธรรมชาติ และดว ยเหตุนี้ คนจึงเขามายอมรบั การเรยี กรอ งเพราะได ตระหนักชัดตอความจรงิ ทีผ่ มู าสอนอา ง เชน ทานมะซีห (เยซู) และคนอื่นๆ ในขณะท่เี ขามาขอให ทา นชว ยรักษาคนตาบอด และใหค นเปน โรคเรอื้ นหาย โอยอนุมตั ขิ องอัลลอฮ(๑) เขาก็มไิ ดเ ปนผตู ัง้ ภาคี และเชน เดียวกันน้ีกับกรณีท่วี า ขออยา งน้ีจากทานหลงั จากทา นไดถูกยกไปยังอัลลอฮแลว คือจะ ไมถ อื วาการขอทงั้ สองอยา งน้นั ตองแยกประเดน็ ไปวา ประเภททีห่ นึง่ คอื เร่ืองของหลักเอกภาพ สวนประเภทท่สี องคอื เรื่องการต้งั ภาคี ยง่ิ ไปกวานี้กค็ ือวา พวกบะนอี สิ รออีลขอน้ํา และนาํ้ ฝนจากนบีมูซา ในขณะทีพ่ วกเขาพลัด หลง เพอื่ ชวยปลดปลอยความกระหายของพวกเขา ดังที่อัลลอฮทรงมีโองการวา : “และจงไดดลมายงั มซู าในขณะท่พี วกของเขาขอนา้ํ ด่ืมจากเขาวา เจา จงตหี ินดวยไมเทา ของ เจา ” (อลั -อะรอฟ-๑๖๐) แนน อน ทานนบสี ุลัยมานก็ไดข อรองใหผ ูที่อยูใ นที่ชุมนุมนาํ บลั ลังกข องสตรี ซงึ่ ปกครอง คนของนางอยู ดงั ที่อลั ลอฮไดทรงบอกเลา ไวว า : “เขากลา ววา : โออ าํ มาตยเ อย ผใู ดบา งในหมูพวกทา นทจ่ี ะนาํ บัลลงั กข องนางมายงั ฉนั ได กอ นทพี่ วกเขาจะมายงั ฉันในฐานะผูนอบนอม ฆฟิ รีตญินตนหนง่ึ ฉันจะนาํ มันมายงั ทา นกอ นทที่ า น จะลุกออกจากที”่ (อัน-นัมลุ ๓๗-๓๘) ดังน้ัน ถาหากวา การขอในส่งิ ที่ผิดวสิ ยั ธรรมชาติตอผอู น่ื ที่นอกเหนอื ไปจากอลั ลอฮเปน การ ตงั้ ภาคีแลว พวกบะนีอิสรอเอลจะขอรองจากมซู านบขี องพวกเขาในเรอื่ งนีอ้ ยา งไร หรอื วานบสี ลุ ัย มานจะขอรอ งจากพรรคพวกวา ใหนาํ บัลลังกดังกลาว ซึง่ ต้งั อยทุ ีแ่ ดนไกลมาใหไดอยางไร ทุกสงิ่ ทุก อยางเหลา นี้ไดช ี้ใหเ ห็นวา การขอในสิ่งท่ผี ิดวิสัยธรรมชาติ หรอื ขอสง่ิ หนึ่งสิง่ ใดท่นี อกเหนือกฎ ธรรมชาติจากผูอื่นมิไดเ ปนประเดน็ ของการตัง้ ภาคดี วย ดงั น้ัน จึงไมอ าจกลา วไดว า การขอในสงิ่ ท่ี (๑) ดเู ร่ืองปาฏหิ ารยิ ข องทานมะซีห (เยซู) ไดในซูเราะฮ อาลิ อิมรอน โองการท่ี ๒๓๙ และ ซูเราฮ มาอิดะฮ โองการที่ ๑๑๐

ผดิ ธรรมชาติเปนเร่ืองทอ่ี นุญาตใหทาํ ไดในกรณที ่ีขอจากผเู ปนโดยไมอนญุ าตใหขอจากผตู าย และ ดวยเหตนุ ้เี องท่ีเราไดทําการวเิ คราะหเจาะลกึ กนั ในการหาความชดั เจนเก่ียวกบั ประเด็นตา งๆ ท่ีเปน เร่อื งของการตัง้ ภาคีและหลักเอกภาพ ลักษณะทีถ่ อื วาการขอในส่ิงที่ผดิ วิสยั ธรรมชาติเปนเรื่องของความเช่ือถือทม่ี ตี ออํานาจอัน เรนลับ อันหมายถึงความเช่ือสําหรับสภาพความเปน พระเจา น้ันแนนอน ทานก็ไดท ราบคาํ ตอบของ เรือ่ งนีโ้ ดยละเอียดไปแลว ลักษณะทีถ่ ือวา การขอใหหายปวยและปลดเปล้ืองหนีส้ ิน เปนการขอในกจิ การของอัลลอฮ จากผูอ น่ื น้ัน ไดถูกผลักไสออกไปทันทที ี่ทา นไดตระหนกั ชัดวาประเด็นที่เปนสวนสําคญั ในการ จําแนกแยกแยะวา อะไรเปน งานของอัลลอฮกับอะไรทเี่ ปนงานของผอู ่ืนน้ัน เรอื่ งของมันมไิ ดอยทู ี่วา มันมีลักษณะทน่ี อกเหนอื กรอบของกฎเกณฑธ รรมชาติและผดิ วิสยั ธรรมดาสามัญของกฎแหง จกั รวาล จนถึงกบั วาการขออยางนจ้ี ากผอู ่ืนนอกเหนอื จากอลั ลอฮ เทา กับเปนการขอในกจิ การของ พระผเู ปน เจาจากบคุ คลอนื่ แตทวา ขอ พิสนู ท ี่จะช้ชี ดั ในเรื่องกจิ การทีเ่ ปนสว นของพระผเู ปน เจา ก็คอื การท่ที รงเปน ผกู ระทาํ ท่ีมีอิสระในการสราง, การบันดาลโดยมไิ ดเ กี่ยวขอ งกบั ผใู ดเลย ไมว า งานน้นั จะเปนงาน ประเภททเี่ ปน ไปตามกฎธรรมชาตหิ รือนอกเหนือกฎธรรมชาติ และจาํ เปนสําหรบั ผูแ สวงหาความ จริงจะตองศึกษาเก่ยี วกับงานของอลั ลอฮและงานของบุคคลอื่น ดวยการศกึ ษาอยา งลึกซึง้ อันไดมา จากคัมภรี อ ัลกุรอานและแบบฉบับ(ซุนนะฮ) อีกทั้งจากสตปิ ญ ญาที่ยอมรับความจริง กลา วอกี นยั หน่งึ เร่ืองทัง้ หมดมใิ ชจ ะชขี้ าดกันไดใ นขอสรุปท่ีวา งานใดท่เี กดิ ข้ึนตาม แนวทางของกฎธรรมชาติแลว จะหมายถึงงานในสว นของมนษุ ย และงานใดท่ีเกิดจากแนวทางท่ีอยู นอกเหนือกฎธรรมชาตกิ ็จะหมายถงึ งานของอลั ลอฮ แตงานท้งั หมดมีอยูสองสว น กลา วคือ สวน หน่ึงท่ถี ือวา เปนงานของอัลลอฮน้ันจะไมเ ปนที่อนมุ ัติใหขอจากผูอน่ื ไมวาจะเปน เรอื่ งปกตวิ สิ ัย หรอื นอกเหนือปกติวสิ ยั กับอีกสว นหนง่ึ ท่ีถือวา เปน งานของบุคคลอ่ืนนอกจากอัลลอฮ เปนทอี่ นุมัติ ใหข อจากผอู น่ื ได ไมวา จะเปน เร่ืองปกติวิสัยหรือนอกเหนือปกติวิสัยอกี เชน กนั ดวยเหตุนจ้ี งึ เปนอนั วา การขอใหหายปว ยจากบรรดาวะลียต ามแบบทเี่ ราไดอ ธบิ ายมาแลว จึงไมขดั แยง กับ รากฐานของหลักเอกภาพแตอ ยา งใด

ภาคท่สี ี่ หลกั ความเชือ่ ถือของพวกวะฮาบยี  แทจ ริงผูทไี่ ดศ ึกษาตาํ หรับตําราของพวกวะฮาบียและที่ไดอ าศัยอยูร วมสัมคมกบั พวกเขา จะเหน็ ไดวา เรอ่ื งการตงั้ ภาคไี ดถูกเนนหนักมากกวาเร่อื งใดๆ ไมวา จะเปนตํารา คาํ พดู คําปราศรยั ของพวกเขา กลา วคอื ไมว า จะผันไปทางขวาหรือซา ย ก็ไมแ คลวจะตอ งไดยินพวกเขาสาธยายกัน เปน คงุ เปนแคว วา อนั นน้ั เปนการตงั้ ภาคี อันน้เี ปนเร่ืองอตุ ริ (บิดอะฮ) ทั้งๆ ทก่ี ารกระทาํ อยางนกี้ ็ เปนเรอ่ื งอุตรเิ หมอื นกนั โดยเหตทุ ่ีถาหากวา สง่ิ ทีจ่ ะช้ีขาดหมายถึงสิ่งที่พวกเขาพูด หรอื เขียนไวใ น ตําราตา งๆ ของพวกเขาแลว มุสลมิ อีกสวนมากกจ็ ะไมสามารถเขา มาอยใู นบัญชขี องผูอยูในหลัก เอกภาพไดเลย ทานลองมาพิจารณาเถิดวา ความคับแคบทพี่ วกวะฮาบยี ไดพ ยายามสรางขนึ้ มาในสังคม แหง ประชาชาติอสิ ลามนีห้ มายถงึ อะไร ส่ิงน้ไี ดถูกผลักดันขึ้นมาจากนํ้าใสใจจรงิ ในการแสวงหาสจั ธรรมและการจาํ แนกแยกแยะหลักเอกภาพออกไปจากเร่ืองการตงั้ ภาคกี ระนั้นหรือ หรอื วาส่ิง เหลาน้นั คอื เกมสการเมอื ง ที่บรรดาจกั รวรรด์ินิยมไดสรา งขึ้นมาเพือ่ เปา หมายในการสรา งความ แตกแยกขั้นในระหวา งบรรดามสุ ลิม ใหเกดิ ความระสาํ่ ระสายและสรา งความบัดสีขน้ึ ในหมูพวก กันเองเพ่อื จะไดบ รรลุถงึ แผนการณบางอยางตามความตอ งการ...วัลลอฮุอะลัม... อยางไรก็ดี ในท่นี เ้ี ราตอ งการยกเร่ืองราวเหลานมี้ าพสิ ูจนก บั คัมภีรข องอลั ลอฮและแบบ ฉบบั (ซุนนะฮ) ของทานศาสนทตู อกี ท้ังแนวทางปฏบิ ตั ิของบรรดาคอลีฟะฮข องทาน เพ่ือเราจะ พิสูจนวา คัมภรี ข องอลั ลอฮ แนวทางชวี ติ ของทา นนบแี ละบรรดาคอลีฟะฮข องทานนน้ั เปน ไปตาม ความคิดแคบๆ อยา งนีด้ ว ยหรือไม? คาํ ตอบสําหรับเรอ่ื งนีท้ านสามารถบอกลวงหนาไดเ ลยวา ไม. .. การโนมนา วคนใหเ ขา มารบั อิสลาม ผูท่ีศึกษาถึงประวัตศิ าสตรใ นสมยั ของทา นศาสนทูต (ศ) และความเปน ไปตา งๆ ในการ เปลี่ยนแปลงหลกั ความเชอ่ื ถือและแนวความคิดในตอนแรกเริ่มนั้นเขาจะพบวา คนในเผา ตา งๆ ท่มี ี ประเพณีและขนบธรรมเนียมหลากหลายไดรับการเช้อื เชญิ ใหเ ขามารับอิสลามและคนเหลา นั้นเปน จาํ นวนมากทีไ่ ดเ ขา มายอมรบั ตอศาสนานี้ อกี ทั้งจะพบวาทา นนบีและบรรดามสุ ลมิ ก็ยอมรับในการ เขาอสิ ลามของพวกเขา และทา นไดข อใหพวกเขากลา วคําปฏญิ าณสองประโยคเทานน้ั โดยทีม่ ิได สัง่ ยกเลิกขนบธรรมเนียมจากสังคมเดมิ ที่พวกเขาเคยมอี ยูก อนแตอ ยางใดเลย และนาํ พวกเขาเขาสู รปู แบบของสังคมใหมอ ันแตกตางไปจากสังคมและประเพณขี นบธรรมเนยี มดงั้ เดิมอยางสิน้ เชงิ แนนอน เร่อื งของการใหเกียรตผิ ทู รงคณุ วุฒิ (ทัง้ มชี วี ติ อยูและตายไปแลว ) อกี ทง้ั การรําลึก ถงึ ผตู าย การเยอื นสุสาน และการแสดงออกถึงความสมั พนั ธกบั สง่ิ เหลาน้นั นบั วา เปนกิจกรรมท่ี แพรห ลายกันอยใู นหมูพวกเขา

จนปจจบุ ันนี้ เรากย็ งั พบวา ประชาชนในภมู ิภาคตา งๆ (ท้งั ตะวักตกและตะวนั ออก) ยังมี การใหเกยี รติ เทดิ ทูนรําลกึ ถึงผูทรงคณุ วฒุ ขิ องพวกเขาอยุ มกี ารเยอื นสุสาน พลเมอื งของพวกเขา และมกี ารกลับไปหาสุสานอยเู สมอๆ อกี ทั้งมกี ารแสดงความโศกเศรา รองไหแ ละแสดงออกใน รูปแบบตา งๆ..โดยถือวา ทกุ สง่ิ ทุกอยา งท่ีกระทาํ ลงไป เปนการใหเกยี รตอิ ยา งหน่ึง ทเ่ี กดิ ข้ึนมาจาก ความรกั ความอาลยั และความสาํ นกึ ทีเ่ กิดมาจากสว นลกึ ของความหว งถวิล กลาวโดยสรุปแลว เราไมเ คยพบขอ มูลใดท่ีอา งวา ทา นนบี(ศ) ไดยอมรับการเขารบั อิสลาม ของคนตา งถิน่ และคนในถิ่นดว ยวิธกี ารวางเงอ่ื นไขแกคนเหลาน้นั วา จะยอมรบั หลังจากท่พี วกเขา ไดสลัดทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีแหงสังคมเหลาน้ี... และหลังจากท่คี วามเช่ือถือของพวกเขาถกู ชําระสะสางหมดแลว แตท วา เราจะพบวา ทานนบี(ศ) ไดข อคําม่ันจากผเู ขามายอมรับอิสลามใหมๆ ดว ย การใหป ฏิญาณสองประโยคและปฏเิ สธบรรดาเจวด็ ถา หากวา ขนบธรรมเนียมประเพณเี หลานีเ้ ปน การตงั้ ภาคแี ลว แนนอน ทานนบีจะตอ งไม ยอมรับการเขา อิสลามของคนในกลุมตางๆ เหลาน้ันเปน แน จนกวาภายหลังจากไดเ ปน ทีป่ ระจกั ษ แกท า นถงึ การสลัดทงิ้ ประเพณีกรรมตา งๆ เหลาน้นั เสียกอน เปน อันวา ถาการละท้ิงความสมั พันธกับบรรดาวะลียในฐานะเปน ส่อื (ตะวัซซุล) กับการหา ความจาํ เรญิ ตอ รองรอยของพวกเขา และการเย่ียมเยอื นสุสานของพวกเขา มนั หมายถึงเงื่อนไข อนั หนึง่ สําหรับการสําแดงความจรงิ ของความศรัทธาใหตรงกันขามกับการตงั้ ภาคี และเปน การ สงวนไวซึง่ เลือดเนอ้ื และทรัพยสนิ แลว แนนอนวา จาํ เปน แกทา นนบขี องอิสลามทจ่ี ะตอ งวาง เงือ่ นไขทุกอยางเหลานเ้ี สียกอน (คือใหล ะทิง้ กิจการเหลาน้ี) ในขณะที่ชนเผา ตา งๆ เขา มารบั อิสลาม และแนนอนวา จาํ เปนทีท่ านจะตอ งแถลงอยา งชัดเจนเกี่ยวกบั เรือ่ งนบี้ นมมิ บัรและตอ ประจกั ษพยาน ใหครงั้ แลว ครงั้ เลา และถา หากทา นไดแถลงใหช ัดเจนเสียอยางนแ้ี ลว ก็จะไมเ ปนทีค่ ลุมเครืออยู สําหรบั บรรดามุสลมิ เพราะฉะนัน้ ทกุ สิง่ ทุกอยางเหลา นแ้ี สดงใหเห็นวา ไมมกี ารวางเง่ือนไขใหละ ทงิ้ กิจการเหลาน้ี นอกจากมันจะมิใชเ ปนอยา งนแี้ ลว มันก็ยงั แสดงวา การละทง้ิ กิจการตางๆ ดงั กลา ว น้ัน มิไดเ ปนเง่ือนไขสําหรบั การสาํ แดงความเปนจริงของความศรทั ธาและมิไดหมายความวา ปฏเิ สธการตง้ั ภาคี อกี ทัง้ การปฏบิ ตั ิสิง่ เหลา นนั้ กม็ ิไดท ําใหเ ปน คนทห่ี างไกลจากความศรทั ธาและ จะทาํ ใหเ ปน ผทู ใี่ กลช ดิ การต้งั ภาคีแตอ ยา งใดเลย ถา หากวา การแสวงหาสือ่ , การแสวงหาความจาํ เรญิ (อตั ตะบรั รกุ ), การเยอื นสสุ านมัน หมายถงึ ความเชื่อถือในสง่ิ เหลา นัน้ วา มีสภาพความเปนพระเจา แลว แนน อนทสี่ ุด เรื่องเหลานี้ จะตอ งไมเปน ทคี่ ลมุ เครือไวสําหรับบรรดามสุ ลมิ ซ่ึงพวกเขาทั้งหลายไดด าํ เนินชีวติ มาดว ยการ กระทําในส่ิงเหลาน้ีจนถงึ กับวา การกระทาํ ของพวกเขาเปน ส่ิงท่ขี ัดแยงกันกบั การยอมรบั ของพวก เขาทมี่ ีตอ พระเจา องคเ ดยี ว แนน อนที่สุด มีรายงานบอกเลาที่สอดคลองตรงกนั ท้ังหมดมาจากทา นนบแี ละวงศวานของ ทา น (อลั ลอฮทรงประทานความจาํ เริญตอ พวกทา นทัง้ มวล) วา อสิ ลามไดสงวนชีวิตเลอื ดเน้ือ,

รกั ษาเกียรตยิ ศ, ทรัพยสนิ , และรักษาพันธะกรณี, ตลอดจนถึงเรอื่ งอื่นๆ อกี มากทีเ่ ปนกฎเกณฑวาง ไวส าํ หรบั อิสลาม ขอใหท า นผอู าน ไดพจิ ารณาดูในรายงานของทา นบุคอรี ทบ่ี นั ทกึ มาจากทา นอิบนุอับบาส ท่ีไดเ ลามาจากคําพูดของทา นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ (ศ) ก็พอ ทวี่ าทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ(ศ) ได กลา วแกทา นมอุ าซ บนิ ญะบัล ในขณะทีไ่ ดสงเขาไปยังเมอื งยะมนั วา : “แทจ ริงเจา จะตองไปหาพวกอะฮล ิสกิตาบ ดงั นั้นเม่ือเจาไปถึงพวกเขาแลว กจ็ งเชญิ ชวน พวกเขาเขาสปู ระเด็นทว่ี า พวกเขาจะตอ งปฏญิ าณวา ไมม พี ระเจา อ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮ และแทจ รงิ มฮุ ัมมัดคือศาสนทตู ของอลั ลอฮ ดังนั้นถา พวกเขาเชอ่ื ฟงปฏิบตั ิตามเจา อยา งนัน้ แลว เจา กจ็ งแจง ให พวกเขาทราบวา อัลลอฮไดวางบทบญั ญัติใหพวกเขาดาํ รงไวซ ึ่งการนมาซทง้ั หาในทุกวันทุกคืน ดังน้ันถาพวกเขาเชอ่ื ฟงปฏิบตั ติ ามเจา อยา งนนั้ แลว เจากจ็ งแจง ใหพ วกเขาทราบวา อัลลอฮไดว าง บทบัญญัตใิ หพวกเขาบรจิ าคทาน โดยเอามาจากคนร่ํารวยกลบั ไปจา ยใหคนยากจน ดังนั้นถา พวก เขาเชอื่ ฟง ปฏบิ ัตติ ามเจา อยา งน้ันแลว เปนหนา ท่ขี องเจา ทจ่ี ะตองปกปองทรัพยสินของพวกเขา” (๑) ทานบุคอรแี ละทา นมสุ ลมิ ไดบ ันทึกไวใ นบททวี่ า ดวยเกยี รตศิ ักดิ์ตา งๆ ของอาลี (ความสนั ติ สุขพงึ มีแดทา น) (๑) วา ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศ) ไดก ลาวในวนั ทาํ สงครามค็อยบัรวา : “แนน อนทสี่ ุด ฉนั จะตองมอบธงนแ้ี กช ายคนหน่ึงท่ีรักอัลลอฮและศาสนทูตของพระองค โดยอัลลอฮไดทรงใหช ยั ชนะปรากฎแกฝ มือของเขา” ทานอุมัร บนิ คอ็ ฏฏอ็ บไดกลา ววา : ทา นไมเคยปรารถนาชยั ชนะใหเหมือนกับวันนี้มากอน ทา นกลาววา : ฉนั มีความยินดีกบั มัน จนฉันถึงกับวงิ วอนขอไวสําหรบั ธง ทานอมุ ัรไดกลา ววา : แลว ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮ(ศ) ก็ไดเรียกทานอาลี บนิ อาบีฏอลิบเขา มา ดงั น้ันทานก็ไดม อบธงใหแ ก ทานอาลี แลว กลา ววา : “จงเดนิ ททาง และอยาหนั เหจนกระท่งั อลั ลอฮใหช ัยชนะประสบแกเจา ” แลว ทา นอาลกี เ็ ดินไปหนอ ยหนง่ึ หลงั จากน้ันก็หยุดแตไ มห ันตัวพลางตะโกนถามวา : โอท านศาสน ทูตแหงอลั ลอฮ เพราะเหตอุ นั ใดทฉ่ี ันตอ งฆา คน? ทานศาสนทูต (ศ) กลาววา : “เจาจงฆา พวกเขาจนกระทง่ั พวกเขาไดป ฏิญาณวา ไมมพี ระเจา อ่ืนใด นอกจากอัลลอฮ และ แทจริง มุฮมั มดั เปน ศาสนทูตของอัลลอฮ ครนั้ เมอ่ื พวกเขากระทาํ ตามนัน้ แลว ก็เทากับวา เลือดเนอ้ื และทรพั ยสินของพวกเขาจะตองรอดพนไปจากเจา เวน แตโดยสทิ ธอิ ันชอบธรรม บัญชขี องพวกเขา ขึ้นตรงยงั อลั ลอฮ” (๒) ทานบุคอรีและทา นมุสลิม ทานตริ มซิ ีย ทา นมะซาอยี ไดรายงานมาจากทานอบั ดุลลอฮ บนิ อมุ รั วา ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศ )ไดกลา ววา : (๑) ศอฮีฮ บุคอรี เลม ๕ บทท่ีวา ดว ยการสง อะบีมูซาและมอุ าซไปเมืองยะมนั หนา ๑๖๒ (๑) สาํ นวนประโยคตามบนั ทึกของทานมสุ ลมิ ดูอัล-บุคอรี เลม ๒ หมวด มะนากิบ อาลี (อ) (๒) ศอฮฮี  มุสลมิ เลม ๖ บททว่ี า ดว ยเกียรติศกั ด์ิของอาลี บนิ อบฏี อลิบ

“อิสลามไดถูกตราไวกบั มลู ฐานหาประการ คอื : การปฏญิ าณตนวา ไมมีพระเจา อ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮ และแทจ รงิ มฮุ มั มัด เปน ศาสนทูตของอัลลอฮ ดาํ รงการนมาซ การบริจาคซะกาต การบาํ เพญ็ ฮัจญ การถอื ศลี อดในเดือนรอมฎอน (๓) ทา นบุคอรไี ดรายงานไวอกี ตอนหนึง่ จากทานอิบนุอุมัร วา ทา นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ (ศ) ไดกลาววา : “ฉันถูกสั่งมาวา ใหฆ า คนจนกระทัง่ วา พวกเขาไดป ฏิญาณวาไมมพี ระเจาอื่นใดนอกจาก อลั ลอฮและแทจริงมฮุ มั มัดเปนศาสนทูตของอลั ลอฮ และพวกเขาดํารงการนมาซ และจา ยซะกาต ดังน้ันเมื่อพวกเขาไดก ระทําอยางน้แี ลว เลือดและทรพั ยสินของพวกเขาก็ถูกปกปอ งพนไปจากฉัน นอกจากโดยสิทธอิ นั ชอบธรรมของอิสลาม บญั ชีของพวกเขาข้นึ ตรงตออัลลอฮ” (๑) นอกจากนแ้ี ลวก็ยังมีฮาดษี ตา งๆ ของทา นนบปี รากฏอยูในกติ าบุล-อมี านในตาํ ราศฮิ าฮแ ละ สุนัขตา งๆ มากมาย สว นทีถ่ กู รายงานมาโดยบรรดาอิมามแหงอะฮลุลยบยั ตนั้น จะขอเสนอใหท านพิจารณา เรื่องทเ่ี ลา มาโดยบคุ คลหนงึ่ ทีไ่ ดฟง มาจากทา นอิมามศอดกิ (ความสนั ติสุขพึงมแี ดทาน) ท่ีทานได กลา ววา : “อิสลาม คอื การปฏญิ าณตนวา ไมม พี ระเจาอื่นใดนอกจากอลั ลอฮ และเชื่อมนั่ ตอทานศา สนทูตของอัลลอฮ ปกปอ งการเสยี เลือดเน้ือ ดาํ เนนิ การแตง งานและสบื ทอดมรดก” (๒) ฮาดีษตา งๆ เหลา นที้ กุ บทลวนยืนยันอยางชดั เจนวา ส่งิ ทป่ี กปอ งการเสยี เลอื ดเนอื้ รักษา ทรัพยสนิ เกยี รติยศ และนาํ มนุษยเขาสูสภาพของมสุ ลมิ นั้น คือความเชอื่ ถือตอเอกภาพของพระองค และคาํ สอนของศาสนทูต แบบฉบบั (ซนุ นะฮ) ของทานนบ(ี ศ) น้ัน ดาํ เนนิ ไปอยางนี้ กลาวคอื ทา นไดขอปฏิญญาจาก บคุ คลตางๆ ดว ยการใหเ ปลง คาํ ปฏิญาณสองประโยค และจะไมม ใี ครเหน็ วา ทา นไดถามถงึ สมาชกิ ใหมท ่เี ปลง คําปฏิญาณสองประโยควา : พวกเขาไดถ อื เอาบรรดานบแี ละบรรดาวะลยี อกี ท้ังส่งิ บรสิ ทุ ธเิ์ ปนสื่อหรอื ไม? พวกเขาไดแ สวงหาความจาํ เรญิ ตอรองรอยของบุคคลเหลาน้นั หรอื ไม? (๓) ดอู ัต-ตาจญอลั ญามอิ ลิล อุศูล ของชยั คมนั ศูร อาลี นาศิฟ เลม ๑ หนา ๒๐ (๑) ศอฮฮี  บคุ อรี เลม ๑ กิตาบบลุ อมี าน หมวดวา ดว ย “ถา หากพวกเขากลับตวั และดาํ รงการนมาซ ในศอฮฮี อ ิบนุมาญะฮ เลม ๒ บททวี่ า ดวยปฏญิ ญาจากผกู ลาววา ลา อลิ าฮะ อิลลลั ลอฮ หนา ๔๕๗ (๒) อลั -กาฟ เลม ๒ หนา ๒๕ บทท่วี า ดว ย อีมานอยูในขายของอิสลาม แตอ ิสลามไมอ ยูใ นขา ยของ อมี าน ทา นจะเห็นวามีรายงานในเร่ืองน้ีละเอยี ดมาก

พวกเขาเย่ยี มเยอื นสสุ านบรรดานบีหรอื ไมเ ปนอันดบั แรก เพือ่ เปนเง่อื นไขแกพวกเขาวา ใหพวกเขา ละทิ้งการแสวงหาสอื่ (ตะวซั ซลุ ) การแสวงหาความจาํ เริญ (ตะบรั รกุ ) และการเยอื นสสุ านเสียกอน ทุกสิง่ ทุกอยางเหลา นใี้ หเหตุผลวาสง่ิ ทท่ี าํ ใหอสิ ลามปกปกษรกั ษาเลือดเน้อื เกียรตยิ ศ ทรัพยสินก็คือ การยอมรับคาํ ปฏิญาณท้ังสองและเปลงคาํ ทงั้ สองออกมาเทา น้ัน สว นสิ่งอื่นๆ ที่ นอกเหนือไปจากน้ี ไมเ ขา มาอยใู นขา ยของการปกปก ษร ักษาเลอื ดเนอ้ื ทรัพยสนิ และเกียรตยิ ศเลย ใช สาํ หรบั ประเด็นที่วา อัลลอฮไดกําหนดใหบ รรดามุสลิมนาํ เร่อื งน้นั ๆ ยอ นกลบั ไป หาอลั ลอฮและศาสนทตู ในกรณที ่พี วกเขาขัดแยง กันหรือมคี วามเหน็ แตกตางกนั ในเร่ืองหนึ่งๆ ดงั ท่ี พระองคท รงกลาววา : “ดังน้ัน ถา หากสเู จาขดั แยง กันในเรื่องใดเร่ืองหน่งึ กจ็ งนาํ เร่อื งนน้ั ๆ กลบั ไปหาอลั ลอฮ และศาสนทตู หากสเู จาศรัทธาตออลั ลอฮและวันปรโลก” (อนั นิซาอ-๕๙) พระองคมีโองการอกี วา : “และถาหากวา พวกเขานาํ เรอ่ื งนน้ั ๆ กลบั ไปยังศาสนทูตและผูบังคบั บัญชาของพวกเขา แลว แนนอนบรรดาผทู ่ีสามารถวินจิ ฉัยตคี วามในหมูพ วกเขากจ็ ะรูม นั ได” (อันนซิ าอ- ๘๓) ดวยเหตนุ ีเ้ อง มสุ ลิมคนหนง่ึ คนใดก็ตามไมมสี ทิ ธทิ ีจ่ ะประนามมุสลมิ อกี หมูหนง่ึ และไมมี สิทธิท่จี ะดา จะโจมตี วา ชนหมูน้ันเปน ผปู ฏเิ สธ ผทู รยศ ตราบใดทีย่ ังมีการยึดมั่นอยใู นคําปฏิญาณ ทงั้ สอง ยงั จา ยซะกาต ซ่ึงจะกระทาํ อยางนน้ั เพียงเพราะการที่พวกเขาแสวงหาสื่อ (ตะวัซซลุ ) กับ บรรดานบีหรือแสวงหาความจาํ เริญกบั รอ งรอยของทา นเหลานั้น หรอื อื่นๆ ทน่ี อกเหนอื ไปจากนี้ อันไดแกข อ ปลีกยอยตา งๆ ทางวชิ าการในสวนที่เปน รายละเอียด ซงึ่ บรรดานกั ปราชญและ ผูทรงคุณวฒุ ิในหมูพวกเขาไดล งมตใิ นเรอ่ื งนัน้ ๆ ไปแลว ดังนั้น ถา หากมกี ารประณาม หรอื โจมตีพวกเขาวา ทาํ การตง้ั ภาคี กเ็ ทากบั ออกนอก ขอบเขตตามทอ่ี ัลลอฮทรงประสงคไ วแกบ รรดามุสลมิ ดังท่พี ระองคมโี ดงการวา “แทจ ริง บรรดาผทู ่แี บงแยกศาสนาของพวกเขา และเปนพวกตา งๆ นน้ั พวกเขาจะไมไ ดอยู ในสง่ิ ใดเลย” (อัล-อันอาม-๑๕๙) พระองคกลาวอกี วา : “โอบ รรดาผูศรทั ธาทงั้ หลาย สูเจาจงยาํ เกรงอัลลอฮ ดวยการยําเกรงตอพระองคอยา งแทจริง และสูเจา อยา เพงิ่ ตายเด็ดขาด นอกจากสูเจาเปนผนู อบนอมและสูเจา จงกระหวดั อยา งเหนยี วแนนกับ เชือกของอัลลอฮโดยพรอ มเพรยี งกันและจงอยา แตกแยกกนั ” (อาลิ อิมรอน ๑๐๒-๑๐๓)

ความหมายของคาํ วา สายเชอื กของอัลลอฮซึง่ จําเปน ตองทําการผูกมดั ตัวนั้นคือศาสนาของ พระองค ทใ่ี หความหมายไววา อิสลาม ดงั ท่ีพระองคท รงมีโองการวา : “แทจรงิ ศาสนาจากอลั ลอฮคอื อสิ ลาม” (อาลอิ มิ รอน-๑๙) อิสลาม คอื การแสดงการปฏญิ าณสองประโยคมาใหเปนทีป่ รากฏและในการมอี ยูของคาํ ปฏญิ าณนี้ในกลุมชนตา งๆ ของบรรดามุสลิมนั้นไมเ ปนส่ิงท่ตี อ งสงสัยนอกจากผูท่ียอมรับสภาพ ความเปน ผปู ฏิเสธของพวกตนเชน พวกเคาะวารจิ ญแ ละพวกนะวาศบิ จากการที่ไดพ ิจารณาคมั ภีรอ ลั -กรุ อาน และเร่ืองราวในแบบฉบับของทา นศาสดา (ซนุ นะฮ) จะพบวา ในหลกั การของส่งิ ทงั้ สองไดเรียกรอ งใหเนนถึงความรกั ความเปนพ่ีนอ งกันระหวา งมวล มสุ ลิม มใิ หมีการแตกแยกกัน โจมตซี ึ่งกันและกันวา เปน ผูป ฏเิ สธ อกี ท้ังการปรกั ปรําประณาม ตลอดจนเขนฆาทาํ ลายกัน ทานบุคอรี ไดรายงานไวหลายกระแส เก่ียวกับฮาดีษของทานนบี(ศ) ท่ีไดกลาวในวาระที่ ทาํ ฮจั ญค รง้ั สดุ ทา ยวา : “พวกทานจงพิจารณาใหด ี และจงอยา ยอ นกลบั ไปเปนผูปฏิเสธในภายหลังจากฉนั โดยท่ี ฝา ยหนึ่งของพวกทา นโจมตอี ีกฝายหนึง่ ” (๑) แลวเปน อยา งไรกันท่ีพวกวะฮาบียถึงไดยินยอมพรอมใจกันโจมตีบรรดามุสลมิ ผูยึดในหลัก เอกภาพวา ทาํ การตง้ั ภาคี ซง่ึ ก็มิใชเพราะสาเหตอุ ื่น นอกจากการทพ่ี วกเขาไดมีการแสดงออกมาซ่งึ ความรกั ท่ีมตี อทานนบี (ศ) ดวยการจูบสุสานและดวยการใหเกียรติแกทา นเทา นนั้ เอง พรอ มๆ กับทกุ ส่ิงทุกอยางเหลา นี้ เรากไ็ ดนําหลักความเชื่อของพวกวะฮาบยี ม าพิสจู น กับอลั -กรุ อานและกบั ซนุ นะฮอยา งละเอียด จนกระท่ังความจริงไดป รากฏออกมาอยา งชดั เจนแลว และเราจะสรปุ เร่อื งราวทม่ี ากมายเหลา นัน้ มาสักเลก็ นอ ย ๑- การขอใหหายปว ยและการบาํ บัดโรคจากผอู ื่นนอกเหนือจากอัลลอฮเปน การต้งั ภาคดี ว ย หรอื ? ๒- การขออนุเคราะหความชว ยเหลือจากบา วของอัลลอฮ เปนการตั้งภาคีดว ยหรือ? ๓- การขอความชว ยเหลือตอบรรดาวะลยี ของอลั ลอฮเปน การตง้ั ภาคดี ว ยหรือ? 4- การขอตอ บรรดาผมู คี ุณธรรมเปน การต้งั ภาคีดว ยหรือ? 5- การใหเกียรติ การยกยองตอบรรดาวะลียข องอัลลอฮเปนการต้งั ภาคีดว ยหรอื ? 6- การแสวงหาความจาํ เรญิ ตอ รองรอยของนบแี ละบรรดาวะลยี เ ปนการต้งั ภาคีดว ยหรอื ? 7- การกอสรางสสุ านเปน การตัง้ ภาคดี ว ยหรือ? ๘-การเยอื นสุสานเปน การตั้งภาคีดว ยหรือ? 9- การนมาซทส่ี สุ านของผมู ีคณุ ะรรมเปน การต้งั ภาคดี วยหรอื ? (๑) อัล-บุคอรี เลม ๙ กิตาบบุลฟตัน บทที่ ๗ ฮาดีษท่ี ๑-๒ และอกี หลายฮาดษี

10- การสาบานดวยนามของสงิ่ อนื่ นอกเหนอื จากอัลลอฮ และบนบานตอ ส่งิ ถูกสรา งหรือ อางถงึ สิทธิของสงิ่ น้ัน เปน การต้ังภาคีดว ยหรอื ? ในกรณที ่ีพิสจู นไ ดวา เรอื่ งราวเหลาน้ี ไมเ ปนการตั้งภาคแี ลว มนั เปนสงิ่ ท่อี นญุ าตใหก ระทํา หรอื ไมน้ัน แนน อนเราก็ไดดาํ เนินการอธิบายไปแลว ในภาคแรกและในภาคทีส่ องเราก็ไดอ ธบิ าย เพ่ือหาขอสรุปทสี่ มบรู ณส าํ หรบั เรอื่ งราวทเี่ ปนหนา ทข่ี องหนงั สือเลมนี้ น่ันคอื การวิเคราะหห ลกั เอกภาพและการตง้ั ภาคี โดยมไิ ดวิเคราะหวา ส่งิ ใดเปน ทอ่ี นุญาตและสงิ่ ใดเปน สง่ิ ทห่ี ามมใิ หก ระทาํ ๑- การขอใหห ายปว ยและการบาํ บดั โรคจากผูอน่ื นอกเหนือจากอัลลอฮ เปนการตั้งภาคดี วยหรอื ? สําหรบั ประเดน็ ท่วี า โลกนีแ้ ละปรากฏการณตา งๆ ในจักรวาลท้งั หมดเกดิ ข้ึนมาจากสาเหตุ และตน เหตซุ ่ึงมนั เปน บทบาทหนง่ึ สําหรบั สงิ่ ถกู สรา งอยา งหน่งึ ของอลั ลอฮ และเหตุผลเหลา น้ัน เปนของอัลลอฮ เปนประเด็นทีไ่ มต องสงสัยแตประการใด เปน อนั วา ตนเหตุและสาเหตตุ า งๆ เหลา นีม้ นั ไมม อี ํานาจในการควบคุมสภาพการณใ ดๆ ที่ บรบิ รู ณไวแกตัวของมนั เองไดเ ลย หากแตม ันถกู บันดาลใหม ีขน้ึ โดยเจตนารมณของอลั ลอฮ และมนั มีพลงั ข้ึนมาในตวั ไดกโ็ ดยความประสงคข องอัลลอฮ ดว ยเหตนุ ้ี จึงเปน เร่อื งท่ถี ูกตอ งถาจะกลา ว วา อัลลอฮทรงถือวา พลงั ของสง่ิ นั้นและการกระทําของส่ิงนนั้ เปนเรื่องของพระองค เชนเดียวกับ ความถูกตองถาจะกลาววา พลังอันนั้นเปนเร่อื งของสาเหตขุ องมนั นีค่ ือเรื่องท่เี ราไดเ ขาใจไปแลว ในบทกอนอยา งสมบรู ณ ดวยเหตุนีจ้ ึงถอื วา การทาํ ใหห าย จากโรคเปน เรอ่ื งของอัลลอฮประการหนง่ึ และอีกประการหนง่ึ กเ็ ปน เรือ่ งของสาเหตุทอี่ ยใู กลตวั อนั สําแดงพลงั ออกมาโดยการอนุมัติของพระองคด ว ยเหตุนี้เองขอ พิสจู นพนื้ ฐานในหลายๆ โองการได ถกู หยิบยกข้ึนมา เพ่อื เปนการช้ีใหเหน็ วา อลั -กรุ อานไดระบุวา การทาํ ใหห ายเปนหนาท่โี ดยตรง ของอลั ลอฮ ดังที่พระองคท รงมโี องการวา : “และในเมื่อฉนั ปวย พระองคก ท็ รงทําใหฉ ันหาย” (อัช-ชุอร ออ-๘๐) ในขณะเดยี วกันการทําใหห ายปวยก็ยงั ถูกยกไปใหเ ปนเรื่องของส่ิงอ่ืนนอกเหนือจาก พระองค เชน อลั -กรุ อาน และนํา้ ผึง้ คาํ ตอบในทน่ี ี้ จะไมเปนไปตามความเปน จรงิ ได นอกจากอาศัย หลักการเดยี วเทา นนั้ นั่นคอื การทําใหหายปวยเปนหนา ทป่ี ระการหนึ่งของอลั ลอฮในฐานะทที่ รง เปน ที่มาของสาเหตุและเปน หนาที่ของส่ิงอ่ืนนอกเหนือจากพระองคอ ันไดแกสาเหตุตางๆ ตาม ธรรมชาติ เชน น้ําผ้งึ และยาบาํ บดั โรคและอนื่ ๆ ในคราวเดยี วกัน กลา วคอื พระองคคือผซู งึ่ ประทาน ความสามารถในการทาํ ใหหายปว ย การบําบัดรกั ษาและ การทาํ ใหป ลอดภัยแกบ รรดานบีและบรรดาวะลียของพระองคไดทรงอนมุ ตั ใิ หพ วกเขาเหลานัน้ ใช ความสามารถท่ีถูกประทานมาเหลา นี้ไปตามเงอ่ื นไขตา งๆ ทถี่ กู กําหนดไวเปนการเฉพาะ

ดว ยเหตุนีใ้ นขณะทอี่ ลั -กรุ อานไดอธิบายเกี่ยวกบั อลั ลอฮวา ทรงเปน ผูบ าํ บดั โรคใหหาย อยา งแทจ รองตามทมี่ ปี รากฏหลกั ฐานอยูใน โองการที่ ๘๐ ซูเราะฮ อชั ชุอรออแ ลว กย็ ังไดอ ธิบายวา นํา้ ผง้ึ เปนยาบาํ บดั โรคอกี ดว ย ในขณะท่ที รงมโี องการวา : “ในนั้น เปนยาบาํ บัดโรคสําหรบั มนษุ ย” (อนั -นะฮลั -๖๙) หรอื อกี แหง หน่ึงที่ทรงอธบิ ายวา อลั -กรุ อานเปน ยาบาํ บดั โรคใหหายในโองการที่กลาววา : “และเราไดประทานมาจากอลั -กุรอาน ซึ่งสิง่ ทเ่ี ปนยาบาํ บดั โรคและเปนความเมตตา สําหรบั บรรดาผศู รทั ธา” (อลั -อัซรออ-82) วิธกี ารที่จะรวมสิ่งทีเราไดอ างมาในทน่ี ้ี กเ็ ปนเชนเดยี วกัน นั่นคอื เราจะตองกลาววา : การทาํ ใหหาย และการบาํ บดั โรคท่อี ิสระอยางแทจริงน้ัน มาจากการกระทาํ ของอัลลอฮเทา นัน้ เอง มิไดม าจากสง่ิ อืน่ ส่ิงท่ตี ิดตามมาและส่งิ ทีแ่ ยกตัวออกมาเปน อิสระจากการกระทํากิจการเหลาน้กี ็ดี สาเหตุ ตา งๆ ก็ดี มันคือสิ่งทพ่ี ระองคไ ดสรางมา และทรงบรรจไุ วในสาเหตตุ า งๆ เหลานน้ั ซึ่งพลังตา งๆ ดังนั้นมันจึงดําเนนิ งานไปโดยการอนมุ ัติของพระองค และสมั ฤทธ์ผิ ลข้นึ มาตามเจตนารมณข อง พระองค ดังน้ัน ในรูปแบบอันน้ี ถา หากคนใดขอการบาํ บัดโรคจากบรรดาวะลยี ของอัลลอฮโดย พจิ ารณาไปตามพืน้ ฐานอันน้ี (วา คณุ านุภาพของพวกเขาสามารถใหค วามสมั ฤทธ์ิผลไดดวยการ อนุมตั ิ ดว ยอาํ นาจและดวยเจตนารมณของอลั ลอฮ) กจ็ ะถอื วางานอนั น้ันของเขาเปน ที่อนุญาตและ อยใู นบทบัญญตั ิอีกทง้ั ถูกตองตามหลกั เอกภาพทถี่ กู กําหนดไวอ ยางสมบรู ณ เพราะวา จุดมงุ หมายในการขอใหห ายจากโรคตอ บรรดาวะลยี น ัน้ มันเหมือนกนั อยา ง บริบรู ณกบั จุดมุงหมายในการขอการบําบัดรกั ษาจากน้ําผง้ึ และการรกั ษาทางยาโดยนายแพทย โดย จดุ มงุ หมายสุดยอดอยูในประเดน็ ทว่ี า นาํ้ ผง้ึ ก็ดี ยาบาํ บัดก็ดี คุณภาพทเ่ี กดิ ข้ึนมาของมัน มิไดเ ปนสิ่ง ท่เี กิดขึ้นโดยความประสงคแ ละความสามารถของมันเลย กรณีเดยี วกับท่ีถอื วา นบีและบรรดาวะลีย กม็ ิไดกระทาํ สงิ่ เหลาน้ันไปตามเจตนารมณแ ละความเห็นชอบเองใดๆ กลาวคือเปา หมายแหง การ ขอการบําบัดจากนบแี ละจากวะลยี น ั้น มิไดเปน ไปในรูปอื่น นอกจากขอวา ใหท า นใชความสามารถ ท่ีถกู ประทานมาใหแ กทา นน้ัน และใหทานบาํ บัดโรคของคนปว ย โดยการอนมุ ตั ิของอลั ลอฮ เชน การกระทาํ ของทา นมะซีห (ความสันติพงึ มีแดทา น) ทไี ดท าํ ใหคนโรคเร้ือนหายไดโดยการอนุมัติ ของอลั ลอฮและโดยความสามารถท่ีถกู ประทานมาใหแกท า นจากอัลลอฮ เปน ท่ีเขา ใจแลว วา การกระทําอยา งนี้ ไมเปนการตัง้ ภาคแี ตอ ยา งใด กลาวคือการกระทํา อยา งน้ี มิไดอยูในขอบขา ยของการตั้งภาคี หรือพลาดออกมาจากกรอบของเอกภาพทแ่ี ทจรงิ แตอ ยา ง ใด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook