โองการตางๆ เหลา นี้ชีไ้ ปถงึ ใคร เปา หมายพื้นฐานของโองการทคี่ ลา ยกันเหลานอี้ ยตู รงท่วี า : หามการวงิ วอนของตามแบบ ของพวกบชู าเจว็ด ซ่ึงไดนําเองรูปปนขึ้นมาเปนภาคหี ุนสวนกับอัลลอฮในกจิ การบริหารบางอยาง หรือเปนผูท รงสทิ ธิในการใหความอนุเคราะหน่ันเองเปนอยา งนอย กลา วคือพวกเขากระทาํ การนบ นอบและออนวอน ขอความชว ยเหลอื ตอรูปปนเหลา น้ีโดยถอื วา มันเปน พระเจา ยอ ย อนั ไดรบั มอบหมายซ่งึ อํานาจในกิจการดานบริหารจกั รวาลและกิจการในสว นของโลกน้แี ละโลกหนา แลวโองการตา งๆ เหลา นจ้ี ะมาเก่ยี วของอะไรกบั การขอความชว ยเหลือตอวญิ ญาณของผู บรสิ ทุ ธใ์ิ นขณะที่วา ผขู อดําเนินการกระทาํ ไปโดยมิไดออกหา งไปจากความเชอ่ื ถอื ท่วี า บุคคล เหลา นนั้ คอื บา วผูท รงคุณธรรมของอลั ลอฮแมแ ตน อย สวนความหมายของโองการทวี่ า “และแทจ ริงมสั ยิดทัง้ หลายของอัลลอฮน้ัน พวกเจาจง อยาไดว งิ วอนขอกับสงิ่ ใดๆ ควบคูกับอลั ลอฮ” กบั โองการที่คลา ยๆ กันกบั ที่ผานมาแลวในตอนแรกก็หมายถึง การวงิ วอนในแงข องการ เคารพภักดซี ึ่งพวกตงั้ ภาคไี ดก ระทาํ ตออลั ลาต, อุซซา, มะนาตและเทพเจา แหง ชั้นฟา ตลอดถงึ กับมะ ลาอกิ ะฮแ ละญิน ความหมายของโองการน้กี เ็ หมือนกับท่วี า : “และสเู จา อยา เคารพส่งิ ใดควบคูก บั อัลลอฮ” ดังนั้น ถา อลั -กรุ อานหามปรามการต้งั ภาคีในการเคารพภกั ดีโดยยกสง่ิ อนื่ ขึน้ มาเคยี ง กับอลั ลอฮแลว ประเดน็ น้จี ะมีสวนเกย่ี วของอะไรกบั ประเดน็ การขอตอบรรดาผูทรงคณุ ะรรมใน เมอ่ื พวกเขาไดรบั สงิ่ นั้นโดยอนุมตั ขิ องอัลลอฮและการจาํ กัดของพระองค ดังน้ัน ในเม่อื อลั -กรุ อานมโี องการวา : “และบรรดาส่ิงที่พวกเขาวงิ วอน นอกเหนือไปจากอลั ลอฮน้ัน พวกมันจะไมใ หการ ตอบสนองเลยแมแตส่ิงใดแกพวกเขา” (อัรเราะอด -ุ ๑๔) “และทสี่ เู จา วงิ วอนขอตอสิ่งทน่ี อกเหนือจากอลั ลอฮนั้น พวกมันไมส ามารถใหความ ชว ยเหลอื ใดๆ แกสเู จาเลย” (อัล-อะอรอฟ-๑๙๗) “แทจ ริงบรรดาสิง่ ทสี่ ูเจา วิงวอนขอนอกเหนือจากอัลลอฮนั้น กเ็ ปน บา วเชน เดยี วกบั สเู จา ” (อลั -อะรอฟ-๑๙๔) “และบรรดาส่งิ ทสี่ เู จา วิงวอนขอนอกเหนือจากอัลลอฮนั้น มันมิไดม ีสิทธิครอบครองอะไร เลยแมแตเ ปลือกเมด็ อินทผลัม” (ฟาฏริ -๑๓) “พวกเขากลาวววา : เราจะวงิ วอนขอตอสิง่ ทไ่ี มใ หคุณและไมใหโทษเรานอกเหนอื ไปจาก อลั ลอฮกระน้ันหรือ”
(อลั -อนั อาม-๗๑) “และเจา อยา วงิ วอนขอตอส่ิงที่ไมใ หค ณุ และไมใ หโทษแกเ จา นอกเหนอื ไปจากอัลลอฮ เลย” (ยูนสุ -๑๐๖) ตลอดถึงโองการอนื่ ๆ อีกทม่ี ีอยูใ นอัล-กุรอานอยา งมากมาย ก็หมายความวา ทกุ ๆ โองการ เหลานี้ เกี่ยวของกบั การวิงวอนขอ อันหมายถงึ การเคารพภกั ดีรปู ปน , ดวงดาว, มะลาอิกะฮและญนิ โดยถือวา สิง่ เหลา นนั้ เปนพระเจา ตา งๆ ระดับยอย อีกทง้ั ถือวาส่งิ ตา งๆ เหลา นน้ั เปนสิ่งไดรบั การ เคารพและเปน ผูบ ริหารจักรวาล อกี ทง้ั ใหการอนเุ คราะหอยางสมบูรณ และจะหลีกเลี่ยงมไิ ดเ ลยวา การวิงวอนขออยางใดก็ตามที อันมลี ักษณะเปนไปเชน นี้แลว จะตอ งหมายถึงการอิบาดะฮ ดงั นั้น โองการตางๆ เหลาน้ีจะเกย่ี วขอ งอะไรกับการวงิ วอนตอ บรรดาผูมีคณุ ธรรมตลอดภึงการขอ อนเุ คราะหค วามชว ยเหลอื จากพวกเขาพรอมกับท่ีมคี วามเชื่อม่ันวา พวกเขาไมมีความสามารถในส่ิง ใดเลยโดยทมี่ ิไดมาจากการอนุมตั ิของพระผเู ปนเจาและพรอ มกบั เชอื่ มั่นวา พวกเขาไมมีสทิ ธิ ครอบครองในกิจการแหง สภาพความเปนพระเจา และสภาพความเปนผูอภบิ าลและการบรหิ ารและ อนื่ ๆ เลย ดังนั้นจะสามารถเอาการวงิ วอนขอในสองลักษณะน้มี าเปรียบเทียบใหเขา กนั ไดกระนัน้ หรือ ในขณะทีท่ ้งั สองอยางมลี ักษณะทแ่ี ตกตา งกนั เหลอื เกนิ ? หลกั ฐานที่ชดั เจนอนั หน่ึงสําหรบั การใหความเขา ใจในระหวา งการวงิ วอนขอสองลกั ษณะ น้ี น่ันคือกรณีท่วี า พวกวะฮาบียเ ช่ือม่นั วาการวงิ วอนขอจากบรรดานบีผูทรงคณุ ธรรมอยา งนี้ เปน การตัง้ ภาค,ี เปน ทตี่ อ งหาม หลงั จากท่ที า นเหลานั้นตายไปแลวเทา น้ัน และเปนทอ่ี นญุ าตตาม บทบัญญัตสิ ําหรับการขอเมอื่ ยามมีชวิ ติ อยู แนน อนเราไดยืนยันไปแลว วา ความตายและความเปน มใิ ชต ัวตัดสินทีเ่ ด็ดขาด สาํ หรบั เน้ือหาทแี่ ทของการกระทาํ ตลอดภงึ สําหรับการจะใหเปนเรอ่ื ง อนุญาตหรอื ไมอ นญุ าต ดังท่ไี ดกลา วผานมาแลว มีอยใู นหนังสอื “ฟตหุล-มะญีด” ที่ไดอธบิ ายวา : คาํ วา “หรอื พวกวงิ วอนขอตอ สิง่ อืน่ นอกจากพระองค” หมายถงึ : แนนอนอยา งย่ิงวา การ วิงวอนขอนั้น มีอยูสองประเภท คือ การวงิ วอนขอประเภททเ่ี ปนอบิ าดะฮ และการวิงวอนขอ ประเภทที่เปน มซั อะละฮ (เรือ่ งทเี่ ปน ปญหาใดปญหาหนึ่ง) ในอลั -กรุ อานมีการกลวถึงความหมาย ของการวิงวอนขอทงั้ สองอยา งน้ไี วเปน เร่ืองๆ และยงั ไดร วมความหมายทั้งสองน้ใี หเ ขา ดว ยกันอีก ดว ย กลาวคอื การวงิ วอนขอประเภทมซั อะละฮน ้ัน คือการขอในส่งิ ที่จะใหบังเกิดผลแกผ ุขออัน ไดแก การใหค ณุ หรือใหโทษ การขอในลักษณะนี้ อลั ลอฮทรงปฏิเสธตอผูที่วงิ วอนขอสงิ่ ใดๆ กต็ าม จากผุท่ไี มมสี ทิ ธใิ นการใหโ ทษและไมมสี ิทธใิ นการใหค ุณนอกเหนือจากอัลลอฮดงั โองการของ พระองคท่วี า (จงกลาวเถิด สเู จาจะเคารพภักดสี ิ่งไมมีอํานาจครอบครองการใหโทษแลไมใ หค ณุ แก สเู จานอกเหนือจากอัลลอฮกระนั้นหรื อแนนอนอัลลอฮคือผทู รงไดย ิน ผทู รงรอบรู) และโองการ
ที่วา (๖-๗๖- “จงกลา วเถดิ เราจะวิงวอนขอตอ สิง่ ทไี่ มใ หคุณและไมใ หโ ทษแกเ ราและเราจะหวล กลบั สูรอยเดมิ ของเราหลงั จากท่อี ัลลอฮทรงนําทางเราแลว เชน ผูท พ่ี วกมารในแผนดินไดล อลวงให พรา มัว ท้งั ๆ ทเ่ี ขามพี รรคพวกท่ีเรียกรอ งยงั ทางนาํ อยวู า “จงมายงั เราเถิด” กระนั้นหรอื ? จงกลาวเถดิ แทจ ริงทางนําของอลั ลอฮ คือทางนําทแี่ ทแ ละเราถกู บัญชาใหย อมรับตอ พระผูอภบิ าลแหงสากล โลก) และโองการท่วี า (และเจา อยา วิงวอนขอตอ สง่ิ ท่ีไมใหค ณุ และไมใหโ ทษตอ เจา นอกเหนือจาก อัลลอฮเลย ดงั นั้นถาเจา กระทํากเ็ ทากับวา เจา เปน ผอู ธรรมนน่ั เอง ทา นชยั ค อบิ นุตัยมยี ะฮไ ดก ลาววา : ดงั นั้น การวิงวอนขอประเภทท่ีเปน อิบาดะฮทกุ ประการจงึ หมายถึงการวิงวอนขอประเภทมซั อะละฮดว ย และการวงิ วอนขอประเภทมซั อะละฮท กุ ประการก็เปนส่ิงที่ชีถ้ งึ การวงิ วอนขอประเภททเี่ ปน อบิ าดะฮ อลั ลอฮผูทรงสูงสดุ ดวย ไดม ีโองการ วา : (๗ : 55) สเู จาจงวิงวอนขอตอพระผอุ ภิบาลของสเู จา อยา งนอบนอ มและแผว เบาแทจริง พระองคไ มทรงรกั ผูละเมิด พระองคทรงมีโองการท่วี า : (๖ : 40, 41) “จงกลาวเถดิ สูเจาพิจารณา หรอื ไม ถา ลงโทษของอัลลอฮหรือยามอวสานไดม มี ายังสูเจา แลว สเู จา จะวงิ วอนขอตอส่งิ ท่ี นอกเหนอื จากอลั ลอฮกระนั้นหรอื ถา สูเจา เปนผูสจั จริง” หากแตยงั พระองคเ ทาน้ันทีส่ ูเจาจะวิงวอน ขอ ดงั น้ันถา พระองคป ระสงคกจ็ ะทรงเปด ทางใหส าํ หรบั สิ่งท่ีสเู จา ขอยงั พระองคและสูเจากจ็ ะลมื สิง่ ทส่ี ูเจา เคยตง้ั ภาคี พระองคยังมโี องการอกี วา : (๗๒ : 18) และแทจริงมัสยดิ ท้งั หลายน้นั เปน ของอลั ลอฮ ดังนนั้ จงอยา วงิ วอนขอตอผูใ ดควบคูกับอลั ลอฮ) และพระองคทรงมีโองการอกี วา (๑๓ : ๑๔) การวงิ วอนขออันสัจจรงิ น้นั เปนของพระองค สว นบรรดาผวู งิ วอนขอสง่ิ นอกเหนือจาก พระองค มนั ยอมไมต อบสนองสิ่งใดแกพวกเขาไดเ ลย นอกจากเสมือนผูท ีย่ นื ฝา มอื ของตนท้งั สอง ขา งไปยังนํา้ เพ่ือใหมันมาถึงปากของเขาแตม ันไมถงึ ปากอยา งแนนอน และการวงิ วอนขอของพวก ปฏเิ สธนั้น ไมใชอ ะไรอน่ื นอกจากความหลงผิด) โองการตา งๆ เหลา นีใ้ นอัล-กุรอานใหค วามหมาย ในแงของการวงิ วอนประเภทมซั อะละฮ มรี ะบอุ ยมู ากมายเกินกวา จะนาํ มาอา งใหห มดไดแ ละมนั ยังใหความหมายช้ีไปยังลักษณะของการวงิ วอนประเภทอบิ าดะฮอกี ดวย เพราะผขู อไดร ะบุใหก าร ขอของตนบริสทุ ธใ์ิ จสาํ หรับอัลลอฮ ดว ยเหตนุ แี้ หละมันจงึ เปน ความประเสริฐสดุ ของการอบิ าดะฮ ตางๆ ทา นชยั คไดอธิบายโองการตางๆ เหลา น้วี า การวงิ วอนขอประเภทอบิ าดะฮน ้ันยอมหมายถึง การวิงวอนขอประเภทมซั อะละฮ ทาํ นองเดยี วกบั ทก่ี ารวิงวอนประเภทมซั อะละฮก็หมายถงึ การ วิงวอนขอประเภทอบิ าดะฮ( ๑) ในการอธบิ ายตอนนี้จะกลา วถงึ เร่อื งราวเกีย่ วกับการวิงวอนทัง้ สองประเภทและจะให ทศั นะสาํ หรับการวงิ วอนประเภทหนง่ึ วา เปน เร่ืองอิบาดะฮ แตอีกประเภทหนึ่งนั้นเปนเรอื่ งทอี่ ยุ นอกเหนอื ไปจากเรอื่ งอบิ าดะฮ ดังจะไดอธิบายตอไ ปน้ี : (๑) หนงั สือ ฟตหลุ -มะญีด หนา ๑๖๖
ประการท่ีหน่ึง : ทานอิบนุ อัยมยี ะฮใหความหมายโองการทวี่ า “สูเจา จงวงิ วอนขอตอพระ ผอู ภิบาลของสูเจา อยา งนอบนอ มและอยางแผวเบา” กับโองการทว่ี า “และแทจ ริงมสั ยดิ ทง้ั หลาย เปน ของอลั ลอฮ ดงั น้ัน สเู จา จงอยา วิงวอนขอตอ สิง่ ใดควบคูกบั อัลลอฮ” วา หมายความวา การขอ ความชวยเหลอื สง่ิ ใดจากใครก็ตามก็จะหมายถงึ การวิงวอนขอประเภทอิบาดะฮทมี่ ตี อ ผูถูกขอ ทง้ั สิ้น! จะเปน ไปไดอ ยา งไรกนั ? กลา วคอื ถาหากคําวา “สูเจา จงวิงวอน” ในโองการทวี่ า “สูเจา จงวงิ วอนขอตอพระผอู ภิบาล ของสเู จา อยา งนอบนอ ม” กับคาํ วา “สูเจา จงอยา วิงวอนขอ” ในโองการนว้ี า “ดังน้ันสูเจา จงอยา วิงวอนขอตอส่งิ ใดควบคูก ับอลั ลอฮ” มคี วามหมายวา “การรอ งเรยี ก” แลว การวิงวอนขอความ ชวยเหลอื จะหมายถงึ การวงิ วอนประเภทอิบาดะฮไดอยา งไร? แนนอน ท้ังสองโองการน้ี ตามหลกั ฐานท่มี อี ยใู นตัว ยงั มไิ ดใหเ หตผุ ลในเรื่องใดมากไป กวา การหา มมใิ หทาํ การวงิ วอนขอตอ สง่ิ อ่ืนทีน่ อกเหนอื จากอัลลอฮ สวนประเด็นทีว่ า การวิงวอน ขอตอพระองคจ ะหมายความวา เปน การอิบาดะฮตอ พระองคด ว ยน้ัน เนหื้ าของโองการยังมิไดให เหตผุ ลไวเลย ในฐานะทว่ี า การหา มมใิ หก ระทาํ อยา งใดอยางหน่งึ น้ัน มิใชหลักฐานที่แสดงวา สาเหตุ การหา มในเร่ืองนน้ั ๆ จะตอ งเก่ยี วขอ งกบั เรอื่ งการอบิ าดะฮเสมอไป ประการทีส่ อง : การวงิ วอนขอความชว ยเหลือ จะหมายถึงการวิงวอนประเภทอบิ าดะฮไดก็ ตอ เม่อื ผขู อมีความเชื่อมัน่ ในสภาพความเปนพระเจา ของผถู กู ขอในประเดน็ ตางๆ กลา วคอื การ วิงวอนขอในลักษณะอยางนเี้ ทา นน้ั ท่จี ะหมายถึง : การวงิ วอนขอประเภททเี่ ปน อิบาดะฮ ย่งิ ไปกวา นนั้ การวงิ วอนขอประเภททเี่ ปน อิบาดะฮแ ทๆ ที่มิไดแสดงลักษระออกมาในรูปของอบิ าดะฮ ก็ยงั ไมถ ือวาการวงิ วอนขอดงั กลาวนี้ จะหมายถงึ การอบิ าดะฮไ ปดว ย แตถา หากวา ผขู อไดว งิ วอนขอตอผใู ดกต็ าม โดยปราศจากความเชอ่ื มนั่ ดังกลา ว การวิงวอน ขอของเขาที่มตี อผูน ั้น ก็ยงั ไมถอื วาเปน การอิบาดะฮแตอ ยางใด ประการทส่ี าม : ที่นา แปลกประหลาดอยางยง่ิ ก็คอื ประเด็นทว่ี า การขอความชวยเหลือตอ ผู มชี ีวติ เปน สง่ิ ที่ถูกตอง และเปนไปตามบทบญั ญัติศาสนาอยางแนน อน โดยไมค าํ นงึ ถึงประเด็นทว่ี า ถา การวงิ วอนขอความชว ยเหลือตอ สงิ่ อ่ืนนอกเหนือจากอัลลอฮ (แมก ระทง่ั มไิ ดประกอบดวยความ เช่อื ตอ สภาพความเปน พระเจาหรือความเปน ผมู สี ทิ ธคิ รอบครองอํานาจในการชว ยเหลอื ) เปน การ ตัง้ ภาคีแลว ความตายและความเปน ของผูถ ูกขอจะมผี ลกระทบอะไรข้ึนมาในสว นนี้ดว ยเลา? มีรายงานจากทา นนบี ผทู รงเกยี รติอยูบทหนงึ่ วา แทจ ริงการวิงวอนขอเปนสมองของอิบา ดะฮ ก็หมายถึงวา การวิงวอนขอเฉพาะเรอ่ื ง อันหมายถึง ถา เปน การวงิ วอนขอทปี่ ระกอบขน้ึ โดย ความเช่อื ถือตอสภาพแหงความเปนพระเจา ของผถู ูกขอ อกี นัยหนึ่งก็คือ ความหมายของคําวา การวิงวอนขอในฮาดีษดงั กลาวหมายถงึ การวิงวอน ขอที่มีตออลั ลอฮเทา นนั้ กลา วคอื การวิงวอนขอตอ อัลลอฮคอื สมองของอบิ าดะฮ
แลว ฮาดษี บทน้ี จะมสี วนเกี่ยวของอะไรกบั การวงิ วอนขอตอ บรรดานบผี ูมคี ุณธรรม ซงึ่ มไิ ดป ระกอบขึน้ มาจากความเชอ่ื ทีว่ า ผูถูกขอมีสภาพความเปนพระเจา แตอยางใดเลย? ใชแ ลว คาํ ถามหนง่ึ ที่ยังคงมีอยูในเรอื่ งนี้ ก็คอื วา แมว า การวิงวอนขอตอ ผอู น่ื จะมไิ ด หมายถงึ การอิบาดะฮต อ ผนู ัน้ ตามที่เราไดใหการอธิบายอยางชัดแจง ไปแลวก็ตาม แตม ันเปนเร่อื งท่ี ตองหา ม (ฮะรอม) ตามกฎเกณฑข องโองการตา งๆ เหลา นอ้ี ยูน่ันเอง กลา วคอื การวิงวอนขอตอผมู ี คณุ ธรรมท่ตี ายไปแลว เปน การวงิ วอนขอท่ตี อ งหา ม เพราะเหตวุ า เปน การวงิ วอนขอตอ ส่งิ อ่นื ท่ี นอกเหนือจากพระองค และการวงิ วอนขอตอสิง่ อ่ืนนอกเหนือจากอลั ลอฮนั้น เปนสงิ่ ท่ีตองหามแต ทงั้ นคี้ วามหมายของโองการไมรวมไปถึงการวงิ วอนขอตอคนเปน เพราะเปนส่งิ ทอี่ นุญาตใหก ระทาํ ไดในยามจําเปน ดงั น้ันจงึ สรุปความไดว า หามมใิ หวิงวอนขอตอ ผมู ีคุณธรรมทไ่ี ดลวงลับไปแลว แมว า จะไมเปน การต้งั ภาคีกต็ าม คําตอบสาํ หรบั เร่ืองนี้ จะเปน ท่เี ขาใจอยา งแจม ชัดได หลังจากพิจารณาอยางถ่ถี วนตาม เรอ่ื งราวทเ่ี ราไดก ลาวไปแลว เพราะวา โองการตา งๆ ไดร ะบุไปยังการวงิ วอนขอเฉพาะสวนอนั เกดิ ข้ึนโดยพวกตัง้ ภาคี นั่นคือการวงิ วอนขอตอ พระเจาตา งๆ และผูอภบิ าลตา งๆ ของพวกเขาทถี่ ูก อุปโลกขข ึ้น การหามมใิ หว งิ วอนขอเฉพาะเร่ืองอยางนี้ มไิ ดหมายความวา เปน การหา มมิใหวิงวอน ขอในเร่ืองตา งๆท้ังหมด แมกระท่งั กับการวงิ วอนขอท่มี ไิ ดเปนไปในรปู แบบน้กี ็ตาม หลักฐานอันแนชัดตามทเี่ ราไดกลาวมานีก้ ค็ อื วา ผูตัง้ คาํ ถามไดย อมรบั วาประเดน็ ของ คาํ ถามมไิ ดรวมไปถึงการวิงวอนขอความชวยเหลือตอ คนเปน ดงั นั้นการนาํ ประเดน็ นอ้ี อกมาจึงมใิ ช เปน ความเขา ใจท่อี อกมาจากกฎเกณฑข องโองการจนกระทงั่ ใหถอื มาเปนขอ แมเฉพาะ เพยี งจะแสดงใหเหน็ ถงึ การอธบิ ายท่ีมาจากเรอื่ งของโองการน้ันๆ กต็ ามและเปน เร่ืองทีไ่ มม ี สว นเกีย่ วของกนั ตง้ั แตต อนแรกอยแู ลว และไมม ีประเด็นใดอีกเลยทจ่ี ะถอื วา ออกมาจากความหมาย ของโองการ นอกจากตามเ่ี ราไดกลา วไปแลว ในสว นท่วี า โองการตา งๆ ไดระบถุ ึงการวงิ วอนขอที่ พวกตง้ั ภาคีไดกระทาํ ขนึ้ ในการดาํ เนนิ ชีวิตของพวกเขา นนั่ คือการวงิ วอนขอตอ รูปปน และเจวด็ ใน ฐานะทถี่ อื วา มนั เปน พระเจา ผคู รอบครองสิทธิการใหคุณและใหโ ทษ ตลอดถงึ การอนุเคราะห ความชวยเหลือ และการอภยั โทษแกพวกเขา, ซ่งึ หลักสาํ คญั ตา งๆ เหลานไี้ มม อี ยใู นการวิงวอนขอ ตอ บรรดาผูมีคุณธรรม โดยเหตุทว่ี า ใหค วามเช่อื ถอื อยา งนี้ไวใ นสิทธิของพระเจา ยอ ยทง้ั หลาย อัลลอฮไดท รง กลา วถึงพระเจา ที่ซามริ ยี ไ ดสรา งขึน้ วา : “นคี่ อื พระเจา ของพวกทาน และพระเจา ของมซู า แตเ ขาลืมเสยี แลว ” พวกเขาไมส ังเกตหุ รือ วา (รูปโค) น้ันมิไดโ ตตอบคาํ พดู กับพวกเขาเลย และมันไมม ีอํานาจท่ีจะใหโทษและใหค ุณแกพวก เขาดว ย” (ฏอฮา-๘๘-๘๙)
หลักฐานอยา งหน่ึงทใ่ี หเหตุผลตามท่เี ราไดก ลาวไปแลว คอื การยํ้าคําวา “นอกเหนือไปจาก พระองค” ในโองการตางๆ กลาวคือมันมิไดม ีความหมายคลุมไปถงึ การวงิ วอนทกุ ๆ ประเภทที่มตี อ สิ่งอ่ืนนอกจากอัลลอฮ จนกระทงั่ เราถึงกบั จําเปนตองวินิจฉยั ความในบางสว นวา การวิงวอนขอ ความชวยเหลอื น้ัน มีไดกับคนเปน หรือวาการวิงวอนขอตอผูต ายน้นั มใิ ชเพอ่ื ความหวังความ ชว ยเหลอื หากแตเปนเรอ่ื งแสวงหาความสมั พันธและขอการอนเุ คราะห แตทวา มคี วามหมายเฉพาะ เพื่อเปน ความเขา ใจสาํ หรบั การวิงวอนขอเหลานี้ นั่นคอื การวงิ วอนขอตอ ส่ิงอนื่ โดยจติ สาํ นึกวา ส่งิ นั้นดาํ เนินกิจการไปโดยความมอี สิ ระนอกเหนอื ไปจากอัลลอฮ ดังเชนจติ สาํ นกึ ที่ถูกอปุ โลกขขึ้นมา สาํ หรับพวกตงั้ ภาคีในพระเจา ตา งๆ ของพวกเขา สว นการขอความชว ยเหลอื จากผูทีไ่ มสามารถกระทําสิง่ ใดไดนอกจากโดยอนมุ ตั ขิ อง พระองค และตามเจตนารมณข องพระองค (ในจติ สํานึกของผขู อ) ตลอดทง้ั การวิงวอนของเขาก็มไิ ด ตัดขาดจากการวิงวอนขอตอ อลั ลอฮนั้น ยังมไิ ดเ ปนไปตามความหมายของโองการทกี่ ลา ววา “และบรรดาผูท ี่วิงวอนขอตอส่งิ อืน่ นอกเหนอื จากอลั ลอฮนน้ั พวกมันมิไดตอบสนองสิง่ ใด เลย” (อรั เราะอด -ุ ๑๔)
ภาคที่สาม พวกวะฮาบยี กับประเด็นตางๆ ท่สี าํ คัญของหลกั เอกภาพและการตัง้ ภาคี ๑- ความเช่ือทมี่ ีตอ อาํ นาจอนั เรน ลบั ของผูอน่ี นอกจากอลั ลอฮอยใู นขา ยของหลักเอกภาพและการตง้ั ภาคีดว ยหรอื ? ไมต องสงสัยเลยวา การขอความชว ยเหลือจากใครคนหน่ึง (ในลักษณะทีเ่ ปนไปได) น้ัน มนั จะมขี นึ้ ไดกต็ อ เมื่อ ผขู อความชว ยเหลอื เชือ่ มน่ั วา เขาผูนั้นเปนผมู ีความสามารถทาํ ใหความ ตอ งการของตนสมั ฤทธผิ์ ลได และความสามารถอนั นเ้ี ปนความสามารถอันเปดเผยและตามสภาพ วตั ถกุ ม็ ี เชน การท่ีเราขอนํา้ จากใครคนหนงึ่ เพ่ือนํามาดม่ื เขากจ็ ะทาํ ตามทีเ่ ราตอ งการได และ ความสามารถทเ่ี ปนไปอยา งเรน ลบั ก็มี โดยอยูนอกเหนอื วิสัยของกฎธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑทาง สภาพวตั ถุ เชน การทคี่ นๆ หนง่ึ เชอ่ื วา ทา นอมิ ามอาลี (ความสนั ติสขุ พึงมแี ดท าน) เปดประตู “คัยบรั ” ไดดว ยความสามารถอนั เรนลับ ดังทม่ี เี รือ่ งราวปรากฎอยูใ นฮาดษี หรือที่วา ทา นมะซหี (เยซู)-ความสนั ตสิ ขุ พงึ มแี ดท าน- มีความสามารถอนั เรนลับโดย บาํ บัดรกั ษาคนปวยใหห ายไดโดยไมใ ชยาหรอื ดําเนินวธิ กี ารทางแผลแตอยางใด ความเชื่อถอื ทีม่ ตี อ ความสามารถอนั เรนลับเชน นีถ้ า วางอยบู นความเช่อื ถือทว่ี า มนั เปน ความสามารถทีเ่ ชื่อมโยงกบั การอนุมตั ิของพระผเู ปน เจา และความสามารถที่ไดร บั มาจากพระองค ผทู รงบริสุทธ์ิ กลาวคือในกรณเี ชนน้ี มันกไ็ มแตกตา งไปจากความสามารถทางสภาพวตั ถอุ ันเปด เผย ย่งิ ไปกวานัน้ มันยังเหมือนกับความสามารถทางสภาพวตั ถุซึ่งความเชอื่ ถอื ทมี่ ตี อ กัน มิไดหมายถงึ การต้ังภาคีเลย เพราะวา อัลลอฮคือผูป ระทานความสามารถทางสภาพวัตถุใหแกบคุ คลนน้ั และ ประทานความสามารถอนั เรนลับใหแ กบ คุ คลนี้ โดยที่ยังมไิ ดถือเอาผูถกู สรา งขนึ้ มาอยใู นฐานะ ผูสราง และยงั มไิ ดถือวา จะมใี ครทม่ี ง่ั คัง่ เหลือหลายนอกไปจากอลั ลอฮ ดงั นั้น ถา หากใครไดทําการรักษาบาํ บดั โรคของคนปวยใหห ายไปโดยวธิ ีทใี่ ชอาํ นาจเรน ลบั ก็หมายความวา เขาดาํ เนนิ ไปโดยพระบัญชาของอลั ลอฮโดยการอนุมัติและเจตนารมณข องพระองค ความเชือ่ เชนน้ี ไมถือวาเปน การต้งั ภาคี การอธบิ ายถึงอาํ นาจทีเ่ ชอ่ื มโยงยังอัลลอฮวา เปน อาํ นาจโดย อิสระ คือรากฐานที่สําคัญจนทาํ ใหอ ธบิ ายเรอื่ งหลักเอกภาพไปเปน เร่ืองการต้ังภาคี ดว ยเหตุนจี้ งึ ทํา ใหเกิดความเขา ใจผิดพลาดขึ้นอยางมากมายจากผทู มี่ ิไดอธิบายแยกแยะระหวางความเช่ือในเร่ือง อํานาจอันเรนลับที่เชื่อมโยงกบั ความเช่อื ในอํานาจอนั เรนลับท่ีไมเ ชอ่ื มโยง พวกเขากลาววา : ถา คนใดคนหนึง่ ขอจากผูมคี ุณธรรม (ศอลฮิ ีน)คนหนง่ึ (ไมว า จะตายไป แลวหรอื มีชวี ติ อย)ู วาใหเ ขาหายปว ย หรือใชของทีส่ ูญหายไปกลบั คืนมา หรอื ใหป ลดเปลื้องหนี้สิน ได ดังนั้นการขอเชน นี้ เทากับเชื่อถอื วา อาํ นาจอันเรนลับอยใู นสทิ ธขิ องผมู คี ุณธรรมคนน้ัน และถือ วา เขามีอาํ นาจในการจัดระบบของธรรมชาติ วางกฎเกณฑข องจกั รวาลจนมคี วามสามารถเหนือ ความเปน ไปแบบธรรมดาของมนั ได ความเชื่อถอื ทีว่ า อาํ นาจเชน นเี้ ปน ของผอู ่ืนทน่ี อกเหนอื ไปจาก
อัลลอฮ หมายถงึ การเชอ่ื ถือวา ผถู กู ขอคนนี้มสี ภาพความเปนพระเจาและการขอความชว ยเหลือใน ลกั ษณะเชน น้ีกเ็ ปนการตง้ั ภาคี ดงั นั้น ถาคนๆ หน่ึงขอน้าํ ดืม่ จากคนใช แลว คนใชก ท็ าํ ตามกฎของระบบธรรมชาตเิ พื่อทํา ใหสงิ่ ท่คี นๆ นั้นขอเปน จริงขนึ้ มา สว นกรณีท่ีถา เขาขอนํา้ จาอิมามหรือนบี ไมว า นา้ํ น้ันจะอยูใต พืน้ ดินหรืออยูในคูกต็ าม กลาวคือทไี่ ดขอยางน้กี ็หมายถงึ วา เชอ่ื มั่นตอ อาํ นาจอันเรนลับของนบี หรืออมิ ามทานน้ีโดยท่ขี ึ้นอยูก ับอลั ลอฮ การขออยางนี้ หมายถงึ เช่อื ถือวา ผูถูกขอมีสภาพความเปน พระเจา ดวยหรอื ??? ผทู อ่ี ธิบายเรือ่ งนี้ไดอยางชัดเจนคือ ทา นอะบูอะลา เมาดดู ีย โดยทานไดกลาวววา : “เน้ือหาของคาํ อธบิ ายกค็ ือวาประเด็นที่มนุษยไดวิงวอนขอความชว ยเหลือและนอบนอม ตอพระเจา เพ่ือส่งิ น้ัน โดยถือวา พระองคท รงเปน ผอู ภิสทิ ธแ์ิ หงอํานาจอนั เด็ดขาด เหนือกฎเกณฑ ทางธรรมชาติ และเปน ผอู ภสิ ิทธแิ์ หง ความสามารถท่อี ยนู อกเหนอื วสิ ัยที่เปน ไปตามกฎเกณฑ ธรรมชาต”ิ (๑) คําอธบิ ายตอนน้ี ไดยืนยันอยางชดั เจนในประเดน็ ท่กี ําหนดใหความเชอ่ื ถอื ตออาํ นาจอนั เด็ดขาด เปน ประเด็นหลักสําหรับความเช่อื ถอื ตอสภาพความเปน พระเจา คอื ความเชอ่ื ถอื ที่วา ผูถ กู ขอเปนผูม คี วามสามารถในอนั ทจ่ี ะใหค ณุ หรือใหโ ทษได ตามลักษณะทอี่ ยนู อกเหนอื วสิ ัยของ กฎเกณฑทางธรรมชาติทัว่ ๆ ไป ดงั ทท่ี านไดก ลาววา : “ดงั นั้น ผทู ่ีถอื เอาบคุ คลใดกต็ ามขน้ึ มาเปน ผูค ุมครอง, ผชู วยเหลือ, และผูข จัดปด เปา ความ ชวั่ รา ยใหออกไปจากตน และเปนผูก ําหนดส่ิงที่ตนเองตอ งการอกี ทัง้ เปนผตู อบสนองการวงิ วอนขอ ของตน และเปน ผูมีความสามารถในการใหค ณุ แกตนได โดยทคี่ วามเปน ไปทุกอยางนหี้ มายถงึ ส่ิงที่ อยนู อกเหนอื วิสยั แหงกฎเกณฑท างธรรมชาติ อนั เปนเหตุใหเรามคี วามเช่อื ถืออยา งนเี้ กิดขน้ึ กับผูนนั้ วา เปน ผหู นง่ึ ท่ีมีอํานาจในการจดั ระบบของโลกน้ี ทํานองเดียวกันกบั เขาเกรงกลัวคนใดคนหน่งึ โดยยาํ เกรงตอ คนๆ นน้ั ในฐานะทว่ี า ถา ทรยศกบั เขาแลว ตนจะเกิดมอี ันตรายแตถ า ทาํ ใหเขาพอใจ แลว ตนจะไดร บั ผลประโยชน โดยที่ความเชอื่ และการกระทาํ อยางนี้ของเขายงั ไมเกดิ ข้ึน นอกจากวา ในจติ ใจของเขาตระหนักวา คนผูนั้นมีอํานาจอยูอยา งหน่งึ ตอจกั รวาลนี้ หลังจากนั้น สําหรับผูท่ี วิงวอนขอตอสิ่งอื่น นอกจากอลั ลอฮและไดข อในส่ิงที่ตนตอ งการยังเขาผูน ัน้ หลังจากท่เี ขามีความ ศรัทธาตออลั ลอฮ ผูทรงสูงสุดแลว ก็ไมอ าจเรียกกรณเี ชนน้วี าเปนอยา งอ่ืนได นอกจากวา ความเชอื่ ของเขาทมี่ ตี อสงิ่ น้ัน เปนการต้งั ภาคีตอพระองคอยา งหนึง่ ในแงของการตงั้ ภาคีในประเภทของ อาํ นาจแหงพระผเู ปน เจา” (๒) คําอธบิ ายตอนนไ้ี ดระบุถงึ การยนื ยนั ตอ กันและกนั ระหวา งความสามารถในการใหคุณให โทษ กับความเช่อื ถอื ตออํานาจแหง ความเปน พระเจา และถือวา ความสามารถทุกๆ ประการในการ (๑) อลั -มัศฏอลิหาตตลุ -อรั บะอะฮ หนา ๑๗ (๒) อลั -มศุ ฏอลาฮาตลุ อัรบะอะฮ หนา ๒๓
ใหค ุณใหโ ทษอันมไิ ดเกิดขน้ึ ตามกฎธรรมชาตินั้น เปนการชีใ้ หเหน็ ถึงสภาพความเปน พระเจา โดย อาศัยการยืนยันซ่งึ กันและกัน ดังกลาวน้คี อื เรื่องทีน่ าแปลกเรื่องหน่ึงจากทานเมาดูดยี ในขณะทมี่ ันไปประกอบกับความเหน็ ทวี่ า ความเชอ่ื ทมี่ ตี อ สภาพของพระเจา นั้น มไิ ด หมายถงึ ความเชอื่ ทีม่ ีตอ อํานาจในดา นอ่นื หากแตม ันครบถวนบรบิ ูรณอยูกบั ความเชอื่ ถอื วา สภาพ ของพระองคคือผูทรงครอบครองอํานาจแหง การอนเุ คราะหค วามชว ยเหลอื และการอภยั โทษ เหมอื นกบั ความเชือ่ ถอื ของชาวอาหรับในยุคงมงายกลุม หนงึ่ ท่พี วกเขาเชือ่ มนั่ ในคุณานภุ าพของรูป ปนของพวกเขาวา เปนพระเจา ของพวกเขา ก็เพราะวา มันเปนผูครอบครองอาํ นาจแหงการ อนุเคราะหค วามชว ยเหลือและการอภัยโทษใหแกพ วกเขาได และเปน ที่รูกนั อยูแลวอยางดที ่สี ดุ วา ความเปนผคู รอบครองอาํ นาจแหง การอนุเคราะหความชว ยเหลอื นั้น เปนคนละสว นกันกบั การ กลาวถึงความหมายของการมอี ยแู หง อาํ นาจ น่นั คอื : อาํ นาจเหนอื สากลจักรวาล แทจริงความเช่อื ถอื ทม่ี ตี อ อาํ นาจอนั เรนลับที่อยนู อกเหนือกรอบของกฎธรรมชาติ มไิ ด หมายถึงความเชื่อในสภาพของความเปนพระเจา ความเชอ่ื วา ใครจะมีอาํ นาจในการจัดระบบของจกั รวาลไมว า จะท้ังหมดหรือบางสวนก็ตาม ถามนั เปนไปโดยการกาํ หนดและการอนุมตั ิ จากพระองคแ ลว ก็จะไมห มายถงึ วา ตองเชือ่ วา เขามี สภาพแหง ความเปนพระเจา กลาวคอื เชน ในกรณที ่ีวา อัลลอฮทรงมอบสทิ ธิพเิ ศษใหแกม นษุ ยซ ่ึง ความสามารถอยา งหน่ึง ในการดาํ เนนิ กจิ การตามสภาพปกตแิ ละไดใ หบางคนมคี วามสามารถใน เรอ่ื งน้นั เหนือกวาอกี บางคน โดยไมม ขี อแมใดๆ มาหา มพระองคว า อยา มอบใหบ ุคคลใดบคุ คลหนึ่ง หรือบรรดาบุคคลผูมคี ณุ ธรรมในปวงบา วของพระองค ซึ่งความสามารถทส่ี มบรู ณใ นการดําเนนิ กจิ การของจกั รวาลท้ังหมดไมว า ในสภาพทเ่ี ปนปกติวิสัยหรือเหนือปกติวิสยั นี่ก็เชนเดียวกันคอื ยัง ไมหมายความวา พวกเขามสี ภาพแหงความเปน พระเจา และสว นทีถ่ ือวา อาจเกิดประเดน็ ข้ึนมาใน การอธิบายก็คือ ประเด็นท่ีเกียวกับความสามารถดงั กลาวน้นั วาอลั ลอฮไดท รงประทานใหอ ยางน้ัน หรอื ไมอ ลั -กุรอานไดเปดเผยในเรื่องน้ีไวหลายแหง เชน ตอนทีอ่ ธิบายถึงเรอ่ื งราวของทา นนบยี ูซุฟ (ความสันตสิ ขุ พึงมแี ดท าน) นบยี ูซุฟกับอํานาจอันเรน ลบั ทา นนบียูซุฟ (ความสันติสุขพึงมีแดท า น) ไดสั่งใหพนี่ องของทานวา ใหเอาเสอื้ ของทานไป ใหบ ดิ า และใหโยนเสอื้ ตว น้นั ไปที่นัยนตาเพอ่ื จะไดกลับมามองเหน็ ได ดังท่ีอลั -กุรอาน อนั ทรง เกยี รติไดกลา วถึงเร่อื งนเ้ี อาไวว า : “ทา นทง้ั หลายจงนาํ เสือ้ ของฉนั ตวั นไ้ี ปเถดิ และจงวางมนั ไปท่ีใบหนาบิดาของฉนั ทา นจะ ไดมองเห็น” (ยซู ฟุ -๙๓)
“ดังนั้น เม่ือผูแจงขา วดีไดม าถึง เขาก็ไดว างมันลงบนใบหนาของเขา (นบียะอก ูบ) แลว เขาก็ กลบั มองเห็น...” (ยซู ุฟ-๙๖) ลักษณะของโองการไดใหค วามหมายวา การกลบั มามองเห็นท่ีเกิดข้ึนแกนบียะอก บู นน้ั เปนไปโดยเจตนารมณข องนบยี ูซุฟ กลาวคือ มไิ ดเ ปน การกระทาํ โดยเปดเผยในทันทีทนั ใด ของอลั ลอฮ เพียงแตว า นบียูซุฟไดก ระทําสง่ิ น้ันไปโดยอํานาจที่รับมาจากพระองค ผทู รงบรสิ ุทธ์ิ ซงึ่ ถา หากวา การหายจากตาบอดของนบียะอกบู เปน งานที่เกีย่ วขอ งกบั อลั ลอฮโดยตรงอยาง ทนั ทที ันใด โดยไมพาดพิงมาเกยี่ วกบั นบยี ูซุฟแลว แนน นอทา นก็ไมต องสง่ั ใหพ่ีนองของทา นนาํ เสือ้ ไปวางทใี่ บหนา ของผเู ปนบดิ า หากแตใชดุอาอข องทา นก็พอ ทั้งๆทีอ่ ยไู กลนั่นแหละ และเร่ืองน้ี กม็ ใิ ชอื่นใด นอกจากเปนการดาํ เนินงานของวะลยี ุลลอฮ (บคุ คลผูเปนที่รกั ของอัลลอฮ) ทม่ี ีขึ้นใน จกั รวาล โดยการอนุมตั ิของพระองคน ่ันเอง นบมี ูซากับอาํ นาจท่มี เี หนือจักรวาล เรอื่ งเชนนี้ เราไดพบอยูในนบีอื่นๆ ดวยเชน นบี มูซา (ความสันตสิ ุขพึงมแี ดทาน) ในขณะ ท่ีมกี ารกลาวแกทา นวา : “เจา จงตีหนิ ดวยไมเ ทา ของเจาเถดิ แลว ตอนาํ้ กแ็ ยกออกมาจากหนิ นั้นถงึ สบิ สองตานา้ํ ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๖๐) กลา วคือ ถาการดขี องทา นดว ยไมเ ทาจากเจตนารมณข องทา นมไิ ดมผี ลในการทําใหต าน้ํา แยกออกมาจากหินแลว ไซร แนนอน อลั ลอฮผูทรงความบริสุทธจ์ิ ะไมบญั ชาแกท า นเลย อาจมขี อ แยง ในลักษณะที่วา จริงอยู ทานนบมี ูซาไดต ีลงดว ยไมเทา ของทา น แตอ ัลลอฮคอื ผูท ่ที ําใหสายน้ําแยกออกมา ดังน้ัน เรอ่ื งน้ี ยงั ไมแสดงวาอาํ นาจอันเรนลับเปนของทานนบีมูซา ในขณะท่คี วามสําเรจ็ ของกิจการอนั นอี้ ยูต รงทว่ี าอลั ลอฮ ทรงทําใหสายนํา้ แยกออกมาในขณะท่ที า น ไดตีลงไป แตขอ แยงน้ีไมม ีน้าํ หนกั เมือ่ นําไปพจิ ารณากบั สํานวนของคําสงั่ ท่วี า ใหเ อาไมเ ทา ตี กลาวคอื การตลี งไปกับไมเทา มใิ ชอยูในประเภทการวิงวอนขอ (ดุอาอ) ที่อลั ลอฮทรงกลา ววา จะ ทรงสนองตอบการวงิ วอนขอเม่ือทานขอ และกลาวโดยสรปุ กค็ ือ จะตองไมป ฏเิ สธวาการตขี องทา น กับไมเทาและเจตนารมณของอลั ลอฮอยูกต็ ามอกี ทั้งโองการนี้ ก็มไิ ดใหหลักฐานที่แสดงถึงสิง่ ที่ เพ่ิมเตมิ ไปจากน้ี : อยางเชนโองการของพระองคท ว่ี า : “ดงั นั้นเราไดสั่งโดยการดล (วะหย)ู ยังมซู าวา จงตที ะเลดว ยไมเ ทาของเจา เถิด แลว มนั ก็ แยกออกซึง่ แตล ะชองทางนนั้ ประหนงึ่ ภูเขาที่ใหญโต” (อัช-ชอุ ะรออ-๖๓)
หลักฐานในโองการน้ี ตามทเี่ ราไดพิจารณากจ็ ะเหน็ ไดวา ไมมหี ยงิ่ หยอ นไปกวา หลักฐาน ในโองการทผ่ี านมาแลว พวกของนบสี ุลยั มานกับอํานาจอนั เรน ลับ เรื่องของอาํ นาจอันเรน ลับดงั ท่จี ะกลา วถึงน้ี ก็ไมยงิ่ หยอนไปกวา เรอื่ งที่เราไดกลา วถึงไป แลว เชนกนั ยง่ิ ไปกวานัน้ อัล-กรุ อานยังไดยืนยนั วา มนั มแี กพรรคพวกของทา นนบสี ุลยั มาน ซ่ึง ทา นนบสี ุลยั มานมคี วามมน่ั ใจวา เขาผูเ ปน เพือ่ นสนิทของทานคนน้ันสามารถนาํ บลั ลงั คของราชินี แหง ซาบาอม าใหไดกอนท่ีทานจะลกุ ไปจากท่ีนั่งของทา นโดย อัลลอฮทรงมโี องการวา : “เขาไดก ลาววา : โออํามาตยทั้งหลาย มคี นใดบา งในหมพู วกทานทสี่ ามารถไปนาํ บัลลังค ของนางมาใหแ กขา พเจา ไดกอ นท่ีพวกเขาจะมายังขาพเจา ในฐานะผูนอบนอม” อิฟรตี ผเู ปน หนึง่ ใน หมญู นิ ไดก ลา ววา ขาพเจา ขออาสาไปนําบลั ลงั คนั้นมาเองกอ นท่ที า นจะลุกออกไปจากทขี่ องทา นน่ี แหละ และแทจ ริงขา พเจา มพี ลงั และซอ่ื สัตยใ นการนั้น” (อันนัมลุ-๓๘-๓๙) ย่งิ ไปกวา นน้ั ยงั ไดมที ่ีปรึกษาอกี คนหนง่ึ ของทา นรบั รองตอทานวา เขาจะนําบลั ลงั ค ดังกลาวมาใหเ ร็วทส่ี ดุ ภายในกระพริบตาเปนอยา งนอ ย โดยกลาววา : “ผมู คี วามรใู นบางสวนของคัมภรี ไดก ลา ววา : ขา พเจา ขอเปนผูไปนํามันมาใหแกทา น กอ นทเี่ ปลอื กตาของทา นกระพรบิ ครน้ั เม่ือเขาไดมองเห็นบัลลงั คมาวางอยุตรงหนา เขาไดก ลาววา นคี่ ือสว นหน่งึ จากความโปรดปรานแหงพระผูอ ภบิ าลของฉัน” (อนั นมั ลุ-๔๐) จนถงึ ปจจุบนั นี้ก็ยงั ไมเปนท่ีแนช ัดวา อะไรคอื ความรูของคนพูดทเ่ี ปนถึงกบั ทาํ ใหเขาพูด ประโยคนี้วา “ขาพเจา ขอเปน ผไู ปนาํ มนั มาใหแ กท านกอนที่เปลือกตาของทา นกระพริบ” (๑) อาจเปนไปไดทงั้ นน้ั ไมว าจะเปนความรูเฉพาะเรื่องของส่งิ เรนลบั และวธิ ีการนําบลั ลังคมา จากสถานท่ีทอ่ี ยไู กลไดเ รว็ ท่ีสดุ อยางนอ ยภายในช่ัวกระพรบิ ตาหรอื อาจหมายถึงความหมายอยา ง อ่ืนอกี ก็ได จะอยางไรก็แลวแต ความรนู จ้ี ะตอ งมใิ ชเ กดิ ขึ้นมาจากลักษณะของการศึกษาทางสตปิ ญญา โดยทวั่ ไปที่ไดรับและแสวงหามาไดดวยการเรยี นรู และถอื วาเรื่องนเี้ ปน เร่ืองทผ่ี ิดวิสยั ของ ธรรมชาตโิ ดยทัว่ ไปกแ็ ลวกัน อาจตคี วามกนั ไปไดอ ีกวา ถา ในเมือ่ การกระทาํ ของเขาถูกยอมรบั วา เปน การกระทําทีม่ ี ความมหศั จรรยซึ่งไมเปนทีเ่ ขา ใจสําหรบั มนุษยแลว มันก็จะไมออกนอกประเภททว่ี า เปน การ กระทําตามวสิ ัยของธรรมชาติ แตถ า หากถือวา มนั เปนการกระทําทม่ี ีความมหัศจรรยและถือวาเขา (๑) นกั อถาธบิ ายอลั -กรุ อานทัง้ หลายไดพิจารณาในเรื่องนก้ี ันหลายประเด็นและหลายแงมุม โปรดดู หนงั สืออลั -มีซาน เลม ๑๕ หนา ๓๖๓
อาจมคี วามรูประเภทมหศั จรรยท ีพ่ เิ ศษแลว ละก็ แมจ ะเปน การตีความท่ีไมม หี ลกั ฐาน แตก็ถอื ไดวา มันก็เปนการกระทาํ ที่ไมออกไปอยูนอกเหนือวสิ ัยของการสาํ แดงอภินิหาร (มุอญิชาต) ซึง่ ไมมใี คร สามารถกระทาํ ไดนอกจากบรรดาวะลยี ของอลั ลอฮเทานัน้ นบีสุลัยมานกับอํานาจในดา นความเปน ไปของจักรวาล อัล-กรุ อานไดยืนยนั ถึงอาํ นาจพเิ ศษของทานนบีสลุ ยั มาน (ความสันติสุขพึงมแี ดทา น) ไว เชนเดียวกันนี้ ในลักษณะท่ีแตกตา งกนั คือ : 1- ทานนบีสุลัยมานมีอํานาจเหนือญินและนก จนกระทง่ั มันไดกลายมาเปน ทหารของทาน ดังน้ี : “และไดถูกนาํ มาชุมนุมแกสุลยั มานซึง่ ทหารของเขาอันมาจากหมญู นิ มนุษยแ ละนก...” (อนั นัมลุ-๑๗) ๒- ทา นมีอํานาจควบคมุ โลกของสตั วจนกระทัง่ วา ทา นพดู กับมันได สาํ ทบั มนั ไดและยงั ขอรอ งใหมนั ทาํ ตามคาํ ส่งั ของทา นใหสําเรจ็ ได ดงั นี้ : “และเขาขาดนกไปตัวหนึง่ ดังนั้นเขาจึงกลา ววา : ฉนั มไิ ดเห็นนกฮุดฮุดเลย หรือวา มนั เปน พวกที่หายลบั ไป” แนน อนฉันจะตอ งลงโทษมนั อยางสาหัสแนหรือวา ฉันจะตองเชอื ดมันแน หรือ วา มันจะตอ งนําหลกั ฐานอนั ชดั เจนมาใหฉนั สักอยา ง” (อนั นมุ ลุ-๒๐-๒๑) ๓- ทานมีอาํ นาจเหนอื ญิน จะเห็นไดวา ญนิ ไดทํางานตามคาํ ส่ังของทานและตาม จดุ ประสงคข องทา น “และสวนหนึ่งจากญิน มีผทู ที่ าํ งานกบั เขาโดยอนุมัติของพระผอู ภิบาลของเขา...พวกทัน ทาํ งานใหเขาตามท่ีเขาประสงค” (ซาบาอ- ๑๒) ๔- ทา นมีอาํ นาจควบคมุ ทศิ ทางของลม “และสาํ หรับสลุ ัยมานน้ันมีลมทพี่ ัดแรง โดยมันเคล่ือนไปตามคาํ สั่งของเขา” (อัล-อัมบิยาอ- ๘๑) อัล-มะซหี (เยซู) กบั อาํ นาจอันเรนลับ เรอ่ื งราวท่ีสาํ แดงออกมาจากทา นนบีอซี า อลั มะซีห (เยซ)ู (ความสันติสุขพึงมีแดทา น) ใน บทบาทของการแสดงออกมาใหเ ห็นถงึ อาํ นาจที่เหนอื ธรรมชาตกิ ็เชนเดียวกัน กลาวคือทานไดสราง รูปนกขึน้ มาจากดนิ และไดเปาเขา ไปขา งในทันใดนั้น มันก็กลายเปนนกทีเ่ คลอ่ื นไหวและบินได หรือการรักษาคนปวยเรื้อรังใหหายจากโรคโดยไมต อ งใชยาใดๆ ดังทอ่ี ัล-กุรอานไดบอกเลา ใหเรา ทราบดงั น้ี :
“แทจรงิ ฉันจะสรา งจากดนิ ขึ้นมาเปน รูปนกใหแกพวกทาน แลวฉนั จะเปา เขา ไปในมนั แลว มนั ก็จะเปนนกโดยอนุมัติของอัลลอฮ ฉันรกั ษาคนตาบอดไดฉ ันรักษาคนเปนโรคผิวหนังตางๆ ได และฉนั ชุบชีวติ คนตายไดดวยการอนมุ ัติของอลั ลอฮ และฉนั จะแจง แกพ วกทานไดว าอะไรทีพ่ วก ทานไดร ับประทานและทีพ่ วกทานเกบ็ สะสมไวใ นบา นของพวกทาน แทจรงิ ในเรือ่ งนัน้ ยอ มเปน สญั ญาณหนึง่ สําหรับพวกทานถาหากพวกทานเปน ผูศรัทธา” (อาลิ อมิ รอน-๔๙) ควรทจ่ี ะกลาวไวด วยวา อัลลอฮไดท รงยืนยันไวใ นโองการอ่นื ๆ อกี วาความเปนไปใน กิจการตา งๆ เหลา นีค้ ือผลลัพธแ หง การกระทาํ ของทานนบีอซี าเองทีเ่ ปดเผยออกมาจากอาํ นาจของ พระองคโ ดยพระองคทรงมโี องการวา : “และขณะท่เี จา สรา งรูปนกขึ้นมาจากดินโดยการอนมุ ตั ขิ องฉัน แลว เจา ไดเปาไปในมนั มนั จงึ เปน นกขึ้นมา โดยอนมุ ตั ิของฉัน และเจา รักษาคนตาบอดและโรคเร้ือนไดโ ดยอนุมัตขิ องฉัน และ ขณะทเ่ี จา ทาํ ใหคนตายฟนข้ึนมาก็โดยอนุมัติของฉัน” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๐) สาเหตทุ ่โี องการตา งๆ เหลานไ้ี ดยาํ้ คาํ วา “โดยอนุมัติของอลั ลอฮ” กห็ มายถงึ วา การกระทาํ เหลา น้ัน เชอ่ื มโยงไปยงั อาํ นาจของอลั ลอฮ ซึ่งมใิ ชเกิดข้ึนมาจากอาํ นาจอสิ ระของทา นนบีดซี าแต อยา งใดเลย เพื่อมนุษยจ ะไมเกิดความสบั สนในตัวของทานโดยเช่อื ถอื วาทา นมสี ภาพความเปนพระ เจา และดวยเหตุน้ี ทา นมะซีห (เยซ)ู ก็ไดกลาวไวใ นทุกโองการทก่ี ลาวถึงการกระทําของทา นเชน การสรางการชบุ ชวี ติ วา “โดยอนมุ ตั ขิ องอลั ลอฮ” หลังจากนนั้ ทานกไ็ ดสรปุ คาํ พดู ลงในอกี โองการ หนง่ึ วา “แทจรงิ อลั ลอฮ คอื พระผูอภิบาลของฉนั และพระผอู ภบิ าลของพวกทานดังน้ันพวกทานจง เคารพภักดพี ระองคเ ถดิ น่แี หละ หนทางอันเที่ยงตรง” (อาลิ อิมรอน-๕๑) ลกั ษณะคาํ พูดของทา นทก่ี ลาววา : “แทจ รงิ ฉันจะสรา งใหแ กพ วกทาน” นัน้ โองการเหลา นี้ ไดแสดงเหตผุ ลเอาไวเ ปนเรอื่ งภายนอก อีกทัง้ มไิ ดแ สดงความหมายถงึ การอุทธรณแ ละการรองขอ มาจากผใู ด ซึ่งถา หากมันหมายถึงลกั ษณะเชน น้ันแลว แนน อนทีเดยี ววา คาํ พดู ของทา นจะตอ งเปน ดงั น้ี : ถา หากพวกทานขอรองหรือถาหากพวกทา นตอ งการ ตามที่อลั ลอฮไดทรงเลาถึงเรอื่ งราวของทา นและการตรัสของพระองคทมี่ กี ับทานในวันฟน คนื ชีพนั้น ไดใหเหตผุ ลตรงตามโองการตา งๆ เหลา น้อี ยา งสมบรู ณไปดวยหลักฐาน ดังโองการที่วา : “และขณะทีเ่ จา สรา งรูปนกข้ึนมาจากดินโดยการอนุมตั ิของฉนั แลว เจา ใหเ ปาไปในมนั มัน จงึ เปนนกข้ึนมาโดยอนุมัติของฉัน และเจารักษาคนตาบอลและโรคเรื้อนไดโ ดยอนุมัตขิ องฉนั และ ขณะทีเ่ จา ชุบชวี ติ คนตาย...”
ไดม คี าํ ถามขึ้นมาในเรอ่ื งนี้วา ถาหากการบอกเรอื่ งราวท่ีอยูในความลับไดเปน สัญญาณหนง่ึ ของการแสดงอภินิหารแลว ทําไม จงึ ไมม คี าํ วา โดยอนุมัติของอัลลอฮตดิ ตามอยดู ว ย ใหเ หมือนกนั ไปกับท่คี าํ นีต้ ิดตามอยูกบั การกลา วถงึ สญั ญาณอื่นๆ ในฐานะทวี่ า สัญญาณใดๆ กต็ ามทบี่ รรดาศาสน ทูตแสดงออกมาน้ัน ลว นผูกพนั ธก บั การอนุมตั ิของอลั ลอฮ ทั้งส้นิ ดงั โองการทว่ี า : “มใิ ชเปนสทิ ธิของศาสนทตู ใดในอันทจ่ี ะแสดงสญั ญาณหนึ่งๆ ได นอกจากโดยอนุมตั ิ ของอัลลอฮ” (ฆอฟร -๗๘) คาํ ตอบสาํ หรบั ปญ หาขอนชี้ ัดเจนมาก คือ : สาํ หรบั การบอกถึงประเภทของอาหารทคี่ น รับประทานก็ดี การบอกถงึ สงิ่ ของท่คี นเก็บไวใ นบานก็ดี ไมเหมอื นกับการสราง, การชบุ ชีวติ , การ ทาํ ใหตาบอดและโรคเรอื้ นหาย กลาวคอื พนื้ ฐานของจติ ใจมีสว นท่จี ะยอมรับและนึกคดิ ในสภาพ ความเปนพระเจา ของผทู สี่ รา งนกและผชู ุบชวี ติ คนตายใหเปน ข้ึนมาอกี ทง้ั ผทู ท่ี ําใหคนตาบอดและ คนเปน โรคเร้ือนหายในฉบั พลัน ในลักษณะท่ไี ขวเ ขวและเขาใจผดิ ได โดยแตกตา งกันกับการทจ่ี ะ ยอมรบั ในสภาพความเปนพระเจาของผูท่ีบอกเลาในส่งิ ทีเ่ ปน ความเรน ลบั กลาวคอื ไมม คี วามมั่นใจ ไดอยา งเดด็ ขาดวา สงิ่ เรน ลบั มผี ูท่ีลว งรไู ดเ ฉพาะแตเ พียงอลั ลอฮหากแตย งั เชื่อม่ันวา มันเปนเรอื่ งที่ผู ไดรับความโปรดปรานหรอื นกั พยากรณมีโอกาสรับได ดว ยเหตนุ ้เี อง เร่ืองนจี้ ึงไมจาํ เปนตอ งติดตาม ดว ยคาํ ที่วา “โดยอนมุ ตั ขิ องอลั ลอฮ” (๑) ปญหาตอไปก็คือ : คํากลาวของพระองคท ี่วา “(อีซาไดกลาววา ) แทจ รงิ ฉนั จะสรา งรปู นก ข้นึ มาจากดนิ ใหแกพ วกทานแลวฉันจะเปาไปในมัน ดังนั้นมันจะเปนนกโดยการอนมุ ตั ขิ องอัลลอฮ” เปน ประโยคท่ีประกอบดว ยประเด็นตางๆ ดงั น้ี : 1- การสรางรูปนกมาจากดนิ 2- การเปา เขา ไปในรูปนกน้ัน 3- การกลายสภาพมาเปน นกโดยอนุมตั ิของอัลลอฮ สว นทเ่ี ปน การกระทําของนบีอซี า (ความสนั ติสุขพึงมีแดท า น) มเี พียงสองประเด็นแรก ซง่ึ ประเดน็ ท่สี ามน้ันอยนู อกเหนอื ไปจากการกระทาํ ของทา น หากแตเปน การกระทาํ ของอลั ลอฮ ใน ฐานะทป่ี ระเดน็ ทสี่ ามน้ตี ิดตามมาดว ยคาํ วา โดยอนมุ ตั ขิ องอลั ลอฮ ซ่งึ ไมมีประเดน็ ท่ีหน่ึงและท่ีสอง จงึ สรปุ ความไดว า สาํ หรับคําวา สรา งในท่นี ้ี มอี ยสู องความหมายดวยกันคือ : ก. ทําใหส่งิ ทย่ี งั ไมม ี ใหมีข้ึน ( ) ข. การกะเกณฑ, ประมาณการ ( ) ที่ถกู ตองอยางแนน อนก็คือ ความหมายทสี่ อง สว นการทําใหส ่งิ ทยี่ ังไมมีมขี ้ึนนั้น จะใชไดก ็ ตอเมอื่ ที่ตรงน้ันไมม วี ัตถุใดๆ แวดลอมอยูเลย และที่แนน อนก็คือ ณ ท่ีตรงนน้ั ตองมี “ดิน” อยแู ลว และสง่ิ ทส่ี ําแดงออกมาจากนบอี ซี ากค็ อื การกะเกณฑ, ประมาณการ (ตักดรี ) คอื หมายถึงการเอาดนิ (๑) หนังสือ “อัล-มีซาน” เลม ๓ หนา ๒๑๘
มากะเกณฑ, ประมาณการใหเปน รูปนกเทานัน้ สว นประเด็นทส่ี ามทีว่ า มันกลายมาเปน นกจริงๆ ก็ คือการกระทาํ ของอลั ลอฮ ที่สาํ แดงจากการอนุมัตขิ องพระองค ฉะนน้ั ในเรื่องนี้จึงมิใชเ ปนการ กระทําที่เหนือธรรมชาติที่วามนั เกิดข้ึนมาโดยพฤติกรรมของทานมะซหี (เยซู) (ความสันตสิ ุขพึงมี แดท าน) เราจะขอใหคาํ ตอบดงั นี้ : ประการแรกก็คือ เราไมถ อื วาโองการของพระองคท่วี า “โดย อนมุ ัตขิ องอลั ลอฮ” น้ัน หมายถงึ เฉพาะเพยี งสําหรับประเด็นทีส่ ามหากแตเปนที่แนนอนอยา งยิ่งวา มนั จะตอ งหมายถงึ เรอ่ื งราวทัง้ สามประเดน็ หลักฐานดงั กลาวน้ีก็คอื การทคี่ าํ ๆ นี้ติดตามประเด็นที่ หนงึ่ อยูในซเู ราฮอ ัล-มาอดะฮดังทพ่ี ระองคทรงมโี องการวา : “และขณะท่เี จา สรา งรปู นกขึ้นมาจากดนิ โดยการอนมุ ัติของฉนั แลววเจา ไดเปาเขาไปในมัน มนั จงึ เปนนกขึน้ มาโดยอนุมัติของฉนั ...” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๓) ดว ยเหตุนีเ้ อง จงึ ระบไุ มไ ดวา ประเด็นทส่ี ามเทานน้ั ท่ตี ิดตามดว ยการอนมุ ัติของอลั ลอฮ โดยที่สองประเด็นแรกเปนการกระทาํ ของนบีอซี าเอง สวนประเด็นท่ีสามเปนการกระทาํ ของอลั ลอฮ แตท วา เรอ่ื งราวทงั้ หมดนน้ั เปนการกระทําของทา นนบีอซี า (ความสันติสขุ พึงมแี ดท าน) ดา นหนงึ่ และเปนการกระทาํ ของอัลลอฮอกี ดานหนึ่ง ประการท่ีสอง : ถา หากเรายอมรบั ในเร่ืองการสรา งนกไปตามการอธิบายอยา งนนั้ แลว เรา สามารถท่จี ะอธิบายไดอ ยา งไรอีกในกรณีของการรกั ษาคนตาบอดและคนเปน โรคเรื้อนใหหาย ตลอดท้งั การชุบชีวิตใหแกค นตาย ในกรณีท่ใี หถอื วา มันเปน การกระทาํ ของอัลลอฮ เชนเดยี วกบั ทาํ ใหด นิ กลายเปนนกข้ึนมา โดยท่ีอัลลอฮทรงถือวา เปน งานของพระองคเ อง ขณะที่ทานนบีอีซาได กลา ววา “ฉนั ไดรักษาคนตาบอดและโรคเรื้อนใหหายและชุบชวี ติ คใหแ กค นตายไดโดยอนมุ ตั ิ ของอลั ลอฮ” (อาลิ อมิ รอน-๓๙) แมกระทั่งอลั ลอฮกย็ ังถือวามนั เปน งานของทา นมะซีห (เยซ)ู และพระองคท รงตรสั กับทา น ถงึ เรื่องนวี้ า : “และเจา ไดท ําใหคนตาบอดและเปน โรคเร้ือนหายโดยอนุมตั ขิ องฉัน และขณะที่เจา ทาํ ให คนตายฟนข้ึนมาไดโ ดยอนมุ ัติของฉัน” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๐) ในกรณที ีอ่ ัลลอฮทรงกลาวถึงลกั ษณะของมะลาอกิ ะฮพวกหน่งึ ของพระองคอ กี เชน กนั วา มี อาํ นาจดังกลาวน้ี โดยพระองคท รงกลา วถงึ ญิบรออีลวา “เปนผทู รงพลังอนั เขม แขง็ ยิ่ง” (อจั ญม ุ-๕)
กลาวคือพลังของทา นมีอยา งเขม แขง็ เหนือทกุ สว นของโลก เชน ทานรูและประกอบกจิ การ (๑) ทา น จะไมเปน เจา แหงพลังไดอ ยางไร ในเมอ่ื กระชากเมืองของพวกลฏู แลว ยกข้ึนไปสูฟากฟา หลงั จาก นน้ั ก็พลิกเมอื งน้นั ลงไป และสว นหน่งึ จากพลงั อันเขม แข็งของทานกค็ ือ สุรเสยี งของทานทมี ีข้นึ แก พวกษะมดู จนกระทั่งวาคนพวกนัน้ พินาศส้นิ (๒) และถา หากประโยคที่วา “เปน ผูท รงพลงั อัน เขม แขง็ ยิ่ง” หมายถึง “ญิบรออลี ” แลวแนนอนอัลลอฮยังทรงสาธยายถึงเรอ่ื งของทา นไดวใ น โองการอ่นื อีกนนั่ คือ : “ผทู รงพลังแหงบัลลงั คอ ันสูงสง” (อัตตักวรี -๒๐) จากเร่อื งน้ี แสดงใหเ ห็นวา ทา นมีอาํ นาจอนั เรน ลบั โดยอนุมัตขิ องอัลลอฮเกย่ี วกบั ความ เปนไปในจักรวาล อาํ นาจอนั เรน ลบั เหลานเ้ี ปนท่ยี นื ยันไวโดยอัล-กรุ อานวา เปน ของสว นหนง่ึ จากผูเปนบา ว ของอลั ลอฮและผใู กลช ดิ ของพระองค (บรรดาวะลีย) ดวยกระน้ันหรือกลา วคือถา หากความเช่ือถือ วา อาํ นาจอนั เรน ลับเปน ของคนใดคนหนง่ึ หมายถึงวา เปน ความเชอื่ ถือในสภาพความเปน พระเจา แลว กจ็ ะเปนอยางยิง่ ท่ีจะตอ งถอื วาบคุ คลเหลา น้ันท้งั หมดเปน พระเจา ตามทัศนะของอลั -กรุ อาน หากแตจ าํ เปนที่จะตองกลาววา การไดรบั อํานาจอันเรนลับเหลา น้ี คือเร่ืองที่เปน ไปได สาํ หรับ บคุ คลตางๆ ประเภทหอืน่ ๆ อีก (แมจ ะมใิ ชบ รรดานบี) โดยแนวทางของการอิบาดะฮ กลาวคอื การอบิ าดะฮ ท่ีคนสว นใหญค ิดวา คุณภาพของมนั จาํ กดั อยูแ ตเพยี งในความโปรด ปรานของอลั ลอฮและปกปองจากความกรว้ิ ของพระองคเ ทานน้ั ยังชวยสรางพลงั อันใหญหลวงให เกดิ ข้ึนแกจ ติ วิญญาณ และมคี วามหมายลึกซงึ้ ยง่ิ ไปกวา น้นั อีกดว ย! การอบิ าดะฮ เปน สง่ิ ท่ที รงอิทธพิ ลอยางใหญหลวงสําหรับดา นในและวิญญาณ ในขณะที่การยบั ยง้ั ตนเองจากการกระทาํ ในสงิ่ ตอ งหา ม, สิ่งทีน่ า รงั เกยี จมคี วามจริงจงั ใน การกระทําส่งิ ท่เี ปนขอ บงั คับและทีเ่ ปน การกระทําทช่ี อบ มีความบริสทุ ธิ์ใจในสิ่งนั้นๆ จะสงผล อยางใหญห ลวงและลกึ ซง้ึ ในพลังทางดานจติ วญิ ญาณและจะเปน ทีม่ าของความสามารถพิเศษทอ่ี ยู เหนือกฎเกณฑธรรมชาติ โดยเหตทุ ว่ี า จติ วญิ ญาณคือแหลงทีก่ อใหเกิดความเปน ไปทเี่ หนือวิสยั ธรรมชาติ ดงั กลาวน้ี คอื เรอื่ งราวทีฮ่ าดษี ตา งๆ ทม่ี สี ายสืบชดั เจนแสดงหลักฐานไวอ ยางเชน : ตามทมี่ ี โองการของอัลลอฮ ดังปรากฏในรายงานฮาดษี อลั -กุดซียวา : “ไมมีอะไรทีท่ ําใหผูเ ปน บา วไดใกลช ิดฉนั ยงิ่ ไปกวาสิง่ ทฉ่ี ันไดกาํ หนดใหแกเ ขา และ แทจรงิ เขาจะสามารถอยอู ยางใกลช ดิ กับฉันไดโดยการทําความดีพเิ ศษแบบอาสา (นาฟล ะฮ) (๑) “มัจมอุ ลุ -บะยาน” เลม ๕ หนา๑๗๓ (๒) “มะฟาตหี ลุ -ฆยั บ” ของทา นอรั รอซี เลม ๗ หนา ๗๐๒
จนกระทงั่ วา ฉนั รักเขา ดงั นั้น เมอื่ ฉนั รักเขาแลว ฉันจะเปน ทรี่ บั ฟง ของเขาซึ่งเขาไดย ินกับมัน และ เปนที่มองเหน็ ของเขาซึ่งเขาไดม องเห็นกับมนั และเปน ล้ินของเขาซง่ึ เขาพูดดว ยมัน และเปนมอื ของ เขาซ่ึงเขาไดแ บกับมนั (๑) ดังนั้นขอ เทจ็ จรงิ จึงมีอยวู า : อํานาจอันเรน ลับซ่งึ พระองคไ ดทรงประทานแกบ าวที่ ประเสรฐิ ของพระองค เพอ่ื ดําเนินกิจการในจักรวาลโดยอนมุ ัตแิ ละเจตนารมณของพระองค และ พวกเขามีความสามารถเหนือธรรมชาติในแงต า งๆ โดยเฉพาะนนั้ มไิ ดหมายความถงึ ความเชอื่ ถอื ตอ สภาพความเปน พระเจา และผเู ปน เจาของอาํ นาจนน้ั กม็ ิไดเปนภาคี คูเ คียงกับอัลลอฮ ผูทรงสูงสุด เลย ใชแ ลว ความเชอื่ ถือทม่ี ตี ออํานาจอนั เรนลับวา “เปนไปโดยอสิ ระ” อันมิไดเชอ่ื มโยงยงั พระองค เปน การยืนยันถงึ ความเชอ่ื ถอื ตอสภาพความเปน พระเจา และพระองคก ็ไดทรงมโี องการใน ประเด็นน้ีวา : “และมิใชส ิทธิสาํ หรบั ศาสนทูตตอการทจี่ ะแสดงสญั ญาณใดออกมา นอกจากโดยอนมุ ตั ิ ของอัลลอฮ” (อรั เราะอด-ุ ๓๘) คํากลา วอกี ตอนหน่ึงของทานเมาดูดยี : ทา นเมาดูดียไดส าธยายถึงความเชื่อถอื ของพวกทอ่ี ยใุ นยุคงมงายวา : “ความเชื่อถอื ท่แี ทจรงิ ของพวกเขาทีม่ ใี นเรื่องราวของพระเจา ยอยทงั้ หลายกค็ ือวา พวกเจวด็ มีส่งิ หนึ่งท่เี ขามาอยใุ นลกั ษณะแหง ความเปนพระเจา ของพระเจา ผูทรงสงู สุดนั้น และถอื วา คาํ พูด ของพวกมันทั้งหลายเปน ทีถ่ ูกยอมรบั ฉะนั้นความปลอดภยั ของเราอยางแทจริงจงึ ขน้ึ อยูกบั การเอา พวกมนั เปนสื่อกลาง และเราจะขอใหไ ดรับคณุ และขอใหหา งไกลจากเภทภยั ไดก ็โดยอาศยั การขอ ความอนุเคราะหชวยเหลือตอพวกมัน” (๒) (๑) หนังสอื อุศูลลุ กาฟย เลม ๑ หนา ๓๕๒ ฮาดษี นมี ีสายสบื ที่ถกู ตอ ง และเน้อื หาของรายงานฮา ดษี อยใุ นแงท ถ่ี อื วาการอิบาดะฮน ้นั สามารถสรางพลงั ที่เหนือธรรมชาตใิ หเ กดิ ขน้ึ แกจติ ใจไดอ ยาง ไมตอ งสงสัย จงรไู วเ ถดิ วาการนมาซนั้น ไมวา จะเปนนมาซฟรฎหรือนะวาฟล ลวนกอใหเ กิดพลงั ที่ แข็งแกรงขึน้ ในจติ ใจและจิตวิญญาณจนยกระดบั ของมนุษยใหสูงสงขึ้น ถึงกับจะไดเปน เครื่องหมายหนงึ่ สําหรบั การแสดงถงึ การรูแจง เห็นจรงิ ของอัลลอฮ กลาวคือเขามองเห็นสิ่งที่ พระองคม องเหน็ เขาไดยินสงิ่ ท่ีพระองคไดย ิน ในขณะทส่ี ่ิงน้ันๆ บคุ คลอ่นื ๆ มองไมเห็นและฟง ไมไ ดยิน (๒) อลั -มศั ฏอลาฮาตลุ อัรบะอะฮ หนา ๑๙
ประเดน็ ทยี่ อ นกลบั ไปหาทา น ในฐานะทีท่ า นใหท ศั นะถึงความเช่ือถือของพวกทีอ่ ยูในยคุ งมงายทีม่ ีตอ เร่ืองราวของพระเจา ยอยทงั้ หลายทว่ี า “โดยถอื วา พวกเจวด็ เหลา นั้น มสี ิ่งหน่งึ ท่เี ขามา อยูในลักษณะแหง ความเปนพระเจาตามคณุ ลกั ษณะของพระเจาผทู รงสูงสุด” กลา วคือยังจําเปน ตอ ง อธบิ ายใหกระจาง เพราะการถอื วา สงิ่ อ่ืนเขามาอยใู นลกั ษณะตางๆ ของพระองคน ั้น ตองแบง ออกเปนสองประเภท ประเภทที่หนงึ่ : โดยอาศยั ความเขา ใจที่วา สภาพของบคุ คลน้ัน มีความเปนอิสระในการ กระทําและประกอบการงานของพวกเขาเอง นคี่ ือประเภททีเ่ ปนการตั้งภาคี และนาํ เขา ไปสูฐานะ ของพระเจา ซงึ่ การยอมรบั ตอ สง่ิ น้ัน คือการอิบาดะฮ ประการท่สี อง : ความเชอ่ื วา ผุน้ันไดรับอํานาจของพระองคเ ขาไปโดยการอนุมัติของ พระองค ดังนั้นเราจะยอมรบั วา มันเปนความผิดไมได และการเช่อื ถอื ตอเรอ่ื งน้นั ก็มิใชเปนการตัง้ ภาคี การขอความชว ยเหลือก็มใิ ชเ ปน การอบิ าดะฮ ลองมาพิจารณาดูเถดิ วา อลั -กรุ อานไดยนื ยันถึง มะลาอกิ ะฮ บรหิ ารกิจการตางๆ ของโลกอยางไรบาง : “ดังนั้น สําหรับบรรดา (มะลาอิกะฮ) ทีเ่ ปน ผบู รหิ ารกิจการงาน” (อันนาซอิ าด-๖) แนน อนพวกเขาเหลานัน้ คอื ผทู ถ่ี อดวิญญาณและใหความพนิ าศเกดิ ขึ้นแกประชาชาตติ า งๆ ทท่ี รยศดงั ทอี่ ัล-กุรอานไดกลา วถึงถอ ยคําของพวกมะลาอิกะฮเ องทีว่ า : “แทจริงเราไดถกู สง มายังพวกพอ งของลฏู ... “ดงั น้ันเม่ือคาํ ส่ังของเราไดม าถงึ เรากไ็ ดบันดาลใหส วนทอ่ี ยุส งู ของเมืองเปน สวนที่อยตู ํา่ และเราไดใหฝ นเทลงมา” (ฮูด-๗๐-๘๒) กลาวคือ แนน อนทสี่ ุด เราสงั เกตอยางเห็นไดชัดเลยทีเดียววา อลั ลอฮคอื ผุทรงบันดาล แตผ ุ ที่ทําใหเกิดความพนิ าศในทนั ใดนัน้ ไดแ ก พวกมะลาอกิ ะฮ ดังนัน้ จงึ ไมม ที างเลี่ยงไดอกี ไมว า จะ ดวยเปล่ยี นคาํ พูดจากคาํ วา เปน การรับพลังของอัลลอฮเขา มา ออกไปโดยใชค ําวา เปนการมอบ อํานาจให เขา มาแทน กย็ งั ไมทําใหถอื วา กจิ การตา งๆ ทเ่ี กิดขึ้น เปน เร่อื งท่ีอยนู อกเหนือการบญั ชา การอนุมตั แิ ละเจตนารมณข องอัลลอฮได สวนกรณที ีอ่ างวา พวกงมงายมคี วามเชอื่ ถอื ในความเปน จริงแหง พระเจาตา งๆ ของพวกเขา วา “ความปลอดภัยของพวกเขาเปนจริงไดกโ็ ดยการมีพวกมนั เปนส่อื เขาขอใหไ ดรบั คณุ และให หางจากเภทภยั กโ็ ดยอาศยั การขออนุเคราะหความชว ยเหลือตอพวกมัน” นัน้ ยงั เปนการใหทัศนะท่ี
ไมพ นไปจากความบกพรอ ง (๑) กลา วคือ ถาหากหมายถึงวา คณุ ประโยชนแ หงวันปรโลกและการหา งไกลจากเภทภัยแหง วันปรโลก เปนเรอ่ื งที่ไมอนุญาตใหขอตอผูอืน่ นอกจากอัลลอฮและการกระทาํ ดงั กลาวโตแยง ไว อยางชดั เจน ในขณะทีไ่ มเปนขอ สงสยั เลยวา การวงิ วอนขอที่ทา นศาสนทตู กระทาํ เพ่ือคนทีบ่ ริจาค ซะกาตนัน้ ยืนยนั ถงึ ความสงบสขุ สาํ หรับพวกเขา และเปน สิง่ ที่ลบลา งภัยพบิ ตั อิ อกไปจากพวกเขา ดงั โองการของพระองคท วี่ า : “และเจา จงวงิ วอนขอใหแ กพ วกเขาเถิด แทจ ริงการวงิ วอนขอของเจา จะเปนความสงบสขุ แกพ วกเขา” เชนเดยี วกันกับท่วี า การขออภัยโทษโดยทา นศาสนทตู กย็ ืนยันถึงการไดรับ การอภยั ใน ความผิดความบาป ตามท่ีพระองคทรงมีโองการวา “และถา หากพวกเขาไดอ ธรรมแกต ัวของพวกเขาเอง แลว มายงั เจา และขอใหเจาขออภยั ตอ อลั ลอฮให และศาสนทูตกไ็ ดข ออภยั แกพ วกเขา แนนอนท่ีสุดพวกเขาจักไดพบวา อัลลอฮทรงรบั การสารภาพ ทรงเมตตาย่งิ เสมอ” (อัน-นิซาอ- ๖๔) เชนเดยี วกับการวิงวอนขอของนบยี ะอก ูบทีเ่ ปน ส่ิงยืนยนั ถึงการอภัยในความผดิ บาปของ ลูกๆ ของทา น โดยพวกเขากลาววา : โอบ ดิ าขา โปรดขออภัยใหแกเราซงึ่ ความผิดบาปของเราดวย เถดิ ” แลว ทา นนบยี ะอกบู (ความสันตพิ งึ มีแดทาน) ก็ไดตอบพวกเขา โดยกลา ววา : “ฉนั จะขออภัยโทษตอ พระผูอภิบาลของฉันใหแ กพวกเจา ” (ยซู ุฟ-๙๘) (๑) ถา หากชาวอาหรับยคุ งมงายมเี พียงแคข อใหห างไกลจากเภทภัยโดยอาศยั การอนเุ คราะหค วาม ชว ยเหลือของพวกเจวด็ เทาน้ี หมายถงึ วาพวกเขามีความเช่อื ในสภาพความเปน พระเจา ของเจวด็ และพวกเขาถกู จัดวา เปนพวกต้งั ภาคเี พราะสาเหตุนเ้ี ทา น้นั เองแลว จะมขี อแตกตา งอะไรกันนัก ระหวา ง : ๑. การขอใหห า งจากเภทภยั และขออนุเคราะหค วามชว ยเหลือ ในกรณีท่ีขอกบั บาวผูทรง เกียรติซึง่ ใหการอนเุ คราะหไ ดโดยการอนุมตั ขิ องพระองค หรอื วา ทเี่ ปน การตัง้ ภาคีนนั้ หมายถงึ : ๒. เชือ่ วา เปน พระเจา ทีไ่ ดร ับการเคารพ และมอี สิ ระในการกระทาํ ของตน ท้ังนี้โดยไมตอ งจําแนกวา เปนเร่อื งของ “เภทภัยแหง โลกนี้” หรอื “ปรโลก” ที่อนุญาตไดน ้ันคือประเภทแรก และทไ่ี มอนุญาต เด็ดขาดคอื ประเภททีส่ อง และสําหรับคาํ อธบิ ายของทา นอสุ ตาซเมาดดู ยี ท ี่ช้แี จงถงึ ความเช่ือถอื ของ ผูขอทม่ี ตี อความเปนจรงิ ของผูถูกขอวา สามารถใหคุณและสะกัดก้ันเภทภยั ไดนั้น จาํ เปน จะตอง พจิ ารณาอกี ดว ยวาเขาไดเช่อื ถอื ในความเปน พระเจา ผูถูกขอ และความเปนอสิ ระในการใหค ุณ และ สะกัดก้นั เภทภัยดว ยหรือไม? หรือวาเขาเชอ่ื ในความเปนบาวของผนู ัน้ และเขาใหค ุณ หรือปด กั้น เภทภัยกไ็ มได นอกจากโดยอนุมตั ิของพระองคจาํ เปน ท่จี ะตองพิจารณาในแงน้ี มใิ ชพ จิ ารณาในแง ขอแตกตา งระหวาง “เภทภยั แหง โลกนี้” กับ “เภทภัยแหง ปรโลก”
นน่ั หมายความวา ทา นเปน ผูเ ปด เผยใหเ ห็นถงึ ความเปน ไปไดสําหรบั การขออภัยโทษของ ทา น กลา วคือ ถา มฉิ ะน้ันแลว ทา นจะไมสญั ญากบั พวกลูกๆ เชน น้ัน และดงั กลาวนี้ก็แสดงวา อนุญาตใหข อรองจากศาสนทูตเพื่อใหท า นวิงวอนขอและขอการอภยั โทษให และใหขอสิ่งท่ยี งั ประโยชนในวันปกโลกได ทา นคิดวา จะมคี ณุ ประโยชนอ ันใดท่สี ําคัญกอ นคณุ ประโยชนแหง วนั ปรโลกและการ สะกดั กน้ั เภทภัยอะไรอกี ท่ีสําคัญย่ิงไปกวา การสะกดั กั้นเภทภัยแหงการลงโทษของอัลลอฮดว ยการ วงิ วอนขอของทา นนบี? และถาใครคนใดก็ตามไดขอความชว ยเหลอื จากศาสนทตู วา ใหว งิ วอนขอ และขออภัยโทษใหแกเ ขาเพื่อใหไดคุณประโยชนอ ยางนี้เขาก็ยงั ไมเปนผตู ง้ั ภาคี และยงั ไมเปนบาว ของนบีแตอ ยา งใดเลย ยังจะมีบทเรยี นท่ีชัดเจนยิ่งไปกวานีอ้ กี หรือที่ทําใหถ อื วา ความเชอื่ มั่นตอ คณุ านุภาพของน บีและของวะลีในแงทีส่ ามารถสะกัดกั้นเภทภัยและอาํ นวยคณุ ประโยชนแหง วันปรโลกน้ัน หมายถึง การตงั้ ภาคี ในขณะที่อลั -กุรอานไดยืนยนั อยา งเปดเผย ดวยสุรเสยี งท่ีชัดเจนเหนอื หลักฐานใดๆ ถงึ เรื่องนี้อยูแลว ถาหากคาํ วา สง่ิ ใหค ุณและเปนเภทภัยตามคาํ อธิบายของทานมันหมายถึงส่ิงใหค ณุ และเปน เภทภยั ในสวนของโลกน้ี และถือวา การขอความชวยเหลอื ในเรอ่ื งทง้ั สอง หมายถวึ การตง้ั ภาคแี ลว ก็ เทา กับวา อลั -กรุ อานไดย อมรับถงึ เรื่องนี้ไวในโองการตา งๆ มากมายเชน กัน กลาวคอื พวกของทา นนบีมูซา (ความสนั ติสุขพงึ มีแดท าน) ไดขอนํา้ จากทา น ในขณะท่ี พวกเขาพลัดหลงกลางทะเลทราย จะเหน็ ไดวาพวกเขาขอความชว ยเหลือจากทานในส่ิงที่ยัง ประโยชนแ หงโลกน้ี โดยท่ีทา นนบมี ซู ากม็ ิไดยบั ยง้ั พวกเขายิ่งไปกวา นั้น ทา นยังไดข อน้ํา จากอัลลอฮใหแกพวกของทา นในทันที อลั -กรุ อานไดช้ีแจงถึงเรอ่ื งน้ี โดยกลาววา : “แลวเม่อื มซู าไดข อน้าํ ใหแกพวกของเขา...” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๖๐) เชน เดยี วกบั ที่พวกเขาเหลา นนั้ ไดว ิงวอนขอความชว ยเหลอื จากทาน วา ใหม ีความโปรด ปรานตางๆ ถกู ประทานมาจากฟากฟา ซ่ึงทานกม็ ไิ ดห า มพวกเขาวา อยา ขอเรือ่ งนี้ หากแตท า นยงั ได วิงวอนขอใหแกพ วกเขา แนน อนยงิ่ วงศวานของฟร อาวนไดขอความชวยเหลือจากทา นวา ใหช วยถอดถอนภัยพิบัติ ออกไปจากพวกเขา (ภยั พิบัติทางโลกท่มี กี ลาวไวใ นโองการกอ น) วา : “และเมอ่ื การลงโทษไดอุบัติข้ึนแกพวกเขา พวกเขาก็กลาววา โอมซู าทา นจงวงิ วอนขอจาก พระผอู ภบิ าลของทานเพื่อพวกเราเถดิ ตามทพี่ ระองคทรงสญั ญาไวก บั ทาน แนนอนถาหากทา น ปลดเปลอ้ื งโทษทัณฑใหพน ไปจากเราไดแลวเราจะศรัทธากับทา นอยา งแนนอน และเราจะยอมสง พวกบะนอี ิสรอเอลใหแ กท า น”
(อลั อะอร อฟ-๑๓๔) ดังน้ัน ทุกอยางเหลา นี้ ลว นใหเ หตผุ ลวา การขอใหไดร บั คุณ และการขอใหส ะกัดกน้ั เภทภยั ในสวนของโลกนจี้ ากผูอนื่ โดยอนุมัตขิ องอลั ลอฮ กเ็ ปนท่ีอนุญาตใหกระทาํ ไดเชน กัน ในขณะทีถ่ า หากมิใชเ ชนน้นั แลว แนน อนทานนบีจะตองยบั ยงั้ และลําทับพวกเขาเหลา นน้ั ไปแลว ใน ทุกๆ ประเด็นสาํ หรบั การขอเหลา น้แี ละทา นจะตอ งใหการพจิ ารณาของพวกเขามุงไปยังอัลลอฮ เพ่อื ใหพวกเขาขอตอ พระองคโดยตรง มิใชว า จะมาขอ และวิงวอนความชว ยเหลือในเรื่องน้ีจากทาน ในขณะทที่ านเปนส่งิ ถูกสรา งส่ิงหนึ่งมาจากอัลลอฮ และเปนบา วคนหน่ึงจากบรรดาบา วของ พระองคเ ทา นน้ั ไมเปน ที่นาสงั สยั เลยวา สําหรับทา นนบมี ซู าน้นั มีการไดรับในสวนของการอาํ นวย คุณประโยชนและสะกัดก้ันเภทภัยแหงโลกนี้ดว ยเชน กัน จงึ จาํ เปน สําหรบั ทานอสุ ตาซเมาดูดยี ท จ่ี ะตองนําคาํ อธบิ ายของทานทห่ี า มมิใหขอในสิ่งทย่ี ัง คณุ ประโยชนและขอการสะกดั กั้นเภทภัย มาเชือ่ มติดกับคําอธิบายของเราตอไปดว ย นั่นคือ : โดย ถอื วา มคี วามเปนอสิ ระและคณุ นภุ าพอืน่ ๆ จนถึงกับวา สง่ิ ถูกขอ มคี วามเปน อสิ ระในเร่อื งนน้ั ๆ คาํ อธิบายโดยสรุปก็คือ ทางแกไ ขปญ หานีก้ ค็ อื เราจะตอ งแยกแยะออกจากกนั ระหวา ง ความเชือ่ ในอํานาจที่เชือ่ มโยงไปยงั เจตนารมณข องอลั ลอฮ, การอนุมตั ขิ องพระองค, ตลอดท้ัง เจตนารมณของพระองค, กบั ความเชอ่ื ในอาํ นาจทม่ี คี วามอิสระ, และจะตองไมนําท้งั สองประเด็น เขามาอธบิ ายปะปนกนั
สรุป ทัศนะตา งๆ ทมี่ ใี นเร่ืองการสําแดงมุอญ ชิ าต (อภินหิ าร) จากบาวของอลั ลอฮน้ันหนีไมพ น ไปจากส่ที ัสนะดงั ตอ ไปนี้ ๑- มันมิไดเปนเร่อื งของความเกนิ เลยและความมอี าํ นาจอนั เหลือลนมาจากสภาพของพวก เขาเองในฐานะของผูมคี วามอิสระในงานสรา ง, งานบนั ดาล, งานใหช วี ติ , และใหมีความตาย ๒- แทจริงอัลลอฮ ทรงบันดาลเร่อื งราวเหลานั้น โดยเกี่ยวพันกับความประสงคข องพวกเขา สองทัศนะนี้ เราไดอ ธบิ ายผา นไปแลว ในเรอ่ื งที่เกยี่ วกบั การมอบอํานาจเดด็ ขาดให ๓- โองการตา งๆ ไดแสดงเปนหลักฐานใหแกเราวา การกระทําน้นั ๆ เปน เรอ่ื งของพวกเขา (บรรดานบ-ี อ-) โดยการอนมุ ตั ิของอัลลอฮ และโดยการกําหนดใหข องพระองค ๔- ทศั นะท่ีวาดวยเรื่องของการควบคมุ เอาไวในอํานาจ ซง่ึ มรี ายงานฮะดษี กลาวถงึ ไว นอกเหนือจากทีเ่ ราไดช ี้แจงไปแลว และทงั้ สามทัศนะหลังไมขดั แยง กันเลย กลาวคอื ไมมปี ระเด็น ใดที่เขา กันไมได ทศั นะหลงั สุดนี้ มีหลกั เกณฑเ ปน พื้นฐานอยกู ับเร่ือง ความมอี ยูของความรสู กึ และความ เขา ใจในทุกสรรพสงิ่ ทีม่ ีอยู ซ่ึงเรอื่ งนี้เราอธบิ ายไปแลว อยา งชัดเจนในภาคทสี่ าม สําหรบั เร่อื งนี้ ก็คือการท่ีส่งิ ตางๆ ในจักรวาลทําตามคาํ สง่ั ของทา นนบีในเมอื่ ทานไดบัญชา ส่ิงใดไป และมีโองการของพระองคส นับสนุนเร่อื งนเ้ี อาไว คือ : “แลวเราไดบ ันดาลใหล มอํานวยประโยชนแ กเ ขา มนั จะเคลอ่ื นไปตามการบัญชาของเขา อยา งเรียบรอย ไมวาเขาจะมงุ ไปทางใด” (ศอด-๓๖)
๒- ความเปนไปโดยปกตวิ ิสัยและเหนือปกตวิ สิ ยั ของเหตกุ ารณอยุในขา ยของหลกั เอกภาพและการ ตัง้ ภาคีกระนนั้ หรือ? พวกศูฟยและพวกตะรอวิชไดม ที ัศนะตอ บรรดาหัวหนาและผูอ าวโุ สแหง แนวทางของพวก เขาเลยเถิดไปจนเขา ขา ยของการตง้ั ภาคอี ยา งเหน็ ไดช ัด ดวยเหตุนี้พวกเขาจึงทาํ ลายขอบเขตของหลัก เอกภาพและการตัง้ ภาคีอีกท้งั ยังไดเ อาหลกั เกณฑของทัง้ สองอยางมาทาํ ใหเ ขา กัน แรกเรมิ่ เดมิ ทีของ เรื่องน้ีเกิดขนึ้ มาจากบทกวที ปี่ ระพนั ธข ึ้นมาเทิดทูนบรรพชนของพวกเขา โดยท่เี ต็มไปดว ยกลิ่นไอ ของการต้งั ภาคีอยา งสดุ เหลือที่จะกลาว เหลา น้ันคอื บทกวีทไ่ี มเ ขากันกับพืน้ ฐานตามความเปน จรงิ (ของหลกั เอกภาพตามความหมายของอลั -กุรอาน) ถงึ แมพวกเขาบางคนพยายามทีจ่ ะพสิ ูจนวาบทกวี และคาํ กกลอนตา งๆ เหลา นั้นเปน เรื่องทีอ่ ยนู อกเหนอื เรื่องการต้งั ภาคี แตความจริงกไ็ ดพิสูจนให เหน็ วา ไมส มควรและไมอนญุ าตใหผ ูอยูในหลักเอกภาพเปลงคาํ พดู ใดๆ ก็ตามท่ีไมเ ขา กนั กบั หลัก เอกภาพของอสิ ลามตามความหมายของอลั -กรุ อานออกมาเลยเปน อนั ขาด โดยแนน อนย่ิง ทศั นะของคนพวกนท้ี ี่มตี อความหมายของการตงั้ ภาคนี ัน้ เปน ทศั นะท่ี จาํ เพาะและปลกี ยอยมาก จนถึงกับวา ไดจาํ กดั ความใหเรอื่ งการตงั้ ภาคที แ่ี นน อนประเภทตา งๆ สวนมาก เปน เร่ืองของหลักเอกภาพไปเสยี ?? ดวยเหตนุ ้พี วกเขาจงึ จาํ กดั ขอบเขตท่ีเปนแวดวงของ การต้ังภาคใี หม ันแคบลงจนสดุ เหลอื ทีจ่ ะแคบ?? ในทางตรงกนั ขา มกับคนพวกนี้อยางสิ้นเชิงกไ็ ดแ กพวกวะฮาบีย กลา วคอื พวกเขาขยาย ขอบเขตความหมายท่แี ทจ รงิ ของเรอื่ งการต้ังภาคใี หก วา งออกไปจนแทบจะถือไดวา ทุกๆ อริ ยิ าบถ ของการเคลื่อนไหวและหยุดนง่ิ อีกทง้ั การแสดงออกทุกอยา งจากพวกทถ่ี ือในหลักเอกภาพอนั มตี อ บรรดาผมู เี กียรตสิ ูงแหงอัลลอฮ (เอาลยิ าอลุ ลอฮ) ท่มี ีจุดมุงหมายไปในแงข องการใหเกยี รติ, นอบ นอ ม ลวนแตเปนเรอ่ื งท่ีพวกวะฮาบยี ถ ือวา เปน การตงั้ ภาคีและออกนอกขอบขายของหลักเอกภาพ ทัง้ ส้ิน?? พวกเขาเรยี กคนทกี่ ระทาํ ส่งิ เหลาน้นั วา ผูตง้ั ภาคี (มชุ รกิ ) จนถึงกับวาขา พเจาไดพ บกับสิ่ง เหลา น้ีดวยตัวเอง นนั่ คือในวนั หนง่ึ ที่มัสยิด อัล-ฮะรอม ขา พเจา ไดแ สดงความคารวะเพอ่ื เปนเกียรติ แกผ ูทรงคุณวุฒิคนหน่ึงท่ีมี “ลักษณะของความเปน ผสู ง่ั สอนคนใหกระทาํ ความดี” ดว ยการกมศรี ษะ ใหเน่ืองในการพบปะคราวนัน้ แตแ ลว ชายคนน้ันกลบั พดู ดวยลักษณะทจี่ รงิ จงั และเสยี งดังฟงชัดวา : “คณุ อยา ทาํ อยา งน้ัน น่ันมันเปนชริ ก (การตง้ั ภาค)ี เปนสิ่งตองหาม...คณุ อยา กม ศีรษะให เพราะมนั เปนชริ ก !! ความจรงิ แลว ถา หากความหมายของการตง้ั ภาคีและหลกั เอกภาพเปน เหมือนอยางกับที่ พวกวะฮาบยี ใหท ศั นะและกลา วไว ก็เปน อันวาทง้ั ใตน ภาและหนาแผน ดนิ น้ี เราไมอาจจดั ใครสัก คนขน้ึ มาใหเ ปน ผูอยใู นหลกั เอกภาพไดเลย และจะไมมใี ครเลยแมแตคนเดียวที่จะถูกจัดวามี คุณสมบัติอนั น้ันไดอ ยางแนน อน...
แนน อนทส่ี ดุ เพอ่ื นคนหน่งึ ของขาพเจาทเ่ี ปน คนซอื่ สัตยมากไดเ ลา ใหฟงวา อมิ าม มสั ยิด อัล-นะบะวียไ ดกลา วคาํ ปราศรัยในคุฏบะฮวา : ชยั ค อบั ดุลอะซีซไดกลาวถงึ ขอบเขตของการต้ังภาคี วา : “ทกุ ส่ิงทุกอยางทส่ี ัมพันธกับส่งิ อ่นื อันนอกเหนือไปจากอัลลอฮ ลว นเปนการต้ังภาคี ท้งั ส้ิน”... ขาพเจา ขอกลาววา : ถาความหมายของการตั้งภาคี เปนไปอยา งที่คนนี้พดู แลวละก็ แนน อน ทีส่ ดุ เราจะตองถอื วา มนษุ ยท กุ คนทีเ่ กดิ มาในโลกน้ี ลวนเปนผูต ัง้ ภาคี โดยไมมกี ารยกเวน แมแ ต พวกวะฮาบยี เ อง เพราะพวกเขาประกอบกจิ การงานตางๆ ท่จี าํ เปน ไดสําเรจ็ อยา งแทจ ริงกโ็ ดยอาศัย การสัมพันธแ ละการติดตอ กับส่งิ ท่ีเปน ตน เหตุประเภทตา งๆ ทัง้ สิน้ โดยไมอ าจจะกลา วไดวา ตนเหตุตา งๆ และสาเหตหุ ลักเหลาน้ันคืออัลลอฮ หากแตมันหมายถงึ สิ่งท่นี อกเหนอื จากอัลลอฮเมือ่ เปน เชน น้ี จึงสรปุ ไดว า พวกเขามีความสมั พนั ธแ ละการติดตอกบั ตนเหตุและสง่ิ ตา งๆ ทเี ปนสาเหตุ หลกั ท่ีนอกเหนือไปจากอัลลอฮ และเปนการสัมพันธก ับส่งิ อนื่ ที่นอกเหนอื จากพระองค... ในขณะเดียวกับท่วี า ความสมั พันธและการตดิ ตอตา งๆ เหลาน้มี ิไดเปนแตเพียง การไมตงั้ ภาคีเทา นั้น หากแตย งั เปนเนื้อหาของหลกั เอกภาพอันลึกซ้งึ อีกดว ย เพราะชีวติ ของมนุษยในโลกน้ี ยอมขน้ึ อยกู ับสาเหตุหลกั และสงิ่ ตางๆ ทีเ่ ปน ตนเหตุทง้ั ส้ิน ประเด็นสําคญั ทส่ี ดุ อยูตรงท่ีวา เขาจะตองไมเชอ่ื ถือวา ตน เหตตุ า งๆ และสาเหตหุ ลักเหลา นี้ มีความเปนอสิ ระใดๆ แกตวั เองและแยกตวั ออกไปตา งหากจากเจตนารมณของพระผูเปน เจาผทุ รง สงู สุด หากแตจําเปน ทเ่ี ขาจะตอ งเชอ่ื ถอื วา ผลลัพธข องมันทเี่ กิดขึ้นมานัน้ เปนไปตามเจตนารมณ ของพระองคท้ังสน้ิ ใชแลวสําหรบั ประเดน็ ท่ีวา ความสมั พันธก บั สิง่ ตา งๆ ท่ีเปน ตน เหตุและทีเ่ ปน สาเหตหุ ลกั ประเภททเ่ี ปน วัตถุอยางเปดเผยนั้น มันเปนเนื้อหาในเรือ่ งหลกั เอกภาพดา นหนึง่ และเปน เนอ้ื หาในเร่อื งการต้ังภาคอี ีกดา นหน่งึ กลาวคอื ตราบใดทเ่ี รามไิ ดเ ชอ่ื ถือ...วา สิง่ ตา งๆ ทเ่ี ปนตน เหตุ เหลานมี้ คี วามเปนอสิ ระแกตัวของมันเอง (ในขณะทเี่ รามกี ารการตดิ ตอ กับมัน) และเรากม็ ไิ ดถอื วา ผลลัพธอ ันเกิดขึ้นมาจากมนั อยใู นสภาพทีพ่ น ไปจากเจตนารมณของพระผูเ ปน เจา หากแตเราเชือ่ ม่ัน วา มันอยูในประเภทที่เชื่อมโยงอยูกับความประสงคของอัลลอฮ ตราบน้ันเรากย็ งั ไมออกไปจาก กรอบของหลักเอกภาพ ในเร่ืองความเชอ่ื สาํ หรบั หลักเอกภาพยอมจะไมม สี ่งิ ใดเปนพ้ืนฐานรองรับได นอกจาก ความเช่ือถือเชนนแี้ ละดําเนนิ ไปตามครรลองน้ี สว นในกรณที ่ีหากเรามคี วามเห็นวา สงิ่ ท่ีเปน ตนเหตแุ ละสาเหตหุ ลกั ตา งๆ เหลา น้ีมีความ เปนอิสระแกตัวของมนั เอง และเชอ่ื ถือวา ความเปนไปแหงผลลัพธของมันเปน เรือ่ งที่อยุนอกเหนอื เจตนารมณของพระผุเปนเจา โดยไมข ึ้นอยูกบั ความประสงคของพระผเู ปน เจา กเ็ ปนอนั วา ในความ เชอ่ื ถือลักษณะน้นี ี่เอง ทเ่ี ราจะเปนผุท่เี ช่อื มน่ั ตอ ผูสรา งหลายองค...
เปนอนั วา ผยุ ดึ มน่ั ในหลักเอกภาพจะตอ งรักษาความเช่อื ถอื ท่ีวา ในปรากฎการณต างๆ ของ ธรรมชาติน้นั มีกฎเกณฑค วบคุม (ความเปน ไปบของสง่ิ ทเี่ ปนตนเหตแุ ละสาเหตุหลกั ) อยแู ละตอ ง เชื่อถือวา สิง่ ทเี่ ปน ตนเหตุและสาเหตหุ ลักเหลาน้ี ไมม ีอํานาจอสิ ระในการทาํ ใหเกิดผลลัพธใ ดๆ ท่ี เดด็ ขาดได หากแตม ันหมายถงึ สิ่งทข่ี ้นึ อยูกับอัลลอฮ ในการเกดิ ผลลัพธข องมัน เชนเดยี วกับในแง การมอี ยุและการดาํ รงอยขู องมันนั่นเอง ผุท อ่ี ยูในหลักเอกภาพนนั้ ถึงแมเ ขาจะยอมรบั วา ชวี ติ นี้ จะตอ งดาํ เนนิ ไปตามพืน้ ฐานทว่ี า เปน ผูจํานนอยูกับกฎเกณฑแ หง ความเปนไปของสงิ่ ท่เี ปนสาเหตุก็ตามที แตอ ยางไรกด็ ี เขาก็ยัง พจิ ารณาตอ ไปอกี วา ส่งิ ทีเ่ ปน สาเหตเุ หลาน้ีอยูใ นพน้ื ฐานที่วา การมอี ยูของมนั กด็ ี การคงอยูของมนั ก็ดี การเกดิ ผลลัพธของมันก็ดลี วนเปนเร่ืองท่ีมาจากอัลลอฮทงั้ สิน้ กลา วคอื ปฐมบทแหงเหตทุ ั้งปวงคอื อัลลอฮ สวนสง่ิ อนื่ ๆ ท่เี ปนเหตุ คอื สรรพส่งิ ท่ถี ูกสราง ของพระองค เปน ส่งิ ท่ียอมจาํ นนอยกู บั เจตนารมณ โดยเปน ไปตามครรลองแหงความประสงคข อง พระองค อันมิไดขัดขืนแตป ระการใดเลย แทจ ริง ขอแตกตางขั้นพนื้ ฐานระหวา ง ผูยึดถอื ในหลกั เอกภาพกบั นักวตั ถนุ ิยม น้ันมีแฝงอยู ในเร่อื งน้ี กลา วคอื ฝา ยท่สี องเชอ่ื ถอื วา “วตั ถุเปนพ้ืนฐานหลักสาํ หรับสงิ่ ทเ่ี ปน ตนเหตุและมันมอี ิสระ ในการทําใหเกิดผลลัพธ” ในขณะท่ผี ูยึดมั่นตอหลักเอกภาพเชือ่ ถือวา มนั เปน เรื่องของอัลลอฮ ผุ สรางสรรพสิง่ พรอ มๆ กบั ที่วา เขายอมรบั ตอกฎเกณฑแ หงความเปน ไปของสิง่ ท่ีเปน เหตซุ ึง่ เปนกฎ ควบคุมจกั รวาลนอ้ี ยู ขอพิสูจนจากอลั -กรุ อาน การพจิ ารณาในหวั ขอ เรือ่ งความเปนอิระ และความไมเ ปนอสิ ระของสิ่งที่เปน สาเหตุแหง กฎธรรมชาตทิ างดานวตั ถุ คอื สิ่งทีจ่ ะแบง แยกระหวางหลกั เอกภาพกับการต้ังภาคี และเรื่องน้จี ะ สามารถแยกแยะคนท่อี ยูในหลักเอกภาพออกไปจากคนต้ังภาคีไดอยา งชดั เจน สาํ หรับความจรงิ ใน เรือ่ งน้ีอลั -กุรอานอันทรงเกยี รตไิ ดชแี้ จงไวในโองการตา งๆ มากมาย กลา วคอื มีคนอยูพวกหน่งึ เม่ือ ถึงคราวท่ีพวกเขาประสบกับปญ หาใดๆ ทเี่ กดิ ขึ้นจนหมดหนทางแกไ ข พวกเขาก็จะยอมรับเอา ความหายนะตา งๆ เหลานน้ั โดยถอื วา เปนเรอ่ื งท่ขี ้ึนอยูกับอัลลอฮ มอบหมายยังอลั ลอฮ และจะไม พจิ ารณาไปยังสิง่ อน่ื ที่นอกเหนือจากอัลลอฮ ดว ยความจาํ ยอมและความบริสุทธิใ์ จ ครน้ั พอเขาไดรบั ความปลอดภัย ก็หวลกลับไปสูส ภาพของผตู ้งั ภาคีอกี คร้งั หนง่ึ และน่คี ือสภาพความเปน ไปของคน พวกน้ี ซง่ึ ในอัล-กรุ อานมอี ยหู ลายโองการทเี ดียวทชี่ ี้แจงเก่ียวกับสภาพอยางนี้ ซึ่งเราจะกลาวถึงใน บางสว น ในกรณีที่เปน หวั ขอ สําคญั สาํ หรับการทจ่ี ะทาํ ใหเ ราเขา ใจวา อะไรคือความหมายของการ ตงั้ ภาคีตามท่ีไดรับการกลา วถึงไวในโองการตา งๆ เหลา นี้ เราขอใหทา นไดพจิ ารณาประเด็นตางๆ ของโองการตอไปนี้ :
“และเมื่อเภทภยั หนึ่งๆ ไดส ัมผัสมนุษย พวกเขากว็ งิ วอนขอตอพระผูอภบิ าลของพวกเขา โดยมีจติ นอมกลบั สูพระองค แตแ ลว เม่ือพระองคใ หพวกเขาล้ิมรสความเมตตาจากพระองค ขณะน้ันกจ็ ะมีกลมุ หนง่ึ จากพวกเขาทําการตัง้ ภาคตี อพระผุอ ภบิ าลของพวกเขา” (อัรรมู -33) “ครนั้ เม่ือพวกเขาไดข ่เี รอื อยู พวกเขากว็ ิงวอนขอตอ อลั ลอฮโดยเปนผูบรสิ ุทธใิ์ จนอบนอม ตอพระองค คร้นั พอพระองคไ ดใหพวกเขาปลอดภยั จนถงึ บนบกพลนั พวกเขาก็ต้ังภาค”ี (อัล-องั กะบตู -๖๕) “จงกลาวเถดิ อลั ลอฮไดทําใหสูเจา ปลอดภัยจากสงิ่ เหลา นัน้ และจากทกุ ขภัยทกุ ประการ หลงั จากน้นั สูเจา กต็ ัง้ ภาค”ี (อลั -อันอาม-๖๔) “หลงั จากน้ัน เม่ือพระองคท รงถอดถอนเอาเภทภัยออกไปจากสูเจา แลว ขณะน้นั ก็จะมีกลุม หนึ่งจากพวกสูเจา ทีต่ ง้ั ภาคตี อ พระผอู ภิบาลของพวกเขา” (อัน-นะฮัล-๕๔) นีค่ ือบางโองการท่ีระบุถึงความเปน ไปในแงนี้ ความหมายท่ีเปนตัวบังคับท่อี ยใู นรปู ของ ประโยคกค็ อื “ขณะนั้นเองพวกเขาก็ตัง้ ภาค”ี แทจริง ความหมายของการตงั้ ภาคใี นโองการน้ี มไิ ดห มายความแตเ พียงวา เม่อื คนเหลานั้น ขน้ึ ไปถึงบนบก หรอื ไดร ับความปลอดภยั แลว พวกเขาจะกมกราบกรานเจวด็ กนั เลย แตวา ความหมายที่แทจรงิ จะตองกวา งออกไปกวาน้ี กลาวคือเมื่อพวกเขาไดรับความปลอดภยั แลว กก็ ลบั กลายเปนลมื เหตกุ ารณในคร้ังกอนและมอบหมายเรือ่ งท้ังหมดไปใหแกส าเหตตุ า งๆ ตามวิสยั ของ วัตถุ โดยคิดวา สง่ิ ตางๆ เหลานน้ั เปนสาเหตหุ ลักที่มีอิสระในการยืดชีวิตพวกเขาใหด ํารงอยโู ดยมิได คํานึงวา มันเปน การสนับสนุนมาจากอลั ลอฮ และเปนผพุ ิจารณาไปยังส่ิงเหลา น้ันวา มนั คือเหตทุ ่ี เปน ไปอยางมคี วามอิสระ โดยไมมสี วนพาดพิงไปยังอลั ลอฮเลย ไมต องสงสยั เลยวา การพจิ ารณา วา มันเปน เรื่องของสาเหตทุ ่เี กิดมาจากธรรมชาติลวนๆ อนั หมายถงึ ความเปน อิสระในตัวของมันเอง นั้น คือการตัง้ ภาคอี ยางหน่งึ เชน กัน ท่าํ จาํ เปน ตองหลีกเล่ยี ง และมนั คือจดุ ทเ่ี ปนขอ จําแนกออกจาก กันระหวา งสํานกั ทางวิชาการท่ีเชือ่ ในพระเจา กบั สํานกั ทางวชิ าการแบบวัตถุนิยม และถาหากได นําโองการเลหน ้ีมาศึกษาเกย่ี วกับเรอื่ งการตง้ั ภาคีและหลักเอกภาพกันในเชิงวชิ าการแลว ก็จะเหน็ ไดวา อลั -กุรอานไดเ นนไวอยา งไรบางในแงท ว่ี า ในโลกนี้ไมม ีอํานาจของส่ิงอ่ืนใดอีกแลว ทีเ่ ปน อสิ ระออกไปจากอาํ นาจของพระผูเปนเจาและไมม เี จตนารมณข องผใู ดอกี ทส่ี ามารถขดั ขืน เจตนารมณอ นั น้นั ไดเลย ในเร่อื งนี้ยังชนี้ าํ ทานไปพจิ ารณาอีกวา อัล-กุรอานยืนยันวา พระองคผ ทู รงบรสิ ทุ ธค์ิ อื ผุนาํ ทางในทา มกลางความมืดของบนบกและทะเล พระองคคอื ผูสงลมที่รําเพยพักเอาความเมตตาและ หล่งั นาํ้ ฝนลงมา ดงั โองการทว่ี า :
“ยงั มผี ุใดอีกหรอื ที่นําทางสูเจาในทากลางความมืดตา งๆ ทัง้ บนบกและทะเลและผูท ส่ี ง ลาํ รําเพยพักเอาความเมตตาของพระองคม าประทานให ยงั จะมพี ระเจา ควบคกู ับอลั ลอฮกระน้นั หรอื ? อลั ลอฮทรงสูงสดุ พน ออกไปจากสงิ่ ตา งๆ ทพ่ี วกเขาตงั้ ภาค”ี (อนั นัมลุ-๖๓) พรอ มกับท่ีมนุษยยงั มแี ละเขาก็จะหนีไมพ นจากการแสวงหาประโยชนจ ากส่งิ ตา งๆ ทเี่ ปน ตนเหตุและปจ จยั ทง้ั หลายทางธรรมชาติเชน ดาว, เสน รงุ , เสนแวง ซงึ่ เขาใชส่ิงเหลา นน้ี ําทศิ ทาง อกี ทงั้ สิง่ อน่ื ๆ ทนี่ อกเหนอื จากเร่อื งเหลา นอ้ี นั ไดแกเ คร่อื งมือทางวทิ ยาศาสตรเทคโนโลยี ทใ่ี ชในการ เดินทางทง้ั ทางบกและทางทะเล สง่ิ เหลาน้ที ัง้ หมดหาใชอ ่นื ใดไม นอกจากแสดงใหเห็นวา ความ เปนไปแหง สาเหตหุ ลักนั้นมาจากอัลลอฮ ผุท รงความบรสิ ทุ ธิ์น่ันเอง เชน เดยี วกับที่วา ลมและฝน ในกฎธรรมชาตอิ นั นีม้ ันเกิดขน้ึ มาจากกระบวนการตางๆ ท่ี เปน ผลมาจากปฏิกริ ิยาของสาเหตุหลกั แหงระบบธรรมชาติทสี่ งผลออกมาใหป รากฏในรูปของลม หรอื นา้ํ ฝน แตอลั -กรุ อานกลาวกับเรือ่ งนวี้ า : “พระองคค ือผุซง่ึ ไดสง ลมรําเพยพดั มาเปน ความเมตตาของพระองค” (อลั -อะอร อฟ-๕๗) “พระองคคอื ผูทรงหลัง่ ฝนลงมาหลงั จากทพี่ วกเขาทอแท และไดทรงกระจายความเมตตา ของพระองค” (อัชชูรอ-๒๘) ท้งั หมดนี้มใิ ชเพราะเหตใุ ด นอกจากเปนเพราะวา อัลลอฮ ทรงอยเู บือ้ งหลังสาเหตหุ ลกั ตา งๆ เหลานน้ั และส่งิ เหลานน้ั ก็เปน ไปตามบญั ชาและการกําหนดของพระองค อาจกลาวไดอ กี นัยหนงึ่ วา สาเหตุหลักและตนเหตตุ า งๆ เหลาน้ี แทท่จี รงิ แลวมันหาไดมี ความเปนอิสระในตวั ของมนั เองไม มันไมม ีท้ังอาํ นาจในการดาํ รงอยูและในการสาํ แดงผลลัพธของ มันเองแตอ ยางใด หากแตมนั คือสิง่ ทถ่ี ูกสรา งมาทง้ั สิน้ ไมว า จะเปน การเคล่ือนท่ีไปของมนั และการ มีอยอู ยา งสมบูรณข องมนั และการเกดิ ผลลัพธข้ึนมาของมัน ลว นเปนของอัลลอฮท้ังสิน้ ดวยเหตุ นี้อัล-กุรอานจึงไดยืนยันวา พระองคทรงเปน ผูนาํ ทางทา มกลางความมดื ท้ังหลาย ทงั้ บนบกและใน ทะเลและทรงเปนผทุ ่สี งลมมา อกี ทง้ั เปน ผปู ระทานฝนมาใหห ลงั จากทพี่ วกเขาทอแท ความเปน จรงิ ตา งๆ เหลานี้ มรี ะบุไวอ ยา งชดั เจนท่ีสุดในโองการตา งๆ ของซเู ราฮ อัล-วา กอิ ะฮ สิ่งเหลาน้ี มไิ ดห มายความวา อัล-กุรอานปฏเิ สธกับส่ิงทเี่ ปนตน เหตุและสาเหตตุ า งๆ ทเ่ี ปน หลักในทางธรรมชาติ อกี ทัง้ มิไดป ฏเิ สธความมีอยู และพลังของมนั ตลอดจนมิไดปฏิเสธตอบทบาท ของมนั เลย หากแตม ันอยใู นประเดน็ ท่ีวา ตน เหตแุ ละสาเหตหุ ลักตา งๆ เหลา นี้ ไมมีอํานาจควบคมุ ตัว ของมันเองโดยอิสระแตอ ยางใด และมนั ขึน้ อยูกับอํานาจของอลั ลอฮ ท้ังความหมายในแงข องการ ผนั แปรและความหมายในแงข องสรรพนาม โดยเหตุท่วี า ถามนั ตดั ขาดออกไปจากเจตนารมณของ
พระองคแ ลว มนั จะเสียหายและจะพินาศส้นิ โลกกบั ทุกสง่ิ ท่มี องเห็นอยูกจ็ ะกลับกลายเปนความ มืดมนตมืดบอด ดว ยเหตุนศ้ี ิลปะในการอธบิ ายถึงปรากฏการณแหง ธรรมชาตจิ งึ มอี ยใุ นอลั -กรุ อาน โดยท่ใี นบางครั้งกอ็ ธิบายสรุปวา เปน เรื่องของอลั ลอฮ บางครั้งกอ็ ธบิ ายไปหาสาเหตุหลักตางๆ บางครัง้ กจ็ ะอธบิ ายรวมท้งั สองอยา งเขา ดว ยกนั พระองคก ลาววา : “และเจา หาไดขวา งไปไมในขณะท่ีเจา ไดขวา ง แตอ ลั ลอฮตางหากเลาทไ่ี ดขวา ง” (อัล-อันฟาล-๑๗) ความสัมพันธกับปรากฏการณท ่ีอยูนอกเหนือกฎธรรมชาติ บัดนี้ เปนท่เี ขาใจอยางแจม ชัดแลววา ทัศนะทมี่ ีตอส่ิงทเี่ ปน สาเหตหุ ลักประเภททเี่ ปน กฎ ธรรมชาตนิ ้ัน ถา เปน การมองในแงทวี่ า มนั เปนสาเหตหุ ลักทไี่ มม คี วามเปน อสิ ระในตัวเอง มนั กย งั หมายถงึ เรือ่ งของหลักเอกภาพอยู สวนถา มองในแงท ่วี า มนั มคี วามเปน อสิ ระในการทาํ ใหเกิดผล ลัพธ มันก็จะหมายถึงการตั้งภาคีไป และสําหรบั กรณขี องสง่ิ ทีเ่ ปนสาเหตุประเภททอี่ ยนู อกเหนือกฎ ธรรมชาตนิ ้นั กฎเกณฑของมนั กเ็ ปนไปตามกฎเกณฑของสิง่ ท่อี ยูน อกเหนือกฎธรรมชาตินนั้ กฎเกณฑของมันก็เปน ไปตามกฎเกณฑของสิ่งท่ีอยูในประเภททเ่ี ปนกฎธรรมชาตินั่นเอง โดยถือวา ถา ความสัมพันธเ ปน ไปตามการมองในแงทีห่ นึ่ง กจ็ ะหมายถงึ เรอ่ื งของหลักเอกภาพ และถา ความสมั พนั ธเปน ไปตามการมองในแงท่หี น่งึ กจ็ ะหมายถึงเรื่องของหลกั เอกภาพ และถา ความสัมพนั ธเปนไปตามการมองในแงท่ีสอง กจ็ ะหมายถงึ การตั้งภาคชี นดิ คําตอคํา แตอ ยางไรกด็ ี พวกวะฮาบียย ังถอื วา ความสมั พันธท ม่ี กี ับส่ิงที่อยเู หนอื กฎธรรมชาติน้ัน เปน ความสัมพันธทร่ี วมอยู ในประเภทการต้งั ภาคีทานเมาดดู ยี ไดกลาวไวในเรอื่ งนว้ี า : “ดงั นั้นในเมอื่ คนใดหวิ นํ้า แลวเขาไดเ รยี กคนใชข องตนมา และสงั่ ใหคนใชน ําน้ํามาให ก็ จะมไิ ดหมายความวา ชายคนน้ันทําการ “วงิ วอนขอ” (ดอุ าอ) และมไิ ดห มายความวา ชายคนนั้นเอา คนใชของตนขึน้ เปนพระเจา และใครกต็ ามที่ดาํ เนินไปตามกฎเกณฑน ้ีกับสงิ่ ทีเ่ ปน สาเหตหุ ลักตา งๆ กจ็ ะเปน ไปตามนี้ แตถาเขาขอความชว ยเหลือตอ วะลยี แ ลว ไซร ก็ไมต อ งสงสัยเลยวา เขาไดวิงวอน ขอเพื่อปลดปลอยทุกขภ ยั และกําลังเอาสิ่งนนั้ ขึ้นเปนพระเจา ” “เพราะเปนเสมอื นหนึ่งวา เขาลงความเหน็ วาวะลียนั้น มีคณุ ลกั ษณะเปน ผทู รงไดย ิน ทรง มองเหน็ ท้งั ส้ินเสมอ และสาํ คัญวา วะลียมีอาํ นาจประเภทหนงึ่ ท่ีอยเู หนอื โลก เปนตนวาการท่จี ะนํา น้าํ มาใหถงึ เขา หรือทาํ ใหเขาหายปว ยไข” “กลา วโดยสรุปแลว เหตผุ ลท่ีทําใหม นษุ ยวิงวอนขอตอพระเจา ออ นวอนตอ พระเจา นบ นอบตอพระเจากค็ อื เหตผุ ลที่วา พระองคม สี ภาพเปนผูท รงอภิสิทธิใ์ นอาํ นาจอยา งเดด็ ขาดเหนือ กฎเกณฑท างธรรมชาติ และเปนผุทรงสทิ ธิ์ในพลงั ท่ีอยูนอกเหนอื กรอบแหง กฎธรรมชาต”ิ ขอความดังกลาวมีปญ หาอยสู องประเด็นคือ :
ประเด็นทหี่ นึ่ง/ถาคนเราคดิ วา แทจ ริงสาํ หรับปรากฏการณทม่ี อี ยูน้ี เปนส่ิงที่มาจากสาเหตุ สองประเภท คอื ประเภททเ่ี ปนไปตามกฎธรรมชาตแิ ละประเภททอ่ี ยูนอกเหนอื กฎธรรมชาติ กลา วคือ ไมอยางใดอยา งหน่ึง จะถือวา ความคิดเชนนเ้ี ปนการต้ังภาคี หรือไม? ประเดน็ ทสี่ อง/ถาคิดวา ใครสกั คนหน่งึ มอี ํานาจอันเรน ลับในจักรวาลโดยการอนมุ ตั ิของ พระองค ผทู รงบรสิ ุทธ์ิ จะถือวา ความเช่อื อยางน้ี เปนความเช่อื ในสภาพความเปน พระเจา ของคน น้ันหรอื ไม? แนน อนเราไดวเิ คราะหความเปนไปเกย่ี วกบั ประเดน็ ทสี่ องไปแลว และตอไปนี้ เราจะมา กลา วถึงประเด็นท่ีหนึง่ กัน : ถาคนๆ หนง่ึ เชือ่ วา เขาจะหายจากโรคไดโดยสองวธิ ี วธิ ีหนึ่งคือเปนไปตามธรรมชาติ อกี วิธหี นึ่งคอื วิธีทีน่ อกเหนอื กฎธรรมชาติ และเขาก็ไดด ําเนินการไปตามวิธีท่ีหน่ึงแลว แตก ็ไม บรรลุผล ดงั น้ันเขาจึงกลับมาดําเนนิ การรักษาโดยยึดเอาวธิ ีท่สี อง เชน วธิ ที ท่ี านมะซีห (เยซู) ใชม ือ ทัง้ สองขางมาสัมผัสเปนตน จะจดั วา ความเชือ่ อยา งนแี้ ละการขอความชว ยเหลอื อยางนเ้ี ปนการต้ัง ภาคี และเปน การกระทําที่ออกนอกขอบขายของหลกั เอกภาพหรอื ไม ถา ทา นไดพ ิจารณาอยางจรงิ จงั กบั หลักเกณฑต างๆ ตามที่ทา นรบั รมู าเก่ียวกับเรือ่ งการ แยกแยะลกั ษระการต้ังภาคีกบั เร่ืองอื่นๆ ออกจากกนั แนนอนทานก็จะสามารถใหค าํ ตอบไดเ ลยวา มนั มไิ ดขัดกับเอกภาพแตอ ยา งใด ยงิ่ ไปกวานัน้ ยังถอื วา อยใู นหลักเอกภาพอยา งบริบูรณ เพราะเขา เชือ่ ถอื วา อลั ลอฮ ผูซ่งึ ไดประทานผลลัพธในทางบาํ บัดโรงตามกฎธรรมชาติ หรือผทู ่ไี ดทาํ ใหน้ําผ้งึ เปนยาบาํ บดั โรคนั้น คอื ผูซ่งึ ประทานความสามารถใหแกทานมะซีห จนสามารถรกั ษาคนปวยให หายไดโดยอนุมัติของพระองคเม่อื เปน เชนนีจ้ ะถือวา ความเชือ่ ของเขาเปนการต้ังภาคอี ยางไร? ใชแ ลว คนใดคนหนึ่งอาจกลา วถงึ เรื่องของความเปนไปในสงิ่ ๆ หนึ่งใหผ ิดพลาดได และ อาจกลา ววา อลั ลอฮไมท รงประทานความสามารถอันนั้น ไดแ กวะลยี คนน้ันโดยเฉพาะ หรอื จะ กลา ววา เขาไมม ีความสามารถจะทําใหหายไดแ ตมันเปน เรอ่ื งทอ่ี ยูนอกเหนือขอบเขตการอธิบาย ของเรา กลาวคอื เราต้งั หวั ขอ การอธบิ ายแยกแยะเรอ่ื งการตั้งภาคี ใหอ อกจากเรือ่ งอืน่ ๆ เทา นนั้ มิได อธบิ ายในหัวขอที่วา ยนื ยันถึงความสามารถหรือปฏิเสธความสามารถของวะลียคนใดคนหนงึ่ และ หวงั วา ผุทอี่ ธิบายวา ความเชอ่ื ถือและการขอความชว ยเหลืออยา งน้ีเปน การตั้งภาคีนนั้ ถาหากวา ได พิจารณาแยกแยะประเด็นหลักของการต้งั ภาคีใหออกจากเรอ่ื งอน่ื ไดแ ลว กจ็ ะเปน การงา ยสาํ หรบั พวกเขาในแงข องการจาํ แนกความจริงออกจากความไมเ ปน จริง ในขณะทีว่ า มีอะไรแตกตา งกันบาง ระหวางความเช่อื ถอื ที่วา อลั ลอฮใหดวงอาทิตยข น้ึ ใหไฟเผาไหม ใหน้าํ ผึง้ เปน ยาบาํ บดั กับความ เชอื่ ถือทว่ี า อัลลอฮใหดวงอาทติ ยขึน้ ใหไฟเผาไหม ใหน า้ํ ผง้ึ เปนยาบาํ บดั กบั ความเชอื่ ถอื ทีว่ า พระองคน ีแ่ หละคอื ผซู ึง่ ใหอํานาจแกว ะลยี ของพระองคเชนทา นมะซหี และคนอืน่ ๆ ในการบาํ บัด โรคใหห าย หรอื กับความเชอื่ ที่วา พระองคนีแ่ หละที่ใหอาํ นาจแกว ิญญาณอนั บริสุทธขิ์ องวะลีย ท้งั หลายในการดําเนนิ กจิ การของจกั รวาลและอาํ นาจในการใหความชว ยเหลอื
แนน อนทสี่ ุด ในอลั -กุรอานไดมีการกลา วถงึ การมอบอํานาจทอ่ี ยุนอกเหนอื ธรรมชาตใิ หแ ก คนบางคนโดยเฉพาะ ดังท่ีเราไดก ลา วไปแลว จงึ ขอใหท านพิจารณากับเรื่องเหลา นนั้ ดังตอ ไปน้ี : 1- อลั กุรอานไดกลาวถงึ ลกั ษณะววั ของซามิรยี วา “แลว เขา (ซามริ ยี ) ก็นาํ รปู ววั ออกมาเปนตัวใหแกพ วกเขา อกี ท้ังยังสง เสียงรอ ง ดังน้ันพวก เขาจงึ กลา ววา นแี่ หละพระเจาของพวกทา น และพระเจา ของมซู าแตเ ขาลมื เสียแลว ” (ฏอฮา-๘๘) ครัน้ พอหลงั จากท่ีทานนบีมูซากลับจากการเขาเฝา และไดเ ห็นสภาพเชนนั้นก็ถามซามริ ยี ถงึ เรอ่ื งการกระทาํ ของเขา วา มคี วามสามารถในการประดษิ ฐงานน้ีขึน้ มาไดอยางไร ซามริ ยี ก ็ตอบวา : “เขาตอบวา ฉนั เห็นในสง่ิ ท่ีพวเขาไมเห็น แลวฉันไดกาํ ฝน จากรอยของทูต (ญิบรีล) กําหน่ึง แลว ฉันกโ็ ปรยมนั ลงไป และตามน้นั แหละท่จี ิตใจของฉนั คลอยตามไป” (ฏอฮา-๙๖) เปน อันวา ตน เหตสุ าํ หรับการกระทําของเขาคราวน้คี อื ฝนุ กาํ มือหนึง่ ท่ีเอามาจากรอยของทูต โดยไดนาํ มนั ไปใชใ นส่ิงทีเ่ ขาตองการ แลว มันก็กลายมาเปน วัวที่รอ งออกมาไดและนี่กห็ มายความ วา ดนิ ท่ีถูนํามาจากรอยเทา ของทตู น้นั มปี ระสิทธภาพพเิ ศษ แลวซามริ ยี ก ็มีความสัมพันธก ับดินน้ัน ๒- อลั -กุรอานไดก ลา วถงึ ลักษณะทน่ี บยี ะอก บู หายจากตาบอด วา สืบเนื่องมาจากทา นนบี ยูซุฟ โดยไดกลาวดงั น้ี : “พวกทานจงรําเสือ้ ของฉันตัวนี้ไป แลว วางมันลงไปทีบ่ นใบหนาบดิ าของฉนั แลว มนั กจ็ ะ ทําใหม องเหน และพวกทา นจงนาํ สมาชกิ ครอบครวั ของพวกทานท้งั หมดมาหาฉนั ” (ยูซุฟ-๙๓) “ครัน้ เม่ือผูแจง ขาวดีไดม าแลว เขากว็ างมนั ลงไปบนใบหนาของเขา (บดิ า) พลันกก็ ลับมา มองเหน็ เขาไดกลาววา ฉันยงั มิไดบอกพวกทา นอกี หรือวา แทจริงฉันรใู นสิ่งที่พวกทา นไมรูมา จากอลั ลอฮ” (ยูซุฟ-๙๖) ดังน้ัน ถา คนใดเช่ือมน่ั วา ผูซ ึ่งไดทรงสรา งประสิทธิภาพพเิ ศษโดยเฉพาะไวในดนิ ท่ถี ูก นาํ เอามาจากรอยของทตู ท่ีวาพอนําไปใหเ ขากับสภาพหน่ึงๆ แลวกจ็ ะทําใหมนั มีเสียงรอ งออกมา หรอื เช่อื ถือวา ผูทไี่ ดใหประสทิ ธภิ าพอนั มหัศจรรยแกเ สื้อตัวน้นั คอื ผูซงึ่ ไดใหป ระสิทธภิ าพพเิ ศษ โดยเฉพาะแกสง่ิ ท่ีเปนสาเหตุหลักท้ังหลายประเภททอี่ ยูนอกเหนอื กฎธรรมชาติ จนมนุษยใ ช ประโยชนกบั มันไดในสง่ิ แวดลอมเฉพาะอยา งใดอยา งหนงึ่ แลวจะเปน ทอ่ี นุญาตใิ หเ ราโจมตคี นที่ เช่ืออยางน้วี า เขาเปนผตู ้งั ภาคีไดกระน้ันหรอื ? และจะมอี ะไรตา งกนั ระหวา งการทซ่ี ามริ ียน าํ ดนิ มา จากรอยของทตู ? หรอื เสื้อของนบยี ซู ุฟ? กับสาเหตุหลักตางๆ ท้งั หลายแมกระทัง่ กบั สาเหตหุ ลกั ท้งั มวลทีน่ อกเหนอื ธรรมชาติ?
แทจริง การแสวงหาความสมั พันธก บั บรรดาวญิ ญาณอันบริสทุ ธทิ์ ่ีสถติ ยอ ยู ณ พระผู อภบิ าลนน้ั เปนการถือปฏบิ ัตติ อ สิง่ ที่เปนสาเหตุหลกั ชนิดหน่งึ ท่ีอยใู นหลักความเชอื่ ดานการถือ ปฏิบตั ิ ดังทีพ่ ระองคไ ดมโี องการวา : “โอบรรดาผศู รทั ธาทง้ั หลาย สเู จาจงยําเกรงอัลลอฮและจงแสวงหาสือ่ ในการเชือ่ มสมั พนั ธ ยังพระองค” (มาอิดะฮ- ๓๘) สว นกรณที ่วี า บรรดาวิญญาณและตวั ของบุคคลประเภทนี้ จะมคี วามสามารถในการ ชวยเหลอื ผทู ่ีขอความชว ยเหลือหรอื ไมน้นั นับวาเปนเร่อื งทิ่อยูนอกเหนือไปจากหัวขอ ท่เี รากาํ ลัง อธิบายอยู
๓- การมีชีวติ อยูแ ละการตาย เขามาอยใู นขายของหลักเอกภาพและการตง้ั ภาคดี วยหรอื ? ไมตอ งสงสัยเลยวา การชว ยเหลือซง่ึ กันและกัน การสนบั สนุนซ่ึงกนั และกันระหวางมนุษย นั้น เปนพ้ืนฐานของชีวติ ประวตั ศิ าสตรความเปนมาของมนุษยชาติก็หาใชอนื่ ใดไม นอกจากวา เปนความสามารถของมวลมนษุ ยชาตทิ ส่ี บื เนื่องมาจากการชว ยเหลือซง่ึ กนั และกัน การ แบงสันปน สวน การแลกเปล่ียนผลประโยชนซ่ึงกันและกันตามวสิ ยั ของมนษุ ย อลั -กรุ อานไดส อนบทเรยี นเรอ่ื งการชว ยเหลือเกื้อกูลกันของมนุษยไ วอ ยางมากมาย ดงั โองการท่วี า : “ดังนั้น ผทู ่เี ปนพรรคพวกของเขาก็ไดข อความชว ยเหลือจากเขาใหเ อาชนะแกผทุ ีเ่ ปน ศัตรู ของเขา ดงั นั้นมูซากไ็ ดช กเขา จนความตายมแี กผ ุน ั้น” (อลั -เกาะศ็อศ-๑๕) เพราะฉะนัน้ การชวยเหลอื เก้ือกูลกันของมนุษย เปนความจริงที่ปรากฎอยูอยางหนึ่งใน ชีวิตอขงมนษุ ยชาติและเปนเร่ืองท่ยี อมรบั กนั อยูในทศั นะของมนุษยชาติทัง้ มวล เพยี งแตวา พวกวะ ฮาบยี นั้น ไดมีคาํ อธิบายใหร ายละเอียดตามความเหน็ วา ในประเดน็ ของสิ่งทเ่ี ปนไปตามธรรมชาติ นน้ั ไมเ กี่ยวกับในเรอ่ื งหลักเอกภาพและการตัง้ ภาคี กลาวคอื พวกเขาไดกลาววา การแสวงหาสื่อสมั พันธกบั บรรดานบีและบรรดาวะลยี นัน้ อนญุ าตใหก ระทาํ ไดในขณะทค่ี นเหลานั้นมีชีวิตอยู แตจะทาํ ไมไดในขณะที่คนเหลานน้ั ตายไปแลว ทานมฮุ ัมมัด บนิ อับดุลวะฮาบไดก ลาวในประเด็นน้วี า : “นค่ี ือเรอื่ งที่อนญุ าตใหกระทาํ ได ไมวา จะขอเพื่อโลกน้ีเหรือเพ่ือปรโลกสําหรับกรณีท่ีวา ไปหาคนมคี ุณะรรมแลว กลา วกบั เขาวา : ชวยวิงวอนขอตอ อัลลอฮใหขาพเจา ดวยเถิด ดังท่ีสาวกของ ทานศาสนทูต (ศ) เคยขอตอ ทา นในขณะท่ที า นมีชีวติ อยู แตใ นกรณที ่หี ลงั จากตายไปแลว จะกระทาํ มิได คือพวกเขาก็มไิ ดขออยา งนัน้ อกี เลย แมแ ตผูอ าวโุ สในยุคกอนๆ กป็ ฏเิ สธมิใหมีใครไปวิงวอน ขอตออัลลอฮ ณ สสุ านของทาน กลาวคอื ทา นจะขอดว ยตัวของทา นไดอยา งไรกันอีก” (๑) สําหรับเรื่องของหลักเอกภาพและการต้ังภาคนี ้ัน มเี ครื่องวัดท่แี นน อนของมนั โดยสามารถ แยกแยะเรอ่ื งหนง่ึ ออกจากเร่อื งหนึ่งได และอิสลามมิไดล ะเลยในการท่จี ะใหเ ครื่องวดั เหลานั้นแก เรา ยงิ่ ไปกวาน้นั ยังใหร ายละเอียดทแ่ี นช ัดกับทุกแงทุกมมุ อีกดวย แนน อนทส่ี ุด ในบทกอ นๆ เราไดเ ขาใจอยา งชดั เจนในเรือ่ งนไ้ี ปแลว แตเรายังมิไดกลาวถึง ในประเดน็ ของเครื่องวัดเหลานีว้ า การมชี วี ติ อยู และการตายไปมีความหมายสําหรบั หลกั เอกภาพ และการต้งั ภาคดี ว ยกันท้งั สองอยา งได ทา นจะทราบไดเ ลยวา สําหรับการมชี วี ติ อยแู ละการตายไปของผูท่ถี ูกขอความชว ยเหลือนั้น มไิ ดเ ขา มาอยใู นขอบขายของการต้ังภาคหี รอื หลักเอกภาพอยา งแนน อน นอกจากในกรณีท่ถี าขอ (๑) “กะชะฟุล-อัรตีหยาบ” หนา ๒๗๑ อา งจาก “กะชะฟุชชบุ ฮาบ” รวบรวมโดย มุฮัมมดั บนิ อบั ดุ ลวะฮาบ พิมพท ่อี ียิปต หนา ๗๐
ความสนบั สนุนและขอความชว ยเหลือตอ ผูมชี วี ติ พรอมกบั มีความเช่ือถอื วา เขามีความเปนอสิ ระใน ตัวเองสาํ หรบั การแสดงความสามารถและการใหงานสมั ฤทธ์ิผลกจ็ ะหมายถงึ การตง้ั ภาคี ลักษณะ การขอความชว ยเหลอื ตอคนเปนในกิจการใดๆ โดยใหความหวงั อยางเตม็ ทนี่ ้ัน ผุม ีสตปิ ญญายอ ม ไมถ อื วา เปน การถกู ตอ งถา หากเปนการขอความชว ยเหลอื ที่ประกอบขนึ้ กบั ความเช่อื ถอื วา ผไุ ดร บั การขอรองมคี วามสามารถอสิ ระในการใหความชวยเหลอื เพราะเปนท่รี ูกนั ในหมูผมู ีสติปญญาวา พน้ื ฐานของการขอความชว ยเหลอื ตอ ผมู ีชีวิตนน้ั จะตองไมถ อื วา ผุถกู ขอมีความเปนอิสระในการ กระทํา กลา วคอื การขอความชว ยเหลอื ของพรรคพวกนบมี ูซา จะไมถ ูกตอ งตามหลักของเอกภาพ เลย นอกจากวา จะตอ งอยใู นรูปเดียวเทา นั้น คือ : ในขณะทข่ี อน้ันเขาจะตอ งไมเชอื่ ถอื วา นบีมูซามี ความเปนอิสระแกต นเองในการทาํ ใหสัมฤทธผิ์ ล หากแตตองถือวา ความสามารถและผลลัพธข องมู ซาท่เี กดิ ขึน้ นั้น เช่ือมโยงกับความสามารถของพระผเู ปนเจา และไดร ับการสนับสนุนมาจาก พระองค ความจริงอันเดยี วกันน้ีก็ดาํ เนินอยใู นกฎของการขอความเก้ือหนุนและขอความชว ยเหลอื ตอ “บรรดาวญิ ญาณบริสทุ ธ”์ิ ตามคาํ อธิบายของอลั -กุรอาน และตามหลักวชิ าการฮาดีษดว ย กลาวคือ ถาพรรคพวกของนบีมูซาขอความชว ยเหลือตอทาน (ความสันตสิ ุขพงึ มแี ดทา น) หลังจากที่ วญิ ญาณออกจากรา งทา นไปแลว โดยมคี วามเช่ือถอื อยา งนีอ้ ยุ การกระทาํ ของเขาก็จะไมเปน การต้ัง ภาคี และยงั มไิ ดตง้ั ใหทา นนบีมซู าเปนภาคกี ับอัลลอฮไมวา จะเปนในแงข องสภาวะ, คณุ ลักษณะ, การกระทํา หรือในแงของการเคารพภักดีก็ตาม และเขายงั ไมเคารพภักดีตอบูชาเพราะการขอความ ชว ยเหลือแบบน้ี สว นในกรณีท่ีถาหากวา เขาขอความชว ยเหลือจากทาน โดยเชื่อถือวาวญิ ญาณของทา นมี ความเปนอิสระในการใหความชว ยเหลอื และเชอ่ื มนั่ วา เปน วิญญาณทีม่ ีความสามารถในการให สัมฤทธผิ์ ลไดโดยไมเก่ียวกับอาํ นาจของพระผเุ ปนเจา ก็เทา กับวา ผูขอความชว ยเหลือคนนเี้ ปนผูตั้ง ภาคี และความเช่ือของเขาอยา งนคี้ ือการตัดสินวา มซู าอยใู นคณุ สมบตั ิของพระผูเปนเจา ถา หากวา เร่อื งการมีชีวิตอยุและการตายไปของผูถกู ขอใหช วยเหลือจะมีผลกระทบใน สว นๆ ใดแลว ประการแรกมนั กจ็ ะมีผลกระทบในประเดน็ ท่วี าความเปน ไปได ของการใหค วาม ชว ยเหลือ คอื ไมอยใุ นขอบขายของการต้งั ภาคแี ละหลักเอกภาพ และสาํ หรับการกลาวถึงเรื่องความ เปนไปได หรือไมกเ็ ปนประเด็นที่อยนุ อกเหนอื ไปจากหัวขอเรื่องท่เี ราอธิบาย นับวาเปน เรื่องแปลกสุดเหลือทจ่ี ะแปลก สําหรบั การตคี วามวา การหาสอื่ และการขอความ ชว ยเหลอื ตอ คนเปนและการขออนุเคราะหจากเขาถกู จดั วา หมายถงึ หลักการเอกภาพ และการขอ ความชวยเหลอื ขอการบาํ บัดอยา งเดียวกันน้ใี นทกุ ๆ ขอแมกับคนตายกลบั หมายถงึ การตง้ั ภาคี และ ผูใดที่ทําเชน นั้น มกี ฎลงโทษท่ตี อ งถงึ กับใหป ระหารชีวติ ทีเดยี ว
พวกวะฮาบียย อมรบั วา อัลลอฮ ไดทรงมีบัญชาใหคนทําบาปไปหาทา นนบี(ศ) และขอให ทา นนบีวิงวอนขอการอภัยโทษแกพวกเขา โดยถอื เอาตามความหมายของโองการ (อัน-นิซาอ- ๖๔) เชนเดยี วกันนี้พวกเขากย็ อมรบั วา ลกู ๆของนบยี ะอกบู ขอใหบิดาวงิ วอนขอการอภัยโทษแกพวกเขา (ยูซฟุ -๙๗-๙๘) อยา งไรกด็ ีพวกเขากไ็ ดก ลา ววา ขอ มูลสองประการนี้ มนั เขา กับหลักเอกภาพไดก็ เพยี งเพราะความมชี วี ิตอยขู องผถู ูกขอความชวยเหลอื เทา น้นั สว นถาขออยางนใี้ นขณะทเ่ี ขาไดตาย ไปแลว จะตองถอื วา เปนการตง้ั ภาคี อยางไรกต็ าม ทานผูอ านกย็ อมรูอยางดีทสี่ ุดอยแุ ลววา การมีชีวติ อยูและการตายไปของ ทานศาสนทูตนั้นมิไดเปล่ยี นแปลงเนื้อหาทีแ่ ทจรงิ ของการงานแตอยางใดเลย กลาวคอื ถา หากวา การแสวงหาส่อื สัมพันธ เปนการตงั้ ภาคที ่ีแทจ ริงแลว แนน อนท่ีสุดวามันจะตอ งเปนอยา งน้ที ้ังใน สองสถานโดยไมม ขี อ แมระหวา งสถานภาพของคนเปนกับคนตาย ถา จะอา งวา การขอความชว ยเหลอื ตอ คนตายเปน การกระทาํ ที่ไรส าระในประการทห่ี นงึ่ และเปนการกระทาํ อตริ (บดิ อะฮ) ไมถ ูกยอมรับวาอยใู นบทบญั ญัตศิ าสนาเปน ประการทสี่ องแลว ละก็ จะขอกลาวคาํ ตอบดังน้ี ประการทีห่ นึ่ง การกระทําอนั น้จี ะเปน สิ่งอุตริ (บดิ อะฮ) ไดกต็ อ เม่อื ผูขอความชว ยเหลือได ดาํ เนนิ ไปในฐานะทีถ่ อื วา มนั เปนคาํ ส่งั หนึ่งทอ่ี ยูในบทบัญญัตแิ ตถา หากกระทําส่งิ ดงั กลา วขึน้ มา จากสว นของมนั เองตา งหากโดยมิไดถือวาเปน เร่อื งของหลกั การ ก็จะไมเปนบิดอะฮแ ละไมเปน การ ตัง้ กฎเกณฑใ นศาสนาขึ้นมาใหมแ ตอ ยา งใด เพราะการกระทาํ ในสงิ่ อุตริ (บิดอะฮ) นน้ั หมายถึงการ นาํ สิง่ ท่มี ิใชม าจากศาสนาเขา ไปในหลักศาสนา และไดถือปฏิบัติในส่ิงนัน้ ๆ ขนึ้ มาในฐานะท่ีถอื วา เปนคาํ สัง่ ของศาสนา ประการทีส่ อง/การอธบิ ายในท่นี ี้ หมายถงึ เพียงแตการจํากดั ความในเรอ่ื งหลกั เอกภาพกับ การต้ังภาคเี ทา นนั้ และมิไดเ กีย่ วขอ งกบั ประเด็นที่วาการกระทําอนั นเ้ี ปนส่ิงที่เกิดผลหรือไมเกิดผล หรอื วา จะเปนเร่ืองบิดอะฮไมบดิ อะฮ กลาวคอื ประเดน็ ตา งๆ เหลาน้ี ลวนอยูนอกเหนือหวั ขอ การ อธิบายของเรา ประกอบกบั วา ตอ งการใหเ รอื่ งน้ี ดําเนินไปตามทร่ี ะบมุ าในประเด็นทเ่ี ปนแงของ บทบญั ญัติอันวา ดวยการแสวงหาส่ือสัมพันธกับบรรดาวญิ ญาณอันบรสิ ุทธต์ิ ามหลักฐานตา งๆ ทถี่ กุ นํามาอา งไวอ ยา งชดั เจนเทาน้นั (๑) เหนือสงิ่ อื่นใดทกุ ประการ การขอความชวยเหลอื ตอ ผุตาย ยังไมอ าจถือวา เปน การตั้งภาคี ไดเลย ในเมือ่ เขามไิ ดท ําการต้งั ภาคี และอนั ทีจ่ รงิ แลว ความเช่อื ถือทว่ี า ผกุ ระทํามีความเปน อสิ ระใน ตัว และในการกระทาํ อกี ทงั้ มอบหมายตนกบั เขาไปในลักษณะดังกลาวเชน เดียวกันกบั การตงั้ ภาคี ในการเคารพภกั ดนี ั่นแหละจึงจะถอื วา เปน การต้ังภาคี ขณะเดยี วกนั กับท่เี ชอ่ื ถอื วา ผูกระทําไมม ี ความเปนอิสระในตัว ในคณุ สมบัติตางๆ ในการกระทําตา งๆ ของตนเลย อีกท้ังยงั มกี ารยอมรบั ถึง (๑) โปรดดูการอางหลักฐานน้ันไดใ นหนงั สือ กะชะฟลุ อิรตยิ าบ หนา ๓๐๑
ฐานะความเปน บา วของผูน้นั อยู และมอบหมายตนยังผูนัน้ ในฐานะเปน การใหเกยี รตแิ ละยกยอง ก็ จะไมถอื วา เปน การต้งั ภาคี แตถ า หากเขาลมื กฎเกณฑอนั นี้ไป แนน อนเหลือเกินวา * เราจะไม สามารถพบวา ในโลกน้จี ะมผี ทู อ่ี ยูใ นหลักเอกภาพไดเ ลย ในลําดบั ตอไปจากนี้ เราขอนาํ ทานผอุ านมาพจิ ารณาคาํ อธิบายของลูกศิษยทา นอบิ นตุ ัยมี ยะฮในประเดน็ น้ีบาง ทา นอิบนกุ ็อยยมิ ไดกลา ววา : “สวนหนึ่งจากการต้งั ภาคปี ระเภทตา งๆ ก็คือ การขอความชวยเหลือจากผตุ ารยและน่ีคือ รากเงาของการตง้ั ภาคีในโลก กลาวคือ ผุตายนัน้ การงานของเขาถกู ตดั ขาดเสยี แลว และเขาไมม ี อํานาจควบคมุ เภทภัยและส่ิงท่ีเปนคณุ ไวใ นตวั เองไดเ ลย...(๒) เหตุผลตามที่เขาไดอา งมานน้ั ไมตรงกับประเดน็ ที่เปน ขอหาของเขาเลย เพราะคํากลา วของ เขาทว่ี า “กลา วคือผตุ ายนน้ั การงานของเขาไดถกู ตัดขาดไปเสยี แลว ” ใหเ หตุผลวา การขอความ ชว ยเหลือตอ ผุตายจะไมมีผลประโยชนใ ดๆ เทานั้น ยงั มไิ ดเ ปนเหตุผลท่ีแสดงวา เปน การต้ังภาคี ซ่งึ เขามไิ ดแบงแยกสองเร่ืองน้ีออกจากกนั ที่แปลกย่งิ ไปกวานน้ั ก็คือคําหลาวของเขาทีว่ า : “และเขาไม มอี าํ นาจควบคมุ เภทภยั และสง่ิ ทเ่ี ปน คุณไวในตัวเองไดเ ลย” ในขณะท่วี า ในประเด็นนไ้ี มมขี อ แตกตา งกันเลย ระหวางคนเปนและคนตาย กลาวคือตางก็ไมม ีใครเลยทม่ี อี าํ นาจในการควบคมุ เภทภัยและสงิ่ ท่ีเปน คุณไวใ นตวั เองไดโดยที่มิไดรบั การอนุมตั ิของอลั ลอฮ และมิไดเ ปน ไปตาม ความประสงคข องพระองค ไมวา คนเปนหรอื คนตาย แตถาเปน การอนมุ ัตขิ องอลั ลอฮแลว ทัง้ คน เปน และคนตายก็จะมอี ํานาจควบคมุ ส่งิ ที่เปนคุรและสิง่ ทเี่ ปนเภทภยั ไดอยูดี จากเรือ่ งเหลานนแี้ สดงใหเ หน็ ถงึ ความเขา ใจท่ีคลอนแคลนของทานอิบนุตัยมียะฮใ นเรอื่ ง ดังกลาว ขณะทที่ านกลาววา : “ทกุ ๆ คนทเี่ ทิดทูนนบี หรอื คนทม่ี ีคุณธรรมอยางเหลอื ลน และกระทาํ ในสิ่งทเ่ี กยี่ วกบั ความ เปน พระเจาประการใดๆ ขน้ึ มา เชนกลา ววา : ยาซัยยิดี (โอป ระมุขของขา ) พรอมกับ เอย ช่อื คนนัน้ คนนี้ โปรดชวยเหลือขาดวย หรือสงเคราะหข าดว ย...ทุกสิง่ เหลานล้ี ว นเปน การต้งั ภาคี และหลงผดิ คนกระทาํ ตองทาํ การเตาบะฮ (ขอนิรโทษภัย) ถามเิ ชนน้ัน กต็ องประหารชวี ิต” (๑) ถา หากวา การขอความชว ยเหลอื ตอ “บรรดาวิญญาณของผบุ รสิ ทุ ธ์ิ” (บรรดาผุตายตาม ทศั นะของพวกวะฮาบยี ) มันคอื การกระทําทหี่ มายถึงความเช่ือถอื ในสภาพความเปน พระเจา ของ บรรดาวิญญาณเหลานั้นอยา งหนงึ่ แลว ไซร ฉะนัน้ กจ็ ําเปน ที่จะตองถือวา การขอความชวยเหลอื ตอ ใครสักคนหน่ึง (ไมว าจะเปน หรือตาย) ก็ยอมเปน การหมายถึงความเช่อื ถืออยา งน้ดี ว ย เพราะวา การ มีชิวิตและการตายของผุถกู ขอความชว ยเหลอื เมื่อประเด็นทใ่ี หท้ังความเปน ไปไดแ ละความเปน ไป ไมไ ดของการใหค วามชว ยเหลือนน้ั มิไดเปน เรื่องของหลกั เอกภาพ ในขณะเดียวกันจะตอ งถือวา (๒) ฟตหุลมะญดี หนา ๖๘ พมิ พครั้งที่ ๖ (๑) เลมเดิน หนา ๑๖๗
การขอความชว ยเหลือตอ คนเปน อันไดเ กิดขึ้นมาจากความเดอื ดรอ นในชีวติ สงั คมมนษุ ยชาติ และ เกดิ ขึ้นจากสิง่ ตางๆ ท่ีประชาชนในสงั คมดําเนนิ อยูก็เปนเร่อื งที่อยใุ นประเดน็ ของการตั้งภาคี ขอใหท า นพิจารณาคาํ อธบิ ายทบ่ี กพรองอีกประการหนึ่งในเร่อื งนี้ ของทา นอิบนุตยั มียะฮ น่ันคือ : “และบรรดาผุซึ่งวงิ วอนขอตอ บรรดาพระเจายอยอืน่ ๆ ควบคกู ับอลั ลอฮ เชน ทานมะซีห (เยซู) มะลาอิกะฮ รปู ปนนั้น พวกเขามิไดเ ชื่อถือวา สิง่ เหลาน้นั สรางสรรพสิง่ ตา งๆ หรือประทาน ฝนลงมาหรอก อนั ท่ีจรงิ แลว ท่ีคนเหลานนั้ เคารพภักดีส่ิงเหลาน้นั หรือสุสานของพวกเขาเหลา นั้น หรอื เคารพภกั ดรี ูปภาพของพวกเขาเหลานน้ั พวกเขากลาววา เพื่อพวกเขาทาํ ใหเราไดเ ขาใกลชดิ อยา งยง่ิ ตออัลลอฮหรอื จะกลา ววา พวกเขาเหลา น้ัน ใหการอนเุ คราะหช วยเหลอื เรา” การนาํ เรื่องการขอความชว ยเหลือตอ บรรดาวะลยี ุลลอฮไปเปรยี บเทยี บกบั การถอื ปฏิบตั ิ ของพวกคริสเตียนและพวกมูซาเจว็ดน้ัน หา งไกลจากขอเท็จจริงอยางยิง่ เพราะพวกคริสเตยี น เช่อื ถอื วา อัล-มะซีห (เยซู) มิสิทธิในความเปนพระเจาอยางหนึ่ง และพวกมูชาเจว็ดก็เช่ือถอื วา รปู เจวด็ ตา งๆ มอี าํ นาจควบคุมการอนุเคราะหค วามชวยเหลอื ไดดวยตวั ของมนั เอง ยง่ิ ไปกวาน้นั บาง พวก (ตามทที่ า นอบิ นุฮชิ ามไดอางไว) เช่ือถือวา บรรดาเจว็ดคอื ผจุ ัดการในสากลจกั รวาล หรอื อยาง นอยทีส่ ุดก็ถอื วา เปน ผปุ ระทานฝนใหต กลงมา และเปน เพราะความเชอ่ื ถอื อันนีเ้ องท่ีเปน เหตุใหก าร ขอความชว ยเหลอื และขออนุเคราะหข องพวกเขาทีม่ ีตออลั -มะซหี ก ับบรรดาเจว็ดเหลาน้ัน มีผล เทากับเคารพภกั ดี (อบิ าดะฮ) ตอสิ่งดงั กลาว ดวยเหตนุ ้ีเอง ถาหากวา การขอความชว ยเหลอื ประกอบขึน้ มากับความเชื่อถอื วาผถุ กู ขอมี สภาพความเปน พระเจา กจ็ ะเปน การต้งั ภาคอี ยา งส้นิ เชิง แตกรณีทถี่ า หากการขอความชว ยเหลอื ไม วา จากคนเปนหรอื คนตายก็ตาม มไิ ดเกีย่ วขอ งใดๆ กับเง่ือนไขอันนี้ กจะไมเ ปนการตงั้ ภาคีและมิได เปนการอบิ าดะฮแตอยา งใดเลย หากแตเ ปนการขอความชวยเหลอื ตอ บาวคนหนึ่งท่เี รารูดวี า เขาไม สามารถดําเนนิ กจิ การใดๆ ได เวน แตดว ยการอนุมัติของอัลลอฮ ใชแลว ในการอธิบายถงึ เรื่องการขอความชว ยเหลือตอผตุ ายน้นั ถาจําเปน จะตอ งถกกัน ก็ ตองถกกันในประเดน็ ทว่ี า ในการขอความชวยเหลอื อยางน้จี ะเปน ผลหรอื ไมเ ปน ผล โดยมใิ ชเปน ประเดน็ ท่ีตอ งถกกนั ในแงท่ีวา มันเปนการตงั้ ภาคีและการเคารพภักดีสิ่งอืน่ ท่นี อกเหนอื จากอัลลอฮ สว นคําอธบิ ายท้ังสนิ้ มเี พียงประเดน็ ที่สองเทานน้ั โดยไมไดพูดถงึ ประเดน็ หนึ่งกันเลย
4- การมสี มรรถภาพ กับการไมมสี มรรถภาพเปนประเดน็ หนึง่ สําหรบั หลกั เอกภาพและการตงั้ ภาคี ดวยหรอื ? บางทีคาํ อธิบายของพวกวะฮาบียจะใหประโยชนอยบุ า งก็ตรงท่วี า มเี คร่อื งวัดอกี อยาง สําหรับเร่อื งการตง้ั ภาคใี นการอบิ าดะฮ นน่ั คอื ประเดน็ “ความมสี มรรถภาพของผูถ กู ขอในการให ความตองการเปนจริงข้ึนมาและการไรซึ่งสมรรถภาพในสง่ิ นั้น” กลาวคือถาคนใดขอความ ชวยเหลือจากใครกต็ ามซ่ึงส่ิงทีข่ อน้นั ไมม ีใครสามารถจะทาํ ใหไ ดนอกจากอลั ลอฮแลว กเ็ ทา กับวา งานของเขาเปน การอบิ าดะฮแ ละเปน การตง้ั ภาคทนั ที ทานอิบนุดับมียะฮไ ดเ ขียนในประเด็นน้เี อาไว วา : “ใครกต็ ามทไ่ี ปยงั สุสานของนบี หรอื คนมคี ณุ ะรรม แลวขอความชว ยเหลอื ในส่ิงท่ตี น ตองการ เชนขอวา ใหหายจากโรคภยั ใหหมดหน้สี ิน หรืออ่ืนๆ ในสว นทีไ่ มม ใี ครสามารถจะใหเปน เชนน้ันได นอกจากอลั ลอฮ ผูทรงสงู สุด ก็จะหมายถึงวา เร่อื งน้ี เปน การตัง้ ภาคอี ยางชดั เจน จาํ เปน ที่ ตองใหผ ูน้ัน ขอการนิรโทษ (เตาบะฮ) ถาไมเ ชน นั้น ก็ตองประหารชีวิต” (๑) แนน อนที่สุ ดในประเด็นนไ้ี ดถูกนาํ มาเปน เครอ่ื งวดั อกี ประการหน่ึงสาํ หรับเรอื่ งการต้งั ภาคี นนั่ กค็ อื สมรรถภาพของผูถกู ขอและการไมมสี มรรถภาพในอันทจ่ี ะตอบสนองคาํ ขอรอ งของผูข อ ถา หากวา เรอื่ งนจี้ ะหมายถึงตราชทู ต่ี องนํามาวดั วา อะไรเปนการตง้ั ภาคแี ละอะไรเปน เรื่องของหลัก เอกภาพแลว ทา นอิบนตุ ัยมียะฮก็ควรทีจ่ ะไดกลา วเสรมิ ไปขางหลังประโยคท่วี า “สสุ านของนบหี รอื ผมู คี ณุ ธรรม” สักอีกประโยคหนึง่ นั่นก็คือ “หรอื จากวะลยี ท ีม่ ชี วี ิตอยุ” เพ่อื จะอธิบายใหช ดั ไปเลยวา ขอพิสูจนท กี่ ลาวถึงในทน่ี ้ี มิใชอ ยุท ค่ี วามตายและความเปน ของผูถูกขอความชว ยเหลอื หากขอ พสิ ูจนใ นท่ีน้ี คอื เร่ืองการมีสมรรถภาพในการตอบสนองสง่ิ ท่ตี อ งการและการไมมสี มรรถภาพใน เรือ่ งนนั้ อยางที่ทานอัศ-ศ็อนอานี (นกั เขียนชาววะฮาบยี ค นหนง่ึ ) ไดตั้งเปน ประเด็นไว โดยกลาววา : “ไมว าจะขอจากคนตายหรอื จะขอจากคนเปน กต็ าม” ขอใหทา นพิจารณาคาํ อธิบายในประเดน็ นี้ของทานอัศ-ศอ็ นอานี : “การขอความชวยเหลอื ตอบรรดาสงิ่ ท่ถี กู สรา งท่มี ีชีวติ ในกรณีท่ีพวกเขามสี มรรถภาพนน้ั ไมมใี ครปฏเิ สธแมแ ตค นเดยี ว แตป ญหามันมีเพียงในเรือ่ งการขอความชว ยเหลอื ตอ ชาวสุสานและทีน่ อกเหนอื ไปจากนั้น เชนขอกับบรรดาวะลยี ข องพวกเขา โดยทผ่ี ขู อไดขอจากเขาเหลา นั้นในกจิ การที่ไมม ใี ครสามารถทาํ ใหไ ดนอกจากอลั ลอฮ เชนการขอใหหายจากโรคภัยและอนื่ ๆ แนน อนทานอมุ มซุ าลมี ไดเคยกลา วว วา : โอ ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮอานสั เปนคนรับใชข องทา น โปรดขอดอุ าอจ ากอลั ลอฮใหแ กเ ขา ดว ย (๑) “การชยิ าเราะฮสุสานและการขอตอ สุสาน” หนา ๑๕๖ “รชิ าละฮ อลั -ฮะดยี ะฮ ซุนนีย หนา ๔๐
แนน อน บรรดาสาวกไดเคยขอรอ งตอทา น วาใหท า นวิงวอนขอใหในขณะทที่ า นมีชีวติ อยู ซึง่ น่ีก็หมายถึงเร่อื งทีเ่ หน็ พองตองกันวา เปน เรือ่ งอนุญาตใหก ระทําได ปญหาจึงอยูใ นประเด็นการขอตอชาวสุสาน ขอจากคนตายหรือจากคนเปนเพอ่ื ใหหายจาก โรคภัย ใหไดของท่หี ายไปกลับคืนมาและส่ิงท่อี ยูในจาํ พวกน้ีน้ันนบั เปน เร่ืองทีไ่ มมีใครสามารถทาํ ใหไ ดนอกจากอัลลอฮ” (๑) เมอ่ื เปน เชน น้ี เราก็จะรไู ดเลยวา ขอ พสิ จู นส ําหรบั ในท่นี ี้ มนั มใิ ชเร่ืองเดียวกับทก่ี ลา วไป แลว กลาวคือ ในการอธิบายบทกอน มีขอ พิสจู นอ ยตู รงที่วา : ความเปน และความตายของผูถ กู ขอ คอื ถอื วาการขอความขว ยเหลือจากคนมีชวี ติ อยูไมเ ปนการต้ังภาคี ในขณะเดยี วกันก็ถือวา การ ขอความชว ยเหลือจากผตู ายเปน การตงั้ ภาคีแตในบทนี้ เรอ่ื งการมสี มรรถภาพหรืการไมมี สมรรถภาพในการใหสิง่ ที่ขอสมั ฤทธผิ์ ลไดถูกกําหนดขึ้นมาใหเปน ตราชแู ละเคร่ืองวดั สาํ หรบั หลัก เอกภาพและการตงั้ ภาคี กลาวคอื ถอื วา ถาหากคนใดไดข อในส่ิงทต่ี นตองการจากบคุ คลอ่นื (นอกจากอลั ลอฮ) และ ปรากฏวา ความตอ งการอันนั้นเปนสิ่งที่ไมม ีใครสามารถกระทาํ ใหได นอกจากอัลลอฮ กจ็ ะ หมายความตามขอพิสูจนอนั ใหมน้วี า เปนผตู ั้งภาคี ไมว า ผูถกู ขอจะมีชีวิตหรอื ตายไปแลว ก็ตองเปน อยา งน้ี เพราะฉะน้ัน ในขอพิสจู นดงั กลา วน้ี จงึ ไมเ กี่ยวกับประเด็นระหวางความเปน และความตาย ของผูถกู ขอ ถกปญหากับทัศนะอนั นี้ ความจรงิ มีอยวู า ทศั นะดังกลา วน้แี ทบจะไมจ าํ เปน ตองวจิ ารณและวพิ ากษแตอยา งใดเลย ท่ี เปนเชน นเ้ี พราะวา ความมสี มรรถภาพหรือความไมมีสมรรถภาพของผถู กู ขอนนั้ มันเปน เพียงขอ พิสจู นสาํ หรบั การมสี ติปญ ญากบั การไมม ีสตปิ ญ ญาทม่ี ีตอ การขออยา งน้ีเทา น้ันเอง คือมไิ ดเปนขอ พสิ ูจนสําหรับเรอื่ งหลักเอกภาพและการตง้ั ภาคี กลา วคือสมมตวิ า คนหนงึ่ ตกบอ ถา หากเขาขอ ความชว ยเหลือกบั หินดินทรายแลว ละก็ ในสามัญสาํ นึกของผมู สี ติปญญาก็ตอ งถือวา เปนคนไรสติ แตถาขอความชวยเหลือจากคนท่ียืน อยูริมปากบอ เพื่อใหช ว ยเขา ก็ตอ งถอื วา การขอของเขา เปน การกระทําของคนมสี ตปิ ญ ญา เปนท่ีตระหนักชดั ไดด ที เี ดียววา ทศั นะของพวกวะฮาบียท ถี่ ือวา “เปน สง่ิ ท่ีไมมใี ครสามารถ ใหไ ดนอกจากอัลลอฮ” นั้น มิไดหมายถึงขอ จาํ แนกระหวาง “ผมู คี วามสามารถกับผไู ร ความสามารถ” และมใิ ชว า ถาขอจากคนจาํ พวกท่ีสองก็จะเปน การตงั้ ภาคี สวนการขอจากคนจําพวก ทห่ี น่ึงกจ็ ะไมเ ปน แตถาหากวา ประโยชนจากคําอธิบายของพวกเขาในเรื่องน้ี มีอยูบา ง ก็เปน เพียงแตความหมายอันเกิดจากขอ สรุปดงั กลาวนั้น คอื ขอจาํ แนกที่อยรู ะหวางการขอในส่งิ ทเี่ ปนงาน
ของอลั ลอฮและในส่ิงทไี่ มอ ยใู นกิจการเฉพาะของพระองค ดังน้ันขอ สรุปจึงมอี ยูวา ถา คนใดขอ ความชวยเหลอื จากผอู ื่นนอกเหนอื จากอลั ลอฮ ในกรณีท่ีส่ิงนั้นๆ เปนงานของอลั ลอฮแลว กต็ องถอื วา เขาเปนผตู งั้ ภาคี เชนในทศั นะของทานอบิ นตุ ัยมียะฮท ่ีไดใ หใ นเรือ่ งนไี้ ววา “ถา ขอตอ เขาเพือ่ ให หายปวย ใหปลดเปล้อื งหน้ีสิน หรอื อ่ืนๆ อันเปน สิง่ ที่ไมมีใครสามารถใหไดนอกจากอัลลอฮ” และ เชนเดยี วกันน้ี ตามทศั นะของทานอศั -ศอ็ นอานี ดงั ทีท่ านไดกลา ววา : เชน ขอใหหายปวยและอ่ืนๆ ไมต องสงสัยเลยวา การขอในสิง่ ที่เปน งานของอลั ลอฮจากบุคคลอื่นนั้นเปนการต้ังภาคี ประการหนึง่ และถือวา ผขู อคนน้ัน ไดเปนบา วของผูถ ูกขอแลว การกระทาํ อันนนั้ ของเขาก็ถอื วา เปนการอบิ าดะฮ แนน อนเราไดอธิบายถงึ การตัง้ ภาคีในสวนน้ไี ปแลว เมื่อตอนที่พูดถึงคําจาํ กัด ความประการทส่ี ามของคาํ วา อบิ าดะฮซ ่งึ เราและบรรดามสุ ลิมท้งั มวลตา งกเ็ ห็นพอ งกับพวกเขาใน ความจริงอันน้ี อยา งไรก็ดี ปญหาทั้งหมดมีอยูเ พียงประเด็นทว่ี า การจาํ แนกแยกแยะเอากจิ การของอลั ลอฮออกไปเสียจากกจิ การสวนอ่ืน กลา วคอื ทา นอิบนุตยั มยี ะฮ ยอมรับวา การบาํ บัดโรค การปลด เปลื้องหน้ีสนิ เปนกจิ การสวนของอลั ลอฮอยา งเดด็ ขาดและดว ยเหตุนเ้ี องจงึ ไมอ นุญาตใหข อเร่อื งน้ี จากผูอ ีน่ โดยเดด็ ขาด ท้ังๆ ทคี่ วามจรงิ แลว กิจการเหลา นี้ มิไดเปนกิจการในสวนของอลั ลอฮโดย เด็ดขาด หากแตม ีสวนจําเพาะอยดู า นหนงึ่ ท่ตี อ งถือวา เปน กิจการของพระองค และพระองคน นั่ เอง ที่บนั ดาลใหก ารขอสมั ฤทธ์ผิ ลได (เชน การบําบัดโรค การปลดเปลือ้ งหน้ีสนิ การไดของหายคือมา และกิจการอื่นๆ ทัง้ หลายโดยมีความเปน อสิ ระอยางชนดิ ที่ไมตอ งอาศัยความชวยเหลือของผใู ดเลย) สวนในกรณที ี่บุคคลอื่นไดด ําเนินการนั้นๆ ไปไดโ ดยการอนุมัติของพระองคและดว ยการ กําหนดใหของพระองค ก็ยังไมถ อื วามนั เปนงานของคนคนนั้นโดยเฉพาะ ดว ยเหตนุ ้ีแหละ ถา หาก ใครไดข อกจิ การเหลานีจ้ ากบุคคลอน่ื นอกเหนือจากอัลลอฮพรอ มกับมีความเชื่อถือวา ผถู กู ขอ ดาํ เนนิ กิจการเหลานี้ไดก ็โดยการสนบั สนนุ จากพลานภุ าพของอัลลอฮ และเปนสิ่งทีเ่ กิดมาจากการ อนมุ ัติของพระองค กไ็ มถือวา เปนการตัง้ ภาคี จะไมใชไดอ ยางไร ในเมื่ออัล-กรุอานไดถือวา การทาํ ใหค นปว ยและคนตาบอดหาย เปน เรอ่ื งของอลั -มะซหี (อ) โดยการอนุมตั ิของอลั ลอฮ ดงั ที่ไดกลา ววา : “และเจา ทาํ ใหคนตาบอดกับคนเปน โรคเรื้อนหายไดโดยอนุมัติของฉัน” (อลั -มาอดิ ะฮ- ๑๑๓) ทาํ นองเดียวกันน้ี อัล-กรุ อานก็ยังถอื วา : การสรา ง, การบรหิ าร, การทาํ ใหเปน, การทําให ตาย, การใหปจ จยั ยังชีพ ตลอดถงึ สิ่งอ่ืนอีกมากมาย เปนเร่อื งของผูเปน บา วได พรอ มกันนั้น ก็ไม ตอ งสงสยั เลยวา มนั หมายถงึ การกระทําของพระองคน ่ันเอง ซึ่งลวนแตเปนเร่ืองท่อี ยใู นประเด็น ทอ่ี บิ นุตยั มียะฮยกมาเปนตัวอยา งวา เปนการตง้ั ภาคี การถือวาเปน เรอ่ื งของผอู ่นื นอกจากอลั ลอฮ มิไดหมายความเปนอยา งอน่ื นอกจากตามทีเ่ รา ไดช ี้แจงไปแลวน้ใี นฐานะที่วา กรณีท่ีจะตดั สินวาเปน กจิ การของพระองคน ้นั มิไดหมายถึงวา เปน ผู
เด็ดขาดเฉพาะในการสรา งการใหป จจยั ยงั ชพี การจัดระบบบริหาร การใหเปน และการใหต าย จนถงึ กบั วา ไมอ าจมอบหมายใหแ กผ อุ ืน่ นอกจากพระองคไ ด (ตามทีม่ อี ยใู นหลายโองการ) หากแต ประเดน็ สาํ คญั เฉพาะในเรอ่ื งน้ี อยูตรงท่วี า ผุก ระทํามไิ ดมีความเปนอิสระในการกระทําของตน โดย อยูในอาํ นาจทพ่ี ระองคทรงจาํ กดั ใหอยู เชน เดียวกบั ทวี่ า การทีม่ ุสลมิ คนใดขอกิจการเหลาน้ี โดย ความคิดอยางนี้ กบั สงิ่ อืน่ นอกจากอลั ลอฮ กไ็ มถึงกับจนกระทง่ั ตองตัดสินวา การกระทําของเขา เปนการตง้ั ภาคี และการขอของเขาเปนอิบาดะฮ จึงจาํ เปน สาํ หรบั นักศึกษาของทานอิบนตุ ัยมียะฮท่จี ะตอ งศึกษาเก่ียวกบั กจิ การในสว น ของอลั ลอฮและการจาํ แนกกิจการน้ันๆ ออกมาจากกิจการในสว นของบุคคลอ่นื ใหไดเ สยี กอ น เพราะมนั คือกุญแจอนั เดยี วเทา นัน้ สาํ หรับคลี่คลายปญหา ๕- การขอในกจิ การทีผ่ ิดวิสัยธรรมชาตอิ ยูในขา ยของการตงั้ ภาคีดว ยหรือ? ไมต อ งสงสัยเลยวา เหตุการณทกุ อยา งท่ีปรากฎอยู ตามกฎเกณฑข องเหตุและผลน้ัน ไมอาจ ดําเนินขน้ึ มาได ถาหากไมมีเหตทุ ี่มา กลา วคือไมม ีส่ิงใดในโลกกวา งจะสาํ แดงปรากฏการณข น้ึ มา ไดโดยไมเ กยี่ วขอ งกับเหตุและการแสดงปาฏิหาริย ของบรรดานบี การสาํ แดงคณุ านภุ าพตา งๆ ของ บรรดาวะลียก ็มิไดเ ปนขอ แมท อี่ ยูน อกเหนือไปจากกฎเกณฑอ นั นี้ กลา วคอื จะเปน ไปไมได โดยที่ไม มีเหตุ กลาวโดยสรุปแลว ก็คือวา เหตุหลักของมนั มไิ ดมาจากรากเงาของสาเหตแุ หงกฎธรรมชาติ และไมอ าจกลาวไดเ ลยวา สภาพการณของมันทป่ี รากฏอยู ไมม ซี ึ่งสาเหตุหลกั ใดๆ อยา งเดด็ ขาด ดังน้ัน การทไ่ี มเทาของนบมี ซู าเปล่ียนกลายเปน งู ที่เคลอ่ื นไหวได การทว่ี ญิ ญาณไดกลับสู รา งคนตายดว ยปาฏหิ าริยข องพระเยซู (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) และการท่ดี วงจันทรไ ดแ ยก ออกเปนสองสวนโดยปาฏหิ ารยิ ของประมุขแหงบรรดานบี (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เริญและ ความสันตสิ ขุ แดทานและแดว งศว านของทา น) หรือการท่กี อนกรวดสนทนากับทา น หรือสดุดี สรรเสริญในมือของทาน ก็มิไดหมายความวา ส่งิ เหลานี้ ไมเกี่ยวขอ งกับเหตุ เชนเดยี วกับ ปรากฏการณท ั้งหลายทั่วๆ ไป หากแตมนั เกย่ี วขอ งกับเหตหุ ลักจําเพาะ ซึ่งอยูน อกเหนือเหตผุ ลแหง กฎธรรมชาติ สาํ หรบั กรณีท่ีวา ถา คนหน่ึงใหความชว ยเหลืออีกคนหน่ึง เพื่อใหเขาบรรลุในสิ่งที่เขา ตองการเกีย่ วกับเหตผุ ลตามกฎธรรมชาติกน็ ับวา เปนเรื่องทีด่ ําเนนิ ไปตามกฎของเหตุผลสาํ หรบั บรรดาผูมีสติปญ ญา แตป ญหาอยูตรงท่ีวา การใหค วามชว ยเหลอื เพ่ือใหบ รรลุถงึ ส่ิงตอ งการจาก วธิ กี ารอนั เรน ลบั และเหตผุ ลท่อี ยูนอกเหนือกฎธรรมชาติ และเรื่องนเ้ี อง ท่ีไดถกู มองวา เปน เร่ืองการ ตัง้ ภาคี ทา นเมาดูดยี ก ็ไดก ลาวไวในเร่อื งนวี้ า ถา ใครขอความตอ งการและกิจการใดเพอ่ื ใหไดแ กเ ขา โดยนอกเหนอื วิสยั ของธรรมชาตแิ ลว ไซร ก็เทากับการต้งั ภาคีและเปน การหมายถงึ ความเชอ่ื ใน สภาพความเปน พระเจา ของผถู กู ขออีกดานหนง่ึ ดวย” (๑) (๑) ดูหนังสอื มุศฏอลหิ าตุล อัรบะอะฮ หนา ๑๔
อยา งไรก็ดีรายละเอยี ดของเรื่องนยี้ ังไมอ าจใหความเช่ือถือเชนน้ันได ในเมื่อผูม สี ติปญญา ไดพจิ ารณาถึงการขอใหแ สดงปาฏิหารยิ แ ละกิจการที่อยูเหนือวสิ ัยธรรมชาติจากบรรดานบี และอลั - กรุ อานก็ไดอา งเรือ่ งราวเหลานนั้ ไว เกี่ยวกับบรรดาคนในสมยั ของทา นนบีตา งๆ โดยที่มิไดคาดโทษ เอาไวดว ยการโจมตแี ละติติงการกระทาํ อยา งน้นั เลย อัลลอฮไดท รงกลา วถงึ เรอ่ื งราวจากพวกเขาวา : “เขา (ฟร เอาวน ) กลาววา “หากวาเจา นํามาซงึ่ สัญญาณแลว เจา จงนาํ มนั มาซิ ถา หากเจาเปน หนึง่ ในผูสัจจรงิ ” (อัล-อะอรอฟ-๑๐๖) แนนอนบรรดานบเี องก็เรยี กประชาชนเพื่อมาประจกั ษกบั สงิ่ ทเี่ กดิ ข้ึนโดยฝม อื ของพวกเขา ในเร่อื งตางๆ ทนี่ อกเหนอื ธรรมชาติ และดว ยเหตุนี้ คนจึงเขามายอมรบั การเรยี กรอ งเพราะได ตระหนักชัดตอความจรงิ ทีผ่ มู าสอนอา ง เชน ทานมะซีห (เยซู) และคนอื่นๆ ในขณะท่เี ขามาขอให ทา นชว ยรักษาคนตาบอด และใหค นเปน โรคเรอื้ นหาย โอยอนุมตั ขิ องอัลลอฮ(๑) เขาก็มไิ ดเ ปนผตู ัง้ ภาคี และเชน เดียวกันน้ีกับกรณีท่วี า ขออยา งน้ีจากทานหลงั จากทา นไดถูกยกไปยังอัลลอฮแลว คือจะ ไมถ อื วาการขอทงั้ สองอยา งน้นั ตองแยกประเดน็ ไปวา ประเภททีห่ นึง่ คอื เร่ืองของหลักเอกภาพ สวนประเภทท่สี องคอื เรื่องการต้งั ภาคี ยง่ิ ไปกวานี้กค็ ือวา พวกบะนอี สิ รออีลขอน้ํา และนาํ้ ฝนจากนบีมูซา ในขณะทีพ่ วกเขาพลัด หลง เพอื่ ชวยปลดปลอยความกระหายของพวกเขา ดังที่อัลลอฮทรงมีโองการวา : “และจงไดดลมายงั มซู าในขณะท่พี วกของเขาขอนา้ํ ด่ืมจากเขาวา เจา จงตหี ินดวยไมเทา ของ เจา ” (อลั -อะรอฟ-๑๖๐) แนน อน ทานนบสี ุลัยมานก็ไดข อรองใหผ ูที่อยูใ นที่ชุมนุมนาํ บลั ลังกข องสตรี ซงึ่ ปกครอง คนของนางอยู ดงั ที่อลั ลอฮไดทรงบอกเลา ไวว า : “เขากลา ววา : โออ าํ มาตยเ อย ผใู ดบา งในหมูพวกทา นทจ่ี ะนาํ บัลลงั กข องนางมายงั ฉนั ได กอ นทพี่ วกเขาจะมายงั ฉันในฐานะผูนอบนอม ฆฟิ รีตญินตนหนง่ึ ฉันจะนาํ มันมายงั ทา นกอ นทที่ า น จะลุกออกจากที”่ (อัน-นัมลุ ๓๗-๓๘) ดังน้ัน ถาหากวา การขอในส่งิ ที่ผิดวสิ ยั ธรรมชาติตอผอู น่ื ที่นอกเหนอื ไปจากอลั ลอฮเปน การ ตงั้ ภาคีแลว พวกบะนีอิสรอเอลจะขอรองจากมซู านบขี องพวกเขาในเรอื่ งนีอ้ ยา งไร หรอื วานบสี ลุ ัย มานจะขอรอ งจากพรรคพวกวา ใหนาํ บัลลังกดังกลาว ซึง่ ต้งั อยทุ ีแ่ ดนไกลมาใหไดอยางไร ทุกสงิ่ ทุก อยางเหลา นี้ไดช ี้ใหเ ห็นวา การขอในสิ่งท่ผี ิดวิสัยธรรมชาติ หรอื ขอสง่ิ หนึ่งสิง่ ใดท่นี อกเหนือกฎ ธรรมชาติจากผูอื่นมิไดเ ปนประเดน็ ของการตัง้ ภาคดี วย ดงั น้ัน จึงไมอ าจกลา วไดว า การขอในสงิ่ ท่ี (๑) ดเู ร่ืองปาฏหิ ารยิ ข องทานมะซีห (เยซู) ไดในซูเราะฮ อาลิ อิมรอน โองการท่ี ๒๓๙ และ ซูเราฮ มาอิดะฮ โองการที่ ๑๑๐
ผดิ ธรรมชาติเปนเร่ืองทอ่ี นุญาตใหทาํ ไดในกรณที ่ีขอจากผเู ปนโดยไมอนญุ าตใหขอจากผตู าย และ ดวยเหตนุ ้เี องท่ีเราไดทําการวเิ คราะหเจาะลกึ กนั ในการหาความชดั เจนเก่ียวกบั ประเด็นตา งๆ ท่ีเปน เร่อื งของการตัง้ ภาคีและหลักเอกภาพ ลักษณะทีถ่ อื วาการขอในส่ิงที่ผดิ วิสยั ธรรมชาติเปนเรื่องของความเช่ือถือทม่ี ตี ออํานาจอัน เรนลับ อันหมายถึงความเช่ือสําหรับสภาพความเปน พระเจา น้ันแนนอน ทานก็ไดท ราบคาํ ตอบของ เรือ่ งนีโ้ ดยละเอียดไปแลว ลักษณะทีถ่ ือวา การขอใหหายปวยและปลดเปล้ืองหนีส้ ิน เปนการขอในกจิ การของอัลลอฮ จากผูอ น่ื น้ัน ไดถูกผลักไสออกไปทันทที ี่ทา นไดตระหนกั ชัดวาประเด็นที่เปนสวนสําคญั ในการ จําแนกแยกแยะวา อะไรเปน งานของอัลลอฮกับอะไรทเี่ ปนงานของผอู ่ืนน้ัน เรอื่ งของมันมไิ ดอยทู ี่วา มันมีลักษณะทน่ี อกเหนอื กรอบของกฎเกณฑธ รรมชาติและผดิ วิสยั ธรรมดาสามัญของกฎแหง จกั รวาล จนถึงกบั วาการขออยางนจ้ี ากผอู ่ืนนอกเหนอื จากอลั ลอฮ เทา กับเปนการขอในกจิ การของ พระผเู ปน เจาจากบคุ คลอนื่ แตทวา ขอ พิสนู ท ี่จะช้ชี ดั ในเรื่องกจิ การทีเ่ ปนสว นของพระผเู ปน เจา ก็คอื การท่ที รงเปน ผกู ระทาํ ท่ีมีอิสระในการสราง, การบันดาลโดยมไิ ดเ กี่ยวขอ งกบั ผใู ดเลย ไมว า งานน้นั จะเปนงาน ประเภททเี่ ปน ไปตามกฎธรรมชาตหิ รือนอกเหนือกฎธรรมชาติ และจาํ เปนสําหรบั ผูแ สวงหาความ จริงจะตองศึกษาเก่ยี วกับงานของอลั ลอฮและงานของบุคคลอื่น ดวยการศกึ ษาอยา งลึกซึง้ อันไดมา จากคัมภรี อ ัลกุรอานและแบบฉบับ(ซุนนะฮ) อีกทั้งจากสตปิ ญ ญาที่ยอมรับความจริง กลา วอกี นยั หน่งึ เร่ืองทัง้ หมดมใิ ชจ ะชขี้ าดกันไดใ นขอสรุปท่ีวา งานใดท่เี กดิ ข้ึนตาม แนวทางของกฎธรรมชาติแลว จะหมายถึงงานในสว นของมนษุ ย และงานใดท่ีเกิดจากแนวทางท่ีอยู นอกเหนือกฎธรรมชาตกิ ็จะหมายถงึ งานของอลั ลอฮ แตงานท้งั หมดมีอยูสองสว น กลา วคือ สวน หน่ึงท่ถี ือวา เปนงานของอัลลอฮน้ันจะไมเ ปนที่อนมุ ัติใหขอจากผูอน่ื ไมวาจะเปน เรอื่ งปกตวิ สิ ัย หรอื นอกเหนือปกติวสิ ยั กับอีกสว นหนง่ึ ท่ีถือวา เปน งานของบุคคลอ่ืนนอกจากอัลลอฮ เปนทอี่ นุมัติ ใหข อจากผอู น่ื ได ไมวา จะเปน เร่ืองปกติวิสัยหรือนอกเหนือปกติวิสัยอกี เชน กนั ดวยเหตุนจ้ี งึ เปนอนั วา การขอใหหายปว ยจากบรรดาวะลียต ามแบบทเี่ ราไดอ ธบิ ายมาแลว จึงไมขดั แยง กับ รากฐานของหลักเอกภาพแตอ ยา งใด
ภาคท่สี ี่ หลกั ความเชือ่ ถือของพวกวะฮาบยี แทจ ริงผูทไี่ ดศ ึกษาตาํ หรับตําราของพวกวะฮาบียและที่ไดอ าศัยอยูร วมสัมคมกบั พวกเขา จะเหน็ ไดวา เรอ่ื งการตงั้ ภาคไี ดถูกเนนหนักมากกวาเร่อื งใดๆ ไมวา จะเปนตํารา คาํ พดู คําปราศรยั ของพวกเขา กลา วคอื ไมว า จะผันไปทางขวาหรือซา ย ก็ไมแ คลวจะตอ งไดยินพวกเขาสาธยายกัน เปน คงุ เปนแคว วา อนั นน้ั เปนการตงั้ ภาคี อันน้เี ปนเร่ืองอตุ ริ (บิดอะฮ) ทั้งๆ ทก่ี ารกระทาํ อยางนกี้ ็ เปนเรอ่ื งอุตรเิ หมอื นกนั โดยเหตทุ ่ีถาหากวา สง่ิ ทีจ่ ะช้ีขาดหมายถึงสิ่งที่พวกเขาพูด หรอื เขียนไวใ น ตําราตา งๆ ของพวกเขาแลว มุสลมิ อีกสวนมากกจ็ ะไมสามารถเขา มาอยใู นบัญชขี องผูอยูในหลัก เอกภาพไดเลย ทานลองมาพิจารณาเถิดวา ความคับแคบทพี่ วกวะฮาบยี ไดพ ยายามสรางขนึ้ มาในสังคม แหง ประชาชาติอสิ ลามนีห้ มายถงึ อะไร ส่ิงน้ไี ดถูกผลักดันขึ้นมาจากนํ้าใสใจจรงิ ในการแสวงหาสจั ธรรมและการจาํ แนกแยกแยะหลักเอกภาพออกไปจากเร่ืองการตงั้ ภาคกี ระนั้นหรือ หรอื วาส่ิง เหลาน้นั คอื เกมสการเมอื ง ที่บรรดาจกั รวรรด์ินิยมไดสรา งขึ้นมาเพือ่ เปา หมายในการสรา งความ แตกแยกขั้นในระหวา งบรรดามสุ ลิม ใหเกดิ ความระสาํ่ ระสายและสรา งความบัดสีขน้ึ ในหมูพวก กันเองเพ่อื จะไดบ รรลุถงึ แผนการณบางอยางตามความตอ งการ...วัลลอฮุอะลัม... อยางไรก็ดี ในท่นี เ้ี ราตอ งการยกเร่ืองราวเหลานมี้ าพสิ ูจนก บั คัมภีรข องอลั ลอฮและแบบ ฉบบั (ซุนนะฮ) ของทานศาสนทตู อกี ท้ังแนวทางปฏบิ ตั ิของบรรดาคอลีฟะฮข องทาน เพ่ือเราจะ พิสูจนวา คัมภรี ข องอลั ลอฮ แนวทางชวี ติ ของทา นนบแี ละบรรดาคอลีฟะฮข องทานนน้ั เปน ไปตาม ความคิดแคบๆ อยา งนีด้ ว ยหรือไม? คาํ ตอบสําหรับเรอ่ื งนีท้ านสามารถบอกลวงหนาไดเ ลยวา ไม. .. การโนมนา วคนใหเ ขา มารบั อิสลาม ผูท่ีศึกษาถึงประวัตศิ าสตรใ นสมยั ของทา นศาสนทูต (ศ) และความเปน ไปตา งๆ ในการ เปลี่ยนแปลงหลกั ความเชอ่ื ถือและแนวความคิดในตอนแรกเริ่มนั้นเขาจะพบวา คนในเผา ตา งๆ ท่มี ี ประเพณีและขนบธรรมเนียมหลากหลายไดรับการเช้อื เชญิ ใหเ ขามารับอิสลามและคนเหลา นั้นเปน จาํ นวนมากทีไ่ ดเ ขา มายอมรบั ตอศาสนานี้ อกี ทั้งจะพบวาทา นนบีและบรรดามสุ ลมิ ก็ยอมรับในการ เขาอสิ ลามของพวกเขา และทา นไดข อใหพวกเขากลา วคําปฏญิ าณสองประโยคเทานน้ั โดยทีม่ ิได สัง่ ยกเลิกขนบธรรมเนียมจากสังคมเดมิ ที่พวกเขาเคยมอี ยูก อนแตอ ยางใดเลย และนาํ พวกเขาเขาสู รปู แบบของสังคมใหมอ ันแตกตางไปจากสังคมและประเพณขี นบธรรมเนยี มดงั้ เดิมอยางสิน้ เชงิ แนนอน เร่อื งของการใหเกียรตผิ ทู รงคณุ วุฒิ (ทัง้ มชี วี ติ อยูและตายไปแลว ) อกี ทง้ั การรําลึก ถงึ ผตู าย การเยอื นสุสาน และการแสดงออกถึงความสมั พนั ธกบั สง่ิ เหลาน้นั นบั วา เปนกิจกรรมท่ี แพรห ลายกันอยใู นหมูพวกเขา
จนปจจบุ ันนี้ เรากย็ งั พบวา ประชาชนในภมู ิภาคตา งๆ (ท้งั ตะวักตกและตะวนั ออก) ยังมี การใหเกยี รติ เทดิ ทูนรําลกึ ถึงผูทรงคณุ วฒุ ขิ องพวกเขาอยุ มกี ารเยอื นสุสาน พลเมอื งของพวกเขา และมกี ารกลับไปหาสุสานอยเู สมอๆ อกี ทั้งมกี ารแสดงความโศกเศรา รองไหแ ละแสดงออกใน รูปแบบตา งๆ..โดยถือวา ทกุ สง่ิ ทุกอยา งท่ีกระทาํ ลงไป เปนการใหเกยี รตอิ ยา งหน่ึง ทเ่ี กดิ ข้ึนมาจาก ความรกั ความอาลยั และความสาํ นกึ ทีเ่ กิดมาจากสว นลกึ ของความหว งถวิล กลาวโดยสรุปแลว เราไมเ คยพบขอ มูลใดท่ีอา งวา ทา นนบี(ศ) ไดยอมรับการเขารบั อิสลาม ของคนตา งถิน่ และคนในถิ่นดว ยวิธกี ารวางเงอ่ื นไขแกคนเหลาน้นั วา จะยอมรบั หลังจากท่พี วกเขา ไดสลัดทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีแหงสังคมเหลาน้ี... และหลังจากท่คี วามเช่ือถือของพวกเขาถกู ชําระสะสางหมดแลว แตท วา เราจะพบวา ทานนบี(ศ) ไดข อคําม่ันจากผเู ขามายอมรับอิสลามใหมๆ ดว ย การใหป ฏิญาณสองประโยคและปฏเิ สธบรรดาเจวด็ ถา หากวา ขนบธรรมเนียมประเพณเี หลานีเ้ ปน การตงั้ ภาคแี ลว แนนอน ทานนบีจะตอ งไม ยอมรับการเขา อิสลามของคนในกลุมตางๆ เหลาน้ันเปน แน จนกวาภายหลังจากไดเ ปน ทีป่ ระจกั ษ แกท า นถงึ การสลัดทงิ้ ประเพณีกรรมตา งๆ เหลาน้นั เสียกอน เปน อันวา ถาการละท้ิงความสมั พันธกับบรรดาวะลียในฐานะเปน ส่อื (ตะวัซซุล) กับการหา ความจาํ เรญิ ตอ รองรอยของพวกเขา และการเย่ียมเยอื นสุสานของพวกเขา มนั หมายถึงเงื่อนไข อนั หนึง่ สําหรับการสําแดงความจรงิ ของความศรัทธาใหตรงกันขามกับการตงั้ ภาคี และเปน การ สงวนไวซึง่ เลือดเนอ้ื และทรัพยสนิ แลว แนนอนวา จาํ เปน แกทา นนบขี องอิสลามทจ่ี ะตอ งวาง เงือ่ นไขทุกอยางเหลานเ้ี สียกอน (คือใหล ะทิง้ กิจการเหลาน้ี) ในขณะที่ชนเผา ตา งๆ เขา มารบั อิสลาม และแนนอนวา จาํ เปนทีท่ านจะตอ งแถลงอยา งชัดเจนเกี่ยวกบั เรือ่ งนบี้ นมมิ บัรและตอ ประจกั ษพยาน ใหครงั้ แลว ครงั้ เลา และถา หากทา นไดแถลงใหช ัดเจนเสียอยางนแ้ี ลว ก็จะไมเ ปนทีค่ ลุมเครืออยู สําหรบั บรรดามุสลมิ เพราะฉะนัน้ ทกุ สิง่ ทุกอยางเหลา นแ้ี สดงใหเห็นวา ไมมกี ารวางเง่ือนไขใหละ ทงิ้ กิจการเหลาน้ี นอกจากมันจะมิใชเ ปนอยา งนแี้ ลว มันก็ยงั แสดงวา การละทง้ิ กิจการตางๆ ดงั กลา ว น้ัน มิไดเ ปนเง่ือนไขสําหรบั การสาํ แดงความเปนจริงของความศรทั ธาและมิไดหมายความวา ปฏเิ สธการตง้ั ภาคี อกี ทัง้ การปฏบิ ตั ิสิง่ เหลา นนั้ กม็ ิไดท ําใหเ ปน คนทห่ี างไกลจากความศรทั ธาและ จะทาํ ใหเ ปน ผทู ใี่ กลช ดิ การต้งั ภาคีแตอ ยา งใดเลย ถา หากวา การแสวงหาสือ่ , การแสวงหาความจาํ เรญิ (อตั ตะบรั รกุ ), การเยอื นสสุ านมัน หมายถงึ ความเชื่อถือในสง่ิ เหลา นัน้ วา มีสภาพความเปนพระเจา แลว แนน อนทสี่ ุด เรื่องเหลานี้ จะตอ งไมเปน ทคี่ ลมุ เครือไวสําหรับบรรดามสุ ลมิ ซ่ึงพวกเขาทั้งหลายไดด าํ เนินชีวติ มาดว ยการ กระทําในส่ิงเหลาน้ีจนถงึ กับวา การกระทาํ ของพวกเขาเปน ส่ิงท่ขี ัดแยงกันกบั การยอมรบั ของพวก เขาทมี่ ีตอ พระเจา องคเ ดยี ว แนน อนที่สุด มีรายงานบอกเลาที่สอดคลองตรงกนั ท้ังหมดมาจากทา นนบแี ละวงศวานของ ทา น (อลั ลอฮทรงประทานความจาํ เริญตอ พวกทา นทัง้ มวล) วา อสิ ลามไดสงวนชีวิตเลอื ดเน้ือ,
รกั ษาเกียรตยิ ศ, ทรัพยสนิ , และรักษาพันธะกรณี, ตลอดจนถึงเรอื่ งอื่นๆ อกี มากทีเ่ ปนกฎเกณฑวาง ไวส าํ หรบั อิสลาม ขอใหท า นผอู าน ไดพจิ ารณาดูในรายงานของทา นบุคอรี ทบ่ี นั ทกึ มาจากทา นอิบนุอับบาส ท่ีไดเ ลามาจากคําพูดของทา นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ (ศ) ก็พอ ทวี่ าทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮ(ศ) ได กลา วแกทา นมอุ าซ บนิ ญะบัล ในขณะทีไ่ ดสงเขาไปยังเมอื งยะมนั วา : “แทจ ริงเจา จะตองไปหาพวกอะฮล ิสกิตาบ ดงั นั้นเม่ือเจาไปถึงพวกเขาแลว กจ็ งเชญิ ชวน พวกเขาเขาสปู ระเด็นทว่ี า พวกเขาจะตอ งปฏญิ าณวา ไมม พี ระเจา อ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮ และแทจ รงิ มฮุ ัมมัดคือศาสนทตู ของอลั ลอฮ ดังนั้นถา พวกเขาเชอ่ื ฟงปฏิบตั ิตามเจา อยา งนัน้ แลว เจา กจ็ งแจง ให พวกเขาทราบวา อัลลอฮไดวางบทบญั ญัติใหพวกเขาดาํ รงไวซ ึ่งการนมาซทง้ั หาในทุกวันทุกคืน ดังน้ันถาพวกเขาเชอ่ื ฟงปฏิบตั ติ ามเจา อยา งนนั้ แลว เจากจ็ งแจง ใหพ วกเขาทราบวา อัลลอฮไดว าง บทบัญญัตใิ หพวกเขาบรจิ าคทาน โดยเอามาจากคนร่ํารวยกลบั ไปจา ยใหคนยากจน ดังนั้นถา พวก เขาเชอื่ ฟง ปฏบิ ัตติ ามเจา อยา งน้ันแลว เปนหนา ท่ขี องเจา ทจ่ี ะตองปกปองทรัพยสินของพวกเขา” (๑) ทานบุคอรแี ละทา นมสุ ลมิ ไดบ ันทึกไวใ นบททวี่ า ดวยเกยี รตศิ ักดิ์ตา งๆ ของอาลี (ความสนั ติ สุขพงึ มีแดทา น) (๑) วา ทา นศาสนทตู แหง อัลลอฮ (ศ) ไดก ลาวในวนั ทาํ สงครามค็อยบัรวา : “แนน อนทสี่ ุด ฉนั จะตองมอบธงนแ้ี กช ายคนหน่ึงท่ีรักอัลลอฮและศาสนทูตของพระองค โดยอัลลอฮไดทรงใหช ยั ชนะปรากฎแกฝ มือของเขา” ทานอุมัร บนิ คอ็ ฏฏอ็ บไดกลา ววา : ทา นไมเคยปรารถนาชยั ชนะใหเหมือนกับวันนี้มากอน ทา นกลาววา : ฉนั มีความยินดีกบั มัน จนฉันถึงกับวงิ วอนขอไวสําหรบั ธง ทานอมุ ัรไดกลา ววา : แลว ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮ(ศ) ก็ไดเรียกทานอาลี บนิ อาบีฏอลิบเขา มา ดงั น้ันทานก็ไดม อบธงใหแ ก ทานอาลี แลว กลา ววา : “จงเดนิ ททาง และอยาหนั เหจนกระท่งั อลั ลอฮใหช ัยชนะประสบแกเจา ” แลว ทา นอาลกี เ็ ดินไปหนอ ยหนง่ึ หลงั จากน้ันก็หยุดแตไ มห ันตัวพลางตะโกนถามวา : โอท านศาสน ทูตแหงอลั ลอฮ เพราะเหตอุ นั ใดทฉ่ี ันตอ งฆา คน? ทานศาสนทูต (ศ) กลาววา : “เจาจงฆา พวกเขาจนกระทง่ั พวกเขาไดป ฏิญาณวา ไมมพี ระเจา อ่ืนใด นอกจากอัลลอฮ และ แทจริง มุฮมั มดั เปน ศาสนทูตของอัลลอฮ ครนั้ เมอ่ื พวกเขากระทาํ ตามนัน้ แลว ก็เทากับวา เลือดเนอ้ื และทรพั ยสินของพวกเขาจะตองรอดพนไปจากเจา เวน แตโดยสทิ ธอิ ันชอบธรรม บัญชขี องพวกเขา ขึ้นตรงยงั อลั ลอฮ” (๒) ทานบุคอรีและทา นมุสลิม ทานตริ มซิ ีย ทา นมะซาอยี ไดรายงานมาจากทานอบั ดุลลอฮ บนิ อมุ รั วา ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ศ )ไดกลา ววา : (๑) ศอฮีฮ บุคอรี เลม ๕ บทท่ีวา ดว ยการสง อะบีมูซาและมอุ าซไปเมืองยะมนั หนา ๑๖๒ (๑) สาํ นวนประโยคตามบนั ทึกของทานมสุ ลมิ ดูอัล-บุคอรี เลม ๒ หมวด มะนากิบ อาลี (อ) (๒) ศอฮฮี มุสลมิ เลม ๖ บททว่ี า ดว ยเกียรติศกั ด์ิของอาลี บนิ อบฏี อลิบ
“อิสลามไดถูกตราไวกบั มลู ฐานหาประการ คอื : การปฏญิ าณตนวา ไมมีพระเจา อ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮ และแทจ รงิ มฮุ มั มัด เปน ศาสนทูตของอัลลอฮ ดาํ รงการนมาซ การบริจาคซะกาต การบาํ เพญ็ ฮัจญ การถอื ศลี อดในเดือนรอมฎอน (๓) ทา นบุคอรไี ดรายงานไวอกี ตอนหนึง่ จากทานอิบนุอุมัร วา ทา นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ (ศ) ไดกลาววา : “ฉันถูกสั่งมาวา ใหฆ า คนจนกระทัง่ วา พวกเขาไดป ฏิญาณวาไมมพี ระเจาอื่นใดนอกจาก อลั ลอฮและแทจริงมฮุ มั มัดเปนศาสนทูตของอลั ลอฮ และพวกเขาดํารงการนมาซ และจา ยซะกาต ดังน้ันเมื่อพวกเขาไดก ระทําอยางน้แี ลว เลือดและทรพั ยสินของพวกเขาก็ถูกปกปอ งพนไปจากฉัน นอกจากโดยสิทธอิ นั ชอบธรรมของอิสลาม บญั ชีของพวกเขาข้นึ ตรงตออัลลอฮ” (๑) นอกจากนแ้ี ลวก็ยังมีฮาดษี ตา งๆ ของทา นนบปี รากฏอยูในกติ าบุล-อมี านในตาํ ราศฮิ าฮแ ละ สุนัขตา งๆ มากมาย สว นทีถ่ กู รายงานมาโดยบรรดาอิมามแหงอะฮลุลยบยั ตนั้น จะขอเสนอใหท านพิจารณา เรื่องทเ่ี ลา มาโดยบคุ คลหนงึ่ ทีไ่ ดฟง มาจากทา นอิมามศอดกิ (ความสนั ติสุขพึงมแี ดทาน) ท่ีทานได กลา ววา : “อิสลาม คอื การปฏญิ าณตนวา ไมม พี ระเจาอื่นใดนอกจากอลั ลอฮ และเชื่อมนั่ ตอทานศา สนทูตของอัลลอฮ ปกปอ งการเสยี เลือดเน้ือ ดาํ เนนิ การแตง งานและสบื ทอดมรดก” (๒) ฮาดีษตา งๆ เหลา นที้ กุ บทลวนยืนยันอยางชดั เจนวา ส่งิ ทป่ี กปอ งการเสยี เลอื ดเนอื้ รักษา ทรัพยสนิ เกยี รติยศ และนาํ มนุษยเขาสูสภาพของมสุ ลมิ นั้น คือความเชอื่ ถือตอเอกภาพของพระองค และคาํ สอนของศาสนทูต แบบฉบบั (ซนุ นะฮ) ของทานนบ(ี ศ) น้ัน ดาํ เนนิ ไปอยางนี้ กลาวคอื ทา นไดขอปฏิญญาจาก บคุ คลตางๆ ดว ยการใหเ ปลง คาํ ปฏิญาณสองประโยค และจะไมม ใี ครเหน็ วา ทา นไดถามถงึ สมาชกิ ใหมท ่เี ปลง คําปฏิญาณสองประโยควา : พวกเขาไดถ อื เอาบรรดานบแี ละบรรดาวะลยี อกี ท้ังส่งิ บรสิ ทุ ธเิ์ ปนสื่อหรอื ไม? พวกเขาไดแ สวงหาความจาํ เรญิ ตอรองรอยของบุคคลเหลาน้นั หรอื ไม? (๓) ดอู ัต-ตาจญอลั ญามอิ ลิล อุศูล ของชยั คมนั ศูร อาลี นาศิฟ เลม ๑ หนา ๒๐ (๑) ศอฮฮี บคุ อรี เลม ๑ กิตาบบลุ อมี าน หมวดวา ดว ย “ถา หากพวกเขากลับตวั และดาํ รงการนมาซ ในศอฮฮี อ ิบนุมาญะฮ เลม ๒ บททวี่ า ดวยปฏญิ ญาจากผกู ลาววา ลา อลิ าฮะ อิลลลั ลอฮ หนา ๔๕๗ (๒) อลั -กาฟ เลม ๒ หนา ๒๕ บทท่วี า ดว ย อีมานอยูในขายของอิสลาม แตอ ิสลามไมอ ยูใ นขา ยของ อมี าน ทา นจะเห็นวามีรายงานในเร่ืองน้ีละเอยี ดมาก
พวกเขาเย่ยี มเยอื นสสุ านบรรดานบีหรอื ไมเ ปนอันดบั แรก เพือ่ เปนเง่อื นไขแกพวกเขาวา ใหพวกเขา ละทิ้งการแสวงหาสอื่ (ตะวซั ซลุ ) การแสวงหาความจาํ เริญ (ตะบรั รกุ ) และการเยอื นสสุ านเสียกอน ทุกสิง่ ทุกอยางเหลา นใี้ หเหตุผลวาสง่ิ ทท่ี าํ ใหอสิ ลามปกปกษรกั ษาเลือดเน้อื เกียรตยิ ศ ทรัพยสินก็คือ การยอมรับคาํ ปฏิญาณท้ังสองและเปลงคาํ ทงั้ สองออกมาเทา น้ัน สว นสิ่งอื่นๆ ที่ นอกเหนือไปจากน้ี ไมเ ขา มาอยใู นขา ยของการปกปก ษร ักษาเลอื ดเนอ้ื ทรัพยสนิ และเกียรตยิ ศเลย ใช สาํ หรบั ประเด็นที่วา อัลลอฮไดกําหนดใหบ รรดามุสลิมนาํ เร่อื งน้นั ๆ ยอ นกลบั ไป หาอลั ลอฮและศาสนทตู ในกรณที ่พี วกเขาขัดแยง กันหรือมคี วามเหน็ แตกตางกนั ในเร่ืองหนึ่งๆ ดงั ท่ี พระองคท รงกลาววา : “ดังน้ัน ถา หากสเู จาขดั แยง กันในเรื่องใดเร่ืองหน่งึ กจ็ งนาํ เร่อื งนน้ั ๆ กลบั ไปหาอลั ลอฮ และศาสนทตู หากสเู จาศรัทธาตออลั ลอฮและวันปรโลก” (อนั นิซาอ-๕๙) พระองคมีโองการอกี วา : “และถาหากวา พวกเขานาํ เรอ่ื งนน้ั ๆ กลบั ไปยังศาสนทูตและผูบังคบั บัญชาของพวกเขา แลว แนนอนบรรดาผทู ่ีสามารถวินจิ ฉัยตคี วามในหมูพ วกเขากจ็ ะรูม นั ได” (อันนซิ าอ- ๘๓) ดวยเหตนุ ีเ้ อง มสุ ลิมคนหนง่ึ คนใดก็ตามไมมสี ทิ ธทิ ีจ่ ะประนามมุสลมิ อกี หมูหนง่ึ และไมมี สิทธิท่จี ะดา จะโจมตี วา ชนหมูน้ันเปน ผปู ฏเิ สธ ผทู รยศ ตราบใดทีย่ ังมีการยึดมั่นอยใู นคําปฏิญาณ ทงั้ สอง ยงั จา ยซะกาต ซ่ึงจะกระทาํ อยางนน้ั เพียงเพราะการที่พวกเขาแสวงหาสื่อ (ตะวัซซลุ ) กับ บรรดานบีหรือแสวงหาความจาํ เริญกบั รอ งรอยของทา นเหลานั้น หรอื อื่นๆ ทน่ี อกเหนอื ไปจากนี้ อันไดแกข อ ปลีกยอยตา งๆ ทางวชิ าการในสวนที่เปน รายละเอียด ซงึ่ บรรดานกั ปราชญและ ผูทรงคุณวฒุ ิในหมูพวกเขาไดล งมตใิ นเรอ่ื งนัน้ ๆ ไปแลว ดังนั้น ถา หากมกี ารประณาม หรอื โจมตีพวกเขาวา ทาํ การตง้ั ภาคี กเ็ ทากบั ออกนอก ขอบเขตตามทอ่ี ัลลอฮทรงประสงคไ วแกบ รรดามุสลมิ ดังท่พี ระองคมโี ดงการวา “แทจ ริง บรรดาผทู ่แี บงแยกศาสนาของพวกเขา และเปนพวกตา งๆ นน้ั พวกเขาจะไมไ ดอยู ในสง่ิ ใดเลย” (อัล-อันอาม-๑๕๙) พระองคกลาวอกี วา : “โอบ รรดาผูศรทั ธาทงั้ หลาย สูเจาจงยาํ เกรงอัลลอฮ ดวยการยําเกรงตอพระองคอยา งแทจริง และสูเจา อยา เพงิ่ ตายเด็ดขาด นอกจากสูเจาเปนผนู อบนอมและสูเจา จงกระหวดั อยา งเหนยี วแนนกับ เชือกของอัลลอฮโดยพรอ มเพรยี งกันและจงอยา แตกแยกกนั ” (อาลิ อิมรอน ๑๐๒-๑๐๓)
ความหมายของคาํ วา สายเชอื กของอัลลอฮซึง่ จําเปน ตองทําการผูกมดั ตัวนั้นคือศาสนาของ พระองค ทใ่ี หความหมายไววา อิสลาม ดงั ท่ีพระองคท รงมีโองการวา : “แทจรงิ ศาสนาจากอลั ลอฮคอื อสิ ลาม” (อาลอิ มิ รอน-๑๙) อิสลาม คอื การแสดงการปฏญิ าณสองประโยคมาใหเปนทีป่ รากฏและในการมอี ยูของคาํ ปฏญิ าณนี้ในกลุมชนตา งๆ ของบรรดามุสลิมนั้นไมเ ปนส่ิงท่ตี อ งสงสัยนอกจากผูท่ียอมรับสภาพ ความเปน ผปู ฏิเสธของพวกตนเชน พวกเคาะวารจิ ญแ ละพวกนะวาศบิ จากการที่ไดพ ิจารณาคมั ภีรอ ลั -กรุ อาน และเร่ืองราวในแบบฉบับของทา นศาสดา (ซนุ นะฮ) จะพบวา ในหลกั การของส่งิ ทงั้ สองไดเรียกรอ งใหเนนถึงความรกั ความเปนพ่ีนอ งกันระหวา งมวล มสุ ลิม มใิ หมีการแตกแยกกัน โจมตซี ึ่งกันและกันวา เปน ผูป ฏเิ สธ อกี ท้ังการปรกั ปรําประณาม ตลอดจนเขนฆาทาํ ลายกัน ทานบุคอรี ไดรายงานไวหลายกระแส เก่ียวกับฮาดีษของทานนบี(ศ) ท่ีไดกลาวในวาระที่ ทาํ ฮจั ญค รง้ั สดุ ทา ยวา : “พวกทานจงพิจารณาใหด ี และจงอยา ยอ นกลบั ไปเปนผูปฏิเสธในภายหลังจากฉนั โดยท่ี ฝา ยหนึ่งของพวกทา นโจมตอี ีกฝายหนึง่ ” (๑) แลวเปน อยา งไรกันท่ีพวกวะฮาบียถึงไดยินยอมพรอมใจกันโจมตีบรรดามุสลมิ ผูยึดในหลัก เอกภาพวา ทาํ การตง้ั ภาคี ซง่ึ ก็มิใชเพราะสาเหตอุ ื่น นอกจากการทพ่ี วกเขาไดมีการแสดงออกมาซ่งึ ความรกั ท่ีมตี อทานนบี (ศ) ดวยการจูบสุสานและดวยการใหเกียรติแกทา นเทา นนั้ เอง พรอ มๆ กับทกุ ส่ิงทุกอยางเหลา นี้ เรากไ็ ดนําหลักความเชื่อของพวกวะฮาบยี ม าพิสจู น กับอลั -กรุ อานและกบั ซนุ นะฮอยา งละเอียด จนกระท่ังความจริงไดป รากฏออกมาอยา งชดั เจนแลว และเราจะสรปุ เร่อื งราวทม่ี ากมายเหลา นัน้ มาสักเลก็ นอ ย ๑- การขอใหหายปว ยและการบาํ บัดโรคจากผอู ื่นนอกเหนือจากอัลลอฮเปน การต้งั ภาคดี ว ย หรอื ? ๒- การขออนุเคราะหความชว ยเหลือจากบา วของอัลลอฮ เปนการตั้งภาคีดว ยหรือ? ๓- การขอความชว ยเหลือตอบรรดาวะลยี ของอลั ลอฮเปน การตง้ั ภาคดี ว ยหรือ? 4- การขอตอ บรรดาผมู คี ุณธรรมเปน การต้งั ภาคีดว ยหรือ? 5- การใหเกียรติ การยกยองตอบรรดาวะลียข องอัลลอฮเปนการต้งั ภาคีดว ยหรอื ? 6- การแสวงหาความจาํ เรญิ ตอ รองรอยของนบแี ละบรรดาวะลยี เ ปนการต้งั ภาคีดว ยหรอื ? 7- การกอสรางสสุ านเปน การตัง้ ภาคดี ว ยหรือ? ๘-การเยอื นสุสานเปน การตั้งภาคีดว ยหรือ? 9- การนมาซทส่ี สุ านของผมู ีคณุ ะรรมเปน การต้งั ภาคดี วยหรอื ? (๑) อัล-บุคอรี เลม ๙ กิตาบบุลฟตัน บทที่ ๗ ฮาดีษท่ี ๑-๒ และอกี หลายฮาดษี
10- การสาบานดวยนามของสงิ่ อนื่ นอกเหนอื จากอัลลอฮ และบนบานตอ ส่งิ ถูกสรา งหรือ อางถงึ สิทธิของสงิ่ น้ัน เปน การต้ังภาคีดว ยหรอื ? ในกรณที ่ีพิสจู นไ ดวา เรอื่ งราวเหลาน้ี ไมเ ปนการตั้งภาคแี ลว มนั เปนสงิ่ ท่อี นญุ าตใหก ระทํา หรอื ไมน้ัน แนน อนเราก็ไดดาํ เนินการอธิบายไปแลว ในภาคแรกและในภาคทีส่ องเราก็ไดอ ธบิ าย เพ่ือหาขอสรุปทสี่ มบรู ณส าํ หรบั เรอื่ งราวทเี่ ปนหนา ทข่ี องหนงั สือเลมนี้ น่ันคอื การวิเคราะหห ลกั เอกภาพและการตง้ั ภาคี โดยมไิ ดวิเคราะหวา ส่งิ ใดเปน ทอ่ี นุญาตและสงิ่ ใดเปน สง่ิ ทห่ี ามมใิ หก ระทาํ ๑- การขอใหห ายปว ยและการบาํ บดั โรคจากผูอน่ื นอกเหนือจากอัลลอฮ เปนการตั้งภาคดี วยหรอื ? สําหรบั ประเดน็ ท่วี า โลกนีแ้ ละปรากฏการณตา งๆ ในจักรวาลท้งั หมดเกดิ ข้ึนมาจากสาเหตุ และตน เหตซุ ่ึงมนั เปน บทบาทหนง่ึ สําหรบั สงิ่ ถกู สรา งอยา งหน่งึ ของอลั ลอฮ และเหตุผลเหลา น้ัน เปนของอัลลอฮ เปนประเด็นทีไ่ มต องสงสัยแตประการใด เปน อนั วา ตนเหตุและสาเหตตุ า งๆ เหลา นีม้ นั ไมม อี ํานาจในการควบคุมสภาพการณใ ดๆ ที่ บรบิ รู ณไวแกตัวของมนั เองไดเ ลย หากแตม ันถกู บันดาลใหม ีขน้ึ โดยเจตนารมณของอลั ลอฮ และมนั มีพลงั ข้ึนมาในตวั ไดกโ็ ดยความประสงคข องอัลลอฮ ดว ยเหตนุ ้ี จึงเปน เร่อื งท่ถี ูกตอ งถาจะกลา ว วา อัลลอฮทรงถือวา พลงั ของสง่ิ นั้นและการกระทําของส่ิงนนั้ เปนเรื่องของพระองค เชนเดียวกับ ความถูกตองถาจะกลาววา พลังอันนั้นเปนเร่อื งของสาเหตขุ องมนั นีค่ ือเรื่องท่เี ราไดเ ขาใจไปแลว ในบทกอนอยา งสมบรู ณ ดวยเหตุนีจ้ ึงถอื วา การทาํ ใหห าย จากโรคเปน เรอ่ื งของอัลลอฮประการหนง่ึ และอีกประการหนง่ึ กเ็ ปน เรือ่ งของสาเหตุทอี่ ยใู กลตวั อนั สําแดงพลงั ออกมาโดยการอนุมัติของพระองคด ว ยเหตุนี้เองขอ พิสจู นพนื้ ฐานในหลายๆ โองการได ถกู หยิบยกข้ึนมา เพ่อื เปนการช้ีใหเหน็ วา อลั -กรุ อานไดระบุวา การทาํ ใหห ายเปนหนาท่โี ดยตรง ของอลั ลอฮ ดังที่พระองคท รงมโี องการวา : “และในเมื่อฉนั ปวย พระองคก ท็ รงทําใหฉ ันหาย” (อัช-ชุอร ออ-๘๐) ในขณะเดยี วกันการทําใหห ายปวยก็ยงั ถูกยกไปใหเ ปนเรื่องของส่ิงอ่ืนนอกเหนือจาก พระองค เชน อลั -กรุ อาน และนํา้ ผึง้ คาํ ตอบในทน่ี ี้ จะไมเปนไปตามความเปน จรงิ ได นอกจากอาศัย หลักการเดยี วเทา นนั้ นั่นคอื การทําใหหายปวยเปนหนา ทป่ี ระการหนึ่งของอลั ลอฮในฐานะทที่ รง เปน ที่มาของสาเหตุและเปน หนาที่ของส่ิงอ่ืนนอกเหนือจากพระองคอ ันไดแกสาเหตุตางๆ ตาม ธรรมชาติ เชน น้ําผ้งึ และยาบาํ บดั โรคและอนื่ ๆ ในคราวเดยี วกัน กลา วคอื พระองคคือผซู งึ่ ประทาน ความสามารถในการทาํ ใหหายปว ย การบําบัดรกั ษาและ การทาํ ใหป ลอดภัยแกบ รรดานบีและบรรดาวะลียของพระองคไดทรงอนมุ ตั ใิ หพ วกเขาเหลานัน้ ใช ความสามารถท่ีถูกประทานมาเหลา นี้ไปตามเงอ่ื นไขตา งๆ ทถี่ กู กําหนดไวเปนการเฉพาะ
ดว ยเหตุนีใ้ นขณะทอี่ ลั -กรุ อานไดอธิบายเกี่ยวกบั อลั ลอฮวา ทรงเปน ผูบ าํ บดั โรคใหหาย อยา งแทจ รองตามทมี่ ปี รากฏหลกั ฐานอยูใน โองการที่ ๘๐ ซูเราะฮ อชั ชุอรออแ ลว กย็ ังไดอ ธิบายวา นํา้ ผง้ึ เปนยาบาํ บดั โรคอกี ดว ย ในขณะท่ที รงมโี องการวา : “ในนั้น เปนยาบาํ บัดโรคสําหรบั มนษุ ย” (อนั -นะฮลั -๖๙) หรอื อกี แหง หน่ึงที่ทรงอธบิ ายวา อลั -กรุ อานเปน ยาบาํ บดั โรคใหหายในโองการที่กลาววา : “และเราไดประทานมาจากอลั -กุรอาน ซึ่งสิง่ ทเ่ี ปนยาบาํ บดั โรคและเปนความเมตตา สําหรบั บรรดาผศู รทั ธา” (อลั -อัซรออ-82) วิธกี ารที่จะรวมสิ่งทีเราไดอ างมาในทน่ี ้ี กเ็ ปนเชนเดยี วกัน นั่นคอื เราจะตองกลาววา : การทาํ ใหหาย และการบาํ บดั โรคท่อี ิสระอยางแทจริงน้ัน มาจากการกระทาํ ของอัลลอฮเทา นัน้ เอง มิไดม าจากสง่ิ อืน่ ส่ิงท่ตี ิดตามมาและส่งิ ทีแ่ ยกตัวออกมาเปน อิสระจากการกระทํากิจการเหลาน้กี ็ดี สาเหตุ ตา งๆ ก็ดี มันคือสิ่งทพ่ี ระองคไ ดสรางมา และทรงบรรจไุ วในสาเหตตุ า งๆ เหลานน้ั ซึ่งพลังตา งๆ ดังนั้นมันจึงดําเนนิ งานไปโดยการอนมุ ัติของพระองค และสมั ฤทธ์ผิ ลข้นึ มาตามเจตนารมณข อง พระองค ดังน้ัน ในรูปแบบอันน้ี ถา หากคนใดขอการบาํ บัดโรคจากบรรดาวะลยี ของอัลลอฮโดย พจิ ารณาไปตามพืน้ ฐานอันน้ี (วา คณุ านุภาพของพวกเขาสามารถใหค วามสมั ฤทธ์ิผลไดดวยการ อนุมตั ิ ดว ยอาํ นาจและดวยเจตนารมณของอลั ลอฮ) กจ็ ะถอื วางานอนั น้ันของเขาเปน ที่อนุญาตและ อยใู นบทบัญญตั ิอีกทง้ั ถูกตองตามหลกั เอกภาพทถี่ กู กําหนดไวอ ยางสมบรู ณ เพราะวา จุดมงุ หมายในการขอใหห ายจากโรคตอ บรรดาวะลยี น ัน้ มันเหมือนกนั อยา ง บริบรู ณกบั จุดมุงหมายในการขอการบําบัดรกั ษาจากน้ําผง้ึ และการรกั ษาทางยาโดยนายแพทย โดย จดุ มงุ หมายสุดยอดอยูในประเดน็ ทว่ี า นาํ้ ผง้ึ ก็ดี ยาบาํ บัดก็ดี คุณภาพทเ่ี กดิ ข้ึนมาของมัน มิไดเ ปนสิ่ง ท่เี กิดขึ้นโดยความประสงคแ ละความสามารถของมันเลย กรณีเดยี วกับท่ีถอื วา นบีและบรรดาวะลีย กม็ ิไดกระทาํ สงิ่ เหลาน้ันไปตามเจตนารมณแ ละความเห็นชอบเองใดๆ กลาวคือเปา หมายแหง การ ขอการบําบัดจากนบแี ละจากวะลยี น ั้น มิไดเปน ไปในรูปอื่น นอกจากขอวา ใหท า นใชความสามารถ ท่ีถกู ประทานมาใหแ กทา นน้ัน และใหทานบาํ บัดโรคของคนปว ย โดยการอนมุ ตั ิของอลั ลอฮ เชน การกระทาํ ของทา นมะซีห (ความสันติพงึ มีแดทา น) ทไี ดท าํ ใหคนโรคเร้ือนหายไดโดยการอนุมัติ ของอลั ลอฮและโดยความสามารถท่ีถกู ประทานมาใหแกท า นจากอัลลอฮ เปน ท่ีเขา ใจแลว วา การกระทําอยา งนี้ ไมเปนการตัง้ ภาคแี ตอ ยา งใด กลาวคือการกระทํา อยา งน้ี มิไดอยูในขอบขา ยของการตั้งภาคี หรือพลาดออกมาจากกรอบของเอกภาพทแ่ี ทจรงิ แตอ ยา ง ใด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211