Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-10 08:10:13

Description: หลักการความเชื่อที่ผิดพลาดของพวกวะฮาบีในเรื่องชีริก

Search

Read the Text Version

(อลั -บะเกาะเราะฮ- ๑๒๕) ไมต อ งสงสัยเลยวาการนมาซนั้น เปน ของอัลลอฮเทา นั้น แตก ารทาํ นมาซในมะกอมอิบรอ ฮีมซ่งึ มรี อยยืนเหยียบของนบีอบิ รอฮีมปรากฏอยนู นั้ เปนอีกเรอื่ งหนึ่งของการใหเกียรติแกท า นนบผี ู ย่งิ ใหญ แตการกระทําเชนนี้ก็มไิ ดถือวา เปน ลักษณะของการอบิ าดะฮอยา งเด็ดขาด ๖- แนน อนเอกลักษณท ่แี ทจ ริงของมสุ ลิมคือการถอ มตนตอ สูศรัทธาและตององอาจตอง พวกปฏิเสธ ดังโองการท่ีวา “ดังน้ัน อลั ลอฮจะนาํ มาซงึ่ พวกนึ่งท่พี ระองคท รงรักพวกเขา และพวกเขารักพระองคถ อม ตนแกป วงผูศรทั ธาองอาจเหนือพวกปฏิเสธ” (อัล-มาดิดะฮ- ๕๔) ความหมายของโองการตางๆ เหลา นี้ทงั้ หมดก็ดี เรอื่ งราวการบําเพญ็ ฮจั ญและการกระทาํ ใน เรอ่ื งน้นั ก็ดี แสดงใหเ ห็นวา การนบนอบอยา งถงึ ท่สี ุด และการถอมตน หรอื การใหเ กยี รติและการ คารวะน้ัน มิใชเปน การอิบาดะฮ ฉะนนั้ การที่เราพบเหน็ นกั วชิ าการทางดานภาษาอธบิ ายคาํ วา อิบา ดะฮว า หมายถงึ การนบนอบการถอ มตนน้ัน มันคือการอธบิ ายความหมายไปอยางกวางๆ คอื พวกเขา ใหคําจาํ กดั ความและอธิบายไปตามความหมายท่ัวๆ ไป ในขณะที่คาํ วา อบิ าดะฮน นั้ หาใชอ น่ื ใดไม นอกจากเปนความนบนอบอีกประเภทหน่งึ โดยเฉพาะเทา น้นั ดังที่เราจะไดกลา วถึงในตอนตอ ไปนี้ จากคาํ อธิบายเหลา น้ี เราอาจสรปุ ไดอ ีกเชนกันวา การใหเ กยี รตสิ ง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงหรอื คารวะก็ ตาม มไิ ดห มายความวา เปนการอบิ าดะฮแ ตอยางใดเลย เพราะวา ถา มิใชเ ชนนั้นแลว กจ็ ําเปนท่ี จะตองถอื วา มนษุ ยทง้ั หมดแมแตบ รรดานบกี ็ตองเปน พวกต้ังภาคที งั้ ส้นิ เพราะคนเหลา นัน้ อกี เชน กันที่ใหการคารวะแกผ ูทพี่ วกเขาจาํ เปนตองคารวะ ทานอลั -มรั ฮมู ชยั ด ญะอฟร กาชฟิ อัล-ฆฎิ ออ (ผูเ ช่ยี วชาญในหลักการของพวกวะฮาบยี ค น หน่งึ ทา นไดนําหลักการนน้ั ๆ มาทาํ การวเิ คราะห) ไดช ้แี จงตามส่งิ ทเ่ี ราไดกลา วไปแลว วา “ไมต องสงสัยเลยวา การเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) นนั้ จะตองไมใ ชความหมายท่ีใชก บั สิ่งอ่นื นอกจากใชสาํ หรบั อลั ลอฮ ผูใดกต็ ามทน่ี ําไปใชก บั ส่งิ อ่นื นอกจากอัลลอฮกเ็ ทากบั เปน ผปู ฏิเสธ การ นบนอบอยา งสดุ ซ้ึงและการจงรักภกั ดีตามที่นักภาษาศาสตรไดใ หค าํ จาํ กัดความไวก ย็ อมมิใช ความหมายของการเคารพภักดี มิฉะน้นั แลว จาํ เปนอยางย่ิงวา คนรบั ใช ลูกจา ง คนงานทงั้ หมดกต็ อง เปน กาฟร (ผูปฏเิ สธ) เพราะการนบนอบท่มี ีตอผปู กครอง ยิ่งไปกวา น้นั บรรดานบกี ต็ องเปน ผู ปฏเิ สธเพราะการนบนอบของตนทม่ี ตี อบิดามารดา” (๑) (๑) ดหู นงั สือ มินฮะญล-รชิ าด หนา ๒๔ พิมพเ มือ่ ฮ.ศ.๑๓๔๓ ทา นไดเ ขียนหนงั สอื นี้ตอบโตกบั เจา ชายซาอูดคี นหน่งึ ทเ่ี ปน ผูนําฝายวะฮาบยี 

๘- แยกความหมายทแี่ ทจ รงิ ออกไปจากความเปรยี บเปรย ใช ในบางครั้งทานอาจจะใชค าํ วา อิบาดะฮแ ละตีความไปตามที่ไดรบั การอธบิ ายในแงของ หลักภาษาได แตการใชค าํ ดงั กลาวมไิ ดห มายความวา เปนอยางน้ันจริงๆ ตามความหมายในคาํ หากแตเปน เร่อื งของการเปรียบเทียบจากความหมายทีแ่ ทจ ริง กบั สภาพการณหน่งึ ๆ ขอใหทาน พิจารณาเร่ืองราวเหลานี้ ๑- คนทมี่ ีความรกั อยางสดุ ซึ้งทไ่ี ดแสดงออกตอหญงิ คนรักซ่ึงความนบนอบอยา งทีส่ ุด ยอ ม ทมุ เททกุ อยา งดวยความอดทนเพอื่ ความตองการของคนรัก ถงึ ขนาดน้ีก็ยงั ไมเรียกการนบนอบอยาง นวี้ า “อบิ าดะฮ” แมจะมกี ารกลาวถึงความจรงิ ของเขาเปน การเปรียบเปรยวา เขา “บชู าภักดีตอผูหญงิ ก็ตาม” ๒- คนทีต่ กอยูในอาํ นาจของอารมณ เขาจะแสดงออกมาซึ่งส่งิ ตางๆ ตามท่อี าํ นาจของ อารมณเรียกรอง โดยอํานาจของสตสิ มั ปชัญญะยงั ไมอาจถอื ไดวาเขาเปนผเู คารพภกั ดีตออารมณ โดยแท และไมอ าจถอื ไดว า เขาเปน ผูตง้ั ภาคี เชน คนทเ่ี คารพภักดีเจว็ดแมจะกลา วถึงพฤติการณอยาง น้ีวาเขา “เคารพบชู าอารมณข องตนเองก็ตาม” กลาวคอื เรอ่ื งอยางนเ้ี ปน การเปรยี บเทียบและตีความ เพ่ือเปนการเปรยี บเปรยเทา น้ัน ดงั น้ัน ดวยเหตนุ ้ีเอง อัล-กรุ อานจึงเรยี กอารมณว าเปนพระเจา และระบวุ า ลักษณะของการ นบนอบท่ีมีตออารมณอ ยางนเี้ ปน : การเคารถภักดตี อ อารมณ แตเปน การเปรียบเปรยเทานนั้ โดย กลาววา “เจาไดเ ห็นผูท ่ีถอื เอาอารมณเปน พระเจา ของตนหรือไม แลวเจา จะเปนผรู บั มอบหมายแก เขากระนนั้ หรือ” (อัล-ฟรุ กอน-43) กลา วคอื ในขณะเดยี วกับที่อลั -กุรอานไดใชค าํ วา พระเจา กบั อารมณอ นั เปนลักษณะหนึง่ ของ การเปรียบเปรยนั้น ก็เปนไปในทาํ นองเดียวกบั ท่ีไดใ ชค ําวา เคารพภกั ดีแกคนทที่ าํ ตามอารมณ อัน เปนการตคี วามเปรยี บเปรยเชนเดียวกนั ๓- มีคนอยูพวกหนงึ่ ท่ียอมทุมเททุกอยางเพื่อใหไดม าซ่ึงเกยี รติและตาํ แหนงจนกระท่งั ชว บานกลา วกันวา คนพวกน้บี ชู าเกียรตแิ ละตาํ แหนง แตใ นขณะเดียวกันพวกเขากย็ ังไมถือวา เปนการ เคารพภกั ดีจรงิ ๆ กับเกียรติ และพวกเขากย็ ังไมเ ปนผูตั้งภาคี ๔- พวกทห่ี ลงตามยคุ สมัย (เชน พวกอิสรอเอล) และหลงในตัวเอง ซ่ึงไมมีอะไรทสี่ าํ คญั สําหรบั พวกเขานอกจากอาหาร เครื่องดม่ื แมจ ะเรียกวา พวกเขาเปน ทาสของยคุ สมัย ทาสของจิตใจ ทาสของชัยฎอน แตในสภาพความจริงนน้ั ยังถือวา งานของพวกเขามิไดเปนการเคารพภักด.ี ..เพราะ การปฏบิ ัติตามชัยฎอนน้นั เปนเร่ืองหนง่ึ สว นการเคารพภกั ดีชัยฎอนก็เปนอีกเรอื่ งหนง่ึ

เพราะฉะนน้ั เมื่อเราเหน็ ในอัล-กุรอานทีเ่ รยี กคาํ วาปฏบิ ตั ิตามชยั ฎอนวา “อบิ าดะฮ” ก็เทากับ วา นัน่ เปนการตีความเปรยี บเทียบ ความหมายของมันกค็ อื การอธิบายถึงการปฏเิ สธอยางรุนแรงทส่ี ดุ สําหรบั การกระทาํ อันน้ี ดังที่ทรงกลา ววา “ฉนั ยงั มิไดใ หพันธะสญั ญาแกสูเจาอกี หรือ โอล ูกหลานของอาดัมวา จงอยา เคารพภกั ดี ชัยฎอน เพราะมันเปนศัตรูอันเปดเผยสาํ หรับสเู จา และใหเ คารพภักดีตอฉนั อันนีเ้ ปนหนทางที่ เท่ียงตรง” (ยาซีน/๖๐-๖๑) กับอีกสองโองการดังตอไปน้ี ๑- โอบ ิดาของขา ทา นอยาเคารพภักดีชยั ฎอนเลย แทจรงิ ชัยฎอนนัน้ เปนผูท รยศตอ งพระผู ทรงกรณุ า” (มรั ยมั -๔๔) ๒- เราจะศรัทธาตอ มนุษยท้ังสองคนนน้ั ที่เปน เหมอื นกบั เรากระนั้นหรือ ขระทพี่ รรคพวก ของเขาท้งั สองเปนผเู คารพภักดตี อ เราอยู” (อลั -มุมนิ ูน-๔๗) ไมต อ งสงสัยเลยวา ความจรงิ นนั้ พวกนบีอสิ รอเอลมิไดเคารพภักดีตอ ฟรเอาวนและผู อาวโุ สของเขาดอก เพยี งแตวา เพ่อื เปนการแสดงใหเ ห็นวา พวกเขามีลกั ษณะอยใู นขั้นที่รายแรงท่สี ุด ก็ยอมถูกตอ งแลวในอนั ท่จี ะจํากดั ความใหว า เคารพภักดีในแงของการเปรียบเปรย สําหรบั ทัศนะของอลั -กุรอานน้ัน ถงึ แมจ ะเรียกการกระทาํ ในลกั ษณะเชน นีว้ า เคารพภกั ดีก็ ตาม แตมไิ ดหมายความวา อลั -กรุ อานจะจดั ใหพวกเขาเหลา น้ันเปนผูตัง้ ภาคี ดังนนั้ จงึ มิอาจจะเช่อื ถือ ไดว าการนบนอบ การเช่อื ฟง ปฏิบัตติ ามทุกรูปแบบ การใหเ กยี รติ การคารวะทกุ รปู แบบจะเปน “อิ บาดะฮ” ในขณะทเี่ ปน ทีเขา ใจกนั อยูวา คาํ นี้อาจนาํ มาใชก บั ลักษณะการกระทาํ ใดๆ โดยเฉพาะได โดยมคี วามหมายในแงของการเปรียบเปรย หรอื อกี นัยหนึ่ง การอยภู ายใตอ ารมณต าํ่ คลงั่ ใคลในอํานาจวาสนาและทาํ ตามอาํ เภอใจ ฯลฯ แมพวกเขาจะถกู จดั ใหเปน ผูม คี วามบาป และพวกเขาจะไดรบั โทษอยางรายแรงกต็ าม นั่นกย็ งั มิไดหมายความวา พวกเขาจะเปนผตู ัง้ ภาคีในแงของการอบิ าดะฮ ซง่ึ พวกเขาเหลานน้ั ยอมไดรบั การ ลงโทษไปตามบทบัญญัตโิ ดยเฉพาะทม่ี ปี รากฏอยแู ลวในกฎหมายอสิ ลาม จะหาวา เรอ่ื งน้ไี มจรงิ ไดอ ยางไร กใ็ นเมอ่ื เราไดพบหลักฐานในฮาดษี ทชี่ ดั เจนบทหนึ่งวา “ใครคลอ ยตามผูพูดคนไหนก็เทากับเปนบา วของคนนั้น ดงั นั้นถา เขาพดู ในสิง่ ทม่ี า จากอัลลอฮก็เทา กับเขาเปนบาวอัลลอฮ และถา เขาพูดตามส่งิ อน่ื ท่มี ิใชมาจากอัลลอฮก็เทากบั เขาเปน บา วสงิ่ อ่นื นอกจากอลั ลอฮ” (ซะฟนะตุลบหิ าร เลม ๒ หมวดวา ดว ย “บา ว”)

ฉะนัน้ ประชาชนทฟ่ี ง ขา วอยทู กุ วันและคลอ ยตามขา วคราวทนี่ ักแถลงขาวและโฆษกวทิ ยา โทรทศั นเสนอ ซง่ึ สวนมากแลว นกั แถลงขาวเหลานนั้ ไดพูดมาจากสิ่งอนื่ นอกเหนอื จากอัลลอฮ ทั้งสน้ิ แลว จะเปน ไปไดกระน้นั หรือที่เราจะกลาววา ทุกคนทีร่ ับฟง ขาวคราวเหลา นน้ั เปน บา วของ บรรดานักแถลงขาวทง้ั หลาย? แตเปนสงิ่ ท่ีถูกตอ งในกรณีทเ่ี ราจะนาํ คาํ วา อิบาดะฮไ ปใชกับพฤตกิ ารณในลักษณะนี้ในแง ทวี่ าเปน การเปรยี บเปรย เพอ่ื เปนการดํารงไวซง่ึ กรณที อี่ ยูในระหวางความหมายตามทเ่ี ปนจริงและ ความหมายตามคาํ เปรียบเปรย จนแมกระทง่ั วา ในสาํ นวนของการใชภ าษาบางครงั้ ไดต าํ หนิคนบางคนวา “เปน ทาสของ ปากทอง” หรอื “ทาสของอารมณ” แลว เขาเหลานน้ั จะเปน ทาสของปากทอ งและอารมณจริงๆ กระนั้นหรอื หรือเปนเพราะการยอมจาํ นนอยางสนิ้ เชิงตอ ความตอ งการของอารมณฝ ายตํา่ จนเอามา เปรยี บไดก ับลักษณะการยอมจํานนอยา งส้ินเชงิ ทม่ี ีเหมอื นกับผยู ึดในหลกั เอกภาพจํานนตอ ผูส รา ง โลกแลวใชค ําวา อบิ าดะฮใ หแ กความเปนไปในลักษณะนี้ ๙- คาํ ส่ังของพระผเู ปน เจา ทาํ ใหการตั้งภาคีเปนเรื่องทีม่ ใิ ชการตง้ั ภาคไี ดกระน้ันหรอื ? อาจมีผกู ลาววา การสุญดของมะลาอิกะฮท ม่ี ตี ออาดมั , การคารวะที่มีตอ หนิ ดํา, และการ กระทาํ อน่ื ๆทคี่ ลา ยคลึงกบั เร่ืองทงั้ สองอยางนี้ ในเมือ่ เปน ไปดวยคาํ สัง่ ของอลั ลอฮ ก็ไมถือเปนการ ตอ งภาคี และไมถ ือวา ผูปฏบิ ัติจะเปนผตู ง้ั ภาคี (๑) หรอื กลา วอีกนัยหนึ่งวา ความเปนจริงของการอบิ าดะฮน นั้ แมม ันจะหมายถงึ การนบนอบ และการใหค วามคารวะกต็ าม แตใ นเมื่อการกระทาํ นัน้ ๆ มขี ึน้ โดยคําสั่งของพระองคผ ูทรงมหา บรสิ ุทธแ์ิ ลว ก็ถอื วา เปนการอิบาดะฮต ามคาํ สัง่ มใิ ชตามอยา งอ่นื แตท ัง้ ผูพูดและผูเช่อื ตามลืมนกึ ไปถงึ จุดสําคัญอยา งยิ่งอยปู ระเด็นหนงึ่ นน่ั คือ : กฎเกณฑที่เกี่ยวพันกับเนือ้ เร่ืองหน่งึ ๆ จะไมเปลย่ี นแปลงความเปนจรงิ ของเนอ้ื เรอ่ื งน้ันๆ อยางเดด็ ขาด และไมถ ือวา คาํ ส่ังของพระผเู ปน เจาทเ่ี ก่ยี วพันกับเรื่องน้ันจะเปล่ยี นแปลงเนอ้ื หาของ มัน โดยเหตุผลทางสติปญญาถือวา การดา ประณามใครคนหนง่ึ เทากบั เปนการหม่นิ ประมาท คนคนน้ันแนน อน และเรื่องนกี้ ็สามารถตัดสินไปตามกฎของการดา การทําช่วั และการประณาม ฉะน้นั ถาอัลลอฮวางกฎใหดาใครและประณามใครอันเปน หลกั การไปเลย คาํ สัง่ ของอัลลอฮก็มิได เปลยี่ นแปลงเนอ้ื หาของการดา การประณามเลย อยางเดด็ ขาด เชนเดยี วกบั กรณขี อง การเลี้ยงตอ นรบั แขก และการทักทายแขกโดยธรรมชาติของการ กระทาํ ทั้งสองอยางนี้ คอื การยกยอง และคารวะแขกผมู าเยอื น ครนั้ เมอื่ การเลีย้ งตอนรบั ถูกงดเวน (1) คนกลาวคอื ชัยคอับดุลอะซซี อิมามมัสยิดนะบะวยี ใ นการสนทนากับผมู ีเกยี รตบิ างทาน

แกคนคนหนึ่ง โดยหมายถงึ วา การเลีย้ งตอ นรับนั้นโดยธรรมชาตขิ องมนั แลวกค็ อื การใหเ กยี รติ อยางหน่งึ กม็ ิไดหมายความวา เน้ือหาของการกระทาํ ไดก ลายไปเปนการลบหลูแ ขกไปโดยลักษณะ ของการงดเวน สงิ่ น้ันๆ หากแตเ น้อื หาท่ีแทจริงของการตอนรับยังคงอยูกับส่งิ อน่ื ๆ ทเ่ี ขายังไดร บั อยู ถงึ แมว า การงดเวนอยางหน่ึง เขามาเก่ยี วขอ งในเรอ่ื งนแ้ี ลว ก็ตาม ฉะนั้น ขอใหยอนกลับมาดูเรื่อง การกระทําตา งๆ เชน การสุญดตอ อดัม การคารวะตอ หินดํา และอืน่ ๆ ถา หากวา มนั เปนการเคารพ ภักดี (อบิ าดะฮ) ทีแ่ ทจ ริงแลวไซร คาํ ส่ังของพระผเู ปนเจาก็มิไดทาํ ใหเน้ือหาที่แทจ รงิ ของมัน เปลี่ยนแปลงเลย กลา วคือ มนั จะไมพ นออกมาจากลัษณะการเคารพภกั ดตี อ อาดมั หรือยูซุฟ หรอื ตอ หินดําได เพราะฉะน้นั สิง่ ทผ่ี ูอธบิ ายไดกลาวไปวา แทจริงแลว มนั เปน การเคารพภักดีโดยแท แตใน เม่อื เก่ียวพนั กับคาํ สงั่ ของพระผเู ปนเจา มนั กเ็ ลยออกพนไปจากการตงั้ ภาคี โดยถือเสยี วา การกระทาํ เหลานเ้ี ปน การตั้งภาคที ไี ดร ับความยนิ ยอม น่คี อื คาํ อธบิ ายที่ไมมมี นุษยคนใดรบั ได สรุปไดวา ปญหาน้ีจะตองวนเวยี นไมร จู บ คอื อาจถอื วา งานเหลา นอี้ ยูน อกเหนอื ความหมาย ในเรอ่ื งการตัง้ ภาคีก็ได หรอื อาจกลาววา ความจรงิ แลว มนั คอื การตง้ั ภาคใี นแงข องการเคารพภกั ดี นัน่ เอง แตมนั เปนการตัง้ ภาคที ่ีอลั ลอฮทรงอนมุ ตั ใิ ห! !! คาํ กลา วขอทสี่ อง เปนความผดิ พลาดเสยี จนไมอาจมใี ครลงความเหน็ คลอยตามไดแ มเ พยี ง คนเดียว แตทา นอาจยอมรบั ได ถา ถอื วาการกระทาํ บางอยางนัน้ เปน การใหเกียรติและการนบนอบ และอีกนัยหนึ่ง อาจถือวา เปน การตง้ั ภาคกี ไ็ ด ถา บุคคลเหลานัน้ เชน มะลาอิกะฮ สญุ ดตอ อาดัมโดย เชอื่ ถอื วาอาดมั คอื พระเจา แนน อนการกระทาํ ของพวกเขายอมเปน การตง้ั ภาคีอยางเด็ดขาด ถึง แมอ ลั ลอฮทรงบัญชาในลัษณะบังคบั กต็ าม แตถา สญุ ดไปโดยท่ีไมมคี วามเชอ่ื ถอื อยา งนี้ การกระทํา นน้ั ๆ ก็มิไดเปน การต้ังภาคีเลย ถงึ แมพ ระองค ผทู รงสูงสดุ จะมิไดบ ัญชากต็ าม ทานชยั ค อับดุล อะซซี อมิ ามมสั ยิดนะบะวยี ไดอธิบายวา การใหเ กียรติเหลา นถ้ี กู ตอ งและ เปน ไปตามบทบญั ญัติ เพราะมคี ําสัง่ จากพระผเู ปนเจา ทา นไดอางคําพูดของทา นอมุ ัร บิน ค็อฏฏอบ ในเรื่องหนิ ดําวา “แทจ รงิ ขา รวู า เจา คอื หินดํา เจา ไมอาจใหค ุณใหโ ทษอันใดไดเ ลย แตถาหากมิใช เพราะขา เคยเหน็ ทานนบี (ศ) จบู เจา แนน อนขากจ็ ะไมจ ูบเจา ” (๑) แนนอนท่สี ดุ เราก็ไดกลาวแกท า น (อิมามมสั ยดิ นะบะวยี ) วา : ความหมายจากคําพดู ของ ทานกค็ อื วาการกระทาํ เหลานีเ้ ปน การตงั้ ภาคีอนั ประเสรฐิ ความวา “จงกลา วเถดิ (มุฮัมมัด) แทจ ริงอัลลอฮมิไดบัญชาเกี่ยวกบั สงิ่ ชวั่ ราย แลวสเู จาจะกลาวหา อลั ลอฮในสงิ่ ท่ีสูเจา ไมร กู ระนนั้ หรือ? (อลั -อะรอฟ-๒๘) ดังนั้น ถา หากวา เนื้อหาของการสุญดตอ อาดมั (อ) และการคารวะตอหินดําเทา กับเปน การอิ บาดะฮตออาดมั และตอ หนิ ดําและเปน การตง้ั ภาคแี ลว แนน อนอัลลอฮ ผทู รงความบรสิ ทุ ธจิ์ ะไมทรง บัญชาเลยอยา งเดด็ ขาด (๑) ศอฮฮี  บคุ อรี เลม ๓ หนา ๑๔๙ หมวดวา ดวย การทําฮัจญ

๑๐- ความหมายของคาํ วา “พระผูเปนเจา ” และ “พระผูอ ภบิ าล” สาํ หรับคาํ วา “พระผูเ ปนเจา ” น้นั เราไมส งสยั เลยทว่ี าทานผูอ านจะตอ งหาความเขา ใจใน ความหมายของคําวา “อลิ าฮ” เพือ่ เปนการจาํ กดั ความคอื ทงั้ สองคาํ ทวี่ า “อลิ าฮกับอัลลอฮ” น้ัน มา จากหมวดคาํ อนั เดียวกัน หมายถึง คาํ ทใ่ี หค วามเขา ใจเปน ประการท่สี อง คือ “อลั ลอฮ” สวนคาํ ทใี่ ห ความเขา ใจเปน ประการทห่ี นึง่ คือ “อิลาฮ” เพยี งแตวาท้ังสองคาํ มคี วามหมายทแ่ี ตกตางกนั ในแง ความแตกตา งที่วา ดวยลักษณะรวมและลกั ษณะเด่ียวเฉพาะ อยา งไรกต็ าม คาํ อันประเสรฐิ * (ลัฟซุลญัลลาละฮ) นน้ั มีความหมายในแงลกั ษณะพิเศษ ออกไป จากความหมายในแงข องลกั ษณะรวมเหลา นั้น นอกจากน้ีคาํ วา “อิลาฮ” ยงั คงมคี วามหมาย ในลกั ษณะรวมอกี ดว ยถึงแมวา ในทรรศนะของผมู ีหลักเอกภาพจะไมมีความเชอ่ื ถือเปนอยางอน่ื แต กร็ วมเสร็จสรรพอยูในความหมายของคาํ น้ัน กลา วคือกรณีเดียวกันกับที่วา ไมมใี ครเลยทจ่ี ําเปน จะตองหาความหมายจากคาํ อันประเสริฐ (ลัฟซุลญลั ลาละฮ) เพ่อื ไปสกู ารจาํ กดั ความ คาํ วา “อลิ าฮ” กเ็ ปนอยา งน้นั เชนเดยี วกัน ดังนัน้ จงึ ไมมีประเดน็ ไหนทเ่ี ปน ขอแตกตา งระหวางคาํ ทงั้ สองเลย นอกเหนือจากความตา งกันในแงข องสวนยอย (ุซอียะฮ) กับในแงข องสว นทงั้ หมด (กุลลยี ะฮ) กลาวคือคําทั้งสองเปรียบไดเหมอื นกบั วา “นายซยั ดกับมนษุ ย” แตความหมายอันแรกยอ มแตกตา ง ไปจากสว นอืน่ ๆ (นายซยั ดกับมนษุ ย) ในแงข องความตา งกนั สาํ หรับ “อิลาฮ” กบั “อัลลอฮ” ก็ หมายความวา อยูท ่คี ํา กลา วคอื คําทงั้ สองเปนอันเดยี วกันทอี่ ยใู นหมวดน้ัน คาํ อนั ประเสรฐิ (ลฟั ซลุ ญัลลาละฮ) ก็มใิ ชอ่นื ใดนอกจากคาํ เดยี วกับอิลาฮท ีอ่ ักษรฮัมซะฮถูกตัดออกไปแลวเพ่ิมอักษร “อะ ลฟี กับลาม” เขา มาเทา น้ัน และน่ีมิไดหมายคึ วามวา มันจะทําใหค าํ นั้นออกไปจากมาตรฐานเดียวกัน เลย ท้ังในรปู ของคําและความหมาย ในทนี่ ี้อาจกลาวไดเลยวา คาํ นามโดยท่ัวไปกค็ ือคําวา “อลิ าฮ” พหพู จนของมันคือ “อาลิ ฮะฮ” สวนคาํ นามเฉพาะคอื คาํ วา “อลั ลอฮ” ซ่งึ ไมมีพหูพจนอ กี เลย และตรงกบั ในภาษาเปอรเ ซยี วา “คุดา” ภาษาตุรกีวา “ตารอ” และตรงกับภาษาอังกฤษวา “กอ็ ด” อยงไรก็ดคี าํ นามเฉพาะและคํานาม ท่ัวไปในภาษาเปอรเ ซยี ภาษาเดยี วเทา นน้ั ทใี่ ชคําวา “คุดา” นอกเหนือจากนีค้ ําวา “คุดาวันด” ก็มไิ ดม ี ความหมายเปน อยา งอื่นนอกจากคํานามเฉพาะ สวนคาํ วา “ก็อด” ในภาษาองั กฤษนนั้ ถาในกรณที ี่ ตองการจะเรยี กเปน คํานามทัว่ ไปก็จะเขียนในรูป “god” แตถา ตอ งการจะใหเ ปนคาํ นามเฉพาะก็จะ มาในรปู ของ “God” กจ็ ะไดความหมายตามนัยของคาํ น้ัน ในกรณีท่ีคํานามน้ี (อัลลอฮ) ไดถูกเจาะจงใชกับคําวา ผสู รา งโลกเปน การเฉพาะนัน้ เปน เพราะมีหลกั เกณฑดงั น้ี คอื : ในธรรมเนียมการสนทนาของชาวอาหรบั นนั้ ในเมอ่ื ตอ งการทจ่ี ะ กลา วถึงผูสรา ง กม็ ักจะใชค าํ วา “อลั -อิลาฮ” โดยมอี ักษร “อาลฟี ” กบั อักษร “ลาม” เพ่มิ เขา ไปในคาํ ๆ น้ี อนั เปนการแสดงใหเ ห็นถึงความเนนหนักทางดานจิตใจ คือคาํ วา “อัลอลิ าฮ” นน้ั ทานเขา ใจถึง * (คาํ อนั ประเสริฐ) หมายถึง อัลลอฮ

ความเนนหนักไดก็เพราะหลกั ภาษาตรงคาํ ทีเ่ รียกวา อกั ษร ลามอะฮัด หลงั จากน้นั คาํ วา “อลั -อลิ าฮ” ก็ไดกลายเปนคําเฉพาะในการกกลา วถึงคาํ วา “ผูสรางโลก” ในหมชู นชาวอาหรับ เมื่อกาลเวลาผาน พนไปนานๆ เขา อกั ษรฮมั ซะฮท ี่ตงั้ อยรู ะหวา งอักษรลามทัง้ สองกถ็ ูกลบเลือนไป และตกไปจากการ ใชภาษาคาํ วา “อัล-อลิ าฮ” จงึ กลายไปเปนคาํ วา “อัลลอฮ” ซ่งึ ไดกลายมาเปนคาํ ๆ ใหมแ ละเปนพระ นามเฉพาะของ “ผสู รา งโลก” ทที่ รงไวซึ่งความบริสทุ ธ์ิ (๑) ขอเปรยี บเทียบท่ีมีก็คือ : อันนาส (มนุษย) เดมิ มีรากศพั ทมาจากคาํ วา “อัล-อนิ าส” คร้นั แลว อักษรฮัมซะฮก ็ไดถ ูกลบออก ทํานองเดียวกนั กบั การกลา วคาํ วงิ วอนที่ใชค ําวา ยาอัลลอฮ ดว ยการ ตดั ฮมั ซะฮ ท่ีไดแ กค าํ วา “ยาอลิ าฮ” คําวา “อัล-อลิ าฮ” เปน คํานามประเภทสงิ่ ของ เชน คน, เสอื เปน ตน (๑) ทา นอัลลามะฮฏ อ็ บรอซีย ไดอางหลกั ฐานมาบันทกึ ไวในตฟั ซรี ของทานวา คาํ วา “อลั ลอฮ” นน้ั รากศัพทก็คอื “อิลาฮ” ตามมาตรา “ฟอ าล” แลวอักษรฟาอ กไ็ ดถูกตัดออกไป เชนเดยี วกบั อกั ษรฮัมซะฮ แลวอกั ษรอะลีฟกบั อกั ษรลามกเ็ ขา มาเปนการแสดงถึงความหนักแนนของมัน โดย เหตผุ ลทว่ี า การท่ีพวกเขาตดั อกั ษรฮัมซะฮท อ่ี ยขู า งในออกไปน้ัน ทาํ ใหอ กั ษรลามเปน ตัวจาํ กัด ความหมายในแงของการสาบานและการวงิ วอนขอ เชน คํากลาวท่วี า “ยาอัลลอฮ อฆิ ฟร ลีย” และถา ไมมตี วั ทดแทนเขามา อักษรฮมั ซะฮน น้ั ก็จะไมอาจต้งั อยไู ดนอกเหนือจากในคาํ นามน้ี (๒) ทานรอฆบิ ไดกลาวในหนงั สือ “มฟุ รอดาด” วา : คาํ วา อลั ลอฮ น้ันรากศพั ทท่ีมากค็ ือ อลิ าฮ ครนั้ อักษรฮมั ซะฮถูกตัดออกแลว นําอกั ษรอะลฟี กบั ลามเขามา ก็จะหมายวึ ามเฉพาะถึงพระผทู รง บรสิ ุทธิ์ ดงั ที่พระองคไ ดท รงมโี องการเจาะจงไวว า : สเู จารใู นการขนานนามใหแกพ ระองคกระน้ัน หรอื (๓) ดว ยเหตนุ ้เี องเราจงึ ไมจาํ เปนตองอธิบายคาํ วา “อลิ าฮ” นอกเหนือไปจากทัศนะที่วาความ เปนสว นทง้ั หมดอีก ในเมื่อ “คําอนั ประเสริฐ” ไดถูกวางลงบนคาํ น้ีและโดยเหตุทีว่ าคาํ นใี้ ห ความหมายทีช่ ดั เจนอยแู ลว เราจึงไมจาํ เปนแตอยางใดเลยท่ีจะหาความหมายของคาํ ทเ่ี ปน หัวขอ เรอ่ื ง สาํ หรบั สวนทัง้ หมด ใชสําหรับประเด็นท่วี า “คําอนั ประเสรฐิ ” น้ัน แมจ ะเปนท่รี กู ันอยแู ลว วา หมายถึงผูทรงเปน ศูนยร วมแหงคุณลักษณะตางๆ ทส่ี มบูรณท้งั หมด หรือทรงเปน ผสู รางสาํ หรบั สรรพส่งิ ทง้ั หลาย ก็ยังมิไดหมายความวา ทรงมีคณุ ลักษณะหรือผสู รา งท่ีอยูใ นมาตรการตา งๆ ตาม ความหมายของ “อิลาฮ” หากแตเปน การเจาะจงถึงความเปน หน่งึ เฉพาะในแงท ่ีบุคคลหนึง่ มี ลกั ษณะทีพ่ ิเศษไปจากบุคคลอ่นื หรือตามทสี่ มมติฐานขึ้น (มิใชมใี นความเปนจริง) มนั คอื เรื่องท่ี (๑) ในเหตุผลเหลานย้ี ังมที ัศนะอนื่ ๆ อกี ซ่ึงสามารถอา นดไู ดใ นหนังสือ ตาุลอุรสู เลม ๙ หมวดวา ดว ยเร่ือง “อิลาฮ” (๑) อัล-กิชาฟ หมวด ๑ หนา ๓๐ อธบิ าย บิสมลิ ลาฮ (๒) มัจมุอลุ บยาน หมวด ๑ หนา ๑๙ (๓) มุฟรอดาตรุ รอฆิบ หนา ๓๑ หมวดวา ดว ย อิลาฮ

นอกประเดน็ ที่เราจะช้ีแจงตอ ไป ความหมายของคําท้งั สองชใ้ี นประเดน็ อันเดยี วกัน นอกเหนอื จากที่เราไดกลา วไปแลว กค็ ือ วา บางครั้ง “คําอนั ประเสรฐิ ” ไดถูกนาํ ไปใชในทขี่ อง “อิลาฮ” คือ ในแงของความเปน สว นทง้ั หมด กลา วคือการใชแ ตล ะคาํ ลงในทีข่ องอีกคําหนึ่งกเ็ ปน การถกู ตอง ดงั ปรากฏในโองการของพระองค ทวี่ า “และพระองคค ือ อลั ลอฮ ในชน้ั ฟาทง้ั หลายและในแผนดนิ ทรงรูความลับและการเปด เผย ของสูเจา และทรงรูสงิ่ ทีส่ เู จา ขวนขวาย” (อัล-อันอาม-๓) ถาเราะจเปรยี บเทียบโองการนกี้ ับโองการอ่นื กจ็ ะเห็นวาตรงกัน เชน “พระองคคอื ผูซงึ่ เปน “อลิ าฮ” ท้ังในช้นั ฟาและเปน “อิลาฮ” ในแผนดิน และพระองคค ือผู ทรงปรีชาญาณ ผูทรงรอบรู” (อซั ซคุ รุฟ-๘๔) “และสูเจา อยา พูดวา มี “สาม” พวก เจาจงหยุดเสียเถิด จะเปนการดีแกสูเจา อนั ทีจ่ ริงอลั ลอฮ น้นั คือ “อิลาฮ” องคเ ดยี ว มหาบรสิ ุทธิ์ยิ่งแดพระองคจนพน ในอันท่ีบุตรจะถึงมีสาํ หรับพระองค ได” (อนั นซิ าอ-๑๗๑) “พระองคคอื อัลลอฮ ผูซ งึ่ ไมมี “อิลาฮ” อนื่ ใด นอกจากพระองคผ ทู รงเปนเจา ผทู รงบริสุทธ์ิ ทรงสนั ติ ทรงใหค วามปลอดภัย ทรงอํานาจ ทรงเดชา ทรงฤทธา ทรงเปนใหญ มหาบริสุทธ์ิเปน ของอลั ลอฮ พนจากสิง่ ทพี่ วกเขาตงั้ ภาค”ี “พระองคคืออัลลอฮ ผสู รา ง ผบู รสิ ทุ ธิ์ ผูท รงมีพระนามตา งๆ ทดี่ งี าม สง่ิ ในช้ันฟาทั้งหลาย และแผนดนิ สดุดีพระองค และพระองคค อื ผทู รงเดชาผูทรงปรชี าญาณ (อัล-หะชัร-๒๓-๒๔) ไมต องสงสัยเลยวา “คําอนั ประเสริฐ” ในโองการเหลาน้ี หมายความถึงความหมายตา งๆ ของ “อิลาฮ” ในแงข องความเปน สวนทง้ั หมด (คือความหมายวา สิง่ ตา งๆ ที่อธบิ ายมานนั้ คือ ความหมายของอิลาฮ) โองการตอไปน้ีมสี ว นใกลเคียงกันกบั โองการแรก “จงกลา วเถดิ สูเจาจงวิงวอนตอ อัลลอฮ หรือจงวิงวอนตอ ผทู รงเมตตา ไมวา นามใดก็ตามท่ี สูเจาเรยี ก ดังน้ันสาํ หรับพระองคน ้ันทางมีพระนามทัง้ หลายทดี่ งี าม” (อัล-อซั รออ- ๑๑๐) ในสองโองการนี้นบั วา ไมม ีความตา งกนั ในแงท่วี า “คาํ อนั ประเสรฐิ ” เปน คาํ จาํ เพาะในแง ของความเปน สว นท้งั หมด มใิ ชความเปนสว นยอยดังท่ีมีบางคนเขาใจ

ใช อาจมกี ารกลา ววา “คาํ อนั ประเสรฐิ ” น้ัน มาจากคาํ วา “อลิ าฮ” ตามความหมายในแงข อง การเคารพภักดี หรือมาจากคาํ วา “อลิ าฮ” ตามความหมายในแงท วี่ า ความกระวนกระวาย เพราะวา ปวงบา วจะมคี วามกระวนกระวายในเมื่อรําลกึ ถงึ พระองค หรอื มาจากคาํ วา “อลิ าฮ” ตามความหมาย ในแงท่วี า ความยําเกรงเพราะผูถ กู สรา งยอ มมคี วามยําเกรงตอพระองค หรอื มาจากคําวา “อลิ าฮ” ตาม ความหมายในแงท ว่ี า สงบเพราะผถู กู สรางจะมคี วามสงบในยามทร่ี าํ ลกึ ถงึ พระองค หรอื จะเปน คําทีไ่ ดม าจาก “ลาฮะ” ตามความหมายในแงท ว่ี า ทรงคุม ครองปอ งกัน เพราะ พระองคทรงเปน ผูป กปอ งจากการต้ังมโนภาพหรือการพรรณนาถึงพระองคใ นลักษณะอยา งน้ี (๑) แตสมมตฐิ านเหลา นเ้ี ปนเพียงการคาดคิดกันเทา นน้ั คือไมม ีหลกั ฐานอางอิ มนั จะถกู ทงั้ หมดหรอื ถกู ในบางสว นกต็ ามแตมนั กม็ ิใชห ลกั ฐานท่ีจะชใี้ หม ากไปกวาเพยี งเปน ขอ สังเกตเอาในประเด็นหนึ่งๆ แลว มาสรปุ ใหเ ปน “คาํ อนั ประเสรฐิ ” หรอื คําวา “อัล-อิลาฮ” สว น ประเด็นทวี่ า ประเดน็ ตา งๆ เหลานั้นคงอยูตอ มาจนถงึ สมัยที่อัล-กรุ อกานถูกประทานมา และกรณี ทว่ี า อลั -กุรอานนาํ คาํ ท้งั สองมาใชเ พอ่ื รักษาประเด็นตา งๆ เหลานไ้ี ว กเ็ ปน เร่ืองทไี่ มมีหลกั ฐานใดๆ ยนื ยัน เปน อนั วาความหายเหลานี้เปนลักษณะเฉพาะของคาํ วา “อิลาฮ” ดงั นั้นถาใครยดึ ส่ิงใด ข้นึ มาเปน พระเจา สาํ หรับตนเองกเ็ ทากับเขาเคารพภกั ดีสง่ิ นัน้ มอบความหวงั แกส ิ่งนั้นในยาม เดือดรอน จติ ใจของเขาจะสงบเมือ่ ขาไดร ําลกึ ถึงสิง่ น้ันและอ่ืนๆ อกี ทเ่ี ปน สวนสําคัญสาํ หรบั ลักษณะของความเปนพระเจา ถา ทา นผอู านไดสงั เกตโองการตา งๆ ท่ีมคี าํ วา “อลิ าฮ” เปนอยางอืน่ นอกเหนอื จากที่ไดอธบิ ายกับ “คาํ อนั ประเสรฐิ ” ไมว า ในประเดน็ แรกที่วา หมายถึง “ความเปน สวน ท้ังหมด” และประเด็นทส่ี องท่หี มายถึง “ความเปน ยอยก็ตาม” (๑) ดหู นงั สือ มจั ญมุอลุ บะยาน หมวด ๙ หนา ๑๙

อลั -อิลาฮห มายถึงรูปเคารพกระนั้นหรอื ? ใชแ ลว ทว่ี า นักปราชญเปน จาํ นวนมากไดอ ธบิ ายวา “อลิ าฮ” หมายถึง “รปู เคารพ” และพวก เขาก็ไดพากันอา งโองการของอลั -กรุ อานยืนยันการอธิบายเชนน้ี “เพอ่ื พวเขาจะกอการเสยี หายขนึ้ ในแผนดิน และจะเพิกเฉยตอทา นและพระเจา ของทาน” (อลั -อะรอฟ-127) โดยไดใ หความหมายตรงคําวา “พระเจาของทา น” วา หมายถงึ “รูปเคารพของทาน” มูลฐานของความคิดนี้บางทอี าจหมายถึงพระเจา ท่ที แจรงิ หรอื พระเจาทถ่ี กู อุปโลกขข้ึนมา เพือ่ ทาํ การเคารพภักดี อยูต ลอดมาของมวลมนษุ ยช าติทง้ั หมดกไ็ ด ดวยเหตุนี้คาํ วา “อัล-อลิ าฮ” จึง ไดรบั การอธิบายวา หมายถึง “รปู เคารพ” ถึงกระน้ันก็ตาม รูปท่ไี ดร บั การเคารพภกั ดีน้ัน มิได หมายถึงอลั -อลิ าฮ และความหมายของมนั กม็ ไิ ดเปนของรากศพั ทเดิม หลักฐานอันชัดเจนที่แสดงวาอลั -อลิ าฮมิไดห มายถึง “รปู เคารพ” ก็คอื ประโยคอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ท่วี า “ไมม ีพระเจา อน่ื ใดนอกจากอัลลอฮ” (ลา อลิ าฮะ อลิ ลั ลอฮ) กลาวคอื ถาหากปรากฏวา ความหมายของอัล-อิลาฮคอื “รูปเคารพ” แลว แนน อนทีเดยี วประโยคนี้จะตองเปน เทจ็ ไปเลย เพราะ เปน ทย่ี อมรับกันวา รปู เคารพทน่ี อกเหนือจากอัลลอฮในโลกนีม้ ีมากนับจํานวนเปน พนั เมื่อเปน เชนนแี้ ลวจะสามารถปฏเิ สธวา ไมมสี ง่ิ ถกู เคารพทีน่ อกเหนอื จากอลั ลอฮไดอยางไร โดยเหตนุ ้ผี ทู ่ีกลา ววา “อัล-อิลาฮ” หมายถงึ “รูปเคารพ” พยายามทจ่ี ะเนน คาํ วา “โดย แทจรงิ ” เขาไปขางหลงั คําวา “อิลาฮ” เพอื่ จะไดเปน ประโยคดงั นี้คือ : “ไมมีพระเจา (ทีแ่ ทจริง) นอก จากอัลลอฮ” (ลาอลิ าฮะ (บิฮัก) อิลลัล ลอฮ) จนไดความตามรปู ของความเขาใจนี้ แตไ มต อ งสงสยั เลยวา การใสค าํ วา (ที่แทจ ริง) เขาไปท่ีตรงนี้ยอมผิดพลาดโดยแท แมวา เปา หมายของ “ประโยคอัน บรสิ ุทธิ์” จะหมายความวา ปฏเิ สธตอ พระเจา (อลิ าฮ) ใดๆ ในโลกนี้นอกเหนอื จากอัลลอฮก็ตาม และ สําหรับความหมายนี้ (พระเจา ใดๆ) ยอมไมใ ชความจรงิ ของสิ่งอนื่ อยางเด็ดขาดนอกเหนือจาก อลั ลอฮ และความเขา ใจเชน นก้ี ็มิไดเขากนั กับคาํ กลา วทว่ี า “อัล-อิลาฮ” นัน้ คือ รปู เคารพในขณะทยี่ ัง มี “รปู เคารพตา งๆ” ในโลกนอ้ี ยอู ีกถงึ แมวา มนั จะถกู อปุ โลกขขึ้นมาก็ตาม สําหรับประเดน็ ท่ีพหูพจนของคํานี้เปน อาลิฮะฮ ก็มไิ ดห มายความวา มนั จะหมายถึง “รูป เคารพ” หากแตเพื่อเปนหลักการของชาวอาหรับวา อาลฮิ ะฮ (พระเจาทงั้ หลาย) ในท่นี ้ีมใิ ช “อัลลอฮ” พระองคทรงกลาววา “หรือวา พวกเขามบี รรดาพระเจา (อาลอิ ะฮ) ท่คี อยยับย้งั พวกเขาใหพ น ไปจากเรา” (อัล-อัมบยิ าอ- 43) ถา ทา นตองการจะทราบถึงความเขา ใจทเี่ รามีตอคาํ วา อลั -อลิ าฮในแงของการจาํ กดั ความ ก็ ขอใหยอ นกลับไปพิจารณากจิ การตา งๆ ทเ่ี ปนเรอ่ื งของความเปน “ผูอ ภิบาล” ในทรรศนะของมนษุ ย กลาวคือผทู ่ดี าํ รงไวซ่ึงกจิ การเหลาน้ีทุกอยางหรือบางอยา งน้ัน คอื อลั -อลิ าฮ (พระเจา ) ดังน้ันงาน สรา ง งานบริหารการใหชวี ติ การใหตาย การออกกฎหมาย การวางบทบัญญตั ิ การใหอ ภัยโทษ การ

ใหค วามอนุเคราะหโดยอสิ ระทกุ ประการนั้นคอื กจิ การของ “พระผอู ภิบาล” ดงั นนั้ ผูที่ดํารงไวซ่งึ กจิ การเหลานี้อยางแทจริงหรอื ไดร บั ภาพพจนอยา งนี้เทา นน้ั เอง ที่หมายถึง “อลิ าฮ” ตามความเปน จรงิ หรอื ตามภาพพจนที่มีจินตนาการไปอยางถกู ตอ ง ในท่นี ยี้ ังมโี องการตางๆ ทแ่ี สดงหลักฐานอยา งชัดเจนวาอลั อลิ าฮ มิไดหมายถงึ อัล-มะอบูด (รูปเคารพ) หากแตห มายถงึ ผทู รงจัดระบบ ผูทรงบริหารหรอื ผูทรงคุณอาํ นาจในการบริหารหรอื มี ลักษณะทใ่ี กลเคียงกบั สิ่งน้ีตามท่ถี ือวา มันเปน งานของพระองคผ ทู รงสูงสุด ขอใหท านพจิ ารณาดู บางโองการตอ ไปนี้ “ถาหากในทั้งสองนั้นยงั มีบรรดาพระเจา (อาลิฮะฮ) นอกจากอลั ลอฮอ ยูอีกละก็ แนนอน ทั้ง สองจะตอ งเสียหาย” (อลั -อมั บยิ าอ- ๒๒) กลา วคอื หลกั ฐานทป่ี ฏเิ สธจํานวนหลากหลายของอลั -อาลฮิ ะฮ (บรรดาพระเจา) ยงั ไม สมบูรณพอ นอกจากวา เราจะถือวา “อลั -อิลาฮ” ในโองการนหี้ มายถึงผทู รงจัดระบบ ผูท รงบริหาร หรือทรงคมุ อาํ นาจในกจิ การตา งๆ หรือมลี กั ษณะท่ีใกลเ คยี งกบั ทง้ั สองเร่อื งนีเ้ ทานัน้ แตถา เราจะถือ วา อัล-อิลาฮหมายถึงอัล-มะอบ ูด (รูปเคารพ) แลว เรากยังไดห ลักฐานไมกระจางพอ เพราะวา รปู เคารพในโลกน้ีมเี ปน จาํ นวนมาก พรอมกับทย่ี ังไมมีความเสยี หายใดๆ ในระบบจกั รวาล และปรากฏ วา ในสมัยท่โี องการน้ถี กู ประทานลงมานน้ั เมอื งฮิญาซเตม็ ไปดวยอาลิฮะฮ (บรรดาพระเจา ) ในขณะทีร่ ะบบจกั รวาลกย็ ังมีเสถยี รภาพอยไู มเกดิ ความเสยี หายใดๆ เม่อื เปนเชนน้ี จงึ จาํ เปนสําหรบั ผูท่ีถอื วา “อัล-อลิ าฮ” หมายถึงมะอบูด (รปู เคารพ) จะตอง ใสคําวา “โดยแทจ ริง” (บิลฮัก) ติดตามไปดวย คือจะตอ งอธบิ ายโองการนวี้ า “ถา หากในทัง้ สองยงั มี รูปเคารพตา งๆ (ทีแ่ ทจรงิ ) อยูล ะก็ แนนอนมนั ทง้ั สองจะตองเสยี หาย คอื ในเมื่อมะอบดู ทแ่ี ทจ รงิ เปน ผบู รหิ ารและเปน ผูทรงจัดระบบแลว แนนอนวามนั จะเกดิ ความเสยี หายแกระบบของโลก เหตุผล เหลานที้ กุ ประการยังฟง ไมข ้ึน ๒- “อัลลอฮไมท รงมบี ตุ ร และไมมีอิลาฮอื่นใดรว มกบั พระองค เพราะถาเชนน้ันแลว แนน อนทุกอิลาฮก ็จะตอ งนาํ สิ่งทต่ี นสรางไป และแนน อนพระเจา เหลานนั้ บางสว นก็จะมีอาํ นาจ เหนอื กวา บางสวน” (อลั -มุนินูน-๙๑) หลักฐานในโองการนส้ี มบูรณอ ีกเชนกัน ถา เราอธบิ ายวา อิลาฮ ไปตามทเ่ี ราไดก ลาวไปแลว วา มันคอื ลักษณะความเปน สว นทั้งหมดของสง่ิ ที่คําอนั ประเสริฐ (ลฟั ซลุ ญลั ลาฮะฮ) จาํ กดั ความไว ทานอาจกลาวไดวา คาํ นีห้ มายถงึ ผสู รา ง หรอื ผบู ริหาร หรอื ผทู ่ีดํารงกิจการของตน คําท่ีเหมาะสม สําหรบั ฐานภาพอันน้คี อื ผูสรา ง และจะไดค วามตรงตามความในโองการท่ีวา อิลาฮทกุ องคก จ็ ะทรง นําสิ่งท่ตี นสรางไปบริหารกันเอง และแตละฝายก็จะวางอาํ นาจเหนอื กันและกัน

ถา เราจะถือวา อลั -อลิ าฮห มายถงึ ส่ิงถูกเคารพ เรากย็ งั ไมก ระจา งชดั ในหลักฐาน อกี ท้งั จาํ นวนอนั มากมายของมนั ก็มไิ ดสรางความเสยี หายใดๆ ข้นึ มาในโลก เหตผุ ลทร่ี ะบุถึงสภาพ ดังกลาวนีค้ ือขอ พิสูจน กลาวคอื ในโลกนม้ี ีพระเจา (อาลิ ฮะฮ) อยมู ากมาย แนนอนทีส่ ุดบรเิ วณอลั - กะอบะฮนน้ั เคยมพี ระเจา ถงึ สามรอยหกสบิ องค แตค วามเสยี หายในโลกยงั ไมเ คยเกิดขึ้นเลย ขอท่ีควรคํานงึ สําหรับผทู อ่ี ธิบายวา “อลิ าฮ” คอื มะอบดู (รูปเคารพ) ก็คือการพินิจพิจารณา ความหมายตามทีเ่ ราไดกลา วไปแลว ในโองการทผี่ านมาแลว ๓- “จงกลา วเถิดถาหากมอี าลฮิ ะฮ (บรรดาพระเจา) รว มกับพระองคเหมือนดงั ท่ีพวกเขาได กลา วแลวไซร เม่อื นนั้ แหละ แนน อนเลยวา พวกเหลานั้นตองใฝหาหนทางถงึ อลั ลอฮ ผทู รงเปนเจา แหง บลั ลงั ก” (อัล-อัซรออ- ๔๓) กลาวคือการใฝห าหนทางเพ่อื ไปใหถงึ พระองคผ ทู รงเปน เจา แหง บลั ลงั กน ั้น นบั วา เปน ลกั ษณะท่ีจาํ เปน สําหรบั ผสู รางทั้งหลาย หรอื ผูบริหาร ผูจดั ระบบหรอื สําหรับผทู ี่คุมอํานาจบริหาร โลกหรอื ผทู มี่ ีคณุ สมบตั อิ น่ื ๆ ในประเด็นนีต้ ามทเ่ี รามมี โนภาพขน้ึ ในจติ สํานึกของเราทเ่ี ปน ความหมายแหง ความเปน พระเจา สวนสิ่งถูกเคารพ (มะอบูด) จาํ นวนมากมายนัน้ ไมมีความจาํ เปน ใดๆ ในสวนนี้เลย นอกจากมลี ักษณะทีเ่ ปน ไปตามทเ่ี ราไดช แี้ จงไปกอ นแลวเทา นั้นเอง ๔- “แทจ ริงสเู จา และสิ่งทีส่ เู จา เคารพภักดีนอกเหนอื จากอลั ลอฮน้ัน เปนเชอ้ื เพลิงของ นรกญะฮันนัม สเู จาทัง้ หลายคอื ผูเ ขา ไปในมนั ถา หากวา ทัง้ หลายเหลานนั้ เปนอาลิฮะฮ (พระเจา ) แลว พวกเลหา นน้ั จะไมไดเขาสมู ันเปนแน” (อลั -อมั บยิ าอ- ๙๘-๙๙) โองการน้ีใหเหตผุ ลวา รูปปนและบรรดาเจวด็ นน้ั ตองเขาสไู ฟนรกโดยเหตุทว่ี ามนั มิใชพ ระ เจา (อาลฮิ ะฮ) เพราะถา มนั เปน พระเจา มันก็ไมไดเขานรก การอธิบายเหตผุ ลยอมเปนท่กี ระจางอยา งสมบูรณได ถาเราอธบิ ายคาํ วา อาลิฮะฮไปตามท่ี เราไดชี้แจงไปแลว กลาวคอื ผูสรางโลก หรือผบู ริหารโลกหรอื ผทู ท่ี รงจักระบบของโลก หรอื ผทู ี่มี คุณสมบัติตา งๆ แกตนเองในสวนท่ีเปนกิจการของอลั ลอฮนน้ั ยิ่งใหญเกรียงไกรเกินกวาการทจ่ี ะ ตดั สนิ ใหเ ขาตกนรกและเปนเชือ้ เพลิงของนรกญะฮนั นมั คาํ อธิบายเรื่องนย้ี อ มผิดเพ้ยี นไปทันที ถา เราถือวา อิลาฮห มายถงึ “รปู เคารพ” กลาวคือ จะได คําอธิบายท่ีไมสมบูรณ เพราะเปนทแ่ี นน อนเหลือเกนิ วา สิง่ ตางๆ ทีถ่ ูกเคารพภักดนี ั้นยอมเปน เชอ้ื เพลิงของนรกญะฮนั นมั แตถา จะใหเ ขา ใจอยางกระจา งชัดในโองการตา งๆ ทมี่ ีคาํ วา อิลาฮแ ละ อาลฮิ ะฮ (พระเจา ) ปรากฏอยูก็จะตอ งเปนไปตามเหตุผลท่เี ราไดอ ธบิ ายไปแลว ขอใหท านได พจิ ารณาในโองการของพระองคท ่ีวา “ดังน้ัน อลิ าฮข องสเู จา คอื อลิ าฮเดยี ว ดงั นั้นสเู จาจงยอมจํานนตอ พระองคแ ละจงแจง ขา วดี แกผ สู อบอยา งภักดเี ถดิ ”

(อัล-ฮจั ญ- ๓๔) กลา วคอื ถา หากวาจะอธิบายคําวา อลั อิลาฮ (พระเจา ) ในโองการนวี้ าหมายถงึ มะอบ ดู (รปู เคารพ) แลว กเ็ ทากบั เปน การโกหก เพราะเปนทแ่ี นนอนอยวู า รูปเคารพในสงั คมมีเปน จํานวนมาก ดวยเหตนุ ้ีกระมัง จึงมกี ารใสค าํ วา “อยา งแทจรงิ ” เขา ไปตอทา ยคาํ วา อลั -อิลาฮในท่ตี รงน้ี คือ หมายถึงส่ิงท่ีถูกเคารพอยางแทจ ริงนั้นคืออิลาฮเดียว แตถา เราอธบิ ายคําวา อิลาฮไ ปตามความหมาย ผวิ เผนิ ตามที่รงมผี ลงานปรากฏอยูในโลก เปน ตนวา การบริหาร, การจดั ระบบ, การให คุณประโยชน, และปดปองทุกขภัยโดยอิสระแลว กจ็ ะถือวาถูกตองสาํ หรับการทจ่ี ะจาํ กดั ความอยาง นี้ใหแกค าํ วา อลิ าฮใ นแงหนึ่ง โดยไมจําเปน ตอ งอาศยั คําอธิบายอน่ื แฝงอยอู กี เลย ในเม่ือเปน ที่รู กนั อยแุ ลววา ในชีวิตของนนุษยแ ละสังคมของมนุษยน ั้น ไมม ีพระเจาอนื่ ใดอกี เลย ทจ่ี ะมคี ณุ ลกั ษณะ ตามท่ีเราไดกลาวไปแลวน้ี เราไมตองการที่จะกลา ววา : อัล-อลิ าฮ หมายถงึ ผสู ราง ผูบรหิ าร ผใู หชีวติ ผูใหต าย ผชู ว ย เหลอื ผอู ภัยโทษ ในเม่อื ไมอ าจตคี วามคาํ วา อัล-อิลาฮออกมาใหเ ขาใจได นอกจากจะเปนความหมาย ตรงตัวเทา น้นั แตคณุ ลักษณะตางๆ เหลานี้ คือพ้ืนฐานที่ชี้ไปยงั ความหมายตรงตัวอันนี้ อยางไรก็ดี สภาพการณข องคณุ ลักษณะนน้ั ๆ เปน ความหมายทีร่ องรบั สาํ หรบั คําดังกลา ว ดังเชนกรณที ่วี า สภาพการณของพระองคคอื เปนผูทรงมอี ํานาจเหนือทกุ สวนในโลกน้อี ยางมีอิสระโดยมิไดเกี่ยวพัน อยกู บั ส่ิงอื่นเลย เปนการใหค ําจาํ กดั ความทชี่ ไ้ี ปยงั ความหมายตรงตวั ตามท่ีเราไดรบั มาจากคาํ วา อิ ลาฮ มิไดห มายความวา มนั คอื ตวั แทของความหมายนั้น เม่อื ถึงจุดน้ี ทานผุอ า นก็พอจะเขา ใจความหมายของคาํ วา อัล-อลิ าฮและอลั -อุลวุ ียะฮ ไดแลว วา มันมไิ ดหมายถงึ มะอบ ดู (รปู เคารพ) หากแตค วามหมายของมันกค็ อื ความหมายทม่ี าจากคาํ วา “อลั ลอฮ” นั่นเอง เพยี งแตวา มันเปน คําท่มี ีความหมายเฉพาะเสียคาํ หนง่ึ และเปน คําทม่ี ีความรวมใน สว นทง้ั หมดเสยี อีกคําหนง่ึ เทานน้ั เอง เรายังจะตองหาความหมายของคาํ วา ร็อบ (พระผูอ ภบิ าล) และ อัรรุ บบุ ยี ะฮ (ความเปนผู อภบิ าล) ตอไปอีก ซึง่ เปน คําทีไ่ ดรบั การอธบิ ายไวอยางมากมายไวอยางมากมายในขอ เขียนตางๆ ของพวกวะฮาบีย : ความหมายของ อัรรอ็ บ และอัรรุบบุ ียะฮ “อัร-รอ็ บ (พระผอู ภบิ าล), อัล-มาลิก (ผทู รงอภสิ ิทธ์ิ), อัล-คอลิก (ผูส รา ง) อัศศอฮิบ (ผเู ปน เจา ของ) “อัร-รอ็ บ” คือ “ผคู รอบครองสิ่งใดสงิ่ หนึ่งไวอ ยางดี” มีคํากลา วกันวา “นายคนนั้นดูแล (ร็อบ) ท่ีดินของตนโดยท่เี ขาดาํ เนนิ การปรับปรงุ มนั ใหดขี ้นึ และทาํ การดแู ลรักษา (ร็อบ)” อัลลอฮ ทรงเปน อรั ร็อบ (พระผอู ภิบาล) ก็เพราะเนื่องจากวา “พระองคืทรงเปนผูป รับปรงุ สภาพของสิ่งที่ พระองคสรา งอยางดี “ผเู ปนอัรร็อบ” คอื ผูที่ดาํ เนนิ การดูแลรกั ษา” (๑) (๑) หนงั สือ มะกอยีซ อัลลเุ ฆาะฮ หมวด ๒ หนา ๓๘๑

ทานฟยรซู อาบาดยี  ไดเขียนไวว า : “ร็อบทุกส่ิงทุกอยาง หมายถึง “เปน ผมู ีอภิสทิ ธิใ์ นสิ่งน้ัน เปน เจา ของสง่ิ นนั้ ...” ร็อบในกจิ การใดๆ หมายถงึ : การปรบั ปรุงกจิ การน้นั ๆ อยา งดี (๑) ในพจนานุกรมมุนญิด มีกลาวไววา : “อรั ร็อบ หมายถึง เปน เจา เปนผปู กครอง เปน นาย” ในหนังสอื ทีเ่ กย่ี วกบั ภาษาและพจนานุกรมตางๆ เลม อนื่ ๆ ก็ยงั ใหความหมายในทํานอง คลา ยๆ กันนี้ คาํ วา รอ็ บ (พระผูอภบิ าล) มหี ลายความหมายหรือ? หนาทีข่ องหนงั สือท่ีอธิบายหลักภาษาและพจนานุกรมตางๆ คอื การอธบิ ายความหมายของ คาํ ตา งๆ ใหเขา ใจ ไมว า ท่ีทาํ ไปนั้น จะเปน การอธิบายไปตามที่คาํ นนั้ หมายถงึ หรือเปลา สวนกรณี ของความหมายทีถ่ กู ตองและการแยกแยะใจความที่แทจ รงิ ออกจากความหมายอนุโลมน้นั อยู นอกเหนือขา ยงานของหนังสือที่เก่ียวกบั ภาษา น่คี อื ขอ บกพรองทีเปนขอ พิสูจนอ นั ชัดเจนประการหนึ่งของหนังสือที่เก่ยี วกับภาษาและ ปทานุกรมตา งๆ ในขณะที่ประชาชนมักจะไดพบวา ในคาํ หนง่ึ ๆ มีความหมายที่ตางกช็ ดั เจน และ แนนอนอยูตัง้ หลายความหมาย จนถึงกับทําใหค ิดไปวา ในสมัยแรกๆ นั้น ความเขา ใจของคน อาหรบั ทมี่ ตี อ คําๆ น้มี ีถึงสบิ ความหมายในสิบกรณี แตหลังจากทีไ่ ดทาํ การวเิ คราะหแ ละศึกษาแลว ก็เปน ทเี่ ขาใจวา สาํ หรบั คาํ ๆ นไี้ มมีความหมายอน่ื ใดนอกจากความหมายเดียวเทา น้นั สว น ความหมายอยางอนื่ ทีถ่ กู เอยถงึ เปนเพียงสาขาของความหมายทเี่ ปนพ้นื ฐานอันแทจ รงิ นับเปนความบังเอิญอะไรเชนนั้น ที่คําวา รอ็ บ กเ็ ปน คาํ หน่ึงทมี่ คี วามเปน ไปตามบรรทดั ฐานอันนี้ แมก ระทงั่ นกั เขียนอยางทา นเมาดดู ี ก็ยังคิดวา คาํ นีม้ ีหา ความหมายตามรากศัพทเดิม และ ทา นกไ็ ดกลา วถงึ ความหมายทง้ั หา อยา งโดยอางหลกั ฐานจากอลั -กุรอาน ไมต องสงสัยเลยวา คาํ วา รอ็ บ ท่ีไดถูกใชในอลั -กุรอานและภาษาในประโยคตอไปน้ี เปน ความหมายท่ีกวา ง และยนื ยนั ถงึ ลักษณะตา งๆ ของความหมายเดียวเทาน้นั ขอใหท านไดพจิ ารณาดปู ระโยคและขอ พิสูจนต อไปน้ี 1- การเล้ยี งดอู บรม (อัต-ตัรบยี ะฮ) เชน ผอู บรม (รอ็ บ) บตุ ร 2- การปรับปรุงและดูแลรกั ษาอยา งดี (รอ็ บ) เชน การดูแลรักษาท่ดี ิน 3- รัฐบาลและฝา ยบริหาร เชน เขาคนนัน้ ไดด ูแลรักษา (รอ็ บ) ประชาชนของเขาและทาํ ให ประชาชนเหลา นัน้ ดําเนนิ การปฏิบตั ติ ามเขา 4- ผมู ีสิทธ์ิ ดังปรากฏในฮาดษี ของทา นนบี (ศ) ทว่ี า “เจา ของ (รอ็ บ) ปศุสตั ว หรือเจา ของ (ร็อบ) อฐู ” 5- เจา ของ ดังเชน คาํ พดู ของทานท่ีวา : เจา ของบา น (รอ็ บบดุ ดาร) หรือที่อัล-กุรอานได

กลาววา : “ดังนั้น พวกเขาจงไดเ คารพภกั ดีเจาของ (รอ็ บ) บานแหงนี้” (อลั -กุรอ็ ยช-๓) ไมตอ งสงสัยเลยวา คาํ ๆ นีไ้ ดถูกนาํ มาใชใ นประโยคเหลานี้และประโยคที่คลายคลงึ กันได แตท งั้ หมดกต็ องยอนกลับไปยงั ความหมายเดียวท่เี ปนพ้ืนฐานเดมิ และความหมายเหลาน้กี เ็ ปนเพียง ขอพสิ ูจนและลักษณะอันหลากหลายของความหมายทีเ่ ปน พื้นฐานเดิมท่ีแทจรงิ อันเดยี ว คือการให ความหมายในแงข องความเปน ผูอภิบาล, ปรับปรุงดูแล, บริหารกิจการ, และเล้ียงดอู บรม กลา วคือ เมือ่ มกี ารกลา วถึงเจา ของสถานทเี่ พาะปลูกวา เขาคือรอ็ บของท่ีดินแหงน้ัน ก็เปน เพราะวา ความเปนไปของงานเพาะปลูก เก่ียวของกับเขาและอยใู นกาํ มอื ของเขา เมื่อเราเรยี กผทู ท่ี าํ การปกครองคนพวกหนง่ึ ในลักษณะของรอ็ บ ก็เปน เพราะวา กิจการท้งั ปวงของคนพวกนัน้ ข้ึนอยกู ับเขา ดังน้ันเขาจึงเปน ผูนาํ ของเขาเหลานนั้ และเปนผทู รงสิทธิ์ในการ บริหารและจดั ระบบในกิจการตางๆ ของพวกเขา เมื่อเราเรยี กเจา ของอาคารและผูมีสิทธิ์ในอาคารนั้นวารอ็ บ กเ็ พราะวา อาคารน้ันขึ้นอยูกับ เขาทั้งหมด ไมวา ในเรอื่ งการบรหิ าร จัดการในดา นใดที่เก่ียวกับอาคารลว นเปนไปตามท่เี ขาตอ งการ ทง้ั ส้ิน โดยเหตุน้เี องผูเลี้ยงด,ู ผปู รับปรงุ ดูแล, หัวหนา , ผูทรงสิทธ์ิ และเจา ของตลอดถึงคาํ อืน่ ๆ ท่ี คลา ยคลงึ กัน ลวนเปน ขอพิสจู นแ ละรปู แบบสําหรับความหมายอนั เดียวท่ีเปน พื้นฐานโดยแททมี่ อี ยู ในทกุ ความหมายดงั กลา วนี้ และจาํ เปน ทวี่ า เราจะตอ งไมถ อื วา ความหมายเหลา นน้ั คือลักษณะ จาํ แนกจากกันและแตกตา งกันของคาํ วา ร็อบ หากแตความหมายทแี่ ทจริงและพื้นฐานเดิมของคาํ นี้ คอื : ผทู ี่มีอาํ นาจในการบรหิ าร, จดั การ, ดาํ เนนิ การ, อยุใ นกํามือของตน และนี่คือความหมายรวมใน สวนท้ังหมด (กลุ ลีย) และมีความเปนจรงิ อยูใ นขอ พสิ ูจนแ ละขอ ความในหาประโยคดังกลา วขา งตน ทัง้ หมด (การเลีย้ งดอู บรม, การดูแลรกั ษาการเปน ผปู กครอง, การเปนผูมสี ิทธ์ิ, และการเปน เจา ของ) ดังนั้น เมอ่ื ทานนบียูซุฟ อัศศิดดีก (ความสันติพงึ มแี ดทาน) ไดเรยี กอาซีซแหงอยี ิปตวา รอ็ บ ดังทีไ่ ดกลาววา : “แทจริงเขาเปน รอ็ บ (ผูเ ลย้ี งดู) ของฉนั ไดใหทีอ่ ยอู นั ดงี ามแกฉ ัน” (ยซู ุฟ-23) ก็เปนเพราะยซู ฟุ ไดถูกเล้ียงดใู นบานของอาซซี แหง อียปิ ต และปรากฏวา อาซซี เปน ผู รับภาระในการเล้ยี งดูเขาและเอาธรุ ะในเรอื่ งของยูซุฟ และเมอื่ เขาไดเรียกอาซีซแหงอียิปตวา เปนรอ็ บของเพอ่ื นชาวคกุ ของเขาวา “สวนคนหนึ่งจากทา นทง้ั สองคนน้ัน เขาจะไดรนิ สรุ าใหแกรอ็ บ (นาย) ของเขา” (ยูซุฟ-41)

ก็เปนเพราะวา อาซซี แหง อยี ปิ ตค ือประมุขของประเทศอยี ปิ ตแ ละเปนหัวหนา และเปน ผูบริหารกจิ การตา งๆ ในประเทศอยี ปิ ตื อกี ท้งั ยังเปนกษัตรยิ อ กี ดว ย เม่ืออลั -กุรอานไดกลา วถงึ พวกยวิ และพวกคริสเตียนวา คนพวกนั้นไดยึดถอื เอานักปราชญ ของพวกเขาเปน พระเจา (อรั บาบ) โดยกลาววา : “พวกเหลา น้นั ไดยึดเอา นกั ปราชญแ ละนกั บวชของพวกเขาเปน พระเจา นอกเหนอื จาก อลั ลอฮ (อัรบาบ)” (อัตเตาบะฮ- 31X ก็เพราะเหตวุ า คนเหลาน้ัน เอาพวกเขามาเปน ผวู างบทบัญญตั แิ ละถือวา พวกเขาเปน เจา ของ อํานาจและกฎเกณฑ ซ่งึ ความจริงแลว มันเปน สทิ ธิเฉพาะสาํ หรับอลั ลอฮ เม่อื อลั ลอฮทรงเรียกพระองคเองวา “ร็อบบุลบยั ต” กเ็ พราะวา กินการแหง อาคารแหงน้ี ท้งั หมดไมว า ภายนอกหรือภายในลวนเปนของพระองคแตผ ูเดียวและสทิ ธิในการจดั การอาคารแหง น้กี ม็ ิไดเปน ของผูใดเลย นอกจากพระองค เม่อื อัล-กรุ อานไดกลา วถึง “อัลลอฮ” ดว ยคาํ วา : “พระผอู ภิบาล (ร็อบ) แหงช้นั ฟา ทงั้ หลายและแผนดนิ ” (อศั ศอ็ ฟฟาต-๕) และโองการทวี่ า : “พระผูอ ภบิ าล (รอ็ บ) แหงดวงดาวอชั ชอิ รอ” (อนั นัจญมุ-๔๙) ตลอดจนถงึ โองการที่คลา ยคลึงกันน้ี ก็เปนเพราะวา พระองคคอื ผูท รงบรหิ าร ทรงจดั การ และทรงจัดระบบตา งๆ ในส่งิ นน้ั ๆ กับคาํ อธบิ ายอยางนี้ เราจงึ จะสามารถเขา ใจในความหมายที่แทจรงิ ของคาํ วา อรั รอ็ บ ตามที่ ไดถกู ระบุอยใู นโองการตางๆ ของคมั ภรี อ นั ทรงเกียรติ ท่รี ูกันอยางแพรหลายในพวกวะฮาบยี ก ค็ อื การแบงหลกั เอกภาพออกเปน : ๑- หลักเอกภาพ ในความเปน ผอู ภิบาล ๒- หลักเอกภาพในความเปนพระเจา โดยอธิบายวา : แทจ ริงหลักเอกภาพในความเปน ผูอภบิ าลตามความหมายทว่ี าเชอ่ื ม่ันตอ ผสู รางองคเดยี วของจกั รวาลน้ี เปน เรื่องทม่ี ีความสอดคลองกนั อยูในหมชู นผตู ้งั ภาคที ้ังมวลในสมัย ท่ีอิสลามเริ่มเผยแพร สว นหลักเอกภาพในความเปนพระเจา กลา วคือหลกั เอกภาพในการเคารพภกั ดีตาม ความหมายทีว่ า จะตองไมเคารพส่ิงอ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮนน้ั แนนอนความพยายามของทาน ศาสนทูตผทู รงเกียรติน้ันไดทุมเทลงไปเพื่อการนี้ เปนความจริงที่วา หมูชนผตู ั้งภาคีทงั้ มวลในสมัยท่อี ิสลามเผยแพรน้นั มีความสอดคลอ ง ตรงกนั ในประเด็นของหลักเอกภาพแหง ความเปนผูสรางโดยไมม ขี อ สงสัย แตการใชคําเรียก “หลัก

เอกภาพแหงความเปนผสู ราง” วา เปน “หลักเอกภาพแหง ความเปนผูอ ภิบาล” นั้น ผิดพลาดและ คลุมเครือ ท่ีเปนเชนนกี้ ็เพราะเหตวุ า ความหมายของ “อัรรุบบู ยี ะฮ” (ความเปน ผอู ภิบาล) ไม เหมือนกับอัล-คอลกิ ียะฮ (ความเปนผสู รา ง) ดงั ที่คนพวกนีส้ ับสนกันอยหู ากแตมนั หมายถึง การ บรหิ าร และดาํ เนนิ กนิ การความเปน ไปของโลก ตามทีเ่ ราอธิบายอยา งชดั เจนผา นไปแลว และความ เขาใจอันนี้ เราก็ไดอ ธบิ ายไปแลว วา มไิ ดเ ปนเร่ืองทม่ี ีความสอดคลองตรงกนั แตอ ยา งใดในหมูชนผู ต้งั ภาคแี ละบรรดาผทู ี่บชู าเจวด็ ในสมัยท่อี ิสลามไดเ ริม่ เผยแผ เหมือนดังท่คี นพวกนีอ้ างไวเลย ใชแ ลว ทวี่ ามพี วกหนงึ่ ทีเ่ ปนปญ ญาชนในหมชู นยคุ งมงาย (ญาฮีลนี ) เชอื่ ม่นั วา ไมมี ผบู ริหารอ่ืนใดในโลกนอกจากอัลลอฮ แตคนสวนใหญน้ันเช่ือม่ันวามีผูบ รหิ ารและดําเนินกิจการ ของโลกหลายองค และขอ สรุปอนั น้ี กม็ าจากโองการในอัล-กรุ อานหลายแหง ประกอบกับทไ่ี ดอาง มาแลว ดว ย ในท่ีนเี้ ราจะตง้ั ขอ สงั เกตแกพวกวะฮาบยี ท ี่ใชช่ือเรยี ก “หลักเอกภาพในความเปนผสู ราง” วา “หลกั เอกภาพในความเปน ผูอภบิ าล” ใหมาพจิ ารณาโองการตา งๆ ตอ ไปน้ี เพ่ือเปนที่เขา ใจ สําหรบั พวกเขาวา การเผยแพรท ่ีนําไปสู “หลักเอกภาพในความเปน ผอู ภิบาล” นนั้ มิไดหมายถึงการ เผยแพรที่นาํ ไปสู “หลักเอกภาพในความเปนผสู รา ง” หากแตมนั คอื การเผยแพรที่นาํ ไปสู “หลัก เอกภาพในความเปน ผบู รหิ าร” และ “ดาํ เนินกจิ การ” แนนอนที่สดุ หมูชนผูตงั้ ภาคีในสมยั น้ัน เปนผู ทเี่ ขา ใจความหมายในหลักเอกภาพแหงความเปน ผูอ ภิบาลผิดพลาดและสับสน อีกท้ังเชอ่ื มัน่ วา ผบู ริหารมอี ยูหลายองค ถึงแมจ ะมีความเชอ่ื ม่ันในความเปนองคเดยี วของผสู รางอยูก็ตาม เปนไปไมไดเ ลยท่เี ราจะอธบิ ายคําวา “รอ็ บ” ในโองการเหลา น้วี า หมายถึง “ผสู ราง” และ “ผูท ําใหม ”ี ขอใหทานโปรดพิจารณาบางโองการตอไปน้ี ก- “ถูกแลว ร็อบ (พระผูอภบิ าล) ของพวกทานคือรอ บ (พระผอู ภบิ าล) แหงชนั้ ฟา ทง้ั หลาย และแผนดนิ ซ่ึงพระองคท รงบันดาลสิ่งเหลานน้ั ” (อลั -อัมบยิ าอ- ๕๖) กลาวคอื ถา หากคําวา “ร็อบ” ตรงนี้ หมายถึง “ผูสราง” และ “ผูทําใหม ”ี แลว แนนอน วรรค ทว่ี า “ซึง่ พระองคทรงบนั ดาลสิ่งเหลานั้น” ก็จะเปน สวนเกนิ โดยเหตผุ ลท่ีวา หากเราวางคาํ วา “ผูสราง” ลงตรงท่ีของ “รอ็ บ” ในโองการนแ้ี ลวแนนอน เราสามารถรูไดท ันทเี ลยวา ไมม ีความ จําเปน จะตอ งมวี รรคดงั กลา วอีกเลย (หมายถงึ -ซ่งึ พระองคท รงบันดาลส่ิงเหลา น้ัน) ซึ่งผดิ กบั กรณที ี่ ถา หากวา “รอ็ บ” หมายถงึ “ผบู ริหาร” และ “ดําเนนิ กิจการ” กลา วคือในลักษณะนจ้ี ะทาํ ใหวรรค หลงั ไดรบั ความจําเปน ขึน้ ทันที เพราะเหตวุ า วรรคนเ้ี ปน “อิลละฮ” (เหต)ุ สาํ หรับวรรคแรกแลวจะ ไดใ จความอยางน้ีวา : แทจ รงิ ผสู รา งจกั รวาล คอื ผทู รงดาํ เนนิ กจิ การ และผทู รงสทิ ธิสําหรบั การ บริหารจักรวาล ข- “โอมนษุ ย สเู จา จงเคารพภกั ดีรอ็ บ ของสเู จาซึง่ ไดสรา งสูเจา”

(อลั -บะเกาะเราะฮ- ๒๑) กลาวคอื คําวา “ร็อบ” ในโองการนีม้ ไิ ดมีความหมายวา “คอลิก” (ผูสรา ง) และน่ีกเ็ ปนไป ตามทีเ่ ราไดกลาวมาแลวในโองการกอน คอื ในกรณที ีถ่ าหากวา “ร็อบ” หมายถงึ “ผสู ราง” แลว กไ็ ม ตอ งกลา ววรรคตอไปดว ยคาํ ทีว่ า “ผูซึง่ ไดสรา งสเู จา ” อีกโดยผิดกันกับกรณีที่ถา หากวา เราบอกวา “ร็อบ” หมายถึง “ผบู รหิ าร” ประโยคท่ีวา “ผูซึง่ ไดสรางสูเจา ” ก็จะเปน อิลละฮ (เหตุ) สาํ หรบั เอกภาพในความเปน ผูอภิบาล กลา วคอื เมือ่ เปนเชนนีแ้ ลว ความหมายก็จะเปน ดังน้ี : แทจ รงิ ผูท ่ีสราง สูเจาคอื ผทู รงบรหิ ารสูเจา ค- “จงกลา วเถดิ นอกเหนอื จากอัลลอฮกระนน้ั หรอื ทฉี่ ันจะแสวงหามาเปน ร็อบ (พระผู อภิบาล) ขณะที่พระองคคือร็อบของทกุ ส่ิง” (อัล-อนั อาม-๑๖๔) โองการนก้ี ลา วถงึ เรื่องทวี่ า พวกต้งั ภาคใี นสมยั ท่อี สิ ลามเร่มิ เผยแพรนนั้ มคี วามขดั แยงกัน กับทา นศาสนทตู ผูท รงเกียรติ (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เรญิ แดท า นและวงศวานของทา น) ใน ประเด็นทเี่ ก่ียวกับพระผอู ภิบาลแหง สากลโลกและปรากฏวา ทา นนบีผยู ่ิงใหญ ไดเ ปนหลักประกัน วา ทัศนะและความเช่ือของพวกเขาเหลาน้นั ผิดพลาด และทานจะไมเ อาส่งิ อน่ื นอกเหนือจากอัลลอฮ มาเปนผูอภิบาล โดยแตกตางไปจากความคดิ ทพ่ี วกเหลา นัน้ มอี ยู เปน หลกั ฐานท่ีแนนอนอยา งหนง่ึ ก็ คอื วา ความขดั แยงทที่ านนบีมตี อ พวกตั้งภาคีนัน้ มิไดเ กีย่ วกบั ประเด็นของ “เอกภาพในความเปน ผสู ราง” ดว ยเหตุผลทีว่ า โองการตา งๆ ทีผ่ า นมานัน้ เปน หลกั ฐานอยูไมนอ ยเลยวา พวกเขายอมรับอยู แลววา ไมมีผสู รา งองคอ ่ืนอีกเลย นอกเหนือไปจากอลั ลอฮ ผูทรงสงู สุด ดวยเหตนุ ้จี งั ไมมีทางเลย่ี ง ไปจากการยอมรับวา ความขดั แยงดงั กลา ว อยนู อกประเด็นเกี่ยวกบั เรื่องผูสราง และหาใชขดั แยง กัน ในประเดน็ อ่ืนใดไม นอกจากในประเด็นของการบรหิ ารจกั รวาลจะเปน บางสว นหรือท้งั หมดกต็ าม ง- “ฉันมใิ ชร ็อบ (พระผูอภบิ าล) ของสูเจาดอกหรือ? พวกเขากลา ววา ใชเ รายนื ยนั เพอื่ ทวี่ า ในวันฟนคนื ชีพ สูเจาจะกลา ววา แทจรงิ เราลมื เรอื่ งน”ี้ (อัล-อะรอฟ-๑๗๒) กลาวคอื ในโองการนีอ้ ัลลอฮทรงถอื เอาหลกั เอกภาพแหง ความเปนผอู ภิบาลเปนพนั ธะกรณี กับมนษุ ยท ง้ั มวล เหตุ (อิลละฮ) ที่เปน เชนน้ี ก็ไดแกเร่ืองท่ีพระองคไ ดกลา ววา พระองคจะอธุ รณแ ก บาวของพระองคเก่ียวกับเรื่องนใ้ี นวันฟนคืนชพี ดงั ที่พระองคมโี องการวา : “หรอื ที่สเู จาจะกลาววา อันทจี่ รงิ นั้น บรรพบุรุษของเราแตคราวกอนตา งหากทตี่ ้ังภาคี และ เราเปน เชื้อสายท่มี าภายหลังพวกเขา ดงั น้ันพระองคจะทาํ ลายลา งเราไปกับสง่ิ ทผ่ี ผู ิดทัง้ หลายได กระทาํ กนั กระนั้นหรือ” (อัล-อะรอฟ-๑๗๓)

เมือ่ เขาใจเชน น้แี ลว เราก็จะขอกลาววา : โองการน้ไี ดถูกประทานลงมาในเร่ืองของชุมชนผู ตัง้ ภาคี เปน หลักฐานที่แนช ัดวา มพี วกหน่ึงในชุมชนนั้นท่ีขดั แยง ในพันธะกรณอี ันน้ี ฉะนน้ั ปรากฏ วา ความหมายของ “รอ็ บ” คอื “ความเปนผูสราง” ก็ตอ งถือวา ชมุ ชนน้ันขดั แยง กบั ทา นนบีในเรอื่ ง ของ “ผูสราง” แตความจริงมอี ยวู าในสมยั ที่อิสลามเริ่มเผยแพรน ้ัน ไมม คี วามขัดแยง กันในประเด็น “หลักเอกภาพของผสู ราง” กลา วคอื พวกต้ังภาคีในสมัยนั้นมิไดขัดแยง กนั ในประเดน็ น้ีจนถงึ ขนาดที่ ถูกยอมรบั วาเปน พวกท่ีขัดแยง ตอพันธะกรณดี งั กลาว ฉะนั้นจงึ ไมมีทางเลี่ยงอกี แลววา ในครั้งน้ัน ความขดั แยง จะตองมใี นเรื่องการบรหิ ารโลกและการดาํ เนินกิจการของจักรวาล ดว ยขอพิสนู ดังกลาวนี้ ความหมายของ “ร็อบ” ในโองการท่ีไดอธิบายไปแลว น้ีคอื “ผบู ริหาร” จ- “สูเจาจะสังหารชายคนหน่ึง โดยเหตทุ ี่เขากลา ววา ร็อบ(ผอู ภิบาล) ของฉนั คืออัลลอฮกระ น้ันหรือ และโดยแนนนอเขาไดนําหลกั ฐานจากร็อบของสูเจา มายงั สูเจา ” (ฆอฟร-๒๘) โองการทเี่ กย่ี วพนั กับเร่ืองของมอุ มิน วงศว านของฟร อาวน ซึง่ ใหการสนบั สนนุ ทา นนบมี ู ซา (ความสันตสิ ุขพึงมีแดทาน) อยูเบื้องหลงั ความเปนพวกพอ งของวงศวานแหงฟร อาวน และเขา ไดใ ชความพยายามอยางเงยี บๆ เพื่อขจัดภยั อันตรายใหพนไปจากทา นนบที ย่ี ง่ิ ใหญผูน้ี สวน หลักฐานทว่ี า โองการนแ้ี สดงวา “รอ็ บ” มอบหมายถึง “ผูบรหิ าร” นนั้ เปนท่ีชดั แจง เพราะเหตวุ า ฟร อาวนนนั้ ไมเ คยอา งตนถึงความเปน ผสู รางฟาและแผนดิน และมิไดต้ังภาคกี บั อัลลอฮในเรือ่ งการ สรางโลกและการใหโลกบังเกดิ ขึ้นมา ความจรงิ ขอน้ีประวตั ศิ าสตรเกีย่ วกับเร่ืองของฟร อาวนได ยนื ยนั ไวเชนกัน และในลักษณะเชน น้ี การเผยแผข องทา นนบีมูซาที่วา : รอ็ บของฉัน คอื อลั ลอฮน้ัน จาํ เปนเหลอื เกินที่จะตอ งหมายความวา จาํ กดั ขอบเขตของการ “บรหิ าร” ไวกับอลั ลอฮ มิใชเ ผยแผ ในประเดน็ เก่ียวกับ “การสรา ง” และถา หากเปน การเผยแผใ นประเด็น “การสราง” และ “การให บังเกดิ ” แลว กจ็ ะไมมคี วามขัดแยง ถกเถยี งใดๆ กนั เลย ระหวา งทา นนบีมูซากบั ฟรอาวน ในขณะท่ี ความจริงมีอยูวา ฟรอาวน นนั้ ยอมรับวา “ผูสราง” คืออลั ลอฮ ดังทีเ่ ราไดก ลา วไปแลว ประกอบกบั ทอ่ี ลั ลอฮไดท รงกลา วไวใ นโองการกอ นน้ันวา : “และฟร อาวนไดกลาววา พวกเจา จงปลอยใหฉันสงั หารมซู าเถดิ และจงปลอ ยใหเ ขาวอน ขอตอร็อบของเขา เพราะแทจ ริงฉันกลัววา เขาจะเปล่ียนศาสนาของพวกเจา ” (ฆอฟร-๒๖) กลาวคอื หลกั เอกภาพในเรอื่ ง “ความเปน ผูสรา ง” น้ันมิไดเ ปน ประเด็นของความขดั แยงจน ถึงกับวาการเผยแผข องมูซาทีม่ ีตอ ชาวนบีอิรอเอลจะเปนสาเหตทุ ีก่ อ ใหเ กิดความเปลีย่ นแปลงและ แปรเปลี่ยนอันใดเลย การอธบิ ายอยา งน้ที าํ ใหเขาใจความหมายอนั ชดั เจนจากคํากลาวของฟร อาวน เองทว่ี า “ฉนั เปน ร็อบของพวกเจา ผูส งู สุด”

(อันนาซิอาต-๒๔) ด-ดังนั้น พวกเขากลา ววา : ร็อบของเรา คือร็อบแหงช้นั ฟาทัง้ หลายและแผน ดิน เราะจไม เรียกรอ งสิ่งใดอ่ืนมาเปน พระเจา ” (อลั -กะฮฟ -ุ ๑๔) บรรดาชายหนุมทผ่ี ละหนีจากสภาพความอดึ อัดใจที่พวกเขาพบวา มันคือความชวั่ รา ย สําหรับยุคน้ันเปน กลมุ ชนหนึ่งท่อี าศัยอยูในสงั คมทเี่ ชื่อมน่ั ตอพระเจา อืน่ ทนี่ อกเหนือไปจากอัลลอฮ แตพระเจา ที่นอกเหนือจากอลั ลอฮในสังคมนี้ มไิ ดอยูในรปู ของผสู รางหลายองค โดยเฉพาะอยางยงิ่ เหตุการณของชาวถ้าํ ไดเ กดิ ขึ้นหลังจากการเกิดของทา นนบีอีซาผานไปแลว จนสตปิ ญ ญาและ ความคิดของมนษุ ยไ ดกาวเขา มาอยูใ นประเด็นตางๆ ของหลกั เอกภาพในลักษณะดีพอจนสามารถ ยืนยนั ไดแลว วา ในสภาพของความคดิ อันดีงามน้ี คนในสังคมจะตองไมมีใครคิดปฏิเสธเรือ่ ง “ความ เปน ผสู รา ง” ของอัลลอฮ หรือแมแตก าร “เปนผตู ั้งภาค”ี ในเรอ่ื งน้กี ต็ ามจงึ เปน ที่แนนอนเหลือเกินวา การต้งั ภาคขี องพวกเขาตองอยูใ นประเด็นอ่ืน และนั่นก็คอื ความเช่ือถอื วา มี “ผบู รหิ ารหลายองค” ญ-หลักฐานท่ีชดั เจนซง่ึ แสดงวา จดุ มงุ หมายของความเปน ร็อบ (พระผูอภบิ าล) นั้น คือ จุดมงุ หมายเดียวกันกบั “ความเปน ผบู ริหาร” และมใิ ชจ ดุ มุงหมายในสว นของ “ความเปนผูส รา ง” ดงั ทเ่ี ขาใจกนั อยางผดิ ๆ นนั้ คอื โองการหนึ่งทีถ่ กู นํามากลาวอยา งในซูเราะฮ อัรเราะหมาน ซาํ้ ๆ อยู หลายคร้งั : “ดังน้ันยงั มีความโปรดปรานอันใดของรอ็ บแหงเจา ทงั้ สองอกี เลาทเ่ี จา ทั้งสองวา มสุ า(โอญ ิ นและมนษุ ย) ?” แนน อนทสี่ ุดโองการนีไ้ ดถ ูกนํามาระบไุ วใน ซูเราะฮด ังกลาวถึง ๓๑ ครง้ั ดว ยกัน โดยมคี าํ วา “รอ็ บ” เขา มาควบคกู ับคาํ วา “อาลาอ”ิ ซึง่ หมายถึง “ความโปรดปราน” แนน อนเหลือเกินวา เรือ่ ง ของ “ความโปรดปราน” กับการระบถุ งึ ฐานะของความเปน “รอ็ บ” แหง อลั ลอฮทมี่ ีตอ ชวี ิตของ มนษุ ยและการปกปองคมุ ครองใหพนจากความดับสูญน้ัน เหมาะสมและเขา กนั เปนอยางยง่ิ กลาวคอื การระบุถึงความโปรดปราน ซึ่งเปนสาขาหน่ึงของการเล้ยี งดอู บรมของพระผูเ ปนเจาซงึ่ พระองคไ ด ประทานใหแกม วลมนษุ ย น้ันมนั เขากับประเด็นของการเลยี้ งดูอบรมและการบริหารที่มคี วามดีงาม และความโปรดปรานเปนนริ ันดรรวมอยู ด- แนนอนท่สี ดุ ประเดน็ ของการแสดงความกตญั ู (อัซซกุ ร) กม็ คี วามเก่ยี วพันกับคาํ วา “ร็อบ” ถงึ หา แหงในอลั -กรุ อาน การแสดงความกตัญเู ปน เรอ่ื งทเ่ี ขา กนั กับความโปรดปรานเทานน้ั ซึ่งมนั คอื สาเหตุทค่ี งสภาพชวี ิตของความเปนมนุษย และปกปก รักษาชวี ติ มนษุ ยไวม ใิ หด บั สญู และ ปกปองใหพนจากความเสยี หาย แกน แทข องการบริหารชีวิตมนษุ ยก็มิใชอ ่นื ใด นอกจากใหช ีวิต ดาํ รงอยแู ละปกปกรักษาชวี ติ ใหพน ไปจากความเสยี หายและการดบั สญู ขอใหทานไดพจิ ารณาความหมายตอไปนี้ :

“และจงราํ ลกึ เมื่อร็อบของพวกทานไดประกาศวา แนนอนถาหากสเู จา กตญั ู แทจรงิ ฉันก็ จะเพ่ิมพนู ใหแกส เู จา แตแนน อน ถาสเู จา ปฏิเสธ แทจรงิ การลงโทษของฉันรา ยแรงท่สี ุดทีเดียว” (อิบรอฮมี -๗) “และเขากลา ววา ร็อบของฉันเอย โปรดใหความโปรดปรานแกฉ ันเถดิ เพ่อื แนจะไดกตัญู ตอ ความโปรดปรานของพระองคซ ่ึงไดป ระทานแกฉ ัน และแกบิดามารดาของฉัน” (อนั นัมล-๑๙) “เขาไดก ลาววา น่ีคอื ความดีงามแหง ร็อบของฉนั ท่ีพระองคทดสอบฉันวา จะกตญั ูหรอื เนรคุณ และผูใดกตัญูก็เทา กบั เขากตัญเู พ่อื ตัวเขาเอง” (อันนัมล-๔๐) “เขากลา ววา รอ็ บของฉันเอย โปรดประทานความโปรดปรานแกฉ ันเถิดเพ่ือแนจะได กตญั ตู อความโปรดปรานของพระองคท ี่ทรงประทานแกฉันและแกบ ิดามารดาของฉัน” (อัล-อะหก อฟ-๑๕) “พวกเจาจงกนิ ปจ จยั ยงั ชีพแหง ร็อบของพวกเจา และจงกตัญตู อพระองคเปนเมืองท่ีดี และ พระองคเปน ร็อบทอ่ี ภยั ยิ่ง” (ซะบะอ- ๑๕) ต-สวนหน่งึ ของโองการท่ยี ืนยันในสง่ิ ทเ่ี ราไดอธบิ ายมาแลว ก็คือ : “ดงั นั้น ฉันไดกลาววา พวกทานจงขออภัยโทษตอ ร็อบของพวกทา นเถิด แทจ ริงพระองค เปนผูทรงอภยั พระองคจ ะสง ฝนจากฟา ลงมาอยา งหนกั และพระองคจ ะทรงประทานความม่ังคงั่ แก พวกทานดวยทรพั ยสนิ และบุตรหลานและทรงบนั ดาลสวนตา งๆ แกพวกทา น และทรงดลบันดาล สายนํา้ แกพ วกทาน” (นูห-โองการท่ี ๑๐-๑๒) และเชนเดียวกันอกี ในซเู ราะฮ ฮูด โองการที่ ๕๒ เมือ่ เปนอยางนี้ : ทานผูอา นสามารถไดข อสังเกตแลว วา การดาํ เนินกิจการของจกั รวาลและ การบริหารเรือ่ งทัง้ หมดของมนั ไดถ กู นาํ มาเปนหลกั อธิบายสาํ หรบั คําวา “รอ็ บ” ไดอยา งไร น่นั คือ การท่ีทรงประทานฝน ใหค วามมั่งคั่งในเรอ่ื งทรัพยสนิ และบุตรหลาน และทบี่ ันดาลใหมีสวนตา งๆ อีกทัง้ ท่ีบนั ดาลใหม สี ายนา้ํ ทงั้ หมดน้ันคอื กินการและลกั ษณะของผบู ริหาร บทสรปุ จากการอธิบายอยา งกวา งๆ น้ี เราสามารถสรปุ ไดสองประเด็น คอื : ๑- ความเปน ผูอภบิ าลของอัลลอฮ คอื ขอ สรุปอันไดมาจากความเปน ผูบรหิ ารของพระองคที่ มีตอโลก มใิ ชเ ปนขอสรุปท่ีไดมาจากความเปนผูสรา งโลก

๒- โองการตา งๆ ดงั ท่ีไดกลาวมาแลว ในเร่อื งน้ีไดใหเหตุผลวาประเดน็ ของ “หลักเอกภาพ ในการบริหาร” นั้นมิไดเปนเรอ่ื งท่สี อดคลองตรงกนั ผิดกนั กับประเด็นของ “เอกภาพในความเปน ผูสราง” น่นั ก็คือวาในสมยั ประวตั ิศาสตรน ัน้ มีพวกน่ึงที่เชือ่ ในความเปน ผูบริหารของส่งิ อื่น นอกเหนือจากอัลลอฮ สําหรับจักรวาลท้งั หมด หรอื บางสวนของจกั รวาล และปรากฏวา พวกเขานบ นอบตอ สิ่งนนั้ โดยเชื่อถอื วาสง่ิ น้ันเปนพระผอู ภิบาล กบั กรณีทว่ี า เรอื่ งความเปนพระผอู ภิบาลในดา น “การวางบทบญั ญัติ” อยูน อกเหนือไปจาก เรอ่ื งความเปน พระผูอ ภบิ าลในดา น “การจดั ระบบของโลก” กอ็ าจทาํ ใหบ างพวกเปนผมู หี ลัก เอกภาพในประเดน็ ทส่ี อง แตเปนผูต ั้งภาคีในประเด็นที่หน่ึง กลา วคอื พวกยิว และครสิ เตยี นนั้นยังคา ราคาซงั อยใู น “การตัง้ ภาคีเรอื่ งความเปน พระผูอภิบาล” ดา นการวางบทบัญญัติ เพราะเหตวุ า พวก เขามอบสิทธใิ นการออกกฎหมายและการวางบทบัญญตั ิใหแ กน กั บวชและนักปราชญข องพวกเขา อีกทัง้ ถอื วาคนเหลา นั้นเปนพระผอู ภิบาลในดานนัน้ ราวกับวาพระองคมอบหมายงานในดานการ วางบทบญั ญตั ิใหแกค นพวกน้ัน!!! แตเ ปน ท่รี ูก ันอยูวา การออกกฎหมายและการวางบทบญั ญตั นิ ั้น เปนสวนหนงึ่ แหงกิจการของพระองค ผทู รงบริสุทธยิ์ ง่ิ โดยเฉพาะ ดว ยเหตุน้ี อัล-กรุ อานจึงกลา วถึงพวกเขาวา “พวกเขาถือเอานักปราชญและนกั บวชของพวกเขาขนึ้ เปนพระผอู ภิบาลนอกเหนอื ไปจาก อัลลอฮ” (อัตเตาบะฮ- ๓๑) “และพวกเราบางคนจะไมถ ือเอาบางคนขนึ้ มาเปน พระผูอภิบาลแกอีกบางคน นอกเหนอื จากอัลลอฮ” (อาล-ิ อมิ รอน-๖๔) ในขณะเดียวกันการตง้ั ภาคใี นแงข อง “ความเปนร็อบ” ทีอ่ กี พวกหนง่ึ มีอยโู ดยมิไดจาํ กัดอยู กบั แวดวงอนั น้ี หากแตอยใู นประเภททถ่ี อื วา การบริหารงานบางดา นของจกั รวาลและความเปน ไป ของโลกเปนหนา ที่ของมะลาอกิ ะฮ ญนิ วญิ ญาน ทศี่ กั ดส์ิ ิทธ์ินั้น แมวา จนถึงบัดน้ีเราจะไมพบพวกท่ี ถอื วา การบริหารงาน “ทัง้ หมด” ในจักรวาลเปนหนา ทขี่ องสิ่งอื่นนอกเหนอื จากอัลลอฮก็ตาม แต ประเด็นการตงั้ ภาคีในแงของ “ความเปนรอ็ บ” ท่พี บมากทส่ี ุดก็คอื การยอมรบั วา “บางสวน” ใน กิจการของจักรวาลเปน หนา ท่ีของบา วบางคนและส่งิ ถกู สรางบางประเภทที่มีคุณสมบตั ิพิเศษ โองการตา งๆ ไดยืนยันในความเปน จริงของขอ สรุปอันนี้มากเกินกวาจะสามารถนาํ มา กลาวถึงในทน่ี ้ีได ดวยเหตุน้เี ราจงึ ขอยุตเิ รอื่ งที่อธบิ ายไปแลวดวยการฝากทา นผอู านใหไ ป ตรวจสอบเรอ่ื งนดี้ ูในอลั -กุรอานเอง เม่ือทานผอู านไดผา นหวั ขอสําคญั อนั ดบั แรกสบิ ประการแลว บัดนเี้ ราก็จะไดอ ธบิ ายถึงคํา จํากัดความของคาํ วา “การเคารพภกั ดี” และความหมายทแ่ี ทจรงิ ซ่ึงเปน ประเดน็ สําคญั ทสี่ ุด กลาวคอื เมือ่ ไดม ีการจํากดั ความหมายทแ่ี ทจรงิ ของคําวา “การเคารพภักดี” แลว เราก็จะรูถงึ ความหมายของ

“หลักเอกภาพ” และ “การตง้ั ภาคี” และเราสามารถจาํ แนกคนที่ยดึ ในหลักเอกภาพกับคนทต่ี ง้ั ภาคีใน แง “การเคารพภักดี” ได เรือ่ งเหลา น้ีจะทาํ ใหจ าํ แนกไดถูกตองชัดเจนอยา งยิง่ ตอกิจกรรมอัน มากมายท่ดี าํ เนินอยูในวิถีชิวิตของมุสลิมตง้ั แตส มยั อสิ ลามเริ่มเผยแพรจ วบจนถงึ ทกุ วนั นี้ และเราจะ รูวา ทาํ ไมมนั ถึงมไิ ดต กไปเปนการต้งั ภาคีเลยอยางเดด็ ขาด

ภาคท่ีสอง การจาํ กดั ความ ความหมายที่แทจรงิ ของคําวา “อบิ าดะฮ” (การเคารพภักดี) อบิ าดะฮ (การเคารพภกั ด)ี คือการนบนอบโดยเชือ่ มั่นวา สิง่ นั้นเปนพระเจา ที่ตอ งเคารพและเปน พระ ผูอภบิ าลตลอดท้งั ถือวา สงิ่ นนั้ มอี ิสระในการดําเนินกจิ การของตน คาํ วา “อบิ าดะฮ” เปน คาํ ทีม่ คี วามหมายชัดเจนอยา งยิง่ คาํ หนงึ่ เชนเดียวกบั คาํ วา “น้าํ ” และ คําวา “แผนดิน” แตทงั้ ๆ ทคี่ วามหมายของมันมคี วามชดั เจนอยูกต็ าม แตม นั ยังยากท่จี ะเอาคาํ ตา งๆ มาใชใ หเขา กบั ความหมายนีใ้ นความลกึ ซงึ้ แตในสว นทวี่ า อบิ าดะฮเ ปนคาํ ท่มี คี วามหมายชัดเจน มันกม็ คี วามจริงในตัวทช่ี ัดเจนอยเู ชนเดยี วกนั จนสามารถจาํ แนกความจริงของอบิ าดะฮอื อกจาก ความจรงิ ของการแสดงความนบั ถอื (ตะอซีม) และการใหเกยี รติ (ตักรีม) ตลอดถงึ ความหมายอน่ื ๆ ไดง า ย กลาวคอื การท่ีชายคนรักจบู อยา งอาลัยอาวรณตอ หญงิ คนรกั ของตนก็ดี การเก็บผา ขบอง หลอนไวดวยความหวงถวลิ กด็ ี หรอื การจบู ดินสุสานของหลอนหลงั จากทห่ี ลอ นตายไปกด็ ี ยอมไม ถอื วาเปน การอบิ าดะฮ (เคารพภกั ดี) หญงิ คนรกั ของตน อยา งกรณีทว่ี า ประชาชนไปทาํ การเยย่ี มเยอื นบคุ คลสาํ คัญของพวกเขาหรือเยอื นสุสานของ คนเหลา นั้นเพื่อสดุดีและยนื แสดงคารวะตอ สุสาน และมกี ารแสดงพิธีกรรมใดๆ โดยเฉพาะในการ นน้ั ก็ไมถ อื วา เปน การอบิ าดะฮเ ลยอยางเดด็ ขาด ถึงแมในบางครง้ั การกระทาํ เหลานจี้ ะถงึ ขนาดของ การนบนอบอยา งยงิ่ แคไ หนกต็ าม แทจรงิ สตสิ ัมปชัญญะที่ต่ืนอยุเปนส่ิงเดียวทจี่ ะตอ งถอื วา เปน กฎ ของความยตุ ธิ รรมในเร่อื งนี้เพอื่ จาํ แนกการแสดงความนับถือและการใหเกียรติออกไปจากการอบิ า ดะฮ โดยไมจาํ เปนตอ งถือเปนภาระหนกั แตถ าทา นตงั้ ใจทจ่ี ะเขา ใจคาํ วา อบิ าดะฮดว ยการตีความ ตามหลักวชิ าการท่ีถูกตองแลวเราสมควรทจี่ ะตองศกึ ษาคาํ นี้ในคําจาํ กัดความสามอยา งเสียกอน คอื : 1- คาํ จาํ กัดความทั้งสามอยางของคาํ วา อบิ าดะฮ คาํ จาํ กัดความทห่ี นึ่ง : “อิบาดะฮ” คอื การนบนอบโดยการใชถอยคาํ หรือการกระทาํ ท่ีเกิดขนึ้ มาจากความเช่ือทวี่ า สงิ่ น้ันเปน “พระเจา ” ผูไดรับการนบนอบสาํ หรบั ตน ความหมายของคาํ วา “พระเจา ” จะทาํ ใหท า น เขา ใจได โองการตางๆ มากมายทีเ่ ปน หลกั ฐานในเร่ืองน้ี กลาวคือขอ สงั เกตจากโองการตา งๆ เหลา น้ี ใหค วามเขา ใจแกเ ราสองอยา งคือ : ประการทหี่ นึ่ง ชาวอาหรับยุคงมงายทอ่ี ัล-กุรอานไดถูกประทานลงมาทา มกลางกลุมชน พวกเขาน้นั เชื่อมน่ั วาพระเจา คอื รปู เคารพของพวกเขา ประการท่ีสอง อิบาดะฮในแงข องคาํ พดู หรือการกระทาํ นัน้ ลวนเกิดข้ึนจากความเช่อื มน่ั วา รปู เคารพคือพระเจา ฉะนน้ั ตราบใดทีค่ าํ พดู หรอื การกระทํามิไดเกิดมาจากความเช่อื ถือยา งนี้ ตราบ น้ัน การนบนอบ หรอื การแสดงความนบั ถือและการใหเกยี รติ ไมถอื วา เปน การอิบาดะฮ

มขี ออา งอยสู องอยา งคือ : อยา งทีห่ นึง่ : ชาวอาหรบั ยุคงมงาย แมก ระทั่งพวกบชู าเจวด็ ทกุ คนก็ดแี ละพวกบชู าดวง อาทติ ย ดวงดาวตา งๆ และญนิ ก็ดี พวกเขาเช่ือถอื วาสง่ิ ทพ่ี วกตนเคารพคือพระเจา โดยถือวาสิ่ง เหลา นั้นคือพระเจา ยอย และมีพระเจา ใหญท ี่เหนือกวา น้ัน ท่ีเราเรยี กวา “อลั ลอฮ” มหาบริสุทธ์ิแด พระองค อยา งท่ีสอง : หลักฐานจากโองการตางๆ ก็คือ อบิ าดะฮใ นแงของการนบนอบโดยการใชค ูด และการกระทาํ อนั เกิดจากความเชือ่ ถอื ในสง่ิ นนั้ ๆ วา เปน พระเจา ไมว าจะเปนพระเจา ยอยหรอื พระ เจา ใหญ สาํ หรบั ขอ อา งอยา งทหี่ นงึ่ น้ัน มโี องการตา งๆ มากมายใหห ลักฐานไวดงั ที่เราจะช้แี จงใน บางสวน คอื : “บรรดาผซู ึ่งถือส่ิงอื่นเปนพระเจา ควบไปกบั อลั ลอฮน้ัน พวกเขาจะร”ู (อัล-ฮะญัร-๙๖) “และบรรดาผูที่ไมอา งสิ่งอ่นื เปนพระเจาควบกับอลั ลอฮ” (อัล-ฟรุ กอน-๖๘) “และพวกเขาไดอปุ โลกขเอาส่งิ อน่ื นอกจากอลั ลอฮข้ึนเปนพระเจา ตา งๆ เพ่อื ใหสง่ิ เหลา นั้น สงเคราะหพ วกเขา” (มรั ยมั -๘๑) “หรือเปนเพราะวา สเู จา ไดย ืนยันอยา งแนว แนวา มพี ระเจา อ่ืนควบกบั อลั ลอฮ” (อลั -อันอาม-๑๙) “จงรําลึกถงึ ตอนทีอ่ ิบรอฮมี ไดกลาวแกพอของเขาอาซรั วา ทา นถอื เอารปู ปน เปนพระเจา ตางๆ หรือ?” (อลั -อันอาม-๗๔) กลา วคือโองการเหลาน้ใี หหลกั ฐานวาผูตัง้ ภาคนี ้นั ไดแก ผูทม่ี คี วามเช่อื ถือวา รูปปน ของ พวกตนเปนพระเจา และในบางโองการก็ไดอธบิ ายวา “การยึดถือพระเจา ” อนื่ เขามาควบกบั อลั ลอฮ หมายถึงการต้ังภาคี เรื่องน้มี ีปรากฏตามทพี่ ระองคท รงกลาวไวว า : “---และเจา จองผละจากพวกตง้ั ภาคี “แทจรงิ เราไดใ หค วามเพยี งพอแกเจา แลว ดวยการ ลงโทษพวกท่ีเยยหยัน” บรรดาผูซึง่ ถอื ส่ิงอื่นเปนพระเจาควบกบั อลั ลอฮนน้ั พวกเขาจะไดรู” (อัล-ฮะญรั -94/96) ในเรอ่ื งน้ีอลั -กุรอานไดอ ธิบายความเปนจรงิ ของการต้งั ภาคีวา “ความเชือ่ ของพวกเขาทวี่ า พระเจาคือรูปเคารพ” โดยพระองคท รงกลาววา : “หรอื วาสาํ หรบั พวกเขานนั้ มีพระเจา อืน่ นอกจากอัลลอฮ มหาบริสุทธเิ์ ปนของอลั ลอฮ พระองคพ นจากสิ่งท่พี วกเขาตัง้ ภาค”ี

กลาวคอื ในโองการนถ้ี ือวา ความเชอ่ื ของพวกเขาตอความเปนพระเจา ของส่ิงอืน่ ท่ี นอกเหนือจากอัลลอฮน้ัน คอื หวั ใจของการตั้งภาคี และความหมายในทน่ี ้ีก็คอื “การต้ังภาคีในแง ของอิบาดะฮ” โดยการทบทวนความหมายของโองการนแี้ ละโองการอ่ืนๆ ทคี่ ลา ยๆ กนั ซงึ่ ไดแสดง ความหมายในเรอื่ งการต้ังภาคี และโดยเฉพาะเรอื่ งการต้งั ภาคีของพวกบูชาเจวด็ ทาํ ใหไ ดร บั ความ จรงิ ของเรือ่ งนี้อยางชดั เจนวา อยูท ี่ การอิบาดะฮของพวกเขาที่ควบคูไปกบั ความเช่อื ตอ ความเปน พระเจาของสง่ิ น้ันๆ ยิ่งกวา นัน้ อาจพดู ใหช ัดเจนไดอ ีกวาการตง้ั ภาคีของพวกเขาเกดิ ข้ึนโดยเหตุจาก ความเช่อื ถือของพวกเขาวา รปู เคารพของพวกเขาเปนพระเจา และดว ยความเช่ือเชนนที้ ําใหพ วกเขา เคารพภักดีส่ิงเหลา น้นั และพากันทาํ พธิ บี นบานศาลกลา ว เปนตนวา ต้ังประเพณแี ละรปู แบบ ทางดานอบิ าดะฮขึ้นมา และมนั เปน เรือ่ งท่ีคาํ ปรญิ าณในหลกั เอกภาพไดทาํ ลายความเช่อื ของพวก เขาในความเปน พระเจา ของส่ิงอืน่ ที่นอกเหนอื จากอลั ลอฮพวกเขาก็หย่งิ ยะโสในขณะทไ่ี ดฟง คํา ดงั กลาว เชน โองการของพระองคท่วี า : “แทจรองพวกเหลา นน้ั เมอื่ มีการกลาวแกพ วกเขาวา : ไมมีพระเจาอ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮ” พวกเขาก็ทาํ เปน หยง่ิ ยะโส” (อัศศอ ฟฟาต-๓๕) กลา วคอื พวกเขาตอ ตา นคําๆ น้ี เพราะวาพวกเขาเชือ่ มน่ั ในรูปเคารพของพวกเขาวา มคี วาม เปนพระเจา และเคารพสิง่ นั้นโดยสาํ คัญวา มนั คือพระเจาตามมโนภาพของพวกเขา ดวยเหตขุ องความเช่อื ถือท่ีงมงายเหลาน้นั จึงทาํ ใหพ วกเขาปฏิเสธในเมอื่ มกี ารอา งถงึ อลั ลอฮองคเดียว เพราะพวกเขาไมสามารถจํากัดความเปน พระเจา ไวก บั พระองคไ ด แตพ อจะใหตงั้ ภาคตี อพระองค พวกเขาเชือ่ ทนั ที เพราะมนั เขา กนั ไดกับความคดิ ของพวกเขา ดังที่พระองคทรง กลา ววา : “ดว ยเหตนุ ้ีเองสูเจา เอย ทวี่ า เม่ืออัลลอฮองคเ ดียวไดถูกวิงวอนข้นึ สเู จากป็ ฏิเสธ และถา ให ต้ังภาคีตอพระองคแ ลวสูเจา ก็ศรทั ธา ดังนั้นกฎของอัลลอฮสงู สงเกรียงไกรเสมอ” (ฆอฟร-๑๒) ในท่นี ้ีขออา งอยางท่ีหนง่ึ ไดเปนท่ีชดั เจนแลว สาํ หรบั ในสวนของขอ อา งอยา งท่สี องนั้น โองการตา งๆ ทส่ี ่ังใหอบิ าดะฮ (เคารพภกั ดี) ตอ อัลลอฮและหามมใิ หอิบาดะฮส ง่ิ อ่ืนไดใหหลักฐานยืนยันเรอื่ งน้ีเปนเหตุผลในแงท ี่วา ไมมพี ระเจา อื่นใด นอกจากอัลลอฮ โดยพระองคก ลาววา “โอห มูชนของฉัน พวกทา นจงเคารพภกั ดีอัลลอฮเถิดไมมีพระเจาอื่นใดสาํ หรับพวกทานอกี แลว นอกจากพระองค” (อัล-อะรอฟ-๕๙)

ความหมายในเร่ืองนก้ี ค็ ือวา ผูที่ทรงสิทธิในฐานะที่ไดรับการอิบาดะฮน ั้นคอื ผทู ่ีเปน พระเจา และมิใชใ ครอืน่ นอกจากอลั ลอฮในเมอ่ื เปนเชนนีแ้ ลว สูเจา จะเคารพภกั ดีสงิ่ ท่ีมใิ ชพ ระเจา ไดอ ยางไร และสเู จา จะละเลยการเคารพภักดีอัลลอฮไดอยางไร ในเมอื่ พระองคค ือพระเจา ทส่ี ง่ิ อ่นื ทั้งหมดตอง เคารพภกั ดี แนน อนที่สุดความหมายอยางโองการนมี้ ถี ึงสบิ แหง หรือมากกวา น้นั ในอลั -กรุ อาน ทาน ผอู านสามารถทีจ่ ะยอ นกลบั ไปพจิ ารณาโองการนนั้ ๆ ไดดงั ตอ ไปนี้ : อลั -อะอรอฟ : ๖๕, ๗๓, ๘๕ ฮดู : ๕๐, ๖๑, ๘๓ อัล-อมั บิยาฮ : 25 อลั -มุอมนิ นู : ๒๓, ๓๒ ฏอฮา : ๑๔ ดังน้ันสํานวนตางๆ เหลา นใ้ี หความหมายวา การอิบาดะฮค อื การนบนอบและการถอ มตน อยา งน้ที เ่ี กดิ จากความเชื่อถอื วา รปู เคารพคือพระเจา กลาวคือเราไดข อ สงั เกตอยา งละเอียดวา อลั -กุ รอานไดประนามพวกตง้ั ภาคที ่มี ีการเคารพภกั ดตี อส่งิ อื่นนอกจากอัลลอฮอยางไร ในฐานะทวี่ า รปู เคารพตางๆ เหลาน้มี ิใชพ ระเจา และในฐานะท่ีวา การเคารพภักดนี ้ันเปนกจิ การอันหน่ึงที่เกย่ี วกบั : ผู มสี ภาพเปนพระเจา จึงเปน อันวา สภาพแหงความเปน พระเจา น้ีเองทีอ่ ยูในประเด็นทีอ่ นุญาตให เคารพภักดแี ละใหย ึดเอามาเปน สิง่ เคารพได และความจรงิ แลวสาํ หรับสภาพดงั กลา วนี้ ไมมีแกผูใ ด เลย นอกจากอลั ลอฮเทา นน้ั ดวยเหตุนี้ส่ิงอื่นท่นี อกเหนือจากพระองคจงึ จําเปนตองเคารพภักดี พระองค ถาม-ตอบ สาํ หรับคาํ ถามกค็ ือวา แนน อนทีส่ ุดวา ขอ อา งอยา งที่หนง่ึ นน้ั ถูกตองแลวกลา วคือพวกตัง้ ภาคีเปน พวกทเ่ี ชื่อถอื วา เจวด็ มฐี านะแหง ความเปนพระเจา และคาํ อธบิ ายทไี่ ดม าจากโองการตา งๆ ก็ ไดยนื ยนั ในเร่ืองน้ีอยางชดั แจง เพียงแตวา สําหรบั ขอ อา งอยา งทส่ี องนัน้ ยังไมถ ูกตอง และขอ สรปุ ท่ี อธบิ ายมาจากโองการตางๆ เหลานท้ี ่วี า การอบิ าดะฮข องพวกเขาเกิดข้ึนมาจากความเชอ่ื ถอื ในความ เปน พระเจา ของเจว็ดเหลา นนั้ และนก่ี ็ไดห มายความวา ความหมายแหง สภาพความเปน พระเจา จะ เขา มาอยูในประเด็นท่ีเปน ความหมายของการเคารพภกั ดี (อบิ าด) ดังทีไ่ ดต งั้ ข้ึนเปนขออาง แตอ ยา ง ใด โดยสรุปแลว โองการตา งๆ เหลาน้มี ิไดใหอะไรมากไปกวา เหตผุ ลทีว่ าการเคารพภกั ดขี อง พวกเขาทีม่ ตี อเจวด็ นน้ั ควบคูกนั ไปกบั ความเชื่ออยา งนหี้ รือเกิดขนึ้ มาจากความเชอ่ื นี้ สําหรับกรณีของการอิบาดะฮ (เคารพภักดี) ทวี่ า เปน เรือ่ งของการนบนอบอนั เกิดจากความ เชื่อในสภาพความเปน พระเจา น้นั ถือวามูลฐานจากความเช่ือเหลา นั้นเปนสว นหนง่ึ สาํ หรับ ความหมายของอบิ าดะฮเทาน้ัน มิไดเ ปนการอธิบายทไี่ ดม าจากโองการตางๆ เลย เราขอตอบวา ปญหาจะเกดิ ขึน้ ไดกเ็ พียงแตว า ถาเรากลาววา “ความเช่ือในสภาพแหง ความ เปนพระเจา ” รวมอยูใน “ความหมายของการเคารพภักดี” แมก ระทั่งทอ่ี า งกนั วา โองการเหลา นม้ี ิได ใหอ ะไรมากไปกวา เหตผุ ลท่ีวา การอิบาดะฮน ั้น เปนส่งิ หนึ่งของผมู สี ภาพแหง ความเปน พระเจา

และคาํ กลาวเชน นี้กม็ ิไดหมายความวา จะรวมความหมายของสภาพความเปนพระเจา กบั ความหมาย ของการเคารพภกั ดีเขา ดวยกัน มันหมายความแตเพียงวา การอิบาดะฮน นั้ มิใชการนบนอบและการ ถอ มตนโดยแท หากแตม ีความจาํ กดั และความเฉพาะยิ่งไปกวา ส่ิงทง้ั สองและเรือ่ งน้ี มนุษยเ ราทกุ คนรจู กั มันดีโดยสัญชาติญาณและธรรมชาตขิ องตน นอกจากนี้เรายงั ชีแ้ จงไปถึงความเฉพาะและ แยกแยะถงึ ความจาํ กัดอนั น้วี า การนบนอบ “อันเกิดจากความเชื่อตอความเปน พระเจา และความเปน ผอู ภิบาล” ตามทีท่ านจะไดเ ขาใจในคาํ จาํ กัดความประการทสี่ องน้ัน มิไดหมายความวา ขอสรุปอันนี้ (สง่ิ ที่เกิดจากความเช่ือตอความเปน พระเจา และความเปนผูอภบิ าล) จะเปน เนื้อหาโดยละเอียดใน ความหมายของอบิ าดะฮ กลาวอกี นยั หนึ่ง มนษุ ยเรานนั้ ยอ มไมส ามารถจาํ กดั ความสิ่งใดๆ ท่ไี มมีอะไรเปนหมายเหตุ ในตัวไดวา มนั เปนชนดิ อะไร, มรี ายละเอียดอยางไร, หรอื มีขนาดแคไหน, มีลกั ษณะเชนไร, แมกระทงั่ การทจี่ ะกําหนดข้ึนมาทางสติปญ ญา แตเ ขาจะพบวาในตวั ของเขานั้น อยูในฐานะของสงิ่ ทีเปนชนิด, และสิ่งที่เปนรายละเอียด, ดังนนั้ เขาจงึ เอาทงั้ สองอยา งนี้มาอธิบายลงไปในแงของสง่ิ ที่ เปนชนิดและส่งิ ที่เปนรายละเอยี ด ตามสภาพการณท ป่ี รากฏอยู เรื่องทเ่ี รากาํ ลังพูดถึงอยนู ี้ก็ เชน เดียวกัน กลา วคือเราจะพบวา การใหเ กยี รติ (อัต-ตะอซ ีม) และการนบนอบเปนส่ิงที่รวมอยูใน ประเภทอิบาดะฮและประเภทอนื่ ได กโ็ ดยการสรา งภาพพจนไปในฐานะของส่ิงท่เี ปน ชนิดเดียวกัน และเขาจะพบวา การอบิ าดะฮนนั้ มีลกั ษณะพิเศษท่ีเฉพาะผิดไปจากส่ิงอน่ื แตก ็ไมอาจหาคาํ อธบิ าย ลักษณะพิเศษเฉพาะอันน้นั ดวยถอ ยคาํ ผวิ เผนิ ได จึงอาศัยความโดยสรปุ แกค วามหมายของมนั นั่นก็ คือ สง่ิ ท่เี รากลา ววา “อนั เกิดจากความเชอื่ ตอสภาพความเปนพระเจา ” ในกรณที ่ีนํามันมาพิจารณา ในแงของส่ิงทเ่ี ปนรายละเอยี ด กลา วโดยนัยยะทีส่ าม : มนุษยเ ราจะพบวา “การอิบาดะฮ” นั้น มิไดห มายถึงการใหเกียรติ โดยแท และมิไดหมายถึงการถอ มตนอยา งถงึ ทส่ี ดุ หากแตมนั คือลักษณะพเิ ศษเฉพาะอยา งหน่งึ ทม่ี ี ตอผูท ก่ี ุมอาํ นาจในกจิ การทงั้ มวลของมนษุ ยไวก ับตน หรอื กจิ การหนึ่งกิจการใดกด็ ใี นกรณีท่ี ควบคมุ ชีวติ ของมนษุ ยใหส้ันหรือใหย ืนยาวสรา ง-ใหปจจยั ยงั ชพี , ใหความสุข, ใหหายจากโรค, ให อภยั , ใหความอนุเคราะหโ ดยควบคมุ กิจการตา งๆ เหลา นขี้ องมนษุ ยไปตามสภาพท่พี อเหมาะ พอควรแกเขา อยางไรกต็ าม ขอสรปุ อันนี้ก็ยงั มิใชร ายละเอียดที่เปนเนอื้ หาใน “ความหมาย” ของ “อิบา ดะฮ” แตเ ปนการชี้ใหเหน็ วาลักษณะทเี่ ปน ความเฉพาะดังกลาวนน้ั มคี วามจาํ กัดทเ่ี ปนความหมาย แฝงอยู ดว ยเหตุน้จี ึงเปน การถูกตอ งแลวทเี่ ราจะกลาววา : การอิบาดะฮคอื การนบนอบและความ นอบนอ มท้ังการใชค าํ พดู และการกระทาํ ประเภทหนง่ึ ทใี่ ชในกรณเี ฉพาะ (ทมี่ ีข้นึ เพ่อื เปนการให เกียรติตามวิสัยของผูเ ปน บาวทเ่ี ช่อื ในสิ่งน้ันๆ วา มีสภาพแหงความเปน พระเจา ) แตสงิ่ ทอี่ ยู

นอกเหนือออกไปจากความหมายของอิบาดะฮนน้ั กเ็ พียงความหมายของการนบนอบท่เี ปน สวน เฉพาะตามลักษณะการอธบิ ายโอยนัยยะที่หนง่ึ เรอื่ งราวทาํ นองนไ้ี ดถ ูกนํามาพจิ ารณาเพ่อื หาความเขา ใจ ดงั ตัวอยางเชน : ๑- เปนทรี่ ูกนั วา เสน โคงหมายถึง “สวนหนงึ่ ทถ่ี ูกตัดมาจากวงกลม” แตเ ปนทแี่ นนอนโดยมิ ตองสงสยั เลยวา เสน โคงยงั หมายถึงสวนเกนิ ทต่ี ง้ั อยบู นเสน ตรงท่ถี ูกกําหนดไว โดยไมจาํ เปนตอง ถือในหลกั ความจริงทว่ี า มันเปนสว นหน่ึงท่ีตดั มาจากวงกลมเสมอไป แตมันยังเปน เสน โคงโดยแท ได แมมันจะมิใชสว นทีต่ ดั มาจากวงกลามกต็ าม กลาวคอื เสนโคง คอื เสนทเี่ กิดจากฐานต้ังท่เี สน วงกลมลอ มรอบอยู โดยที่ทงั้ สองดานของเสน โคง จะไปบรรจบลงท่ีจดุ สองจดุ คอื ไมจําเปนตอ งถือ วา มันคือสว นหน่งึ ของวงกลม ๒- นักภาษาไดอธิบายวา เสยี งฮ้ีๆ คือ เสยี งรองของมา และอธบิ ายวาเสยี งจิบ๊ ๆ คือเสียงของ นก กลา วคอื ทัง้ มา และนกในแงข องความหมายพืน้ ฐานตา งกม็ ไิ ดอยูในสองเนอ้ื หา หากแตมีขอ พสิ จู นในการพิจารณาแยกแยะทง้ั มา และนกได เพอ่ื อธิบายไปถงึ ความแนชดั ของเสียงหนงึ่ ๆ โดยเฉพาะวา เปนเสยี งอะไร จงึ เปน ทเ่ี ขา ใจอยางแนชัดแลววา ความจาํ กดั ความทแี่ ทจ รงิ น้นั จะตอ งกลาววา : การอิบา ดะฮค ือ การนบนอบอันเกดิ ขน้ึ จากความเชื่อวา ส่งิ ที่ถกู เคารพน้ันมีความเปนพระเจา ทานอายา ตุลลอฮ ฮจุ ญะตุล-มัรฮูม ชัยค มฮุ มั มัด ญะวาด อลั -บะลาฆี ไดช้แี จงในเรื่องนี้ไวใน “ดัฟสีร อาอลั อิร เราะหม าน” โดยวิเคราะห ถงึ ความหมายทแ่ี ทจ ริงของอบิ าดะฮว า : คาํ จาํ กดั ความท่สี อง อิบาดะฮห มายถึงการนบนอบ ของผทู ่เี ชื่อมั่นวา ส่ิงนนั้ ครอบครองกิจการที่เกย่ี วกบั ความ เปน การมชี ีวิต การสิน้ อายขุ ัย และการไดอยูตอ ไปของตน ขออธบิ ายเร่อื งนี้วา : ความจาํ นนคือลกั ษณะอยางหนึ่งและเปน ปจ จยั สาํ คัญอยางหนงึ่ ของ คนทีเ่ ปน ขาทาส กลาวคือ ในเมือ่ บาวเกิดความรูส ึกในตวั เองข้ึนมาในลักษณะของความเปนขาทาส และรูสกึ วา อีกฝายหน่งึ คอื ผูครอบครองจนความรูสึกน้ันไดสาํ แดงออกมาสภู ายนอกในลักษณะของ การใชถอยคําและการกระทาํ ใดๆ โดยเฉพาะ ซงึ่ เปน คําพดู และการกระทําอนั เกดิ ขึน้ มาจาก ความรูสึกอนั น้ี การกระทาํ และคาํ พูดทส่ี ําแดงออกมาจากความรูสึกอยางลกึ ซึ้งอนั นคี้ ืออบิ าดะฮ ไม ตองสงสยั เลยวา เกยี่ วกับผคู รอบครองท่ีมิใชผูครอบครองโดยแท เชน เชือ่ มัน่ วา เปนผูครอบครอง ตามกฎหมาย และตามระเบยี บกฎเกณฑน้ันการนบนอบทีม่ ตี อ เขาไมถอื วา เปนการอิบาดะหเ ลยอยาง เดด็ ขาด กลา วคอื ทว่ี า มนษุ ยใ นสมัยกอ นๆ “เปนทาสสวนบคุ คล” กม็ ิไดหมายความวา การปฏบิ ัติตาม เจา นายของเขานัน้ เปน อบิ าดะฮ... กลาวคอื แนนอนทสี่ ุด ทีห่ มายถึงสภาพความเปนขาทาสในท่ีนี้ คอื ลกั ษณะทีว่ างอยบู นพื้นฐานของการสราง การจัดระบบโลก และกิจการใดๆ บางอยา งของชวี ติ ท่ี อยใู นกํามือของผูนั้น ขอใหท า นไดพจิ ารณามูลฐานชนิดตางๆ ของลักษณะความเปนผคู รอบครองท่ีแทจรงิ :

1- แนน อน พระองคทรงอธิบายถงึ ลกั ษณะความเปน ผูครอบครองโดยกลา วถงึ ฐานะของ พระองคว า เปน ผสู ราง ดว ยเหตุนี้ อัลลอฮ จึงทรงเปนผคู รอบครองท่ีแทจ รงิ ของมนุษยเพราะ พระองคค ือ ผูสรา งของมนษุ ย และทาํ ใหมนุษยมอี ยู ในเรื่องนเ้ี ราจะพบวา อัล-กรุ อานถอื วาส่ิงทงั้ มวลทม่ี อี ยู เปนขาทาศของอลั ลอฮ และพระองคย ังทรงอธิบายวา พระองคค ือผคู รอบครองส่งิ นั้น โดยแท ที่เปน เชน นี้กเ็ พราะพระองคสรางส่ิงเหลาน้ัน โดยทรงกลาววา : 2- แนน อน พระองคไดท รงสาธยายฐานะแหง ความเปนผูค รอบครองของพระองคว าทรง เปนผปู ระทานปจ จยั ยังชีพ, ผูใหชีวิต และเปน ผูใหม คี วามตายดว ยเหตุนี้ มนษุ ยทุกคนจึงมจี ิตสํานึก โดยธรรมชาติถงึ ความเปนบา วท่ีตนมีตออัลลอฮ เพราะพระองคคือ ผูครอบครองชวี ิต, ความตาย และปจ จัยยงั ชีพของตนอยู ดวยเหตนุ ี้ อลั -กรุ อานจึงเตอื นสติของมนษุ ยใหพจิ ารณาตอความเปนผู ครอบครองของอลั ลอฮท่ีมตี อปจจยั ยงั ชพี ของมนุษย และในแงทว่ี า พระองคค อื ผูซ่งึ ใหความตาย, ใหช ีวิตแกเขา เพอื่ ใหท ุกส่ิงทกุ อยา งนเี้ ตือนเขาใหรวู า อลั ลอฮเทา น้นั คือผทู รงไวซึ่งสทิ ธิในการ ไดรบั การเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) โดยพระองคไ ดกลาววา : “อลั ลอฮ คอื ผูซงึ่ ไดสรา งสเู จา ตอมาก็ไดใหป จจัยยงั ชีพแกสเู จา ตอมาก็ไดสเู จาตาย ตอมาก็ ไดสเู จา มชี วี ิต” (อัรรมู -๔๐) “ทาสทสี่ ูเจา ครอบครองไวนั้น มีผถู อื สิทธิรวมกับพวกเจา ในปจจัยยงั ชพี ตา งๆ ทีเ่ ราได ประทานแกสเู จาบา งไหม” (อรั รมู -๒๘) “พระองคค ือ ผูทรงใหช วี ิต และผูทรงใหตาย” (ยูนสุ -๕๖) ๓- แนน อน พระองคไ ดท รงสาธยายถงึ ความเปน เจา ในแงของการใหความอนเุ คราะห ชวยเหลือ (ชะฟาอะฮ) และการอภยั โทษ วา อลั ลอฮคือผูทรงสทิ ธสิ ําหรับการใหความอนุเคราะหที่ แทจริง ดังนี้ : “จงกลาวเถิดวา การอนเุ คราะหชว ยเหลอื ท้ังหมดนน้ั เปนของอัลลอฮ” (อซั ซมุ รั -๔๔) “จะมีผูใ ดอกี เลา ที่ใหการอภยั โทษในความผดิ บาปได นอกจากอัลลอฮ” (อาลิ อมิ รอน-๑๓๕) โดยเหตผุ ลท่วี า ไมมบี าวคนใดเลยแมแ ตคนเดียวท่จี ะทรงไวซ ึง่ สิทธใิ นการใหความ อนเุ คราะหช วยเหลอื ได ยกเวนในกรณที ีเ่ ปน ไปโดยอนุมัติของพระองคเ ทาน้นั จึงทาํ ใหส ามัญสํานกึ ของมนุษยมีความรสู ึกวา อัลลอฮ คอื ผูทรงสทิ ธใิ นการใหความสุขแกเ ขาสาํ หรับชวี ติ ในบัน้ ปลาย ในเมื่อมนษุ ยมีความรสู ึกสาํ นึกถึงความเปน บาวอยางน้ี และสํานึกถงึ ความเปนผทู รงสิทธอิ ยางน้นั

และความสาํ นึกอนั น้ีไดสาํ แดงออกมาในรูปของถอยคาํ หรือการกระทําใดๆ นั่นแหละคือส่งิ ที่ หมายความวา เขาเปนบา วของพระองคอยา งมติ อ งสงสยั ลักษณะอยางที่วา นี้ อาจตรงกบั ทอ่ี ธิบายความหมายของ “อบิ าดะฮ” ท่วี า หมายถงึ ความนบ นอบของผูทเี่ ช่ือถอื ในสภาพความเปนผใู หการอภบิ าลแกต นก็ไดกลาวคือ ผูใดกต็ ามท่แี สดงความ นบนอบของตนออกมาโดยการกระทาํ หรือโดยการใชค ําพูดตอผูหนงึ่ ผูใ ด อนั เกิดจากความเช่ือมน่ั ในจิตใจถงึ ความเปนผอู ภิบาลของผูน ้ันแลว การกระทาํ อยงนั้นหมายถึงวา เขาเปนบา วของผูน ั้น ดังน้ัน ความหมายของคําวา “ร็อบ” ในแงของการจาํ กดั ความก็คอื ผูทรงครอบครองไวซงึ่ ความเปน ไปของสง่ิ หนงึ่ ๆ อยา งเด็ดขาด ในแงข องการบรหิ ารและการอบรมเลีย้ งดู ดว ยเหตนุ ้เี อง คาํ ทมี่ ีความหมายในแงของ “ความเปนบา ว” จึงสอดคลอ งในประเด็นของคํา ท่ีมีความหมายในแงของ “ความเปนผูอภบิ าล” หมายความวา สภาพความเปนผูครอบครอง ปกปกษ รักษาสิง่ ใดสิ่งหนึ่งและบรหิ ารส่งิ นนั้ ๆ ตลอดจนเปนจุดหมายปลายทางของสิง่ น้ันๆ ไดท ัง้ ในแงของ การเปนผยู ืดชีวติ ใหและใหการสิน้ สดุ ของชวี ิตเกดิ ขน้ึ อยางกะทนั หนั ทัง้ หมดนแ้ี สดงใหเหน็ วา สวนหน่ึงของโองการตา งๆ ไดจํากดั ขอบเขตของการอบิ าดะฮไ ว สําหรับอลั ลอฮองคเดียวโดยเหตุผลทีว่ าพระองคค อื ผอู ภิบาลเทา นน้ั ขอใหท านพิจารณาบาง โองการตอ ไปน้ี : “และมาซหี  (เยซู) ไดก ลา ววา โอวงศว านแหงอสิ รอเอลเอย ทานจงเคารพภักดีอลั ลอฮ พระ ผูอ ภิบาลของฉนั และผูอภิบาลของพวกทานเถดิ ” (อลั -มาอิดะฮ- ๗๒) “แทจ รงิ ประชาชาตขิ องสเู จาน้ี เปน ประชาชาติเดียวกัน และฉนั คือผูอภบิ าลของสเู จา ดังน้ันจงเคารพภักดีฉนั เถิด” (อลั -อัมบิยาฮ- ๙๒) “แทจรงิ อลั ลอฮ เปน พระผูอภบิ าลของฉนั และพระผูอภิบาลของพวกทา น ดังน้นั จงเคารพ ภักดีพระองคเถิด น่คี ือหนทางอันเทย่ี งตรง” (อาลิ อิมรอน-๕๑) เนื้อหาของโองการเหลา นี้ (ทีม่ คี วามหมายวา การอิบาดะฮนนั้ ไดถ ูกกําหนดใหเ ปน เร่อื งท่ี อยใู นขอบขา ยของฐานกาพแหงความเปนผูอ ภิบาล) ยังมอี ยูโองการอื่นๆ อีกเชน : ซเู ราะฮ ยูนสุ : ๓ ซูเราะฮ อลั -ฮจิ ญร : ๙๙ ซูเราะฮ มรั ยมั : ๓๖ ๖๕ ซเู ราะฮ อัซซคุ รุฟ : ๖๔ อยา งไรก็ตาม หลักฐานที่ชัดเจนท่สี ดุ สําหรับการอธิบายทม่ี ีตอ คําวา อิบาดะน้ีกค็ ือ โองการ ตางๆ ท่ไี ดก ลาวถงึ ผา นมาแลว คาํ จาํ กดั ความท่สี าม เราสามารถทจ่ี ะหาความเขา ใจความหมายของอิบาดะฮไ ดจากประเด็นทีส่ ามทวี่ า :

อบิ าดะฮ : คือการนบนอบจากผูท ่ีเหน็ วา ตนเองไมมคี วามอสิ ระในการดาํ รงอยูแ ละการ กระทําใดๆ ของตนเลยทจี่ ะมตี อ ผมู คี วามอิสระ แนน อนอัลลอฮไดท รงสาธยายเกี่ยวกับคณุ ลักษณะ ของพระองคไ วใ นโองการตา งๆ หลายแหง วา พระองคท รงเปน อลั -ก็อยยูม (ผูดาํ รงอยตู ลอดกาล) “อลั ลอฮ ไมม ีพระเจา อื่นใด นอกจากพระองค ผทู รงมีชีวติ ทรงดาํ รงอยูตลอดกาล” (อัล-บะเกาะเราะฮ- ๒๕๕) เชนเดยี วกับในซเู ราะฮ อาลิอมิ รอน โองการที่สอง พระองคท รงมีโองการอกี วา และใบหนาทงั้ หลายยอมสยบตอผูทรงมชี ีวติ ทรงดาํ รงอยู ตลอดกาล” (ฏอฮา-๑๑๑) มไิ ดหมายความแตเ พยี งวา พระองคท รงดาํ รงอยโู ดยพระองคเอง และไมมคี วามจาํ เปน ท่ี จะตองพง่ึ พงิ สิ่งใดเลยอยางเดียวเทา นน้ั หากแตยังหมายถงึ วา ทกุ สงิ่ ทกุ อยางนอกเหนือจากพระองค คือสง่ิ ทขี่ ้นึ อยูกับพระองคด วย หรืออีกนัยหน่ึง : การอิบาดะฮ หมายถึงการเรยี กรอง ออนวอนขอตอ อัลลอฮและกระทาํ การ นบนอบโดยฝากความหวังในเร่ืองท่ีจําเปน ตา งๆ เกย่ี วกับโลกนแี้ ละโลกหนา ในฐานะท่ีวา พระองค คอื ผูทรงอภิสิทธิ์ ทรงเปนเจา ทแ่ี ทจรงิ สําหรบั กิจการแหง โลกน้ีและโลกหนาทกุ ประการ ความ เปน ไปเหลานี้ ถา หากไดม ีข้ึนแกส ิ่งอ่ืนไมว า จะเตม็ รปู แบบหรอื เพียงบางสว นกต็ าม ก็เทากับวา เปน การอบิ าดะฮต อ ส่ิงน้ันและเปน การต้ังภาคีทนั ที และผทู ี่ดาํ เนนิ การกระทําดงั กลาวก็จะไดช ่ือวาเปนผู ตงั้ ภาคี โดยมิตอ งสงสยั ดว ยเหตดุ งั กลาวน้ี ถาคนใดกต็ ามในหมูพ วกเราไดน บนอบตอส่ิงใดก็ดีโดยสําคัญกวา ส่งิ น้ัน มอี ิสรภาพในสภาวะการเปนอยูหรือในการกระทาํ ของตนแลว การนบนอบอันน้นั จะ กลายเปน อบิ าดะฮ ยิง่ ไปกวานั้น แมแตการวิงวอนขอในกิจการของอัลลอฮจากผูอน่ื กเ็ ทา กับวา การ ขออนั น้ี คอื อิบาดะฮแ ละเปน การตง้ั ภาคีดว ยกลาวคือการวงิ วอนขอในประเดน็ นี้ มิไดแ ยก ความหมายออกไปจากการนบนอบ ดงั นั้น ประเดน็ จึงอยูท่ีวา จาํ เปนจะตองเขาใจถงึ ส่ิงท่เี รยี กวา กิจการของอัลลอฮและแยกแยะกจิ การอันน้ีออกไปจากกิจการของสง่ิ อืน่ ใหไ ด เพื่อทว่ี าเราจะไมต ก อยใู นวงั วนของการตง้ั ภาคี ในขณะทข่ี อสง่ิ หนงึ่ สงิ่ ใดกต็ ามจากบรรดานบแี ละบรรดาผมู ีความ ใกลชิดกับอลั ลอฮ (เอาลยิ าฮ) รวมไปถงึ ที่ขอจากมนษุ ยคนอนื่ ๆ ฉะน้ันเราจงึ กลาวไดววา : สวนหนงึ่ ของการตั้งภาคี คือแงทวี่ า เราขอในกจิ การของอลั ลอฮจากบุคคลอื่น เปนทีร่ ูกันอยู แลววา กจิ การของอลั ลอฮน้ันมไิ ดหมายความวา อยูท่ีการสรา งการบริหารและการใหป จ จัยยังชีพวา เหมอื นกันไปหมด ไมว า จากความเปนอสิ ระหรือจากการอนมุ ตั ขิ องอัลลอฮ เพราะวา พระองคได ทรงระบุถงึ กรณที ่ที รงมอบหมายใหแ กผอู ่ืนไดต ามทปี่ รากฏหลักฐานในอลั -กุรอาน หากแตม นั หมายถงึ วา พระองคด าํ เนินกิจการไป อยา งอิสระโดยไมม สี ว นชว ยเหลือมาจากส่ิงใดเลย ดงั นน้ั ถา ใครนบนอบตอบุคคลอ่ืนในลกั ษณะทวี่ า สงิ่ นน้ั มีอิสระแกตนเองในการกระทํา ไมวา จะเปนการ

กระทาํ ในเชงิ ปกติวสิ ัย เชน การเดนิ การพูด หรอื การกระทาํ ในเชงิ อภนิ หิ ารอยางท่ีทา นนบีอซี า (เยซู) ของเรา (ขอความสันตพิ งึ มีแดทาน) ไดกระทําขนึ้ (๑) ก็จะถอื วา การนบนอบนั้นๆ เปน อิบา ดะฮท ี่มแี กบ คุ คลทีไ่ ดรบั การนบนอบของตนนั้นเอง เปนทเ่ี ขา ใจอยา งแนชดั แลว วา : อลั ลอฮทรงเปน ผูม ัง่ ค่งั เหลือหลายในกิจการของพระองค ขณะเดียวกนั พระองคก็ทรงมง่ั ค่ังเหลือหลายในสภาวะการดาํ รงอยูข องพระองค กลา วคอื พระองค ทรงสราง ทรงประทานปจจยั ยงั ชีพ ทรงใหชวี ิต ทรงใหความตายโดยไมตองขอความชว ยเหลือจาก ผใู ด(๒) หรอื ขอความชว ยเหลอื ตอสรรพส่ิงที่พระองคสรางมาในแงท ่ีวา ส่งิ นน้ั จะมีมาแตเ ดมิ อนั มิใชเ ปนสรรพสิ่งทีถ่ ูกสรางโดยพระองค หากแตอัลลอฮทรงสรางสงิ่ ทั้งหมดโดยพระองคเ องอยาง ชนดิ ท่ีไมมสี ว นชวยเหลอื ของผูใดหรือส่ิงใด กลาวคอื พระองคไ ดส รา งสสารวตั ถุแลว ทรงจัดรูปรา ง ของมนั ไปตามทพ่ี ระองคทรงประสงค ฉะนั้นถาเราเชือ่ มน่ั วา ผใู ดมีความมั่งค่ังเหลือหลายในกจิ การ ของตนทเี่ ปน ไปในเชงิ ปกติธรรมดา หรือทมี่ ิไดเ ปนไปโดยปกติธรรมดา โดยไมม ใี ครเสมอเหมอื น และผูน้นั ดําเนนิ กจิ การตางๆ ไปตามที่ตนเองตอ งการไดโ ดยไมม ีสว นชวยเหลอื หรือสนบั สนนุ จาก ผใู ดแมแตอัลลอฮกแ็ นนอน เทา กับเราไดเ อาสง่ิ นัน้ เปน ภาคีกับอัลลอฮแลว และเทา กับวา เราได ยดึ ถือเอาสิ่งนั้นมาคูเคยี งกับพระองค ผทู รงสงู สุด ประเดน็ หลกั ท่เี ปน สาระสาํ คญั ของการจาํ กัดความอนั นี้ คือ “ความอิสระของผดู าํ เนิน กจิ การ” ในกจิ การหน่งึ ๆ ของตน กับความไมมีอสิ ระแกตน หลักเอกภาพตามความหมายในแงน ้ี ทัง้ คนมีความรแู ละคนโงเ ขลาตางกม็ คี วามเขา ใจทัดเทยี มกัน ใชแลว มโนคตทิ ใ่ี สสะอาดยอมเขาใจไดเ ลยวา ในประเดน็ ความอสิ ระของผถู กู เคารพภกั ดี กับการไมมีอิสระของผูเคารพภกั ดีน้ันอยูใ นกรอบของเหตุผลแหงสติปญญาและคมั ภรี อนั ทรง เกยี รติ จึงไมมีความจาํ เปนทจ่ี ะตอ งมาแยกแยะรายละเอียดอีก ดวยการอาศัยมโนคตทิ างจติ สํานกึ (๑) ดังความปรากฏในโองการท่ี ๔๙ ซเู ราะฮ อาลิอมิ รอน วา : แทจริงฉนั น้จี ะสรา งรูปนกขึ้นมาจาก ดินแกพวกทาน แลว ฉนั จะเปา ในนัน้ แลว มนั ก็กลายเปนนก โดยอนมุ ัตขิ องอลั ลอฮและฉนั รักษาคน ตาบอดและคนเปน โรคเร้อื นได และฉันทําใหคนตายมชี วี ติ ขึน้ มาไดโ ดยอนุมัติของอัลลอฮ และฉัน จะแจง แกพวกทา นถงึ ส่งิ พวกทานรับประทานไดและ (ฉันจะแจงแกพ วกทานได) สง่ิ ท่พี วกทานเก็บ ไวในบานเรือนของพวกทา น” (๒) เราไดกลาวผา นไปเมอ่ื ตอนอธิบายเร่อื งหลกั เอกภาพแหงความเปนผูอภิบาลวา อัลลอฮไมทรง ขอความชว ยเหลือตอสิง่ ใดเลยในกจิ การของพระองค โดยมิไดหมายความวา พระองคจ ะทรงดําเนนิ กิจการโดยพระองคเองไปเสยี ทกุ เรื่อง จนถึงกับวาพระองคคอื แหลงที่มาของการสรา ง การประทาน ปจจยั ยังชพี การใหเ ปน การใหตายโดยไมมีสวนเกีย่ วของกบั สาเหตุทม่ี าใดๆ ในสิ่งตา งๆ เหลานนั้ หากแตหมายความวา : พระองคท รงดาํ เนินกิจการตางๆ ไป ไมว า กิจการท่ีเกดิ ข้ึนโดยพลัน หรือ กิจการท่ีเกดิ ขึ้นจากเหตแุ ละผลในฐานะผูท รงมอี าํ นาจอยา งเหลอื หลายเหนอื สิ่งอ่ืนใด แมว ากิจการ ของพระองคดําเนินไปตามระบบของความสมั พนั ธร ะหวางเหตุและผลกต็ าม

และสตปิ ญญาอันน้ี ชาวอาหรบั แหง ยุคงมงายกจ็ ะมีความเขาใจตอความหมายของอบิ าดะฮตาม จุดมุง หมายทีร่ ะบอุ ยใู นอลั -กุรอานได กลาวคือการอบิ าดะฮต ามความหมายในแงน ้ี (หมายถงึ ที่ เปน ไปโดยความเชอ่ื ทว่ี า ผถู ูกเคารพมคี วามอิสระ) มีความเขาใจทดั เทยี มกนั ท้ังคนมีความรแู ละคน โงเขลา ทงั้ คนท่มี สี ติปญญาสมบูรณกบั คนทไ่ี มสมบรู ณ เพียงแตว า ทุกตัวบุคคลนั้นจะเขา ใจไปตาม ความสามารถของสติปญญาที่มีอยูต ามทพี่ ระองคไ ดม โี องการวา : “แลว ธารนาํ้ ตา งๆ ไดไ หลหลากไปตามปริมาณของมัน” (อรั เราะดดุ-๑๗) อยางไรก็ดี พื้นฐานทีอ่ ยใู นคําอธิบายของผพู ูดคอื “การยกอาํ นาจให” ดงั นั้น สงิ่ ที่จะอธบิ าย ไปถึงเจตนาของพวกเขา ๒- “การยกอํานาจให” หมายความวา อยา งไร? คาํ อธบิ ายของผูยดึ มั่นในหลักเอกภาพสอดคลองกันในประเดน็ ท่ีวา ความเชือ่ เรอื่ ง “การยก อาํ นาจ” น้ัน เปน ตวั ชี้ถึงการต้งั ภาคี และการนบนอบอันเกิดจากความเชอื่ ดงั กลาวนน้ั ถอื เปนอบิ า ดะฮอยา งหนึ่งตอผไู ดรับการนบนอบ การยกอาํ นาจใหม ีลักษณะสองประการ คือ ๑- ยกอาํ นาจของอัลลอฮในฐานะผบู ริหารโลกไปใหเ ปน หนา ท่ีของบุคคลพิเศาท่ีเปนบาว ของพระองคอ ันไดแก บรรดามะลาอกิ ะฮ, บรรดานบี, และบรรดาผมู คี วามใกลชดิ ตอ พระองค (เอาลิ ยาอ) โดยเรียกวา “ยกอํานาจในการจดั ระบบของโลกให” ๒- ยกอํานาจในสว นทเ่ี ปน กิจการของพระผเู ปนเจา ไปใหเปนหนาที่ของผเู ปนบาว เชน การ ออกกฎหมาย, การวางบทบญั ญัต,ิ การอภยั โทษ, การใหค วามอนุเคราะหชว ยเหลือ อนั เปนเรือ่ งราว ของอลั ลอฮ โดยเรียกวา “ยกอาํ นาจในแงข องการวางบทบญั ญตั ิให” ประการทีห่ น่ึง ไมต อ งสงสัยเลยวา มันเปนสงิ่ ที่ชี้ถึงการตง้ั ภาคี กลา วคอื ถาหากใครเชอื่ วา อลั ลอฮทรงมอบหมาย กิจการของโลกและการบรหิ ารโลก เปน ตนวา การสรา ง, การใหปจ จยั ยงั ชพี , การใหต าย, การใหช วี ติ , การใหห ิมะและฝนตก ตลอดจนเหตุการณต างๆ ของโลกแกมะลาอิกะฮข องพระองคหรือบาวผมู ี คุณธรรมคนใดของพระองคแลว แนน อนเทา กับเขาไดต ั้งบคุ คลเหลา น้ันขนึ้ เปนคเู คยี งกบั อัลลอฮใน ขณะท่ียกอาํ นาจใหมิไดมคี วามหมายเปน อยา งอ่ืน นอกจากวา สภาพของพวกเขาเปน ผมู ีความอสิ ระ ในการกระทาํ ท้งั หลายของตน โดยเปนผขู าดการตดิ ตอจากอัลลอฮในกิจการตา งๆ ทพี่ วกเขากระทํา และตอ งการ กลา วโดยสรปุ : จะเห็นไดวา การยกอํานาจบรหิ ารใหเปน เร่ืองของผเู ปน บาวน้ัน เปนสวน หน่งึ จากการถือวา ผเู ปน บา วมีความอิสระในการกระทําและดําเนินกจิ การของตนออกไปตางหาก จากบคุ คลอ่นื ไมว าความเปน อสิ ระท่ีวา น้ันจะอยูในการกระทาํ ใดๆ ทเ่ี กย่ี วโยงกับการบรหิ ารโลก

และเหตกุ ารณต างๆ ท่ีเกิดขึน้ ในโลกก็ตาม เพยี งแตวา ถา อา งถึงความเปนอิสระของมนษุ ยใ นการ กระทาํ ตา งๆ ในแงปกตวิ ัสัยโดยอธบิ ายเปนเชงิ ปรัชญาอยา งเดยี วนัน้ พวกตั้งภาคใี นยคุ งมงายจะไม ยอมหันมาพิจารณา ดว ยเหตนุ ้พี วกเขาจงึ จาํ เปน ตองอธบิ ายเก่ยี วกับความเชอ่ื ท่มี ตี อ ความเปน อิสระ ของบุคคลเหลานัน้ ในเร่ืองการบริหารโลก ประการแรกอีกเชน กัน ที่ไดกลายเปนประเดน็ สําคัญในการอธิบายและถกเถียงกันในสมยั แรกๆ ของอสิ ลาม จนถึงกบั แบง หัวขอการอธบิ ายออกไปเปน สว นของ “พวกมีความเช่อื ในโชค เคราะห” (ญบิ รยี ) กับ “พวกมคี วามเช่อื ในการไดรับอํานาจ” (ตฟั วีฎยี ) สรปุ ไดวา ประเด็นสาํ คัญสาํ หรับพิจารณาจึงอยใู นระหวางความเช่ือที่วา ผูเปน บา ว มีการ กระทาํ โดยความเปน อสิ ระและแยกออกไปจากอัลลอฮตางหากหรอื วา ความเชอ่ื ทว่ี า เขามคี ณุ สมบัติ นนั้ ๆ โดยพระราชบญั ชาและการอนุมตั ขิ องพระองคต ลอดท้ังตามเจตนารมณของพระองค และ ความเชือ่ ในเร่อื งการยกอาํ นาจใหน น้ั ไมมีประเดน็ ท่ีสาม หากแตม นั อยูในขา ยของประการท่หี นึง่ นนั่ เอง สว นในกรณีของความเช่อื ทวี่ า คุณานภุ าพจากมวลมะลาอกิ ะฮ, ญนิ , หรอื นบีและวะลยี เ ปน ผบู ริหารกจิ การสําหรับโลก โดยการอนุมัติและตามเจตนารมณของพระองคต ลอดทง้ั ตามพระ บัญชาและโดยอํานาจของพระองค โดยที่พวกเขาไมม คี วามเปนอสิ ระในส่ิงทไี่ ดกระทําลงไป หรือ วา จะเปนผไู ดรบั อํานาจเดด็ ขาดในกรณีท่ีไดสาํ แดงสิ่งใดออกไปน้ัน มิใชเ ปนตัวชี้สําหรับการตงั้ ภาคี หากแตเร่อื งเหลา น้ี เปนประเดน็ ที่ตองพูดกันในแงทอี่ ยูร ะหวา งความเชอื่ ทม่ี อี ยา งถูกตอ งสอดคลอง กับสภาพความเปน จรงิ เชน ความเช่อื ที่วา มันอยูในสว นของมะลาอิกะฮ หรือความเชอ่ื ที่มีอยา ง ผิดพลาดจากสภาพความเปนจริง เชน ความเช่ือทีว่ า มนั อยูในสว นของนบีและวะลีย กลา วคอื บรรดานบี และบรรดาวะลยี น ัน้ มิไดมีสภาพเปนปรากฏการณใ นแงของความเปน ตนเหตุและแหลง กอ เกิด หากแตพวกเขาก็เปนเหมอื นกับมนษุ ยท ่วั ๆ ไปท่ไี ดรบั ประโยชนจ ากระบบของธรรมชาตจิ น ถือไดวา การยงั ชีพอยูของพวกเขาก็ขึน้ อยูกับระบบตา งๆ เหลานัน้ เปนท่รี จู กั กนั อยูแลว วา ความ ผดิ พลาดท่มี ีตอ สภาพทเี่ ปนจรงิ มไิ ดหมายถงึ การตง้ั ภาคีเสยี ทกุ อยา ง หากในกรณที ่จี ะมคี วามเช่ือถอื วา วะลียคือตน เหตแุ หง กฎธรรมชาตแิ ละระบบตางๆ ของสสารวัตถุ และมิไดห มายความวา ความเชอื่ ในประเดน็ ทีว่ าบคุ คลชนิดน้เี ปนตนเหตแุ ละแหลงกอกําเนิดแหงระบบตา งๆ ของสสารวตั ถจุ ะแสดง ถงึ การตั้งภาคี สง่ิ ท่คี วรจะไดน าํ มากลา วอกี อยา งหน่งึ ก็คอื วา พวกตัง้ ภาคีในสมยั ท่ีอิสลามเรมิ่ เผยแผน ้ัน เชอื่ ถืออยวู า พระเจา ของพวกเขาอยูในประเภทท่ีมคี วามเปน อสิ ระในการกระทาํ และตา งพากัน ยอมรับสิ่งดงั กลา วโดยอาศัยพ้นื ฐานอันนี้ ดงั ไดกลาวมาแลววา อมุ ัร บนิ ลิหยา ไดเดินทางจากนคร มกั กะฮไปยังเมอื งซเี รยี แลวไดเห็นคนทงั้ หลายเคารพภักดรี ูปปน เขาจึงถามคนเหลา น้นั ถึงสาเหตุท่ี พวกเขาตองเคารพภกั ดีส่ิงดังกลา ว คนพวกนน้ั ไดกลาวกับเขาวา :

“รูปปนเหลานท้ี เ่ี ราเคารถภักดีมันก็เพราะวา เมื่อเราขอฝนจากมัน มนั ก็ใหฝ นตกลงมาแกเรา แลวเลาเราขอความชวยเหลอื จากมนั มันก็ใหการชว ยเหลอื เรา” (๑) มีปราชญอยพู วกหนึ่งที่เชือ่ ถือวา ในสงิ่ ของแตล ะประเภทนั้นมี “ผูอภบิ าลแตล ะสิง่ อยู” โดย ไดรบั อํานาจในการบริหารสิ่งนัน้ ๆ การบริหารจกั รวาวอนั เปนกจิ การหนง่ึ ของอลั ลอฮก็ไดถ ูกยอก ไปใหเ ปน เรือ่ งของผูนั้น ดังเชนทคี่ นอาหรับสมยั งมงายซึง่ เคารพภกั ดีมะลาอกิ ะฮแ ละดวงดาว สาเหตุทีพ่ วกเขาเคารพภักดีส่งิ เหลานั้นมเี พยี งวา กจิ การของจกั รวาลและงานบรหิ ารจักรวาลนั้น ได ถูกมอบอํานาจใหแ กสิ่งนั้นๆ ตามความเขา ใจของพวกเขา และอัลลอฮก็ทรงสละอํานาจจากการ บรหิ ารโดยสิ้นเชิง ดว ยเหตุน้ีจงึ ถือวา การนบนอบใดๆ ก็ตามอันเกิดข้ึนโดยความรูสึกอยางนี้ คือ อิ บาดะฮ ในตอนตอ ไปทา นจะไดศึกษาถงึ ความเชื่อถอื ของชาวอาหรับยุคงมงายที่มีตอรปู เคารพของ พวกเขา ประการท่ีสองของเร่อื งการยกอาํ นาจให ถาหากเราเชอื่ มนั่ วา อัลลอฮทรงมอบอํานาจหนา ทข่ี องพระองคบ างสว น เชน การออก กฎหมาย และการวางบทบญั ญตั ิ สรรถการอนเุ คราะหใหค วามชว ยเหลอื การอภยั โทษใหแกบ คุ คล หนงึ่ บุคคลใดในสรรพสง่ิ ที่พระองคท รงสรา งแลว ก็เทา กบั วา เราไดเอาส่ิงนั้นข้นึ เปนภาคี หุน สวน กบั อัล-กุรอานไดกลาววา “และสวนหน่ึงจากมนษุ ย มผี ูท่ถี อื เอาสิ่งอน่ื นอกอลั ลอฮขน้ึ มาเปนคูเ คยี งแลวพวกเขาให ความรกั เขาเหลา น้นั เฉกเชนความรกั ทีพ่ ึงมตี ออัลลอฮ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- 165) ไมต องสงสัยเลยวา สรรพส่ิงทม่ี อี ยนู ี้ ไมสามารถทจ่ี ะเปน คเู คียงกับอลั ลอฮได แมก ระทั่ง การทีจ่ ะดาํ เนินกจิ การหรือการกระทาํ ใดๆ ทเี่ ปนกจิ การอัลลอฮโดย “ความเปน อสิ ระ” ก็ไมส ามารถ ทจ่ี ะกระทาํ ได หากไมเปนเพราะไดร ับอนมุ ัตแิ ละพระบญั ชา ของอลั ลอฮมาใหด ําเนนิ การในสง่ิ นัน้ ๆ ในขณะที่สง่ิ เหลา น้ันไมอ าจเปนคเู คียงกบั อลั ลอฮได ก็ยงั ตอ งเปน บา วและผูท าํ ตามพระบญั ชา ของพระองคและเจตนารมณข องพระองคอ ีกดวย เรอ่ื งเหลา นแ้ี นนอนทีส่ ดุ ไดมีลักษณะของการตั้ง ภาคีประเภทตา งๆ แฝงอยูในหมุพวกยิวและพวกครสิ เตียนตลอดจนพวกอาหรับสมัยงมงาย โดยมี พวกหนงึ่ ใหค วามเชอ่ื ถอื วา อลั ลอฮทรงมอบหมายสทิ ธิในการออกกฎหมายและวางบทบัญญัตแิ ก นักปราชญและปโุ รหิตของพวกตน ดังที่อัล-กรุ อานไดกลาววา “พวกเขาไดยึดเอานักปราชญแ ละนักบาชของพวกเขาเปนพระเจา นอกเหนอื จากอัลลอฮ” (อตั เตาบะฮ- ๓๑) (๑) ซเี ราะตอุ ิบนุ ฮชิ าม เลม ๑ หนา ๗๙ ประวตั ขิ องเรื่องนไี้ ดนาํ มาเสนอผานไปแลว รวมถึงเรือ่ งที่ ทา นศาสนทูต (ศ) ไดกลาวไวทฮ่ี ุดยั บยี ะฮดวยกรณีการขอฝนทีเ่ ปนเรอ่ื งเนนหนักมากในพวกงมงาย สมัยกอน โปรดดูหนา ๓๓ บทนาํ หมายเลข ๒ หนงั สอื ซีเราะตุลหะละบียะฮ เลม ๓ หนา ๒๙

พวกทอี่ ยใู นยุคงมงายมีความเชือ่ วา อัลลอฮทรงมอบอํานาจในการใหค วามอนเุ คราะหแ ละ การอภัยโทษอันเปนสทิ ธโิ ดยเฉพาะของอลั ลอฮแกร ปู ปนและรปู เคารพของพวกเขา และถือวา รูป ปน กับรูปเคารพตา งๆ เหลาน้ี มีความเปน อิสระในการดาํ เนินกจิ การเหลานี้ ดว ยเหตนุ ้ี พวกเขาจงึ ตอ งเคารพภกั ดสี งิ่ เหลานนั้ เพื่อจะใหมันขออนุเคราะหจากอัลลอฮใหแกพวกเขา โดยถอื วา กิจการ แหง การอนุเคราะหช วยเหลอื อยใู นอํานาจของส่งิ เหลา นั้น ดังท่ีพระองคท รงมโี องการวา “และพวกเขาเคารพภักดสี ิง่ ที่มิไดใหโทษและมิไดใ หคุณอันใดแกพวกเขานอกเหนือไปจาก อัลลอฮ และพวกเขากลาววา ส่งิ ท้งั หลายเหลา นี้เปน ผูอนเุ คราะหชวยเหลือเรา ณ อลั ลอฮ” (ยูนุส-๑๘) ดวยเหตุนเี้ อง โองการตา งๆ ของอัล-กุรอานจึงใหคํายนื ยันไววา ไมม ีใครใหก ารอนุเคราะห ชวยเหลือได นอกจากโดยอนุมัตขิ องอลั ลอฮ ดงั นั้นถึงแมพ วกต้ังภาคจี ะเชือ่ ถอื วา รูปเคารพของพวก เขาจะอนเุ คราะหชวยเหลอื พวกเขาโดยการอนมุ ตั ขิ องอัลลอฮ ก็มิไดหมายความวา คาํ ยนื ยนั เหลา นี้ จะอยูในประเด็นที่สอดคลอ งตามความเชอ่ื ถือ ของพวกตง้ั ภาคี โดยเหตุที่วา ชาวอาหรบั ในยคุ งมงาย พวกนี้ที่ไดเ คารพภักดรี ปู ปน อยู กเ็ ปนเพียงแตเ คารพภกั ดีไปในฐานทถี่ ือวา มนั ควบคมุ การ อนุเคราะหความชว ยเหลือของพวกเขาไวเทานั้นเอง หาใชฐานะท่ถี ือวา มันคอื ผสู รางหรือผูบริหาร จกั รวาลแตอ ยา งใดไม อาศัยพ้นื ฐานของความเช่ือแบบผดิ ๆ อันน้ีเองท่ีพวกเขาไดพากันเคารพภักดี สิ่งเหลานั้น และโมเมเอาเองวา การเคารพภกั ดขี องพวกเขาท่มี สี ่ิงเหลา น้ัน จะทําใหไ ดร บั ความ ใกลชิดยงั อัลลอฮ โดยพวกเขากลาววา “เรามิไดเ คารพภกั ดีสงิ่ เหลาน้ัน เพ่อื อื่นใด นอกจากเพอ่ื ใหมันนําเราเขา ใกลชิดตออัลลอฮ อยางลึกซง้ึ ” (อัซซุมัร-๓) ๓- การแบงพระเจา ออกเปนสว นยอยกับการปฏเิ สธพระเจาสูงสดุ มิใชประเดน็ เดียวกัน การแบงสภาพของความเปนพระเจาออกเปน พระเจายอ ยตามจินตนาภาพนั้นเปนเรื่องที่ ผดิ พลาดและยกเมฆขึน้ มา เราจะไมข อนาํ หลกั ฐานทางวชิ าการและเหตผุ ลในเรอื่ งนี้จากโองการ ตางๆ มากลา วใหยดื ยาว สวนกรณีของการแบงหนาทกี่ ารงานของพระเจา ดงั ท่อี ยใู นความเชื่อของชาวอาหรับยุคงม งายน้ัน ยงั มิไดหมายถึงปฏเิ สธพระเจา สงู สดุ ผทู รงอาํ นาจ หากแตพ วกงมงายเช่ือถือกบั พระเจา สูงสดุ อยูถึงแมวา พวกเขาจะเคารพภกั ดีรปู ปนและเช่อื ถือในการแบง สภาพความเปน พระเจา แกสิ่งเหลาน้ี แตอซุ ตาสเมาดดู ีย(๑) ไดตาํ หนิความคดิ ในเรอื่ งการแบง แยกสภาพความเปนพระเจา ไววา : (๑) บิหารลุ -อนั วาร เลม ๒๕ หนา ๒๓๐-๓๕๐

ความเช่ือในเร่ืองการแบง แยกสภาพความเปน พระเจา น้มี ิไดม ีรวมอยใู นความเชอ่ื ถอื ทีม่ ตี อพระเจา สงู สุด โดยไดอธิบายวา : “คนในสมัยงมงายมิไดเ ชื่อถอื ในพระเจา ตา งๆ ของพวกเขาวา ความเปน พระเจา ไดถกู เฉลี่ย กันไปในระหวา งพวกมันทง้ั หลาย กลา วคือไมม ีพระเจา ผูทรงอาํ นาจเหนือพวกมันอีกแลว แมว า พวกเขาจะมีความเขา ใจอยางชดั เจนตอพระเจา ในแงข องอลั ลอฮ ตามความหมายทมี่ อี ยใู นภาษาของ พวกเขาอยูก็ตาม”(๑) มีขอสงั เกตอยูในคาํ อธบิ ายดังกลา วน้ี กลา วคือถาหากมาพจิ ารณารวมกนั ระหวา งประโยค ทว่ี า : “ความเปน พระเจา ไดถกู เฉล่ียกันไปในระหวางพวกมันท้ังหลาย” กับประโยคท่ีวา “กลาวคือ ไมม พี ระเจา ผทู รงอาํ นาจเหนอื พวกมันอีกแลว” ก็จะทาํ ใหค ิดไปวา เรอ่ื งราวเกย่ี วกับการแบง เฉลย่ี สภาพความเปน พระเจา นนั้ มีความหมายเดยี วกับเรอื่ งราวเกย่ี วกับการปฏเิ สธพระเจาสงู สดุ ท่อี ยู เหนือทุกสง่ิ ทุกอยา ง แตหาไดเ ปน อยา งนน้ั ไม กลาวคอื พวกบชู าดวงดาว (ศอบิอะฮ) ที่ไดรับการ อธิบายไวใ นอัล-กุรอานนั้น เช่ือมน่ั ตอดวงอาทิตยว า : มีสภาพของความเปน พระเจาและทาํ การ บรหิ าร พรอมกบั กลา ววา ยงั มีพระเจา ผทู รงอาํ นาจสงู สุดอยู โดยพวกเขากลา ววา : “แทจริงดวงอาทติ ยท รงเปนเจาองคห นึ่ง ซ่ึงมีชีวิต มสี ตปิ ญ ญา แสงของดาวเคราะหและ ความสวา งของโลกเกดิ ข้ึนมาจากมัน สรรพส่ิงทัง้ หลายอยูในฐานะเปน เบ้อื งลา ง ดังนนั้ มันจงึ มสี ทิ ธิ ในการไดรับเกียรติ การกราบ และการสรรเสรญิ ตลอดท้งั การออ นวอน” (๒) หมายความวา สภาพความเปน พระเจา ทีใ่ หญก วาสภาพของสรรพส่ิงท่ีมอี ยูในฐานะเปน เบ้อื งลาง อยางทอ่ี ลั ลอฮไดทรงอางไวในอัล-กุรอานเกี่ยวกบั สภาวะทแ่ี ทจริงของพระองค พวกบูชาดวงดาวยงั กลา วอกี วา : ดวงจนั ทรคอื เจา องคห นึง่ มนั มสี ิทธิที่จะรับการอบิ าดะฮ (เคารพภักดี) มันมหี นาทีบ่ ริหาร โลกนใ้ี นฐานที่เปนเบอื้ งลางและกิจการโดยสวนยอ ย ส่ิงทั้งหลายอ่มิ เอิบและเขา สูสภาวะความ สมบูรณข องตนไดก็เพราะอํานาจทม่ี าจากมนั ” (๓) ไมเ คยมีผใู ดเลยแมแตคนเดียวทจี่ ะอธิบายถึงความเช่อื ถอื ของพวกเขาเหลา น้ันที่มีตอ ดวง อาทติ ยแ ละดวงจนั ทรว า ส่ิงทงั้ สองอยใู นฐานะเปนสาเหตแุ หง กฎธรรมชาติ และไมมีหนา ทีอ่ ันใด มากไปกวาดําเนินบทบาทอยางเดยี วกันเทาน้นั กลาวคือเปนท่ยี อมรบั กันวา พวกเขาถอื วา สง่ิ ทงั้ สอง เปนเจาประเภทหนงึ่ และเชอื่ มนั่ วาสงิ่ ทัง้ สองมสี ตปิ ญ ญา, มชี ีวติ และทาํ การบริหารไปโดยใช ความคดิ และนค่ี ือฐานะแหงความเปน พระเจา และสภาพของส่ิงทงั้ สองกค็ ือ พระเจา สององค คอื มใิ ชส ภาพของสิ่งทีอ่ ยใู นฐานะเปน สาเหตุแหงกฎธรรมชาติ กลา วคอื ถา หากมันเปน สาเหตุแหงกฎ ธรรมชาตแิ ลว พวกเขาจะไมเ คารพภกั ดีตอมันอยางน้นั แน เพราะฉะนนั้ จึงไมม ีขอหามอันใด สาํ หรับการที่พวกต้ังภาคีจะเช่ือถือวา ยงั มพี ระเจา ผูท รงอาํ นาจและเปน ผูท่ีเฉล่ียสภาพแหง ความเปน (๑) หนงั สอื มุศฏอลหิ าด อรั บะอะฮ หนา ๑๙ (2) และ (๓) อัล-มิลลั วนั นะฮัล ของ ชะฮร ะสตานี หนา ๒๖๕-๒๖๖

พระเจาใหก บั สงิ่ ตางๆ (ในขณะทค่ี วามเชอื่ ของเขามใี นเรอื่ งการแบงเฉลย่ี ภารกจิ แหง พระเจา กนั ใน หมพู ระเจา ยอ ยท้งั หลาย) ดงั นัน้ ชาวอาหรบั ในยุคงมงาย จึงเชื่อถอื วา มกี ารมอบอํานาจทางดา นอภยั โทษและการอนุเคราะหความชว ยเหลือใหแกรูปปน และเจว็ดตา งๆ พรอมๆ กบั ท่ีเชื่อถือวา ยงั มพี ระ เจา องคอื่นทท่ี รงอํานาจสูงสดุ อยู การอภัยโทษและการอนเุ คราะหความชวยเหลือเปนกิจการ ประเภทหนึง่ ของพระเจา หลักฐานทแ่ี สดงวา พวกเขาเช่อื มั่นในเรือ่ งการมอบอาํ นาจให กค็ อื การ ยนื ยันของอัล-กุรอานท่ีกลา ววา ไมม กี ารอนุเคราะหความชว ยเหลือใดๆ ไดเ วนแตโดยอนุมตั ิ ของอลั ลอฮ เชน : “ผูใดเลา ท่ีจะมีอํานาจอนุเคราะหชว ยเหลือไวก ับตนได เวนแตโ ดยการอนมุ ัตขิ องอัลลอฮ” (อัล-บะเกาะเราะฮ-๒๕๕) อัลลอฮคอื ผูทรงไวซึ่งการอภยั โทษตอความผดิ บาป ดงั โองการท่ีวา : “และใครเลา ทจี่ ะอภยั ความผดิ บาปได นอกจากอัลลอฮ” (อาลิ อิมรอน-๑๓๕) เราสงสัยวา (อาจเปน การสงสยั ทีถ่ ูกตอ งก็ได) ทานอซุ ตาส เมาดดู ยี  ยงั มจี ดุ มุง หมายใน ประเดน็ อืน่ อยูเบือ้ งหลงั คําอธิบายขอน้อี ีก (การแบง เฉลย่ี สภาพความเปน พระเจา คือการปฏเิ สธ ความเชอ่ื ถอื ท่มี ตี อ พระเจาอน่ื ๆ) นั่นก็คอื ความเชอื่ ม่นั ที่วา คาํ วา พระเจา ตามทม่ี ีอยูในอัล-กุรอานนั้น มีความหมายแคเ พียงสง่ิ ถูกเคารพ ตามแบบฉบับของทา นชัยค (อบิ นตุ ัยมยี ะฮ) ผเู ปน ตนตํารับ กลาวคอื การเชอ่ื ถือตอรปู ปนวามสี ภาพแหงความเปนพระเจา นั้น หมายความแตเพียงวา เปนเจา แหงความเปนส่ิงถกู เคารพ มิใชเปน เจา ในฐานะทว่ี า พวกมนั คอื พระเจา ยอ ย สวนอัลลอฮคือองคใ หญ ของพระเจาเหลานัน้ ทา นอสุ ตาซและนักศึกษาของทา นไดทําใหพ วกตงั้ ภาครี อดพนไปจากคาํ อธบิ ายของพวก ตนเก่ียวกบั เรื่องความเปนพระเจา ของรปู ปน เพียงแตใ หถอื วา พวกเขาเคารพภักดสี ิ่งเหลา นนั้ ไปโดย ที่พวกเขามิไดถอื วา มันเปนพระเจา ยอย ในกรณที ่ีควบคูกบั พระเจา ผทู รงอาํ นาจและเปน ผทู ่เี ฉลี่ย สภาพแหงความเปนพระเจา ใหก ับสิ่งตา งๆ (ในขณะทค่ี วามเช่อื ของเขามใี นเรื่องการแบง เฉลี่ย ภารกจิ แหง พระเจา กันในหมูพระเจา ยอยทั้งหลาย) ดังน้ัน ชาวอาหรบั ในยคุ งมงาย จึงเชอ่ื ถือวา มกี าร มอบอํานาจทางดานอภัยโทษและการอนเุ คราะหความชว ยเหลือใหแ กรปู ปน และเจวด็ ตางๆ พรอมๆ กบั ทเ่ี ชือ่ ถือวายังมพี ระเจา องคอ น่ื ทีท่ รงอาํ นาจสูงสดุ อยุ การอภยั โทษและการอนุเคราะหค วาม ชว ยเหลอื เปนกิจการประเภทหนง่ึ ของพระเจา หลกั ฐานท่แี สดงวาพวกเขาเช่ือม่นั ในเรอ่ื งการมอบ อํานาจให ก็คือการยืนยนั ของอัล-กุรอานทีก่ ลา ววา ไมมีการอนเุ คราะหค วามชว ยเหลือใดๆ ไดเวน แตโดยอนุมัติของอลั ลอฮ เชน : “ผใู ดเลา ที่จะมีอํานาจอนเุ คราะหช ว ยเหลอื ไวก ับตนได เวนแตโดยการอนมุ ัตขิ องอัลลอฮ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๒๕๕) อัลลอฮคอื ผทู รงไวซ งึ่ การอภยั โทษตอ ความผดิ บาป ดังโองการที่วา :

“และใครเลา ทจ่ี ะอภยั ความผดิ บาปได นอกจากอลั ลอฮ” (อาลิ อิมรอน-๑๓๕) เราสงสยั วา (อาจเปนการสงสยั ทถี่ ูกตองก็ได) ทา นอุซตาส เมาดดู ยี  ยังมีจุดมุงหมายใน ประเด็นอืน่ อยูเบ้ืองหลังคาํ อธบิ ายขอน้ีอีก (การแบงเฉลย่ี สภาพความเปน พระเจา คือการปฏเิ สธ ความเชอื่ ถือท่ีมีตอ พระเจาอน่ื ๆ) นั่นก็คือความเชอ่ื ม่นั ทว่ี า คาํ วา พระเจา ตามทมี่ ีอยใู นอลั -กรุ อานน้ัน มีความหมายแคเพียงสิ่งถูกเคารพ ตามแบบฉบับของทานชัยค (อบิ นตุ ยั มยี ะฮ) ผเู ปน ตนตํารบั กลา วคือ การเชื่อถือตอ รูปปนวา มีสภาพแหงความเปนพระเจา น้ัน หมายความแตเ พยี งวา เปนเจา แหง ความเปนสิ่งถูกเคารพ มิใชเ ปนเจา ในฐานะทวี่ า พวกมันคือพระเจายอ ย สวนอัลลอฮคือองคใ หญ ของพระเจา เหลา นั้น ทานอุสตาซและนกั ศึกษาของทา นไดท ําใหพ วกตง้ั ภาคีรอดพนไปจากคําอธบิ ายของพวก ตนเก่ยี วกับเร่ืองความเปน พระเจา ของรปู ปน เพียงแตใ หถ ือวา พวกเขาเคารพภกั ดีส่ิงเหลา น้นั ไปโดย ทพี่ วกเขามิไดถือวาเปน พระเจา ยอย ในกรณที ่คี วบคูก ับพระเจา ผูทรงอํานาจ นอกเหนอื ไปจากน้พี วกเขายังทําใหบรรดามุสลิมกลมุ หนงึ่ ตองเสียภาพพจนไปในขณะที่ พวกเขาไดอ ธิบายโองการตา งๆ ท่วี า ดวยการหามมใิ หเ ช่ือถอื พระเจาตา งๆ วา หมายถงึ หามการเคารพ ภกั ดีสง่ิ เหลา นั้น ทั้งนี้ก็เพราะ ในทัศนะของพวกเขาถือวา พระเจาก็คือสิง่ ทถ่ี ูกเคารพ ตอจากนน้ั พวก เขายังใชโ องการเหลา น้มี าอธบิ ายเกย่ี วกบั เร่ืองการแสวงหาความสมั พนั ธ (ตะวัสสุล) การเยยี่ มเยือน สุสาน (ซิยาเราฮ) ท่ีบรรดามสุ ลิมกระทําตอบรรดานบีและผูใ กลชิดของอลั ลอฮ (เอาลิยาอ) กลาวคอื ไดมกี ารอถาธบิ ายโองการทั้งหลายทว่ี า ดว ยการหา มมใิ หยดึ ถือพระเจา ตา งๆ วา หา มมิใหยดึ ถือส่งิ ถกู เคารพไปโสดหนง่ึ และยงั ไดเ บนมาอธิบายใหเ ขากันกับเร่อื งการแสวงหา ความสัมพันธตา งๆ, (ตะวัสลลุ ) การเยีย่ มเยือน, (ซิยาเราะฮ) สสุ านทบี่ รรดามสุ ลมิ มีตอบรรดาบคุ คล ผูมีเกยี รตขิ องตนอีกโสดหน่ึง 4- เน้ือหาโดยสรปุ เนอ้ื หาโดยสรุปอยูในประเด็นทีว่ า งานอะไรกต็ ามอนั เกิดจากความเชอ่ื อยา งน้ี (ความเช่ือ ทวี่ า ส่งิ น้ัน คือพระเจา ของโลก, หรือผอู ภิบาลโลก, หรอื ผูมคี วามมั่งคง่ั เหลือหลายในตน และสําแดง ออกมาซึ่งกจิ การในสว นทีเ่ ปน ของพระเจา ) และสงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาจากการยอมรบั อยา งส้ินเชิงประเภท น้ี ถอื วา เปนอิบาดะฮและจะตอ งถอื วาผนู ้ัน เปน ผตู ง้ั ภาคที นั ที ถา หากวา กระทาํ อยา งน้นั กับสิง่ อ่ืน นอกเหนอื จากอลั ลอฮ ในทางตรงกนั ขามก็คอื : การกลา วคาํ พูด, การกระทาํ ใดๆ, การนบนอบใดๆ อนั มิไดเกิด ขน้ึ มาจากความเช่อื ถืออยา งนี้ กลา วคอื การนบนอบท่ใี ครคนหน่ึงมีตอ บุคคลหนงึ่ และไดใ หเ กียรติ อยางลึกซึง้ ในการกระทาํ อนั นน้ั โดยมิไดเ กิดข้ึนจากความเชือ่ มัน่ วา บุคคลนั้นมสี ภาพเปนพระเจา ก็ เทา กับวา ยงั ไมเ ปนการตงั้ ภาคี และไมถ ือวา เปน อิบาดะฮแ กบคุ คลนั้น ถา จะเปน ไปไดก เ็ พียงแคถ ือ

วา การกระทาํ อันเปนท่ตี อ งหา ม (ฮะรอม) เทา น้ัน เชน คนรกั กราบคนรกั หรือภรรยากราบสามี แนนอนถึงแมว า สงิ่ เหลา นจ้ี ะเปน ทต่ี อ งหาม (ฮะรอม) ตามบทบัญญัตอิ สิ ลาม แตมนั ก็ยงั มใิ ชอิบา ดะฮ กลา วคอื สภาพของส่งิ ใดๆ ท่เี ปนของตอ งหา ม (ฮะรอม) นั้น มิไดหมายถึงวามันตอ งเปน อิบา ดะฮเ สมอไป ดังน้ันขอหา มสําหรับกรณีการกราบมนษุ ยโดยมิไดเ ชือ่ ม่ันวา มนษุ ยผ ูน้ันมสี ภาพเปน พระเจาและความเปน ผอู ภบิ าล จึงเปน เร่ืองทีอ่ ยูในประเด็นอ่ืน จากคาํ อธิบายเหลานไ้ี ดอธิบายใหเ ปนคําตอบ คําถามที่เกดิ ขึ้นในประเด็นน้ีคอื : ถาการ เชอื่ มนั่ ในสภาพความเปน พระเจา หรือสภาพความเปน ผอู ภิบาลหรือการไดรับมอบอาํ นาจของพระ เจา เปนเงอ่ื นไขอนั หน่ึงในการแสดงถงึ การอิบาดะฮ กห็ มายความวา การสญุ ดตอใครคนหนึ่งโดยท่ี ไมม ีจติ สํานกึ อยา งน้เี ปน ที่อนุญาตใหกระทาํ ไดกระน้ันหรือ? ขอตอบวา : การสุญดนั้น โดยท่วั ไปแลว เปนเครอ่ื งหมายของการอิบาดะฮและเปน สอ่ื ความหมายสําหรับการเคารพภกั ดัอัลลอฮของมนุษยท งั้ มวล อีกทั้งมนั มิไดหมายถงึ ส่ิงอ่ืนใด นอกเหนือจากการอบิ าดะฮเ ทา นนั้ ดวยเหตนุ ้ี อิสลามจงึ ไมอ นญุ าตใหใชส ื่อความหมายอันนกี้ บั ผูใด แมก ระทั่งในกรณที ม่ี ิใชอบิ าดะฮ ส่ิงตอ งหามอนั นี้ มขี ึน้ เฉพาะในสมยั อสิ ลามเทา น้ัน กลา วคอื ใน สมัยกอ นยังไมเปน ทีต่ อ งหาม มิฉะน้ันแลว ทานนบียะอก ูบและบุตรของทานจะไมสญุ ดตอนบียูซุฟ (ความสนั ติพึงมแี ดท า น) ดงั โองการทว่ี า : “และเขาไดย กบิดามารดาของเขาข้ึนบนบลั ลังก เขาเหลานน้ั ไดค ารวะตอ เขาโดยการสญุ ด” (ยูซฟุ -๑๐๐) ทานญิศอสไดกลาววา : “การสญุ ดตอสรรพสง่ิ ท่ีถูกสรางทั้งหลายเคยเปน ส่ิงท่ีไดรบั การอนญุ าตใหก ระทําไดใน สมัยของทา นนบอี าดมั (ความสนั ติสุขพงึ มีแดท าน) และดูเหมอื นวา ยงั คงใชอยตู อ มาจนถึงสมัย ทานนบยี ซู ุฟ (ความสันตสิ ขุ พงึ มแี ดทา น) กลา วคอื ในสมัยนั้นจะมกี ารสญุ ดกันในกรณที แี่ สดงถงึ การใหเ กยี รติ การยกยอง ในระดับเดยี วกบั ทส่ี มยั ของเราปจ จุบันใชการสัมผสั มือ, การโคงคาํ นับ, และจบู มือ ดังท่มี ีรายงานมาจากทา นนบี (ความสนั ตสิ ขุ พงึ มีแดทาน) ในเรื่องอนุญาตใหจ บู มือ และ ยงั มรี ายงานทส่ี ายสืบบกพรองอีกวา การสญุ ดตอ สงิ่ ที่นอกเหนอื จากอลั ลอฮ ในแงข องการใหเกยี รติ ยกยอ งนั้น ไดถูกยกเลิกไปตามที่ทา นหญิงอาอิซะฮ ทา นญาบิร และทา นอานัส ไดรายงานวา ทา นนบี ไดกลาววา : ไมสมควรท่ีมนุษยจะสุญดมนุษย และถาเปนเรอ่ื งทีอ่ นญุ าตใหม นุษยก บั มนษุ ยสุญดกัน ไดแลว แนน อนฉนั จะส่ังใหหญิงสุญดตอสามขี องนาง เนือ่ งจากเกยี รติของเขามีเหนอื นางเปน อยาง ยง่ิ ” (๑) (๑) อะหกามลุ -กรุ อาน เลม ๑ หนา ๓๒ ของอะบี บกั ร อะหม ดั บิน อาลยี  อัรรอซีย (อัล-ญิศอศ) ตาย เมือ่ ฮ.ศ.๓๗๐

บัดนี้ เราพอจะมองเห็นลกั ษณะของความเขาใจท่ชี ัดเจนไดแลววา ความหมายทแ่ี ทจรงิ ของ “อบิ าดะฮ” และ “ชริ ก” เปนอยา งไร และเราจาํ เปนตองกลา วสรปุ คาํ อธบิ ายตอนน้ีวา : ถา ใครคน หน่งึ นบนอบตอคนอื่นๆ คือแสดงความนอบนอ มตอ เขาเหลา น้ัน โดยมิไดมคี วามเชือ่ ถอื วา พวกเขา เปน “พระเจา ” หรือ “ผอู ภบิ าล” หรือ “แหลงกอเกิดของกิจการท้งั ปวงอนั เปนสภาพของพระเจา” หากแตท ่ีพวกเขาไดร ับการนบนอบกเ็ พราะเพียงแตพ วกเขามสี ิทธทิ จี่ ะตองไดรบั การใหเกยี รติ เพราะพวกเขาเปน “ปวงบา วผไู ดรับเกียรติ ที่ไมล ว งลํ้าดวยคาํ พูดตอพระองค และกระทาํ ตามพระ บัญชาของพระองค” (อลั -อัมบิยาอ- ๒๖-๒๗) ดังนั้นการนบนอบ, การใหเกยี รติ, การนอบนอม และ การยกยอ งดังกลา วนี้ จะตองไมเ ปนอิบาดะฮอ ยางเด็ดขาด แนน อนทส่ี ุด อัลลอฮไดทรงยกยองคน พวกหนงึ่ ในปวงบา วทั้งหลายของพระองคใ นลกั ษณะทแ่ี สดงถึงสิทธใิ นการไดร ับเกียรติ วา : “แทจ รงิ อัลลอฮ ไดทรงเลือกสรรคอ าดัม และนูห และวงศว านของอิบรอฮีม และวงศว าน ของอิมรอนไวแ ดส ากลโลก” (อาลิ อมิ รอน-๒๓) ในอีกโองการหนง่ึ ของอัล-กุรอาน อัลลอฮ ไดท รงเปด เผยถึงการคัดเลอื กทา นนบีอบิ รอฮมี ใหอยูในฐานะของผนู ํา (อิมาม) โดยท่ีพระองคม ีโองการวา “---แทจ รงิ ฉนั เปน ผูตัง้ เจา เปน ผูนาํ (อมิ าม) สําหรับมนุษย” (อัล-บะเกาะเราะฮ- ๑๒๔) ลกั ษณะการใหเ กยี รติทีอ่ ัลลอฮทรงยกยองเอาไวท ง้ั หมดนี้ เชน ทานนบนี ูห, อบิ รอฮีม, ดา วดู , สุลยั มาน, มซู า, อีซาและทา นนบีมฮุ ัมมดั (ความจาํ เรญิ ของอัลลอฮพึงมแี ดทานทงั้ มวล) เปน เรื่องจาํ เปน ทีจ่ ะตอ งประทบั พวกเขาไวใ นสวนลึกของจิตใจ และจาํ เปน จะตอ งใหความรกั แกพวก เขา ใหเ กยี รติพวกเขาแมกระทัง่ เรอ่ื งของความจงรักภกั ดีท่ตี อ งมีตอ บรรดาผูท รงเกยี รติ (เอาลิยาอ) บางทา น กไ็ ดถกู กาํ หนดมาเปนขอ บงั คับแกเ ราโดยคาํ ส่ังของอลั -กุรอาน(๑) ดังน้ัน เมอื่ คนใดใหเ กยี รตเิ ขาเหลา นนั้ ไมวาในขณะมชี วี ติ อยหู รือภายหลงั จากท่เี สียชีวิตไป แลวโดยมิไดทําไปเพราะสิง่ ใดทง้ั สิ้น นอกจากเพราะวา พวกเขาคือบาวผมู เี กียรติยิ่งของอลั ลอฮ และ เปน ท่รี ักอยา งใกลชิด (เอาลยิ าฮ) ของพระองค อกี ทงั้ ใหเกียรตติ อ พวกเขาไปโดยปราศจากความเชอื่ ทีว่ า พวกเขาเปน “พระเจา ” หรอื “ผูอภบิ าล” หรอื “แหลงกอเกิดกิจการทัง้ ปวงของพระเจา ” แลว ไซร ก็ไมถอื วาการกระทาํ ของเขาเปน อบิ าดะฮ อยา งเดด็ ขาด และเขากม็ ใิ ชผ ตู ้ังภาคเี ลยอยางแนนอน ดว ยเหตุนี้เอง การจบู มือทา นนบ,ี อิมาม, ครู, บดิ ามารดา, หรอื จบู อลั -กรุ อาน หรอื ตํารา เกยี่ วกบั ศาสนา หรือหลุมสสุ านของบุคคลผูเปนที่รักของอลั ลอฮ (เอาลิยาฮ) ตลอดถึงอนสุ รณท ่เี ปน รองรอยของพวกเขา จะเปนไดกเ็ พียงการใหเ กียรติ และยกยอ งเทา นนั้ หาใชเปนอิบาดะฮไ ม ๕- ทรรศนะของเรา กบั ทรรศนะของเจาของหนังสืออัล-มะนาร

ในตอนจบของคําอธบิ ายเรื่องน้ี เราใครน าํ ทา นผอู า นมาพิจารณาคาํ จาํ กัดความสาํ หรับคาํ วา อิบาดะฮ อีกประเภทหนึ่งและเราจะกลา วถงึ จดุ ออ นบางอยา งในคาํ จาํ กดั ความเหลานัน้ ดังนี้ : 1- เจา ของหนงั สืออัล-มะนารไดกลา ววา : “การอบิ าดะฮเ กิดจากการนบนอบ ท่ีบรรลุถึงขนึ้ สงู สุด โดยเกิดจากความรูสกึ ทางดา นจติ ใจ ถงึ ความย่ิงใหญข องผูที่ถูกเคารพจนไมร ถู งึ ทม่ี าของสิ่งนั้น และเชือ่ มั่นในอํานาจ อยา งชนิดท่ีไมอ าจ เขาใจถงึ แกนแทข องสงิ่ น้ันได” (๑) คาํ จาํ กัดความนี้ ไมอ าจหลีกพน จุดบกพรอ งได ในขณะทีบ่ างครัง้ การแสดงออกซึ่งอิบาดะฮ มิไดเ ปนไปดว ยความนบนอบอยางถงึ ท่สี ุด เชน การนมาซในบางครง้ั ขาดซงึ่ ความสาํ นึกโดยสมาธิ (คชุ อู ) ย่ิงไปกวา นัน้ ในบางคร้งั การนบนอบระหวา งคนรักกบั คนรัก และการนบนอบของพลทหาร ท่ีมตี อผูบงั คับบัญชาของตน ยงั มคี วามนบนอบยง่ิ ไปกวา ความนบนอบท่ีผูศรัทธาในอลั ลอฮสวน ใหญมตี อ พระผอู ภบิ าลของพวกตนในขณะทีท่ าํ การขอดอุ าอ นมาซและกระทาํ อิบาดะฮเสียอกี ขณะเดียวกันก็ไมม ีใครกลาววา การนบนอบของสองพวกดังกลา วเปน อิบาดะฮ ท้ังๆทีก่ ารนบนอบ ของผศู รทั ธาท่ีมตี อพระผอู ภิบาลของตนน้ัน เปน อิบาดะฮถึงแมว า จะมคี วามหมายนบนอบที่เบาบาง กวา สองพวกแรกกต็ าม ใชแ ลว เจา ของหนังสือเลมน้ียงั ไดกลา วเปน เนื้อหาของคาํ อธิบายตอไปอีก อันอาจถอื ไดวา เปน คาํ จาํ กัดความทีถ่ กู ตองของคําวา อบิ าดะฮ อยางชนิดท่ตี รงตามความหมายท่ีแทจรงิ ของมนั เชน ทเ่ี ราไดกลา วไปแลว โดยกลาววา : “สําหรบั การอบิ าดะฮนนั้ มีรูปแบบมากมายอยูในทุกๆ ศาสนา อันเปนการชีใ้ หเหน็ ถึงความ สาํ นึกของมนุษยท ่ีมตี อ อาํ นาจของพระผเู ปนเจา ผสู งู สดุ ซง่ึ นน่ั มันหมายถงึ วิญญาณของอบิ าดะฮ และเน้ือแทของมัน” (๑) โดยนัยยะท่ีวา : “ความสํานกึ ทมี่ ีตอ อาํ นาจแหง ความเปน พระเจา ” น้นั มคี วามหมายท่ีสืบ เนื่องมาจากทรรศนะท่วี า ถา ผูเปนบาวเช่ือมน่ั ในสภาพแหง ความเปนพระเจา ของส่งิ ทถ่ี กู เคารพภักดี ก็จะทาํ ใหก ารกระทาํ ของเขาเปนอิบาดะฮ แตต ราบใดท่คี วามเชื่อมนั่ อยางนี้ ยังไมเ กิดข้นึ ในการ กระทาํ ของเขา มันก็ยังไมเปนอบิ าดะฮ ๒- ทานอธกิ ารบดีมหาวิทยาลยั อัล-อซั ฮรั ชยั ค มุฮัมมดั ชลั ฎตไดใ หคําจํากดั ความ ตาม ความหมายเดยี วกบั ทห่ี นังสอื อลั -มะนาร ไดกลา วไว แตป ระโยคแตกตา งกนั โดยทานกลาววา : “อิบาดะฮ (การเคารพภกั ด)ี คอื การนบนอบอยางไมจ ํากดั ขอบเขต กบั ความยง่ิ ใหญอนั ไม อาจจาํ กัดขอบเขต” (๒) (๑) อลั -มะนาร เลม ๑ หนา ๕๗ (๒) ตัฟสีร อลั -กุรอาน หนา ๓๗

จะเหน็ ไดวา คําจาํ กดั ความทง้ั สองมีลกั ษณะวพิ ากษและมีปญ หาในตัวอยอู ยา งหน่ึง และ การอธบิ ายของหนงั สือ อัล-มะนารกแ็ สดงออกซ่งึ ปญหาในตัวอกี อยา งหนึ่ง ในขณะที่กลา ววา : “การอบิ าดะฮเ กดิ จากความรสู กึ ทางดานจติ ใจท่ีมีตอความย่ิงใหญทไี่ มอาจรูถึงท่ีมา” พรอมกบั กลาว วา : ผเู ปน บา วรถู ึงสาเหตแุ หง ความยง่ิ ใหญว า หมายถึง : อํานาจแหง ความเปน พระเจา ซึง่ มันหมายถึง คณุ านภุ าพของสงิ่ ท่ีถูกเคารพและความรสู กึ สาํ นึกถงึ ความจาํ เปน อยา งยง่ิ ทมี่ ตี อ ส่ิงนั้น และส่ิงนัน้ คอื ทกุ สงิ่ ทุกอยา งของผูเ ปนบา ว รวมไปถึงการสําแดงบทบาทอื่นๆ ทีน่ อกเหนือจากน้ี แลวจะเรียกวา ไม รถู งึ ทีม่ าไดอ ยางไร? (๑) ๓- คําจาํ กดั ความที่มีปญ หาในตวั มากทีส่ ดุ เหน็ จะไดแ กคําจาํ กัดความของทานอิบนุ ตยั มี ยะฮ โดยทานกลาววา : “อิบาดะฮ” คอื คํานามทเี่ ปนศนู ยรวมของทุกสิง่ ทุกอยา ง ท่ีอัลลอฮทรงรักและพอพระทัยอัน มาจากคําพูดและการกรทําทง้ั โดยเรนลัลและเปด เผย เชนการนมาซ, การจา ยซะกาต, การถอื ศีลอด, การบําเพญ็ ฮัจญ, การพดู ความจรงิ , การรกั ษาความซอื่ สตั ย, การทาํ ความดีตอ พอแม, การติดตอ สัมพันธกบั เครือญาต”ิ (๒) ผูเขยี นทานนี้ มิไดแยกแยะความหมายทแ่ี ทจ รงิ ทีม่ อี ยรู ะหวา งการอิบาดะฮกบั การแสวงหา ความใกลชดิ (อัตตะกอ็ รรบุ ) และยังใหทศั นะวา การกระทาํ ทุกอยางในรปู ของการแสวงหาความ ใกลชดิ ยังอลั ลอฮน้นั คือการอิบาดะฮตอพระองคไปดวยท้ังส้นิ ในขณะที่ความจริงมไิ ดเ ปนเชน น้ัน เลย กลา วคอื เรอื่ งราวทร่ี ะบถุ งึ ความพอพระทัยของอัลลอฮ และไดร บั รางวลั จากพระองคกม็ ีอยู เหมอื นกันทวี่ าเปน อิบาดะฮ เชนการถอื ศีลอด, การนมาซ, การบาํ เพ็ญฮจั ญ และกย็ งั มงี านที่หมายถงึ การแสวงหาความใกลชดิ ตอพระองค โดยมไิ ดจักวา เปน อบิ าดะฮก ย็ งั มี เชน การทาํ ความดีตอบดิ า มารดา, การจา ยซะกาต, การบริจาคเงนิ คมุ ส (หน่งึ ในหา) กลา วคอื เรื่องราวทกุ อยา งน้ี เปนงาน แสวงหาความใกลชิดยงั อัลลอฮในแงท ยี่ งั ไมเ ปนอิบาดะฮ ถึงแมจะเรยี กกันในเชงิ วิชาการของนกั ฮา ดษี วา เปน อิบาดะฮกโ็ ดยไดจักลักษณะของมนั วาอยใู นประเภทของอิบาดะฮก ต็ รงท่ีมันเปน งานท่ี ไดรบั รางวลั ตอบแทน หรอื อีกนัยหน่ึง : การกระทําตางๆ เหลา นห้ี มายถึงการเชื่อฟง ปฏิบตั ติ ามอลั ลอฮ (ฏออะฮ) แตมใิ ชว า ทกุ ๆ ประเภทของการเช่อื ฟง ปฏิบตั ติ าม (ฏออะฮ) นัน้ จะเปนการอบิ าดะฮเ สมอไป ทา นอาจกลาวไดวา : งานเหลาน้นั มันมที ัง้ ท่เี ปน “สว นของอิบาดะฮ” และทเ่ี ปน สว นของ “การแสวงหาความใกลช ดิ ” และการอบิ าดะฮท กุ อยา งนั้นลว นเปนการแสวงหาความใกลช ิดดวย ทั้งสิ้น แตการแสวงหาความใกลชดิ ทุกอยางมใิ ชเปนอบิ าดะฮไ ปเสียทง้ั หมด ยกตัวอยางเชน การ เรียกคนจนมารบั ประทานอาหาร, การชวยเหลือเด็กกําหรา เปนเรื่องของการแสวงหาความใกลช ดิ แตย งั มิใชเปนอบิ าดะฮ ในแงท ีว่ า ผเู ปน บา วไดป ระกอบการงานอันนั้นของตนใหกับอลั ลอฮ (๑) อาลาอุรเราะหม าน หนา ๕๙ (๒) นติ ยสาร บะฮูษุล-อสิ ลามี อันดบั ที่ ๒ หนา ๑๘๗ อางจากหนังสอื “อัล-อะบูด”ี หนา ๓๘

แนนอนท่สี ุด ทา นที่รกั ไดเ ขา ใจความหมายของ “อิบาดะฮ” ท่ีแทจริงตามกรอบของคมั ภีร และสนุ นะฮแลว และคงจะไมมคี วามเคลอื บแคลงสงสยั ในความหมายทแ่ี ทจ รงิ ของคาํ น้ีอยอู ีกตอ ไป บัดนี้ขอใหท านใชความเขาใจที่มีตอคาํ วา อบิ าดะฮอนั ถกู ตองแลว นัน้ มาเปรียบเทียบดูกับการกระทํา โดยทวั่ ๆ ไปของบรรดามุสลิมจากสมัยของทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ความจาํ เรญิ ของอัลลอฮพึงมี แดทา นและแดว งศว านของทา น) มาจนถงึ สมยั ของเราในยคุ ปจ จุบนั วา มนั ขัดกบั หลักเอกภาพ และ เขากบั หลกั ของการต้งั ภาคี หรอื วาในทางตรงกันขา มมนั สอดคลองกบั หลักเอกภาพ และมิใชเ ปน การตั้งภาคแี มแ ตอยางใดเลย ฉะนนั้ เราจะขอนําทานไปพิจารณาเปน เร่อื งๆ โดยใชว ธิ ีการนี้ (เอาการกระทําเหลานมี้ า พสิ ูจนกับความหมายท่ีเปนจริงของคําวา “อิบาดะฮ” ) การกระทําทพี่ วกวะฮาบยี ไ ดถอื มาเปน ขอ โจมตบี รรดามสุ ลิม กค็ อื การกระทําในประเภท ตอไปนี้ : (๑) : การแสวงหาความสมั พันธ (ตะวัสลุล) กบั บรรดานบแี ละบรรดาผทู รงเกียรติ (เอาลิ ยาอ) ในกรณีท่ีตองการใหผา นพน อุปสรรคและเพอื่ ความม่ันใจสําหรับการขอ จะหมายถึงการตัง้ ภาคหี รอื ไม? ทานผูอานจาํ เปน ทจ่ี ะตองตอบคําถามขอ น้โี ดยพจิ ารณาไปถึงความหมายทถ่ี กู ตองตามที่ได ผา นไปแลวในการจาํ กัดความหมายของคําวาอิบาดะฮว า มุสลมิ ไดแ สวงหาความสัมพันธ (ตะวสั ลลุ ) กบั บรรดานบีและบรรดาเอาลยิ าอโ ดยเชือ่ มัน่ วา พวกเขามีสภาพ “ความเปน พระเจา ” หรือสภาพ “ความเปนผูอ ภบิ าล” และอาจอยใู นประเดน็ ในสักอยางหนงึ่ ในความหมายของสภาพความเปนพระ เจา และสภาพความเปน ผอู ภบิ าล หรือมุสลิมเชื่อถือวาเขาเหลา น้ัน คอื บาวผูทรงเกียรติของอลั ลอฮ ที่ การวิงวอนขอของพวกเขาเปน ที่ตองถูกยอมรับ ตามทถ่ี กู ระบุไวใ นอัล-กรุ อาน กลาวคือ ถาหากวา บุคคลผทู ่แี สวงหาความสมั พันธ (ตะวสั ลุล) ตอ บรรดานบแี ละบรรดา เอาลยิ าอไ ดด าํ เนินกจิ การน้ันไปในลัษณะประการทห่ี นง่ึ กิจการของเขาก็ตองเปนการตัง้ ภาคี โดย ออกนอกกฎเกณฑข องอสิ ลามไปเลย แตถ าหากการแสวงหาความสมั พันธเ ปน ไปในลักษณะประการทส่ี อง กเ็ ทากับเขายงั ไม กระทําในสงิ่ ท่ขี ัดกบั หลักเอกภาพ และไมเปนการตงั้ ภาคแี ตอ ยา งใด สว นกรณีท่วี า การแสวงหาความสมั พนั ธข องเขา ทกี่ ระทาํ กบั บคุ คลเหลานนั้น จะเกดิ ผล หรอื ไม เปน เรื่องอนมุ ัติหรอื ตองหาม ก็เปน อกี ประเด็นหนง่ึ ท่ีนอกเหนอื ไปจากการตัง้ ภาคี กลา วคอื เปน เรอื่ งทีอ่ ยูนอกประเด็นของคําอธิบายที่กาํ ลังกลา วถึงซ่ึงหัวขอ การอธบิ ายไดต ั้งไวใ นเร่ืองการ แยกแยะหลกั เอกภาพกบั เรอ่ื งการต้งั ภาคี และอธิบายวา อะไรคอื การตั้งภาคี และอะไรมใิ ชเปน การ ตง้ั ภาคีเทา นน้ั เอง (๒) : การขออนุเคราะหค วามชวยเหลือ (ซะฟาอะฮ) จากบรรดาผทู รงคุณธรรม (ศฮลิฮีน) ซ่งึ อลั -กุรอานและหลักสุนนะฮไดระบุยืนยันไวถงึ การอนุเคราะหช ว ยเหลือของพวกเขา

กลา วคอื ถา การขออนเุ คราะหความชว ยเหลือจากบคุ คลเหลา นน้ั เกิดข้ึนโดยถือวา พวกเขา เปนผูทรงสิทธเดด็ ขาดสําหรับการอนเุ คราะหความชวยเหลือและถือวา กิจการในเรอ่ื งอนุเคราะห ความชว ยเหลอื เปนสิทธิของพวกเขาโดยเฉพาะหรือถือวา ไดม ีการมอบอํานาจในเรืง่ อนใ้ี หแกพวก เขา กแ็ นน อนเหลือเกินวา การกระทําอยา งน้ี คอื การต้งั ภาคแี ละพลาดออกไปจากหลักเอกภาพอยา ง ไมต อ งสงสัยและเปน ท่ียอมรับกันอยูวา การอนเุ คราะหค วามชวยเหลือนนั้ เปนคณุ านุภาพของพระ เจา และผูอภิบาล การขอความอนุเคราะหค วามชวยเหลือนัน้ เปนคุณานุภาพของพระเจา และผู อภิบาล การขอความอนุเคราะหชวยเหลอื ตอ บรรดาผมู คี ุณธรรมตามความหมายดังกลา วนี้ เปน การ ต้งั ภาคอี ยา งไมม ที างเล่ยี ง แตในกรณีทีถ่ าหากการขออนุเคราะหความชว ยเหลือจากบรรดาผูท รงคณุ ธรรมมีขึ้นโดย เหตุท่วี าบคุ คลเหลาน้เี ปน ผูร ับคาํ สง่ั จากอัลลอฮไดอ นุเคราะหความชว ยเหลอื แกผทู อ่ี ัลลอฮทรง อนมุ ัติใหมกี ารอนุเคราะหชวยเหลือแกพ วกเขาไดแ ละพวกเขาจะไมอ นเุ คราะหค วามชว ยเหลือใหแก ผูทอี่ ลั ลอฮไมอนุมัติใหมีการอนุเคราะห ในฐานะที่การอนุเคราะหชว ยเหลอื นัน้ เปนสทิ ธโิ ดย เดด็ ขาดของอัลลอฮ แตผูเดียวในอนั ท่ีจะประทานแกบ า วของพระองคโดยผานทางบรรดาผใู กลช ิด (เอาลิยาอ) ผทู รงคณุ ธรรม ผูทรงเกียรตขิ องพระองค ดังนั้น การขอทเี่ กดิ ขึ้นตามความหมายโดยนัยยะอันน้ี และท่ีอยูในลักษณะน้ี ยอ มไมขัดกบั หลักเอกภาพ และไมเขา ขา ยการตัง้ ภาคี กลาวคือมนั เปนการขอส่ิงๆ หนึ่งจากบุคคลผหู นงึ่ ทั้งๆ ทีร่ ู วา เขาผุน้นั มีสภาพเปนบาวและมีสภาพเปนผูไดรับคาํ สัง่ ของพระองคอยางแทจริงโดยเฉพาะ สวนกรณีที่วา การขอของเขาจะเกดิ ผลหรือไม มนั เปน ส่ิงอนมุ ัตหิ รือตองหา ม ก็เปนอีกเรือ่ ง หน่ึงอยนู อกประเด็นของ การตง้ั ภาคี และหลกั เอกภาพกลาวคอื มนั เปนเรอ่ื งท่ีอยูน อกเหนือกรอบ ของการอธิบายตอนนี้ ซึ่งเราไดต ง้ั หัวขอ ไวกอนแลว วา จะเปน การอธิบายถงึ เรอื่ งหลกั เอกภาพและ การตัง้ ภาคี ในการอบิ าดะฮ (๓) : การใหเ กียรติตอ บรรดาเอาลิยาอข องอลั ลอฮ ตลอดจนใหเกียรตติ อสสุ านและสดดุ ียก ยองในเกียรติของพวกเขา การกระทาํ ดงั กลาวนี้ คลองจองกับหลักเอกภาพ หรือหลักการตัง้ ภาค?ี คาํ ตอบกค็ ือวา การกระทาํ อยา งน้ี ในลกั ษณะหน่งึ อาจเปนเรอื่ งของหลักเอกภาพ และอกี ลกั ษณะหน่ึงอาจเปนเรื่องของการตัง้ ภาคี กลาวคอื ถาหากการใหเกียรตแิ ละการยกยองไมวา จะเปน ในรปู ใดอันไดเ กิดข้นึ จากบคุ คล ใดกต็ ามกบั เหลาบรรดาผูท รงเกียรติ (เอาลิยาอ) ของอัลลอฮเปน ไปในฐานะทวี่ า เหลา บรรดาผูทรง เกียรตินน้ั คือบา วผมู คี ณุ ธรรมและทมุ เทชวี ติ ของพวกเขาเพื่อการเผยแผเรียกรอ งสอู ัลลอฮ และได เสียสละชวี ติ ครอบครัว ทรัพยสินไปในหนทางของอลั ลอฮ อุทิศทกุ อยางในการนํามนุษยชาติ ไมวา เร่อื งใหญเ ร่อื งเลก็ ดงั นั้นการใหเ กียรติในแงน สี้ อดคลอ งกบั ลักษณะตา งๆ ของหลกั เอกภาพ เพราะ เปน การใหเกียรติบาวของอลั ลอฮคนหนงึ่ ทีไดท ําการรบั ใชใ นหนทางของอัลลอฮ พรอมกบั ยอมรับ

วา เขาคอื บา วคนหน่งึ ท่ีไมมีสทิ ธิในสิง่ ใดๆ นอกจากทอ่ี ลั ลอฮใหเขามสี ิทธิ และไมมีอาํ นาจใดๆ นอกจากเทา ทอี่ ัลลอฮ ทรงกําหนดใหแ กเ ขา แทจ รงิ แลว การใหเกยี รติในลกั ษณะเชน นี้ สอดคลองกบั พืน้ ฐานของหลักเอกภาพในดา น ตางๆ อยางไมต องสงสัย แตใ นกรณีทถี่ าการใหเกยี รติและการยกยอ งตอ วะลีย (ไมวา จะมชี ีวิตอยหู รือตายไปแลว) เปน ไปโดยความเช่อื ทว่ี า เขาเปนผูทรงสิทธิ ในปรากฎการณตา งๆ หรอื ในระดับใดๆ ก็ตามแหง ความเปนพระเจา หรอื เชอ่ื ถือวา เขาเปน ผูดํารงอยูตามความหมายแหง ผูอภิบาลหรืออยูใ นระดบั ใดก็ ตามของความหมายดังกลาวนแี้ นน อน อยา งไมตอ งสงสัยเลยวา มนั คอื การตง้ั ภาคแี ละออกนอกหลัก เอกภาพไปเลยทีเดยี ว สว นประเดน็ ท่ีวา จะเกดิ ผลหรอื ไม หรอื มันเปนสงิ่ ท่ีอนุมัติหรือตอ งหามกนั แน อีกประเดน็ หน่ึง นอกเหนือไปจากประเดน็ ของการตงั้ ภาคีและหลกั เอกภาพกลาวคอื อยูนอกเหนือไปจาก หนาทข่ี องคาํ อธบิ ายตอนนี้ทเ่ี นนถงึ การอธบิ ายในประเดน็ ทีว่ า อะไรคอื การต้ังภาคี และอะไรทีม่ ิใช การต้งั ภาคีเทา น้นั เอง (๔) : การขอความชว ยเหลือตอบรรดาเองลยิ าอ เรอ่ื งนี้จะสอดคลอ งกบั หลักเอกภาพ หรือสอดคลองกบั การตั้งภาคอี ยางไรหรอื ไม คําตอบ สาํ หรับเรอ่ื งนี้ จะชดั เจนขนึ้ หลงั จากไดนาํ ลกั ษณะการขอความชวยเหลอื ดังกลา วนไ้ี ปวัดกบั ตราชู ซึ่งอัล-กรุ อานไดใหไว กลา วคอื ถา ใครคนหนง่ึ ขอความชว ยเหลอื ตอ วะลีฮคนใดไมว าจะมชี วี ติ อยู หรือตายไปแลว เพอ่ื ใหเ ขาไดอ ะไรสักอยางหนึ่งเปนไปไดต ามธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติ เชน การ ทําใหไมเ ทากลายเปน งู การทําใหคนตายฟนชีพขึ้นมา โดยเชื่อม่ันวา ผูใหความชว ยเหลือคือพระเจา องคหนึ่ง หรือผูอภิบาลองคห นง่ึ หรือเปน ผไู ดรบั มอบอํานาจในกจิ การบรหิ ารและสภาพความเปนผู อภิบาลบางอยา งแลว แนน อนการกระทาํ เชน นี้ ยอมเปนการตั้งภาคี อยางหาขอโตแ ยงไมไดเลย สว นในกรณีที่ถาหากวา ทุกสิง่ ทกุ อยา งนี้ หรอื บางสวนเปนไปโดยถอื วา วะลียนน้ั คือบา ว คนหน่งึ ท่ีไมมีอํานาจเหนือสิ่งใด นอกจากเทาทีอ่ ัลลอฮไดทรงกาํ หนดใหแ กเ ขา และทรงประทาน ใหแ กเขา เขามไิ ดเ ปนผูกระทาํ ในสง่ิ ใดทเ่ี ขาไดกระทาํ ลงไปเลย นอกจากโดยการอนุมัติของอลั ลอฮ และตามเจตนารมณของอัลลอฮเทา น้ัน กลา วคอื การขอความชวยเหลอื จากเขาในลักษณะเชนน้นั เปนเรื่องของหลักเอกภาพ โดยไมมีอะไรแตกตา งไปเลย สําหรับกรณีท่ีวา วะลยี ผ ใู หความชว ยเหลอื นั้น จะมีชีวติ อยูหรอื ตายไปแลวก็ตาม และไมว า กิจการทข่ี อจะเปนกิจการประเภทปกติวสิ ัย หรอื เหนือปกตวิ ิสัย สวนกรณที ่ีวา ผถู กู ขอความชว ยเหลือ จะเปน ผูท ่สี ามารถใหค วามชว ยเหลือนี้จะสมั ฤทธิ์ หรือไมก ับท่ีวา การขอความชว ยเหลือนี้ เปนที่อนมุ ตั ิหรือเปนของตองหาม ทุกสงิ่ ทกุ อยางนี้เปน ประเด็นท่ีอยูนอกเหนอื กรอบของการอธบิ ายสําหรับบทนี้

(๕) : การขอใหหายปว ยและขอการบาํ บดั จากบรรดาเอาลิยาอ เรอ่ื งนี้ เปนทส่ี อดคลอ งกบั หลกั เอกภาพหรือไม? กลา วคอื ถา คนใดขอจากบรรดาวะลียว า ใหห ายปวย โดยเชอื่ มั่นวา การใหห ายปวยนั้นอยูในอํานาจของอัลลอฮ กลา วคือพระองคเปน ผูให หายปวยทีแ่ ทจ ริง เพียงแตวา พระองคป ระสงคท ีจ่ ะใหม นั เปน เร่อื งที่ไดแกบ า วของพระองค โดย วิธีการตามเหตุผลแหงธรรมชาตแิ ละนอกเหนือกฎธรรมชาติ ดงั นั้นการขอในลักษณะเชนนี้ สอดคลองกับหลักเอกภาพและไมคานกนั แตอยางใด เพราะเขาตระหนักดอี ยวู า ผถู กู ขอไมสามารถ ทาํ อะไรไดเลยนอกจากโดยพระบัญชาของอัลลอฮ และเขาไมส ามารถสําแดงอะไรออกมาไดเลย นอกจากวา จะเกดิ ข้ึนมาโดยเจตนารมณข องพระองค สว นกรณที ถ่ี าขอการหายปวยจากเขาโดยเชอ่ื ม่นั วา เขามอี สิ ระเด็ดขาดในการใหหายปวย และทรงสิทธิในการบําบัดหรือไดร บั มอบอํานาจเดด็ ขาดในเรื่องน้ี งานอันนน้ั กย็ อมเปน การตัง้ ภาคี และออกนอกกรอบของหลักเอกภาพทันที สวนการขอใหห ายปว ยกบั บรรดาวะลยี ของอัลลอฮ จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม? หรอื กรณที ่ีวา พวกเขาจะมึความสามารถในการทาํ ใหหายไดห รือไม? กบั ท่วี า งานอยา งนีเ้ ปน ท่อี นุญาตหรอื ไม อนญุ าต? เปน อกี เรื่องหนึ่ง นอกเหนอื ไปจากเร่อื งหลกั เอกภาพและการตงั้ ภาคี กลาวคือออกนอก ประเดน็ สาํ คัญของการอธิบายบทนี้ ซ่ึงต้งั ประเดน็ ใหศึกษาในหัวขอทวี่ า อะไรคือการตั้งภาคตี าม ความเปน จรงิ ของมัน? และอะไรทม่ี ิใชการตง้ั ภาค?ี ดังกลา วน้ี เราไดหยิบยกมาเปน ตัวอยางแกท านผูอ านเพอื่ เปน แนวทางศกึ ษาเรอ่ื งอื่นๆ ท่ยี ัง มีอยูอีก ซึ่งพวกวะฮาบยี ไ ดป ฏเิ สธไปเลย สาํ หรบั เรือ่ งท่ีพวกวะฮาบยี ม คี วามเขา ใจผดิ พลาดและคลมุ เคลือในความหมายของสภาพ แหง ความเปน พระเจา (อลั อลุ ฮู ียะฮ) กับความหมายของสภาพแหง ความเปนพระเจา (อลั อลุ ฮู ียะฮ) กับความหมายของสภาพแหงความเปนผูอภบิ าล และเชน เดียวกนั น้ี กับความเขา ใจผดิ พลากทม่ี ีใน คาํ จาํ กัดความของหลักเอกภาพและการตั้งภาคีนั้น เราก็ไดก ลา วไปในการอธิบายบทน้ีไป โดยสรปุ แลวเกีย่ วกบั ความเขา ใจผดิ อยางนัน้ ตามทร่ี ะบอุ ยใู นหนังสือจากบรรดานกั วชิ าการสว นมากของ พวกเขา กอ นท่เี ราจะยตุ กิ ารอธบิ ายเกี่ยวกบั เรอ่ื งนี้ เราจะขอกลา วถึงหลักการของพวกบูชาเจวด็ ใน สมัยญาฮลิ ยี ะฮ (ยุคงมงาย) และวธิ ีการเรยี กรอ งไปสกู ารบูชารปู ปนของพวกเขาสักเรื่องดว ย เพราะวา การอธบิ ายถงึ เร่อื งน้ี มันจะเปน การดีอยตู รงท่วี า ไดชว ยใหเขาใจถงึ โองการตางๆ เปน จาํ นวนมากซงึ่ ถกู นํามาต้งั เปน ขอหาสาํ หรับเรอื่ งการแสวงหาความสมั พนั ธ (ตะวสั สุล) และการ วิงวอนขอ ลกั ษณะตา งๆ วา เปนการต้งั ภาคี โดยความสับสนทีม่ ตี อ ความหมายดานนอกของมนั เนอื่ งจากขาดการพจิ ารณาใหลึกซ้ึงในเนื้อหาท่ีแฝงเรนอยขู องโองการนัน้ ๆ

๖- ความเชือ่ ถอื ของชาวอาหรับยุคงมงายและพวกบูชาเจว็ด พวกบชู าเจว็ดในสมยั นัน้ ไดแบงออกเปนหลายประเภท เชน ๑- พวกต้งั แทนบชู า คนพวกนี้กลา ววา : คนเรานัน้ ไมอยใุ นฐานะที่จะทาํ การเคารพภักดีอัลลอฮและติดตอกบั พระองคโดยตรงได แตจ าํ เปน ตองมสี ่ือกลาง ดังนั้นจงึ ตองต้ังแทน บูชาข้นึ มาซึ่งมอี ยเู จด็ แทน แลว พวกเขากไ็ ดทําพธิ ีสวดตอแทนบชู าเหลาน้ีเพอื่ เปนการหาความใกลชดิ กับบรรดาดวงวญิ ญาณ ทง้ั หลาย และถือวา ความใกลชดิ ที่มีตอ บรรดาดวงวญิ ญาณเหลาน้นั เทากบั ไดใกลชิดตอ ผูทรง บริสุทธ์ิ โดยความเชอ่ื มัน่ ท่วี า แทน บูชาเหลาน้ัน คอื เรอื นรางสาํ หรับดวงวญิ ญาณเหลา น้นั พวกเขาทาํ พธิ สี ักการะบูชาแทน บชู าเหลา นโี้ ดยเฉพาะ โดยไดส วมใสอาภรณใ หกับแทน บชู าเหลาน้ัน ตามวันเวลาหนึ่งๆ ทีแ่ นน อนโดยเฉพาะ และไดสักการะแทน บูชาเหลานั้นไปตาม วาระตา งๆ ท่แี นนอน ตอจากนั้นกจ็ ะวงิ วอนขอในส่ิงที่ตองการ และขนานนามเรียกสง่ิ นั้นวา “ผู บรบิ าล” “พระเจา ” สวนอัลลอฮนั้นเปนผอู ภบิ าลของบรรดาพระผูอภิบาล และเปนพระเจา ของ บรรดาพระเจา เหลา นนั้ (๑) ๒- พวกจาํ แนกประเภทของแทนบชู า พวกนี้มีความเช่ือบางอยางทต่ี รงกับคนพวกแรก นอกจากวา จะเลือกประเภทของแทน บูชา มาเปนที่สักการะตามโอกาสตางๆ ฉะน้นั พวกเขาจึงสรา งแทนบูชาข้ึนเพื่อวาระตา งๆ ท่ีแนนอน โดย กลาววา เราสกั การะส่ิงเหลานีแ้ ละแสวงหาความสัมพนั ธก ับแทน บชู าเหลา น้ี กเ็ พอื่ เราจะไดใกลช ิด กับบรรดาดวงวิญญาณ จากนน้ั ดวงวญิ ญาณดังกลา วกจ็ ะทาํ ใหเ ราเขา ใกลชิดยงั อลั ลอฮ ดวยเหตนุ ้เี รา จงึ เคารพภักดสี ่งิ เหลานั้น ดังโองการท่ีวา “เพือ่ มนั จะทําใหเ ราเขา ใกลช ดิ กับอัลลอฮอยา งลกึ ซึง้ ” (๒) ๓- ความเช่ือถอื ของชาวอาหรับยุคงมงาย ชาวอาหรับมีเปน สวนนอ ยที่เช่อื ถือในปรากฎการณข องธรรมชาติ โดยกลา ววา ธรรมชาติ เปน สิง่ ทีใ่ หชวี ิต และกาลเวลาทาํ ใหเกดิ การดับสูญ สาํ หรับชีวิตตามทัศนะของพวกเขาคือสิ่งที่เกิด ข้นึ มาจากระบบตา งๆ ของธรรมชาตแิ ละเปน รากเงา ทีม่ คี วามรูสึกอันมีอยใู นโลก พวกเขาจึงสรปุ วา การมชี วี ติ และความตายข้นึ อยกู บั ความเปนไปและเปลย่ี นแปลงของธรรมชาติ กลา วคอื ศูนยร วม ชีวิต คอื กฎธรรมชาติ และส่ิงที่ทําใหสูญสลายคอื ปรากฎการณของธรรมชาติ แตท วา สว นมากมี ความเช่ือมนั่ วา มีผูส รา งและผใู หบ ังเกิดสรรพสง่ิ แตพ วกเขาปฏเิ สธการฟนคืนชีพและการคืนกลบั ไปสูการชําระโทษ อีกทงั้ ประทานศาสนทูตมาจากอัลลอฮ(๑) เทา นั้น (๑)-(๒) “อลั -มิลลั วันนะฮลั ” หนา ๒๔๔

ในหมูคนจําพวกนี้ ยังมผี ุทเ่ี คารพภักดมี ะลาอิกะฮ, ญิน อีกทง้ั ถอื วา สง่ิ เหลา น้ีเปนบตุ รสาว ของอัลลอฮ และยังมที งั้ พวกทบี่ ุชาดวงดาวซง่ึ เรยี กวา พวกศอบิอะฮ ในหมูค นจาํ พวกนั้น มีผูทป่ี ฏเิ สธพระผสู ราง และการถกู สรา งของสรรพสง่ิ รวมทั้งการฟน คืนชีพและการถกู ประทานมาของบรรดาศาสนทูต แตท ง้ั สองพวกก็เคารพภกั ดีรูปปนและถือวารปู ปน น้ันเปน ผทู รงสทิ ธิ ในการอนุเคราะหความชว ยเหลอื ให ณ อัลลอฮ ในหมชู นชาวอาหรบั มีพวกที่เชอ่ื ถือตามแบบของพวกยิวหรอื ตามแบบของพวกนศั รอนี และปรากฏวา เมืองมะดนี ะฮ เปนที่ตง้ั แหง แรก สว นเมืองนัจรอนเปนท่ีต้ังแหง ทสี่ อง สาํ หรบั พวกคริสเตียนน้ันมีอยสู ามประเด็นท่เี ปน ขอ แตกตางกันอยู ในเรอ่ื งของพระบิดา, พระเยซู, และพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ โดยอาศัยรูปแบบมาจาก : อลั -มุลกานียะฮ, นัสตรู ,ี ยะอก ูบีย พวกเหลา นี้ ตั้งภาคีในการเคารพภกั ดพี ระเยซู ผูซ ึ่งมิไดเปน อะไรเลยนอกจากเปน ศาสนทูต คนหน่ึงเทา น้ัน มีอยูหลายโองการท่ีแสดงถึงคําอทุ ธรณข องทานนบีอิสรอฮมี โดยช้ีใหเ ห็นถงึ ความเชอ่ื ถอื ของพวกบชู าดวงดาวปและเทพเจา ขณะเดยี วกันก็มีโองการตา งๆ อยจู ํานวนหนึ่ง อธบิ ายถึงความเชือ่ ถือของพวกคริสเตียน อกี ทั้งยงั มอี ยหู ลายโองการท่อี ลั -กรุ อานไดประนามพวกบูชาเจว็ดอยา งรนุ แรง เก่ยี วกับชาว อาหรับยคุ งมงายทมี่ กี ารยอมรับในหลักความเชอ่ื ลักษณะตา งๆ กลา วคือสวนมากพวกเขาจะเคารพ ภักดีรูปปน ในฐานนะทีเ่ ชือ่ มน่ั วารปู ปน ใหก ารอนุเคราะหชว ยเหลอื และเปนพระเจายอย เชนมี ตัวอยางจากโองการตางๆ ดังนี้ “และเมอื่ บรรดาผูปฏิเสธไดมองเหน็ เจา พวกเขากไ็ มค ิดอน่ื ใดตอ เจาเลย นอกจากเยยหยัน เทา น้นั และวา นน่ี ะ หรือ คือผูทก่ี ลา วถึงพระเจา ทง้ั หลายของพวกทาน (พวกเขาพูดทั้งๆ) ขณะทพ่ี วก เขาปฏเิ สธตอคาํ เตอื นของพระผทู รงกรณุ า” (อัล-อมั บิยาอ- ๓๖) “หรือวา พวกเขามบี รรดาพระเจา ที่ปกปองพวกเขาใหพน ไปจากเราได พวกเขาไมส ามารถ จะชว ยเหลือตัวของพวกเขาเองไดเ ลย” (อัล-อัมบยิ าอ- ๔๓) “พวกเขาไดอ ุปโลกขญ ินข้ึนมาเปน ภาคีกบั อัลลอฮ ทัง้ ๆที่พระองคไดสรางพวกเขามา และ พวกเขาไดกุความเท็จแกพระองคว า มีบตุ รชายและหญิงโดยปราศจากความรู...” (อลั -อันอาม-๑๐๐) “แลวสเู จา ไดพ ิจารณาดูเทวรูป, อลั ลาต, อุซซาและมะนาต อนั เปนทสี่ ามอีกบางไหม” (อันนัจมุ-๑๙-๒๐)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook