(อลั -บะเกาะเราะฮ- ๑๒๕) ไมต อ งสงสัยเลยวาการนมาซนั้น เปน ของอัลลอฮเทา นั้น แตก ารทาํ นมาซในมะกอมอิบรอ ฮีมซ่งึ มรี อยยืนเหยียบของนบีอบิ รอฮีมปรากฏอยนู นั้ เปนอีกเรอื่ งหนึ่งของการใหเกียรติแกท า นนบผี ู ย่งิ ใหญ แตการกระทําเชนนี้ก็มไิ ดถือวา เปน ลักษณะของการอบิ าดะฮอยา งเด็ดขาด ๖- แนน อนเอกลักษณท ่แี ทจ ริงของมสุ ลิมคือการถอ มตนตอ สูศรัทธาและตององอาจตอง พวกปฏิเสธ ดังโองการท่ีวา “ดังน้ัน อลั ลอฮจะนาํ มาซงึ่ พวกนึ่งท่พี ระองคท รงรักพวกเขา และพวกเขารักพระองคถ อม ตนแกป วงผูศรทั ธาองอาจเหนือพวกปฏิเสธ” (อัล-มาดิดะฮ- ๕๔) ความหมายของโองการตางๆ เหลา นี้ทงั้ หมดก็ดี เรอื่ งราวการบําเพญ็ ฮจั ญและการกระทาํ ใน เรอ่ื งน้นั ก็ดี แสดงใหเ ห็นวา การนบนอบอยา งถงึ ท่สี ุด และการถอมตน หรอื การใหเ กยี รติและการ คารวะน้ัน มิใชเปน การอิบาดะฮ ฉะนนั้ การที่เราพบเหน็ นกั วชิ าการทางดานภาษาอธบิ ายคาํ วา อิบา ดะฮว า หมายถงึ การนบนอบการถอ มตนน้ัน มันคือการอธบิ ายความหมายไปอยางกวางๆ คอื พวกเขา ใหคําจาํ กดั ความและอธิบายไปตามความหมายท่ัวๆ ไป ในขณะที่คาํ วา อบิ าดะฮน นั้ หาใชอ น่ื ใดไม นอกจากเปนความนบนอบอีกประเภทหน่งึ โดยเฉพาะเทา น้นั ดังที่เราจะไดกลา วถึงในตอนตอ ไปนี้ จากคาํ อธิบายเหลา น้ี เราอาจสรปุ ไดอ ีกเชนกันวา การใหเ กยี รตสิ ง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงหรอื คารวะก็ ตาม มไิ ดห มายความวา เปนการอบิ าดะฮแ ตอยางใดเลย เพราะวา ถา มิใชเ ชนนั้นแลว กจ็ ําเปนท่ี จะตองถอื วา มนษุ ยทง้ั หมดแมแตบ รรดานบกี ็ตองเปน พวกต้ังภาคที งั้ ส้นิ เพราะคนเหลา นัน้ อกี เชน กันที่ใหการคารวะแกผ ูทพี่ วกเขาจาํ เปนตองคารวะ ทานอลั -มรั ฮมู ชยั ด ญะอฟร กาชฟิ อัล-ฆฎิ ออ (ผูเ ช่ยี วชาญในหลักการของพวกวะฮาบยี ค น หน่งึ ทา นไดนําหลักการนน้ั ๆ มาทาํ การวเิ คราะห) ไดช ้แี จงตามส่งิ ทเ่ี ราไดกลา วไปแลว วา “ไมต องสงสัยเลยวา การเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) นนั้ จะตองไมใ ชความหมายท่ีใชก บั สิ่งอ่นื นอกจากใชสาํ หรบั อลั ลอฮ ผูใดกต็ ามทน่ี ําไปใชก บั ส่งิ อ่นื นอกจากอัลลอฮกเ็ ทากบั เปน ผปู ฏิเสธ การ นบนอบอยา งสดุ ซ้ึงและการจงรักภกั ดีตามที่นักภาษาศาสตรไดใ หค าํ จาํ กัดความไวก ย็ อมมิใช ความหมายของการเคารพภักดี มิฉะน้นั แลว จาํ เปนอยางย่ิงวา คนรบั ใช ลูกจา ง คนงานทงั้ หมดกต็ อง เปน กาฟร (ผูปฏเิ สธ) เพราะการนบนอบท่มี ีตอผปู กครอง ยิ่งไปกวา น้นั บรรดานบกี ต็ องเปน ผู ปฏเิ สธเพราะการนบนอบของตนทม่ี ตี อบิดามารดา” (๑) (๑) ดหู นงั สือ มินฮะญล-รชิ าด หนา ๒๔ พิมพเ มือ่ ฮ.ศ.๑๓๔๓ ทา นไดเ ขียนหนงั สอื นี้ตอบโตกบั เจา ชายซาอูดคี นหน่งึ ทเ่ี ปน ผูนําฝายวะฮาบยี
๘- แยกความหมายทแี่ ทจ รงิ ออกไปจากความเปรยี บเปรย ใช ในบางครั้งทานอาจจะใชค าํ วา อิบาดะฮแ ละตีความไปตามที่ไดรบั การอธบิ ายในแงของ หลักภาษาได แตการใชค าํ ดงั กลาวมไิ ดห มายความวา เปนอยางน้ันจริงๆ ตามความหมายในคาํ หากแตเปน เร่อื งของการเปรียบเทียบจากความหมายทีแ่ ทจ ริง กบั สภาพการณหน่งึ ๆ ขอใหทาน พิจารณาเร่ืองราวเหลานี้ ๑- คนทมี่ ีความรกั อยางสดุ ซึ้งทไ่ี ดแสดงออกตอหญงิ คนรักซ่ึงความนบนอบอยา งทีส่ ุด ยอ ม ทมุ เททกุ อยา งดวยความอดทนเพอื่ ความตองการของคนรัก ถงึ ขนาดน้ีก็ยงั ไมเรียกการนบนอบอยาง นวี้ า “อบิ าดะฮ” แมจะมกี ารกลาวถึงความจรงิ ของเขาเปน การเปรียบเปรยวา เขา “บชู าภักดีตอผูหญงิ ก็ตาม” ๒- คนทีต่ กอยูในอาํ นาจของอารมณ เขาจะแสดงออกมาซึ่งส่งิ ตางๆ ตามท่อี าํ นาจของ อารมณเรียกรอง โดยอํานาจของสตสิ มั ปชัญญะยงั ไมอาจถอื ไดวาเขาเปนผเู คารพภกั ดีตออารมณ โดยแท และไมอ าจถอื ไดว า เขาเปน ผูตง้ั ภาคี เชน คนทเ่ี คารพภักดีเจว็ดแมจะกลา วถึงพฤติการณอยาง น้ีวาเขา “เคารพบชู าอารมณข องตนเองก็ตาม” กลาวคอื เรอ่ื งอยางนเ้ี ปน การเปรยี บเทียบและตีความ เพ่ือเปนการเปรยี บเปรยเทา น้ัน ดงั น้ัน ดวยเหตนุ ้ีเอง อัล-กรุ อานจึงเรยี กอารมณว าเปนพระเจา และระบวุ า ลักษณะของการ นบนอบท่ีมีตออารมณอ ยางนเี้ ปน : การเคารถภักดตี อ อารมณ แตเปน การเปรียบเปรยเทานนั้ โดย กลาววา “เจาไดเ ห็นผูท ่ีถอื เอาอารมณเปน พระเจา ของตนหรือไม แลวเจา จะเปนผรู บั มอบหมายแก เขากระนนั้ หรือ” (อัล-ฟรุ กอน-43) กลา วคอื ในขณะเดยี วกับที่อลั -กุรอานไดใชค าํ วา พระเจา กบั อารมณอ นั เปนลักษณะหนึง่ ของ การเปรียบเปรยนั้น ก็เปนไปในทาํ นองเดียวกบั ท่ีไดใ ชค ําวา เคารพภกั ดีแกคนทที่ าํ ตามอารมณ อัน เปนการตคี วามเปรยี บเปรยเชนเดียวกนั ๓- มีคนอยูพวกหนงึ่ ท่ียอมทุมเททุกอยางเพื่อใหไดม าซ่ึงเกยี รติและตาํ แหนงจนกระท่งั ชว บานกลา วกันวา คนพวกน้บี ชู าเกียรตแิ ละตาํ แหนง แตใ นขณะเดียวกันพวกเขากย็ ังไมถือวา เปนการ เคารพภกั ดีจรงิ ๆ กับเกียรติ และพวกเขากย็ ังไมเ ปนผูตั้งภาคี ๔- พวกทห่ี ลงตามยคุ สมัย (เชน พวกอิสรอเอล) และหลงในตัวเอง ซ่ึงไมมีอะไรทสี่ าํ คญั สําหรบั พวกเขานอกจากอาหาร เครื่องดม่ื แมจ ะเรียกวา พวกเขาเปน ทาสของยคุ สมัย ทาสของจิตใจ ทาสของชัยฎอน แตในสภาพความจริงนน้ั ยังถือวา งานของพวกเขามิไดเปนการเคารพภักด.ี ..เพราะ การปฏบิ ัติตามชัยฎอนน้นั เปนเร่ืองหนง่ึ สว นการเคารพภกั ดีชัยฎอนก็เปนอีกเรอื่ งหนง่ึ
เพราะฉะนน้ั เมื่อเราเหน็ ในอัล-กุรอานทีเ่ รยี กคาํ วาปฏบิ ตั ิตามชยั ฎอนวา “อบิ าดะฮ” ก็เทากับ วา นัน่ เปนการตีความเปรยี บเทียบ ความหมายของมันกค็ อื การอธิบายถึงการปฏเิ สธอยางรุนแรงทส่ี ดุ สําหรบั การกระทาํ อันน้ี ดังที่ทรงกลา ววา “ฉนั ยงั มิไดใ หพันธะสญั ญาแกสูเจาอกี หรือ โอล ูกหลานของอาดัมวา จงอยา เคารพภกั ดี ชัยฎอน เพราะมันเปนศัตรูอันเปดเผยสาํ หรับสเู จา และใหเ คารพภักดีตอฉนั อันนีเ้ ปนหนทางที่ เท่ียงตรง” (ยาซีน/๖๐-๖๑) กับอีกสองโองการดังตอไปน้ี ๑- โอบ ิดาของขา ทา นอยาเคารพภักดีชยั ฎอนเลย แทจรงิ ชัยฎอนนัน้ เปนผูท รยศตอ งพระผู ทรงกรณุ า” (มรั ยมั -๔๔) ๒- เราจะศรัทธาตอ มนุษยท้ังสองคนนน้ั ที่เปน เหมอื นกบั เรากระนั้นหรือ ขระทพี่ รรคพวก ของเขาท้งั สองเปนผเู คารพภักดตี อ เราอยู” (อลั -มุมนิ ูน-๔๗) ไมต อ งสงสัยเลยวา ความจรงิ นนั้ พวกนบีอสิ รอเอลมิไดเคารพภักดีตอ ฟรเอาวนและผู อาวโุ สของเขาดอก เพยี งแตวา เพ่อื เปนการแสดงใหเ ห็นวา พวกเขามีลกั ษณะอยใู นขั้นที่รายแรงท่สี ุด ก็ยอมถูกตอ งแลวในอนั ท่จี ะจํากดั ความใหว า เคารพภักดีในแงของการเปรียบเปรย สําหรบั ทัศนะของอลั -กุรอานน้ัน ถงึ แมจ ะเรียกการกระทาํ ในลกั ษณะเชน นีว้ า เคารพภกั ดีก็ ตาม แตมไิ ดหมายความวา อลั -กรุ อานจะจดั ใหพวกเขาเหลา น้ันเปนผูตัง้ ภาคี ดังนนั้ จงึ มิอาจจะเช่อื ถือ ไดว าการนบนอบ การเช่อื ฟง ปฏิบัตติ ามทุกรูปแบบ การใหเ กยี รติ การคารวะทกุ รปู แบบจะเปน “อิ บาดะฮ” ในขณะทเี่ ปน ทีเขา ใจกนั อยูวา คาํ นี้อาจนาํ มาใชก บั ลักษณะการกระทาํ ใดๆ โดยเฉพาะได โดยมคี วามหมายในแงของการเปรียบเปรย หรอื อกี นัยหนึ่ง การอยภู ายใตอ ารมณต าํ่ คลงั่ ใคลในอํานาจวาสนาและทาํ ตามอาํ เภอใจ ฯลฯ แมพวกเขาจะถกู จดั ใหเปน ผูม คี วามบาป และพวกเขาจะไดรบั โทษอยางรายแรงกต็ าม นั่นกย็ งั มิไดหมายความวา พวกเขาจะเปนผตู ัง้ ภาคีในแงของการอบิ าดะฮ ซง่ึ พวกเขาเหลานน้ั ยอมไดรบั การ ลงโทษไปตามบทบัญญัตโิ ดยเฉพาะทม่ี ปี รากฏอยแู ลวในกฎหมายอสิ ลาม จะหาวา เรอ่ื งน้ไี มจรงิ ไดอ ยางไร กใ็ นเมอ่ื เราไดพบหลักฐานในฮาดษี ทชี่ ดั เจนบทหนึ่งวา “ใครคลอ ยตามผูพูดคนไหนก็เทากับเปนบา วของคนนั้น ดงั นั้นถา เขาพดู ในสิง่ ทม่ี า จากอัลลอฮก็เทา กับเขาเปนบาวอัลลอฮ และถา เขาพูดตามส่งิ อน่ื ท่มี ิใชมาจากอัลลอฮก็เทากบั เขาเปน บา วสงิ่ อ่นื นอกจากอลั ลอฮ” (ซะฟนะตุลบหิ าร เลม ๒ หมวดวา ดว ย “บา ว”)
ฉะนัน้ ประชาชนทฟ่ี ง ขา วอยทู กุ วันและคลอ ยตามขา วคราวทนี่ ักแถลงขาวและโฆษกวทิ ยา โทรทศั นเสนอ ซง่ึ สวนมากแลว นกั แถลงขาวเหลานนั้ ไดพูดมาจากสิ่งอนื่ นอกเหนอื จากอัลลอฮ ทั้งสน้ิ แลว จะเปน ไปไดกระน้นั หรือที่เราจะกลาววา ทุกคนทีร่ ับฟง ขาวคราวเหลา นน้ั เปน บา วของ บรรดานักแถลงขาวทง้ั หลาย? แตเปนสงิ่ ท่ีถูกตอ งในกรณีทเ่ี ราจะนาํ คาํ วา อิบาดะฮไ ปใชกับพฤตกิ ารณในลักษณะนี้ในแง ทวี่ าเปน การเปรยี บเปรย เพอ่ื เปนการดํารงไวซง่ึ กรณที อี่ ยูในระหวางความหมายตามทเ่ี ปนจริงและ ความหมายตามคาํ เปรียบเปรย จนแมกระทง่ั วา ในสาํ นวนของการใชภ าษาบางครงั้ ไดต าํ หนิคนบางคนวา “เปน ทาสของ ปากทอง” หรอื “ทาสของอารมณ” แลว เขาเหลานน้ั จะเปน ทาสของปากทอ งและอารมณจริงๆ กระนั้นหรอื หรือเปนเพราะการยอมจาํ นนอยางสนิ้ เชิงตอ ความตอ งการของอารมณฝ ายตํา่ จนเอามา เปรยี บไดก ับลักษณะการยอมจํานนอยา งส้ินเชงิ ทม่ี ีเหมอื นกับผยู ึดในหลกั เอกภาพจํานนตอ ผูส รา ง โลกแลวใชค ําวา อบิ าดะฮใ หแ กความเปนไปในลักษณะนี้ ๙- คาํ ส่ังของพระผเู ปน เจา ทาํ ใหการตั้งภาคีเปนเรื่องทีม่ ใิ ชการตง้ั ภาคไี ดกระน้ันหรอื ? อาจมีผกู ลาววา การสุญดของมะลาอิกะฮท ม่ี ตี ออาดมั , การคารวะที่มีตอ หนิ ดํา, และการ กระทาํ อน่ื ๆทคี่ ลา ยคลึงกบั เร่ืองทงั้ สองอยางนี้ ในเมือ่ เปน ไปดวยคาํ สัง่ ของอลั ลอฮ ก็ไมถือเปนการ ตอ งภาคี และไมถ ือวา ผูปฏบิ ัติจะเปนผตู ง้ั ภาคี (๑) หรอื กลา วอีกนัยหนึ่งวา ความเปนจริงของการอบิ าดะฮน นั้ แมม ันจะหมายถงึ การนบนอบ และการใหค วามคารวะกต็ าม แตใ นเมื่อการกระทาํ นัน้ ๆ มขี ึน้ โดยคําสั่งของพระองคผ ูทรงมหา บรสิ ุทธแ์ิ ลว ก็ถอื วา เปนการอิบาดะฮต ามคาํ สัง่ มใิ ชตามอยา งอ่นื แตท ัง้ ผูพูดและผูเช่อื ตามลืมนกึ ไปถงึ จุดสําคัญอยา งยิ่งอยปู ระเด็นหนงึ่ นน่ั คือ : กฎเกณฑที่เกี่ยวพันกับเนือ้ เร่ืองหน่งึ ๆ จะไมเปลย่ี นแปลงความเปนจรงิ ของเนอ้ื เรอ่ื งน้ันๆ อยางเดด็ ขาด และไมถ ือวา คาํ ส่ังของพระผเู ปน เจาทเ่ี ก่ยี วพันกับเรื่องน้ันจะเปล่ยี นแปลงเนอ้ื หาของ มัน โดยเหตุผลทางสติปญญาถือวา การดา ประณามใครคนหนง่ึ เทากบั เปนการหม่นิ ประมาท คนคนน้ันแนน อน และเรื่องนกี้ ็สามารถตัดสินไปตามกฎของการดา การทําช่วั และการประณาม ฉะน้นั ถาอัลลอฮวางกฎใหดาใครและประณามใครอันเปน หลกั การไปเลย คาํ สัง่ ของอัลลอฮก็มิได เปลยี่ นแปลงเนอ้ื หาของการดา การประณามเลย อยางเดด็ ขาด เชนเดยี วกบั กรณขี อง การเลี้ยงตอ นรบั แขก และการทักทายแขกโดยธรรมชาติของการ กระทาํ ทั้งสองอยางนี้ คอื การยกยอง และคารวะแขกผมู าเยอื น ครนั้ เมอื่ การเลีย้ งตอนรบั ถูกงดเวน (1) คนกลาวคอื ชัยคอับดุลอะซซี อิมามมัสยิดนะบะวยี ใ นการสนทนากับผมู ีเกยี รตบิ างทาน
แกคนคนหนึ่ง โดยหมายถงึ วา การเลีย้ งตอ นรับนั้นโดยธรรมชาตขิ องมนั แลวกค็ อื การใหเ กยี รติ อยางหน่งึ กม็ ิไดหมายความวา เน้ือหาของการกระทาํ ไดก ลายไปเปนการลบหลูแ ขกไปโดยลักษณะ ของการงดเวน สงิ่ น้ันๆ หากแตเ น้อื หาท่ีแทจริงของการตอนรับยังคงอยูกับส่งิ อน่ื ๆ ทเ่ี ขายังไดร บั อยู ถงึ แมว า การงดเวนอยางหน่ึง เขามาเก่ยี วขอ งในเรอ่ื งนแ้ี ลว ก็ตาม ฉะนั้น ขอใหยอนกลับมาดูเรื่อง การกระทําตา งๆ เชน การสุญดตอ อดัม การคารวะตอ หินดํา และอืน่ ๆ ถา หากวา มนั เปนการเคารพ ภักดี (อบิ าดะฮ) ทีแ่ ทจ ริงแลวไซร คาํ ส่ังของพระผเู ปนเจาก็มิไดทาํ ใหเน้ือหาที่แทจ รงิ ของมัน เปลี่ยนแปลงเลย กลา วคือ มนั จะไมพ นออกมาจากลัษณะการเคารพภกั ดตี อ อาดมั หรือยูซุฟ หรอื ตอ หินดําได เพราะฉะน้นั สิง่ ทผ่ี ูอธบิ ายไดกลาวไปวา แทจริงแลว มนั เปน การเคารพภักดีโดยแท แตใน เม่อื เก่ียวพนั กับคาํ สงั่ ของพระผเู ปนเจา มนั กเ็ ลยออกพนไปจากการตงั้ ภาคี โดยถือเสยี วา การกระทาํ เหลานเ้ี ปน การตั้งภาคที ไี ดร ับความยนิ ยอม น่คี อื คาํ อธบิ ายที่ไมมมี นุษยคนใดรบั ได สรุปไดวา ปญหาน้ีจะตองวนเวยี นไมร จู บ คอื อาจถอื วา งานเหลา นอี้ ยูน อกเหนอื ความหมาย ในเรอ่ื งการตัง้ ภาคีก็ได หรอื อาจกลาววา ความจรงิ แลว มนั คอื การตง้ั ภาคใี นแงข องการเคารพภกั ดี นัน่ เอง แตมนั เปนการตัง้ ภาคที ่ีอลั ลอฮทรงอนมุ ตั ใิ ห! !! คาํ กลา วขอทสี่ อง เปนความผดิ พลาดเสยี จนไมอาจมใี ครลงความเหน็ คลอยตามไดแ มเ พยี ง คนเดียว แตทา นอาจยอมรบั ได ถา ถอื วาการกระทาํ บางอยางนัน้ เปน การใหเกียรติและการนบนอบ และอีกนัยหนึ่ง อาจถือวา เปน การตง้ั ภาคกี ไ็ ด ถา บุคคลเหลานัน้ เชน มะลาอิกะฮ สญุ ดตอ อาดัมโดย เชอื่ ถอื วาอาดมั คอื พระเจา แนน อนการกระทาํ ของพวกเขายอมเปน การตง้ั ภาคีอยางเด็ดขาด ถึง แมอ ลั ลอฮทรงบัญชาในลัษณะบังคบั กต็ าม แตถา สญุ ดไปโดยท่ีไมมคี วามเชอ่ื ถอื อยา งนี้ การกระทํา นน้ั ๆ ก็มิไดเปน การต้ังภาคีเลย ถงึ แมพ ระองค ผทู รงสูงสดุ จะมิไดบ ัญชากต็ าม ทานชยั ค อับดุล อะซซี อมิ ามมสั ยิดนะบะวยี ไดอธิบายวา การใหเ กียรติเหลา นถ้ี กู ตอ งและ เปน ไปตามบทบญั ญัติ เพราะมคี ําสัง่ จากพระผเู ปนเจา ทา นไดอางคําพูดของทา นอมุ ัร บิน ค็อฏฏอบ ในเรื่องหนิ ดําวา “แทจ รงิ ขา รวู า เจา คอื หินดํา เจา ไมอาจใหค ุณใหโ ทษอันใดไดเ ลย แตถาหากมิใช เพราะขา เคยเหน็ ทานนบี (ศ) จบู เจา แนน อนขากจ็ ะไมจ ูบเจา ” (๑) แนนอนท่สี ดุ เราก็ไดกลาวแกท า น (อิมามมสั ยดิ นะบะวยี ) วา : ความหมายจากคําพดู ของ ทานกค็ อื วาการกระทาํ เหลานีเ้ ปน การตงั้ ภาคีอนั ประเสรฐิ ความวา “จงกลา วเถดิ (มุฮัมมัด) แทจ ริงอัลลอฮมิไดบัญชาเกี่ยวกบั สงิ่ ชวั่ ราย แลวสเู จาจะกลาวหา อลั ลอฮในสงิ่ ท่ีสูเจา ไมร กู ระนนั้ หรือ? (อลั -อะรอฟ-๒๘) ดังนั้น ถา หากวา เนื้อหาของการสุญดตอ อาดมั (อ) และการคารวะตอหินดําเทา กับเปน การอิ บาดะฮตออาดมั และตอ หนิ ดําและเปน การตง้ั ภาคแี ลว แนน อนอัลลอฮ ผทู รงความบรสิ ทุ ธจิ์ ะไมทรง บัญชาเลยอยา งเดด็ ขาด (๑) ศอฮฮี บคุ อรี เลม ๓ หนา ๑๔๙ หมวดวา ดวย การทําฮัจญ
๑๐- ความหมายของคาํ วา “พระผูเปนเจา ” และ “พระผูอ ภบิ าล” สาํ หรับคาํ วา “พระผูเ ปนเจา ” น้นั เราไมส งสยั เลยทว่ี าทานผูอ านจะตอ งหาความเขา ใจใน ความหมายของคําวา “อลิ าฮ” เพือ่ เปนการจาํ กดั ความคอื ทงั้ สองคาํ ทวี่ า “อลิ าฮกับอัลลอฮ” น้ัน มา จากหมวดคาํ อนั เดียวกัน หมายถึง คาํ ทใ่ี หค วามเขา ใจเปน ประการท่สี อง คือ “อลั ลอฮ” สวนคาํ ทใี่ ห ความเขา ใจเปน ประการทห่ี นึง่ คือ “อิลาฮ” เพยี งแตวาท้ังสองคาํ มคี วามหมายทแ่ี ตกตางกนั ในแง ความแตกตา งที่วา ดวยลักษณะรวมและลกั ษณะเด่ียวเฉพาะ อยา งไรกต็ าม คาํ อันประเสรฐิ * (ลัฟซุลญัลลาละฮ) นน้ั มีความหมายในแงลกั ษณะพิเศษ ออกไป จากความหมายในแงข องลกั ษณะรวมเหลา นั้น นอกจากน้ีคาํ วา “อิลาฮ” ยงั คงมคี วามหมาย ในลกั ษณะรวมอกี ดว ยถึงแมวา ในทรรศนะของผมู ีหลักเอกภาพจะไมมีความเชอ่ื ถือเปนอยางอน่ื แต กร็ วมเสร็จสรรพอยูในความหมายของคาํ น้ัน กลา วคือกรณีเดียวกันกับที่วา ไมมใี ครเลยทจ่ี ําเปน จะตองหาความหมายจากคาํ อันประเสริฐ (ลัฟซุลญลั ลาละฮ) เพ่อื ไปสกู ารจาํ กดั ความ คาํ วา “อลิ าฮ” กเ็ ปนอยา งน้นั เชนเดยี วกัน ดังนัน้ จงึ ไมมีประเดน็ ไหนทเ่ี ปน ขอแตกตา งระหวางคาํ ทงั้ สองเลย นอกเหนือจากความตา งกันในแงข องสวนยอย (ุซอียะฮ) กับในแงข องสว นทงั้ หมด (กุลลยี ะฮ) กลาวคือคําทั้งสองเปรียบไดเหมอื นกบั วา “นายซยั ดกับมนษุ ย” แตความหมายอันแรกยอ มแตกตา ง ไปจากสว นอืน่ ๆ (นายซยั ดกับมนษุ ย) ในแงข องความตา งกนั สาํ หรับ “อิลาฮ” กบั “อัลลอฮ” ก็ หมายความวา อยูท ่คี ํา กลา วคอื คําทงั้ สองเปนอันเดยี วกันทอี่ ยใู นหมวดน้ัน คาํ อนั ประเสรฐิ (ลฟั ซลุ ญัลลาละฮ) ก็มใิ ชอ่นื ใดนอกจากคาํ เดยี วกับอิลาฮท ีอ่ ักษรฮัมซะฮถูกตัดออกไปแลวเพ่ิมอักษร “อะ ลฟี กับลาม” เขา มาเทา น้ัน และน่ีมิไดหมายคึ วามวา มันจะทําใหค าํ นั้นออกไปจากมาตรฐานเดียวกัน เลย ท้ังในรปู ของคําและความหมาย ในทนี่ ี้อาจกลาวไดเลยวา คาํ นามโดยท่ัวไปกค็ ือคําวา “อลิ าฮ” พหพู จนของมันคือ “อาลิ ฮะฮ” สวนคาํ นามเฉพาะคอื คาํ วา “อลั ลอฮ” ซ่งึ ไมมีพหูพจนอ กี เลย และตรงกบั ในภาษาเปอรเ ซยี วา “คุดา” ภาษาตุรกีวา “ตารอ” และตรงกับภาษาอังกฤษวา “กอ็ ด” อยงไรก็ดคี าํ นามเฉพาะและคํานาม ท่ัวไปในภาษาเปอรเ ซยี ภาษาเดยี วเทา นน้ั ทใี่ ชคําวา “คุดา” นอกเหนือจากนีค้ ําวา “คุดาวันด” ก็มไิ ดม ี ความหมายเปน อยา งอื่นนอกจากคํานามเฉพาะ สวนคาํ วา “ก็อด” ในภาษาองั กฤษนนั้ ถาในกรณที ี่ ตองการจะเรยี กเปน คํานามทัว่ ไปก็จะเขียนในรูป “god” แตถา ตอ งการจะใหเ ปนคาํ นามเฉพาะก็จะ มาในรปู ของ “God” กจ็ ะไดความหมายตามนัยของคาํ น้ัน ในกรณีท่ีคํานามน้ี (อัลลอฮ) ไดถูกเจาะจงใชกับคําวา ผสู รา งโลกเปน การเฉพาะนัน้ เปน เพราะมีหลกั เกณฑดงั น้ี คอื : ในธรรมเนียมการสนทนาของชาวอาหรบั นนั้ ในเมอ่ื ตอ งการทจ่ี ะ กลา วถึงผูสรา ง กม็ ักจะใชค าํ วา “อลั -อิลาฮ” โดยมอี ักษร “อาลฟี ” กบั อักษร “ลาม” เพ่มิ เขา ไปในคาํ ๆ น้ี อนั เปนการแสดงใหเ ห็นถึงความเนนหนักทางดานจิตใจ คือคาํ วา “อัลอลิ าฮ” นน้ั ทานเขา ใจถึง * (คาํ อนั ประเสริฐ) หมายถึง อัลลอฮ
ความเนนหนักไดก็เพราะหลกั ภาษาตรงคาํ ทีเ่ รียกวา อกั ษร ลามอะฮัด หลงั จากน้นั คาํ วา “อลั -อลิ าฮ” ก็ไดกลายเปนคําเฉพาะในการกกลา วถึงคาํ วา “ผูสรางโลก” ในหมชู นชาวอาหรับ เมื่อกาลเวลาผาน พนไปนานๆ เขา อกั ษรฮมั ซะฮท ี่ตงั้ อยรู ะหวา งอักษรลามทัง้ สองกถ็ ูกลบเลือนไป และตกไปจากการ ใชภาษาคาํ วา “อัล-อลิ าฮ” จงึ กลายไปเปนคาํ วา “อัลลอฮ” ซ่งึ ไดกลายมาเปนคาํ ๆ ใหมแ ละเปนพระ นามเฉพาะของ “ผสู รา งโลก” ทที่ รงไวซึ่งความบริสทุ ธ์ิ (๑) ขอเปรยี บเทียบท่ีมีก็คือ : อันนาส (มนุษย) เดมิ มีรากศพั ทมาจากคาํ วา “อัล-อนิ าส” คร้นั แลว อักษรฮัมซะฮก ็ไดถ ูกลบออก ทํานองเดียวกนั กบั การกลา วคาํ วงิ วอนที่ใชค ําวา ยาอัลลอฮ ดว ยการ ตดั ฮมั ซะฮ ท่ีไดแ กค าํ วา “ยาอลิ าฮ” คําวา “อัล-อลิ าฮ” เปน คํานามประเภทสงิ่ ของ เชน คน, เสอื เปน ตน (๑) ทา นอัลลามะฮฏ อ็ บรอซีย ไดอางหลกั ฐานมาบันทกึ ไวในตฟั ซรี ของทานวา คาํ วา “อลั ลอฮ” นน้ั รากศัพทก็คอื “อิลาฮ” ตามมาตรา “ฟอ าล” แลวอักษรฟาอ กไ็ ดถูกตัดออกไป เชนเดยี วกบั อกั ษรฮัมซะฮ แลวอกั ษรอะลีฟกบั อกั ษรลามกเ็ ขา มาเปนการแสดงถึงความหนักแนนของมัน โดย เหตผุ ลทว่ี า การท่ีพวกเขาตดั อกั ษรฮัมซะฮท อ่ี ยขู า งในออกไปน้ัน ทาํ ใหอ กั ษรลามเปน ตัวจาํ กัด ความหมายในแงของการสาบานและการวงิ วอนขอ เชน คํากลาวท่วี า “ยาอัลลอฮ อฆิ ฟร ลีย” และถา ไมมตี วั ทดแทนเขามา อักษรฮมั ซะฮน น้ั ก็จะไมอาจต้งั อยไู ดนอกเหนือจากในคาํ นามน้ี (๒) ทานรอฆบิ ไดกลาวในหนงั สือ “มฟุ รอดาด” วา : คาํ วา อลั ลอฮ น้ันรากศพั ทท่ีมากค็ ือ อลิ าฮ ครนั้ อักษรฮมั ซะฮถูกตัดออกแลว นําอกั ษรอะลฟี กบั ลามเขามา ก็จะหมายวึ ามเฉพาะถึงพระผทู รง บรสิ ุทธิ์ ดงั ที่พระองคไ ดท รงมโี องการเจาะจงไวว า : สเู จารใู นการขนานนามใหแกพ ระองคกระน้ัน หรอื (๓) ดว ยเหตนุ ้เี องเราจงึ ไมจาํ เปนตองอธิบายคาํ วา “อลิ าฮ” นอกเหนือไปจากทัศนะที่วาความ เปนสว นทง้ั หมดอีก ในเมื่อ “คําอนั ประเสริฐ” ไดถูกวางลงบนคาํ น้ีและโดยเหตุทีว่ าคาํ นใี้ ห ความหมายทีช่ ดั เจนอยแู ลว เราจึงไมจาํ เปนแตอยางใดเลยท่ีจะหาความหมายของคาํ ทเ่ี ปน หัวขอ เรอ่ื ง สาํ หรบั สวนทัง้ หมด ใชสําหรับประเด็นท่วี า “คําอนั ประเสรฐิ ” น้ัน แมจ ะเปนท่รี กู ันอยแู ลว วา หมายถึงผูทรงเปน ศูนยร วมแหงคุณลักษณะตางๆ ทส่ี มบูรณท้งั หมด หรือทรงเปน ผสู รางสาํ หรบั สรรพส่งิ ทง้ั หลาย ก็ยังมิไดหมายความวา ทรงมีคณุ ลักษณะหรือผสู รา งท่ีอยูใ นมาตรการตา งๆ ตาม ความหมายของ “อิลาฮ” หากแตเปน การเจาะจงถึงความเปน หน่งึ เฉพาะในแงท ่ีบุคคลหนึง่ มี ลกั ษณะทีพ่ ิเศษไปจากบุคคลอ่นื หรือตามทสี่ มมติฐานขึ้น (มิใชมใี นความเปนจริง) มนั คอื เรื่องท่ี (๑) ในเหตุผลเหลานย้ี ังมที ัศนะอนื่ ๆ อกี ซ่ึงสามารถอา นดไู ดใ นหนังสือ ตาุลอุรสู เลม ๙ หมวดวา ดว ยเร่ือง “อิลาฮ” (๑) อัล-กิชาฟ หมวด ๑ หนา ๓๐ อธบิ าย บิสมลิ ลาฮ (๒) มัจมุอลุ บยาน หมวด ๑ หนา ๑๙ (๓) มุฟรอดาตรุ รอฆิบ หนา ๓๑ หมวดวา ดว ย อิลาฮ
นอกประเดน็ ที่เราจะช้ีแจงตอ ไป ความหมายของคําท้งั สองชใ้ี นประเดน็ อันเดยี วกัน นอกเหนอื จากที่เราไดกลา วไปแลว กค็ ือ วา บางครั้ง “คําอนั ประเสรฐิ ” ไดถูกนาํ ไปใชในทขี่ อง “อิลาฮ” คือ ในแงของความเปน สว นทง้ั หมด กลา วคือการใชแ ตล ะคาํ ลงในทีข่ องอีกคําหนึ่งกเ็ ปน การถกู ตอง ดงั ปรากฏในโองการของพระองค ทวี่ า “และพระองคค ือ อลั ลอฮ ในชน้ั ฟาทง้ั หลายและในแผนดนิ ทรงรูความลับและการเปด เผย ของสูเจา และทรงรูสงิ่ ทีส่ เู จา ขวนขวาย” (อัล-อันอาม-๓) ถาเราะจเปรยี บเทียบโองการนกี้ ับโองการอ่นื กจ็ ะเห็นวาตรงกัน เชน “พระองคคอื ผูซงึ่ เปน “อลิ าฮ” ท้ังในช้นั ฟาและเปน “อิลาฮ” ในแผนดิน และพระองคค ือผู ทรงปรีชาญาณ ผูทรงรอบรู” (อซั ซคุ รุฟ-๘๔) “และสูเจา อยา พูดวา มี “สาม” พวก เจาจงหยุดเสียเถิด จะเปนการดีแกสูเจา อนั ทีจ่ ริงอลั ลอฮ น้นั คือ “อิลาฮ” องคเ ดยี ว มหาบรสิ ุทธิ์ยิ่งแดพระองคจนพน ในอันท่ีบุตรจะถึงมีสาํ หรับพระองค ได” (อนั นซิ าอ-๑๗๑) “พระองคคอื อัลลอฮ ผูซ งึ่ ไมมี “อิลาฮ” อนื่ ใด นอกจากพระองคผ ทู รงเปนเจา ผทู รงบริสุทธ์ิ ทรงสนั ติ ทรงใหค วามปลอดภัย ทรงอํานาจ ทรงเดชา ทรงฤทธา ทรงเปนใหญ มหาบริสุทธ์ิเปน ของอลั ลอฮ พนจากสิง่ ทพี่ วกเขาตงั้ ภาค”ี “พระองคคืออัลลอฮ ผสู รา ง ผบู รสิ ทุ ธิ์ ผูท รงมีพระนามตา งๆ ทดี่ งี าม สง่ิ ในช้ันฟาทั้งหลาย และแผนดนิ สดุดีพระองค และพระองคค อื ผทู รงเดชาผูทรงปรชี าญาณ (อัล-หะชัร-๒๓-๒๔) ไมต องสงสัยเลยวา “คําอนั ประเสริฐ” ในโองการเหลาน้ี หมายความถึงความหมายตา งๆ ของ “อิลาฮ” ในแงข องความเปน สวนทง้ั หมด (คือความหมายวา สิง่ ตา งๆ ที่อธบิ ายมานนั้ คือ ความหมายของอิลาฮ) โองการตอไปน้ีมสี ว นใกลเคียงกันกบั โองการแรก “จงกลา วเถดิ สูเจาจงวิงวอนตอ อัลลอฮ หรือจงวิงวอนตอ ผทู รงเมตตา ไมวา นามใดก็ตามท่ี สูเจาเรยี ก ดังน้ันสาํ หรับพระองคน ้ันทางมีพระนามทัง้ หลายทดี่ งี าม” (อัล-อซั รออ- ๑๑๐) ในสองโองการนี้นบั วา ไมม ีความตา งกนั ในแงท่วี า “คาํ อนั ประเสรฐิ ” เปน คาํ จาํ เพาะในแง ของความเปน สว นท้งั หมด มใิ ชความเปนสว นยอยดังท่ีมีบางคนเขาใจ
ใช อาจมกี ารกลา ววา “คาํ อนั ประเสรฐิ ” น้ัน มาจากคาํ วา “อลิ าฮ” ตามความหมายในแงข อง การเคารพภักดี หรือมาจากคาํ วา “อลิ าฮ” ตามความหมายในแงท วี่ า ความกระวนกระวาย เพราะวา ปวงบา วจะมคี วามกระวนกระวายในเมื่อรําลกึ ถงึ พระองค หรอื มาจากคาํ วา “อลิ าฮ” ตามความหมาย ในแงท่วี า ความยําเกรงเพราะผูถ กู สรา งยอ มมคี วามยําเกรงตอพระองค หรอื มาจากคําวา “อลิ าฮ” ตาม ความหมายในแงท ว่ี า สงบเพราะผถู กู สรางจะมคี วามสงบในยามทร่ี าํ ลกึ ถงึ พระองค หรอื จะเปน คําทีไ่ ดม าจาก “ลาฮะ” ตามความหมายในแงท ว่ี า ทรงคุม ครองปอ งกัน เพราะ พระองคทรงเปน ผูป กปอ งจากการต้ังมโนภาพหรือการพรรณนาถึงพระองคใ นลักษณะอยา งน้ี (๑) แตสมมตฐิ านเหลา นเ้ี ปนเพียงการคาดคิดกันเทา นน้ั คือไมม ีหลกั ฐานอางอิ มนั จะถกู ทงั้ หมดหรอื ถกู ในบางสว นกต็ ามแตมนั กม็ ิใชห ลกั ฐานท่ีจะชใี้ หม ากไปกวาเพยี งเปน ขอ สังเกตเอาในประเด็นหนึ่งๆ แลว มาสรปุ ใหเ ปน “คาํ อนั ประเสรฐิ ” หรอื คําวา “อัล-อิลาฮ” สว น ประเด็นทวี่ า ประเดน็ ตา งๆ เหลานั้นคงอยูตอ มาจนถงึ สมัยที่อัล-กรุ อกานถูกประทานมา และกรณี ทว่ี า อลั -กุรอานนาํ คาํ ท้งั สองมาใชเ พอ่ื รักษาประเด็นตา งๆ เหลานไ้ี ว กเ็ ปน เร่ืองทไี่ มมีหลกั ฐานใดๆ ยนื ยัน เปน อนั วาความหายเหลานี้เปนลักษณะเฉพาะของคาํ วา “อิลาฮ” ดงั นั้นถาใครยดึ ส่ิงใด ข้นึ มาเปน พระเจา สาํ หรับตนเองกเ็ ทากับเขาเคารพภกั ดีสง่ิ นัน้ มอบความหวงั แกส ิ่งนั้นในยาม เดือดรอน จติ ใจของเขาจะสงบเมือ่ ขาไดร ําลกึ ถึงสิง่ น้ันและอ่ืนๆ อกี ทเ่ี ปน สวนสําคัญสาํ หรบั ลักษณะของความเปนพระเจา ถา ทา นผอู านไดสงั เกตโองการตา งๆ ท่ีมคี าํ วา “อลิ าฮ” เปนอยางอืน่ นอกเหนอื จากที่ไดอธบิ ายกับ “คาํ อนั ประเสรฐิ ” ไมว า ในประเดน็ แรกที่วา หมายถึง “ความเปน สวน ท้ังหมด” และประเด็นทส่ี องท่หี มายถึง “ความเปน ยอยก็ตาม” (๑) ดหู นงั สือ มจั ญมุอลุ บะยาน หมวด ๙ หนา ๑๙
อลั -อิลาฮห มายถึงรูปเคารพกระนั้นหรอื ? ใชแ ลว ทว่ี า นักปราชญเปน จาํ นวนมากไดอ ธบิ ายวา “อลิ าฮ” หมายถึง “รปู เคารพ” และพวก เขาก็ไดพากันอา งโองการของอลั -กรุ อานยืนยันการอธิบายเชนน้ี “เพอ่ื พวเขาจะกอการเสยี หายขนึ้ ในแผนดิน และจะเพิกเฉยตอทา นและพระเจา ของทาน” (อลั -อะรอฟ-127) โดยไดใ หความหมายตรงคําวา “พระเจาของทา น” วา หมายถงึ “รูปเคารพของทาน” มูลฐานของความคิดนี้บางทอี าจหมายถึงพระเจา ท่ที แจรงิ หรอื พระเจาทถ่ี กู อุปโลกขข้ึนมา เพือ่ ทาํ การเคารพภักดี อยูต ลอดมาของมวลมนษุ ยช าติทง้ั หมดกไ็ ด ดวยเหตุนี้คาํ วา “อัล-อลิ าฮ” จึง ไดรบั การอธิบายวา หมายถึง “รปู เคารพ” ถึงกระน้ันก็ตาม รูปท่ไี ดร บั การเคารพภกั ดีน้ัน มิได หมายถึงอลั -อลิ าฮ และความหมายของมนั กม็ ไิ ดเปนของรากศพั ทเดิม หลักฐานอันชัดเจนที่แสดงวาอลั -อลิ าฮมิไดห มายถึง “รปู เคารพ” ก็คอื ประโยคอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ท่วี า “ไมม ีพระเจา อน่ื ใดนอกจากอัลลอฮ” (ลา อลิ าฮะ อลิ ลั ลอฮ) กลาวคอื ถาหากปรากฏวา ความหมายของอัล-อิลาฮคอื “รูปเคารพ” แลว แนน อนทีเดยี วประโยคนี้จะตองเปน เทจ็ ไปเลย เพราะ เปน ทย่ี อมรับกันวา รปู เคารพทน่ี อกเหนือจากอัลลอฮในโลกนีม้ ีมากนับจํานวนเปน พนั เมื่อเปน เชนนแี้ ลวจะสามารถปฏเิ สธวา ไมมสี ง่ิ ถกู เคารพทีน่ อกเหนอื จากอลั ลอฮไดอยางไร โดยเหตนุ ้ผี ทู ่ีกลา ววา “อัล-อิลาฮ” หมายถงึ “รูปเคารพ” พยายามทจ่ี ะเนน คาํ วา “โดย แทจรงิ ” เขาไปขางหลงั คําวา “อิลาฮ” เพอื่ จะไดเปน ประโยคดงั นี้คือ : “ไมมีพระเจา (ทีแ่ ทจริง) นอก จากอัลลอฮ” (ลาอลิ าฮะ (บิฮัก) อิลลัล ลอฮ) จนไดความตามรปู ของความเขาใจนี้ แตไ มต อ งสงสยั เลยวา การใสค าํ วา (ที่แทจ ริง) เขาไปท่ีตรงนี้ยอมผิดพลาดโดยแท แมวา เปา หมายของ “ประโยคอัน บรสิ ุทธิ์” จะหมายความวา ปฏเิ สธตอ พระเจา (อลิ าฮ) ใดๆ ในโลกนี้นอกเหนอื จากอัลลอฮก็ตาม และ สําหรับความหมายนี้ (พระเจา ใดๆ) ยอมไมใ ชความจรงิ ของสิ่งอนื่ อยางเด็ดขาดนอกเหนือจาก อลั ลอฮ และความเขา ใจเชน นก้ี ็มิไดเขากนั กับคาํ กลา วทว่ี า “อัล-อิลาฮ” นัน้ คือ รปู เคารพในขณะทยี่ ัง มี “รปู เคารพตา งๆ” ในโลกนอ้ี ยอู ีกถงึ แมวา มนั จะถกู อปุ โลกขขึ้นมาก็ตาม สําหรับประเดน็ ท่ีพหูพจนของคํานี้เปน อาลิฮะฮ ก็มไิ ดห มายความวา มนั จะหมายถึง “รูป เคารพ” หากแตเพื่อเปนหลักการของชาวอาหรับวา อาลฮิ ะฮ (พระเจาทงั้ หลาย) ในท่นี ้ีมใิ ช “อัลลอฮ” พระองคทรงกลาววา “หรือวา พวกเขามบี รรดาพระเจา (อาลอิ ะฮ) ท่คี อยยับย้งั พวกเขาใหพ น ไปจากเรา” (อัล-อัมบยิ าอ- 43) ถา ทา นตองการจะทราบถึงความเขา ใจทเี่ รามีตอคาํ วา อลั -อลิ าฮในแงของการจาํ กดั ความ ก็ ขอใหยอ นกลับไปพิจารณากจิ การตา งๆ ทเ่ี ปนเรอ่ื งของความเปน “ผูอ ภิบาล” ในทรรศนะของมนษุ ย กลาวคือผทู ่ดี าํ รงไวซ่ึงกจิ การเหลาน้ีทุกอยางหรือบางอยา งน้ัน คอื อลั -อลิ าฮ (พระเจา ) ดังน้ันงาน สรา ง งานบริหารการใหชวี ติ การใหตาย การออกกฎหมาย การวางบทบัญญตั ิ การใหอ ภัยโทษ การ
ใหค วามอนุเคราะหโดยอสิ ระทกุ ประการนั้นคอื กจิ การของ “พระผอู ภิบาล” ดงั นนั้ ผูที่ดํารงไวซ่งึ กจิ การเหลานี้อยางแทจริงหรอื ไดร บั ภาพพจนอยา งนี้เทา นน้ั เอง ที่หมายถึง “อลิ าฮ” ตามความเปน จรงิ หรอื ตามภาพพจนที่มีจินตนาการไปอยางถกู ตอ ง ในท่นี ยี้ ังมโี องการตางๆ ทแ่ี สดงหลักฐานอยา งชัดเจนวาอลั อลิ าฮ มิไดหมายถงึ อัล-มะอบูด (รูปเคารพ) หากแตห มายถงึ ผทู รงจัดระบบ ผูทรงบริหารหรอื ผูทรงคุณอาํ นาจในการบริหารหรอื มี ลักษณะทใ่ี กลเคียงกบั สิ่งน้ีตามท่ถี ือวา มันเปน งานของพระองคผ ทู รงสูงสุด ขอใหท านพจิ ารณาดู บางโองการตอ ไปนี้ “ถาหากในทั้งสองนั้นยงั มีบรรดาพระเจา (อาลิฮะฮ) นอกจากอลั ลอฮอ ยูอีกละก็ แนนอน ทั้ง สองจะตอ งเสียหาย” (อลั -อมั บยิ าอ- ๒๒) กลา วคอื หลกั ฐานทป่ี ฏเิ สธจํานวนหลากหลายของอลั -อาลฮิ ะฮ (บรรดาพระเจา) ยงั ไม สมบูรณพอ นอกจากวา เราจะถือวา “อลั -อิลาฮ” ในโองการนหี้ มายถึงผทู รงจัดระบบ ผูท รงบริหาร หรือทรงคมุ อาํ นาจในกจิ การตา งๆ หรือมลี กั ษณะท่ีใกลเ คยี งกบั ทง้ั สองเร่อื งนีเ้ ทานัน้ แตถา เราจะถือ วา อัล-อิลาฮหมายถึงอัล-มะอบ ูด (รูปเคารพ) แลว เรากยังไดห ลักฐานไมกระจางพอ เพราะวา รปู เคารพในโลกน้ีมเี ปน จาํ นวนมาก พรอมกับทย่ี ังไมมีความเสยี หายใดๆ ในระบบจกั รวาล และปรากฏ วา ในสมัยท่โี องการน้ถี กู ประทานลงมานน้ั เมอื งฮิญาซเตม็ ไปดวยอาลิฮะฮ (บรรดาพระเจา ) ในขณะทีร่ ะบบจกั รวาลกย็ ังมีเสถยี รภาพอยไู มเกดิ ความเสยี หายใดๆ เม่อื เปนเชนน้ี จงึ จาํ เปนสําหรบั ผูท่ีถอื วา “อัล-อลิ าฮ” หมายถึงมะอบูด (รปู เคารพ) จะตอง ใสคําวา “โดยแทจ ริง” (บิลฮัก) ติดตามไปดวย คือจะตอ งอธบิ ายโองการนวี้ า “ถา หากในทัง้ สองยงั มี รูปเคารพตา งๆ (ทีแ่ ทจรงิ ) อยูล ะก็ แนนอนมนั ทง้ั สองจะตองเสยี หาย คอื ในเมื่อมะอบดู ทแ่ี ทจ รงิ เปน ผบู รหิ ารและเปน ผูทรงจัดระบบแลว แนนอนวามนั จะเกดิ ความเสยี หายแกระบบของโลก เหตุผล เหลานที้ กุ ประการยังฟง ไมข ้ึน ๒- “อัลลอฮไมท รงมบี ตุ ร และไมมีอิลาฮอื่นใดรว มกบั พระองค เพราะถาเชนน้ันแลว แนน อนทุกอิลาฮก ็จะตอ งนาํ สิ่งทต่ี นสรางไป และแนน อนพระเจา เหลานนั้ บางสว นก็จะมีอาํ นาจ เหนอื กวา บางสวน” (อลั -มุนินูน-๙๑) หลักฐานในโองการนส้ี มบูรณอ ีกเชนกัน ถา เราอธบิ ายวา อิลาฮ ไปตามทเ่ี ราไดก ลาวไปแลว วา มันคอื ลักษณะความเปน สว นทั้งหมดของสง่ิ ที่คําอนั ประเสริฐ (ลฟั ซลุ ญลั ลาฮะฮ) จาํ กดั ความไว ทานอาจกลาวไดวา คาํ นีห้ มายถงึ ผสู รา ง หรอื ผบู ริหาร หรอื ผทู ่ีดํารงกิจการของตน คําท่ีเหมาะสม สําหรบั ฐานภาพอันน้คี อื ผูสรา ง และจะไดค วามตรงตามความในโองการท่ีวา อิลาฮทกุ องคก จ็ ะทรง นําสิ่งท่ตี นสรางไปบริหารกันเอง และแตละฝายก็จะวางอาํ นาจเหนอื กันและกัน
ถา เราจะถือวา อลั -อลิ าฮห มายถงึ ส่ิงถูกเคารพ เรากย็ งั ไมก ระจา งชดั ในหลักฐาน อกี ท้งั จาํ นวนอนั มากมายของมนั ก็มไิ ดสรางความเสยี หายใดๆ ข้นึ มาในโลก เหตผุ ลทร่ี ะบุถึงสภาพ ดังกลาวนีค้ ือขอ พิสูจน กลาวคอื ในโลกนม้ี ีพระเจา (อาลิ ฮะฮ) อยมู ากมาย แนนอนทีส่ ุดบรเิ วณอลั - กะอบะฮนน้ั เคยมพี ระเจา ถงึ สามรอยหกสบิ องค แตค วามเสยี หายในโลกยงั ไมเ คยเกิดขึ้นเลย ขอท่ีควรคํานงึ สําหรับผทู อ่ี ธิบายวา “อลิ าฮ” คอื มะอบดู (รูปเคารพ) ก็คือการพินิจพิจารณา ความหมายตามทีเ่ ราไดกลา วไปแลว ในโองการทผี่ านมาแลว ๓- “จงกลา วเถิดถาหากมอี าลฮิ ะฮ (บรรดาพระเจา) รว มกับพระองคเหมือนดงั ท่ีพวกเขาได กลา วแลวไซร เม่อื นนั้ แหละ แนน อนเลยวา พวกเหลานั้นตองใฝหาหนทางถงึ อลั ลอฮ ผทู รงเปนเจา แหง บลั ลงั ก” (อัล-อัซรออ- ๔๓) กลาวคือการใฝห าหนทางเพ่อื ไปใหถงึ พระองคผ ทู รงเปน เจา แหง บลั ลงั กน ั้น นบั วา เปน ลกั ษณะท่ีจาํ เปน สําหรบั ผสู รางทั้งหลาย หรอื ผูบริหาร ผูจดั ระบบหรอื สําหรับผทู ี่คุมอํานาจบริหาร โลกหรอื ผทู มี่ ีคณุ สมบตั อิ น่ื ๆ ในประเด็นนีต้ ามทเ่ี รามมี โนภาพขน้ึ ในจติ สํานึกของเราทเ่ี ปน ความหมายแหง ความเปน พระเจา สวนสิ่งถูกเคารพ (มะอบูด) จาํ นวนมากมายนัน้ ไมมีความจาํ เปน ใดๆ ในสวนนี้เลย นอกจากมลี ักษณะทีเ่ ปน ไปตามทเ่ี ราไดช แี้ จงไปกอ นแลวเทา นั้นเอง ๔- “แทจ ริงสเู จา และสิ่งทีส่ เู จา เคารพภักดีนอกเหนอื จากอลั ลอฮน้ัน เปนเชอ้ื เพลิงของ นรกญะฮันนัม สเู จาทัง้ หลายคอื ผูเ ขา ไปในมนั ถา หากวา ทัง้ หลายเหลานนั้ เปนอาลิฮะฮ (พระเจา ) แลว พวกเลหา นน้ั จะไมไดเขาสมู ันเปนแน” (อลั -อมั บยิ าอ- ๙๘-๙๙) โองการน้ีใหเหตผุ ลวา รูปปนและบรรดาเจวด็ นน้ั ตองเขาสไู ฟนรกโดยเหตุทว่ี ามนั มิใชพ ระ เจา (อาลฮิ ะฮ) เพราะถา มนั เปน พระเจา มันก็ไมไดเขานรก การอธิบายเหตผุ ลยอมเปนท่กี ระจางอยา งสมบูรณได ถาเราอธบิ ายคาํ วา อาลิฮะฮไปตามท่ี เราไดชี้แจงไปแลว กลาวคอื ผูสรางโลก หรือผบู ริหารโลกหรอื ผทู ท่ี รงจักระบบของโลก หรอื ผทู ี่มี คุณสมบัติตา งๆ แกตนเองในสวนท่ีเปนกิจการของอลั ลอฮนน้ั ยิ่งใหญเกรียงไกรเกินกวาการทจ่ี ะ ตดั สนิ ใหเ ขาตกนรกและเปนเชือ้ เพลิงของนรกญะฮนั นมั คาํ อธิบายเรื่องนย้ี อ มผิดเพ้ยี นไปทันที ถา เราถือวา อิลาฮห มายถงึ “รปู เคารพ” กลาวคือ จะได คําอธิบายท่ีไมสมบูรณ เพราะเปนทแ่ี นน อนเหลือเกนิ วา สิง่ ตางๆ ทีถ่ ูกเคารพภักดนี ั้นยอมเปน เชอ้ื เพลิงของนรกญะฮนั นมั แตถา จะใหเ ขา ใจอยางกระจา งชัดในโองการตา งๆ ทมี่ ีคาํ วา อิลาฮแ ละ อาลฮิ ะฮ (พระเจา ) ปรากฏอยูก็จะตอ งเปนไปตามเหตุผลท่เี ราไดอ ธบิ ายไปแลว ขอใหท านได พจิ ารณาในโองการของพระองคท ่ีวา “ดังน้ัน อลิ าฮข องสเู จา คอื อลิ าฮเดยี ว ดงั นั้นสเู จาจงยอมจํานนตอ พระองคแ ละจงแจง ขา วดี แกผ สู อบอยา งภักดเี ถดิ ”
(อัล-ฮจั ญ- ๓๔) กลา วคอื ถา หากวาจะอธิบายคําวา อลั อิลาฮ (พระเจา ) ในโองการนวี้ าหมายถงึ มะอบ ดู (รปู เคารพ) แลว กเ็ ทากบั เปน การโกหก เพราะเปนทแ่ี นนอนอยวู า รูปเคารพในสงั คมมีเปน จํานวนมาก ดวยเหตนุ ้ีกระมัง จึงมกี ารใสค าํ วา “อยา งแทจรงิ ” เขา ไปตอทา ยคาํ วา อลั -อิลาฮในท่ตี รงน้ี คือ หมายถึงส่ิงท่ีถูกเคารพอยางแทจ ริงนั้นคืออิลาฮเดียว แตถา เราอธบิ ายคําวา อิลาฮไ ปตามความหมาย ผวิ เผนิ ตามที่รงมผี ลงานปรากฏอยูในโลก เปน ตนวา การบริหาร, การจดั ระบบ, การให คุณประโยชน, และปดปองทุกขภัยโดยอิสระแลว กจ็ ะถือวาถูกตองสาํ หรับการทจ่ี ะจาํ กดั ความอยาง นี้ใหแกค าํ วา อลิ าฮใ นแงหนึ่ง โดยไมจําเปน ตอ งอาศยั คําอธิบายอน่ื แฝงอยอู กี เลย ในเม่ือเปน ที่รู กนั อยแุ ลววา ในชีวิตของนนุษยแ ละสังคมของมนุษยน ั้น ไมม ีพระเจาอนื่ ใดอกี เลย ทจ่ี ะมคี ณุ ลกั ษณะ ตามท่ีเราไดกลาวไปแลวน้ี เราไมตองการที่จะกลา ววา : อัล-อลิ าฮ หมายถงึ ผสู ราง ผูบรหิ าร ผใู หชีวติ ผูใหต าย ผชู ว ย เหลอื ผอู ภัยโทษ ในเม่อื ไมอ าจตคี วามคาํ วา อัล-อิลาฮออกมาใหเ ขาใจได นอกจากจะเปนความหมาย ตรงตัวเทา น้นั แตคณุ ลักษณะตางๆ เหลานี้ คือพ้ืนฐานที่ชี้ไปยงั ความหมายตรงตัวอันนี้ อยางไรก็ดี สภาพการณข องคณุ ลักษณะนน้ั ๆ เปน ความหมายทีร่ องรบั สาํ หรบั คําดังกลา ว ดังเชนกรณที ่วี า สภาพการณของพระองคคอื เปนผูทรงมอี ํานาจเหนือทกุ สวนในโลกน้อี ยางมีอิสระโดยมิไดเกี่ยวพัน อยกู บั ส่ิงอื่นเลย เปนการใหค ําจาํ กดั ความทชี่ ไ้ี ปยงั ความหมายตรงตวั ตามท่ีเราไดรบั มาจากคาํ วา อิ ลาฮ มิไดห มายความวา มนั คอื ตวั แทของความหมายนั้น เม่อื ถึงจุดน้ี ทานผุอ า นก็พอจะเขา ใจความหมายของคาํ วา อัล-อลิ าฮและอลั -อุลวุ ียะฮ ไดแลว วา มันมไิ ดหมายถงึ มะอบ ดู (รปู เคารพ) หากแตค วามหมายของมันกค็ อื ความหมายทม่ี าจากคาํ วา “อลั ลอฮ” นั่นเอง เพยี งแตวา มันเปน คําท่มี ีความหมายเฉพาะเสียคาํ หนง่ึ และเปน คําทม่ี ีความรวมใน สว นทง้ั หมดเสยี อีกคําหนง่ึ เทานน้ั เอง เรายังจะตองหาความหมายของคาํ วา ร็อบ (พระผูอ ภบิ าล) และ อัรรุ บบุ ยี ะฮ (ความเปนผู อภบิ าล) ตอไปอีก ซึง่ เปน คําทีไ่ ดรบั การอธบิ ายไวอยางมากมายไวอยางมากมายในขอ เขียนตางๆ ของพวกวะฮาบีย : ความหมายของ อัรรอ็ บ และอัรรุบบุ ียะฮ “อัร-รอ็ บ (พระผอู ภบิ าล), อัล-มาลิก (ผทู รงอภสิ ิทธ์ิ), อัล-คอลิก (ผูส รา ง) อัศศอฮิบ (ผเู ปน เจา ของ) “อัร-รอ็ บ” คือ “ผคู รอบครองสิ่งใดสงิ่ หนึ่งไวอ ยางดี” มีคํากลา วกันวา “นายคนนั้นดูแล (ร็อบ) ท่ีดินของตนโดยท่เี ขาดาํ เนนิ การปรับปรงุ มนั ใหดขี ้นึ และทาํ การดแู ลรักษา (ร็อบ)” อัลลอฮ ทรงเปน อรั ร็อบ (พระผอู ภิบาล) ก็เพราะเนื่องจากวา “พระองคืทรงเปนผูป รับปรงุ สภาพของสิ่งที่ พระองคสรา งอยางดี “ผเู ปนอัรร็อบ” คอื ผูที่ดาํ เนนิ การดูแลรกั ษา” (๑) (๑) หนงั สือ มะกอยีซ อัลลเุ ฆาะฮ หมวด ๒ หนา ๓๘๑
ทานฟยรซู อาบาดยี ไดเขียนไวว า : “ร็อบทุกส่ิงทุกอยาง หมายถึง “เปน ผมู ีอภิสทิ ธิใ์ นสิ่งน้ัน เปน เจา ของสง่ิ นนั้ ...” ร็อบในกจิ การใดๆ หมายถงึ : การปรบั ปรุงกจิ การน้นั ๆ อยา งดี (๑) ในพจนานุกรมมุนญิด มีกลาวไววา : “อรั ร็อบ หมายถึง เปน เจา เปนผปู กครอง เปน นาย” ในหนังสอื ทีเ่ กย่ี วกบั ภาษาและพจนานุกรมตางๆ เลม อนื่ ๆ ก็ยงั ใหความหมายในทํานอง คลา ยๆ กันนี้ คาํ วา รอ็ บ (พระผูอภบิ าล) มหี ลายความหมายหรือ? หนาทีข่ องหนงั สือท่ีอธิบายหลักภาษาและพจนานุกรมตางๆ คอื การอธบิ ายความหมายของ คาํ ตา งๆ ใหเขา ใจ ไมว า ท่ีทาํ ไปนั้น จะเปน การอธิบายไปตามที่คาํ นนั้ หมายถงึ หรือเปลา สวนกรณี ของความหมายทีถ่ กู ตองและการแยกแยะใจความที่แทจ รงิ ออกจากความหมายอนุโลมน้นั อยู นอกเหนือขา ยงานของหนังสือที่เก่ียวกบั ภาษา น่คี อื ขอ บกพรองทีเปนขอ พิสูจนอ นั ชัดเจนประการหนึ่งของหนังสือที่เก่ยี วกับภาษาและ ปทานุกรมตา งๆ ในขณะที่ประชาชนมักจะไดพบวา ในคาํ หนง่ึ ๆ มีความหมายที่ตางกช็ ดั เจน และ แนนอนอยูตัง้ หลายความหมาย จนถึงกับทําใหค ิดไปวา ในสมัยแรกๆ นั้น ความเขา ใจของคน อาหรบั ทมี่ ตี อ คําๆ น้มี ีถึงสบิ ความหมายในสิบกรณี แตหลังจากทีไ่ ดทาํ การวเิ คราะหแ ละศึกษาแลว ก็เปน ทเี่ ขาใจวา สาํ หรบั คาํ ๆ นไี้ มมีความหมายอน่ื ใดนอกจากความหมายเดียวเทา น้นั สว น ความหมายอยางอนื่ ทีถ่ กู เอยถงึ เปนเพียงสาขาของความหมายทเี่ ปนพ้นื ฐานอันแทจ รงิ นับเปนความบังเอิญอะไรเชนนั้น ที่คําวา รอ็ บ กเ็ ปน คาํ หน่ึงทมี่ คี วามเปน ไปตามบรรทดั ฐานอันนี้ แมก ระทงั่ นกั เขียนอยางทา นเมาดดู ี ก็ยังคิดวา คาํ นีม้ ีหา ความหมายตามรากศัพทเดิม และ ทา นกไ็ ดกลา วถงึ ความหมายทง้ั หา อยา งโดยอางหลกั ฐานจากอลั -กุรอาน ไมต องสงสัยเลยวา คาํ วา รอ็ บ ท่ีไดถูกใชในอลั -กุรอานและภาษาในประโยคตอไปน้ี เปน ความหมายท่ีกวา ง และยนื ยนั ถงึ ลักษณะตา งๆ ของความหมายเดียวเทาน้นั ขอใหท านไดพจิ ารณาดปู ระโยคและขอ พิสูจนต อไปน้ี 1- การเล้ยี งดอู บรม (อัต-ตัรบยี ะฮ) เชน ผอู บรม (รอ็ บ) บตุ ร 2- การปรับปรุงและดูแลรกั ษาอยา งดี (รอ็ บ) เชน การดูแลรักษาท่ดี ิน 3- รัฐบาลและฝา ยบริหาร เชน เขาคนนัน้ ไดด ูแลรักษา (รอ็ บ) ประชาชนของเขาและทาํ ให ประชาชนเหลา นัน้ ดําเนนิ การปฏิบตั ติ ามเขา 4- ผมู ีสิทธ์ิ ดังปรากฏในฮาดษี ของทา นนบี (ศ) ทว่ี า “เจา ของ (รอ็ บ) ปศุสตั ว หรือเจา ของ (ร็อบ) อฐู ” 5- เจา ของ ดังเชน คาํ พดู ของทานท่ีวา : เจา ของบา น (รอ็ บบดุ ดาร) หรือที่อัล-กุรอานได
กลาววา : “ดังนั้น พวกเขาจงไดเ คารพภกั ดีเจาของ (รอ็ บ) บานแหงนี้” (อลั -กุรอ็ ยช-๓) ไมตอ งสงสัยเลยวา คาํ ๆ นีไ้ ดถูกนาํ มาใชใ นประโยคเหลานี้และประโยคที่คลายคลงึ กันได แตท งั้ หมดกต็ องยอนกลับไปยงั ความหมายเดียวท่เี ปนพ้ืนฐานเดมิ และความหมายเหลาน้กี เ็ ปนเพียง ขอพสิ ูจนและลักษณะอันหลากหลายของความหมายทีเ่ ปน พื้นฐานเดิมท่ีแทจรงิ อันเดยี ว คือการให ความหมายในแงข องความเปน ผูอภิบาล, ปรับปรุงดูแล, บริหารกิจการ, และเล้ียงดอู บรม กลา วคือ เมือ่ มกี ารกลา วถึงเจา ของสถานทเี่ พาะปลูกวา เขาคือรอ็ บของท่ีดินแหงน้ัน ก็เปน เพราะวา ความเปนไปของงานเพาะปลูก เก่ียวของกับเขาและอยใู นกาํ มอื ของเขา เมื่อเราเรยี กผทู ท่ี าํ การปกครองคนพวกหนง่ึ ในลักษณะของรอ็ บ ก็เปน เพราะวา กิจการท้งั ปวงของคนพวกนัน้ ข้ึนอยกู ับเขา ดังน้ันเขาจึงเปน ผูนาํ ของเขาเหลานนั้ และเปนผทู รงสิทธิ์ในการ บริหารและจดั ระบบในกิจการตางๆ ของพวกเขา เมื่อเราเรยี กเจา ของอาคารและผูมีสิทธิ์ในอาคารนั้นวารอ็ บ กเ็ พราะวา อาคารน้ันขึ้นอยูกับ เขาทั้งหมด ไมวา ในเรอื่ งการบรหิ าร จัดการในดา นใดที่เก่ียวกับอาคารลว นเปนไปตามท่เี ขาตอ งการ ทง้ั ส้ิน โดยเหตุน้เี องผูเลี้ยงด,ู ผปู รับปรงุ ดูแล, หัวหนา , ผูทรงสิทธ์ิ และเจา ของตลอดถึงคาํ อืน่ ๆ ท่ี คลา ยคลงึ กัน ลวนเปน ขอพิสจู นแ ละรปู แบบสําหรับความหมายอนั เดียวท่ีเปน พื้นฐานโดยแททมี่ อี ยู ในทกุ ความหมายดงั กลา วนี้ และจาํ เปน ทวี่ า เราจะตอ งไมถ อื วา ความหมายเหลา นน้ั คือลักษณะ จาํ แนกจากกันและแตกตา งกันของคาํ วา ร็อบ หากแตความหมายทแี่ ทจริงและพื้นฐานเดิมของคาํ นี้ คอื : ผทู ี่มีอาํ นาจในการบรหิ าร, จดั การ, ดาํ เนนิ การ, อยุใ นกํามือของตน และนี่คือความหมายรวมใน สวนท้ังหมด (กลุ ลีย) และมีความเปนจรงิ อยูใ นขอ พสิ ูจนแ ละขอ ความในหาประโยคดังกลา วขา งตน ทัง้ หมด (การเลีย้ งดอู บรม, การดูแลรกั ษาการเปน ผปู กครอง, การเปนผูมสี ิทธ์ิ, และการเปน เจา ของ) ดังนั้น เมอ่ื ทานนบียูซุฟ อัศศิดดีก (ความสันติพงึ มแี ดทาน) ไดเรยี กอาซีซแหงอยี ิปตวา รอ็ บ ดังทีไ่ ดกลาววา : “แทจริงเขาเปน รอ็ บ (ผูเ ลย้ี งดู) ของฉนั ไดใหทีอ่ ยอู นั ดงี ามแกฉ ัน” (ยซู ุฟ-23) ก็เปนเพราะยซู ฟุ ไดถูกเล้ียงดใู นบานของอาซซี แหง อียปิ ต และปรากฏวา อาซซี เปน ผู รับภาระในการเล้ยี งดูเขาและเอาธรุ ะในเรอื่ งของยูซุฟ และเมอื่ เขาไดเรียกอาซีซแหงอียิปตวา เปนรอ็ บของเพอ่ื นชาวคกุ ของเขาวา “สวนคนหนึ่งจากทา นทง้ั สองคนน้ัน เขาจะไดรนิ สรุ าใหแกรอ็ บ (นาย) ของเขา” (ยูซุฟ-41)
ก็เปนเพราะวา อาซซี แหง อยี ปิ ตค ือประมุขของประเทศอยี ปิ ตแ ละเปนหัวหนา และเปน ผูบริหารกจิ การตา งๆ ในประเทศอยี ปิ ตื อกี ท้งั ยังเปนกษัตรยิ อ กี ดว ย เม่ืออลั -กุรอานไดกลา วถงึ พวกยวิ และพวกคริสเตียนวา คนพวกนั้นไดยึดถอื เอานักปราชญ ของพวกเขาเปน พระเจา (อรั บาบ) โดยกลาววา : “พวกเหลา น้นั ไดยึดเอา นกั ปราชญแ ละนกั บวชของพวกเขาเปน พระเจา นอกเหนอื จาก อลั ลอฮ (อัรบาบ)” (อัตเตาบะฮ- 31X ก็เพราะเหตวุ า คนเหลาน้ัน เอาพวกเขามาเปน ผวู างบทบัญญตั แิ ละถือวา พวกเขาเปน เจา ของ อํานาจและกฎเกณฑ ซ่งึ ความจริงแลว มันเปน สทิ ธิเฉพาะสาํ หรับอลั ลอฮ เม่อื อลั ลอฮทรงเรียกพระองคเองวา “ร็อบบุลบยั ต” กเ็ พราะวา กินการแหง อาคารแหงน้ี ท้งั หมดไมว า ภายนอกหรือภายในลวนเปนของพระองคแตผ ูเดียวและสทิ ธิในการจดั การอาคารแหง น้กี ม็ ิไดเปน ของผูใดเลย นอกจากพระองค เม่อื อัล-กรุ อานไดกลา วถึง “อัลลอฮ” ดว ยคาํ วา : “พระผอู ภิบาล (ร็อบ) แหงช้นั ฟา ทงั้ หลายและแผนดนิ ” (อศั ศอ็ ฟฟาต-๕) และโองการทวี่ า : “พระผูอ ภบิ าล (รอ็ บ) แหงดวงดาวอชั ชอิ รอ” (อนั นัจญมุ-๔๙) ตลอดจนถงึ โองการที่คลา ยคลึงกันน้ี ก็เปนเพราะวา พระองคคอื ผูท รงบรหิ าร ทรงจดั การ และทรงจัดระบบตา งๆ ในส่งิ นน้ั ๆ กับคาํ อธบิ ายอยางนี้ เราจงึ จะสามารถเขา ใจในความหมายที่แทจรงิ ของคาํ วา อรั รอ็ บ ตามที่ ไดถกู ระบุอยใู นโองการตางๆ ของคมั ภรี อ นั ทรงเกียรติ ท่รี ูกันอยางแพรหลายในพวกวะฮาบยี ก ค็ อื การแบงหลกั เอกภาพออกเปน : ๑- หลักเอกภาพ ในความเปน ผอู ภิบาล ๒- หลักเอกภาพในความเปนพระเจา โดยอธิบายวา : แทจ ริงหลักเอกภาพในความเปน ผูอภบิ าลตามความหมายทว่ี าเชอ่ื ม่ันตอ ผสู รางองคเดยี วของจกั รวาลน้ี เปน เรื่องทม่ี ีความสอดคลองกนั อยูในหมชู นผตู ้งั ภาคที ้ังมวลในสมัย ท่ีอิสลามเริ่มเผยแพร สว นหลักเอกภาพในความเปนพระเจา กลา วคือหลกั เอกภาพในการเคารพภกั ดีตาม ความหมายทีว่ า จะตองไมเคารพส่ิงอ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮนน้ั แนนอนความพยายามของทาน ศาสนทูตผทู รงเกียรติน้ันไดทุมเทลงไปเพื่อการนี้ เปนความจริงที่วา หมูชนผตู ั้งภาคีทงั้ มวลในสมัยท่อี ิสลามเผยแพรน้นั มีความสอดคลอ ง ตรงกนั ในประเด็นของหลักเอกภาพแหง ความเปนผูสรางโดยไมม ขี อ สงสัย แตการใชคําเรียก “หลัก
เอกภาพแหงความเปนผสู ราง” วา เปน “หลักเอกภาพแหง ความเปนผูอ ภิบาล” นั้น ผิดพลาดและ คลุมเครือ ท่ีเปนเชนนกี้ ็เพราะเหตวุ า ความหมายของ “อัรรุบบู ยี ะฮ” (ความเปน ผอู ภิบาล) ไม เหมือนกับอัล-คอลกิ ียะฮ (ความเปนผสู รา ง) ดงั ที่คนพวกนีส้ ับสนกันอยหู ากแตมนั หมายถึง การ บรหิ าร และดาํ เนนิ กนิ การความเปน ไปของโลก ตามทีเ่ ราอธิบายอยา งชดั เจนผา นไปแลว และความ เขาใจอันนี้ เราก็ไดอ ธบิ ายไปแลว วา มไิ ดเ ปนเร่ืองทม่ี ีความสอดคลองตรงกนั แตอ ยา งใดในหมูชนผู ต้งั ภาคแี ละบรรดาผทู ี่บชู าเจวด็ ในสมัยท่อี ิสลามไดเ ริม่ เผยแผ เหมือนดังท่คี นพวกนีอ้ างไวเลย ใชแ ลว ทวี่ ามพี วกหนงึ่ ทีเ่ ปนปญ ญาชนในหมชู นยคุ งมงาย (ญาฮีลนี ) เชอื่ ม่นั วา ไมมี ผบู ริหารอ่ืนใดในโลกนอกจากอัลลอฮ แตคนสวนใหญน้ันเช่ือม่ันวามีผูบ รหิ ารและดําเนินกิจการ ของโลกหลายองค และขอ สรุปอนั น้ี กม็ าจากโองการในอัล-กรุ อานหลายแหง ประกอบกับทไ่ี ดอาง มาแลว ดว ย ในท่ีนเี้ ราจะตง้ั ขอ สงั เกตแกพวกวะฮาบยี ท ี่ใชช่ือเรยี ก “หลักเอกภาพในความเปนผสู ราง” วา “หลกั เอกภาพในความเปน ผูอภบิ าล” ใหมาพจิ ารณาโองการตา งๆ ตอ ไปน้ี เพ่ือเปนที่เขา ใจ สําหรบั พวกเขาวา การเผยแพรท ่ีนําไปสู “หลักเอกภาพในความเปน ผอู ภิบาล” นนั้ มิไดหมายถึงการ เผยแพรที่นาํ ไปสู “หลักเอกภาพในความเปนผสู รา ง” หากแตมนั คอื การเผยแพรที่นาํ ไปสู “หลัก เอกภาพในความเปน ผบู รหิ าร” และ “ดาํ เนินกจิ การ” แนนอนที่สดุ หมูชนผูตงั้ ภาคีในสมยั น้ัน เปนผู ทเี่ ขา ใจความหมายในหลักเอกภาพแหงความเปน ผูอ ภิบาลผิดพลาดและสับสน อีกท้ังเชอ่ื มัน่ วา ผบู ริหารมอี ยูหลายองค ถึงแมจ ะมีความเชอ่ื ม่ันในความเปนองคเดยี วของผสู รางอยูก็ตาม เปนไปไมไดเ ลยท่เี ราจะอธบิ ายคําวา “รอ็ บ” ในโองการเหลา น้วี า หมายถึง “ผสู ราง” และ “ผูท ําใหม ”ี ขอใหทานโปรดพิจารณาบางโองการตอไปน้ี ก- “ถูกแลว ร็อบ (พระผูอภบิ าล) ของพวกทานคือรอ บ (พระผอู ภบิ าล) แหงชนั้ ฟา ทง้ั หลาย และแผนดนิ ซ่ึงพระองคท รงบันดาลสิ่งเหลานน้ั ” (อลั -อัมบยิ าอ- ๕๖) กลาวคอื ถา หากคําวา “ร็อบ” ตรงนี้ หมายถึง “ผูสราง” และ “ผูทําใหม ”ี แลว แนนอน วรรค ทว่ี า “ซึง่ พระองคทรงบนั ดาลสิ่งเหลานั้น” ก็จะเปน สวนเกนิ โดยเหตผุ ลท่ีวา หากเราวางคาํ วา “ผูสราง” ลงตรงท่ีของ “รอ็ บ” ในโองการนแ้ี ลวแนนอน เราสามารถรูไดท ันทเี ลยวา ไมม ีความ จําเปน จะตอ งมวี รรคดงั กลา วอีกเลย (หมายถงึ -ซ่งึ พระองคท รงบันดาลส่ิงเหลา น้ัน) ซึ่งผดิ กบั กรณที ี่ ถา หากวา “รอ็ บ” หมายถงึ “ผบู ริหาร” และ “ดําเนนิ กิจการ” กลา วคือในลักษณะนจ้ี ะทาํ ใหวรรค หลงั ไดรบั ความจําเปน ขึน้ ทันที เพราะเหตวุ า วรรคนเ้ี ปน “อิลละฮ” (เหต)ุ สาํ หรับวรรคแรกแลวจะ ไดใ จความอยางน้ีวา : แทจ รงิ ผสู รา งจกั รวาล คอื ผทู รงดาํ เนนิ กจิ การ และผทู รงสทิ ธิสําหรบั การ บริหารจักรวาล ข- “โอมนษุ ย สเู จา จงเคารพภกั ดีรอ็ บ ของสเู จาซึง่ ไดสรา งสูเจา”
(อลั -บะเกาะเราะฮ- ๒๑) กลาวคอื คําวา “ร็อบ” ในโองการนีม้ ไิ ดมีความหมายวา “คอลิก” (ผูสรา ง) และน่ีกเ็ ปนไป ตามทีเ่ ราไดกลาวมาแลวในโองการกอน คอื ในกรณที ีถ่ าหากวา “ร็อบ” หมายถงึ “ผสู ราง” แลว กไ็ ม ตอ งกลา ววรรคตอไปดว ยคาํ ทีว่ า “ผูซึง่ ไดสรา งสเู จา ” อีกโดยผิดกันกับกรณีที่ถา หากวา เราบอกวา “ร็อบ” หมายถึง “ผบู รหิ าร” ประโยคท่ีวา “ผูซึง่ ไดสรางสูเจา ” ก็จะเปน อิลละฮ (เหตุ) สาํ หรบั เอกภาพในความเปน ผูอภิบาล กลา วคอื เมือ่ เปนเชนนีแ้ ลว ความหมายก็จะเปน ดังน้ี : แทจ รงิ ผูท ่ีสราง สูเจาคอื ผทู รงบรหิ ารสูเจา ค- “จงกลา วเถดิ นอกเหนอื จากอัลลอฮกระนน้ั หรอื ทฉี่ ันจะแสวงหามาเปน ร็อบ (พระผู อภิบาล) ขณะที่พระองคคือร็อบของทกุ ส่ิง” (อัล-อนั อาม-๑๖๔) โองการนก้ี ลา วถงึ เรื่องทวี่ า พวกต้งั ภาคใี นสมยั ท่อี สิ ลามเร่มิ เผยแพรนนั้ มคี วามขดั แยงกัน กับทา นศาสนทตู ผูท รงเกียรติ (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เรญิ แดท า นและวงศวานของทา น) ใน ประเด็นทเี่ ก่ียวกับพระผอู ภิบาลแหง สากลโลกและปรากฏวา ทา นนบีผยู ่ิงใหญ ไดเ ปนหลักประกัน วา ทัศนะและความเช่ือของพวกเขาเหลาน้นั ผิดพลาด และทานจะไมเ อาส่งิ อน่ื นอกเหนือจากอัลลอฮ มาเปนผูอภิบาล โดยแตกตางไปจากความคดิ ทพ่ี วกเหลา นัน้ มอี ยู เปน หลกั ฐานท่ีแนนอนอยา งหนง่ึ ก็ คอื วา ความขดั แยงทที่ านนบีมตี อ พวกตั้งภาคีนัน้ มิไดเ กีย่ วกบั ประเด็นของ “เอกภาพในความเปน ผสู ราง” ดว ยเหตุผลทีว่ า โองการตา งๆ ทีผ่ า นมานัน้ เปน หลกั ฐานอยูไมนอ ยเลยวา พวกเขายอมรับอยู แลววา ไมมีผสู รา งองคอ ่ืนอีกเลย นอกเหนือไปจากอลั ลอฮ ผูทรงสงู สุด ดวยเหตนุ ้จี งั ไมมีทางเลย่ี ง ไปจากการยอมรับวา ความขดั แยงดงั กลา ว อยนู อกประเด็นเกี่ยวกบั เรื่องผูสราง และหาใชขดั แยง กัน ในประเดน็ อ่ืนใดไม นอกจากในประเด็นของการบรหิ ารจกั รวาลจะเปน บางสว นหรือท้งั หมดกต็ าม ง- “ฉันมใิ ชร ็อบ (พระผูอภบิ าล) ของสูเจาดอกหรือ? พวกเขากลา ววา ใชเ รายนื ยนั เพอื่ ทวี่ า ในวันฟนคนื ชีพ สูเจาจะกลา ววา แทจรงิ เราลมื เรอื่ งน”ี้ (อัล-อะรอฟ-๑๗๒) กลาวคอื ในโองการนีอ้ ัลลอฮทรงถอื เอาหลกั เอกภาพแหง ความเปนผอู ภิบาลเปนพนั ธะกรณี กับมนษุ ยท ง้ั มวล เหตุ (อิลละฮ) ที่เปน เชนน้ี ก็ไดแกเร่ืองท่ีพระองคไ ดกลา ววา พระองคจะอธุ รณแ ก บาวของพระองคเก่ียวกับเรื่องนใ้ี นวันฟนคืนชพี ดงั ที่พระองคมโี องการวา : “หรอื ที่สเู จาจะกลาววา อันทจี่ รงิ นั้น บรรพบุรุษของเราแตคราวกอนตา งหากทตี่ ้ังภาคี และ เราเปน เชื้อสายท่มี าภายหลังพวกเขา ดงั น้ันพระองคจะทาํ ลายลา งเราไปกับสง่ิ ทผ่ี ผู ิดทัง้ หลายได กระทาํ กนั กระนั้นหรือ” (อัล-อะรอฟ-๑๗๓)
เมือ่ เขาใจเชน น้แี ลว เราก็จะขอกลาววา : โองการน้ไี ดถูกประทานลงมาในเร่ืองของชุมชนผู ตัง้ ภาคี เปน หลักฐานที่แนช ัดวา มพี วกหน่ึงในชุมชนนั้นท่ีขดั แยง ในพันธะกรณอี ันน้ี ฉะนน้ั ปรากฏ วา ความหมายของ “รอ็ บ” คอื “ความเปนผูสราง” ก็ตอ งถือวา ชมุ ชนน้ันขดั แยง กบั ทา นนบีในเรอื่ ง ของ “ผูสราง” แตความจริงมอี ยวู าในสมยั ที่อิสลามเริ่มเผยแพรน ้ัน ไมม คี วามขัดแยง กันในประเด็น “หลักเอกภาพของผสู ราง” กลา วคอื พวกต้ังภาคีในสมัยนั้นมิไดขัดแยง กนั ในประเดน็ น้ีจนถงึ ขนาดที่ ถูกยอมรบั วาเปน พวกท่ีขัดแยง ตอพันธะกรณดี งั กลาว ฉะนั้นจงึ ไมมีทางเลี่ยงอกี แลววา ในครั้งน้ัน ความขดั แยง จะตองมใี นเรื่องการบรหิ ารโลกและการดาํ เนินกิจการของจักรวาล ดว ยขอพิสนู ดังกลาวนี้ ความหมายของ “ร็อบ” ในโองการท่ีไดอธิบายไปแลว น้ีคอื “ผบู ริหาร” จ- “สูเจาจะสังหารชายคนหน่ึง โดยเหตทุ ี่เขากลา ววา ร็อบ(ผอู ภิบาล) ของฉนั คืออัลลอฮกระ น้ันหรือ และโดยแนนนอเขาไดนําหลกั ฐานจากร็อบของสูเจา มายงั สูเจา ” (ฆอฟร-๒๘) โองการทเี่ กย่ี วพนั กับเร่ืองของมอุ มิน วงศว านของฟร อาวน ซึง่ ใหการสนบั สนนุ ทา นนบมี ู ซา (ความสันตสิ ุขพึงมีแดทาน) อยูเบื้องหลงั ความเปนพวกพอ งของวงศวานแหงฟร อาวน และเขา ไดใ ชความพยายามอยางเงยี บๆ เพื่อขจัดภยั อันตรายใหพนไปจากทา นนบที ย่ี ง่ิ ใหญผูน้ี สวน หลักฐานทว่ี า โองการนแ้ี สดงวา “รอ็ บ” มอบหมายถึง “ผูบรหิ าร” นนั้ เปนท่ีชดั แจง เพราะเหตวุ า ฟร อาวนนนั้ ไมเ คยอา งตนถึงความเปน ผสู รางฟาและแผนดิน และมิไดต้ังภาคกี บั อัลลอฮในเรือ่ งการ สรางโลกและการใหโลกบังเกดิ ขึ้นมา ความจรงิ ขอน้ีประวตั ศิ าสตรเกีย่ วกับเร่ืองของฟร อาวนได ยนื ยนั ไวเชนกัน และในลักษณะเชน น้ี การเผยแผข องทา นนบีมูซาที่วา : รอ็ บของฉัน คอื อลั ลอฮน้ัน จาํ เปนเหลอื เกินที่จะตอ งหมายความวา จาํ กดั ขอบเขตของการ “บรหิ าร” ไวกับอลั ลอฮ มิใชเ ผยแผ ในประเดน็ เก่ียวกับ “การสรา ง” และถา หากเปน การเผยแผใ นประเด็น “การสราง” และ “การให บังเกดิ ” แลว กจ็ ะไมมคี วามขัดแยง ถกเถยี งใดๆ กนั เลย ระหวา งทา นนบีมูซากบั ฟรอาวน ในขณะท่ี ความจริงมีอยูวา ฟรอาวน นนั้ ยอมรับวา “ผูสราง” คืออลั ลอฮ ดังทีเ่ ราไดก ลา วไปแลว ประกอบกบั ทอ่ี ลั ลอฮไดท รงกลา วไวใ นโองการกอ นน้ันวา : “และฟร อาวนไดกลาววา พวกเจา จงปลอยใหฉันสงั หารมซู าเถดิ และจงปลอ ยใหเ ขาวอน ขอตอร็อบของเขา เพราะแทจ ริงฉันกลัววา เขาจะเปล่ียนศาสนาของพวกเจา ” (ฆอฟร-๒๖) กลาวคอื หลกั เอกภาพในเรอื่ ง “ความเปน ผูสรา ง” น้ันมิไดเ ปน ประเด็นของความขดั แยงจน ถึงกับวาการเผยแผข องมูซาทีม่ ีตอ ชาวนบีอิรอเอลจะเปนสาเหตทุ ีก่ อ ใหเ กิดความเปลีย่ นแปลงและ แปรเปลี่ยนอันใดเลย การอธบิ ายอยา งน้ที าํ ใหเขาใจความหมายอนั ชดั เจนจากคํากลาวของฟร อาวน เองทว่ี า “ฉนั เปน ร็อบของพวกเจา ผูส งู สุด”
(อันนาซิอาต-๒๔) ด-ดังนั้น พวกเขากลา ววา : ร็อบของเรา คือร็อบแหงช้นั ฟาทัง้ หลายและแผน ดิน เราะจไม เรียกรอ งสิ่งใดอ่ืนมาเปน พระเจา ” (อลั -กะฮฟ -ุ ๑๔) บรรดาชายหนุมทผ่ี ละหนีจากสภาพความอดึ อัดใจที่พวกเขาพบวา มันคือความชวั่ รา ย สําหรับยุคน้ันเปน กลมุ ชนหนึ่งท่อี าศัยอยูในสงั คมทเี่ ชื่อมน่ั ตอพระเจา อืน่ ทนี่ อกเหนือไปจากอัลลอฮ แตพระเจา ที่นอกเหนือจากอลั ลอฮในสังคมนี้ มไิ ดอยูในรปู ของผสู รางหลายองค โดยเฉพาะอยางยงิ่ เหตุการณของชาวถ้าํ ไดเ กดิ ขึ้นหลังจากการเกิดของทา นนบีอีซาผานไปแลว จนสตปิ ญ ญาและ ความคิดของมนษุ ยไ ดกาวเขา มาอยูใ นประเด็นตางๆ ของหลกั เอกภาพในลักษณะดีพอจนสามารถ ยืนยนั ไดแลว วา ในสภาพของความคดิ อันดีงามน้ี คนในสังคมจะตองไมมีใครคิดปฏิเสธเรือ่ ง “ความ เปน ผสู รา ง” ของอัลลอฮ หรือแมแตก าร “เปนผตู ั้งภาค”ี ในเรอ่ื งน้กี ต็ ามจงึ เปน ที่แนนอนเหลือเกินวา การต้งั ภาคขี องพวกเขาตองอยูใ นประเด็นอ่ืน และนั่นก็คอื ความเช่ือถอื วา มี “ผบู รหิ ารหลายองค” ญ-หลักฐานท่ีชดั เจนซง่ึ แสดงวา จดุ มงุ หมายของความเปน ร็อบ (พระผูอภบิ าล) นั้น คือ จุดมงุ หมายเดียวกันกบั “ความเปน ผบู ริหาร” และมใิ ชจ ดุ มุงหมายในสว นของ “ความเปนผูส รา ง” ดงั ทเ่ี ขาใจกนั อยางผดิ ๆ นนั้ คอื โองการหนึ่งทีถ่ กู นํามากลาวอยา งในซูเราะฮ อัรเราะหมาน ซาํ้ ๆ อยู หลายคร้งั : “ดังน้ันยงั มีความโปรดปรานอันใดของรอ็ บแหงเจา ทงั้ สองอกี เลาทเ่ี จา ทั้งสองวา มสุ า(โอญ ิ นและมนษุ ย) ?” แนน อนทสี่ ุดโองการนีไ้ ดถ ูกนํามาระบไุ วใน ซูเราะฮด ังกลาวถึง ๓๑ ครง้ั ดว ยกัน โดยมคี าํ วา “รอ็ บ” เขา มาควบคกู ับคาํ วา “อาลาอ”ิ ซึง่ หมายถึง “ความโปรดปราน” แนน อนเหลือเกินวา เรือ่ ง ของ “ความโปรดปราน” กับการระบถุ งึ ฐานะของความเปน “รอ็ บ” แหง อลั ลอฮทมี่ ีตอ ชวี ิตของ มนษุ ยและการปกปองคมุ ครองใหพนจากความดับสูญน้ัน เหมาะสมและเขา กนั เปนอยางยง่ิ กลาวคอื การระบุถึงความโปรดปราน ซึ่งเปนสาขาหน่ึงของการเล้ยี งดอู บรมของพระผูเ ปนเจาซงึ่ พระองคไ ด ประทานใหแกม วลมนษุ ย น้ันมนั เขากับประเด็นของการเลยี้ งดูอบรมและการบริหารที่มคี วามดีงาม และความโปรดปรานเปนนริ ันดรรวมอยู ด- แนนอนท่สี ดุ ประเดน็ ของการแสดงความกตญั ู (อัซซกุ ร) กม็ คี วามเก่ยี วพันกับคาํ วา “ร็อบ” ถงึ หา แหงในอลั -กรุ อาน การแสดงความกตัญเู ปน เรอ่ื งทเ่ี ขา กนั กับความโปรดปรานเทานน้ั ซึ่งมนั คอื สาเหตุทค่ี งสภาพชวี ิตของความเปนมนุษย และปกปก รักษาชวี ติ มนษุ ยไวม ใิ หด บั สญู และ ปกปองใหพนจากความเสยี หาย แกน แทข องการบริหารชีวิตมนษุ ยก็มิใชอ ่นื ใด นอกจากใหช ีวิต ดาํ รงอยแู ละปกปกรักษาชวี ติ ใหพน ไปจากความเสยี หายและการดบั สญู ขอใหทานไดพจิ ารณาความหมายตอไปนี้ :
“และจงราํ ลกึ เมื่อร็อบของพวกทานไดประกาศวา แนนอนถาหากสเู จา กตญั ู แทจรงิ ฉันก็ จะเพ่ิมพนู ใหแกส เู จา แตแนน อน ถาสเู จา ปฏิเสธ แทจรงิ การลงโทษของฉันรา ยแรงท่สี ุดทีเดียว” (อิบรอฮมี -๗) “และเขากลา ววา ร็อบของฉันเอย โปรดใหความโปรดปรานแกฉ ันเถดิ เพ่อื แนจะไดกตัญู ตอ ความโปรดปรานของพระองคซ ่ึงไดป ระทานแกฉ ัน และแกบิดามารดาของฉัน” (อนั นัมล-๑๙) “เขาไดก ลาววา น่ีคอื ความดีงามแหง ร็อบของฉนั ท่ีพระองคทดสอบฉันวา จะกตญั ูหรอื เนรคุณ และผูใดกตัญูก็เทา กบั เขากตัญเู พ่อื ตัวเขาเอง” (อันนัมล-๔๐) “เขากลา ววา รอ็ บของฉันเอย โปรดประทานความโปรดปรานแกฉ ันเถิดเพ่ือแนจะได กตญั ตู อความโปรดปรานของพระองคท ี่ทรงประทานแกฉันและแกบ ิดามารดาของฉัน” (อัล-อะหก อฟ-๑๕) “พวกเจาจงกนิ ปจ จยั ยงั ชีพแหง ร็อบของพวกเจา และจงกตัญตู อพระองคเปนเมืองท่ีดี และ พระองคเปน ร็อบทอ่ี ภยั ยิ่ง” (ซะบะอ- ๑๕) ต-สวนหน่งึ ของโองการท่ยี ืนยันในสง่ิ ทเ่ี ราไดอธบิ ายมาแลว ก็คือ : “ดงั นั้น ฉันไดกลาววา พวกทานจงขออภัยโทษตอ ร็อบของพวกทา นเถิด แทจ ริงพระองค เปนผูทรงอภยั พระองคจ ะสง ฝนจากฟา ลงมาอยา งหนกั และพระองคจ ะทรงประทานความม่ังคงั่ แก พวกทานดวยทรพั ยสนิ และบุตรหลานและทรงบนั ดาลสวนตา งๆ แกพวกทา น และทรงดลบันดาล สายนํา้ แกพ วกทาน” (นูห-โองการท่ี ๑๐-๑๒) และเชนเดียวกันอกี ในซเู ราะฮ ฮูด โองการที่ ๕๒ เมือ่ เปนอยางนี้ : ทานผูอา นสามารถไดข อสังเกตแลว วา การดาํ เนินกิจการของจกั รวาลและ การบริหารเรือ่ งทัง้ หมดของมนั ไดถ กู นาํ มาเปนหลกั อธิบายสาํ หรบั คําวา “รอ็ บ” ไดอยา งไร น่นั คือ การท่ีทรงประทานฝน ใหค วามมั่งคั่งในเรอ่ื งทรัพยสนิ และบุตรหลาน และทบี่ ันดาลใหมีสวนตา งๆ อีกทัง้ ท่ีบนั ดาลใหม สี ายนา้ํ ทงั้ หมดน้ันคอื กินการและลกั ษณะของผบู ริหาร บทสรปุ จากการอธิบายอยา งกวา งๆ น้ี เราสามารถสรปุ ไดสองประเด็น คอื : ๑- ความเปน ผูอภบิ าลของอัลลอฮ คอื ขอ สรุปอันไดมาจากความเปน ผูบรหิ ารของพระองคที่ มีตอโลก มใิ ชเ ปนขอสรุปท่ีไดมาจากความเปนผูสรา งโลก
๒- โองการตา งๆ ดงั ท่ีไดกลาวมาแลว ในเร่อื งน้ีไดใหเหตุผลวาประเดน็ ของ “หลักเอกภาพ ในการบริหาร” นั้นมิไดเปนเรอ่ื งท่สี อดคลองตรงกนั ผิดกนั กับประเด็นของ “เอกภาพในความเปน ผูสราง” น่นั ก็คือวาในสมยั ประวตั ิศาสตรน ัน้ มีพวกน่ึงที่เชือ่ ในความเปน ผูบริหารของส่งิ อื่น นอกเหนือจากอัลลอฮ สําหรับจักรวาลท้งั หมด หรอื บางสวนของจกั รวาล และปรากฏวา พวกเขานบ นอบตอ สิ่งนนั้ โดยเชื่อถอื วาสง่ิ น้ันเปนพระผอู ภิบาล กบั กรณีทว่ี า เรอื่ งความเปนพระผอู ภิบาลในดา น “การวางบทบญั ญัติ” อยูน อกเหนือไปจาก เรอ่ื งความเปน พระผูอ ภบิ าลในดา น “การจดั ระบบของโลก” กอ็ าจทาํ ใหบ างพวกเปนผมู หี ลัก เอกภาพในประเดน็ ทส่ี อง แตเปนผูต ั้งภาคีในประเด็นที่หน่ึง กลา วคอื พวกยิว และครสิ เตยี นนั้นยังคา ราคาซงั อยใู น “การตัง้ ภาคีเรอื่ งความเปน พระผูอภิบาล” ดา นการวางบทบัญญัติ เพราะเหตวุ า พวก เขามอบสิทธใิ นการออกกฎหมายและการวางบทบัญญตั ิใหแ กน กั บวชและนักปราชญข องพวกเขา อีกทัง้ ถอื วาคนเหลา นั้นเปนพระผอู ภิบาลในดานนัน้ ราวกับวาพระองคมอบหมายงานในดานการ วางบทบญั ญตั ิใหแกค นพวกน้ัน!!! แตเ ปน ท่รี ูก ันอยูวา การออกกฎหมายและการวางบทบญั ญตั นิ ั้น เปนสวนหนงึ่ แหงกิจการของพระองค ผทู รงบริสุทธยิ์ ง่ิ โดยเฉพาะ ดว ยเหตุน้ี อัล-กรุ อานจึงกลา วถึงพวกเขาวา “พวกเขาถือเอานักปราชญและนกั บวชของพวกเขาขนึ้ เปนพระผอู ภิบาลนอกเหนอื ไปจาก อัลลอฮ” (อัตเตาบะฮ- ๓๑) “และพวกเราบางคนจะไมถ ือเอาบางคนขนึ้ มาเปน พระผูอภิบาลแกอีกบางคน นอกเหนอื จากอัลลอฮ” (อาล-ิ อมิ รอน-๖๔) ในขณะเดียวกันการตง้ั ภาคใี นแงข อง “ความเปนร็อบ” ทีอ่ กี พวกหนง่ึ มีอยโู ดยมิไดจาํ กัดอยู กบั แวดวงอนั น้ี หากแตอยใู นประเภททถ่ี อื วา การบริหารงานบางดา นของจกั รวาลและความเปน ไป ของโลกเปนหนา ที่ของมะลาอกิ ะฮ ญนิ วญิ ญาน ทศี่ กั ดส์ิ ิทธ์ินั้น แมวา จนถึงบัดน้ีเราจะไมพบพวกท่ี ถอื วา การบริหารงาน “ทัง้ หมด” ในจักรวาลเปนหนา ทขี่ องสิ่งอื่นนอกเหนอื จากอัลลอฮก็ตาม แต ประเด็นการตงั้ ภาคีในแงของ “ความเปนรอ็ บ” ท่พี บมากทส่ี ุดก็คอื การยอมรบั วา “บางสวน” ใน กิจการของจักรวาลเปน หนา ท่ีของบา วบางคนและส่งิ ถกู สรางบางประเภทที่มีคุณสมบตั ิพิเศษ โองการตา งๆ ไดยืนยันในความเปน จริงของขอ สรุปอันนี้มากเกินกวาจะสามารถนาํ มา กลาวถึงในทน่ี ้ีได ดวยเหตุน้เี ราจงึ ขอยุตเิ รอื่ งที่อธบิ ายไปแลวดวยการฝากทา นผอู านใหไ ป ตรวจสอบเรอ่ื งนดี้ ูในอลั -กุรอานเอง เม่ือทานผอู านไดผา นหวั ขอสําคญั อนั ดบั แรกสบิ ประการแลว บัดนเี้ ราก็จะไดอ ธบิ ายถึงคํา จํากัดความของคาํ วา “การเคารพภกั ดี” และความหมายทแ่ี ทจรงิ ซ่ึงเปน ประเดน็ สําคญั ทสี่ ุด กลาวคอื เมือ่ ไดม ีการจํากดั ความหมายทแ่ี ทจรงิ ของคําวา “การเคารพภักดี” แลว เราก็จะรูถงึ ความหมายของ
“หลักเอกภาพ” และ “การตง้ั ภาคี” และเราสามารถจาํ แนกคนที่ยดึ ในหลักเอกภาพกับคนทต่ี ง้ั ภาคีใน แง “การเคารพภักดี” ได เรือ่ งเหลา น้ีจะทาํ ใหจ าํ แนกไดถูกตองชัดเจนอยา งยิง่ ตอกิจกรรมอัน มากมายท่ดี าํ เนินอยูในวิถีชิวิตของมุสลิมตง้ั แตส มยั อสิ ลามเริ่มเผยแพรจ วบจนถงึ ทกุ วนั นี้ และเราจะ รูวา ทาํ ไมมนั ถึงมไิ ดต กไปเปนการต้งั ภาคีเลยอยางเดด็ ขาด
ภาคท่ีสอง การจาํ กดั ความ ความหมายที่แทจรงิ ของคําวา “อบิ าดะฮ” (การเคารพภักดี) อบิ าดะฮ (การเคารพภกั ด)ี คือการนบนอบโดยเชือ่ มั่นวา สิง่ นั้นเปนพระเจา ที่ตอ งเคารพและเปน พระ ผูอภบิ าลตลอดท้งั ถือวา สงิ่ นนั้ มอี ิสระในการดําเนินกจิ การของตน คาํ วา “อบิ าดะฮ” เปน คาํ ทีม่ คี วามหมายชัดเจนอยา งยิง่ คาํ หนงึ่ เชนเดียวกบั คาํ วา “น้าํ ” และ คําวา “แผนดิน” แตทงั้ ๆ ทคี่ วามหมายของมันมคี วามชดั เจนอยูกต็ าม แตม นั ยังยากท่จี ะเอาคาํ ตา งๆ มาใชใ หเขา กบั ความหมายนีใ้ นความลกึ ซงึ้ แตในสว นทวี่ า อบิ าดะฮเ ปนคาํ ท่มี คี วามหมายชัดเจน มันกม็ คี วามจริงในตัวทช่ี ัดเจนอยเู ชนเดยี วกนั จนสามารถจาํ แนกความจริงของอบิ าดะฮอื อกจาก ความจรงิ ของการแสดงความนบั ถอื (ตะอซีม) และการใหเกยี รติ (ตักรีม) ตลอดถงึ ความหมายอน่ื ๆ ไดง า ย กลาวคอื การท่ีชายคนรักจบู อยา งอาลัยอาวรณตอ หญงิ คนรกั ของตนก็ดี การเก็บผา ขบอง หลอนไวดวยความหวงถวลิ กด็ ี หรอื การจบู ดินสุสานของหลอนหลงั จากทห่ี ลอ นตายไปกด็ ี ยอมไม ถอื วาเปน การอบิ าดะฮ (เคารพภกั ดี) หญงิ คนรกั ของตน อยา งกรณีทว่ี า ประชาชนไปทาํ การเยย่ี มเยอื นบคุ คลสาํ คัญของพวกเขาหรือเยอื นสุสานของ คนเหลา นั้นเพื่อสดุดีและยนื แสดงคารวะตอ สุสาน และมกี ารแสดงพิธีกรรมใดๆ โดยเฉพาะในการ นน้ั ก็ไมถ อื วา เปน การอบิ าดะฮเ ลยอยางเดด็ ขาด ถึงแมในบางครง้ั การกระทาํ เหลานจี้ ะถงึ ขนาดของ การนบนอบอยา งยงิ่ แคไ หนกต็ าม แทจรงิ สตสิ ัมปชัญญะที่ต่ืนอยุเปนส่ิงเดียวทจี่ ะตอ งถอื วา เปน กฎ ของความยตุ ธิ รรมในเร่อื งนี้เพอื่ จาํ แนกการแสดงความนับถือและการใหเกียรติออกไปจากการอบิ า ดะฮ โดยไมจาํ เปนตอ งถือเปนภาระหนกั แตถ าทา นตงั้ ใจทจ่ี ะเขา ใจคาํ วา อบิ าดะฮดว ยการตีความ ตามหลักวชิ าการท่ีถูกตองแลวเราสมควรทจี่ ะตองศกึ ษาคาํ นี้ในคําจาํ กัดความสามอยา งเสียกอน คอื : 1- คาํ จาํ กัดความทั้งสามอยางของคาํ วา อบิ าดะฮ คาํ จาํ กัดความทห่ี นึ่ง : “อิบาดะฮ” คอื การนบนอบโดยการใชถอยคาํ หรือการกระทาํ ท่ีเกิดขนึ้ มาจากความเช่ือทวี่ า สงิ่ น้ันเปน “พระเจา ” ผูไดรับการนบนอบสาํ หรบั ตน ความหมายของคาํ วา “พระเจา ” จะทาํ ใหท า น เขา ใจได โองการตางๆ มากมายทีเ่ ปน หลกั ฐานในเร่ืองน้ี กลาวคือขอ สงั เกตจากโองการตา งๆ เหลา น้ี ใหค วามเขา ใจแกเ ราสองอยา งคือ : ประการทหี่ นึ่ง ชาวอาหรับยุคงมงายทอ่ี ัล-กุรอานไดถูกประทานลงมาทา มกลางกลุมชน พวกเขาน้นั เชื่อมน่ั วาพระเจา คอื รปู เคารพของพวกเขา ประการท่ีสอง อิบาดะฮในแงข องคาํ พดู หรือการกระทาํ นัน้ ลวนเกิดข้ึนจากความเช่อื มน่ั วา รปู เคารพคือพระเจา ฉะนน้ั ตราบใดทีค่ าํ พดู หรอื การกระทํามิไดเกิดมาจากความเช่อื ถือยา งนี้ ตราบ น้ัน การนบนอบ หรอื การแสดงความนบั ถือและการใหเกยี รติ ไมถอื วา เปน การอิบาดะฮ
มขี ออา งอยสู องอยา งคือ : อยา งทีห่ นึง่ : ชาวอาหรบั ยุคงมงาย แมก ระทั่งพวกบชู าเจวด็ ทกุ คนก็ดแี ละพวกบชู าดวง อาทติ ย ดวงดาวตา งๆ และญนิ ก็ดี พวกเขาเช่ือถอื วาสง่ิ ทพ่ี วกตนเคารพคือพระเจา โดยถือวาสิ่ง เหลา นั้นคือพระเจา ยอย และมีพระเจา ใหญท ี่เหนือกวา น้ัน ท่ีเราเรยี กวา “อลั ลอฮ” มหาบริสุทธ์ิแด พระองค อยา งท่ีสอง : หลักฐานจากโองการตางๆ ก็คือ อบิ าดะฮใ นแงของการนบนอบโดยการใชค ูด และการกระทาํ อนั เกิดจากความเชือ่ ถอื ในสง่ิ นนั้ ๆ วา เปน พระเจา ไมว าจะเปนพระเจา ยอยหรอื พระ เจา ใหญ สาํ หรบั ขอ อา งอยา งทหี่ นงึ่ น้ัน มโี องการตา งๆ มากมายใหห ลักฐานไวดงั ที่เราจะช้แี จงใน บางสวน คอื : “บรรดาผซู ึ่งถือส่ิงอื่นเปนพระเจา ควบไปกบั อลั ลอฮน้ัน พวกเขาจะร”ู (อัล-ฮะญัร-๙๖) “และบรรดาผูที่ไมอา งสิ่งอ่นื เปนพระเจาควบกับอลั ลอฮ” (อัล-ฟรุ กอน-๖๘) “และพวกเขาไดอปุ โลกขเอาส่งิ อน่ื นอกจากอลั ลอฮข้ึนเปนพระเจา ตา งๆ เพ่อื ใหสง่ิ เหลา นั้น สงเคราะหพ วกเขา” (มรั ยมั -๘๑) “หรือเปนเพราะวา สเู จา ไดย ืนยันอยา งแนว แนวา มพี ระเจา อ่ืนควบกบั อลั ลอฮ” (อลั -อันอาม-๑๙) “จงรําลึกถงึ ตอนทีอ่ ิบรอฮมี ไดกลาวแกพอของเขาอาซรั วา ทา นถอื เอารปู ปน เปนพระเจา ตางๆ หรือ?” (อลั -อันอาม-๗๔) กลา วคือโองการเหลาน้ใี หหลกั ฐานวาผูตัง้ ภาคนี ้นั ไดแก ผูทม่ี คี วามเช่อื ถือวา รูปปน ของ พวกตนเปนพระเจา และในบางโองการก็ไดอธบิ ายวา “การยึดถือพระเจา ” อนื่ เขามาควบกบั อลั ลอฮ หมายถึงการต้ังภาคี เรื่องน้มี ีปรากฏตามทพี่ ระองคท รงกลาวไวว า : “---และเจา จองผละจากพวกตง้ั ภาคี “แทจรงิ เราไดใ หค วามเพยี งพอแกเจา แลว ดวยการ ลงโทษพวกท่ีเยยหยัน” บรรดาผูซึง่ ถอื ส่ิงอื่นเปนพระเจาควบกบั อลั ลอฮนน้ั พวกเขาจะไดรู” (อัล-ฮะญรั -94/96) ในเรอ่ื งน้ีอลั -กุรอานไดอ ธิบายความเปนจรงิ ของการต้งั ภาคีวา “ความเชือ่ ของพวกเขาทวี่ า พระเจาคือรูปเคารพ” โดยพระองคท รงกลาววา : “หรอื วาสาํ หรบั พวกเขานนั้ มีพระเจา อืน่ นอกจากอัลลอฮ มหาบริสุทธเิ์ ปนของอลั ลอฮ พระองคพ นจากสิ่งท่พี วกเขาตัง้ ภาค”ี
กลาวคอื ในโองการนถ้ี ือวา ความเชอ่ื ของพวกเขาตอความเปนพระเจา ของส่ิงอืน่ ท่ี นอกเหนือจากอัลลอฮน้ัน คอื หวั ใจของการตั้งภาคี และความหมายในทน่ี ้ีก็คอื “การต้ังภาคีในแง ของอิบาดะฮ” โดยการทบทวนความหมายของโองการนแี้ ละโองการอ่ืนๆ ทคี่ ลา ยๆ กนั ซงึ่ ไดแสดง ความหมายในเรอื่ งการต้ังภาคี และโดยเฉพาะเรอื่ งการต้งั ภาคีของพวกบูชาเจวด็ ทาํ ใหไ ดร บั ความ จรงิ ของเรือ่ งนี้อยางชดั เจนวา อยูท ี่ การอิบาดะฮของพวกเขาที่ควบคูไปกบั ความเช่อื ตอ ความเปน พระเจาของสง่ิ น้ันๆ ยิ่งกวา นัน้ อาจพดู ใหช ัดเจนไดอ ีกวาการตง้ั ภาคีของพวกเขาเกดิ ข้ึนโดยเหตุจาก ความเช่อื ถือของพวกเขาวา รปู เคารพของพวกเขาเปนพระเจา และดว ยความเช่ือเชนนที้ ําใหพ วกเขา เคารพภักดีส่ิงเหลา น้นั และพากันทาํ พธิ บี นบานศาลกลา ว เปนตนวา ต้ังประเพณแี ละรปู แบบ ทางดานอบิ าดะฮขึ้นมา และมนั เปน เรือ่ งท่ีคาํ ปรญิ าณในหลกั เอกภาพไดทาํ ลายความเช่อื ของพวก เขาในความเปน พระเจา ของส่ิงอืน่ ที่นอกเหนอื จากอลั ลอฮพวกเขาก็หย่งิ ยะโสในขณะทไ่ี ดฟง คํา ดงั กลาว เชน โองการของพระองคท่วี า : “แทจรองพวกเหลา นน้ั เมอื่ มีการกลาวแกพ วกเขาวา : ไมมีพระเจาอ่ืนใดนอกจากอลั ลอฮ” พวกเขาก็ทาํ เปน หยง่ิ ยะโส” (อัศศอ ฟฟาต-๓๕) กลา วคอื พวกเขาตอ ตา นคําๆ น้ี เพราะวาพวกเขาเชือ่ มน่ั ในรูปเคารพของพวกเขาวา มคี วาม เปนพระเจา และเคารพสิง่ นั้นโดยสาํ คัญวา มนั คือพระเจาตามมโนภาพของพวกเขา ดวยเหตขุ องความเช่อื ถือท่ีงมงายเหลาน้นั จึงทาํ ใหพ วกเขาปฏิเสธในเมอื่ มกี ารอา งถงึ อลั ลอฮองคเดียว เพราะพวกเขาไมสามารถจํากัดความเปน พระเจา ไวก บั พระองคไ ด แตพ อจะใหตงั้ ภาคตี อพระองค พวกเขาเชือ่ ทนั ที เพราะมนั เขา กนั ไดกับความคดิ ของพวกเขา ดังที่พระองคทรง กลา ววา : “ดว ยเหตนุ ้ีเองสูเจา เอย ทวี่ า เม่ืออัลลอฮองคเ ดียวไดถูกวิงวอนข้นึ สเู จากป็ ฏิเสธ และถา ให ต้ังภาคีตอพระองคแ ลวสูเจา ก็ศรทั ธา ดังนั้นกฎของอัลลอฮสงู สงเกรียงไกรเสมอ” (ฆอฟร-๑๒) ในท่นี ้ีขออา งอยางท่ีหนง่ึ ไดเปนท่ีชดั เจนแลว สาํ หรบั ในสวนของขอ อา งอยา งท่สี องนั้น โองการตา งๆ ทส่ี ่ังใหอบิ าดะฮ (เคารพภกั ดี) ตอ อัลลอฮและหามมใิ หอิบาดะฮส ง่ิ อ่ืนไดใหหลักฐานยืนยันเรอื่ งน้ีเปนเหตุผลในแงท ี่วา ไมมพี ระเจา อื่นใด นอกจากอัลลอฮ โดยพระองคก ลาววา “โอห มูชนของฉัน พวกทา นจงเคารพภกั ดีอัลลอฮเถิดไมมีพระเจาอื่นใดสาํ หรับพวกทานอกี แลว นอกจากพระองค” (อัล-อะรอฟ-๕๙)
ความหมายในเร่ืองนก้ี ค็ ือวา ผูที่ทรงสิทธิในฐานะที่ไดรับการอิบาดะฮน ั้นคอื ผทู ่ีเปน พระเจา และมิใชใ ครอืน่ นอกจากอลั ลอฮในเมอ่ื เปนเชนนีแ้ ลว สูเจา จะเคารพภกั ดีสงิ่ ท่ีมใิ ชพ ระเจา ไดอ ยางไร และสเู จา จะละเลยการเคารพภักดีอัลลอฮไดอยางไร ในเมอื่ พระองคค ือพระเจา ทส่ี ง่ิ อ่นื ทั้งหมดตอง เคารพภกั ดี แนน อนที่สุดความหมายอยางโองการนมี้ ถี ึงสบิ แหง หรือมากกวา น้นั ในอลั -กรุ อาน ทาน ผอู านสามารถทีจ่ ะยอ นกลบั ไปพจิ ารณาโองการนนั้ ๆ ไดดงั ตอ ไปนี้ : อลั -อะอรอฟ : ๖๕, ๗๓, ๘๕ ฮดู : ๕๐, ๖๑, ๘๓ อัล-อมั บิยาฮ : 25 อลั -มุอมนิ นู : ๒๓, ๓๒ ฏอฮา : ๑๔ ดังน้ันสํานวนตางๆ เหลา นใ้ี หความหมายวา การอิบาดะฮค อื การนบนอบและการถอ มตน อยา งน้ที เ่ี กดิ จากความเชื่อถอื วา รปู เคารพคือพระเจา กลาวคือเราไดข อ สงั เกตอยา งละเอียดวา อลั -กุ รอานไดประนามพวกตง้ั ภาคที ่มี ีการเคารพภกั ดตี อส่งิ อื่นนอกจากอัลลอฮอยางไร ในฐานะทวี่ า รปู เคารพตางๆ เหลาน้มี ิใชพ ระเจา และในฐานะท่ีวา การเคารพภักดนี ้ันเปนกจิ การอันหน่ึงที่เกย่ี วกบั : ผู มสี ภาพเปนพระเจา จึงเปน อันวา สภาพแหงความเปน พระเจา น้ีเองทีอ่ ยูในประเด็นทีอ่ นุญาตให เคารพภักดแี ละใหย ึดเอามาเปน สิง่ เคารพได และความจรงิ แลวสาํ หรับสภาพดงั กลา วนี้ ไมมีแกผูใ ด เลย นอกจากอลั ลอฮเทา นน้ั ดวยเหตุนี้ส่ิงอื่นท่นี อกเหนือจากพระองคจงึ จําเปนตองเคารพภักดี พระองค ถาม-ตอบ สาํ หรับคาํ ถามกค็ ือวา แนน อนทีส่ ุดวา ขอ อา งอยา งที่หนง่ึ นน้ั ถูกตองแลวกลา วคือพวกตัง้ ภาคีเปน พวกทเ่ี ชื่อถอื วา เจวด็ มฐี านะแหง ความเปนพระเจา และคาํ อธบิ ายทไี่ ดม าจากโองการตา งๆ ก็ ไดยนื ยนั ในเร่ืองน้ีอยางชดั แจง เพียงแตวา สําหรบั ขอ อา งอยา งทส่ี องนัน้ ยังไมถ ูกตอง และขอ สรปุ ท่ี อธบิ ายมาจากโองการตางๆ เหลานท้ี ่วี า การอบิ าดะฮข องพวกเขาเกิดข้ึนมาจากความเชอ่ื ถอื ในความ เปน พระเจา ของเจว็ดเหลา นนั้ และนก่ี ็ไดห มายความวา ความหมายแหง สภาพความเปน พระเจา จะ เขา มาอยูในประเด็นท่ีเปน ความหมายของการเคารพภกั ดี (อบิ าด) ดังทีไ่ ดต งั้ ข้ึนเปนขออาง แตอ ยา ง ใด โดยสรุปแลว โองการตา งๆ เหลาน้มี ิไดใหอะไรมากไปกวา เหตผุ ลทีว่ าการเคารพภกั ดขี อง พวกเขาทีม่ ตี อเจวด็ นน้ั ควบคูกนั ไปกบั ความเชื่ออยา งนหี้ รือเกิดขนึ้ มาจากความเชอ่ื นี้ สําหรับกรณีของการอิบาดะฮ (เคารพภักดี) ทวี่ า เปน เรือ่ งของการนบนอบอนั เกิดจากความ เชื่อในสภาพความเปน พระเจา น้นั ถือวามูลฐานจากความเช่ือเหลา นั้นเปนสว นหนง่ึ สาํ หรับ ความหมายของอบิ าดะฮเทาน้ัน มิไดเ ปนการอธิบายทไี่ ดม าจากโองการตางๆ เลย เราขอตอบวา ปญหาจะเกดิ ขึน้ ไดกเ็ พียงแตว า ถาเรากลาววา “ความเช่ือในสภาพแหง ความ เปนพระเจา ” รวมอยูใน “ความหมายของการเคารพภักดี” แมก ระทั่งทอ่ี า งกนั วา โองการเหลา นม้ี ิได ใหอ ะไรมากไปกวา เหตผุ ลท่ีวา การอิบาดะฮน ั้น เปนส่งิ หนึ่งของผมู สี ภาพแหง ความเปน พระเจา
และคาํ กลาวเชน นี้กม็ ิไดหมายความวา จะรวมความหมายของสภาพความเปนพระเจา กบั ความหมาย ของการเคารพภกั ดีเขา ดวยกัน มันหมายความแตเพียงวา การอิบาดะฮน นั้ มิใชการนบนอบและการ ถอ มตนโดยแท หากแตม ีความจาํ กดั และความเฉพาะยิ่งไปกวา ส่ิงทง้ั สองและเรือ่ งน้ี มนุษยเ ราทกุ คนรจู กั มันดีโดยสัญชาติญาณและธรรมชาตขิ องตน นอกจากนี้เรายงั ชีแ้ จงไปถึงความเฉพาะและ แยกแยะถงึ ความจาํ กัดอนั น้วี า การนบนอบ “อันเกิดจากความเชื่อตอความเปน พระเจา และความเปน ผอู ภิบาล” ตามทีท่ านจะไดเ ขาใจในคาํ จาํ กัดความประการทสี่ องน้ัน มิไดหมายความวา ขอสรุปอันนี้ (สง่ิ ที่เกิดจากความเช่ือตอความเปน พระเจา และความเปนผูอภบิ าล) จะเปน เนื้อหาโดยละเอียดใน ความหมายของอบิ าดะฮ กลาวอกี นยั หนึ่ง มนษุ ยเรานนั้ ยอ มไมส ามารถจาํ กดั ความสิ่งใดๆ ท่ไี มมีอะไรเปนหมายเหตุ ในตัวไดวา มนั เปนชนดิ อะไร, มรี ายละเอียดอยางไร, หรอื มีขนาดแคไหน, มีลกั ษณะเชนไร, แมกระทงั่ การทจี่ ะกําหนดข้ึนมาทางสติปญ ญา แตเ ขาจะพบวาในตวั ของเขานั้น อยูในฐานะของสงิ่ ทีเปนชนิด, และสิ่งที่เปนรายละเอียด, ดังนนั้ เขาจงึ เอาทงั้ สองอยา งนี้มาอธิบายลงไปในแงของสง่ิ ที่ เปนชนิดและส่งิ ที่เปนรายละเอยี ด ตามสภาพการณท ป่ี รากฏอยู เรื่องทเ่ี รากาํ ลังพูดถึงอยนู ี้ก็ เชน เดียวกัน กลา วคือเราจะพบวา การใหเ กยี รติ (อัต-ตะอซ ีม) และการนบนอบเปนส่ิงที่รวมอยูใน ประเภทอิบาดะฮและประเภทอนื่ ได กโ็ ดยการสรา งภาพพจนไปในฐานะของส่ิงท่เี ปน ชนิดเดียวกัน และเขาจะพบวา การอบิ าดะฮนนั้ มีลกั ษณะพิเศษท่ีเฉพาะผิดไปจากส่ิงอน่ื แตก ็ไมอาจหาคาํ อธบิ าย ลักษณะพิเศษเฉพาะอันน้นั ดวยถอ ยคาํ ผวิ เผนิ ได จึงอาศัยความโดยสรปุ แกค วามหมายของมนั นั่นก็ คือ สง่ิ ท่เี รากลา ววา “อนั เกิดจากความเชอื่ ตอสภาพความเปนพระเจา ” ในกรณที ่ีนํามันมาพิจารณา ในแงของส่ิงทเ่ี ปนรายละเอยี ด กลา วโดยนัยยะทีส่ าม : มนุษยเ ราจะพบวา “การอิบาดะฮ” นั้น มิไดห มายถึงการใหเกียรติ โดยแท และมิไดหมายถึงการถอ มตนอยา งถงึ ทส่ี ดุ หากแตมนั คือลักษณะพเิ ศษเฉพาะอยา งหน่งึ ทม่ี ี ตอผูท ก่ี ุมอาํ นาจในกจิ การทงั้ มวลของมนษุ ยไวก ับตน หรอื กจิ การหนึ่งกิจการใดกด็ ใี นกรณีท่ี ควบคมุ ชีวติ ของมนษุ ยใหส้ันหรือใหย ืนยาวสรา ง-ใหปจจยั ยงั ชพี , ใหความสุข, ใหหายจากโรค, ให อภยั , ใหความอนุเคราะหโ ดยควบคมุ กิจการตา งๆ เหลา นขี้ องมนษุ ยไปตามสภาพท่พี อเหมาะ พอควรแกเขา อยางไรกต็ าม ขอสรปุ อันนี้ก็ยงั มิใชร ายละเอียดที่เปนเนอื้ หาใน “ความหมาย” ของ “อิบา ดะฮ” แตเ ปนการชี้ใหเหน็ วาลักษณะทเี่ ปน ความเฉพาะดังกลาวนน้ั มคี วามจาํ กัดทเ่ี ปนความหมาย แฝงอยู ดว ยเหตุน้จี ึงเปน การถูกตอ งแลวทเี่ ราจะกลาววา : การอิบาดะฮคอื การนบนอบและความ นอบนอ มท้ังการใชค าํ พดู และการกระทาํ ประเภทหนง่ึ ทใี่ ชในกรณเี ฉพาะ (ทมี่ ีข้นึ เพ่อื เปนการให เกียรติตามวิสัยของผูเ ปน บาวทเ่ี ช่อื ในสิ่งน้ันๆ วา มีสภาพแหงความเปน พระเจา ) แตสงิ่ ทอี่ ยู
นอกเหนือออกไปจากความหมายของอิบาดะฮนน้ั กเ็ พียงความหมายของการนบนอบท่เี ปน สวน เฉพาะตามลักษณะการอธบิ ายโอยนัยยะที่หนง่ึ เรอื่ งราวทาํ นองนไ้ี ดถ ูกนํามาพจิ ารณาเพ่อื หาความเขา ใจ ดงั ตัวอยางเชน : ๑- เปนทรี่ ูกนั วา เสน โคงหมายถึง “สวนหนงึ่ ทถ่ี ูกตัดมาจากวงกลม” แตเ ปนทแี่ นนอนโดยมิ ตองสงสยั เลยวา เสน โคงยงั หมายถึงสวนเกนิ ทต่ี ง้ั อยบู นเสน ตรงท่ถี ูกกําหนดไว โดยไมจาํ เปนตอง ถือในหลกั ความจริงทว่ี า มันเปนสว นหน่ึงท่ีตดั มาจากวงกลมเสมอไป แตมันยังเปน เสน โคงโดยแท ได แมมันจะมิใชสว นทีต่ ดั มาจากวงกลามกต็ าม กลาวคอื เสนโคง คอื เสนทเี่ กิดจากฐานต้ังท่เี สน วงกลมลอ มรอบอยู โดยที่ทงั้ สองดานของเสน โคง จะไปบรรจบลงท่ีจดุ สองจดุ คอื ไมจําเปนตอ งถือ วา มันคือสว นหน่งึ ของวงกลม ๒- นักภาษาไดอธิบายวา เสยี งฮ้ีๆ คือ เสยี งรองของมา และอธบิ ายวาเสยี งจิบ๊ ๆ คือเสียงของ นก กลา วคอื ทัง้ มา และนกในแงข องความหมายพืน้ ฐานตา งกม็ ไิ ดอยูในสองเนอ้ื หา หากแตมีขอ พสิ จู นในการพิจารณาแยกแยะทง้ั มา และนกได เพอ่ื อธิบายไปถงึ ความแนชดั ของเสียงหนงึ่ ๆ โดยเฉพาะวา เปนเสยี งอะไร จงึ เปน ทเ่ี ขา ใจอยางแนชัดแลววา ความจาํ กดั ความทแี่ ทจ รงิ น้นั จะตอ งกลาววา : การอิบา ดะฮค ือ การนบนอบอันเกดิ ขน้ึ จากความเชื่อวา ส่งิ ที่ถกู เคารพน้ันมีความเปนพระเจา ทานอายา ตุลลอฮ ฮจุ ญะตุล-มัรฮูม ชัยค มฮุ มั มัด ญะวาด อลั -บะลาฆี ไดช้แี จงในเรื่องนี้ไวใน “ดัฟสีร อาอลั อิร เราะหม าน” โดยวิเคราะห ถงึ ความหมายทแ่ี ทจ ริงของอบิ าดะฮว า : คาํ จาํ กดั ความท่สี อง อิบาดะฮห มายถึงการนบนอบ ของผทู ่เี ชื่อมั่นวา ส่ิงนนั้ ครอบครองกิจการที่เกย่ี วกบั ความ เปน การมชี ีวิต การสิน้ อายขุ ัย และการไดอยูตอ ไปของตน ขออธบิ ายเร่อื งนี้วา : ความจาํ นนคือลกั ษณะอยางหนึ่งและเปน ปจ จยั สาํ คัญอยางหนงึ่ ของ คนทีเ่ ปน ขาทาส กลาวคือ ในเมือ่ บาวเกิดความรูส ึกในตวั เองข้ึนมาในลักษณะของความเปนขาทาส และรูสกึ วา อีกฝายหน่งึ คอื ผูครอบครองจนความรูสึกน้ันไดสาํ แดงออกมาสภู ายนอกในลักษณะของ การใชถอยคําและการกระทาํ ใดๆ โดยเฉพาะ ซงึ่ เปน คําพดู และการกระทําอนั เกดิ ขึน้ มาจาก ความรูสึกอนั น้ี การกระทาํ และคาํ พูดทส่ี ําแดงออกมาจากความรูสึกอยางลกึ ซึ้งอนั นคี้ ืออบิ าดะฮ ไม ตองสงสยั เลยวา เกยี่ วกับผคู รอบครองท่ีมิใชผูครอบครองโดยแท เชน เชือ่ มัน่ วา เปนผูครอบครอง ตามกฎหมาย และตามระเบยี บกฎเกณฑน้ันการนบนอบทีม่ ตี อ เขาไมถอื วา เปนการอิบาดะหเ ลยอยาง เดด็ ขาด กลา วคอื ทว่ี า มนษุ ยใ นสมัยกอ นๆ “เปนทาสสวนบคุ คล” กม็ ิไดหมายความวา การปฏบิ ัติตาม เจา นายของเขานัน้ เปน อบิ าดะฮ... กลาวคอื แนนอนทสี่ ุด ทีห่ มายถึงสภาพความเปนขาทาสในท่ีนี้ คอื ลกั ษณะทีว่ างอยบู นพื้นฐานของการสราง การจัดระบบโลก และกิจการใดๆ บางอยา งของชวี ติ ท่ี อยใู นกํามือของผูนั้น ขอใหท า นไดพจิ ารณามูลฐานชนิดตางๆ ของลักษณะความเปนผคู รอบครองท่ีแทจรงิ :
1- แนน อน พระองคทรงอธิบายถงึ ลกั ษณะความเปน ผูครอบครองโดยกลา วถงึ ฐานะของ พระองคว า เปน ผสู ราง ดว ยเหตุนี้ อัลลอฮ จึงทรงเปนผคู รอบครองท่ีแทจ รงิ ของมนุษยเพราะ พระองคค ือ ผูสรา งของมนษุ ย และทาํ ใหมนุษยมอี ยู ในเรื่องนเ้ี ราจะพบวา อัล-กรุ อานถอื วาส่ิงทงั้ มวลทม่ี อี ยู เปนขาทาศของอลั ลอฮ และพระองคย ังทรงอธิบายวา พระองคค ือผคู รอบครองส่งิ นั้น โดยแท ที่เปน เชน นี้กเ็ พราะพระองคสรางส่ิงเหลาน้ัน โดยทรงกลาววา : 2- แนน อน พระองคไดท รงสาธยายฐานะแหง ความเปนผูค รอบครองของพระองคว าทรง เปนผปู ระทานปจ จยั ยังชีพ, ผูใหชีวิต และเปน ผูใหม คี วามตายดว ยเหตุนี้ มนษุ ยทุกคนจึงมจี ิตสํานึก โดยธรรมชาติถงึ ความเปนบา วท่ีตนมีตออัลลอฮ เพราะพระองคคือ ผูครอบครองชวี ิต, ความตาย และปจ จัยยงั ชีพของตนอยู ดวยเหตนุ ี้ อลั -กรุ อานจึงเตอื นสติของมนษุ ยใหพจิ ารณาตอความเปนผู ครอบครองของอลั ลอฮท่ีมตี อปจจยั ยงั ชพี ของมนุษย และในแงทว่ี า พระองคค อื ผูซ่งึ ใหความตาย, ใหช ีวิตแกเขา เพอื่ ใหท ุกส่ิงทกุ อยา งนเี้ ตือนเขาใหรวู า อลั ลอฮเทา น้นั คือผทู รงไวซึ่งสทิ ธิในการ ไดรบั การเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) โดยพระองคไ ดกลาววา : “อลั ลอฮ คอื ผูซงึ่ ไดสรา งสเู จา ตอมาก็ไดใหป จจัยยงั ชีพแกสเู จา ตอมาก็ไดสเู จาตาย ตอมาก็ ไดสเู จา มชี วี ิต” (อัรรมู -๔๐) “ทาสทสี่ ูเจา ครอบครองไวนั้น มีผถู อื สิทธิรวมกับพวกเจา ในปจจัยยงั ชพี ตา งๆ ทีเ่ ราได ประทานแกสเู จาบา งไหม” (อรั รมู -๒๘) “พระองคค ือ ผูทรงใหช วี ิต และผูทรงใหตาย” (ยูนสุ -๕๖) ๓- แนน อน พระองคไ ดท รงสาธยายถงึ ความเปน เจา ในแงของการใหความอนเุ คราะห ชวยเหลือ (ชะฟาอะฮ) และการอภยั โทษ วา อลั ลอฮคือผูทรงสทิ ธสิ ําหรับการใหความอนุเคราะหที่ แทจริง ดังนี้ : “จงกลาวเถิดวา การอนเุ คราะหชว ยเหลอื ท้ังหมดนน้ั เปนของอัลลอฮ” (อซั ซมุ รั -๔๔) “จะมีผูใ ดอกี เลา ที่ใหการอภยั โทษในความผดิ บาปได นอกจากอัลลอฮ” (อาลิ อมิ รอน-๑๓๕) โดยเหตผุ ลท่วี า ไมมบี าวคนใดเลยแมแ ตคนเดียวท่จี ะทรงไวซ ึง่ สิทธใิ นการใหความ อนเุ คราะหช วยเหลอื ได ยกเวนในกรณที ีเ่ ปน ไปโดยอนุมัติของพระองคเ ทาน้นั จึงทาํ ใหส ามัญสํานกึ ของมนุษยมีความรสู ึกวา อัลลอฮ คอื ผูทรงสทิ ธใิ นการใหความสุขแกเ ขาสาํ หรับชวี ติ ในบัน้ ปลาย ในเมื่อมนษุ ยมีความรสู ึกสาํ นึกถึงความเปน บาวอยางน้ี และสํานึกถงึ ความเปนผทู รงสิทธอิ ยางน้นั
และความสาํ นึกอนั น้ีไดสาํ แดงออกมาในรูปของถอยคาํ หรือการกระทําใดๆ นั่นแหละคือส่งิ ที่ หมายความวา เขาเปนบา วของพระองคอยา งมติ อ งสงสยั ลักษณะอยางที่วา นี้ อาจตรงกบั ทอ่ี ธิบายความหมายของ “อบิ าดะฮ” ท่วี า หมายถงึ ความนบ นอบของผูทเี่ ช่ือถอื ในสภาพความเปนผใู หการอภบิ าลแกต นก็ไดกลาวคือ ผูใดกต็ ามท่แี สดงความ นบนอบของตนออกมาโดยการกระทาํ หรือโดยการใชค ําพูดตอผูหนงึ่ ผูใ ด อนั เกิดจากความเช่ือมน่ั ในจิตใจถงึ ความเปนผอู ภิบาลของผูน ้ันแลว การกระทาํ อยงนั้นหมายถึงวา เขาเปนบา วของผูน ั้น ดังน้ัน ความหมายของคําวา “ร็อบ” ในแงของการจาํ กดั ความก็คอื ผูทรงครอบครองไวซงึ่ ความเปน ไปของสง่ิ หนงึ่ ๆ อยา งเด็ดขาด ในแงข องการบรหิ ารและการอบรมเลีย้ งดู ดว ยเหตนุ ้เี อง คาํ ทมี่ ีความหมายในแงของ “ความเปนบา ว” จึงสอดคลอ งในประเด็นของคํา ท่ีมีความหมายในแงของ “ความเปนผูอภบิ าล” หมายความวา สภาพความเปนผูครอบครอง ปกปกษ รักษาสิง่ ใดสิ่งหนึ่งและบรหิ ารส่งิ นนั้ ๆ ตลอดจนเปนจุดหมายปลายทางของสิง่ น้ันๆ ไดท ัง้ ในแงของ การเปนผยู ืดชีวติ ใหและใหการสิน้ สดุ ของชวี ิตเกดิ ขน้ึ อยางกะทนั หนั ทัง้ หมดนแ้ี สดงใหเหน็ วา สวนหน่ึงของโองการตา งๆ ไดจํากดั ขอบเขตของการอบิ าดะฮไ ว สําหรับอลั ลอฮองคเดียวโดยเหตุผลทีว่ าพระองคค อื ผอู ภิบาลเทา นน้ั ขอใหท านพิจารณาบาง โองการตอ ไปน้ี : “และมาซหี (เยซู) ไดก ลา ววา โอวงศว านแหงอสิ รอเอลเอย ทานจงเคารพภักดีอลั ลอฮ พระ ผูอ ภิบาลของฉนั และผูอภิบาลของพวกทานเถดิ ” (อลั -มาอิดะฮ- ๗๒) “แทจ รงิ ประชาชาตขิ องสเู จาน้ี เปน ประชาชาติเดียวกัน และฉนั คือผูอภบิ าลของสเู จา ดังน้ันจงเคารพภักดีฉนั เถิด” (อลั -อัมบิยาฮ- ๙๒) “แทจรงิ อลั ลอฮ เปน พระผูอภบิ าลของฉนั และพระผูอภิบาลของพวกทา น ดังน้นั จงเคารพ ภักดีพระองคเถิด น่คี ือหนทางอันเทย่ี งตรง” (อาลิ อิมรอน-๕๑) เนื้อหาของโองการเหลา นี้ (ทีม่ คี วามหมายวา การอิบาดะฮนนั้ ไดถ ูกกําหนดใหเ ปน เร่อื งท่ี อยใู นขอบขา ยของฐานกาพแหงความเปนผูอ ภิบาล) ยังมอี ยูโองการอื่นๆ อีกเชน : ซเู ราะฮ ยูนสุ : ๓ ซูเราะฮ อลั -ฮจิ ญร : ๙๙ ซูเราะฮ มรั ยมั : ๓๖ ๖๕ ซเู ราะฮ อัซซคุ รุฟ : ๖๔ อยา งไรก็ตาม หลักฐานที่ชัดเจนท่สี ดุ สําหรับการอธิบายทม่ี ีตอ คําวา อิบาดะน้ีกค็ ือ โองการ ตางๆ ท่ไี ดก ลาวถงึ ผา นมาแลว คาํ จาํ กดั ความท่สี าม เราสามารถทจ่ี ะหาความเขา ใจความหมายของอิบาดะฮไ ดจากประเด็นทีส่ ามทวี่ า :
อบิ าดะฮ : คือการนบนอบจากผูท ่ีเหน็ วา ตนเองไมมคี วามอสิ ระในการดาํ รงอยูแ ละการ กระทําใดๆ ของตนเลยทจี่ ะมตี อ ผมู คี วามอิสระ แนน อนอัลลอฮไดท รงสาธยายเกี่ยวกับคณุ ลักษณะ ของพระองคไ วใ นโองการตา งๆ หลายแหง วา พระองคท รงเปน อลั -ก็อยยูม (ผูดาํ รงอยตู ลอดกาล) “อลั ลอฮ ไมม ีพระเจา อื่นใด นอกจากพระองค ผทู รงมีชีวติ ทรงดาํ รงอยูตลอดกาล” (อัล-บะเกาะเราะฮ- ๒๕๕) เชนเดยี วกับในซเู ราะฮ อาลิอมิ รอน โองการที่สอง พระองคท รงมีโองการอกี วา และใบหนาทงั้ หลายยอมสยบตอผูทรงมชี ีวติ ทรงดาํ รงอยู ตลอดกาล” (ฏอฮา-๑๑๑) มไิ ดหมายความแตเ พยี งวา พระองคท รงดาํ รงอยโู ดยพระองคเอง และไมมคี วามจาํ เปน ท่ี จะตองพง่ึ พงิ สิ่งใดเลยอยางเดียวเทา นน้ั หากแตยังหมายถงึ วา ทกุ สงิ่ ทกุ อยางนอกเหนือจากพระองค คือสง่ิ ทขี่ ้นึ อยูกับพระองคด วย หรืออีกนัยหน่ึง : การอิบาดะฮ หมายถึงการเรยี กรอง ออนวอนขอตอ อัลลอฮและกระทาํ การ นบนอบโดยฝากความหวังในเร่ืองท่ีจําเปน ตา งๆ เกย่ี วกับโลกนแี้ ละโลกหนา ในฐานะท่ีวา พระองค คอื ผูทรงอภิสิทธิ์ ทรงเปนเจา ทแ่ี ทจรงิ สําหรบั กิจการแหง โลกน้ีและโลกหนาทกุ ประการ ความ เปน ไปเหลานี้ ถา หากไดม ีข้ึนแกส ิ่งอ่ืนไมว า จะเตม็ รปู แบบหรอื เพียงบางสว นกต็ าม ก็เทากับวา เปน การอบิ าดะฮต อ ส่ิงน้ันและเปน การต้ังภาคีทนั ที และผทู ี่ดาํ เนนิ การกระทําดงั กลาวก็จะไดช ่ือวาเปนผู ตงั้ ภาคี โดยมิตอ งสงสยั ดว ยเหตดุ งั กลาวน้ี ถาคนใดกต็ ามในหมูพ วกเราไดน บนอบตอส่ิงใดก็ดีโดยสําคัญกวา ส่งิ น้ัน มอี ิสรภาพในสภาวะการเปนอยูหรือในการกระทาํ ของตนแลว การนบนอบอันน้นั จะ กลายเปน อบิ าดะฮ ยิง่ ไปกวานั้น แมแตการวิงวอนขอในกิจการของอัลลอฮจากผูอน่ื กเ็ ทา กับวา การ ขออนั น้ี คอื อิบาดะฮแ ละเปน การตง้ั ภาคีดว ยกลาวคือการวงิ วอนขอในประเดน็ นี้ มิไดแ ยก ความหมายออกไปจากการนบนอบ ดงั นั้น ประเดน็ จึงอยูท่ีวา จาํ เปนจะตองเขาใจถงึ ส่ิงท่เี รยี กวา กิจการของอัลลอฮและแยกแยะกจิ การอันน้ีออกไปจากกิจการของสง่ิ อืน่ ใหไ ด เพื่อทว่ี าเราจะไมต ก อยใู นวงั วนของการตง้ั ภาคี ในขณะทข่ี อสง่ิ หนงึ่ สงิ่ ใดกต็ ามจากบรรดานบแี ละบรรดาผมู ีความ ใกลชิดกับอลั ลอฮ (เอาลยิ าฮ) รวมไปถงึ ที่ขอจากมนษุ ยคนอนื่ ๆ ฉะน้ันเราจงึ กลาวไดววา : สวนหนงึ่ ของการตั้งภาคี คือแงทวี่ า เราขอในกจิ การของอลั ลอฮจากบุคคลอื่น เปนทีร่ ูกันอยู แลววา กจิ การของอลั ลอฮน้ันมไิ ดหมายความวา อยูท่ีการสรา งการบริหารและการใหป จ จัยยังชีพวา เหมอื นกันไปหมด ไมว า จากความเปนอสิ ระหรือจากการอนมุ ตั ขิ องอัลลอฮ เพราะวา พระองคได ทรงระบุถงึ กรณที ่ที รงมอบหมายใหแ กผอู ่ืนไดต ามทปี่ รากฏหลักฐานในอลั -กุรอาน หากแตม นั หมายถงึ วา พระองคด าํ เนินกิจการไป อยา งอิสระโดยไมม สี ว นชว ยเหลือมาจากส่ิงใดเลย ดงั นน้ั ถา ใครนบนอบตอบุคคลอ่ืนในลกั ษณะทวี่ า สงิ่ นน้ั มีอิสระแกตนเองในการกระทํา ไมวา จะเปนการ
กระทาํ ในเชงิ ปกติวสิ ัย เชน การเดนิ การพูด หรอื การกระทาํ ในเชงิ อภนิ หิ ารอยางท่ีทา นนบีอซี า (เยซู) ของเรา (ขอความสันตพิ งึ มีแดทาน) ไดกระทําขนึ้ (๑) ก็จะถอื วา การนบนอบนั้นๆ เปน อิบา ดะฮท ี่มแี กบ คุ คลทีไ่ ดรบั การนบนอบของตนนั้นเอง เปนทเ่ี ขา ใจอยา งแนชดั แลว วา : อลั ลอฮทรงเปน ผูม ัง่ ค่งั เหลือหลายในกิจการของพระองค ขณะเดียวกนั พระองคก็ทรงมง่ั ค่ังเหลือหลายในสภาวะการดาํ รงอยูข องพระองค กลา วคอื พระองค ทรงสราง ทรงประทานปจจยั ยงั ชีพ ทรงใหชวี ิต ทรงใหความตายโดยไมตองขอความชว ยเหลือจาก ผใู ด(๒) หรอื ขอความชว ยเหลอื ตอสรรพส่ิงที่พระองคสรางมาในแงท ่ีวา ส่งิ นน้ั จะมีมาแตเ ดมิ อนั มิใชเ ปนสรรพสิ่งทีถ่ ูกสรางโดยพระองค หากแตอัลลอฮทรงสรางสงิ่ ทั้งหมดโดยพระองคเ องอยาง ชนดิ ท่ีไมมสี ว นชวยเหลอื ของผูใดหรือส่ิงใด กลาวคอื พระองคไ ดส รา งสสารวตั ถุแลว ทรงจัดรูปรา ง ของมนั ไปตามทพ่ี ระองคทรงประสงค ฉะนั้นถาเราเชือ่ มน่ั วา ผใู ดมีความมั่งค่ังเหลือหลายในกจิ การ ของตนทเี่ ปน ไปในเชงิ ปกติธรรมดา หรือทมี่ ิไดเ ปนไปโดยปกติธรรมดา โดยไมม ใี ครเสมอเหมอื น และผูน้นั ดําเนนิ กจิ การตางๆ ไปตามที่ตนเองตอ งการไดโ ดยไมม ีสว นชวยเหลอื หรือสนบั สนนุ จาก ผใู ดแมแตอัลลอฮกแ็ นนอน เทา กับเราไดเ อาสง่ิ นัน้ เปน ภาคีกับอัลลอฮแลว และเทา กับวา เราได ยดึ ถือเอาสิ่งนั้นมาคูเคยี งกับพระองค ผทู รงสงู สุด ประเดน็ หลกั ท่เี ปน สาระสาํ คญั ของการจาํ กัดความอนั นี้ คือ “ความอิสระของผดู าํ เนิน กจิ การ” ในกจิ การหน่งึ ๆ ของตน กับความไมมีอสิ ระแกตน หลักเอกภาพตามความหมายในแงน ้ี ทัง้ คนมีความรแู ละคนโงเ ขลาตางกม็ คี วามเขา ใจทัดเทยี มกัน ใชแลว มโนคตทิ ใ่ี สสะอาดยอมเขาใจไดเ ลยวา ในประเดน็ ความอสิ ระของผถู กู เคารพภกั ดี กับการไมมีอิสระของผูเคารพภกั ดีน้ันอยูใ นกรอบของเหตุผลแหงสติปญญาและคมั ภรี อนั ทรง เกยี รติ จึงไมมีความจาํ เปนทจ่ี ะตอ งมาแยกแยะรายละเอียดอีก ดวยการอาศัยมโนคตทิ างจติ สํานกึ (๑) ดังความปรากฏในโองการท่ี ๔๙ ซเู ราะฮ อาลิอมิ รอน วา : แทจริงฉนั น้จี ะสรา งรูปนกขึ้นมาจาก ดินแกพวกทาน แลว ฉนั จะเปา ในนัน้ แลว มนั ก็กลายเปนนก โดยอนมุ ัตขิ องอลั ลอฮและฉนั รักษาคน ตาบอดและคนเปน โรคเร้อื นได และฉันทําใหคนตายมชี วี ติ ขึน้ มาไดโ ดยอนุมัติของอัลลอฮ และฉัน จะแจง แกพวกทา นถงึ ส่งิ พวกทานรับประทานไดและ (ฉันจะแจงแกพ วกทานได) สง่ิ ท่พี วกทานเก็บ ไวในบานเรือนของพวกทา น” (๒) เราไดกลาวผา นไปเมอ่ื ตอนอธิบายเร่อื งหลกั เอกภาพแหงความเปนผูอภิบาลวา อัลลอฮไมทรง ขอความชว ยเหลือตอสิง่ ใดเลยในกจิ การของพระองค โดยมิไดหมายความวา พระองคจ ะทรงดําเนนิ กิจการโดยพระองคเองไปเสยี ทกุ เรื่อง จนถึงกับวาพระองคคอื แหลงที่มาของการสรา ง การประทาน ปจจยั ยังชพี การใหเ ปน การใหตายโดยไมมีสวนเกีย่ วของกบั สาเหตุทม่ี าใดๆ ในสิ่งตา งๆ เหลานนั้ หากแตหมายความวา : พระองคท รงดาํ เนินกิจการตางๆ ไป ไมว า กิจการท่ีเกดิ ข้ึนโดยพลัน หรือ กิจการท่ีเกดิ ขึ้นจากเหตแุ ละผลในฐานะผูท รงมอี าํ นาจอยา งเหลอื หลายเหนอื สิ่งอ่ืนใด แมว ากิจการ ของพระองคดําเนินไปตามระบบของความสมั พนั ธร ะหวางเหตุและผลกต็ าม
และสตปิ ญญาอันน้ี ชาวอาหรบั แหง ยุคงมงายกจ็ ะมีความเขาใจตอความหมายของอบิ าดะฮตาม จุดมุง หมายทีร่ ะบอุ ยใู นอลั -กุรอานได กลาวคือการอบิ าดะฮต ามความหมายในแงน ้ี (หมายถงึ ที่ เปน ไปโดยความเชอ่ื ทว่ี า ผถู ูกเคารพมคี วามอิสระ) มีความเขาใจทดั เทยี มกนั ท้ังคนมีความรแู ละคน โงเขลา ทงั้ คนท่มี สี ติปญญาสมบูรณกบั คนทไ่ี มสมบรู ณ เพียงแตว า ทุกตัวบุคคลนั้นจะเขา ใจไปตาม ความสามารถของสติปญญาที่มีอยูต ามทพี่ ระองคไ ดม โี องการวา : “แลว ธารนาํ้ ตา งๆ ไดไ หลหลากไปตามปริมาณของมัน” (อรั เราะดดุ-๑๗) อยางไรก็ดี พื้นฐานทีอ่ ยใู นคําอธิบายของผพู ูดคอื “การยกอาํ นาจให” ดงั นั้น สงิ่ ที่จะอธบิ าย ไปถึงเจตนาของพวกเขา ๒- “การยกอํานาจให” หมายความวา อยา งไร? คาํ อธบิ ายของผูยดึ มั่นในหลักเอกภาพสอดคลองกันในประเดน็ ท่ีวา ความเชือ่ เรอื่ ง “การยก อาํ นาจ” น้ัน เปน ตวั ชี้ถึงการต้งั ภาคี และการนบนอบอันเกิดจากความเชอื่ ดงั กลาวนน้ั ถอื เปนอบิ า ดะฮอยา งหนึ่งตอผไู ดรับการนบนอบ การยกอาํ นาจใหม ีลักษณะสองประการ คือ ๑- ยกอาํ นาจของอัลลอฮในฐานะผบู ริหารโลกไปใหเ ปน หนา ท่ีของบุคคลพิเศาท่ีเปนบาว ของพระองคอ ันไดแก บรรดามะลาอกิ ะฮ, บรรดานบี, และบรรดาผมู คี วามใกลชดิ ตอ พระองค (เอาลิ ยาอ) โดยเรียกวา “ยกอํานาจในการจดั ระบบของโลกให” ๒- ยกอํานาจในสว นทเ่ี ปน กิจการของพระผเู ปนเจา ไปใหเปนหนาที่ของผเู ปนบาว เชน การ ออกกฎหมาย, การวางบทบญั ญัต,ิ การอภยั โทษ, การใหค วามอนุเคราะหชว ยเหลือ อนั เปนเรือ่ งราว ของอลั ลอฮ โดยเรียกวา “ยกอาํ นาจในแงข องการวางบทบญั ญตั ิให” ประการทีห่ น่ึง ไมต อ งสงสัยเลยวา มันเปนสงิ่ ที่ชี้ถึงการตง้ั ภาคี กลา วคอื ถาหากใครเชอื่ วา อลั ลอฮทรงมอบหมาย กิจการของโลกและการบรหิ ารโลก เปน ตนวา การสรา ง, การใหปจ จยั ยงั ชพี , การใหต าย, การใหช วี ติ , การใหห ิมะและฝนตก ตลอดจนเหตุการณต างๆ ของโลกแกมะลาอิกะฮข องพระองคหรือบาวผมู ี คุณธรรมคนใดของพระองคแลว แนน อนเทา กับเขาไดต ั้งบคุ คลเหลา น้ันขนึ้ เปนคเู คยี งกบั อัลลอฮใน ขณะท่ียกอาํ นาจใหมิไดมคี วามหมายเปน อยา งอ่ืน นอกจากวา สภาพของพวกเขาเปน ผมู ีความอสิ ระ ในการกระทาํ ท้งั หลายของตน โดยเปนผขู าดการตดิ ตอจากอัลลอฮในกิจการตา งๆ ทพี่ วกเขากระทํา และตอ งการ กลา วโดยสรปุ : จะเห็นไดวา การยกอํานาจบรหิ ารใหเปน เร่ืองของผเู ปน บาวน้ัน เปนสวน หน่งึ จากการถือวา ผเู ปน บา วมีความอิสระในการกระทําและดําเนินกจิ การของตนออกไปตางหาก จากบคุ คลอ่นื ไมว าความเปน อสิ ระท่ีวา น้ันจะอยูในการกระทาํ ใดๆ ทเ่ี กย่ี วโยงกับการบรหิ ารโลก
และเหตกุ ารณต างๆ ท่ีเกิดขึน้ ในโลกก็ตาม เพยี งแตวา ถา อา งถึงความเปนอิสระของมนษุ ยใ นการ กระทาํ ตา งๆ ในแงปกตวิ ัสัยโดยอธบิ ายเปนเชงิ ปรัชญาอยา งเดยี วนัน้ พวกตั้งภาคใี นยคุ งมงายจะไม ยอมหันมาพิจารณา ดว ยเหตนุ ้พี วกเขาจงึ จาํ เปน ตองอธบิ ายเก่ยี วกับความเชอ่ื ท่มี ตี อ ความเปน อิสระ ของบุคคลเหลานัน้ ในเร่ืองการบริหารโลก ประการแรกอีกเชน กัน ที่ไดกลายเปนประเดน็ สําคัญในการอธิบายและถกเถียงกันในสมยั แรกๆ ของอสิ ลาม จนถึงกบั แบง หัวขอการอธบิ ายออกไปเปน สว นของ “พวกมีความเช่อื ในโชค เคราะห” (ญบิ รยี ) กับ “พวกมคี วามเช่อื ในการไดรับอํานาจ” (ตฟั วีฎยี ) สรปุ ไดวา ประเด็นสาํ คัญสาํ หรับพิจารณาจึงอยใู นระหวางความเช่ือที่วา ผูเปน บา ว มีการ กระทาํ โดยความเปน อสิ ระและแยกออกไปจากอัลลอฮตางหากหรอื วา ความเชอ่ื ทว่ี า เขามคี ณุ สมบัติ นนั้ ๆ โดยพระราชบญั ชาและการอนุมตั ขิ องพระองคต ลอดท้ังตามเจตนารมณของพระองค และ ความเชือ่ ในเร่อื งการยกอาํ นาจใหน น้ั ไมมีประเดน็ ท่ีสาม หากแตม นั อยูในขา ยของประการท่หี นึง่ นนั่ เอง สว นในกรณีของความเช่อื ทวี่ า คุณานภุ าพจากมวลมะลาอกิ ะฮ, ญนิ , หรอื นบีและวะลยี เ ปน ผบู ริหารกจิ การสําหรับโลก โดยการอนุมัติและตามเจตนารมณของพระองคต ลอดทง้ั ตามพระ บัญชาและโดยอํานาจของพระองค โดยที่พวกเขาไมม คี วามเปนอสิ ระในส่ิงทไี่ ดกระทําลงไป หรือ วา จะเปนผไู ดรบั อํานาจเดด็ ขาดในกรณีท่ีไดสาํ แดงสิ่งใดออกไปน้ัน มิใชเ ปนตัวชี้สําหรับการตงั้ ภาคี หากแตเร่อื งเหลา น้ี เปนประเดน็ ที่ตองพูดกันในแงทอี่ ยูร ะหวา งความเชอื่ ทม่ี อี ยา งถูกตอ งสอดคลอง กับสภาพความเปน จรงิ เชน ความเช่อื ที่วา มันอยูในสว นของมะลาอิกะฮ หรือความเชอ่ื ที่มีอยา ง ผิดพลาดจากสภาพความเปนจริง เชน ความเช่ือทีว่ า มนั อยูในสว นของนบีและวะลีย กลา วคอื บรรดานบี และบรรดาวะลยี น ัน้ มิไดมีสภาพเปนปรากฏการณใ นแงของความเปน ตนเหตุและแหลง กอ เกิด หากแตพวกเขาก็เปนเหมอื นกับมนษุ ยท ่วั ๆ ไปท่ไี ดรบั ประโยชนจ ากระบบของธรรมชาตจิ น ถือไดวา การยงั ชีพอยูของพวกเขาก็ขึน้ อยูกับระบบตา งๆ เหลานัน้ เปนท่รี จู กั กนั อยูแลว วา ความ ผดิ พลาดท่มี ีตอ สภาพทเี่ ปนจรงิ มไิ ดหมายถงึ การตง้ั ภาคีเสยี ทกุ อยา ง หากในกรณที ่จี ะมคี วามเช่ือถอื วา วะลียคือตน เหตแุ หง กฎธรรมชาตแิ ละระบบตางๆ ของสสารวัตถุ และมิไดห มายความวา ความเชอื่ ในประเดน็ ทีว่ าบคุ คลชนิดน้เี ปนตนเหตแุ ละแหลงกอกําเนิดแหงระบบตา งๆ ของสสารวตั ถจุ ะแสดง ถงึ การตั้งภาคี สง่ิ ท่คี วรจะไดน าํ มากลา วอกี อยา งหน่งึ ก็คอื วา พวกตัง้ ภาคีในสมยั ท่ีอิสลามเรมิ่ เผยแผน ้ัน เชอื่ ถืออยวู า พระเจา ของพวกเขาอยูในประเภทท่ีมคี วามเปน อสิ ระในการกระทาํ และตา งพากัน ยอมรับสิ่งดงั กลา วโดยอาศัยพ้นื ฐานอันนี้ ดงั ไดกลาวมาแลววา อมุ ัร บนิ ลิหยา ไดเดินทางจากนคร มกั กะฮไปยังเมอื งซเี รยี แลวไดเห็นคนทงั้ หลายเคารพภักดรี ูปปน เขาจึงถามคนเหลา น้นั ถึงสาเหตุท่ี พวกเขาตองเคารพภกั ดีส่ิงดังกลา ว คนพวกนน้ั ไดกลาวกับเขาวา :
“รูปปนเหลานท้ี เ่ี ราเคารถภักดีมันก็เพราะวา เมื่อเราขอฝนจากมัน มนั ก็ใหฝ นตกลงมาแกเรา แลวเลาเราขอความชวยเหลอื จากมนั มันก็ใหการชว ยเหลอื เรา” (๑) มีปราชญอยพู วกหนึ่งที่เชือ่ ถือวา ในสงิ่ ของแตล ะประเภทนั้นมี “ผูอภบิ าลแตล ะสิง่ อยู” โดย ไดรบั อํานาจในการบริหารสิ่งนัน้ ๆ การบริหารจกั รวาวอนั เปนกจิ การหนง่ึ ของอลั ลอฮก็ไดถ ูกยอก ไปใหเ ปน เรือ่ งของผูนั้น ดังเชนทคี่ นอาหรับสมยั งมงายซึง่ เคารพภกั ดีมะลาอกิ ะฮแ ละดวงดาว สาเหตุทีพ่ วกเขาเคารพภักดีส่งิ เหลานั้นมเี พยี งวา กจิ การของจกั รวาลและงานบรหิ ารจักรวาลนั้น ได ถูกมอบอํานาจใหแ กสิ่งนั้นๆ ตามความเขา ใจของพวกเขา และอัลลอฮก็ทรงสละอํานาจจากการ บรหิ ารโดยสิ้นเชิง ดว ยเหตุน้ีจงึ ถือวา การนบนอบใดๆ ก็ตามอันเกิดข้ึนโดยความรูสึกอยางนี้ คือ อิ บาดะฮ ในตอนตอ ไปทา นจะไดศึกษาถงึ ความเชื่อถอื ของชาวอาหรับยุคงมงายที่มีตอรปู เคารพของ พวกเขา ประการท่ีสองของเร่อื งการยกอาํ นาจให ถาหากเราเชอื่ มนั่ วา อัลลอฮทรงมอบอํานาจหนา ทข่ี องพระองคบ างสว น เชน การออก กฎหมาย และการวางบทบญั ญตั ิ สรรถการอนเุ คราะหใหค วามชว ยเหลอื การอภยั โทษใหแกบ คุ คล หนงึ่ บุคคลใดในสรรพสง่ิ ที่พระองคท รงสรา งแลว ก็เทา กบั วา เราไดเอาส่ิงนั้นข้นึ เปนภาคี หุน สวน กบั อัล-กุรอานไดกลาววา “และสวนหน่ึงจากมนษุ ย มผี ูท่ถี อื เอาสิ่งอน่ื นอกอลั ลอฮขน้ึ มาเปนคูเ คยี งแลวพวกเขาให ความรกั เขาเหลา น้นั เฉกเชนความรกั ทีพ่ ึงมตี ออัลลอฮ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- 165) ไมต องสงสัยเลยวา สรรพส่ิงทม่ี อี ยนู ี้ ไมสามารถทจ่ี ะเปน คเู คียงกับอลั ลอฮได แมก ระทั่ง การทีจ่ ะดาํ เนินกจิ การหรือการกระทาํ ใดๆ ทเี่ ปนกจิ การอัลลอฮโดย “ความเปน อสิ ระ” ก็ไมส ามารถ ทจ่ี ะกระทาํ ได หากไมเปนเพราะไดร ับอนมุ ัตแิ ละพระบญั ชา ของอลั ลอฮมาใหด ําเนนิ การในสง่ิ นัน้ ๆ ในขณะที่สง่ิ เหลา น้ันไมอ าจเปนคเู คียงกบั อลั ลอฮได ก็ยงั ตอ งเปน บา วและผูท าํ ตามพระบญั ชา ของพระองคและเจตนารมณข องพระองคอ ีกดวย เรอ่ื งเหลา นแ้ี นนอนทีส่ ดุ ไดมีลักษณะของการตั้ง ภาคีประเภทตา งๆ แฝงอยูในหมุพวกยิวและพวกครสิ เตียนตลอดจนพวกอาหรับสมัยงมงาย โดยมี พวกหนงึ่ ใหค วามเชอ่ื ถอื วา อลั ลอฮทรงมอบหมายสทิ ธิในการออกกฎหมายและวางบทบัญญัตแิ ก นักปราชญและปโุ รหิตของพวกตน ดังที่อัล-กรุ อานไดกลาววา “พวกเขาไดยึดเอานักปราชญแ ละนักบาชของพวกเขาเปนพระเจา นอกเหนอื จากอัลลอฮ” (อตั เตาบะฮ- ๓๑) (๑) ซเี ราะตอุ ิบนุ ฮชิ าม เลม ๑ หนา ๗๙ ประวตั ขิ องเรื่องนไี้ ดนาํ มาเสนอผานไปแลว รวมถึงเรือ่ งที่ ทา นศาสนทูต (ศ) ไดกลาวไวทฮ่ี ุดยั บยี ะฮดวยกรณีการขอฝนทีเ่ ปนเรอ่ื งเนนหนักมากในพวกงมงาย สมัยกอน โปรดดูหนา ๓๓ บทนาํ หมายเลข ๒ หนงั สอื ซีเราะตุลหะละบียะฮ เลม ๓ หนา ๒๙
พวกทอี่ ยใู นยุคงมงายมีความเชือ่ วา อัลลอฮทรงมอบอํานาจในการใหค วามอนเุ คราะหแ ละ การอภัยโทษอันเปนสทิ ธโิ ดยเฉพาะของอลั ลอฮแกร ปู ปนและรปู เคารพของพวกเขา และถือวา รูป ปน กับรูปเคารพตา งๆ เหลาน้ี มีความเปน อิสระในการดาํ เนินกจิ การเหลานี้ ดว ยเหตนุ ้ี พวกเขาจงึ ตอ งเคารพภกั ดสี งิ่ เหลานนั้ เพื่อจะใหมันขออนุเคราะหจากอัลลอฮใหแกพวกเขา โดยถอื วา กิจการ แหง การอนุเคราะหช วยเหลอื อยใู นอํานาจของส่งิ เหลา นั้น ดังท่ีพระองคท รงมโี องการวา “และพวกเขาเคารพภักดสี ิง่ ที่มิไดใหโทษและมิไดใ หคุณอันใดแกพวกเขานอกเหนือไปจาก อัลลอฮ และพวกเขากลาววา ส่งิ ท้งั หลายเหลา นี้เปน ผูอนเุ คราะหชวยเหลือเรา ณ อลั ลอฮ” (ยูนุส-๑๘) ดวยเหตุนเี้ อง โองการตา งๆ ของอัล-กุรอานจึงใหคํายนื ยันไววา ไมม ีใครใหก ารอนุเคราะห ชวยเหลือได นอกจากโดยอนุมัตขิ องอลั ลอฮ ดงั นั้นถึงแมพ วกต้ังภาคจี ะเชือ่ ถอื วา รูปเคารพของพวก เขาจะอนเุ คราะหชวยเหลอื พวกเขาโดยการอนมุ ตั ขิ องอัลลอฮ ก็มิไดหมายความวา คาํ ยนื ยนั เหลา นี้ จะอยูในประเด็นที่สอดคลอ งตามความเชอ่ื ถือ ของพวกตง้ั ภาคี โดยเหตุที่วา ชาวอาหรบั ในยคุ งมงาย พวกนี้ที่ไดเ คารพภักดรี ปู ปน อยู กเ็ ปนเพียงแตเ คารพภกั ดีไปในฐานทถี่ ือวา มนั ควบคมุ การ อนุเคราะหความชว ยเหลือของพวกเขาไวเทานั้นเอง หาใชฐานะท่ถี ือวา มันคอื ผสู รางหรือผูบริหาร จกั รวาลแตอ ยา งใดไม อาศัยพ้นื ฐานของความเช่ือแบบผดิ ๆ อันน้ีเองท่ีพวกเขาไดพากันเคารพภักดี สิ่งเหลานั้น และโมเมเอาเองวา การเคารพภกั ดขี องพวกเขาท่มี สี ่ิงเหลา น้ัน จะทําใหไ ดร บั ความ ใกลชิดยงั อัลลอฮ โดยพวกเขากลาววา “เรามิไดเ คารพภกั ดีสงิ่ เหลาน้ัน เพ่อื อื่นใด นอกจากเพอ่ื ใหมันนําเราเขา ใกลชิดตออัลลอฮ อยางลึกซง้ึ ” (อัซซุมัร-๓) ๓- การแบงพระเจา ออกเปนสว นยอยกับการปฏเิ สธพระเจาสูงสดุ มิใชประเดน็ เดียวกัน การแบงสภาพของความเปนพระเจาออกเปน พระเจายอ ยตามจินตนาภาพนั้นเปนเรื่องที่ ผดิ พลาดและยกเมฆขึน้ มา เราจะไมข อนาํ หลกั ฐานทางวชิ าการและเหตผุ ลในเรอื่ งนี้จากโองการ ตางๆ มากลา วใหยดื ยาว สวนกรณีของการแบงหนาทกี่ ารงานของพระเจา ดงั ท่อี ยใู นความเชื่อของชาวอาหรับยุคงม งายน้ัน ยงั มิไดหมายถึงปฏเิ สธพระเจา สงู สดุ ผทู รงอาํ นาจ หากแตพ วกงมงายเช่ือถือกบั พระเจา สูงสดุ อยูถึงแมวา พวกเขาจะเคารพภกั ดีรปู ปนและเช่อื ถือในการแบง สภาพความเปน พระเจา แกสิ่งเหลาน้ี แตอซุ ตาสเมาดดู ีย(๑) ไดตาํ หนิความคดิ ในเรอื่ งการแบง แยกสภาพความเปนพระเจา ไววา : (๑) บิหารลุ -อนั วาร เลม ๒๕ หนา ๒๓๐-๓๕๐
ความเช่ือในเร่ืองการแบง แยกสภาพความเปน พระเจา น้มี ิไดม ีรวมอยใู นความเชอ่ื ถอื ทีม่ ตี อพระเจา สงู สุด โดยไดอธิบายวา : “คนในสมัยงมงายมิไดเ ชื่อถอื ในพระเจา ตา งๆ ของพวกเขาวา ความเปน พระเจา ไดถกู เฉลี่ย กันไปในระหวา งพวกมันทง้ั หลาย กลา วคือไมม ีพระเจา ผูทรงอาํ นาจเหนือพวกมันอีกแลว แมว า พวกเขาจะมีความเขา ใจอยางชดั เจนตอพระเจา ในแงข องอลั ลอฮ ตามความหมายทมี่ อี ยใู นภาษาของ พวกเขาอยูก็ตาม”(๑) มีขอสงั เกตอยูในคาํ อธบิ ายดังกลา วน้ี กลา วคือถาหากมาพจิ ารณารวมกนั ระหวา งประโยค ทว่ี า : “ความเปน พระเจา ไดถกู เฉล่ียกันไปในระหวางพวกมันท้ังหลาย” กับประโยคท่ีวา “กลาวคือ ไมม พี ระเจา ผทู รงอาํ นาจเหนอื พวกมันอีกแลว” ก็จะทาํ ใหค ิดไปวา เรอ่ื งราวเกย่ี วกับการแบง เฉลย่ี สภาพความเปน พระเจา นนั้ มีความหมายเดยี วกับเรอื่ งราวเกย่ี วกับการปฏเิ สธพระเจาสงู สดุ ท่อี ยู เหนือทุกสง่ิ ทุกอยา ง แตหาไดเ ปน อยา งนน้ั ไม กลาวคอื พวกบชู าดวงดาว (ศอบิอะฮ) ที่ไดรับการ อธิบายไวใ นอัล-กุรอานนั้น เช่ือมน่ั ตอดวงอาทิตยว า : มีสภาพของความเปน พระเจาและทาํ การ บรหิ าร พรอมกบั กลา ววา ยงั มีพระเจา ผทู รงอาํ นาจสงู สุดอยู โดยพวกเขากลา ววา : “แทจริงดวงอาทติ ยท รงเปนเจาองคห นึ่ง ซ่ึงมีชีวิต มสี ตปิ ญ ญา แสงของดาวเคราะหและ ความสวา งของโลกเกดิ ข้ึนมาจากมัน สรรพส่ิงทัง้ หลายอยูในฐานะเปน เบ้อื งลา ง ดังนนั้ มันจงึ มสี ทิ ธิ ในการไดรับเกียรติ การกราบ และการสรรเสรญิ ตลอดท้งั การออ นวอน” (๒) หมายความวา สภาพความเปน พระเจา ทีใ่ หญก วาสภาพของสรรพส่ิงท่ีมอี ยูในฐานะเปน เบ้อื งลาง อยางทอ่ี ลั ลอฮไดทรงอางไวในอัล-กุรอานเกี่ยวกบั สภาวะทแ่ี ทจริงของพระองค พวกบูชาดวงดาวยงั กลา วอกี วา : ดวงจนั ทรคอื เจา องคห นึง่ มนั มสี ิทธิที่จะรับการอบิ าดะฮ (เคารพภักดี) มันมหี นาทีบ่ ริหาร โลกนใ้ี นฐานที่เปนเบอื้ งลางและกิจการโดยสวนยอ ย ส่ิงทั้งหลายอ่มิ เอิบและเขา สูสภาวะความ สมบูรณข องตนไดก็เพราะอํานาจทม่ี าจากมนั ” (๓) ไมเ คยมีผใู ดเลยแมแตคนเดียวทจี่ ะอธิบายถึงความเช่อื ถอื ของพวกเขาเหลา น้ันที่มีตอ ดวง อาทติ ยแ ละดวงจนั ทรว า ส่ิงทงั้ สองอยใู นฐานะเปนสาเหตแุ หง กฎธรรมชาติ และไมมีหนา ทีอ่ ันใด มากไปกวาดําเนินบทบาทอยางเดยี วกันเทาน้นั กลาวคือเปนท่ยี อมรบั กันวา พวกเขาถอื วา สง่ิ ทงั้ สอง เปนเจาประเภทหนงึ่ และเชอื่ มนั่ วาสงิ่ ทัง้ สองมสี ตปิ ญ ญา, มชี ีวติ และทาํ การบริหารไปโดยใช ความคดิ และนค่ี ือฐานะแหงความเปน พระเจา และสภาพของส่ิงทงั้ สองกค็ ือ พระเจา สององค คอื มใิ ชส ภาพของสิ่งทีอ่ ยใู นฐานะเปน สาเหตุแหงกฎธรรมชาติ กลา วคอื ถา หากมันเปน สาเหตุแหงกฎ ธรรมชาตแิ ลว พวกเขาจะไมเ คารพภกั ดีตอมันอยางน้นั แน เพราะฉะนนั้ จึงไมม ีขอหามอันใด สาํ หรับการที่พวกต้ังภาคีจะเช่ือถือวา ยงั มพี ระเจา ผูท รงอาํ นาจและเปน ผูท่ีเฉล่ียสภาพแหง ความเปน (๑) หนงั สอื มุศฏอลหิ าด อรั บะอะฮ หนา ๑๙ (2) และ (๓) อัล-มิลลั วนั นะฮัล ของ ชะฮร ะสตานี หนา ๒๖๕-๒๖๖
พระเจาใหก บั สงิ่ ตางๆ (ในขณะทค่ี วามเชอื่ ของเขามใี นเรอื่ งการแบงเฉลย่ี ภารกจิ แหง พระเจา กนั ใน หมพู ระเจา ยอ ยท้งั หลาย) ดงั นัน้ ชาวอาหรบั ในยุคงมงาย จึงเชื่อถอื วา มกี ารมอบอํานาจทางดา นอภยั โทษและการอนุเคราะหความชว ยเหลือใหแกรูปปน และเจว็ดตา งๆ พรอมๆ กบั ท่ีเชื่อถือวา ยงั มพี ระ เจา องคอื่นทท่ี รงอํานาจสูงสดุ อยู การอภัยโทษและการอนเุ คราะหความชวยเหลือเปนกิจการ ประเภทหนึง่ ของพระเจา หลักฐานทแ่ี สดงวา พวกเขาเช่อื มั่นในเรือ่ งการมอบอาํ นาจให กค็ อื การ ยนื ยันของอัล-กุรอานท่ีกลา ววา ไมม กี ารอนุเคราะหความชว ยเหลือใดๆ ไดเ วนแตโดยอนุมตั ิ ของอลั ลอฮ เชน : “ผูใดเลา ท่ีจะมีอํานาจอนุเคราะหชว ยเหลือไวก ับตนได เวนแตโ ดยการอนมุ ัตขิ องอัลลอฮ” (อัล-บะเกาะเราะฮ-๒๕๕) อัลลอฮคอื ผูทรงไวซึ่งการอภยั โทษตอความผดิ บาป ดงั โองการท่ีวา : “และใครเลา ทจี่ ะอภยั ความผดิ บาปได นอกจากอัลลอฮ” (อาลิ อิมรอน-๑๓๕) เราสงสัยวา (อาจเปน การสงสยั ทีถ่ ูกตอ งก็ได) ทานอซุ ตาส เมาดดู ยี ยงั มจี ดุ มุง หมายใน ประเดน็ อืน่ อยูเบือ้ งหลงั คําอธิบายขอน้อี ีก (การแบง เฉลย่ี สภาพความเปน พระเจา คือการปฏเิ สธ ความเชอ่ื ถอื ท่มี ตี อ พระเจาอน่ื ๆ) นั่นก็คอื ความเชอื่ ม่นั ที่วา คาํ วา พระเจา ตามทม่ี ีอยูในอัล-กุรอานนั้น มีความหมายแคเ พียงสง่ิ ถูกเคารพ ตามแบบฉบับของทา นชัยค (อบิ นตุ ัยมยี ะฮ) ผเู ปน ตนตํารับ กลาวคอื การเชอ่ื ถือตอรปู ปนวามสี ภาพแหงความเปนพระเจา นั้น หมายความแตเพียงวา เปนเจา แหงความเปนส่ิงถกู เคารพ มิใชเปน เจา ในฐานะทว่ี า พวกมนั คอื พระเจา ยอ ย สวนอัลลอฮคือองคใ หญ ของพระเจาเหลานัน้ ทา นอสุ ตาซและนักศึกษาของทา นไดทําใหพ วกตงั้ ภาครี อดพนไปจากคาํ อธบิ ายของพวก ตนเก่ียวกบั เรื่องความเปนพระเจา ของรปู ปน เพียงแตใ หถอื วา พวกเขาเคารพภักดสี ิ่งเหลา นนั้ ไปโดย ที่พวกเขามิไดถอื วา มันเปนพระเจา ยอย ในกรณที ่ีควบคูกบั พระเจา ผทู รงอาํ นาจและเปน ผทู ่เี ฉลี่ย สภาพแหงความเปนพระเจา ใหก ับสิ่งตา งๆ (ในขณะทค่ี วามเช่อื ของเขามใี นเรื่องการแบง เฉลี่ย ภารกจิ แหง พระเจา กันในหมูพระเจา ยอยทั้งหลาย) ดังน้ัน ชาวอาหรบั ในยคุ งมงาย จึงเชอ่ื ถือวา มกี าร มอบอํานาจทางดานอภัยโทษและการอนเุ คราะหความชว ยเหลือใหแ กรปู ปน และเจวด็ ตางๆ พรอมๆ กบั ทเ่ี ชือ่ ถือวายังมพี ระเจา องคอ น่ื ทีท่ รงอาํ นาจสูงสดุ อยุ การอภยั โทษและการอนุเคราะหค วาม ชว ยเหลอื เปนกิจการประเภทหนง่ึ ของพระเจา หลกั ฐานท่แี สดงวาพวกเขาเช่ือม่นั ในเรอ่ื งการมอบ อํานาจให ก็คือการยืนยนั ของอัล-กุรอานทีก่ ลา ววา ไมมีการอนเุ คราะหค วามชว ยเหลือใดๆ ไดเวน แตโดยอนุมัติของอลั ลอฮ เชน : “ผใู ดเลา ที่จะมีอํานาจอนเุ คราะหช ว ยเหลอื ไวก ับตนได เวนแตโดยการอนมุ ัตขิ องอัลลอฮ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๒๕๕) อัลลอฮคอื ผทู รงไวซ งึ่ การอภยั โทษตอ ความผดิ บาป ดังโองการที่วา :
“และใครเลา ทจ่ี ะอภยั ความผดิ บาปได นอกจากอลั ลอฮ” (อาลิ อิมรอน-๑๓๕) เราสงสยั วา (อาจเปนการสงสยั ทถี่ ูกตองก็ได) ทา นอุซตาส เมาดดู ยี ยังมีจุดมุงหมายใน ประเด็นอืน่ อยูเบ้ืองหลังคาํ อธบิ ายขอน้ีอีก (การแบงเฉลย่ี สภาพความเปน พระเจา คือการปฏเิ สธ ความเชอื่ ถือท่ีมีตอ พระเจาอน่ื ๆ) นั่นก็คือความเชอ่ื ม่นั ทว่ี า คาํ วา พระเจา ตามทมี่ ีอยใู นอลั -กรุ อานน้ัน มีความหมายแคเพียงสิ่งถูกเคารพ ตามแบบฉบับของทานชัยค (อบิ นตุ ยั มยี ะฮ) ผเู ปน ตนตํารบั กลา วคือ การเชื่อถือตอ รูปปนวา มีสภาพแหงความเปนพระเจา น้ัน หมายความแตเ พยี งวา เปนเจา แหง ความเปนสิ่งถูกเคารพ มิใชเ ปนเจา ในฐานะทวี่ า พวกมันคือพระเจายอ ย สวนอัลลอฮคือองคใ หญ ของพระเจา เหลา นั้น ทานอุสตาซและนกั ศึกษาของทา นไดท ําใหพ วกตง้ั ภาคีรอดพนไปจากคําอธบิ ายของพวก ตนเก่ยี วกับเร่ืองความเปน พระเจา ของรปู ปน เพียงแตใ หถ ือวา พวกเขาเคารพภกั ดีส่ิงเหลา น้นั ไปโดย ทพี่ วกเขามิไดถือวาเปน พระเจา ยอย ในกรณที ่คี วบคูก ับพระเจา ผูทรงอํานาจ นอกเหนอื ไปจากน้พี วกเขายังทําใหบรรดามุสลิมกลมุ หนงึ่ ตองเสียภาพพจนไปในขณะที่ พวกเขาไดอ ธิบายโองการตา งๆ ท่วี า ดวยการหามมใิ หเ ช่ือถอื พระเจาตา งๆ วา หมายถงึ หามการเคารพ ภกั ดีสง่ิ เหลา นั้น ทั้งนี้ก็เพราะ ในทัศนะของพวกเขาถือวา พระเจาก็คือสิง่ ทถ่ี ูกเคารพ ตอจากนน้ั พวก เขายังใชโ องการเหลา น้มี าอธบิ ายเกย่ี วกบั เร่ืองการแสวงหาความสมั พนั ธ (ตะวัสสุล) การเยยี่ มเยือน สุสาน (ซิยาเราฮ) ท่ีบรรดามสุ ลิมกระทําตอบรรดานบีและผูใ กลชิดของอลั ลอฮ (เอาลิยาอ) กลาวคอื ไดมกี ารอถาธบิ ายโองการทั้งหลายทว่ี า ดว ยการหา มมใิ หยดึ ถือพระเจา ตา งๆ วา หา มมิใหยดึ ถือส่งิ ถกู เคารพไปโสดหนง่ึ และยงั ไดเ บนมาอธิบายใหเ ขากันกับเร่อื งการแสวงหา ความสัมพันธตา งๆ, (ตะวัสลลุ ) การเยีย่ มเยือน, (ซิยาเราะฮ) สสุ านทบี่ รรดามสุ ลมิ มีตอบรรดาบคุ คล ผูมีเกยี รตขิ องตนอีกโสดหน่ึง 4- เน้ือหาโดยสรปุ เนอ้ื หาโดยสรุปอยูในประเด็นทีว่ า งานอะไรกต็ ามอนั เกิดจากความเชอ่ื อยา งน้ี (ความเช่ือ ทวี่ า ส่งิ น้ัน คือพระเจา ของโลก, หรือผอู ภิบาลโลก, หรอื ผูมคี วามมั่งคง่ั เหลือหลายในตน และสําแดง ออกมาซึ่งกจิ การในสว นทีเ่ ปน ของพระเจา ) และสงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาจากการยอมรบั อยา งส้ินเชิงประเภท น้ี ถอื วา เปนอิบาดะฮและจะตอ งถอื วาผนู ้ัน เปน ผตู ง้ั ภาคที นั ที ถา หากวา กระทาํ อยา งน้นั กับสิง่ อ่ืน นอกเหนอื จากอลั ลอฮ ในทางตรงกนั ขามก็คอื : การกลา วคาํ พูด, การกระทาํ ใดๆ, การนบนอบใดๆ อนั มิไดเกิด ขน้ึ มาจากความเช่อื ถืออยา งนี้ กลา วคอื การนบนอบท่ใี ครคนหน่ึงมีตอ บุคคลหนงึ่ และไดใ หเ กียรติ อยางลึกซึง้ ในการกระทาํ อนั นน้ั โดยมิไดเ กิดข้ึนจากความเชือ่ มัน่ วา บุคคลนั้นมสี ภาพเปนพระเจา ก็ เทา กับวา ยงั ไมเ ปนการตงั้ ภาคี และไมถ ือวา เปน อิบาดะฮแ กบคุ คลนั้น ถา จะเปน ไปไดก เ็ พียงแคถ ือ
วา การกระทาํ อันเปนท่ตี อ งหา ม (ฮะรอม) เทา น้ัน เชน คนรกั กราบคนรกั หรือภรรยากราบสามี แนนอนถึงแมว า สงิ่ เหลา นจ้ี ะเปน ทต่ี อ งหาม (ฮะรอม) ตามบทบัญญัตอิ สิ ลาม แตมนั ก็ยงั มใิ ชอิบา ดะฮ กลา วคอื สภาพของส่งิ ใดๆ ท่เี ปนของตอ งหา ม (ฮะรอม) นั้น มิไดหมายถึงวามันตอ งเปน อิบา ดะฮเ สมอไป ดังน้ันขอหา มสําหรับกรณีการกราบมนษุ ยโดยมิไดเ ชือ่ ม่ันวา มนษุ ยผ ูน้ันมสี ภาพเปน พระเจาและความเปน ผอู ภบิ าล จึงเปน เร่ืองทีอ่ ยูในประเด็นอ่ืน จากคาํ อธิบายเหลานไ้ี ดอธิบายใหเ ปนคําตอบ คําถามที่เกดิ ขึ้นในประเด็นน้ีคอื : ถาการ เชอื่ มนั่ ในสภาพความเปน พระเจา หรือสภาพความเปน ผอู ภิบาลหรือการไดรับมอบอาํ นาจของพระ เจา เปนเงอ่ื นไขอนั หน่ึงในการแสดงถงึ การอิบาดะฮ กห็ มายความวา การสญุ ดตอใครคนหนึ่งโดยท่ี ไมม ีจติ สํานกึ อยา งน้เี ปน ที่อนุญาตใหกระทาํ ไดกระน้ันหรือ? ขอตอบวา : การสุญดนั้น โดยท่วั ไปแลว เปนเครอ่ื งหมายของการอิบาดะฮและเปน สอ่ื ความหมายสําหรับการเคารพภกั ดัอัลลอฮของมนุษยท งั้ มวล อีกทั้งมนั มิไดหมายถงึ ส่ิงอ่ืนใด นอกเหนือจากการอบิ าดะฮเ ทา นนั้ ดวยเหตนุ ้ี อิสลามจงึ ไมอ นญุ าตใหใชส ื่อความหมายอันนกี้ บั ผูใด แมก ระทั่งในกรณที ม่ี ิใชอบิ าดะฮ ส่ิงตอ งหามอนั นี้ มขี ึน้ เฉพาะในสมยั อสิ ลามเทา น้ัน กลา วคอื ใน สมัยกอ นยังไมเปน ทีต่ อ งหาม มิฉะน้ันแลว ทานนบียะอก ูบและบุตรของทานจะไมสญุ ดตอนบียูซุฟ (ความสนั ติพึงมแี ดท า น) ดงั โองการทว่ี า : “และเขาไดย กบิดามารดาของเขาข้ึนบนบลั ลังก เขาเหลานน้ั ไดค ารวะตอ เขาโดยการสญุ ด” (ยูซฟุ -๑๐๐) ทานญิศอสไดกลาววา : “การสญุ ดตอสรรพสง่ิ ท่ีถูกสรางทั้งหลายเคยเปน ส่ิงท่ีไดรบั การอนญุ าตใหก ระทําไดใน สมัยของทา นนบอี าดมั (ความสนั ติสุขพงึ มีแดท าน) และดูเหมอื นวา ยงั คงใชอยตู อ มาจนถึงสมัย ทานนบยี ซู ุฟ (ความสันตสิ ขุ พงึ มแี ดทา น) กลา วคอื ในสมัยนั้นจะมกี ารสญุ ดกันในกรณที แี่ สดงถงึ การใหเ กยี รติ การยกยอง ในระดับเดยี วกบั ทส่ี มยั ของเราปจ จุบันใชการสัมผสั มือ, การโคงคาํ นับ, และจบู มือ ดังท่มี ีรายงานมาจากทา นนบี (ความสนั ตสิ ขุ พงึ มีแดทาน) ในเรื่องอนุญาตใหจ บู มือ และ ยงั มรี ายงานทส่ี ายสืบบกพรองอีกวา การสญุ ดตอ สงิ่ ที่นอกเหนอื จากอลั ลอฮ ในแงข องการใหเกยี รติ ยกยอ งนั้น ไดถูกยกเลิกไปตามที่ทา นหญิงอาอิซะฮ ทา นญาบิร และทา นอานัส ไดรายงานวา ทา นนบี ไดกลาววา : ไมสมควรท่ีมนุษยจะสุญดมนุษย และถาเปนเรอ่ื งทีอ่ นญุ าตใหม นุษยก บั มนษุ ยสุญดกัน ไดแลว แนน อนฉนั จะส่ังใหหญิงสุญดตอสามขี องนาง เนือ่ งจากเกยี รติของเขามีเหนอื นางเปน อยาง ยง่ิ ” (๑) (๑) อะหกามลุ -กรุ อาน เลม ๑ หนา ๓๒ ของอะบี บกั ร อะหม ดั บิน อาลยี อัรรอซีย (อัล-ญิศอศ) ตาย เมือ่ ฮ.ศ.๓๗๐
บัดนี้ เราพอจะมองเห็นลกั ษณะของความเขาใจท่ชี ัดเจนไดแลววา ความหมายทแ่ี ทจรงิ ของ “อบิ าดะฮ” และ “ชริ ก” เปนอยา งไร และเราจาํ เปนตองกลา วสรปุ คาํ อธบิ ายตอนน้ีวา : ถา ใครคน หน่งึ นบนอบตอคนอื่นๆ คือแสดงความนอบนอ มตอ เขาเหลา น้ัน โดยมิไดมคี วามเชือ่ ถอื วา พวกเขา เปน “พระเจา ” หรือ “ผอู ภบิ าล” หรือ “แหลงกอเกิดของกิจการท้งั ปวงอนั เปนสภาพของพระเจา” หากแตท ่ีพวกเขาไดร ับการนบนอบกเ็ พราะเพียงแตพ วกเขามสี ิทธทิ จี่ ะตองไดรบั การใหเกยี รติ เพราะพวกเขาเปน “ปวงบา วผไู ดรับเกียรติ ที่ไมล ว งลํ้าดวยคาํ พูดตอพระองค และกระทาํ ตามพระ บัญชาของพระองค” (อลั -อัมบิยาอ- ๒๖-๒๗) ดังนั้นการนบนอบ, การใหเกยี รติ, การนอบนอม และ การยกยอ งดังกลา วนี้ จะตองไมเ ปนอิบาดะฮอ ยางเด็ดขาด แนน อนทส่ี ุด อัลลอฮไดทรงยกยองคน พวกหนงึ่ ในปวงบา วทั้งหลายของพระองคใ นลกั ษณะทแ่ี สดงถึงสิทธใิ นการไดร ับเกียรติ วา : “แทจ รงิ อัลลอฮ ไดทรงเลือกสรรคอ าดัม และนูห และวงศว านของอิบรอฮีม และวงศว าน ของอิมรอนไวแ ดส ากลโลก” (อาลิ อมิ รอน-๒๓) ในอีกโองการหนง่ึ ของอัล-กุรอาน อัลลอฮ ไดท รงเปด เผยถึงการคัดเลอื กทา นนบีอบิ รอฮมี ใหอยูในฐานะของผนู ํา (อิมาม) โดยท่ีพระองคม ีโองการวา “---แทจ รงิ ฉนั เปน ผูตัง้ เจา เปน ผูนาํ (อมิ าม) สําหรับมนุษย” (อัล-บะเกาะเราะฮ- ๑๒๔) ลกั ษณะการใหเ กยี รติทีอ่ ัลลอฮทรงยกยองเอาไวท ง้ั หมดนี้ เชน ทานนบนี ูห, อบิ รอฮีม, ดา วดู , สุลยั มาน, มซู า, อีซาและทา นนบีมฮุ ัมมดั (ความจาํ เรญิ ของอัลลอฮพึงมแี ดทานทงั้ มวล) เปน เรื่องจาํ เปน ทีจ่ ะตอ งประทบั พวกเขาไวใ นสวนลึกของจิตใจ และจาํ เปน จะตอ งใหความรกั แกพวก เขา ใหเ กยี รติพวกเขาแมกระทัง่ เรอ่ื งของความจงรักภกั ดีท่ตี อ งมีตอ บรรดาผูท รงเกยี รติ (เอาลิยาอ) บางทา น กไ็ ดถกู กาํ หนดมาเปนขอ บงั คับแกเ ราโดยคาํ ส่ังของอลั -กุรอาน(๑) ดังน้ัน เมอื่ คนใดใหเ กยี รตเิ ขาเหลา นนั้ ไมวาในขณะมชี วี ติ อยหู รือภายหลงั จากท่เี สียชีวิตไป แลวโดยมิไดทําไปเพราะสิง่ ใดทง้ั สิ้น นอกจากเพราะวา พวกเขาคือบาวผมู เี กียรติยิ่งของอลั ลอฮ และ เปน ท่รี ักอยา งใกลชิด (เอาลยิ าฮ) ของพระองค อกี ทงั้ ใหเกียรตติ อ พวกเขาไปโดยปราศจากความเชอื่ ทีว่ า พวกเขาเปน “พระเจา ” หรอื “ผูอภบิ าล” หรอื “แหลงกอเกิดกิจการทัง้ ปวงของพระเจา ” แลว ไซร ก็ไมถอื วาการกระทาํ ของเขาเปน อบิ าดะฮ อยา งเดด็ ขาด และเขากม็ ใิ ชผ ตู ้ังภาคเี ลยอยางแนนอน ดว ยเหตุนี้เอง การจบู มือทา นนบ,ี อิมาม, ครู, บดิ ามารดา, หรอื จบู อลั -กรุ อาน หรอื ตํารา เกยี่ วกบั ศาสนา หรือหลุมสสุ านของบุคคลผูเปนที่รักของอลั ลอฮ (เอาลิยาฮ) ตลอดถึงอนสุ รณท ่เี ปน รองรอยของพวกเขา จะเปนไดกเ็ พียงการใหเ กียรติ และยกยอ งเทา นนั้ หาใชเปนอิบาดะฮไ ม ๕- ทรรศนะของเรา กบั ทรรศนะของเจาของหนังสืออัล-มะนาร
ในตอนจบของคําอธบิ ายเรื่องน้ี เราใครน าํ ทา นผอู า นมาพิจารณาคาํ จาํ กัดความสาํ หรับคาํ วา อิบาดะฮ อีกประเภทหนึ่งและเราจะกลา วถงึ จดุ ออ นบางอยา งในคาํ จาํ กดั ความเหลานัน้ ดังนี้ : 1- เจา ของหนงั สืออัล-มะนารไดกลา ววา : “การอบิ าดะฮเ กิดจากการนบนอบ ท่ีบรรลุถึงขนึ้ สงู สุด โดยเกิดจากความรูสกึ ทางดา นจติ ใจ ถงึ ความย่ิงใหญข องผูที่ถูกเคารพจนไมร ถู งึ ทม่ี าของสิ่งนั้น และเชือ่ มั่นในอํานาจ อยา งชนิดท่ีไมอ าจ เขาใจถงึ แกนแทข องสงิ่ น้ันได” (๑) คาํ จาํ กัดความนี้ ไมอ าจหลีกพน จุดบกพรอ งได ในขณะทีบ่ างครัง้ การแสดงออกซึ่งอิบาดะฮ มิไดเ ปนไปดว ยความนบนอบอยางถงึ ท่สี ุด เชน การนมาซในบางครง้ั ขาดซงึ่ ความสาํ นึกโดยสมาธิ (คชุ อู ) ย่ิงไปกวา นัน้ ในบางคร้งั การนบนอบระหวา งคนรักกบั คนรัก และการนบนอบของพลทหาร ท่ีมตี อผูบงั คับบัญชาของตน ยงั มคี วามนบนอบยง่ิ ไปกวา ความนบนอบท่ีผูศรัทธาในอลั ลอฮสวน ใหญมตี อ พระผอู ภบิ าลของพวกตนในขณะทีท่ าํ การขอดอุ าอ นมาซและกระทาํ อิบาดะฮเสียอกี ขณะเดียวกันก็ไมม ีใครกลาววา การนบนอบของสองพวกดังกลา วเปน อิบาดะฮ ท้ังๆทีก่ ารนบนอบ ของผศู รทั ธาท่ีมตี อพระผอู ภิบาลของตนน้ัน เปน อิบาดะฮถึงแมว า จะมคี วามหมายนบนอบที่เบาบาง กวา สองพวกแรกกต็ าม ใชแ ลว เจา ของหนังสือเลมน้ียงั ไดกลา วเปน เนื้อหาของคาํ อธิบายตอไปอีก อันอาจถอื ไดวา เปน คาํ จาํ กัดความทีถ่ กู ตองของคําวา อบิ าดะฮ อยางชนิดท่ตี รงตามความหมายท่ีแทจรงิ ของมนั เชน ทเ่ี ราไดกลา วไปแลว โดยกลาววา : “สําหรบั การอบิ าดะฮนนั้ มีรูปแบบมากมายอยูในทุกๆ ศาสนา อันเปนการชีใ้ หเหน็ ถึงความ สาํ นึกของมนุษยท ่ีมตี อ อาํ นาจของพระผเู ปนเจา ผสู งู สดุ ซง่ึ นน่ั มันหมายถงึ วิญญาณของอบิ าดะฮ และเน้ือแทของมัน” (๑) โดยนัยยะท่ีวา : “ความสํานกึ ทมี่ ีตอ อาํ นาจแหง ความเปน พระเจา ” น้นั มคี วามหมายท่ีสืบ เนื่องมาจากทรรศนะท่วี า ถา ผูเปนบาวเช่ือมน่ั ในสภาพแหง ความเปนพระเจา ของส่งิ ทถ่ี กู เคารพภักดี ก็จะทาํ ใหก ารกระทาํ ของเขาเปนอิบาดะฮ แตต ราบใดท่คี วามเชื่อมนั่ อยางนี้ ยังไมเ กิดข้นึ ในการ กระทาํ ของเขา มันก็ยังไมเปนอบิ าดะฮ ๒- ทานอธกิ ารบดีมหาวิทยาลยั อัล-อซั ฮรั ชยั ค มุฮัมมดั ชลั ฎตไดใ หคําจํากดั ความ ตาม ความหมายเดยี วกบั ทห่ี นังสอื อลั -มะนาร ไดกลา วไว แตป ระโยคแตกตา งกนั โดยทานกลาววา : “อิบาดะฮ (การเคารพภกั ด)ี คอื การนบนอบอยางไมจ ํากดั ขอบเขต กบั ความยง่ิ ใหญอนั ไม อาจจาํ กัดขอบเขต” (๒) (๑) อลั -มะนาร เลม ๑ หนา ๕๗ (๒) ตัฟสีร อลั -กุรอาน หนา ๓๗
จะเหน็ ไดวา คําจาํ กดั ความทง้ั สองมีลกั ษณะวพิ ากษและมีปญ หาในตัวอยอู ยา งหน่ึง และ การอธบิ ายของหนงั สือ อัล-มะนารกแ็ สดงออกซ่งึ ปญหาในตัวอกี อยา งหนึ่ง ในขณะที่กลา ววา : “การอบิ าดะฮเ กดิ จากความรสู กึ ทางดานจติ ใจท่ีมีตอความย่ิงใหญทไี่ มอาจรูถึงท่ีมา” พรอมกบั กลาว วา : ผเู ปน บา วรถู ึงสาเหตแุ หง ความยง่ิ ใหญว า หมายถึง : อํานาจแหง ความเปน พระเจา ซึง่ มันหมายถึง คณุ านภุ าพของสงิ่ ท่ีถูกเคารพและความรสู กึ สาํ นึกถงึ ความจาํ เปน อยา งยง่ิ ทมี่ ตี อ ส่ิงนั้น และส่ิงนัน้ คอื ทกุ สงิ่ ทุกอยา งของผูเ ปนบา ว รวมไปถึงการสําแดงบทบาทอื่นๆ ทีน่ อกเหนือจากน้ี แลวจะเรียกวา ไม รถู งึ ทีม่ าไดอ ยางไร? (๑) ๓- คําจาํ กดั ความที่มีปญ หาในตวั มากทีส่ ดุ เหน็ จะไดแ กคําจาํ กัดความของทานอิบนุ ตยั มี ยะฮ โดยทานกลาววา : “อิบาดะฮ” คอื คํานามทเี่ ปนศนู ยรวมของทุกสิง่ ทุกอยา ง ท่ีอัลลอฮทรงรักและพอพระทัยอัน มาจากคําพูดและการกรทําทง้ั โดยเรนลัลและเปด เผย เชนการนมาซ, การจา ยซะกาต, การถอื ศีลอด, การบําเพญ็ ฮัจญ, การพดู ความจรงิ , การรกั ษาความซอื่ สตั ย, การทาํ ความดีตอ พอแม, การติดตอ สัมพันธกบั เครือญาต”ิ (๒) ผูเขยี นทานนี้ มิไดแยกแยะความหมายทแ่ี ทจ รงิ ทีม่ อี ยรู ะหวา งการอิบาดะฮกบั การแสวงหา ความใกลชดิ (อัตตะกอ็ รรบุ ) และยังใหทศั นะวา การกระทาํ ทุกอยางในรปู ของการแสวงหาความ ใกลชดิ ยังอลั ลอฮน้นั คือการอิบาดะฮตอพระองคไปดวยท้ังส้นิ ในขณะที่ความจริงมไิ ดเ ปนเชน น้ัน เลย กลา วคอื เรอื่ งราวทร่ี ะบถุ งึ ความพอพระทัยของอัลลอฮ และไดร บั รางวลั จากพระองคกม็ ีอยู เหมอื นกันทวี่ าเปน อิบาดะฮ เชนการถอื ศีลอด, การนมาซ, การบาํ เพ็ญฮจั ญ และกย็ งั มงี านที่หมายถงึ การแสวงหาความใกลชดิ ตอพระองค โดยมไิ ดจักวา เปน อบิ าดะฮก ย็ งั มี เชน การทาํ ความดีตอบดิ า มารดา, การจา ยซะกาต, การบริจาคเงนิ คมุ ส (หน่งึ ในหา) กลา วคอื เรื่องราวทกุ อยา งน้ี เปนงาน แสวงหาความใกลชิดยงั อัลลอฮในแงท ยี่ งั ไมเ ปนอิบาดะฮ ถึงแมจะเรยี กกันในเชงิ วิชาการของนกั ฮา ดษี วา เปน อิบาดะฮกโ็ ดยไดจักลักษณะของมนั วาอยใู นประเภทของอิบาดะฮก ต็ รงท่ีมันเปน งานท่ี ไดรบั รางวลั ตอบแทน หรอื อีกนัยหน่ึง : การกระทําตางๆ เหลา นห้ี มายถึงการเชื่อฟง ปฏิบตั ติ ามอลั ลอฮ (ฏออะฮ) แตมใิ ชว า ทกุ ๆ ประเภทของการเช่อื ฟง ปฏิบตั ติ าม (ฏออะฮ) นัน้ จะเปนการอบิ าดะฮเ สมอไป ทา นอาจกลาวไดวา : งานเหลาน้นั มันมที ัง้ ท่เี ปน “สว นของอิบาดะฮ” และทเ่ี ปน สว นของ “การแสวงหาความใกลช ดิ ” และการอบิ าดะฮท กุ อยา งนั้นลว นเปนการแสวงหาความใกลช ิดดวย ทั้งสิ้น แตการแสวงหาความใกลชดิ ทุกอยางมใิ ชเปนอบิ าดะฮไ ปเสียทง้ั หมด ยกตัวอยางเชน การ เรียกคนจนมารบั ประทานอาหาร, การชวยเหลือเด็กกําหรา เปนเรื่องของการแสวงหาความใกลช ดิ แตย งั มิใชเปนอบิ าดะฮ ในแงท ีว่ า ผเู ปน บา วไดป ระกอบการงานอันนั้นของตนใหกับอลั ลอฮ (๑) อาลาอุรเราะหม าน หนา ๕๙ (๒) นติ ยสาร บะฮูษุล-อสิ ลามี อันดบั ที่ ๒ หนา ๑๘๗ อางจากหนังสอื “อัล-อะบูด”ี หนา ๓๘
แนนอนท่สี ุด ทา นที่รกั ไดเ ขา ใจความหมายของ “อิบาดะฮ” ท่ีแทจริงตามกรอบของคมั ภีร และสนุ นะฮแลว และคงจะไมมคี วามเคลอื บแคลงสงสยั ในความหมายทแ่ี ทจ รงิ ของคาํ น้ีอยอู ีกตอ ไป บัดนี้ขอใหท านใชความเขาใจที่มีตอคาํ วา อบิ าดะฮอนั ถกู ตองแลว นัน้ มาเปรียบเทียบดูกับการกระทํา โดยทวั่ ๆ ไปของบรรดามุสลิมจากสมัยของทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮ (ความจาํ เรญิ ของอัลลอฮพึงมี แดทา นและแดว งศว านของทา น) มาจนถงึ สมยั ของเราในยคุ ปจ จุบนั วา มนั ขัดกบั หลักเอกภาพ และ เขากบั หลกั ของการต้งั ภาคี หรอื วาในทางตรงกันขา มมนั สอดคลองกบั หลักเอกภาพ และมิใชเ ปน การตั้งภาคแี มแ ตอยางใดเลย ฉะนนั้ เราจะขอนําทานไปพิจารณาเปน เร่อื งๆ โดยใชว ธิ ีการนี้ (เอาการกระทําเหลานมี้ า พสิ ูจนกับความหมายท่ีเปนจริงของคําวา “อิบาดะฮ” ) การกระทําทพี่ วกวะฮาบยี ไ ดถอื มาเปน ขอ โจมตบี รรดามสุ ลิม กค็ อื การกระทําในประเภท ตอไปนี้ : (๑) : การแสวงหาความสมั พันธ (ตะวัสลุล) กบั บรรดานบแี ละบรรดาผทู รงเกียรติ (เอาลิ ยาอ) ในกรณีท่ีตองการใหผา นพน อุปสรรคและเพอื่ ความม่ันใจสําหรับการขอ จะหมายถึงการตัง้ ภาคหี รอื ไม? ทานผูอานจาํ เปน ทจ่ี ะตองตอบคําถามขอ น้โี ดยพจิ ารณาไปถึงความหมายทถ่ี กู ตองตามที่ได ผา นไปแลวในการจาํ กัดความหมายของคําวาอิบาดะฮว า มุสลมิ ไดแ สวงหาความสัมพันธ (ตะวสั ลลุ ) กบั บรรดานบีและบรรดาเอาลยิ าอโ ดยเชือ่ มัน่ วา พวกเขามีสภาพ “ความเปน พระเจา ” หรือสภาพ “ความเปนผูอ ภบิ าล” และอาจอยใู นประเดน็ ในสักอยางหนงึ่ ในความหมายของสภาพความเปนพระ เจา และสภาพความเปน ผอู ภบิ าล หรือมุสลิมเชื่อถือวาเขาเหลา น้ัน คอื บาวผูทรงเกียรติของอลั ลอฮ ที่ การวิงวอนขอของพวกเขาเปน ที่ตองถูกยอมรับ ตามทถ่ี กู ระบุไวใ นอัล-กรุ อาน กลาวคือ ถาหากวา บุคคลผทู ่แี สวงหาความสมั พันธ (ตะวสั ลุล) ตอ บรรดานบแี ละบรรดา เอาลยิ าอไ ดด าํ เนินกจิ การน้ันไปในลัษณะประการทห่ี นง่ึ กิจการของเขาก็ตองเปนการตัง้ ภาคี โดย ออกนอกกฎเกณฑข องอสิ ลามไปเลย แตถ าหากการแสวงหาความสมั พันธเ ปน ไปในลักษณะประการทส่ี อง กเ็ ทากับเขายงั ไม กระทําในสงิ่ ท่ขี ัดกบั หลักเอกภาพ และไมเปนการตงั้ ภาคแี ตอ ยา งใด สว นกรณีท่วี า การแสวงหาความสมั พนั ธข องเขา ทกี่ ระทาํ กบั บคุ คลเหลานนั้น จะเกดิ ผล หรอื ไม เปน เรื่องอนมุ ัติหรอื ตองหาม ก็เปน อกี ประเด็นหนง่ึ ท่ีนอกเหนอื ไปจากการตัง้ ภาคี กลา วคอื เปน เรอื่ งทีอ่ ยูนอกประเด็นของคําอธิบายที่กาํ ลังกลา วถึงซ่ึงหัวขอ การอธบิ ายไดต ั้งไวใ นเร่ืองการ แยกแยะหลกั เอกภาพกบั เรอ่ื งการต้งั ภาคี และอธิบายวา อะไรคอื การตั้งภาคี และอะไรมใิ ชเปน การ ตง้ั ภาคีเทา นน้ั เอง (๒) : การขออนุเคราะหค วามชวยเหลือ (ซะฟาอะฮ) จากบรรดาผทู รงคุณธรรม (ศฮลิฮีน) ซ่งึ อลั -กุรอานและหลักสุนนะฮไดระบุยืนยันไวถงึ การอนุเคราะหช ว ยเหลือของพวกเขา
กลา วคอื ถา การขออนเุ คราะหความชว ยเหลือจากบคุ คลเหลา นน้ั เกิดข้ึนโดยถือวา พวกเขา เปนผูทรงสิทธเดด็ ขาดสําหรับการอนเุ คราะหความชวยเหลือและถือวา กิจการในเรอ่ื งอนุเคราะห ความชว ยเหลอื เปนสิทธิของพวกเขาโดยเฉพาะหรือถือวา ไดม ีการมอบอํานาจในเรืง่ อนใ้ี หแกพวก เขา กแ็ นน อนเหลือเกินวา การกระทําอยา งน้ี คอื การต้งั ภาคแี ละพลาดออกไปจากหลักเอกภาพอยา ง ไมต อ งสงสัยและเปน ท่ียอมรับกันอยูวา การอนเุ คราะหค วามชวยเหลือนนั้ เปนคณุ านุภาพของพระ เจา และผูอภิบาล การขอความอนุเคราะหค วามชวยเหลือนัน้ เปนคุณานุภาพของพระเจา และผู อภิบาล การขอความอนุเคราะหชวยเหลอื ตอ บรรดาผมู คี ุณธรรมตามความหมายดังกลา วนี้ เปน การ ต้งั ภาคอี ยา งไมม ที างเล่ยี ง แตในกรณีทีถ่ าหากการขออนุเคราะหความชว ยเหลือจากบรรดาผูท รงคณุ ธรรมมีขึ้นโดย เหตุท่วี าบคุ คลเหลาน้เี ปน ผูร ับคาํ สง่ั จากอัลลอฮไดอ นุเคราะหความชว ยเหลอื แกผทู อ่ี ัลลอฮทรง อนมุ ัติใหมกี ารอนุเคราะหชวยเหลือแกพ วกเขาไดแ ละพวกเขาจะไมอ นเุ คราะหค วามชว ยเหลือใหแก ผูทอี่ ลั ลอฮไมอนุมัติใหมีการอนุเคราะห ในฐานะที่การอนุเคราะหชว ยเหลอื นัน้ เปนสทิ ธโิ ดย เดด็ ขาดของอัลลอฮ แตผูเดียวในอนั ท่ีจะประทานแกบ า วของพระองคโดยผานทางบรรดาผใู กลช ิด (เอาลิยาอ) ผทู รงคณุ ธรรม ผูทรงเกียรตขิ องพระองค ดังนั้น การขอทเี่ กดิ ขึ้นตามความหมายโดยนัยยะอันน้ี และท่ีอยูในลักษณะน้ี ยอ มไมขัดกบั หลักเอกภาพ และไมเขา ขา ยการตัง้ ภาคี กลาวคือมนั เปนการขอส่ิงๆ หนึ่งจากบุคคลผหู นงึ่ ทั้งๆ ทีร่ ู วา เขาผุน้นั มีสภาพเปนบาวและมีสภาพเปนผูไดรับคาํ สัง่ ของพระองคอยางแทจริงโดยเฉพาะ สวนกรณีที่วา การขอของเขาจะเกดิ ผลหรือไม มนั เปน ส่ิงอนมุ ัตหิ รือตองหา ม ก็เปนอีกเรือ่ ง หน่ึงอยนู อกประเด็นของ การตง้ั ภาคี และหลกั เอกภาพกลาวคอื มนั เปนเรอ่ื งท่ีอยูน อกเหนือกรอบ ของการอธิบายตอนนี้ ซึ่งเราไดต ง้ั หัวขอ ไวกอนแลว วา จะเปน การอธิบายถงึ เรอื่ งหลกั เอกภาพและ การตัง้ ภาคี ในการอบิ าดะฮ (๓) : การใหเ กียรติตอ บรรดาเอาลิยาอข องอลั ลอฮ ตลอดจนใหเกียรตติ อสสุ านและสดดุ ียก ยองในเกียรติของพวกเขา การกระทาํ ดงั กลาวนี้ คลองจองกับหลักเอกภาพ หรือหลักการตัง้ ภาค?ี คาํ ตอบกค็ ือวา การกระทาํ อยา งน้ี ในลกั ษณะหน่งึ อาจเปนเรอื่ งของหลักเอกภาพ และอกี ลกั ษณะหน่ึงอาจเปนเรื่องของการตัง้ ภาคี กลาวคอื ถาหากการใหเกียรตแิ ละการยกยองไมวา จะเปน ในรปู ใดอันไดเ กิดข้นึ จากบคุ คล ใดกต็ ามกบั เหลาบรรดาผูท รงเกียรติ (เอาลิยาอ) ของอัลลอฮเปน ไปในฐานะทวี่ า เหลา บรรดาผูทรง เกียรตินน้ั คือบา วผมู คี ณุ ธรรมและทมุ เทชวี ติ ของพวกเขาเพื่อการเผยแผเรียกรอ งสอู ัลลอฮ และได เสียสละชวี ติ ครอบครัว ทรัพยสินไปในหนทางของอลั ลอฮ อุทิศทกุ อยางในการนํามนุษยชาติ ไมวา เร่อื งใหญเ ร่อื งเลก็ ดงั นั้นการใหเ กียรติในแงน สี้ อดคลอ งกบั ลักษณะตา งๆ ของหลกั เอกภาพ เพราะ เปน การใหเกียรติบาวของอลั ลอฮคนหนงึ่ ทีไดท ําการรบั ใชใ นหนทางของอัลลอฮ พรอมกบั ยอมรับ
วา เขาคอื บา วคนหน่งึ ท่ีไมมีสทิ ธิในสิง่ ใดๆ นอกจากทอ่ี ลั ลอฮใหเขามสี ิทธิ และไมมีอาํ นาจใดๆ นอกจากเทา ทอี่ ัลลอฮ ทรงกําหนดใหแ กเ ขา แทจ รงิ แลว การใหเกยี รติในลกั ษณะเชน นี้ สอดคลองกบั พืน้ ฐานของหลักเอกภาพในดา น ตางๆ อยางไมต องสงสัย แตใ นกรณีทถี่ าการใหเกยี รติและการยกยอ งตอ วะลีย (ไมวา จะมชี ีวิตอยหู รือตายไปแลว) เปน ไปโดยความเช่อื ทว่ี า เขาเปนผูทรงสิทธิ ในปรากฎการณตา งๆ หรอื ในระดับใดๆ ก็ตามแหง ความเปนพระเจา หรอื เชอ่ื ถือวา เขาเปน ผูดํารงอยูตามความหมายแหง ผูอภิบาลหรืออยูใ นระดบั ใดก็ ตามของความหมายดังกลาวนแี้ นน อน อยา งไมตอ งสงสัยเลยวา มนั คอื การตง้ั ภาคแี ละออกนอกหลัก เอกภาพไปเลยทีเดยี ว สว นประเดน็ ท่ีวา จะเกดิ ผลหรอื ไม หรอื มันเปนสงิ่ ท่ีอนุมัติหรือตอ งหามกนั แน อีกประเดน็ หน่ึง นอกเหนือไปจากประเดน็ ของการตงั้ ภาคีและหลกั เอกภาพกลาวคอื อยูนอกเหนือไปจาก หนาทข่ี องคาํ อธบิ ายตอนนี้ทเ่ี นนถงึ การอธบิ ายในประเดน็ ทีว่ า อะไรคอื การต้ังภาคี และอะไรทีม่ ิใช การต้งั ภาคีเทา น้นั เอง (๔) : การขอความชว ยเหลือตอบรรดาเองลยิ าอ เรอ่ื งนี้จะสอดคลอ งกบั หลักเอกภาพ หรือสอดคลองกบั การตั้งภาคอี ยางไรหรอื ไม คําตอบ สาํ หรับเรอ่ื งนี้ จะชดั เจนขนึ้ หลงั จากไดนาํ ลกั ษณะการขอความชวยเหลอื ดังกลา วนไ้ี ปวัดกบั ตราชู ซึ่งอัล-กรุ อานไดใหไว กลา วคอื ถา ใครคนหนง่ึ ขอความชว ยเหลอื ตอ วะลีฮคนใดไมว าจะมชี วี ติ อยู หรือตายไปแลว เพอ่ื ใหเ ขาไดอ ะไรสักอยางหนึ่งเปนไปไดต ามธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติ เชน การ ทําใหไมเ ทากลายเปน งู การทําใหคนตายฟนชีพขึ้นมา โดยเชื่อม่ันวา ผูใหความชว ยเหลือคือพระเจา องคหนึ่ง หรือผูอภิบาลองคห นง่ึ หรือเปน ผไู ดรบั มอบอํานาจในกจิ การบรหิ ารและสภาพความเปนผู อภิบาลบางอยา งแลว แนน อนการกระทาํ เชน นี้ ยอมเปนการตั้งภาคี อยางหาขอโตแ ยงไมไดเลย สว นในกรณีที่ถาหากวา ทุกสิง่ ทกุ อยา งนี้ หรอื บางสวนเปนไปโดยถอื วา วะลียนน้ั คือบา ว คนหน่งึ ท่ีไมมีอํานาจเหนือสิ่งใด นอกจากเทาทีอ่ ัลลอฮไดทรงกาํ หนดใหแ กเ ขา และทรงประทาน ใหแ กเขา เขามไิ ดเ ปนผูกระทาํ ในสง่ิ ใดทเ่ี ขาไดกระทาํ ลงไปเลย นอกจากโดยการอนุมัติของอลั ลอฮ และตามเจตนารมณของอัลลอฮเทา น้ัน กลา วคอื การขอความชวยเหลอื จากเขาในลักษณะเชนน้นั เปนเรื่องของหลักเอกภาพ โดยไมมีอะไรแตกตา งไปเลย สําหรับกรณีท่ีวา วะลยี ผ ใู หความชว ยเหลอื นั้น จะมีชีวติ อยูหรอื ตายไปแลวก็ตาม และไมว า กิจการทข่ี อจะเปนกิจการประเภทปกติวสิ ัย หรอื เหนือปกตวิ ิสัย สวนกรณที ่ีวา ผถู กู ขอความชว ยเหลือ จะเปน ผูท ่สี ามารถใหค วามชว ยเหลือนี้จะสมั ฤทธิ์ หรือไมก ับท่ีวา การขอความชว ยเหลือนี้ เปนที่อนมุ ตั ิหรือเปนของตองหาม ทุกสงิ่ ทกุ อยางนี้เปน ประเด็นท่ีอยูนอกเหนอื กรอบของการอธบิ ายสําหรับบทนี้
(๕) : การขอใหหายปว ยและขอการบาํ บดั จากบรรดาเอาลิยาอ เรอ่ื งนี้ เปนทส่ี อดคลอ งกบั หลกั เอกภาพหรือไม? กลา วคอื ถา คนใดขอจากบรรดาวะลียว า ใหห ายปวย โดยเชอื่ มั่นวา การใหห ายปวยนั้นอยูในอํานาจของอัลลอฮ กลา วคือพระองคเปน ผูให หายปวยทีแ่ ทจ ริง เพียงแตวา พระองคป ระสงคท ีจ่ ะใหม นั เปน เร่อื งที่ไดแกบ า วของพระองค โดย วิธีการตามเหตุผลแหงธรรมชาตแิ ละนอกเหนือกฎธรรมชาติ ดงั นั้นการขอในลักษณะเชนนี้ สอดคลองกับหลักเอกภาพและไมคานกนั แตอยางใด เพราะเขาตระหนักดอี ยวู า ผถู กู ขอไมสามารถ ทาํ อะไรไดเลยนอกจากโดยพระบัญชาของอัลลอฮ และเขาไมส ามารถสําแดงอะไรออกมาไดเลย นอกจากวา จะเกดิ ข้ึนมาโดยเจตนารมณข องพระองค สว นกรณที ถ่ี าขอการหายปวยจากเขาโดยเชอ่ื ม่นั วา เขามอี สิ ระเด็ดขาดในการใหหายปวย และทรงสิทธิในการบําบัดหรือไดร บั มอบอํานาจเดด็ ขาดในเรื่องน้ี งานอันนน้ั กย็ อมเปน การตัง้ ภาคี และออกนอกกรอบของหลักเอกภาพทันที สวนการขอใหห ายปว ยกบั บรรดาวะลยี ของอัลลอฮ จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม? หรอื กรณที ่ีวา พวกเขาจะมึความสามารถในการทาํ ใหหายไดห รือไม? กบั ท่วี า งานอยา งนีเ้ ปน ท่อี นุญาตหรอื ไม อนญุ าต? เปน อกี เรื่องหนึ่ง นอกเหนอื ไปจากเร่อื งหลกั เอกภาพและการตงั้ ภาคี กลาวคือออกนอก ประเดน็ สาํ คัญของการอธิบายบทนี้ ซ่ึงต้งั ประเดน็ ใหศึกษาในหัวขอทวี่ า อะไรคือการตั้งภาคตี าม ความเปน จรงิ ของมัน? และอะไรทม่ี ิใชการตง้ั ภาค?ี ดังกลา วน้ี เราไดหยิบยกมาเปน ตัวอยางแกท านผูอ านเพอื่ เปน แนวทางศกึ ษาเรอ่ื งอื่นๆ ท่ยี ัง มีอยูอีก ซึ่งพวกวะฮาบยี ไ ดป ฏเิ สธไปเลย สาํ หรบั เรือ่ งท่ีพวกวะฮาบยี ม คี วามเขา ใจผดิ พลาดและคลมุ เคลือในความหมายของสภาพ แหง ความเปน พระเจา (อลั อลุ ฮู ียะฮ) กับความหมายของสภาพแหง ความเปนพระเจา (อลั อลุ ฮู ียะฮ) กับความหมายของสภาพแหงความเปนผูอภบิ าล และเชน เดียวกนั น้ี กับความเขา ใจผดิ พลากทม่ี ีใน คาํ จาํ กัดความของหลักเอกภาพและการตั้งภาคีนั้น เราก็ไดก ลา วไปในการอธิบายบทน้ีไป โดยสรปุ แลวเกีย่ วกบั ความเขา ใจผดิ อยางนัน้ ตามทร่ี ะบอุ ยใู นหนังสือจากบรรดานกั วชิ าการสว นมากของ พวกเขา กอ นท่เี ราจะยตุ กิ ารอธบิ ายเกี่ยวกบั เรอ่ื งนี้ เราจะขอกลา วถึงหลักการของพวกบูชาเจวด็ ใน สมัยญาฮลิ ยี ะฮ (ยุคงมงาย) และวธิ ีการเรยี กรอ งไปสกู ารบูชารปู ปนของพวกเขาสักเรื่องดว ย เพราะวา การอธบิ ายถงึ เร่อื งน้ี มันจะเปน การดีอยตู รงท่วี า ไดชว ยใหเขาใจถงึ โองการตางๆ เปน จาํ นวนมากซงึ่ ถกู นํามาต้งั เปน ขอหาสาํ หรับเรอื่ งการแสวงหาความสมั พนั ธ (ตะวสั สุล) และการ วิงวอนขอ ลกั ษณะตา งๆ วา เปนการต้งั ภาคี โดยความสับสนทีม่ ตี อ ความหมายดานนอกของมนั เนอื่ งจากขาดการพจิ ารณาใหลึกซ้ึงในเนื้อหาท่ีแฝงเรนอยขู องโองการนัน้ ๆ
๖- ความเชือ่ ถอื ของชาวอาหรับยุคงมงายและพวกบูชาเจว็ด พวกบชู าเจว็ดในสมยั นัน้ ไดแบงออกเปนหลายประเภท เชน ๑- พวกต้งั แทนบชู า คนพวกนี้กลา ววา : คนเรานัน้ ไมอยใุ นฐานะที่จะทาํ การเคารพภักดีอัลลอฮและติดตอกบั พระองคโดยตรงได แตจ าํ เปน ตองมสี ่ือกลาง ดังนั้นจงึ ตองต้ังแทน บูชาข้นึ มาซึ่งมอี ยเู จด็ แทน แลว พวกเขากไ็ ดทําพธิ ีสวดตอแทนบชู าเหลาน้ีเพอื่ เปนการหาความใกลชดิ กับบรรดาดวงวญิ ญาณ ทง้ั หลาย และถือวา ความใกลชดิ ที่มีตอ บรรดาดวงวญิ ญาณเหลาน้นั เทากบั ไดใกลชิดตอ ผูทรง บริสุทธ์ิ โดยความเชอ่ื มัน่ ท่วี า แทน บูชาเหลาน้ัน คอื เรอื นรางสาํ หรับดวงวญิ ญาณเหลา น้นั พวกเขาทาํ พธิ สี ักการะบูชาแทน บชู าเหลา นโี้ ดยเฉพาะ โดยไดส วมใสอาภรณใ หกับแทน บชู าเหลาน้ัน ตามวันเวลาหนึ่งๆ ทีแ่ นน อนโดยเฉพาะ และไดสักการะแทน บูชาเหลานั้นไปตาม วาระตา งๆ ท่แี นนอน ตอจากนั้นกจ็ ะวงิ วอนขอในส่ิงที่ตองการ และขนานนามเรียกสง่ิ นั้นวา “ผู บรบิ าล” “พระเจา ” สวนอัลลอฮนั้นเปนผอู ภบิ าลของบรรดาพระผูอภิบาล และเปนพระเจา ของ บรรดาพระเจา เหลา นนั้ (๑) ๒- พวกจาํ แนกประเภทของแทนบชู า พวกนี้มีความเช่ือบางอยางทต่ี รงกับคนพวกแรก นอกจากวา จะเลือกประเภทของแทน บูชา มาเปนที่สักการะตามโอกาสตางๆ ฉะน้นั พวกเขาจึงสรา งแทนบูชาข้ึนเพื่อวาระตา งๆ ท่ีแนนอน โดย กลาววา เราสกั การะส่ิงเหลานีแ้ ละแสวงหาความสัมพนั ธก ับแทน บชู าเหลา น้ี กเ็ พอื่ เราจะไดใกลช ิด กับบรรดาดวงวิญญาณ จากนน้ั ดวงวญิ ญาณดังกลา วกจ็ ะทาํ ใหเ ราเขา ใกลชิดยงั อลั ลอฮ ดวยเหตนุ ้เี รา จงึ เคารพภักดสี ่งิ เหลานั้น ดังโองการท่ีวา “เพือ่ มนั จะทําใหเ ราเขา ใกลช ดิ กับอัลลอฮอยา งลกึ ซึง้ ” (๒) ๓- ความเช่ือถอื ของชาวอาหรับยุคงมงาย ชาวอาหรับมีเปน สวนนอ ยที่เช่อื ถือในปรากฎการณข องธรรมชาติ โดยกลา ววา ธรรมชาติ เปน สิง่ ทีใ่ หชวี ิต และกาลเวลาทาํ ใหเกดิ การดับสูญ สาํ หรับชีวิตตามทัศนะของพวกเขาคือสิ่งที่เกิด ข้นึ มาจากระบบตา งๆ ของธรรมชาตแิ ละเปน รากเงา ทีม่ คี วามรูสึกอันมีอยใู นโลก พวกเขาจึงสรปุ วา การมชี วี ติ และความตายข้นึ อยกู บั ความเปนไปและเปลย่ี นแปลงของธรรมชาติ กลา วคอื ศูนยร วม ชีวิต คอื กฎธรรมชาติ และส่ิงที่ทําใหสูญสลายคอื ปรากฎการณของธรรมชาติ แตท วา สว นมากมี ความเช่ือมนั่ วา มีผูส รา งและผใู หบ ังเกิดสรรพสง่ิ แตพ วกเขาปฏเิ สธการฟนคืนชีพและการคืนกลบั ไปสูการชําระโทษ อีกทงั้ ประทานศาสนทูตมาจากอัลลอฮ(๑) เทา นั้น (๑)-(๒) “อลั -มิลลั วันนะฮลั ” หนา ๒๔๔
ในหมูคนจําพวกนี้ ยังมผี ุทเ่ี คารพภักดมี ะลาอิกะฮ, ญิน อีกทง้ั ถอื วา สง่ิ เหลา น้ีเปนบตุ รสาว ของอัลลอฮ และยังมที งั้ พวกทบี่ ุชาดวงดาวซง่ึ เรยี กวา พวกศอบิอะฮ ในหมูค นจาํ พวกนั้น มีผูทป่ี ฏเิ สธพระผสู ราง และการถกู สรา งของสรรพสง่ิ รวมทั้งการฟน คืนชีพและการถกู ประทานมาของบรรดาศาสนทูต แตท ง้ั สองพวกก็เคารพภกั ดีรูปปนและถือวารปู ปน น้ันเปน ผทู รงสทิ ธิ ในการอนุเคราะหความชว ยเหลอื ให ณ อัลลอฮ ในหมชู นชาวอาหรบั มีพวกที่เชอ่ื ถือตามแบบของพวกยิวหรอื ตามแบบของพวกนศั รอนี และปรากฏวา เมืองมะดนี ะฮ เปนที่ตง้ั แหง แรก สว นเมืองนัจรอนเปนท่ีต้ังแหง ทสี่ อง สาํ หรบั พวกคริสเตียนน้ันมีอยสู ามประเด็นท่เี ปน ขอ แตกตางกันอยู ในเรอ่ื งของพระบิดา, พระเยซู, และพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ โดยอาศัยรูปแบบมาจาก : อลั -มุลกานียะฮ, นัสตรู ,ี ยะอก ูบีย พวกเหลา นี้ ตั้งภาคีในการเคารพภกั ดพี ระเยซู ผูซ ึ่งมิไดเปน อะไรเลยนอกจากเปน ศาสนทูต คนหน่ึงเทา น้ัน มีอยูหลายโองการท่ีแสดงถึงคําอทุ ธรณข องทานนบีอิสรอฮมี โดยช้ีใหเ ห็นถงึ ความเชอ่ื ถอื ของพวกบชู าดวงดาวปและเทพเจา ขณะเดยี วกันก็มีโองการตา งๆ อยจู ํานวนหนึ่ง อธบิ ายถึงความเชือ่ ถือของพวกคริสเตียน อกี ทั้งยงั มอี ยหู ลายโองการท่อี ลั -กรุ อานไดประนามพวกบูชาเจว็ดอยา งรนุ แรง เก่ยี วกับชาว อาหรับยคุ งมงายทมี่ กี ารยอมรับในหลักความเชอ่ื ลักษณะตา งๆ กลา วคือสวนมากพวกเขาจะเคารพ ภักดีรูปปน ในฐานนะทีเ่ ชือ่ มน่ั วารปู ปน ใหก ารอนุเคราะหชว ยเหลอื และเปนพระเจายอย เชนมี ตัวอยางจากโองการตางๆ ดังนี้ “และเมอื่ บรรดาผูปฏิเสธไดมองเหน็ เจา พวกเขากไ็ มค ิดอน่ื ใดตอ เจาเลย นอกจากเยยหยัน เทา น้นั และวา นน่ี ะ หรือ คือผูทก่ี ลา วถึงพระเจา ทง้ั หลายของพวกทาน (พวกเขาพูดทั้งๆ) ขณะทพ่ี วก เขาปฏเิ สธตอคาํ เตอื นของพระผทู รงกรณุ า” (อัล-อมั บิยาอ- ๓๖) “หรือวา พวกเขามบี รรดาพระเจา ที่ปกปองพวกเขาใหพน ไปจากเราได พวกเขาไมส ามารถ จะชว ยเหลือตัวของพวกเขาเองไดเ ลย” (อัล-อัมบยิ าอ- ๔๓) “พวกเขาไดอ ุปโลกขญ ินข้ึนมาเปน ภาคีกบั อัลลอฮ ทัง้ ๆที่พระองคไดสรางพวกเขามา และ พวกเขาไดกุความเท็จแกพระองคว า มีบตุ รชายและหญิงโดยปราศจากความรู...” (อลั -อันอาม-๑๐๐) “แลวสเู จา ไดพ ิจารณาดูเทวรูป, อลั ลาต, อุซซาและมะนาต อนั เปนทสี่ ามอีกบางไหม” (อันนัจมุ-๑๙-๒๐)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211