Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-10 08:10:13

Description: หลักการความเชื่อที่ผิดพลาดของพวกวะฮาบีในเรื่องชีริก

Search

Read the Text Version

ในทส่ี ุดน้ี เราขอช้แี จงไปถึงหลกั ฐานที่พวกวะฮาบยี ย ึดถือมาเปนขอ หามสําหรบั การผกู มดั ตัวเพอ่ื เดนิ ทางไป เยยี่ มเยือนสสุ าน กลาวคอื พวกเขาไดทาํ การยกหลกั ฐานตามฮาดีษที่บันทึกโดย ทานบคุ อรี จากกระแสรายงานของทา นอะบีฮูร็อยเราะฮ ซ่งึ รับมาจากทา นนบี (ศ) วา : “ทา นอยา ผูกมดั ตัวในการเดินทาง ยกเวน ยังสามมสั ยิดตอ ไปน้ีคือมสั ยิด อัล-ฮะรอม มัสยิด อนั นะบี และมสั ยิดอัล-อักศอ” กลา วคอื แนนอนท่ีสุด ทานอบั ดลุ ลอฮ บิน มฮุ มั มดั บิน อบั ดุลวะฮาบ ไดกลา ววา : การ เย่ียมเยือนสสุ านของทานนบี (ศ) นัน้ เปนแบบอยางท่ีดถี งึ แมท า นจะไดหา มไววา อยา ผกู มดั ตัวกับ การเดนิ ทางใดๆ นอกจากเพอ่ื เยย่ี มมัสยดิ และนมาซในนั้นกต็ าม และถาเขาประสงคพรอมๆ กบั การ เยย่ี มอยางน้ี ก็ไมเ ปน ไร” (๑) ความจรงิ อยา งหนึง่ ท่มี ีอยกู ค็ ือวา ฮาดษี ท่พี วกวะฮาบยี ยึดถือเปน หลักน้ีมิไดมีเหตุผลวา หา ม การผกู มดั ตวั ในการเดินทาง เพือ่ เยีย่ มเยอื นสสุ านและสถานทีต่ า งๆ ที่มีเกยี รตสิ ูงสง เลย ทั้งน้ีกเ็ พราะ ขอ แมทีร่ ะบุไวอยางเบด็ เสรจ็ ในฮาดษี มนั ทาํ ใหข อ แมอ ืน่ ๆ ถกู ลบลา งออกไปดว ย กลา วคือฉนั ใดก็ ตามทีอ่ าจถอื กาํ หนดขอแมจากฮาดีษนว้ี า ทา นอยา ผกู มดั เร่ืองการเดินทางไปยังสถานท่ีใดๆ เลย” แลวกอ็ าจาถือกาํ หนดขอแมจากฮาดษี นไี้ ดเหมอื นกันวา “ทา นอยาผูกมดั การเดินทางไปมัสยิดใดๆ เลย” แตวา ความหมายท่ชี ัดเจนก็คือความหมายทสี่ อง เนอื่ งจากลักษณะของขอ แมเ ชอื่ มโยงกนั น่ันคือขอ แมตรงทหี่ มายถึง “มสั ยดิ ” อนั เปนตําแหนงของขอแมจากฮาดษี เทา น้นั เอง จะเปน อยา งอื่น ไปไมได นอกเหนือจากน้ี ก็ยังมขี อ แมเ ฉพาะเร่ือง ทอี่ นุญาตใหผ กู มัดการเดินทางไดเชน การเดินทาง ไปหาสนิ คา , การเดนิ ทางเพื่อการศกึ ษา, การเดนิ ทางเพ่อื ตอสูใ นสมรภมู ิ (ญิฮาด), การเยี่ยมเยือน นกั ปราชญ, และผูม ีคุณธรรม, การเดินทางเพื่อรักษาโรคและพักผอ น, และขอ แมส าํ หรับบรรดา มสุ ลมิ ในเทศกาลฮัจญท ่พี วกเขาผกู มดั ตวั กบั การเดินทางไปทงุ อะรอฟะฮ, มซุ ดะลิฟะฮ, และมนิ า ตลอดจนไปยังสถานทตี่ างๆ มากมาย พรอมกันนี้ จะเปนไปไดอ ยางไรในอนั ทจี่ ะกลาววา ฮาดษี นี้ หมายถึง “ทา นอยา ผูกมัดการเดนิ ทางไปยังสถานท่ใี ดๆ เลยนอกจากสถานที่ท้ังสามแหงนเ้ี ทานั้น” ผลในทส่ี ุดก็คือ เม่ือไดนําฮาดีษน้ีมาพิจารณากนั ตามหลักวิชาของภาษาและรูปประโยค แบบภาษาอาหรบั แลวก็ไมตอ งสงสยั เลยวา คาํ ท่วี า “ทานอยาผูกมัดการเดินทาง” น้ัน หมายถงึ ไม ควรจะใหใ ครเดนิ ทางไปมสั ยิดอื่นใดที่นอกเหนือจากมัสยดิ เหลา นี้ คอื มิไดหมายความวา อยา ใหเขา เดินทางไปสถานทใ่ี ดเลยอยา งเดด็ ขาด นี่คอื ใจความของฮาดีษและความหมายของมัน พรอ มกันนก้ี ็อยาไดเขาใจและคลุมเครอื กบั ความหมายของฮาดษี นวี้ า หามมใิ หเ ดนิ ทางไปยังมสิ ยิดอ่ืนๆ หากแตเ ปน ฮาดีษทใ่ี หความหมายระบุ

มาในเร่อื งของความประเสรฐิ ของมัสยิดเหลา น้ีเทานัน้ ในลักษณะทว่ี า ไมมมี ัสยิดอื่นใดจะมคี วาม ประเสรฐิ จนถึงระดับทตี่ องใหผ ูกมัดตวั เองวา จะตองเดินทางเพ่อื นมาซในมสั ยิดน้ันๆ สว นมสั ยิดอน่ื ๆ นัน้ มันไมมีคุณสมบัติอยา งนี้ เพราะวาการมงุ ไปยังทุกๆ มสั ยิดก็ไดรับผล บญุ อยแู ลว กลาวคือมสั ยิดตางๆ เชน มสั ยดิ กลาง มสั ยิดประจาํ เมือง มัสยดิ ประจําทอ งถ่นิ ตลอดจน ทุกๆ มัสยิดท่ีอยูตามบา นของผูคนก็อยใู นลกั ษณะเดียวน้ี ดงั นั้นจงึ ไมค วรจะใหม กี ารผกู มัดไวกับคน ในประเทศอนื่ วา ใหเดนิ ทางไปยังมสั ยิดเหลา นี้ ตราบเทา ทม่ี ันมีความประเสรฐิ เทา เทยี มกัน ใชแ ลว ที่วา ใหม กี ารเตรียมตวั อยางแขง็ ขันในการเดนิ ทางไปสูมัสยดิ ทั้งสามแหง นีใ้ หเหนอื กวา มสั ยิด ท้ังหลาย และดว ยเหตุนี้เอง จงึ เปนการกระทาํ ท่ีชอบสาํ หรับผูกมดั การเดินทางเพื่อไปยงั มัสยิดทง้ั สามแหง ดงั กลาว (๑) “อัรริซาละฮ อัษษานี มนิ รั เราะซาอิล เมาซูมะฮ” ฉบับ “ฮะดยี ะตุซซนุ นยี ะฮ” จึงสรุปไดวา ความหมายของฮาดษี ก็คือ มิใหผูกมัดตัวเองไวกับการเดินทางไปมสั ยิดหนง่ึ มัสยิดใดเทานั้น ซึง่ มิใช หา มวา อยาไปสถานทีห่ นึง่ สถานทีใ่ ด น่คี ือ ประการทหี่ น่ึง ประการทส่ี อง : การหา มมิใหผ ูกมัดการเดนิ ทางไวเพอื่ ไปยงั มสั ยิดอ่ืนนอกเหนือจากทั้งสาม แหงน้ี มใิ ชเปน ขอหา มท่เี ด็ดขาด หากแตมนั คือการใหคาํ แนะนาํ วา การมงุ หมายทจ่ี ะไปยังมัสยิด อืน่ ๆ น้ันมิไดรบั ผลบญุ ทมี่ ากมายแตป ระการใด หลกั ฐานในเรื่องนมี้ ีอยูวา ทานศาสนทตู (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เริญแดทา นและแด ลูกหลานของทาน) เคยผูกมัดการเดินทางไปยังมัสยิดอ่ืนซ่ึงมิใชม ัสยิดที่ถูกระบุอยใู นฮาดีษน้มี าแลว ดงั ที่มีปรากฎอยใู นศอฮีฮ อัล-บุคอรี ความวา : ในหมวดวา ดวยการเดินทางยังมัสยดิ กุบาอ โดยพาหนะและเดนิ เทา จากทา นอิบนอุ ุมรั กลาววา “ทานนบี (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เรญิ และความสันติแดท า น) เคยเดินทางมาที่กุบาอ โดยพาหนะและเดนิ เทา” (๑) ในหมวดวา ดว ยเร่ืองการเดินทางมาทม่ี ัสยดิ กบุ าอในทุกๆ วันเสาร รายงานโดยทา นอบิ นุ อมุ รั กลา ววา : ทานนบี (อัลลอฮทรงประทานความจาํ เริญและความสนั ติแดทาน) มาท่มี ัสยดิ กบุ าอ ทุกวนั เสาร โดยพาหนะและเดินเทา และทา นอบั ดุลลอฮ (บนิ อมุ รั ) ก็ทาํ อยา งนัน้ ดวย (๒) ในหมวดวาดว ยมัสยิดกุบาอ จากทา นอิบนุอมุ ัร ไดก ลาวถึงทา นศาสนทูตแหง อลั ลอฮ วา ได ไปเย่ยี มมันทัง้ โดยพาหนะและเดนิ เทา ”(๓) ดัวกลาวนี้ ทานอมิ าม บคุ อรี ไดรายงานไวใหเราทราบวา ทานนบี เคยผูกมดั การเดนิ ทางไป ยงั มัสยิดกบุ า ในทุกๆ วนั เสาร น่คี ือหลกั ฐานทแ่ี สดงวา อนุญาตใหผกู มัดการเดนิ ทางไปยังมัสยิดอื่น นอกจากทัส้ ามแหงนี้ไดม ิใชหรือ หนงั สือศอฮฮี บคุ อรมี ใิ ชหรือที่วา เปนหนังสอื ทสี่ มบูรณถกู ตองท่ีสุด ของอะฮล ซิ ซนุ นะฮ? เปนไฉนเสยี เลา สาํ หรับคาํ สดุดขี องทา นซะยฏู ยี ทีม่ ีตอ หนงั สอื นี้ทว่ี า :

“ไมเ คยมตี าํ ราใดถกู ตอ งเทาบคุ อรี และไมมีมสุ นัดใดลึกซงึ้ เทา มุสนดั อะหม ดั ”? แลวทาํ ไมพวกเขาจงึ ละทง้ิ มนั ไปไวเ สยี ขางหลัง และทาํ ไมพวกเขาจึงเช่อื มันบา งไมเชือ่ มัน บา งเลา ? 9- การเศาะลาฮ (นมาซ) ทีส่ ุสาน ทานอิบนตุ ัยมียะฮ กลา วไวใ นหนังสือ “ซยิ าเราะฮ กบุ รู ” วา : ไมเ คยมอี ิมามคนใดในอดีต กลาวเลยสกั คนวา การนมาซที่สสุ าน และในสถานที่สาํ คัญของสสุ านเปน การกระทาํ ท่ีชอบ และไม (๑) ศอฮีย บุคอรี เลม ๒ หนา ๖๑ (๒) ศอฮีย บคุ อรี เลม ๒ หนา ๖๑ (๓) ศอฮยี  บคุ อรี เลม ๒ หนา ๑๖ เคยมีใครพูดวา การนมาซและการวิงวอนขอ (ดุอาอ) ณ สถานทเี่ หลาน้นั จะมีความประเสรฐิ กวา สถานท่อี ืน่ ๆ หากแตทุกคนเห็นพองตอ งกันวา การนมาซในมัสยิดตางๆ และตามบา นเรอื นน่ัน แหละ ประเสรฐิ กวาที่จะกระทาํ ณ สุสานของบรรดานบี” นี่คอื คาํ พดู ของทา นอบิ นตุ ยั มียะฮ และทพ่ี ดู ซาํ้ ๆ ซากๆ กันอยใู นหมูพวกวะฮาบีย ดงั ท่เี รา จะขอชแ้ี จงวา : แทจ ริงหลักฐานทแ่ี สดงวา อนญุ าตใหน มาซและวิงวอนขอในทกุ ๆ สถานทนี่ ั่นเองทแ่ี สดง วา ใหเ ห็นอยางเดน ชัดวา อนญุ าตใหน มาซและวิงวอนขอ ณ สสุ านของทา นนบี (ศ) และสสุ านของ บรรดานบตี างๆ อกี ทั้งสุสานของผูมีคณุ ธรรมทง้ั หลายไดอีกดว ย และไมตอ งสงสัยเลยวา หลักฐาน ทร่ี ะบวุ า อนญุ าตนัน้ มีอยูอยางพรอมมูลทงั้ ในอลั -กุรอานและในแบบฉบับ (ซุนนะฮ) สว นคํากลาว ตา งๆ นน้ั มเี พียงแตในเร่อื งความเนน หนกั ของเราทกี่ ระทาํ อยา งนัน้ ณ สุสานของพวกเขา ดังน้นั เรา จะขอกลาว ในประเด็นนี้กันตอไปคือ : แทจ รงิ การทาํ นมาซ ณ สสุ านเหลา น้ัน กเ็ พียงเพื่อแสวงหาความจาํ เรญิ ตอ ผูท่ถี กู ฝงอยูใน นัน้ และสถานที่แหง นี้ มคี วามสูงสง กับพวกเขาและมีความจาํ เริญตอ ผูที่ถูกฝง อยใู นนั้นและสถานที่ แหงน้ี มีความสูงสงกับพวกเขาและมีความจําเริญอยา งแทจ ริง ในความเปน จริงแลว การนมาซ มิได มีขนึ้ เพ่อื ใครนอกจากเพอื่ อลั ลอฮ ผูทรงสูงสุดเทา น้ัน มิไดมีขึ้นเพ่ือสุสานและมไิ ดม ีขึน้ เพ่ือคนใน สสุ าน เชน เดียวกบั ท่ีวา การนมาซในมสั ยิดก็มขี ้ึนเพ่ืออัลลอฮเชน กนั เพียงแตวา ความดเี ดนจะเกิด ข้นึ กับการกระทําทนี่ ่ีกเ็ น่ืองจากเกยี รตขิ องสถานท่ีนั่นเอง มิไดหมายความวา มันเปน การเคารพภักดี มัสยิด ดงั น้นั บรรดามุสลมิ จงึ นมาซ ณ สสุ านตา งๆ เพือ่ แสวงหาความจําเริญตอ ผทู ีถ่ ูกฝง อยใู นนั้น เพอ่ื มสี ว นไดรับความเปนศิรมิ งคลของผเู ปนเจาของสุสาน ซึง่ อัลลอฮทรงบันดาลใหพวกเขาเปน ผมู ี ความเปน ศิริมงคล ก็เปนเชนเดยี วกบั การท่ีพวกเขานมาซ ณ อลั -มะกอม (สถานที่ยืน) ซึ่งเปน “หนิ ”

ทีม่ ีเกยี รตอิ ันสูงสงเพราะเจา ท้ังสองของนบอี ิบรอฮมี อลั -คอลีลไดเ คยสมั ผัสน่นั เอง อัลลอฮ ทรงมี โองการวา : “และสูเจา จงถอื เอาสวนหนึง่ ของบรเิ วณท่ยี ืนเหยียบของอิบรอฮีมเปนท่ีนมาซเถดิ ” (อลั -บะเกาะเราะฮ- 125) กลา วคือการใหถ อื เอาบริเวณอัล-มะกอม (ท่ยี ืน) อันมีเกียรติย่ิงเปนที่นมาซนั้นกม็ ิไดเปน เพราะสาเหตุอื่นใด นอกจากเปนการแสวงหาความจาํ เริญ (ตะบัรรกุ ) ในฐานะทที่ า นนบอี ิบรอฮมี (ความสันติสุขพึงมแี ดทาน) เคยยืนบนมันและพวกเขาวงิ วอนขอตออัลลอฮ ณ สสุ านตางๆ กเ็ พราะ ความมเี กยี รตขิ องผทู ่ถี ูกฝง อยใู นสสุ านนั้น กลาวคือการวิงวอนขอของพวกเขา ณ ที่นั่นมขี ้ึนกเ็ พราะ สว นหลักฐานท่มี นี ้ําหนกั กค็ ือ สําหรบั การแสวงหาความจาํ เรญิ ตอผูถกู ฝง อยูเ ปนตน วา นบี หรือวะลียผูม เี กยี รตขิ องอัลลอฮน้นั ก็เหมอื นกับการแสวงหาความจาํ เริญตอ สถานทย่ี ืนของนบีอิ บรอฮีม ดงั น้ัน สถานที่ซ่ึงไดร บั ความจําเริญโดยท่ีมันไดเ ก็บเอาเรือนรา งของทานนบีผบู รสิ ุทธิ์ เอาไวน้นั ยอมมีความเปน ศริ มิ งคลยิ่ง สมควรย่ิงสําหรับการทีจ่ ะถอื วา การนมาซและการเคารพภักดี อัลลอฮในนั้น เปนการกระทําทีช่ อบ ทค่ี วรมใิ ชหรือ? เร่ืองน่นี าแปลกอยา งหน่ึงกค็ ือวา ทา นอบิ นุก็อยยิมไดกลาวในสิ่งท่ีขดั แยง กับความเชอื่ ถือ ของตวั เอง และความเชอ่ื ถือของทา นอิบนตุ ัยมียะฮไ วใ นหนังสือ “ซาดุลมอิ าด” วา : “ผลสนองแตค วามอดทนยง่ิ ของนางฮาญัรและบุตรชายของนางทถี่ ูกทอดทง้ิ ใหอ ยโู ดดเดย่ี ว วา เหว และการยินยอมใหเ ชือดบุตรชาย จนทาํ ใหส ิ่งตางๆ ที่เปน รอ งรอยของคนทงั้ สอง และท่ี เหยียบของเทาคนทัง้ สอง ไดเปน เคร่ืองหมายแหง การเคารพภักดขี องมวลผศู รทั ธา และเปนสถานที่ เคารพภักดขี องพวกเขาจนไปถงึ วันฟนคืนชีพ และนี่คือกฎของพระองค ผทู รงสงู สุด ท่ีมตี อ ผูท่ี พระองคท รงตองการยกยอ งเขาจากมวลมนษุ ยท่พี ระองคทรงสรางมา” (๑) ดงั น้ันในเมือ่ รองรอยของทานนบีอิสมาอลี และทา นหญิงฮาญรั อันเกดิ ข้ึนเพราะทุกขภยั บาง ประการ ยังมีสิทธิถงึ ขนาดไดรบั การยกยองใหเปน เครื่องหมายและพธิ ีการเคารพภกั ดีไดแ ลว รอ งรอยของศาสนทตู ผูมคี วามประเสรฐิ ทสี่ ดุ ผูซึ่งกลา ววา : “ทุกขภยั ของนบีใดๆ ก็ตาม ยงั ไม เทยี บเทา ทุกขภัยที่ฉนั ไดรบั เลย” น้ันเลา มันไมเ หมาะสมทอ่ี ัลลอฮจะทรงใหการยอมรับ และไม เหมาะสมทจ่ี ะใหม กี ารเคารพภักดตี อ อัลลอฮ ณ ท่ีนั่น อีกทง้ั การแสวงหาความจาํ เริญตอสถานท่ีน่ัน จะเปนการต้งั ภาคี และเปน การปฏเิ สธเอาเขา ไปอกี ดว ยกระน้ันหรอื ??? เปนอยางไรกันแน ในเม่อื ทานหญิง อาอซิ ะฮเองก็เคยพาํ นักอยูใ นหอ งทท่ี า นนบีถกู ฝง และ ทานหญงิ ก็ยงั คงพาํ นกั อยใู นนนั้ หลังจากท่ที า นนบีและสาวกของทานถูกฝง เร่อื ยมา ทานหญิงได นมาซในสถานท่ีแหงนั้น จะเปนไปไดไหมท่ีวา การกระทาํ ของนางอยา งนี้ คือ การเคารพภักดตี อผูที่ อยูใ นสสุ าน ขอทานลองใชดลุ ยพนิ ิจตรึกตรองดทู ีเถิด?

๑๐- การสาบานตอ สิง่ อื่นนอกจากอลั ลอฮและการเอย อา งถึงสง่ิ ถูกสรางหรือเอย อางถงึ สิทธขิ องผู นน้ั แนน อนท่สี ุด พวกวะฮาบียไ ดห า มมิใหส าบานตอสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮและถอื วา การทาํ เชน น้ัน คอื การตัง้ ภาคโี ดยแทเ ลยทีเดยี ว และพวกเขาถอื อยา งเดียวกนั นอ้ี ีกเชนกันกับการเอย อาง ตา งๆ ตออัลลอฮโดยอาศยั ผูถกู สรา งหรอื สิทธิของผูน้ันที่มีตอ พระองค เราจะขอเสนอคาํ อธิบายสองปญ หานแี้ กทาน ดงั น้ี : 1- การสาบานตอ สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ ผทู รงมหาบริสทุ ธ์ิย่ิง กอ นทีเ่ ราจะเสนอหลักฐานทีแ่ สดงวา มกี ารอนญุ าตสําหรับเรอ่ื งนี้ จาํ เปน อยางยง่ิ ทเี่ รา จะตอ งเสนอปญหานี้ พิสจู นกบั คมั ภีรข องอัลลอฮ เพอ่ื เราจะไดเ ห็นวาอลั ลอฮทรงสาบานตอ ส่ิงถูก สรางบา งหรือไม? (๑) ซาดลุ มอี าด ฟ ฮัดยุ คอ็ ยรุลอบิ าด พิมพโดยสํานกั พมิ พ อลั บาบี ฮะละบยี  ประเทศอยี ปิ ต การพจิ ารณาทบทวนโองการตางๆ ของอัล-กุรอานอันทรงเกยี รติไดทําใหเ ราทราบวา อลั ลอฮทรงสาบานตอ สงิ่ ถกู สรา งของพระองค ไวในที่ตา งๆ เกอื บสสี่ ิบแหง โดยถอื วา มันเปน สิง่ ที่ ถูกสาบานดว ย กลาวคอื พระองคท รงสาบานกับมะลาอิกะฮ (ซูเราะฮ อศั ศอฟาต, อลั -มุรซะลาต อนั นาซิ อาต และอัซซารยิ าต) และทรงสาบานตอ นบี ดังโองการทีว่ า : “ขอสาบานโดยอายขุ องเจา วา แทจรงิ พวกเขาเหลา น้นั ตกอยูในความมวั เมาพวกเขาหลงงม งายโดยแทจ ริง” (ซูเราะฮ อัล-ฮจิ ร-๗๒) ทรงสาบานไวใน (ซเู ราะฮ อลั บุรจู ญ-๓) และ (อลั -บะลดั -๑) ทรงสาบานกับอลั -กรุ อาน (ยา ซีน ๑-๓) และ (อัดดุคอน-๑-๓) และ (คอฟ-๑-๓) และ (อซั ซุ ครุฟ-๔๑) และ (ศอด-๑) ทรงสาบานดว ยชีวิตของผทู ีเ่ ปน มนษุ ย (อัชชัมส ๗-๑๐) และ (อัล-กยิ ามะฮ- ๒) ทรงสาบานดว ยอกั ษณ “นูน” และปากกา (อัล-เกาะลัม-๑) ทรงสาบานดว ยคัมภีร (อัฎฎร ๒-๓) ทรงสาบานดว ยมา ศกึ และมวลมาท่หี อบอยา งแรง (อลั -อาดิยาด-๒) ทรงสาบานดวยผใู หกําเนิดและสิง่ ทีไ่ ดกําเนิดมา (อลั -บะลดั -๓) ทรงสาบานดว ยดวงอาทติ ยและแสงของมนั (อชั ชัมส-๑) ทรงสาบานดวยชน้ั ฟา ท้ังหลาย (อัซซารยิ าต-๗ อัฎฎอริก-๑๑) ทรงสาบานดวยยามเชา (อลั มดุ ษั ษิร-๓๔๗ อัตตักวรี -๑๘ อัล-ฟจ ญร-๑)

ตอจากนน้ั พระองคกย็ งั ทรงสาบานดว ยยามกลางวนั , แสงอรุณ, การตกของดวงอาทิตย, กลางคนื , คืนทั้งสบิ , ดวงดาวและแผน ดนิ , ดวงเดอื นและลม, เมฆ, ทะเล, เรือ, ตน มะเดือ่ , ตนมะกอก, เวลา, สภาพค,ู สภาพคี่, และความมอี ยูข องสรรพสิ่งท้งั มวล ทํานองเดยี วกนั การยอ นกลบั ไปพจิ ารณา โองการตางๆ ของอลั -กุรอานในซูเราะฮต า งๆ ทเี่ รายังมไิ ดกลา วถึงกจ็ ะใหค วามชดั เจนไดอ ยาง ละเอียด หลงั จากทไ่ี ดพ ิสจู นกับบทเรียนบางสว นไปแลว มนั เปน ไปไดหรือทีว่ า การสาบานตอส่งิ อ่นื นอกเหนอื จากพระองค เปนการตั้งภาคี และ เปนเร่อื งท่ีนา เกลียดชงั ในเมื่อเรื่องน้ีไดถ ูกเสนอโดยอัลลอฮ ผทู รงมหาบรสิ ทุ ธ์ิ? มันเปน ไปไดอยางไรกันหรือ ทีว่ า การสาบานเชน นม้ี อี ยูในคมั ภนี รอ ันทรงเกียรติหลายคร้งั เหลอื เกิน ในขณะท่ีวา มันเปนส่ิงท่ตี องหามสาํ หรับผูอ น่ื นอกจากอลั ลอฮเทานั้นทจ่ี ะทรงกลาวในส่งิ ที่ตองหามและสิง่ ท่ีเปน อันตรายอยา งน้ีไวใ นคัมภรี อ นั ไพโรจนข องพระองคไ ด? ถูกตองไหม ที่เราจะกลา ววา : การสาบานตอ สิ่งถูกสรา งน้ันถา หากเปน การกระทาํ จากผถู กู สรางเอง กจ็ ะเปน การต้ังภาคี แตถา มาจากการกระทาํ ของอลั ลอฮ ในฐานะทรงเปนผูส ราง ผูบริสุทธิ์ แลวก็จะไมเปน การต้งั ภาคี ขออยา ไดพดู และกลา วใหเหลวไหล และไขวเขวไปเลย เพราะการ กระทําใดๆ ทมี่ เี นื้อหาสาระอยางเดียวนั้น จะไมส ะทอนภาพออกมาเปน สองสภาวะได และจะไมให ความหมายออกเปนสองลักษณะที่ขัดแยง กันไดห รอก สรุปไดว า ถาอัล-กรุ อานเปนแมแบบและเปน บทเรยี น และทกุ สิง่ ทุกอยา งทม่ี อี ยูในอัลกุ รอานไมว า จะเปนคาํ สอนหรอื การกระทําใดๆ ลว นเปนธรรมนูญสําหรบั มสุ ลมิ ทงั้ มวลแลว มันจะ เปนไปไดอยา งไรทีว่ า การสาบานตา งๆ เหลา น้ีมาจากอัลลอฮ ผูท รงมหาบริสุทธิไ์ ด และเปน ท่ี อนญุ าตสาํ หรับพระองคแ ตไ มอนุญาตสาํ หรับผอู ่ืน? สว นหนึ่งมันอยใู นความหมายของหลักเอกภาพ แตส วนหน่ึงมันเปนการต้งั ภาคี ทงั้ ๆ ทเี่ นอ้ื หาและสาระอนั แทจ ริงของการกระทาํ กเ็ ปน อยางเดียวกัน นี่คอื สว นวิเคราะหท ีเ่ ก่ยี วกบั คัมภรี ข องอลั ลอฮ ผทู รงสูงสุด สาํ หรับสว นวิเคราะหท ีเ่ กี่ยวกับหลักซุนนะฮ อนั บริสุทธ์ินั้น แนนอนทานมสุ ลมิ ไดร ายงาน ไวใน ศอฮีฮของทา นวา : มีชายคนหนึง่ มาหาทา นนบีแลวกลาววา ยารอซลุ ลัลอฮ ทานบริจาคอันใด ท่มี ีรางวัลย่งิ ใหญที่สุด? ทา นไดตอบวา “ขอสาบานตอ บดิ าของเจา วา แนน อนท่สี ดุ เจา ไดรับคําสั่ง สอนแลว วา ใหบริจาค แตเจา เปนคนตระหน่ีอยา งชัดแจง โดยเจา กลัวความยากจน” (๑) แนน อน ทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮ (ศ) ไดสาบานตอบดิ าของผูถามโดยกลาววา “วะอาบี กะ” มรี ายงานอกี เชน กันวา ชายคนหน่งึ มาหาทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮ ซึ่งมาจากชาวนะญดั เขา ไดถามเกยี่ วกบั อสิ ลาม แลว ทานศาสนทูตแหงอลั ลอฮ (ศ) ไดกลา ววา : มนี มาซหา อยางในวันหนงึ่ กับคนื หน่ึง เขากลาววา มอี ะไรเหนือตัวขา พเจาอกี ? ทานตอบวา ไมมีนอกจากทา นจะสมัครใจ และ มกี ารถือศลี อดในเดือนรอมฎอน เขากลาววา ยังมีอะไรเหนือตัวขา พเจา อกี ? ทานตอบวา ไมมี นอกจากทา นจะสมัครใจ และทา นศาสนทุตไดกลาวแกเ ขาวา บริจาค ซะกาต เขากลาววา แลว มี

อะไรเหนือตัวขา พเจา อีก ทานตอบวา ไมมี นอกจากทานจะสมัครใจ แลว ชายคนน้ันกผ็ ินหลังกลับ พลางกลาววา ขอสาบานตออัลลอฮ วา ฉนั จะไมทําอะไรเพิม่ เตมิ และมิใหบกพรองแกส่งิ น้ี ทานศา สนทตู แหงอัลลอฮ (ศ) กลา ววา : จาํ เริญเถิด ขอสาบานตอบดิ าของเขา ถา เขาทาํ จริงกจ็ ะไดเ ขา สวรรคข อสาบานตอบิดาของเขา ถา เขาทาํ จริง” (๑) ในฮาดษี อีกบทหนง่ึ ท่ีบันทึกในมุสนดั ของทานอิมาม อะหุมัด บิน หันบัลวา ทา นนบี (ศ) กลาววา “ขอสาบานตอ อายขุ องฉัน แนนอนถาหากทานกลา วคาํ พดู ทด่ี ี และหามปรามจากความชว่ั รา ย กย็ อมดีกวาการทท่ี า นน่ิงเงียบ” (๒) (๑) ศอฮฮี  มสุ ลิม เลม ๓ หนา ๙๔ (๑) ศอฮีฮมุสลมิ เลม ๑ หนา ๓๑-๓๒ หมวดวา ดวย อิสลามคอื อะไร และอธิบายในสว นหนึ่ง (๒) มสุ นดั อะหม ดั บิน ฮนั บัล เลม ๕ หนา ๒๒๕ และเลม ๕ หนา ๒๑๒, สุนัน อิบนุมาญะฮ เลม ๔ หนา ๙๙๕ และเลม ๑ หนา ๒๒๕ มคี ําวินิจฉัยของบรรดาอิมามในสี่มัซฮบั บางทาน อนุญาตในเรื่องน้ีไวดวย ดังทปี่ รากฏใน หนังสือ “อัลฟกฮุ อะลลั มะซาฮิบุล อรั บะอะฮ” ดังตอ ไปน้ี สาํ นกั หะนาฟยกลา ววา : การสาบาน ตามทาํ นองทว่ี า ขอสาบานตอ บิดาของทาน และขอ สาบานตอ อายขุ องทา น และอน่ื ๆ ในทํานองน้ี นบั เปนเร่ืองอนญุ าต แตอ ยูในประเภทนารังเกยี จ สาํ นักชาฟอ ยี กลา ววา : การสาบานตอสงิ่ อน่ื นอกจากอลั ลอฮ เปน ส่ิงทนี่ ารังเกยี จ ถาหากไม ตรงกบั สิ่งใดๆ ท่ถี กู ระบอุ ยใู นคัมภีรอ ันสูงสุด (หมายถงึ การเกี่ยวพนั กับอลั ลอฮ) สาํ นกั มาลิกยี ไดกลา ววา : การสาบานตอผูมีเกียรตสิ ูงสง เชน ตอนบีและตอ อัล-กะอบ ะฮ และอนื่ ๆ ในทํานองสองสิ่งนี้ มกี ฎเกณฑป ระการหนึ่งโดยคําพูดสองสถาน คือมที ั้งที่พูดวา ตองหา ม และพึงรังเกียจ แตทร่ี ับรกู ันอยูสว นมากคอื ตอ งหาม สาํ นักอันบะลีย กลาววา : การสาบานตอส่งิ อื่นนอกจากอัลลอฮ และคุณลกั ษณะของ พระองค แมจะสาบานตอ บนีหรือตอ วะลียน ั้น เปนท่ตี อ งหาม” โดยอาศยั ขอสังเกตทุกๆ ประการ ไมวา ในสวนที่อนุญาตใหส าบานตอส่งิ อืน่ นอกจาก อัลลอฮผูท รงมหาบริสุทธิห์ รือไมกต็ าม มนั ยังมิไดหมายถงึ การตึ้งภาคี และผูทสี่ าบานก็ยังมใิ ชผ ูต ง้ั ภาคี เพราะวา การสาบานกบั สงิ่ หนงึ่ ๆ น้ัน ยังมไิ ดแ สดงวา ผูสาบานเชอ่ื ถอื ในสภาพความเปนพระ เจา และความเปนผอู ภิบาลของสง่ิ นั้นๆ อาจจาํ กดั ความใหถงึ ที่สุดไดก็เพยี งแตว า เขาเทิดเกีย่ รตแิ ละ ยกยอ งส่ิงดงั กลาวเทา นน้ั การใหค ําวินิจฉัยความ (ฟต วา) ทีแ่ ตกตา งกนั น้ัน แสดงใหเ ห็นวาในนั้น เปนปญ หาทม่ี ีความเหน็ ขดั แยงกันอยู แลวบรรดามุสลิมจะสามารถโมเมเอาวา เปนการตัง้ ภาคีกบั เรอ่ื งทีค่ ําวินิจฉัยความยังขัดแยง ซ่ึงกันและกนั อยูไดกระนนั้ หรือ? ใชแลว ไมม ใี ครจะผูกมัดการสาบานตอ ส่งิ อื่นนอกจากอัลลอฮ ผูทรงมหาบริสทุ ธ์ดิ อก และ การตดั สนิ พิพากษาใดๆ จะดาํ เนนิ ไปมไิ ดนอกจากตองมกี ารสาบานตอพระองค ผูท รงมหาบรสิ ุทธ์ิ

แตน ่กี ็มิไดหมายความวา การสาบานตอสิง่ อื่นนอกจากพระองค ผทู รงมหาบรสิ ทุ ธ์ิ ผูทรงสงู สดุ เปน หลักฐานทแี่ สดงวา ต้งั ภาคีหรือเปน ส่งิ ท่ีตองหา ม ๒- การเอย อางถึงสิ่งถูกสรา งและสทิ ธขิ องส่งิ ถกู สรา ง แนนอนท่สี ุดพวกวะฮาบียไดห ามการเอยอางถึงสิ่งถูกสรางใดๆ กต็ ามกบั อลั ลอฮ เชนการท่ี ผูข อคนหน่ึงจะกลาววา : ขา ขอเอย อา งตอ พระองค โดยนามของ...หรือโดยสทิ ธขิ อง...หรอื กลา ววา ขอวงิ วอนขอตอพระองคโ ดยนามของ... หรอื โดยสทิ ธิของ...ซ่งึ เปน ลักษณะการขออยา งหนงึ่ ในการ ตะวซั ซุล (แสวงหาสื่อ) เพราะฉะนน้ั ขอใหทานมารว มกนั วิเคราะหกับขาพเจา เกยี่ วกับขอหามอันนี้วามนั สอดคลองกับแนวทางภาคปฏบิ ัติของบรรดามุสลิมหรือไม กอนอื่น เราขอกลา ววา : การเอย อางถงึ สิ่งอืน่ นอกจากผูสรางน้นั มิไดหมายถึงการตง้ั ภาคี และผูสาบานก็มไิ ดเปนผตู ้ังภาคี ในเม่อื เราไดเ ขาใจไปตามที่เราไดวเิ คราะหอ อกมา โดยอาศัย มาตรการอนั เปน เครอ่ื งวดั วา อะไรคอื การตง้ั ภาคีหรือหลกั เอกภาพ ประเด็นทีจ่ ะกลาวถงึ มนั จึงมีอยู แตเพยี งประเด็นทว่ี า อนุญาตและไมอนุญาตใหกระทาํ เทา นนั้ ดังที่เราจะกลาวตอ ไปนี้ ไดตอ งสงสัยเลยวา อลั ลอฮ ผูท รงมหาบรสิ ทุ ธิ์ ไดยกยองบุคคลกลุมหน่งึ ไววา : “เปน พวกทอ่ี ดทน และสัจจรงิ และมีสมาธมิ น่ั และเสียสละ และเปนพวกทขี่ อการนิรโทษ ในยามดกึ ด่ืน” (อาลิ อมิ รอน-๑๗) กลาวคือ ถา หากวาชายคนหน่ึงไดกลา วในคําวิงวอนขอของเขาและในการคร่ําครวญของ เขาวา “โออัลลอฮ ขาขอตอพระองค โดยอางถงึ สทิ ธขิ องผูทข่ี อการนิรโทษในยามดึกด่ืน เพ่ือให พระองคนริ โทษกรรมใหแกขา ซง่ึ ความบาปของขา “จะหมายความวา เขาประพฤติในสงิ่ ท่ีเปน การ ตง้ั ภาคกี ระนัน้ หรอื แลว งานอันนี้ทเ่ี ขากระทาํ ลงไปเปน การตง้ั ภาคีอยางไร ในเมอื่ ทา นไดเขา ใจผาน มาแลววา เนื้อหาทแี่ ทจ รงิ สาํ หรับการต้งั ภาคีในแงข องการเคารพภกั ดีนน้ั มนั เพียงแตอยูในกรณีทีถ่ า หากวา ผวู งิ วอนขอเชอ่ื ถือในสภาพความเปน พระเจา และสภาพความเปน ผูอภิบาลของผูท ไ่ี ดรับการ วงิ วอนขอ แลวตามทีไ่ ดสงั เกตกับลักษณะท่เี ราหยิบยกมานนั้ มันแสดงใหเ ห็นวา ผพู ูดเชื่อม่นั ในตวั บคุ คลทเ่ี ขาเอย อา งถึงกับอัลลอฮ ในลักษณะท่ีมิไดถือวา คุณลกั ษณะของอัลลอฮ มีอยทู บี่ ุคคล เหลา น้นั แตป ระการใด ในขณะทเ่ี ขากลาววา “ผูท่ขี อนิรโทษกรรมในยามดึกดื่น”? เรือ่ งของการตั้งภาคี และเรื่องของหลักเอกภาพ มไิ ดดําเนินไปตามทัศนะของเราเอง กลาวคือมิใชเปนส่งิ ทถ่ี ูกละท้ิงมาไวกับเรา เพื่อเราจะไดต ดั สินวา งานใดเปนการตัง้ ภาคี และงานใด เปนหลักเอกภาพ คนนีเ้ ปนผูตงั้ ภาคี และคนนั้นเปน ผยู ึดหลกั เอกภาพ เพราะวา โดยแนน อน อลั -กุ รอานไดสอนใหรูถ ึงมาตรการในการตดั สินตามความเปน จรงิ สาํ หรับการต้งั ภาคแี ละหลักเอกภาพ

เอาไวแ ลว ในหลายๆ โองการ กลา วคอื ผตู ั้งภาคนี ้นั ไดแ ก ผูทอ่ี ลั ลอฮกลาวถงึ คุณลักษณะของเขาไว ดงั น้ี : “และในเมอื่ มกี ารรําลกึ ถงึ อัลลอฮองคเดียว จิตใจผูพ วกท่ีไมศ รัทธาตอ วนั ปรโลกก็จะหนาย แหนง และเมอื่ บรรดาสิ่งอน่ื นอกเหนือจากพระองคไดถ ูกรําลึกถึงแลว พลันพวกเขากแ็ สดงความปต ิ ยนิ ดี” (อซั ซุมรั -๔๕) บรรดาผูต้ังภาคนี ัน้ ไดแกผูที่อัล-กุรอาน อนั ทรงเกียรติไดกลา วถงึ คุณลกั ษณะไวอ กี วา : “แทจรงิ พวกเขาเหลา นนั้ ถา ในเมอื่ มีการกลา วแกพ วกเขาวา ไมมพี ระเจา ใดๆ นอก จากอลั ลอฮแลว พวกเขาจะแสดงความโอหังบงั อาจ และพวกเขากลาววา จะใหเ ราละทิ้งพระเจา ตางๆ ของเราเพียงเพ่ือนักกวีทบี่ าบอกระน้นั หรือ” (๑) (๑) อัศศอฟฟาต-๓๕-๓๖ ดงั นั้น จะเปน การถูกตอ งแกเราหรอื ไม ที่เราถอื เอาบุคคลทปี่ ระเสริฐในหมูม นษุ ยที่อัลลอฮ ทรงสรา งมาเปน ผูไดรบั การเอยอา งถึง ในฐานะทพี่ วกเขาเหลานน้ั เปนพวกทอี่ ลั ลอฮทรงกลา วถงึ คณุ ลกั ษณะของพวกเขาไวใ นหลายๆ โองการทผ่ี า นมา กลา วคือเมื่อเปน ทกี่ ระจางชดั วา การเอย อางถึงใครสกั คนหนง่ึ ตอ อัลลอฮมิไดหมายถงึ การ ตัง้ ภาคี ตามหลกั เกณฑท ่ีเปนมาตรการจากอลั -กุรอานแลว เราก็จะไดเ สนอประเด็นทเี่ กี่ยวกับ ฮาดีษ อันมเี กียรตอิ ีกตอไป โดยแนน อนที่สุด มรี ายงานจากทา นนบวี า ทานไดส อนคนตาบอดคนหน่งึ ให : กลาววา : “โออลั ลอฮ แทจรงิ ขา วงิ วอนขอตอ พระองคและนอมใบหนา สูพระองค โดยอา งถงึ นบีของ พระองคคอื มุฮัมมดั นบีแหงความเมตตา” (๑) ทาํ นองเดียวกันกับรายงานของอะบู ซะอีด อัล-คุดรีย จากทา นนบี ทีท่ านไดกลา ววา : “โออลั ลอฮ แทจริงฉันวิงวอนขอตอ พระองค โดยอา งถงึ สทิ ธขิ องผขู อทัง้ หลายที่มตี อ พระองคแ ละฉันวิงวอนขอตอ พระองคโดยอางถงึ สิทธิผทู ีเ่ ดินกับฉันอยูนี้” (๒) เรายังจะตอ งรอู กี อยางหนึ่งดวยวา พวกเขาเหลานน้ั ปฏเิ สธในเร่อื งน้วี า ไมมีใครเลยแมแ ต คนเดียวท่จี ะมสี ิทธอิ ยูที่อัลลอฮ กลาวคือพวกเขากลา ววา ประเดน็ ทีว่ า ดว ยสิทธขิ องผูถกู สรางนั้น ไม เปน ที่ยอมรับได เนื่องจากผถู ูกสรางจะตองไมม สี ทิ ธใิ ดๆ ณ ผูสราง คาํ ตอบก็คอื วา นคี่ ือคาํ พดู ที่ถกู ตอ ง ถาหากพระผสู รา งมไิ ดกาํ หนดวา ส่งิ อ่ืนกม็ ีสทิ ธิอยู ณ พระองคเอง แนน อนท่สี ุด พระองคก ําหนดไวอ ยางนี้ ดงั โองการท่วี า : “และเปน สทิ ธหิ นา ท่เี หนอื เราในการเปน ผชู ว ยเหลือผศู รัทธา” (อัรรูม-๔๗)

ทรงกลาวอกี วา : “เปนสัญญาสัจจะสาํ หรบั พระองค (สาํ หรบั คําส่งั ) ในคมั ภรี เ ตารอตและอินญีล...” (อตั -เตาบะฮ- ๑๑๑) ทรงกลา วอีกวา : “อันทจี่ รงิ แลวการใหอภัยนน้ั เปนเพยี งหนาทขี่ องอลั ลอฮทจ่ี ะตอ งมแี กบ รรดาผูกระทํา ความช่วั ลงไปโดยรูเ ทา ไมถงึ การณ” (อันนซิ าอ-๑๗) ขอความท่ปี รากฎในฮาดษี ตา งๆ มีดงั นี้ : 1- “สิทธิหนา ท่ีสาํ หรับอลั ลอฮประการหนึ่งนนั้ คอื การชว ยเหลือผูทแี่ ตงงานใหไ ดรับการ อภัยโทษจากสง่ิ ที่อัลลอฮทรงหามไว” (๑) (๑) สุนัน อิบนุมาญะฮ เลม ๑ หนา ๔๔๑, มุสนัดอะหม ัด เลม ๔ หนา ๑๓๘ และอื่นๆ (๒) สุนนั อิบนุมาญะฮ เลม ๑ หนา ๒๖๒, ๒๖๑ มุสนัดอะหมัด เลม ๓ ฮาดีษที่ ๒๑ (๑) อัล-ญามิอ อัศศอฆรี ของทา นซะยูฎยี  เลม ๒ หนา ๓๓ ๒- เจา ยงั ไมร ูด อกหรือวา อะไรบา งทเ่ี ปน สทิ ธขิ องบา ว ทมี่ ีตอ อลั ลอฮ... (๒) ๓- ทานศาสนทตู ไดกลา ววา : มอี ยสู ามประการ ซ่งึ เปน หนาทส่ี าํ หรับอัลลอฮ ในอันที่ จะตองสนับสนนุ พวกเขาทส่ี ูรบในวถิ ีทางของอลั ลอฮ...(๓) ดงั นั้นจึงเปนท่ีเขาใจอยางชัดแจงจากคาํ อธบิ ายบทนี้ วา การสาบานตอสิ่งอืน่ นอกจาก พระองคผ ูทรงมหาบรสิ ทุ ธิ์และการเอย อางถงึ สิ่งถูกสราง มิไดเ ปนเรอ่ื งทถี่ งึ ขัน้ ของการตง้ั ภาคแี ต อยา งใดเลย ยง่ิ ไปกวา นั้น มันก็ยงั มิไดออกพน ไปจากกรอบของการใหเกยี รติและยกยองเกียรตคิ ุณ และการใหเกียรติ การยกยองทกุ อยา งโดยเฉพาะอยา งย่ิงการใหเกยี รตยิ กยองผูท่อี ัลลอฮทรงให เกียรติ มิไดเปนการต้ังภาคีแตอ ยา งใดเลย รายงานฮาดีษเปน จาํ นวนมากนอกเหนือจากน้ี เปนหลักฐานที่แสดงวา อนุญาตใหก ระทาํ อยา งน้ีได และอนโุ ลมใหกระทาํ ได เพราะฉะนัน้ หลังจากสัจธรรมแลว ยังจะมอี ะไรอกี นอกจาก ความหลงผิด ในท่ีสุดนี้ เราหวังเปนอยา งยง่ิ วา สาระตา งๆ นีม้ ีในหนงั สือ อันเกย่ี วกับมาตรการตัดสิน เร่ืองหลักเอกภาพกบั การต้งั ภาคี ตามหลักฐานในอัล-กรุ อาน อันทรงเกียรตเิ ลมน้ี อัลลอฮจะทรงให เปน คณุ ประโยชนแ กม วลมุสลมิ ท้ังหลาย และเปน กา วหนึ่งท่ีเดินอยบู นเสนทางแหง ความเปน เอกภาพของพวกเขาเหลานัน้ และเปนการสมานฉนั ทระหวา งกลมุ ตา งๆ ในหมพู วกเขา “เราขอวงิ วอนตอ พระองค แทจรงิ มวลการสรรเสริญเปนของอัลลอฮ ผูทรงอภบิ าลแหง สากลโลก” (๒) สุนัน อบิ นมุ าญะฮ เลม ๒ หนา ๘๔๑

(๓) อันนิฮายะตุ ของอบิ นุ อัล-อะษีร หมวดวาดว ยเรื่อง สทิ ธิหนา ท่ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook