Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เรื่องจริงสอนใจ

เรื่องจริงสอนใจ

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-08 05:27:39

Description: เรื่องเล่าที่เกิดจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์อิสลาม

Search

Read the Text Version

ดว ยนามของพระผเู ปน เจาผูท รงกรุณาปรานผี ูท รงเมตตายง่ิ นริ นั ดร สารบัญ 1- ทานศาสดา ผูทรงเกียรติ และกลุมผูคนสองกลุม 2- ชายผหู นึ่งซึ่งขอความชว ยเหลือ 3- ความปรารถนาในดนุ ยา 4- ผกู มัดเขาของอูฐ 5- ผูร วมเดนิ ทางไปทาํ ฮัจญ 6- อาหารโดยสวนรวม (รบั ประทานรวมกนั เปนหม)ู 7- กองคาราวานทก่ี ําลงั เดนิ ทางไปทาํ พธิ ีฮจั ญ 8- ชาวมสุ ลิม และชาวอะหลกิ ตี าบ 9- การวิ่งเคยี งคูก นั ไปกบั คอลีฟะฮ 10- อิมามบากิร และชายมาซฮี ีย 11- ชายอาหรับกับทานรอซูลลลุ ลอฮผูท รงเกยี รติ 12- ชายชาวเมอื งชาม (ซเี รยี ) กับทา นอมิ ามฮเู ซน 13- ชายผูหนึ่งซ่ึงปรารถนาคําตักเตอื น 14- ครสิ ศาสนกิ ชนกบั เสือ้ เกราะของทานอมิ าม อะลี 15- อิมาม ซอดิก กับพวกซูฟก ลมุ หนึง่ 16- ทานอมิ าม อะลี และอาศิม 17- ชายผยู ากจนกบั มหาเศรษฐี 18- พอ คากับชายผูสัญจร 19- ฆอซาลีกับโจรผรู า ย (ท่ีคอยดักปลนสะดมผูเดินทาง) 20- บตุ รของสีนา และบุตรของมัสกาวัยห 21- คาํ ตกั เตือนของผูเครงครัด 22- ในงานเลยี้ งของคอลฟี ะฮ 23- ละหมาดอีด 24- เฝาฟง การวงิ วอน (ดุอาอ) ของมารดา 25- เบ้อื งหนาผพู พิ ากษา 26- ในผืนแผน ดินท่มี ีนา 27- การยกนํ้าหนัก 28- ผูท เี่ พงิ่ จะเขารบั อิสลาม 29- โตะ อาหารของคอลฟี ะฮ 30- คํารองทกุ ขข องเพอื่ นบาน 31- ตนอินทผาลัม 32- ในบา นของทา นหญงิ อมุ มุสะลามะห 1

33- ตลาดมืด 34- ผูต กคา งจากกองคาราวาน 35- สายเชอื กผกู รองเทา 36- ฮชิ าม และฟารอซดกั 37- บาซนั ฏีย 38- เมอื่ ทา นอะกีลเปน แขกของทา นอมิ ามอะลี 39- ความฝนทน่ี า สะพึงกลัว 40- ณ.ทพ่ี าํ นักของบนีสะอีดะห 41- สลามของพวกยาฮดู ยี  42- จดหมายฉบบั หน่ึงทีส่ งมายังอบซู ัร ฆฟิ ฟารี 43- สินจา งท่ีมไิ ดกําหนดราคา 44- บาวหรอื นาย (ถอ ยคาํ อันศกั ดส์ิ ทิ ธิประหน่ึงมนตส ะกด) 45- ณ.มีกอต 46- ถุงอินทผาลัม 47- เหงอ่ื ท่ีออกมาจากการทาํ งาน 48- เพอ่ื นซงึ่ ตอ งตัดขาดจากกัน 49- ผลลพั ธแหง วาจาทไี่ มระมัดระวัง 50- นาทสี ุดทายของลนิ้ ใบมีดโกน 51- เพ่ือนรวมงานท้งั สอง 52- การหา มดมื่ สรุ า 53- เสอื้ ของคอลฟี ะฮ 54- ชายหนุม กบั อากัปกริ ยิ าของเขา 55- ผอู พยพแหงอบสิ สเิ นยี 56- ผปู ระกอบการงานและแสงแดด 57- เพอ่ื นบานคนใหม 58- คาํ ส่ังเสยี สุดทา ย 59- นซุ ยั บะห 60- ความประสงคของทา นศาสดาอีซา 61- ความรจู ากการเกบ็ รวบรวมฟน ในทะเลทราย 62- สุราในวงอาหาร 63- การนิง่ ฟง เสียงการอานอลั กรุ อาน 64- ชายผูมชี อื่ เสียงในหมผู ูคน 65- ถอยคาํ ซงึ่ สรา งพละกําลังแกท านอบูฏอลิบ 66- นักศกึ ษาผูสงู อายุ 67- นักพฤกษศาสตร 2

68- นกั ปราศรัย 69- มรรคผลจากการไปเยือนฏออิฟ 70- อบู อิสฮกั ซอบยี  71- ปรารถนาความจริง (ในการคน หาความจรงิ ) 72- เสาะหาความยากนี (ความเช่ือม่ัน) 73- ผกู ระหายนา้ํ ในขณะท่ถี ุงใสนาํ้ อยูบนบา 74- การไมซ้ําเติมผู ไมม ีทางสู 75- ชายแปลกหนา คาํ นาํ ผแู ปล ดวยพระนามของพระผูเปนเจา ผทู รงกรุณาปรานียง่ิ เสมอ ความสนั ตพิ งึ มแี ดทา นศาสดามฮุ มั มัด และลูกหลานอะหลลุ เบต ทกุ ทา น หนังสือที่อยูในมือของทานขณะน้ี เปนผลงานชิ้นสําคัญอีกชิ้นหนึ่งของทานอุสตาซ อัชชะฮีด อายาตุลลอฮ มุเฏาะฮารี ที่ไดถูกถายทอดออกมาเปนภาษาไทย ซึ่งผูอานทุกทานคงจะไดเห็นได อานกันมาบางแลวตอผลงานช้ินอื่นๆของทาน ถาเราจะพิจารณากันอยางเผินๆ เกี่ยวกับหนังสือ เลมน้ีแลว บางทานอาจจะเขาใจวา มันคือตํารับตําราประเภทนิทานเร่ืองเลา ซ่ึงมาจากนวนิยายที่ ไมนาสนใจ คําตอบอันชัดแจงจากขอกังขาดังกลาวอยูในคํานําของผูเขียน คือทาน อุสตาซ อัช ชะฮดี อายาตลุ ลอฮ มเุ ฏาะฮารี (ผูลว งลับ) ขอพระผูเปนเจา ทรงเมตตาทา น อยา งชัดแจงแลว แตความสําคัญของเนื้อหาที่มาจากเร่ืองเลาของหนังสือเลมน้ีมีมากมายเหลือคณา อัน เนอื่ งมาจากผูเลา คือบรรดาผบู รสิ ุทธ์ิจากครอบครัวของทานศาสดา เพราะฉะน้ันหนังสือเลมนี้จึงมี ชื่อวา “เร่ืองเลาจากผูสัตยจริง” ซ่ึงตนฉบับที่เปนภาษาเปอรเชียไดถูกพิมพคร้ังแลวคร้ังเลานับไม ถว น สําหรับกระผมผูแปลตองขอขอบคุณตอพระผูเปนเจาผูทรงสูงสงท่ีไดทรงประทาน ความสําเร็จอันย่ิงใหญในชีวิตของกระผม เพราะมันคือผลงานแปลช้ินแรกของนักศึกษาวิชาการ ศาสนาตัวนอยๆ ผูหน่ึง มาตรวามันคือความสําเร็จในกาวแรกตามทัศนะของผูอานแลว นั่น หมายถึงการกาวไปสูงานช้ินตอไปของบรรดานักศึกษาวิชาการศาสนาอยางพวกเรา อินชาพระผู เปน เจาฮตุ าอาลา ขอพระองคทรงประทานความสะลามะฮเราะฮมะฮ เตาฟก และฮิดายะหแดบรรดาผู ปฏบิ ัตติ ามแนวทาง ทา นอะมีรลุ มอุ มนิ ีน อะลี บตุ รของ อบีฏอลบิ โดยทัว่ หนากันดว ยเทอญ ขอพระองคทรงรบั พรดว ยความเจยี มตน พระผูเปนเจาฮุมมา ศ็อลลิอาลามุฮัมมัด วาอาลิมุฮัมมัด วาอัจญิล ฟารอญะฮุม เชค มาลกี ี ภักดี 21 มิถุนายน 2544 3

คาํ นาํ ผเู ขียน ในขณะทข่ี า พเจา มุงม่นั อยูกับการเรยี บเรียงหนงั สอื ทเี่ กยี่ วกับเรื่องเลาตางๆเหลาน้ีอยูน้ัน เม่ือ ขาพเจาไดพบกับบรรดามิตรสหาย ขาพเจาไดบอกกับพวกเขาไปวาขณะน้ีขาพเจาอยูในระหวาง การเรียบเรียงหนังสือท่ีเก่ีวกับสวนหน่ึงของเรื่องเลาตางๆที่มีคุณประโยชนอยางมาก ซึ่งไดนํามา จากตํารารวบรวมฮาดษี และประวัตศิ าสตร ซง่ึ เปน ภาษาท่เี ขา ใจไดโดยงายแกผูสนใจทุกทาน และ เตรียมการท่ีจะจัดพิมพเผยแพรไปในหมูผูคนท่ัวไป บรรดามิตรสหายตางก็พึงพอใจไปตามๆกัน บางคนมองเหน็ วา มันจะเกิดประโยชนอ ยา งมากมายในหมเู ยาวชนและยอมรับวาน่ีคือการนําเสนอ ส่งิ ใหม อนั เนือ่ งมาจากหนังสอื ประเภทเกี่ยวกบั เร่อื งราวทเ่ี ลามาจากอัลฮาดษี ท่ที รงคณุ ประโยชนมี ปรากฏอยใู นสงั คมของนักอานนอยมาก ซึง่ บางคนกลาววา “หนังสือแนวนี้ยังไมมปี รากฏเลย” แตทวาตํารับตําราท่ีมีคุณประโยชนซ่ึงเปนตนฉบับที่แทจริงของจริยธรรม (อัคลาค) และ สังคมโดยเฉพาะนั้น ไดถูกเขียนและถายทอดออกมาแลว หรือหนังสือประเภทที่เก่ียวกับการ ดํารงชีวิตในรูปแบบของเร่ืองเลา (ซ่ึงแมวาทั้งความคิดและการเขียนของผูเขียนที่ไดอุปโลคขึ้นมา โดยปราศจากมูลความจริงแตอยางใด) ก็ยังถูกทําใหเปนรูปรางมาแลวเชนกัน หรือหนังสือที่ เกี่ยวกับแบบฉบับของการปฏิบัติ (ซีเราะห) ซึ่งตั้งแตแรกเร่ิมจนจบผูเขียนจะนําประวัติ หรือ แนวทางการใชชีวิตของบุคคลหนึ่งหรือหลายๆบุคคลท่ีทรงคุณวุฒิในประวัติศาสตรมากลาวไว แต จนบัดนี้ขาพเจาก็ยังไมเห็นหนังสือที่ไดคัดเลือกเร่ืองเลาตางๆซึ่งมีคุณประโยชนจากหนังสือ ประวตั ิศาสตร และอลั ฮาดษี เพอื่ ทีจ่ ะนาํ ทางไปสูจดุ หมาย รวมทั้งการขัดเกลาจิตวิญญาณ จากน้ัน ก็จดั พมิ พเ ปนรปู เลม และนาํ ออกแพรห ลายไปในหมปู ระชาชน อยา งไรกต็ ามถึงแมวาหนงั สือแนวน้ี จะถกู พมิ พมาบางแลว แตส วนมากกม็ ิไดน าํ หลกั ฐานมาจากอลั ฮาดีษหรอื ประวัตศิ าตร แนวความคิดน้ีบางทีอาจจะเปนส่ิงใหมท่ีถูกนํามาเสนอ หรือหรือบางทีอาจจะไมใช อยางไรก็ตามมันมิไดเริ่มตนมาจากขาพเจา และขาพเจามิไดเปนผูนําเสนอสิ่งนี้ข้ึนมา ในการ ประชุมคร้ังหน่ึงของคณะกรรมการสักนักพิมพแหงหน่ึงซึ่งถูกจัดต้ังข้ึนโดยคณาจารย และ ผูทรงคุณวุฒิหลายทาน และขาพเจาคือหน่ึงจากบรรดาคณาจารยเหลาน้ันดวยเชนกัน สมาชิก ทานหนึ่งไดเสนอความเห็นในที่ประชุมนั้นวาจะเปนการดีมากถาหากวาจะมีการรวบรวมหนังสือที่ เก่ียวกับอัคลาค (จริยธรรม) กันบาง แตจะตองไมอยูในประเภทของการอธถาธิบายกลาวคือใหอยู ในแนวของเรื่องเลา และเปนเรื่องเลาท่ีมีมูลความจริง หมายถึงจักตองถอดออกมาจากอัลฮาดีษ และประวัตศิ าสตร ฯลฯ มใิ ชเ รือ่ งเลาท่ถี ูกประดษิ ฐข ้นึ ความเห็นน้ีเปนท่ียอมรับของคณะกรรมการทุกทาน และขาพเจาคือผูหน่ึงที่สนับสนุนตอ ความคดิ อนั นี้เปน อยางยิ่ง และขาพเจาไดใหคํามั่นสัญญาตอทุกคนในท่ีน้ันวาขาพเจาขอรับหนาที่ 4

อันน้ีดวยตนเอง ดวยเหตุน้ีหนังสือที่ประจักษแกสายตาของผูอานผูมีเกียรติทุกทานในขณะนี้คือ มรรคผลจากการเสนอคววามคดิ และคําม่ันสญั ญาของขาพเจาดงั กลา ว แหลงอางอิงของเรื่องเลาตางๆในหนังสือเลมน้ีไดถูกนํามาบรรจุไวโดยบอกเลขหมายจาก หนาหนังสือที่ถูกอางอิง บางทีก็กลาวถึงสํานักพิมพของตําราเหลานั้นดวย และไดเขียนเอาไวใน บันทึกตอทายของแตละเรื่อง และบางคร้ังแหลงอางอิงจะถูกกลาวมากกวาหน่ึงเลม (หนังสือท่ี แตกตา งกนั ) ในความเปนจริงแลวขาพเจาอยากจะชใั้ หเ ห็นวาการรายงานฮาดีษบางรายงานบางที มขี าดหายไปบาง หรือมีเพ่ิมเติมข้ึนมา และมีส่ิงชี้ชัดวาบางรายงานมีการขาดหายไปบาง หรือบาง ทีอาจจะเปนที่นิยมของนักบรรดารายงานที่เขามมีความตั้งใจจะไมเสนอรายงานเร่ืองเลาทั้งหมดก็ อาจจะเปนได ขาพเจาจึงนําเอาตําราหลายเลมมากลาวเอาไว เพื่อผูอานจะไดตรวจสอบดูจาก หนงั สือเหลา น้ัน ท้งั ท่ีใจความของแตล ะเรือ่ งคือหนงึ่ เดียวกนั ในการรวบรวมหนังสือเลมนี้ขึ้นมามิไดมีการเพิ่มเติมการรายงานจากตนฉบับแตอยางใด และมันมิใชมาจากความนึกคิดของตัวขาพเจาเองในตัวบทของแตละเร่ือง และหนังสือเลมน้ีมิใช เรื่องราวแปลไดอยางงายบทหนึ่งท่ีอยูภายใตความหมายตามตัวอักษร แตทวามันไดถูกจัดสรรค ปนแตงพอสมควรตามเนื้อหาของขอความท่ีช้ีใหเห็น ซ่ึงจะทําใหเขากับสภาพแวดลอมและ ศีลธรรมของมนุษย ดังน้ันเน้ือหาอ่ืนมิไดถูกเพ่ิมเติมเขาไปในตัวบทแตอยางใด แตถูกจัดสรรโดย เลก็ นอยเทาน้ัน เพ่อื ใหงายตอการเขาใจตอ ผูศ ึกษาคน ควา โดยสวนมากแลวจุดเริ่มและยอหนาของแตละเร่ืองจะไมตรงกับตนฉบับจริง และวิธีการ บรรยายแตกตา งกันออกไป เพอื่ ทว่ี าทุกเร่ืองจักตอ งถกู จดั ระเบยี บอยางสมดลุ ย ถห ากวาผูอานไดมี โอกาสกลับไปเปดหนังสือตนฉบับดู ทานก็อาจจะเขาใจวาเน้ือหาถูกเปล่ียนไปบางเล็กนอย ซึ่งใน ความเปนจรงิ แลวมไิ ดถกู เปลย่ี นแปลงหรอื ดดั แปลงแตประการใดเลย เวนเสียแตวาเพื่อเปนการทํา ใหทุกๆเรอื่ งนานสนใจและนา อา นยงิ่ ขึน้ เทานัน้ เอง ในดานของผลลัพธของแตละเรื่องจากหนังสือเลมน้ีมิไดถูกอรรธถาธิบายเอาไวแตอยางใด เพราะบางคราวผลลัพธของแตล ะเรื่องกไ็ ดอธิบายเอาไวแลวในตัวบทของมันเอง แมกระทั่งชื่อเร่ือง ทีไ่ ดตง้ั เอาไวก ค็ ือสงิ่ ที่จะนาํ พาผอู านไปสูผ ลลัพธข องแตล ะเรื่องไดไปในตัว แตทวาความประสงคท่ี แทจริงของเราคือ ผลลัพธของแตละเรื่องควรจะเปนหนาที่ของตัวผูอานเองในการใครครวญหา ผลลัพธ หนังสือแตละเลมที่ผูอานไดอานมันผูอานจําเปนจะตองทําคววามเขาใจเพื่อใหเกิดผลลัพธ ดวยตัวเอง ผูอานจักตองพยายามใชความคิด เพื่อท่ีวาจะทําใหความรูสึกนึกคิดไดมีการพัฒนา กา วหนามากยิ่งขนึ้ ในดา นการคดิ ใครค รวญ ความคดิ ดังกลา วท่เี ปน ภาระของผูอานก็คือ การคิดใน ความหมายของประโยคและตัวบทตางๆ เทาท่ีโอกาสและเวลาอํานวย ซึ่งจําเปนจะตองทําความ เขา ใจตอ ตวั บท และความหมายตา งๆใหถองแท ดังนัน้ การใครครวญเพื่อใหไดมาซ่ึงผลลัพธจึงเปน หนา ท่ขี องผูอานเอง ทุกสิง่ ทุกอยางมาตรวาผอู า นมใิ ชค วามคิดตอ เรอ่ื งนัน้ ๆ และไมมสี ิ่งใดเพมิ่ พนู 5

ข้ึนมาเลยจากความคิดของตนเองเลย สิ่งน้ันก็จะไมมีวันซึมซาบหรือผสมผสานเขาไปภายในจิต วิญญาณและหัวใจของเขาได ในขณะเดียวกันมันก็จะไมบังเกิดผลใดๆในกิจการงานของเขา แต ความคิดเชนน้ันซ่ึงผูอานสามารถสัมผัสไดจากตัวบท นั่นก็คือผลลัพธหน่ึงที่ผูอานไดรับซึ่งมันจะ เกดิ เปนพืน้ ฐานแกผ อู านเองโดยปริยาย ตั้งแตเริ่มแรกที่ขาพเจาตั้งใจเอาไวแลวคือเร่ืองเลาตางๆเหลาน้ีจําเปนที่จะตองเลือกสรรค ออกมาจากหนังสืออัลฮาดีษ และผูท่ีเปนแบบอยางอันสูงสงของแตละเรื่องก็คือบรรดาผูนําท่ี ยิง่ ใหญแหงอิสลาม (บรรดาอิมาม ) แตทวามันมิไดขึ้นอยูกับสิ่งน้ันส่ิงเดียว ในขณะเดียวกันเราได คัดออกมาจากหนังสือประวัติศาสตร อัตชีวะประวัติบุคคล และจากซีเราะห และเรื่องเลาตางๆ จากบรรดาผูรูและบุคคลอื่นๆ ผูทรงคุณวุฒิ ซ่ึงมีคุณประโยชนอยางมากมายเชนเดียวกัน และ เชนกันในที่นี้เพ่ือไมใหเปนการแสดงออกถึงความมีอคติตอผูอ่ืน หรือถือทิฐิ เรื่องราวจึงมิใชจะมี เพียงแตเฉพาะอัตชีวะประวัติบุคคลของชีอะหเพียงอยางเดียวเทาน้ัน บางครั้งเรื่องราวของบุคคล อื่นๆ ที่เปน มสุ ลมิ หรือมใิ ชม ุสลมิ แตเปนท่ีนายกยองชมเชยก็ถูกนําเอามากลาวดวยเชนกัน ซึ่งทาน ผูอา นจะไดพ บเห็นในหนังสอื เลม นี้ ช่ือหนังสือเลมนี้ในฐานะที่สวนมากแลวผูที่เปนแกนนําในแตละเรื่องคือบุคคลผูซ่ึงมีความ สัตยจริง และอยูบนแนวทางที่เท่ียงตรง และในอัลกุรอานอันทรงเกียรติพวกเขาถูกเรียกวา “ศิด ดีกีน” (ผูสัตยจริง) เราจึงใหช่ือหนังสือเลมน้ีวา “เรื่องเลาจากผูสัตยจริง” แตถาเรามองในอีกดาน หนึ่ง ตามธรรมดาแลวผูอานท่ีประสงคจะอานหนังสือเร่ืองเลาประเภทน้ี มักจะเปนบุคคลผูซึ่ง ปรารถนาความสัตยจริง และหนังสือเลมนี้ก็ถูกเขียนขึ้นเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ เราจึงเชื่อวาเรื่อง เลาตางๆ เหลา น้ีคอื “เร่ืองเลาของผูสัตยจ ริง” เพราะวาเรื่องราวตา งๆ เหลา นี้มิไดถกู อุปโลคขึ้นมาจากความนึกคิดหรือเพอฝน แตมันคือ เรื่องราวท่ีเกิดขึ้นจริงมาแลวในอดีต ซ่ึงถูกบันทึกเอาไวในตําราตางๆอยางมากมาย เม่ือเร่ืองราว ตางๆ คือ “เร่ืองจริงที่ไมใชอิงนิยายแลว” ดังน้ันจึงเปนการสมควรอยางยิ่งท่ีจะตองนําคําวา “สัตย จรงิ ”มาเปน สวนหนึง่ ของหนังสือเลมนด้ี วย เร่ืองเลาตางๆเหลานี้มนุษยสามารถท่ีจะนํามาเปนแบบอยางในการปฏิบัติกิจการงาน ทางดานจริยะธรรม และในการใชชีวิตในสังคมไดเปนอยางดี และสามารถที่จะเปนตัวอธิบายถึง อิสลามท่ีแทจริงไดเชนเดียวกัน ผูอานสามารถท่ีจะทําความเขาใจตออิสลามท่ีแทจริงไดจาก เรื่องราวดังกลาวที่ผานพนไปแลว และสามารถท่ีจะนํามาเปรียบเทียบระหวางตัวผูอานเองกับ สภาพแวดลอ มของสงั คมแหง ตัวตนไดเปนอยางดี และจะเหน็ วาในสังคมหนึ่งที่เขาใชชีวิตอาศัยอยู นั้น ซ่ึงทุกๆชนชั้นเช่ือวาพวกเขาท้ังหมดคือมุสลิม และบางสวนจากพวกเขาเหลานั้นเชื่อวาจะมี เพียงแตพวกเขาเทานั้นท่ีเปนมุสลิม เราไมรูวาพวกเขาเหลานั้นนําเอาอิสลามท่ีแทจริงมาปฏิบัติ และบังคบั ใชไดม ากมายสกั เพยี งใด 6

เรื่องเลาตางๆเหลานี้สามารถใหประโยชนแกปจเจกบุคคล และบุคคลท่ัวไปได เชนเดียวกัน แตเปาหมายท่ีแทจริงของการเรียบเรียงหนังสือเลมนี้ขึ้นมาคือความตองการที่จะให เกิดประโยชนแกบุคคลท่ัวไปมากกวา เพราะวาในชุมชนตางๆ เหลานั้นมีความประสงคความ ยุติธรรม ความเสมอภาค และความออนนอมอยูในตัวพวกเขา ดวยเหตุนี้เม่ือใดที่พบกับคําพูดท่ี เปนสจั ธรรม พวกเขาพรอ มท่จี ะนอมรับมันทนั ที ศีลธรรมและความช่ัวรายของชนชั้นตางๆในสังคมสามารถสงผลตอกันและกันไดเปนไป ไมไดท่ีวาเราจะสรางกําแพงขึ้นมากั้นกลางระหวางชนชั้นทั้งหลาย และปกปองชนชั้นหน่ึงใหหลุด พนจากการแพรหลายของความชั่วรายหรือการแพรกระจายของศีลธรรมได แตโดยปกติธรรมดา แลวความชั่วรายจะเร่ิมจากกลุมชนเล็กๆ และแพรหลายไปในหมูผูคนสวนมาก แตในทางตรงกัน ขามคุณธรรมจะเร่ิมจากในหมูผูคนสวนมากที่ต่ืนตัวและนํากลุมชนเล็กๆเขามาสูคุณธรรมใน ลักษณะของการบังคับ หมายถึงตามความเปนจริงแลวความชั่วรายสวนมากจะมาจากที่สูงลงสูท่ี ตา่ํ และศีลธรรมจะมาจากที่ตา่ํ ข้นึ สูที่สงู จากพ้ืนฐานอันน้ีเราจะเห็นไดวาทานอิมามอะลี ในคําสอนอันสูงสงของทาน หลังจากท่ี ทา น ไดแ บงประชาชนออกเปน สองประเภท กลุม เล็ก (โดยเฉพาะ) และกลมุ ใหญ (โดยทั่วไป) ทาน รูสึกสิ้นหวังจากบุคคลกลุมเล็กตอการท่ีพวกเขาจะเขามาอยูในศีลธรรมความดี ดังน้ันทานจึงให ความสนใจตอบุคคลท่ัวไปเสียมากกวา ในคําสั่งเก่ียวกับการปกครองซึ่งรับหนาท่ีโดยมาลิก อัชตัร นาคาอีย ทานไดส ง สาสนไปวา “สําหรับผูปกครองแลวไมมีผูใดที่จะสรางความปนปวนในยามสงบ มากกวาบุคคลผูใ กลชิด (บุคคลรอบขา ง) พวกเขาจะใหความชวยเหลือเพียงเล็กนอยในยามคับขัน จงเกลียดจงชังและไมพึงใจในความถูกตองยุติธรรม และการมีสิทธิเทาเทียมกัน ยืนกรานเรียกรอง ในส่ิงตางๆ แตกลับรูจักการของคุณเพียงนอยนิด ไมรูจักการอภัยในยามโกรธ และออนแอตอ อุปสรรคทั้งหลาย แตบรรดามุสลิมสวนมากน้ัน (ท่ัวไป) คือผูคํ้าจุนศาสนา และตอตานบรรดาศัตรู ทั้งหลาย พวกเขาคือฐานแหงชัยชนะเหนือศัตรู ดังน้ันเจาจงใหความสําคัญตอพวกเขาเปนอยาง มากเถดิ ” มีความคิดอยูอยางหนึ่งซ่ึงเปนความคิดที่ไมถูกตอง จากบุคคลจําพวกหน่ึงซ่ึงฝกใฝการ ประณีประนอมและไกลเกล่ีย ซึ่งทุกครั้งท่ีพวกเขามีความคิดจะมุงแกไขสิ่งหน่ึงส่ิงใด พวกเขาจะ คํานงึ ถึงบรรดาผนู ําแหง ชนชั้นตา งๆ และรเิ รมิ่ มุงแกไขจากบคุ คลเหลา นนั้ กอ น ประสพการณไดชี้ใหเห็นแลววาทุกคร้ังในกิจการงานตางๆท่ีริเร่ิมจากบรรดาผูคน เหลาน้ัน (บรรดาผูนํา) ซึ่งในทัศนะของพวกเขาแลวถือวาเปนสิ่งถูกตองและจะเปนผลสําเร็จ แต ผลท่ีไดรับมาเกินความเปนจริง จากนั้นการแกไขส่ิงนั้น จึงกลายเปนการโฆษณาชวนเชื่อแกบุคคล ทั่วไปมากกวา ขาพเจามิสามารถที่จะปกปดเร่ืองๆหนึ่งได นั่นก็คือในขณะท่ีขาพเจากําลังเรียบเรียง หนังสือเลมน้ีอยู และกําลังจะพิมพ มีบางคนจากมิตรสหายของขาพเจา พรอมๆกับคําชมเชยของ 7

พวกเขาตอคุณงามความดีของหนังสือเลมนี้ พวกเขาก็แสดงความไมพอใจในตัวของขาพเจา ท่ี ขาพเจาไดละทิ้งกิจการงานที่จําเปนและสําคัญกวา และมาหมกมุนอยูกับการเรียบเรียงหนังสือ เลมน้ี และไดตําหนิติเตียนขาพเจาวา เหตุไฉนเลาทานเปนถึงนักเขียนท่ีโดงดังเขียนตํารับตําราท่ี เก่ียวกับวิชาการอันสูงสงในสาขาตางๆ อยางมากมาย แลวอยูๆไฉนจึงมาเขียนหนังสืองายๆ กระจอยรอยเชนนี้ ถึงขั้นวาบางคนจากพวกเขาไดขอรองแกขาพเจาวา ในเมื่อทานเขียนมันข้ึน มาแลว อยางนอยก็ขออยาใหหนังสือเลมน้ีพิมพออกมาในนามของทานเลย ขาพเจากลาวแกพวก เขาวา เปนเชนไรหรือ มันไมดีตรงไหน พวกเขาตอบวา “หนังสือที่จะพิมพออกมาในนามของทาน นั้น จําเปนจะตองอยูในแนวของปรัชญาเทานั้น งานนี้มันเล็กเกินไปสําหรับทาน” ขาพเจาถามวา “อะไรคือมาตรฐานในการเปรียบเทียบความเล็กและใหญ จากน้ันขาพเจาจึงไดรับรูวามาตรฐาน ของความเล็กและความใหญของกิจการงานในทัศนะของพวกเขา คือความยากและงายน่ันเอง ทุกๆการงานท่ียากพวกเขาถือวามันย่ิงใหญ และทุกๆการงานท่ีงายดายพวกเขาถือวามันเล็กนอย เขาใหความสาํ คญั ตอ ความใหญและเล็กโดยไมคาํ นงึ ถึงผลที่จะตดิ ตามมาแมแตนดิ ถา หากวา ความคิดเชน นี้เปนเพียงของใครคนหน่ึง หรือไมก่ีคนขาพเจาก็จะไมนําปญหา น้ีมากลาว ณ ท่ีนี่โดยเด็ดขาด แตเปนที่นาเสียดายที่ความคิดอันต่ําตอยเชนนี้ (ซึ่งถือไดวาเปน ความปวยไขชนิดหน่ึงของสังคมเราปจจุบัน และไดสรางความเสียหายและหันเหผูคนใหออกจาก ความจริงแหงอิสลาม) ในสงั คมของเรา และกําลังแพรหลายมากยงิ่ ขน้ึ ดวยเหตุนี้เองในยุคปจจุบันสังคมของเราจึงขาดหนังสือและตํารับตําราที่ทรงคุณคา โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนาและมัซฮับของเราทั้งๆที่เรานาจะมีมากกวาน้ี หลายตอหลาย คนท่ีนิยมชมชอบในการมีช่ือเสียงโดงดัง หรือคําชมเชยและเกียรติยศ พวกเขาพรอมที่จะไชเวลา เปนสิบๆปทนรอนทนหนาวเพื่อจะเขียนหนังสือสักเลมหนึ่ง เปาหมายเพียงตองการที่จะจารึกนาม ของตัวเองลงไปในหนังสือเลมนั้นดวยความภาคภูมิใจ โดยท่ีหนังสือเลมดังกลาวมิไดมี คุณประโยชนอันใดตอสภาพของสังคมเลย แตการท่ีมีใครคนหน่ึงเขียนหนังสือขึ้นมาหนึ่งเลมท่ีมี คุณประโยชนอยางยิ่งตอสังคม แตกลับไมมีคุณคาใดๆ เน่ืองจากวาหนังสือเลมน้ันมันงายตอการ เขียนและพากันไมยอมรับในผลงานนั้น สรุปแลวก็คือวาส่ิงท่ีนาจะนําเสนอและพิมพออกมาเพ่ือ เปนคุณประโยชนตอสังคมกลับไมกระทํา แตส่ิงซึ่งเม่ือเขียนขึ้นมาแลวไมมีผลท่ีติดตามมากลับถูก นําเสนอออกมา พิมพออกมากันเปนวาเลน มีคํากลาวที่นายกยองประโยคหนึ่งจากคํากลาวของ คอญะห นาซรี ุดดนี ตสู ีย ท่ีวา “มนั ชางนาสมเพชเสียนกี่ ระไร ตอ ส่งิ ที่ฉันนาํ ไปคือสิ่งทไี่ รค า สิ่งน้นั ท่ฉี ันรูจัก คอื สงิ่ ทไ่ี มค คู วรแกก ารรูจัก สิ่งนน้ั ท่ฉี ันหยิบยกมา คอื ส่ิงทฉ่ี นั จกั ตองปลอ ยวาง สงิ่ นน้ั ทีฉ่ ันปลอ ยวาง คอื สิง่ ทฉี่ ันตักตองหยบิ ยกมา” 8

ในทสี่ ดุ ขา พเจา ก็ไดต อบแกพวกเขาไปวา “คาํ ขอรองของพวกทานคือสิง่ เตือนใจแกฉันมัน คือความปวยไขทางสังคมประเภทหนึ่งในทัศนะของฉัน และมิใชเพียงแตวาฉันจะไมยอมปฏิบัติ ตามคําขอรองของพวกทานเพยี งเทา นั้น พรอ มกนั นนั้ ฉนั จะเอาคาํ ขอรองของพวกทา นนล้ี งในคํานํา ในหนงั สอื เลมน้ดี วย และฉันจะขนานนามแกมนั วาความปวยไขอยางหนงึ่ ของสังคม” หลังจากนั้นไมนานขาพเจาจึงคิดไดวา แนนอนการท่ีบุคคลกลุมหน่ึงมองการเขียน ตํารับตําราท่ีงายๆ (ถึงแมวาหนังสือเลมน้ันจะมีคุณคาสักเพียงใดก็ตาม) เปนส่ิงไรคา และการ เขียนหนังสอื ประเภทนัน้ คือการลดเกียรติยศของตัวเองลง ดังน้ันแนนอนบุคคลกลุมหน่ึงก็จักตองมี อยูเชนเดียวกัน ที่เมื่อใดก็ตามที่เขาไดรับรูหรือเขาใจคําส่ังหรือวิชาการ และฮิกมะฮ (วิทยปญญา) จากหนังสือที่งายๆเหลาน้ัน พวกเขาก็จะไมนํามาปฏิบัติ เพราะพวกเขากลัววาถายอมรับก็จะเปน การลดเกียรตยิ ศของตัวเองลง เพราะเพราะความรตู า งๆเหลา นนั้ มันมาจากหนงั สือทงี่ ายดาย เพ่ือเปนการใหเกียรติแกความสูงสงของคัมภีรอัลกุรอาน ในหนังสือเลมน้ีเรามิไดนํา เรื่องราวจากอัลกุรอานมาเลยแมแตสักเรื่องเดียว เราสัญญากันแลว เพราะวาหนังสือท่ีเกี่ยวกับ เรื่องเลาของอัลกุรอานก็มีการพิมพออกมาแลวเฉพาะแตเรื่องเลาจากอัลกุรอาน ทั้งภาษาอาหรับ และฟารซีย ส่ิงเดียวท่ีเราไดยึดเอาแบบอยางมาจากอัลกุรอาน ก็คือพ้ืนฐานหรือแนวของการเขียน หนังสือเลมน้ีเทาน้ันเอง เพราะวาหนังสือเลมแรกที่เปนเรื่องเลาท่ีแทจริง (ไมมีความคลางแคลง ใดๆอยูในน้ัน) และถูกประทานลงมาเพื่อเปนทางนําแกมนุษยชาติใหไปสูหนทางที่เที่ยงตรงก็คือ คมั ภรี อ ัลกุรอานอนั ทรงเกยี รตินนั่ เอง ในเลม แรกนี้มเี รือ่ งเลาบรรจุอยูดว ยกนั ถงึ 75 เรอื่ ง อันท่ีจรงิ แลว ขา พเจาไดเขียนเอาไวใน เลมน้ีถึง 100 เร่ือง และความประสงคของขาพเจาในเลมตอๆไป ทุกๆเลมขาพเจาจะเขียน 100 เรื่อง แตขาพเจาเห็นวาทัศนะของคณะกรรมการสํานักพิมพ ทุกคนไมเห็นดวยเนื่องจากวารูปเลม ของหนงั สือจะมีขนาดหนาเกนิ ไป และในขณะเดยี วกนั กระดาษที่จะใชในการพิมพหนังสือเลมน้ีอยู ในชว งท่ีหายากมาก ดว ยเหตุนเี้ องขา พเจา จึงจบหนังสือเลมนล้ี งดว ยจํานวน 75 เรือ่ งดังกลาว อีกประเด็นหนึ่งท่ีขาพเจาอยากจะเอยในท่ีน้ีก็คือ โดยสวนมากของเร่ืองเลาตางๆ จะ เปนไปในทางบวก และมีอยูสองสามเรื่องเทานั้นที่เปนไปในทางลบ ซ่ึงเหมือนกับวรรณคดีที่ลุก มานเคยสอนไว คือการชี้ใหเห็นถึงจุดออนของจริยะธรรม ซ่ึงอยูในรูปแบบของคําตักเตือนที่ ทรงคุณคา ดงั่ เชนเรื่อง “เพอื่ นซึ่งตอ งตดั ขาดจากกัน” และ “ผลลัพธแ หงวาจาทีไ่ มร ะมดั ระวงั ” และ เร่ือง “นาทีสุดทายของล้ินใบมีดโกน” ที่ไดนํามาบรรจุไวในหนังสือเลมนี้ ในตอนแรกขาพเจาก็มิได ใสใจตอสองสามเรื่องดังกลาวน้ีเทาใดนัก จากนั้นขาพเจาตองการท่ีจะคัดออกไปเสีย เพราะ ตองการใหเ รื่องทุกเรอื่ งจะตอ งใหอ ยูในแนวเดียวกันทั้งหมด ซึ่งอยากจะใหเรื่องทุกเรื่องที่นํามาเปน แบบอยางจกั ตอ งเปนไปในทางบวกเทานั้น ขาพเจาลังเลใจอยูระยะหนึ่งในท่ีสุดขาพเจาก็ตัดสินใจ ไมคัดออก และจะกลา วเอาไวใ นคํานําของหนงั สอื เพอ่ื ใหผ อู านไดรับทราบ 9

อยางไรก็ตามขาพเจาปรารถนาขอเสนอแนะจากผูรูและผูสนใจอยูเสมอ ทุกๆคําแนะนํา และทวงติงที่มีมายังขาพเจาจากผูอานผูมีเกียรติท้ังหลาย จักขอขอบพระคุณเปนย่ิงนัก และจะ นาํ มาพจิ ารณาอยา งแนน อน ขอพระผเู ปนเจา ทรงประทานทางนําและความผาสุขแดท ุกทา น เตหะราน 19 เดือนตีร ป 1339 ตามปส ุรยิ ะคติ ตรงกับ 15 มุหรั รอม ป 1380 ฮิจเราะหศ ักราช มุรตะฎอ มเุ ฏาะฮารี 1… ทา นศาสดา ผูทรงเกยี รติ และกลุมผูคนสองกลมุ วันหน่ึงเม่ือทานศาสดา ผูทรงเกียรติไดเขามายังมัสยิด (มัสยิดมะดีนะฮ) (1) สายตาของ ทานไดมองไปยังกลุมคนสองกลุม ซ่ึงกําลังสาละวนอยูกับการปฏิบัติหนาที่ ที่แตกตางกันแตละ กลุม กลุมแรกหมกมุนอยูกับการอิบาดะฮ (เคารพภักดีพระเจา) และรําลึกถึงพระผูเปนเจา และอีก กลมุ หน่งึ กําลงั หมกมุนอยกู บั การศกึ ษาเลาเรยี น ทานศาสดา รสู กึ ปปติยินดีท่ีไดเห็นการปฏิบัติของทั้งสองกลุม ทานจึงหันไปทางผูติดตาม ของทา น แลว กลา ววา “ทั้งสองกลมุ คอื ผปู ฏบิ ัติการงานท่ีดี พวกเขาอยบู นความประเสริฐและผาสุก ยงิ่ ” และทา นศาสดา ไดเสริมตอ ไปวา “แตทวาฉันถูกสง มาเพ่ือแนะนาํ ส่ังสอนพวกเขา” ดงั นั้นทานศาสดา จึงตรงไปยังกลุมของผูท ี่หมกมนุ อยูกบั การเรียนการสอน และไดน ่ังรวม ในวงสนทนากบั พวกเขา (2) 2… ชายผูขอความชวยเหลือ เม่ือเขาน่งั นึกทบทวนถงึ ความหลังทีเ่ ต็มไปดวยความยากลําบาก เขายงั จําไดดวี า ชา งเปนเวลา ที่แสนขมข่ืน และเจ็บปวดรวดราวยิ่งท่ีเขาไดประสบและผานพนมา ชวงระยะเวลาซ่ึงเขาก็แทบจะ ไมม คี วามสามารถอันใดเลย ที่จะแสวงหาแมกระทง่ั อาหารประจําวนั ของภรรยาและบรรดาลูกนอย ท่ีไรเดียงสา เขานั่งเฝาคิดอยูกับตนเองวา เปนไปไดอยางไรที่เพียงประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว ซึ่ง เขารับฟงเพียงสามคร้ัง จะเพิ่มจิตวิญญาณอันสูงสง พละกําลังมหาศาล เปลี่ยนแปลงจุดหมาย แหงการใชชีวิตของเขา ปลดปลอยเขาและครอบครัวใหหลุดพนจากความลําบากยากจนโดย ส้ินเชงิ เขาคือสาวกคนหนึ่งของทานศาสดา ซ่ึงมีฐานะท่ียากจนขัดสนมาก จนวันหนึ่งซึ่งเขามี ความรูสึกวาคมมีดไดปกลงสูกระดูกดําของเขาแลว (ไมมีทางเยียวยาได) ดวยคําปรึกษาและการ สนบั สนนุ จากภรรยา เขาจึงตดั สินใจไปหาทานศาสดา เพอื่ เลา ถึงสภาพของเขาใหท า นศาสดา ฟง และขอความชวยเหลอื จากทา น เขาเดนิ ทางไปหาทานศาสดา ดวยเจตจํานงน้ี แตไมทันท่ีจะเอยปากพูดสิ่งใดออกมา เขาได ยินคําพูดประโยคหนึ่งจากปากของทานศาสดา วา “ใครก็ตามที่ขอความชวยเหลือจากเรา เราจะ 10

ชวยเหลือเขา แตทวาใครก็ตามที่ตองการความชวยเหลือ แตเขามิไดเปดเผยตอสาธารณชน (วา เขาตองการความชวยเหลือ) พระผูเปนเจา จะทรงทําใหเขามีทุกส่ิงทุกอยาง (ร่ํารวย) “ วันน้ันเขา กลับมาบานของเขา โดยท่ีเขามิไดปริปากพูดสิ่งใดออกมาเลย แตบรรยากาศของปศาจแหงความ ยากจนอันนาสพึงกลัว ยังคงปกคลุมครอบครัวของเขาอยู ซึ่งเขาตองเผชิญหนาอยูกันมัน รุงข้ึนอีก วนั เขาไดไปรวม ชมุ นมุ กบั ทานศาสดา ดว ยความตั้งใจเดิมอกี และก็เชน เดียวกันเขาไดยินประโยค น้ันอกี ครั้งหนึง่ จากทา นศาสดา “ใครก็ตามท่ีขอความชวยเหลือจากเรา เราจะชวยเหลือเขา แตทวาใครก็ตามที่ตองการ ความชวยเหลือและเขามิไดเ ปดเผยออกมา พระผูเ ปนเจา (ซบ.) จะทําใหเขามีทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง” คร้ังน้ีก็เชนกัน เขากลับมาบานโดยมิไดบอกส่ิงใดตอทานศาสดา เลย และเชนเคยเขา ยังคงตกอยูในกรงเล็บแหงความยากจน ซ่ึงเขาไมมีความสามารถอันใดที่จะรอดพนไปได เขาจึง ตัดสินใจไปหาทานศาสดา อีกคร้ังหน่ึง ณ สถานที่ชุมนุม ดวยเจตจํานงเดิม และก็เชนเคยเขาก็ได ยินถอยคําจากปากของทานศาสดา กลาวยํ้าประโยคนั้นอีก ซึ่งเพ่ิมความแนวแนเด็ดเดี่ยว และ พลังแกจิตใจและวิญญาณของเขา แตครั้งน้ีไมเหมือนครั้งกอน หัวใจของเขาแข็งแกรงข้ึนกวาเดิม มีความรูสึกวาไดพบกับกุญแจท่ีจะไขความยากลําบากของเขาแลว จากประโยคดังกลาวนั้น เขา กาวเทาออกมาจากสถานท่ีชุมนุมดวยความมั่นใจยิ่งขึ้น และบอกกับตัวเองวา ต้ังแตน้ีเปนตนไป เขาจะไมขอความชวยเหลือจากผูใดเด็ดขาด เขาจักตองพึ่งพิงยังพระผูเปนเจา และนําพละกําลัง ท้ังกายและใจ ความสามารถตางๆ อวัยวะทุกสวนท่ีมีอยูในตัวเขา ซึ่งพระองคทรงประทานมาให ออกมาใชป ระโยชน และขอใหพระองคทรงดลบันดาลใหเขาพบความสําเร็จในการงานท่ีจะกระทํา และขอแดพระองคใ หเ ขามที กุ สิง่ ทกุ อยา งในทสี่ ดุ เขาถามตัวเองวา มีความสามารถท่จี ะทาํ งานใดไดบา ง และในท่สี ุดจงึ ตดั สินใจเดินทางไปใน ทะเลทรายเพื่อเก็บฟน และนํามาขาย เขาไดสัมผัสกับรายไดที่ขวนขวายมาดวยนํ้ามือของตนเอง และปฏิบัติเชนนั้นเรื่อยมา จนสามารถมีสัตวเลี้ยงและขาวของเครื่องใชตางๆ เปนของตัวเอง จนกระทัง่ มที รพั ยสมบตั ิมากมาย และมีทาสไวในครอบครองในทสี่ ดุ วันหนึ่งทานศาสดา ไดพบกับเขา ทานเผยย้ิมออกมาพรอมกับกลาววา “ฉันมิไดบอกเจาดอก หรือวา ใครที่มาขอความชวยเหลือจากเรา เราจะชวยเหลือเขา แตทวาใครก็ตามที่ตองการความ ชว ยเหลือ และเขามไิ ดบอกกลา วแกผอู ่นื พระผูเปน เจาจะทาํ ใหเขามที กุ สิ่งทุกอยา ง” (3) 3…ความปรารถนาในโลกนี้ ชายผูหน่ึงมาหาทานอิมามซอดิก ดวยความกระวนกระวาย และกลาววา “โปรดชวยขอพรให ฉันดวยเถิด เพอ่ื ท่ีพระผูเปนเจา จะทรงประทานทุกสิ่งทุกอยางแกฉัน เพราะฉันยากจนและลําบาก เหลอื เกิน” อิมาม : ฉันจะไมขอพรใหเจา อยา งเดด็ ขาด 11

ชายผนู น้ั : ทาํ ไมหรือ อิมาม : เพราะวาพระผูเปนเจา ไดทรงช้ีแนะหนทาง สําหรับการงานตางๆ ท้ังหลายเอาไวแลว พระผูเปนเจา ทรงตรัสไวเสมอวา ใหขวนขวายอุตสาหะและขอจากพระองค เจาเพียงแตนั่งอยูแต ในบาน (ไมทํางาน) แลว จะใหไดท กุ สงิ่ ทุกอยางมาเพยี งการววิ อนขอไดอยา งไร. (4) 4…ผกู มัดเขาของอฐ เปนเวลาหลายช่ัวโมงที่กองคาราวานออกเดินทางมา ความเหน็ดเหน่ีอยไดแผกระจายไปทั่ว รวมท้ังผูขีแ่ ละสัตวท ใี่ ชเปน พาหนะ ดังนัน้ เม่ือถงึ บานหลังหนึ่งซ่ึงมีบอนํ้าอยู ทุกคนจึงหยุดพัก ทาน ศาสดา ซึ่งรวมเดินทางมากับกองคาราวานนี้ดวย ไดทําใหอูฐคุกเขาและลงจากหลังอูฐ ส่ิงแรกที่ ทุกคนจะตองกระทําในความคิดของทุกคนแลวคือการไปใหถึงบอนํ้าโดยเร็วที่สุดเทาท่ีจะเร็วได และดื่มมัน หลงั จากนั้นก็เตรยี มตัวทาํ น้ํานมาซเพื่อการนมาซ หลังจากท่ีทานศาสดา ลงจากหลังอูฐแลวก็มุงไปยังบอน้ํา แตหลังจากเดินไปไมกีกาวทานก็ หันหลังกลับมาท่ีอูฐ โดยมิไดพูดส่ิงใดเลย บรรดาสาวกและผูชวยเหลือทุกคนตางแปลกใจ และ กลาวแกตนเองวา การที่ไดหยุดพักท่ีนี่มิไดเปนการพึงใจของทาน ศาสดา ดอกหรือ และทานจะ ออกคําสง่ั ใหอ อกคําเดนิ ทางตอ กระน้นั หรือ ทกุ สายตาจองมอง และหูคอยฟงคําสั่งจากทานศาสดา ทุกคนย่ิงแปลกใจย่ิงขึ้น เม่ือทานไดเดินไปยังอูฐของทาน และหยิบเครื่องมือผูกมัดเขาของอูฐ และ มดั เขา ของมัน เม่ือเสร็จแลว ทานจึงไดเ ดินไปยังบอ นาํ้ เสียงถามกันตางๆ นานา ดังขึ้นวา “ โอ ทานศาสดา ทําไมทานจึงไมออกคําส่ัง ใหพวกเราให ปฏบิ ตั กิ ารงานน้แี ดท า นเลา ทาํ ไมทา นจึงทําดว ยตนเอง เราพรอมและยินดรี บั ใชท านเสมอ” ทานศาสดา ไดตอบพวกเขาวา “ จงอยาขอความชวยเหลือจากผูอ่ืน ในการงานของตนเอง แมก ระทัง่ เศษไมอนั หน่ึงของแปรงสฟี น ” (5) 5… ผรู ว มเดินทางไปทําฮจั ญ ชายผูหน่ึงซึ่งเพ่ิงเดินทางกลับจากการทําพิธีฮัจญ เขาไดเลาเรื่องราวตางๆ ในการเดินทาง และ ผูรวมเดินทางทุกคนแดทานอิมามซอดิก โดยเฉพาะเขาไดยกยองชมเชยผูรวมเดินทางของเขาผู หนี่ง วาเปนชายท่ีมีเกียรติอยางสูง เขารูสึกภูมิใจมากที่ไดมีผูรวมเดินทางเยี่ยงชายประเสริฐผูน้ี ต้ัง แตเร่ิมจนจบสิ้นการเดินทาง เขาจะมุงม่ันอยูกับการเคารพภักดีตอพระเจาอยูอยางสม่ําเสมอ เชน เม่ือเราหยุดพักอยูในบานหลังหน่ึง หลังจากที่เขาเขาไปในบานหลังน้ัน เขาไดมุงไปยังมุมหนึ่งทันที และปูผาออกและมุงม่นั อยกู ันการเคารพภักดีพระผเู ปนเจา ของเขา ทานอิมาม : “แลวผูใดคอยปฏิบัติภารกิจตางๆ ของเขา และผูใดท่ีคอยดูแลสัตวท่ีใชเปน พาหนะของเขาเลา ” 12

ชายผูนั้น : “ภารกิจตางๆ ของเขา ตกอยูกับเราดวยความภาคภูมิใจ เขาเพียงแตอยูกับการ งานทปี่ ระเสริฐของเขา เขามิไดเขามายงุ เกยี่ วกนั การงานนนั้ เลย” อมิ าม : “ดังนนั้ พวกทา นทุกคนประเสรฐิ และมีเกียรตกิ วา ชายผนู ้นั ซะอกี ” (6) 6… อาหารโดยสว นรวม (รบั ประทานรว มกันเปนหม)ู ในขณะที่ทานศาสดา และเหลาสาวก รวมท้ังผูชวยเหลือของทานหยุดพักระหวางทาง และทุก คนไดชวยกันยกสัมภาระวางลงบนพื้นดิน พวกเขาตัดสินใจเชือดแพะตัวหนึ่ง เพ่ือตระเตรียมเปน อาหาร บุคคลหน่ึงกลาววา “ ฉันขอเชือดมันเอง” อีกคนกลาววา “ฉันอาสาถลกหนังมัน” คนที่สาม กลาววา “ ฉันรับอาสาปรุงอาหารเอง” คนท่ีส่ี ……… คนที่หา…… ตางก็รับผิดชอบกันไปคน ละอยาง ทานศาสดา : “ฉนั จะเปน คนไปเก็บฟนในทะเลทรายเพื่อปรงุ อาหาร” ทุกคน : “โอ ทานศาสดา ทานไมตองลําบากหรอก ทานพักผอนใหสบายเถิด ดวยความ ภาคภูมิใจ เรายินดีทําทุกส่ิงทกุ อยางดว ยตวั ของพวกเราเอง” ทานศาสดา : “ฉันรูวาพวกทานยินดีทีจะกระทําทุกสิ่งทุกอยาง แตพระผูเปนเจา ไมทรงพึง พระทัยท่ีจะมองบาวของพระองค ในสภาพท่ีแตกตางกันระหวางบาวของพระองคทุกคน ซ่ึงเขาคิด วา ตัวของเขานั้นมีความเดนกวาผูอ ่ืน “ ดงั นนั้ ทานศาสดา จงึ มุง ออกสูทะเลทรายเพ่ือรวบรวมฟนมาปรุงอาหาร.(7) 7… กองคาราวานทกี่ าํ ลงั เดนิ ทางไปพิธฮี ัจญ คาราวานกองหนึง่ ซึง่ กําลงั มงุ ไปยงั เมืองมกั กะฮ เม่ือเดินทางมาถงึ เมอื งมะดีนะฮจ ึงหยุดพกั ตอ มาไมนานจงึ ออกเดินทางมงุ สจู ดุ หมายปลายทางคือเมอื งมกั กะฮ บนเสนทางระหวางเมืองมะดีนะฮ กับ เมืองมักกะฮ กองคาราวานไดพบกับชายคนหน่ึงซึ่ง รจู กั กนั ในบา นหลังหนึ่ง ในขณะท่ีพูดจาทักทายกนั อยนู ั้น ชายผนู เ้ี หลอื บไปเห็นบุคคลคนหนึง่ ซงึ่ อยู ทามกลางพวกเขา บุคคลผูนี้มีใบหนาแสดงออกถึงความเปนผูศรัทธาที่สูงสง มีความยําเกรง สําแดงใหเห็นกําลังวากําลังขะมักเขมนกระวีกระวาดอยูกับการงานตางๆ ท่ีกองคาราวานมีความ จําเปน ในบัดน้ันเองเขาก็รูจักบุคคลผูน้ันทันที เขาจึงถามผูที่อยูในกองคาราวานอยางประหลาดใจ วา “ผูทีก่ ําลงั ทํางานอยางแขง็ ขนั อยูน ั้น พวกทานรจู ักเขาหรอื ไม“ พวกเขาตอบวา “ไม ! เราไมร จู กั เขาเลย เขาเขามารว มเดนิ ทางกับเราในเมืองมะดนี ะฮ แตดูแลว จากลักษณะแลว เขาเปน ผทู ม่ี คี วาม ยําเกรงตอพระเจาและมีศรัทธาสูงย่ิง เรามิไดขอรองใหเขามาทํางานตางๆ ใหแกเรา แตเขามีความ สมคั รใจทจี่ ะรวมทาํ งานและชวยเหลอื ผูอน่ื ถาอยางน้ันพวกทานก็ไมรูจักเขาจริงๆ ถาหากพวกทานรูจักเขาแลว พวกทานคงไมเสีย มารยาทแบบน้ี และปลอยใหเขาทาํ งานเยี่ยงคนรับใชใ นกองคาราวานของพวกทา นดอก” 13

พวกเขาแปลกใจจึงถามวา “แลว เขาคอื ใครกันละ” ชายผนู ้ันตอบวา “เขาคืออะลี บตุ รของ ฮเู ซน ซยั นุลอาบิดนี (อิมามทา นท่สี ่ี)” ทุกคนในกองคาราวานจงึ ลุกข้นึ ยนื กนั อยางโกลาหล และขออภยั ทา น ดว ยการเขา ไปจบู มอื เทา ของทานอิมาม ขณะเดียวกันพวกเขาก็พูดในเชิงตําหนิตวเองข้ึนวา “นี่มันอะไรกัน ทําไมทานจึงทํา กบั พวกเราแบบนี้ ขอพระผเู ปน เจา อยาใหเปนเชนน้ัน มาตรวาเราไดกระทําในสิ่งที่มิบังควรตอทาน เราจะถกู ตราหนา วา คอื ผกู ระทาํ ผิดบาปอนั ใหญหลวงทเี ดยี ว อิมามกลาววา “ฉันเปนผูเลือกท่ีจะรวมเดินทางกับพวกทาน ดวยรูดีวาพวกทานไมรูจักฉัน เพราะบางคร้ังท่ีฉันเดินทางรวมกับบุคคลที่รูจักฉันดี พวกเขาจะปฏิบัติตอฉันอยางออนนอมและ เห็นอกเห็นใจ เน่ืองจากฉันคือผูมาจากครอบครัวของทานศาสดา และพวกเขาจะไมปลอยใหฉันมี หนาที่อนั ใดเลย ในการรับใชห รือปฏบิ ตั ิภารกิจการงาน ดว ยเหตนุ ี้ฉันจงึ ตองเลือกผูรวมเดินทางท่ีไม รูจักฉัน และจะไมแนะนําตัวใหพวกเขารูจักดวย เพ่ือที่ฉันจะไดรับใช และทํางานอยาง สะดวกสบาย” (8) 8… มุสลิมและชาวชาวคมั ภีร ในสมัยน้ันเมืองกูฟะฮ (ปจจุบันรวมอยูกับเมืองนะญัฟในอิรัก) คือศูนยกลางท่ีเขมแข็งใน การปกครองของอิสลาม ทุกอาณาจักรท่ีกวางใหญไพศาลตกอยูภายใตการปกครองของอิสลาม ในชวงน้ัน ยกเวนแถบซีเรีย ทุกสายตาตางคอยเฝามองวาจะมีคําส่ังอะไรหรือการตัดสินใจใดๆ มา จากเมืองกฟู ะฮแตเ พยี งเมอื งเดยี ว ณ ถนนที่มุงสูเมืองนี้ ชายสองคน คนหนึ่งเปนมุสลิมและอีกคนเปนชาวคัมภีร (ยิว คริส เตียนหรือโซโรอัสเตอร) ไดมาพบกัน ท้ังสองจึงถามจุดหมายปลายทางของกันและกัน หลังจากนั้น จึงรูวามุสลิมกําลังเดินทางไปกูฟะฮ และชายชาวคัมภีรกําลังจะไปแถบชานเมืองกูฟะฮ ทั้งสองจึง ตกลงใจทจ่ี ะเดนิ ทางรวมกัน และไดพ ดู คยุ กนั ไปตลอดทาง เขาท้ังสองพูดคุยกันอยางสนิทสนมในเรื่องราวตางๆ มากมาย และเม่ือเดินทางมาถึงทาง แยก ชายคัมภีรรูสึกแปลกใจอยางมาก ที่เห็นเพื่อนมุสลิมของเขาไมไดแยกทางไปอีกทางหน่ึง ซึ่ง เปนเสน ทางไปเมืองกฟู ะฮ แตกลบั เดนิ ทางมาพรอ มกับเขา ตามเสนทางท่ีจะไปชานเมืองกูฟะฮ เขา จึงถามขึน้ วา “ทานมไิ ดบ อกขา พเจาหรอื วา จะไปเมอื งกฟู ะฮ” มสุ ลิม : “ใช ทําไมหรอื ” ชาวคมั ภีร : “แลว ทาํ ไมถงึ มาทางน้ลี ะ ทางไปกูฟะฮน ั้นอยอู ีกทางหน่ึง” มสุ ลมิ :“ขา พเจา รูดี แตตองการที่จะมาสงทาน เนื่องดวยทานศาสดาของเรา เคยปรารภวา “คราใดก็ตามท่ีบุคคลสองคนไดรวมเดินทางกันและพูดคุยกัน เขาท้ังสองมีสิทธิอันชอบธรรมซึ่งกัน และกัน” และขณะนี้ทานมีสิทธิเหนือขาพเจาแลว ดวยสิทธิที่ทานมีตอขาพเจา ขาพเจาจึงตอง เดนิ ทางมาสงทานสักนดิ แลวขา พเจา จะกลบั ไปตามเสนทางเดิมภายหลัง” 14

ชาวคัมภีร : “โอ เปนท่ีชัดเจนวาดวยคุณธรรมอันสูงสงของทานน่ีเอง ศาสดาของทานจึง ไดรับการยอมรับและมอี ิทธิพลเหนือประชาชน และศาสนาของทา นจึงแพรหลายไปทว่ั อยา งรวดเร็ว ความประหลาดใจและความนยิ มยกยอ งของชายชาวคัมภีรผูนั้นไดไปสูจุดที่ เม่ือเขาไดรูวา เพือ่ นรวมทางของเขาผูน้ีคือ ผูนําของบรรดาผูศรัทธาอะลี บุตรของอบีฏอลิบ และตอมาไมนานชาย ผูน ้นั กเ็ ขา รับอิสลาม และตอมาจึงเปนสาวกทเ่ี ปน ผูศ รัทธามั่นและเสยี สละของทา นอมิ ามอะลี (9) 9… การวง่ิ เคียงคูก ันไปกับผูป กครอง (คอลีฟะฮ) ขณะท่ีเดินทางไปเมืองกูฟะห ทานอิมามอะลีไดเขาสูเมืองอัมบาร ซ่ึงประชาชนที่อาศัยอยู ในเมืองนัน้ เปน ชาวอหิ ราน ประชาชนทั้งหนุมสาวและแกเฒา ซึ่งเปนชาวไรชาวสวนในเมืองนั้นตางก็ดีใจ เพราะคอ ลีฟะฮผูเปนท่ีรักจะผานเมืองของพวกเขา ประชาชนจึงออกมาตอนรับทานอิมามอะลี ขณะที่มา ของทานวิ่งไปตามถนน พวกเขาก็เริ่มวิ่งตามกันไปเคียงคูกับมาของทาน เม่ือเห็นดังน้ันทานอิ มามอะลี จึงหยุดมา และเรียกพวกเขามาถามวา “ทําไมพวกทานจึงว่ิงตาม นี่พวกทานกําลังทํา อะไรกัน” พวกเขาตอบวา “นี่เปนการใหเกียรติอยางหนึ่ง ซึ่งเราจะกระทําตอผูปกครองและบุคคลท่ี เราใหเกียรติเขา ซ่ึงเปนมารยาทและประเพณีอยางหน่ึง ท่ีกระทํากันในหมูพวกเราเปนธรรมดาอยู เสมอ” ทานอิมามจึงกลาววา “การกระทําเชนนี้จะทําใหพวกทานเหน็ดเหน่ือยในโลกน้ี และจะ สรางความทุกขยากในโลกหนา จงละทิ้งการกระทําอันต่ําตอยและการกระทําอยางอ่ืนท่ีคลายคลึง กันน้ีเสีย สวนมากแลวการกระทําส่ิงนี้ไมมมีประโยชน และจะไมกอคุณประโยชนอันใดเลยแมแต นอย” (10) 10… อมิ าม บากริ และชายมาซีฮี ทานอิมามมุฮัมมัด บุตรของอะลี บุตรของฮูเซน) ฉายาของทานคือ “บากิร” หมายถึง “ผู จําแนกแยกแยะ” ทานถูกใหฉ ายาวา “ บากริ ลุ อุลมู ” หมายถึง “ ผจู าํ แนกแยกแยะวชิ าการตางๆ “ ชายผูหนึ่งซึ่งเปนคริสตศาสนนิกชน ไดเปล่ียนแปลงคําวา “บากิร” ใหผิดไปเปนคําวา “บักร” ซึ่งแปลวา “วัว” ในลักษณะเยยหยันทานอิมาม เขากลาวกับทานวา “อันตะบักร” ซ่ึงแปลวา ”ทานคือวัว” ทานอิมามจึงตอบเขาอยางใจเย็น โดยปราศจากการแสดงความโกรธแคนชิงชัง ออกมาใหเหน็ วา “ไม ฉันไมใชว วั ฉันคือ บากิร (ผจู ําแนกแยกแยะ) ชายผูนัน้ กลาววา : เจาคือบตุ รของหญงิ ซ่งึ เปน แมครวั ทาํ อาหาร ทานอมิ าม : อันนนั้ คืออาชีพของทา นซงึ่ มใิ ชเ ปน สง่ิ ท่ีอดสแู ละละอายใจ ชายผูนนั้ : มารดาของเจา ผิวดาํ และไมม ียางอาย แถมยงั ปากเสยี ดว ย 15

อมิ าม:ถาหากส่ิงท่ีทานกลาวหาตอมารดาของขาพเจาเปนความจริงละก็ ก็ขอใหพระผูเปน เจ ทรงนําทางทานดวยเถิดและอภัยโทษแกทานดวย แตหากไมเปนความจริง ก็ขอไหเปนบาปแก ทาน เพราะทานโกหกและใสรา ยมารดาของขา พเจา บทพิสจู นท่ีแสดงใหเหน็ ทั้งหมด คือความอดทนสุขุมของทานอิมาม ซ่ึงยนื หยัดตอสูไดในการ กลั่นแกลงเยยหยันทุกรูปแบบ จากชายผูซึ่งอยูนอกศาสนา น่ันคือส่ิงที่เพียงพอแลวตอการปฏิวัติ เปล่ียนแปลงจิตวิญญาณของชายชาวคริสเตียนผูน้ัน และนําเขาเขาสูอิสลาม และในท่ีสุดชายผูนั้น ก็ไดเ ขา รับอิสลาม (11) 11… ชายชาวอาหรบั กับทานศาสดาผูทรงเกยี รติ ชายอาหรับทะเลทรายท่ีดุดันผูหน่ึงไดเขามายังเมืองมะดีนะฮ และตรงไปยังมัสยิด เพ่ือขอ ทรพั ยส นิ จากทา นศาสดา เมือ่ เขาเขามายังมสั ยิด ทานศาสดานงั่ อยทู ามกลางเหลาสาวกและผูชวย เหลอื ของทาน เขาไดเอยถงึ ความตองการของเขา พรอมกับขอทรัพยสินจากทานศาสดา ทานจึงยื่น สิ่งหนึ่งให แตเขากลับไมพึงพอใจ ซ้ํายังมองวาเปนสิ่งท่ีไรคา เขาเริ่มใชคําพูดท่ีไรมารยาทตอทาน ศาสดาโดยไมใหเกียรติทานเลยแมแตนอย สรางความโกรธเคืองใหแกเหลาบรรดาสาวกและผูชวย เหลอื ของทาน จนชายผนู ้ันเกือบจะโดนประชาทันฑ แตทา นศาสดาหา มปรามพวกเขาเอาไว ตอมาทานศาสดาไดพาชายชาวอาหรับผูนั้นไปยังบานของทาน และไดใหสิ่งของตางๆ แก เขา ท่ีบานของทานศาสดานี่เองทําใหชายชาวอาหรับผูนั้นประจักษกับตาตนเองวา สภาพความ เปนอยขู องทา นศาสดานน้ั มไิ ดเหมือนกบั ผูน ําหรือผปู กครองคนอืน่ ๆ ท่ีเขาเคยพบมา เงนิ ทองทรพั ย สมบัติกม็ ิไดถกู เก็บสะสมอยูใ นบา นของทานเลย ชายชาวอาหรับผูน้ันแสดงความพึงพอใจออกมา และกลาวขอบคุณทานศาสดา อยาง ซาบซึ้งใจ ในชวงน้ันเองทานศาสดาจึงกลาวแกเขาวา “เมื่อวานน้ีถอยคําของทานไดสรางความไม พึงใจแกเหลาสาวกและผูชวยเหลือของฉัน ทุกคนโกรธแคน ฉันเกรงวาทานอาจจะถูกพวกเขาทํา ราย แตตอนนี้ทานมีความเขาใจและกลาวถอยคําที่ดีกวาตอฉัน จะเปนไปไดหรือไมที่ทานจะพูด ประโยคนี้อีกคร้ังตอหนาพวกเขา เพื่อใหความโกรธแคนท่ีพวกเขามีตอทานจะไดจางหายไป“ ชาย ชาวอาหรบั จงึ ตอบวา “ไดขอรับกระผม” วันตอมาชายชาวอาหรับผูน้ันก็ไดเขามายังมัสยิด ในขณะท่ีทุกคนน่ังรวมกันอยูทั้งหมด ทานศาสดาจึงหันไปยังผูคนเหลานั้นแลวกลาววา “ชายผูน้ีเขาไดพึงพอใจตอเราแลวจริงหรือไม” ชายชาวอาหรับตอบวา “ใช เชนน้ันแหละ” และเขาไดเอยคําขอบคุณอยางซาบซึ้งตอหนาผูคนอีก ครง้ั หน่งึ ดงั ท่เี ขาไดเ คยกลาวกับทา นศาสดา มาแลว ขณะน้ันเอง ทานศาสดาไดหันไปยังทุกคนแลวกลาววา “เรื่องที่เกิดข้ึนระหวางฉันกับเขา เหมอื นกบั เร่ืองของชายผูหนง่ึ ท่ีอูฐของเขาต่นื ตระหนกและวง่ิ หนีเตลดิ ไป ซึ่งเมอื ประชาชนเหน็ ดงั นน้ั พวกเขาคิดจะชว ยจบั อูฐใหแ กเจา ของอฐู พวกเขาจงึ ตะโกนเสียงดังและไลต ามอฐู ตวั นัน้ ไป ซงึ่ ทําให 16

อูฐย่ิงตกใจและหนีกระเจิดกระเจิงมากยิ่งขึ้นกวาเดิม ชายเจาของอูฐจึงรองตะโกนดวยเสียงอันดัง ข้ึนวา “ฉันขอรอ งใหทกุ คนอยาไดเ ขา มายุงกับอูฐของฉัน ฉันรูดวี าฉนั จะจบั อฐู ของฉนั ดวยวิธีใด” เมื่อประชาชนยุติการไลตามอูฐแลว ชายเจาของอูฐจึงหยิบหญามากําหนึ่ง และเดินไป ขางหนาอูฐอยางชาๆ โดยไมตองสงเสียงหรือวิ่งไลตาม อูฐจึงคอยๆ เดินเขามาหาเขา เม่ือเขาย่ืน หญา ที่อยใู นกาํ มือใหมัน ในท่ีสุดเขากจ็ บั อูฐของเขาไดอ ยา งงา ยดาย และจากไปในท่ีสุด ดังน้ันเชนกันเมื่อวานถาฉันใหความอิสระเสรีแกพวกทาน แนนอนชายชาวอาหรับผูน้ีก็ จะตองถูกฆาดวยน้ํามือของพวกทาน (ตายไปในสภาพของผูปฏิเสธ) แตฉันไดหามปรามพวกทาน เอาไว และทาํ ใหเขาเปน ผนู อบนอมในทสี่ ุดดว ยตวั ของฉนั เอง (12) 12… ชายชาวเมอื งชาม (ซีเรยี ) กับทา นอมิ ามฮเู ซน ชายผูหนึ่งซึ่งเปนชาวเมืองชามไดเดินทางมายังเมืองมะดีนะฮ เพ่ือทําพิธีฮัจญและความ ตง้ั ใจอ่ืนๆ สายตาของเขาจบั จอ งอยูท่ีชายซ่ึงน่ังอยูในมุมหนึ่ง ดวยความสงสัยเขาจึงถามบางคน ณ ทนี่ ้ันวา “ชายผูนัน้ คือใคร” และไดร บั คาํ ตอบวา “เขาคือฮเู ซน บุตรของอะลี บตุ รของอบีฏอลบิ ” การ โฆษณาชวนเชอื่ ทีแ่ ปลกประหลาด (13) ตลอดจนการใหรายปายสีที่มีตอครอบครัวทานศาสดา ยังคงซึมซาบอยูในจิตใจของเขาอยู อารมณของเขาจึงเดือดพลานข้ึนมาทันทีทันใด และตั้งใจวาจะ กระทาํ ทกุ อยางทส่ี ามารถทําได เพอื่ เหยยี ดหยามและดหู มนิ่ ทานอิมามฮเู ซน เขาไดก ระทําทุกอยา ง จนหมดสิ้น พูดทุกอยางที่เขาอยากพูดจนกระทั่งเขาโลงใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก อิมามฮูเซน มองไปยังเขาดวยความเมตตาปรานี โดยปราศจากความโกรธแคนชิงชัง และไดอานโองการอัล กุ รอานหลายโองการท่ีเกี่ยวกับจริยธรรมท่ีดี การใหอภัยและการเอ้ือเฟอเผ่ือแผ และกลาวกบเขาวา “ทานเปนชาวเมืองชามหรือ “ เขาตอบวา “ใช “ อิมามจึงกลาวตอวา “ฉันเจออากัปกิริยาเชนน้ีมา มากแลว ฉันรูที่มาของมันดี” หลังจากน้ันทานอิมามจึงกลาวตอวา “ทานคือคนแปลกหนาในเมือง ของเราถาหากทานมีความตองการอะไร เราพรอมที่จะชวยเหลือทาน เราพรอมท่ีจะตอนรับทาน หรอื เล้ยี งอาหารในบา นของเรา และพรอมทีจ่ ะมอบเคร่อื งนงุ หมและเงนิ ทองแกท า น” ชายชาวเมอื ง ชามผนู ัน้ ซง่ึ คาดดะเนเอาวาจะตองพบกบั การโตต อบท่ีรุนแรงอยางแนน อน แตใ นทสี่ ุดก็พลกิ ความ คาดหมายซึ่งเขาไมคิดมากอนเลยวาจะไดพบกับความนอบนอมถอมตน และเอื้อเฟอเผื่อแผเชนนี้ ดังนั้นอากัปกิริยาของเขาจึงเปล่ียนไป และกลาววา “ถาหากแผนดินไหวและแยกออกจากกันไดใน ขณะน้ี ฉันจะตอ งแทรกแผนดินหนีไปทันที และจะไมเ สียมารยาทเชน นอี้ กี ตอ ไป” กอนหนาน้ีบนหนาแผนดินไมมีใครนาเกลียดนาชังเทาฮูเซนและบิดาของเขาเลย แต ในขณะนี้มันตรงกันขาม สําหรับฉันแลวไมมีบุคคลใดเปนท่ีรักย่ิงนอกจากพวกเขา (ฮูเซนและบิดา ของเขา (อะลี) ) อีกเลย (14) 13… ชายผซู ่ึงปรารถนาคําตกั เตอื น 17

ชายผหู น่ึงเดนิ ทางจากทะเลทรายเขา มายงั เมอื งมะดีนะฮ และเขา ไปหาทานศาสดา และได รอ งขอคําตกั เตอื นจากทานศาสดา ทานจงึ กลาวกับเขาวา “จงอยา เคียดแคน ชิงชงั ” และไมไ ดกลาว สงิ่ ใดนอกจากสิง่ นี้ ชายผูน้ันเดินทางกลับไปยังหมูบาน (เผา) ของตน เม่ือกลับไปยังหมูบานแลว เขาไดรับรูวา ในชวงขณะท่ีเขาไมอยูนั้น มีเหตุการณสําคัญเกิดข้ึน นั่นก็คือบรรดาชายหนุมจากเผาของเขา ได โขมยทรัพยสมบัติของชนอีกเผาหน่ึงมา และพวกชนเผาเหลาน้ันไดแกแคนโดยการเขามาโขมย ทรัพยสมบัติในหมูบานของเขาเชนเดียวกัน เรื่องราวคอยๆ ลุกลามใหญโตจนกระท่ังทั้งสองเผาได ต้ังแถวเรียงหนากระดานเพ่ือท่ีจะทําสงครามกันในท่ีสุด เมื่อไดฟงเชนน้ัน จึงสรางความโกรธแคน เดือดดาลแกเ ขาเปน ยิง่ นกั เขาจึงเตรียมอาวุธพรอมเพ่ือทําสงคราม และเขารวมในกองกําลังชนเผา ของเขาทนั ที ในระหวา งน้นั เองเขาหวนนึกถึงเหตุการณท่ีผานมา และจําเหตุการณที่เขาไปเมืองมะดีนะฮ ได เขายังจาํ ไดดวี าเคยขอคาํ ตกั เตอื นจากทา นศาสดา และทานไดกลาวกบเขาวา “จงหักหามตวั เอง จากความโกรธแคน ชิงชงั ” เขาจงึ ครุน คดิ วาเหตใุ ด เขาจงึ ตน่ื ตระหนก และดวยเหตุอันใด เขาจึงตองเตรียมทําสงคราม และในขณะเดียวกัน ทําไมจึงตองพาตัวเองไปสูความตาย และทําใหผูอ่ืนตองตายดวย แลวทําไม เขาจึงตองโกรธแคนจนลุกเปนไฟโดยไมมีเหตุผล และขาดการไตรตรอง! เขาจึงกลาวกับตัวเองวา ถึงเวลาอันเปนการสมควรแลว ที่จะใชประโยชนจากประโยคสั้นๆ ดังกลาวนั้น (ท่ีเขาไดรับฟงจาก ทา นศาสดา) เขากาวเทาออกมาขางหนา และกลาวกับฝายตรงขามวา “เราจะทําสงครามเพื่ออะไรกัน หรือ ถา หากวา เปนเพราะความเสียหาย ทีเ่ กดิ ขึ้นจากความกราวราวเลวทราม ซ่ึงชายหนุมผูโงเขลา ของพวกเราไดกระทําขึ้นละก็ ฉันยินดีท่ีจะชดเชยและจายคาเสียหายดวยเงินทองของฉันเอง ไมมี เหตุผลอนั ใดทีเ่ ราจะมาทาํ สงครามกัน และเขนฆาซงึ่ กนั และกัน ฝา ยตรงขามเม่ือไดย ินคาํ พดู ท่มี ีเหตุผล ประกอบกบั เคยมรความสัมพันธกับชายผูน้ีมากอน ความมีเกียรติและศักด์ิศรีแหงความเปนชายชาตรีก็ถูกกระตุนขึ้น พวกเขาจึงกลาววา “เราก็เชนกัน ความผิดกม็ ไิ ดน อยไปกวาพวกทา นเลย ถาเปนเชน น้นั เราก็จะขอละเลยและไมส นใจตอ สงิ่ ทพี่ วกเรา เรยี กรองนน้ั เสีย” หลงั จากนน้ั ทง้ั สองฝายจึงแยกยายกันกลับสูเผา ของตนเองโดยสนั ติ (15) 14… ครสิ ศาสนิกชน กบั เสื้อเกราะของทานอมิ าม อะลี ในสมัยที่ทานอิมามอะลี ดํารงตําแหนงผูนํา (คอลีฟะฮ) ในเมืองกูฟะฮอยูน้ัน เส้ือเกราะ ของทานไดสูญหายไป ตอ มาไมนานก็พบวาไปอยทู ีช่ าวครสิ เตียนผูหน่งึ ทานอมิ ามอะลี จึงนําชายผู นนั้ ไปหาผพู พิ ากษา และย่นื คํารองวา “เสื้อเกราะตัวนี้เปนของฉันเอง ฉันไมไดขายใหใคร และไมได หยิบย่ืนแกผูใดเชนกัน แตตอนนี้ฉันพบมันอยูท่ีชายผูน้ี” ผูพิพากษาจึงบอกแกชายผูน้ันวา “คอ 18

ลีฟะฮไดอางเชนนั้นออกมา เจาจะวาอยางไร “ ชายผูน้ันตอบวา “เสื้อเกราะตัวนี้เปนของฉัน และ ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไมอ ยากปฏิเสธคําพูดของผูที่ดํารงตําแหนงคอลีฟะฮหรอก แตอาจเปนไปไดท่ี ทา นคอลฟี ะฮจะจําผิด” ผพู ิพากษาไดห ันไปหาทานอมิ ามอะลี แลว กลาววา “ทา นคือผูอางสิทธิ และเขาคอื ผูปฏิเสธ (ไมยอมรบั ) ดงั น้ัน ทานจะตองนาํ พยานหลักฐานมาเพ่ือทจ่ี ะยนื ยนั คําเรยี กรองของทา น” ทานอิมามไดเผยย้ิมออกมา และกลาววา “ทานผูพิพากษาพูดถูก ฉันจะตองนํา พยานหลกั ฐานมายืนยันในขณะนี้ แตฉันไมมพี ยานหลกั ฐานเลย” เม่ือผูพิพากษาเห็นดังน้ัน ซึ่งตามกฎเกณฑของผูอางสิทธิ ท่ีขาดพยานหลักฐาน คํา เรียกรองของผูน้ันจึงฟงไมข้ึน จึงตัดสินใหเส้ือเกราะตัวนั้น เปนกรรมสิทธิของชายคริสเตียนผูน้ันไป ชายผูนนั้ จงึ หยิบเสอ้ื เกราะและจากไป แตทวาชายผูน้ัน รูดีวาเสื้อเกราะตัวนี้เปนของผูใด หลังจากนั้นไมนานความรูสึกสํานึกใน ความผิด ทําใหเขาเกิดความกระวนกระวายใจ จึงนําเส้ือเกราะมาคืน แลวกลาววา “การปกครอง และความระพฤตเิ ชนนี้ มใิ ชอากัปกิริยาของปุถุชนธรรมดา แตเปนการปกครองของบรรดาผูท่ีพระผู เปนเจาดลบันดาลใหมาเปนผูนําส่ังสอนศาสนา (อัมบิยาอ)” และเขาก็สารภาพออกมาในท่ีสุดวา เสื้อเกราะตวั น้คี อื ของทา นอิมามอะลี ตอมาไมนาน มีคนเห็นเขาเปนมุสลิมดวยความรักและศรัทธายิ่ง นอกจากน้ันเขาคือผูหน่ึง ทท่ี ําสงครามกับศตั รอู ยภู ายใตร มเงาแหงธงรบของอสิ ลามในสงครามนะฮร อวาน (16) 15… อิมาม ซอดิกกับพวกนักรหัสยะ (ซูฟ) กลุมหนง่ึ ซุฟยาน เซารีย (17) เปนซูฟผูหนึ่งที่อาศัยอยูในเมืองมะดีนะห วันหนึ่งเขาไดเขาไปพบกับ ทานอิมามซอดิก ซ่ึงวันน้ันทานอิมามอยูในชุดเส้ือผาสีขาวบริสุทธิ์ผุดผอง และสวยงามประดุจดัง ใยลินินสดใส ทอ่ี ยทู ามกลางไขขาวภายในเปลือกของไขไก เมื่อเห็นดังน้ันซุฟยานจึงกลาวกับทานอิ มามในเชิงตักเตือนและทวงติงวา “เส้ือผาท่ีทานสวมใสอยูนี้ มิไดเหมาะสมกับทานเลยแมแตนอย ไฉนทา นจึงทาํ ใหต วั ของทา นเองแปดเปอ นกบั สงิ่ ประดบั ประดาของโลกน้ีเลา ทา นสมควรท่จี ะมชี วี ติ เยย่ี งผูทยี่ ําเกรงมีศรทั ธาอันสูงสง และปกปอ งตัวทานเองใหออกหางจากโลกนจี้ ะเปน การดกี วา” อิมามจึงกลา วตอบวา “ฉนั ตอ งการจะบอกอะไรแกท านเพอ่ื ใหร บั รไู ว จงฟงใหด ซี ึง่ มนั จะเปน ประโยชนแกทานท้ังในโลกนี้และโลกหนาเลยทีเดียว ถาหากวาทานหลงผิดจริงๆ หรือไมเขาใจมา กอนเลยวา ทัศนะที่แทจริงของศาสนาอิสลามเก่ียวกับเร่ืองน้ีมีวาอยางไร คําพูดของฉันก็จะมี ประโยชนตอทานยิ่งนัก แตมาตรวาเปาหมายที่แทจริงของทาน คือตองการท่ีจะสรางอุตริกรรม ข้ึนมาในศาสนา เพ่ือทําลายและเบ่ียงเบนความจริงใหออกจากวิถีทาง นั่นก็เปนอีกเร่ืองหนึ่ง และ คําพูดของฉัน ก็จะไมมีคุณประโยชนอันใดแกทานเลยแมเพียงนิดเดียว ซึ่งอาจจะเปนไปไดที่ทาน เคยรบั รถู งึ สภาพการใชช ีวิตแบบเรียบงา ยของทา นศาสดา และสาวกของทานในสมัยนนั้ ทา นไดน าํ 19

มันมาปฏิบัติตอตัวเอง ซึ่งทานคิดวามันคือหนาที่และภารกิจอยางหนึ่งที่จะตองกระทําสําหรับมวล มุสลิมจวบจนวันสิ้นโลก และการใชชีวิตแบบขัดสน เหมือนกับท่ีทานศาสดาเคยประสบมา จึง กลายเปนแบบอยา งแตทวาฉันอยากจะบอกแกทานวา ความเปนจริงแลว ทานศาสดาอยูในชวง และสถานการณห นึง่ ซึง่ ความทุกขยาก และความลําบากคนแคนมันไดแผกระจายไปท่ัวในขณะนั้น ประชาชนสวนมากขาดปจจัยยังชีพในการดํารงชีวิตอยู ดังน้ันสภาพการเปนอยูของทานศาสดา และสาวกของทานจําเปนตองสอดคลองกับสภาพการณท่ีเปนไปในชวงเวลานั้นเชนเดียวกัน แต อยางไรก็ตาม สมัยหน่ึงซ่ึงเคร่ืองอํานวยความสะดวกตางๆ ในการใชชีวิตของมนุษยถูกตระเตรียม และมีมากยิ่งขึ้น พรอมกับส่ิงตางๆ ท่ีไดรับความเมตตากรุณาจากพระผูเปนเจา เพื่อนํามันมาใชให เกิดประโยชนตอมนุษย บุคคลท่ีเหมาะสมและคูควรท่ีสุดตอการท่ีจะใชประโยชนจากความเมตตา ตางๆ เหลานั้นคือผูท่ีกระทําความดีมิใชผูที่กระทําชั่วราย และผูท่ีเปนมุสลิมผูนอบนอมมิใชผูที่ ปฏิเสธ ทานไดเหน็ ความบกพรองอันใดในตวั ฉันหรอื ขอสาบานตอ พระองคสิ่งท่ีทา นกาํ ลงั เหน็ อยใู น ขณะนี้แสดงใหเห็นวา ฉันคือผูหนึ่งท่ีไดใชประโยชนจากความเมตตากรุณาท้ังหลายของพระองค นับต้ังแตฉันจําความไดและเขาสูวัยบรรลุนิติภาวะแลว ทุกๆ ขณะจิตฉันจะเฝาคอยระมัดระวังและ ถาหากวาสทิ ธใิ ดๆ ไดบ งั เกดิ ขน้ึ ในทรพั ยสินของฉันแลว ฉันจะจัดการหยิบย่ืนมันไปในท่ีทางของมัน ทนั ที” เมื่อซฟุ ยานไมส ามารถท่จี ะโตตอบคําพดู อนั เปนสัจธรรมทชี่ ดั แจง ของทานอมิ ามได เขาจงึ กม หนาและเดินออกไปเสมือนหนึ่งยอมรับความพายแพ เขาไดเดินไปสมทบกับผูที่อยูรวมแนวทาง เดยี วกบั เขา และเลา เรอ่ื งราวทงั้ หมดใหพ วกเขาเหลา นั้นรับฟง กลมุ ซฟู ท งั้ หมดจงึ ตกลงใจรวมกันวา จะตอ งเดนิ ทางไปพบทานอิมาม เพ่ือชวยกนั ถกปญ หากบั ทานทงั้ กลมุ วันตอมาท้ังหมดจึงพากันไปอยางพรอมเพรียง ตอหนาของทานอิมาม ซูฟผูหนึ่งกลาววา “เพ่ือนของเราผูนีไ้ มส ามารถที่จะนําเอาเหตุผลที่ดี มาเอยใหทานไดรับฟงไดในวันกอน แตในขณะนี้ เราทกุ คนมาแลว และพรอมทจ่ี ะตั้งขอ ตําหนิแกท านดว ยเหตผุ ล และหลกั ฐานอันชดั แจงของเรา” อมิ าม :”หลกั ฐานของพวกทานคือสิ่งใดหรือ จงวามา “ พวกซฟู  : “หลกั ฐานท้งั หลายของพวกเราจากคมั ภรี อลั กุรอาน” อมิ าม :”แนน อนไมมีหลกั ฐานใดท่ีจะดเี ลศิ ไปกวา อัล กรุ อานอกี แลว จงกลา วมาเถดิ ฉนั พรอ ม แลว ทจี่ ะรบั ฟง ” ซูฟกลาวขึ้นวา “เราจะนําโองการจากอัล กุรอานสองโองการดวยกันที่เราไดยึดถือเปน หลักฐาน ตอสิ่งที่เราไดนํามาอางและเปนหลักฐานตอความถูกตองแหงแนวทางของพวกเรา และ ถอื เปนการเพียงพอแลวสาํ หรบั พวกเราตอหลักฐานอันน้ี พระผูเ ปน เจไ ดทรงยกยอ งสรรเสริญบรรดา สาวกกลุมหน่ึงในอัล กุรอานวา “และบรรดา (ชาวอันศอร) ที่พํานักอยูใน (มะดีนะฮ) และมีจิต ศรัทธาม่ันกอนหนาพวกเขา (ชาวอพยพจะมาถึง) น้ัน มีความรักตอผูมุงอพยพมายังพวกเขา และ 20

พวกเขาไมมีความตองการ (ผลประโยชนใดๆ) ในหัวใจ ที่พวกเขาพึงไดรับ (จากชาวอพยพ) และ พวกเขาไดใหความสาํ คัญแกช าวอพยพ เหนือกวาตัวของพวกเขาเองเสียอีก และมาตรแมนวาพวก เขาจะประสบความขัดสนสกั ปานใดก็ตาม และผใู ดก็ตามท่ีระงับความละโมภของตัวเองไวได (ท้ังๆ ที่ตัวเองก็มีความตองการในสิ่งนั้น) แนแทพวกเขาเหลาน้ันเปนผูสมหวังโดยแทจริง” (อัลฮัซรุ โองการท่ี 9) และอีกโองการหนึ่งพระองคทรงตรัสวา “และพวกเขาไดใหอาหารดวยความเสนหหา ของเขา แกค นอนาถา เด็กกําพรา และเชลยศึก” (อดั ดะหริ โองการที่ 8) เมื่อพวกเขาไดกลาวถึงตรงน้ีชายผูหนึ่ง ซึ่งอยูในสถานท่ีน้ันดวยและคอยฟงคําพูดของพวก ซูฟอยูตั้งแตตนไดกลาวขึ้นวา “จนถึงขณะนี้เทาที่ฉันรูคือตัวของพวกทานเองก็มิไดมีความเช่ือตอ หลักการของพวกเทานเลยแมแตนอยนิด พวกทานนําเอาคําพูดตางๆ เหลานี้เปนเครื่องมือเพื่อให ประชาชนละความสนในจากทรพั ยส นิ ของพวกเขา และหันมาหยบิ ยืน่ ใหแกพวกทานแทน และพวก ทานก็ใชประโยชนจากทรัพยสินเหลานั้นเสียเอง ดวยเหตุนี้ฉันจังไมเคยเห็นเลยแแตสักครั้งเดียววา พวกทานจะหลกี เลีย่ งจากอาหารที่ดีๆ อันโอชะ และไมรับประทานอาหารเหลานน้ั ” อิมามซอดิกกลาววา “เอาละตอนน้ีมิใขเวลาที่จะพูดกันถึงสิ่งน้ัน เพราะมันจะไมกอ ประโยชนอันใดเลย” ทานอิมาม ไดหันไปทางกลุมซูฟเหลาน้ันแลวกลาววา “ไหนพวกเทานจงบอก มาซิวา การที่พวกเขาไดยึดเอาการปฏิบัติของพวกทานโดยการพิสูจนจากอัล กุรอานตามที่อางมา นั้น พวกทา นรูจ ักแยกแยะ โองการ ที่ชัดแจง (มุหกัม) คลุมเคลือ (มุตาชาบิฮาต) หรือโองการที่ถูก ยกเลิก (มันสูค) และโองการท่ีมายกเลิก (นาสิค) หรือไม หลายตอหลายคนดวยกันจากประชาชาติ นี้ ทห่ี ลงทางไปเพระใหความหมายของอัล กรุ อานโดยที่พวกเขาไมมีความรูตอ เร่อื งดังกลาวเลย” พวกเขากลา ววา “เราก็มีความรใู นเรอื่ งน้อี ยพู อสมควรแตไมถ ึงกบั สมบูรณ” อิมามซอดกิ กลา ววา “และน่ันคอื ความโชครา ยของพวกทานทีเดียว วจนะของทานศาสดา ก็ เหมือนกับโองการอัล กุรอานเชนเดียวกัน การท่ีจะเขาใจความหมายของตัวบทวจนะไดอยาง ถูกตองนน้ั จะตองมคี วามรู และความเขา ใจตอ กฏเกณฑท ส่ี มบรู ณแบบดว ย ดังนั้นโองการตางๆ จากอัล กุรอานที่พวกทานนํามาอางอิง มิไดเปนขอพิสูจนหรือเปน หลักฐานบง บอกในการหามแรา มใิ หรบั ประโยชนจากความโปรดปรานท้ังหลายของพระองค ท่ีทรง ประทานมา โองการเหลา นีม้ ีความเก่ียวโยงไปยังผูท ่ีมคี วามเอื้อเฟอ เผอ่ื แผ จติ ใจกวางขวางเสียสละ ในชวงสมัยหนึง่ ซึง่ พระองคทรงยกยองกลุมบุคคลเหลานั้นในชวงเวลาท่ีชัดเจน พวกเขาไดเสียสละ ดว ยการหยิบย่นื ทรพั ยสนิ ซง่ึ เปน ทอ่ี นุญาตสําหรบั พวกเขาแกผ ูอืน่ ถงึ แมวาพวกเขาจะไมหยิบยื่นสิ่ง น้ัน พวกเขาก็มิไดกระทําบาปแตอยางใด ดังนั้นการคาดโทษก็จะไมมีสําหรับพวกเขาอยางแนนอน พระองคมไิ ดท รงออกคําส่งั แกพวกเขาวา พวกเขา จะตองกระทําเชนนี้ และในขณะเดียวกันพระองค ก็มิไดทรงหามปรามพวกเขาดวยวาอยากระทําเชนน้ัน แตทวาพวกเขาหยิบย่ืนใหกับผูอื่นในฐานะ ของการแสดงออกถึงความรักความเมตตา และแมวาตัวของพวกเขาเองจะอยูในความขัดสน หรือ ลําบากก็ตาม แนนอนพระองคจะตองประทานรางวัลท่ีเลอเลิศแกพวกเขา ตอการกระทําความดี 21

ดังกลาว ดังน้ันโองการตางๆ ที่พวกทานยกมาอาง จึงมิไดตรงกับขอทวงติงเลย เพราะวาพวกทาน ไดขัดขวางหามปรามประชาชน และติเตียนพวกเขาเหลาน้ัน เนื่องจากวา พวกเขาไดใชประโยชน จากความโปรดปรานตางๆ ทพ่ี ระองคทรงประทานให ซ่ึงเปน กรรมสิทธของพวกเขาเอง ในสมัยหน่ึงท่ีพวกเขาไดเสียสละและชวยเหลือเจือจุนอยางมากมาย แตตอมาคําส่ังจาก พระองคท่ีสมบูรณ และครอบคลุมอยางกวางขวางไดถูกประทานลงมาเก่ียวกับเร่ืองนี้ พระองคทรง กําหนดขอบเขตที่ชดั แจงของการบริจาคนัน้ เอาไว คําสง่ั จากพระองคซ ง่ึ ถกู ประทานลงมาภายหลังนี้ คอื ตวั บทที่มายกเลกิ การปฏบิ ัตขิ องพวกเขาในทันที เราจึงตองปฏิบัติตามคําส่ังนี้มิใชปฏิบัติตามใน สิ่งทเี่ คยกระทาํ มากอ น เพ่ือเปนการพัฒนาทัศนะคติของผูศรัทธา ผานความโปรดปรานที่พิเศษของพระองค พระองคทรงหา มปราม ไมใ หพ วกเขาปลอ ยตวั เอง และครอบครัวใหตกอยูในความยากลําบาก และ มิใชวาทุกสิ่งทุกอยางท่ีเปนกรรมสิทธของเขาจะตองนําไปบริจาคแกผูอ่ืนจนหมดสิ้น เน่ืองมาจาก ภายในครอบครัวของเขายงั มผี ูออนแอ ดังเชนเด็กๆ และคนชราอาศัยอยู ซง่ึ พวกเขาไมสามารถท่ีจะ อดทนตอความลําบากได เพราะหากมีกฎเกณฑวา ฉันมีขนมปงอยูกอนหน่ึง และฉันจะตองบริจาค มนั ใหแ กผูอน่ื แลว ไซร คนในครอบครวั ซ่ึงอยใู นความดแู ลของฉัน ก็จะตอ งอดตายอยา งแนน อน ดว ย เหตนุ ้ีเองทา นศาสดาจงึ กลาววา “บคุ คลใดก็ตามท่มี ผี ลอนิ ทผาลมั เพยี งไมก่ผี ล ขนมปงไมก่ีช้ิน หรือ ทรัพยสินเงินทองเพียงเล็กนอย และเขาตั้งใจท่ีจะบริจาคส่ิงของเหลานั้น บุคคลประเภทแรกที่ จะตองไดีรับคือบิดามารดา ประเภทท่ีสองคือตัวเขาเอง ภรรยาและลูกๆ ของเขา ประเภทที่สามคือ ญาติพ่นี องทใ่ี กลช ดิ และพ่นี องผศู รัทธาท้งั หลาย และประเภททสี่ ่จี ึงจะเปน การบริจาคทาน หรอื การ สงเคราะหแกผูอ่ืน” บุคคลประเภทที่ส่ีตองมาหลังสุด หลังจากที่ทานศาสดาไดรับทราบวาชายผู หนึ่งจากผูชวยเหลือทานชาวเมืองมะดีนะฮเสียชีวิตลง และเขามีลูกที่ยังเล็กอยูหลายคน แตเขาได บริจาคทรัพยสมบัติที่มีเพียงนอยนิด ไปในหนทางของพระผูเปนเจาจนหมดส้ิน โดยไมเหลือไวให ลูกๆ เลยแมแ ตน อย ทานศาสดากลาววา “ถาหากฉนั ไดร บั รูเร่อื งนก้ี อน ฉนั จะไมใหฝ งรางของเขาใน สถานที่ฝงศพของบรรดามุสลิมอยางแนนอน เพราะเขาไดปลอยใหลูกๆ ตองแบมือขอจาก ประชาชน (กลายเปนขอทาน) ในท่ีสุด” บิดาของฉันคืออิมามบากิรบอกกับฉันวา ทานศาสดาไดกลาวเอาไววา “จงเริ่มการบริจาค ทานของทานแกครอบครัว ญาติพี่นองของทานเองกอนอยางสมํ่าเสมอ จากน้ันคือคนท่ีใกลชิด ซึ่ง ย่งิ ใกลชิดมากเทาไร กจ็ ะยง่ิ มคี วามประเสรฐิ มากเทาน้นั ” และท่ีแนนอนมากกวาสิ่งตางๆ เหลาน้ี ในหลักฐานจากอัล กุรอาน โองการทั้งหลายได ปฏิเสธแนวทางและความคิดของพวกทานอยางชัดแจง ซ่ึงพระองคทรงดํารัสวา “และบรรดาผูมี ความยําเกรง ผูซึ่งเมื่อใชจาย พวกเขาก็จะไมสุรุยสุราย และไมตระหนี่ถ่ีเหนียว แตเขาจะดํารง (ลกั ษณะการใชจ ายปานกลาง ) ในระหวา งน้นั ” (ฟุรกอน 67) 22

มีมากมายในโองการอลั กุรอานทหี่ ามปรามเรือ่ งสุรุยสุรา ยในการใชจาย และการบรจิ าคแก ผูอื่น พอๆ กับการหามปรามเรื่องของการตระนี่ถ่ีเหนียวและใจแคบ อัล กุรอานไดกําหนดขอบเขต จาํ กั และความสมดลุ ในการงานน้ไี วแ ลว มใิ ชว ามที รัพยส ินอยมู ากเพยี งใด ก็บรจิ าคแกผ อู น่ื จนหมด สิ้น และทําใหตัวเองอยูอยางขัดสนลําบาก หลังจากน้ันก็ยกมือข้ึนสูฟากฟา เพ่ือขอจากพระองค และวิงวอนวา โอพระองคโปรดทรงประทานทรัพยสินแกขาพระองคดวยเถิด ซึ่งพระองคจะมิทรง ตอบรับคําขอของบุคคลเหลานี้อยางแนนอน ดังทานศาสดาไดกลาววา มีผูคนบางกลุมที่คําวิงวอน ของเขาจะไมถูกยอมรบั จากพระผูเ ปน เจา คอื ก – บุคคลผปู รารถนาสงิ่ ทีไ่ มดีจากพระผูเปนเจา ใหเ กดิ ขึ้นแกบิดามารดาของตวั เอง ข - บุคคลซ่ึงใหผูอ่ืนยืมทรัพยสินของเขา และในขณะเดียวกันเขามิไดแตงต้ังพยานหรือราง ใบสัญญาการกูยืมแตอยางใด และเมื่อเขาถูกคดโกงจากผูท่ีกูยืม เขายกมือวิงวอนขอความสงสาร และขอความชวยเหลือจากพระผูเปนเจา การวิงวอนของเขาเชนน้ีจะไมถูกยอมรับจากพระองค เพราะเขาสรา งปญ หาใหเ กิดขนึ้ ดวยนาํ้ มือของตนเอง โดยการหยบิ ยน่ื ทรัพยสนิ ใหผ อู ่นื กูยืมโดยมไิ ด ทําสญั ญาหรอื แตงตง้ั พยานเอาไว ค – บุคคลซึ่งขอความอับโชคจากพระผูเปนเจา ใหประสบแกภรรยาของตนเอง คําวิงวอน ตางๆ ของเขา ก็จะไมถูกยออมรับดวย เพราะเขามีสิทธิที่จะหยารางกับนางได มาตรวาเขาเกิด ความไมพ ึงพอใจนางจริงๆ โดยทีไ่ มตอ งวิงวอนขอใหน างตองไดรบั ความอับโชค ง – บุคคลซึ่งเอาแตนั่งงอมืองอเทาอยูในบาน โดยปราศจากการเคลื่อนใหวแตอยางใด (ไม ประกอบกิจการงาน) แลววิงวอนขอความโปรดปรานจากพระองค พระองคไดใหคําตอบแกบาวผู โลภมากและเบาปญ ญาผูน้ีวา “โอบ าวของฉนั ฉนั มิไดเ ปดหนทางแหงการเคลอื่ นใหว ในการดําเนิน กจิ การงานแกเ จาดอกหรอื หรอื วา ฉันมไิ ดใ หอ วัยวะทค่ี รบถว นสมบรู ณแ กเจา ฉันไดใ หมอื เทา ตา หู และสติปญญา ซ่ึงเจาจะไดยินและไดเห็น จงใชความคิดและจงเคลื่อนไหวมือเทาของเจาในการ สรางทุกส่ิง ส่ิงเหลานั้นลวนมีเปาหมายท้ังสิ้น เจาจะไดรูคุณคาความโปรดปรานตางๆ ก็ตอเมื่อเจา นํามันมาใชงาน ดวยเหตุน้ีเองระหวางเจากับฉัน ฉันไดทําหนาที่ครบสมบูรณแลว ซ่ึงเจาจะตองลุก ขน้ึ แสวงหาดวยลาํ แขง ของเจาเอง และจงยอนกลับไปดูคําส่ังตางๆ ของฉัน ดวยการพยามท่ีจะตอง เคารพและดําเนินตาม และจงอยาขอความชวยเหลือจากผูอ่ืน ดังน้ันเมื่อการดําเนินชีวิตของเจา โดยรวมสอดคลองกับคําสั่งตางๆ ของฉันแลว ฉันจะมอบความโปรดปรานอยางมากมายแกเจาเอง และไมวาจะดวยเหตผุ ลใดก็ตาม ที่เปนสาเหตุใหการดาํ เนนิ ชวี ิตของเจาไมดีข้ึนเลยแมแตนอย ทั้งๆ ทไ่ี ดพยายามอยา งสดุ ความสามารถแลว เจาก็คือผูซ่ึงไดปฏิบัติหนาท่ีของตนอยางครบถวนแลว จึง ไมม คี วามผิดอันใดเลย” จ – บุคคลซ่ึงพระผูเปนเจา ทรงประทานความรํ่ารวยแกเขาอยางมากมาย ซ่ึงเขาไดบริจาค และหยิบย่ืนใหแกผูอ่ืนจนหมดส้ิน หลังจากนั้นก็ยกมือวิงวอนขอจากพระองค ใหไดมาซึ่งส่ิงน้ันอีก พระผูเปนเจาไดตอบแกบุคคลผูน้ันวา “ฉันมิไดมอบความม่ังมีมาแลวดอกหรือ ไฉนเจาจึงไมดํารง 23

ไวซ่ึงความสมดุลยเลา หรือวาฉันมิไดบอกแกเจาวา ใหเจาน้ันจงดํารงไวซ่ึงความสมดุลยในการ บรจิ าคและหยบิ ย่ืนแกผ อู น่ื ฉันมิไดห า มปรามการบริจาคแบบไมค ดิ หนาคดิ หลังไวหรอื อยางไร ช – บุคคลซึ่งวิงวอนจากพระผูเปนเจา เพื่อตัดความสัมพันธในเครือญาติ และขอจาก พระองคเพ่ือสงผลใหเกิดความสําเร็จ ในการตัดความสัมพันธดังกลาว (หรือบุคคลหน่ึงบุคคลใดท่ี เขาไดตัดขาดความสําพันธในเครือญาติแลว และเขากําลังวิงวอนขอดุอาอ) อน่ึงพระผูเปนเจา ทรง ตรัสและชี้นําวิธีการบริจาคทาน และหยิบย่ืนชวยเหลืออยางสมบูรณแลวในอัลกุรอาน โดยเฉพาะ แกศาสดาของพระองค เนื่องจากไดเกิดเหตุการณหน่ึงข้ึนมา เม่ือทานศาสดามีทองคําอยูจํานวน หน่งึ และทา นประสงคท จ่ี ะมอบใหแกผยู ากไร เพราะทานไมต องการใหทองคําจํานวนน้ันอยูในบาน ของทานแมช่ัวคืนเดียว ดังนั้นภายในเวลาคอนวัน ทานไดนําทองดังกลาวไปบริจาคใหผูขัดสน ผู ยากไรจนหมดสิ้น วันรุงข้ึนขอทานผูหน่ึงมาหาทานศาสดา และแสดงความประสงคที่จะขอความ ชวยเหลือจากทาน ซ่ึงขณะน้ันไมมีอะไรเหลืออยูในมือของทานเลย เพ่ือหยิบย่ืนใหชายผูนั้น ดวย เหตุน้ีทานจึงมีความเสียใจ และเศราโศกย่ิง จากน้ันโองการอัล กุรอานจึงถูกประทานลงมา ซึ่งเปน คําส่ังความวา “และเจาอยาไดนําเอามือของเจาเองคลองไวท่ีตนคอ (ดวยความตระหน่ี) และอยา แบมือจนสุดเหยียด (ดวยความฟุงเฟอสุรุยสุราย) อันเปนเหตุใหเจาตองถูกตําหนิอีกทั้ง สิน้ เน้ือประดาตวั ” (บะนีอิสรออีล โองการที่ 29) วจนะของทา นศาสดาเหลานี้ ไดร บั การยืนยันจากโองการตางๆ จากอลั กุรอานอยางชัดแจน แตสําหรับผูท่ีมีความศรัทธาในอัล กุรอานอยางถองแท และมีความเขาใจตอความหมายของ โองการตางๆ จาก อัลกุรอานเทาน้ัน เมื่ออบบู ักรใกลจ ะเสียชีวติ เขาถกู ถามในเร่อื งการส่ังเสยี เกี่ยวกับมรดกของเขา อบูบักรกลาว วา หน่ึงในหาจากทรัพยสินของฉันใหเปนการบริจาคทาน และท่ีเหลือเปนของทายาทของฉัน เขา สาํ ทับวา “หน่ึงในหา ดังกลาว กเ็ ปนจํานวนไมน อ ยเลย” อยางไรก็ตามอบูบักรส่ังเสียเรื่องการบริจาคทรัพยสินไวหน่ึงในหาขณะท่ีผูปวยหนักเม่ือ ใกลจะสิน้ ชวี ิต มีสทิ ธสิ ัง่ เสยี ตามสทิ ธิของเขาใหบ ริจาคไดถ ึงหนงึ่ ในสาม ถา เขารูวาจะเปนการดีกวา ท่ีเขาจะใชประโยชนจากสิทธิท่ีเขามีอยูโดยการสั่งเสียใหเปนหนึ่งในสาม เขาก็คงจะตองสั่งเสียให บริจาคหน่งึ ในสามไปกอ นหนานั้นแลว ซัลมานและอบูซัรซ่ึงพวกทานรูจักทานทั้งสองเปนอยางดีในความเปนผูศรัทธาท่ีสูงสง แนวทางและแบบอยา งของพวกทา นกเ็ ปนเชนเดยี วกับท่ฉี ันไดก ลา วมาแลวขางตน เมื่อซัลมานไดรับเงินปนผลปลายปในสวนของทาน จากเงินกองคลังกลาง ทานไดเก็บออม เงินเอาไวจํานวนหนึ่ง ซ่ึงเพียงพอแกการใชจายตลอดทั้งป หลายคนไดทวงติงวา “ผูมีความศรัทธา สงู สง อยา งทา นยังกักตุนเงนิ ของตวั เองเอาไวอีกหรือ บางทที านอาจจะไมมีชีวิตอยูรอดถึงวันพรุงน้ีก็ ได แลวไฉนทานจะมากักตุนเงิน เอาไวเพ่ือใชจายจนถึงทายปเลา“ ทานไดตอบแกผูคนเหลานั้นวา “ ถาหากฉันมีชีวิตจนถึงปลายปละ ทําไมพวกทานจึงสมมุติความตายเปนหลัก และเปนสิ่งถูกตอง 24

เพียงอยางเดียว การสมมุติอีกอยางหน่ึงก็มี นั่นก็คือสมมุติวาถาหากฉันมีชีวิตอยูจนถึงปลายปแลว ฉันจะเอาทรัพยสินที่ไหนมาใชส อย” โอบ รรดาผูเ บาปญ ญาเอย จดุ หนึ่งทีพ่ วกทา นลมื นกึ ถงึ คอื การดาํ รงอยูข องมนษุ ย ถา หากวา มนุษยไมมีสื่อในการใชชีวิตท่ีเพียงพอแลวไซร มนุษยก็จะไมมีโอกาสเคารพภักดีและปฏิบัติตาม คําส่ังของพระผูเปนเจาไดอยางสมบูรณเต็มที่หรอก พวกเขาจะไมมีจิตใจหรือพละกําลังที่จะปฏิบัติ ภารกิจการงานในหนทางของพระผูเปนเจาไดเลย รวมท้ังจะไมมีสื่อและมีจิตใจที่เบิกบานพรอมกับ พละกําลังท่ีแข็งแกรง เมื่อทุกอยางเพรียบพรอมเขาก็จะเคารพภักดีตอพระองคไดอยางสมบูรณ แบบ สําหรับอบูซาร ทานมีอูฐและแกะนิดหนอย เขาใชประโยชนจากนมของพวกมัน ขณะที่มี แขกหรือพบผทู ี่มีความตองการ ทานจะเชือดสัตวและแจกจายเนอ้ื ไปยงั ผทู ีต่ องการ โดยเหลือสวนท่ี เปนของทานไว ใครเลาท่ีจะมีความมัธยัสถมากไปกวาพวกทาน ทานศาสดาเคยกลาวยกยองทานทั้งสอง ไวซึ่งพวกทานก็รู พวกเขาไมเคยใชจายทรัพยสินไปจนหมดส้ิน ไมเคยเลือกแนวทางอยางที่พวก ทานแนะนําส่ังสอนกันอยูในขณะน้ี นั่นคือใหผูคนแจกจายทรัพยสินไปจนหมดสิ้น จนทําใหตัวเอง และครอบครัวเดือดรอน ฉันอยากจะแจงวจนะนี้ ซึ่งรายงานจากบิดาและปูของฉัน จนถึงทาน ศาสดาวา “ทัศนะที่แปลกประหลาดที่สุดที่ผูศรัทธามีคือ เมื่อรางกายของเขาถูกกรรไกรตัดออกเปน ช้นิ ๆ เขาจะรูถึงประสบการณแ หงความมงั่ คง่ั รํา่ รวย ฉันไมทราบวาคําพูดตางๆ ท่ีกลาวไปแลว เพียงพอหรือยังสําหรับพวกทาน หรือจะใหฉัน กลา วเพิม่ อกี พวกทานไมเคยไดรับรูมากอนเลยหรือวา การเผยแพรอิสลามในชวงแรก มุสลิมมีนอยมาก กฏเกณฑวาดวยการตอสู จึงระบุวามุสลิมคนหน่ึงจะตองตอสูกับศัตรูถึงสิบคน และถาหากวาไม เปนเชนน้ัน เขากจ็ ะไดช อื่ วา เปน ผทู ข่ี ดั ขนื และกระทําบาป แตต อมาภายหลังส่งิ อาํ นวยความสะดวก ทั้งหลายไดถ กู คนพบมากขนึ้ ดวยความเมตตาและปรานีพระผูเปนเจา พระองคทรงลดหยอนลงมา และเปล่ยี นแปลงกฏหมายขอน้ี เปน มสุ ลิมคนเดยี วจะตอ งตอ สกู ับศัตรูเพยี งสองคนเทานน้ั ฉันอยากจะตั้งคําถามพวกทานสักขอหน่ึง เกี่ยวกับกฏหมายการตัดสินคดีความในศาสนา อิสลาม สมมุติวาพวกทานคนหน่ึงอยูในระหวางการพิพากษา และขอหาของเขาคือรายจาย ท่ี ภรรยาของเขาพึงไดรับจากเขา และผูพิพากษาไดตัดสินใหเขาตองจายเงินจํานวนนี้แกภรรยาของ เขาตามกฏหมายอิสลาม (นาฟาเกาะฮ) เมื่อถึงตรงน้ีเขาจะทําเชนไร เขาจะถูกยกโทษใหหรือ เพียง เขากลาววา ขาฯคอื ผทู ศี่ รัทธาและยาํ เกรง ดงั น้ันขา ฯจึงไดหันหลังใหกับส่ิงตางๆ บนโลกนี้แลว ดวย คําแกตัวที่อางมา เขาจะถูกยกโทษใหกระนั้นหรือ ในความคิดของพวกทาน การท่ีผูพิพากษาได พิพากษาออกมาวา เขาจะตองมอบรายจายแกภรรยาของเขา เพื่อนางจะไดจับจายใชสอยบาง มัน สอดคลอ งกับความยุติธรรมและสัจธรรม หรือมันเปนความอธรรมและการกดข่ี ถาหากทานบอกวา 25

คําตัดสินความนี้ไมถูกตองและไมสามารถยอมรับไดเลย แนนอนพวกทานไดพูดโกหกอยางชัดแจง และพวกทานไดปายสี และใสรายแกบรรดามุสลิมทั้งมวล แตมาตรวาพวกทานกลาววา คําตัดสิน ความของผูพิพากษาถูกตอง ดังนั้น คําแกตัวของพวกทานก็โมฆะไปทันที และนั่นคือการยอมรับ โดยดษุ ณวี า แนวทางของพวกทา นนน้ั ผิดพลาด ในกรณีอื่นๆ ในบางสถานการณ ซึ่งมุสลิมจําเปนตองบริจาคทานท้ังที่เปนขอบังคับและ ไมใช หรือการจายคาเลี้ยงดู ที่น้ีสมมติวามนุษยทั้งหมดใชชีวิตสันโดษตามความตองการของทาน โดยหันหลังใหกับการใชชีวิตโดยมิไดสนใจตอธรรมชาติแหงความตองการทั้งหลาย ฉันจึงอยากจะ ถามพวกทานวาขอ บังคบั ในเรอื่ งของการบริจาคทาน และการจายคาเล้ียงดูที่เปนขอบังคับจะอยูใน รูปแบบใด รวมท้ังขอปฏิบัติในเร่ืองของการบริจาคทานตางๆ (ซ่ึงมีผลพวงและเก่ียวเน่ืองมาจาก ทอง เงิน แพะ แกะ อูฐ อินทผาลัม องุนแหง และอื่นๆ) จะเปนเชนไร กฏเกณฑทั้งหลายของการ บริจาคทานท่ีถูกกลาวมาแลว มิใชส่ิงท่ีจะทําใหผูยากจนขัดสนมีความเปนอยูที่ดีขึ้น และไดรับ ประโยชนจากการบริจาคเหลานั้นหรือ ส่ิงน้ีจะชี้ใหเห็นโดยชัดแจงวาเปาหมายแหงศาสนา และ เจตจํานงจากกฏเกณฑขอนี้ คือการนําไปสูการดําเนินชีวิตท่ีดี และเปนการไดรับประโยชนจากสิ่ง น้ัน ถาหากวาเปาหมายและจุดประสงคของศาสนา คือความยากจนขัดสน ในขณะเดียวกัน จุดสูงสุดแหงความดีเลิศในความกาวหนาของศาสนา อยูที่วามนุษยจะตองหันหลังใหกับทุกส่ิงทุก อยางบนโลกน้ีและใชชีวิตแบบแรนแคนอดอยาก ดังน้ันผูยากจนขัดสนทุกๆ คน ก็ไดไปสูจุดสูงสุด แหงความดงี ามกนั แลว และไมมีความจําเปน ใดๆ ท่ีจะหยบิ ยื่นหรอื ใหความชว ยเหลือแกพวกเขาอกี เลย เพราะจะทําใหพวกเขาตองหลุดพนจากความถูกตองเที่ยงธรรมและความผาสุก และใน ขณะเดียวกันพวกเขา ก็ไมสมควรท่ีจะรับเอาส่ิงหน่ึงสิ่งใดเลย เพราะพวกเขาไดไปสูจุดสูงสุดแหง ศาสนาแลว ทส่ี าํ คญั ท่สี ุด มาตรวาสจั ธรรมอสิ ลามเปนดงั เชนท่ีพวกทานกลาว คือไมเปนการสมควรเลยท่ี บุคคลใดไดเก็บกักตุนทรัพยสมบัติใวในครอบครอง แตตองบริจาคใหหมด ดังนั้นก็คงไมมีคําถาม ใดๆ เกี่ยวกบั การบรจิ าคทานหลงเหลืออยู ดังน้ันจึงเปนที่กระจางชัดแลววา พวกทานไดยึดเอาแนวทางท่ีเลวรายและอันตรายยิ่งมาถือ ปฏิบัติ และชักชวนประชาชนไปสูลัทธิดังกลาวนั้นดวย แนวทางซึ่งพวกเจากําลังยึดถืออยู และ ชักชวนใหผูอ่ีนเดินไปตามทางนั้น คือผลพวงแหงความโงเขลา ไมเขาใจในความหมายที่แทจริง ของอลั กุรอาน วจนะตลอดจนแบบอยา งของทานศาสดา วจนะเหลา นีเ้ ปนสงิ่ ที่ชดั แจง เพราะเปน วจนะซึ่งอลั กรุ อานยืนยนั และเปน สกั ขีพยานถึงความ ถูกตองเท่ียงแท แตทวาพวกทานไดปฏิเสธวจนะเหลาน้ัน ทั้งๆ ท่ีถูกตองเที่ยงธรรม ในกรณีท่ีขัดกับ แนวความคิดของทาน สิ่งน้ีก็เปนความเบาอวิชชาอีกประการหน่ึง พวกทานไมไดไตรตรองใน ความหมายของโองการจากอักุรอาน และจุดสําคัญตางๆ ที่มหัศจรรยย่ิงของโองการอัล กุรอาน พวกทานไมมีความรูในเร่ืองของ โองการที่มายกเลิก (นาสิค) และโองการที่ถูกยกเลิก (มันสูค) และ 26

โองการท่ีชัดแจง (มุหกัม) รวมท้ังโองการที่คลุมเครือ (มุตะชาบิฮาต) พวกทานไมสามารถแยกแยะ คาํ สั่งกบั ขอหา มออกจากกัน พวกทานมีความเหน็ อยางไรตอ เรอื่ งราวของทานศาสดาสุไลมานบุตรของดาวูด (โซโลมอน บุตรของเดวิด) ซึ่งทานขอเปนผูมีอํานาจเหนืออาณาจักรหนึ่งจากพระผูเปนเจา “โอองคอภิบาล โปรดประทานอาณาจักรหนึ่งแกขาพระองค ซ่ึงจะไมคูควรสําหรับผูใดภายหลังขาพระองค” (บท ซอด โองการที่ 35) พระองคจึงทรงประทานอาณาจักรท่ียิ่งใหญแกทานศาสดาสุไลมาน ดังที่ทาน ขอจากพระองค เพราะทานมิไดขอในส่ิงที่ผิดบทบัญญัติ ดวยเหตุนี้เองพระผูเปนเจา หรือผูศรัทธา ท้ังหลาย จึงมิไดตําหนิติเตียนทานศาสดาสุไลมานเลยแมแตนอย ที่ทานมีความตองการอาณาจักร ท่ียิ่งใหญในโลกน้ี เชนเดียวกันเร่ืองราวของทานศาสดาดาวูด มีชีวิตอยูกอนทานศาสดาสุไลมาน และเร่ืองราวของทานศาสดายูซุฟ ซึ่งกลาวแกกษัตยในสมัยนัน้ วา “ขอทานโปรดแตงต้ังฉันใหเปนผู ควบคมุ ทองพระคลงั แทจริงฉันเปนผูร กั ษา (พระคลังได) อกี ทงั้ มีความรู (พอทจ่ี ะบริหารได)” (ยูซุฟ โองการที่ 55) ผลสุดทายตําแหนงของทานไดข้ึนไปสูจุดหน่ึง เปนถึงผูควบคุมอาณาจักรณอียิปตต อันกวางขวางไปจนถึงเมืองยเมน ทําใหประชาชนในเขตพื้นท่ีดังกลาว สามารถเดินทางไปมาเพ่ือ จับจายซ้ือขายอาหาร และส่ิงของตางๆ ซึ่งกันและกัน แตเมื่อทานศาสดายูซุฟ มิไดปฏิบัติในสิ่งท่ี ไมถ กู ตองเทย่ี งธรรม และพระผเู ปน เจ ก็มิไดต าํ หนิติเตยี นทา นเลยในอัลกุรอาน และเชนเดียวกันเร่ืองราวของซุลกอรนัยน ซ่ึงเปนบาวผูหน่ึงท่ีพระผูเปนเจาทรงพึงพระทัย ตอ เขา และเขาเองกม็ คี วามรักตอ พระองคเปนอยางยงิ่ ดงั นน้ั ทกุ สงิ่ ทกุ อยางในโลกน้ี จงึ ถกู ประทาน ใหอ ยใู นอาํ นาจของเขา จนมีกรรมสิทธ์ิจากตะวนั ตก และตะวันออกในทสี่ ดุ โอพ วกเทา นท้ังหลาย จงออกหางจากแนวทางที่ไมถ กู ตองนี้เสียเถิด และจงปรับปรุงตัวของ พวกทานเอง ใหอยูในวิถีทางที่เที่ยงแทของอิสลาม และจงอยาลวงลํ้าในสิ่งท่ีพระผูเปนเจา ทรงสั่ง และทรงหามปราม จงอยาเพ่ิมเติมคําส่ังตางๆ ดวยตัวพวกทานเอง จงอยากาวกายในปญหาซ่ึง พวกทานไมมีความรู จงถามปญหาเหลาน้ันจากบรรดาผูที่รู จงแสวงหา และทําความเขาใจตอ โองการที่ถูกยกเลิก ท่ีเปนผูยกเลิก ที่แจงชัด ที่คลุมเครือ ท่ีอนุญาตและท่ีตองหาม ส่ิงน้ีจะเปนสิ่งที่ ดีกวา และงายดายกวาสาํ หรับพวกทา น และจะทาํ ใหพ วกทานออกหา งจากความโงเขลาเบาปญ ญา จงหางไกลจากความงมงายเสีย เพราะพลพรรคแหงความโงเขลาน้ันมากมายนัก แต ในทางตรงกนั ขามพลพรรคของผรู นู ัน้ มีเพยี งนอ ยนิด พระผูเ ปนเจาทรงตรัสวา “เหนือผูรูน้ันก็ยังมีผูรู (ดังสภุ าษติ ที่วา เหนือฟา ยงั มีฟา นนั่ เอง)” (18) ๑6… ทาน อมิ าม อะลี กับอาศิม หลังจากจบสิ้นการทําสงครามอูฐ (19) แลว ทานอิมามอะลีก็ไดเขาสูเมืองบัศเราะฮ ขณะที่ทานพํานักอยูในเมืองบัศเราะฮน้ัน วันหนึ่งทานไดไปเยี่ยมเยือนสหายของทานผูมีนามวา “อาลาอ บุตรของซียาด ฮารีซี” ซึ่งมีบานใหญโตและกวางขวาง เม่ือทานอิมามอะลี เห็นบานท่ี 27

หรูหราเชนนั้น ทานจึงกลาววา “บานท่ีใหญโตกวางขวางหลังน้ี เกิดผลอะไรแกทานบางในโลกนี้ ท้ังๆที่ ทานมีความตองการบานหลังใหญโตเชนนี้ในโลกหนามากกวา ถาทานตองการที่จะทําให บานหลังใหญโตหลงั น้ีเปน สื่อ เพอ่ื ทจี่ ะมบี านหลังใหญโตในโลกหนา ได ทานตองใชบ านหลงั นเี้ ปน ท่ี รองรับแขก สรางความสัมพันธในเครือญาติ สําแดงออกซ่ึงสิทธิของบรรดามุสลิมในบานหลังนี้ให ประจักษ จงทําใหบานหลังน้ีสรางชีวิตชีวาแหงสิทธิอันชอบธรรม และอยาทําใหบานหลังนี้เปนเอก สทิ ธสิ ว นบคุ คล” อาลาอ : “โอ ทานผูนําแหงมวลผูศรัทธา ฉันมีเรื่องจะฟองทานเก่ียวกับนองชายของฉันที่ ชอื่ อาศมิ ” อมิ าม : “ฟอ งเร่อื งอนั ใดหรอื ” อาลาอ : “เขาไดกลายเปนฤาษีไปเสียแลว ดวยการสวมเส้ือผาเกาๆ และอยูอยางสันโดษ โดยไมย งุ เกยี่ วกบั ใครเลย ละทิ้งทกุ สิง่ ทุกอยาง” อิมาม : “นําเขามาพบฉัน” อาศิมถูกนําตัวมาหาทานอิมามอะลี ทานอิมามไดหันไปทางอาศิม แลวถามขึ้นวา “โอ ศัตรแู หง วญิ ญาณของตวั เจา มารรา ยไดเขาครอบงําสติปญญาของเจาแลว ทําไมเจาจึงไมปรานีตอ ภรรยาและลูกนอยของเจา เจาคิดหรือวาพระผูเปนเจา จะทรงไมพึงพระทัยในความโปรดปราน ตางๆ อันบริสุทธ์ิในโลกนี้ที่พระองคทรงทําใหมันเปนที่อนุญาต แตเจาไมไดใชประโยชนจากส่ิง ตางๆ เหลา นั้นเลย ในทัศนะของพระองคแลว เจา คอื สง่ิ ทน่ี อยนิดกวา สงิ่ เหลาน้นั ซะอีก” อาศิม : “โอ ทานผูนําแหงมวลผูศรัทธา ทานเองก็เปนดั่งฉันนั่นแหละ ทานไดสรางความ ยากลําบากแกตัวเองเชนกันในการใชชีวิต ทานไมเคยสวมเสื้อผาแพรพรรณที่ดี ทานไมเคย รับประทานอาหารที่เอร็ดอรอยเลย ดังนั้น ฉันก็ปฏิบัติเชนเดียวกับที่ทานปฏิบัติ ฉันเลือกเดินตาม ทางที่ทานเดนิ ” อิมาม :” เจาทําผิดแลว สถานภาพของฉันน้ันแตกตางกับเจา ฉันมีตําแหนงที่เจาไมมี ฉัน อยูใ นสภาพของผูนําและผูปกครอง หนา ทข่ี องผูนําคือหนาทอี่ กี ประการหนึง่ พระผเู ปนเจาไดทรงทาํ ใหเปนสิ่งจําเปนในบรรดาผูนําตางๆ ที่ยุติธรรม ซึ่งจะตองเอาสภาพของชนชั้นที่ออนแอที่สุดมา เปรียบเทียบ และต้ังเปนพ้ืนฐานในการใชชีวิตของพวกเขาเอง และจะตองมีสภาพความเปนอยู เย่ียงบรรดาประชาชนที่ยากจนที่สุด เพ่ือที่วาความยากจนท่ีเขามีอยูจะไดไมมีผลตอพวกเขา ดวย เหตนุ ้ีเอง ฉนั จึงมภี าระหนาทขี่ องฉัน และเจากม็ ีหนาทขี่ องเจา (20) 17…ชายผูยากจนกบั มหาเศรษฐี ทานศาสดาจะน่ังอยูในสถานที่ชุมนุมของทานอยูเปนนิจ บรรดาผูชวยเหลือของทานจะจับ กลุมลอมรอบทานเสมือนหน่ึงวา ทานศาสดา คือ อัญมณีอันล้ําคาท่ีอยูตรงกลางระหวางพวกเขา ในระหวางนั้นมีชายมุสลิมผูหน่ึง ซ่ึงเปนชายยากจนสวมเสื้อผาเกาขาดกระรุงกระริ่ง ไดเขามายัง 28

สถานท่ชี ุมนุ ม ซ่งึ ตามมารยาทของอิสลามแลว ผใู ดก็ตามไมวาจะมีตําแหนงร่ํารวย หรือยากจนเม่ือ เขาไปยังสถานที่ชุมนุมใด จะตองมองหาท่ีน่ังท่ีวางอยูและน่ังลงท่ีน่ัน ไมเปนการสมควรอยางย่ิงท่ี จะน่ังในท่ีที่พิเศษจําเพาะ เพ่ือที่เขาจะไดคิดวาตนเปนผูที่ดีเดนแตกตางไปจากผูอ่ืน ชายผูนั้นมอง หาท่ีนั่งของเขา และเหลือบไปเห็นทีว่ างทีห่ นึง่ จึงตรงไปยังที่นัน้ ซ่ึงติดกับชายมหาเศรษฐีผูหน่ึงฝาย เศรษฐีเม่ือเห็นดังน้ันจึงรีบรวบชายเส้ือคลุม และถอยหางออกไปจากชายยากจนผูนั้น ทานศาสดา ซ่ึงเฝามองเหตุการณอยู จึงไดหันไปยังชายเศรษฐีผูนั้นแลวกลาขึ้นวา “ทานกลัววาความยากจน ของเขาจะแปดเปอ นเจากระน้นั หรอื ” ชายเศรษฐี : “ไมเ ลย โอท านศาสดา “ ทานศาสดา : “ทานกลัววา ความร่ํารวยของเจาจะติดตอไปยังเขากระนัน้ หรือ” ชายเศรษฐี : “ ไมเลย โอท านศาสดา “ ทา นศาสดา : “ทา นกลัวเส้อื ผาของเจาจะสกปรกหรอื ” ชายเศรษฐี : “ไมเ ลย โอท า นศาสดา” ทานศาสดา : “ แลว ไฉนทา นจงึ ถอยหา งจากเขาโดยไมน่ังใกลก ับเขาเลา ” ชายเศรษฐี : “ขาพเจาผิดไปแลวทานศาสดา ขาพเจาสํานึกผิดแลวขณะนี้ เพื่อเปนการ ชดเชยตอความผิดของขาพเจา ขาพเจาพรอมท่ีจะไถถอนความผิดนี้ โดยการยกทรัพยสมบัติ ครึง่ หนึง่ จของขาพเจา ใหแกช ายมุสลมิ ผูน้ี เพอื่ ความผดิ ท่ขี าพเจา ไดก ระทาํ ลงไปจะถกู ลบลา ง” ชายยากจน : “แตฉนั ไมยนิ ยอมท่ีจะรับสิ่งของเหลา นั้น” กลมุ ผคู น : “ทําไมละ!!!” ชายยากจน : “เพราะฉันเกรงวาวันหน่ึงฉันจะหย่ิงยะโสตอพ่ีนองของฉันเหมือนกับที่ชาย เศรษฐผูน แ้ี สดงออกตอ ฉนั ในวนั น้ี ฉนั กลวั เปนเชน นัน้ (21) 18… พอคากับชายผูสัญจร ชายผูหนึ่งซึ่งมีรางกายกํายําและสูงใหญสงางาม ใบหนาทรหดบึกบึน ดุจประหน่ึงนักรบผู ผานสงครามมาอยางโชกโชน อันเน่ืองจากปรากฏรองรอยบาดแผล ซึ่งมีใหเห็นอยูตามรางกาย หลายแหง เขากา วเดินอยางสภุ าพและมั่นใจในตลาดของเม่ืองกูฟะฮ และอีกดานหนึ่ง ชายผูปนพอ คาในตลาดกําลังน่ังอยูในรานของเขา ดวยความที่ตองการเรียกเสียงฮาขบขันจากหมูเพื่อนฝูงของ ตน เขาจึงหยบิ ขยะมากําหนึ่งแลวขวางใสชายแปลกหนาผูน้ันทันที ชายผูนั้นมิไดแสดงอาการสิ่งใด ออกมา ในขณะเดียวกันยังไดแสดง อากัปกิริยาของการใหอภัยออกมาใหเห็น และยังคงกมหนา เดนิ ดว ยความสมถะตอไป เมื่อเขาไดเ ดนิ หางออกไปไกลแลว เพอ่ื นของชายผูท่ขี วางขยะไดถ ามเขา วา “เจาไมรูดอกหรือวา ผูซึ่งเดินผานไปสักครูน้ี และเจาไดแสดงกิริยาดูหมิ่นเหยียดหยามเขา วา เปน ใคร “ 29

พอคา : ฉันไมรูจักเขาหรอก ฉันคิดวาเขาก็เหมือนกับผูคนอีกนับรอยพันคนที่เดินผานไปมา นน่ั แหละ ซึ่งเดนิ ผานหนารานเราทกุ ๆ วัน แลว เขาเปนใครกนั ละ ” เพื่อนของเขา : เจาไมรูจักเขาจริงๆ หรือน่ี เขาคือแมทัพผูมีชื่อเสียง มาลิก อัชตัร เจารูหรือ เปลา ” พอคา : “จริงหรือนี่ ที่เขาคือมาลิก อัชตัรกระน้ันหรือ มาลิกที่ผูคนลํ่าลือกันวา หัวใจของเสือ ยังตองละลายเปนนํ้า เพราะกลัวเขา และช่ือของเขาท่ีสามารถสรางความสั่นสะเทือนในหมูศตรูอยู เสมอนะหรือ” เพอ่ื นของเขา : “ใชละ เขาคนนัน้ แหละ” พอคา : “ความพนิ าศกิดกบั ฉนั แลว ฉันจะทําอยางไรดี ฉันทําอะไรลงไปเสียแลว แนนอนอีก สักครู เขาจะตอ งออกคําสง่ั ใหท หารมาจบั กุมฉนั และนําฉันไปลงโทษทณั ฑอ ยา งแนนอน ฉนั ตองรบี ตามไปหาเขาทนั ที และจะคุกเขาวิงวอนขออภัยจากเขา เพอื่ ใหเขายกโทษความผดิ ของฉนั ” พอคาผูนั้นไดว่ิงตามมาลิก อัชตัรไปทันที และเห็นเขามุงตรงไปยังมัสยิด พอคาผูโชครายจึง ตามไปท่ีมัสยิด และเห็นมาลิก อัชตัรกําลังปฏิบัตินมาซอยู จึงคอยจนกระท่ังการนมาซเสร็จส้ิน จึง ไดเขาไปหาและออนวอน พรอมกับแนะนําตัวเองวา “ฉันคือชายผูโงเขลา และทําสิ่งที่หม่ินเกียรติ ของทา น” มาลกิ อัชตรั : “ขอสาบานตอพระผูเปนเจา ที่ฉันมามัสยิดก็เพราะเจานั่นแหละ เพราะฉันรูดี วาเจาโงเขลา เบาปญญาและหลงทาง เจารังแกประชาชนโดยไมมีเหตุผล ฉันเมตตาเจา จึงมาขอ ดอุ อใ หเ จา และขอจากพระผูเปนเจา ใหทรงนําทางเจาสหู นทางท่ีถูกตอ ง ฉันไมไ ดม คี วามคดิ เหมอื น ที่เจาคดิ ตอฉันหรอก” (22) 19… ฆอซาลี กบั โจร ฆอซาลี คือผูรูท่ีมีช่ือเสียงของอิสลาม เขาเปนชาวเมืองตูส ใกลมัชฮัด (ในประเทศอิหราน) ในสมัยน้ัน (ประมาณศตวรรษที่ ๑๒) เมืองนีชาบูร คือศูนยกลางแหงวิชาการท่ีใหญโตในแถบนั้น และขึ้นชอ่ื วาเปนคลังของวชิ าการแหงหนึ่ง ซึ่งนักศกึ ษาวชิ าการตา งกห็ ล่ังไหลไปท่นี ชี าบรู เพ่ือศึกษา เลาเรยี นวชิ าการตางๆ ฆอ ซาลีก็เชน กนั เขาก็ไปๆ มาๆ ในระหวางนชี าบรู และกูรกอนอยูเ สมอ หลายตอหลายปดวยกันที่เขาเขารวมศึกษาวิชาการจากครูบาอาจารย และผูคงแกเรียน หลายคน เขาบนั ทึกบทเรยี นและความรูตา งๆ ของเขาเอาไวในกระดาษ เพื่อจะทําใหความรูของเขา คงอยูและไมลบเลือนไป เขาบันทึกทุกอยางที่ไดเรียนรู และรวบรวมเอาไวในสมุดบันทึกเล็กๆ และ ความรูภายในนั้น คอื มคั ผลแหงการอุตสาหะของเขาท่สี ะสมไวนานนบั ป หลายปตอมา หลังจากจบการศึกษา เขาไดเดินทางกลับสูมาตุภูมิ เขาบรรจงเก็บรวบรวม สมุดที่บันทึกความรูเอาไวลงในกระเปาเดินทาง และรวมเดินทางไปกับกองคาราวาน แตโชคราย กองคาราวานไดพบกับกลุมโจรปลนสดมผูเดินทาง กลุมโจรไดขวางหนากองคาราวานเอาไว และ 30

ยึดเอาสมบัติท่ีตองการจนหมดเปนรายบุคคล จนมาถึงฆอซาลีและสัมภาระของเขา เม่ือเห็นโจร ลวงมือลงไปควานหาของมีคาในกระเปาเดินทางของเขา ฆอซาลีจึงออนวอนและขอรองขึ้นวา “ทานอยากไดอะไรก็ตามกเ็ อาไป แตส ิง่ นข้ี อฉนั เถดิ ” พวกโจรเมื่อไดยนิ เชน นั้น จงึ เขาใจวาของสิ่งน้ันตองเปนส่ิงที่มีคาอยางมากมายแนนอน จึง ดึงมาและแกะหอ ออกดู แตกไ็ มพ บสง่ิ ใด นอกจากสมดุ เล็กๆ ทถ่ี ูกมดั รวมกันอยู พวกโจร : “นคี่ อื อะไร มนั มีประโยชนอ ันใดตอ เจา หรอื ” ฆอซาลี : “มันจะเปนอะไรก็ตามแตมันไมมีประโยชนตอพวกทานหรอก แตสําหรับฉันมันคือ คณุ คา มหาศาล” พวกโจร : “ ไหนมนั มปี ระโยชนอ ะไรตอเจา บอกมาซ”ิ ฆอ ซาลี : “นคี่ อื มรรคผลแหง วชิ าการตา งๆ ที่ฉันไดศ กึ ษาเลา เรียนมา ถา หากพวกทานเอาส่ิง น้ีไปจากฉันละก็ ความรูตางๆ ของฉันก็จะสูญหายไปหมด และหลายปดวยกันที่ฉันไดพยายามมา กจ็ ะสญู สนิ้ ไป” พวกโจร : “จรงิ หรอื .. ความรูของเจา อยใู นกระดาษนก้ี ระน้นั หรอื ..” ฆอซาลี : “ใชแ ลว” โจรผูหนึ่งกลาววา “ความรูที่ถูกเก็บอยูในหีบหอหรือถูกมัดรวมกันเชนนี้ และมีทางท่ีจะสูญ หายหรอื ถกู ขโมยไดน ั้น ไมใ ชค วามรูทแ่ี ทจ ริงหรอก เจา ลองสอบถามตวั เองดใู หด เี สียใหม” คําพูดท่ีงายๆ อยางธรรมดาสามัญจากโจรประโยคน้ี ไดทําใหความรอบคอบ และ สติปญญาท่ีหลักแหลมของฆอซาลีสั่นสะเทือนทันที ตั้งแตวันนั้นเขาครุนคิดอยูเร่ือยมาวา ตนเอง น้ันเปรียบเหมือนด่ังนกแกวที่หัดพูด (เมื่อถูกสอนพูดอะไรก็พูดตามนั้น โดยหารูไมวา ความหมาย ของมันนนั้ คืออะไร) สงิ่ ท่ไี ดย ินจากครูบาอาจารย เขาจะบนั ทึกเก็บไวในสมุดอยูเสมอ จากน้ันเขาจึง คิดวาจะตองพยายามอยางเต็มท่ี เพ่ือใหสมองไดรับการพัฒนาย่ิงขึ้น และในที่สุดวิชาการความรู ทั้งหลายกจ็ ะถกู บันทกึ เอาไวในสมองของเขา มากกวาที่จะอยูใ นสมดุ บนั ทึก ฆอซาลีกลาววา : “ฉันไดรับคําแนะนําท่ีดีเยี่ยมที่สุด ซึ่งเปนเสมือนแสงประทีปทางดาน ความคดิ ของฉนั และฉนั ไดยนิ มันจากปากของโจรคนหน่งึ แทๆ … (23) 20… อบิ นิของสนี า กับ อบิ นขิ องมัสกาวัยฮ อบู อะลี บุตรของสนี า จบการศึกษาวิชาการตางๆ หลายแขนง ในขณะท่ีอายุของเขายังไมถึง ยี่สิบปบริบูรณ เขาคือผูรูที่บรรลุแลวในสมัยของเขา ไมวาจะเปนวิชาการที่เก่ียวกับการรูจักพระผู เปนเจา ฟสิก เคมี คณิตศาสตรและวิชาการทางดานศาสนา วันหนึ่งท่ีเขาไดเขาไปรวมชั้นใน บทเรียนหน่ึง ซ่ึงสอนโดย อบู อะลี บุตรของมัสกาวัยฮ ซ่ึงเปนผูรูที่มีช่ือเสียงในสมัยน้ันเชนกัน เมื่อ เขา ไปถึง ดวยความหย่งิ ทนงตน (วา ตัวเองน้ันมีความรูอยางมากมาย) เขาจึงโยนลูกวอลนัท ลงตอ หนาอบิ นิมัสกาวยี ะฮ แลว ถามวา “จงบอกมาซวิ า ปริมาตรความกวา งของมนั เทา ไหร” 31

อิบนิ มัสกาวัยฮจึงหยิบหนังสือเลมหน่ึง ซ่ึงเปนหนังสือที่เก่ียวกับจริยธรรมและมารยาทวาง ลงตอ หนาอบิ นิสินา (หนงั สอื ดังกลา วคอื กีตาบฏุ อฮาเราะตลุ อารอก) และกลาววา “ส่ิงแรกที่จําเปน ท่ีสุดสําหรับทานตอนน้ี คือจงทําใหจริธรรมกิริยามารยาทของทานถูกตองเสียกอน หลังจากน้ันฉัน จะบอกทานวา ผลวอลนัทใบน้ีมีปริมาตรเทาใด เพราะวาตามความเปนจริงแลว จริยธรรมเปน ส่งิ จาํ เปน มากกวา ที่จะรวู า วอลนัทผลนี้มีปรมิ าตรเทาใด” อบู อะลี บุตรของสินาละอายใจเปนอยางมาก เมื่อไดฟงคําพูดเชนน้ีจากอบู อะลี บุตร ของมัสกาวัยฮ และจากนั้นเปนตนมา เขาจึงยึดเอาถอยคําดังกลาวมาเปนคติเตือนใจ ตอจริยธรรม ของเขาเองตลอดมา (24) 21… คําตกั เตอื นของผูเ ครง ครดั ในขณะที่ความรอนแผดเผาดวยแสงแดดอันรอนแรง ไดสองลงบนเรือกสวนไรนาในแถบ ชานเมืองมะดนี ะฮ ขณะน้ันเองชายผหู นง่ึ ซง่ึ มนี ามวามฮุ มั มดั บุตรของมนุ กาดิร (ซงึ่ รจู กั กนั วา เปน ผู ที่เครงครัดในศาสนาผูหนึ่ง) ดวยความบังเอิญ เมื่อเขาออกไปแถบชานเมืองมะดีนะฮ ทันใดน้ันเอง เขาเหลือบไปเห็นชายผูหนึ่ง ซึ่งออกมาจากบานและเขาไปในสวนของเขาเพื่อดูแลสวนผลไม ดวย ความท่อี ว นและดูเหนือ่ ยออน จงึ ตองมีคนสองสามคนซึ่งเปน เพือ่ นและญาตขิ องเขาชว ยประคอง เขากลาวแกตนเองวาชายผูน้ีคือใครกัน ซึ่งออกมาหมกมุนอยูกับการงานในโลกนี้ทามกลาง อากาศทรี่ อนจัด เมือ่ เขาไปใกลเขาก็ยิ่งงุนงง เมื่อชายผูน้ันที่เขาเห็นคือทานอิมามมุฮัมมัด บุตรของ อะลี บตุ รของฮเู ซน บรุ ษุ ผมู เี กยี รตยิ ิ่ง เขาครุนคิดในใจวา ทําไมบุรุษผูสูงสง จึงตองมาฝกไฝตอโลกนี้เชนน้ี ไมไดฉันจําเปนตอง ตกั เตือนเขา และหามปรามเขาจากการกระทําสิ่งนี้ เมือ่ เขาเขา มาใกลและใหสลามทา นอิมาม ทาน อิมามไดตอบสลามเขา ในอากปั กริ ิยาที่เหนด็ เหน่อี ย อิบนิมุนกาดิร :“มันเปนการสมควรหรือกับผูมีเกียรติเย่ียงทานท่ีจะออกมาสนใจตอโลกนี้ ในขณะท่ีอากาศรอนระอุ โดยเฉพาะรางกายของทานซ่ึงอวนทวนสมบูรณ และทานตองความ พยายามอยางมากในการทํางาน มีผูใดรูเรื่องความตายของตนเองบาง วาเขาน้ันจะตายเม่ือไหร บางทีความตายอาจมาสูทานในขณะน้ีก็ได ขอพระผูเปนเจา อยาใหเปนเชนนั้นเลย ถาหากวาเปน เชนน้ันละก็ ทานจะตายไปในสภาพเชนไร และอะไรจะเกิดข้ึนกับทาน ทานรูหรือเปลา มันไมเปน การสมควรเลยสําหรับทานที่จะออกมาแสดงความปรารถนาในโลกเชนน้ี ไมสมควรจริงๆ ไมนา เลย…. อิมามบากิรกลาววา “ถาหากวาความตายมาสูฉันในขณะน้ี ก็เทากับวาฉันไดจากโลกนี้ไป ในสภาพของผูท่ีกําลังปฏิบัติการเคารพภักดีและรับผิดชอบตอภาระหนาที่ เพราะงานที่ฉันกําลัง กระทําอยูน้ี ก็เสมือนหนึ่งการภักดีตอพระผูเปนเจา ในฐานะเปนบาวของพระองค การเคารพภักดี ตอพระองค ใชวาจะอยูเพียงการปฏิบัตินมาซ การรําลึกถึงหรือการวิงวอนขอตอพระองคเทานั้น 32

ฉนั ตองใชชีวิตประจําวัน ฉันมีรายจา ย ถา หากไมทํางานไมอุตสาหะพยายาม ฉันก็ตองขอจากผูอื่น หรือจากทานก็อาจเปนได ฉันออกไปหาสิ่งยังชีพดวยตัวของฉันเอง เพ่ือที่จะไมตองไปขอความ ชวยเหลือจากผูใดมายังชีพ เวลาที่ฉันกลัวมากที่สุดก็คือ เมื่อความตายมาสูฉัน ในขณะที่เปนเวลา แหง การกระทําบาป หรือขณะท่ีขัดขืนคําสั่งของพระผูเปนเจา ไมใชในสภาพเชนน้ี ซึ่งเปนชวงเวลา แหงการเคารพภักดีตอคําสั่งของพระองค และพระองคกําหนดแกฉันไววา อยาแบมือขอจากผูอื่น และใหขวนขวายมาดว ยตัวของฉันเอง” อิบนิมุนกะดิร : โอ ฉันผิดไปแลว ฉันคิดวาจะตักเตือนผูอื่นตอไป แตขณะน้ีฉันรูแลววาตัว ฉันเองน้ันเขาใจผิดอยางมาก และเดินทางผิดแลว ต้ังแตน้ีตอไปฉันปรารถนาท่ีจะนอมรับคํา ตักเตือนจากทานอยางสมบูรณแบบ (25) 22… ในงานเลย้ี งของคอลฟี ะฮ มุตะวักกิลคอลีฟะฮผูโหดรายและทรงอํานาจของราชวงคอับบาสิยะฮ มีความหว่ันวิตกเปน อยางย่ิง ตอการท่ีประชาชนใหความสนใจตอทานอิมามฮาดียเปนพิเศษ และมันไดเพิ่มความ เจ็บปวดแกเขามากขึ้น เม่ือประชาชนพรอมกันแสดงความยินดีดวยความเต็มใจ ท่ีจะเช่ือฟงคําสั่ง ของทานอิมาม บรรดาพวกประจบสอพลอ ชอบยุแหยและวิพากวิจารยไดบอกแกเขาวา อาจจะ เปนไปไดท่ีอะลี บุตรของมุฮัมมัด (อิมามฮาดีย) เตรียมการปฏิวัติโดยอาจจะสะสมอาวุธ ยุทโธปกรณ หลักฐานตางๆ ในการเตรียมงานท่ีบงบอกถึงการปฏิวัติ อาจจะซอนเรนอยูในบานของ ทา นอมิ าม ดว ยเหตุนีเ้ องในคํา่ คืนหนง่ึ ทดี่ ึกสงัด ขณะที่ประชาชนสว นมากกาํ ลังนอนหลับพกั ผอ น มตุ ะ วักกิลไดสงบรรดาทหารโหด และคนใกลชิดของเขา ใหเขาตรวจคนบานของทานอิมาม โดยมิได แจงใหทราบกอนลวงหนา พรอมกับนําตัวทานอิมามมาดวย (มุตะวักกิลดําเนินการน้ีในขณะที่เขา จัดงานเลี้ยงสังสรร และกําลังน่ังดื่มสุรากันอยู) บรรดาทหารที่ถูกสงไป ไดบุกรุกเขาในบานของ ทานอิมาม และคนหาตัวทานเปนสิ่งแรก พวกเขาเห็นทานอิมามนั่งอยูในหองหน่ึงโดยลําพัง และ เส้ือในหองถูกเก็บรวมอยู ณ มุมหน่ึง และทานไดน่ังอยูบนกอนกรวดเล็กๆ และมุงม่ันอยูกับการเขา เฝา พระผเู ปน เจา พวกทหารไดเ ขา ไปในหอ งอ่ืนๆ แตก ไ็ มพ บส่ิงหนึง่ สงิ่ ใดทีพ่ วกเขาตอ งการ เม่ือไมม ี ทางเลือกอน่ื ใด พวกเขาจงึ นาํ ตัวทา นอิมามไปพบกบั มตุ ะวกั กิล และเม่ือทานอิมามกําลังเดินเขามา มุตะวักกิลซึ่งนั่งอยูหัวแถวของงานเลี้ยง ไดออกคําส่ังให ทานอิมาม มานั่งขางๆ เขา ทานอิมามจึงเดินเขาไปน่ัง ในขณะที่เขากําลังด่ืมสุราอยู เขาไดยื่นแกว สุราทอี่ ยใู นมือใหทา นอมิ าม และเชอ้ื เชญิ ทา น ทา นอมิ ามปฏิเสธพรอ มกบั กลาววา “ขอสาบานตอ พระผูเปน เจา สรุ าและสิง่ มนึ เมายังไมเ คยเขา สเู ลอื ดเน้ือของฉนั เลยแมแตนิด จงอยาบงั คับฉนั เลย” มุตะวักกิลจึงเปลี่ยนใจและกลาววา “ถาเปนเชนนั้นทานจงกลาวบทกวีท่ีแสนจะไพเราะ หรือ บทประพนั ธเ ลือ่ งลือเยยี่ มยอด เพือ่ ใหงานเลยี้ งของเราย่ิงใหญแ ละสมเกยี รติยศสักบทหนงึ่ ” 33

ทานอิมามกลา ววา “ฉันมใิ ชนักกวีหรือนักประพันธ เพราะโดยสวนมากแลว ฉันจะจํามาจาก ผูค นรุน กอ นๆ เสยี มากกวา” มตุ ะวักกลิ กลาววา “แตทานจะตองกลาวมนั ใหไ ดในวันน้”ี ทานอิมาม จึงเร่ิมกลาวกวีบทหนึ่งโดยมีความหมายดังนี้ “พวกเขาไดสรางท่ีหลบภัยดวย ปราการที่สูงเสียดฟา และรายลอมไปดวยชายหนุม ท่ีเพรียบพรอมดวยอาวุธยุทโธปกรณคอยเฝา รักษาคุมกัน แตไมมีผูใดสักคนหนึ่งจากพวกเขา ที่สามารถจะหยุดย้ังความตายได และปกปองคุม กันเขาใหพนรอดจากภัยอันตรายในวันน้นั (วนั ฟนคนื ชพี ) ในทีส่ ดุ พวกเขาก็ถกู นาํ ลงสูห ลมุ ฝง ศพ จากกําแพงปองกันภัยที่สูงลิบน้ัน จากปอมปราการท่ี แข็งแกรง ปานหินผา พวกเขาถูกนาํ มาสหู ลมุ ฝง ศพดวยความอปั ยศทัง้ หลายที่เหลอื จะพรรณา จากน้ันก็จะมีผูรองตะโกนและขูตะคอกถามพวกเขาวา “ไหนละ ส่ิงประดับประดาทรัพยสิน สฤงคราญ และบรรดามงกฎุ ทเ่ี คยสวมใส ตลอดจนความรงุ โรจน และความย่งิ ใหญ ไหนละ บรรดาใบหนาท่ีเคยมีแตความผาสุกสําราญ ซ่ึงไดรับการดูแลประคบประหงมอยู เบื้องหลงั มา นอนั หลากสีสรรเปนนิจ และซอ นเรน ตนเองจากสายตาของประชาชน” ในท่ีสุดสุสานไดสรางความอัปยศแกพวกเขาเหลาน้ัน พวกท่ีใบหนาเคยเต็มไปดวยความ ปต ิยินดี บัดนีใ้ บหนา เหลานั้น กลับเต็มไปดว ยตวั หนอน ซึ่งเลือ้ ยคลานอยูบ นมัน นับเปนเวลาที่แสนยาวนานที่พวกเขาเคยด่ืม และบริโภคอาหารหลากหลายอยูบนโลกนี้ พวกเขาไดกลืนกินทุกส่ิงทุกอยาง แตบัดน้ีพวกเขาผูซึ่งเคยเปนผูกลืนกินทุกส่ิงทุกอยาง กลับเปนส่ิง ท่ถี ูกกิน (หรือถกู บรโิ ภคโดยตัวหนอน และตวั แมลงตางๆ ) เสียงอันไพเราะและกองกังวานของทานอิมาม ไดซึมซาบเขาสูจิตวิญญาณของผูที่มา รวมงานเล้ียง โดยเฉพาะตัวของมูตาวักเกลเอง เม่ือทานอิมามกลาวจบ ประหน่ึงวาความมึนเมาได จางหายไปจากพวกเขาในฉับพลัน มตาวักกลไดขวางแกวสุราท่ีอยูในมือลงบนพ้ืนอยางแรง และ น้ําตาไดร นิ หลง่ั ใหลออกมา เม่ือเปนเชนน้ันการสังสรรจึงตองยุติลง และรัศมีแหงสัจธรรมที่แทจริงสามารถลบลาง ความโหดรายทรนงยโสโอหังและหลงลืม จากจิตใจดวงหน่ึงไดในท่ีสุด แมวามันจะเปนชวง ระยะเวลาอนั สั้นกต็ าม (26) 23… ละหมาดวันตรษุ มะอมูนคอลีฟะฮที่เฉลียวฉลาด และเจาเหลหของราชวงศอับบาสิยะฮ ภายหลังจากท่ีมีชัย เหนอื นองชายของตัวเองมฮุ ัมมดั อามีน โดยวธิ ีการสงั หาร จากนั้นทกุ ๆ ดินแดนอันกวางใหญไพศาล ก็ตกอยูภายใตการปกครองของเขาจนหมดส้ินชวงเวลานั้น เขายังคงพํานักอยูในเมืองมัรว (ซึ่งเปน สวนหน่ึงของคูราซานในขณะน้ัน) เขาไดเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงทานอิมามริฎอ ซึ่งพํานักอยูใน เมืองมะดีนะห เพ่ือตองการใหทานเดินทางไปยังมัรว แตทานอิมามริฎอไดตอบปฏิเสธคําเชิญของ 34

เขา เพราะทานไมตองการเดินทางไปยังที่แหงน้ัน มะอมูนมิไดหยุดยั้งความพยายามเขาจึงเขียน จดหมายอีกหลายฉบับติดตอกัน จนกระทั่งเปนท่ีกระจางชัดแกทานอิมามวาคอลีฟะฮจะไมยุติการ เชญิ ชวนทานอยา งแนนอน อิมามริฏอจึงไดเร่ิมออกเดินทางจากมะดีนะหมุงสูเมืองมัรว ซ่ึงมะอมุนไดเสนอตําแหนงคอ ลีฟะฮแกทานอิมาม ซ่ึงเขาใจและรูถึงกลลวงมาต้ังแตตนแลว ทานทราบดีวาทั้งหมดนั้น คือเกม การเมอื ง ซงึ่ แอบแฝงอยเู บ้ืองหลัง ทานอิมาม จึงมิไดต อบรับขอเสนอนน้ั แตประการใด การตอรองไดดําเนินไปเปนเวลาเกือบสองเดือน ไมวามะอมูนจะขอรองหรือเรียกรองสัก เพียงใด ทานกย็ งั คงปฏิเสธไมยอมรบั เชนเคย ในทีส่ ดุ มะอม ูนเหน็ วา ขอ เสนอของเขานั้น จะไมมผี ลอันใดอยา งแนนอน เขาจึงเสนอตําแหนง รัชทายาทแกทานอมิ ามแทน ซ่งึ ทานอมิ ามไดยอมรบั ขอ เสนอน้ี ดว ยเงือ่ นไขท่ีวา ทานอิมามขอเพียง มีช่ือวารัชทายาทเทาน้ัน (ในแงของนามธรรม) และทานจะไมรับหนาท่ีใดๆ เลย พรอมกับจะไมยุง เกยี่ วไมว า ในเรอื่ งใดก็ตาม มะอม นู ก็ยอมตกลงตามน้ัน จากนน้ั มะอม นู จึงไดร ับการใหสตั ยาบนั จากประชาชน ดวยเหตุผลนี้เองเขาไดประกาศไปยัง เมืองตางๆ และออกคําสั่งใหทําเหรียญออกมาในนามของทานอิมาม และไดข้ึนแทนเทศนาเพื่อ กลาวสุนทรพจน โดยกลา วปราศรยั ในนามของทา นอมิ าม เมื่อวันตรุษไดมาถึง มะอมูนไดสงคนไปหาทานอิมาม และขอรองทานวา ในวันตรุษครั้งนี้ ขอใหทานนํานมาซรวมกับประชาชน เพื่อที่ประชาชนจะไดมีความม่ันใจตอการงานน้ีมากยิ่งข้ึน ทานอิมามไดส ง สาสนตอบมาวา “คาํ สญั ญา (เงื่อนไข) ของเรามีอยูวา ฉันจะไมยุงเกี่ยวกับกิจการท่ี เปน ทางการ ดังน้ันฉันจงึ ขออภัยมายงั ทานดว ยตอคาํ ขอรอ งนี”้ มะอมูนไดตอบกลับไปวา “อันท่ีจริงแลวเปนการสมควรอยางยิ่ง ที่ทานจะไปปรากฏตัว เพื่อท่ีจะเปนการพิสูจนถึงตําแหนงรัชทายาทใหเดนชัดย่ิงข้ึน” มะอมูนไดวิงวอนและขอรองตางๆ นานา จนในที่สุดทานอิมามไดกลาวแกเขาวา “ถาหากวาฉันจะไป ฉันก็จะไปเพ่ือปฏิบัติการงานที่ ประเสริฐนี้ เหมอื นดงั ท่ที านศาสดาและอะลี บตุ รของอบีฏอลิบไดเ คยปฏบิ ตั มิ าแลว” มะอมูนกลา วดว ยความยนิ ดีวา “จงปฏบิ ัติตามความปรารถนาของทานเถิด” เชาตรขู องวันตรุษบรรดานายทหารช้นั ผใู หญ และผสู งู ศกั ดิท์ ัง้ หลาย รวมท้งั ประชาชนตา งก็ แตงกายและสวมเสอื้ ผาอยา งเต็มยศทกุ คนตามสมยั ของคอลีฟะฮ นอกจากจะประดับประดาเครื่อง แตงกายจนสวยงามแลว มาทใี่ ชเ ปนพาหนะก็ถูกตกแตง อยางหรูหราอีกดวย ทุกคนเตรียมพรอมกัน อยูท่ีหนา ประตูบานของทานอมิ าม เพอื่ รว มพธิ ีนมาซวันตรุษ และมผี ูคนอีกมากมายท่ีอยูในเสนทาง ผาน ก็กําลังรอคอยการมาของทานอิมาม ซึ่งพวกเขาคาดคิดวาทานจะตองอยูในเคร่ืองแตงกายท่ี ภมู ฐิ านสวยหรูสมฐานะ ในตําแหนงรัชทายาท จนกระทั่งชายหญิงบางกลุมไดข้ึนไปบนดาดฟาของ บา น เพ่อื ท่จี ะไดช นื่ ชมยินดตี อ ความยงิ่ ใหญส งา งามของทานอิมามอยางใกลชิด ทุกคนตางก็เฝารอ คอยวา เมือ่ ไหรที่ประตูบานของทานอมิ ามจะถกู เปด ออกมา 35

ทางดานทา นอิมาม ดังทท่ี านไดใหค ํามนั่ สญั ญาจากมะอมนู ไวกอนหนา นน้ั แลว วาทานจะ รวมนมาซวันตรุษในครั้งนี้ ก็ตอเม่ือทานจะตองไดปฏิบัติตามแบบอยางที่ทานศาสดาและทานอะลี บุตรของอบีฏอลิบ บรรพบุรุษของทานเคยปฏิบัติมา มิใชตามแบบอยางท่ีผูปกครองรุนหลังกระทํา กัน ดังนั้นตั้งแตเชาทานอิมามไดอาบน้ําขําระรางกาย และโพกศรีษะดวยผาสีขาวบริสุทธ์ิ และ ปลอยใหชายผาสาระบั่นหอยลงมาท่ีหนาอกและอีกดานหน่ึงหอยลงมาระหวางไหลทั้งสอง ทานอิ มามถอดรองเทา ออก จบั ชายเสอ้ื และผาคลุมขึ้นมาเลก็ นอย ทานบอกแกครอบครัวและผูคนใกลชิด ของทานวา ใหปฏิบัติเชนนี้ดวย ทานหยิบไมเทาซ่ึงมีหัวเปนเหล็กถือกระชับแนน และกาวออกมา ขางนอก พรอมกบั ผตู ดิ ตาม และกลาวถอ ยคําสดุดีตามแบบอยา งของทา นศาสดาในวันนี้ ดวยเสียง อันดงั วา “พระผเู ปนเจาผทู รงยิ่งใหญ พระผูเปนเจาผูทรงย่ิงใหญ” บรรดาประชาชนตางกก็ ลา วกันอยางพรอ มเพรียงประสานเสียงกับทานอิมาม ซ่ึงจํานวนของ ผูคน ในวันนั้นมีมากมายเหลือคณา ดังนั้น เมื่อพวกเขากลาวตักบีรพรอมๆ กัน จึงเปนเสมือนดังวา ท่ัวท้ังผืนพิภพโลกาช้ันฟาท้ังหลาย ตางก็ไดยินเสียงสรรเสริญพระองคกันจนหมดสิ้น ทานอิมามได หยุดอยูหนาบานช่ัวขณะหน่ึง แลวจึงกลาวคําสรรเสริญดวยเสียงอันดังวา “พระผูเปนเจาผูทรง ยิ่งใหญ พระผูเปนเจาผูทรงย่ิงใหญ พระผูเปนเจาผูทรงย่ิงใหญ อาลามาฮาดานา พระผูเปนเจา ฮูอัคบัร อาลามารอซกั นา มินบาฮีมาต้ิลอันอาม อลั ฮมั ดุลิลลา อาลามา อบั ลานา” ผูคนท้งั หมดตางกก็ ลาวถอยคาํ ดังกลา วอยางพรอ มเพรียงกันดว ยเสยี งอันดัง หลายตอหลาย ครั้งดวยกัน ทุกคนอยูในสภาพของผูที่ร่ําใหฟูมฟายน้ําตาไหลรินนองใบหนา และมีความรูสึกที่ แปลกประหลาดตื่นเตนเราใจเปนย่ิงนัก บรรดานายทหาร และขบวนตางๆ ดวยเคร่ืองแตงกายเต็ม ยศ น่งั อยูบนหลงั มา มที ่ีวางเทาหุมขอ ยางหรูหรา ซ่ึงในชว งแรกพวกเขาคาดกนั วา คงจะตองทรงมา ทีป่ ระดับประดาอยางสงางาม และทานคงจะตองอยูในชุดเครื่องแตงกายที่สมตําแหนงและศักดิ์ศรี อยางแนนอน แตเม่ือพวกเขาไดเห็นทานอิมามอยูในสภาพท่ีเรียบงายธรรมดา เดินดวยเทาเปลา และอยูในอากัปกิริยาท่ีรําลึกแตพระผูเปนเจาองคเดียวอยูตลอดเวลา สิ่งนี้ไดสรางความรูสึกปลาบ ปล้ืมตอประชาชนเปนอยางยิ่ง จนกระท่ังน้ําตาหลั่งใหลออกมา พวกเขากระตือรือรนท่ีจะเอาเทา ของตัวเอง ออกจากที่วางเทาหุมขอที่ติดอยูกับมา ใครก็ตามในหมูพวกเขาเมื่อความีดไดก็จัดการ ตดั ทีว่ างเทา หุมขอออกทันที เพือ่ ทีจ่ ะลงไปรวมขบวนกบั ทา นอิมาม ตอมาไมนานเมืองมัรวก็เต็มไป ดวยฝูงชนกับการร่ําใหของพวกเขา ซ่ึงทุกคนมีความรูสึกอยางเดียวกับอิมามริฎอ ทุกๆ สิบกาวท่ี ทานเดินยางไปทานจะหยุด และกลาวตักบีรสี่คร้ัง ในขณะเดียวกันผูคนก็ไดกลาวตามดวยเสียงอัน ดัง พรอมท้ังนํ้าตา และเดินตามทานไปอยางชาๆ ณ.บัดนี้ แบบอยางที่เต็มไปดวยความหมาย ท่ี แทจริง ไดปลุกเราความรูสึกทั้งหลายของประชาชน ซ่ึงไดลบลางและทําลายแบบอยางอ่ืนๆ ไปจน หมดสนิ้ ขบวนของประชาชนอันยาวเหยียดมากมาย ไดเร่ิมเคลื่อนยายมุงสูสถานที่นมาซตรุษ เมื่อ สถานการณเปนเชนนั้น จึงมีผูสงขาวถึงมะอมูน บรรดาผูใกลชิดรายงานแกเขาวา มาตรวา 36

เหตุการณดังกลาวน้ี ยังคงดําเนินตอไป หรือเม่ือไหรท่ีอะลี บุตรของมูซา (อิมามริฎอ) ไดไปถึง สถานท่ีนมาซ เมื่อน้ันสัญญาณแหงการปฏิวัติอาจจะมีข้ึนได มะอมูนถึงกับส่ันสะทานดวยความ หวาดกลัว และรีบสงคนไปหาทานอิมามและขอรองใหทานเดินทางกลับ โดยอางถึงความไม ปลอดภัยที่อาจจะเกิดแกตัวทานเอง ทานอิมามจึงขอรองเทาและเส้ือคลุมเพื่อสวมใส จากนั้นทาน จึงเดนิ ทางกลบั สนู วิ าสถาน และกลาววา “ฉนั ไดบอกพวกเขาในตอนแรกแลววา จงอยาบงั คบั ฉันให ปฏิบัติหนาที่นี้เลย” (ตามความเปนจริงแลวการที่มะอมูนไดเชิญทานอิมาม ใหมาอยูภายใน ทําเนียบของเขา ก็หวังเพียงเพ่ือตบตาประชาชนท่ีจงรักภักดีตอบุตรหลานของทานศาสดา ซึ่งมี จํานวนมากมายเพียงเทาน้ัน ดวยเหตุนี้การแตงตั้งทานอิมาม ใหเปนผูสืบทอดตําแหนง จึงเปน การเสแสรงเทานั้นเอง (ผูแปล) ) (27) 24… เฝาฟงการวิงวอนของมารดา ในคํ่าคืนท่ีเงียบสงบดึกสงัด เด็กนอยเฝาตั้งใจฟงการวิงวอนของมารดาอยูตลอดท้ังคืน มัน เปนค่ําวันศุกร ผูเปนมารดานั่งอยูในมุมหนึ่งของหอง หันหนาไปทางบานของพระผูเปนเจา (บัยตุลลอฮ) ทั้งกม กราบ ยืนตรง และขอพรวิงอวนอยูตลอดทั้งคืน เนื่องจากทานผูนี้ยังเปนเด็กอยู จึงเฝามองมารดาวงิ วอนขอทุกสง่ิ ทุกอยางใหกบั พ่นี อ งทง้ั ชายหญงิ ผูเ ปน มารดาไดเ อยชื่อผูคนเหลา นน้ันทีละคนๆ และขอจากพระผูเปนเจา ใหพวกเขามีความเปนอยูท่ีดี ขอใหพวกเขาไดรับความ คุมครองและความชวยเหลือจากพระองคทุกคน ทานเฝาคอยฟงวาเม่ือไหรมารดาของทาน จะ วงิ วอนขอใหก ับตวั เองบาง คอยจนกระท่ังรุงอรุณทานก็ยังไมไดยินมารดาวิงวอนขอสิงใดใหแกตนเองเลยแมแตคร้ัง เดียว ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเชา อิมามฮาซันก็ถามมารดาของทานวา “แมจา ฉันเฝาฟงการวิงวอนขอ ของแมอยูทั้งคืน แตไดยินคุณแมวิงวอนขอใหกับผูอ่ืนท้ังหมด ฉันไมไดยินเสียงแมขอดุอาอใหกับ ตัวเองเลยแมเ พยี งครั้งเดียว” ทา นหญิงฟาตมิ ะฮจ ึงกลาววา : “ลกู นอยทรี่ ักของแม เพอ่ื นบานและคนใกลเคยี งตองมาเปน อนั ดับแรกนะลกู จากน้ันกเ็ ปน บานของตัวเอง” (28) 25… เบ้ืองหนา ผูพิพากษา โจทกผูหนึ่งไดเขารองทุกขของเขาตอผูปกครองอาณาจักรอิสลาม ผูมีอํานาจในสมัยนั้น (อุมัร บุตรของค็อตฏ็อบ) เขารับเรื่องและเรียกผูพิพาททั้งสองฝายเขาพบ เพ่ือสืบสวนหาขอเท็จจริง ผทู ่เี ปนจาํ เลยคอื ทานผูนาํ แหง ผศู รทั ธา ทา นอะลี อมุ รั ไดข ้ึนนั่งเปนผพู ิพากษาเองตามกฎเกณฑของ ศาสนาอิสลาม ท้งั สองฝา ยที่มขี อ พิพาทจะตองน่งั ใกลชิดกัน และรกั ษาไวซึง่ ความเสมอภาคตอ หนา ศาล อมุ รั ไดเรยี กชอื่ ผรู องทุกข (โจทก) และสั่งใหยืนข้นึ ตอ หนา ผูพิพากษา ในท่ีๆ กําหนดเอาไวแลว และก็หันไปทางทานอะลี และกลาววา “โอ บิดาของฮาซัน จงเขาไปยืนติดกับโจทกของทาน” เม่ือ 37

ทานอะลไี ดยนิ คําพดู นน้ั ทานจงึ แสดงความไมพ อใจออกมาใหเหน็ บนใบหนา ของทา น อมุ ัรกลาววา “โอ อะลี ทานไมยินดีหรอื ไมพ อใจ ท่ีจะยนื ใกลก ับคกู รณีของทานกระนนั้ หรือ” อิมามอะลีกลาววา ฉันมิไดพอใจในส่ิงน้ัน (ท่ีจะยืนใกลชิดกับคูกรณีของฉัน) แตในทาง ตรงกันขาม สิ่งท่ีทําใหฉันไมพอใจก็คือ ทานมิไดรักษาความยุติธรรมอยางสมบูรณ เพราะทาน เรียกชื่อของฉันดวยการใหเกียรติ ซ่ึงเอยดวยสมญานาม (บิดาของฮาซัน) ของฉัน “ แตเมื่อทาน เรยี กชอื่ อีกฝายหนึ่ง ทานเรียกเขาดวยช่ือธรรมดาของเขา ท่ีฉันไมพอใจก็ดวยสาเหตุนี้ (และนี่แสดง ใหเห็นถึงการรักษายุติธรรมของทาน อิมาม อะลี อยางเครงครัด แมกระทั่งการเอยช่ือก็ตาม (ผู แปล) ) (29) 26… ในผืนแผนดนิ ท่ีมนี า ขณะที่ประชาชนซ่ึงไปรวมพิธีฮัจญ รวมตัวกันอยูในผืนแผนดินแหงมีนา อิมามญะอฟร อัซ ซอดิก และผูติดตามของทานกลุมหนึ่งไดนั่งรวมกันอยู ณ ท่ีหน่ึง และรับประทานผลองุนที่วางอยู ตรงหนา ขอทานผูหน่ึงไดเขามาขอความชวยเหลือ อิมามซอดิกไดหยิบผลองุนสวนหน่ึง ย่ืนให ขอทานผูนั้น แตเขาปฏิเสธ และกลาววา “โปรดใหเงินทองแกฉันเถิด” อิมามกลาววา “ฉันไมมีเงิน” ขอทานผูน้ัน จึงสิ้นหวังและจากไป เมื่อเดินไปไดไมกี่ยางกาว เขารูสึกเสียดายและสํานึกผิด เขาจึง เดินกลับมาและกลาววา “ไมเปนไรเอาองุนก็ได แตทานอิมามกลาววา “ไม” และก็ไมไดใหองุนแก ขอทานผนู ้ันเลย จากนั้นขอทานอกี ผูหน่งึ ไดเ ขามาขอความชวยเหลอื จากทานอิมามเชนกัน ทา นอมิ ามจงึ ยน่ื องุนใหอีกเชนเคย ชายขอทานผูนั้นรีบรับไป และกลาววา “ขอขอบคุณพระเจาแหงมนุษยชาติที่ได ประทานเครื่องยังชีพแกฉัน” เม่ือทานอิมามไดฟงเชนน้ัน จึงสั่งใหเขาหยุด และยื่นองุนอีกมากมาย ใหแ กเ ขา ชายขอทานผูน้นั จงึ ไดข อบคุณพระผเู ปนเจาเปนคร้งั ทส่ี อง ทานอิมามจึงกลาวแกเขาวา “เดี่ยวกอนอยาเพิงไป” ทานไดหันไปยังสาวกของทานผูหนึ่ง ซึ่งนั่งอยูที่น่ัน แลวกลาววา “ทานมีเงินติดตัวอยูเทาไหร” เมื่อสาวกคนดูและพบวามีอยูประมาณ ย่สี ิบดริ ฮมั เขาจงึ ยนื่ ใหขอทานผูนั้นไปโดยคําสั่งของทานอิมาม ชายขอทานจึงขอบคุณพระผูเปน เจาเปนคร้ังท่ีสามวา “มวลการสรรเสริญเปนสิทธิแดพระองคแตเพียงผูเดียว โอ พระผูเปนเจา ผูท่ี เมตตากรุณานิรนั ดร คอื พระองค ไมม ีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองคเ ลย” เม่ือทานอิมาม ไดยินประโยคน้ันทานจึงไดถอดผาคลุมของทานออก และยื่นใหขอทานไป เม่ือถึงจุดนี้ชายขอทานไดเปลี่ยนนํ้าเสียงของเขา โดยการขอบคุณอยางมากมาย และซาบซ้ึงตอ ทา นอมิ ามซอดิก เมอ่ื ไดยินเชน นัน้ ทา นอิมามจงึ หยดุ มอบสิ่งใดๆ แกเ ขาอกี ตอ ไป บรรดาผชู ว ยเหลือและสาวกที่อยูในเหตกุ ารณทัง้ หมด ไดวินจิ ฉยั ออกมาวา มาตรวา ขอทาน ผูน้ันยังคงขอบคุณพระผูเปนเจาอยูตอไป ทานอิมามก็ยังคงย่ืนความชวยเหลือแกเขาอีก 38

เชนเดียวกัน แตเม่ือเขาไดเปล่ียนถอยคําดวยการขอบคุณตอทานอิมามเอง แทนที่จะขอบคุณตอ พระผเู ปนเจา ตอ ไป เขาจงึ ไมไ ดรับสิ่งใดจากทา นอีกเลยตอจากนัน้ (30) 27… การยกน้าํ หนัก บรรดาชายหนุมกาํ ลังสนุกสนานอยูกับการทดสอบพละกําลัง และแขงขันยกนํ้าหนักกันอยู หินใหญกอนหนึ่งซึ่งวางอยูทามกลางพวกเขา คือเคร่ืองวัดความแข็งแกรง ความเปนชายชาตรีใน ระหวางพวกเขา และทกุ คนกพ็ ยายามยกมนั ขึ้นตามพละกาํ ลงั ท่ตี วั เองมีอยู ขณะนน้ั เองทา นศาสดา ผานมาเหน็ และถามข้ึนวา “ พวกทานกําลังทาํ อะไรกนั หรือ” บรรดาชายหนุม : “พวกเรากําลังทดสอบความแข็งแรงของแตละคนกันอยู ซึ่งเราตองการจะรู วาใครคนใดในหมพู วกเราคือคนทแ่ี ข็งแกรง ท่สี ุด” ทานศาสดา : “ยินดีหรอื ไมท่ฉี ันจะเปนกรรมการตดั สินวา ใครคอื ผทู ่ีแข็งแรงท่สี ดุ ” บรรดาชายหนุม : “จะมีอะไรดีไปกวาน้ี ถาทานศาสดาจะเปนผูตัดสินและมันคือความ ภาคภูมิใจเม่ือทา นศาสดาจะเปน ผชู ขี้ าด” หลังจากนน้ั ทุกคนก็เฝา รอคอยอยางใจจดจอวา ทานศาสดาจะชเู มอื ใครใหเ ปน ผชู นะเลิศ บาง คนคดิ วา ทา นศาสดา จะตอ งจบั มอื ข้นึ แลว บอกวา เขาคือผูชนะเลศิ ในการแขงขนั อยางแนน อน ทานศาสดา : ”บุคคลท่ีแข็งแรงและแข็งแรงที่สุด คือผูท่ีเขารักชอบตอส่ิงหน่ึงส่ิงใด และ หลงไหลในมัน แตความหลงไหลตอสิ่งนั้น มิไดนําเขาออกไปจากการความมนุษยและกรอบของสัจ ธรรม และไมแปดเปอนตอสิ่งเลวรายใดๆ และถาหากวาเขาเกิดความโกรธแคนข้ึนมาอยางมาก และอารมณแหงความแคนไดซึมซาบเขา ไปในจิตวิญญาณของเขา แตเขาสามารถมีอาํ นาจเหนอื ตวั เขาเองได (ควบคุมอารมณอยู) เขาจะไมพูดสิ่งใดนอกจากความจริง จะไมพูดมดเท็จ หรือใหราย ผูใด และเมื่อเขามีตําแหนงอํานาจ หรือเปนการงายสําหรับเขาท่ีจะฉกฉวยส่ิงใดๆ ก็ไดตาม อําเภอใจ โดยไมม ีสง่ิ ใดเปนอปุ สรรคขดั ขวาง แตเขาก็มิไดกระทํามนั มากกวาสิทธิที่เขามอี ยู (31) 28… ผทู ่เี พง่ิ จะเขารบั อิสลาม มีเพื่อนบานสองคน คนหน่ึงเปนมุสลิม และอีกคนเปนชาวคริสต บางครั้งบางคราวเขาท้ัง สองไดพูดคุยกัน เกี่ยวกับศาสนาอิสลามตามโอกาสอํานวย ชายที่เปนมุสลิมคือชายซึ่งเปนผูที่ เครงครัดในศาสนามาก เขาสาธยายเกี่ยวกับศาสนาอิสลามกับเพื่อนชาวคริสต ไดรับรูอยาง มากมาย จนกระท่ังชายครสิ เตยี นผนู ้ันเขารับอสิ ลามในที่สดุ คืนหน่ึงกอนเวลารุงอรุณ ชายผูซึ่งเพ่ิงเขารับอิสลามไดยินเสียงคนเคาะประตูบาน ดวย ความตกใจ เขาจึงถามข้ึนอยางรอนรนวา “ใครกัน” เสียงตอบมาจากหลังประตูวา “ฉันเอง (พรอม กบั เอยนามของเขาใหร ับร)ู เพ่อื นบา นของทานที่เชญิ ชวนทา นใหเ ขารบั อสิ ลามจําไดม ยั้ ” ชายท่ีเพง่ิ เขารับอสิ ลาม : “ทา นมกี ิจธุระอันใดหรือถงึ ไดมาเรียกฉันในเวลาอันดึกดนื่ เชน น”้ี 39

ชายมุสลิม : “รีบลุกข้ึน แลวทํานํ้านมาซโดยเร็ว จากน้ันก็สวมเสื้อผาไปมัสยิดดวยกันเพื่อ ปฏบิ ตั ินมาซ” ชายที่เพิ่งเขารับอิสลามก็ปฏิบัติตามน้ัน ซึ่งเปนการกระทําน้ํานมาซครั้งแรกในชีวิตของเขา และตามเพ่ือนมุสลิมของเขาไปยังมัสยิด ขณะน้ันยังมีเวลาเหลืออยูอีมาก กอนที่จะถึงรุงอรุณ ซ่ึง เปนเวลานมาซในยามค่ําคืน (นมาซชับ) เขาไดปฏิบัตินมาซอยูนานจนกระท่ังรุงอรุณ เขาเวลา นมาซซุบฮ เขาจึงกระทํานมาซน้ัน และสาละวนอยูกับการอานดุอาอตางๆ ภายหลังการนมาซ จนกระทั่งสวาง เขาจึงลุกข้ึนเพื่อที่จะกลับไปยังนิวสถานของเขา เพ่ือนชาวมุสลิมจึงถามข้ึนวา “จะ ไปไหนหรอื ” ชายท่ีเพ่ิงเขารับอิสลาม : “ฉันจะกลับบาน ฉันทํานมาซซุบฮเสร็จแลว ก็คงจะไมมีอะไรอีก แลวมใิ ชห รือ” ชายมุสลิม : “เด่ยี วกอนซอิ า นดุอาออกี สักครหู น่งึ จนกวาตะวันขึน้ แลวเราคอ ยแยกกันกลับ บา น” ชายท่ีเพ่ิงเขารับอิสลามจึงตกลงตามน้ัน เขาจึงน่ังลงรําลึกถึงพระผูเปนเจาตอไป และ วิงวอนขอดุอาอจนจบไปหลายเท่ียว จนดวงตะวันทอแสงจา เขาจึงลุกข้ึนเพ่ือท่ีจะกลับบานอีกคร้ัง หนึ่ง เพื่อนของเขาจึงยื่นอัล กุรอานใหแลวบอกวา “ฉันจะสอนใหทานอานอัล กุรอานสักหนอย เพ่ือใหตะวันโผลขึ้นมาเต็มดวงเสียกอน แลวจึงคอยออกกันไป และฉันอยากใหทานต้ังใจถือศีลอด เสียดวยเลยในวันน้ี ทานไมรูหรือวา การถือศีลอดนั้นผลบุญมากมายเพียงใด ชายมุสลิมพยายาม ชักชวนเพื่อนที่เพิ่งขารับอิสลามใหอยูดวยกัน จนกระทั่งเวลาบายก็คืบคลานเขามา ชายมุสลิมจึง กลาวกบั เขาวา “อีกสักครูก็จะถึงเวลาดุฮริแลว เรานมาซดุฮริกันที่มัสยิดเลยดีกวา” เมื่อรวมกันนมา ดุฮริเสร็จเขาก็บอกกับเพ่ือนของเขาอีกวา “อีกไมนานก็จะถึงเวลานมาซอัสริ แลวจะเปนการดียิ่งที่ เราจะไดนมาซในเวลาแรกของมนั ” และหลังจากนมาซอัสริ ผานไปแลว เขาพูดตอไปอีกวา “ จะคํ่า มืดอยูแลวจะรีบไปไหนละ” เขาไดกักตัวชายเพ่ิงรับอิสลามไวจนถึงเวลามัฆริบ และหลังจาก นมาซมัฆรบิ เสรจ็ แลว เพอื่ นของเขากข็ อตัวเพอื่ จะกลับบา นไปละศลี อด เพื่อนชาวมุสลิมจึงกลาวแก เขาวา “ยังเหลือนมาซอีกเวลาเดียวคืออีชาทนอีกสักนิดนะ” เม่ือถึงเวลานมาซอีชา ชายท่ีเพิ่งเขารับ อิสลามเมื่อปฏิบัตินมาซจนเสร็จสิ้น เขาจึงรีบลุกข้ึนกลับบานไปทันที ค่ําคืนตอมาเขาไดยินเสียง เคาะประตูบานอีกคร้ังหน่ึงเหมือนคืนกอนในเวลาเดิม เขาจึงถามวา “ นั่นใคร ” มีเสียงตอบมาวา “ฉันคือเพ่ือนบานของทานเอง รีบทําน้ํานมาซแลวไปมัสยิด” ชายท่ีเพ่ิงรับอิสลามตอบมาทันควัน วา”ฉันไดลาออก จากศาสนานี้ ตั้งแตเมื่อคืนนี้แลวทันทีท่ีกลับมาถึงบาน ทานหาคนอ่ืนเถิดที่เขา วางงานมากกวาฉัน ที่เขาไมมีงานทํา แลวเขาจะไดเอาเวลาของเขาไปน่ังอยูในมัสยิดเพียงอยาง เดียว ฉันเปนคนท่มี ฐี านะไมค อยจะดี ฉนั ตองทํางานเพอ่ื ท่ีจะหาเครอ่ื งยงั ชีพประจําวัน ฉันไมมีเวลา ที่จะปฏบิ ตั ิศาสนกิจเชนน้นั หรอก” 40

หลังจากท่ีทานอิมามญะอฟร อัซ ซอดิก ไดเลาเรื่องราวน้ี ใหเหลาผูติดตามและสาวกของทาน ฟง แลวทานจึงกลาววา “ในที่สุดชายมุสลิมท่ีเครงในศาสนา ท่ีชักชวนคนผูหน่ึงใหเขารับอิสลาม ก็ ไดทําใหบุคคลผูนั้น ออกจากอิสลามไปดวยสาเหตุนี้เอง ดังน้ันพวกทานจงจําเอาไววา อยาได เครงครัดกับประชาชนจนเกินเหตุ จงทําความเขาใจตอความสามารถของผูคนแตละคนวา เขามี ความสามารถแคไหน เพ่ือท่ีเขาจะไดเชิญชวนผูคนเขามาสูศาสนาอิสลามได มิใชทําใหพวกเขาหนี ออกหางจากอิสลาม เขาไมรูหรอกหรือวาการเมืองตามแบบฉบับของพวกอุมัยยะฮนั้น คือการ เขมงวด และเปน เร่อื งซงึ่ ยากลาํ บากทจ่ี ะทนรบั ได แตหนทางหรือแบบฉบับของเราอยู บนความออ น นอมประนีประนอม และความสัมพันธท ดี่ ีงาม และสามารถชักจงู ทกุ ๆ หัวใจใหค ลอ ยตามได “ (32) 29… โตะอาหารของผปู กครอง (คอลีฟะฮ) ชารีก บตุ รของ อับดุลลอฮ นากาอีย เขาคือผูนาํ ศาสนาคนหน่ึงที่มีช่ือเสียงในศตวรรษท่ีเกา เขาเปนผูที่มีความศรัทธาและความยําเกรง ซ่ึงเปนท่ีรูจักกันดีคนหน่ึง มะฮดี บุตรของมันซูร ซึ่งเปน ผูป กครองในราชวงคของอับบาสิยะฮข ณะนั้น มคี วามปรารถนาอยางยง่ิ ท่จี ะยกตาํ แหนงผูพิพากษา ใหแกชารีก บุตรของอับดุลลอฮ แตชารีกไมยอมรับตําแหนงน้ัน เพราะเขาไมตองการใหตัวเองเปน เครื่องมือ หรืออยูภายใตการปกครองของผูกดข่ี จากน้ันคอลีฟะฮจึงขอใหเขาเปนครูสอนพิเศษ บรรดาลูกๆ ของเขา เกี่ยวกับแบบอยางของทานศาสดา แตชารีกก็ปฏิเสธอีก เขายังคงอดทนอยูกับ การมชี ีวติ อยอู ยางเปน อสิ ระเสรีถึงแมจะยากจนแรนแคนก็ตาม วันหนึ่งคอลีฟะฮไดเรียกเขาใหเขาพบ และกลาววา “วันน้ีทานจะตองยอมรับคําขอของฉันขอ ใดขอหนึ่งจากสามขอ คือ ยอมรับตําแหนงผูพิพากษา หรือเปนครูสอนพิเศษใหแกลูกๆ ของฉัน หรอื ไมก็รวมรับประทาานอาหารเท่ยี งกบั ฉนั ในวนั นี้” ชารีกคิดอยูพักใหญจึงไดกลาวข้ึนวา “เมื่อไมมีทางเลือกเชนน้ีแลว จากทั้งหมดสามขอที่ทาน กลาวมา ขอ ทีส่ ามเปนส่งิ ทง่ี า ยท่ีสดุ สาํ หรับขาพเจา” คอลีฟะฮเม่ือไดยินเชนนั้น จึงส่ังใหพอครัวปรุงอาหารท่ีอรอยที่สุด เพื่อที่จะใหชารีกรับ ประทาน อาหารตางๆ หลากหลายซ่ึงถูกปรุงจากเนื้อเยื่อไขมันท่ีดีท่ีสุดในโพรงกระดูก ผสมกับ พืชผักและนํ้าผึ้งช้ันดีถูกวางอยูบนโตะอาหาร ชารีกซ่ึงต้ังแตเกิดมาเขายังไมเคยเห็น และลิ้มรส อาหารเหลาน้ีมากอนเลย จึงรับประทานดวยความเอร็ดอรอย คนจัดเตรียมอาหาร จึงกระซิบท่ีขาง หูของคอลีฟะฮวา “ขอสาบานตอพระเจา ชายผูน้ีจะไมเจอกับความผาสุกอีกตอไป (จะไมเปนผู ศรทั ธาอีกตอไป) “ ตอมาไมนานทุกคนก็เห็นเขารับตําแหนงผูพิพากษา และเปนครูสอนลูกๆ ของคอลีฟะฮ และ ไดร ับเงินจากคลังหลวงทุกเดอื น วันหนึ่งเขามีปากเสียงกับผูท ี่มีหนา ท่จี า ยเงนิ เดือน ซง่ึ กลาวแกเ ขาวา “ทา นมิเคยขายขา วใหแ ก เราเลย แมแตเพียงคร้ังเดียว (ไมไดใหส่ิงใด) ไฉนจึงมาเรียกรองขออยูเชนน้ี ชารีกตอบวา “ฉันได 41

ขายส่ิงลํ้าคา กวา ขา วเสียอกี ใหก ับทา น คือฉันน้ันไดขายศาสนาและตัวของฉันเอง (โดยการมารับใช กับพวกกดขี่ เปนผูฝกใฝใ นโลกน้ี) ใหแกพวกเจา” (33) 30… คํารอ งทกุ ขของเพ่อื นบาน ชายผูหน่ึงมาหาทานศาสดา และรองทุกขตอทานวา เขาถูกเพ่ือนบานรังแก และปฏิเสธท่ี จะอยูรวมกับเขา ทานศาสดากลาววา “จงอดทนไว และอยาสงเสียงรบกวนเพื่อนบานของเทาน เดด็ ขาด และใหเปลีย่ นวิธที ่ีจะแกไขเสยี ” ตอ มาไมน านชายคนนัน้ กม็ าหาทานศาสดาอกี ครงั้ หน่งึ และฟอ งทานศาสดาอีกเชนเคย ทา น ศาสดา จงึ บอกแกเขาอีกวา “จงอดทนไว” จากน้ันเขาก็มาหาทานศาสดาอีกเปนครั้งที่สาม และกลาวแกทานศาสดาวา “โอ ทาน ศาสดา เพอ่ื นบานของฉันคนน้ี เขาไมยุติการรบกวนฉนั เลย เขาคอยรงั แกฉันอยูตลอดเวลา” ครั้งน้ีทานศาสดาจึงบอกเขาวา “วันศุกรที่จะถึงนี้ ทานจงเก็บสัมภาระขาวของออกมานอก บาน แลวนํามันไปวางไวริมทางที่เปนทางผานของผูคน และพวกเขาจะถามทานวา ไฉนจึงเอาขาว ของมากองไวที่นี่ จงบอกพวกเขาไปวาเปนเพราะเพ่ือนบานที่เลวของฉัน และจงบอกกลาวเรื่องราว ท่ถี กู กลั่นแกลงทง้ั หมดใหผ ูค นไดร ับร”ู เมื่อถึงวนั ศกุ รเขาปฏิบตั ติ ามคําแนะนําของทานศาสดาจรงิ ๆ เพ่ือนบานผูรายกาจของเขาซ่ึง คิดวาทานศาสดาจะใหเพียงคําตอบแกชายผูนี้วา จงอดทนไวเสมอไป เขาไมรูวาเม่ือมีการริดรอน สิทธิเกิดข้ึน ผูมีศักดิ์ศรีในอิสลามจะไมยอมอยูรวมกับผูกราวราวและริดรอนสิทธิโดยเด็ดขาด (ปฏเิ สธตอผูรังควาญและตอส)ู เมื่อเพื่อนบานผูรังแกรูขาววาเชนน้ัน เขาจึงรีบไปขอรองใหชายผูนั้นเก็บขาวของกลับบาน ทนั ที และใหค ํามนั่ สัญญาวาจะไมกลนั่ แกลง และรงั แกอีกตอ ไป (34) 31… ตนอินทผาลัม ซามาเราะฮฮ บุตรของุนดับ เปนเจาของสวนอินทผาลัม และมีตนอินทผาลัมอยูตนหนึ่ง อยูในบริเวณบานของผูชวยเหลือทานศาสดา (ชาวอันศอร) ผูหน่ึง ซ่ึงอาศัยอยูพรอมกับครอบครัว และเปนทางผานท่ีจะเขาไปสวนอินทผาลัม บางครั้งซามาเราะฮฮจะมาดูแลตนอินทผาลัมของเขา หรอื มาเกบ็ เก่ียวผลอินทผาลัม และตามกฏเกณฑของอสิ ลามแลว ซามาเราะฮฮสามารถที่จะเขามา ในสวนน้ไี ดต ามอําเภอใจ ทุกครั้งท่ีซามาเราะฮตองการจะเขาไปในสวนอินทผาลัม เขาจะเขาไปโดยมิกลาวสิ่งใด เนื่องจากบา นของชาวอันศอรอยรู ะหวา งทางเขาออกสวนของเขา และบางคร้ังยังมองเขาไปในบาน ของชาวอันศอรแบบไรมารยาท ซ่ึงในบานของชาวอันศอรมีลูกและภรรยาของเขาอาศัยอยูดวย เจาของบานจึงขอรองเขาวา ทุกครั้งที่เขาจะเดินผานเขาไป โปรดอยาไดมาอยางเงียบๆ โดยมิไดสง 42

เสียง และไมทนั รูตัว แตเขากไ็ มรับฟง คําขอรอ งนน้ั และยังคงปฏบิ ตั เิ หมือนเชน เคย เม่ือหมดหนทาง ชาวอันศอรไดไปหาทานศาสดา และฟองตอทานศาสดาวา “ชายผูน้ี (ซามาเราะฮ) ไดเขาไปใน บริเวณบานของฉันอยางเงียบๆ โดยไมบอกกลาวใหรูตัว โปรดตักเตือนเขาดวยวา กอนที่เขาจะเขา ไปในบริเวณบานบอกใหเรารูตัวดวย เพื่อท่ีลูกและภรรยาของฉันจะไดแตงกายใหเรียบรอยกอน จะ ไดปกปดใหพ น จากสายตาทไ่ี มปรารถนาดีของเขา” ทานศาสดา จึงเรียกซามาเราะฮมาหา และกลาววา “มีผูมาฟองฉันถึงเร่ืองของทาน เขา บอกวา ทานเขาไปในบริเวณบานของเขาโดยไมบอกกลาวสิ่งใด และสายตาที่ทานจองมองไปยังลูก และภรรยาของเขานั้น เขาไมพอใจเปน อยางยิ่ง ต้ังแตน้ีเปนตนไป กอนท่ีทานจะเขาไปขอใหบอกให เขารูตวั กอ น อยา เขา ไปในลกั ษณะเชน น้ันอกี แตซะมาเราะฮปฏิเสธ ทานศาสดาจึงกลาวกับเขาวา “ถาเปนเชนน้ันทานจงขายสวนอินท ผาลัมตน น้ันเสีย” เขาก็ไมตกลงที่จะขายอีก ทานศาสดาจึงเพิ่มราคามากขึ้น เขาก็ยังไมยอมอีกเชน เคย ทานศาสดาจึงกลาววา “ถาทานปฏิบัติตามฉัน ทานจะเปนเจาของตนอินทผาลัมตนหนึ่งใน สรวงสวรรคร” แตเขาก็ยังไมยอมรับอีก เขายืนยันเชนเดิมไมขายท้ังตนอินทผาลัมและไมยอมที่จะ ขออนุญาตจากเจาของบาน กอนที่จะเขาไปยังสวนอินทผาลัม และไมยอมรับขอเสนอใดๆ ท้ังส้ิน (แมก ระทั่งรางวัลในสรวงสวรรคร) เม่ือเปนเชนนั้นทานศาสดาจึงกลาววา “ทานคือชายที่มีพิษรายและดื้อรั้น และในอิสลามไม ยอมรับส่ิงน”้ี ทา นศาสดาจงึ หันไปยังชาวอันศอรแลวกลาววา “ทานจงจัดการขุดตนอินทผาลัมนั้น แลวโยนลงตอ หนา ซามาเราะฮ เสียเด่ยี วน้ี” ชายผนู นั้ กก็ ลบั ไปปฏบิ ัติตามท่ีทานศาสดาสั่ง เมอ่ื เขาไดปฏบิ ตั เิ ชนน้ัน ทานศาสดาจึงกลาวกับซามาเราะฮวา “นี่คือตนอินทผาลัมของทาน พอใจทจี่ ะปลูกตรงไหนก็จงเอาไป” (35) 32… ในบานของทา นหญงิ อมุ มุสะลามะฮ คืนน้ันทานศาสดา พักผอนอยูที่บานของทานหญิงอุมมุสะลามะฮ ในยามเท่ียงคืนทาน หญงิ อุมมุสะลามะฮตื่นข้ึนมาไมเห็นทานศาสดา นางมีความกังวลและหวงใยวา จะเกิดอะไรข้ึนกับ ทาน นางจึงคนหาไปท่ัวทั้งหอง จึงไดพบทานศาสดายืนอยู ณ มุมมืด ในขณะเดียวกันสองมือของ ทานศาสดา ก็ยกขึ้นสูฟากฟาดวยนํ้าตานองใบหนา พรอมกับนํ้าเสียงท่ีคร่ําครวญวา “โอพระองค ความดีงามทุกสิ่งทุกอยางที่พระองคทรงประทานแกขาพระองคนั้น ขอพระองคไดโปรดอยาพราก มันไปจากขาพระองคเลย โอพระผูเปนเจา ขอแดพระองค อยาทรงใหขาพระองคถูกกลาวหาหรือ ถูกตาํ หนิจากเหลา ศตั รแู ละผอู ิจฉารษิ ยา โอพระผูเปนเจา พระองคไดทรงปกปองขาพระองคใหรอด พนจากส่ิงชั่วรายทั้งปวงมาแลว ขอไดโปรดอยาไดนําขาพระองคไปสูส่ิงนั้นอีกเลย โอพระผูเปนเจา ขอไดโปรดอยาไดป ลอยใหขาพระองคถ ูกตัดขาดจากพระองค แมเพียงกระพริบตาเดยี ว” 43

เม่ือทา นหญิงอุมมุสะลามะฮ ไดยินถอยคําทั้งหลายที่ทานศาสดาพร่ําวอน รางกายของนางก็ ส่ันสะทานดวยความเกรงกลัว นางจึงเดินไปยังมุมหน่ึง แลวเริ่มรองใหออกมาดวยเสียงอันดังจน ทานศาสดาไดยิน และเดนิ เขา มาถามนางวา “ไฉนเจา จึงรองใหเ ชน น”้ี นางตอบวา “จะไมใหฉันรองใหไดอยางไรกัน ในขณะที่ทานมีสถานภาพเปนถึงศาสดา ผู สื่อสารขององคพระผูเปนเจา ทานยังมีความเกรงกลัวตอพระองคถึงขนาดน้ี และทานยังขอตอ พระองคอยาไดทรงตัดขาดจากทาน แมเพียงชั่วกระพริบตาเดียว แลวมนุษยอยางฉันจะเหลือสิ่งใด เลา” ทานศาสดา “โออุมมุสะลามะฮ เจาจะหามไมใหฉันเปนหวงหรือประมาท และม่ันใจได อยางไร ในขณะที่ยูนุส ซ่ึงก็เปนศาสดาผูหนึ่งของพระองคยังถูกตัดขาดจากพระองคเปนระยะเวลา หนง่ึ ซ่ึงไดเกิดขน้ึ แลวกบั เขาแลว ในสิ่งทีเ่ กิดขึ้นไดเ สมอ” (36) 33… ตลาดมดื ในขณะท่ีรายจายนับวันจะเพิ่มมากข้ึนภายในครอบครัวของทานอิมามยะอฟร อัซ ซอดิก ทานอมิ ามจึงตัดสนิ ใจทีจ่ ะทําการคาสกั อยา งหน่งึ เพ่อื ใหม ีรายไดมาจุนเจือครอบครัวของทาน ทาน จึงเตรียมเงินหน่ึงพันเหรียญทอง และกลาวกบคนรับใชของทาน (ซึ่งมีนามวามาซอดิฟ) วา “จงรับ เงนิ หนง่ึ พันเหรียญทองนไ้ี ป และเตรยี มตวั เดนิ ทางไปคา ทเ่ี มอื งมศิ ร (อยี ปิ ต) อยา งมริ อชา” มาซอดิฟ รับเงินจํานวนนั้นไป และไดซ้ือสินคาชนิดหน่ึง ซ่ึงเปนสินคาท่ีพวกพอคามักจะ นําไปขายท่ีอิยิปต เขารวมเดินทางไปกับกองคาราวานของเหลาพอคา (ซึ่งพอคาทุกคนไดนําสินคา ชนดิ เดยี วกนั ทงั้ หมด) มุง สเู มืองอยี ิปตต ท นั ที ในระหวางทางที่ใกลจะถึงจุดหมาย พวกเขาไดพบกับกองคาราวานหน่ึง ซึ่งเพิ่งกลับมาจาก เมืองอยี ปิ ตต  เมอ่ื พูดจาถามทุกขส ุขตอกัน โดยเฉพาะสถานการณของการคาขายทผ่ี านมา จงึ ทราบ วาในอียิปตขณะน้ีสินคาที่มาซอดิฟ และพวกพอคานํามานั้น กําลังเปนที่ตองการของตลาด พอคา ทุกคนตางกด็ ีอกดีใจกบั ความมีโชคของพวกเขา เพราะวาสินคา ทนี่ าํ มาเปนท่ตี องการของประชาชน นน่ั หมายความวา ราคาจะเทาไรกต็ าม ประชาชนกจ็ ะซื้อจนหมดสน้ิ หลังจากที่พอคาไดรับขาวดีเชนนี้ ในระหวางทางพวกเขาจึงรวมกันสัญญาวา ทุกคนจะไม ขายสินคาอยางเด็ดขาด ถาไมมีผลกําไรถึงหน่ึงเทาตัว จากนั้นพวกเขาจึงมุงหนาเขาเมืองอียิปต ทนั ที และสถานการณก ็เปนดงั่ เชนท่ีพวกเขาไดร ับขาวมา เนื่องจากคํามัน่ สัญญาที่ใหก ันไวรวมกนั พวกเขาจงึ รวมกันต้ังตลาดมืดขึ้นมา และขายสนิ คา ในราคาสูงถึงหนง่ึ เทาตัว มาซอดิฟกลับสูมะดีนะฮ พรอมกับผลกําไรอีกหน่ึงพันเหรียญทอง เขาจึงเขาพบทานอิมาม ซอดิก ดวยความดีใจและภาคภูมิใจอยางย่ิง เม่ือเขาวางถุงเงินสองถุง ซึ่งมีเงินอยูถุงละหน่ึงพัน เหรียญทองลงตอหนาทานอิมามซอดิก ทานอิมามจึงถามเขาวา “นี่คืออะไร” เขากลาววา “หน่ึง 44

จากสองถงุ นีค้ อื ตน ทุนที่ทา นใหแ กฉัน และอีกหนง่ึ ถงุ ซ่ึงมีจํานวนเทากบั ตนทุนคอื ผลกําไรที่ฉนั ไดรับ มา” อิมาม : “เหตุใดจึงมากมายเชนนี้! เจาลองบอกมาซิวาเจาคาขายอยางไร จึงไดผลกําไร อยางมากมายเชนน้”ี มาซอดิฟ : “ขณะท่ีกองคาราวานของเราใกลถึงเมืองอียิปต เราไดรับขาววาสินคาที่เราจะ นําไปขายน้ัน เปนที่ตองการของตลาดมาก พอคาทั้งหมดจึงสัญญารวมกันวา ถาไมไดผลกําไรถึง หน่ึงเทา ตวั เราจะไมขายสนิ คา ของเราเด็ดขาด และเรากป็ ฏิบตั ิเชน นั้นจริงๆ “ อิมาม :”มหาบริสุทธ์ิย่ิงแดพระผูเปนเจา เจาทําอยางนั้นจริงหรือ เจาสัญญารวมกัน เพ่ือท่ีจะต้ังตลาดมืดในหมูพี่นองประชาชนกระนั้นหรือ เจาสัญญากันวา ถาไมไดผลกําไรถึงหน่ึง เทาตัวเจาจะไมขายสินคากระน้ันหรือ ไม ฉันไมตองการผลกําไรจากการคา โดยวิธีการเชนน้ีอยาง เด็ดขาด” พดู จบทา นอิมาม จึงหยบิ เงินถงุ หนึง่ ข้ึนมา และกลาววา “นคี่ อื ตนทุนของฉัน” และทานมิได แตะตองเงินอีกถุงหนึ่งเลย ทานอิมามกลาววา “ฉันจะไมยุงเก่ียวกับมัน” จากนั้นทานอิมามก็กลาว ตอไปอีกวา “ โอ มาซอดิฟเอย การฆาฟนกนั นัน้ ยังงา ยยิง่ กวาการท่ีจะใหไ ดม าซึ่งสิ่งทอ่ี นญุ าต) เสยี อกี ” (37) 34… ผตู กคา งจากกองคาราวาน ในความมืดของค่ําคืนหน่ึงมีเสียงตะโกนโหวกเหวกขอความชวยเหลือของชายหนุมผูหนึ่ง ดังมาแตใกล อูฐที่ออนแอและผอมแหงแรงนอยของเขา ตกคางอยูหลังกองคาราวานและนอน หมอบลงดวยความเหน่ีอยลา เขาพยายามทจี่ ะทําใหอ ฐู ลกุ ขึน้ เดินทางตอไปอยางสุดความสามารถ แตก็ไมเปนผล เขาจึงขึ้นยืนบนหลังอูฐ แลวตะโกนรองขอความชวยเหลือ ในขณะนั้นเองทาน ศาสดา ซึง่ ตามปกติแลวทานจะตามหลงั กองคาราวานอยเู สมอ (เพราะถาหากวามีผูใดตกคางจาก กองคาราวาน ทานก็สามารถท่ีจะชวยเหลือได) ไดยินเสียงของชายหนุมผูน้ัน เม่ือทานเขามาใกล ทานจึงถามข้ึนวา “นน่ั ใครกนั ” ชายหนุม : “ฉันเอง ญาบิร “ ทา นศาสดา : “ไฉนเจาจงึ ไดลาชา กวาผอู ื่นเลา ” ญาบริ : “โอ ทานศาสดา อูฐของฉันมันเดนิ ตอ ไปไมไ หวเทานน้ั เอง” ทา นศาสดา :” เจา มไี มเ ทามาดวยหรือเปลา” ญาบริ : “ มีขอรบั กระผม” ทา นศาสดา : “สง มาใหฉนั ซิ “ เมื่อรับไมเทาจากญาบิรมาแลว ทานศาสดาไดทําใหอูฐของเขาเคล่ือนไหวดวยไมเทาอัน น้ัน จากนั้นจึงทําใหมันนอนลง และประสานมือของทานเขาดวยกัน (ใหเปนท่ียางเทา) แลวกลาว 45

กับญาบิรวา “ข้ึนหลังอุฐโดยเร็ว” ญาบิรจึงข้ึนนั่งบนหลังอูฐ และออกเดินทางพรอมกับทานศาสดา ขณะน้นั อูฐของญาบิรจึงเดินไดเร็วขึ้น ทานศาสดาไดแสดงความมีไมตรีจิตตอญาบิรตลอดทาง ญา บริ รวู า ทานศาสดาขออภัยโทษจากพระผเู ปน เจา ใหเขาถึงย่ีสิบหาครั้งดวยกัน จากจํานวนท่ีเขานับ ไว ในระหวา งทางทานศาสดาไดถามญาบิรวา “บดิ าเจามีลูกทองเดยี วกนั ทง้ั หมดกี่คน” ญาบิร : “ลกู สาวเจด็ คน และลกู ชายอีกหน่ึงคอื ฉันเองขอรับ” ทานศาสดา : “หนีส้ นิ ของบดิ าของเจา ยงั มเี หลอื อยูอ กี มัย้ ” ญาบิร : “มีขอรบั ” ทานศาสดา : “ถาเปนเชนน้ัน หลังจากกลับมาจากมะดีนะฮแลว เจาจงนัดหมายกับเจาหนี้ และเมอ่ื ถงึ เวลาเกียบเกยี่ วผลอินทผาลมั จงสงขาวใหฉนั รดู ว ย “ ญาบิร : “ขอรบั ทานศาสดา “ ทา นศาสดา : “เจา แตงงานแลวหรือยงั ” ญาบิร: “แตง แลวขอรับกระผม” ทานศาสดา : “แตงกบั ใครละ ” ญาบิร : “แตงกับหญงิ มา ยซึง่ เปนบุตรของชายผูห นึ่ง” ทานศาสดา : ไฉนเจาจงึ ไมแ ตง กับหญงิ สาวบรสิ ทุ ธ์ิ ในวัยไลเ ลีย่ กับเจา” ญาบิร: “โอ ทานศาสดา ฉันมีพ่ีสาวนองสาวหลายคน ซ่ึงท้ังหมดยังไมมีประสบการณ เทา ใดนัก (ยงั เด็กๆกนั อยู) ฉันจึงไมตองการผูหญิงท่ีสาวอยู ฉันเห็นวาจะเปนการดีที่จะเลือกผูหญิง ที่ เปนผูใ หญแลว ” ทานศาสดา : “ความคิดของเจา ดมี าก แลวอฐู ตวั นี้เจา ซอ้ื มาในราคาเทาไหร” ญาบิร : “จํานวนหาเหรียญทองขอรบั ” ทานศาสดา : “ฉันจะซ้ือจากเจาดวยราคาเดิม เม่ือมาถึงมะดีนะฮแลว จงมาเอาคาอูฐจาก ฉันไดเลย” การเดินทางส้นิ สดุ ลงและกองคาราวานไดกลับสมู ะดนี ะฮ ญาบิรจึงนําอูฐของเขาไปใหทาน ศาสดา ทานจึงกลาวแกบิลาลวา ”จงจายใหแกญาบิรจํานวนหาเหรียญทอง ซึ่งเปนราคาอูฐของ เขา และเพิม่ ใหอ กี สามเหรยี ญเพ่ือจะไดนาํ ไปจา ยหน้ีสินท่บี ิดาของเขาคา งอยู และมอบอฐู คนื ใหเ ขา ไปดวย หลงั จากนน้ั ทา นศาสดาจงึ ถามญาบริ วา “เจาไดนัดหมายกับเจาหน้ีหรอื ยงั ” ญาบริ : “ยงั เลย โอทานศาสดา “ ทานศาสดา : “ทรพั ยสนิ ที่เหลอื อยจู ากพอ ของเจาพอที่จะใชห น้ีของเขาไดหรือไม” ญาบิร : “ไมขอรบั โอท า นศาสดา “ ทานศาสดา : “ถาเปนเชนน้ัน เมื่อถึงเวลาเก็บเก่ียวผลอินทผาลัมก็จงสงขาวใหฉันไดรับรู ดวย เม่ือถึงเวลาเก็บผลอินทผาลัม เขาจึงสงขาวใหทานศาสดารับทราบ ทานศาสดา จึงไดมาพบ 46

เขา และชาํ ระหนีส้ ินตา งๆ ตอเจา หนีท้ กุ คนจนหมดสน้ิ และไดย กใหค รอบครวั ของญาบริ สว นหนงึ่ ซง่ึ เปน จํานวนทเี่ พียงพอ (38) 35… สายเชอื กผกู รองเทา ทา นอมิ ามซอดกิ และเหลา สาวกไดรว มกนั เดนิ ทางไปแสดงความเสียใจตอ เพ่อื นบา นผหู นง่ึ จากเหตุการณท่ีเกิดขึ้นกับเขา ในระหวางทางนั่นเองเชือกผูกรองเทาของอิมามซอดิก ไดขาดจนไม สามารถ จะสวมตอ ไปไดอกี ทา นอมิ ามจงึ ถอดรองเทาถือไวในมอื ของทา น แลว ออกเดนิ ทางตอดวย เทาเปลา อับดุลลอฮ บุตรของญะอฟูร (หน่ึงจากสาวกผูยิ่งใหญของทานอิมามซอดิก) จึงถอด รองเทาของเขาออกโดยเร็ว และดึงเชือกผูกรองเทาออกมา พรอมกับสงใหทานอิมามทันที เพ่ือให ทานใสแทนเชือกรองเทาของทานท่ีขาดไป และตัวของเขาเองจะเปนคนเดินดวยเทาเปลาแทน เมื่อ เห็นดังนน้ั ทานอมิ ามรูสึกไมพอใจ และเบอื นหนา หนีไปจากอับดุลลอฮ ทานไมยอมรับสิ่งน้ันจากเขา พรอมกับกลาววา “เมอ่ื ความยากลําบากเกดิ ข้นึ ตอ บคุ คลใดกต็ าม จะเปนการประเสรฐิ ยง่ิ กวา ทเี่ ขา จะไดอดทนมันดวยตัวของเขาเอง มิเปนการบังควรเลยเมื่อเกิดเหตุการณใดๆ ข้ึนกับบุคคลหน่ึง บุคคลใด แลวเขายอมท่ีจะใหผูอ่ืน มารวมลําบากกับเขาดวย ที่ดีท่ีสุดเขาควรจะตองอดทนดวย ตนเอง” (39) 36… ฮิชาม และฟารอซดกั ฮิชาม บุตรของอับดุลมาลิก ซึ่งมีตําแหนงเปนผูสืบทอดตําแหนงผูปกครอง ในชวงแรกของ ศตวรรษเกา ซึ่งเปนชวงท่ีการปกครองของราชวงศอุมัยยะฮมีอํานาจสูงสุด หลังจากเสร็จสิ้นการ เวียนรอบวิหารกะอบะฮแลว เขาตองการจะเขาไปใกลชิดตําแหนงหินดําเพ่ือจูบมัน แตก็ไมประสบ ผลสําเร็จสักครั้ง ประชาชนทุกคนอยูในชุดคลุมกายสีขาวท่ีเหมือนกัน คือการสวมใสชุดแสวงบุญ และกลาวถอยคําพรอมกับการปฏิบัติศาสนกิจอยางเสมอเหมือนกันหมด ทุกคนกําลังดื่มด่ําอยูใน ความรูสึกอันบริสุทธ์ิ ซ่ึงไมสามารถหรือไมมีเวลาท่ีจะมาสนใจตอตัวบุคคลและตําแหนงอันสูงสง ทางโลกของฮิชามได รวมท้ังบรรดาผูติดตามหลายคนที่เขานํามาจากเมืองชาม เพื่อปกปองรักษา ความปลอดภัย และยศฐาบรรดาศักด์ิของเขาก็มิไดรับความสนใจตอผูคนแตอยางใดเลย เม่ือตอง มาเผชญิ กับความยง่ิ ใหญแหง พิธีฮจั ญ ณ นครมกั กะฮ ฮิชามพยายามทุกวิถีทางเพื่อท่ีจะพาตนเองเขาไปถึงหินดําใหได เพราะตามแบบอยางของ ทานศาสดาแลว ผูประกอบพิธีฮัจญทุกคนควรจะตองปฏิบัติสิ่งนั้นใหได แตในที่สุดก็ยังไมเปน ผลสาํ เร็จ อันเนื่องมาจากฝูงชนมากมายมหาศาลท่ีมาประกอบพิธีฮัจญ เมื่อหมดหนทาง เขาจึงหัน หลังเดินกลับไปน่ังพักผอนอยู ณ สถานท่ีซ่ึงถูกตระเตรียมไวสําหรับเขา และเฝามองดูฝูงชนที่ เคลื่อนไหวประกอบการภักดีกันอยูอยางเนืองแนน พรอมกับบรรดาผูติดตามท่ียืนรายลอมรอบตัว เขาอยู 47

ขณะนั้นเองชายผูหนึ่งไดปรากฏตัวข้ึน ณ สถานที่แหงนั้น ชายผูน้ันมีใบหนาท่ีบงบอกถึง ความเปนผูมีศรัทธาอยางสูงสงอยางเดนชัด และชายผูน้ันก็มิไดมีอะไรแตกตางไปจากบุคคลอ่ืนๆ เลย เขาสวมใสเ คร่ืองแตงกายประเภทเดียวกันกับผูอ่ืน แตรองรอยแหงการเคารพภักดีตอพระผูเปน เจากับบุคลิคภาพของเขาเทานั้น ท่ีแสดงออกใหเห็นถึงความแตกตาง เม่ือเขาจะเร่ิมการเวียนรอบ วหิ ารกะอบ ะฮอยา งนอบนอ มถอ มตน ฝูงชนมากมายทีก่ ําลังเบียดเสยี ดกนั อยู เม่ือเห็นชายผูน้ันเดิน เขามาใกลหินดํา พวกเขาจึงพากันหลีกทางแยกออกเปนชองทาง เพ่ือใหชายผูน้ัน เขาไปไดถึงหิน ดําอยางฉับพลัน ชาวเมืองชามซ่ึงเห็นภาพท่ีเกิดขึ้นเบ้ืองหนาของพวกเขาเชนน้ัน (ซ่ึงเมื่อครูหน่ึงที่ ผานมา ฮิชามผูนําของพวกเขาซ่ึงมีตําแหนงเปนถึงรัชทายาท พรอมกับเกียรติยศอันสูงสง ยังไม สามารถที่จะเขา ไปถึงยังหนิ ดาํ ได พวกเขาจึงเกิดความเคยี ดแคน ระคนไปกบั ความประหลาดใจ ผูหนงึ่ จากพวกเขาไดถามฮิชามวา “เขาคือใครกัน” ฮิชามซ่ึงรูดีวาชายผูนั้นคืออะลี บุตรของฮูเซน ซัยนุลบอาบิดีน แตเขาก็เสแสรงทําเปนไม รูจักและตอบวา “ฉันไมรู” ขณะนั้นแมวาจะมีผูใดผูหน่ึงรูจักชายผูน้ันไดเปนอยางดี แตฮิชามผู โหดราย ซึ่งคมดาบของเขาสามารถท่ีจะหล่ังเลือดใครตอใครไดทุกขณะ จึงไมมีผูใดหาญกลาที่จะ แนะนําชื่อเสียงเรียงนามของชายผูน้ันใหรูวาเขาคือใคร แตในขณะนั้นเองอามาม บุตรของฆอลิบ ซ่ึงเปนท่ีรูจักกันในนามของ “ฟารอซดัก” กวีที่มีโวหารเฉียบแหลม และมีความสามารถในหมูชาว อาหรับดวยความชํานาญและประสบการณอันเหลือลนภายในตัวของเขา จิตใตสํานึกของเขาถูก ปลุกเราขึ้นมา ความรูสึกตางๆ เดือดพลาน เขาจึงกลาวขึ้นวา “แตทวาฉันรูจักชายผูนั้น” เขาคิดวา การแนะนําชายผูนั้นแบบธรรมดาเผินๆ ไมเปนการเพียงพอ เขาจึงกาวข้ึนไปยืนอยูบนท่ีสูง และ กลาวรอยกรองที่ดีเย่ียมบทหน่ึง (ซ่ึงเปนผลงานชิ้นเอกของไวยากรณอาหรับ และการกลาวรอย กรองเชนนี้ทําได ก็ตอเมื่ออยูในสถานการณที่ออนใหว และเผ็ดรอน ซึ่งวิญญาณของผูกลาวรอย กรองดังกลาวน้ีจักตองเปรียบเสมือนทะเลท่ีมีคลื่นลมแรงเทานั้น) เขาไดบรรจงเขียนมันและกลาว อยางคลอ งแคลว ซง่ึ มีใจความวา “บุคคลผูนี้คือผูซึ่งบรรดากรวดทรายใหญนอยแหงพื้นพิภพอันย่ิงใหญนี้ลวนรูจักเขาเปนอยาง ดี แมกระท่งั วหิ ารกะอบ ะฮนก้ี ็รูจกั เขา รวมทงั้ พ้นื แผนดนิ ในเมืองมักกะฮ และทอี่ ยนู อกมกั กะฮต า งก็ รจู กั เขา เขาคอื บตุ รของบาวท่ีดีเลิศแหงองคอภิบาล เขาคอื ผทู ม่ี ีความยําเกรงและศรัทธาย่งิ จากการท่ีทานบอกวาฉันไมรูจักเขา มันมิไดสงผลกระทบหรือสรางความเสียหายหรือต่ํา ตอยแกเขาแตประการใดเลย ถาหากมีทานเพียงคนเดียว ท่ีไมรูจักเขา แตทั่วทั้งอาหรับ และมิใช อาหรบั ตา งก็รูจกั เขา” เมื่อฮิชามไดยินเชนนั้น ไดสรางความโกรธแคนแกเขาเปนย่ิงนัก เขาจึงออกคําส่ังตัดเงินสวน แบงจากคลงั กลางของฟารอซดักตลอดชวี ิต และสัง่ จําคกุ ฟารอซดกั ในคกุ อสั ฟานซึง่ อยูร ะหวางมะดี นะฮกับมักกะฮ แตฟารอซดักมิไดใหความสําคัญและหวาดกลัวตอเหตุการณ หรือคําตัดสินท่ีมีตอ 48

เขาเลยแมแตนอย (ซึ่งมันคือผลลัพธแหงความกลาหาญในการเปดเผยความเช่ือและความรักของ เขาเอง) ไมวาจะเปนการถูกจําคุกหรือการถูกตัดเงินสวนแบงจากคลังกลาง และที่สําคัญก็คือเมื่อ เขาถูกจองจําอยใู นคกุ เขากย็ งั มิไดล ดละท่จี ะเขยี นบทกลอนดูหมนิ่ เยยหยันฮิชามอยา งไมห ยดุ ยัง้ อิมามอะลี บตุ รของฮูเซน ไดส ง เงินจาํ นวนหนึ่งไปใหฟารอซดักในสถานท่ีคมุ ขัง (เพราะเขาไม มีรายไดเลย) ฟารอซดักปฏิเสธที่จะรับเงินจํานวนนั้น และกลาววา “ฉันเขียนกลอนบทนั้นข้ึนมาใน วิถีทางแหงความเชื่อมั่นศรัทธาที่ฉันมีอยู และเพ่ือองคอภิบาล ฉันไมประสงคที่จะรับส่ิงใดเปนการ ตอบแทน” จากน้ันทานอิมาม จึงสงเงินไปใหฟารอซดักเปนครั้งท่ีสอง พรอมกับสงสานนไปยังเขา ดวย ทานกลาววา “พระผูเปนเจาทรงรูและทราบในความตั้งในของทานดี และพระองคจะทรง ประทานรางวัลอันดีเยี่ยมแกทาน ตอความตั้งใจดีของทาน และถาหากวาทานไดยอมรับการ ชวยเหลือน้ี ก็มิไดสรางความเสียหายแกรางวัลของทาน ณ พระองค แตเพียงอยางใดเลย” ฟารอซ ดักจงึ สาบานท่จี ะรับความชว ยเหลอื น้ัน และเขารบั เอาไวด วยความเตม็ ใจ (40) 37… บาซันฏีย อะหมัด บุตรของมุฮัมมัด บุตรของอบูบาศีร บาซันฏีย เปนผูรูท่ีมีชื่อคนหน่ึงในยุคสมัยของ เขา ภายหลังจากทเี่ ขาเขยี นจดหมายโตต อบและแลกเปล่ียนความคดิ เห็นกับทานอิมามริฎอจํานวน มาก โดยเฉพาะจากคําถามตางๆ ท่ีถามไป ซ่ึงไดรับคําตอบจากทานอิมามอยางแจมแจง เขาจึง ยอมรับการเปนผูนําของทานอิมามริฎอ ในที่สุดวันหนึ่งเขาไดกลาวกับทานอิมามวา ”แนนอนท่ีสุด ฉันปรารถนาที่จะมาหาทานดวยตนเอง เพื่อเรียนรูวิชาการทั้งหลายจากทาน เมื่อฉันมีโอกาสและ เมือ่ การไปมาหาสูของฉันกับทา น มไิ ดต กอยูในเปา สายตาจากกลมุ ชนของฝา ยปกครองผกู ดข”่ี เย็นวันหนึ่งทานอิมามริฎอ ไดสงสาวกพรอมกับมาท่ีเปนพาหนะสวนตัวของทานไปพบบา ซันฏีย และเชิญเขามาที่บานพัก ในคืนนั้นการสนทนาตางๆไดผานไปดวยคําถามและคําตอบแหง วิชาการอยางมากมายและตอเนื่อง บาซันฏียถามปญหาตางๆ จากทานอิมาม และทานก็ตอบเขา ในทุกเร่ืองราว บาซันฏียมีความภาคภูมิใจและปติยินดีเปนย่ิงนักตอเหตุการณท่ีเกิดขึ้นกับเขา รวมท้ังการตอ นรบั และดแู ลอยา งดีจากทานอิมาม เม่ือถึงเวลาพกั ผอน ทา นอิมามไดเรยี กคนรับใชม าและกลา ววา “จงนาํ เตียงของฉัน (ของใช สวนตวั ของทา นอมิ าม) มาตระเตรียมใหกับบาซันฏยี  เพือ่ ทีเ่ ขาจะไดพ กั ผอน เม่ือเหตุการณเปนเชนนั้น (ตอความมีไมตรีของทานอิมาม) บาซันฏียจึงย่ิงมีความคิด ลองลอยไปไกล เขากลาวกับตนเองวา “บัดนี้ในโลกนี้คงจะไมมีใครโชคดีเทาเทียมฉันเลยแมแต เพียงสักคนเดียว ฉันคนนี้แหละ ท่ีทานอิมามสงมาประจําตัวของทานมารับ และนําฉันมายังบาน ของทาน ฉันคนน้ีแหละที่ทานอิมามน่ังสนทนาดวย จนดึกด่ืนแตเพียงลําพัง และท่ีสําคัญท่ีสุดฉัน คนน้ีอีกน่ันแหละ ที่ทานอิมามสั่งใหคนรับใชเอาเตียงนอนสวนตัวของทานมาตระเตรียมใหนอน แลว จะมีใครอกี ในโลกนี้ ที่จะโชคดีกวา ฉนั ” 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook