Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา หลักการสาธารณสุข (Principles of Public Health)

วิชา หลักการสาธารณสุข (Principles of Public Health)

Published by Dr.Pakin Chaichuay, 2020-07-21 03:33:18

Description: Ebook-Principles of Public Health
ความหมายและความสำคัญของสุขภาพ ประวัติการสาธารณสุข ระบบสุขภาพและระบบการบริการสุขภาพของไทย และนานาชาติ คุณภาพชีวิตกับการสาธารณสุข การสาธารณสุขมูลฐาน นโยบายสาธารณะ นโยบายและแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ หลักประกันสุขภาพ ปัจจัยกำหนดสุขภาพ นโยบายและแนวทางความร่วมมือการพัฒนาสาธารณสุขระหว่างประเทศ
Definition and importance of health, history of public health, health system and health service system in Thailand and international countries, quality of life, primary health care, public policy, policy and national health plan, health security, determinants of health, and policy and guidance for international public health collaboration

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน รายวชาหลกัการสาธารณสขุ S Pรหrัสinวชcาi5p2l2e21s16ofPublicHealth C จำนวนหนวยกติ3(3-0-6) P โดย…ดร.ภคนิไชยชวย U ภาคเรยนที่2ปการศกึษา2562 B วทยาลัยการสาธารณสุขสรินธรจงัหวัดอบุลราชธานี คณะสาธารณสุขศาสตรและสหเวชศาสตรสถาบนัพระบรมราชชนกกระทรวงสาธารณสขุ www.scphub.ac.th

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาหลกั การสาธารณสุข รหัสวชิ า 5222116 Principles of Public Health จำนวนหน่วยกติ 3(3-0-6) โดย ดร.ภคนิ ไชยช่วย ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2562 วิทยาลยั การสาธารณสุขสริ นิ ธร จงั หวัดอบุ ลราชธานี สถาบันพระบรมราชชนก

คำนำ เอกสารประกอบการสอน รายวิชาหลักการสาธารณสุข รหัสวิชา 5222116 ได้รับความร่วมมือจาก นกั ศกึ ษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวชิ าสาธารณสขุ ชมุ ชน รุ่นท่ี 9ในการช่วยกันค้นควา้ สง่ เปน็ รายงาน เพ่ือ ใช้ประกอบการเรยี น อาจารย์ ได้ช่วยขัดเกลา ปรับแก้ไข และเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เอกสารประกอบการสอน รายวิชาหลักการ สาธารณสขุ ให้สมบรู ณ์ยิ่งข้ึน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวชิ าสาธารณสุขชุมชนตอ่ ไป อาจารย์ ดร.ภคิน ไชยช่วย ปกี ารศกึ ษา 2562

สารบัญ เนอื้ หา หนา้ บทท่ี 1 ความหมายและความสำคญั ของสขุ ภาพ และประวัติสาธารณสขุ ---------------------------------------- 1 บทที่ 2 ระบบสุขภาพไทยและนานาชาติ------------------------------------------------------------------------------ 16 บทที่ 3 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ--------------------------------------------------------------------- 29 บทท่ี 4 นโยบายสาธารณะ---------------------------------------------------------------------------------------------- 45 บทท่ี 5 การสาธารณสุขระดบั เขตสขุ ภาพ----------------------------------------------------------------------------- 66 บทที่ 6 คณุ ภาพชีวติ กับการสาธารณสุข ------------------------------------------------------------------------------ 82 บทท่ี 7 การสาธารณสขุ มลู ฐาน ---------------------------------------------------------------------------------------- 91 บทที่ 8 หลกั ประกันสุขภาพ -------------------------------------------------------------------------------------------- 105 บทที่ 9 ปจั จัยกำหนดสขุ ภาพ ------------------------------------------------------------------------------------------ 117 บทที่ 10 นโยบายแนวทางความร่วมมือการพฒั นาสาธารณสขุ ระหวา่ งประเทศ --------------------------------- 128 บทที่ 11 การแพทยแ์ ผนไทยและแพทยท์ างเลอื ก ------------------------------------------------------------------- 139

บทที่ 1 ความเจริญรุ่งเรอื ง ความกา้ วหนา้ และความมัน่ คงของประเทศชาตดิ ้านเศรษฐกิจและสังคม ขน้ึ อยู่กับ ปัจจัยที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ ประชาชน เพราะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติที่จะช่วยทะนุบำรุงและ รักษาไว้ซึง่ ความเจรญิ ก้าวหน้า เสถียรภาพและสันติสุขของสงั คม ความเจริญและมั่นคงของประเทศจะเกดิ ขึ้น ได้ ก็ด้วยประชาชนมีสุภาพอนามัยแข็งแรง กล่าวคือ มีความสมบูรณ์มีความสุขทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สามารถคบค้าสมาคมกับผู้อื่นบ้านเรือนใกล้เคียงได้อย่างเป็นปกติสุข ถ้าการเจ็บป่วยเกิดขั้นบ่อยๆ ร่างกาย ทุพพลภาพ จิตใจ อารมณ์ผิดปกติ จะกลางเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการประกอบอาชีพ หรือการหารายได้มา เลย้ี งชพี ของตนและครอบครวั 1. ความหมายและความสำคญั ของสุขภาพ ความหมายของสขุ ภาพ สุขภาพ คือสภาวะอันสมบูรณ์ของร่างกาย สภาพจิตใจ และสังคมของบุคคล โดยไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ หรือไม่มีความบกพร่องใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้จะเป็นนิยามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนและมี ประเด็นปัญหาที่ตามมาจากการใช้คำว่า \"สมบูรณ์\" แต่ก็ถือว่านิยามนี้เป็นนิยามถูกได้รับการยอมรับมากที่สุด อย่ใู นตอนนี้ และเป็นเกณฑ์ทเี่ ป็นที่นยิ มมากท่ีสดุ ในการนยิ ามวดั องค์ประกอบของสภุ าพในปจั จุบัน ความสำคัญของสุขภาพ สุขภาพมีความสำคัญยิ่งต่อบุคลและสังคมในประเทศ เนื่องจากสุขภาพเป็นรากฐานของชวี ิต ซึ่งทำให้ บุคคลมีความแข็งแรง สามารถท่ีจะปฏบิ ัติงาน ศึกษาเล่าเรียน ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้อย่างมีความสขุ และประสบความสำเร็จ อนั จะสง่ ผลต่อเศรษฐกิจและการอยู่รว่ มกันในสงั คมได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ- เจ้า ได้ตรัสไว้เป็นพระพุทธภาษิตว่า “อโรคยา ปราลาภา” ซึ่งแปลว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ส่วนอารยประเทศทางตะวันตกก็ยังยอมรับว่า “สุขภาพคือพรอันประเสริฐสุด” (Health is the greatest blessing of all) และสภุ าษิตชาวอาหรับโบราณก็ยงั ได้กลา่ วไว้วา่ “คนทีส่ ขุ ภาพดีคือคนที่มีความหวัง และคน ที่มีความหวังคือคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง (He who has health has hope and he who has hope has everything) ” สำหรับในด้านการศึกษา สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อความเจริญงอกงามและ พัฒนาการทุกๆ ด้านในตัวบุคคล แม้ในสมัยกรีกโบราณก็ยังเล็งเห็นความสำคัญของสุภาพเป็นอันมาก โดย ปรชั ญาเมธี 2 ทา่ น คือ Plato และ Aristotle มีความคดิ เห็นสอดคล้องกันคือ “การทจ่ี ะให้การศึกษาทางด้าน อื่นๆนั้น สมควรที่จะให้เด็กมีสุขภาพดีเสียก่อน” ดังนั้น หากเด็กสุภาพไม่ดี แม้จะให้การศึกษาอบรมดี วิเศษ อย่างไร การศึกษาเล่าเรียนก็ย่อมจะไม่ได้รับผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือไร้ผลก็ได้ ในทางตรงข้ามกัน หากเด็ก สุขภาพดี การศึกษาเล่าเรียนย่อมดำเนินไปได้ด้วยดี เด็กย่อมจะสามารถนำความรู้หรือประสิการไปใช้ให้เป็น ประโยชน์ไดอ้ ย่างสมบรู ณ์

2 บทท่ี 1 ความหมายและความสำคญั ของสุขภาพ 2. สขุ ภาพแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. สุขภาพกาย 2. สุขภาพจิต สุขภาพกาย หมายถึง สภาพของร่างกายที่มีความเจริญเติบโต แต่พัฒนาการสมกับวัย สะอาด แข็งแรง สมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจบ็ และทุพพลภาพ พร้อมทั้งมีภูมคิ ุ้มกันโรคหรือความต้านทานโรคเปน็ อย่างดี สุขภาพจิต การมีสภาวะจิตใจที่ดี สดชื่นแจ่มใส และสามารถควบคุมสภาวะจิตใจให้คงที่ได้เป็นปกติ สามารถปรับตวั เขา้ กบั สงั คม สิ่งแวดล้อมไดด้ ี สามารถเผชญิ หน้ากบั ปัญหาตา่ งๆได้ดี และไม่มคี วามขัดแย้งหรือ สับสนั ภายในจติ ใจ 3. ความสำคัญของสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิต สุขภาพกายและสขุ ภาพจิตเป็นเร่ืองที่สำคญั อยา่ งมากสำหรับทุกคน เพราะการที่จะดำรงชีวิตได้อย่าง ปกตนิ ้นั จะต้องมีรา่ งกายท่ีแขง็ แรง และมจี ติ ใจท่มี คี วามสุข เพราะจะสง่ ผลใหก้ ารปฏิบัติกิจวตั รประจำวันไม่ว่า จะเป็นเรื่องเรียน การทำงานเป็นไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสุขภาพกายและ สุขภาพจิตไม่สมบรูณ์อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิกิจวัตรประจำวนั ลดลง ดังนั้นการที่เราหมั่นดูแล สุขภาพกายและสุขภาพอยู่ให้ดีอยู่เสมอจะส่งผลให้การดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีรา่ งกายทแ่ี ข็งแรงและจติ ใจทเ่ี ขม้ แข็ง ลกั ษณะของผทู้ ม่ี ีสุขภาพรา่ งกายทดี่ ี 1.) มีสขุ ภาพร่างกายทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณ์ 2.) อวยั วะต่างๆของรา่ ยกายทั้งภายในและภายนอกสามารถทำงานได้อยา่ งปกติ 3.) ร่างกายไมท่ พุ พลภาพ 4.) รา่ งกายเจริญเติบโตได้ตามปกติ 5.) ร่างกายตอ้ งไดร้ บั การพกั ผ่อนอย่างเพียงพอ ลกั ษณะของผ้ทู ีม่ สี ขุ ภาพจติ ท่ีดี 1.) มสี ภาวะอารมณท์ มี่ นั่ คง และสามารถควบคุมอารมณไ์ ด้ 2.) มคี วามกระตอื รอื รน้ ไมม่ ีความยอ่ ท้อ เหนอ่ื ยหนา่ ย หรือหมดหวงั ในชีวิต 3.) มคี วามสดช่นื เบิกบาน แจม่ ใส ไมเ่ ครยี ด ไม่มคี วามวิตกกงั วลใจจนเกินไป 4.) มคี วามรูส้ กึ ดๆี ต่อผู้อนื่ และมองโลกในแงด่ ี 5.) รู้จักตนเองและเข้าใจผูอ้ ่นื ดีเสมอ 6.) มคี วามเป็นตัวของตัวเอง และมคี วามเชอื่ มัน่ ในตัวเอง 7.) กลา้ เผชิญหน้ากับปัญหา และสามารถตดั สนิ ใจแก้ปัญหาไดอ้ ย่างถกู ต้องและรวดเร็ว

3 บทที่ 1 ความหมายและความสำคญั ของสขุ ภาพ 8.) สามารถปรบั ตัวเขา้ กบั สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มได้อย่างดี 9.) มีการแสดงออกอย่างเหมาะสม เมอื่ มีอะไรมากระทบกระเทือนจติ ใจ 10.) สามารถแสดงความยินดตี ่อผ้อู ่ืนอย่างจริงใจ 4. ความหมายและความสำคัญของสาธารณสุข ความหมายของสาธารณสขุ การสาธารณสุขเป็นวิทยาการ และศิลปะแห่งการป้องกันโรค การทำให้อายุยืนยาว การส่งเสริม อนามัย และประสิทธิภาพของบุคคล โดยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของชุมชนในเรื่องต่างๆ อันได้แก่ การ สุขาภิบาล สิ่งแวดล้อม การควบคุมโรคติดต่อ การให้สุขศึกษาเกี่ยวกับสุขวิทยาส่วนบุคคล การจัดบริการ ทางด้านการแพทย์และพยาบาล เพื่อการวินิจฉัยโรคตั้งแต่เริ่มแรก และให้การรักษา เพื่อมิให้ลุกลามต่อไป รวมทัง้ การพัฒนากลไกแห่งสังคม เพอื่ ให้ทุกคนมมี าตรฐานการครองชีพ ที่เพียงพอต่อการดำรงไว้ ซ่ึงอนามัยท่ี ดีของตน ความสำคญั ของสาธารณสุข นโยบายพัฒนาชนบทและเขตเมืองเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ในอันที่จะทำให้ประชาชนที่มี ฐานะยากจน ด้อยการศึกษา และมีสถานภาพทางสุขภาพต่ำ ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ส่วนที่ดีอยู่แล้วก็ให้รักษา ระดับไว้ได้หรือดียิ่งขึ้นไป ทั้งนี้เพราะรัฐบาลเล็งเห็นว่าสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะเอื้อต่อ การพัฒนาประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เร่งระดมทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาดำเนินการในการให้บริการ สาธารณสขุ ใหแ้ ก่ประชาชน แตบ่ รกิ ารสาธารณสุขเหลา่ นนั้ ยงั ไมส่ ามารถครอบคลุมประชากรสว่ นใหญไ่ ด้ ท้ังน้ี เพราะงบส่วนใหญ่นำไปใช้ในการจัดสร้างสถานบริการสาธารณสุขต่าง ๆ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์และสิง่ อำนวย ความสะดวกในการจัดบริการสาธารณสุข นอกจากมีงบประมาณจำกัดแล้ว การกระจายบุคลากรทาง การแพทย์และการสาธารณสุขยังอยู่ในสภาพที่ไม่สมดุลกันอีกด้วย โดยยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงหรือตาม เมืองใหญ่ และประชาชนยังขาดความรู้ในเรื่องสุขภาพอนามัยและประโยชน์ของสถานบริการสาธารณสุขของ รัฐที่มีอยู่ ด้วยเหตุนี้บริการสาธารณสุขที่รัฐจัดให้จึงเป็นบริการท่ีไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ทัน ถ้าหากไม่หา กลวิธีในการแก้ปัญหาเสียใหม่ ซึ่งกลวิธีนัน้ ก็คือ กลวิธีในการพัฒนาประชาชนใหเ้ กิดความรู้ความสามารถที่จะ ชว่ ยเหลอื หรอื ดำเนนิ การสาธารณสุขที่จำเปน็ ข้ันมูลฐานหรือข้ันพน้ื ฐานได้ดว้ ยตวั ของเขาเอง โดยวิธีการอย่าง นี้ก็จะมีงานสาธารณสุขที่ประชาชนทำได้และประชาชนทำไม่ได้ รัฐบาลจะทำในสิ่งที่ประชาชนทำไม่ได้ และ จะต้องพัฒนาให้ประชาชนเกิดความสามารถทำในสิง่ ท่ีเขาสามารถทำได้ โดยอาศัยวิทยาการและวิทยากรต่างๆ เมือ่ เป็นเชน่ นพ้ี อจะมองเหน็ ไดว้ ่าทรัพยากรไม่จำเป็นต้องเพิม่ ข้ึนมากมาย แตบ่ ริการสาธารณสุขที่จำเป็นขั้นมูล ฐานหรือขน้ั พ้นื ฐานสามารถเข้าถงึ ประชาชนได้อย่างทวั่ ถึงทกุ คน ดังนั้นการที่จะขยายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรในชนบทให้ได้มากยิ่งขึ้นนั้น จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องนำเอาประชาชนมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชุมชน และใช้ทรัพยากรใน

4 บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของสุขภาพ ท้องถิ่นที่มีอยู่ด้วยวิธีหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทั้งนี้โดยประสานความคิดและความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของ รัฐอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบของอาสาสมัครสาธารณสุข โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเรื่องต่าง ๆ ตลอดจนให้ ความรู้ด้านสาธารณสุขที่จำเป็นแก่อาสาสมัครสาธารณสุข ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนในชุมชนของ ตนเอง 5. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสุขภาพกับสาธารณสุข การที่ประชาชนจะสามารถดแู ลสุขภาพอนามัยของตนเองไดใ้ นระดบั หนงึ่ น้นั ประชาชนจะต้องเปลี่ยน พฤติกรรมและการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันไปในทางที่เหมาะสมขึ้น อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนพฤติกรรมของ มนุษย์ การเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่นั้น จะเป็นไปในระยะเวลาอันรวดเร็วได้ยาก เพราะตอ้ งอาศัยการเรียนรู้ การเห็นคุณคา่ การเห็นประโยชน์ และการเหน็ ความสำคัญของการดูแลตนเองและ ครอบครัว ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้เขาเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพซึ่งจะเป็นผลส่งให้ฐานะทาง เศรษฐกิจและทางสังคมดีและก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทั้งในส่วนของตนเองและในส่วนของสังคม จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้รัฐมองเห็นแนวทางที่จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตนเองและครอบครวั ได้มากขึน้ จนถึง ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีชาวบ้านเองก็มีความสนใจด้านการสาธารณสุขบ้างพอควร ได้พยายามขวนขวายที่จะ ช่วยเหลือตนเองอยู่แล้วแต่การที่เขายังไม่สามารถดูแลรักษาป้องกันตนเองด้านสุขภาพอนามัยได้เพียงพอนั้น เพราะยงั ขาดความรู้ ขาดหลักการและวะการปฏิบัตงิ านที่ถกู ต้อง ในสมัยที่การสาธารณสุขยงั ไม่เจริญและยังไม่ สามารถดูแลคนที่เจ็บป่วยในท้องถิ่นของตน โดยใช้ความรู้ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษและประสบการ ณ์ใน ชีวติ เชน่ การเป็น “หมอหรือแพทยแ์ ผนไทย” (Traditional Healer) พพี่ ยายามหาหนทางชว่ ยเหลือชาวบ้าน ด้วยกันให้หายจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย ยาที่ใช้รักษาโรคก็เป็นทรพั ยากรในทอ้ งถิ่น คือ สมุนไพรต่างๆ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมี “หมอตำแยหรือผดุงครรภ์โบราณ” (Traditional Birth Attendant หรือ TBA)ทำหน้าที่ช่วยเหลือดูแลหญิงในหมู่บ้านที่ตั้งครรภ์ ทำคลอดและช่วยบริบาลมารดาและทารกหลัง คลอดและตลอดระยะเวลาที่เรียกวันว่า “อยู่ไฟ” ซึ่งความสามารถในการดูแลช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันเกิด จากประสบการณ์การเรยี นรู้จากการกระทำซ้ำๆ บุคคลเหล่านี้ตงั้ แตเ่ ดมิ มามีคุณสมบัติท่ีหน้ายกย่องคอื กระทำ ด้วยใจรัก มีความรับผิดชอบสูง สิ่งแลกเปลีย่ นทีเ่ ขาไดร้ บั จากชาวบ้านด้วยกนั คือ ความนับถือและเชือ่ ถือ และ สินน้ำใจที่เป็นวัตถุน้ำใจเลก็ ๆน้อยๆ ถึงแม้ว่าการช่วยเหลือชาวบา้ นซึ่งกนั และกนั ซึ่งมีมาต้ังแตส่ มัยโบราณและ ยังคงอยู่จนปัจจบุ ันนี้มีหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่น้อย และเป็นการเส่ียงภัยอยูม่ ากก็ตาม ช่วยให้รัฐมองเหน็ วา่ ถ้าบคุ คลเหล่านม้ี ีความรู้ท่ีถูกต้องมากขน้ึ จะทำใหเ้ ขาสามารถดแู ลตนเอง และเพื่อนบ้านได้ดีข้ึน อีกครั้งจะ เกิดกำลังใจหรือแรงจูงใจที่จะร่วมมือกันให้มากขึ้น โดยรัฐจะต้องทำหน้าที่ให้ความรู้ ละหลักปฏิบัติ รวมทั้ง สร้างค่านยิ มท่ีถูกต้องให้

5 บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของสุขภาพ 6. ปญั หาสขุ ภาพ ปัญหาสุขภาพนับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้บุคคลได้รับบาดเจ็บอันตราย เกิดโรคภัยไข้เจ็บ พิการ หรือทุพพลภาพ สูญเสียทรัพย์สินและอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด ด้ายเหตุที่สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งใน ระดับโลกและระดับประเทศในปัจจุบันนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของเด็ก เยาวชน และประชาชน ทำให้ ชวี ิตของคนเรามีความเสีย่ งต่อภัยทางสขุ ภาพ เส่ียงต่อการติดเช้อื โรคและภยั อนั ตรายตา่ งๆในชีวิตประจำวัน สุขภาพกาย หมายถึง สภาวะของร่างกายที่มีความสมบูรณ์แข็งแรง เจริญเติบโตอย่างปกติ ระบบ ต่างๆของร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ร่างกายมีความต้านทานโรคได้ดี ปราศจาก โรคภัยไขเ้ จ็บและความทพุ พลภาพ - ปญั หาสุขภาพทางกาย สขุ ภาพกายเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผู้ที่มีอารมณ์หวน่ั ไหว วิตกกังวล หรือเครยี ด อาจจะมอี าการทอ้ งเดิน เมื่อเกิดความกลัว ก็อาจจะมีอาการปวดศีรษะ หรือเกิดอารมณ์ทางกายอื่น ๆ เมื่อเราตื่นเต้นตกใจก็จะทำให้ การหายใจเรว็ ขนึ้ ตวั ส่นั เป็นตน้ ดงั นั้น การทีค่ นเราจะมีรา่ งกายทส่ี มบรู ณ์ได้กค็ วรจะต้องมีอารมณ์อยู่ในภาวะ ที่สมบูรณ์ด้วย จากความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชดิ ของร่างกายและจิตใจนี้ จึงมีผู้กล่าวว่า จิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่ ในรา่ งกายที่สมบูรณ์ - แนวทางการสง่ เสรมิ สุขภาพกาย ส่งเสริมให้ประชาชนเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมดูแลและพัฒนาสุขภาพของตนเอง สร้างเสริม สุขภาพของตนเอง เช่น การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลายมีทุกมื้อ ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ ทำจิตใจให้เบิกบาน สขุ ภาพทางจติ ใจ หมายถึง สภาวะของจติ ใจท่ีมีความสดชน่ื แจม่ ใส สามารถควบคุมอารมณ์ให้มั่นคง เป็นปกติ สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดี สามารถเผชิญกับ ปญั หาตา่ งๆได้เป็นอยา่ งดี และปราศจากความขัดแยง้ หรือความสบั สน ภายในจติ ใจ - ปญั หาสขุ ภาพทางจติ คนสุขภาพจิตไม่ดี เมื่อเผชิญปัญหาในชีวิต จะเกิดอาการต่างๆทางจิตใจ อารมณ์ แสดงพฤติกรรม บางอย่าง หรือปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายซึ่งแสดงภาวะไม่สมดุล บางคนอาจมีอาการแสดงออกมา เลก็ น้อย เรยี กวา่ ปญั หาสุขภาพจิต หรือมีมากจนเปน็ กลุม่ อาการทเ่ี รยี กวา่ โรคทางจติ เวช - แนวทางการส่งเสริมสขุ ภาพจติ การฝึกสู้ปญั หาให้เกิดความเคยชิน ไม่หลบเลี่ยงปัญหา สร้างวิธีคดิ ที่ดี มองโลกในแง่ดี มองโลก หลาย มุมมอง มีทักษะในการจัดการอารมณ์ตนเอง ลดความเครียดลดอารมณ์เศร้าได้ด้วยตนเอง ปลุกปลอบใจให้ กำลังใจตนเองได้ สร้างแรงจูงใจในการกระทำส่ิงต่างๆ สร้างความรู้สึกดีต่อตนเอง ให้อภัยตนเองได้ มีกิจกรรม สร้างความสขุ และความสงบ

6 บทท่ี 1 ความหมายและความสำคัญของสุขภาพ สุขภาพทางสังคม หมายถึง ความสุขจากการอยู่ร่วมกันดว้ ยดใี นทุกระดับ คือ ในครอบครัว ในชุมชน ในท่ที ำงาน ในสังคมใหญ่ และในสงั คมโลก - ปญั หาสุขภาพทางสังคม การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาการหย่าร้าง มีผลกระทบทำให้เด็กใน สังคมไทยก่อปัญหาทางสังคมมากมาย ด้วยสาเหตุที่เด็กอยู่ในครอบครัวแตกแยก จะขาดความรัก ขาดการเอา ใจใส่ ขาดความอบอุ่น มีความรู้สึกไม่มั่นคง เนื่องจากลูกเคยชินต่อสภาพพ่อแม่ให้ความรัก ความอบอุ่น และ ความมั่นใจแก่เขา แต่ความสัมพันธ์แบบนี้ต้องถูกทำลายไป ทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อการพัฒนา บคุ ลิกภาพของบุคคล เชน่ เด็กท่ีเคยยึดพ่อแม่เปน็ แบบฉบับ ในเร่ืองค่านิยม อารมณ์ แบบของความประพฤติที่ ช่วยให้เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี แต่เมื่อครอบครัวถูกทำลายลง ลูก ๆ บางครั้งก็ไม่ทราบว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร ซ่ึง อาจทำให้เขาผิดหวัง และมีเรื่องที่ทำให้สะเทือนใจ กลายเป็นเด็กกระทำผิด เช่น การประพฤติผิดทางเพศ ตดิ ยาเสพตดิ และการเปน็ เดก็ จรจดั - แนวทางการสง่ เสริมสขุ ภาพทางสังคม การวางแผนการมีครอบครัวและจัดการกับอารมณ์และความเครียด สร้างทักษะชีวิต ซึ่งทักษะชีวิต เป็นความสามารถขนั้ พน้ื ฐานของบุคคลในการคิด ตดั สนิ ใจแกปัญหาและสามารถปรับตัวและเลอื กทางเดินชีวิต ท่เี หมาะสม ในการเผชญิ กบั สถานการณ์ต่างๆ ตามสภาพสังคมปจั จบุ ัน สุขภาพทางจิตวิญญาณ หมายถึงมีจิตสูง กล่าวคือมีความดี ลดละความเห็นแก่ตัว มีปัญญา มีการ เขา้ ถงึ สิ่งสงู สดุ ในทางพระพุทธศาสนาคอื พระนิพพาน ในศาสนาอน่ื หมายถงึ พระผูเ้ ป็นเจา้ - ปัญหาสขุ ภาพทางจิตวิญญาณ สุขภาวะทางจติ วิญญาณมีผลต่อสุขภาวะทางกาย ทางจิต และทางสังคม เปน็ ส่งิ จำเปน็ แก่ชวี ิต เพราะ ทำใหค้ วามอยรู่ อดเพม่ิ ขนึ้ ทกุ คนจงึ ควรสร้างสขุ ภาพทางจิตวญิ ญาณใหเ้ กดิ บ่อยขนึ้ และนานขึน้ จนเปน็ ธรรมดา - แนวทางการสง่ เสริมสขุ ภาพทางจติ วิญญาณ มีสติรู้จักฝึกฝนพัฒนาตนจนค้นพบศักดิ์ศรีและคุณค่าภายในตนเอง เติบโตงอกงามขึ้นเป็น ธรรมาธปิ ไตย บนพน้ื ฐานของคณุ ธรรม จรยิ ธรรม มเี หตผุ ล เคารพซง่ึ กันและกันมากขน้ึ 7. แนวคิดเกย่ี วกบั สุขภาพ สุขภาพเป็นคำที่ยากจะให้คำนิยามได้ตรงกันที่เราเข้าใจสืบต่อกันมาคือ“ ภาวะปราศจากโรคหรือ ความเจ็บป่วย” องค์การอนามัยโลกนิยามคำว่าสุขภาพคือ“ ภาวะสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายจิตใจและความ เป็นอยู่ในสังคมซึ่งไม่เจาะจงเพียงปราศจากโรคหรือทุพพลภาพเท่านั้น” สำหรับประเทศไทยพระราชบัญญัติ สขุ ภาพแหง่ ชาติ พ. ศ. 2550 และธรรมนญู วา่ ด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ. ศ. 2552 นิยามสขุ ภาพคือ“ ภาวะ ของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกายทางจิตทางปัญญาและทางสังคมเชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล” ใน ศตวรรษที่ 21 เกิดมุมมองว่า“ สุขภาพเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพรวมถึงสิทธิ

7 บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพ ครอบคลุมการมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดสุขภาวะด้วย” สุขภาพดีเป็นผลรวมปัจจัยดำรงชีวิตพอเพียงมีจิตใจ เบิกบานมีปญั ญาดีไม่เครยี ดไม่ถูกบบี คั้นครอบครัวอบอุ่นส่งิ แวดล้อมดีมคี วามเสมอภาคและสมานฉันท์ทำความ ดจี ิตใจเป่ยี มสขุ มีศาสนธรรมเปน็ เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสุขภาพดเี ปน็ เปา้ หมายสงู สดุ ของชวี ติ และสงั คมสุขภาพดี เปน็ ทงั้ อดุ มการณ์และสมบัตขิ องชาติ การศึกษาคำนิยามสุขภาพจากอดีตจนถึงปัจจุบันเราจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm) ของการนยิ ามสขุ ภาพโดยจากมุมมองปัจจยั ภายในระดับบุคคลไดข้ ยายไปเกี่ยวข้องปจั จยั ภายนอก เกีย่ วขอ้ งกับประชาชนวิถชี ีวิตสังคมและการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อให้เกิดความปลอดภัยต่อประชาชนความ เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันองค์ประกอบสุขภาพที่ได้รับกล่าวถึงมากขึ้นคือปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ ( Social determinant of health) เช่นความไม่เป็นธรรมทางสังคมอันได้แก่ 1) ปัจจัยเชิงปัจเจก ได้แก่ ครอบครัว การศึกษางานหรืออาชีพ 2) ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ได้แก่ การกระจายทุนการกระจายทรัพยากรการกระจาย อำนาจวัฒนธรรมกรอบแนวคิด และ 3) ปัจจัยภายนอก ได้แก่ สิ่งแวดล้อมและโลกาภิวัตน์เป็นต้นปัจจุบันเรา จะพบเห็นภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสุขภาพเช่นกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้กำหนดนโยบายหน่วยงานที่ออกกฎระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ มิติสุขภาพปัจจุบันจึงซับซ้อนมากขึ้นก่อนดำเนินการวางแผนพัฒนาสุขภาพผู้บริหารควร ได้ทบทวนมิตสิ ุขภาพด้านต่าง ๆ ใหเ้ ข้าใจอย่างถ่องแท้ 1.1 มติ ขิ องสุขภาพ 1. สุขภาวะทางกาย หมายถึง การมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีเศรษฐกิจพอเพียง มีสิ่งแวดล้อมดี ไม่มอี บุ ตั ภิ ยั เป็นตน้ 2. สุขภาวะทางจิต หมายถึง จิตใจที่เป็นสุข ผ่อนคลาย ไม่เครียด คล่องแคล่ว มีความเมตตา กรุณา มีสติ มีสมาธิ เปน็ ต้น 3. สุขภาวะทางสังคม หมายถึง การอยู่ร่วมกันด้วยดี ในครอบครัว ในชุมชน ในที่ทำงาน ในสังคม ในโลก ซึง่ รวมถึงการมีบรกิ ารทางสงั คมที่ดี และมีสันติภาพ เปน็ ตน้ 4. สขุ ภาวะทางปญั ญา (จิตวญิ ญาณ) หมายถงึ ความสุขอันประเสริฐท่เี กิดจากมีจติ ใจสูง เข้าถึงความ จริงทั้งหมด ลดละความเห็นแก่ตัว มุ่งเข้าถึงสิ่งสูงสุด ซึ่งหมายถึงพระนิพพาน หรือพระผู้เป็นเจ้าหรือความดี สงู สดุ สุดแล้วแต่ความเชือ่ มท่แี ตกต่างกันของแต่ละคน 1.2 มโนทศั นส์ ขุ ภาพ มโนทัศน์สุขภาพวิวัฒนาการมาหลายศตวรรษเริ่มจากความตระหนักระดับบุคคลครอบครัวชุมชน ท้องถิ่นประเทศจนถึงระดับโลกคำนิยามและมโนทัศน์สุขภาพที่ยังไม่ชัดเจนทำให้นักวิชาการและนักปฏิบัติ พยายามศึกษาถกเถียงและการวิพากษ์คำนิยาม“ สุขภาพ” ขององค์การอนามัยโลกปี ค. ศ. 1947 โดยเริ่มตั้ง คำถามวา่ “ สมบูรณ์ \"หมายถงึ อะไร? คำวา่ “ รา่ งกาย”“ จิตใจ” มีความหมายตา่ งกันอย่างไร? องคก์ ารอนามัย

8 บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพ โลกคิดถึงอะไรเมื่อใช้คำศัพท์ว่า“ สังคม”“ สุขภาวะ“ โรค”“ ทุพพลภาพ\" มานิยาม“ สุขภาพการศึกษา ความหมายคำศัพท์เหล่านี้เพื่อจะได้เข้าใจคำนิยาม“ สุขภาพ” ให้ชัดเจนมากขึ้นผลการวิพากษ์ได้นำไปสู่การ คน้ หามโนทัศนใ์ หม่ๆเพ่อื อธบิ ายความหมาย“ สขุ ภาพ” การทบทวนวรรณกรรมสรุปมโนทัศน์“ สขุ ภาพ” ดงั น้ี 1. มโนทศั นช์ วี วทิ ยาทางการแพทย์ (Biomedical Concept) 2. มโนทัศนน์ เิ วศวทิ ยา (Ecological Concept) 3. มโนทศั นจ์ ติ สังคม (Psychosocial Concept) 4. มโนทศั นอ์ งค์รวม (Holistic Concept) 1.มโนทัศนช์ ีววทิ ยาทางการแพทย์ (Biomedical Concept) มโนทัศน์ชีววิทยาทางการแพทย์นิยามสุขภาพคือ“ ปราศจากโรค” รากฐานมโนทัศน์มาจาก“ ทฤษฎี เชื้อโรค” โดยเปรียบร่างกายมนุษย์เสมือนเครื่องจักรเชื้อโรคทำให้เครื่องจักร (ร่างกาย) เสียห ายแพทย์เป็น ผู้รักษาโดยจัดการกับเชื้อโรคมโนทัศน์นี้ได้รับการวิพากษ์ว่าขาดมุมมองปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและสังคม จติ วทิ ยาวฒั นธรรมทร่ี ว่ มกำหนดสุขภาพมนษุ ยด์ ว้ ย 2.มโนทัศน์นิเวศวิทยา (Ecological Concept) มโนทัศน์นิเวศวิทยานิยามสุขภาพ คือ กลไกลสมดุลระหว่าง“ มนุษย์กับสภาพแวดล้อมมาปัจจัยด้าน นิเวศวิทยาของมนุษย์วัฒนธรรมการปรับตัวของมนุษย์ต่อสภาพแวดล้อมจะชี้บ่งถึงสุขภาพมโนทัศน์นี้มองว่า มนุษย์ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบและสภาพแวดล้อมก็ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบจึงต้องพึ่งพากันเมื่อ สภาพแวดล้อมไม่สมบูรณ์ก็จะส่งผลต่อร่างกายมนุษย์เช่นความเป็นอยู่อย่างแออัดการไม่มีบ้านและที่ดิน ประกอบอาชีพการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดการสุขาภิบาลความสะอาดบ้านท่ีอยู่อาศัยจากสภาพทางนเิ วศวิทยา ดงั กล่าวสง่ ผลต่อสขุ ภาพมนุษย์ 3.มโนทศั นจ์ ติ สังคม (Psychosocial Concept) มโนทัศน์จิตสังคมพัฒนามาจากแนวคิดด้านสังคมวิทยาโดยมีฐา นคิดว่าปัจจัยด้านสังคมส่งผลต่อ สุขภาพเช่นสังคมจิตวิทยาวัฒนธรรมเศรษฐกิจการเมืองสุขภาพเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งทางชีววิทยา สถานการณ์ด้านสังคมเช่นความเป็นอยู่ที่แออัดความยากจนระดับการศึกษาการจ้างงานการจำกัดการเข้าถึง สถานบริการสุขภาพทัศนคติและพฤติกรรมไม่เหมาะสมการไม่มีบ้านและที่ดินประกอบอาชีพการบริโภค สารอาหารครบตามหลักโภชนาการรวมถึงพฤติกรรมส่วนบุคคลเช่นพฤติกรรมทางเพศการสูบบุหรี่การ ดำรงชวี ิตเปน็ ตน้ สถานการณ์ดา้ นสังคมดงั กล่าวส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ 4.มโนทศั นอ์ งค์รวม (Holistic Concept) มโนทัศน์องค์รวมสังเคราะห์จากชีววิทยาทางการแพทย์นิเวศวิทยาและจิตสังคมโดยตระหนักถึง บทบาทของสังคมเศรษฐกิจการเมืองและสภาพแวดลอ้ มที่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์นอกจากนั้นสขุ ภาพมีนัย ที่บอกถึงจติ ใจทส่ี มบูรณ์ในร่างกายทสี่ มบูรณใ์ นครอบครัวทีส่ มบูรณ์ในสังคมที่สมบรู ณม์ โนทัศน์องค์รวมมุ่งเน้น

9 บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันมองสุขภาพเป็นองค์รวม (holistic) ประกอบด้วยความเกี่ยวข้องกันใน หลากหลายองค์ประกอบการเกิดมุมมอง“ สุขภาพ” ที่เปลี่ยนไปจะส่งผลต่อการจัดระบบบริการและการ วางแผนพัฒนาสุขภาพดังเช่นในอดีตนักสาธารณสุขมองว่าสุขภาพเกี่ยวข้ องกับเชื้อโรคจึงจัดระบบบริการ สุขภาพที่มุ่งให้การรักษาด้านการแพทย์เท่านั้นผลปรากฏการเพิ่มหน่วยบริการสุขภาพแต่เมื่อความรู้ด้าน สุขภาพก้าวหน้าและเกิดมโนทัศนส์ ุขภาพใหม่ ๆ จึงได้เสนอมุมมองสุขภาพครอบคลุมกวา่ อดตี เชน่ มองสุขภาพ เปน็ องค์รวมมโนทัศนส์ ุขภาพแนวใหมไ่ ด้รวมมิติทางกายจติ ใจสังคมสตปิ ัญญาจิตวิญญาณความสัมพันธ์กับด้าน สังคมการเมอื งและเศรษฐกิจตลอดจนสง่ิ แวดล้อมบูรณาการเปน็ สุขภาพของบุคคล การเปลย่ี นแปลงในมิติหนึ่ง จะส่งผลต่ออื่นๆด้วยเช่น บุคคลออกกำลังกายเป็นประจำกับหมู่คณะ นอกจากสุขภาพดีแล้ว ยังส่งผลต่อ สขุ ภาพจิตใจและสขุ ภาพสังคมดว้ ย 8. ประวัติศาสตร์การกอ่ ตัง้ กระทรวงสาธารณสุข กอ่ นจะเป็น “กระทรวงสาธารณสุข” จากหนังสืออนุสรณ์สาธารณสุข ครบ 15 ปี ซึ่ง “พระบำราศนราดูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข” ได้รวบรวมประวัติศาสตร์กระทรวงสาธารณสุข เริ่มตั้งแต่ก่อนยุคก่อนก่อตั้งจนกระทั่งจัดตั้งข้ึน เป็นกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินงานด้านการแพทย์ การรักษาพยาบาล รวมไปถึงการสาธารณสุขของ ประเทศ จุดเริ่มต้นกระทรวงสาธารณสุข เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2431 โดยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้ง “กรมการพยาบาล” ขึ้น เพื่อควบคุมดูแลกิจการศิริราชพยาบาล พร้อมทั้งมี หน้าที่จัดการศึกษาวิชาแพทย์ จัดการปลูกฝีเป็นทานแก่ประชาชน สันนิษฐานว่า กรมพยาบาลขึ้นตรงต่อองค์ สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เพราะพระองค์เจ้าศรีเสาวภางคร์ าชเลขาธิการสว่ นพระองค์ ทรงเป็นอธบิ ดี และต่อมาได้ ย้ายมาสังกัดกระทรวงธรรมการ ภายหลังจากพระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์สิ้นพระชนม์ และได้เริ่มมี “แพทย์ ประจำเมือง” ขึ้น มีการนำยาตำราหลวงออกจำหน่ายในราคาถูก พร้อมทั้งได้ตั้ง “กองแพทย์ป้องกันโรค ระบาด” ต่อมา พ.ศ. 2448 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกรมพยาบาลและตำแหน่งอธิบดีกรมพยาบาล และให้โรงพยาบาลสังกัดกรมพยาบาลไปขึ้นอยู่ในกระทรวงนครบาล ยกเว้นโรงพยาบาลศริ ิราชพยาบาล คงให้ เป็นสาขาของโรงเรียนราชแพทยาลัย ส่วนกองโอสถศาลารัฐบาล กองทำพันธุ์หนองฝี กองแพทย์ป้องกันโรค และแพทยป์ ระจำเมอื ง ยงั คงสังกัดอยใู่ นกระทรวงธรรมการตามเดมิ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2455 ได้มีการจัดตั้งกรมพยาบาลขึ้นอีกครั้ง ภายหลังจากที่พระยามหาอำ มาตยาธิบดี (เส็ง วิริยศริ )ิ เดนิ ทางไปประเทศฟิลปิ ปนิ ส์ และพบเหน็ การรกั ษาพยาบาลปอ้ งกันโรค ตลอดจนวิธี ปลูกฝี จึงได้ถวายรายงานขึ้นนำกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้รีบจัดวางระบบ ปอ้ งกันโรคระบาดในขณะนนั้ ได้แก่ โรคฝีดาษ อหวิ าตกโรค กาฬโรค และไข้พิศม์ โดยแตง่ ต้งั พระยาอมรฤทธิ

10 บทที่ 1 ความหมายและความสำคญั ของสขุ ภาพ ธำรง (ฉี บุนนาค) เป็นเจ้ากรมพยาบาลคนแรก หลังจากนั้น ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2459 ได้เปลี่ยนเป็น “กรมประชาภิบาล” เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นต้องการปรับปรุงงานด้านสาธารณสุขให้ กว้างขวางและก้าวหน้ามากขึ้น จึงความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อขอ พระบรมราชานญุ าตในการเปล่ียนชอ่ื ทง้ั น้วี นั ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ไดม้ กี ารปรับเปล่ยี นอีกครั้ง โดยไดเ้ ปลย่ี นจากกรมประชาภิบาล เป็น “กรมสาธารณสุข” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมมหาวิทยาลยั เป็นอธิบดกี รมสาธารณสขุ ” และอย่ภู ายใต้สังกดั กระทรวงมหาดไทย จากกรมสาธารณสขุ เป็นกระทรวงสาธารณสุข จอมพล ป.พิบลู สงคราม 24 ปีต่อมา ในช่วง พ.ศ. 2485 หลังการปฏิรูปการปกครองประเทศ ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงได้มกี ารสถาปนากรมสาธารณสุขข้ึนเปน็ “กระทรวงสาธารณสุข” พร้อมทั้งมี การรวบกิจการแพทย์และสาธารณสุขที่กระจัดกระจายในหลายหน่วยงาน เช่น กรมสาธารณสุข กรม ประชาสงเคราะห์ กองสุขาภิบาล โรงเรียนของกรมพลศึกษา การสาธารณสุขและการแพทย์ของเทศบาล แผนกอนามัย และสุขาภิบาลของกรมราชทัณฑ์ กองเภสัชกรรมและโรงงานเภสัชกรรมไทยของกรม วทิ ยาศาสตร์ กระทรวงการเศรษฐกจิ และกจิ การของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทีเ่ กีย่ วกบั แพทยศาสตร์เหล่าน้ี ใหม้ ารวมอยู่ ภายใตก้ ารควบคุมของหน่วยงานเดยี ว นอกจากนีย้ ังได้ถือวันที่ 10 มนี าคม เปน็ วนั สถาปนากระทรวงสาธารณสขุ โดยถือตามพระราชบัญญัติ และพระราชกฤษฎกี าทเี่ ก่ียวข้อง ซ่ึงได้ประกาศในหนงั สือราชกจิ จานเุ บกษา คือ 10 มนี าคม 2485 แตต่ ่อมาได้ มีการเปลี่ยนวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุขเป็นวันที่ 27 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันสถาปนากรมสาธารณสุขใน กระทรวงมหาดไทย เมื่อ พ.ศ. 2461 และได้นำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย จึง เป็นอนั ว่า “วนั สถาปนากระทรวงสาธารณสุข เป็นวนั ท่ี 27 พฤศจิกายน ตงั้ แต่ พ.ศ. 2509” เปน็ ต้นมา ประวัติทต่ี ั้งกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยแรกเริ่มต้นจัดตั้งกรมพยาบาล ราว พ.ศ. 2456 สถานที่ตั้งอยู่ใน “กระทรวงมหาดไทย” จนกระทง่ั พ.ศ. 2459 ไดเ้ ปลยี่ นช่อื เป็นกรมประชาภิบาล และ พ.ศ. 2461 เปน็ เปลย่ี นเป็นกรมสาธารณสุข แต่ ยังคงอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงมหาดไทย จนกระทั่งสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการรว มกิจการ แพทย์และสาธารณสุขให้อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานเดียว จึงได้สถาปนาขึ้นเป็น “กระทรวง

11 บทที่ 1 ความหมายและความสำคญั ของสุขภาพ สาธารณสุข” เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2485 และได้ย้ายมาอยู่ที่ “วังศุโขทัย” เมื่อวันท่ี 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 โดยเชา่ อาคารต่าง ๆ จากสำนักงานทรัพย์สนิ ส่วนพระมหากษตั รยิ ์ คา่ เชา่ เดอื นละ 5,000 บาท ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขตั้งอยู่ที่วังศุโขทัยเป็นเวลานานถึง 8 ปี มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข 10 ท่าน จนกระทั่งในสมัยที่พระยาบริรักษเวชชการ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุข นายกรฐั มนตรี ได้มบี ญั ชาใหส้ ำนกั งานพระราชวังจดั เตรียมวังศโุ ขทัย ใหเ้ ปน็ ท่ีประทับของสมเด็จ พระนางเจา้ รำไพพรรณี พระยาบริรกั ษเวชชการ จงึ ไดเ้ สนอขออนุมัติซื้อ “วังเทวะเวสม์” เพ่ือเป็นทีท่ ำการของ กระทรวงสาธารณสุขต่อมา ได้รับความอนุเคราะห์ให้ยืมเงินจากโรงงานยาสูบและกรมสรรพสามิต มาจ่ายก่อน 2,500,000 บาท และต่อมาได้ซื้อเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเปน็ เงิน 4,580,000 บาท ได้อาคารรวม 6 หลงั มเี นอ้ื ท่ี 14 ไร่ 3 งาน 9 ตารางวา และจากน้ันไดย้ ้ายทท่ี ำการออกจากวังศุโขทัย มาอยูว่ ังเทวะเวสม์ ต้งั แต่วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 สำหรับการบูรณะระยะต้น ได้แก่ การจัดทำเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เดิมมีเพียงเขื่อนไม้ซึ่งชำรุด จงึ ไดข้ อความร่วมมือจากกรมชลประทาน ซง่ึ สมัยนั้น ม.ล.ชูชาติ กำภู ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน ได้ ช่วยปรับปรุงเปลี่ยนเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กมีรั้วริมเขื่อนตลอด และถมดินบริเวณริมแม่น้ำ ตั้งเสา คอนกรตี ติดโคมไฟรมิ เขือ่ นเป็นระยะ ๆ รวมค่ากอ่ สร้างทง้ั หมด 460,000 บาท ตอ่ จากนน้ั ใน พ.ศ. 2498 สมยั พลโทประยรู ภมรมนตรี เป็นรฐั มนตรี ได้ขยายถนนคอนกรตี จากประตู ทางเข้าจนจดริมแม่น้ำให้กว้างกว่าเดิม ย้ายเสาไฟฟ้าและโทรศัพท์ออกไปอยู่ริมถนนที่ขยายใหม่ ขยายประตู ดา้ นหน้า ทำเสาประตใู หม่ และยงั ฝงั ทอ่ ถมคู และบ่อพกั น้ำ ถมดนิ ที่สนามหน้ากระทรวงให้สูงกว่าเดมิ รวมทั้ง ขยายลานจอดรถ โดยใชง้ บประมาณอีก 365,583.25 บาท การลงทุนในระยะ 5 ปีแรก รวมทั้งสน้ิ 7,905,583 บาท กับอีก 1 สลึง ภายหลังเมื่อปี พ.ศ. 2505 กระทรวงสาธารณสุขได้ขอซื้อที่ดินจากหม่อมเจ้าอัจฉราฉวี เท วกลุ และให้มีการก่อสร้างตกึ 3 ช้นั ขึน้ เพ่อื ขยายบรเิ วณทท่ี ำการของกระทรวงท่เี รมิ่ คบั แคบ ต่อมากระทรวงสาธารณสุข ณ วังเทวะเวสม์ ได้มีการขยายหน่วยงานงานเพิ่มขึ้น จึงเริ่มเกิดปัญหา ความแออัดขึ้นอีก ทั้งด้านสถานที่ทำงานและการจราจร นับวันปัญหากย็ ่ิงเพิ่มมากขึน้ ผู้บริหารจึงแนวคิดท่จี ะ ย้ายกระทรวงสาธารณสุขเพื่อแก้ปัญหาความแออัดดังกล่าว ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่ งมีพื้นที่ ติดต่อกระกระทรวงสาธารณสุขขณะนั้น มีความประสงค์จะขยายพื้นที่ปฏิบัติงานในปี พ. ศ. 2526 ด้วยเหตุน้ี จึงเห็นชอบและตกลงกันให้กระทรวงสาธารณสุขจะย้ายไปปลูกสร้างใหม่แทน ทั้งนี้ที่ตัง้ กระทรวงสาธารณสุข

12 บทที่ 1 ความหมายและความสำคญั ของสขุ ภาพ แห่งใหม่ อยู่ที่ จ.นนทบุรี เป็นการขอใช้ที่ดินส่วนหนึ่ง ประมาณ 400 ไร่ ของโรงพยาบาลศรีธัญญา ซึ่งที่ดิน ดังกล่าว ศาสตราจารย์นายแพทย์หลวงวิเชียรแพทยาคม อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลโรคจิต ธนบุรี (โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา) ได้มองเห็นการณ์ไกลจัดซื้อไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโรงพยาบาลและ สร้างนิคมโรคจิต ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการในการเสนอโครงการย้ายกระทรวง และได้เริ่มดำเนินการ ก่อสร้างในปี พ. ศ. 2534 และแลว้ เสร็จในปี 2537 ซง่ึ เปน็ ทต่ี ้งั ของกระทรวงสาธารณสุขมาจนถงึ ปจั จุบัน ที่มาตราสัญลกั ษณก์ ระทรวงสาธารณสุข หลังจัดตั้งกระทรวงสาธารณสุขข้ึนแล้ว ทางราชการได้กำหนดรูป “คบเพลิงมีปีกและมงี ูพันคบเพลิง” เป็นเครอ่ื งหมายของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ “คธาของเอสกูลาปิอุสที่มีงูพันอยู่โดยรอบ” นั้น แพทยสมาคมอเมริกันได้นำมาใช้เป็น เครอื่ งหมายประจำสมาคมอยู่แลว้ โดยตำนานเครือ่ งหมายนมี้ ีว่า ในสมัยประมาณ 1,200 ปี ก่อนคริสตกาล ในขณะที่เอสกูลาปิอุสกำลังทำการบำบัดโรคให้แก่ผู้ป่วย รายหนึง่ ซงึ่ มีนามวา่ กลอคุส (Glovcus) ภายในสถานทที่ ำงานของเขาน้ันมีงูตวั หน่ึงเล้ือยเข้ามาและข้ึนพันคธา ของหมอโดยการณ์ปรากฎเชน่ นจ้ี ึงเป็นที่เชื่อถือกนั ในครง้ั นั้นวา่ งตู ัวนัน้ ได้บนั ดาลใหห้ มอ เอสกลู าปอิ สุ มีความ เฉลียวฉลาดสามารถในการบำบัดโรคยิ่งนัก เพราะในสมัยโบราณนับถือว่างูเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบันดาลให้เกิด ความมั่งคั่งสมบูรณ์ของบ้านเมือง และทำให้โรคต่าง ๆ หายได้ งูในกาลก่อนจึงนับว่าเป็นเครื่องหมายแห่ง สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด อำนาจและสุขภาพอันดี ส่วนคธานั้นคือ เครื่องหมายแห่งการป้องกันภัยต่างๆ และเป็นประดจุ เครอื่ งนำและชว่ ยเหลือสำหรับผ้ทู ี่ศกึ ษาในทางวทิ ยาศาสตร์ ส่วนไม้ศักดิ์สิทธิ์ (Caduccus) ซึ่งมีลักษณะเป็นคธาเกลี้ยง มีปีก และมีงูพันอยู่ 2 ตัว มีตำนานว่าเม่ือ ประมาณ 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล วันหนึ่งในขณะที่เทพเจ้าอะปอลโลกำลังท่องเที่ยวอยู่ในดาร์คาเดีย (Arcadia) ไดพ้ บงู 2 ตวั กำลงั กัดกันอยู่ โดยมิประสงค์จะให้สัตว์ศกั ด์ิสทิ ธิ์นตี้ อ่ สู้และประหตั ประหารกันอะปอล โลจงึ ไดใ้ ช้ไม้เท้าทถี่ ือนั้นแยกงูทัง้ สองออกจากกันเสยี ไมเ้ ท้านั้นจงึ ไดก้ ลายเป็นเครอ่ื งหมายแห่งความสงบต้ังแต่ นั้นมา ภายหลงั ได้มีผูเ้ ติม ปกี 2 ปีก ติดกบั หวั ไม้เท้านั้น ซ่ึงแสดงถงึ ความว่องไวและปราดเปรยี ว

13 บทที่ 1 ความหมายและความสำคญั ของสขุ ภาพ ทั้งนี้ เครื่องหมายคธามีปีกและงูพัน 2 ตัวนี้ เริ่มนำมาใช้เป็นเครื่องหมายของผู้มีวิชาชีพแพทย์ โดย เซอรว์ ลิ ลเลยี ม บัตต์ส (Sir William Butts) นายแพทยป์ ระจำพระองค์ พระเจา้ เฮ็นร่ีท่ี 8 ประมาณในเวลาใกล้ ๆ กันน้นั คือ ในราวคริสศตวรรษที่ 16 โยฮนั น์ โฟรเบน (Johann Froben) ผมู้ ีอาชพี สำคญั ในทางพิมพ์หนังสือ เกีย่ วกับการแพทย์ ไดใ้ ชเ้ คร่อื งหมายนี้พมิ พ์ท่ปี กหนงั สือเปน็ เคร่ืองหมายการค้าของเขา พระประวัติ “สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้ารังสิตพระยูรศักด์ิ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร” ทรงเป็นพระราชโอรส พระองค์ที่ 52 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดา ม.ร.ว. เนือ่ ง (สนิทวงศ)์ ประสตู ิเมอ่ื วนั พฤหัสบดี เดือน 12 ขึน้ 6 คำ่ ปีระกา ตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2428 ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อพระชันษาได้ 12 วัน เจ้าจอมมารดาถึงแก่อนิจกรรม สมเด็จพระปิยมหาราช ทรงยกให้เป็นพระ ราชโอรสของสมเด็จพระนางเจา้ สวา่ งวัฒนา พระองคเ์ จ้ารงั สิตประยูรศักดิ์ ทรงศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวงั และ เสด็จ ไปศึกษาชั้นมัธยม ณ เมืองฮัสเบอรสตัด ประเทศเยอรมนี ในปี พ.ศ. 2442 จากนั้นทรงเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์กโดยทรงพระประสงค์ที่จะศึกษาวิชาแพทย์ แต่ในระยะแรกทรงศึกษาวิชากฎหมาย ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ตอ่ มาจึงทรงเปล่ียนไปเรียนวิชาการศึกษา และยังทรงเข้าเรียนวิชาที่เกี่ยวกับการแพทย์บางอย่างเป็นส่วนพระองค์กับศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยน้ัน ด้วย พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ทรงสำเร็จการศึกษา เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ \"กรมหมื่น ชัยนาทนเรนทร\" เมื่อ พ.ศ. 2457 ทรงรับราชการตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง กระทรวงศึกษาธิการ และทรง เป็นผู้บัญชาการโรงเรียนราชแพทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2458 ทรงปรับปรุงหลักสูตรการเรียนให้ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการพยาบาลผดุงครรภ์ ซึ่งในสมัยนั้นยังนิยมใช้การแพทย์แผนโบราณ คลอดบุตรโดยหมอตำแยกัน อยู่ ทรงส่งเสริมให้ข้าราชบรพิ ารในสมเด็จพระศรีสวรนิ ทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เข้าเรียนต่อ หลักสูตรของศิริราชพยาบาล ให้สนใจศึกษาวิชาแพทย์และพยาบาลแผนปัจจุบันให้มากขึ้น ทรงปลูกฝังความ

14 บทที่ 1 ความหมายและความสำคญั ของสขุ ภาพ นิยมในการเรียนแพทย์ให้เป็นที่แพร่หลาย จัดการศึกษาในโรงเรียนแพทย์ให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้พระองค์ ท่านยังเปน็ ผูโ้ นม้ นา้ วสมเดจ็ เจา้ ฟ้ามหิดลอดุลยเดช ให้ทรงสนพระทยั วชิ าการแพทย์ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักด์ิได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวพรอยไลน์ เอลิซาเบธ ชาร์นแบร์เกอร์ ณ สำนักทะเบียนอำเภอเวสต์มินสเตอร์ กรุงลอนดอน ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2455 แล้วเสด็จกลับเมืองไทย ประทับที่ ตำหนกั บรเิ วณถนนหลวง ขา้ งวดั เทพศิรินทรแ์ ละทรงเข้ารบั ราชการในกระทรวงธรรมการ ● 6 สิงหาคม พ.ศ. 2456 ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง กระทรวง ธรรมการ ● 11 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2457 โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปน็ นายหมวดโท ในกองเสือปา่ ● 17 มกราคม พ.ศ. 2457 พระราชทานพระสพุ รรณบัฏต้ังเปน็ กรมหมนื่ ชัยนาทนเรนทร ● 13 เมษายน พ.ศ. 2453 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้บัญชาการ โรงเรียนราชแพทยาลัย ซึ่งพระองค์ ได้ทรงจัดระเบียบโรงเรียนราชแพทยาลัยและศิริราชพยาบาล แก้ไขขยายหลักสูตรวิชาแพทย์ วิชาเภสัชกรรม วชิ าพยาบาล และผดุงครรภต์ ามแนวปจั จุบนั ● 25 มกราคม พ.ศ. 2458 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกองตรีในกองเสือป่า และเป็นผู้บังคับการ กรมนักเรียนแพทยเ์ สือป่าหลวง ● 27 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2459 โปรดเกลา้ ฯ ให้เปน็ นายกองโท ในกองเสือป่า ● 13 มีนาคม พ.ศ. 2460 โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปน็ นายกองเอก ในกองเสือปา่ ● 19 มีนาคม พ.ศ. 2460 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายพันตรีพเิ ศษทหารบก ● 6 เมษายน พ.ศ. 2460 โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปน็ อธิบดีกรมมหาวิทยาลยั ซง่ึ ตั้งขน้ึ ใหม่ ● 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ป็นอธิบดกี รมสาธารณสขุ ซึง่ สถาปนาในวนั นน้ั ● 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2465 โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ลอื่ นขนึ้ เป็นกรมขุนชัยนาทนเรนทร พระองค์เจ้ารังสิตฯ ทรงรับราชการเป็นเวลา 12 ปี ก็กราบถวายบังคมทูลลาออกจากราชการในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2468 เนื่องจากพระอนามัยไม่สมบูรณ์ และทรงสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2486 พระชนมายไุ ด้ 58 พรรษา

15 บทท่ี 1 ความหมายและความสำคัญของสขุ ภาพ บรรณานุกรม จารวุ รรณ ธาดาเดช และ ปิยธิดา ตรีเดช. 2560. การวางแผนพฒั นาสขุ ภาพและการจัดการ. พมิ พค์ รั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ ; มหาวิทยาลยั มหดิ ล. ประกาย จโิ รจน.์ 2556. แนวคดิ ทฤษฎีจากการสรา้ งเสริมสขุ ภาพและการนำไปใช.้ นนทบุรี ; สถาบนั พระบรมราชชนกสกั กัดกระทรวงสาธารณะสุข. เอมอชั ฌา (รัตน์รมิ จง) วัฒนบุรานนท.์ 2556. หลักการทางสขุ ศกึ ษา. กรงุ เทพฯ ; โอเดียนสโตร.์ https://www.doctor.or.th/article/detail/5694?fbclid=IwAR3kHNNm5zf1gTf- SEXn3pxQazPPAZDYJ7Colllc1yk6NGlUThZg78SE8_o https://sites.google.com/site/bodyhelpcenter/khwam-sakhay-khxng-sukhphaph-thi- khwr-ru?fbclid=IwAR3kHNNm5zf1gTf-SEXn3pxQazPPAZDYJ7Colllc1yk6NGlUThZg78SE8_o https://preaw03.blogspot.com/2011/08/blog-post.html?m=1&fbclid=IwAR1n64ngsXR- CHUvMYS4Fcl8_OQMDs03nqEU18IXH9TcOW0PQEvEb9P_bZA

บทที่2 ระบบสุขภาพไทยและนานาชาติ 1. ความหมายของระบบสุขภาพ ความหมายของระบบสุขภาพหากพิจารณาความหมายของคำว่า “ ระบบสุขภาพ” จะเห็นได้ว่า ประกอบดว้ ยคำยอ่ ยสองคำคือ “ ระบบ” และ “สขุ ภาพ” ระบบ หมายถึง องค์ประกอบซึ่งอย่างน้อยมีตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขึ้นไปและรวมถึงความสัมพันธ์ของ องค์ประกอบนั้น ๆด้วยเช่นระบบอวัยวะของมนุษย์ประกอบด้วยองค์ประกอบคืออวัยวะต่าง ๆและ ความสมั พันธข์ องอวยั วะต่าง ๆเหล่านั้นท้ังในเชิงโครงสรา้ งตำแหน่งหน้าท่กี ารทำงานลำดับช้ันเปน็ ต้น สุขภาพ หมายถึง สุขภาวะที่สมบูรณท์ ั้งมิติทางด้านรา่ งกายจิตใจและสังคมโดยมิได้หมายถึงเฉพาะการ ไม่ป่วยหรอื ไม่พกิ ารทา่ นนั้ (องค์การอนามัยโลก 2517) 2. องคป์ ระกอบของระบบสุขภาพ 2.1. งานบรกิ ารสขุ ภาพ งานให้บริการสุขภาพเป็นงานสำคัญที่สุดในระบบสุขภาพ ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานทีน่ ำไปสูส่ ุขภาวะของ ประชาชน ซ่ึงอาจมรี ปู แบบท่ีมีความแตกต่างกนั ในแต่ละประเทศ แต่มอี งค์ประกอบหลักๆ ทีส่ ำคัญ ได้แก่ การ มีเครือข่ายที่ให้บริการครอบคลุมตามความจำเป็นของประชาชนในกลุ่มเป้าหมาย ซ่ึงรวมถึงงานป้องกัน งาน รักษา งานฟื้นฟูสภาพ และงานสร้างเสริมสุขภาพ มีการเข้าถึงบริการของประชาชนการให้บริการไปถึงระดับ ชมุ ชน ระบบบรกิ ารสขุ ภาพนต้ี ้องมีการกำหนดขอบเขตการคุ้มครองค่าบริการสุขภาพให้แก่ประชาชนทกุ คน มี ความต่อเนื่องในกระบวนการรักษา มุ่งเน้นที่ “คน” เป็นศูนย์กลางในการให้บริการ ไม่ใช่ “โรค” หรือตัวเงิน เป็นหลัก ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกำหนดรปู แบบการให้บริการและการประเมินผลด้วย จะได้เข้าใจถึง แหล่งที่มาของกองทุน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในกระบวนการ ร่วมกันรับผิดชอบ ปลูกฝังให้ประชาชนดูแลสุขภาพ ก่อนทจ่ี ะป่วย 2.2. กำลังคนด้านสขุ ภาพ การบริหารจัดการทรัพยากรคน-เงิน-ของ ที่มีอยู่ทั้งหมด ให้บรรลุเป้าหมายให้ประชาชนในประเทศมี สขุ ภาพดีนั้น ประเด็นเร่อื งกำลังคนดา้ นสุขภาพกต็ ้องอาศัยบุคลากรท่ีมีความรู้ ทักษะ แรงจูงใจและรับผิดชอบ งานให้บริการสุขภาพ นอกจากนั้น จำนวนของบุคลากรที่เหมาะสมก็มีส่วนที่ทำให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพดีขึ้นได้ เช่นกัน บุคลากรด้านสุขภาพหมายรวมถึง บุคลากรทุกสาขาวิชาชีพด้านสุขภาพ ทั้งที่ทำงานภาครัฐและ ภาคเอกชน เต็มเวลาหรือทำงานกึ่งเวลา ทำงานเดียวหรือควบหลายงาน สร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นในการพัฒนา งานบริการของประเทศ ปัจจุบันบุคลากรทั้งส่วนบริการและวิชาการจึงทำงานเหมือนกัน ต่างคนต่างทำ และ ทำงานหนักทั้งสองส่วน นอกจากปัญหาการผลิตบัณฑิตสาขาสุขภาพแล้ว ยังมีปัญหาเรื้อรังเรื่องค่าตอบแทนตามภาระงาน (Pay for performance; P4P) ที่ยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรด้านสุขภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม

17 บทที่ 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ บทบาทขององค์กรวิชาชีพในสาขาต่าง ๆ ต้องมีส่วนร่วม ชี้แนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาครวมของ ประเทศและของภูมิภาค การคิดแก้ไขปญั หาแบบแยกเปน็ สว่ นๆ หรือคดิ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะเป็นคราวๆ ไป นอกจากไมท่ ำใหร้ ะบบสขุ ภาพม่ันคงแขง็ แรงแล้ว ยงั ซำ้ เติมใหเ้ กดิ ปญั หาท่เี รอ้ื รังมากขนึ้ 2.3. ระบบสารสนเทศดา้ นสุขภาพ ข้อมูลสารสนเทศท่ีเชื่อถอื ได้จะถูกนำไปใชเ้ ปน็ ฐานในการตัดสนิ ใจในทัง้ 6 เสาหลักของระบบสุขภาพ และยังมีบทบาทในการนำเอานโยบายระบบสุขภาพไปปรบั ใช้ ควบคุม ดำเนินการทำวิจัยเพื่อพัฒนา แก้ไข ใน ประเด็นปัญหาต่าง ๆ อาทิเช่น งานให้บริการ กำลังคน และกลไกการคลังด้านสุขภาพ ระบบสารสนเทศยังใช้ ติดตามและประเมินผล จัดการเวชระเบียน กระบวนการรักษา วิเคราะห์แผน สร้างโจทย์งานวิจัย สื่อสาร ข่าวสารไปยงั ประชาชนกลุ่มเป้าหมายตา่ ง ๆ 2.4. การเขา้ ถึงยาและเวชภัณฑท์ จ่ี ำเป็น องคก์ ารอนามยั โลกได้กำหนดกรอบการทำงาน ที่ตอ้ งมกี ลไกในระบบสุขภาพท่เี อ้ือใหป้ ระชาชนเข้าถึง ยา วัคซีน และเทคโนโลยีที่จำเป็น ซึ่งต้องมีคุณภาพและความคุ้มค่ากับราคา อาจกำหนดเป็นบัญชียาและ เวชภัณฑ์ แนวทางปฏิบัติ หรือเป็นมาตรฐานในระดับชาติ แสดงขั้นตอนและวิธีการกำหนดราคา สถานภาพ การต่อรองราคา กำหนดมาตรฐานและคุณภาพของยาและเวชภัณฑ์ที่เข้าสู่ตลาดภายในประเทศ ระเบียบการ จัดซื้อ การจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ระบบสุขภาพที่เข้มแข็งต้องเน้น มาตรการ “การใชย้ าอย่างเหมาะสม” เพือ่ เป็นการลดอุบตั ิการณ์เช้ือด้ือยา เพิม่ ความปลอดภยั ของผู้ป่วย และ ฝกึ อบรมบคุ ลากร 2.5. กลไกการคลังด้านสขุ ภาพ การคลังดา้ นสขุ ภาพเป็นรากฐานสำคญั ทจี่ ะหลอ่ เลีย้ งระบบสขุ ภาพด้วยกลไกการจา่ ย เก็บสะสม หรอื แบง่ ปนั ไปให้เกดิ งานบรกิ ารท่ียังขาดไปในระบบ หรือแบ่งปันใหเ้ กดิ แรงจงู ใจของบุคลากร หรือเอาไปซ้ือยาและ เวชภณั ฑ์ ใหค้ รอบคลุมงานบริการสุขภาพท่จี ำเป็นของประชาชน เพื่อทำให้ภาพรวมของระบบสขุ ภาพมีความ พรอ้ มใหบ้ รกิ าร ประชาชนเข้าถึงได้ทกุ เวลาและสถานท่ี สามารถบรรลุเปา้ หมายให้มสี ขุ ภาพดไี ดอ้ ยา่ งต่อเน่ือง 2.6. ภาวะผู้นำและธรรมาภบิ าล ธรรมาภิบาลเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำต้องใส่ใจใน ยุทธศาสตร์การสรา้ งระบบสุขภาพท่คี าดหวังไว้ให้สำเร็จ ตอ้ งกำกบั ดแู ล และควบคมุ รับผดิ ชอบในการจัดสรร งบประมาณที่เหมาะสมและเป็นธรรม เนอื่ งจากมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากมายหลายกลุ่ม ผู้นำมีความสำคัญมาก ในการบูรณาการทุกภาพส่วน ให้เกิดการเชื่อมผสานกันในระบบสุขภาพที่ทำให้ประชาชนมีสุขภาพดีนั้น ให้ ระบบนี้เกิดความสมดุลและยั่งยืนของประเทศ ดังนั้น ลำพังตัวชี้วัดด้านธรรมภิบาลของผู้นำมิได้สัมพันธ์กับ ความสำเร็จของระบบสขุ ภาพทด่ี ไี ดเ้ ลย

18 บทท่ี 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ 3. ระบบสุขภาพ สถานบริการตั้งแต่ระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ศูนย์เทศบาล ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์หรือหน่วยบริการของภาครัฐและเอกชน มีภารกิจ คือ ส่งเสริมสุขภาพ ฟ้ืนฟูสขุ ภาพ ปอ้ งกันโรคการรักษาพยาบาลจะส้นิ สดุ ที่บรกิ ารผู้ปว่ ยนอกเป็นหน่วย บริการท่ปี ระชาชนในตำบล น้ันสามารถเข้าถงึ บรกิ ารได้สะดวกทีส่ ดุ ผใู้ หบ้ รกิ ารประจำเปน็ แพทยเ์ วชปฏบิ ตั ิเวชศาสตร์ครอบครวั เวชศาสตร์ ป้องกันอาชีวะเวชศาสตร์หรือ บริการลักษณะ หมุนเวียนทำหน้าที่ดูแลครอบครัวหรือคนไข้ที่อยู่ในความดูแล ของตน ดงั นนั้ ระบบสขุ ภาพจงึ แบง่ เปน็ 3 ระดบั ดังนี้ 1) ระดับปฐมภูมิ (Primary care level) ระบบบริการปฐมภูมิเป็นหน่วยบริการด่านแรกที่ใกล้ชิดกับ ประชาชนมากที่สดุ และกระจายอยู่ทุกตำบลและ อำเภอให้การดูแลการรกั ษาพยาบาลเบ้ืองต้นปัญหาสขุ ภาพ ที่ไม่ซับซ้อนมากโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแพทย์ทั่วไป ประยุกต์ความรู้อย่างผสมผสานทั้งทางด้าน การแพทย์จิตวิทยาและสังคม เพื่อให้บริการที่เน้นด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคการรักษาโรคและ การฟื้นฟสู ภาพ เป็นบริการท่ีดแู ลประชาชนอย่างงต่อเนื่อง ใหแ้ กบ่ คุ คล ครอบครัวและชุมชน ดว้ ยแนวคิดแบบ องค์รวมวิธีการจัดบริการสามารถยืดหยุ่นและเชื่อมโยงเครือข่ายภาคีต่าง ๆ ในชุมชนเชื่อมโยงกับโรงพยาบาล อย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถประสานกับองค์กรชุมชนใน ท้องถิ่น เพื่อพัฒนา ความรู้ของประชาชนในการ ดูแลตนเองได้ในยามเจ็บปว่ ย รวมถงึ สง่ เสรมิ สขุ ภาพของตนเองเพือ่ ให้ บรรลสุ ู่ การมสี ุขภาพทดี่ ีได้ สถานบริการปฐมภมู ิมหี นว่ ยบริการดงั ต่อไปนี้ -สถานบริการสาธารณสุขชุมชน (สสช.) ให้บริการเน้นหนักในด้านการส่งเสริมสุขภาพ เเละป้องกัน ควบคุมโรค -โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพตำบล(รพ. สต)ให้บริการสาธารณสุขด้านการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคมุ โรค ประมาณร้อยละ75 และการรักษาพยาบาลประมาณร้อยละ25 -โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันและควบคุมโรค ประมาณ ร้อยละ 50 และ การรกั ษาพยาบาลประมาณร้อยละ 50เนือ่ งจากมแี พทย์ประจำ 2) ระดับทุติยภูมิ (Secondary care level) การบริการดำเนินการให้บริการด้านการแพทย์และ สาธารณสขุ โดยแพทย์หรอื เจ้าหนา้ ที่สาธารณสุข อืน่ ๆ ทม่ี คี วามรู้และความชำนาญสูงปานกลาง หน่วยบริการ คือโรงพยาบาลทั่วไปซึ้งต้องอยู่ระดับจังหวัด หรืออำเภอขนาดใหญ่รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน คลินิกเอกชนท่ี ให้บรกิ ารด้านการรักษาพยาบาลและฟ้ืนฟู สภาพประมาณร้อยละ75และให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพและ การปอ้ งกนั ควบคมุ โรคประมาณร้อย ละ 25 หน่วยบรกิ ารทุตยิ ภูมิ -หน่วยบริการทุติยภูมิระดับต้น หมายถึงโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์หรือ หน่วยบริการอื่น ๆ ของภาครัฐและเอกชนที่มีเตียงรับผู้ป่วยนอนรักษาพยาบาลในด้าน การรักษาพยาบาล ส้ินสุดทก่ี ารรักษาผู้ป่วยใน รกั ษาโรคพ้ืนฐานทั่วไป โดยแพทย์เวชปฏิบัติท่ัวไป เวชปฏิบัติ ครอบครัวเวชศาสตร์ ป้องกนั อาชวี ะเวชศาสตร์ทา หน้าทด่ี แู ลกำหนดเป็นระดับ

19 บทท่ี 2 ระบบสุขภาพไทยและนานาชาติ -หน่วยบริการทุติยภูมิระดับกลาง หมายถึงโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์หรือหน่วยบริการอื่นๆของภาครัฐและภาคเอกชนคอยใหบ้ ริการและรักษาพยาบาลท่ีมีปัญหา ซับซ้อนมากขึ้น จำเป็นต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะเท่านั้น โดยมีแพทย์เฉพาะทางสาขาหลักได้แก่ สาขาสูติ ศาสตร์ ศลั ยศาสตร์ อายรุ เวชศาสตร์ กุมารเวชศาสตร์ ศัลยศาสตรอ์ อรโ์ ธปิดิกสแ์ ละวิสญั ญีแพทย์ เป็นตน้ -หน่วยบริการทุติยภูมิระดับสูง หมายถึงโรงพยาบาลชุมชนขนาดใหญ่โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาล ศูนย์หรือหน่วยบริการอื่น ๆ ของภาครัฐและเอกชน ที่ให้บริการโรคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จำเป็นต้อง ให้บริการรักษาโรคโดยแพทย์เฉพาะทางสาขารอง (minor) ได้แก่จักษุวิทยา โสต นาสิกรังสีวิทยา จิตเวช ศาสตรเ์ วชศาสตรฟ์ ืน้ ฟูเวชบำบดั วกิ ฤต 3) ระดับตติยภูมิ (Tertiary care level) การบริการระดับตติยภูมิ เป็นการดำเนินการให้บริการด้าน การแพทย์และ สาธารณสุขที่ต้องปฏิบัติ โดยแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เชี่ยวชาญพิเศษ หรือเป็น ผู้ทรงคุณวุฒิ ให้บริการด้านการ รักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพประมานร้อยละ90การส่งเสริมสุขภาพและการ ป้องกันควบคุมโรคประมาณ ร้อยละ10 หน่วยบริการคือโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่โรงพยาบาลศูนย์และ โรงพยาบาลมหาวทิ ยาลัยรวมถงึ ศนู ย์ความเป็นเลศิ หนว่ ยบรกิ ารระดบั ตตยิ ภูมิ -หนว่ ยบรกิ ารตติยภูมิ หมายถงึ โรงพยาบาลศนู ย์โรงพยาบาลที่เปน็ โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเฉพาะ ทาง หรือหน่วยบริการอื่น ๆ ของภาครัฐและเอกชน ภารกิจหน่วยบริการจะขยายขอบเขต การบริการ รักษาพยาบาลที่จำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทางสาขาต่อยอด เช่น สาขาต่อยอดของ อายรุ ศาสตร์โรคไต โรคหวั ใจโรคทางเดินหายใจ หรอื สาขาอนื่ รงั สีรกั ษา มะเร็งวิทยา เป็นตน้ -หน่ายบริการตติยภูมิระดับสูง หมายถึงโรงพยาบาลศูนย์บางแห่ง โรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเฉพาะทาง หรอื หนว่ ยบริการอื่นๆ ของภาครฐั และเอกชน ภารกจิ นอกจากทา หนา้ ที่หน่วยบริการ ระดับตติยภูมิแล้วยังบริการรักษาโรคที่ใช้ทรัพยากรโดย แพทย์สาขาต่อยอดใน 4 หลักดังนี้ ศูนย์หัวใจ ศูนย์ มะเรง็ ศูนยอ์ บุ ตั เิ หตแุ ละศนู ยป์ ลูกถ่ายอวัยวะ 4. การพัฒนาระบบสขุ ภาพของประเทศไทย มีหลักการดังนี้ 1. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคเอกชน และภาค ประชาชน สนับสนุนข้อมลู แกค่ ณะกรรมการสนับสนุนการศึกษาและตดิ ตามการเจรจาการค้าระหวา่ งประเทศ ท่ีมผี ลกระทบตอ่ สุขภาพและนโยบายสขุ ภาพเพือ่ สนบั สนนุ การศึกษาในประเด็นดงั น้ี 1.1 ผลกระทบท้งั ด้านบวกและด้านลบจากการเป็นศนู ย์กลางสขุ ภาพนานาชาติ 1.2 ความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการทางการคลังเพื่อป้องกันและลดผลกระทบด้านลบจาก นโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติและแนวทางให้ภาคเอกชนที่ดำเนินการนโยบายนี้คืนกำไรให้กับ สังคม โดยยึดหลกั ความเป็นธรรมต่อทกุ ภาคส่วน

20 บทที่ 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ 2. ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาดำเนินการตามธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. 2552 ขอ้ 51 โดยไมพ่ งึ ให้การสนับสนนุ หรือสิทธิพิเศษทางภาษีและการลงทุนบริการสาธารณสุขท่ีมุ่งเน้น ผลประโยชนเ์ ชงิ ธุรกจิ 3. ให้โรงพยาบาลรัฐ รวมถึงโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตระหนักถึงพันธกิจหลักในการศึกษา การวิจัย การบริการสุขภาพเพื่อประชาชนไทย โดยให้ส่งเสริมการเข้าร่วมเปน็ ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติดา้ น ขีดความสามารถทางวิชาการทางการแพทย์ทั้งนี้ ให้พึงระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบสาธารณสุขไทย และให้ทบทวนการเข้ารว่ มเปน็ ศูนย์กลางสขุ ภาพนานาชาตใิ นดา้ นบรกิ ารทางการแพทย์ โดย 3.1 ให้มีระบบการตดิ ตามและประเมนิ ผลกระทบทีจ่ ะเกดิ กบั ระบบสาธารณสขุ ไทย 3.2 ให้สร้างหลักประกนั การเข้าถงึ การรักษาพยาบาลทม่ี ีคุณภาพของประชาชนไทย 3.3 ให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียน แพทย์ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานครและหน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้อง สนับสนุนการจดั ตั้งศนู ย์ข้อมูลที่มีศักยภาพใน การจัดการข้อมูลและให้ความรู้แก่ประชาชนไทย เกี่ยวกับคุณภาพการบริการรักษาพยาบาลและสาธารณสุข เพือ่ ป้องกนั ผลกระทบจากธรุ กิจการแพทย์ และลดผลกระทบดา้ นลบจากการเป็นศูนยก์ ลางสขุ ภาพนานาชาติ 3.4 ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการ เฉพาะกิจของนายกรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติด้านการรักษาพยาบาล ดำเนินนโยบายหรือยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติที่ไม่กระทบต่อบริการสุขภาพสำหรับ ประชาชนไทย 3.5 ให้คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติเป็นกลไกหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนและได้มีการ ดำเนนิ การดงั ต่อไปนี้ -ร่วมกับคณะกรรมการสนับสนุนการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพและนโยบายสุขภาพ จัดทำแผนการ ผลิต การจัดการและมาตรการธำรงรักษาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้เหมาะสม เพ่ือทดแทนการ สญู เสยี บคุ ลากรจากผลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้ จากนโยบายการเป็นศูนยก์ ลางสุขภาพนานาชาติ -สนับสนุนการพัฒนาระบบข้อมูล และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น เพื่อการกำกับ ตดิ ตามการเคลือ่ นย้ายบคุ ลากรทางการแพทยแ์ ละสาธารณสุขจากนโยบายการเปน็ ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ -พัฒนาข้อเสนอนโยบายที่ชัดเจนในการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาการ ขาดแคลนบุคลากรในระบบบริการสุขภาพของประเทศอันเป็นผลมาจากนโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพ นานาชาติ โดย กำหนดแนวทางให้มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการใช้ทรพั ยากรร่วมกันใน การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขโดยเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน และ สนับสนุนให้เกิดกลไกการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ ระหวา่ งภาครัฐและภาคเอกชนด้านการบริหารงานบุคคลและการดำเนินงาน ในโรงพยาบาล เพ่ือให้มกี ารนำไปปรับระบบบริการใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนไทย

21 บทที่ 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ 5. ระบบสุขภาพของประเทศไทยและนานาชาติ 5.1 ระบบสขุ ภาพในประเทศไทย ระบบบริการสุขภาพเป็นระบบย่อยหรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพการจัดบริการสุขภาพเป็น 1 ใน 6 องค์ประกอบของระบบสุขภาพจากกรอบแนวคิดระบบสุขภาพขององค์การอนามัยโลก ระบบบริการ สุขภาพของไทยได้มีการดำเนินการจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในส่วนของภาครัฐมีกระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานให้บริการหลัก นอกจากนั้นยังมี หน่วยงานจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยต่าง ๆเป็นต้น ที่ได้ร่วมมือกันในการที่จะพัฒนาระบบสุขภาพของให้มีความ พร้อมในทุก ๆด้านเพื่อที่จะให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องหลักๆของ ประชาชนจงึ มีสถานบริการด้านสุขภาพเกิดข้นึ มาในหลายรปู แบบ มีจำนวนท้ังหมดสรุปได้ดังน้ี 1) สถานบรกิ ารภาครัฐ 1.1ในเขตกรงุ เทพมหานคร มโี รงเรยี นแพทย์ 5 แห่ง โรงพยาบาลทัว่ ไป 26 แหง่ โรงพยาบาล เฉพาะทางและสถาบันโรคเฉพาะทางมี 13 แห่ง และศูนย์บริการสาธารณสุขแบบครบทุกเขต รวมทั้งหมด 6 ศนู ย์ 76 สาขาทัว่ ประเทศ 1.2 ในระดับภมู ิภาค มีโรงเรียนแพทยแ์ ละโรงพยาบาลเฉพาะทาง 54 แหง่ โรงพยาบาลศูนย์ 25 แห่งโรงพยาบาล ทว่ั ไป 69 แหง่ โรงพยาบาลชุมชน 734 แหง่ โรงพยาบาลส่งเสรมิ สุขภาพตำบลอีก 9,768 แห่ง สถานบริการสาธารณสุขในชุมชนชุมชน 151 แห่ง ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานในเขตพื้นที่เมือง 3,108 แห่ง และศูนย์ สาธารณสขุ มลู ฐานในเขตชนบท 48,049 แห่ง ที่คอยใหบ้ รกิ ารด้านสขุ ภาพประชาชน 2) สถานบริการภาคเอกชน แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังน้ี 2.1 ร้านขายยา มี 3 ประเภท คือ ร้านขายยาแผนปัจจุบัน 11,154 แห่ง ร้านขายยาแผน ปัจจุบัน เฉพาะยาบรรจเุ สร็จที่ ไมใ่ ช่ยาอันตราย 4,047 แหง่ และรา้ นขายยาแผนโบราณ 1,986 แห่ง 2.2 สถานพยาบาลทีไมม่ เี ตียงรับผปู้ ่ายไว้คา้ งคืน (คลินิก) 17,671 แหง่ 2.3 สถานพยาบาลทีม่ ีเตียงรับผ้ปู ว่ ยไวค้างคืน (โรงพยาบาลเอกชน) 322 แหง่ 2.4 สถานประกอบการสุขภาพ 1,268 แหง่ 5.2 ระบบบรกิ ารสขุ ภาพในนานาประเทศ ประเทศไต้หวัน การดูแลสุขภาพ สาธารณสุขปฐมภูมิ พร้อมมาตรการป้องกันที่เกี่ยวข้องเป็นวิธีที่มี ประสิทธิภาพที่สุดในการให้ประชากรท้ังหมดเข้าร่วมระบบประกนั สขุ ภาพ นบั ตัง้ แต่รัฐบาลไต้หวันจัดตั้งระบบ ประกันสุขภาพขึ้นมาอีกทั้งยังได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ เทคโนโลยีการคำนวณระบบคลาวด์และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้าง“ระบบตรวจสอบขอ้ มูลการรักษาพยาบาลจากระบบคลาวด์”เพื่อให้แพทย์ พยาบาลตรวจดูประวัติการรักษาของผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที และ “ระบบตรวจประวัติการใช้ยาจากรบบ คลาวด์ของประกันสุขภาพแห่งชาติ”ช่วยให้แพทย์และเภสัชกรเข้าถึงประวัติการใช้ยาของผู้ป่วยได้ สถานพยาบาลระดับปฐมภูมิในชุมชน สามารถเข้าถึงประวัติและข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยที่ทำขึ้นโดย สถานพยาบาลระดับทุติยภูมิหรือตติยภูมิ เช่น เนื้อหาใบสั่งยาและผลการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์

22 บทที่ 2 ระบบสุขภาพไทยและนานาชาติ คอมพิวเตอร์ (CT) ผลการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ผลอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) ผลการส่อง กล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไสเ้ ล็กใหญ่ และผลรังสีเอกซ์ (X-rays) เป็นตน้ มีหลักการทำงานดังนี้ ประการแรก คือ ไต้หวันใช้ระบบกองทุนเดียว โดยมีรัฐบาลนายจ้างและผู้รับประกันภัย สามฝ่าย ร่วมกนั เบ้ยี ประกันสขุ ภาพและบงั คบั เรียกเก็บเบี้ยประกนั เพิ่มเตมิ โดยคิดตามรายได้ของผรู้ ับประกันภัย ประการที่สอง ระบบการชำระเงินเต็มจำนวน ที่กำหนดเพดานเงินสมทบสำหรับการบริการทางการ รักษาพยาบาลและควบคุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปีพ.ศ. 2560 ค่า รักษาพยาบาลดังกล่าว ร้อยละ 6.4 ของมูลค่า GDP รวม ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD นอกจากน้คี ่าบรหิ ารจัดการของ NHI เพยี งประมาณร้อยละ 1 ของงบประมาณค่าใช้จ่าย ระบบประกันสุขภาพ แหง่ ชาติ ท้งั หมดและความพงึ พอใจของประชาชนในปีพ.ศ.2560 สงู ถงึ ร้อยละ 86 ประการที่สาม การจัดทำมาตรการป้องกันเชิงบูรณาการ และยึดหลักผู้ใช้เป็นผู้จ่าย รักษาระดับ คุณภาพการรักษาพยาบาลไดแ้ ละสง่ เสริมการพัฒนาได้ยา่ งต่อเน่ือง ประการที่ส่ี มอบเงินสมทบค่าเบี้ยประกันแก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส เช่น ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำและผู้ตก งาน ฯลฯ เพ่อื ลดความเหลอ่ื มล้ำทางการรกั ษาพยาบาล 5. การปฏริ ปู ระบบสขุ ภาพไทย การปฏิรูประบบสุขภาพไทย มุ่งหวังให้ประชาชนตระหนักในการสร้างเสริมสุขภาพของตนเอง ประเทศ ไทยได้ผ่านการปฏิรูประบบสุขภาพ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ดังเช่น การปฏิรูประบบ หลกั ประกันสขุ ภาพถว้ นหน้า เพอ่ื ใหค้ นไทยเข้าถงึ สิทธิในการรับบริการสขุ ภาพข้ันพื้นฐาน การทดลองกระจาย อำนาจด้านสุขภาพโดยการถ่ายโอนสถานีอนามัยไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น เปลี่ยนสถานีอนามัยทั่ว ประเทศเป็น \"โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล\" การจัดตั้งกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ เพื่อ สนับสนนุ การเคล่อื นไหวดา้ นการสรา้ งเสริมสขุ ภาพของทุกภาคส่วน ตลอดจนเปดิ พ้ืนท่ใี ห้ทกุ ภาคส่วนในสังคม เข้ามาร่วมกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสภุ าพแบบมีส่วนรว่ ม จากวสิ ัยทัศนป์ ระเทศไทย ท่ีมุ่งเน้น การสร้างคนไทยยุคใหม่ที่สมบูรณ์คือ มีจริยธรรม (heart) เป็นพื้นฐาน การดำเนินชีวิต มีปัญญา (head) มี ทักษะ (hand) และมีสุขภาพดี (health) เพื่อขับ เคลื่อน ระบบสุขภาพที่มุ่งให้ เป็นคนที่สมบูรณ์ทังทางกาย ทางจิต และทางสังคม อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการมีสุขภาวะที่ดี คณะกรรมาธิการปฏิรูประบบ สาธารณสุข สภาปฏิรูปแห่งชาติได้ว้างกรอบแนวคิดการปฏิรูประบบสุขภาพ ประเทศไทยด้วยแนวคิด \"การ ปฏิรปู ระบบบริการสุขภาพทมี่ พี ืน้ ท่เี ปน็ ฐาน ประชาชนเปน็ ศนู ย์กลาง\" ใน 4 ประเด็นหลกั 1.การปฏริ ปู ระบบบรกิ ารสุขภาพ 1.1 สุขภาพปฐมภูมิทม่ี พี ื้นท่เี ป็นฐาน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เช่อื มโยงกันผสมผสาน 1.2 ความเสมอภาคในดา้ นมาตรฐานครอบคลมุ บริการทุกระดบั 1.3 การกระจายหน้าที่การให้บริการสู่ท้องถิ่น ชุมชน และภาคเอกชนในรูปแบบที่สอดคล้องกับ บรบิ ทของ พนื้ ท่ี 1.4 การใชก้ ารแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์พ้ืนบ้าน

23 บทที่ 2 ระบบสุขภาพไทยและนานาชาติ 1.5 ระบบ สนับสนุนต่าง ๆ เช่น ข้อมลู ขา่ วสารการสอ่ื สารกำลงั คน ฯลฯ 2.การปฏิรูประบบสรา้ งเสริมสขุ ภาพ ป้องกนั และควบคมุ โรคและภยั คุกคาม 2.1 สง่ เสรมิ การใช้หลักการ Health in All Policies Approach 2.2 สร้างกลไกและระบบการบรหิ ารจัดการระดับพ้นื ทบ่ี รู ณาการ การดำ เนนิ งาน ระหว่างภาครัฐ และภาค สว่ นอน่ื สว่ นกลางมีบทบาทเกี่ยวกบั นโยบาย มาตรฐาน จดั ระบบงบประมาณ 2.3 กำหนดนโยบายการกระจายอำนาจไปสชู่ ุมชนท้องถน่ิ 2.4 จัดระบบงานที่สนับสนุนต่าง ๆเช่น ข้อมูลข่าวสารเฝ้าระวังสุขภาพ ระบบการเงิน การคลัง จัดการความรู้ ฯลฯ พัฒนานโยบายสาธารณะท่เี อ้อื ต่อสขุ ภาพ 3.การปฏิรปู ระบบการเงนิ การคลงั ดา้ นสขุ ภาพ 3.1 การบริหารจัดการระบบหลักประกนั สขุ ภาพ การเงิน การคลงั ด้านสุขภาพของกองทุนสุขภาพ ต่าง ๆ 3.2 มคี ณะกรรมการประกันสขุ ภาพแห่งชาตเิ ป็นหนว่ ยงานกลาง 3.3 จัดตั้งศูนย์ข้อมูลค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพระดับชาติและพัฒนากลไกกลางของระบบข้อมูล ข่าวสารการ ควบคุมคา่ ใชจ้ ่าย 3.4 วางกลไกเพิม่ เงินเขา้ สูร่ ะบบ เชน่ การลงทนุ ด้านเทคโนโลยี 3.5 กระจายอำนาจทุน และทรัพยากรใหช้ มุ ชนท้องถ่ินอย่างเพยี งพอ 4. การปฏริ ูประบบบริหารจัดการดา้ นสขุ ภาพ 4.1 กลไกประสานบูรณาการนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพระดับชาติ (National Health Board) 4.2 กลไกธรรมาภิบาล ตรวจสอบกำกับความโปร่งใส และประสิทธิภาพภาพการใช้งบประมาณ ตลอดจนทรพั ยากรดา้ นสุขภาพ 4.3 แยกบทบาทและโครงสร้างของ Player ในระบบสขุ ภาพใหช้ ดั เจน 4.4 ปฏิรปู การผลิตและพัฒนาบุคลากรดา้ นสุขภาพอยา่ งครบถว้ น 6. ระบบการสุขภาพในอดุ มคติ ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยแม้โดยส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการมาจากการแพทย์แผนตะวันตก โดยที่ไม่ได้ยึดถือเอาแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งเป็นแกนหลักทำให้ระบบมีพัฒนาการในแบบที่เป็นลักษณะสอง กระแสดังได้กล่าวมาแล้วการท่ีจะ วาดภาพฝนั ในอุดมคติถึง “ ทางสายกลาง” ระบบบริการสุขภาพในอุดมคติ ที่เดินทางสายกลางนำข้อดีข้อเสียของแนวคิตสองกระแสมาประยุกต์บนพื้นฐานของความต้องการของ ประชาชนไทยควรจะมลี ักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. ประชาชนทุกคนสามารถเขา้ ถงึ บรกิ ารท่ีไดม้ าตรฐานอยา่ งท่ัวถึง 2. เป็นระบบบริการทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ

24 บทท่ี 2 ระบบสุขภาพไทยและนานาชาติ 3. มงุ่ ดูแลที่ “ คน” ไม่ใชเ่ พียงแต่ “รกั ษาโรค” 4. มีแรงจงู ใจทก่ี อ่ ให้เกิดการแข่งขันและการร่วมมือของผใู้ หบ้ ริการ 5. ประชาชนมที างเลอื กในการใช้บริการทเี่ หมาะสม 6. มคี วามรบั ผดิ ชอบทส่ี ามารถตรวจสอบได้ 7. ประชาชนมสี ่วนร่วมในการพฒั นาระบบให้ดขี น้ึ 8. มกี ารพฒั นาองค์ความรทู้ ี่ทันสมัยอยตู่ ลอดเวลา 7. นโยบายการสร้างเสริมสุขภาพ 1. มีพฤติกรรมสุขภาพ เช่นการออกกำลังการกินอาหารที่เหมาะสมการเว้นจากสิ่งเสพติดให้ โทษอย่างเมาไมข่ ับเปน็ ต้น 2. การสร้างเสรมิ สขุ ภาพจิต มีทักษะในการป้องกันและลดความเครียด มีการพัฒนาจติ ใจมจี ิตใจ ทดี่ ี 3. การสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพ อนุรักษ์และสร้างเสริมสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อ สุขภาพบรรเทาขจัดปัดเป่าสิ่งแวดลอ้ มทเี่ ปน็ อนั ตรายตอ่ สุขภาพ 4. สร้างเสริมสังคมที่มีสุขภาวะ ตั้งแต่ระดับครอบครัวชุมชนไปจนถึงระดับประเทศและระดับ โลกอันประกอบด้วยเศรษฐกิจพอเพียงสิ่งแวดล้อมดีมีการเรียนรู้มีการอยู่ร่วมกันด้วยดีซึ่งหมายถึงการเคารพ ศักดิ์ศรแี ละคณุ คา่ ความเปน็ คนของคนทุกคนมีความสามารถในการแก้ความขดั แยง้ ด้วยสันตวิ ิธีมีสนั ตภิ าพ 5. มกี ระบวนการนโยบายทีเ่ ปน็ ไปเพ่ือสุขภาวะสังคมนโยบายและทิศทางการพฒั นามผี ลกระทบ ต่อความเป็นไปของสังคมมากทั้งทางลบและทางบวกนโยบายมักถูกกำหนดโดยคนส่วนน้อยที่มีอำนาจและ ผลประโยชน์แต่มีผลกระทบทางลบต่อสุขภาวะของคนส่วนใหญ่จำเป็นที่สังคมและนักวิชาการจะต้องเข้ามา ทำงานในกระบวนการนโยบายสาธารณะเพือ่ สุขภาพสังคม 8. ลกั ษณะของระบบสุขภาพท่ดี ี 1. เป็นระบบสุขภาพเชิงรกุ ทรี่ กุ สร้างสุขภาพที่ดโี ดยทวั่ ถึงทุกดา้ น 2. เป็นระบบที่คำนึงถึงสิทธิที่จะเข้าถึงการมีสุขภาพดีและบริการที่ดีพอสา หรับคนไทยทุกคน โดยไม่คำนงึ ถงึ ฐานะทางเศรษฐกจิ และสังคม 3. มีระบบการสร้างเสริมสขุ ภาพท่ีดี เพอื่ สรา้ งสุขภาพท่ดี สี ำหรับคนไทยทกุ คน 4. มรี ะบบการควบคุมและ ปอ้ งกันโรคและปัญหาท่ีคุกคามสขุ ภาพ ทีม่ ีประสิทธภิ าพสงู สามารถ ป้องกนั คมุ้ ครองคนไทยไม่ให้เจบ็ ปว่ ย ล้มตายโดยไมจ่ า เปน็ 5. มีระบบบรกิ ารด้านสุขภาพครบทกุ ประเภทและทุกระดับทปี่ ระกนั การเข้าถึงบริการอยา่ ง เป็น ธรรม มี คุณภาพที่ตรวจสอบไดแ้ ละมีประสิทธภิ าพสงู 6. มีระบบการเงินการคลังที่ประกันการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของประชาชนทุกคนมีความ เป็นไปไดแ้ ละ ยั่งยืน

25 บทท่ี 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ 7. มีระบบกาลังคนด้านสขุ ภาพท่คี รบถ้วนทกุ องคป์ ระกอบ สามารถจดั การระบบสุขภาพได้ 8. มีระบบควบคุมคุณภาพที่สร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนได้ว่า ระบบสุขภาพและระบบ บรกิ ารสุขภาพ ได้มาตรฐาน มีมปี ระสทิ ธภิ าพ ความเป็นธรรม และประชาชนสามารถมีสว่ นร่วมไดอ้ ยา่ งใกล้ชิด 9. มีระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพที่เข้มแข็งประกันความปลอดภัยพิทักษ์สิทธิ ประชาชน และ ชว่ ยเหลอื ในกรณีประสบปัญหาจากระบบสุขภาพไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ถูกต้องและสมบรู ณ์ 10. มีระบบจัดการความรู้และข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ สร้าง ความชอบธรรม ประกนั ความโปรง่ ใส ประชาชนมีสว่ นรว่ ม และเป็นช่องทางเพมิ่ พนู ศักยภาพของ ประชาชนได้ จรงิ 11. มีองค์กรและการจัดการที่ครบถ้วน มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ สร้างความเสมอภาคโปร่งใส และ ตรวจสอบไดโ้ ดยภาคประชาชนมสี ่วนรว่ มอยา่ งใกล้ชิด 9. ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ การพัฒนาระบบสุขภาพประเทศไทย ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาระบบสุขภาพไทย ปัจจัยระบบสุขภาพไทยกำลังเผชิญสถานการณ์สุขภาพที่ หลากหลายเช่นโครงสร้างประชากรกำลังก้าว เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุปัจจัยคุกคามสุขภาพ และภาระโรคของ ประชาชนมีแนวโน้ม เป็น โรคไม่ติดต่อโรค เรื้อรังเพิ่มขึ้น การเกิดภัยธรรมชาติความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึง เทคโนโลยีทางการแพทยข์ องคนกลุ่มต่าง ๆ โดยมปี ัญหาหลกั ๆดงั น้ี 1. ปจั จัยด้านเศรษฐกจิ การเปล่ียนแปลงสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกจิ ที่เห็นไดช้ ัด คือโครงสร้าง เศรษฐกิจของไทยเปลี่ยนจากภาคการเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและการบริการส่งผลให้เกิด ปัญหา ความเหลื่อมล้า ของรายได้ของคนจนกับคนรวยรวยมาโดยตลอด ในปีพ.ศ. 2554คนจนที่สุด ร้อยละ20 มี สัดส่วนรายไดเพียงร้อยละ4.6ขณะที่คนรวยที่สุด ร้อยละ20 มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 54.1 ทำให้เกิดความ แตกต่างทางรายได้ถึง 11.7 เท่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องอาศัยขีดความสามารถใน การแข่งขันและความ เข้มแข็งของระบบสุขภาพที่นา ไปสู่สุขภาวะของคนในสังคม การเคลื่อนย้าย แรงงานของคนไทยและคนใน ภมู ิภาคต่าง ๆ ของโลกไดส้ ง่ ผลตอ่ การเกดิ โรคใหม่ๆ และสง่ ผลตอ่ สขุ ภาวะ ของคนในประเทศได้ 2. ปัจจัยด้านสังคมประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยประชากรวัยเด็กและวัยแรงงาน ลดลงจาก ร้อยละ20.6และ67.6 ในปีพ.ศ. 2553 เปน็ ร้อยละ 18.3 และ 66.9 ในปพี .ศ. 2559 ส่งผลใหป้ ระเทศ ไทยต้อง ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานคุณภาพในอนาคต ทั้งภาครัฐและครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นใน การดูแล และพัฒนาผู้สูงอายุตลอดจนการต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการดูแลผู้สูงอายุสถานบริการ สขุ ภาพ และการจดั หาผดู้ ูแลผู้สงู อายุ นอกจากน้ัน กระแสโลกาภวิ ัตน์และวัฒนธรรมโลกยังส่งผลต่อวิถีชีวิตคน ไทยในทุกระดับตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ชุมชน ประเทศ สังคมไทยมีความเป็นวัตถุนิยมสูงขึ้น มุ่งหารายได้เพื่อ ตอบสนองความต้องการ ของตนเองขาดสา นกึ ถงึ ประโยชนส์ ่วนรวม เกิดความฟงุ้ เฟ้อ ฟมุ้ เฟอื ยและเก็บปัญหา โดย ใช้ความรุนแรง ประกอบกับสถาบนัครอบครัวเปราะบางจึงส่งผลกระทบต่อเยาวชนและเด็กทารกนำไปสู่ ปัญหาต่างๆ เช่น พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของเด็ก \"ท้อง เเท้ง ทิ้ง\" การติดบุหรี่ สุราและยาเสพติด และปัญหา ความรุนแรงใน สังคมเพมิ่ ขนึ้

26 บทที่ 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ 3. ปัจจัยด้านการเมืองและการปกครอง ความขัดแย้งทางสังคมในเรื่องความชอบธรรบของ รัฐบาลใน การบริหารประเทศ ส่งผลให้เกิดการชุมนุมและประท้วงซ้ำซากในปีพ.ศ.2551 พ.ศ.2553และ พ.ศ. 2556จน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ คือ มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต และเกิดความเครียด นอกจากนั้นยังส่งผล กระทบต่อ รายได้จากการท่องเที่ยวทำให้การขับ เคลื่อนนโยบายของประเทศเกิด ความล่าช้า ชะงัก สูญเสีย โอกาสใน การพฒั นาประเทศรวมถงึ คณุ ภาพชีวติ และความเป็นอยู่ของประชาชน 10. ปัจจยั ทีม่ อี ิทธพิ ลต่อการเปลยี่ นแปลงระบบสุขภาพ 1. โลกาภิวัตน์สุขภาพได้รับผลกระทบจากกระแสการเปลี่ยนแปลง เรียกว่าโลกาภิวัตน์โยบาย Medical Hub ส่งผลให้สถานบริการสุขภาพจะต้องแข่งขันกับการบริการด้านสุขภาพกับต่างประเทศ โรงพยาบาล ภาคเอกชนในไทยพัฒนาด้านมาตรฐานการแพทย์และบริการสุขภาพเพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติ ส่งผลให้ แพทย์และพยาบาลลาออกจากราชการไปอยูเ่ อกชน เกิดผลกระทบต่อระบบสขุ ภาพบรกิ ารในภาครัฐ ดา้ น ทรพั ยากรบุคคล ด้านสุขภาพ และประชาชนที่มารับบริการจากภาครฐั 2. นโยบายและเจตจำนงทางการเมืองทั้งเรื่องการกระจายอำนาจเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค ล้วนกระทบต่อ ระบบสุขภาพ เพราะหน่วยบริการต้องปรับตัวกับนโยบายดังกล่าวโดยเฉพาะการจัดการด้าน การเงิน 3. การเปลี่ยนแปลงจากการปฏิรูประบบราชการ ส่งผลกระทบถึงบุคลากรสาธารณสุขว่า จะ ลาออกหรืออยใู่ น ระบบราชการต่อไป เป็นต้น 4. การเคลื่อนไหวเรื่องแนวคิดสุขภาพใหม่ เป็นกระแสใหญ่ในปัจจุบันถ้าสังคมไม่เข้าใจเรื่อง สุขภาพ ก็จะ มองเรื่องสุขภาพเฉพาะในบริบทของบริการสุขภาพ ไม่ได้มองไกลออกไปในด้านอื่น เช่น มาตรการด้าน ภาษีมาตรการด้านคมนาคม มาตรการด้านนโยบายการส่งออกมาตรการด้านนโยบายอาหาร ปลอดภยั และ มาตรการอีกมากมายทลี่ ว้ นแต่ต้องเกย่ี วข้องกับเรื่องสขุ ภาพท้ังส้นิ 5. การสร้างหลักประกันสุขภาพ นโยบายหลกัประกันสุขภาพถ้วนหน้าทา ให้ต้องปรับเปลี่ยน ระบบบรกิ าร สุขภาพทัง้ ระบบโดยเฉพาะด้านการเงนิ การคลังและระบบการบรกิ าร 6. ปัจจัยสุดท้ายคือนโยบายการกระจายอำนาจ ในปัจจุบันทั้ง 6 ปัจจัยหลักยังคงมีอิทธิพลต่อ ระบบสขุ ภาพไทยอยู่แต่เมื่อมองต่อไปในอนาคต สถาบันวจิ ัยระบบสุขภาพระบบบรกิ ารสุขภาพ ได้รายงานจาก ผลการศึกษาการคาดการณ์แนวโน้ม ที่จะส่งผลต่อระบบ สขุ ภาพในอนาคต

27 บทท่ี 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ 11. ธรรมนูญฯ กบั สทิ ธิและหน้าท่ดี า้ นสุขภาพ บทบัญญตั บิ างเรอ่ื งในรัฐธรรมนญู เช่น 1) สิทธิของประชาชนทจ่ี ะรับทราบข้อมูลขา่ วสารจากหน่วยงานของรัฐ ก่อนการอนุญาตหรือ ดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบสุขภาพตามพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 10 และมาตรา 11 วรรค 2 ซ่ึงโยงกบั รัฐธรรมนูญมาตรา 57 2) สิทธิเรียกร้องให้มีการประเมินผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของ ประชาชนที่เรียกว่า \"Health Impact Assessment\" (HIA) ตามพ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 11 วรรค 1 ซงึ่ โยงกับรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 เร่อื งสทิ ธิชมุ ชน 3) หน้าที่ของบุคลากรด้านสาธารณสุขในการแจ้งข้อมูลด้านสุขภาพและข้อมูลการบริการ สาธารณสุข แก่ผู้รับบริการทราบอย่างเพียงพอที่ผู้รับบริการจะใช้ประกอบการตัดสินใจในการรับหรือไม่รับ บริการใดตามมาตรา 8 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ โยงได้กับรัฐธรรมนูญ มาตรา 61 เรื่องสิทธิของบุคคลในฐานะ ผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริง ฉะนั้น จึงควรมีการเชื่อมโยงสาระของธรรมนูญตามมาตรา 47 กับ สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กับ พ.ร.บ.สุขภาพ แห่งชาติและกฎหมาย อน่ื ๆ รพ.สต. ทางเลือกหรือทางหลักของระบบสุขภาพไทย รพ.สต.มีความสำคัญต่อระบบสุขภาพไทย เพราะเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับชุมชนที่ชาวบ้านรู้จัก และนิยมใช้บริการมากขึ้นเป็นลำดับ ที่มีผู้ใช้บริการ จำนวนมาก เป็นต้น ภารกิจของ รพ.สต. ถ้าแบ่งง่ายๆ คือ ปฐมพยาบาลเบื้องต้น หรือระดับปฐมภูมิ (primary care) กับ ฟน้ื ฟสู มรรถภาพ จึงเป็นสถานพยาบาลที่ดูแลประชาชนตั้งแตอ่ ยใู่ นครรภ์ เกิด การดำรงชีพ จนตาย ได้แก่ การ ตรวจรักษาพยาบาลขั้นต้น การฝากครรภ์ การให้บริการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (การให้วัคซีนเด็ก) การดูแล โภชนาการ งานอนามัยโรงเรียน การคุ้มครองผู้บริโภค การคัดกรองภาวะผิดปกติต่างๆ การบำบัดรักษา โรคเบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก การดูแลผู้พิการ ผู้สูงอายุ การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบรกิ ารอ่นื ๆ ให้กับชุมชน

28 บทท่ี 2 ระบบสขุ ภาพไทยและนานาชาติ บรรณานกุ รม นพ.ประกติ วาทสี าธกกจิ . การจดั ตงั้ องค์กรระดับชาติเพือ่ การสง่ เสรมิ สุขภาพประเทศไทย. พมิ พค์ รัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท., 2541. ประเวศ วะสี. การปฏริ ปู ระบบสขุ ภาพ. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิมพด์ ี, 2546. บูชติ า พรหมพิทักษ์. กฎหมายเก่ียวกับสาธารณสขุ ส่งิ แวดลอ้ มและนติ เิ วชศาสตร.์ พิมพค์ รง้ั ที่ 4. นนทบรุ ี : สำนักพมิ พ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธริ าช, 2561. สงวน นิตยารมั ภ์พงศ.์ ปฏิรูประบบบริการสขุ ภาพไทย. พิมพค์ รัง้ ที่ 5. นนทบรุ ี : สำนักงานโครงการปฏริ ปู ระบบบรกิ ารสาะรณสุข, 2542. ไมป่ รากฏชือ่ ผ้แู ตง่ . ข้อเสนอเพ่อื ปฏริ ปู ระบบบรกิ ารสุขภาพ. พิมพค์ รั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พมิ พ์ดี, 2543 https://www.thelancet.com/pb-assets/Lancet/pdfs/S0140673618301983_Thai.pdf https://www.hsri.or.th/researcher/media/issue/detail/5440

บทท่ี3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 1. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ (National developement plan) สำนักงานสภาพัฒ นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสศช.(Office of the National Economics and Social Development Council) หรือช่ือเดิมว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ แห่งชาติ และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เป็นหน่วยงาน ราชการ ภายในสว่ นสงั กดั ของสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ จัดทำแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ เพ่ือใช้เปน็ กรอบและแนวทางในการพัฒนาประเทศในแต่ ละชว่ งระยะเวลา 5 ปี และวิเคราะห์ ประเมนิ แผนงานและโครงการพัฒนาของส่วนราชการและรัฐวสิ าหกิจ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีทั้งหมด 12 ฉบับตั้งแต่พ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบัน เกือบ 50 ปีทป่ี ระเทศไทยได้ดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นตวั แบบในการพัฒนาประเทศ ใน อดีตที่ผ่านมามิติของกระบวนการพัฒนาส่วนใหญ่ได้เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก และเป็นการกำหนด แผนพัฒนาฯจากส่วนกลางและนำไปสกู่ ารปฏิบัติ ทำให้ขาดมิติของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนด แผนพัฒนาฯ ส่วนมิตขิ องการมสี ่วนร่วมของประชาชนได้เพิ่งเกิดปรากฎขึน้ ในแผนฯ ฉบบั ท่ี 8 แต่กระบวนการ จัดทำแผนพัฒนายังเป็นรูปแบบบนลงล่าง (top-down)ผู้บริหารประเทศเป็นผู้กำหนดนโยบายการพัฒนา ชมุ ชน ส่งผลให้การพัฒนาไมเ่ ป็นไปตามความต้องการทแ่ี ทจ้ ริงของคนในชุมชน รวมถึงไม่สอดคลอ้ งกับบรบิ ทที่ แตกต่างของแต่ละชุมชน ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม ฉบับแรกต้ังแต่ ปี 2504 โดยอยู่ในสมัยของ พณ. นายกรัฐมนตรีจอมพล สฤิษด์ิ ธนะรัชต์ จนถึงปี พ.ศ. 2547 ประเทศไทยได้ ประกาศใช้แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม มาแล้ว 10 ฉบับด้วยกัน โดยในแผนฯ แต่ละฉบับ มีจุดเน้นพอ สรุปไดด้ ังนี้ แผนพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตฉิ บับที่ 1 (พ.ศ. 2504 – 2509) เปน็ แผน ฯ ฉบับแรกและฉบับเดยี วทีม่ ีระยะเวลาของแผน 6 ปี จุดเน้นของแผน ฯ นคี้ อื การปูพื้นฐาน เพื่อการเร่งรัดพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจ โดยเน้นลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน(Infrastructure Facilities) อันได้แก่การแรง่ รดั สรา้ งระบบชลประทาน พลงั งาน ถนน ทางรถไฟและการคมนาคมอ่ืน ๆ รวมทั้ง โครงการบริการต่าง ๆ (Services Project) เช่น โครงการวิจัยทดลองด้านเกษตร อุตสาหกรรม และโครงการ พัฒนาการศกึ ษาสาธารณสุข แผนพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ที่ 2 (พ.ศ. 2510 – 2514) เน้นการพัฒนาสังคม ยกระดับมาตรฐานการครองชีพ ขยายพลังการผลิตรักษาเสถียรภาพทาง เศรษฐกิจของประเทศ กระจายการพัฒนา และเร่งรดั การพัฒนาสู่ชนบท

30 บทท่ี 3 แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ แผนพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515 – 2519) ยังมีจุดเน้นด้านการกระจายความเจริญสู่ชนบท พยายามลดช่องว่างคนรวยกับคนจน ขยายการผลิต และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เน้นให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ และให้ความสำคัญ กบั การวางแผนครอบครัว และการมีงานทำเปน็ คร้ังแรก แผนพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บับท่ี 4 (พ.ศ. 2520 – 2524) มีการกระจายการพัฒนาในรูปแบบภาค และภูมิภาคเพื่อการเพ่ิมผลผลิตทางการเกษตร ปรับปรุง โครงสร้างอุตสาหกรรม มีโครงการผันเงิน อาสาพัฒนาชนบท การสร้างงานในชนบท โดยมกี ารเนน้ การอนรุ ักษ์ และฟ้ืนฟูทรัพยากรธรรมชาติท่สี ูญเสียไป แผนพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติฉบบั ท่ี 5 (พ.ศ. 2525 – 2529) เป็นแผนที่มีการกำหนดการดำเนินงานในเชิงรับ และเชิงรุก เน้นการแก้ปัญหาความยากจน โดยการ กำหนดพื้นที่ตามระดับความยากจน มีพื้นท่ีเป้าหมาย ชนบทยากจนท่ัวประเทศ 286 อำเภอ และรักษาวินัย ทางการเงนิ การคลงั แกป้ ญั หาการขาดดลุ การคา้ แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บับที่ 6 (พ.ศ. 2530 – 2534) เป็นแผนท่ีเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนามากขึ้น เน้นให้ มกี ารกระจายความเจรญิ สภู่ ูมิภาคและชนบทมากข้ึน แผนพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บับที่ 7 (พ.ศ. 2535 – 2539) มุ่งเน้นการสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ การกระจายรายได้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการ พฒั นาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มควบค่กู ันไป แผนพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบบั ท่ี 8 (พ.ศ. 2540 – 2544) ในแผนนี้ กำหนดให้ คนเป็นจุดหมายหลักของการพัฒนา เน้นเรื่องการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ (Human Resource Development) เน้นการวางแผนพัฒนาแบบองค์รวม หรือบูรณาการระหว่าง เศรษฐกจิ กับสังคมเขา้ ด้วยกัน มงุ่ เน้นความเป็นไทย และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ แผนพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติฉบับท่ี 9 (พ.ศ. 2544 – 2549) เป็นแผนท่ีมีปรัชญาการพัฒนาบริหารประเทศตามกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เร่ือง เศรษฐกิจแบบพอเพียง มุ่งเน้นการพัฒนาท่ีย่ังยืนด้วยการวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้ เข้มแข็งย่ังยืน มีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจท่ีสามารถพ่ึงตนเองได้ รวมทั้งความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย ชุมชนให้เกิดการเชื่อมโยงการพัฒนาทั้งชนบทและเมืองอย่างย่ังยืน มีการดูแลจัดการทรัพยากร ส่ิงแวดล้อม ควบคูไ่ ปกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมกับสังคมไทย เป้าหมายสำคัญของแผนฯ ฉบับน้ี คือ การสร้างดุลภาพทางเศรษฐกิจ การยกระดับคุณภาพชีวิตการบริหารจัดการระบบราชการท้ังส่วนกลาง ภมู ิภาค และทอ้ งถิ่นที่ดี กระจายอำนาจให้เกิดการบริหารท่ีโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเน้นการปราบปรามการ ทุจริตประพฤติมิชอบให้เกิดผล มีการดำเนินการทางเศรษฐกิจท่ีเอื้ออาทรต่อคนจน เปิดโอกาสและสร้าง ศกั ยภาพในการพัฒนาให้คนจนมคี วามเข้มแข็ง มีภูมิคุม้ กัน สามารพง่ึ ตนเองได้ สามารถลดอตั ราคนจนให้เหลือ ไม่เกินร้อยละ 12 ของประชากรทง้ั ประเทศ

31 บทที่ 3 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 10 (พ.ศ.2550-2554) เป็นแผนท่ีการเตรียมความพร้อมของคนและระบบให้มีภูมิคุ้มกัน พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและ ผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้น โดยยังคงอัญเชิญ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวปฏิบัติในการพัฒนา แบบบูรณาการเป็นองค์รวมที่มี “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 8 และ แผนพฒั นาฯ ฉบับที่ 9 และให้ความสำคัญต่อการรวมพลังสงั คมจากทุกภาคส่วนให้มีสว่ นร่วมดำเนินการในทุก ขั้นตอนของแผนฯ พรอ้ มทง้ั สรา้ งเครือขา่ ยการขับเคล่ือนยทุ ธศาสตร์การพัฒนาส่กู ารปฏบิ ัติ รวมท้ังการติดตาม ตรวจสอบผลการดำเนินงานตามแผนอย่างต่อเนื่อง มุ่งพัฒนาสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน (Green and Happiness Society)คนไทยมีคณุ ธรรมนำความรอบรู้ รู้เท่าทันโลกครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเขม้ แข็ง สงั คมสันติ สุขเศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธรรม ส่ิงแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติย่ังยืน อยู่ ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาล ดำรงไว้ซ่ึงระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เปน็ ประมขุ และอยูใ่ นประชาคมโลกไดอ้ ยา่ งมศี ักด์ิศรี” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 และได้จัดทำวิสัยทัศน์ประเทศไทยสู่ปี 2570 ซึ่ง สาระสำคญั ในแตล่ ะประเดน็ ดงั ตอ่ ไปนี้ คอื 1. ความท้าทายหลังวิกฤตเิ ศรษฐกิจ โอกาสของประเทศไทย ซ่ึงไดว้ เิ คราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและการ เปลี่ยนแปลงทางด้านต่างๆ เช่น ด้านการเงิน ด้านพลังและอาหาร ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้าน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ด้านแนวคิดการบริหารจัดการเศรษฐกิจและธุรกิจ ด้านการค้าและความร่วมมือ ระหวา่ งประเทศและการเมืองโลก และโอกาสของประเทศไทย 2. เศรษฐกิจสร้างสรรค์: ทางเลือกเศรษฐกิจไทย ได้วิเคราะห์และเสนอว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คือ แนวคิดการขับเคลอื่ นเศรษฐกิจบนฐานของการใชอ้ งค์ความรู้ (Knowledge) การศึกษา(Education) การสร้างสรรค์งาน (Creativity)และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา(Intellectual property)ท่ีเช่ือมโยงกับ รากฐานทางวฒั นธรรม การสงั่ สมความร้ขู องสงั คม และเทคโนโลยี นวตั กรรมสมยั ใหม่ 3. ภาวะโลกร้อน :รู้วิกฤติ สร้างโอกาสการพัฒนา ได้วิเคราะห์แนวโน้มที่ประเทศไทยต้องเผชิญใน อนาคตท้ังทางด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านต่างๆเช่น ทิศทางการ พัฒนาประเทศเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรชีวภาพ ความมั่นคงทางด้านอาหารและ พลงั งาน เปน็ ตน้ 4. สถาปัตยกรรมทางสังคมทางเลือกใหม่ของคนไทย ได้วเิ คราะห์เกี่ยวกับการเสรมิ สร้างความเข้มแข็ง จากฐานรากของประเทศไทย และสถาปัตยกรรมทางสังคมในระยะต่อไป เช่น 1)การปรับโครงสร้างทางสังคมให้เป็นสังคมท่ีมีคุณภาพโดยนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมา ประยกุ ต์ใชต้ ่อยอดกับทนุ ทางสงั คม วางรากฐานการพฒั นาสงั คมทฐ่ี านราก การออกแบบสงั คมท่มี ีคุณภาพจาก สงั คมใน4 มิตคิ ือ สังคมแห่งความเออื้ อาทรและความสมานฉนั ท์(Social Cohesion) ความมัน่ คงทางเศรษฐกิจ และสังคม (Socio-Economic Security) การรวมกลุ่มเพ่ือสร้างโอกาสให้กับทุกคนอย่างเป็นธรรม (Social Inclusion) การเสริมสร้างพลังทางสงั คม(Socail Empowerment)

32 บทท่ี 3 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ 2) พัฒนาคุณภาพของทุนมนุษย์ โดยเน้นกระบวนการพัฒนาที่คนเป็นศูนย์กลางทุกภาคส่วน สนับสนุน โดยภาคประชาชน ชุมชน เป็นผู้มีบทบาทเจ้าของเรื่อง เป็นกงล้อหลัก มีบทบาทสำคัญตลอด กระบวนการ ภาครฐั ลดบทบาทความเปน็ เจ้าของเพื่อเป็นผู้หนุนการสรา้ งศกั ยภาพของชมุ ชนและเอกชน 5. สัญญาประชาคมใหม่ พลงั ขบั เคลื่อนสังคมส่สู มดุล ได้วเิ คราะห์และเสนอไว้ว่า สัญญาประชาคม หมายถึง คา่ นิยมท่ี ประชาชนตกลงร่วมกันด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและใช้เป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกันในสังคม อย่างมีพลวัตตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม โดยเน้นการดำรงชีวิตตามวัฒนธรรมอันดีของไทย ตามภูมิภาคต่างๆยึดหลักคุณธรรมและความเป็นธรรม มีความซ่อื สัตย์สุจริตรักษาสิทธขิ องตนเองโดยไม่ละเมิด สิทธขิ องผู้อนื่ ปฏบิ ัตหิ น้าท่พี ลเมืองให้ครบถว้ นและมจี ิตสาธารณะ ยดึ หลักแก้ไขความขัดแย้งในสังคมด้วยสันติ วิธี เพ่ือให้ประชาชนสามารถอยูร่ ่วมกันอย่างสงบสุข ปลอดภัยและมีความม่ันคงในชีวิตและทรัพยสิน และได้มี ทิศทางการพฒั นาสัญญาประชาคมใหม่ ไว้ 5 ประเดน็ คือ 1) ปรับกระบวนทศั น์ (paradigm) การพฒั นาประเทศใหมโ่ ดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางใน การแกไ้ ขปัญหา 2) สร้างคา่ นยิ มร่วม (Shared Value) 3) พัฒนากระบวนการสัญญาประชาคม บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ระดับตั้งแต่ระดับชุมชน ท้องถ่ินจนถึงระดับประเทศ โดยดำเนินการอย่างเป็นข้ันตอนตั้งแต่การสร้างความคิด ร่วม (Social Consensus) การหาข้อสรุปท่ีทุกฝ่ายให้การยอมรับและยึดถือ (Social Commitment)และ นำไปสู่การปฏิบัติ(Action)โดยถ้วนหน้ากัน เพื่อสรา้ งความสงบสขุ ให้เกิดข้ึนในทุกพน้ื ท่ีทัว่ ประเทศ โดย พฒั นา กลไกในระดับภาพรวม และพัฒนากลไกลในระดับชุมชน 4) สร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้าง กลไกและกระบวนการบริหารจัดการของทุกภาคส่วน ของสงั คม 5) ขบั เคล่อื นและวางระบบการตดิ ตามประเมนิ ผลในทกุ ระดบั สรุปของแผนฯฉบับที่ 11และวสิ ยั ทศั นป์ ระเทศไทยสู่ปี 2570 น้ันทำให้เหน็ มิติของกระบวนการพัฒนา ชุมชนท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายประเด็น ท่ีสำคัญคือในส่วนของสถาปัตยกรรมทาง สังคม ได้มีเน้ือหาท่ีส่ือถึงมิติในงานพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ซ่ึงเน้นให้ความสำคัญกับชุมชนเป็นหลักและเป็นผู้มี บทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนา ในส่วนของสัญญาประชาคมใหม่ ได้กล่าวถึง กระบวนการสัญญา ประชาคม บนพ้ืนฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชน ท้องถิ่นจนถึง ระดับประเทศ โดยดำเนินการอย่างเป็นข้ันตอนตั้งแต่การสร้างความคิดร่วม (Social Consensus)การหา ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับและยึดถือ (Social Commitment)และนำไปสู่การปฏิบัติ (Action) ซ่ึงเป็น ภาพรวมและแนวทางกว้างๆในการนำไปสกู่ ารปฏิบตั ิต่อไป เนื้อหาสาระของ แผนฯ11 ส่วนใหญ่กล่าวถึงเศรษฐกิจรวมทั้งแนวโน้มทางด้านเศรษฐกิจด้าน อุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ยังมีเนื้อหาสาระบางส่วนที่ขาดหายไป เช่น มิติของการกระจายอำนาจสู่ ท้องถ่ิน กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วน

33 บทที่ 3 แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ตำบล เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่สามารถเอื้ออำนวยต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน กระบวนการกระจาย อำนาจสู่ทอ้ งถ่ิน เพื่อใหส้ อดคล้องกับบรบิ ทและทิศทางการพฒั นาของประเทศไทย และนำไปส่กู ารปฏบิ ัตอิ ยา่ ง มปี ระสิทธภิ าพตอ่ ไป แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 พ.ศ.2560-2564 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 พ.ศ.2560-2564 ได้น้อมนำหลัก “ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นปรัชญานำทางในการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 9-11 โดยการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 ครั้งน้ี สำนัก คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ (สศช.) ได้จดั ทำบนพืน้ ฐานของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซ่ึงเป็นแผนหลักของการพัฒนาประเทศ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) รวมทั้งการปรับโครงสร้างประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 ตลอดจน ประเด็นการปฏิรูปประเทศ นอกจากน้ันได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วน เพื่อรว่ มกันกำหนดวิสัยทศั น์และทิศทางการพัฒนาประเทศ รวมท้ังร่วมจัดทำรายละเอียดยุทธศาสตร์ของแผน ฯ เพอ่ื มุ่งสู่ “ความมง่ั คง มงั่ ค่งั และย่งั ยนื ” 2. ความเชอ่ื มโยงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและแผนพฒั นาสุขภาพแห่งชาติ ประชาชนมีสุขภาพดีและมีสุขภาวะอย่างพอเพียง เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาประเทศ การ วางแผนที่ดีในการดูแลระบบสาธารณสุข หรือระบบสุขภาพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และปัญหาที่ เปลี่ยนแปลงไปจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การจัดทำแผนพัฒนาระบบสุขภาพ ต้องมีความเชื่อมโยงกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ซึง่ เป็นนโยบายในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ด้วย แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 1-12 ประเทศไทยเร่ิมมีพัฒนาประเทศฉบับแรก (พ.ศ.2504-2509) :โดยเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย การพัฒนาโครงสร้างพ้นื ฐาน

34 บทที่ 3 แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ.2510-2514) : เอกชนเข้ามามีบทบาทในการ พฒั นามากขนึ้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 3 (พ.ศ.2515-2519) และ ฉบับท่ี 4 (พ.ศ.2520- 2524) : เริ่มมกี ารวางแผนพัฒนาสงั คมควบคู่กบั การพฒั นาเศรษฐกจิ ดว้ ย เม่ือเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 5 พ.ศ.2525-2529) ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535-2539) : มีการแก้ปัญหา และพัฒนายุคใหม่ ทำแผนระดับ กระทรวง เน้นเสถยี รภาพทางเศรษฐกจิ ม่งุ พัฒนาภูมิภาค ชนบท เม่ือเข้ายุคเปล่ียนผ่านสู่กระบวนทัศน์ใหม่ ต้ังแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540-2544) และฉบับ ท่ี 9 (พ.ศ.2545-2549) ยึดคนเป็นศูนย์กลาง เน้นการมีส่วนร่วม ยึดปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือ ม่งุ สสู่ ังคมอยู่เยน็ เปน็ สุขร่วมกนั และพฒั นาตอ่ เน่ืองมาจนถงึ แผนพฒั นาฯ.ฉบับท่ี 10 (พ.ศ.2550-2554) ก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 (พ.ศ.2555-2559) มีการวิเคราะห์ สถานการณ์ท่ีเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ คือ ขาดความสมานฉันท์ในสังคม สภาพแวดล้อม และระบบ นเิ วศน์ขาดสมดุล ภาวะโลกร้อน ปัญหา ยาเสพตดิ สูงข้นึ สขุ ภาวะคนไทยลดลง การก้าวสู่ประชาคมอาเซียนใน ปี 2558 : ต้องเตรยี มพัฒนาคน สังคม เศรษฐกิจ รบั การเปลี่ยนแปลง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ.2560-2564) หลักการพัฒนาประเทศท่ี สำคัญในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ยึดหลัก “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” “การพัฒนาท่ีย่ังยืน” และ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” ท่ีต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 9 -11 และยึดหลักการเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคล่ือนการเจริญเติบโตจากการเพ่ิมผลิตภาพการผลิตบนฐานการใช้ภูมิ ปัญญาและนวตั กรรม แผนพฒั นาการสาธารณสขุ ฉบบั ที่ 1-12 จัดทำโดย สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ,กระทรวงสาธารณสุข ที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำขึ้น ภายใต้แนวคิดท่ีว่า สุขภาพคนไทยมีความเช่ือมโยงกับปัจจัยต่างๆ ในทุกมิติท้ังด้านปัจเจกบุคคล สภาพแวดล้อม รวมท้ังตัวระบบบริการสุขภาพเอง ดังนั้น การพัฒนาสุขภาพคนไทยให้มีสุขภาพดีละยั่งยืน จะต้องพิจารณาถึงมิติต่างๆ ดังกล่าวด้วย ประกอบกับในช่วงเวลาท่ีจัดทำรายงานฉบับน้ีเป็นช่วงที่ไทย ดำเนนิ การใชแ้ ผนพฒั นาสขุ ภาพแห่งชาติ แผนพฒั นาการสาธารณสขุ ฉบบั ที่ 1 (2504-2509) เน้นการขยายสถานบริการสาธารณสุข ได้แก่โรงพยาบาลและสถานีอนามัย ให้เป็นพื้นฐานในการ พัฒนาประเทศ มีการก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ๆ เพ่ิมขึ้นหลายแห่ง แต่ยังไม่เน้นหนักในส่วนภูมิภาคเท่าที่ควร สำหรับงานด้านอนามัยปราบปรามและควบคุมโรคติดต่อนั้นได้ดำเนินการได้ตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ ยกเว้น ในเร่ืองการแก้ไขปญั หาการขาดแคลนแพทย์และพยาบาลในชนบทห่างไกล แผนพฒั นาการสาธารณสุขฉบับท่ี 2 (2510-2514) เน้นการวางแผนกำลังคนและการกระจายการพัฒนาสู่ชนบท เร่งรัดการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ และการสาธารณสุข การปรับปรงุ บริการสาธารณสขุ โดยขยายขอบเขตการบรกิ ารด้านสาระสุขแก่ประชาชนใน

35 บทที่ 3 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ชนบทห่างไกล มีการบังคับนักศึกษาแพทย์ให้ทำสัญญาปฏิบัติงานชดใช้ทุนเป็นคร้ังแรกในพ.ศ. 2508 ผล การดำเนินงานพบว่าการผลิตแพทย์และพยาบาลยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายท่ีกำหนดไว้ในแผนการส่งเสริม สุขภาพมีอัตราความก้าวหน้าสูงกว่าช่วงแผนหนึ่งเช่นผลงาน BCG เพ่ิมเป็น 3 เท่า การรักษาพยาบาล ครอบคลุมประชากรได้ร้อยละ 11 สถานบริการระดับอำเภอ เพิ่มจากร้อยละ 42.3 เป็นร้อยละ 54.9 ของ จำนวนอำเภอทัง้ หมด แผนการพัฒนาสาธารณสขุ ฉบบั ที่ 3 (2515-2519) เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตมากย่ิงขึ้น กำหนดนโยบายประชากรเป็นคร้ังแรก มุ่งเน้นการอนามัยแม่ และเด็กการวางแผนครอบครัวการควบคุมโรคติดต่อ การปรับปรุงและขยายการบริการรักษา มีการทดลอง รูปแบบการพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมด้วย พัฒนาความร่วมมือของประชาชนและมีนโยบายการให้บริการ รักษาพยาบาลฟรี แก่ผู้รายได้น้อยเป็นครั้งแรกพ.ศ. 2518 อัตราเพ่ิมของประชากรลดลง 31.5 ต่อพัน เป็น 2671 ต่อพัน อตั ราตายของประชากรลดลง 11.6 ต่อพัน เป็น 10.9 ต่อพัน การผลิตบุคลากรสาธารณสุขยังต่ำ กว่าเปา้ หมาย แพทยใ์ ช้ทุนเริ่มปฏิบตั ิงานในพ.ศ. 2515 ทำให้มีภาพในชนบทมากกวา่ ข้นึ ในส่วนของการขยาย บรกิ ารในลักษณะจำนวนเตยี ง จำนวนสถานบริการและการให้ภมู ิคมุ้ กนั โรคยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แผนการพฒั นาสาธารณสุขฉบับที่ 4 (2520-2524) มุ่งเน้นการแก้ไขและลดช่องว่างของปัญหาสาธารณสุข การให้บริการสาธารณะสุขแบบผสมผสานแก่ ประชาชนอย่างท่ัวถึง โดยเร่ิมต้ังเป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าในปี 2543 โดยกลยุทธส์ าธารณสุขมูลฐานในพ.ศ. 2522 โรคติดต่อบางอย่างลดลงจนไม่เป็นปัญหาเช่น กาฬโรค ไข้ทรพิษ ประชาชนในชนบทยังมี ประชาชนใน ชนบทยังมีสุขภาพอนามัยไม่ดีเนื่องจากอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีไม่ถูกสุขลักษณะขาดแคลนน้ำสะอาดในการ บ ริ โภ คแ ล ะมีพ ฤติ กรร มที่ เส่ี ย งต่ อการ เกิด โร คได้ ส ถา น บ ริ การ เร่ิ มมี โ รง พ ย าบ าล ป ร ะจ ำอำ เภ อแ ทน ศู น ย์ การแพทย์และอนามัย และมีโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคข้ันพื้นฐานเป็นครั้งแรกในพ.ศ. 2521 มีการ อบรมผสส. / อสม. ครัง้ แรกในพ.ศ. 2520 แผนการพัฒนาสาธารณสขุ ฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2525-2529) เน้นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้ความสำคญั กบั การพัฒนาอตุ สาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรม สง่ ออก เนน้ การพฒั นาชนบทอย่างผสมผสานโดยชมุ ชนมีส่วนร่วมภายใตร้ ะบบของคณะกรรมการพฒั นาชนบท แห่งชาติ (กชช.) การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสาธารณสุขมูลฐาน การจัดตั้งโรงพยาบาลระดับอำเภอให้ ครบทุกอำเภอ รวมทั้ง ยกฐานะสำนักงาน ยกฐานะสำนักงานผดุงครรภ์ให้เป็นสถานีอนามัยทั้งหมดและ การต้ังเป้าหมายทางสังคมระยะยาว (20 ปี) \"สุขภาพดีถ้วนหน้า 2543 \" จัดตั้งโรงพยาบาลชุมชนในระดับ อำเภอและครอบคลุมร้อยละ 85.2 และสถานีอนามยั และครอบคลุมรอ้ ยละ 97.9 การผลิตแพทย์และพยาบาล สามารถดำเนินการได้ร้อยละ 93.6 และร้อยละ 93.8 ของเป้าหมายตามลำดับการฝึกอบรมอาสาสมัคร สาธารณสขุ ประจำหมู่บา้ นไดถ้ ึงร้อยละ 126.9 ของเป้าหมายการอบรมผูส้ ื่อขา่ วสาธารณสุขได้ถงึ รอ้ ยละ 119.6 ของเปา้ หมายรวมทง้ั จดั ตัง้ กองทนุ ยาได้ถึงรอ้ ยละ 232.2

36 บทท่ี 3 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ แผนพฒั นาการสาธารณสุขฉบับที่ 6 (2530-2534) ขยายสถานบริการสาธารณสุขให้ครบตามเป้าหมายการยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ พัฒนาและการรณรงค์ควบคุมโรคเอดส์เพ่ือไม่ให้กระทบต่อความม่ันคงของชาติ และเริ่มแนวคิดเร่ือง หลักประกันสุขภาพ ประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้นเป็น 60.8 ปีและ 64.8 ปีในเพศชายและเพศหญิงตามลำดับ อัตราการตายของมารดาและทารกลดลงสถานบริการสาธารณสุขครอบคลุมครบจนถึงระดับอำเภอ / ตำบล ให้ความสำคัญกบั ปญั หาสาธารณสขุ ใหมค่ ือเอดส์ อบุ ัตเิ หตุ หัวใจ มะเร็ง สุขภาพจิต แผนการพฒั นาสาธารณสุขฉบับที่ 7 (2535-2539) น้ันการพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นจุดเชื่อมของงานสุขภาพดีถ้วนหน้า และการพัฒนาสถานบริการ สาธารณสุขให้มีคณุ ภาพมาตรฐาน เนน้ ความพยายามในการสร้างหลกั ประกันด้านสขุ ภาพแกค่ นไทยทุกคน เริ่ม หันมาเน้นการพัฒนาคุณภาพบริการ และการแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่ลาออกไปอยู่ภาคเอกชน สถาน บริการสาธารณสุขทุกระดับมีการกระจายครอบคลุมพ้ืนที่ต่างๆ อย่างท่ัวถึง ทั้งในเมืองและชนบท แต่มีปัญหา การขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะแพทยอ์ ย่างรุนแรง อัตราการเพ่ิมลดลงเหลอื ร้อยละ 1.3 ในพ.ศ. 2537 การ สร้างหลักประกันสุขภาพได้ครอบคลุมร้อยละ 72 ของประชาชนทั้งหมดการสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดต่อ โดยเฉพาะการให้วัคซีนขนั้ พ้ืนฐานในเด็กอายตุ ่ำกว่า 1ปี มีความครอบคลมุ เพิ่มข้ึนมากกว่าร้อยละ 80 จึงทำให้ อัตราการป่วยจากโรคดังกลา่ วลดลง แผนพฒั นาการสาธารณสุขฉบบั ท่ี 8 (2540-2544) เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นวัตถุประสงค์หลักเน้นการพัฒนาศักยภาพของคน ในด้านสุขภาพ โดยเฉพาะพฤติกรรมสุขภาพ เน้นเรื่องความครอบคลุมหลักประกันสุขภาพให้บริการท่ีมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพ เน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ มีการปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ดา้ นสาธารณสุขใหส้ อดคลอ้ งกบั วกิ ฤตทางดา้ นเศรษฐกิจ แผนพัฒนาการสาธารณสขุ ฉบับที่ 9 (2545-2549) เน้นสุขภาพคือสุขภาพวะ พัฒนาระบบสุขภาพทั้งระบบ ยึดหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงกับสุขภาพ ระบบสุขภาพพอเพียง ภาพลักษณ์ของสังคมและระบบสุขภาพที่พึงประสงค์เริ่มกำหนดวิสัยทัศน์และ ยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพโดยมีวิสัยทัศน์ว่า \"คนในสังคมไทยทุกคน มีหลักประกันท่ีจะดำรงชีวิตอย่างมี สุขภาพวะ และเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาค รวมท้ังอยู่ในครอบครัวชุมชนและสังคมที่มี ความพอเพียงทางสุขภาพ มีศักยภาพมกี ารเรยี นรู้และมสี ว่ นรว่ มในการ จัดการสขุ ภาพโดยสามารถใชป้ ระโยชน์ ทงั้ จากภูมิปญั ญาสากลและภมู ปิ ัญญาไทยไดอ้ ย่างรเู้ ท่าทัน\" พนั ธกจิ หลัก การระดมพลังทางสังคมเพื่อสร้างสุขภาพ ( All for Health ) ระดมพลังทางสังคมเพื่อร่วมสร้าง สุขภาพโดยจะต้องทำให้เกิดสำนึกสุขภาพในสังคมทุกส่วนอย่างท่ัวถึง และเปิดโอกาสให้ส่วนต่างๆในสังคมมี บทบาทและไดใ้ ชศ้ ักยภาพของตนในการพัฒนาเพอ่ื บรรลสุ ูส่ งั คมแหง่ สุภาวะมี 10 เป้าหมายคอื 1. การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและการป้องกันโรค 2. คนไทยทกุ คนมีหลกั ประกนั สขุ ภาพ

37 บทที่ 3 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ 3. การสรา้ งความเสมอภาคทางดา้ นสขุ ภาพ 4. การปรับบทบาทภารกจิ และโครงสร้างองคก์ ร / กลไกของรฐั ในการพฒั นาสุขภาพ 5. การสนับสนนุ การกระจายอำนาจดา้ นสขุ ภาพ 6. การพัฒนาศกั ยภาพด้านสุขภาพของประชาชน / ครอบครัว / ชมุ ชน / ประชาคม 7. การพัฒนาสถานบรกิ ารสาธารณสุขระดบั ตน้ ท้งั เขตเมอื งและชนบทโดยเช่อื มโยงกับระบบบริการ 8. การพัฒนาคุณภาพสถานบรกิ ารสาธารณสขุ 9. การสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพทางปญั ญาของระบบสุขภาพโดยเน้นการแพทย์แผนไทยสมนุ ไพร และการแพทยท์ างเลอื กทัง้ จากภูมปิ ญั ญาไทยและสากล 10. การสนบั สนุนอตุ สาหกรรมสุขภาพยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนา มี 6 ยทุ ธศาสตร์ 1) เรง่ การสร้างสุขภาพเชิงรกุ 2)การสรา้ งหลักประกนั สุขภาพเขา้ ถึงบริการสุขภาพตวั หนา้ 3)ปฏิรปู ระบบโครงสร้างและกลไกการบริหารจดั การระบบสุขภาพ 4)การสรา้ งความเขม้ แข็งของภาคประชาสังคมเพ่อื สุขภาพ 5)การบรหิ ารจัดการความรู้และภมู ปิ ัญญาเพือ่ สุขภาพ 6)การพฒั นากำลังคนดา้ นสุขภาพ เพ่อื รองรับการเปล่ียนแปลงและระบบสขุ ภาพใหม่ แผนพฒั นาการสาธารณสุขฉบบั ท่ี 10 (2550-2554) แนวคดิ นอ้ มนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการพฒั นาสขุ ภาพและยึดหลักการสุขภาพดี เป็นผลจากสังคมดี วิสยั ทศั น์ มุ่งสู่ระบบสุขภาพพอเพียง เพื่อสร้างให้สุขภาพดีบริการดีสังคมดี ชีวิตมีความสุขอย่าง พอเพียง พนั ธกจิ สร้างเอกภาพทางความคดิ สร้างจติ รสำนกึ สุขภาพใหม่สร้างระบบจัดการที่โปร่งใส สรา้ งกลไก การมีสว่ นร่วมในการพฒั นา ยุทธศาสตร์ 6 ยทุ ธศาสตรไ์ ดแ้ ก่ 1)การสร้างเอกภาพและธรรมาภบิ าลในการจัดการระบบสุขภาพ 2)การสรา้ งวฒั นธรรมสุขภาพและวถิ ีชีวิตทีม่ ีความสุขในสังคมแหง่ สุขภาพวะ 3) การสร้างระบบบรกิ ารสขุ ภาพและการแพทยท์ ีผ่ ู้รับบริการอ่นุ ใจผู้ใหบ้ รกิ ารมีความสขุ 4)การสร้างระบบภูมคิ ุ้มกันเพ่ือลดผลกระทบจากโรคและภยั คุกคามสขุ ภาพ 5)การสร้างทางเลอื กสุขภาพทหี่ ลากหลาย ผสมผสานภูมปิ ญั ญาไทยและสากล 6)การสรา้ งระบบสุขภาพฐานความรใู้ นการจัดการความรู้ แผนพฒั นาการสาธารณสขุ ฉบับท่ี 11 (2555-2559) หลกั การมงุ่ พฒั นาภายใตห้ ลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สรา้ งเอกภาพและธรรมาภิบาลในการอภิบาล ระบบสุขภาพ ให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการ การมีสว่ นร่วมของทุกภาคส่วนในสังคมมุง่ เน้นการสรา้ ง

38 บทท่ี 3 แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ หลักประกันและการจดั บริการท่คี รอบคลมุ เป็นธรรมเหน็ คุณค่าของการสร้างความสัมพันธท์ ่ีดี ระหวา่ งผ้ใู ห้และ ผรู้ บั บริการ วสิ ยั ทศั น์ ประชาชนทกุ คนมสี ุขภาพดีรว่ มสรา้ งระบบสขุ ภาพพอเพยี งเป็นธรรมนำสสู่ งั คมสุขภาพ พันธกจิ พฒั นาระบบสุขภาพพอเพียงโดยยึดหลักธรรมาภิบาล สร้างภูมคิ ุ้มกันตอ่ ภัยคุกคาม และสร้าง เสริมการมสี ่วนร่วมของทุกภาคสว่ น รวมถงึ การใช้ภมู ปิ ญั ญาไทยมี 5 ยุทธศาสตรไ์ ด้แก่ 1) ยุทธศาสตร์เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพ ในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการ พง่ึ พาตนเองด้านสขุ ภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย 2) ประสานพฒั นาระบบเฝ้าระวงั เตอื นภยั และการจดั การภัยพิบตั ิอุบตั ิเหตุและภยั สุขภาพ 3) ยุทธศาสตร์มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรคควบคุมโรคและคุ้มครองผู้บริโภค ดา้ นสขุ ภาพเพ่ือให้คนไทยแขง็ แรงท้ังรา่ งกายจติ ใจสังคมและปัญญา 4) ยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อ ปญั หาสขุ ภาพในทุกกลมุ่ เป้าหมายและพัฒนาระบบส่งต่อที่ไรร้ อยต่อ 5) ยุทธศาสตร์สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบ บริหารจดั การ ทรัพยากรให้มปี ระสิทธิภาพ แผนพัฒนาการสาธารณสขุ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 – 2564) 1) หลกั การของแผนพฒั นาสุขภาพแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12 แผนพฒั นาสขุ ภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) อยู่ภายใต้แผนพฒั นาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 เป็นแผนพัฒนาระยะ 5 ปี และเป็นกลไกเช่ือมต่อเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ด้านสุขภาพ ให้สามารถนำสู่การปฏิบัติอย่าง เป็นรูปธรรม จงึ ได้ยึดหลักการ ดงั น้ี 1) ยดึ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) ยึดคนเป็นศูนยก์ ลางการพฒั นา เพือ่ ใหค้ นไทยมีสุขภาวะทดี่ ี 3) ยึดเป้าหมายอนาคตประเทศไทยปี 2579 ควบคู่กับกรอบเป้าหมายการ พัฒนาที่ ยง่ั ยนื (SDGs) 4) การปรบั โครงสรา้ งประเทศไทยไปสูป่ ระเทศไทย 4.0 5) ประเดน็ การปฏริ ูป ประเทศดา้ นสาธารณสุข 6) ธรรมนูญวา่ ดว้ ยระบบสุขภาพแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 2 (8) กรอบแนวทางแผนระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข เพื่อวางฐานรากของระบบสุขภาพในระยะ 5 ปีให้เข้มแข็งเพ่ือคนไทยมีสุขภาพแข็งแรง สามารถสร้างความเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ของประเทศได้ทัง้ ทางตรงและทางอ้อม

39 บทท่ี 3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ 3. ยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี ดา้ นสาธารณสขุ ปัจจุบันระบบสุขภาพไทยกำลังเผชิญกับสิ่งท่ีท้าทายจากรอบด้าน อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุการ เปล่ียนจากสังคมชนบทสู่สังคมเมือง การเชื่อมต่อการค้าการลงทุนท่ัวโลก ตลอดจนความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ประชาชนมีความคาดหวังต่อคุณภาพของระบบบริการมากขึ้น ขณะท่ีงบประมาณภาครัฐเริ่มมี จำกัด ไม่เพียงพอต่อการเพ่ิมขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ทำให้ระบบสุขภาพไทยต้องเตรียม เพื่อรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมผู้บริหารระดับสูง “การถอยเพ่ือทบทวนหรือ การถอยตั้งหลักก่อนที่จะก้าวต่อไป ข้างหน้า (retreat)” เพ่ือทบทวนจุดยืน วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย ค่านิยม และยุทธศาสตร์ข้ึน เพื่อเป็นกรอบและทิศทางการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขในอนาคต โดยมี เป้าหมาย “ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหน้าท่ีมีความสุข และระบบสุขภาพยั่งยืน” กระทรวงสาธารณสุขยังได้ กำหนดยทุ ธศาสตร์ ทจี่ ะพฒั นาความเป็นเลิศ 4 ดา้ น คอื 1. Prevention & Promotion Excellence (สง่ เสริมสขุ ภาพและความป้องกนั โรคเปน็ เลศิ ) 2. Service Excellence (บริการเปน็ เลิศ) 3. People Excellence (บคุ ลากรเปน็ เลิศ) 4. Governance Excellence (บริหารจัดการเป็นเลิศ) กระทรวงสาธารณสขุ หวงั เป็นอยา่ งยิ่งว่า ยทุ ธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสขุ ) จะเป็นเปา้ หมายและ กรอบแนวทางการดำเนินงานของสว่ นราชการในสงั กัด และหน่วยงานอ่นื ท่ีเกย่ี วข้องในระยะ 20 ปี ในการพฒั นาดา้ นสาธารณสุขของประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสยั ทศั น์ประเทศพัฒนาแล้วอย่างมั่นคง ม่ัง คง่ั และยัง่ ยนื ตามปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ตอ่ ไป จดุ ยืนองค์กร (positioning) ส่วนกลาง พัฒนานโยบาย กำกับ ติดตาม ประเมินผล ส่วนภูมิภาค (เขตสุขภาพ) บริหาร จดั การหน่วยบรกิ าร และขบั เคลอ่ื นนโยบายส่กู าร ปฏิบัติ วสิ ยั ทัศน์ (vision) เปน็ องคก์ รหลักดา้ นสุขภาพ ทรี่ วมพลงั สังคม เพ่อื ประชาชนสุขภาพดี พนั ธกจิ (mission) พัฒนาและอภบิ าลระบบสุขภาพ อย่างมสี ว่ นร่วม และยงั่ ยืน เปา้ หมาย (intention) ประชาชนสุขภาพดี เจ้าหนา้ ทีม่ คี วามสุข ระบบสขุ ภาพยั่งยืน ค่านยิ ม (core value) MOPH: Mastery, Originality, People-centered approach, Humility Mastery คื อ การเปน็ ผนู้ ำ สามารถควบคมุ ตนเองได้ ไม่หลงไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง Originality คอื การเป็น ผู้ริเริ่มในสิ่งใหม่ นวัตกรรมใหม่ๆ People-centered approach คือ ให้ความสำคัญกับผู้ป่วย ผู้ป่วยคือ ศนู ย์กลาง Humility คอื ความออ่ นนอ้ มถอ่ มตน

40 บทท่ี 3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ยทุ ธศาสตรห์ ลกั 1) Prevention & Promotion Excellence (ส่งเสริมสุขภาพและความป้องกันโรค เปน็ เลิศ) 2) Service Excellence (บรกิ ารเป็นเลิศ) 3) People Excellence (บุคลากรเป็นเลิศ) 4) Governance Excellence (บรหิ ารจดั การเป็นเลิศ) ปัจจุบันระบบสุขภาพไทยกำลังเผชิญกับส่ิงท่ีท้าทายจากรอบด้าน อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การ เปลี่ยนจากสังคมชนบทสู่สังคมเมือง การเช่ือมต่อการค้าการลงทุนทั่วโลก ตลอดจนความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี ประชาชนมีความคาดหวังตอ่ คณุ ภาพของระบบบรกิ ารมากข้ึน ขณะที่งบประมาณภาครฐั มีอยู่อย่าง จำกดั ไม่เพียงพอตอ่ การเพม่ิ ขึ้นของค่าใช้จา่ ยดา้ นสาธารณสขุ ทำใหร้ ะบบสุขภาพไทยตอ้ งเตรียม เพ่ือรับมอื กับ สิ่ ง ต่ า ง ๆ เหล่านี้ กระทรวงสาธารณสุขไดก้ ำหนดยุทธศาสตร์ ทีจ่ ะพฒั นาความเป็นเลิศ 4 ด้าน คอื 1) Prevention& Promotion Excellence (ส่งเสริมสขุ ภาพและความป้องกันโรคเปน็ เลิศ) 2) Service Excellence (บรกิ ารเปน็ เลศิ ) 3) People Excellence (บุคลากรเปน็ เลศิ ) และ 4) Governance Excellence (บริหารจัดการเปน็ เลิศ) เพ่ือขับเคลื่อนทุกหนว่ ยงานไปสูเ่ ป้าหมาย โดยนำกรอบแนวคิดต่าง ๆ ประกอบดว้ ย ประเทศไทย 4.0 สร้างเศรษฐกิจใหม่ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง เป้าหมายการพัฒ นาท่ีย่ังยืน ( Sustainable Development Goals – SDGs by 2030) ประเด็นปฏิรูปคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 11 ด้าน นโยบาย รัฐบาล 10 ข้อ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2559 ร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560- 2579) การบูรณาการระดับชาติ การปฏิรูปประเทศไทยด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม มาใช้ในการกำหนด นโยบายทิศทาง เป้าหมาย ยุทธศาสตร์และวางแผนในระยะยาวในด้านสาธารณสุข อันประกอบด้วย 16 แผนงาน 48 โครงการ

41 บทท่ี 3 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข ) ได้แบ่งออกเป็น 4 ยุทธศาสตร์ 16 แผนงาน 48 โครงการ โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้ 1) Prevention & Promotion Excellence (ส่งเสรมิ สขุ ภาพและความปอ้ งกันโรคเปน็ เลิศ) 1.1 พฒั นาคณุ ภาพชีวติ คนไทยทกุ กลมุ่ วัย 1.2 การป้องกันควบคมุ โรคและภัยสุขภาพ 1.3 ความปลอดภยั ด้านอาหารและลดปจั จัยเสยี่ งต่อโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รัง 1.4 การบริหารจัดการสิง่ แวดลอ้ ม 2) Service Excellence (บริการเป็นเลิศ) 2.1 การพัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภมู ิ 2.2 การพัฒนาระบบบรกิ ารสุขภาพ 2.3 ศนู ยค์ วามเป็นเลิศทางการแพทย์ 2.4 ศนู ยก์ ลางสุขภาพนานาชาติและเขตเศรษฐกจิ พเิ ศษ 3) People Excellence (บคุ ลากรเปน็ เลิศ) 3.1 การวางแผนความตอ้ งการอัตรากาลงั คน 3.2 การผลิตและพฒั นากำลังคน 3.3 การพฒั นาประสทิ ธิภาพระบบบรหิ ารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพ 3.4 การพฒั นาเครือข่ายภาคประชาชนและภาคประชาสงั คมดา้ นสขุ ภาพ 4) Governance Excellence (บรหิ ารจัดการเป็นเลิศ) 4.1 ระบบขอ้ มูลสารสนเทศดา้ นสุขภาพ 4.2 ระบบหลกั ประกนั สุขภาพ 4.3 ความมั่นคงด้านยาและเวชภณั ฑ์ และการคมุ้ ครองผู้บรโิ ภค 4.4 ระบบธรรมาภบิ าล

42 บทท่ี 3 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ความเชื่อมโยงระหวา่ งยทุ ธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี 6 ด้าน กบั ยทุ ธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี 1. ยทุ ธศาสตร์ด้านความม่ันคง แผนงานการเฝ้าระวงั ป้องกันและควบคุมโรค (Promotion & Prevention Excellence) แผนงานความม่ันคงด้านยาและเวชภัณฑ์และการค้มุ ครองผู้บริโภค (Governance Excellence) 2. ยทุ ธศาสตรด์ า้ นการสรา้ งความสามารถในการแขง่ ขัน แผนงานศูนย์ความเปน็ เลิศทางการแพทย์ (Excellence Center) (Service Excellence) แผนงานศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติและเขตเศรษฐกิจ พิเศษ (Medical & Wellness Hub and Specialeconomic zone) (Service Excellence) 3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสรมิ สร้างศกั ยภาพคน แผนงานพัฒนาคุณภาพชวี ติ คนไทยทกุ กลุม่ วยั (Promotion & Prevention Excellence) 4. ยุทธศาสตร์ดา้ นการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเทา่ เทยี มกนั ทางสังคม แผนงานการพัฒนาระบบการแพทยป์ ฐมภมู ิ (Primary Case Cluster ) (Service Excellence) แผนงานการพฒั นาระบบบรกิ ารสขุ ภาพ (Service Plan) (Service Excellence) แผนงานระบบหลกั ประกนั สุขภาพ (Governance Excellence) แผนงานการพฒั นาเครอื ขา่ ยภาคประชาชนและภาคประชาสงั คมด้านสขุ ภาพ (People Excellence)

43 บทท่ี 3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5. ยุทธศาสตรด์ ้านการสรา้ งการเติบโตบนคณุ ภาพชีวิตทเ่ี ป็นมติ รกับส่ิงแวดลอ้ ม แผนงานการบริหารจดั การส่ิงแวดลอ้ ม (Promotion & Prevention Excellence) แผนงานความปลอดภัยด้านอาหารและลดปัจจัยเส่ียงต่อโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง (Promotion & Prevention Excellence) 6. ยุทธศาสตรด์ ้านการปรบั สมดลุ และพัฒนาระบบการบรหิ ารจัดการภาครฐั แผนงานระบบข้อมลู สารสนเทศด้านสขุ ภาพ (Governance Excellence) แผนงานระบบธรรมาภิบาล (Governance Excellence) แผนงานการวางแผนความตอ้ งการอัตรากำลงั (HRP) (People Excellence) แผนงานการผลติ และพัฒนากำลังคน (HRD) (People Excellence) แผนงานการพัฒนาประสทิ ธิภาพระบบบริหารจดั การกำลังคนดา้ นสขุ ภาพ (HRM) (People Excellence) ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาประเทศ แผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไว้ทั้งหมด 10 ยุทธศาสตร์ โดยมี ยุทธศาสตร์ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และอกี 4 ยทุ ธศาสตรท์ ีเ่ ปน็ ปัจจยั สนับสนนุ ดงั นี้ 1. ยทุ ธศาสตร์การเสริมสร้างและพฒั นาศกั ยภาพทนุ มนษุ ย์ 2. ยุทธศาสตรก์ ารสร้างความเปน็ ธรรมและลดความเหล่อื มลำ้ ในสังคม 3. ยุทธศาสตรก์ ารสรา้ งความเข้มแขง็ ทางเศรษฐกจิ และแข่งขนั ได้อยา่ งยง่ั ยนื 4. ยุทธศาสตร์การเตบิ โตทเ่ี ป็นมิตรกบั สิง่ แวดลอ้ มเพื่อการพฒั นาที่ย่ังยืน 5. ยทุ ธศาสตร์การเสริมสร้างความม่ันคงแห่งชาตเิ พือ่ การพฒั นาประเทศสู่ความมัง่ ค่งั และย่ังยืน 6. ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการในภาครัฐ การป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบ และธรรมาภิบาลใน สังคมไทย 7. ยุทธศาสตรก์ ารพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ 8. ยุทธศาสตร์การพฒั นาวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วจิ ยั และนวตั กรรม 9. ยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาภาค เมอื ง และพ้นื ทเ่ี ศรษฐกิจ 10. ยทุ ธศาสตร์ความร่วมมือระหวา่ งประเทศเพือ่ การพัฒนา

44 บทที่ 3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ บรรณานกุ รม คณะกรรมการอำนวยการจดั ทำแผนพัฒนาสุขภาพแหง่ ชาต.ิ (2560). แผนพฒั นาสุขภาพแห่งชาตใิ นชว่ ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564 ).สำนักนโยบายและ ยทุ ธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. กรงุ เทพ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถมั ภ์ สำนกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ. (2560). สรุปสาระสำคัญ แผนพฒั นาเศรษฐกิจ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 12. (พ.ศ.2560 - 2564).กรงุ เทพฯ. ดร.นพ.พงศธร พอกเพ่ิมดี.(2560).แผนยทุ ธศาสตร์ชาติ 20ปี ด้านสาธารณสุข.23/12/62, http://www.psh.go.th/info/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8% E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8% B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-20-%E0%B8%9B%E0%B8%B5- %E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA/ https://sites.google.com/site/kruchaiyooooo/sersthkic-phx-pheiyng-kab-kar-phathna-sersthkic- thiy/3-phaen-phathna-sersthkic-laea-sangkhm-haeng-chati https://ops.moph.go.th/public/index.php/policy_plan

บทท่ี 4 นโยบายสาธารณะ 1. นโยบายสาธารณะ 1.1 ความหมายของนโยบายสาธารณะ นโยบายสาธารณะ (public policy) หมายถึง แนวทางกิจกรรม การกระทำ หรือการเลือก ตัดสินใจของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้ทำการตัดสินใจและกำหนดไว้ล่วงหนา้ เพื่อชี้นำให้มีกิจกรรมหรือการกระทำ ต่าง ๆ เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ โดยมีการวางแผน การจัดทำโครงการ วิธีการบริหารหรือ กระบวนการดำเนินงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ด้วยวิธีปฏิบัติงานที่ถูกต้อง เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และความต้องการของประชาชน ผใู้ ชบ้ ริการในแตล่ ะเรือ่ ง สรุปความหมายของนโยบายสาธารณะ กลา่ วไวข้ า้ งต้นอาจพจิ ารณาเป็น 2 แนวทางดงั น้ี ในความหมายที่แคบนโยบายสาธารณะหมายถึงกิจกรรม / การกระทำของรัฐบาลและมิติการเลือก ตัดสินใจของรัฐบาลส่วน ในความหมายที่กว้างนโยบายสาธารณะหมายถึงแนวทางในการกระทำของรัฐบาลซงึ่ อาจกล่าวได้ว่าเป็นแนวทางกวา้ งๆทร่ี ัฐบาลได้ทำการตดั สินใจเลือกและกำหนดไวล้ ว่ งหน้าเพ่ือชีน้ ำให้มีกิจกรรม / การกระทำต่าง ๆเกิดขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย / วัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้โดยมีการวางแผนการจัดทำ โครงการวิธีการบริหารงานหรือกระบวนการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วยวิธี ปฏิบัติงานที่ถูกต้องเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและความต้องการของประชาชนในแต่ละเรื่อง ความเป็นจรงิ และความต้องการของประชาชน / ผ้ใู ชบ้ ริการ จากพัฒนาการและขอบข่ายของสาขาวิชานโยบายสาธารณะดังกล่าวทำให้ แนวทางการศึกษา นโยบายสาธารณะจำแนกได้เป็น 2 แนวคือแนวพรรณนานโยบายและแนวเสนอแนะนโยบายซึ่งรวมเรียกว่า “นโยบายศาสตร์” วัตถุประสงค์ของนโยบายศาสตร์ก็คือ เพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนที่เป็นความรู้เกี่ยวกับตัวนโยบาย และกระบวนการนโยบายอกี ท้ังสว่ นท่เี ป็นความรใู้ นกระบวนการนโยบาย 1.2 ความสําคัญของนโยบายสาธารณะ สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ (2543) กล่าวถึงนโยบายสาธารณะมีความสําคัญทั้งต่อผู้กำหนด นโยบายและ ประชาชน กลา่ วคอื ประการแรก ความสําคัญต่อผู้กำหนดนโยบาย ส่วนใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบต่อการกำหนดนโยบาย บริหารประเทศคือ รัฐบาล หากรัฐบาลกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ทั้งในด้าน ค่านยิ มของสังคมและการดำรงชีวิตอยางมีคุณภาพของประชาชนจะทำให้ร่ ัฐบาลได้รับความศรัทธาเชื่อถือจาก ประชาชน โดยอย่างยิ่งถ้ารัฐบาลสามารถนํานโยบายไปปฏิบัติ ให้ประสบความสําเร็จอย่างมีปประสิทธิผล (Effectiveness) และประสิทธิภาพ (Efficiency) จะทําให้ รัฐบาลได้รับการยอมรับและความนิยมจากประชน

46 บทท่ี 4 นโยบายสาธารณะ อย่างกว้างขวาง ผลดังกล่าวจะส่งเสริมให้รัฐบาล มีโอกาสดํารงอํานาจในการบริหารประเทศยาวนานขึ้นโดย อาจได้รับความไว้วางใจจากการเลือกตั้ง ให้ทําหน้าที่รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปอีก ในทางตรงกันข้าม หาก รัฐบาลกำหนดนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับค่านิยมหรือความต้องการของประชาชน ประชาชนอาจรวมตัวกัน คัดคา้ น เพ่ือกดดนั ในรัฐบาลเปล่ียนแปลงนโยบาย หรืออาจมีผลรุนแรง ถึงขน้ั ทาํ ให้รฐั บาลหมดอาํ นาจไป หรือ ใน บางกรณีถึงแม้ว่ารัฐบาลจะกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับค่านิยมและความต้องการของประชาชน แต่ รัฐบาลไมส่ ามารถนํานโยบายไปปฏิบตั ิให้บรรลุเป้าหมาย ปรากฏการณ์เชน่ นีจ้ ะทาํ ให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อ การบริหารงานของรัฐบาล และอาจส่งผลให้รัฐบาลหมดโอกาสที่จะบริหารประเทศต่อไป ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่า นโยบายสาธารณะมผี ลต่อการดํารงอยขู่ องรฐั บาลอยา่ งสาํ คัญ ประการที่สอง ความสําคัญต่อประชาชน เนื่องจากนโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตทางการเมือง เพื่อ ตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังนั้น ประชาชนสามารถแสดงออกซึ่งความต้องการของตนผ่านกลไก ต่าง ๆทางการเมือง อาทิเช่น ผ่านพรรคการเมือง ผ่านกลุ่มอิทธพิ ลและ ผลประโยชน์ ผ่านระบบราชการ ผ่าน นักการเมือง ผ่านฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นต้น ความต้องการ (Demands) และการสนับสนุน (Supports) ของประชานจะถูกนําเข้าระบบการเมือง (Political System) เมื่อนโยบายสาธารณะถูกนําไป ปฏิบัตแิ ละปรากฏผลลัพธต์ ามเปา้ ประสงค์ที่พึงปรารถนาจะทําให้ไดร้ ับความพอใจ และสง่ ผลต่อการมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีของประชาชน (Feed Back) จะทําให้ประชาชนเชื่อมันและศรัทธาต่อการบริหารงานของรัฐบาลมาก ขึ้น ในทางตรงข้ามหากผลลัพธ์และคุณภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ที่พึ่ ง ปรารถนาของประชาชน จะส่งให้วิถชี วี ิตของประชนตกตํา่ ปรากฏการณ์เช่นนีจ้ ะทําใหป้ ระชาชนขาดความเชื่อ มันและศรัทธาต่อรัฐบาล รัฐบาลจะต้องทําการปรับเปลี่ยนนโยบายหรอื ปรับปรุงการนํานโยบายไปปฏิบตั ิให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเรียกศรัทธาคืนจากประชาชน มิฉะนั้น ประชาชนอาจไม่ให้การสนับสนุนรัฐบาล อีกต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับประชาชน จึงเป็นความสัมพันธ์แบบพลวัต (Dynamic System) ดังนั้นนโยบายสาธารณะในฐานะที่เป็นผลผลิตของระบบการเมืองจึงส่งผลอย่างสําคัญต่อวิถีและ คุณภาพชวี ิตของประชาชน (Easton , 1965) สรุป นโยบายสาธารณะที่ดีต้องสอดคล้องกับค่านิยมและความต้องการของประชาชน เมื่อถูกนําไป ปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จะทําให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเสมอภาคทั่วหน้า หาก นโยบายสาธารณะมลี ักษณะในทางตรงข้าม จะสง่ ผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยากจน ดอ้ ยการศึกษา และคุณภาพชวี ติ ตํ่า นอกจากนี้ความสําคญั ดงั กล่าวแล้ว นโยบายสาธารณะยังมีบทบาทสําคญั ในฐานะท่ีเปน็ เคร่ืองมือใน การบริหารประเทศของรฐั บาลในดา้ นตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook