Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คุณค่าสมุนไพรไทยคนไทยควรรู้ไว้

คุณค่าสมุนไพรไทยคนไทยควรรู้ไว้

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2021-08-23 03:15:29

Description: คุณค่าสมุนไพรไทยคนไทยควรรู้ไว้

Search

Read the Text Version

๙๐ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Barringtonia acutangula (L.) Garetn. ชอ่ื สามัญ : Indian oak วงศ์ : Barringtoniaceae ช่อื อน่ื : กระโดนทุ่ง กระโดนนา้ (หนองคาย), จิกนา(ภาคใต้), ตอง(ภาคเหนือ), มุย่ ลาย ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ตน้ ขนาดเล็ก ลาต้น เป็นปุ่มปมและเป็นพู ผลดั ใบ ชอบขึ้นรมิ น้า ใบ เดีย่ ว ใบอ่อนสีน้าตาล แดง ผวิ ใบมนั ใบออกสลับถี่ตามปลายยอด รปู ใบยาวเหมอื นรปู ใบหอก หรือรปู ไข่กลับ ใบยาว 30 เซนติเมตร ขอบใบจักถี่ ก้นใบสีแดง สน้ั มาก ดอก ชอ่ สแี ดงห้อยลง บานจากโคนลงไปทางปลาย ช่อดอกยาว 30-40 เซนติเมตร กลบี เลยี้ ง 4 กลบี และจะคงติดอยจู่ นเปน็ ผล เกสรตวั ผมู้ จี านวนมาก มสี ชี มพูถึงสีแดง ผล ยาวรเี ปน็ เหลย่ี ม มสี นั ตามยาวของผล 4 สนั ผลมี กลีบเล้ียงติดอยู่ ส่วนท่ีใช้ : ราก นา้ จากใบ เปลอื ก ผล สรรพคุณ : ราก - ยาระบายออ่ น ๆ และใชแ้ ทนควินนิ ได้ นา้ จากใบ - แก้ท้องเสีย เปลือก - ทาแก้แมลงกัดตอ่ ย พอกแผล ผล - แก้ไอ ขบั เสมหะ แก้หวัด หืด

๙๑ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Albizia myriophylla Benth. วงศ์ : Leguminosae – Mimosoideae ชื่ออ่ืน : ชะเอมป่า (กลาง) ตาลออ้ ย (ตราด) เพาะซโู พ (กะเหร่ยี งแม่ฮ่องสอน) ย่านงาย (ตรงั ) ส้มป่อยหวาน (ภาคเหนือ) ออ้ ยช้าง (สงขลา,นราธิวาส) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถารอเลอ้ื ย ลาตน้ ก่ิงก้านมีหนามแหลมสั้น เปลอื กต้นมีรอยแตกตามขวางลาตน้ ใบ เป็น ใบประกอบแบบขนนกสองช้ัน ใบยอ่ ยรปู ขอบขนาน ปลายใบรูปใบหอก โคนใบเบ้ยี ว ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรยี บ ดอก ออกเป็นชอ่ ตามซอกใบและปลายยอด มีดอก 2 แบบ ดอกสีเหลอื งอ่อน กลีบดอกเลก็ เกสรเพศผ้ยู าว ผล เปน็ ฝกั แบน ผิว เรียบ ฝกั อ่อนสีเขียว พอแกเ่ ปลยี่ นเป็นสนี า้ ตาลและแตกออก สว่ นทีใ่ ช้ : ราก เนื้อไม้ สรรพคุณ : ราก - แกไ้ อ ขับเสมหะ ทาให้ชุ่มคอ ใชแ้ ทนชะเอมเทศ เนอ้ื ไม้ - บารุงธาตุ แกก้ ระหายนา้ แก้โรคในคอ วธิ แี ละปรมิ าณที่ใช้ แก้ไอขับเสมหะ ใชร้ ากยาว 2-4 นว้ิ ตม้ น้ารับประทาน เชา้ -เย็น ถ้าไมท่ เุ ทา รับประทานตดิ ต่อกนั 2- 4 วัน

๙๒ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Millingtonia hortensis L.f. ชอื่ สามัญ : Cork Tree , Indian Cork วงศ์ : BIGNONIACEAE ชอ่ื อน่ื : กาซะลอง กาดสะลอง (ภาคเหนือ) เต็กตองโพ่ (กะเหรย่ี ง-กาญจนบุรี) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมย้ ืนตน้ ขนาดเล็กถงึ ขนาดกลาง สงู ประมาณ 5-10 เมตร ลาต้นตรง เปลือกมีสเี ทาเข้มแตก เปน็ ร่องลึก มีช่องอากาศ รากเกดิ เป็นหนอ่ เจรญิ เปน็ ตน้ ใหมไ่ ด้ ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชนั้ กวา้ ง 13-20 ซม. ยาว 16-26 ซม. ก้านใบยาว 3.5-6 ซม. ตัวใบประกอบด้วยแกนกกกลางยาว 13-19 ซม. มีใบย่อย 4-6 คู่ ใบยอ่ ย 4-6 คู่ กวา้ ง 2.5-3 ซม. ยาว 4-5 ซม. มรี ูปรา่ งเปน็ รูปหอกแกมรูปไข่ ฐานใบรูปล่ิม ขอบหยักเป็นซห่ี ยาบ ปลายเรยี วแหลม เน้ือ ใบบางคลา้ ยกระดาษ เกลยี้ ง ดอกเปน็ ดอกช่อกระขุกแยกแขนง ยาว 10-25 ซม. ดอกยอ่ ยประกอบดว้ ย กลีบเลย้ี ง มีสี เขยี ว กวา้ งประมาณ 0.5 ซม. ยาวประมาณ 0.5 ซม. เช่อื มกนั เปน็ รปู ระฆังปลายตัด กลีบดอกมสี ขี าว กลนิ่ หอม กวา้ ง ประมาณ 0.5 ซม. ยาว 6-10 ซม. เชอื่ มกันเปน็ หลอดปากแตร แยกเปน็ 5 แฉก 3 แฉกรูปขอบขนาน 2 แฉกลา่ งค่อนข้าง แหลม เกสรเพศผู้มจี านวน 4 อัน สองค่ยู าวไมเ่ ทา่ กัน เกสรเพศเมยี มจี านวน 1 อนั อยเู่ หนอื วงเกลบี ออกดอกประมาณ เดอื นพฤศจิกายน - พฤษภาคม ผล เปน็ ผลแห้งแตก ลกั ษณะแบนยาวขอบขนาน มีเนอ้ื เมล็ดมีจานวนมา เปน็ แผ่นบางมี ปีก ส่วนทใี่ ช้ : ราก ดอก ใบ สรรพคุณ : เป็นพืชท่ีนามาใช้ในการรักษาโรคได้หลายชนิด ในตารายาไทย เช่น ราก - บารงุ ปอด รักษาวณั โรค อาการหอบหืด ดอก - ใชร้ ักษาอาการหอบหืด ไซนัสอักเสบ เพ่ิมการหลง่ั น้าดี (cholagogue) เพมิ่ รสชาติ นาดอกปีบแหง้ ผสมยาสบู มามวนเปน็ บุหร่ี สาหรบั สบู สูด เพื่อรกั ษาอาการหอบหดื ใบ - ใชม้ วนบหุ ร่ีสบู แทนฝิ่น ขยายหลอดลม ใชร้ ักษาอาการหอบหดื ไดเ้ ช่นกัน วิธแี ละปรมิ าณทีใ่ ช้ แกห้ อบหืด ใช้ดอกแหง้ 6-7 ดอก มวนเป็นบหุ รสี่ ูบ นกั วทิ ยาศาสตร์ ได้ทาการสกัดสว่ นต่าง ๆ ของปีบ เพื่อหาส่วนประกอบตา่ ง ๆ ทม่ี ีฤทธ์ใิ นการรักษา ตรวจ พบสาร Scutellarein และ Scutellarein-5-galactoside จากดอกปีบ ต่อมาตรวจพบว่าในใบ มีสาร hispidulin ในผล พบ acetyl oleanolic acid ในดอก มสี าร Scutellarein, hispidulin และ Scutellarein-5-galactoside ในราก พบสาร hentriacontane, lapachol, hentria contanol-1, B-stosterol และ paulownin ในสว่ นของแก่นไม้และเปลือกของต้น พบสาร B-stosterol นามาสกด้ ออกจากดอกปีบแห้งโดยนาสารสกัดด้วย methanol มาแยกลาดับสว่ นดว้ ย ปโี ตรเลียมอเี ธอร์ คลอโรฟอร์ม บวิ ธานอล และนา้ นาสว่ นตา่ ง ๆ เหล่านม้ี าทดสอบ

๙๓ ฤทธิท์ างเภสชั วทิ ยา พบวา่ ส่วนสกัดจากคลอโรฟอร์ม จะมีฤทธ์ขิ ยายหลอดลมในขณะทีส่ ว่ นสกดั Butanol และน้า จะมี ฤทธท์ิ าใหห้ ลอดลมหดตวั และพบว่าส่วนสกัดแยกสว่ นดว้ ย Butanol จากสารสกดั ด้วยน้า มีฤทธ์ิขยายหลอดลม จาก การศกึ ษาน้ี จึงเชอื้ วา่ hispidulin มีบทบาทสาคญั ในการขยายหลอดลม ซ่งึ ขณะน้ีกาลังมีผู้วจิ ยั ศึกษาถึงฤทธิ์ ขยาย หลอดลมในรา่ งกายของสตั วท์ ดลอง สาหรบั การศึกษาในด้านความปลอดภยั ของการใชด้ อกปีบในการรักษา ได้ศึกษาพษิ เฉียบพลนั (acute) และกึ่ง เฉยี บพลนั (Subacute toxicity) อย่างไรกต็ าม การทจ่ี ะอธิบายได้วา่ ผลทีเ่ กิดข้ึนน้ี จากสารสกัดตวั ใดน้ัน ยังใหค้ าตอบ ไม่ได้ ตอ้ งศึกษาสาระสาคัญแยกกนั ไป แม้ว่า hispidulin จะเปน็ สาระสาคัญตวั หนึ่งที่แยกไดจ้ ากส่วนของคลอโรฟอรม์ พบว่าสาร hispidulin ทีม่ ปี รากฏอยู่ในส่วนสกดั จากคลอโรฟอร์มนนั้ จะปรากฏอยู่ประมาณ 0.364% W/W ดงั น้นั จงึ ควร ทาการศึกษาพษิ ของ hispidulin ท่ีแยกใหบ้ รสิ ุทธ์ิ แล้วจงึ จะใหค้ าตอบทีช่ ดั เจนและถูกต้อง การศกึ ษาฤทธ์ิอ่นื ๆ ของสาร hispidulin และสารอื่น ๆ ทแ่ี ยกได้จากปบี ควรที่ได้ศึกษาหาข้อมลู เพมิ่ เตมิ ตลอดจนกลไกท่ีเก่ียวข้องกบั การออกฤทธิน์ ัน้ เพื่อประเมินศกั ยภาพของปบี ในการนามาใชใ้ นการรักษาหอบหดื ในอนาคต

๙๔ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Zingiber montanum (Koenig.) Link ex Dietr. ชอ่ื พ้อง : Zingiber cassumunar Roxb. วงศ์ : Zingiberaceae ชอื่ อนื่ : ปูลอย ปูเลย (ภาคเหนือ) วา่ นไฟ (ภาคกลาง) มน้ิ สะล่าง(ฉาน-แมฮ่ ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลุกสูง 0.7-1.5 เมตร มเี หงา้ ใตด้ นิ เปลอื กสีน้าตาลแกมเหลอื ง เน้ือในสเี หลืองถงึ เหลือง แกมเขยี ว แทงหน่อหรือลาต้นเทยี มขึน้ เปน็ กอ ซึ่งประกอบด้วยกาบหรอื โคนใบห้มุ ซ้อนกัน ใบเดี่ยว เรยี งสลับ รปู ขอบ ขนานแกมใบหอก กวา้ ง 3.5-5.5 เซนติเมตร ยาว 18-35 เซนตเิ มตร ดอกช่อ แทงจากเหง้าใต้ดนิ กลบี ดอกสนี วล ใบ ประดบั สมี ่วง ผลเป็นผลแหง้ รปู กลม ส่วนทใี่ ช้ : เหง้าแก่สด ตน้ ใบ ดอก สรรพคุณ : เหง้า เป็นยาแกท้ ้องขน้ึ ท้องอืดเฟ้อ ขับลม แกบ้ ิด ท้องเดิน ขับประจาเดือนสตรี ทาแก้ฟกบวม แก้ผนื่ คัน เปน็ ยารกั ษาหืด เปน็ ยากันเล็บถอด ใชต้ ้มนา้ อาบหลังคลอด น้าคนั้ จากเหง้า - รักษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกบวม แพลงช้าเม่อื ย หวั - ชว่ ยขบั ระดู ประจาเดอื นสตรี เลอื ดร้าย แก้มุตกติ ระดขู าว แกอ้ าเจียน แก้ปวดฟัน ดอก – ขบั โลหติ กระจายเลอื ดเสยี ตน้ - แกธ้ าตพุ ิการ แกอ้ จุ าระพกิ าร ใบ - แกไ้ ข้ ปวดเม่ือย แกค้ ร่นั เน้อื ครน่ั ตวั แก้เมือ่ ย วิธแี ละปริมาณที่ใช้ แกท้ อ้ งขน้ึ ท้องอดื ท้องเฟ้อ ขบั ลม ใชเ้ หงา้ แห้งบดเป็นผง รับประทานครั้งละ ½ ถงึ 1 ช้อนชา ชงนา้ ร้อน ผสมเกลือเลก็ น้อย ด่ืม รักษาอาการเคล็ดขดั ยอก ฟกช้าบวม ข้อเทา้ แพลง ใช้หัวไพลฝนทาแก้ฟกบวม เคล็ด ขัด ยอก ใช้เหง้าไพล ประมาณ 1 เหงา้ ตาแลว้ คั้นเอานา้ ทาถนู วดบริเวณที่มีอาการ หรอื ตาใหล้ ะเอยี ด ผสมเกลอื เล็กนอ้ ยคลกุ เคล้า แลว้ นามาหอ่ เปน็ ลกู ประคบ องั ไอนา้ ให้ความร้อน ประคบบรเิ วณปวดเมอ่ื ยและบวมฟกช้า เชา้ -เย็น จนกว่าจะหาย หรือ ทาเปน็ น้ามนั ไพลไว้ใชก้ ็ได้ โดยเอาไพล หนกั 2 กิโลกรัม ทอดในนา้ มันพืชรอ้ นๆ 1 กิโลกรมั ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพล ออก ใสก่ านพลูผงประมาณ 4 ช้อนชา ทอดต่อไปดว้ ยไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที กรองแล้วรอจนนา้ มันอนุ่ ๆ ใสก่ ารบูร ลงไป 4 ช้อนชา ใสภ่ าชนะปดิ ฝามดิ ชดิ รอจนเยน็ จึงเขยา่ การบรู ใหล้ ะลาย น้ามนั ไพลนีใ้ ชท้ าถนู วดวนั ละ 2 คร้ัง เชา้ -เยน็

๙๕ หรอื เวลาปวด (สูตรนเี้ ป็นของ นายวิบลู ย์ เขม็ เฉลิม อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชงิ เทรา) แกบ้ ดิ ทอ้ งเสยี ใช้เหงา้ ไพลสด 4-5 แว่น ตาให้ละเอียด คั้นเอาแตน่ า้ เติมเกลือคร่ึงช้อนชา ใช้รับประทาน หรอื ฝนกับนา้ ปนู ใส รบั ประทาน เป็นยารกั ษาหืด ใชเ้ หง้าไพลแห้ง 5 ส่วน พรกิ ไทย ดปี ลี อยา่ งละ 2 สว่ น กานพลู พิมเสน อย่างละ ½ สว่ น บดผสมรวมกนั ใชผ้ งยา 1 ชอ้ นชา ชงนา้ รอ้ นรบั ประทาน หรอื ป้นั เป็นลกู กลอนด้วยน้าผ้งึ ขนาดเท่าเม็ดพุทรา รับประทานครั้งละ 2 ลูก ตอ้ งรับประทานติดต่อกันเวลานาน จนกว่าอาการจะดีข้นึ เปน็ ยาแกเ้ ลบ็ ถอด ใชเ้ หงา้ ไพลสด 1 แงง่ ขนาดเทา่ หวั แมม่ ือ ตาใหล้ ะเอยี ดผสมเกลือและการบรู อยา่ งละ ประมาณคร่งึ ชอ้ นชา แล้วนามาพอกบริเวณท่ีเปน็ หนอง ควรเปลยี่ นยาวันละครัง้ ช่วยทาให้ผิวหนังชุ่มชื่น และเป็นยาช่วยสมานแผลด้วย ใช้เหง้าสด 1 แงง่ ฝานเป็นช้นิ บางๆ ใช้ต้มรวมกบั สมนุ ไพรอืน่ ๆ เน่ืองจากไพลม่ีน้ามนั หอมระเหย

๙๖ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Solanum trilobatum L. วงศ์ : Solanaceae ชอื่ อ่ืน : มะแวง้ เถา (กรุงเทพฯ ) แขวง้ เควยี (ตาก) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมเ้ ถาเลื้อยพาดพันกบั ต้นไม้อื่น ลาตน้ กลม สีเขยี วเป็นมนั มหี นามแหลมตามก่ิงก้าน ใบ เปน็ ใบเดีย่ ว ออกเรียงสลบั สีเขยี วเปน็ มัน แผ่นใบลา่ งมหี นามตามเสน้ ใบ ดอก ออกเปน็ ช่อตามซอกใบทปี่ ลายกง่ิ ดอกสมี ่วง กลีบเล้ียงมี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 แฉก ย่น ปลายแหลม โคนเชือ่ มตดิ กนั เกสรเพศผูส้ เี หลืองมี 5 อัน ผล รปู ทรงกลม ขนาด 0.5 ซม. ผวิ เรยี บ ผลดบิ สีเขยี วมีลายขาว ผลสุกสีแดงใส เมลด็ แบน มจี านวนมาก ส่วนทีใ่ ช้ : ราก ทัง้ ต้น ตน้ ใบ ผลสดแก่โตเตม็ ที่ แต่ยังไม่สุก สรรพคณุ : ราก - แกโ้ ลหติ ออกทางทวารหนกั ทวารเบา แก้ไอ แก้ขับเสมหะให้ตก แกห้ ดื ขบั ปัสสาวะ แก้ไขส้ นั นิบาต บารุงธาตุ แก้น้าลายเหนยี ว กระหายน้า แกว้ ัณโรค ทัง้ ต้น - ขบั เหง่ือ แก้ไอ แกห้ ืด ขบั ปสั สาวะ ตน้ - แกห้ ญงิ ท้องขึ้นในขณะมีครรภ์ แกไ้ อ ขับเสมหะ แก้น้าลายเหนยี ว กระท้งุ พษิ ไข้ ขับปสั สาวะ ใบ - บารงุ ธาตุ แก้ไอ แก้น้าลายเหนียว ผลสด - แก้ไอ ขับเสมหะ ขบั ปสั สาวะ รักษาโรคเบาหวาน บารงุ ดี แกน้ ้าลายเหนียว บารุงเลอื ด แกโ้ ลหิต ออกทางทวารหนกั ทวารเบา วธิ แี ละปริมาณที่ใช้ แก้ไอ แกโ้ รคหดื หอบ ใช้เป็นยาขมเจรญิ อาหาร 1.เอาผลมะแวง้ เครือสดๆ 5-6 ผล นามาเคย้ี วกลนื เฉพาะน้าจนหมดรสขม แลว้ คายกากทง้ิ เสีย บาบดั อาการ ไอไดผ้ ลชงัด 2.ใช้ผลสดๆ 5-10 ผล โขลกพอแหลก ค้ันเอานา้ ใส่เกลือ จิบบอ่ ยๆ หรือใช้ผลสดเค้ยี วแล้วกลืนท้ังนา้ และ เนือ้ รักษาเบาหวาน ลดนา้ ตาลในเลอื ด ใชผ้ ลมะแว้ง โตเตม็ ที่ 10-20 ผล รบั ประทานเปน็ อาหาร เปน็ ผกั จ้มิ นา้ พรกิ สารเคมี : ใบ มี Tomatid - 5 - en -3- ß – ol ดอก มี Alkaloids, Cellulose, Pectins Unidentified organic acid Lignins, Unidentified saponin ผล มี Enzyme oxidase, Vitamin A คอ่ นขา้ งสงู

๙๗ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Solanum indicum L. วงศ์ : Solanaceae ช่อื อนื่ : มะแควง้ มะแคว้งขม มะแคว้งคม มะแควง้ ดา (ภาคเหนือ) แวง้ คม (สงขลา, สรุ าษฎร์ธานี) สะก้งั แค (กะเหร่ียง- แม่ฮ่องสอน) หมากแฮง้ คง (เงี้ยว-แมฮ่ อ่ งสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พมุ่ สูง 1-1.5 เมตร เปลือกตน้ เรยี บสนี า้ ตาล ยอดอ่อนและตน้ อ่อนมีขนสขี าว ใบ เปน็ ใบ เดย่ี ว ออกเรยี งสลับ รูปไข่หรือขอบขนาน กวา้ ง 4-10 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบหยักเว้า แผ่นใบ สเี ขียว มีขนนุ่ม ก้านใบยาว ดอก ออกเปน็ ช่อตามกิ่งหรือซอกใบ ดอกย่อยมี 5-10 ดอก ดอกสีม่วง กลีบเล้ยี งเช่ือมติดกัน ปลายแยกเปน็ 5 แฉกแหลม ดา้ นนอกมขี น กลบี ดอกมี 5 กลบี รปู ไข่ ปลายแหลม เกสรเพศผสู้ เี หลือง ติดกนั เป็นรูปกรวย ผล รูปทรงกลม ขนาด 1 ซม. ผวิ เรยี บ ผลดิบสเี ขียวไม่มลี าย ผลสุกสสี ้ม เมล็ดแบนจานวนมาก ส่วนท่ใี ช้ : ราก ทัง้ ตน้ ใบ ผล สรรพคุณ : ราก - แกเ้ สมหะ นา้ ลายเหนียว แก้ไอ แกไ้ ข้สันนบิ าต แกโ้ ลหติ ออกทางทวารหนัก ทวารเบา ทัง้ ตน้ - แก้โลหติ ออกทางทวารหนัก ทวารเบา ใบ - บารงุ ธาตุ แก้วัณโรค แก้ไอ ผล - บารงุ นา้ ดี รักษาโรคเบาหวาน แก้ไอ แกเ้ สมหะ แกน้ ้าลายเหนียว แก้คอแห้ง ขบั ปัสสาวะ รักษาโรค ทางไต และกระเพาะปสั สาวะ แก้โลหติ ออกทางทวารหนกั ทวารเบา วธิ ีและปรมิ าณทีใ่ ช้ : 1.ใชเ้ ปน็ ยาขมเจรญิ อาหาร แก้ไอ และแก้โรคหอบหืด ใช้มะแวง้ ต้น ผลแก่ ในเด็ก ใช้ 2-3 ผล ใช้เป็นน้า กระสายยา กวาดแก้ไอ ขับเสมหะ ผใู้ หญ่ ใช้ 10-20 ผล รบั ประทาน เคีย้ ว แล้วกลืนท้ังน้าและเน้อื รบั ประทานบ่อยๆ จนกว่าอาการจะดีข้นึ 2.ใช้ลดน้าตาลในเลอื ด รกั ษาเบาหวาน ใชม้ ะแวง้ ตน้ โตเต็มท่ี 10-20 ผล รับประทานเป็นอาหารกับนา้ พรกิ สารเคมี : สาร Solasodine จะพบได้ในสว่ น ผล ใบ และต้น นอกจากนี้ในใบและผลยงั พบ Solanine , Solanidine Beta-sitosterol และ Diogenin คณุ คา่ ทางด้านอาหาร : ลูกมะแวง้ ตน้ ใช้เป็นผกั ได้ แต่นยิ มนอ้ ยกวา่ มะแว้งเครอื ลกู มะแว้งตน้ มีวิตามนิ เอ ค่อนข้างสูง

๙๘ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus hystrix DC. ชื่อสามัญ : Leech lime, Mauritus papeda วงศ์ : Rutaceae ชอื่ อ่ืน : มะขุน มะขูด (ภาคเหนอื ) มะขู (กะเหรย่ี ง-แม่ฮ่องสอน) ส้มกรดู สม้ ม่ัวผี (ภาคใต้) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้นขนาดเลก็ สูง 2-8 เมตร เปลือกต้นเรียบ สนี ้าตาล มหี นามแหลมตามก่งิ ก้าน ใบ เป็นใบ ประกอบท่ีมีใบย่อยใบเดย่ี ว ออกเรียงสลับ ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรยี บเปน็ มนั สีเขียวเข้ม มีตอ่ ม นา้ มันอยู่ตามผิวใบ มกี ลิ่นหอมเฉพาะ กา้ นใบมปี ีกดูคล้ายใบ ดอก ออกเป็นชอ่ ตามซอกใบทป่ี ลายก่ิง ดอกสขี าว กลีบเลี้ยง มี 5 กลีบ กลบี ดอกมี 5 แฉก โคนกลีบดอกติดกนั ผล เป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ โคนผลเรยี วเปน็ จุก ผิวขรุขระ มตี ่อม นา้ มัน ผลอ่อนสเี ขยี วแก่ สุกเปน็ สเี หลือง มรี สเปร้ยี ว เมลด็ กลมรี สขี าว มหี ลายเมล็ด สว่ นท่ใี ช้ : ราก ใบ ผล ผวิ จากผล สรรพคณุ : ราก - กระท้งุ พษิ แกฝ้ ภี ายในและแกเ้ สมหะเป็นพษิ ใบ – มีน้ามนั หอมระเหย ผล, นา้ ค้นั จากผล - ใช้แตง่ กล่ิน สระผมรักษาชนั นะตุ รังแค ทาใหผ้ มสะอาด ผวิ จากผล ปรุงเป็นยาขับลมในลาไส้ แก้แน่น เปน็ ยาบารงุ หัวใจ วธิ แี ละปริมาณท่ใี ช้ : 1.ใช้เป็นยาบารงุ หวั ใจ ขับลมในลาไส้ แกแ้ น่น แก้เสมหะ ฝานผิวมะกรดู สดเป็นช้นิ เล็กๆ 1 ช้อนแกง เตมิ การบรู หรือ พิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยนา้ เดอื ด แชท่ ิ้งไว้ ด่ืมแตน่ า้ รับประทาน 1 ถึง 2 คร้ัง แต่ถา้ ยงั ไม่ค่อยทุเลา จะ รับประทานตดิ ตอ่ กนั 2-3 สะรกไ็ ด้ 2.ใชส้ ระผมทาใหผ้ มสะอาดชุ่มช้นื เป็นเงางาม ดกดา ผมลน่ื ดว้ ย โดยผ่ามะกรดู เป็น 2 ช้ิน เมื่อสระผม เสร็จแลว้ เอามะกรดู สระซา้ ใช้มะกรดู ยีไปบนผม น้ามะกรูดเป็นกรด จะทาให้ผมสะอาด แลว้ ล้างผมให้สมนุ ไพรออกไปให้ หมด หรอื ใช้มะกรดู เผาไฟ นามาผา่ ซกี ใชส้ ระผม จะรกั ษาชนั นะตุ ทาให้ผมสะอาดเป็นมัน

๙๙ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Garcinia schomburgkiana Pierre. วงศ์ : Clusiaceae (Guttiferae) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ สูง 7-10 เมตร แตกกงิ่ ก้านเปน็ พุ่ม เปลือกต้นเรียบ สีน้าตาลอมดา ใบ เป็นใบเดย่ี ว ออกเรยี งสลบั รปู ขอบขนาน กว้าง 2.5 ซม. ยาว 9 ซม. ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบลนื่ สีเขยี ว เข้ม ก้านใบยาว 0.5-1 ศทซ ดอก ออกดอกเด่ยี วหรือเปน็ กระจกุ 3-6 ดอก ตามซอกใบ มีทงั้ ดอกสมบูรณ์เพศและดอกเพศ ผู้ ดอกสเี หลอื งอมส้ม กลบี เลยี้ งมี 4 กลบี ค่อนขา้ งกลม กลีบดอกมี 4 กลบี รูปรแี กมรปู ไข่ ปลายกลีบดอกมน ดอกเพศผู้มี เกสรเพศผู้ 10-12 อัน ผล รูปรปี ลายแหลม ผิวเรียบสเี ขียว เป็นมันล่ืน มรี สเปร้ยี ว เมลด็ มี 3-4 เมลด็ ตดิ กนั ส่วนทใี่ ช้ : ใบ ราก ผล สรรพคุณ : ใบและราก เป็นยาดอกเปร้ยี วเค็ม และปรุงเปน็ ยาตม้ รบั ประทานแกก้ ระษัย แก้ระดูเสีย ขบั ฟอกโลหิต เปน็ ยาระบายอ่อนๆ เป็นยาสกดั เสมหะในลาคอดี ผล เปน็ ยาสกัดเสมหะในลาคอดี เปน็ อาหาร

๑๐๐ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus emblica L. ช่อื สามัญ : Emblic myrablan, Malacca tree วงศ์ : Euphorbiaceae ชอื่ อืน่ : กาทวด (ราชบุร)ี กันโตด (เขมร-จันทบุร)ี สนั ยาส่า มัง่ ลู (กะเหร่ียง-แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น สงู 10-12 เมตร เปลือกตน้ สีเทาอมน้าตาล แตกเป็นร่องตามยาว กง่ิ ก้านแขง็ เหนียว ใบ เปน็ ใบเด่ียวออกเรยี งสลบั ในระนาบเดยี วกนั รูปขอบขนาน กวา้ ง 1- 5 มม. ยาว 4-15 มม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคน ใบมนหรือเว้าเข้า ขอบใบเรยี บ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ดอก ออกเปน็ ช่อ เปน็ กระจกุ เลก็ ๆ ดอกสเี หลอื งอ่อนออกเขยี ว กลีบ ดอกมี 5-6 กลีบ มีเกสรเพศผู้สั้นๆ 3-5 อนั กา้ นดอกส้ัน ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.3-2 ซม. เป็นพตู ่ืนๆ 6 พู ผิวเรยี บ ผล อ่อนสีเขยี วอมเหลือง พอแก่เปน็ สีเหลืองออกน้าตาล เมล็ดรูปรี เปลอื กหุ้มเมล็ดแขง็ สว่ นที่ใช้ : นา้ จากผล ผลโตเต็มท่ี สรรพคณุ : น้าจากผล - แกท้ ้องเสีย ขบั ปสั สาวะ ผล - แกไ้ อ ขบั เสมหะ ทาให้ชุ่มคอ วิธแี ละปริมาณทใี่ ช้ : ผลโตเตม็ ที่ จานวนไมจ่ ากัด รบั ประทานเป็นผลไม้

๑๐๑ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia (Christm.) Swingle ชื่อสามัญ : Common lime วงศ์ : Rutaceae ชอ่ื อน่ื : ส้มมะนาว มะลิว (ภาคเหนือ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พมุ่ สงู 2-4 เมตร กิง่ ออ่ นมีหนามแหลม เปลอื กตน้ เรยี บ สีนา้ ตาลปนเทา ใบ เปน็ ใบ ประกอบ ออกเรียงสลบั มีใบยอ่ ยใบเดียว รูปไข่หรอื รูปรยี าว กวา้ ง 3-5 ซม. ยาว4-8 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนมีปีก แคบๆ ขอบใบหยัก แผ่นใบมีต่อมน้ามนั กระจายอยตู่ ามผวิ ใบ ดอก ออกเป็นชอ่ สนั้ 5-7 ดอก หรอื ออกดอกเด่ียวตามซอก ใบ ทีป่ ลายกง่ิ ดอกสีขาว กลบี ดอกมี 4-5 กลีบ หลดุ รว่ งง่าย ผล รูปทรงกลม ผวิ เรียบเกล้ยี ง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม พอแก่เปน็ สีเหลือง ข้างในแบ่งเปน็ หอ้ งแบบรศั มี มรี สเปรีย้ ว เมล็ดกลมรี สขี าว มี 10-15 เมล็ด ส่วนทใ่ี ช้ : น้ามะนาว (น้าคน้ั จากผล) ราก ใบ ดอก ผล เมล็ด สรรพคุณ : นา้ มะนาว - แกโ้ รคลักปดิ ลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน) ทาอาหาร ขบั เสมหะ ฟอกโลหิต ทาให้ผิวนุ่มนวล แก้ซาง บารงุ เสยี ง บารงุ โลหติ ขับระดู แก้เลบ็ ขบ แก้ขาลาย จิบแก้ไอ ดบั กลนิ่ เหลา้ ฆ่าพยาธใิ นทอ้ ง รกั ษาผม ขบั ลม รกั ษาลมพษิ แก้รดิ สดี วง แก้ระดขู าว แก้พิษยางนอ่ ง แก้ไข้ แกไ้ ข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ ราก - กระทุง้ พิษไข้ ถอนพษิ สาแดง แกส้ ตหิ ลงลมื แกไ้ ข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แกป้ วด แก้อกั เสบ ถอนพิษไข้ กลบั ไข้ซ้า ใบ - ฟอกโลหิต แก้ตบั ทรุด ดอก - แกอ้ าการท้องอืด ทอ้ งเฟ้อและปวดท้อง แกอ้ าการคลื่นไส้ อาเจยี น (เกิดจากธาตุไม่ปกติ ) แก้ไอ ขับ เสมหะ ผล - แกอ้ าการท้องอดื ท้องเฟ้อและปวดท้อง ทาแกผ้ วิ แห้งตกสะเก็ด แกส้ ิวฝา้ แก้สน้ เท้าแตก แกไ้ อ รกั ษา แผลจากแมลงมีพิษ เมล็ด - แกพ้ ิษตานซาง แก้หายใจขดั แก้ไข้ขบั เสมหะ แก้พิษฝภี ายใน วธิ ีและปริมาณที่ใช้ : 1.ยาแกไ้ อขับเสมหะ นา้ ในผลทีโ่ ตเต็มท่ี น้ามะนาว 2-3 ชอ้ นแกง, เมลด็ มะนาว 10-20 เมล็ด นาน้า มะนาวเติมเกลอื เล็กน้อย จิบ จะชว่ ยทาใหเ้ สมหะถูกขบั ออก และเสียงดี ถา้ เปน็ เมลด็ มะนาวนาไปค่ัวให้เหลือง บดให้ ละเอียด เติมพมิ เสน 2-5 เกล็ด ชงน้าร้อนรับประทาน เปน็ ยาขบั เสมหะ 2.ยาป้องกันหรอื แกโ้ รคเลอื ดออกตามไรฟัน (ลกั ปดิ ลกั เปิด) ใช้นา้ จากผลที่แกจ่ ัดไมจ่ ากดั เติมเกลือ น้าตาล นา้ แข็ง ใช้เป็นเคร่ืองดื่ม หรือจะใส่ในอาหาร ก็ไดผ้ ลเช่นกนั 3.ยาห้ามเลือด ใส่แผลสด ใช้น้าจากผล ครง่ึ ช้อนชา หรือ 1/4 ชอ้ นแกง แผลถูกมดี บาด เลือดไม่หยุด บบี น้า

๑๐๒ มะนาวลงไป 3-4 หยด เลือดจะหยดุ สารเคมี : ใบ มี Alcohols, Aldehydes, Elements, Terpenoids, Citral ผล มี 1 - Alanine, γ - Amino butyric acid, 1 - Glutamic acid เมล็ด มี Glyceride Oil นา้ มันหอมระเหย มี P - Dimethyl - a - Styrene, Terpinolene

๑๐๓ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Solanum stramonifolium Jacq. วงศ์ : Solanaceae ชื่ออ่ืน : มะเขือปู่ มะปู่ (ภาคเหนอื ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร ทุกสว่ นมีขนละเอยี ดสนี า้ ตาลอ่อนปกคลมุ ใบ เป็นใบเดีย่ ว ออกเรียง สลับ รปู ไขก่ วา้ ง กว้าง 15-25 ซม. ยาว 20-30 ซม. โคนใบเว้าหรอื ตัด ขอบใบหยกั เว้าเป็นพู แผ่นใบสีเขยี ว มีขนทงั้ สอง ดา้ น ดอก ออกเปน็ ชอ่ กระจุกที่ซอกใบ ดอกสขี าว กลบี ดอกมี 5 กลีบ โคนเช่ือมติดกนั ปลายแหลม เกสรเพศผสู้ เี หลอื ง เป็นเส้นรวมเป็นยอดแหลม ผล รูปทรงกลม ขนาด 1.8-2 ซม. ผวิ มีขนยาวหนาแนน่ ผลสกุ สีเหลืองแกมน้าตาล เมล็ดแบน มีจานวนมาก ส่วนทใี่ ช้ : ผล ใบ ราก เมลด็ สรรพคณุ : ผล - เปน็ อาหาร กดั ฟอกเสมหะ แก้ไอ ใบ - เปน็ ยาพอก แก้คัน ราก - แกป้ วด แก้ไข้ พอกแก้คนั เมลด็ - แกป้ วดฟัน (โดยเผาสูดดมควนั เข้าไป)

๑๐๔ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Datura metel L. ชอ่ื สามัญ : Apple of Peru, Green Thorn Apple, Hindu Datura, Metel, Thorn Apple วงศ์ : Solanaceae ชอ่ื อืน่ : มะเขือบา้ , ม่ังโต๊ะโละ๊ , ละอังกะ, เลี๊ยก ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ม้ ลกุ อายุหลายปี สงู 1-2 เมตร แตกก่ิงก้านเปน็ พมุ่ ใบ เป็นใบเดีย่ ว ออกเรยี งสลบั รปู ไข่ กว้าง 8-15 ซม. ยาว 10-20 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบจักเปน็ ซห่ี ่างกัน แผ่นใบสเี ขยี ว ดอก ออกดอกเดีย่ ว ตามซอกใบ ดอกสีขาวนวล กลบี เลี้ยงตดิ กนั เป็นหลอดยาวคงึ่ หนง่ึ ของความยาวดอก กลีบดอกโคนเช่ือมติดกนั ปลายบาน เป็นรปู แตร ผล รูปทรงคอ่ นข้างกลม สเี ขยี ว ผวิ เป็นต่มุ หนาม ผลแห้งแตกได้ เมล็ดสนี ้าตาลจานวนมาก ส่วนทใี่ ช้ : ใบแห้ง ดอกแห้ง ยอดอ่อน ชอ่ ดอก สรรพคณุ : ยารกั ษาโรคหืด คลายการหดเกรง็ ของกล้ามเน้ือเรยี บ (antispasmodic) anticholinergic activity วิธีและปรมิ าณที่ใช้ :ใบแห้ง 1-3 ใบ มวนบุหร่ีสูบ ดอกแห้ง 1 ดอก มวนบหุ รี่สบู ใบขนาดท่ีใช้ 100-250 มิลลิกรัม liquid extract (0.25% alkaloids) ขนาด ทใี่ ช้ 0.06-0.2 มล. ทงิ เจอร์ (มแี อลกอฮอล์ 0.25%) ขนาดที่ใช้ 0.3-2 มล. สารเคมี - มี hyoscine 0.25-0.55 % และ hyoscyamine

๑๐๕ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Schefflera leucantha R. Vig. วงศ์ : Araliaceae ชอื่ อ่นื : - ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พ่มุ สูง 1-4 เมตร แตกกิง่ กา้ นตา่ ใกล้พนื้ ดนิ เปลอื กตน้ เรยี บเปน็ สีน้าตาล ใบ เป็นใบ ประกอบแบบน้ิวมือ ออกเรียงสลับ มีใบยอ่ ย 6-8 ใบ รูปรี กวา้ ง 1.5-3 ซม. ยาว 5-8 ซม. โคนใบแหลม ปลายใบเรยี ว แหลม ขอบใบเรยี บ แผ่นใบเรียบสีเขียวเป็นมนั ดอก ออกเปน็ ชอ่ ที่ปลายกง่ิ ดอกเล็กสขี าวนวล ผล เปน็ ผลมเี นอ้ื รปู ทรง กลม ขนาดเล็ก ส่วนท่ใี ช้ : ใบสด สรรพคณุ : 1.รกั ษาโรคหืด โรคแพ้อากาศ ขับเสมหะ 2.รกั ษาโรคหลอดลมอักเสบ 3.รักษาวัณโรคปอด แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลอื ด 4.ตาพอกแผลหา้ มเลอื ด หา้ มเลอื ด วธิ แี ละปริมาณที่ใช้ : รักษาโรคหดื แพ้อากาศ ขบั เสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบ ใช้ใบสดเล็กๆ 9 ใบ ตม้ กับนา้ 3 ถ้วยแก้ว เค่ียวใหเ้ หลือ 1 ถ้วยแกว้ รบั ประทานวนั ละ 2 ครงั้ ก่อนอาหาร เชา้ -เย็น เปน็ เวลา 49 วนั หดื ควรจะหาย ยาแกอ้ าเจยี นเปน็ เลือด ใชใ้ บสด 12 ใบย่อย ตาคน้ั นา้ 2 ถว้ ยตะไล รบั ประทานครง้ั ละ 1 ถว้ ยตะไล ติดต่อกัน 5-7 วนั ใชร้ กั ษาวัณโรค ใช้เหมอื นวธิ ีที่ 1 ติดต่อกนั 60 วัน แลว้ x-ray ดู ปอดจะหาย แลว้ ใหร้ บั ประทานต่อมาอีก ระยะหนงึ่ สารเคมี : พบ Oleic acid, butulinic acid, D - glucose, D - Xylose, L – rhamnose

๑๐๖ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Sesbania grandiflora (L.) Desv. ชอื่ สามัญ : Agasta, Sesban, Vegetable humming bird วงศ์ : Leguminosae – Papilionoideae ชอื่ อื่น : แค แคบา้ นดอกแดง แคขาว (ภาคกลาง) แคแดง (เชียงใหม่) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเลก็ สงู 3-6 เมตร แตกกิ่งกา้ นสาขามาก เปลอื กต้นสีนา้ ตาลปนเทา ขรขุ ระ แตก เป็นสะเกด็ ใบ เปน็ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลบั ใบยอ่ ยรปู รีขอบขนาน กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 3-4 ซม. ปลายใบ และโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผน่ ใบเรียบ สเี ขียว ดอก ออกเปน็ ช่อตามซอกใบ 2-4 ดอก ดอกสีขาวหรอื แดง มีกล่นิ หอม ก้านเกสรเพศผสู้ ขี าว 60 อนั ผล เป็นฝกั ยาว 8-15 ซม. ฝกั แกแ่ ตกเปน็ 2 ซีก เมลด็ กลมแปน้ สนี ้าตาล มีหลายเมล็ด สว่ นทใ่ี ช้ : เปลือกตน้ ดอก ใบสด ยอดอ่อน สรรพคณุ : เปลอื ก ต้มหรือฝนรบั ประทาน แก้โรคบิดมีตวั แก้มกู เลือด แกท้ ้องเดิน ท้องร่วง คมุ ธาตุ ภายนอก ใช้ชะ ลา้ งบาดแผล ดอก,ใบ - รับประทานแก้ไขเ้ ปล่ียนอากาศ เปล่ียนฤดู (แกไ้ ข้หวั ลม) ชาวอนิ เดยี ใช้สดู น้าท่ีคัน้ ได้จากดอก หรือใบแคเขา้ จมูกรกั ษาโรค รดิ สดี วงในจมกู และทาใหม้ นี ้ามูกออกมา แก้ปวดและหนกั ศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้ ใบสด รับประทานใบแคทาให้ระบาย ใบแค ตาละเอียด พอกแก้ช้าชอก วิธีและปรมิ าณท่ีใช้ : แก้มูกเลอื ด บดิ มีตวั แกท้ ้องเดิน ทอ้ งรว่ ง คุมธาตุ ใช้เปลอื กตน้ ปิ้งไฟ 1 ส่วน ตม้ กับน้าหรอื น้าปูนใส 10 สว่ น รบั ประทานครง้ั ละ 1-2 ชอ้ นแกง แก้ไข้ ลดความร้อน แก้ไขห้ ัวลม (หรอื ไข้อากาศเปลี่ยน) ใบสด ต้มกับน้ารับประทานลดไข้ ใชย้ อดอ่อน จานวนไมจ่ ากัด ลวกจมิ้ กับน้าพริก รับประทานแกป้ วดศีรษะข้างเดยี ว ใชด้ อกทโ่ี ตเตม็ ทีล่ ้างน้า ตม้ กับหมูทาบะชอ่ 1 ชาม รบั ประทาน 1 ม้ือ รับประทานติดต่อกนั 3-7 วัน จะไดผ้ ล

๑๐๗ () ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Clerodendrum petasites (Lour.) S.Moore วงศ์ : Labiatae ช่อื อน่ื : กาซะลอง จรดพระธรณี ดอกคาน (ยะลา) ท้าวยายมอ่ มป่า (อยุ ลราชธาน)ี ป้งิ ขม ป้งิ หลวง (ภาคเหนอื ) พญารากเดยี ว (ภาคใต)้ พญาเลง็ จ้อน เล็งจอ้ นใต้ (เชยี งใหม)่ พมพี (อดุ รธาน)ี พวกวอ (กะเหร่ียง-กาแพงเพชร) พนิ ที (เลย) โพพ่ิง (ราชบรุ )ี ไมเ้ ทา้ ฤๅษี (ภาคเหนือ,ภาคใต)้ หญ้าล้ินจอ้ น (ประจวบคีรีขันธ์) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ ไมย้ นื ต้นขนาดยอ่ ม ลาตน้ ต้งั ตรงไม่มีก่ิงกา้ นสาขา ลาต้นโตเท่านว้ิ มือ สงู ประมาณ 4-5 เมตร มรี ากเด่ียวพงุ่ ตรงลกึ ใบ เปน็ ไมใ้ บเดยี่ ว รปู หอกเล็กเรียวยาว 6-7 น้ิว ปลายและโคนแหลม สีเขียว ออกตามข้อ ตรงกนั ขา้ มเปน็ คู่ๆ สลับทางกันเป็นพมุ่ ที่กลางต้นถึงปลาย ดอก ช่อเลก็ ๆ ออกเป็นชอ่ ช้ันๆ ทีป่ ลายยอดเหมือนฉตั ร ดอก คล้ายดอกปีบสีขาว มีจานรองดอก 5 แฉก สแี ดง ผล กลมเท่าลกู เถาคัน สว่ นทใี่ ช้ : ราก สรรพคณุ : ราก เป็นยาแก้พิษไข้ พษิ กาฬ ลดความร้อนในรา่ งกาย กระทงุ้ พษิ ไข้หวดั เปน็ ยาขับพิษไขท้ กุ ชนดิ เป็นยาแก้ แพ้ อักเสบ ปวดบวม พษิ ฝี แมลงสตั ว์กัดตอ่ ย แกร้ ้อนในกระหายนา้ แก้อาเจียน หดื ไอ วธิ ีและปรมิ าณทใี่ ช้ : 1. เปน็ ยาแก้พิษไข้ พษิ กาฬ ลดความรอ้ นในร่างกาย กระท้งุ พิษไข้หวัด นาราก 1 ราก มาตาให้ละเอยี ด ผสมกับนา้ ฝน หรือเหล้าโรง คั้นเอาน้ารบั ประทาน 2.แกอ้ าการแพ้ อักเสบ ปวดบวม นากากมาพอกที่ปากแผล ถอนพิษงู แมลงสัตวก์ ดั ต่อย

๑๐๘ () ช่ือวิทยาศาสตร์ : Tacca leontopetaloides (L.) Kuntze วงศ์ : Taccaceae ช่ืออนื่ : ไมเ้ ท้าฤๅษี (ภาคกลาง) สงิ โตดา (กรงุ เทพฯ) บุกรอ (ตราด) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลกุ อายหุ ลายปี มีหัวเปน็ แปง้ กลมหรือรี ใบรปู ฝา่ มือ มี 3 แฉก แตล่ ะแฉกเปน็ ใบ ประกอบหลายแฉกย่อย ใบรูปฝา่ มือกว้างได้ 120 ซม. ยาว ได้ 70 ซม. กา้ นใบยาว 20-170 ซม. รวมกาบใบ ชอ่ ดอกมี 1- 2 ช่อ ยาวไดถ้ ึง 170 ซม. แต่ละชอ่ มี 20-40 ดอก แผ่นกลีบประดับมี 4-12 อัน เรยี ง 2 วง กลีบขนาดเกือบเทา่ ๆ กบั รูป ไข่ รูปขอบขนานหรือรปู ใบหอก สีเขียวเข้ม ยาว 2.5-10 ซม. กลบี ประดับรูปเส้นดา้ ยมี 20-40 อนั สเี ขียวขาวอมมว่ ง ยาว 10-25 ซม. ดอกสีเขียวอมเหลือง กลีบรวม 6 กลบี เรียง 2 วง วงนอกรปู รหี รอื รปู ใบหอก ยาว 0.4-0.7 ซม. วงในรปู ไข่ หรือรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 0.5-0.8 ซม. เกสรเพศผู้ 6 อนั ปลายแผ่เป็นแผ่น กา้ นเกสรเพศเมยี สนั้ ปลายเกสรแยก เป็น 3 แฉก ผลมเี นอื้ หลายเมลด็ เกือบกลมหรอื ทรงรี หอ้ ยลง เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1.5-2.5 ซม. เมล็ดจานวนมาก สว่ นที่ใช้ : หวั สรรพคุณ : หวั ท่ใี ช้ทาเป็นแป้งได้ เรยี กวา่ William's arrow root แปง้ เท้ายายมอ่ มเป็นอาหารอยา่ งดีสาหรับคนไข้ที่เบือ่ อาหาร อ่อนเพลีย ให้คนไข้รบั ประทานดี เกดิ กาลังและชุ่มชื่นหวั ใจ วิธีและปริมาณทใี่ ช้ : ใช่แป้งละลายน้าดบิ ใสน่ า้ ตาลกรวด ตงั้ ไฟกวนจนสุก ให้คนไข้รับประทาน

๑๐๙ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Phyllanthus pulcher Wall. ex Müll.Arg. วงศ์ : Euphorbiaceae ชอื่ อ่ืน : เสนียด (กรุงเทพฯ) กระทืบยอบ (ชุมพร) ตรึงบาดาล (ประจวบคีรีขนั ธ)์ ก้างปลาดนิ ดอกใต้ใบ (นครศรธี รรมราช) คดทราย (สงขลา) ก้างปลาแดง ครีบยอด (สรุ าษฎรธ์ านี) รรุ ี (สตูล) กา้ งปลา (นราธิวาส) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ มุ่ สงู 1-1.5 เมตร เปลอื กต้นเรียบ สนี า้ ตาล มีรอยแผลใบชดั เจน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออก เรียงสลบั รปู รแี กมขอบขนาน กวา้ ง 0.8-1.3 ซม. ยาว 1.5-2.5 ซม. โคนใบเบย้ี ว ปลายใบมน ขอบใบเรยี บ หลังใบและ ทอ้ งใบเรียบ สีเขยี ว ดอก ดอกแยกเพศอย่ตู น้ เดยี วกนั ดอกเพศผอู้ อกเปน็ กระจุกตามซอกใบ กลบี ดอกมี 4 กลบี ดอกเพศ เมียออกตามซอกใบในส่วนของก้านใบ ดอกห้อยลง กลบี ดอกมี 6 กลบี โคนติดกนั สมี ว่ งแดง ปลายแหลม ปลายเปน็ สี เขียว ขอบจักเป็นฝอย ผล รูปทรงกลม สนี า้ ตาลอ่อน ส่วนทใ่ี ช้ : ใบแหง้ สรรพคุณ : ใบแหง้ ป่นเป็นผง ผสมกับพิมเสนดีพอควร ใช้กวาดคอเดก็ แกเ้ ด็กตวั ร้อน แกพ้ ิษตานทรางของเดก็ ได้ดี และ ขับลมในลาไส้

๑๑๐ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Tinospora crispa (L.) Miers ex Hook.f.& Thomson วงศ์ : Menispermaceae ชอื่ อื่น : ตวั เจตมูลยาน เถาหัวด้วน (สระบุรี) หางหนู (สระบรุ ี,อบุ ลราชธานี) จงุ่ จิง เครอื เขาฮอ (ภาคเหนือ) เจตมูลหนาม (หนองคาย) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาเลอื้ ยพาดพันต้นไม้อ่นื เถากลมมีขนาดใหญ่เปน็ ป่มุ ปม สีเทาอมดา มรี สขม เปลอื กลอก ออกได้ ใบ เป็นใบเด่ยี ว ออกเรียงสลบั รูปหัวใจ ขอบใบเรยี บ แผน่ ใบเรยี บ สีเขยี ว กา้ นใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตาม ซอกใบ ดอกแยกเพศอย่คู นละชอ่ ดอกสเี ขยี วอมเหลอื ง มขี นาดเลก็ มาก ผล รูปทรงคอ่ นขา้ งกลม สีเหลืองหรือสีแดง สว่ นที่ใช้ : ราก ตน้ ใบ ดอก ผล สว่ นทั้ง 5 เถาสด สรรพคุณ : ราก แก้ไขเ้ หนือ ไขส้ ันนิบาต แกไ้ ข้พษิ ไข้จับสนั่ ดบั พิษร้อน ถอนพิษไข้ เจรญิ อาหาร ตน้ แก้ไข้ แก้ไขพ้ ิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ บารุงกาลัง บารุงธาตุ แกอ้ าการแทรกซ้อน ขณะทเ่ี ปน็ ไข้ทรพิษ แกไ้ ข้เพ่ือโลหิต แกเ้ ลือดพิการ แกร้ อ้ นในกระหายน้า แกส้ ะอึก แกพ้ ิษฝีดาษ เปน็ ยาขมเจริญอาหาร เปน็ ยาอายวุ ฒั นะ ใบ แกไ้ ข้ แก้ไข้พิษ แก้ไขก้ าฬ แกไ้ ข้จบั สั่น ขับพยาธิ แกป้ วดฝี บารงุ ธาตุ ยาลดความร้อน ทาใหผ้ วิ พรรณ ผ่องใส หนา้ ตาสดชนื่ รักษาโรคผวิ หนัง ผดผ่นื คนั ตามรา่ งกายช่วยใหเ้ สยี งไพเราะ แก้โลหติ คงั่ ในสมอง เป็นยาอายุวฒั นะ ดอก ฆ่าพยาธิในท้อง ในฟนั ในหู ผล แกเ้ สมหะเป็นพิษ แก้ไข้พิษ แกส้ ะอกึ และสมฎุ ฐานกาเริบ ส่วนท้ัง 5 บาบดั รกั ษาโรค ดังน้ี เปน็ ยาอายวุ ฒั นะ แกป้ วดเม่ือย แก้ไข้ปวดศีรษะ รักษาฟัน รักษาโรค ริดสดี วงทวาร ช่วยให้เจรญิ อาหาร แกฝ้ ีมดลูก ฝมี ุตกติ แกร้ ้อนใน รักษาโรคเบาหวาน ลดความรอ้ น แก้ดพี ิการ แก้เสมหะ เลือดลม แก้ไขจ้ บั สั่น วิธีการและปรมิ าณทใี่ ช้ : ใช้เป็นยารักษาอาการดงั นี้ 1.อาการไข้ ลดความรอ้ น ใช้เถาแก่สด หรือตน้ สด ครงั้ ละ 2 คืบครงึ่ (30-40 กรัม) ตาคั้นเอานา้ ดมื่ หรือ ต้มกับนา้ โดยใช้ น้า 3 ส่วน ตม้ เค่ียวให้เหลอื 1 ส่วน ดม่ื วนั ละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เยน็ หรือเวลามอี าการ - หรือใช้เถาสด ดองเหล้า ความแรง 1 ใน 10 รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา ของยาท่เี ตรยี มแลว้ 2.เปน็ ยาขมช่วยเจรญิ อาหาร เมอื่ มีอาการเบอื่ อาหาร โดยใช่ขนาดและวธิ กี ารเชน่ เดียวกับใช้แก้ไข้ สารเคมี : ประกอบด้วยแคลคาลอยด์หลายชนิด เชน่ Picroretine, berberine นอกจากนย้ี งั ประกอบด้วย colonbin, tintotuberide, N - trans - feruloyltyramine, N - cisferuloytyramine, phytosterol, methylpentose

๑๑๑ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Quassia amara L. ชื่อสามัญ : Stave-wood, Sironum wood วงศ์ : Simaroubaceae ช่ืออน่ื : ปงิ ประทดั (ภาคกลาง) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ ุ่ม สูง 1.5-3 เมตร แตกก่ิงก้านมากเป็นพุ่มเตี้ย เปลอื กต้นเรยี บ สนี า้ ตาล ใบ เปน็ ใบ ประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบยอ่ ยมี 5 ใบ รูปรหี รือรปู ไขก่ ลับ กวา้ ง 2-3 ซม. ยาว 3-5 ซม. ปลายใบแหลม โคน ใบรปู ลิ่ม ขอบใบเรียบ แผน่ ใบเรียบ สีเขยี ว กา้ นใบรวมสแี ดงมีครีบแผ่ออกท้งั สองข้าง ใบออ่ นสีแดง ดอก ออกเปน็ ช่อท่ี ปลายก่งิ ดอกสแี ดงสด กลบี ดอกไม่บานจะหุ้มเกสรอยเู่ ป็นรูปกรวยคว่า กา้ นช่อดอกสแี ดง ผล เป็นผลกล่มุ ผลยอ่ ยรูปไข่ กลับ สีแดงคลา้ ส่วนทใี่ ช้ : ราก ใบ เน้อื ไม้ เปลือก สรรพคณุ : ราก - มีรสขมจัด ใช้ปรงุ เปน็ ยาแกไ้ ขไ้ ด้ดี ใบ - ทาผิวหนัง แกค้ ัน เปลือกและเนอื้ ไม้ - เปน็ ยาบารุงนา้ ย่อย ทาให้เกดิ อยากรบั ประทานอาหาร เนื้อไม้ – นามาสกดั เปน็ ยาขบั พยาธิเสน้ ด้ายสาหรับเดก็ วิธีและปรมิ าณที่ใช้ : 1.ใช้เปน็ ยาแกไ้ ขม้ าเลเรีย ตม้ เน้ือไม้ประทดั จนี (ประทดั ใหญ)่ 4 กรัม ด้วยนา้ 4 ถว้ ยแกว้ เคยี่ วให้เหลอื 2 ถ้วยแก้ว รับประทานครัง้ ละ 1/4 ถ้วยแก้ว วนั ละ 2 คร้งั ก่อนอาหาร เชา้ -เย็น 2.ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร และเปน็ ยาขับพยาธเิ ส้นดา้ ย ใชเ้ นื้อไม้ 0.5 กรัม ประมาณ 4-5 ชิ้น ชงน้า เดอื ด 1/2 ถว้ ยแก้ว รับประทานครงั้ เดียว

๑๑๒ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Sapindus emarginatus Wall. ชื่อสามัญ : Soap Nut Tree วงศ์ : Sapindaceae ชอื่ อื่น : มะคาดีควาย ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น สูง 10-30 เมตร เปลอื กต้นสนี ้าตาลอ่อน แตกเปน็ ร่องลกึ ตามแนวยาว ใบ เปน็ ใบ ประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 2-4 ใบ รปู รีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 5-7 ซม. ยาว 10-14 ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรยี บ สีเขยี ว ดอก ดอกแยกเพศ อยตู่ ้นเดยี วกนั ออกเป็นชอ่ ท่ปี ลายยอด ดอกสีขาวนวล กลบี ดอกมี 5 กลีบ กา้ นชอ่ ดอกมขี นปกคลมุ ผล รปู ทรงกลม ผิวเรียบ หรือมรี อยย่นทผ่ี ลบ้าง ผลสดสีเขยี ว เมล็ดเดี่ยว สว่ นทใี่ ช้ : ผลแก่ และตากแดดจนแหง้ ใบ ราก ต้น เปลือก ดอก เมล็ด สรรพคุณ : ผลแก่ - แกไ้ ข้ ดับพิษร้อนภายใน ดบั พิษทุกอยา่ ง แก้ไขแ้ ก้เลือด แกห้ อบเน่ืองจากปอดชื้น ปอดบวม แก้ กาฬ แก้โรคผิวหนัง แกพ้ ิษตานซาง แก้เสลดสมุ ฝีอนั เปือ่ ยพัง แกจ้ ุดกาฬ ผลผสมในตารบั ยาร่วมกับสมนุ ไพรอ่ืนๆ รกั ษา โรคตัวร้อนนอนไม่หลบั นอนสะด้งุ ผวา แก้สลบ แก้พษิ หัด สุกใส แก้ฝเี กลือ่ น แก้ปากเป่ือย แกส้ ารพัดพิษ สรพัดกาฬ แก้ ไขจ้ ับเซ่ืองซึม แกร้ ้อนในกระหายน้า แกส้ ารพดั ไข้ทง้ั ปวง ใบ - แก้พษิ กาฬ ดับพิษกาฬ ราก แก้รดิ สดี วงมองครอ่ แก้หดื รากผสมในตารบั ยารว่ มกับสมนุ ไพรอืน่ ใช้แก้ฝีในท้อง ตน้ – แกล้ มคลน่ื เหยี น เปลือกตน้ แก้กระษยั แก้พิษร้อน แก้พิษไข้ เปลอื กต้นผสมในตารบั ยากับสมนุ ไพรอนื่ ใชแ้ กฝ้ ีหัวควา่ ฝี อกั เสบ ดอก - แก้พษิ เมด็ ผ่นื คนั เมลด็ – แก้โรคผวิ หนัง วิธีใชแ้ ละปริมาณ : ผลประคาดีควาย สมุ ใหเ้ ปน็ ถ่าน แล้วปรุงเป็นยารบประทาน ผลประคาดคี วาย ใชร้ ักษาชันนะตุหวั เดก็ ได้ ผลตม้ แลว้ เกดิ ฟอง สุมหวั เด็กแกห้ วดั แกร้ ังแค ใชซ้ ักผา้ และสระผมได้ โดยเอาผลประมาณ 5 ผล ทุบพอแตก ต้มกับนา้ ประมาณ 1 ถ้วย ทาที่หนงั ศีรษะ ทาบริเวณทเ่ี ป็นวนั ละ 2 ครง้ั เชา้ -เย็น จนกวา่ จะหาย (ระวงั อย่าใหเ้ ข้าตา จะทาให้แสบ ตา) สารสาคญั คือ Quercetin, Quercetin -3 - a - A- arabofuranoside, ß - Sitosterol, Emarginatoside, O - Methyl-Saponin, Sapindus – Saponin

๑๑๓ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Aglaia odorata Lour วงศ์ : Meliaceae ชอ่ื อืน่ : ขะยง ขะยม พะยงค์ ยม (ภาคเหนอื ) ประยงคใ์ บใหญ่ (ภาคกลาง) หอมไกล (ภาคใต)้ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุม่ กงึ่ ไม้ต้นขนาดเล็ก สงู 2-3 เมตร แตกกงิ่ กา้ นตงั้ แต่โคนตน้ เปลอื กตน้ เรยี บ สีเทา ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายใบมน โคนใบแหลม ขอบใบเรยี บ แผน่ ใบเรยี บ สีเขียวเป็นมนั ก้าน ใบแผอ่ อกเป็นปีก ดอก ออกเป็นชอ่ ตามซอกใบ ดอกสีเหลอื ง กลีบดอกมี 6 กลบี ซอ้ นกันเปน็ รูปทรงกลมไมบ่ าน ผล รูปทรงกลมรี ผวิ เรียบเปน็ มนั ผลออ่ นสีเหลืองออ่ น ผลสุกสีแดง เมล็ดเด่ยี ว สีนา้ ตาล สว่ นท่ใี ช้ : ดอก กา้ น และใบ สรรพคณุ : ดอก - ชว่ ยเร่งการคลอด แก้อาการเมาค้าง ฟอกปอด ทาให้หตู าสว่าง แกร้ ้อนดับกระหาย อดึ อัดแนน่ หนา้ อก ไอ วงิ เวียนศรี ษะ ทาใหจ้ ติ ใจปลอดโปรง่ กา้ นและใบ - แก้แผลบวมฟกช้า จากการหกล้ม หรือถกู ระทบกระแทก ฝมี หี นองทัง้ หลาย วธิ ีและปรมิ าณทใี่ ช้ : ดอก หรอื กา้ นและใบ แหง้ 3-10 กรัม ต้มนา้ ดื่ม ใชภ้ ายนอก เคย่ี วให้ข้น ใช้ทาแผลบวมฟกชา้ ข้อหา้ มใช้ - หญิงมีครรภ์หา้ มดืม่ สารเคมที ีพ่ บ ใบ มี Aglaiol, Aglaiondiol, (24 S) - Aglaitriol (24 R) - Aglaitriol, อลั คาลอยด์ Odoratine และ Odoratinol การเกบ็ มาใช้ ช่อดอกและใบ เกบ็ ในฤดูร้อน ตอนออกดอก ตากแห้งแยกเกบ็ ไวใ้ ช้ หมายเหตุ : เป็นไม้ที่เหมาะที่จะปลูกเปน็ ร้ัว ดอกมกี ลน่ิ หอม แต่โตชา ดอกแหง้ - ใช้อบเสอ้ื ผ้า บหุ รี่ และแต่งกลนิ่ ใบชา รากและใบ ในฟลิ ปิ ปินส์ ใชต้ ้มเปน็ ยาบารงุ ร่างกาย แกโ้ รคเก่ียวกบั ทรวงอก แก้ไข้และอาการชัก ยาชงจากดอก - ใชด้ ืม่ แบบน้าชา เป็นยาเยน็ แก้ไข้ พุพอง ราก - ในไทยใช้เป็นยาทาให้อาเจยี น ถอนพษิ เบ่ือเมา

๑๑๔ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Eurycoma longifolia Jack วงศ์ : Simaroubaceae ชอื่ อ่นื : คะนาง ขะนาง ไหลเผือก (ตราด) ตงุ สอ แฮพนั ชัน้ (ภาคเหนือ) หยิกปอถอง หยิกไม่ถงึ เอยี นดอย (ภาคอสี าน) เพยี ก (ภาคใต)้ กรุงบาดาล (สุราษฎร์ธานี) ตรงึ บาดาล (ปตั ตาน)ี ตวุ เุ บ๊าะมิง ดวู วุ อมิง (มลายู-นราธวิ าส) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ มุ่ กึ่งไมต้ น้ ขนาดเลก็ สงู ได้ถึง 10 เมตร ลาต้นตรง เปลือกตน้ เรียบ สีนา้ ตาลอมดา แตกกง่ิ ก้านน้อย ก่ิงอ่อนและยอดอ่อนมีขนปกคลุม ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายใบคู่ ออกเรียงสลบั หนาแนน่ ทป่ี ลายยอด ใบย่อยมี 7-8 คู่ รูปใบหอกหรือรูปรี กวา้ ง 1.5-6.5 ซม. ยาว 5-20 ซม. ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเบีย้ ว ขอบใบเรยี บ แผ่นใบเรยี บสเี ขียวเข้ม ดอก ออกเป็นชอ่ ใหญ่ตามซอกใบ ดอกสีมว่ งแดง ขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 0.1 ซม. กลบี เลี้ยงโคน เชอ่ื มติดกัน ปลายแยกเปน็ 5-6 แฉก กลีบดอกเช่ือมติดกัน ปลายแยกเปน็ 5-6 กลีบ รปู ไข่มีขน เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ก้านช่อดอกสแี ดง ผล รปู กลมรี กว้าง 0.5-1.2 ซม. ยาว 1-1.7 ซม. ออกเป็นพวง ผิวเรยี บ ผลสดสีเขยี ว สกุ เป็นสีแดง เมล็ดเดี่ยว สว่ นทีใ่ ช้ : รากปลาไหลเผอื ก สรรพคุณ : รากปลาไหลเผอื ก - รสขมจดั เบ่อื เมาเลก็ น้อย ถ่ายฝีในทอ้ ง ถา่ ยพิษต่างๆ ใช้เป็นยาแก้ไข้ ตดั ไข้ทกุ ชนดิ ใช้ ผสมยาจนั ทลิน้ ลา* ใช้เปน็ ยาตดั ไข้ ใช้รับประทานแก้วัณโรคในระยะบวมขน้ึ * ยาจนั ทลนิ้ ลา เปน็ ยาตารับโบราณ ใชร้ กั ษาไข้ แกอ้ าการชัก

๑๑๕ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Gossypium arboreum L. ชื่อสามัญ : Ceylon Cotton , Chinese Cotton , Tree Cotton วงศ์ : Malvaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สงู 2.5-3.5 เมตร ลาตน้ สีน้าตาลแดง ใบ ใบเด่ียวออกเวียนสลบั รปู ไข่หรือค่อนข้าง กลม กวา้ ง 4-5 เซนตเิ มตร ยาว 5-7 เซนตเิ มตร ขอบหยกั ลึก 3-7 แฉก ปลายแหลมหรือมน โคนเว้า ก้านใบและเส้นใบสี แดงคลา้ ดอก สแี ดงเขม้ หรอื สีเหลอื งอ่อน กลางดอกสีม่วงแดง ออกเดี่ยวตามซอกใบใกลป้ ลายกิ่ง ใบประดบั 3 ใบ รปู สามเหลี่ยมซอ้ นกัน กลีบเลย้ี ง 5 กลบี เชอ่ื มกนั เป็นรปู ถว้ ย กลีบดอก ๕ กลีบ เกสรตัวผจู้ านวนมาก ก้านเกสรเช่ือมกนั เป็น หลอดล้อมรอบเกสรตวั เมยี ปลายเกสรตวั เมยี แยกเป็น 5 แฉก ผล กลม หวั ท้ายแหลม เม่ือแก่แตกได้ เมล็ดค่อนข้าง กลม สีเขียว จานวนมากคลุมดว้ ยขนยาวสีขาว ส่วนที่ใช้ : เปลือกราก ใบ สรรพคณุ : เปลอื กราก - บดเปน็ ผง ชงนา้ เดือดด่ืมช่วยขบั ปสั สาวะ บบี มดลกู ช่วยขบั นา้ คาวปลา ใบ - ปรุงเป็นยารบั ประทานแก้ไข้ ขบั เหง่ือ จาพวกยาเขียว และเปน็ ยาเดก็ แก้พิษตานทรางของเด็กไดด้ ี

๑๑๖ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Pogostemon cablin (Blanco) Benth. ชอ่ื พ้อง : P. patchouli Pellet var. suavis Hook f. ชื่อสามัญ : Patchouli วงศ์ : Labiatae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลกุ สงู 30-75 ซม. ทกุ ส่วนมกี ลิน่ หอม ใบเดย่ี ว เรยี งสลบั รปู ไข่ กวา้ ง 5-8 ซม. ยาว 7- 10 ซม. ขอบใบหยักมน ดอกช่อ ออกที่ซอกใบและปลายกิ่ง กลบี ดอกสขี าวประม่วง ผลแห้ง ไมแ่ ตก สว่ นที่ใช้ : ใบ สรรพคณุ : ใบ - ปรงุ เปน็ ยาเย็น ถอนพษิ รอ้ น แก้ไขท้ ุกชนดิ ทาให้ความร้อนในร่างกายลดลง โดยมากมักปรุงเปน็ ยาเขยี ว ถอนพษิ ไข้ และยาหอมกเ็ ขา้ ใบพิมเสนตน้ น้ี

๑๑๗ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall.ex Nees ชอ่ื สามัญ : Kariyat , The Creat วงศ์ : ACANTHACEAE ช่ืออ่ืน : หญ้ากนั งู (สงขลา) น้าลายพงั พอน ฟา้ ละลายโจร (กรุงเทพฯ) ฟ้าสาง (พนัสนิคม) เขยตายยายคลมุ สามสิบดี (รอ้ ยเอด็ ) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟา้ สะทา้ น (พทั ลุง) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลกุ สูง 30-70 ซม. ทุกส่วนมีรสขม กิง่ เป็นใบสเี่ หล่ยี ม ใบ เดีย่ ว แผ่นใบสีเขยี วเขม้ เป็น มนั ดอก ช่อ ออกทีป่ ลายกิ่งและซอกใบ ดอกย่อย กลีบดอกสีขาว โคนกลบี ตดิ กัน ปลายแยก 2 ปาก ปากบนมี 3 กลบี มี เสน้ สีม่วงแดงพาดอยู่ ปากลา่ งมี 2 กลีบ ผล เป็นฝัก เมอ่ื แก่เป็นสีนา้ ตาล แตกได้ ภายในมีเมลด็ จานวนมาก สว่ นที่ใช้ : ทง้ั ตน้ ใบสด ใบแห้ง ใบจะเก็บมาใชเ้ มื่อตน้ มีอายไุ ด้ 3-5 เดือน สรรพคุณ : วิธีและปริมาณทใ่ี ช้ :ดอก สารเคมี –

๑๑๘ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Bouea macrophylla Griffith ชอื่ สามัญ : Marian Plum , Plum Mango วงศ์ : Anacardiaceae ชอื่ อน่ื : ปราง (ภาคใต้) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ มที รงต้นคอ่ นขา้ งแหลม มกี ิง่ ก้านสาขาค่อนข้างทึบตน้ โต มขี นาดสูง 15-30 เซนติเมตร มรี ากแก้วแขง็ แรง ใบ มะปรางเปน็ ไม้ผลท่มี ีใบมาก ใบเรียว ขนาดใบโดยเฉลีย่ กว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ปี หน่ึงมะปรางจะแตกใบออ่ น 1-3 ครง้ั ดอก มะปรางจะมีดอกเป็นชอ่ เกิดบริเวณปลายกิ่งแขนง ช่อดอกยาว 8-15 เซนตเิ มตร เป็นดอกสมบรู ณ์เพศ (เกสรตัวผูแ้ ละเกสรตัวเมียอยใู่ นดอกเดียวกนั ) ดอกบานจะมสี ีเหลือง ในไทยออกดอก ช่วงเดือนพฤศจกิ ายน-ธนั วาคม ผล มลี ักษณะทรงกลมรูปไขแ่ ละกลม ปลายเรียวแหลม มะปรางช่อหนง่ึ มผี ล 1-15 ผล ผล ดิบมีสเี ขยี วอ่อน-เขียวเขม้ ตามอายุของผล ผลสุกมสี ีเหลืองหรอื เหลอื งอมสม้ เปลือกผลน่ิม เนือ้ สีเหลืองแดงสม้ ออกแดง แลว้ แต่ชนดิ พันธุ์ รสชาตหิ วาน-อมหวานอมเปรีย้ ว หรอื เปรย้ี ว-เปรี้ยวจัด เมลด็ มะปรางผลหนึง่ จะมี 1 เมล็ด สว่ นผิวของ กะลาเมล็ดมลี ักษณะเป็นเส้นใย เนื้อของเมล็ดทั้งสีขาวและสีชมพอู มมว่ ง รสขมฝาดและขม ลกั ษณะเมลด็ คลา้ ยเมล็ด มะมว่ ง หน่งึ เมล็ดเพาะกลา้ ได้ 1 ตน้ สว่ นทีใ่ ช้ : ราก ใบ นา้ จากตน้ สรรพคุณ : ราก - แกไ้ ข้กลับ ถอนพิษสาแดง ใบ – ยาพอกแกป้ วดศีรษะ น้าจากตน้ - ยาอมกล้วั คอ

๑๑๙ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Tiliacora triandra (Colebr.) Diels ชื่อสามัญ : Bamboo grass วงศ์ : Menispermaceae ชอ่ื อน่ื : จ้อยนาง (เชียงใหม่) เถาย่านาง เถาวัลยเ์ ขียว (กลาง) ยาดนาง (สุราษฎร์ธานี) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมเ้ ถาเล้อื ยพนั กงิ่ อ่อนมขี นอ่อนปกคลุม เม่ือแกแ่ ล้วผวิ คอ่ นข้างเรียบ รากมีขนาดใหญ่ ใบเปน็ ใบเดี่ยว ออกตดิ กับลาตน้ แบบสลบั รูปร่างใบคลา้ ยรูปไข่หรือรูปไข่ขอบขนานปลายใบเรยี ว ฐานใบมน ขนาดใบยาว 5 - 10 ซม. กวา้ ง 2 - 4 ซม. ขอบใบเรียบ กา้ นใบยาว 1 ซม. ดอกออกตามซอกโคนก้านใบเป็นชอ่ งยาว 2 - 5 ซม. ชอ่ หนึง่ ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลอื ง 3 - 5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละตน้ ไมม่ ีกลีบดอก ผลรปู ร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เม่ือแก่ กลายเป็นสเี หลืองอมแดงและกลายเป็นสีดา สว่ นทีใ่ ช้ : รากแห้ง สรรพคุณ : รากแห้ง - แก้ไข้ทกุ ชนดิ วธิ แี ละปริมาณท่ใี ช้ : ใชร้ ากแห้งครง้ั ละ 1 กามือ (15 กรมั ) ต้มกับน้า ด่ืมก่อนอาหาร วันละ 3 คร้ัง สารเคมี : รากมี isoquinolone alkaloid ไดแ้ ก่ tilacorine, tiacorinine, nortiliacorinine A, tiliacotinine 2 - N - Oxide, และ tiliandrine, tetraandrine, D - isochondrodendrine (isoberberine)

๑๒๐ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : phyllanthus amarus Schum & Thonn. ชือ่ สามัญ : Egg Woman วงศ์ : Euphorbiaceae ช่อื อืน่ : มะขามป้อมดิน หญ้าใต้ใบ หญา้ ใตใ้ บขาว ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ม้ ลกุ สูง 10 - 60 เซนติเมตร ทุกส่วนมรี สขม ใบเปน็ ใบประกอบแบบขนนกชน้ั เดียวปลาย ค่ี มีใบย่อย 23 - 25 ใบ ใบยอ่ ยรปู ขอบขนานแกมไขก่ ลบั ปลายใบมนกวา้ งโคนใบมนแคบ ขนาดประมาณ 0.40 X 1.00 เซนตเิ มตร กา้ นใบส้นั มากและมีหใู บสขี าวนวลรปู สามเหลย่ี มปลายแหลมเกาะตดิ 2 อนั ดอกแยกเพศ เพศเมยี มกั อยูส่ ่วน โคน เพศผู้มักอยูส่ ว่ นปลายก้านใบ ดอกขนาดเลก็ สีขาว เส้นผ่าศนู ยก์ ลางประมาณ 0.08 เซนตเิ มตร ผลทรงกลมผวิ เรยี บสี เขยี วอ่อนนวล ขนาดประมาณ 0.15 เซนตเิ มตร เกาะตดิ อย่ทู ใ่ี ตโ้ คนใบย่อย เมื่อแกจ่ ะแตกเป็น 6 พู แต่ละพูจะมี 1 เมล็ด เมล็ดสีน้าตาลรปู เสี้ยว 1/6 ของทรงกลม ขนาดประมาณ 0.10 เซนตเิ มตร ส่วนท่ใี ช้ : ทัง้ ตน้ สด สรรพคุณ : เป็นยาแก้ไข้ ลดความร้อน ขับปสั สาวะ วธิ ีและปริมาณที่ใช้ : นาตน้ สด 1 กามือ ต้มกบั นา้ 2 ถว้ ยแกว้ เค่ยี วให้เหลือ 1 ½ ถ้วยแกว้ รับประทานครง้ั ละครึ่งถว้ ยแก้ว สารเคมี : Potassium, phyllanthin, hypophyllanthin

๑๒๑ ) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Valeton ชอ่ื สามัญ : Siamese neem tree, Nim , Margosa, Quinine วงศ์ : Meliaceae ชอ่ื อืน่ : สะเลยี ม (ภาคเหนือ) กะเดา (ภาคใต้) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 5-10 เมตร เปลือกต้นแตกเปน็ ร่องลกึ ตามยาว ยอดออ่ นสนี า้ ตาลแดง ใบ เป็นใบ ประกอบแบบขนนก ออกเรยี งสลับรปู ใบหอก กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบมนไม่เท่ากัน ขอบใบจักเปน็ ฟันเล่ือย แผ่นใบเรียบ สีเขยี วเป็นมนั ดอก ออกเปน็ ช่อท่ปี ลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสขี าวนวล กลีบเล้ยี งมี 5 แฉก โคนติดกัน กลีบดอกโคนตดิ กัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผล รปู ทรงรี ขนาด 0.8 - 1 ซม. ผิวเรียบ ผลออ่ นสีเขยี ว สกุ เปน็ สีเหลืองส้ม เมลด็ เดี่ยว รูปรี สว่ นทใี่ ช้ : ดอกช่อดอก ขนอ่อน ยอด เปลอื ก ก้านใบ กระพ้ี ยาง แก่น ราก ใบ ผล ตน้ เปลือกราก นา้ มันจากเมลด็ สรรพคุณ : ดอก ยอดอ่อน - แกพ้ ษิ โลหิต กาเดา แกร้ ดิ สดี วงในลาคอ คันดุจมีตัวไต่อยู่ บารงุ ธาตุ ขับลม ใช้เป็นอาหาร ผกั ได้ดี ขนอ่อน - ถา่ ยพยาธิ แก้รดิ สีดวง แก้ปัสสาวะพิการ เปลือกตน้ - แก้ไข้ เจรญิ อาหาร แกท้ ้องเดิน บดิ มูกเลือด กา้ นใบ - แกไ้ ข้ ทายารักษาไข้มาลาเรยี กระพี้ – แกถ้ ุงนา้ ดีอักเสบ ยาง – ดบั พษิ ร้อน แก่น - แกอ้ าเจียน ขบั เสมหะ ราก - แกโ้ รคผิวหนัง แก้เสมหะ ซงึ่ เกาะแนน่ อยู่ในทรวงอก ใบ,ผล - ใชเ้ ปน็ ยาฆ่าแมลง บารุงธาตุ ผล มีสารรสขม - ใชเ้ ป็นยาถ่ายพยาธิ และยาระบาย แกโ้ รคหวั ใจเดนิ ผดิ ปกติ เปลือกราก - เปน็ ยาฝาดสมาน แก้ไข้ ทาให้อาเจยี น แก้โรคผิวหนัง น้ามันจากเมล็ด - ใช้รักษาโรคผิวหนงั และยาฆ่าแมลง วธิ แี ละปริมาณท่ใี ช้ : 1.เปน็ ยาขมเจรญิ อาหาร ช่อดอกไมจ่ ากดั ลวกน้าร้อน จ้มิ น้าปลาหวาน หรือนา้ พรกิ หรือใชเ้ ปลือกสด ประมาณ 1 ฝ่ามอื ต้มนา้ 2 ถ้วยแกว้ รับประทานครั้งละ 1/2 ถว้ ยแก้ว 2.ใช้เป็นยาฆา่ แมลง สะเดาให้สารสกดั ชือ่ Azadirachin ใชฆ้ า่ แมลงโดยสตู ร สะเดาสด 4 กิโลกรัม ข่าแก่ 4 กิโลกรัม ตะไคร้หอม 4 กโิ ลกรมั นาแตล่ ะอย่างมาบดหรอื ตาให้ละเอยี ด หมกั กบั น้า 20 ลิตร 1 คนื น้าน้ายาทกี่ รองไดม้ า

๑๒๒ 1 ลิตร ผสมน้า 200 ลิตร ใช้ฉดี ฆ่าแมลงในสวนผลไม้ และสวนผักไดด้ ี โดยไม่มพี ิษและอนั ตราย สารเคมี : ผล มีสารขมช่ือ bakayanin ช่อดอก มีสารพวกไกลโคไซด์ ชอื่ nimbasterin 0.005% และนา้ มนั หอมระเหยท่ีมีรสเผด็ จดั อยู่ 0.5% นอกน้นั พบ nimbecetin, nimbesterol, กรดไขมัน และสารท่ีมรี สขม เมลด็ มีนา้ มันขมชือ่ margosic acid 45% หรอื บางที่เรยี ก Nim Oil และสารขมชื่อ nimbin, nimbidin Nim Oil มี nimbidin เปน็ สว่ นมากและเปน็ ตัวออกฤทธิ์มกี ามะถนั อยู่ด้วย

๑๒๓ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Azadirachta indica A. Juss. var. indica ชอ่ื สามัญ : Neem วงศ์ : Meliaceae ชือ่ อืน่ : ควินนิ (ท่ัวไป) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น สูง 8-12 เมตร เปลือกต้นสนี า้ ตาล ใบ เปน็ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ รูปรี โคนใบเบ้ียว ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบจักเป็นฟนั เล่ือย แผน่ ใบเรียบ สเี ขยี วเปน็ มัน ดอก ออกเปน็ ช่อตามซอกใบใกล้ ปลายยอด ดอกสขี าว กลีบดอกมี 5 กลีบ ปลายกลบี มน โคนเรียว ผล เปน็ ผลสด รูปกลมรี ผวิ เรยี บเปน็ มัน ผลอ่อนสเี ขียว สกุ สเี หลอื ง เมล็ดเด่ยี ว สว่ นทใี่ ช้ : เปลือก ตน้ ใบสด สรรพคุณ : เป็นยาแก้ไขม้ าเลเรีย หรอื ไขจ้ บั สั่น ไขป้ ระจาฤดูได้ดี วธิ ีและปริมาณท่ใี ช้ : ใช้เปลือกสด 1 ฝ่ามือ หรือใบสด 2 กามือ ตม้ กบั น้า 4 ถว้ ยแกว้ เคีย่ วใหเ้ หลอื 2 ถว้ ยแกว้ รับประทานครั้งละครึ่งถว้ ยแก้ว วนั ละ 2 ครง้ั หลงั อาหาร เชา้ -เยน็ จนกว่าจะหายไข้

๑๒๔ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte ชอ่ื สามัญ : Eagle wood วงศ์ : Thymelaeaceae ชอื่ อน่ื : ไมห้ อม (ภาคตะวันออก) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ตน้ สูง 18-30 เมตร เปลือกสีเทา แตกเปน็ ร่องยาวตนื้ ๆ ตามก่ิงอ่อนมีขนสขี าวปกคลมุ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรยี งสลบั รูปรี กว้าง 3-5 ซม. ยาว 6-11 ซม. โคนใบมน ปลายใบเปน็ ติ่งแหลม แผ่นใบค่อนข้างหนา เรยี บเกล้ยี ง สเี ขียว มีขนประปรายตามเสน้ ใบด้านล่าง ขอบใบเรยี บ ก้านใบยาว 0.2-0.7 ซม. ดอก ออกเปน็ ช่อตามซอก ใบ ดอกสีเขยี วอมเหลือง กลบี เล้ยี งโคนตดิ กนั เปน็ หลอดสน้ั ปลายแยกเป็น 5 แฉก ติดทน กลบี ดอก 5 กลบี เกสรเพศผู้มี 10 อนั ผล รูปกลมรี มีเสน้ แคบตามยาวของผล ผิวขรุขระเปน็ ลายสีเขยี ว มีขนละเอียดส้ันคล้ายกามะหย่ี พอแกแ่ ตกอ้า ออก เมล็ดกลมรี สีนา้ ตาลเข้ม มี 1-2 เมลด็ ส่วนทใ่ี ช้ : เน้อื ไม้ แก่น และชัน สรรพคณุ : เน้ือไม้ รสขม หอม เป็นยาบารงุ หวั ใจ (คอื มอี าการหนา้ เขียวตาเขียว) ช่วยตบั ปอด ใหเ้ ปน็ ปกติ แพทย์ตาม ชนบทใช้ปรงุ เปน็ ยาหอมแกล้ มหนา้ มืดวงิ เวียน ผสมเครือ่ งหอมทุกชนิด ใชใ้ นอตุ สาหกรรมเครอื่ งหอม เช่น ธปู หอม นา้ อบ ไทย สมุ ศีรษะ แก้ลมทรางสาหรับเดก็ รบั ประทานใหช้ ุ่มชนื่ หัวใจ กฤษณาชนดิ Aquilaria agallocha ใชเ้ นื้อไมเ้ ปน็ ยา รักษาโรคปวดข้อ น้ามนั จากเมลด็ - รกั ษาโรคเรื้อน และโรคผวิ หนังได้ วิธใี ช้ : เขา้ ยาหอมบารงุ หวั ใจ รวมกับสมุนไพรอ่นื ๆ เช่น เกษรทัง้ 5 และอ่ืนๆ

๑๒๕ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Fagraea fragrans Roxb. วงศ์ : Gentianaceae ช่อื อืน่ : มันปลา (ภาคเหนอื ,อีสาน) ตาเสา ทาเสา (ภาคใต้) ตะมะซู ตามูซู (มลายู-ภาคใต้) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ สูง 10-15 เมตร เปลือกตน้ เรียบ สีนา้ ตาล พอตน้ แกจ่ ะแตกเป็นร่องลึกตามยาว ใบ เปน็ ใบเดย่ี ว ออกเรียงตรงขา้ มกนั หนาแน่นทีป่ ลายก่ิง รปู รี กวา้ ง 4+6 ซม. ยาว 8-12 ซม. ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ แผน่ ใบเรยี บ สีเขยี วเขม้ เป็นมนั เน้ือใบค่อนข้างเหนียว ดอก ออกเปน็ ช่อตามซอกใบ พอเร่มิ บานเป็นสีขาว เมื่อบานเต็มทีเ่ ป็นสีเหลอื งอมส้ม กลบี ดอกโคนเชื่อมตดิ กนั เป็นหลอดส้ัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ปลายแฉกแหลม เกสร เพศผ้ยู าวติดกับกลบี ดอก เกสรเพศเมยี ยาวมี 1 อัน ผล รปู ทรงกลม ผิวเรียบเป็นมนั ผลอ่อนสเี ขียว พอสุกเปน็ สีแดง เมล็ด เล็ก สนี า้ ตาลไหม้ สว่ นท่ีใช้ : แกน่ สรรพคุณ : แก่น - รสมนั เฝอ่ื น ฝาดขม บารุงไขมันในร่างกาย บารุงธาตุ เปน็ ยาอายุวฒั นะ แกไ้ ขจ้ ับส่นั แก้หืดไอ รดิ สดี วง ท้องมานลงท้อง มูกเลือด แนน่ หน้าอก บารุงม้าม แก้เลอื ดพกิ าร ขับลม

๑๒๖ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Myristica fragrans Houtt. ชอื่ สามัญ : Nutmeg tree วงศ์ : Myristicaceae ชือ่ อืน่ : จนั ทนบ์ า้ น (เงี้ยว-ภาคเหนอื ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ ุม่ สงู 5-18 เมตร เปลอื กต้นเรียบ สีเทาอมดา ใบ เปน็ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลบั รูปรี กว้าง 4-5 ซม. ยาว 10-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ เปน็ มนั ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ออกเปน็ ช่อตามซอกใบ สเี หลืองอ่อน กลีบเลีย้ งโคนเช่ือมติดกันเป็นรูปคนโท ปลายแยกออกเปน็ 3 แฉก ไม่มกี ลีบดอก ผล รปู ทรงค่อนขา้ งกลม ผิวเรียบ สเี หลอื งนวล พอแก่แตกอ้าออกเปน็ 2 ซีก เหน็ รก หมุ้ เมล็ดสแี ดง เมลด็ สนี ้าตาลมี 1 เมล็ด ส่วนทใี่ ช้ : ผล ดอก แก่น ราก และเมล็ด สรรพคุณ : ผล - ให้ Myristica Oil ซ่ึงเป็น Volatile Oil ประกอบดว้ ย Myristiein และ Safrole ซง่ึ เปน็ ตัวแตง่ กลิน่ และขบั ลม ดอก - ใชเ้ ป็นเคร่อื งเทศ และขับลม แก่น - แกไ้ ข้ บารุงตับ ปอด ราก - ขบั ลม แต่งกลิ่น เครื่องเทศ เจริญอาหาร เมล็ด - ขับลม แก้ท้องอดื เฟ้อ เป็นเครอ่ื งเทศ เจรญิ อาหาร วิธีและปริมาณทีใ่ ช้ : รกและเมลด็ ขนาด 0.5 กรมั หรือประมาณ 1-2 เมล็ด หรือใชร้ ก 4 อนั ปน่ รก หรอื เมลด็ ให้เปน็ ผงละเอียด ชงนา้ คร้ังเดียว รับประทานวันละ 2 ครงั้ 2-3 วนั

๑๒๗ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Diospyros decandra Lour. วงศ์ : Ebenaceae ช่ืออืน่ : จันอิน จนั โอ จันขาว จันลกู หอม อนิ (ภาคกลาง) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ตน้ สูง 10-15 เมตร เปลอื กตน้ เรียบ สีน้าตาลแขม้ อมเทา กง่ิ อ่อนยอดอ่อนมีขนสีนา้ ตาล ปกคลุม กิ่งก้านเหนียว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลบั รปู รี กว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 7-10 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผน่ ใบเรียบเป็นมนั ลนื่ สเี ขียวเขม้ ดอก ดอกแยกเพศอยตู่ น้ เดียวกนั ดอกเพศผู้ออกเปน็ ชอ่ ส่วนดอกเพศ เมียออกดอกเดย่ี ว ดอกสขี าวนวล กลบี ดอกเชอื่ มติดกนั สั้นๆ ผล รปู กลมแปน้ เรียกวา่ ลูกจัน ไม่มีเมลด็ ผลกลม เรยี กว่า อนิ มเี มล็ด ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขยี ว ผลสกุ สีเหลอื ง มีกลิน่ หอม รบั ประทานได้ ท่ขี ้ัวผลมีกลบี เลี้ยงตดิ ทน สว่ นทใ่ี ช้ : เนอื้ ไม้ ผล สรรพคณุ : เน้อื ไม้ - มีรสขม หวาน ทาให้เกดิ ปญั ญา บารงุ ประสาท บารุงเนือ้ หนังใหส้ ดชืน่ แก้ไข้ แกป้ อดตับพิการ แกด้ พี ิการ แกร้ ้อนในกระหายนา้ แก้เหงือ่ ตกหนา้ ขบั พยาธิ ผล - ผลสกุ สีเหลืองนวล มกี ลิ่นหอม มรี สหวานและฝาดเล็กน้อย รบั ประทานกับนา้ กะทิสดเปน็ อาหาร

๑๒๘ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Elephantopus scaber L. ชื่อสามัญ : Prickly-leaved elephant's foot วงศ์ : Asteraceae ชือ่ อ่นื : หนาดผา เคยโป้ หญา้ ไก่นกคุ่ม หญา้ ปราบ หญา้ สามสิบสองหาบ หญา้ ไฟนกคุ้ม (ภาคเหนอื ) ตะชีโกวะ (กะเหรย่ี ง-แม่ฮอ่ งสอน) ข้ีไฟนกคุ่ม (เลย) คงิ ไฟนกค่มุ (ชยั ภมู )ิ หนาดมีแคลน (สรุ าษฎรธ์ านี) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลกุ ลาตน้ ต้งั ตรงส้ันอยูใ่ นระดับพ้ืนผิวดนิ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวยี นกันแนน่ ทีโ่ คน ต้น รูปขอบขนาน กวา้ ง 2-6 ซม.ยาว 10-25 ซม. ปลายใบและโคนใบมน แผ่นใบมีขนสากมอื ขอบใบจักเป็นฟนั เลอื่ ย กา้ นใบสขี าวหนา ดอก ออกเป็นชอ่ แบบแขนงท่ีปลายยอด มีใบประดบั 2 ใบ ดอกสีม่วง กลีบดอกเรียวยาว ปลายกลบี ดอกแหลม โคนเชอ่ื มตดิ กัน ก้านชอ่ ดอกเหน่ียวเมื่อโดนเหยียบกา้ นชอ่ ดอกจะต้ังขนึ้ มาใหมเ่ หมอื นเดิม เกสรเพศผู้เป็น เส้นตรงมอี บั เรณูสีมว่ ง ผล รปู ทรงกลม มสี นั 10 สนั ผิวมีขนนุ่มปกคลมุ ส่วนทีใ่ ช้ : ท้ังตน้ สด สรรพคุณ :มีรสขืน่ แกป้ ัสสาวะ และบารงุ ความกาหนัด มรี สกร่อย จดื ขนื่ เลก็ น้อย รับประทานทาให้เกิดกษยั แตม่ ีกาลัง ทัง้ ตน้ ต้มรับประทานต่างนา้ แก้ไข้จับสัน่ หรอื ไขม้ าเลเรยี ดี ใช้ตม้ รับประทานแก้ไอ สาหรับสตรีทค่ี ลอดบตุ รใหมๆ่ บาง ตารากลา่ วว่า แกก้ ษัย บารงุ กาลัง ขบั ปสั สาวะ แก้ไข้ ขับไสเ้ ดอื น แก้กามโรค แกอ้ ักเสบ หา้ มเลอื ดกาเดา แกด้ ซี า่ น นิ่ว บิด เหนบ็ ชา ทอ้ งมาน ฝฝี กั บัว ขอ้ ห้ามใช้ : ห้ามใชใ้ นผู้หญงิ ท้อง และผู้ทอี่ าการกลวั หนาว แขนขาเย็น ไม่กระหายน้า ชอบด่ืมของร้อน ปวดท้อง ทอ้ งรว่ ง ปัสสาวะและปรมิ าณมาก มีช้ันฝา้ บนล้นิ ขาวและหนา

๑๒๙ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Aegle marmelos (L.) Correa ex Roxb. ชอื่ สามัญ : Bael วงศ์ : Rutaceae ชื่ออน่ื : มะปิน (ภาคเหนอื ) กระทนั ตาเถร ตุ่มเต้ง ตูม (ปัตตาน)ี มะปสี า่ (กะเหรย่ี ง-แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สงู 10 - 15 เมตร เปลือกต้นสีเทา แตกเปน็ ร่องตามยาว ใบ เปน็ ใบประกอบแบบนวิ้ มอื ออกเรียงสลบั มใี บยอ่ ย 3 ใบ ใบย่อยใบปลาย รปู ไข่ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 5-14 ซม. ปลายใบแหลม แผ่นใบบางเรียบ เกล้ยี งเปน็ มัน ก้านใบยอ่ ยใบปลายจะยาวกว่าใบที่ค่กู ัน ดอก ออกเปน็ ชอ่ ตามซอกใบและปลายกง่ิ กลบี ดอกมี 4 กลีบ โคน ตดิ กัน ปลายแยกเปน็ 4 แฉก รูปไขก่ ลบั ยาว ดา้ นนอกสเี ขยี วออ่ น ด้านในสีขาวนวล มนี า้ เมอื ก มีกลิ่นหอม ผล รูปรกี ลม หรือยาว ผิวเรยี บเกล้ียง เปลอื กหนา แข็ง ผลออ่ นสเี ขยี ว ผลสุกเป็นสเี ขยี วอมเหลือง เน้ือในสีสม้ ปนเหลอื ง น่มิ เมล็ดมี จานวนมาก ส่วนทใี่ ช้ : ผลโตเตม็ ที่ ผลแกจ่ ดั ผลสกุ ผลอ่อน ใบ ราก สรรพคุณ : ผลโตเต็มท่ี - ฝานเป็นช้นิ บางๆ ตากแห้งคั่วใหเ้ หลอื ง ชงรบั ประทาน แก้ท้องเดนิ ท้องเสีย ท้องร่วง โรค ลาไสเ้ รื้อรังในเด็ก ผลแก่จัดแตย่ ังไม่สกุ - นา้ มาเชอื่ มรับประทานต่างขนมหวาน จะมกี ลิ่นหอม และรสชวนรับประทาน บารุง กาลงั รกั ษาธาตุ ขับลม ผลสกุ - รับประทานต่างผลไม้ เป็นยาระบายท้อง และยาประจาธาตุของผ้สู ูงอายุ ที่ท้องผูกเปน็ ประจา ใบ - ใส่แกงบวช เพื่อแตง่ กลิ่น ราก - แกห้ ืด หอบ แก้ไอ แก้ไข้ ขับลม แก้มตุ กดิ วิธีและปรมิ าณที่ใช้ : ใชผ้ ลโตเตม็ ที่ ฝานตากแห้ง คั่วให้เหลอื ง ชงนา้ ด่ืม ใช้ 2-3 ชิ้น ชงนา้ เดอื ดความแรง 1 ใน 10 ดม่ื แทนน้าชา หรือชงด้วยนา้ เดอื ด 2 ถ้วยแกว้ ด่ืมครงั้ ละครง่ึ ถ้วยแก้ว สารเคมี : ผลมะตูม ประกอบด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกๆ คือ mucilage, pectin, tannin, volatile oil และสาร ทม่ี ีรสขม ใบ มี aegeline (steroidal alkaloid) aeglenine, coumarin

๑๓๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cocos nucifera L. var. nucifera ชื่อสามัญ : Coconut วงศ์ : Palmae ชอ่ื อน่ื : ดุง (จันทบุร)ี เฮ็ดดุง (เพชรบรู ณ)์ โพล (กาญจนบุร)ี คอสา่ (แม่ฮ่องสอน) พร้าว (นครศรธี รรมราช) หมากอนุ๋ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สูง 20-30 เมตร ลาตน้ กลม ตงั้ ตรง ไมแ่ ตกกงิ่ ก้าน เปลือกตน้ แข็ง สีเทา ขรุขระ มีรอย แผลใบ ใบ เปน็ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงเวยี น รูปพดั จบี กว้าง 3.5- ซม. ยาว 80-120 ซม. โคนใบและปลายใบ แหลม ขอบใบเรยี บ แผน่ ใบเรียบสีเขียวแกเ่ ปน็ มัน โคนก้านใบใหญแ่ ผเ่ ปน็ กาบหมุ้ ลาต้น ดอก ออกเปน็ ชอ่ แขนงตามซอก ใบ ดอกเล็ก กลบี ดอกทลี่ ดรูปมี 4-6 อนั ในช่อหนงึ่ มีท้ังดอกเพศผูแ้ ละเพศเมยี ดอกเพศผู้อยปู่ ลายชอ่ ดอกเพศเมียอยู่ บรเิ วณโคนชอ่ ดอก ไม่มกี ้านดอก ผล รปู ทรงกลมหรือรี ผิวเรียบ ผลออ่ นสีเขียวพอแกเ่ ปน็ สนี ้าตาล เปลือกชน้ั กลางเป็น เส้นใยนุ่ม ช้ันในแข็งเป็นกะลา ชน้ั ตอ่ ไปเป็นเนื้อผลสขี าวนมุ่ ข้างในมนี ้าใส ส่วนท่ีใช้ : เปลือกผล – ผลแก่ปอกเปลือกตากแห้งเก็บไวใ้ ช้ กะลา - ตากแหง้ หรือเผาเปน็ ถ่าน บดเป็นผงเกบ็ ไว้ใช้ โดยเผากะลาให้ลุกโชน เอากะลามัง หรือกระทะ เหลก็ ครอบไม่ให้อากาศเขา้ ได้ จนไฟดบั หมดแลว้ ปลอ่ ยไวใ้ ห้เยน็ เปดิ ภาชนะเหลก็ ทีค่ รอบไว้ออก จะไดถ้ า่ นจาก กะลามะพรา้ ว นาไปบดเป็นผง เกบ็ ไวใ้ นขวดปิดสนิท เก็บไวใ้ ช้ และท่ีก้นภาชนะเหล็กมีน้ามันเหนียวสนี า้ ตาล ขูดเก็บไว้ใช้ เปน็ ยาทาแก้กลากเกลื้อนไดด้ ี เน้อื มะพร้าว - เนื้อมะพรา้ ว (ติดกบั กะลา) มสี ีขาว ใช้สด หรือหน่ั ฝอย ใส่นา้ เค่ยี ว เอาน้ามนั มะพร้าวเก็บไว้ ใช้ หรือตากแห้ง บีบและเคี่ยวเอานา้ มันเก็บไว้ใช้ น้ามันใหม่ๆ จะมีกลน่ิ หอม น้ามันมะพร้าวในท่ีอนุ่ จะเหลวใส ในท่ีเยน็ จะ ขน้ ขาวคลา้ ยเนยแข็ง มีกลิน่ เฉพาะตัว นา้ - น้ามะพรา้ ว อ่อน และน้ามะพรา้ วแก่ใชส้ ด ราก - ใช้สด เก็บได้ตลอดปี ดอก – ใช้สด เปลือกตน้ - ใชส้ ด เกบ็ ไดต้ ลอดปี สารสนี ้าตาล - ทอี่ อกมาย้อยแขง็ อยู่ใต้ใบ เกบ็ ไวใ้ ช้ สรรพคุณ : เปลือกผล - รสฝาดขม สขุ ุม ใช้หา้ มเลอื ด แก้ปวด เลือดกาเดาออก โรคกระเพาะ และแก้อาเจยี น กะลา - แก้ปวดเอ็น ปวดกระดูก ถ่านจากกะลา - รับประทานแกท้ ้องเสีย และดูดสารพษิ ตา่ งๆ นา้ มนั ท่ีไดจ้ ากการเผากะลา - ใช้ทา บาดแผล และโรคผวิ หนงั แก้กลาก อดุ ฟนั แก้ปวดฟัน เน้ือมะพรา้ ว - รสชุ่ม สขุ ุม ไมม่ พี ิษ รับประทานบารงุ กาลัง ขบั พยาธิ

๑๓๑ น้ามันจากเนื้อมะพรา้ ว - ใชท้ าแก้กลาก และบาดแผลที่เกิดจากความเย็นจัด หรือถูกความรอ้ น และใช้ผสม ทาแกโ้ รคผวิ หนงั ต่างๆ นอกจากที่ยังใช้เป็นอาหาร ทาแกผ้ ิวหนัง แห้ง แตกเป็นขุย และชนดิ ทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิมากๆ ใชเ้ ปน็ ตัว ทาลายในยาฉดี ได้ นา้ มะพรา้ ว - รสชมุ่ หวานสขุ มุ ไม่มีพิษ แก้กระหาย ทาใหจ้ ติ ใจช่มุ ชืน่ แก้พิษ อาเจียนเป็นเลือด ท้องเสยี บวมน้า ขับปัสสาวะ แก้น่วิ ในยามจาเปน็ นา้ มะพรา้ วออ่ นอายปุ ระมาณ 7 เดือน อาจใช้ฉีดเข้าเส้นเลือดแก้ภาวะการเสยี นา้ ได้ ราก - รสฝาด หวาน ใช้ขบั ปสั สาวะ และแก้ทอ้ งเสยี ตม้ นา้ อมแก้ปากเจ็บ เปลือกต้น - เผาเปน็ เถา้ ใช้ทาแก้หดิ และสีฟนั แก้ปวดฟนั สารสีน้าตาล - ไหลออกมาแขง็ ตัวทใี่ ตใ้ บ ใชห้ า้ มเลือดได้ดี วธิ แี ละปรมิ าณท่ีใช้ : มะพรา้ วเกบ็ ในชว่ งผลแก่ และนามาเคย่ี วเปน็ นา้ มนั ทาแกป้ วดเมื่อย และขดั ตามเส้นเอน็ เจือกบั ยา ทีม่ รี สฝาด รักษาบาดแผลได้ ใช้น้ามะพรา้ ว มาปรุงเป็นยารักษาแผลไฟไหม้ น้าร้อนลวกมานาน วิธใี ช้ทาได้โดย การนาเอานา้ มนั มะพร้าว 1 ส่วน ในภาชนะคนพร้อมๆ กับเติมน้าปนู ใส 1 ส่วน โดยเติมทลี ะส่วนพร้อมกับคนไปด้วย คนจนเขา้ กนั ดี แลว้ ทาท่ีแผล บ่อยๆ

๑๓๒ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum sanctum L. ชอ่ื พ้อง : Ocimum tenuiflorum L. ชอ่ื สามัญ : Holy basil, Sacred Basil วงศ์ : Lamiaceae (Labiatae) ชอ่ื อนื่ : กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม)่ อีตไู่ ทย (ภาคอสี าน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุม่ สงู 30-60 ซม. โคนต้นคอ่ นข้างแขง็ กะเพราแดงลาต้นสแี ดงอมเขียว ส่วนกะเพราขาว ลาตน้ สเี ขียวอมขาว ยอดอ่อนมขี นสขี าว ใบ เป็นใบเดีย่ ว ออกตรงข้ามกนั รูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบ มนหรอื แหลม โคนใบแหลม ขอบใบจกั เป็นฟนั เล่ือย แผน่ ใบสีเขียว มีขนสีขาว ดอก ออกเป็นช่อทีป่ ลายยอด ดอกสีขาว แกมม่วงแดงมจี านวนมาก กลีบเล้ียงโคนเชอื่ มตดิ กนั ปลายเรียวแหลม ดา้ นนอกมีขน กลีบดอกแบง่ เป็น 2 ปาก ปากบนมี 4 แฉก ปากลา่ งมี 1 แฉก ปากล่างยาวกว่าปากบน มีขนประปราย เกสรเพศผู้มี 4 อัน ผล เป็นผลแห้ง เม่อื แตกออกจะมี เมล็ด สีดา รปู ไข่ ส่วนทใ่ี ช้ : ใบ และยอดกะเพราแดง ทงั้ สดและแห้ง ทั้งตน้ สรรพคุณ :แก้อาการคล่ืนไส้ อาเจยี น (เกดิ จากธาตุไมป่ กติ) ใช้แก้อาการทอ้ งอืดเฟ้อ แนจ่ ุกเสยี ดและปวดทอ้ ง แก้ไอ และขบั เหงื่อ ขบั พยาธิ ขับนา้ นมในสตรีหลงั คลอด ลดไข้ เป็นยาอายวุ ฒั นะ เป็นยารักษาหดู กลากเกลื้อน ตา้ นเชื้อราเปน็ ยาสมนุ ไพร ใช้ไล่ หรอื ฆา่ ยุง เปน็ สมุนไพร ไล่แมลงวันทอง วธิ แี ละปริมาณท่ใี ช้ : แกค้ ล่นื ไส้ อาเจยี น (เกดิ จากธาตุไม่ปกติ) อาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสยี ด ปวดทอ้ ง ใช้กะเพราทั้ง 5 ท้ังสด หรอื แห้ง ชงน้าดม่ื รับประทาน เด็กอ่อน ใชใ้ บสด 3-4 ใบ ผ้ใู หญ่ ใบแห้ง 1 กามอื , 4 กรมั ผงแห้ง 1 ชอ้ นโตะ๊ หรอื 2 ชอ้ นแกง ใบสด 25 กรัม ภายนอก เด็กอ่อน ใบสด 10 ใบ วธิ ใี ช้ : ยาภายใน เด็กอ่อน - ใชใ้ บสด ใสเ่ กลือเลก็ น้อย บดให้ละเอยี ด ผสมนา้ ผึ้ง หยอดใหเ้ ด็กอ่อนเพิ่งคลอด 2-3 หยด เป็นเวลา 2-3 วนั จะชว่ ยขบั ลม และถ่ายขีเ้ ทา ผใู้ หญ่ - ใช้ใบกะเพราแหง้ ชงกับนา้ ดมื่ เปน็ ยาขับลม ถา้ ป่นเป็นผง ใหช้ งกบั นา้ รับประทาน คนโบราณใช้ใบ กะเพราสดแกงเลยี งให้สตรีหลงั คลอดรบั ประทาน ช่วยขบั ลม บารงุ ธาตุ ยาภายนอก ใช้ใบสดทาบริเวณท้องเด็กออ่ น จะลดอาการทอ้ งขนึ้ ท้องเฟ้อได้ กะเพรามี 2 ชนิด คอื กะเพราขาว และ กะเพราแดง กะเพราแดงมฤี ทธแ์ิ รงกวา่ กะเพราขาว ในทางยานยิ ม ใช้กะเพราแดง แตถ่ ้าประกอบอาหารมักใช้กะเพราขาว ยาเพิ่มน้านมในสตรหี ลังคลอด ใชใ้ บกะเพราสด 1 กามอื แกงเลยี ง

๑๓๓ รับประทานบ่อยๆ หลงั คลอดใหมๆ่ เปน็ ยารักษากลากเกลื้อน ใช้ใบสด 15-20 ใบ ตาหรือขยใ้ี ห้น้าออกมา ใชท้ าถูตรงบรเิ วณทีเ่ ป็นกลาก ทาวัน ละ 2-3 ครัง้ จนกว่าจะหาย เปน็ ยารักษาหูด ใชใ้ บกะเพราแดงสด ขยที้ าตรงหัวหูด เขา้ -เยน็ จนกวา่ หัวหดู จะหลดุ ขอ้ ควรระวัง : น้ายางท่ีใช้สาหรบั กดั หดู นี้เปน็ พิษมาก ดงั นั้นควรใช้ดว้ ยความระวงั อย่าให้เข้าตา ให้กัดเฉพาะตรงทีเ่ ป็น หดู อยา่ ใหย้ างถูกเน้ือดี ถ้าถกู เนอื้ ดี เน้ือดจี ะเน่าเป่ือย ซึ่งรักษาให้หายได้ยาก เป็นยาสมนุ ไพร ใช้ไลห่ รอื ฆ่ายุง ใช้ทงั้ ใบสดและกง่ิ สด 1 ก่งิ ใหญ่ ๆ เอาใบมารขย้ี แล้ววางไว้ใกล้ๆ ตัว จะ ชว่ ยไลย่ ุงได้ และยังสามารถไลแ่ มลงได้ด้วย น้ามนั กะเพรา เอาใบสดมากลน่ั จะไดน้ ้ามันกะเพรา ซงึ่ มีคุณสมบัตไิ ล่ยุงได้ ดกี วา่ ตน้ สดๆ เปน็ สมุนไพรไลแ่ มลงวันทอง ใชน้ ้ามนั ทก่ี ลั่นจากใบสด ตามความเหมาะสม น้ามนั หอมระเหยน้ีไปล่อแมลง จะทาใหแ้ มลงวันทองบนิ มาตอมน้ามนั น้ี สารเคมี : ในใบพบ Apigenin, Ocimol, Linalool , Essential Oil, Chavibetal

๑๓๔ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale Roscoe ชือ่ สามัญ : Ginger วงศ์ : Zingiberaceae ชอ่ื อน่ื : ขงิ แกลง ขงิ แดง (จันทบุร)ี ขงิ เผือก (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรีย่ ง-แม่ฮอ่ งสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลกุ มีเหงา้ ใต้ดนิ สีน้าตาลแกมเหลือง เนอ้ื ในสนี วล มีกลิ่นเฉพาะ จะแทงหนอ่ หรือลาต้น เทียมข้นึ มาเหนือพืน้ ดนิ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรยี งสลบั รูปขอบขนาน แกมรูปใบหอก กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม. ขอบใบเรยี บ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมนั ดอก ออกเปน็ ช่อ แทงออกจากเหง้าใต้ดนิ ใบประดบั เรยี งเวยี นสลบั สีเขยี วอ่อน ดอกสีเหลอื งแกมเขยี ว ผล เป็นผลแห้ง ทรงกลม ขนาดประมาณ 1 ซม. เปน็ 3 พู เมล็ดหลายเมลด็ ส่วนท่ีใช้ : เหงา้ แกส่ ด ตน้ ใบ ดอก ผล สรรพคุณ : เหงา้ แก่สด ยาแกอ้ าเจียน ยาขมเจริญอาหาร ยาแก้ทอ้ งข้ึน ท้องอืดเฟ้อ ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ บารุงธาตุ สามารถตา้ นการเกดิ แผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจกุ เสียดไดด้ ี มฤี ทธ์ใิ นการขับนา้ ดี เพอื่ ย่อยอาหาร แกป้ ากคอเป่ือย แก้ท้องผกู ลดความดันโลหติ ตน้ - ขับผายลม แกจ้ ุกเสียดแนน่ เฟ้อ แกน้ ่วิ บารงุ ไฟธาตุ แก้คอเปื่อย ชว่ ยยอ่ ยอาหาร ฆ่าพยาธิ แกโ้ รคตา แกบ้ ดิ แก้ลมป่วง แกท้ ้องรว่ งอย่างแรง แกอ้ าเจยี น ใบ - แกโ้ รคกาเดา ขบั ผายลม แกน้ วิ่ แก้เบาขดั แก้คอเป่ือย บารุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แกโ้ รคตา ขับลมในลาไส้ ดอก - ทาให้ชุม่ ชื่น แก้โรคตาแฉะ ฆ่าพยาธิ ชว่ ยย่อยอาหาร แก้คอเปอื่ ย บารุงไฟธาตุ แก้นวิ่ แก้เบาขดั แก้ บิด ผล – แกไ้ ข้ วธิ ีและปรมิ าณทใี่ ช้ : ยาแกอ้ าเจยี น ใชข้ งิ แกส่ ด หรือแหง้ ขิงสดขนาดหวั แม่มอื (ประมาณ 5 กรัม) ทุบให้แตก ถา้ แหง้ 5-7 ช้ิน ต้ม กบั นา้ ดื่ม นาขิงสด 3 หวั หัวโตยาวประมาณ 5 นวิ้ ใส่น้า 1 แก้ว ต้มจนเหลือ 1/2 แก้ว (ประมาณ 15-20 นาที หลังจาก เดอื ดแลว้ ) รินเอาน้าดืม่ ยาขมเจริญอาหาร ใช้เหงา้ สดประมาณ 1 องคุลี ถ้าผงแหง้ ใช้ 1/2 ชอ้ นโต๊ะ หรอื ประมาณ 0.6 กรัม ผงแหง้ ชงกบั นา้ ดม่ื เหง้าสดต้มนา้ หรอื ปรุงอาหาร เช่น ผดั หรอื รบั ประทานสดๆ เช่น กับลาบ แหนม และอืน่ ๆ แก้อาการ ท้องอืดเฟอ้ จุกเสียดและปวดทอ้ ง น้ากระสายขิง น้าขิง 30 กรมั มาชงดว้ ยนา้ เดือด 500 ซซี ี ชงแช่ไวน้ าน 1 ช่ัวโมง กรอง รบั ประทานคร้ังละ 2 ชอ้ นโต๊ะ ใชข้ งิ แกต่ ้มกบั นา้ รนิ น้าดื่มแก้โรคจกุ เสยี ด ทาให้หลับสบาย ขงิ แก่ยาว 2 นว้ิ ทุบพอ แหลก เทน้าเดือดลงไปคร่งึ แก้ว ปิดฝา ตั้งทิ้งไว้นาน 5 นาที รินเอาแต่นา้ มาดมื่ ระหว่างอาหารแตล่ ะม้ือ ใช้ผงขิงแหง้ 1 ช้อนโตะ๊ ปาดๆ หรือ 0.6 กรัม ถา้ ขิงแก่สดยาวประมาณ 1 องคลุ ี หรือประมาณ 5 กรัม ต้มกับนา้ เตมิ น้าตาลดม่ื ทกุ ๆ วัน

๑๓๕ ถา้ เปน็ ผงขิงแหง้ ใหช้ งนา้ ร้อน เตมิ น้าตาลดมื่ แกไ้ อและขับเสมหะ ใชข้ ิงสดฝนกับนา้ มะนาว แทรกเกลอื ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ ลดความดันโลหิต ใช้ขงิ สดเอามาฝานตม้ กบั น้ารับประทาน สารเคมี เหง้า พบ Gingerol Zingiberene, Zingiberone Zingiberonol, Shogoal, Fenchone, Camphene Cineol Citronellol ใน นา้ มนั หอมระเหย พบสาร Bisabolene, Zingiberone Zingiberol, Zingiberene, Limonene, Citronellol Gingerol, Camphene, Borneol, Cineol ทง้ั ตน้ พบ 5 - (1) - 6 – Gingerol ใบ พบ Shikimic acid

๑๓๖ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Tradescantia zebrina Loudon ( Zebrina pendula Schnizl.) วงศ์ : Commelinaceae ช่อื อื่น : ก้ามปูหลดุ (กรงุ เทพฯ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลุก แตกแขนงมาก ลาต้นทอดราบไปตามพนื้ และชสู ว่ นปลายกง่ิ สูง 10-30 ซม. ลาตน้ อวบสีเขยี วหรอื เขียวประม่วงจนถึงม่วงลายเขยี ว มขี ้อและปล้องชัด ใบเดี่ยว เรียงสลับ กาบใบเปน็ ปลอกหมุ้ รอบข้อสูง ประมาณ 1 ซม. ทีก่ าบใบมลี ายเส้นสมี ่วงเปน็ แนวตามความยาวและมขี น ใบรปู ไข่หรือรปู รี กว้าง 1.5-3 ซม. ยาว 3-8 ซม. ปลายแหลม โคนมน เบยี้ ว ขอบเรยี บ สีม่วงและมขี นประปราย เส้นกลางใบสมี ่วง แผ่นใบด้านบนสเี ขียวสลบั แถบสเี งิน และประสมี ว่ ง ด้านลา่ งสีม่วงหรอื มว่ งสลบั เขยี ว ช่อดอกสั้น ออกที่ยอด มใี บประดบั ใหญ่ 2 ใบ ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากันประกบ หมุ้ ช่อดอกอ่อนไว้ ดอกจะทยอยบานโผล่เหนอื ใบประดบั ดอกบานเต็มท่ีกวา้ งประมาณ 1 ซม. กา้ นดอกสั้นมาก กลีบเลย้ี ง สขี าว บาง โคนติดกันเปน็ หลอด ยาวประมาณ 4 มม. ปลายแยกเป็น 2 แฉก มีขน กลีบดอกโคนตดิ กันเป็นหลอดเรียวสี ขาว ยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแยกเป็นกลบี รูปไข่ 3 กลีบ กว้าง 4-5 มม. ยาว 6-8 มม. กลบี ด้านบนสีม่วง ดา้ นลา่ งสขี าว เกสรเพศผู้ 6 อนั กา้ นชูอบั เรณสู ขี าว มีขนยาวสมี ่วง อบั เรณูสีนวล รงั ไขเ่ ลก็ กา้ นเกสรเพศเมียเรียว ยอดเกสรเพศเมียมี 3 แฉก ผลเลก็ มาก ส่วนทใ่ี ช้ : เกบ็ ทงั้ ต้นสด ลา้ งสะอาด หรือตากแห้งเก็บเอาไว้ใช้ สรรพคณุ : ทั้งต้นรสชมุ่ เย็นจัด มีพิษ ใชแ้ กอ้ าเจยี นเปน็ โลหิต หนองใน ตกขาว บิด ฝอี กั เสบ สตรมี คี รรภ์ หา้ ม รบั ประทาน ก้านและใบมี Calcium oxalate, Gum วธิ แี ละปริมาณทีใ่ ช้ : ใชท้ งั้ ต้นแหง้ หนัก 15- 30 กรัม (สดใช้ 60- 90 กรมั ) ตม้ กับน้าด่ืมหรอื คั้นเอานา้ ดม่ื แก้ไอเปน็ เลอื ด ใชต้ น้ สด 60- 90 กรัม ตม้ กบั ปอดหมหู นัก 120 กรมั ผสมน้าต้มใหเ้ หลอื 1 ชาม ดม่ื หลงั อาหารวันละ 2 คร้ัง แก้โรคหนองใน ใช้ตน้ สด 60- 120 กรมั ใส่นา้ ต้มให้เหลอื 1 ถว้ ย ดื่มหลงั อาหารวันละ 2 คร้ัง แก้สตรมี ีตกขาวมาก ใชต้ ้นสด 60- 120 กรัม น้าตาลกรวด 30 กรัม ต่าฉ่าย (Mytilum crassitesta Lischke) 30 กรัม ผสมน้าต้มให้เหลือคร่ึงชาม ด่ืมหลังอาหารวนั ละ 2 ครงั้ แกบ้ ิดเรอื้ รัง ใชก้ าบหุ้มดอกสดหนัก 150 กรมั ข้าวสารคั่วจนเกรยี ม (เริ่มไหม)้ 30 กรมั ต้มนา้ แบ่งดื่มเปน็ 3 คร้ัง

๑๓๗ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Lobelia chinensis Lour. วงศ์ : Campanulaceae ชอ่ื อ่นื : บวั ครง่ึ ซีก (ชัยนาท) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลกุ ลาต้นขนาดเล็ก ตามข้อมรี ากออก ลาตน้ เลอ้ื ยทอดไปตามพืน้ ดิน ชูส่วนยอดข้ึน มี ยางสีขาว ใบ เป็นใบเดยี่ ว ออกเรียงสลบั รูปใบหอก กวา้ ง 0.2-0.6 ซม. ยาว 1-2 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบตดั ขอบใบ จกั เป็นฟนั เลื่อยตืน้ เกือบเรยี บ แผน่ ใบเรียบสีเขียวเป็นมนั ก้านใบส้นั มาก ดอก ออกดอกเดย่ี วตามซอกใบ ดอกสีมว่ งอ่อน กลีบเลี้ยงสีเขียวอมมว่ ง มี 5 กลบี กลบี ดอกเช่อื มติดกนั เป็นหลอด ปลายแยกเปน็ 5 แฉก หลอดดอกแยกผา่ ออก ทาให้ กลบี ดอกเรียงเพียงดา้ นเดียว หลอดดอกด้านนอกมีขนสีขาว ผล เปน็ ผลแหง้ แตกออกได้ ส่วนทใี่ ช้ : ทั้งต้นสด ขณะที่ดอกกาลงั บาน สรรพคุณ : ลดไข้ แกห้ อบหดื บารงุ ปอด แก้อาเจยี นเป็นเลือด วณั โรค ปอดพิการอกั เสบ ทอนซลิ อักเสบ เจ็บคอ ตาแดง ไส้ตง่ิ อักเสบ ลาไสอ้ ักเสบ บิด ขับปัสสาวะ (เพ่ือลดอาการบวมจากไตอักเสบ) ท้องมาน (เนื่องจากพยาธใิ บไม้ในเลือดและดี ซ่าน) ยาแก้มะเรง็ กระเพาะอาหาร หรอื ท่ีทวารหนกั แก้ข้ออกั เสบ เคล็ดขัดยอก บวมเจบ็ ฝี แผลเปอื่ ย บาดแผล กลาก เกลื้อน ผื่นคัน และแก้คดั จมกู หรือโรคแพ้ เนื่องจากการใช้ยา เขา้ รากย่อม ขอ้ หา้ มใช้ ห้ามใช้ในคนท่ีมอี าการท้องอืด อาหารไม่ยอ่ ย อุจจาระหยาบเหลว (จนี เรยี ก มา้ มพร่อง) ตารับยาและวธิ ีใช้ แก้อาเจียนเป็นเลอื ด ใชต้ น้ สดตาผสมกบั สรุ าเลก็ น้อย รบั ประทาน ทอ้ งเสีย ใช้ตน้ สด 15- 30 กรัม (1 กามือ) ต้มนา้ ด่ืม ทอนซิลอกั เสบ ใชต้ น้ สดตาให้ละเอยี ด ปนั้ เปน็ กอ้ นขนาดไขไ่ ก่ ใส่ในถ้วย เตมิ เหลา้ เข้าไป 90 ซซี .ี ผสมให้ เขา้ กนั คนั้ เอานา้ แบง่ อม 3 ครั้งๆ ละ 10-20 นาที แลว้ บ้วนท้งิ บดิ ใช้ตน้ สด 60 กรมั ต้มนา้ เติมนา้ ตาลแดงดมื่ บวมน้า (เพราะไตอักเสบ) ท้องมาน (เน่ืองจากพยาธิใบไม้) ใช้ตน้ สด 30- 60 กรัม ตม้ นา้ ด่มื ดีซา่ น ขดั เบา บวมนา้ ใชต้ น้ สด 30 กรัม ผสมกบั รากหญ้าคา ( Imperata cylindrica Beauv ) 30 กรมั ตม้ น้าใสน่ ้าตาลทราย แบ่งกนิ 2 ครั้ง เชา้ -เยน็ เคลด็ ขัดยอก บวมเจ็บ ใชต้ ้นสด 60 กรัม นา้ 180 ซีซ.ี ต้มใหเ้ หลือ 90 ซีซี. กรองเอานา้ เก็บไว้ นากากท่ี เหลือไปตม้ อีกคร้ังตามอตั ราสว่ นเดิม นาน้ากรองคร้งั ที่ 2 รวมกับครง้ั แรก ใหเ้ หลือ 60 ซีซ.ี เทใส่ขวดเกบ็ ไว้ เวลาใชเ้ อา สาลีชบุ น้ายา ปิดบริเวณท่ีปวดบวม ฝี แผลเป่ือย ผิวหนงั อักเสบ ใช้ตน้ สดพอประมาณ ใสเ่ กลือเลก็ น้อย ตาใหแ้ หลก พอกบริเวณท่เี ปน็

๑๓๘ เตา้ นมอักเสบ ใช้ตน้ สด ตาให้ละเอียด พอกบริเวณทีเ่ ป็น ตาแดง ใช้ต้นสดจานวนพอสมควร ลา้ งใหส้ ะอาด ตาให้ละเอียด นามาพอกบนหนงั ตา เอาผา้ ก็อตที่สะอาด ปิด เปลีย่ นยาวนั ละ 2 ครงั้ สารเคมี : สารสาคัญคือ Lobeline, Flavone และ Inulin

๑๓๙ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Adenanthera pavonina L. ชอ่ื สามัญ : Red Wood, Coral Woood วงศ์ : Mimosaceae ช่ืออืน่ : มะโหกแดง (ภาคเหนือ) มะหัวแดง มะแดง มะก้าตน้ มะกลา่ ตาชา้ ง ไฟ (ใต้) ป้ีจน่ั ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ ขนาดกลาง ใบ เปน็ ใบประกอบซอ้ น มใี บย่อย 3-4 คู่ ใบยอ่ ยเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 5-9 คู่ รูปกลมรีเสมอกันท้ังใบ ขนาดเท่าหวั แม่มอื สีเขยี วเข้ม มกั ออกท่ีปลายก่ิง ดอก ออกชอ่ สีเหลือง ผล กลมยาวบิด เมื่อแกแ่ ตกออกเห็นเมล็ดสีแดงสดกลมแป้น มีชนดิ เมลด็ เล็กและชนดิ โต สว่ นทใี่ ช้ : ราก เมล็ด ใบ สรรพคณุ : ราก - รสเปรี้ยวเล็กน้อย แก้ทางเสมหะ แก้ร้อนใน แก้อาเจยี น แกห้ ดื ไอ และพษิ ฝี เมลด็ , ใบ – แกร้ ดิ สีดวงทวารหนกั เมล็ดใน - เป็นยาเบ่อื พยาธิ และเบอื่ ไสเ้ ดือนไดด้ ี ถา้ ผสมกับยาอื่นทีท่ าให้ระบายดว้ ยแล้ว ก็จะได้ประโยชน์ ทงั้ เบ่อื ไส้เดอื น และระบายออกมาด้วย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook