๔๐ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Cassia fistula L. ช่อื สามัญ : Golden shower, Indian laburnum, Pudding - pine tree วงศ์ : LEGUMINOSAE – CAESALPINIOIDEAE ชือ่ อ่นื : กเุ พยะ (กะเหรย่ี ง-กาญจนบรุ )ี ชัยพฤกษ์ ราชพฤกษ์ (ภาคกลาง) ปือยู ปูโย เปอโซ แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง- แม่ฮ่องสอน) ลมแลง้ (เหนือ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้นขนาดกลาง ลาต้นสีน้าตาลแกมเทาเกล้ียงๆ ชอบขึน้ ตามป่าผลดั ใบ หรอื ในทดี่ นิ ทีม่ ีการ ถ่ายเทนา้ ได้ดี ใบ เปน็ ใบช่อสีเขียวเปน็ มัน ชอ่ หนึง่ ๆ ยาวประมาณ 2.5 ซม. มีใบย่อยรปู ป้อมๆ หรือรปู ไข่ 3-6 คู่ ใบยอ่ ย กว้างๆ 5-7 ซม. ยาว 9-15 ซม. โคนใบมนและคอ่ ยๆ สอบไปทางปลายใบ เนื้อใบเกลย้ี งค่อนข้างบาง เส้นแขนงใบถี่ และ โคง้ ไปตามรปู ใบ ดอก ออกเป็นชอ่ ยาว 20-45 ซม. กลีบรองกลีบดอกรูปขอบขนานยาวประมาณ 1 ซม. มี 5 กลีบ มัก หลุดรว่ งง่าย กลบี ดอกยาวกว่ากลบี รองกลีบดอกประมาณ 2-3 เทา่ และมีกลีบรปู ไข่กลับ 5 กลบี ตามพนื้ กลบี จะเหน็ เส้น กลบี ชัดเจน เกสรผู้มขี นาดแตกต่างกนั จานวน 10 อนั กา้ นอบั เรณูโค้งงอข้ึน ผล เปน็ ฝักรปู ทรงกระบอกเกล้ียงๆ อาจยาว ถึง 50 ซม. โตวัดเส้นผา่ ศูนย์กลาง 2.0-2.5 ซม. ฝกั อ่อนสเี ขยี วและออกสีดาเมื่อแกจ่ ัด ในฝกั จะมผี นังเย่ือบางๆ กน้ั เป็น ช่องๆ ตามขวางของฝกั และตามช่องเหลา่ นจ้ี ะมีเมลด็ แบนๆ สีนา้ ตาลอยู่ สว่ นท่ใี ช้ : ใบ ดอก เปลือก แก่น ราก ฝกั แก่ เปลือกเปน็ สนี ้าตาลเข้ม กระพี้ เมล็ด สรรพคุณ : ใบ - ขับพยาธิ ดอก – แกบ้ าดแผลเรอื้ รงั เปลือก - บารุงโลหิต กระพ้ี - แก้โรครามะนาด แก่น - ขบั ไส้เดือนในท้อง ราก - แกไ้ ข้ แก้โรคคดุ ทะราด เมล็ด – รักษาโรคบิด ฝกั แก่ - รสหวานเอียนเลก็ นอ้ ย เป็นยาระบายถ่ายสะดวกไม่มวนไม่ไซ้ท้อง มีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone glycoside) เป็นตัวยาระบาย วธิ แี ละปรมิ าณท่ีใช้ : โดยเอาเน้ือในฝกั แกก่ ้อนเท่าหัวแมม่ ือ (ประมาณ 4 กรัม) นา้ 1 ถ้วยแก้วตม้ กบั น้าใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มก่อนนอนหรือตอนก่อนอาหารเช้าครัง้ เดยี ว เหมาะเปน็ ยาระบายสาหรับคนทท่ี อ้ งผกู เป็นประจาและสตรีมีครรภ์
๔๑ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Michelia champaca L. ชื่อสามัญ : Champak วงศ์ : MAGNOLIACEAE ชอ่ื อ่ืน : จาปากอ (มลายู-ใต้) จาปาเขา จาปาทอง (นครศรีธรรมราช) จาปาป่า (สรุ าษฎรธ์ าน)ี Champak, Orange Chempaka, Sonchampa ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ สูง 15-30 เมตร ลาตน้ เปลาตรง ทรงพุม่ โปร่งเปน็ รปู กรวยคว่า สาหรับต้นท่ปี ลูกเล้ียง เป็นไม้ดอกไม้ประดบั กนั อยู่ท่ัวไปนน้ั เป็นการคดั เลือกตามธรรมชาติจากตน้ ทมี่ ีขนาดเลก็ แตม่ ีดอกดก ดอกมีขนาดใหญ่ และออกดอกได้ตลอดปี ใบ รูปรแี กมรปู ขอบขนาน กวา้ ง 4-9 ซม. ยาว 10-22 ซม. ใบบาง เส้นแขนงใบ 12-20 คู่ ก้านใบ ยาว 2-4 ซม. โคนก้านใบป่อง ขอบใบเปน็ คล่นื เลก็ น้อย ดอกสเี หลืองส้ม ออกตามซอกใบ กาบหุ้มดอกสีเขียวอ่อน มี 1 แผน่ ดอกบานตั้งขน้ึ และส่งกลิน่ หอมแรง กลบี ดอกมี 12-15 กลีบ กลบี นอกรูปใบหอก ค่อนขา้ งกวา้ ง 1-1.5 ซม. ยาว 4- 4.5 ซม. กลีบในแคบและส้นั กว่า ผล กลุ่ม เป็นช่อยาว ประกอบดว้ ยผลยอ่ ย 8-40 ผล อยรู่ อบแกน ผลย่อยคอ่ นขา้ งกลม หรอื กลมรี เปลอื กหนาแขง็ มีชอ่ งอากาศเปน็ จดุ เลก็ สีขาวอยทู่ ว่ั ไป ผลแก่แหง้ แตกแนวเดียว ขนาดผลยอ่ ยกวา้ ง 1-1.5 ซม. ยาว 1.5-2 ซม. ผลออ่ นสเี ขยี วอ่อนหรอื สีน้าตาลอ่อนประจุดสขี าว เมล็ด มีเนอื้ หุ้ม รปู เสี้ยววงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1 ซม. เมลด็ อ่อนมเี นื้อหุม้ สขี าว เมลด็ แก่เน้ือหมุ้ สีแดง ผลยอ่ ยมี 1-6 เมล็ด ส่วนท่ใี ช้ : ดอก เปลือกตน้ เปลือกราก ใบ กระพ้ี เนอ้ื ไม้ เมลด็ ราก นา้ มันกลนั่ จากดอก สรรพคุณ : ใบ - แกโ้ รคเสน้ ประสาทพิการ แก้ป่วงของทารก ดอก - แก้วงิ เวียนออ่ นเพลีย หน้ามดื ตาลาย บารงุ หัวใจ กระจายโลหิต เปลือกตน้ - ฝาดสมาน แก้ไข้ ทาใหเ้ สมหะในลาคอเกิด เปลอื กราก - เป็นยาถา่ ย ทาให้ประจาเดอื นมาปกติ รกั ษาโรคปวดตามข้อ กระพี้ - ถอนพิษผิดสาแดง เนือ้ ไม้ - บารงุ โลหิต ราก - ขับโลหิตสตรที ่ีอยู่ในเรือนไฟให้ตก น้ามนั กล่นั จากดอก - แก้ปวดศรี ษะ แกต้ าบวม
๔๒ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Cassia alata ( L.) Roxb. ชื่อสามัญ : Ringworm Bush วงศ์ : Leguminosae ชอ่ื อน่ื : ข้ีคาก ลับมีนหลวง หมากกะลงิ เทศ ชมุ เหด็ ใหญ่ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ ุ่ม สงู 1-3 เมตร แตกก่งิ ออกด้านขา้ งในแนวขนานกบั พ้ืน ใบประกอบแบบขนนก เรยี ง สลับ ใบย่อยรูปขอบขนานรูปวงรีแกมขอบขนาน หรือรูปไข่กลบั กวา้ ง 3-7 ซ.ม. ยาว 6-15 ซ.ม. หนใู บเปน็ รูปสามเหลี่ยม ดอกชอ่ ออกที่ซอกใบตอนปลายกิง่ กลีบดอกสเี หลืองทองใบประดับสีน้าตาลแกมเหลอื ง หมุ้ ดอกย่อยเห็นชัดเจน ผลเปน็ ฝกั มี 4 ครบี เมล็ดแบน รูปสามเหล่ยี ม สว่ นที่ใช้ : ใบสดหรือแห้ง เมล็ดแหง้ ดอกสดของต้นขนาดกลาง ไม่แก่หรอื อ่อนเกนิ ไป สรรพคณุ : ใบสด - รักษาโรคผวิ หนงั กลากเกล้อื น ฝีและแผลพุพอง ดอก, ใบสดหรือแห้ง - เปน็ ยาระบาย ยาถา่ ย ถ่ายพยาธลิ าไส้ เมลด็ - ขับพยาธิ เป็นยาระบายอ่อน วิธีและปรมิ าณท่ีใช้ : ใบและดอกชมุ เห็ดใชเ้ ป็นยารักษาโรคและอาการดังนี้ 1.เปน็ ยาระบาย ยาถา่ ย แก้อาการท้องผูก ใช้ดอกชุมเหด็ เทศสด 1-3 ช่อดอก (หรือแล้วแต่คนท่ีธาตุเบาธาตุ หนัก ช่อดอกใหญ่หรือเล็ก) ต้มรบั ประทานจ้ิมกับน้าพริก หรือ ใชใ้ บสด 8-12 ใบ ลา้ งให้สะอาด หน่ั ตากแห้ง หรือปิ้งไฟให้ เหลือง หั่น ใชต้ ม้ หรือชงนา้ ดื่ม ครั้งละ 1 ถว้ ยแก้ว เตมิ เกลือเล็กน้อย ด่ืมใหห้ มด หรือใช้ใบแห้งบดเปน็ ผง ปนั้ กับนา้ ผ้งึ เปน็ ลูกกลอนขนาดเท่าปลายนวิ้ ก้อย รบั ประทานคร้งั ละ 3 เม็ด กอ่ นนอน หรือเมื่อมีอาการท้องผกู หรอื ใช้เมล็ด ค่วั ให้เหลือง ชงนา้ ด่มื เปน็ นา้ ชา เป็นยาระบายอ่อนๆ 2.เปน็ ยารกั ษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน ใชใ้ บสด 3-4 ใบยอ่ ย ขยห้ี รอื ตาในครกให้ละเอยี ด เติมเกลอื เล็กน้อย หรอื ใช้ใบชุมเหด็ เทศกบั หวั กระเทียมปริมาณเทา่ กนั ผสมปูนแดงทก่ี นิ กับหมากนิดหน่อย ตาผสมกันทาบรเิ วณท่ีเปน็ กลาก หรือโรคผวิ หนงั โดยเอาผวิ ไม้ไผข่ ูดบรเิ วณทเ่ี ปน็ กลากเบาๆ แลว้ ทายาวันละ 2 ครง้ั เช้าเย็นจนกว่าจะหาย หายแล้วทาต่อ อกี 7 วนั 3.รกั ษาฝีและแผลพุพองใชใ้ บชมุ เหด็ เทศ และกา้ นสด 1 กามือ ตม้ กับน้าพอท่วมยาแล้วเค่ียวใหเ้ หลอื 1 ใน 3 ชะล้างบริเวณทเ่ี ปน็ วนั ละ 2 คร้งั เช้า-เย็น ถ้าเป็นมากให้ใช้ประมาณ 10 กามือ ตม้ อาบ
๔๓ สารเคมี : ใบพบ anthraquinone เชน่ aloe-emodin, chrysophanol, sennoside, flavonoids, terpenoids, iso- chrysophanol, physcion glycoside, kaempferol, chrysophanic acid, lectin, sitosterols, rhein
๔๔ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Baliospermum montanum Muell.A ชื่อพ้อง : Baliospermum solanifolium (Burm.) Suresh ช่ือสามัญ : วงศ์ : EUPHORBIACEAE ช่ืออ่ืน : ตองแต่ (ประจวบคีรีขันธ)์ ถ่อนดี ทนดี (ภาคกลาง, ตรัง) โทะโคละ พอบอเจา๊ ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) นองป้อง ลองปอม (เลย) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-2 เมตร แตกแขนงจากโคนตน้ กา้ นใบเรียวยาว ยาว 2-6 ซม. ยอดอ่อน มขี น ใบ เด่ียวเรียงสลบั มีขนาดและรปู รา่ งต่างๆ กัน ใบที่อยตู่ ามปลายยอดรปู ใบหอกหรือรูปรี กว้างประมาณ 3.5 ซม. ยาวประมาณ 7 ซม. ใบทต่ี ามโคนต้นมกั จกั เป็นพู 3-5 พู รูปขอบขนานแกมรูปไข่ หรอื เกือบกลม กว้างประมาณ 7.5 ซม. ยาว 15-18 ซม. โคนสอบหรอื มน มตี ่อม 2 ตอ่ ม ปลายแหลม ขอบหยักแบบฟันเลอ่ื ยหา่ งๆ ไมส่ มา่ เสมอ มเี ส้นใบออกจาก โคนใบ 3-5 เส้น และออกสองข้างของเส้นกลางใบ ข้างละ 5-8 เสน้ เสน้ ใบดา้ นล่างเห็นชัดกว่าด้านบน เนอ้ื บาง ดอก ออกเปน็ ชอ่ ตามงา่ มใบ ดอกเพศผแู้ ละดอกเพศเมียอยบู่ นต้นเดียวกัน หรือบนชอ่ เดยี วกัน ชอ่ ดอกเล็กเรียว ยาว 3.5-12 ซม. ดอกเพศผู้ มจี านวนมาก อยทู่ างตอนบนของช่อ ดอกมีรปู รา่ งกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลาง 1-2 มม. ก้านดอกย่อยเลก็ เรยี ว คลา้ ยเสน้ ดา้ ย ยาว 3-5 มม. กลบี เล้ยี งมี 4-5 กลีบ รูปกลม ไมม่ กี ลีบดอก ฐานดอกมตี ่อม 4-6 ต่อม เกสรเพศผู้มี 15-20 อนั อับเรณูคลา้ ยรปู ถั่ว ดอกเพศเมยี ออกที่โคนช่อ กลีบเลี้ยงรปู ไข่ปลายแหลม ขอบจัก ฐานดอกเป็นรูปถว้ ยสนั้ ๆ รงั ไข่มี 3 พู ก้านเกสรเพศเมยี แยกเป็น 2 แฉก ม้วนออก ผล เป็น 3 พู กว้างประมาณ 1 ซม. ยาว 0.8 ซม. ปลายบุ๋ม มีกา้ นเกสรเพศ เมยี ตดิ อยู่ 2 อนั โคนผลกลม มีกลีบเลยี้ งติดอยู่ ผลแก่แตกตามยาวที่กลางพู แต่ละพูมี 1 เมล็ด เมลด็ รปู ขอบขน ตองแตก ขน้ึ ในป่าดิบ ป่าไผ่ และตามทร่ี กรา้ งทัว่ ไป ถงึ ระดับความสูง 700 เมตร เขตกระจายพันธ์ ตง้ั แต่ อินเดีย (พบไม้ต้นแบบ) ปากสี ถาน บังคลาเทศ ลงมาถึงพมา่ อินโดจนี คาบสมทุ รมาเลเซีย ส่วนท่ีใช้ : ราก ใบ เมล็ด สรรพคุณ : ราก - เป็นยาถ่าย ถา่ ยไมร่ า้ ยแรงนกั ถ่ายลมเป็นพิษ ถา่ ยพิษพรรดกึ ถ่ายเสมหะเปน็ พิษ (และมีคุณคลา้ ย หวั ดองดึง) ถ่ายแก้นา้ ดีซ่าน ใบ, เมล็ด - เป็นยาถ่าย ยาถา่ ยพยาธิ แก้ฟกบวม เมล็ด - เปน็ ยาถา่ ยแรงมาก (ไมน่ ยิ มใช)้
๔๕ วธิ ใี ช้และปรมิ าณที่ใช้ : ใชใ้ บ 2-4 ใบ หรือ ราก 1 หยิบมือ ยาไทยนิยมใช้ราก 1 หยบิ มอื ต้มกับน้า 1 ถว้ ยแก้ว เติมเกลอื เล็กน้อย รบั ประทาน
๔๖ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Mirabilis jalapa L. ช่ือสามัญ : Marvel of peru , Four-o’clocks วงศ์ : Nyctaginaceae ชื่ออ่ืน : จันยาม จายาม ตามยาม ตีต้าเชา่ (จนี ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลกุ อายุหลายปี มีเงา้ สงู 1-1.5 ม. ลาตน้ มีสแี ดง มีนวลเลก็ นอ้ ย ใบรูปไข่ หรอื รปู สามเหลยี่ ม มขี นประปราย กว้าง 2-9 ซม. ยาว 5-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนตดั หรอื รูปหัวใจ ก้านใบยาว 1-4 ซม. กลีบ ประดับรปู ระฆงั ตดิ ท่ีฐาน ยาว 1-1.5 ซม. ดอกเกือบไร้ก้าน มี 4-5 ดอกในแตล่ ะช่อ บานตอนบา่ ยๆ จนถึงตอนเช้า วง กลีบสีชมพู มว่ ง ขาว เหลอื ง หรอื ดา่ ง ยาวประมาณ 3-6 ซม. ปากกลีบมีเสน้ ผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 2.5-3 ซม. เกศร เพศผู้ 5 อนั ย่นื ออกยาวประมาณ 1 ซม. ก้านเกสรสีแดง อับเรณูทรงกลม รงั ไข่รูปรี กา้ นเกศรเพศเมียยาวเทา่ ๆ เกสรเพศ ผู้ สแี ดง ปลายเกสรเป็นต่มุ เปน็ พูต้นื ๆ ผลรปู กลมรี สดี า ขนาดประมาณ ยาว 0.5-0.9 ซม. เปลือกบาง มี 5 สนั เมล็ด กลม ขนาดประมาณ 0.7 ซม. บานเยน็ มถี ่นิ กาเนิดในประเทศเปรู มีเขตการกระจายพนั ธ์ุเฉพาะในทวปี อเมรกิ าใต้ นิยม ปลูกเปน็ ไมป้ ระดับทว่ั ไป โดยเฉพาะดอกสีชมพู บางครั้งขึ้นเป็นวัชพืช สว่ นทใ่ี ช้ : ราก ใบ หัว สรรพคณุ : ราก - มี alkaloid trigonelline ซึ่งมีฤทธ์เิ ป็นยาถ่าย ใบ - ตาทาแก้คัน และ พอกฝี หวั - รับประทานจะทาใหห้ นังชาอยคู่ งกะพนั เฆ่ยี นตีไม่แตกกลบั ทาให้รสู้ ึกคนั รบั ประทานเปน็ ยาขับเหง่ือ แก้ไข้ ระงับความร้อน
๔๗ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Brassica chinensis (L.) Jusl. ชอื่ สามัญ : Chinese White Cabbage วงศ์ : Brassicaceae ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ พืชอายปุ เี ดยี ว มีระบบรากตื้น ใบมลี ักษณะห่อปลยี าวหรืออาจห่อหลวมๆ ทง้ั นี้ขึ้นอยู่กับ พนั ธุ์ ใบมีสีขาวถงึ สเี ขียวอ่อน เป็นพชื วนั ยาวดอกมีสเี หลืองยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ผกั กาดขาวสว่ นใหญม่ ีการผสมข้าม โดยแมลงและผงึ้ สว่ นทใี่ ช้ : ราก ต้น สรรพคุณ : แก้หวดั แกท้ ้องผกู แกผ้ ิวหนงั อกั เสบจากการแพ้ วิธใี ช้และปริมาณการใช้ : ราก - แก้หวัด แกท้ ้องผูก ใช้รากผักกาดขาว 1 กามือ ต้มน้าดื่ม ตน้ - แกพ้ ิษจากรับประทานมันสาปะหลงั ดิบ ใชต้ ้น ตม้ นา้ ดม่ื ผิวหนังอักเสบ จากการแพ้ ใช้ผักกาดขาว สด ตาพอก
๔๘ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Senna alexandrina P. Miller ชอ่ื สามัญ : Alexandria senna, Alexandrian senna Indian senna วงศ์ : Fabaceae (Leguminosae-Caesalpinioideae) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พมุ่ สงู 0.5 – 1.5 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปวงรีหรอื รปู ใบหอก กวา้ ง 1-1.5 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม. ดอกชอ่ ออกทซ่ี อกใบตอนปลายกิ่ง กลบี ดอกสเี หลือง ผลเปน็ ฝกั แบน รปู ขอบขนาน ส่วนที่ใช้ : ใบแหง้ และฝักแหง้ ช่วงอายุ 1 เดอื นคร่ึง (หรือก่อนออกดอก) สรรพคุณ : ใบและฝัก - ใช้เป็นยาถ่ายที่ดี ใบไซท้ ้องมากกวา่ ฝกั วิธีและปริมาณท่ีใช้ : ใบมะขามแขกหนัก 2 กรมั หรือ 2 หยิบมอื หรือใช้ฝัก 10-15 ฝกั ต้มกับน้า 1 ถว้ ยแก้ว 5 นาที ใส่เกลือ เลก็ น้อยเพื่อกลบรสเฝือ่ น รบั ประทานคร้ังเดียว หรือ ใชว้ ิธบี ดใบแหง้ เปน็ ผงชงนา้ ดม่ื บางคนดืม่ แล้วเกิดอาการไซ้ท้อง แกไ้ ขโดย ตม้ รวมกบั ยาขบั ลมจานวนเลก็ น้อย (เช่น กระวาน กานพลู อบเชย) เพื่อแต่งรสและบรรเทาอาการไซ้ท้องอืด มะขามแขก เหมาะกับคนสูงอายุ ท่ที อ้ งผูกเป็นประจาแต่ควรใชเ้ ปน็ ครัง้ คราว ข้อห้าม : ผหู้ ญงิ มคี รรภ์ หรอื มปี ระจาเดือน หา้ มรบั ประทาน สารเคมี : ใบและฝักพบสารประกอบพวก anthraquinones เช่น sennoside A.B.C.D. aloe emodin , emodin , rhein , physcion , และสาร anthrones dianthrones
๔๙ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum L.f. var. citratum Back. ชือ่ สามัญ : Hairy Basil วงศ์ : Apiaceae ( Labiatae ) ชือ่ อน่ื : ก้อมก้อขาว มงั ลัก ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ พชื ลม้ ลกุ ลาตน้ ตรง โคนต้นแขง็ สูงประมาณ 40-65 ซ.ม. แตกก่ิงกา้ น ทุกส่วนมีกลนิ่ หอม ใบ เดยี่ ว สใี บสนี วล ใบมีขนอ่อน ๆ ใบเรยี งตรงขา้ มเป็นคู่ ๆ ดอก ช่อ ออกทป่ี ลายยอด ชอ่ อาจเป็นช่อเดี่ยว หรือ แตกออกเป็นช่อย่อย ๆ ดอกบานจากข้างล่างข้นึ ข้างบน กลีบรองดอกจะคงทนและขยายใหญ่ขึน้ เมื่อเป็นผล กลบี ดอกสี ขาวแบง่ เป็น 2 ปาก รว่ งง่าย เกสรตวั ผจู้ ะยนื่ ยาวกวา่ กลบี ดอก ดอกย่อยออกโดยรอบก้านชอ่ เป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมดี อก ย่อย 6 ดอก แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 3 ดอก ดอกตรงกลางจะบานก่อน และช่อดอกย่อยทีอ่ ยูช่ ั้นล่างสุดของก้านช่อดอก จะบานก่อนเชน่ กัน ผล 1 ดอกมีผล 4 ผล ขนาดเล็ก คือเมลด็ แมงลกั รูปร่างรปู รีไข่ สีดา ส่วนท่ใี ช้ : เมลด็ และใบ สรรพคณุ : เมลด็ - ออกฤทธ์เิ ป็นยาระบาย โดยการเพมิ่ ปริมาตรของกากอาหารกระตุ้นการบบี ตัวของลาไส้ ใบ - ใช้ขับลม วธิ แี ละปริมาณท่ีใช้ : รบั ประทานคร้ังละ 1-2 ชอ้ นชา แช่นา้ ให้พอง แลว้ ด่ืมก่อนนอน จะช่วยทาใหร้ ะบาย เปน็ ยาถ่าย สารเคมี : เมอื กจากเมลด็ พบ D-xylos, D-glucose, D-galactose, D-mannose, L-arabinose, L-rhamnose, uronic acid , oil, polysaccharide และ mucilage สว่ นใบ พบนา้ มันหอมระเหย ซึ่งประกอบดว้ ย borneol L-B-cadinene, 1-8-cineol, B-caryophyllene, eugenol
๕๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Belamcanda chinensis (L.) DC. ช่ือสามัญ : Black Berry Lily, Leopard Flower วงศ์ : IRIDACEAE ชอ่ื อ่นื : ว่านมีดยับ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลกุ สงู 0.6 - 1.2 เมตร มเี หง้าเล้อื ยตามแนวขนานกบั พื้นดนิ ใบเดีย่ ว แทงออกจากเหงา้ เรียงซอ้ นสลบั กว้าง 2 - 3 ซม. ยาว 30 - 45 ซม. เน้อื ใบค่อนขา้ งหนา ดอกช่อ ออกทีป่ ลายยอด กลีบดอกสสี ้มมจี ดุ ประสี แดงกระจาย ผลแห้ง เม่ือแกจ่ ะแตกอ้า และกระดกกลบั ไปด้านหลงั สว่ นทใ่ี ช้ : ราก เหงา้ สด ใบ เนื้อในลาต้น สรรพคุณ : ราก เหงา้ สด - แกเ้ จ็บคอ ใบ - เป็นยาระบายอุจจาระและแกร้ ะดูพิการของสตรีได้ดี เนอ้ื ในลาตน้ เปน็ ยาบารุงธาตุ แกโ้ รคระดูพกิ ารของสตรี ใชบ้ าบดั โรคตอ่ มทอนซลิ อกั เสบ ใช้เปน็ ยาถ่าย วธิ แี ละปรมิ าณที่ใช้ : แกเ้ จ็บคอ ใชร้ าก หรอื เหงา้ สด 5-10 กรมั แห้ง 3-6 กรัม ตม้ นา้ รับประทาน เปน็ ยาระบาย และแกร้ ะดูพกิ ารของสตรี ใชใ้ บ 3 ใบ ปรุงในยาตม้ ความรู้เพิ่มเติม – เก่ยี วกบั ทางดา้ นความเชอ่ื มีความเชื่อกนั ว่าเป็นวา่ นมหาคณุ ปลกู ไวห้ น้าบา้ นกันภยั อันตรายต่างๆ เพราะสามารถนาวา่ นน้ีมาใช้ประโยชนท์ างไสยคุณได้ เชน่ ดอก - ใชแ้ ก้ไสยคณุ ทเี่ กดิ จากการกระทาจากผม ใบ - ใช้แก้ไสยคุณทเ่ี กิดจากการกระทาจาก เน้ือ ตน้ - ใชแ้ กไ้ สยคณุ ทเ่ี กิดจากการกระทาจาก กระดูก ในภาคอสี าน นยิ มปลูกเป็นว่านศิรมิ งคล แม่บา้ นกาลังจะคลอดลูก ใช้วา่ นหางชา้ งน้พี ัดโบกทีท่ ้องเพอื่ ให้ คลอดลกู ง่ายข้ึน
๕๑ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Euphorbia neriifolia L. (E. ligularia Roxb.) ชอ่ื สามัญ : - วงศ์ : Euphorbiaceae ชื่ออ่นื : - ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มหรือไม้ยนื ต้นขนาดเลก็ สูง 3-5 เมตร กง่ิ ก้านเป็นเหลย่ี ม มหี นามแขง็ ตามมุม เรยี งเปน็ แถวตามยาว มีน้ายางขาว ใบเดี่ยว เรียงสลบั รูปวงรหี รือรปู วงรีแกมขอบขนาน กวา้ ง 4-6 ซม. ยาว 10-15 ซม. ดอกช่อ รปู ถ้วย ออกตามกงิ่ กา้ น ใบประดบั สเี หลือง ดูคล้ายกลบี ดอก ดอกย่อยแยกเพศ อยู่ในชอ่ เดยี วกนั ไมม่ ีกลบี ดอก ผลแห้ง ส่วนที่ใช้ : ใบ ยาง สรรพคุณ : ใบ - โขลกตาพอก ปดิ ฝี แก้ปวด ถอนพิษดี ยาง เปน็ ยาระบายอ่อนๆ ขับพยาธิ แกจ้ ุก แกบ้ วม ทาใหอ้ าเจียน เบอ่ื ปลาเป็นพิษ แก้ท้องมาน พุงโร มา้ ม ยอ้ ย แก้ไขจ้ ับสน่ั เรอื้ รัง ขบั น้าย่อยอาหาร
๕๒ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Terminalia chebula Retz. var. chebula ชอ่ื สามัญ : Myrabolan Wood วงศ์ : COMBRETACEAE ชอ่ื อน่ื : มาแน่ (กะเหรีย่ ง-เชียงใหม่) สมออัพยา (ภาคกลาง) หมากแน่ะ (กะเหรยี่ งแม่ฮ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น สูง 20-35 เมตร เปลอื กตน้ ขรุขระ ใบ เดย่ี ว เรียงตรงข้ามหรเื กือบตรงขา้ ม รูปวงรี กวา้ ง 6-10 ซม. ยาว 8-15 ซม. ดอก ช่อ ออกทซ่ี อกใบหรือปลายยอด เปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบสเี หลอื ง ผลเปน็ ผลสด รูปวงรี มีสัน 5 สัน สว่ นทใี่ ช้ : ผลออ่ น ผลแก่ ผล ใบ สรรพคณุ : ผลอ่อน - มีฤทธเ์ิ ปน็ ยาระบาย ถา่ ยเสมหะ ลดไข้ ขับลมในลาไส้ ผลแก่ - มีฤทธ์ิเป็นยาฝาดสมาน แกท้ ้องเดิน ผล - ใช้ในอตุ สาหกรรมฟอกหนงั มี Tannin มาก ใชท้ าหมกึ ใบ - เปน็ ยาสมานแผล เปน็ ยาบารงุ ถุงนา้ ดี วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลอ่อน 5-6 ผล หรอื 30 กรมั ตม้ กับนา้ 1 ถ้วยแกว้ ใสเ่ กลือเล็กน้อย รบั ประทานครั้งเดียว จะ ถา่ ยหลงั ให้ยาประมาณ 2 ชั่วโมง
๕๓ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Syzygium aromaticum (L.) Merr.& L.M.Perry ชอ่ื พ้อง : Caryophyllus aromatica L. ; Eugenia aromatica (L.) Baill; E.Caryophylla (Spreng.) Bullock et Harrison; E.caryophyllata Thunb. ชอ่ื สามัญ : Clove Tree วงศ์ : Myrtaceae ชือ่ อืน่ : - ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สงู 9-12 เมตร อาจสงู ไดถ้ งึ 20 เมตร เรือนยอดเป็นรูปกรวยควา่ แตกกง่ิ ตา่ ลาตน้ ต้งั ตรง เปลือกเรยี บ สเี ทา ใบเด่ียว เรยี งตรงข้าม รูปใบหอก รูปรี หรือรปู ไข่กลบั แคบๆ กวา้ ง 8-11 ซม. ยาว 32-37 ซม. ปลายแหลมหรอื เรยี วแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรยี บ แผ่นใบด้านบนเป็นมนั มีต่อมนา้ มันมาก เสน้ แขนงใบขา้ งละ 15-20 เสน้ ปลายเสน้ โค้งจรดกบั เส้นถัดไปกอ่ นถึงขอบใบ กา้ นใบยาว 1-2.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อเชงิ หล่ัน ออกท่ีปลายยอด ยาว ประมาณ 5 ซม. ก้านชอ่ ดอกส้นั มาก แต่อาจยาวได้ถึง 1 ซม. ใบประดับรูปสามเหล่ยี ม ยาว 2-3 มม. กลบี เลย้ี ง 4 กลีบ โคนติดกันเป็นหลอดยาว 5-7 มม. เมือ่ เปน็ ผลขยายออกเปน็ รปู กรวยยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแยกเป็นแฉกรูปไข่ ยาว 3-4 มม. กลบี ดอก 4 กลีบ รูปขอบขนานหรือกลม ยาว 7-8 มม. มีต่อมมนา้ มนั มาก รว่ งงา่ ย เกสรเพศผู้จานวนมาก ร่วง งา่ ย ก้านชอู บั เรณูยาวประมาณ 7 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 4 มม. ผล รูปไขก่ ลบั กามรปู รี ยาว 2-2.5 ซม. แก่ จัดสแี ดง มี 1 เมล็ด กานพลูเปน็ พรรณไม้พนื้ เมืองของหมู่เกาะโมลกุ กะ นา้ ไปปลูกในเขตร้อนทั่วโลก ในปะเทศไทยนามาปลกู บา้ งแตไ่ ม่แพร่หลาย ชอบขึน้ ในดนิ ร่วนซยุ การระบายน้าดี ความชื้นสูง ฝนตกชกุ ขึน้ ได้ดีบนพนื้ ทีร่ าบถงึ ทสี่ ูงจาก ระดบั นา้ ทะเล 800-900 เมตร ส่วนทใ่ี ช้ : เปลอื กตน้ ใบ ดอกตูม ผล นา้ มันหอมระเหยกานพลุ สรรพคุณ : เปลือกต้น - แก้ปวดท้อง แกล้ ม คมุ ธาตุ ใบ - แกป้ วดมวน ดอกตูม - รบั ประทานขบั ลม ใชแ้ ต่งกลน่ิ ดอกกานพลแู หง้ ทีย่ งั ไม่ได้สกัดเอาน้ามนั ออก และมกี ลิ่นหอมจดั มนี า้ มนั หอมระเหยมาก รสเผ็ด ช่วยขับลม แกอ้ าการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และแน่นจกุ เสยี ด แก้อจุ จาระพิการ แก้
๕๔ โรคเหน็บชา แกห้ ดื แก้ไอ แก้น้าเหลอื งเสีย แกเ้ ลือดเสยี ขับน้าคาวปลา แกล้ ม แก้ธาตุพิการ บารงุ ธาตุ ขบั เสมหะ แก้ เสมหะเหนยี ว ขับผายลม ขับลมในลาไส้ แก้ท้องเสยี ในเด็ก แกป้ ากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟนั แกร้ ามะนาด กบั กล่นิ เหลา้ แก้ปวดฟนั ผล - ใช้เปน็ เคร่อื งเทศ เป็นตัวช่วยให้มกี ล่ินหอม น้ามนั หอมระเหยกานพลู - ใช้เป็นยาชาเฉพาะแหง่ แก้ ปวดฟัน ฆ่าเช้ือทางทันตกรรม เปน็ ยาระงบั การชักกระตุก ทาใหผ้ ิวหนงั ชา วธิ ีและปริมาณที่ใช้ : แก้อาการท้องขึน้ ท้องอืดเฟ้อ ขับลม และปวดท้อง ใช้ดอกกานพลูโตเต็มที่ ทีย่ ังตูมอยู่ 4-6 ดอก หรือ 0.25 กรัม ในผู้ใหญ่ - ใช้ทบุ ให้ชา้ ชงน้าด่ืมครงั้ ละคร่ึงถ้วยแก้ว ในเด็ก - ใช้ 1 ดอก ทบุ แล้วใส่ลงในขวดนม เด็กอ่อน - ใช้ 1 ดอก ทุบใส่ในกระติกน้าท่ีไวช้ งนม ช่วยไม่ใหเ้ ด็กท้องข้นึ ท้องเฟ้อได้ ยาแกป้ วดฟัน ใช้นามันจากการกลนั่ ดอกตูมของดอกกานพลู 4-5 หยด ใชส้ าลีพันปลายไม้ จมุ่ น้ามนั จิ้มใน รูฟนั ทปี่ วด จะทาให้อาการปวดทุเลา และใช้แก้โรครามะนาดกไ็ ด้ หรือใช้ทง้ั ดอกเค้ียว แล้วอมไว้ตรงบรเิ วณท่ปี วดฟันเพ่ือ ระงบั อาการปวด หรือใช้ ดอกกานพลูตาพอแหลกผสมกับเหลา้ ขาวเพียงเลก็ น้อยพอแฉะใช้จม้ิ หรืออดุ ฟนั ที่ปวด ระงับกลนิ่ ปาก ใช้ดอกตูม 2-3 ดอก อมไว้ในปาก จะชว่ ยทาใหร้ ะงบั กลน่ิ ปากลงไดบ้ า้ ง สารเคมี : Eugenol, Cinnamic aldehyde Vanillin นา้ มนั หอมระเหย Caryophylla - 3(12)-6-dien-4-ol
๕๕ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Amomum krervanh Pierre ชื่อสามัญ : Siam Cardamom, Best Cardamom, Clustered Cardamom, Camphor Seed วงศ์ : Zingiberaceae ชื่ออน่ื : กระวานดา กระวานแดง กระวานขาว (ภาคกลาง, ภาคตะวนั ออก) กระวานจันทร์ กระวานโพธสิ ตั ว์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลกุ มเี หงา้ สงู ประมาณ 2 เมตร กาบใบหมุ้ ซอ้ นกันทาให้ดคู ลา้ ยลาตน้ ใบเด่ียว แคบ ยาว รูปขอบขนาน ยาว 15-25 ซม. ปลายแหลม ช่อดอกออกจากเหง้าชูข้นึ มาเหนอื พ้ืนดิน รูปทรงกระบอก ยาว 6-15 ซม. กา้ นช่อดอกยาว 5-15 ซม. ใบประดับสีเหลอื งนวล มีขนคาย เรยี งซอ้ นสลับกันตลอดชอ่ ในซอกใบประดบั มีดอก 1-3 ดอก ปลายกลีบเลี้ยงมี 3 หยกั กลีบดอกสีเหลอื ง เป็นหลอดแคบ เกสรเพศผู้ไมส่ มบรู ณ์แปรสภาพเปน็ กลบี ขนาดใหญ่ สี ขาว มแี ถบสีเหลืองตรงกลาง ผลค่อนข้างกลม สีนวล มี 3 พู ผลอ่อนมขี นและจะรว่ งไปเม่ือแก่ ผลแก่จะแตก มีเมล็ด ขนาดเลก็ จานวนมาก เมลด็ อ่อนสขี าวมเี ย่ือหุม้ เมื่อแก่เปล่ียนเป็นสีดา ท้ังผลและเมล็ดมีกลนิ่ หอม สว่ นที่ใช้ : ราก หวั และหนอ่ เปลือก แก่น กระพ้ี ผลแก่ที่มีอายุ 4-5 ปี (เกบ็ ในช่วงเดือนสิงหาคม-มนี าคม) เมลด็ สรรพคณุ : ราก - แก้โลหติ เน่าเสยี ฟอกโลหิต แก้ลม เสมหะใหป้ ิดธาตุ รกั ษาโรครามะนาด หวั และหนอ่ – ขับพยาธใิ นเน้ือให้ออกทางผิวหนัง เปลือก - แก้ไข้ ผอมเหลือง รักษาโรคผิวหนงั แก้ไข้อันง่วงเหงา ขับเสมหะ บารงุ ธาตุ แก้ไข้อนั เปน็ อชินโรค และอชนิ ธาตุ แกน่ - ขบั พิษรา้ ย รักษาโรคโลหิตเป็นพิษ กระพ้ี - รกั ษาโรคผิวหนัง บารุงโลหติ ใบ - แก้ลมสันนบิ าต แกส้ นั นิบาตลกู นก ขบั ผายลม ขับเสมหะ แก้ไข้เพื่อลม รักษาโรครามะนาด แก้ลม เสมหะให้ปดิ ธาตุ แกไ้ ข้เซื่องซึม แกล้ ม แกจ้ กุ เสียด บารงุ กาลัง บารุงธาตุ แก้ไข้อันงว่ งเหงา ผลแก่ - รสเผด็ ร้อน กล่ินหอม ประกอบดว้ ยน้ามนั หอมระเหย (Essential oil) 5-9 เปอรเ์ ซนต์ มฤี ทธใ์ิ น การขบั ลม (Carminative) และฤทธ์ใิ นการยับยั้ง การเจริญของเช้ือแบคทเี รยี บางชนดิ ขับโลหิต บารุงธาตุ แก้ลมในอกให้ ปดิ ธาตุ แก้ลมเสมหะให้ปดิ ธาตุ แก้ลมเจริญอาหาร รักษาโรค รามะนาด แกล้ มจุกเสยี ดแน่นเฟอ้ แก้ลมสนั นบิ าต ผลแก่ ของกระวานตากแห้ง ใช้เปน็ เคร่อื งเทศ เมล็ด - แกธ้ าตุพกิ าร อจุ จาระพิการ บารุงธาตุ เหง้าอ่อน - ใชร้ ับประทานเป็นผกั ได้ มีกลิ่นหอมและเผด็ เล็กนอ้ ย
๕๖ วิธแี ละปรมิ าณท่ีใช้ : ผลกระวาน ขบั ลม แก้อาการทอ้ งอืด ทอ้ งเฟ้อ และแนน่ จุกเสยี ด ใชผ้ ลกระวานแก่จดั ประมาณ 6- 10 ผล (0.6-2 กรัม) ตากแหง้ บดเปน็ ผง รับประทานครัง้ ละ 1-3 ชอ้ นชา ตม้ กบั น้า 1 ถ้วยแก้ว เค่ียวให้เหลือคร่ึงถ้วยแกว้ ใชร้ บั ประทานคร้ังเดียว ผลกระวาน ยังใช้ผสมยาถา่ ย เชน่ มะขามแขกเพื่อบรรเทาอาการไซ้ทอ้ ง สารเคมี : ในน้ามนั หอมระเหย กระวาน (Essential oil) พบสารเคมคี ือ Borneol, Cineol,
๕๗ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Crataeva magna (Lour.) DC. วงศ์ : CAPPARACEAE ช่อื อน่ื : กมุ่ นา้ (ภาคกลาง), รอถะ (ละว้า-เชียงใหม่, ภาคเหนือ), เหาะเถาะ (กะเหรีย่ ง-กาญจนบุรี), อาเภอ (ภาค ตะวันตกเฉียงใต้, สพุ รรณบุร)ี ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้นขนาดกลาง สงู 5-20 ม. ใบประกอบแบบนวิ้ มอื มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 4- 14 ซม. หูใบเลก็ ร่วงงา่ ย ใบยอ่ ยรูปใบหอกหรอื รปู ขอบขนาน กว้าง 1.5-6.5 ซม. ยาว 4.5-18 ซม. ปลายค่อยๆ เรยี ว แหลม ยาวประมาณ 2.5 ซม. โคนสอบ ใบยอ่ ยที่อยดู่ า้ นข้างโคนใบเบีย้ วเลก็ นอ้ ย แผน่ ใบค่อนขา้ งหนาเปน็ มนั ด้านลา่ งสี ออ่ นกวา่ ดา้ นบน เส้นแขนงใบข้างละ 9-20 เสน้ บางครง้ั พบมีถึงข้างละ 22 เส้น เห็นชัดทางด้านล่าง ใบแหง้ สีคอ่ นข้างแดง ใบย่อยไมม่ ีก้านหรอื ถ้ามยี าวไม่เกิน 5 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจะถี่ ออกทย่ี อด ชอ่ หนง่ึ มีหลายดอก กา้ นดอกยาว 4-7 ซม. กลบี เลยี้ งรปู ไข่ ปลายแหลม กวา้ งประมาณ 2 มม. ยาว 2-4 มม. กลบี ดอกสีขาว ค่อยๆ เปลยี่ นเปน็ สเี หลอื ง รปู ค่อนข้าง กลมหรือรปู รี กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 1.5-3 ซม. โคนกลีบเป็นเสน้ คล้ายก้าน ยาว 0.5-1.2 ซม. เกสรเพศผู้สมี ว่ ง มี 15-25 อัน ก้านชอู ับเรณูยาว 3.5-6.5 ซม. อับเรณยู าว 2-3 มม. ก้านชเู กสรเพศเมียยาว 3.5-8 ซม. รงั ไข่รูปรีหรือทรงกระบอก มี 1 ช่อง ผลสนี วล รปู รี กวา้ ง 1.5-4.5 ซม. ยาว 5-8 ซม. เปลอื กผลมนี วล ก้านผลยาว 8-13 ซม. หนา 3-5 มม. มีเมลด็ มาก เมล็ดสีน้าตาลเข้ม รูปเกือกมา้ ขนาดกว้างและยาวเทา่ ๆ กันคือ 6-9 มม. ส่วนทใ่ี ช้: ใบ เปลือก กระพ้ี แกน่ ราก ดอก ผล สรรพคณุ : ใบ - ขับเหงอ่ื เปลอื ก - แก้สะอกึ กระพี้ - แก้ริดสีดวงทวาร แก่น - แกน้ ิ่ว ราก - ขับหนอง ดอก - แก้เจ็บตา และในลาคอ แก้ไข้
๕๘ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Piper retrofractum Vahl ชอื่ สามัญ : long pepper วงศ์ : Piperaceae ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมเ้ ถารากฝอยออกบรเิ วณข้อเพือ่ ใช้ยดึ เกาะ ใบ เด่ยี วรปู ไข่แกมขอบขนาน กว้าง 3-5 ซม. ยาว 7-10 ซม. สีเขยี วเข้มเปน็ มัน ดอก ชอ่ ออกทซ่ี อกใบ ดอกย่อยอดั กนั แน่น แยกเพศ ผล เปน็ ผลสด มีสีเขียว เมอื่ สุกจะ เปลี่ยนเปน็ สีแดง รสเผ็ดรอ้ น สว่ นทใ่ี ช้ : ราก เถา ใบ ดอก ผลแก่จัด แตย่ ังไมส่ ุก หรอื ตากแดดให้แห้ง สรรพคณุ : ราก - แก้พิษอัมพฤกษ์ อัมพาต พิษปตั คาด แก้ตัวรอ้ น แกพ้ ิษคดุ ทะราดให้ปิดธาตุ แก้ทอ้ งร่วง ขบั ลมใน ลาไส้ แก้คดุ ทะราด เถา - แกพ้ ิษงู ขบั เสมหะ แก้ปวดฟนั ปวดท้อง จุกเสยี ด แก้เสมหะพิการ แกล้ มอัมพฤกษ์ แกม้ ุตฆาต ใบ - แกป้ วดเม่อื ย แกเ้ ส้นเอ็น ดอก - แก้อาการคล่ืนไส้อาเจียน แกจ้ กุ เสียดแน่นท้อง ขบั ลมในลาไสใ้ ห้ผายและเรอ แก้หืด ไอ แกร้ ิดสดี วง คดุ ทะราด แก้ลมวิงเวยี น แกเ้ สมหะ น้าลายเหนียว แก้ไอ บารุงธาตุ แกท้ ้องเสีย แก้ปถวีธาตุ 20 ประการ แก้อมั พาต และ เส้นปตั คาด ผลแกจ่ ัด - รสเผด็ ร้อน แก้ลม บารงุ ธาตุไฟ แกห้ ดื ไอ แก้เสมหะ(หลงั เป็นหวดั ) แกห้ ลอดลมอักเสบ ยาขับ ระดู ยาธาตุ ทาแก้ปวดเมือ่ ยและอักเสบของกล้ามเน้ือ แกอ้ าการท้องขน้ึ ท้องอืดเฟอ้ แน่นจกุ เสยี ด ขบั ลม บารุงธาตุ ใช้ ประกอบตารายาทีใ่ ชร้ ักษาโรคเกยี่ วกับระบบย่อยอาหาร ธาตุไม่ปกติ (ใช้เปน็ ยาขบั ลม แต่ไม่นยิ มใช้ โดยมากนามาเป็น เครื่องเทศ) วิธแี ละปรมิ าณทใี่ ช้ อาการทอ้ งอืด ท้องเฟอ้ และปวดท้อง และแก้อาการคลน่ื ไสอ้ าเจียนทเ่ี กิดจากธาตุไมป่ กติ โดยใชผ้ ลดีปลีแก่ แหง้ 1 กามือ (ประมาณ 10-15 ผล) ตม้ เอาน้าด่ืม ถ้าไมม่ ีผลใชเ้ ถาต้มแทนได้ อาการไอ และขับเสมหะ ใช้ผลแห้งแก่ ประมาณครึ่งผล ฝนกบั นา้ มะนาวแทรกเกลือเล็กน้อย กวาดคอ หรือจบิ บอ่ ยๆ ผลดปี ลแี ห้งใชเ้ ปน็ เครอ่ื งเทศ ประกอบอาหาร มีรสเผ็ดร้อน ขม สารเคมีท่พี บ มนี า้ มนั หอมระเหย และแอลคาลอยด์ ช่ือ P-Methoxy acetophenone, Dihydrocarveol, Piperine, Pipelatine Piperlongumine, Sylvatine และ Pyridine alkaloids อนื่
๕๙ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Cinnamomum porrectum (Roxb.) Kosterm. วงศ์ : Lauraceae ชอ่ื อ่นื : จวง จวงหอม (ภาคใต)้ จะไคต้น จะไคหอม (ภาคเหนือ) พลูตน้ ขาว (เชียงใหม)่ มือแดกะมางงิ (มลายู-ปตั ตานี) การบูร (หนองคาย) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น สูง 10 – 30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่ม ทบึ ก่ิงอ่อนเกลี้ยงและมักจะมคี ราบขาว เปลือก สีเทาอมเขยี วหรือสนี ้าตาลคล้า แตกเป็นรอ่ งยาวตามลาต้น ใบ เด่ยี ว เรยี งตรงขา้ ม แผ่นใบรปู รแี กมรปู ไข่ ยาว 7 – 20 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนสอบ กา้ นใบเรยี วเลก็ ยาวประมาณ 2.5 – 3.5 เซนติเมตร ดอก สขี าว เหลืองอ่อน ออกเป็น ชอ่ ประจกุ ตามปลายกิ่ง ผลกลมเล็ก เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 0.7 เซนติเมตร สีเขียว สว่ นที่ใช้ : ใบ เปลือก ตน้ สรรพคุณ : ใบ - รสรอ้ น ใชป้ รุงเปน็ ยาหอมแก้ลม จุกเสยี ดแน่นเฟ้อ แก้อาการปวดท้อง ขับผายลมไดด้ ี ขบั ลมในลาไส้ และกระเพาะอาหารให้เรอ เปน็ ยาบารุงธาตุ ขับเสมหะ เปลือก - รสร้อน มนี า้ มนั ระเหย 1-25 % และแทนนิน แกล้ มจกุ เสยี ด แนน่ เฟอ้ แกป้ วดทอ้ ง ขับลมใน ลาไส้และกระเพาะอาหาร บารุงธาตุ วิธีการใช้ : เนอ้ื ไม้สีขาว มกี ลิ่นหอมฉุนเหมือนกลนิ่ การะบูน อาจกลั่นเอานา้ มันระเหยออกมาจากเนื้อไม้น้ีได้ และอาจ ดดั แปลงทางเคมี ใหเ้ ป็นการะบนู ได้ ใบมีกลิน่ หอมเปน็ เครื่องเทศตามรา้ นขายยาสมุนไพรในประเทศไทย ใช้ใบนเ้ี ป็นใบ กระวานสาหรบั ใส่เครื่องแกงมสั หม่นั ทกุ รา้ นถา้ เราไปขอซ้ือใบกระวานจะได้ใบไม้นี้ ส่วนใบกระวานจริงๆ เราไม่ได้ใช้กัน (ใบกระวานจรงิ ๆ ลกั ษณะเหมอื นใบขา่ )
๖๐ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Piper nigrum L. ชื่อสามัญ : Black Pepper วงศ์ : Piperaceae ชอ่ื อน่ื : พรกิ น้อย (ภาคเหนือ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ ไมเ้ ลือ้ ยมีท้ังต้นตัวผแู้ ละต้นตัวเมยี ลาต้นมขี ้อและป้องชัดเจน ใบเดยี่ วออกสลบั รูปไข่ หรือรี ปลายใบแหลม โคนใบมนกลมหรอื แหลมเล็กน้อย ใบมขี นาดกว้าง 3.5 - 6 ซม. ยาว 7 - 10 ซม. เส้นใบที่บรเิ วณ โคนใบมี 3 - 5 เส้น ดอกออกเปน็ ชอ่ และออกตรงข้ามกบั ใบ ช่อรูปกา้ นใบยาว 10 - 20 มม. ติดอยตู่ ามแกนชอ่ ดอกรองรับ ดอก รงั ไข่กลมปลายเกสรแยก 3 - 6 แฉก ช่อดอกตัวผู้มดี อกที่มีเกสรตัวผู้ 2 อนั ผลรวมกันบนชอ่ ยาว 5 - 15 ซม. ผล รูปทรงกลมขนาด 4 - 5 ซม. แก่แลว้ มีเมล็ดสดี า ภายในมี 2 เมล็ด สว่ นท่ีใช้ : ใบ ผล เมลด็ ดอก สรรพคณุ : ใบ - แก้ลมจกุ เสยี ดแน่น ท้องอืดเฟ้อ ผล - ผลทยี่ งั ไม่สุกนามาเปน็ เคร่ืองเทศ แต่งกล่นิ อาหาร เมลด็ - ขับลม ขับเสมหะ ขับเหงือ่ ขบั ปสั สาวะ บารุงธาตุ อาหารไม่ย่อย ดอก - แกต้ าแดง ถนอมอาหารหลายชนิด เชน่ มะมว่ งดอง วธิ แี ละปรมิ าณท่ีใช้ : ใชเ้ มลด็ 0.5-1 กรมั ประมาณ 15-20 เมลด็ บดเปน็ ผง ชงรบั ประทาน 1 ครั้ง สารเคมี : มีนา้ มนั หอมระเหย 2-4 % มแี อลคาลอยดห์ ลกั คือ piperine 5-9% ซ่ึงเป็นตวั ทาใหม้ คี วามเผ็ด นอกจากนี้ยงั พบ piperidine, pipercanine เป็นตวั ทาให้มีกล่นิ ฉุนและรสเผ็ด (ซ่ึงเดิมคิดวา่ เปน็ chavicine) พรกิ ไทยอ่อนนน้ั มนี า้ มัน หอมระเหยต่ากวา่ พริกไทยดา และมีโปรตีน 11% คารโ์ บไฮเดรต 65%
๖๑ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr. ชอ่ื พ้อง : Z.purpureum Roscoe วงศ์ : Zingiberaceae ชอื่ อื่น : ปลู อย ปเู ลย (ภาคเหนอื ) วา่ นไฟ (ภาคกลาง) มนิ้ สะลา่ ง(ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลุกสงู 0.7-1.5 เมตร มเี หง้าใตด้ ิน เปลือกสนี า้ ตาลแกมเหลือง เนอ้ื ในสเี หลืองถงึ เหลือง แกมเขียว แทงหนอ่ หรือลาต้นเทยี มขนึ้ เปน็ กอ ซึ่งประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุม้ ซ้อนกัน ใบเดี่ยว เรียงสลับ รปู ขอบ ขนานแกมใบหอก กวา้ ง 3.5-5.5 เซนตเิ มตร ยาว 18-35 เซนตเิ มตร ดอกช่อ แทงจากเหงา้ ใตด้ นิ กลบี ดอกสนี วล ใบ ประดบั สมี ว่ ง ผลเปน็ ผลแห้งรปู กลม สว่ นทใ่ี ช้ : เหง้าแกจ่ ดั เกบ็ หลังจากตน้ ไพลลงหวั แลว้ สรรพคุณ : เหง้า เป็นยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขบั ลม แกบ้ ิด ท้องเดิน ขบั ประจาเดือนสตรี ทาแก้ฟกบวม แกผ้ นื่ คัน เปน็ ยารกั ษาหืด เปน็ ยากนั เล็บถอด ใช้ต้มน้าอาบหลังคลอด น้าค้นั จากเหงา้ - รักษาอาการเคลด็ ขดั ยอก ฟกบวม แพลงชา้ เมื่อย หัว - ชว่ ยขบั ระดู ประจาเดือนสตรี เลือดร้าย แกม้ ตุ กติ ระดูขาว แกอ้ าเจียน แกป้ วดฟัน ดอก – ขบั โลหติ กระจายเลอื ดเสยี ตน้ - แก้ธาตพุ ิการ แก้อุจาระพกิ าร ใบ - แก้ไข้ ปวดเมื่อย แกค้ ร่นั เนอ้ื ครั่นตัว แกเ้ ม่ือย วิธแี ละปรมิ าณท่ีใช้ แกท้ ้องขึน้ ท้องอืดท้องเฟอ้ ขับลม ใชเ้ หง้าแห้งบดเป็นผง รับประทานคร้งั ละ ½ ถึง 1 ช้อนชา ชงน้ารอ้ น ผสมเกลอื เล็กน้อย ดม่ื รักษาอาการเคลด็ ขัดยอก ฟกชา้ บวม ข้อเทา้ แพลง ใช้หัวไพลฝนทาแก้ฟกบวม เคล็ด ขัด ยอกใชเ้ หง้าไพล ประมาณ 1 เหง้า ตาแล้วค้นั เอานา้ ทาถูนวดบริเวณทีม่ ีอาการ หรือตาให้ละเอยี ด ผสมเกลอื เลก็ นอ้ ยคลกุ เคล้า แล้วนามา ห่อเปน็ ลูกประคบ อังไอนา้ ให้ความรอ้ น ประคบบริเวณปวดเมือ่ ยและบวมฟกชา้ เช้า-เยน็ จนกว่าจะหาย หรือทาเปน็ นา้ มนั ไพลไวใ้ ช้ก็ได้ โดยเอาไพล หนกั 2 กโิ ลกรมั ทอดในน้ามันพืชรอ้ นๆ 1 กิโลกรัม ทอดจนเหลืองแล้วเอาไพลออก ใส่ กานพลูผงประมาณ 4 ชอ้ นชา ทอดต่อไปด้วยไฟออ่ นๆ ประมาณ 10 นาที กรองแลว้ รอจนนา้ มนั อนุ่ ๆ ใส่การบูรลงไป 4 ช้อนชา ใสภ่ าชนะปดิ ฝามิดชิด รอจนเย็น จึงเขยา่ การบรู ให้ละลาย น้ามนั ไพลน้ีใช้ทาถนู วดวันละ 2 ครง้ั เช้า-เยน็ หรอื เวลาปวด (สูตรนเ้ี ป็นของ นายวบิ ูลย์ เขม็ เฉลิม อ.สนามชยั เขต จ.ฉะเชงิ เทรา) แก้บิด ท้องเสยี ใชเ้ หงา้ ไพลสด 4-5 แว่น ตาให้ละเอยี ด คัน้ เอาแตน่ า้ เตมิ เกลือครง่ึ ช้อนชา ใชร้ บั ประทาน หรือฝนกบั น้าปนู ใส รับประทาน
๖๒ เป็นยารักษาหดื ใชเ้ หง้าไพลแหง้ 5 ส่วน พรกิ ไทย ดีปลี อย่างละ 2 ส่วน กานพลู พมิ เสน อยา่ งละ ½ ส่วน บดผสมรวมกนั ใช้ผงยา 1 ช้อนชา ชงน้ารอ้ นรับประทาน หรอื ปั้นเปน็ ลกู กลอนด้วยนา้ ผึ้ง ขนาดเท่าเม็ดพทุ รา รับประทานคร้ังละ 2 ลูก ต้องรบั ประทานตดิ ต่อกนั เวลานาน จนกวา่ อาการจะดีข้ึน เปน็ ยาแกเ้ ลบ็ ถอด ใช้เหง้าไพลสด 1 แงง่ ขนาดเท่าหวั แมม่ ือ ตาใหล้ ะเอยี ดผสมเกลือและการบูร อย่างละ ประมาณครึ่งช้อนชา แล้วนามาพอกบรเิ วณทีเ่ ปน็ หนอง ควรเปล่ียนยาวันละครัง้ ช่วยทาให้ผวิ หนงั ชมุ่ ชนื่ และเป็นยาช่วยสมานแผลดว้ ย ใชเ้ หง้าสด 1 แง่ง ฝานเป็นชนิ้ บางๆ ใชต้ ม้ รวมกับ สมุนไพรอน่ื ๆ เนื่องจากไพลม่ีนา้ มนั หอมระเหย สารเคมี - Alflabene : 3,4 - dimethoxy benzaldehyde, curcumin, beta-sitosterol, Volatile Oils
๖๓ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Moringa oleifera Lam. ชอื่ สามัญ : Horse radish tree, Drumstick วงศ์ : Moringaceae ชื่ออน่ื : กาเนง้ เดิง (กะเหร่ยี ง-กาญจนบุร)ี ผักเน้ือไก่ (ฉาน-แมฮ่ ่องสอน) ผกั อีฮมึ ผักอฮี ุม มะค้อนก้อม (ภาคเหนือ) เส่ ช่อยะ (กะเหร่ยี ง-แมฮ่ ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ ไม้ยืนตน้ สงู 3-6 เมตรหรอื ใหญก่ วา่ เปลอื กสีขาว รากหนาน่มุ ใบสลับแบบขนนก 2 หรอื 3 ชัน้ ยาว 20-60 ซนติเมตร ใบชน้ั หนึง่ มใี บยอ่ ย 8-10 คู่ ใบแบบรปู ไขร่ ูปไข่หัวกลบั รปู คู่ขนาน ใต้ใบสีเขยี วออ่ น ใบอ่อนมี ขนสเี ทาขนาดใบยาว 1-3 เซนตเิ มตร ชอ่ ดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาวหรอื ขาวอม เหลืองแต้มสแี ดงเข้าที่ใกลฐ้ านด้านนอกยาว 1.4-1.9 เซนตเิ มตรกว้าง 0.4 เซนตเิ มตรปลายกลบี ดอกกวา้ งกว่าโคน 4 กลีบ ตั้งตรง เกสรตัวผู้แยกจากกนั สมบูรณ์ 5 อนั ไม่สมบูรณ์ 5 อันเรียงสลบั กันมีขนสีขาว ทโ่ี คนอับเกสรสเี หลอื งเกสรตวั เมีย 1 อนั ผลยาวเปน็ ฝัก3เหลีย่ มเมลด็ มขี นาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง1เซนติเมตร3ปีก สว่ นทีใ่ ช้ เปลอื กต้นรากฝัก สรรพคุณ : ฝัก - ปรุงเปน็ อาหารรับประทาน เปลือกตน้ - มีรสร้อน รับประทานเปน็ ยาขับลมในลาไส้ ทาให้ผายหรือเรอ คมุ ธาตุอ่อนๆ (ตดั ต้นลมดมี าก) ราก - มีรสเผด็ หวานขม แกบ้ วม บารุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อกั เสบ แพทย์ตามชนบท ใชเ้ ปลือกมะรมุ สดๆ ตาบบุ พอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรบั ประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย
๖๔ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Amomum xanthioides Wall. ชอ่ื สามัญ : Bustard cardamom, Tavoy cardamom วงศ์ : Zingiberaceae ชื่ออ่ืน : หมากแหนง่ (สระบุร)ี หมากเนงิ (อีสาน) มะอี้ หมากอ้ี มะหมากอ้ี (เชยี งใหม่) หน่อเนง (ชัยภมู ิ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ พชื ล้มลกุ มีเหง้าหรือลาต้นอยู่ในดิน จัดเปน็ พชื สกุลเดยี วกบั กระวาน ขา่ ขิง ใบมี ลกั ษณะยาวเรยี ว ปลายใบแหลมและหอ้ ยโค้งลง กา้ นใบมขี นาดส้ัน ออกดอกเปน็ ชอ่ จากยอดทแ่ี ทงขน้ึ มาจากเหง้า ดอกมี สขี าวก้านชอ่ ดอกส้นั ผลมีขนสีแดงปกคลมุ เมลด็ มีสนี า้ ตาล เร่วมีหลายชนิด เช่น เร่วหอม เร่วชา้ ง เรว่ กอ ซง่ึ เร่วเหลา่ นมี้ ี ลกั ษณะต้นแตกตา่ งกนั ไป ส่วนทใี่ ช้ : เมล็ดจากผลทแ่ี ก่จดั ราก ต้น ใบ ดอก ผล สรรพคณุ : เมลด็ จากผลทีแ่ ก่จัด เป็นยาแกท้ ้องขึ้น ท้องอดื เฟ้อ ขับลม แกค้ ลนื่ เหยี นอาเจยี น ขับนา้ นมหลังจากคลอด บุตร ราก - แก้หดื แกไ้ อ แก้ไขเ้ ซ่ืองซมึ ตน้ - แก้คล่นื เหียน อาเจยี น ใบ - ขบั ลม แก้ปัสสาวะพิการ ดอก – แก้พิษอันเกิดเป็นเม็ดผน่ื คนั ตามร่างกาย ผล- รกั ษาโรครดิ สีดวงทวาร แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ปวดท้อง วธิ แี ละปรมิ าณทใ่ี ช้ แก้อาการท้องอดื ท้องเฟอ้ ขับลมแนน่ จกุ เสยี ด โดยนาเมล็ดในของผลแกม่ าบดเป็นผง รับประทานคร้ังละ 1-3 กรมั (ประมาณ 3-9 ผล) วนั ละ 3 ครง้ั หลังอาหาร ใช้เป็นเครอ่ื งเทศ โดยใชเ้ มล็ด สารเคมี - Essential Oil นา้ มนั หอมระเหยจากผล P-Methyloxy- trans ethylcinnamate
๖๕ ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Acorus calamus L. ชือ่ สามัญ : Mytle Grass, Sweet Flag วงศ์ : Araceae ช่ืออื่น : คงเจีย้ งจี้ ผมผา ส้มชื่น ฮางคาวน้า ฮางคาวบ้าน (ภาคเหนอื ) ตะไคร้น้า (เพชรบุรี) ทสิ ีปุตอ (กะเหรี่ยง- แม่ฮ่องสอน) วา่ นน้า ว่านน้าเล็ก ฮางคาวผา (เชียงใหม)่ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ว่านน้ามลี าตน้ เปน็ เหงา้ อยใู่ ตด้ ินลักษณะเปน็ แท่งค่อนขา้ งแบน มีใบแข็งตั้งตรง รปู ร่างแบน เรียวยาวคล้ายใบดาบฝรัง่ ปลายใบแหลม แตกใบเรยี งสลับซา้ ยขวาเป็นแผง ใบคอ่ นข้างฉ่าน้า ดอกมสี เี ขยี วมีขนาดเลก็ ออกเป็นชอ่ มีจานวนมากอดั กนั แนน่ เปน็ แท่งรปู ทรงกระบอก มีกา้ นช่อดอกลักษณะคล้ายใบ ทงั้ ใบ เหงา้ และรากมีกล่ิน หอมฉุน ชอบขน้ึ ตามท่นี ้าขงั หรือทช่ี ื้นแฉะ ส่วนทีใ่ ช่ : ราก เหงา้ น้ามนั หอมระเหยจากตน้ สรรพคณุ : ราก รับประทานมาก ทาให้อาเจยี น แตม่ กี ล่ินหอม รบั ประทานนอ้ ย เปน็ ยาแก้ปวดท้อง ธาตุเสีย บารงุ ธาตุ แก้จกุ ขับลมในลาไส้ ปรงุ ลงในยาขมตา่ งๆ ทาใหร้ ะงับอาการปวดทอ้ งได้ดี ในว่านน้ามสี ารชนดิ หนึ่งเรียกวา่ อาโกริน acorine มรี สขมและแอลคาลอยด์ คาลาไมท์ อยูใ่ นนเ้ี ปน็ ยาแก้ บดิ เป็นยารักษาบิดของเดก็ (คือมูกเลือด) และหวัดลงคอ (หลอดลมอักเสบ) ได้อย่างดี เป็นยาขบั เสมหะอยา่ งดี ชาว อินเดียใช้ฉกี เปน็ ช้นิ เลก็ ๆ เค้ียว 2-3 นาที แก้หวัดและเจ็บคอ และใชป้ รงุ กับยาระบายเพ่ือเปน็ ยาธาตดุ ้วยในตัว เป็นยาเบ่อื แมลงตา่ งๆ เช่น แมลงวนั เป็นยาแก้เส้นกระตุก แกห้ ดื ขบั เสมหะ แกป้ วดศีรษะ แก้ Hysteria และ Neuralgia แก้ปวดกลา้ มและข้อ แกโ้ รคผิวหนัง เหงา้ - ใช้ขบั ลม แก้ท้องอดื ท้องเฟ้อ แกโ้ รคผวิ หนงั เป็นยาหอม นา้ มันหอมระเหยจากตน้ - แก้ชัก เปน็ ยาขมหอม ขบั แกส๊ ในท้อง ทาให้เจริญอาหาร ช่วยการยอ่ ย วธิ ใี ชแ้ ละปริมาณท่ใี ช้ : บารุงธาตุ - ใช้เหง้าสด 9-12 กรัม หรอื แหง้ 3-6 กรัม ชงดว้ ยนา้ รอ้ น 2 ถว้ ยแก้ว ดืม่ คร้ังละ 1 ถ้วยแกว้ ก่อน อาหารเย็น ติดต่อกันจนกวา่ ธาตุจะปกติ แกป้ วดท้องและจุกแน่น -ใช้รากว่านนา้ หนกั 60 กรัม โขลกให้ละเอียด ชงลงในน้าเดือด 420 ซีซ.ี รับประทานคร้ังละ 2 ชอ้ นโต๊ะ วนั ละ 3 ครงั้ เป็นยาดูดพิษ แก้อาการอักเสบของหลอดลมและปอด - ใชร้ ากฝนกบั สุรา เจอื นา้ เล็กนอ้ ย ทาหน้าอกเดก็
๖๖ เปน็ ยาแก้ไอ - ใชช้ นิ้ เลก็ ๆ ของรากวา่ นน้าแห้ง อมเปน็ ยาแก้ไอ มีกล่ินหอมระเหยทางลมหายใจ เปน็ ยาถอนพษิ ของสลอด และแก้โรคลงทอ้ งปวดทอ้ งของเด็ก - ใชร้ ากว่านน้าเผาจนเป็นถ่าน ทาผง รับประทานม้ือละ 0.5 ถงึ 1.5 กรมั ใชใ้ บวา่ นนา้ สดตาละเอียดผสมนา้ สุมศีรษะแก้ปวดศรี ษะได้ ตาพอกแกป้ วดกลา้ มและ ขอ้ ตารวมกับชุมเหด็ เทศ แกโ้ รคผิวหนงั เป็นยาขมหอม เจริญอาหาร ขับแก๊ส ชว่ ยยอ่ ยอาหาร - ในนา้ มันหอมระเหยมีวตั ถุขมชื่อ acorin และมแี ป้ง และแทนนนิ อยดู่ ้วย ทาเปน็ ยาชง (1 ใน 10) รับประทาน 15-30 ซซี .ี หรอื ทิงเจอร์ (1 ใน 5) รบั ประทาน 2-4 ซซี ี. ขนาด ใช้ 1-4 กรมั สารเคมี : มีนา้ มนั หอมระเหย (Calamus oil) 2-4% ในนา้ มันประกอบดว้ ย Sesquiterpene เชน่ asarone, Betasalone (มี 70-80 %) และตัวอื่นๆ ยงั มี glucoside รสขมชอ่ื acorin
๖๗ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum L. ชอ่ื สามญั : Sweet Basil วงศ์ : Labiatae ชอ่ื อืน่ : หอ่ กวยซวย ห่อวอซุ (กะเหรีย่ ง-แม่ฮ่องสอน) อ่ิมคิมขาว (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชลม้ ลกุ ลาต้นมขี นาดเล็ก มลี ักษณะหรือลักษณะพเิ ศษของโหระพาดงั นี้ เปน็ พืชที่มีอายุ ได้หลายฤดู มลี กั ษณะลาต้นเปน็ สีเ่ หลย่ี มและเปน็ พุ่ม ลาต้นจะแตกแขนงไดม้ ากมาย กิง่ ก้านมีสีม่วงแดง มีขนอ่อนๆ ที่ผวิ ลาต้น ใบมรี ปู ร่างแบบรปู ไขป่ กตจิ ะยาวไม่เกนิ ๒ น้ิว ใบจะเรยี งตวั แบบตรงกนั ข้ามกนั ขอบใบหยกั แบบฟันเลอ่ื ย ใบมีสี เขยี วอมม่วงและมีกา้ นใบยาว ดอกโหระพา ดอกมีขนาดเล็กสขี าวหรือม่วงจะออกเป็นช่อคล้ายฉัตรที่ยอด ดอกมที งั้ สีมว่ ง แดงอ่อน และสีขาว ในแตล่ ะดอกจะมเี กสรตวั ผู้ ๔ อนั รังไข่แตล่ ะอนั จะมีสมี ่วง เมลด็ มีสีดามกี ลิน่ หอมทง้ั ต้น ส่วนทีใ่ ช้ : ทงั้ ตน้ เมล็ด และราก ท้งั ต้น - เก็บเมื่อเรมิ่ เข้าฤดูหนาว ขณะเจริญเต็มที่ มีดอกและผลลา้ งใหส้ ะอาด หั่นเปน็ ท่อนตาแห้งเก็บไว้ใช้ เมลด็ - นาตน้ ไปเคาะ แยกเอาเมลด็ ตากแห้งเก็บไว้ใช้ (ระวังไม่ให้ถูกน้าเพราะจะจับกนั เปน็ ก้อน) ราก - ใช้รากสด หรอื ตากแหง้ เก็บไว้ใช้ สรรพคุณ : ทั้งต้น รสฉุน สุขุม ขับลม ทาให้เจริญอาหาร แก้ปวดหัว หวดั ปวดกระเพาะอาหาร จุกเสียดแน่น ท้องเสยี ประจาเดอื นผดิ ปกติ ฟกช้าจากหกลม้ หรือกระทบกระแทก งูกดั ผดผนื่ คัน มีนา้ เหลอื ง เมล็ด รสชุ่ม เยน็ สุขุม ถูกน้าจะพองตวั เป็นเมือก ใช้แกต้ าแดง มีข้ตี ามาก ต้อตา ใช้เปน็ ยาระบาย (ใช้เมลด็ 4-12 กรัม แช่น้าเย็นจนพอง ผสมนา้ หวาน เตมิ น้าแขง็ รับประทาน) ราก - แก้เด็กเป็นแผล มีหนองเรอื้ รัง วธิ ีและปริมาณท่ีใช้ ทั้งตน้ - แหง้ 6-10 กรัม ตม้ น้าดืม่ หรือใช้สดค้นั เอานา้ ดม่ื ใช้ภายนอก ตาพอก หรอื ต้มนา้ ชะลา้ ง หรอื เผาเปน็ เถา้ บดเป็นผง ผสมทา เมลด็ - แหง้ 2.5-5 กรัม ต้มน้าหรือแชน่ ้าดมื่ ใช้ภายนอก บดเปน็ ผงแตม้ ทา ราก - เผา เปน็ เถ้าพอก ใบ ใช้ใบค้ันเอานา้ 2-4 กรมั ผสมนา้ ผ้งึ จิบแกไ้ อและหลอดลมอักเสบ ใชส้ าลกี อ้ นเลก็ ๆ ชบุ นา้ ค้ันจากใบอุดโพรงฟันทีป่ วด แก้ปวดฟนั
๖๘ สารเคมี นา้ มนั หอมระเหยจากใบ ประกอบด้วย Ocimine, alpha-pinene, 1,8- cineole, eucalyptol ,linalool, geraniol,limonene, eugenol, methyl chavicol, eugenol methyl ether.methyl cinnaminate, 3- hexen -1- ol, estragol
๖๙ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Cinnamomum verum J.Presl ชื่อสามัญ : Cinnamon Tree วงศ์ : Lauraceae ชอื่ อืน่ : - ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เปน็ ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ไมผ่ ลดั ใบ เปลอื กลาตน้ มสี เี ทาและหนา ก่ิงขนานกบั พืน้ และตงั้ ชันขึน้ ใบ เป็นใบเดย่ี ว ออกลับกนั ตามลาต้น ลกั ษณะใบคลา้ ยรปู ไข่ ปลายใบแหลม มเี ส้นใบสามเส้น ดอก ออกเปน็ ชอ่ ตามปลาย กงิ่ ขนาดเลก็ สีเหลือง มกี ล่ินหอม ผลมสี ีดาคลา้ ยรปู ไข่ ส่วนทีใ่ ช้ : เปลอื กต้น ใบ สรรพคุณ : เปลือกตน้ ใช้บารงุ ดวงจิต แกอ้ ่อนเพลีย ทาให้มกี าลงั ใชข้ บั ลม บารุงธาตุ บดเปน็ ผงใช้เป็นเครือ่ งเทศใส่ อาหาร ใสเ่ ครื่องสาอาง ใช้ปรุงเปน็ ยาหอม แก้ลมวิงเวยี น และจกุ เสยี ด ใบ มนี ้ามัน ใช้แต่งกลน่ิ ฆา่ เชือ้
๗๐ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Cinnamomum iners Reinw. ex Blume ชือ่ สามัญ : Cinnamon วงศ์ : Lauraceae ชอ่ื อนื่ : กระแจะโมง กะเชยี ด กะทงั นน้ั (ยะลา) กระดังงา (กาญจนบุร)ี กะพงั หนั โกเล่ เนอมา้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบรุ ี) เขียด เคยี ด เฉียด ชะนุตน้ (ภาคใต)้ มหาปราบตัวผู้ อบเชย อบเชยต้น (ภาคกลาง) ดกิ๊ ซ่ีสอ (กะเหรย่ี ง-เชยี งใหม่) บอก คอก (ลาปาง) ฝกั ดาบ (พิษณุโลก) พญาปราบ (นครราชสีมา) สะวง (ปราจีนบรุ ี) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ ใบและเปลือกหอม ใบ เดีย่ ว เรยี งตรงข้าม เม่ือขยใ้ี บจะมีกลิน่ หอม ดอกช่อ ออก ทปี่ ลายก่งิ สเี หลอื งอ่อนหรือเขยี วอ่อน เหม็น กลีบรวมชน้ั นอก 3 กลบี คล้ายกลบี เลีย้ ง กลีบรวมชัน้ ใน 3 กลีบ แยกกนั แต่ติดตรงโคน ผลสด แกส่ ีมว่ งดา สว่ นท่ใี ช้ : เปลือก ใบ สรรพคณุ และวิธีใช้ เปลือก หอมหวาน บารงุ ดวงจติ แก้อ่อนเพลัน ทาใหม้ กี าลัง ขบั ผายลม เปลือกตม้ หรอื ทาเปน็ ผง แกโ้ รคหนองในและแกโ้ ทษน้าคาวปลา ใช้เป็นยานตั ถุ์ แก้ปวดศีรษะ ปรุงรบั ประทานเปน็ ยาบารุงกาลงั และปรุงเป็นยาแก้ บิด และไขส้ ันนิบาต ใบ - เปน็ สมุนไพรหอม ปรงุ เป็นยาหอม แก้ลมวงิ เวยี นและจกุ เสยี ดแน่นและลงท้อง เปน็ ยาบารงุ กาลงั และ บารงุ ธาตุ รากกับใบ - ตม้ นา้ รบั ประทาน แกไ้ ข้เนื่องจากความอักเสบของสตรีที่คลอดบุตรใหม่ๆ
๗๑ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber zerumbet (L.) Smith. วงศ์ : Zingiberaceae ชอ่ื อืน่ : กระทือปา่ กะแวน กะแอน แสมดา แฮวดา เฮียวดา (ภาคเหนือ) เฮียวแดง (แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก ลาต้นเหนือดินกลม สงู 0.9-1.5 เมตร มเี หงา้ ใตด้ ิน ต้นโทรมในหนา้ แลง้ แลว้ งอกขนึ้ ใหมใ่ นหนา้ ฝน ใบ เป็นใบเด่ียว ออกเรยี งสลับในระนาบเดียวกัน รูปรูยาว กวา้ ง 5-7.5 ซม. ยาว 20-30 ซม. ปลายใบ แหลม โคนใบมนสอบ ขอบใบเรียบ แผน่ ใบเรยี บ สเี ขยี ว กา้ นใบเป็นกาบหมุ้ ลาตน้ ดอก ออกเปน็ ช่อแทงออกจากเหง้า ขนึ้ มา ชอ่ ดอกรูปทรงกระบอก มใี บประดบั สีเขียวแกมแดง เรียงซ้อนกันแน่นเป็นระเบยี บ ดอกสเี หลือง โคนเช่ือมติดกัน เป็นหลอด ดอกบานไม่พร้อมกัน ผล แบบผลแห้งแตก รปู ทรงค่อนข้างกลม สีแดง เมลด็ สีดา ส่วนทใ่ี ช้ : ราก เหงา้ ต้น ใบ ดอก หัว หรือ เหงา้ แก่สด เก็บใบช่วงฤดูแล้ง สรรพคณุ : ราก - แกไ้ ข้ตัวเยน็ แก้ไขต้ า่ งๆ แก้ไข้ตัวร้อน แกเ้ คลด็ ขัดยอก เหงา้ บารุงนา้ นม แก้ปวดมวนในทอ้ ง แก้บดิ บิดป่วงเบ่ง แก้ท้องอดื ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับผายลม ขบั ปัสสาวะ แกจ้ ุกเสยี ด แกเ้ สมหะเปน็ พิษ ขับนา้ ยอ่ ย เจริญอาหาร เปน็ ยาบารงุ กาลัง แกฝ้ ี ตน้ แกเ้ บื่ออาหาร ช่วยเจริญอาหาร ทาให้รับประทานอาหารมีรส แก้ไข้ ใบ ขับเลือดเนา่ ร้ายในเรอื นไฟ แก้เบาเป็นโลหติ ดอก แก้ไข้เรอื้ รัง ผอมแหง้ ผอมเหลอื ง บารงุ ธาตุ แก้ลม วธิ แี ละปริมาณที่ใช้ : รกั ษาอาการทอ้ งอืด ท้องเฟ้อ แน่นจกุ เสียด และปวดท้อง บดิ โดยใช้หวั หรือเหง้ากระทอื สด ขนาด เท่าหวั แมม่ ือ 2 หวั (ประมาณ 20 กรัม) ยา่ งไฟพอสกุ ตากับน้าปูนใสครึ่งแกว้ ค้นั เอาน้าดื่มเวลามอี าการ บางท้องถ่นิ ใช้หัว กระทือประกอบอาหาร เนอื้ ในมีรสขมและข่นื เลก็ น้อย ต้องหน่ั แลว้ ขยากับนา้ เกลือนานๆ กระทือเปน็ พืชท่มี สี ารอาหารนอ้ ย สารเคมี : Afzelin, Camphene, Caryophyllene น้ามนั หอมระเหยมี Zerumbone, Zerumbone Oxide
๗๒ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia rotunda (L.) Mansf. ชอ่ื สามัญ : Kaempfer วงศ์ : Zingiberaceae ช่ืออน่ื : กระชายดา กะแอน ขงิ ทราย (มหาสารคาม) จี๊ปู ซีฟู เปาซอเรา๊ ะ เป๊าสรี่ ะแอน (กะเหร่ียง-แม่ฮ่องสอน) ละแอน (ภาคเหนือ) ว่านพระอาทติ ย์ (กรุงเทพฯ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลุก มีเหงา้ สั้น แตกหน่อได้ รากอวบ รปู ทรงกระบอกหรือรูปไข่ค่อนขา้ งยาว ปลายเรยี ว กวา้ ง 1-2 ซม. ยาว 4-10 ซม. ออกเป็นกระจกุ ผวิ สีนา้ ตาลอ่อน เน้ือในสีเหลือง มีกลิ่นเฉพาะตวั สว่ นท่ีอย่เู หนือดินเป็นใบ มี 2-7 ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รปู รี กว้าง 5-12 ซม. ยาว 12-50 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนมนหรือแหลม ขอบเรยี บ เส้น กลางใบ กา้ นใบ และกาบใบด้านบนเปน็ ร่อง ดา้ นลา่ งนูนเป็นสนั ก้านใบเรยี บ ยาว 7-25 ซม. กาบใบสีชมพู ยาว 7-25 ซม. ระหว่างกา้ นใบและกาบใบมีลน้ิ ใบ ชอ่ ดอกแบบช่อเชงิ ลด ออกทย่ี อดระหว่างกาบใบคใู่ นสุด ยาวประมาณ 5 ซม. แต่ ละดอกมใี บประดับ 2 ใบ สีขาวหรือขาวอมชมพูออ่ น รปู ใบหอก กว้างประมาณ 8 มม. ยาว 3.5-4.5 ซม. กลีบเลยี้ งสขี าว หรือขาวอมชมพูออ่ น โคนติดกนั เป็นหลอด ยาวประมาณ 1.7 ซม. ปลายแยกเป็น 3 แฉก กลีบดอกสีขาวหรอื ขาวอมชมพู อ่อน โคนติดกันเปน็ หลอด ยาวประมาณ 6 ซม. ปลายแยกเปน็ 3 กลบี รปู ใบหอก ขนาดไม่เทา่ กัน กลบี ใหญ่ 1 กลีบ กวา้ งประมาณ 7 มม. ยาวประมาณ 1.8 ซม. อีก 2 กลบี ขนาดเท่ากัน กวา้ งประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 1.5 ซม. เกสร เพศผู้ 6 อนั แต่ 5 อนั เปลยี่ นไปมลี ักษณะเหมือนกลบี ดอก โดย 2 กลีบบนสีชมพู รูปไข่กลบั ขนาดเทา่ กนั กว้างประมาณ 1.2 ซม. ยาวประมาณ 1.7 ซม. อกี 3 กลบี ลา่ งสชี มพตู ดิ กันเป็นกระพุ้ง กวา้ งประมาณ 2 ซม. ยาวประมาณ 2.7 ซม. ปลายแผ่กว้างประมาณ 2.5 ซม. มีสีชมพหู รือม่วงแดงเปน็ เส้นๆ อยู่เกือบทั้งกลีบโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงตรงกระเปาะและ ปลายกลีบ มเี กสรเพศผู้ทส่ี มบูรณ์ 1 อนั กา้ นชูอับเรณหู มุ้ กา้ นเกสรเพศเมีย ผลแกแ่ ตกเป็น 3 เส่ยี ง เมลด็ คอ่ นขา้ งใหญ่ สรรพคุณ : เหงา้ ใตด้ ิน - มรี สเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ บารุงกาลัง บารุงกาหนดั แกก้ ามตาย ด้าน เปน็ ยารักษารดิ สดี วงทวาร เหง้าและราก - แก้บดิ มูกเลอื ด เปน็ ยาขบั ปสั สาวะ แก้ปัสสาวะพกิ าร ใชเ้ ป็นยาภายนอกรักษาข้ีกลาก ใบ - บารงุ ธาตุ แก้โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษตา่ งๆ
๗๓ วิธใี ช้และปรมิ าณท่ใี ช้ : แก้ท้องรว่ งท้องเดิน ใช้เหง้าสด 1-2 เหง้า ตาหรือฝนเหง้าท่ีปง้ิ ไฟแล้วกบั นา้ ปนู ใส หรือค้ันให้ข้นๆ รบั ประทานครั้งละ 1-2 ชอ้ นแกง แกอ้ าการท้องอืด ท้องเฟอ้ จุกเสียด ปวดมวนในทอ้ ง ใช้เหงา้ และราก ประมาณครึง่ กามือ (สดหนกั 5-10 กรัม, แหง้ 3-5 กรมั ) ตม้ เอาน้าดมื่ หรอื ใช้ปรุงเปน็ อาหารรับประทาน แก้บิด ใช้เหง้าสด 2 เหงา้ บดใหล้ ะเอียด เติมนา้ ปูนใส คั้นเอาแต่น้าดื่ม เปน็ ยาบารุงหวั ใจ ใชเ้ หงา้ และรากกระชายปอกเปลือก ลา้ งนา้ ให้สะอาด หน่ั ตากแห้ง บดเป็นผง ใชผ้ งแหง้ 1 ช้อนชา ชงนา้ รอ้ น ½ ถ้วยชา รับประทานครั้งเดยี ว ยารักษาริดสดี วงทวาร ใช้เหง้าสด 60 กรัม ประมาณ 6-8 เหง้า ผสมกับเนื้อมะขามเปียก 60 กรัม เกลือ แกง 3 ช้อนแกง ตาแลว้ ต้มกับน้า 6 แกว้ เคี่ยวใหเ้ หลอื 2 แก้ว รบั ประทานคร้ังละ ½ แก้ว ก่อนนอน รบั ประทาน ตดิ ตอ่ กนั 1 เดอื น รดิ สดี วงทวารควรจะหาย สารเคมี : ทง้ั ส่วนรากและสว่ นตน้ ประกอบดว้ ยสาร alpinetin, pinocembrin, cardamonin,boesenbergin A, pinostrobin และน้ามนั หอมระเหย และในสว่ นรากยังพบ chavicinic acid อกี ดว้ ย
๗๔ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Sandoricum koetjape ( Burm. f.) Merr. ชือ่ สามัญ : Sentul, Santol, Red sentol, Yellow sentol วงศ์ : MELIACEAE ชื่ออ่นื : เตยี น ล่อน สะท้อน (ภาคใต)้ มะต้อง (ภาคเหนือ,อดุ รธานี) มะต๋นิ (ภาคเหนอื ) สตียา สะตู (มาเลย์-นราธวิ าส) สะโต (มาเลย์-ปัตตานี) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้นขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ ไมผ่ ลดั ใบ สงู 15-40 เมตร ต้นเปลา ตรง แตกก่ิงตา่ เปลือกสี เทาอมน้าตาล ค่อนขา้ งเรียบ ใบแก่จัดสแี ดงอฐิ หรือสแี สด ใบชอ่ ยาว 20-40 ซม. ชอ่ ตดิ เรยี งสลบั เวยี นกันไป ใบปลายช่อ เป็นใบเดย่ี ว ดอกช่อ ออกรวมเปน็ ชอ่ ไมแ่ ยกแขนงตามปลายกงิ่ ช่อยาว 5-15 ซม. มีขนนุม่ ทวั่ ไป ดอกเล็ก สีเหลอื งอ่อน หรอื เขียวอ่อนอมเหลือง ดอกสมบรูณเ์ พศ กล่ินหอมอ่อนๆ ผล กลมหรือแป้น อุ้มน้า ผลอ่อนสีเขยี ว แก่จดั สเี หลือง เมล็ด รูปไต เรียงตามแนวต้งั 5 เมล็ด ออกดอกเดือน มกราคม -มีนาคม และเปน็ ผลเดือน มนี าคม – พฤษภาคม ส่วนท่ีใช้ : ใบสด เปลอื ก ผล ราก สรรพคณุ : ใบสด - ใชข้ ับเหง่ือ ต้มอาบแกไ้ ข้ เปลือก - รักษาโรคผิวหนงั กลากเกล้ือน ผล - ฝาดสมาน เป็นอาหาร ราก - เปน็ ยาขบั ลม แก้ทอ้ งเสยี บดิ เปน็ ยาธาตุ ตน้ – เปน็ ไม้ใชส้ อย
๗๕ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Punica granatum L. ชื่อสามัญ : Pomegranate , Punica apple วงศ์ : Punicaceae ชือ่ อ่ืน : พลิ า (หนองคาย) พิลาขาว มะก่องแกว้ (นา่ น) มะเก๊าะ (เหนือ) หมากจงั (แม่ฮอ่ งสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ยนื ตน้ หรอื พรรณไมพ้ มุ่ ขนาดเล็ก ลกั ษณะผิวเปลอื กลาต้นเป็นสเี ทา ส่วนท่เี ปน็ ก่ิงหรือ ยอดอ่อนจะเป็นเหลีย่ ม หรอื มีหนามแหลมยาวขึน้ ใบ ใบมีลักษณะเปน็ รปู ยาวรี โคนใบมน แคบ สว่ นปลายใบเรียวแหลม สน้ั ผวิ หลงั ใบ เกลยี้ งเป็นมัน ใต้ท้องใบจะเหน็ เส้นใบได้ชดั ขนาดของใบกวา้ งประมาณ 1 - 1.8 ซม. ยาว ประมาณ 2.5 - 6 ซม. ดอก ดอกออกเปน็ ชอ่ หรอื อาจจะเปน็ ดอกเดยี ว ในบริเวณปลายยอด หรอื ง่ามก่ิง ลกั ษณะของดอกมเี ป็น สสี ม้ สี ขาว หรือสีแดง ดอกหนึง่ มีกลีบดอกประมาณ 6 กลีบ ปลายกลีบ ดอกจะแยกออกจากกัน ตรงกลางดอกมเี กสร ตัวเมยี และตัวผซู้ ่งึ มีอับเรณูเปน็ สีเหลือง ขนาดของดอกบานเตม็ ท่มี ีเสน้ ผ้าศูนยก์ ลางประมาณ 2 - 3 ซม. ผลมีลักษณะเปน็ รูป ค่อนข้าง กลม ผิวเปลอื กนอกหนาเกลี้ยง ผลเมอื่ แก่หรือ สกุ เต็มทม่ี ีสเี หลอื งปนแดง และลักษณะของผล จะแตก หรืออ้าง ออก ข้างในผลกจ็ ะมีเมล็ดเป็น จานวนมาก เปน็ รปู เหลยี่ ม มีสีชมพสู ด ดอก ดอกออกเป็นช่อ หรอื อาจจะเป็น ดอกเดียว ในบรเิ วณปลายยอด หรอื ง่ามก่ิง ลกั ษณะของดอกมเี ป็น สสี ้ม สขี าว หรือสีแดง ดอกหนงึ่ มีกลีบดอกประมาณ 6 กลีบ ปลายกลบี ดอกจะแยกออกจากกัน ตรงกลางดอกมีเกสร ตัวเมีย และตวั ผู้ซ่งึ มีอับเรณูเป็นสเี หลอื ง ขนาดของดอกบาน เตม็ ท่มี ีเส้นผา้ ศูนย์กลางประมาณ 2 - 3 ซม. ผลมีลกั ษณะเป็นรปู ค่อนข้าง กลม ผิวเปลือกนอกหนาเกล้ียง ผลเม่ือแกห่ รือ สกุ เตม็ ทม่ี สี ีเหลืองปนแดง และลกั ษณะของผล จะแตก หรืออ้างออก ข้างในผลกจ็ ะมเี มล็ดเป็น จานวนมาก เปน็ รูปเหลี่ยม มสี ีชมพูสด สว่ นที่ใช้ : ใบ ดอก เปลือกผลแหง้ เปลือกต้นและเปลือกราก เมล็ด สรรพคณุ : ใบ - อมกลว้ั คอ ทายาล้างตา ดอก – ใชห้ ้ามเลือด เปลือกและผลแห้ง เปน็ ยาแก้ทอ้ งรว่ ง ท้องเดนิ แกบ้ ิด แกโ้ รคลักปิดลักเปิด เปลอื กตน้ และเปลือกราก ใชเ้ ปน็ ยาขบั พยาธิตวั ตดื , พยาธิตวั กลม เมล็ด – แกโ้ รคลักปดิ ลกั เปดิ วธิ แี ละปรมิ าณที่ใช้ ถ่ายพยาธติ วั ตดื และพยาธติ ัวกลม ได้ผลดี ใชเ้ ปลอื กสดของราก , ต้น ท่เี ก็บใหม่ๆ 60 กรมั หรอื ประมาณ 1/2 กามอื เติมกานพลหู รือกระวานลงไปเล็กนอ้ ย เพื่อแต่งรส ตม้ กับนา้ 3 ถ้วยแกว้ เคี่ยวใหเ้ หลอื 1 1/2 ถ้วย แก้ว รับประทานคร้งั ละ 2 ชอ้ นโตะ๊ (30 ซ.ี ซี.) หลงั จากน้นั ประมาณ 2 ช่วั โมง รับประทานยาถา่ ย เชน่ ดีเกลือ 2 ชอ้ นโต๊ะ ตาม ควรอดอาหารก่อนรับประทานยา
๗๖ ยาแกท้ ้องร่วง ท้องเดิน (ไม่ใช่บิด หรอื อหวิ าตกโรค) ใช้เปลือกผล ตากแดดใหแ้ หง้ ประมาณ 1/4 ของผล ฝนกับน้าฝนหรือน้าปูนใสให้ข้นๆ รับประทานครงั้ ละ 1-2 ชอ้ นแกง หรือต้มกับน้าปนู ใส แล้วดม่ื นา้ ทต่ี ้มก็ได้ บิด (มอี าการปวดเบง่ และมีมูก หรืออาจมีเลือดดว้ ย) ใชเ้ ปลอื กผลแห้งของทับทมิ ครั้งละ 1 กามอื (3-5 กรัม) ตม้ กับน้า ดืม่ วันละ 2 คร้งั อาจใช้กานพลหู รืออบเชยแต่งกล่ินใหน้ า่ ด่ืมก็ได้ สารเคมี เปลอื กผลมีรสฝาด เน่อื งจากมี tannin 22-25% gallotannic acid สารสเี ขียวอมเหลือง รากมสี ารอลั คา ลอยด์ ชอื่ pelletierine และอนุพนั ธ์ของ pelletierine คณุ ค่าด้านอาหาร ทบั ทมิ ใชร้ ับประทานเป็นผลไม้รสหวาน หรือเปรี้ยวหวาน มีวิตามนิ ซี และแร่ธาตหุ ลายตวั ชว่ ยป้องกนั โรค เลอื ดออกตามไรฟัน และบารุงฟันใหแ้ ขง็ แรง
๗๗ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Gomphrena globosa L. ชื่อสามัญ : Everlasting, Globe Amaranth วงศ์ : AMARANTHACEAE ชอื่ อ่นื : กนุ นีดอกขาว, กนุ หยนิ ขาว, สามเดือนดอกขาว, ตะลอ่ ม, สามปีบ่อเหยี่ยว ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลกุ ขนาดเล็ก สงู ราว 2 ฟุต ลาตน้ ต้งั ตรง กง่ิ มีขนเล็กน้อย ใบเด่ยี วรูปรปี ลายแหลม ขอบ เรียบ มขี นน่มุ ท้ังใบ ดอกเป็นกระจกุ ทรงกลมมีสขี าว แดง ชมพู นยิ มใชช้ นดิ ดอกขาวทายา ปลกู เป็นไม้ประดับ ขยายพนั ธ์ุ ดว้ ยเมล็ด ส่วนทใี่ ช้ : ดอก ทั้งต้น และราก ดอก เกบ็ เมื่อดอกแก่ เอามาตากแห้ง เอากา้ นดอกออกเก็บไวใ้ ช้ ดอกแห้งมีลักษณะกลมหรอื ยาวรี ส่วนมากออกเป็นช่อ เดย่ี ว แต่มบี างครั้งอาจตดิ กัน 2-3 ชอ่ ดอกทดี่ ีคือดอกที่มขี นาดโตๆ สรรพคุณ : ดอก - รสจดื ชมุ่ สุขมุ ใชบ้ ารงุ ตบั แก้ตาเจ็บ แกไ้ อระงบั หอบหืด ขับปสั สาวะ แก้ปวดศีรษะ บิด ไอกรน แผลผนื่ คัน ฝปี ระคาร้อย ราก - ขบั ปัสสาวะ แก้พิษตา่ งๆ วิธีและปรมิ าณที่ใช้ : ดอกแห้ง - ใชห้ นกั 3-10 กรัม ตม้ นา้ ดื่ม ท้งั ต้น - ใช้หนกั 15-30 กรมั ต้มนา้ ด่มื ใช้ภายนอก - ใชต้ าพอก หรือต้มเอานา้ ชะลา้ ง ตารบั ยา แก้หอบหดื ใช้ดอก 10 ดอก ต้มน้าผสมเหลา้ เลก็ น้อย ดื่มวันละ 3 คร้ัง แก้บิดมกู ใช้ดอก 10 ดอก ต้มนา้ ผสมเหล้าเลก็ น้อยด่มื แก้ปัสสาวะขดั ใชด้ อก 3-10 กรัม ตม้ น้าด่ืมบ่อยๆ แกเ้ ด็กเปน็ โรคลมชกั ใช้ดอก 10 ดอก รวมกบั ต๊ักแตนแห้ง (oxya chinensis thumb.) 7 ตวั ตนุ๋ รับประทาน แกเ้ ดก็ ตัวรอ้ นตาเจ็บ ใช้ดอกสด 10-14 ดอก ต้มน้าด่ืม หรอื ผสมกบั ฟงั เชอ่ื มแหง้ ตม้ น้าดื่ม
๗๘ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Croton stellatopilosus Ohba ชื่อพ้อง : Croton sublyratus Kurz วงศ์ : EUPHORBIACEAE ชือ่ อนื่ : เปลา้ ท่าโพ (ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น สงู 1-4 เมตร ผลัดใบ ใบเด่ยี ว เรียงสลบั รปู ใบหอกกลับ กว้าง 4-6 ซม. ยาว 10-15 ซม. ดอกช่อ ออกทีซ่ อกใบบริเวณปลายก่ิง ดอกยอ่ ยขนาดเลก็ แยกเพศ อยู่ในช่อเดยี วกนั กลบี ดอกสีนวล ออกดอกเมื่อใบ แก่ ผลเปน็ ผลแห้ง แตกได้ มี 3 พู สว่ นที่ใช้ : ใบ ราก ดอก ผล เปลอื ก แก่น สรรพคุณ : ใบ - ใชบ้ ารุงธาตุ แกโ้ รคกระเพาะ บารงุ โลหิตประจาเดอื น มีสาร disterpene alcohol (CS-684 หรอื plaunotol) มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหารได้เปน็ อย่างดี รักษาโรค เก่ยี วกบั ทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะ ใบ ราก แก้คัน รักษามะเรง็ เพลิง รกั ษาโรคผวิ หนงั กลาก เกลอ้ื น แก้พยาธติ า่ งๆ ริดสีดวงทวาร แก้ไอเปน็ โลหิต เปน็ ยาปฏิชีวนะ ดอก - ขับพยาธิ ฆ่าพยาธิ ผล – แก้โรคนา้ เหลอื งเสยี เปลอื ก – บารงุ ธาตุ แกน่ – ขบั โลหิต วิธใี ช้ นาใบ คอ่ นข้างใบอ่อน ตากแห้ง บดละเอียด ต้มหรอื ชงนา้ ด่ืม (ตน้ เปลา้ นอ้ ยทป่ี ลกู มีอายุ 2 ปี ตัดใบนามาใช้ ได้ เกบ็ ใบไดป้ ีละ 2 ครงั้ ) ข้อเสยี ของยาชงนี้ ทาให้คนไข้ไดต้ ัวยาไม่สม่าเสมอ ตัวยาไม่แน่นอน และไดต้ ัวยาอนื่ ๆ เจือปนด้วย ทาให้ประสิทธภิ าพ ในการรกั ษาไมส่ มบรู ณ์ มีอาการขา้ งเคียง นกั วทิ ยาศาสตร์ได้ค้นพบวิธกี ารสกดั ตัวยาเปลา้ นอ้ ยบรสิ ุทธิ์ไดค้ ือ Plaunotol ออกมา ขนาดรับประทานท่เี หมาะสม คือ 3x8 มก./วนั ประมาณ 8 อาทิตย์ อาการคนไขด้ ีขึ้น 80-90% และเม่ือส่องดแู ผลพบว่า ได้ผล 60-80% อาการข้างเคียง มนี ้อย มีเพียง 1-2 ราย ทีม่ อี าการผน่ื ข้ึน ท้องเสีย แนน่ ท้อง ท้องผกู Plaunotol ดูดซึมจากทางเดิน อาหารได้ดี ส่วนใหญถ่ กู Oxidise ในตับ และขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ
๗๙ ข้อดขี องตัวยาบริสุทธิ์ Plaunotol คือ 1.มฤี ทธ์ิสมานแผลในกระเพาะอาหาร และลาไส้ไดเ้ ป็นอย่างดี 2.มฤี ทธ์กิ ระตุ้นการสร้างเน้ือเยอื่ บลุ าไสท้ ี่เสียไป ทาให้แผลหายเร็วขนึ้ 3.มฤี ทธิล์ ดปริมาณการหลัง่ ของกรดในกระเพาะอาหารนอ้ ยลง และทาให้ระบบป้องกัน การดดู ซบั กรดของ เนอื้ เย่ือบุกระเพาะซงึ่ ถกู ทาลายดว้ ยสารบางชนดิ กลบั คืนดี 4.มีความเปน็ พิษตา่ นบั วา่ สมุนไพรเปล้านอ้ ยนี้ มตี วั ยาทใี่ ช้ในการรักษาโรคกระเพาะได้อยา่ งดเี ยย่ี ม เป็น Broad Spectrum antiseptic ulcer drug สารเคมี (E.Z,E) -7- hydroxymethyl -3, 11, 15-trimethy-2,6,10,14-hexadecate traen-1-01 มชี อื่ ว่า CS- 684 หรือ Plaunotol, Plaunotol A,B,C,D,E หมายเหตุ การขยายพนั ธุ์ ควรไดจ้ ากการเพาะเลยี้ งเน้ือเยื่อ หรอื รากไหล จะได้พนั ธ์แุ ท้ เพาะจากเมลด็ มกี ารกลายพันธ์ไุ ด้
๘๐ ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Psidium guajava L. ชอื่ สามัญ : Guava วงศ์ : MYRTACEAE ชอ่ื อ่นื : สรุ าษฎร์ธานี จมุ่ โป่, ปตั ตานี ชมพู่, เชยี งใหม่ มะก้วย, เหนอื มะกว้ ยกา มะมน่ั , แมฮ่ ่องสอน มะกา, ตาก มะจีน, ใต้ ยามู ย่าหมู, นครพนม สดี า, จนี แต้จว๋ิ ปก๊ั เกี้ย ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ ขนาดกลาง สูง 3-5 เมตร ผิวเปลือกตน้ เรียบเกลยี้ ง ก่ิงอ่อนเป็นส่เี หลยี่ ม ใบ หนา หยาบ ใต้ท้องใบเป็นร้วิ เหน็ เสน้ ใบชัดเจน ขนข้ึนนวลบาง ใบยาวประมาณ 10 ซม. กวา้ งประมาณ 6 ซม. ดอกช่อ ชอ่ หนงึ่ มีดอกยอ่ ย 3 - 5 ดอก ดอกเล็ก สีขาวอมเขยี วอ่อน กลบี เล้ียงแข็ง ผล รูปทรงกลม รปู ไข่ หรือรูปรี ผิว เกลีย้ ง สเี ขยี ว เนอ้ื ในขาว รสหวาน กรอบ ผลสุกสีเหลอื ง- เขยี ว มเี มลด็ เล็กๆ แขง็ อยู่ภายใน สว่ นทใี่ ช้ : ใบเพสลาด ผลออ่ นสด ผลสกุ เปลอื กตน้ สดๆ ราก สรรพคณุ : ฝรงั่ มีสารแทนนินอยู่มาก สารน้ีมีฤทธฝิ์ าดสมานนา้ มันหอมระเหยในใบฝร่ัง สารแทนนินในฝรัง่ ยงั ยับยง้ั การลุกลามของเชื้อโรค ชว่ ยสมานทอ้ งและลาไส้ โดยชว่ ยลดอาการอักเสบของกระเพาะลาไส้ และชว่ ยลดอาการคลน่ื ไส้ อาเจียน และยังชว่ ยอาการเกร็งตัวของลาไส้ ทาให้อาการปวดทอ้ งบรรเทาลงได้ แก้ปวดเบง่ ใบ - แก้ท้องเสยี ท้องร่วง ทอ้ งเดิน (ทีไ่ มใ่ ชบ่ ิด หรืออหวิ าตกโรค) เป็นยาหา้ มเลอื ด ใสแ่ ผลสด ใช้ใบ 2-3 ใบเค้ียวๆ ระงับกลิ่นปาก แก้ฝี เป็นยาลา้ งแผล ดูดหนองและถอนพิษบาดแผล แก้เหงือกบวม แก้พิษเรอ้ื รงั แก้ปวด เนอ่ื งจากเล็บขบ แก้แพ้ยุง ผลอ่อน - แก้ท้องเสยี ท้องรว่ ง ทอ้ งเดิน ระงับกล่นิ ปาก แก้บดิ มูกเลอื ด มีไวตามินซีมาก เปน็ กันหรือแกโ้ รค เลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลกั เปดิ ) บารงุ เหงือกและฟนั บารุงผิวพรรณ ผลสุก - มสี ารเพ็กตินอยู่มาก ใช้รับประทานเปน็ ยาระบายได้ ราก - แก้น้าเหลอื งเสยี เป็นฝี แผลพพุ อง แก้เลือดกาเดาไหล วธิ แี ละปริมาณทีใ่ ช้ ใช้ฝรง่ั แกท้ ้องเสยี ทอ้ งรว่ ง ท้องเดนิ วธิ ที ่ี 1 รบั ประทานสด ใช้สว่ นทเ่ี ปน็ ยอดอ่อนๆ 7 ยอด หรือใบเพสลาด 6-8 ใบ ค่อยๆ เคยี้ วใหล้ ะเอยี ดทีละน้อย ค่อยๆ กลนื แลว้ ดื่มนา้ ตาม ถ้าเค้ียวทีละมากๆ จะรูส้ กึ ฝาดขม ถ้าเคีย้ วกับเกลือเล็กน้อย จะชว่ ยให้รบั ประทานง่ายข้ึน วธิ ีน้ีไดผ้ ลมาก เพราะรบั ประทานทั้งนา้ และเน้ือของใบฝรงั่ จนหมด ไดต้ วั ยาครบถ้วน อาจรบั ประทานผลดิบ คร้ังละ 1-2 ผล โดยเค้ียวกอ่ นค่อยกลนื ก็ได้
๘๑ วิธที ี่ 2 ตม้ ดมื่ ใชใ้ บเพสลาด 5-10 ใบ หรอื เปลือกตน้ สดๆ 1 ฝา่ มอื ใสน่ ้า 2 ถ้วยแกว้ ตม้ เดือดนาน 5-30 นาที เคี่ยวให้ เหลอื 1 ถ้วยแกว้ รับประทานครงั้ ละ รบั ประทานครงั้ ละ ½ - 1 แก้ว วันละ 2 คร้ังรับประทานตามอาการหนกั เบา เวลา ดื่มเติมเกลอื เลก็ น้อยทาให้ดื่มงา่ ยขน้ึ วิธที ่ี 3 ชงน้าร้อนดมื่ เอายอดฝร่ัง 7 ยอด หรือใบฝรง่ั 6-10 ใบ ชงกบั น้าเดือด 2 แก้ว ปดิ ฝาไว้ 15-20 นาที ด่ืมครง้ั ละ 1 แก้ว ด่มื บ่อย ๆ วธิ ที ี่ 4 ต้มคัน้ เอานา้ เอาใบฝรั่ง 6-10 ใบ ตาให้ละเอียด ผสมนา้ สุก 3-5 ช้อนแกง ต้มให้เข้ากนั กรองดว้ ยผา้ ขาว เอาน้า ผสมเกลือเล็กน้อยดม่ื จนหมด วธิ ีที่ 5 บดผงรับประทาน ใช้ผลฝรั่งทีเ่ กอื บแก่ หั่นเปน็ แว่นบาง ๆ ตากแหง้ บดเป็นผง รบั ประทานคร้ังละ ½-1ช้อนชา โดย ผสมนา้ วธิ นี ้รี สชาติดเี ด็กดมื่ ได้ง่าย ใช้เป็นยาหา้ มเลือด ใชใ้ บสดลา้ งน้าให้สะอาด ตาให้ละเอียดพอกแผลทม่ี เี ลือดออก เลือดจะหยดุ ชว่ ยระงบั กลนิ่ ปาก ใชใ้ บสด 3-5 ใบ เคี้ยวและคายกากออกทง้ิ เป็นยากันหรอื แก้โรคลกั ปิดลักเปดิ ฝร่ังมีไวตามินซีมาก ใช้ผลโตเตม็ ทีแ่ ต่ไมส่ กุ รบั ประทานเปน็ ผลไม้ จะ เปน็ ผลไมท้ ีช่ ว่ ยบารุงเหงือกและ ฟัน ชว่ ยลดน้าตาลในเลอื ด รักษาท้องลาไส้ไมใ่ ห้ผูก ชว่ ยบารงุ ผิวพรรณ คนทีช่ อบเปน็ ฝี เป็นแผลพพุ อง ถา้ รบั ประทานฝรงั่ บ่อย ๆ ก็ชว่ ยบรรเทาลงไปได้ หมายเหตุ ฝรัง่ ท่ีควรปลกู ควรเปน็ ฝรัง่ ขี้นก เพราะมโี รคนอ้ ย มเี พล้ยี แป้งนอ้ ย ดูแลรักษางา่ ย ที่สาคัญมสี รรพคุณทาง ยาที่ดที ่สี ุด มีไวตามินซีสงู กว่าฝรงั่ พันธุอ์ ืน่ ๆ สารเคมี ใบ มีนา้ มันหอมระเหย ซ่งึ ประกอบด้วย Caryophyllene cineol, นอกจากนี้ยงั มี Tannin, sesquiter penoids และ triterpenoid compounds. ผล มี fixed oil 6% Volatile oil 0.365% tannin 8-15% beta-sitosterol, quercetin, Vitamin C (330 mg.%), Arabinose,
๘๒ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oroxylum indicum (L.) Kurz ชื่อสามัญ : Broken Bones Tree วงศ์ : Bignoniaceae ชื่ออ่ืน : มะลดิ ไม้ มะลิน้ ไม้ ลิดไม้ (เหนือ) ลิ้นฟา้ (เลย) หมากล้ินกา้ ง หมากลน้ิ ซา้ ง (ฉาน-เหนอื ) กาโดโ้ ดง้ (กะเหรี่ยง- กาญจนบุรี) ดอก๊ะ ด๊อกก๊ะ ดุแก (กะเหรย่ี ง-แม่ฮ่องสอน) เบโก (มาเล-นราธวิ าส) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ สูง 3-12 เมตรแตกก่งิ ก้านนอ้ ย ใบประกอบแบบขนนกสามช้ัน ขนาดใหญ่ เรยี งตรง ขา้ มรวมกนั อยู่บริเวณปลายก่ิง ใบยอ่ ยรปู ไข่หรือรปู ไข่แกมวงรี กวา้ ง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด ก้านชอ่ ดอกยาว ดอกย่อยขนาดใหญ่กลบี ดอกสนี วลแกมเขียว โคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หนาย่น บานกลางคืน ผลเป็น ฝัก รูปดาบ เมอ่ื แกจ่ ะแตก ภายในเมลด็ แบน สขี าว มปี ีกบางโปรง่ แสง สว่ นที่ใช้ : ราก เปลือกต้น ฝักออ่ น เมลด็ สรรพคณุ : ราก มรี สฝาดเย็น ขมเล็กน้อย ใชบ้ ารงุ ธาตุ ทาใหเ้ กอดนา้ ย่อยอาหาร เจริญอาหาร แก้ทอ้ งรว่ ง แก้บิด แก้ ไข้สนั นบิ าต ใชภ้ ายนอก รากฝนกับน้าปนู ใส ทาแกอ้ าการอักเสบ ฟกบวม เพกาทั้ง 5 - คือการใชส้ ่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกนั จะมีรสฝาดเยน็ มีสรรพคณุ สมานแผล แกอ้ ักเสบ บวม แกท้ ้องร่วง บารงุ ธาตุ แกน้ า้ เหลืองเสีย แกไ้ ขเ้ พ่ือลม เพื่อเลือด ฝกั ออ่ น - รับประทานเป็นผกั ชว่ ยในการขบั ผายลม บารุงธาตุ เมลด็ - ใช้เป็นยาถา่ ย เมลด็ แกใ่ ช้เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสมหะ เปลอื กต้น -รสฝาดเย็น และขมเล็กน้อย เป็นยาสมานแผล ทาน้าเหลืองใหเ้ ปน็ ปกติ ขับน้าเหลอื งเสยี ขับ เลือดดับพิษโลหิต บารุงโลหติ แกเ้ สมหะจุกคอ ขับเสมหะ แก้บิด แก้อาการจุกเสียด เปลือกต้นตาผสมกับสุรา ใช้เป็นยากวาดประซะพิษซางเดก็ ชนดิ เมด็ เหลือง แกล้ ะองข้นึ ในปาก คอล้ิน แก้ ละอองไข้ ใชฉ้ ีดพ่นตามตัวคนคลอดบตุ รที่ทนการอยไู่ ฟไมไ่ ด้ ทาใหผ้ ิวหนงั ชา ทารอบ ๆ ฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวม อกั เสบ เปลอื กต้นสดตาผสมกับนา้ ส้ม ซง่ึ ไดจ้ ากรังมดแดงหรือเกลือสนิ เธาว์ รบั ประทานขบั ลมในลาไส้ แกจ้ ุก เสยี ด แก้บดิ แก้อาเจียนไม่หยุด รบั ประทานแก้เสมหะจุกคอ (ขบั เสมหะ) ขับเลือดเนา่ ในเรอื นไฟ บารงุ โลหิต นอกจากนเ้ี ปลอื กเพกา ใชร้ ว่ มกบั สมนุ ไพรอื่น แก้เบาหวาน แกโ้ รคมานน้า เปลือกต้มรวมกับสมุนไพรหลายชนิด แยกเอา นา้ มนั มาทาแก้ แกอ้ งคสตู ร แก้ริดสดี วงทวารหนกั ทวารเบา แกฟ้ กบวม แก้คนั
๘๓ สารเคมี ราก มี D-Galatose, Baicalein, Sitosterols แกน่ มี Prunetin, B- sitosterols ใบ มี Aloe emodin เปลอื ก มี Baicalein, Chrysin, 6-Methylbaicalein
๘๔ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall.ex Nees ชือ่ สามัญ : Kariyat , The Creat วงศ์ : ACANTHACEAE ชื่ออน่ื : หญ้ากันงู (สงขลา) นา้ ลายพงั พอน ฟา้ ละลายโจร (กรงุ เทพฯ) ฟา้ สาง (พนัสนคิ ม) เขยตายยายคลุม สามสิบดี (รอ้ ยเอด็ ) เมฆทะลาย (ยะลา) ฟ้าสะทา้ น (พทั ลุง) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ม้ ลกุ สูง 30-70 ซม. ทุกส่วนมรี สขม กิง่ เป็นใบสีเ่ หลี่ยม ใบ เด่ยี ว แผน่ ใบสีเขียวเข้มเป็น มัน ดอก ชอ่ ออกทีป่ ลายกงิ่ และซอกใบ ดอกย่อย กลีบดอกสีขาว โคนกลีบตดิ กัน ปลายแยก 2 ปาก ปากบนมี 3 กลบี มี เสน้ สีม่วงแดงพาดอยู่ ปากล่างมี 2 กลบี ผล เปน็ ฝัก เมื่อแก่เปน็ สีน้าตาล แตกได้ ภายในมีเมล็ดจานวนมาก ส่วนทใี่ ช้ : ทงั้ ตน้ ใบสด ใบแหง้ ใบจะเกบ็ มาใช้เมื่อตน้ มีอายไุ ด้ 3-5 เดอื น สรรพคณุ มี 4 ประการคือ 1.แก้ไข้ท่วั ๆ ไป เช่น ไขห้ วัด ไขห้ วดั ใหญ่ 2.ระงบั อาการอกั เสบ พวกไอ เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซลิ หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ รักษาโรค ผิวหนงั ฝี 3.แกต้ ดิ เช้อื พวกทาใหป้ วดท้อง ท้องเสีย บดิ และแกก้ ระเพาะลาไสอ้ ักเสบ 4.เปน็ ยาขมเจริญอาหาร และการที่ฟา้ ทะลายโจรมสี รรพคุณ 4 ประการน้ี จึงชวนให้เหน็ วา่ ตัวยาต้นน้ี เปน็ ยาท่ีสามารถนาไปใช้ กวา้ งขวางมาก จากเหตุผลที่ฟา้ ทะลายโจรมฤี ทธ์ิระงับการติดเช้อื หรอื ระงับการเจรญิ เติบโตของเชอื้ โรคได้ ขอ้ มูลทางวิทยาศาสตร์ ใบฟ้าทะลายโจร มสี ารเคมปี ระกอบอยหู่ ลายประเภท แตท่ ี่เป็นสาระสาคัญในการออกฤทธิ์ คอื สาร กล่มุ Lactone คือ 1.สารแอดโดรกราโฟไลด์ (andrographolide) 2.สารนโี อแอนโดรกราโฟไลด์ (neo-andrographolide) 3.14-ดีอ๊อกซีแ่ อนโดรกราโฟไลด์ (14-deoxy-andrographolide) ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเกา่ แก่ของประเทศจนี ท่ีใชใ้ นการแก้ฝี แก้อกั เสบ และรกั ษาโรคบิด การวิจัยดา้ นเภสัช วิทยาพบวา่ ฟา้ ทะลายโจรสามารถยบั ยงั้ เชอื้ แบคทเี รียอนั เป็นสาเหตขุ องการเป็นหนองได้ และมกี ารศกึ ษาวิจยั ของ โรงพยาบาลบาราศนราดูร ถงึ ฤทธิ์ในการรักษาโรคอุจจาระรว่ งและบดิ แบคทีเรีย เปรียบเทียบกับ เตตราซยั คลนิ ใน
๘๕ ผูป้ ่วย 200 ราย อายรุ ะหวา่ ง 16-55 ปี ไดม้ ีการเปรยี บเทยี บระยะเวลาที่ถา่ ยอุจจาระเหลว จานวนอจุ จาระเหลว น้าเกลือ ท่ใี ห้ทดแทนระหว่างฟา้ ทะลายโจรกับเตตราซันคลนิ พบว่าสมุนไพรฟา้ ทะลายโจร ลดจานวนอจุ จาระรว่ งและจานวน นา้ เกลือที่ใหท้ ดแทนอยา่ งน่าพอใจ แมว้ ่าจากการทดสอบทางสถติ ิ จะไม่มีความแตกตา่ งโดยในสาคญั ก็ตาม สว่ นการลด เช้อื อหิวาตกโรคในอุจจาระ ฟ้าทะลายโจรไม่ไดผ้ ลดเี ท่าเตตราซัยคลิน นอกจากนยี้ ังมีโรงพยาบาลชุมชนบางแหง่ ได้ใช้ฟา้ ทะลายโจรรกั ษาอาการเจ็บคอได้ผลดีอีกดว้ ย มฤี ทธเ์ิ ช่นเดยี วกับเพน็ นซิ ิลินเม่ือเทียบกบั ยาแผนปัจจบุ นั เทา่ กบั เปน็ การ ชว่ ยใหม้ ีผูส้ นใจทดลองใช้ยานี้รกั ษาโรคต่าง ๆ มากขึ้น วิธแี ละปริมาณที่ใช้ 1.ถ้าใช้แกไ้ ข้เปน็ หวัด ปวดหัวตวั รอ้ น ใช้ใบและก่ิง 1 กามอื (แห้งหนัก 3 กรมั สดหนัก 25 กรัม) ต้มน้าด่มื ก่อนอาหารวันละ 2 ครัง้ เชา้ -เย็น หรือเวลามอี าการ 2.ถา้ ใช้แก้ท้องเสีย ท้องเดนิ เปน็ บดิ มไี ข้ ใช้ท้งั ต้นหรือสว่ นทั้ง 5 ของฟ้าทะลายโจร ผึง่ ลมใหแ้ ห้ง หน่ั ชิ้น เล็ก ๆ ประมาณ 1 กามอื (หนักประมาณ 3-9 กรมั ) ตม้ เอานา้ ดื่มตลอดวัน ตารบั ยาและวิธใี ช้ ยาชงมวี ิธที าดงั น้ี เอาใบสดหรือแห้งก็ได้ ประมาณ 5-7 ใบ แต่ใบสดจะดีกวา่ เตมิ น้าเดือดลงจนเกือบเต็ม แกว้ ปิดฝาท้งิ ไว้ประมาณคร่งึ ช่วั โมง หรอื พอยาอุ่น แล้วรนิ เอามาด่ืม ขนาดรับประทาน ครงั้ ละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครงั้ ก่อนอาหาร, ก่อนนอน ยาเม็ด (ลูกกลอน) มีวธิ ีทาดังน้ี เด็ดใบสดมาล้างให้สะอาดผ่ึงในที่ร่ม ห้ามตากแดด ควรผง่ึ ในที่มลี มโกรก ใบจะได้ แห้งเรว็ บดเปน็ ผงให้ละเอยี ด ปน้ั กับนา้ ผงึ้ หรือนา้ เชื่อม เปน็ เมด็ ขนาดเท่าเม็ดถ่วั เหลือง (หนัก 250 มลิ ลกิ รัม) แล้วผ่ึงลมให้แห้ง เพราะถ้าปั้นรับประทานขณะที่ยังเปียกอยู่จะขมมาก ขนาดรับประทานคร้งั ละ 4-10 เม็ด วนั ละ 3- 4 ครัง้ ก่อนอาหาร, ก่อนนอน แคป๊ ซูล มีวิธที าคือ แทนทผี่ งยาท่ไี ด้จะป้ันเป็นยาเมด็ กลับเอามาใสใ่ นแค๊ปซลู เพื่อชว่ ยกลบรสขมของยา แค๊ปซลู ทีใ่ ช้ ขนาดเบอร์ 2 (ผงยา 250 มลิ ลิกรัม) ขนาดรับประทานคร้ังละ 3-5 แคป๊ ซลู วนั ละ 3-4 ครั้ง ก่อนอาหาร กอ่ นนอน ยาทงิ เจอร์หรือยาดองเหลา้ เอาผงแห้งใส่ขวด แช่สรุ าทแี่ รง ๆ เชน่ สุราโรง 40 ดีกรี ถา้ มี alcohol ท่ี รับประทานได้ (Ethyl alcohol) จะดกี ว่าเหลา้ แชพ่ อใหท้ ่วมยาขึน้ มาเล็กน้อย ปดิ ฝาให้แนน่ เขย่าขวดวนั ละ 1 ครงั้ พอ ครบ 7 วัน จึงกรองเอาแต่น้า เกบ็ ไว้ในขวดให้สะอาดปิดสนิท รับประทานครั้งละ 1-2 ชอ้ นโตะ๊ (รสขมมาก) วันละ 3- 4 ครง้ั ก่อนอาหาร ยาผงใช้สดู ดม คือเอายาผงที่บดละเอียด มาใส่ขวดหรอื กลอ่ งยา ปดิ ฝาเขย่าแล้วเปิดฝาออก ผงยาจะเป็น ควันลอยออกมา สูดดมควันน้ันเข้าไป ผงยาจะตดิ ที่คอทาใหย้ าไปออกฤทธิ์ที่คอโดยตรง ช่วยลดเสมหะ และแกเ้ จ็บคอได้ดี วธิ ที ่ดี กี ว่านคี้ อื วิธเี ป่าคอ กวาดคอ หรือรับประทานยาชง ตรงทคี่ อจะรสู้ ึกขมน้อยมาก ไม่ทาให้ขยาดเวลาใช้ ใชส้ ะดวกและ งา่ ยมาก ประโยชน์ท่ีน่าจะไดร้ ับเพ่มิ ก็คือ ผงยาที่เข้าไปทางจมกู อาจจะช่วยลดนา้ มกู และชว่ ยฆา่ เช้ือทจี่ มูกดว้ ย ขนาดทใ่ี ช้ สดู ดมบอ่ ย ๆ วนั ละหลาย ๆ คร้งั ถ้ารสู้ ึกคลื่นไสใ้ ห้หยดุ ยาไปสกั พัก จนความรูส้ ึกนั้นหายไป จึงค่อยสูดใหม่ ข้อควรรูเ้ กย่ี วกบั ตารบั ยา สารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) สารในต้นฟ้าทะลายโจร ละลายในแอลกอฮอร์ ไดด้ มี าก ละลายในนา้ ไดน้ ้อย ดังนน้ั ยาทงิ เจอร์ หรือยาดองเหล้าฟ้าทะลายโจร จึงมีฤทธแ์ิ รงทส่ี ดุ ยาชงมฤี ทธ์แิ รงรองลงมา ยาเม็ดมีฤทธิ์อ่อนทสี่ ุด ข้อควรระวงั บางคนรับประทาน ยาฟ้าทะลายโจร จะเกิดอาการปวดท้อง ท้องเสยี ปวดเอว เวยี นหัว แสดงว่าแพ้ยา ให้หยุดยา และเปล่ยี นไปใชย้ าอน่ื หรอื ลดขนาดรบั ประทานลง
๘๖ หมายเหตุ : มะเด่ือไทย Ficus spp. ในทนี่ ข้ี อใช้มะเด่ืออุทุมพรเปน็ ขอ้ มลู ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ficus racemosa L. วงศ์ : Moraceae ชอ่ื อ่ืน : เดือ่ เกลีย้ ง (ภาคเหนือ มะเดอื่ เกล้ยี ง มะเด่อื มะเดอื่ ชุมพร กูแซ เดื่อน้า (ภาคใต)้ มะเด่ือนา้ เดื่อเล้ยี ง มะเด่ือ หอม หมากเดอ่ื (ภาคอสี าน) มะเดื่อดง ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดกลางสงู ประมาณ 10–20 เมตร ลาต้นเกลย้ี งสีน้าตาลหรอื น้าตาลปนเทา กิง่ อ่อนสี เขยี ว หรือสีเขยี วในนา้ ตาล กิ่งแกม่ ีสีน้าตาลเกลีย้ ง หรอื มีขนปกคลมุ ใบ เป็นใบเดยี่ ว ออกแบบสลับ ใบบาง รูปไขห่ รือรูป หอก ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ฐานใบมนหรือกลม ผวิ ใบเกลย้ี ง หรอื มีขน ไม่หลดุ ร่วงง่าย ดอก ออกเป็นช่อ ช่อดอก มี ก้านเกิดเปน็ กลุ่มบนกง่ิ สั้นๆ ที่แตกออกจากลาต้น และกิ่งขนาดใหญ่ ผล รปู กลมแป้นหรือรูปไข่ มขี น ออกเปน็ กระจุกตาม ก่งิ และลาตน้ เมอ่ื ฉกี ออกจะพบเกสรเล็กๆ อยู่ภายในผล ผลสกุ มสี แี ดง สว่ นที่ใช้ : ผลออ่ น เปลือกต้น ราก สรรพคณุ : ผลอ่อน – รับประทานเป็นอาหาร เปลอื กต้น มีรสฝาด รับประทานแก้ทอ้ งร่วง ชะล้างบาดแผล เป็นยาสมานดี ราก เป็นยาแก้ไข้ กระทุ้งพษิ ไข้ แก้ไข้หัว ไขก้ าฬ ไข้พิษทุกชนดิ กล่อมเสมหะ และโลหติ
๘๗ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Holarrhena pubescens Wall. ex G. Don วงศ์ : APOCYNACEAE ช่อื อน่ื : ซอทึ, พอแก, ส่าตึ (กะเหรย่ี ง-แม่ฮ่องสอน); พดุ (กาญจนบรุ ี); พุทธรักษา (เพชรบรุ )ี ; มกู มนั น้อย, มกู มนั หลวง, มกู หลวง, โมกเขา, โมกทุง่ , โมกหลวง (ภาคเหนอื ); โมกใหญ่ (ภาคกลาง); ยางพดู (เลย); หนามเนอื้ (เงี้ยว-ภาคเหนือ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ น้ ขนาดเล็ก สงู 5-10 เมตร ทุกสว่ นของต้นมนี า้ ยางสีขาว ใบเดย่ี ว เรียงตรงขา้ ม กว้าง 3.5-14 ซม. ยาว 7-30 ซม. ก้านใบยาว 0.4-1.2 ซม. แผน่ ใบบางคล้ายกระดาษ รูปรีหรือขอบขนาน โคนใบปา้ นหรือรูปลิ่ม ปลายเรยี วแหลม หรอื เป็นติ่งแหลม ขอบเรยี บ ผวิ ใบดา้ นบนและด้านลา่ งเปน็ มัน เกล้ยี ง หรอื มีขนสัน้ นมุ่ ดอกช่อแบบช่อ กระจุก ดอกย่อยมีกา้ น ดอกย่อยท่ีด้านข้างเท่ากนั มขี นาดเล็กกวา่ ดอกย่อยท่ตี รงกลางช่อ ชอ่ ดอกยาว 4-14 ซม. ก้านชอ่ ยาว 0.9-3.5 ซม. หรอื ไมม่ ีกา้ นชอ่ ทกุ สว่ นเกล้ยี ง หรอื มขี นส้ันนมุ่ ดอกย่อยประกอบด้วย กา้ นดอกย่อยส้ันมากหรอื ไม่มี กา้ น ก้านดอกย่อย วงกลีบเล้ียงเชอื่ มติดกนั ปลายแยก 5 แฉก ปลายของแต่ลุแฉกแหลม วงกลีบดอกเช่ือมกนั เปน็ รูปดอก เขม็ ปลายแยก 5 แฉก กว้างประมาณ 0.4-0.8 ซม. ยาวประมาณ 0.7-2.3 ซม. สขี าว รปู ขอบขนาน ปลายมน เกสรเพศ จานวน 5 อนั แยกกัน เกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่เหนือวงกลีบ ผลแตกแนวเดยี ว รปู แถบเรยี วยาว กวา้ งประมาณ 0.5 ซม. ยาว 37-45 ซม. กา้ นผลยาว 1.6-2.5 ซม. เมล็ดจานวนมาก มีปีกบาง ส่วนที่ใช้ : เปลอื กตน้ ใบ ผล เมล็ดใน กระพี้ แก่น ราก สรรพคุณ : เปลือกตน้ - แกบ้ ดิ แก้ไข้พษิ ใบ – ขับไส้เดือนในท้อง ผล – ขับโลหติ เมลด็ ใน – แกไ้ ข้ กระพ้ี – ฟอกโลหติ แกน่ – แกโ้ รคกลาก ราก – ขบั โลหิต วิธแี ละประมาณทีใ่ ช้ แกบ้ ดิ แก้ไข้พิษ ใชเ้ ปลอื กตน้ โมกหลวง ครง่ึ กามือ (6-10 กรมั ) ผสมกบั ผลมะตูมแหง้ อย่างละเท่า ๆ กัน รวมกับเปลอื กรากทับทิมครึง่ ส่วน ตาให้เปน็ ผง ผสมนา้ ผ้งึ ทาเปน็ ลูกกลอน รบั ประทานครงั้ ละ 1-2 กรัม (ของยาทผ่ี สม แลว้ ) ประมาณ 3-5 เมล็ดพุทรา หรือใช้ต้มกบั น้า 1 ถ้วยแก้ว รับประทานวนั ละ 2 คร้งั
๘๘ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Wrightia pubescens R.br. วงศ์ : Apocynaceae ชือ่ อ่นื : โมก, มูก (ภาคกลาง); มกู เกื้อ (จนั ทบุร)ี ; โมกมัน (ชลบุร,ี กาญจนบุรี, นครราชสมี า) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางผลัดใบ สูง 8-20 เมตร ลาตน้ เปลาตรง เปลือกสีเทาอ่อนถงึ นา้ ตาล ลกั ษณะคล้ายไม้ก๊อก ถ้าตัดทุกสว่ นท่ยี งั สดอยู่จะมีน้ายางสีขาวเหนียวๆ ซึมออกมา เรือนยอดรูปทรงกลม ทึบ ก่ิง และยอดอ่อนมีขนนุ่มหนาแน่น ใบ เป็นชนดิ ใบเดี่ยว ตดิ ตรงขา้ มเปน็ ค่ๆู ทรงใบรปู รีๆ รปู ไข่และไข่กลบั กว้าง 3-8 ซม. ยาว 7-18 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบเรียวแหลม เนือ้ ใบบาง มีขนนุ่มทงั้ สองด้าน บางทดี ้านหลังใบของใบแกเ่ กล้ยี งหรือ เกอื บเกล้ียง เส้นแขนงใบ มี 8-15 คู่ เสน้ ใบย่อยเหน็ ไมค่ ่อยชัด ดอก สีขาวอมเหลือง บดิ เวยี นเปน็ รูปกงั หัน ออกรวมกัน เปน็ ชอ่ แบบเป็นพวงกระจายตามปลายกิ่ง ชอ่ ยาว 4-6 ซม. มหี ลายดอก ดอกเม่อื เริ่มบานใหมๆ่ ภายนอกสีเขียวอ่อน ส่วน ดา้ นในสขี าวอมเหลอื ง เมื่อดอกใกล้โรยจะเปลี่ยนเปน็ สีม่วงแกมเหลอื งหรอื ม่วงแดง ดอกบานเตม็ ท่ีกวา้ งประมาณ 2.5 ซม. กลีบฐานดอกเชื่อมติดกนั เป็นกรวยทโี่ คนกลีบ ปลายแยกเป็นแฉกมนๆ 5 แฉก มขี นแนน่ ทง้ั สองดา้ น โคนกลบี ดอกจะเชอื่ ม ติดกันเป็นหลอดยาวถงึ 10 มม. ปลายแยกเป็นกลีบรูปขอบขนาน 5 กลีบ ในดอกตูมกลีบจะบดิ เป็ฯเกลยี วตามเข็มนาฬิกา เมื่อดอกบานกลีบจะบิดเวียนกนั เปน็ รปู กงั หนั แตล่ ะกลบี ยาว 8-16 มม. และมีระยางพิเศษสีสม้ คล้าจนถึงสีม่วงอยู่ถดั จาก ชัน้ กลีบดอกเข้าไป ระยางน้สี ้ันกว่าเกสรตวั ผู้ เกสรตวั ผู้ มี 5 อัน ตดิ อยใู่ กลๆ้ ปากหลอดกลบี ดอกด้านใน ก้านเกสรสั้น สว่ นอับเรณูสขี าว รงั ไข่ รูปรีๆ ภายในแบง่ เป็น 2 ช่อง แตล่ ะช่องมีไข่อ่อนมาก ผล เป็นฝกั รูปทรงกระบอกยาว 17-35 ซม. โตวัดผ่าศูนย์กลาง 8-13 ซม. มีรอ่ งระหวา่ งกลางตามยาวฝกั ทาใหฝ้ ักดูเปน็ สองพู เมื่อฝกั แกจ่ ัดจะแตกอา้ ออกตามแนว ร่องน้ี ผิวฝกั แขง็ ขรขุ ระไปด้วยตมุ่ ชอ่ งระบายอากาศ เมล็ด รูปรๆี คลา้ ยข้าวเปลือก ปลายขา้ งหนง่ึ จะมขี นสขี าวเป็นพู่ สามารถปลวิ ไปตามลมได้ไกลๆ ส่วนทใ่ี ช้ : ใบ ดอก ผล เปลอื ก แกน่ ราก กระพ้ี สรรพคณุ : ใบ – ขบั เหงอ่ื ดอก – เป็นยาระบาย ผล - แกโ้ รครามะนาด เปลือก – แก้โรคคุดทะราด กระพ้ี - บารุงถงุ น้าดี แกน่ – ขับโลหติ เสีย ราก - ขับลม
๘๙ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Garcinia mangostana L. ช่ือสามัญ : Mangosteen วงศ์ : Guttiferae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น สูง 10 - 12 เมตร ทุกส่วนมียางสเี หลือง ใบเดยี่ ว เรียงตรงข้าม รูปไข่ หรอื รูปวงรแี กม ขอบขนาน กวา้ ง 6 - 11 ซม. ยาว 15 - 25 ซม. เนือ้ ใบหนา และค่อนขา้ งเหนียว คลา้ ยหนัง หลงั ใบสีเขียวเขม้ เป็นมนั ท้องใบสีออ่ น ดอกเดยี่ วหรอื เป็นคู่ ออกท่ซี อกใบ ใกล้ปลายกง่ิ สมบูรณเ์ พศ หรอื แยกเพศ กลีบเลี้ยงสเี ขยี วอมเหลือง กลีบ ดอกสแี ดง ฉา่ นา้ ผลเปน็ ผลสด คอ่ นขา้ งกลม สว่ นทีใ่ ช้ : เปลือกผลแหง้ สรรพคุณ : 1.รักษาโรคท้องเสยี เรื้อรัง และโรคลาไส้ 2.ยาแกท้ ้องร่วง ท้องเดิน 3.ยาแกบ้ ิด (ปวดเบง่ และมีมกู และอาจมีเลอื ดด้วย) เป็นยาคุมธาตุ 4.เป็นยารกั ษานา้ กัดเท้า รักษาบาดแผล 5.รสฝาด สมานแผล ใช้ชะลา้ งบาดแผล แก้แผลเปื่อย แผลเป็นหนอง ยาฟอกแผลกลาย ทาแผลพุพอง วธิ ีและปรมิ าณท่ีใช้ 1.รกั ษาโรคท้องเสียเรอ้ื รัง และโรคลาไส้ ใชเ้ ปลือกมังคดุ ครึง่ ผล (ประมาณ 4-5 กรัม) ต้มกบั นา้ ความ แรง 1 ใน 10 รบั ประทานครั้งละ 1 ถว้ ยแกว้ ถ้าเป็นยาดองเหล้า ความแรง 1 ใน 10 รบั ประทานครั้งละ 1 ช้อนชา 2.ยาแกอ้ าการท้องเดิน ท้องรว่ งใช้เปลือกผลมังคดุ ตากแห้งต้มกับน้าปนู ใส หรือฝนกบั น้ารบั ประทาน ใช้ เปลือกตม้ น้าให้เด็กรบั ประทานครั้งละ 1-2 ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง ผใู้ หญ่คร้งั ละ 1 ช้อนโต๊ะ ทกุ 4 ช่วั โมง 3.ยาแกบ้ ิด (ปวดเบง่ และมีมูกและอาจมเี ลือดด้วย) ใชเ้ ปลือกผลแหง้ ประมาณ ½ ผล (4 กรัม) ย่างไฟให้ เกรียม ฝนกับนา้ ปนู ใสประมาณครงึ่ แกว้ หรอื บดเปน็ ผง ละลายน้าสกุ รบั ประทานทกุ 2 ช่ัวโมง 4.เปน็ ยารกั ษาแผลนา้ กัดเท้า และแผลพุพอง แผลเน่าเปื่อย เปลือกผลสด หรอื แห้ง ฝนกบั นา้ ปูนใส ให้ขน้ ๆ พอควร ทาแผลน้ากัดเท้า วันละ 2-3 คร้งั จนกว่าจะหาย ทาแผลพพุ อง แผลเป่ือยเนา่ ข้อควรระวัง ก่อนทีจ่ ะใช้ยาทาท่บี รเิ วณนา้ กัดเทา้ ควรทีจ่ ะ 1.ลา้ งเท้าฟอกสบูใ่ ห้สะอาด 2.เชด็ ใหแ้ หง้ 3.ถ้ามีแอลกอฮอลเ์ ช็ดแผล ควรเช็ดก่อนจึงทายา คุณคา่ ด้านอาหาร มังคุดประกอบดว้ ย แรธ่ าตุ และวติ ามินหลายชนดิ ทใ่ี ห้ประโยชนต์ อ่ ร่างกาย สารเคมี Chrysanthemin, Xanthone, Garcinone A, Garcinone B, Gartanin, Mangostin, Kolanone
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288