Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คุณค่าสมุนไพรไทยคนไทยควรรู้ไว้

คุณค่าสมุนไพรไทยคนไทยควรรู้ไว้

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2021-08-23 03:15:29

Description: คุณค่าสมุนไพรไทยคนไทยควรรู้ไว้

Search

Read the Text Version

๒๔๐ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Plumbago zeylanica L. ช่ือสามัญ : วงศ์ : PLUMBAGINACEAE ชื่ออ่ืน : ตอชวุ า, ต้ังชอู ว้ ย (กะเหร่ียง-แม่ฮอ่ งสอน) ปิดปิวขาว (ภาคเหนอื ) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ มุ่ เตยี้ หรือไมล้ ้มลกุ อายหุ ลายปี สงู 1-3 เมตร ก่งิ ก้านมักทอดยาว ใบรปู ไข่ ยาว 3-13 ซม. ปลายใบแหลมยาว ตอนปลายเปน็ ตง่ิ โคนในรูปลม่ิ หรอื มน ใบบาง ชอ่ ดอกแบบช่อกระจะเชงิ ลด ดอกจานวนมาก แกนกลางและก้านชอ่ ดอกมีต่อมไร้กา้ น (เจตมูลเพลิงแดงไม่ม)ี ช่อดอกยาวได้ประมาณ 15 ซม. ก้านช่อยาว 1.5-2 ซม. ใบ ประดับรปู ไข่ ยาว 0.4-0.8 ซม. ใบประดบั ย่อยรปู แถบ ยาวประมาณ 0.2 ซม. กลบี เล้ียง 5 กลีบ ยาวประมาณ 1 ซม. มี ต่อมหนาแนน่ กลีบดอกสขี าวหรอื สฟี ้าอ่อน หลอดกลบี ดอกยาวประมาณ 2 ซม. กลบี ดอกรูปไข่กลับหรือรปู ขอบขนาน แกมรูปใบหอก ยาวประมาณ 0.7 ซม. ปลายแหลมหรอื เป็นต่งิ อับเรณูสนี ้าเงิน ยาวประมาณ 0.2 ซม. รังไขร่ ูปรี เป็น 5 เหลีย่ ม ก้านเกสรเพศเมียเกล้ียง ผลแบบแคปซลู ส่วนทใี่ ช้ : ราก ตน้ ใบ สรรพคุณ : ราก - เป็นยารักษาโรคผิวหนงั กลากเกลื้อนและผื่นคัน ขับพยาธิ แกป้ วดข้อ ขับประจาเดือน ขับลมลาไส้ แก้อาการหาวเรอ ต้น – เปน็ ยาขบั ระดู ใบ - แก้ฟกช้า ฝบี วม มาเลเรีย ขอ้ ห้ามใช้ : หา้ มใชใ้ นหญิงทอ้ ง จะทาให้แท้งได้ เพราะมีฤทธิร์ ้อนและบบี มดลกู เหมือนรากเจตมูลเพลงิ แดง (Plumbago indica L.) แต่ฤทธ์ิออ่ นกวา่ ขอ้ ควรระวัง : เมอื่ ทาเจตมลู เพลงิ ขาวแล้ว ให้สงั เกตวา่ โรคผวิ หนังอาการดขี ้นึ หรือไม่ ถา้ มีอาการปพุพองมากขน้ึ ใหร้ บี หยดุ ยา เพราะยาตวั น้ี ถา้ ใชม้ ากจะทาใหเ้ ปน็ แผลพุพองได้ ตารับยาและวธิ ีใช้ ปวดขอ้ หรือเคล็ดขัดยอก ใช้รากแห้ง 1.5-3 กรมั ตม้ น้าหรือแชเ่ หล้า รับประทานคร้ังละ 5 ซ.ี ซ.ี วัน ละ 2 คร้งั ขบั ประจาเดือน ใชร้ ากแห้ง 30 กรัม และเน้ือหมูแดง 60 กรมั ต้มน้าดื่ม แก้กลากเกล้ือน ใชร้ ากสด 1-2 ราก ตาใหล้ ะเอยี ด ผสมกับนา้ หรือเหล้าหรือน้ามันพืชเล็กน้อย ทาบริเวณที่ เป็น แกไ้ ขม้ าเลเรยี ใช้ใบสด 7-8 ใบ ตาละเอยี ด พอกบริเวณชีพจรตรงขอ้ มือ 2 ขา้ ง ก่อนจะเกิดอาการ 2 ชวั่ โมง (พอกจนกระท่งั บริเวณที่พอกรู้สึกเยน็ จงึ เอาออก)

๒๔๑ ฝีคัณฑสูตร ฝบี วม เต้านมอกั เสบ ไฟลามทุ่ง ใชใ้ บสดพอประมาณ ตาใหล้ ะเอยี ด ใช้ผา้ ก๊อส 2 ชั้นหอ่ พอก บรเิ วณที่เป็นจนกระท่ังหาย ฟกชา้ ใช้ใบสด 1 กามอื ตาใหล้ ะเอียด ใสเ่ หล้าเลก็ น้อย ทาบรเิ วณท่เี ป็น สารเคมี ราก มี plumbagin 3.3-bilumbagin, 3-chloroplumbagin

๒๔๒ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Plumbago indica L. วงศ์ : PLUMBAGINACEAE ชือ่ อืน่ : คยุ วู่ (กะเหร่ียง-กาญจนบุรี) ตง้ั ชู้โว้ (กะเหร่ยี ง-แม่ฮ่องสอน) ปิดปิวแดง (ภาคเหนอื ) ไฟใตด้ นิ (ภาคใต้) อบุ ะกู จะ๊ (มลายู-ปตั ตานี) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลกุ อายหุ ลายปี สูง 0.5-2 เมตร ก่งิ กา้ นมักทอดยาว ใบเด่ยี ว เรียงสลับ รูปรแี กมรูปไข่ ยาว 3-13 ซม. โคนใบมนหรือกลม ปลายใบแหลม ใบบาง ดอกออกเปน็ ชอ่ แบบชอ่ กระจะเชิงลด ยาว 20-90 ซม. กา้ นช่อ ดอกยาว 1-3 ซม. มดี อกจานวนมาก ใบประดับและใบประดับยอ่ ยรูปไขข่ นาดเล็ก ยาว 0.2-0.3 ซม. กลบี เล้ียง 5 กลีบ รูป ใบหอก ยาว 0.8-0.9 ซม. มตี ่อมทวั่ ไป ดอกสีแดงหรอื ม่วง หลอดกลบี ดอกยาว 2-2.5 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปไข่ กลับ ยาวประมาณ 2 ซม. ปลายกลีบกลม เปน็ ต่ิงหนามตอนปลาย เกสรเพศผู้ 5 อนั ติดตรงขา้ มกลบี ดอก อบั เรณยู าว ประมาณ 2 มม. รงั ไข่รูปรี กา้ นเกสรเพศเมียมหี ลายขนาด มขี นยาวที่โคน สว่ นทีใ่ ช้ : ราก สรรพคณุ : เป็นยาขมเจริญอาหาร แกธ้ าตุพิการ เปน็ ยาบารุง เป็นยาขบั ประจาเดือน เปน็ ยาฆา่ เช้ือโรค วิธใี ช้ เป็นยาขมเจรญิ อาหาร ใช้รากแห้งผสมกับ ผลสมอพเิ ภก ดีปลี ขงิ อย่างละเท่าๆ กัน บดเปน็ ผงรวมกนั รับประทานกบั นา้ ร้อน ครงั้ ละ 2.5 กรมั ประมาณ 1 ช้อนแกง ขอ้ ควรระวัง – สตรีที่ต้ังครรภ์ไม่ควรใช้ยาน้ี เป็นยาขับประจาเดือน ใช้รากแห้ง 1-2 กรัม ตม้ กบั น้า 2 ถ้วยแกว้ รบั ประทานครัง้ ละ 1/4 ถ้วยแกว้

๒๔๓ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Gossypium herbaceum L. ชื่อสามัญ : White cotton วงศ์ : MALVACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ ่มุ ลาต้น มีสีนา้ ตาลแดงอาจเป็นเหล่ียม ใบ เด่ยี ว รปู ไข่กว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยกั 3-5 หยกั ฐานใบเป็นรูปหัวใจ กา้ นใบค่อนข้างยาว ดอก เด่ียว มใี บประดับ 5 กลีบตดิ กัน กลีบดอกสีเหลือง ผล กลมปลาย ยาวแหลม เมล็ด รูปไข่ มีขนสขี าวยาว 3.7-5 เซนตเิ มตร รอบๆ สว่ นท่ีใช้ : เปลอื กตน้ ราก สรรพคุณ : เปลอื กต้น ราก - ปรงุ รบั ประทานเปน็ ยาขบั โลหิตระดู ทาใหม้ ดลูกบบี ตวั อยา่ งแรง อาจทาใหเ้ กดิ การแท้ง บุตรไดง้ า่ ย รบั ประทานเป็นยาต้ม 1 ใน 5 หรือน้ายาสกดั และทิงเจอร์ (1ใน 4) ครง้ั ละ 2-4 ซซี .ี

๒๔๔ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma xanthorrhiza Roxb. วงศ์ : ZINGIBERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ลม้ ลุก สูงได้ถงึ 1 เมตร หัวใต้ดินขนาดใหญ่ อาจยาวถงึ 10 ซม. เน้อื สีส้มถงึ สีสม้ แดง ใบ เดยี่ ว เรยี งสลับ ออกเป็นกระจุกเหนอื ดิน รูปวงรหี รือรปู วงรีแกมใบหอกกวา้ ง 15 - 20 ซม. ยาว 40 - 90 ซม. มแี ถบสมี ว่ ง กว้างได้ถึง 10 ซม. บรเิ วณกลางใบ ดอกช่อเชิงลด ออกท่บี ริเวณกาบใบ ก้านดอกยาว 15 - 20 ซม. กลีบดอกสีแดงอ่อน ใบประดับสีม่วง เกสรตวั ผู้ท่เี ปน็ หมนั แปรรูปคลา้ ยกลีบดอกสเี หลือง ผลแหง้ แตกได้ สว่ นทใ่ี ช้ : เหงา้ ราก สรรพคณุ : ราก – แก้ท้องอืดเฟ้อ เหงา้ เป็นยาบบี มดลูก ทาให้มดลูกเข้าอู่เร็วหลงั จากการคลอดบตุ ร ทาใหป้ ระจาเดอื นมาปกติ ขบั ประจาเดอื นในกรณที ่ีประจาเดือนมาไม่ปกติ รักษาโรคมดลูกพิการปวดบวม แก้ปวดมดลกู แก้ริดสีดวงทวาร แก้ไสเ้ ลอื่ น ขับเลือด ขับลม ขับนา้ คาวปลา แก้โรคลม รกั ษาอาการอาหาร ไมย่ ่อย

๒๔๕ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Molineria latifolia Herb. ex Kurz วงศ์ : HYPOXIDACEAE ชอื่ อ่นื : จ๊าลาน มะพรา้ วนกคุม่ (เชียงใหม่) พร้าวนก พรา้ วนกคุ่ม (นครศรีธรรมราช) ละโมยอ (มาลายู-นราธวิ าส) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลุก ลักษณะคล้ายพืชพวกปาลม์ ใบ เรียงสลับติดกันที่โคนต้น แผน่ ใบรูปขอบขนานแกม รปู หอก พับเป็นร่อง ๆ ตามยาว คลา้ ยใบปาลม์ กว้างประมาณ 4 – 6 เซนตเิ มตร ยาวประมาณ 30 – 40 เซนตเิ มตร ปลายใบเรยี วแหลมโคนใบสอบแคบ ก้านใบยาว 25 – 30 เซนตเิ มตร โคนแผ่กว้างห้มุ ลาตน้ ดอก มี 6 กลบี สีเหลอื ง โคน เชอื่ มตดิ กัน เสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง 2 – 2.5 เซนติเมตร ดอกออกรวมกันแน่น เปน็ ชอ่ รูปทรงกระบอกปลายแหลม ยาว 5 – 7 เซนติเมตร กว้าง ประมาณ 4 – 5 เซนตเิ มตร ผล ผลแกส่ ีขาวถงึ แดง ขนาดยาวประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร ส่วนท่ดี า้ นขั้ว ปอ่ ง ออกเสน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนตเิ มตร และค่อย ๆ เรียวไปทางปลายผล ขยายพนั ธุ์ โดยการใช้เมลด็ ส่วนทีใ่ ช้ : ราก สรรพคณุ : ราก - รับประทานเป็นยาชกั มดลกู เช่น คลอดบตุ รใหม่ๆ มดลูกลอย เพราะความอักเสบ เนื่องจากความ เคลื่อนไหวของมดลกู จากท่เี ดิมให้เปน็ ปกติ วธิ ใี ช้ : นารากมาห่นั บางๆ ตากแห้ง ดองกับสุรารับประทานเป็นยาชักมดลูก

๒๔๖ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Amoora culcullata Roxb. วงศ์ : MELIACEAE ชื่ออื่น : แดงน้า (ภาคใต้) ตาเสือ, โกล (ภาคกลาง) เซ่ (แม่ฮ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมย้ นื ต้นขนาดเล็ก-กลาง อาจสูงถึง 18 เมตร ไมผ่ ลัดใบ เปลือกเรียบ สีชมพูอมเทา มีราก หายใจรูปคลา้ ยหมุด ยาว 30-50 ซม. จากผิวดิน หนาแนน่ บริเวณโคนตน้ ใบ เปน็ ใบประกอบแบบขนนกชน้ั เดยี ว ยาว 20- 40 ซม. ขอบใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ไมส่ มมาตรกนั ขนาด 3-6 x 8-17 ซม. ปลายใบแหลมถงึ มน ฐานใบมน ขอบใบ เรยี บ แผน่ ใบเกล้ียงทง้ั สองด้าน ผวิ ใบดา้ นบนเปน็ มนั ดอก ออกเปน็ ชอ่ เพศผ้เู ปน็ แบบช่อแยกแขนง ช่อดอกห้อยลง แต่ละ ดอกมีเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง 0.3-0.4 ซม. สีเหลือง ดอกเพศเมยี เป็นแบบชอ่ กระจะ มีดอกจานวนน้อย วงกลีบเลี้ยงแยกเป็น 3 แฉก กลีบดอก 3 กลีบ ผล คอ่ นขา้ งกลม เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 5-7 ซม. มี 3 พลู ผลแก่แห้งแตกกลางพลู เมลด็ มีเย่ืออ่อนนุ่ม สีแดงหมุ้ เป็นพรรณไม้ท่ีขนึ้ อยู่ด้านในของปา่ ชายเลน บริเวณน้ากร่อยตามรมิ ชายฝ่ังของแมน่ า้ ท่ีได้รับอิทธิพลจากการ ขึน้ -ลงของน้าทะเล ส่วนท่ีใช้ : เปลือกตน้ เนื้อไม้ ผล ใบ สรรพคณุ : เปลือกต้น - รสฝาด กล่อมเสมหะ ขบั โลหิต เน้อื ไม้ - รสฝาด แกธ้ าตุพิการ แก้ท้องเสยี ผล - แกป้ วดตามขอ้ ต่างๆ ในร่างกาย ใบ - แก้บวม

๒๔๗ , ชื่อวิทยาศาสตร์ : Kaempferia galanga L. ชอ่ื สามัญ : Sand Ginger, Aromatic Ginger, Resurrection Lily วงศ์ : ZINGIBERACEAE ชอ่ื อน่ื : หอมเปราะ (ภาคกลาง) ว่านตนี ดิน วา่ นแผน่ ดินเย็น วา่ นหอม (ภาคเหนือ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : พชื ล้มลกุ อายปุ เี ดียว มีลาตน้ เปน็ หวั อยู่ใต้ดนิ เรยี กว่า เหง้า เนือ้ ภายในสเี หลืองอ่อน มสี ี เหลอื งเข้มตามขอบนอก มีกลิ่มหอมเฉพาะตวั ใบเป็นใบเดยี่ ว แทงข้นึ จากเหง้าใต้ดิน 2-3 ใบ แผ่ราบไปตามพ้นื ดนิ หรือ วางตวั อยู่ในแนวราบเหนือพืน้ ดนิ เล็กน้อย ใบมรี ูปรา่ งค่อนข้างกลมหรือรูปไข่ป้อม ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือเว้า เลก็ น้อย มีขนอ่อนบริเวณท้องใบ บางครงั้ อาจพบขอบใบมีสีแดงคลา้ เนอื้ ใบค่อนขา้ งหนา ตวั ใบมขี นาดกวา้ ง 5-10 ซม. ยาว 7-15 ซม. ก้านใบเปน็ กาบยาว 1-3 ซม.ดอกออกรวมกันเปน็ ชอ่ ยาว 2-4 ซม.มี 4-12 ดอก ออกตรงกลางระหว่างใบ ดอกมีสีขาว หรอื สขี าวอมชมพแู ตม้ สมี ่วง แตล่ ะดอกมี กลีบประดับ 2 กลบี รองรบั อยู่ ซ่ึงใบและต้นจะเริ่มแหง้ เม่ือมดี อก ผลเปน็ ผลแห้ง แตกได้ พบมากทางเหนือ ใบอ่อนม้วนเปน็ กระบอกออกมาแลว้ แผร่ าบบนหน้าดิน ต้นหนึง่ ๆ มักมี 1 – 2 ใบ ใบมีรูปรา่ งทรงกลมโตยาว ประมาณ 5 – 10 ซม. หนา้ ใบเขียว เปราะหอมแดงจะมีท้องใบสีแดง เปราะหอมขาวจะมี ทอ้ งใบสีขาว มีกลน่ิ หอม หวั กลมเหมอื นหัวกระชาย ใบงอกงามในหน้าฝน และจะแหง้ ไปในหนา้ แลง้ ส่วนทใ่ี ช้ : ดอก ตน้ หัว ใบทัง้ สด หรอื แหง้ สรรพคุณ : เปราะหอมขาว ดอก - แก้เด็กนอนสะดงุ้ ผวา ร้องไหต้ าเหลือก ตาช้อนดหู ลงั คา ตน้ – ขบั เลอื ดเนา่ ของสตรี ใบ – ใช้ปรุงเป็นผกั รบั ประทานได้ หัว แกโ้ ลหติ ซึ่งเจอื ด้วยลมพิษ ปรงุ เป็นเคร่ืองเทศสาหรับแกง สุมศีรษะเด็ก แก้หวัด คัดจมูก รับประทาน ขบั ลมในลาไส้ สรรพคุณ : เปราะหอมแดง ใบ – แก้เกลอื้ นช้าง ดอก – แก้โรคตา ต้น - แกท้ อ้ งขึ้น ทอ้ งเฟอ้ หวั - ขบั เลือด และ หนองให้ตก แก้ลมพษิ แก้ผ่นื คนั แก้ไอ แก้บาดแผล หวั และใบ – ใช้ในการปรุงเปน็ อาหารได้ วิธีและปรมิ าณท่ใี ช้ :ทง้ั เปราะหอมขาว และเปราะหอมแดง ใช้เปราะหอมสด 10-15 กรัม หั่นเปน็ ชิ้นเล็กๆ หัวสดใช้ 1/2- 1 กามือ ต้มกับน้า 1 ถ้วยแกว้ ดม่ื 1-2 ครง้ั เปราะหอมขาวและแดง เปน็ ไมล้ งหวั จาพวกมหากาฬ ใบหนาแทงขึ้นมาจาก หวั ใต้ดนิ มว้ นๆ คลา้ ยๆ หูม้า หนา้ ใบเขียว เปราะหอมขาว ท้องใบมีสีขาว เปราะหอมแดง ทอ้ งใบมีสีแดง ใบยาวราว 3-4 นว้ิ ฟุต ใบมกี ล่นิ หอม ลงหวั กลมๆ เป็นไม้เจรญิ ในฤดฝู นพอยา่ งเข้าฤดูหนาว ตน้ และใบกโ็ ทรมไป เปราะหอมทงั้ สองรสเผด็ ขม แก้เสมหะ เจรญิ ไฟธาตุ แก้ลมท้ิง

๒๔๘ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bauhinia malabarica roxb. วงศ์ : LEGUMINOSAE-CAESALPINIODIDEAE ชื่ออื่น : คงั โค (สุพรรณบรุ ี) แดงโค (สระบรุ )ี ปา้ ม (ส่วย-สรุ นิ ทร์) สม้ เสยี้ ว (ภาคเหนอื ) เสยี้ วสม้ (นครราชสึมา) เสยี้ วใหญ่ (ปราจีนบรุ )ี ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้นขนาดกลาง สงู ถงึ 15 เมตร เปลือกต้นสเี ทา เปลือกแตกเป็นสะเก็ดยาวตามลาตน้ ใบ ทรงกลมเว้า ปลายเป็นพูกลมต้ืนๆ ใบแก่เหนียว เรยี บ ท้องใบมีนวล สีเขยี วออกเทา ดอก ออกดอกเป็นชอ่ ตามซอกใบหรอื ตามงา่ มใบ สขี าวออกเขียวหรือเหลอื งอ่อน เปน็ ช่อเลก็ ๆ ออกดอกเดอื น พฤษภาคม - มถิ ุนายน ผล เปน็ ฝักแบนยาว โคง้ งอ ฝกั อ่อนสีเขียว ฝักแก่แหง้ สนี า้ ตาล เมลด็ แบน ผิวเรียบมนั มี 8-12 เมลด็ ออกผลเดือนกรกฏาคม - กนั ยายน แหลง่ ที่ พบ ปา่ เต็งรัง ส่วนทีใ่ ช้ : ใบ เปลอื กต้น สรรพคณุ : ใบ มีรสเปร้ยี วฝาด เปน็ ยาขบั โลหติ ระดู และขับปัสสาวะ แกแ้ ผลเปือ่ ยพงั ใชใ้ บสม้ เส้ียวรว่ มกบั ยาระบาย ทา ให้ขับเมือกเสมหะตกทางทวารหนกั ได้ดี ใชร้ ว่ มกบั ยาบารงุ โลหิตระดทู ่เี ป็นลิ่มเป็นกอ้ นมีกล่นิ เหม็นให้ปกตดิ ีขึ้น เปลือกต้น - รสเปรีย้ วฝาด แก้ไอ ฟอกโลหติ

๒๔๙ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Drynaria quercifolia (L.) J.Sm. วงศ์ : POLYPODIACEAE ชอ่ื อนื่ : กระแตไตไ่ ม้ (ภาคกลาง), กระปรอก (จนั ทบุรี), กระปรอกวา่ ว (ประจวบครี ีขนั ธ์, ปราจนี บรุ ี), กูดขาฮอก เชา้ วะ นะ พุดองแคะ (กะเหร่ยี ง-แม่ฮอ่ งสอน), เดาน์กาโละ (มลายู-ปตั ตาน)ี , ใบหูชา้ ง สไบนาง (กาญจนบรุ )ี , สะโมง (ส่วย- สรุ นิ ทร์), หัวว่าว (ประจวบคีรีขนั ธ์) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เฟริ น์ อิงอาศัย เหง้าทอดยาว เส้นผ่านศนู ย์กลาง 1.5-4 ซม. ยาวไดถ้ ึง 1 ม. หรือมากกวา่ มี เกล็ดสนี ้าตาลเข้ม เกลด็ แคบ กวา้ งประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 1.8 ซม. ปลายเรยี วยาว รากสัน้ ๆ มีรากขนออ่ นสี น้าตาล ใบเดยี่ ว มีรปู ร่างและหน้าทตี่ ่างกนั 2 แบบ ใบไม่สรา้ งอบั สปอรเ์ ปน็ รปู ไข่ กวา้ ง 10-25 ซม. ยาว 15-35 ซม. ปลายแหลม โคนมน ขอบหยักเวา้ มนตื้นๆ เข้าหาเสน้ กลางใบทง้ั 2 ด้าน ปลายมน ไมม่ ีก้านใบ ใบชนิดนีจ้ ะมีสเี ขียวอยู่ชวั่ ระยะเวลาหนงึ่ ต่อมาจะเปล่ยี นเป็นสนี ้าตาลและแห้งแตย่ ังคงติดอยู่กบั ต้น ดงั น้นั จะเห็นซ้อนกนั หลายใบ เปน็ ทส่ี ะสมของ ใบไมแ้ ห้งทต่ี กลงมา ซงึ่ จะกลายเป็นปุ๋ยใหต้ ้น ใบสรา้ งอบั สปอรก์ วา้ ง 20-35 ซม. ยาว 0.6-1 ม. รูปคลา้ ยใบประกอบแบบ ขนนก ขอบหยักเวา้ ลกึ เข้าหาเสน้ กลางใบทง้ั 2 ดา้ น แต่ละหยกั ลึกเกือบถึงเส้นกลางใบ ใบชนดิ น้ีมีสีเขยี วตลอดอายุ เมอื่ ใบแก่แผน่ ใบจะร่วงไป คงเหลือส่วนกา้ นใบและเสน้ กลางใบตดิ อยู่กบั ต้น เสน้ ใบเปน็ รา่ งแห กล่มุ อบั สปอรร์ ูปกลมหรือรปู ไข่ เรยี งตัวค่อนข้างมีระเบียบ 2 ขา้ งของเสน้ ใบท่ีแบ่งกลางแต่ละแฉก สว่ นที่ใช้ : สว่ นหัว สรรพคณุ : ส่วนหวั ของกระแตไต่ไม้ ปรงุ เป็นยาต้มรับประทานเปน็ ยาขบั ปสั สาวะ แกน้ ว่ิ แก้ปัสสาวะพิการและกระปริ กระปรอย ขบั ระดขู าว แก้เบาหวาน แกไ้ ตพกิ าร เป็นยาคุมธาตุ เปน็ ยาเบอ่ื พยาธิ ใบ - ตาพอกแผล แกแ้ ผลเรื้อรังและแผลพุพอง วธิ ีใช้ : ใช้สว่ นหัวของกระแตไต่ไม้ ต้มรับประทาน

๒๕๐ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Piper sarmentosum Roxb. ชอื่ สามัญ : Wildbetal Leafbush วงศ์ : PIPERACEAE ชื่ออื่น : นมวา (ภาคใต้) ผักปนู า ผกั พลูนก พลลู ิง (ภาคเหนือ) เยเ่ ทย้ (กะเหรยี่ ง-แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก ลาต้นทอดคลานไปตามพืน้ ดนิ สงู 30-80 เซนติเมตร ลาตน้ สเี ขียว มีไหลงอกเป็นต้น ใหม่ มรี ากงอกออกตามข้อ ใบ เป็นใบเดีย่ ว ออกเรียงสลับ แผน่ ใบบาง ผวิ ใบเรยี บสีเขยี วเขม้ เป็นมนั ใบรูปหวั ใจ กว้าง 5-10 ซม. ยาว 7-15 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบเวา้ ดอก ออกเปน็ ช่อที่ซอกใบรปู ทรงกระบอก ดอกเล็กสขี าวอัดแนน่ อยู่ บนแกนช่อดอก ดอกแยกเพศ ผล เป็นผลสด กลม อดั แน่นอยบู่ นแกน สว่ นท่ใี ช้ : ผล ใบ ทงั้ ตน้ ราก สรรพคณุ : ผล - เปน็ สว่ นผสมของยารักษาโรคหืด แกบ้ ดิ ราก ต้น ดอก ใบ – ขับเสมหะ ราก - แกธ้ าตุพิการ บารงุ ธาตุ แก้ทอ้ งขนึ้ อืดเฟ้อขบั ลม แก้บิด ทั้งตน้ แก้เสมหะ ท้องอืด ทอ้ งเฟ้อ รกั ษาโรคเบาหวาน วิธแี ละปรมิ าณที่ใช้ รกั ษาโรคเบาหวาน ใชช้ ะพลูสดทง้ั 5 จานวน 7 ตน้ ล้างน้าให้สะอาด ใส่น้พอทว่ ม ตม้ ให้เดือดสกั พกั นามา ด่ืม เหมอื นด่ืมน้าชา ข้อควรระวงั - จะต้องตรวจน้าตาลในปสั สาวะก่อนดืม่ และหลงั ด่ืมทกุ ครั้ง เพราะวา่ นา้ ยานท้ี าใหน้ า้ ตาลลดลงเร็วมาก ต้อง เปลย่ี นต้นชะพลใู หม่ทุกวันที่ต้ม ต้มดืม่ ต่อไปทุกๆ วนั จนกว่าจะหาย แกท้ ้องอืดเฟ้อ ขับลม ใชร้ าก 1 กามือ ต้มกับน้า 2 ถ้วยแก้ว เคีย่ วให้เหลอื 1 1/2 ถว้ ยแก้ว รบั ประ ประทานคร้ังละ 1/2 ถว้ ยแกว้ แกบ้ ิด ใช้รากคร่งึ กามือ ผล 2-3 หยบิ มอื ต้มกับน้า 2 ถ้วยแก้ว เคย่ี วให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานครั้ง ละ 1/4 ถ้วยแก้ว

๒๕๑ ช่ือวิทยาศาสตร์ : Physalis angulata L. ชอื่ สามัญ : Hogweed, Ground Cherry วงศ์ : SOLANACEAE ช่ืออืน่ : ต้อมต๊อก บาตอมต๊อก (เชียงใหม่) ตะเงหล่ังเช้า (จนี ) ปงุ ปิง (ปัตตานี) ปิงเป้ง (หนองคาย) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ลาต้นอวบนา้ เปลอื กเกลยี้ งสีเขยี ว โคนสมี ว่ งแดงและสีคอ่ ย ๆ จางลงเปน็ สี เขยี วใสเปน็ เหลีย่ ม ยอดเป็นสีเขยี วอ่อน ลาตน้ สูงประมาณ 25 - 50 เซนติเมตร สงู เต็มที่ 120 เซนตเิ มตร แตก ก่ิงก้านสาขา ใบ เปน็ ใบเดีย่ วสเี ขยี วเรยี งสลับออกตามข้อ ๆ ละใบ มกี ้านยาว 2 - 3 เซนติเมตร ลกั ษณะใบคล้ายใบพริก รปู หอกปา้ น ปลายแหลมและขอบใบเรียบ ใบกวา้ ง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร มเี สน้ แขนงใบ 5 - 7 คู่ ดอก ออกระหว่างก้านใบกบั ลาต้น ดอกเล็กคล้ายดอกพริก แต่กลีบดอกส้นั และแข็งกวา่ ดอกตูมทรงรปี ลายแหลม เวลาบาน เปน็ รูปแตร มเี ส้นผ่าศนู ยก์ ลาง 1.5 - 2 เซนติเมตร กลีบดอกช้ันในมสี เี หลอื งอ่อน กลีบดอกชน้ั นอกหรอื กลบี เลยี้ งมสี ีเขียว ออ่ น จานวน 5 กลีบ ซง่ึ จะเจริญเติบโตขยายตัวหุ้มผลภายในไว้หลวม ๆ ทาให้ดูเสมือนว่าผลพอง ออกดอกตงั้ แต่เดอื น กุมภาพนั ธ์เร่อื ยไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน ผล ผลโทงเทงมีกลบี ดอกชน้ั นอกหุ้มเหมือนโคมจีนสีเขยี วออ่ นมีลายสีม่วง ผล ภายในมีขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลาง 1-2 เซนตเิ มตร ผลกลมใสมีสเี ขียวออ่ น และเมื่อสุกกลายเป็นสเี หลือง เมลด็ ในผลมีเมล็ด ขนาดเล็กมีจานวนมาก รูปกลมแบน เส้นผ่าศนู ย์กลางประมาณ 0.2 - 0.3 มลิ ลเิ มตร มีเมือกหุ้มคลา้ ยมะเขือเทศจานวน มาก ส่วนที่ใช้ : ทงั้ ตน้ ราก เย่ือห้มุ ผลแหง้ สรรพคณุ : ทง้ั ตน้ - รกั ษาดีซ่าน ไอหดื เรื้อรงั แผลมหี นอง เจ็บคอ ราก - ใชข้ ับพยาธิ รกั ษาโรคเบาหวาน วิธีและปริมาณทใี่ ช่ ยารักษาโรคหืด ใชท้ ง้ั ตน้ แห้ง 1/2 กโิ ลกรมั ตม้ กบั น้า เติมน้าตาลกรวดลงไปใหห้ วาน รับประทานครั้งบะ 1/4 ถ้วยแก้ว วนั ละ 3 ครั้ง หลงั อาหารเป็นเวลา 10 วัน หยดุ ยา 3 วัน รับประทานต่อไปอกี 10 วัน พักอีก 3 วัน แล้ว รับประทานต่อไปอีก 10 วนั หอบหืดจะได้ผลดี ข้อควรระวัง - ในการรบั ประทานสมนุ ไพรโทงเทงนี้ใน 1-5 วันแรก บางคนอาจมอี าการอดึ อัด เวียนศีรษะ นอนไม่หลบั หงุดหงดิ หลงั จากนน้ั อาหารเหลา่ น้ีจะหายไปเอง ยารกั ษาแผลในปาก เจบ็ คอ ใชเ้ ย่ือหุ้มผลแหง้ ทเี่ อาเมล็ดออกแล้วหนกั 10 กรมั เปลือกส้ม 6 กรมั ต้มกับ นา้ ผสมน้าตาลกรวดพอหวานเล็กน้อย ใชด้ ่มื ตา่ งน้า ใชท้ ้งั ต้น ตาละลายกับสรุ า เอาสาลีชุบน้ายาอมไว้ข้างแก้ม กลนื นา้ ผ่านลาคอทลี ะน้อย แกต้ ่อมน้าลาย

๒๕๒ อกั เสบ (ต่อมทอนซลิ ) แกฝ้ ีในลาคอ (แซงอ้ ) หรอื ละลายกับนา้ สม้ สายชกู ไ็ ด้ แก้ความอกั เสบในลาคอไดด้ ีมาก ใชภ้ ายใน แกร้ ้อนในกระหายนา้ ใช้ภายนอก แก้ฟกบวมอักเสบ ทาใหเ้ ยน็ ยาขับพยาธิ รกั ษาโรคเบาหวาน ใช้รากตม้ กับนา้ รับประทาน

๒๕๓ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amorphophallus campanulatus Bl.ex Dence.(A.paeoniifolius (Dennst.) Nicolson ชอ่ื สามัญ : Elephant yam, Stanley's water-tub วงศ์ : ARACEAE ช่อื อน่ื : บกุ คุงคก (ชลบุรี) เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน) มนั ซูรัน (ภาคดลาง) หัวบกุ (ปัตตาน)ี บุกคางคก (ภาคกลาง, เหนือ) บุกหนาม บกุ หลวง (แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : : ไมล้ ้มลุกเนื้ออ่อน ลาต้นอวบ สเี ขียวเขม้ ตามตน้ มรี อยด่างเป็นดวงๆ เขยี วสลบั ขาว ใบเป็น ชนดิ ใบเดี่ยว แตกใบที่ยอด กลุ่มใบแผ่เป็นแผงคลา้ ยร่มกาง กา้ นใบต่อเนื่องกันเปน็ กลุ่ม กลมุ่ ละ 5 – 7 ใบ รปู ใบยาวปลาย ใบแหลม ขนาดใบยาว 12 – 15 ซม. สาตน้ สูง 1 – 2 เมตร ดอกบุกเปน็ สเี หลอื ง บานในตอนเยน็ มีกล่นิ เหมน็ คลา้ ย หนา้ ววั ประกอบด้วยปลี และจานรองดอก จานรองดอกมเี สน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 12 – 15 ซม. เกสรตัวผู้และตวั เมียรวมอยู่ใน ดอกเดียวกัน แตแ่ ยกกันอยู่คนละชน้ั เมื่อบานจานรองดอกจะโรย เหลืออยู่แต่ปลีดอก ซ่ึงจะกลายเปน็ ผล ก่อนออกดอก ต้นจะตายเหลือแต่หัว ซ่งึ เป็นก้อนกลมสขี าว ขนาด 6 – 10 ซม. เจริญเตบิ โตอยู่ใตด้ ิน สว่ นที่ใช้ : เน้อื จากลาต้นใตด้ ิน หวั สรรพคณุ : หวั บุกมสี ารสาคัญ คือกลูโคแมนแนน เป็นสารประเภท คาร์โบไฮเดรท ซึง่ ประกอบดว้ ย กลูโคลส แมนโนส และฟลุคโตส กลโู คแมนแนน สามารถลดปริมาณน้าตาลในเลือดได้ กเ็ น่ืองจากความเหนี่ยว ซง่ึ ยบั ยั้งการดดู ซึมของกลู โคลสจากทางเดนิ อาหาร ย่งิ หนดื มากย็ ่งิ มผี ลลดการดูดซึมกลูโคลส ดงั น้ัน กลูโคแมนแนน ซ่ึงเหนยี วกว่า gua gum จงึ ลด นา้ ตาลได้ดีกวา่ จงึ ใช้แป้งเป็นวนุ้ เปน็ อาหารสาหรับผูป้ ่ายโรคเบาหวาน สาหรับผู้ป่วยเปน็ โรคมไี ขมันในเลือดสูง วิธีและปริมาณที่ใช้ แยกเป็นแป้งส่วนท่เี ปน็ เนือ้ ทราย แล้งชงน้าดมื่ ใช้แปง้ 1 ชอ้ นชา ต่อนา้ 1 แก้ว ชงดื่มวนั ละ 2-3 ม้ือ ก่อนอาหารคร่ึงชัว่ โมง ใชห้ วั หงุ เป็นน้ามนั ใส่บาดแผล กัด ฝ้าหนอง สว่ นท่เี ปน็ พิษ เหง้าและกา้ นใบถ้าปรุงไม่ดี กนิ เขา้ ไปทาให้คันปาก และลิ้นพอง ทมี่ า: http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=87

๒๕๔ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Tectona grandis L.f. ชอื่ สามัญ : Teak วงศ์ : LABIATAE ชอ่ื อืน่ : เคาะเยียโอ (ละว้า-เชยี งใหม่) ปายี้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุร)ี ปฮี อื เป้อยี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) เสบ่ ายี้ (กะเหรยี่ ง-กาแพงเพชร) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : : ไม้ผลดั ใบสงู ต้งั แต่ 20 เมตรขึ้นไป ลาต้นเปลาตรง โคนเปน็ พูพอนตา่ ๆ เรือนยอดเป็นพ่มุ ทรงกลมค่อนข้างทึบ เปลือกสีเทา เรียบหรือแตกเปน็ ร่องต้นื ตามความยาวลาตน้ เปลือกในสีเขียวออ่ น ใบ เดยี่ ว เรยี บตรง ข้าม ปลายแหลม โคนมน ยาว 25-40 เซนติเมตร กว้าง 20-30 เซนติเมตร ใบตน้ อ่อนจะใหญ่กวา่ นี้มาก ดา้ นล่างสีเขียว เขม้ ดา้ นบนสีอ่อนกวา่ ผวิ ใบมีขนสากมือ มีต่อมเล็ก ๆ สแี ดง ขย้ใี บจะมีสีแดงเหมือนเลือด ดอก ขนาดเล็ก สขี าวนวล ออกเป็นช่อตามปลายกง่ิ ผล แห้งค่อนขา้ งกลม เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร เปลอื กแข็ง เมล็ด มี 1-3 เมล็ด สว่ นท่ีใช้ : ใบ เนื้อไม้ เปลือก ดอก สรรพคุณ : ใบ รสเผ็ดเลก็ น้อย รบั ประทานเป็นยาลดน้าตาลในเลอื ด บารงุ โลหิต รกั ษาประจาเดือนไมป่ กติ แก้พิษ โลหิต ขบั ลม ขับปัสสาวะ แก้ทางเดินปัสสาวะอกั เสบ ทายาอม แกเ้ จบ็ คอ เนอ้ื ไม้ รสเผ็ดเลก็ นอ้ ย รับประทานเปน็ ยา ขบั ลม ขบั ปัสสาวะ ได้ดมี าก ใช้แกบ้ วม บารุงโลหติ แก้ลมใน กระดูก แก้อ่อนเพลยี แก้ไข้ คุมธาตุ ขบั พยาธิ รกั ษาโรคผิวหนงั เปลือก – ฝาดสมาน ดอก – ขับปสั สาวะ วธิ แี ละปรมิ าณทีใ่ ช้ ใช้ใบ - ตม้ กบั นา้ รับประทานเปน็ ยาลดนา้ ตาลในเลอื ด

๒๕๕ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. ชื่อสามัญ : Queen's crape myrtle , Pride of India วงศ์ : LYTHRACEAE ชือ่ อนื่ : ฉ่วงมู ฉ่องพนา (กะเหร่ยี ง-กาญจนบุรี) ตะแบกดา (กรงุ เทพฯ) บางอบะซา (มลายู-ยะลา, นราธวิ าส) บาเย บาเอ (มลายู-ปตั ตาน)ี อินทนิล (ภาคกลาง, ใต้) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมต้ ้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ แต่ผลิใบใหมไ่ ว สงู 5-20 เมตร ลาตน้ ต้นเลก็ มักคด งอ แต่พอใหญ่ขน้ึ จะเปลา ตรง โคนตน้ ไม้ไมค่ ่อยพบพูพอน มกั จะมกี ง่ิ ใหญ่แตกจากลาต้นสงู เหนือพ้นื ดินขนึ้ มาไม่มากนัก ดงั นนั้ เรือนยอดจงึ แผก่ วา้ ง พุ่มแบบรูปรม่ และคลมุ สว่ นโคนตน้ เลก็ น้อยเท่านัน้ ต้นอนิ ทนิลนา้ ทีพ่ บตามธรรมชาติในป่า ท่ัวๆ ไป จะมเี รือนยอดคลมุ ลาต้นประมาณเก้าในสบิ ส่วนของความสงู ท้งั หมด ผวิ เปลือกนอกสีเทาหรือน้าตาลอ่อน และ มักจะมรี อยด่างเป็นดวงสีขาวๆ ทั่วไป ผิวของเปลือกค่อนข้างเรียบ ไมแ่ ตกเปน็ ร่องหรือเปน็ รอยแผลเปน็ เปลือกหนา ประมาณ 1 ซม. เปลอื กในออกสีมว่ ง ใบ เปน็ ชนดิ ใบเดย่ี ว ออกตรงขา้ มหรือเยอื้ งกันเล็กนอ้ ย ทรงใบรูปขอบขนานหรือ รูปขอบขนานแกมรปู หอก กว้าง 5-10 ซม. ยาว 11-26 ซม. เน้อื ใบค่อนขา้ งหนา เกล้ียง เป็นมันท้ังสองด้าน โคนใบมน หรือเบีย้ วเยือ้ งกนั เลก็ น้อย ปลายใบเรียวและเปน็ ตงิ่ แหลม เส้นแขนงใบ มี 9-17 คู่ เส้นโคง้ อ่อนและจะจรดกบั เสน้ ถัดไป บรเิ วณใกล้ๆ ขอบใบเสน้ ใบย่อยเหน็ ไม่เด่นชัดนกั ขอบใบเรียบหรอื เป็นคลืน่ บ้างเล็กนอ้ ย ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. เกลย้ี ง ไม่มีขน ดอก โต มีสีต่างๆ กัน เชน่ สีม่วงสด ม่วงอมชมพู หรอื มว่ งล้วนๆ ออกรวมกันเปน็ ช่อโต ยาวถงึ 30 ซม. ตามปลายกงิ่ หรือตามงา่ มใบตอนใกลๆ้ ปลายกงิ่ ตรงส่วนบนสุดของดอกตูมจะมตี ุม่ กลมเลก็ ๆ ต้งั อยู่ตรงกลาง ผิวนอกของ กลีบฐานดอกซึ่งตดิ กนั เปน็ รูปถ้วยหรือรูปกรวยหงายจะมีสันนูนตามยาวปรากฎชดั และมขี นสนั้ ปกคลุมประปราย กลบี ดอกบาง รปู ชอ้ นทีม่ ีโคนกลีบเปน็ กา้ นเรยี ว ผิวกลีบเป็นคลน่ื ๆ บา้ งเล็กน้อย เมอ่ื บานเตม็ ท่ีจะมรี ศั มีกวา้ งถึง 5 ซม. รังไข่ กลม เกล้ียง ผล รปู ไข่เกลี้ยงๆ ยาว 2-2.5 ซม. เม่อื แก่จะแยกออกเปน็ 6 เส่ียง เผยใหเ้ ห็นเมลด็ เล็กๆ ท่มี ปี ีกเปน็ ครีบ บางๆ ทางดา้ นบน ส่วนทใี่ ช้ : ใบ เปลือก ราก เมลด็ สรรพคณุ : ใบ - รักษาโรคเบาหวาน ลดน้าตาลในเสน้ เลอื ด ขับปสั สาวะ กอ่ นใชใ้ บอนิ ทนิลน้ารกั ษาโรคเบาหวาน คนไข้ ควรใหแ้ พทย์ตรวจนา้ ตาลในเลือดหรอื ในปัสสาวะดูเสียก่อนว่า \"มปี รมิ าณน้าตาลในเลือดอยู่เทา่ ใด\" เม่อื ทราบปรมิ าณ นา้ ตาลในเลอื ดแนน่ อนแล้ว จึงปฏบิ ัตดิ ังน้ีคอื ใหใ้ ช้ใบอินทนิลน้าตากแห้งจานวน 10% ของปริมาณน้าตาลในเลือดของคนไข้ เช่น คนไขม้ ีนา้ ตาลในเลือด 300 มลิ ลิกรัม ใหใ้ ช้ใบอนิ ทนิลนา้ 30 ใบ บบี ให้แตกละเอยี ด

๒๕๖ และใสน่ า้ บริสุทธเ์ิ ท่าปริมาณความต้องการของคนไข้ผู้นั้นใช้ด่มื ในวนั หนงึ่ ๆ เทลงในหม้อเคลือบ หรือหม้อดิน ไมค่ วรใช้ ภาชนะอลูมเิ นยี มต้มยา แลว้ เค่ยี วใหเ้ ดือดประมาณ 15 นาที นานา้ ยาใบอินทนิลนา้ ชงใส่ภาชนะไว้ใหค้ นไข้ด่มื แทนน้า ตลอดวนั ตดิ ต่อกนั ไป 20-30 วัน จึงควรตรวจน้าตาลในเลอื ดของคนไข้ผู้นน้ั อีกครงั้ หนงึ่ เม่ือปรากฏว่าปรมิ าณน้าตาลในเลือดของคนไข้ลดปรมิ าณเหลอื นอ้ ยลงก็ใหล้ ดจานวนใบอินทนลิ น้าลงตาม ปรมิ าณน้าตาลในเลือดของคนไข้ สมมุติวา่ น้าตาลในเลอื ดของคนไข้ลดลงเหลอื 200 มลิ ลิกรมั กค็ วรลดจานวน อนิ ทนิลนา้ ลงเหลอื 20 ใบ แล้วนาไปต้มเคย่ี วให้คนไขด้ ่มื นา้ ด่ืมต่อไปทกุ ๆ วันติดตอ่ กนั 15-21 วนั จงึ ควรตรวจปริมาณ น้าตาลในเลอื ดของคนไข้อีกครง้ั หนึง่ หากน้าตาลลดลงอีกก็ใหล้ งปริมาณใบอนิ ทนิลน้าให้เหลือ 10% ของปรมิ าณนา้ ตาล ในเลอื ดของคนไข้ จนกระท่งั น้าตาลลดลงอยใู่ นระดบั ปกติ จงึ ควรงดใช้ใบอินทนลิ นา้ ใหค้ นไขร้ บั ประทานชั่วคราว หากปรมิ าณน้าตาลในเลอื ดของคนไข้เพมิ่ ขึ้นผิดปกตเิ มอ่ื ใด ก็ใหค้ นไขเ้ ร่มิ รับประทานใบอินทนิลน้าใหม่ สลบั กันจนกว่าคนไขผ้ นู้ ้นั จะหายป่วยจากโรคเบาหวาน เป็นปกติ

๒๕๗ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Betula alnoides Buch.-Ham.ex G.Don ชื่อสามัญ : Birch วงศ์ : Betulaceae ชอ่ื อ่นื : กาลงั เสือโคร่ง(เชียงใหม่) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ยืนต้น สูง ๒๐ -๓๕ เมตร วัดรอบลาตน้ ประมาณ ๑-๒ เมตร เปลือกไม(้ ที่ยงั ไมล่ อก) มี สีนา้ ตาล เทา หรือ เกือบดา มีรูระบายอากาศเป็นจัดขาวเล็กๆ กลม บา้ งรบี างปะปนอยู่ เปลอื กมีกล่ินคล้ายการบรู เวลา แกจ่ ะอกออกเปน็ ช้นั ๆ คล้ายกระดาษ ท่ยี อดอ่อน กา้ นใบและช่อดอกมีขนสีเหลือง หรือ สีนา้ ตาล ปกคลุม หใู บเป็นรปู สามเหลีย่ ม หรอื แคบ ยาวประมาณ ๓-๘ มม.ใบ เปน็ รปู ไข่ถงึ รปู ไขแ่ กมหอก หรอื รปู หอก เน้อื ใบบาง คลา้ ยกระดาษ หรือ หนา ด้านใตข้ องใบมีตมุ่ โคนใบปา้ นเกอื บเปน็ เสน้ ตรง ขอบใบหยกั แบบฟนั เลอื่ ยสองชนั้ หรอื สามช้นั ซีห่ ยักแหลม ปลายใบ เรียวแหลม เส้นแขนงใบ ๗-๑๐ คู่ ดอก ออกเป็นชอ่ ยาวคล้ายหางกระรอก ออกตามง่ามใบแห่งละ ๒-๕ ช่อ ดอกย่อยไม่มี ก้าน ช่อดอกเพศผยู้ าว ๕-๘ ซม. กลบี รองดอกเปน็ รูปโล่หรือกลม มีแกนอยู่ตรงกลาง ปลายคอ่ นข้างแหลม มีขนท่ีขอบ เกสรเพศผู้ ๔-๗ อันตดิ อยู่ที่แกนกลาง ชอ่ ดอกเพศเมียยาว ๓-๙ ซม. กลบี รองดอกไม่มีกา้ น มี ๓ หยัก ดา้ นนอกมขี น รังไข่ แบน กรอบนอกเปน็ รปู ไข่ หรือเกือบกลม มขี น ท่อรงั ไข่ยาวกว่ารงั ไขเ่ ล็กน้อย ผลแก่รว่ งง่าย แบน มีปกี ๒ ขา้ งปีกบาง และโปร่งแสง แหล่งทพี่ บ มักขน้ึ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การออกดอก ระหว่างเดือน พฤศจิกายน – เดอื นกุมภาพนั ธ์ ส่วนท่ีใช้ : เปลอื กต้นไม้ สรรพคณุ : เปลอื กตน้ มีน้ามันหอมระเหยชนดิ หน่งึ กลนิ่ ฉุนแรงคลา้ ยนา้ มันระกา แต่ถ้าทิง้ จนเปลือกแหง้ กลิ่นทาให้เสน้ เอ็นแข็งแรง ชว่ ยชาระลา้ งไตให้สะอาด บารุงกองธาตใุ ห้เป็นปกติ ขับลมในลาไส้ ใชบ้ าบัดอาการผู้ป่วยเปน็ โรคเกี่ยวกับ มดลกู ของผ้หู ญงิ ไมส่ มบูรณ์ มดลูกชอกช้า อักเสบเนอื่ งจากการกระทบกระเทือน แท้งบตุ ร มดลกู ไม่แขง็ แรงให้หายเป็น ปกติ วธิ ีและปริมาณทใี่ ช้ ใชเ้ ปลือกตน้ ถากออกจากลาต้น พอประมาณตามความต้องการ ใส่ภาชนะหรอื กานา้ ตม้ น้าให้เดอื ด เคยี่ วไฟอ่อนๆ นา้ สมนุ ไพรจะเป็นสแี ดง (ถ้าปรงุ รสใหห้ อมหวานใชช้ ะเอมพอสมควรกับน้าตาลกรวด) ให้รับประทานขณะ

๒๕๘ นา้ สมนุ ไพรอุ่นๆ จะมคี ุณภาพดยี ่งิ ข้ึน ถ้าใช้ดองกับสรุ า สีจะแดงเข้ม (ถ้าจะปรุงรสและกลิ่นให้เติมนา้ ผึ้ง-โสมตงั กยุ ) สรรพคณุ จะแรงขึ้นทวีคูณ ตม้ -ดองสรุ าไดถ้ ึง3-4 ครง้ั จนกว่าจะหมดสีของสมุนไพร

๒๕๙ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Cryptolepis buchanani Roem.&Schult. ชอ่ื สามัญ : - วงศ์ : Asclepiadaceae ชือ่ อน่ื : กวน (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) เครือเถาเอน็ (เชียงใหม่) ตีนเป็ดเครอื (ภาคเหนือ) เมือ่ ย (ภาคกลาง) นอออหมี (กะเหรยี่ ง-แม่ฮ่องสอน) หญา้ ลเิ ลน (ปตั ตานี) หมอนตีนเป็ด (สรุ าษฎร์ธานี) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมเ้ ลอื้ ยพาดพนั ตน้ ไม้อ่นื เปลอื กเถาเรียบสนี า้ ตาลอมดา พอแกเ่ ปลอื กจะหลุดล่อนออกเป็น แผ่น ทุกส่วนของตน้ มี นา้ ยางสีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกนั ใบรปู รี ปลายใบมนมีหางสน้ั โคนใบสอบ หลังใบเรียบ เป็นมันและล่นื ท้องใบเรยี บสีขาลนวล กา้ นใบส้ัน ดอก ออกเปน็ ดอกชอ่ ตามซอกใบ ดอกย่อยสเี หลอื งอ่อน กลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชือ่ มติดกัน กลีบเล้ียงสีเขยี ว 5 กลบี ผล ทรงกระบอก ติดกนั เปน็ คู่ ปลายผลแหลม ผิวเปน็ มันลนื่ พอ แก่แตกออกด้านเดยี ว เมล็ดรูปรีสนี า้ ตาล มีขนปยุ สีขาวติดอยู่ ส่วนที่ใช้ : เถา ใบ สรรพคณุ :เถา - ตม้ รับประทานเปน็ ยาแก้เม่ือย ทาให้เส้นเอ็นหยอ่ น จติ ใจชมุ่ ช่ืน เป็นยาบารงุ เส้นเอ็นในร่างกายให้ แขง็ แรง แกเ้ สน้ เอน็ พกิ าร ใบ - ใชโ้ ขลกใหล้ ะเอยี ด ห่อผา้ ทาลกู ประคบ ประคบตามเส้นเอน็ ท่ีปวดเสยี วและตึงเมือ่ ยขบ ทาให้เสน้ ยืด หย่อนดี

๒๖๐ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma aromatica Salisb. ช่อื สามัญ : -วงศ์ : Zingiberaceae ชื่ออื่น : - ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก เหง้าและหัวสเี หลอื ง มีกลน่ิ หอมใบเด่ียว ออกเปน็ กระจุกใกล้ราก ประมาณ 5-7 ใบ รูปใบหอกกวา้ ง กวา้ ง 10-14 ซม. ยาว 40-70 ซม. ปลายเรียวแหลม ท้องใบมขี น ดอกชอ่ เชงิ ลด มักมดี อกก่อนใบงอกจาก เหงา้ ชอ่ ดอกยาวประมาณ 5-8 ซม.ใบประดบั ทปี่ ลายช่อสชี มพู ใบประดบั ทร่ี องรบั ดอกสีขาวแกมเขยี ว ปลายโคง้ ยาวได้ ถึง 6 ซม. ใบประดบั ยอ่ ยสขี าว ยาวประมาณ 2 ซม. กลบี เลยี้ งยาวประมาณ 2 ซม. กลบี ดอกสขี าวแกมชมพู แฉกกลางรปู ไขก่ วา้ ง แฉกข้างรปู ขอบขนาน กลบี ปากรปู โลแ่ ยกเป็น 3 แฉก สเี หลืองเข้ม สว่ นที่ใช้ : หวั ราก สรรพคณุ :หวั ใช้ฝนทาแก้เม็ดผ่ืนคัน prurigo เป็นยาขบั ลมในลาไส้และแกป้ วดท้อง ใชต้ าพอกแก้ฟกช้า และข้อเคล็ด ราก - ใชเ้ ปน็ ยาขับเสมหะและยาสมาน แก้ลงทอ้ ง แกโ้ รคหนองในเร้ือรงั แยกสารได้ น้ามันหอมเรซนิ 4.47 นา้ ตาล 1.21 ยาง กรด ฯลฯ 10.10 แป้ง 18.75 ใยไม้ 25.40 เถ้า 7.51 ความชื้น 9.76 ธาตุ ไข่ขาว (Albuminiadse)

๒๖๑ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Zingiber montanum (Koenig) Link ex Dietr. ชื่อพ้อง : Z.purpureum Roscoe วงศ์ : Zingiberaceae ชอ่ื อน่ื : ปลู อย ปเู ลย (ภาคเหนอื ) วา่ นไฟ (ภาคกลาง) ม้ินสะล่าง(ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลกุ สูง 0.7-1.5 เมตร มเี หง้าใต้ดนิ เปลือกสนี ้าตาลแกมเหลอื ง เน้ือในสเี หลืองถงึ เหลือง แกมเขยี ว แทงหนอ่ หรือลาตน้ เทยี มขึ้นเป็นกอ ซ่ึงประกอบด้วยกาบหรือโคนใบห้มุ ซอ้ นกัน ใบเด่ียว เรยี งสลบั รูปขอบ ขนานแกมใบหอก กวา้ ง 3.5-5.5 เซนตเิ มตร ยาว 18-35 เซนติเมตร ดอกชอ่ แทงจากเหงา้ ใต้ดิน กลีบดอกสีนวล ใบ ประดับสมี ่วง ผลเปน็ ผลแห้งรูปกลม ส่วนท่ใี ช้ : เหงา้ แก่จดั เกบ็ หลังจากตน้ ไพลลงหวั แล้ว สรรพคณุ : เหงา้ เป็นยาแก้ท้องข้ึน ท้องอืดเฟ้อ ขับลม แก้บดิ ท้องเดิน ขับประจาเดอื นสตรี ทาแกฟ้ กบวม แกผ้ ื่นคนั เปน็ ยารักษาหืด เปน็ ยากนั เล็บถอด ใช้ต้มน้าอาบหลงั คลอด นา้ คั้นจากเหงา้ - รักษาอาการเคลด็ ขัดยอก ฟกบวม แพลงชา้ เมือ่ ย หวั - ชว่ ยขับระดู ประจาเดือนสตรี เลอื ดรา้ ย แก้มุตกติ ระดูขาว แก้อาเจียน แก้ปวดฟนั ดอก – ขับโลหิตกระจายเลือดเสีย ต้น - แกธ้ าตุพิการ แก้อจุ าระพกิ าร ใบ - แก้ไข้ ปวดเม่ือย แก้ครั่นเน้อื ครั่นตัว แกเ้ มื่อย วิธีและปริมาณทใ่ี ช้ แกท้ ้องขึน้ ทอ้ งอืดท้องเฟ้อ ขบั ลม ใช้เหงา้ แหง้ บดเปน็ ผง รับประทานครง้ั ละ ½ ถงึ 1 ชอ้ นชา ชงนา้ ร้อน ผสมเกลอื เล็กน้อย ด่มื รกั ษาอาการเคล็ดขัดยอก ฟกช้าบวม ขอ้ เท้าแพลง ใช้หัวไพลฝนทา แกฟ้ กบวม เคล็ด ขดั ยอก ใช้เหง้าไพล ประมาณ 1 เหงา้ ตาแลว้ คน้ั เอานา้ ทาถูนวดบรเิ วณทม่ี ีอาการ หรือ ตาให้ละเอยี ด ผสมเกลอื เล็กน้อยคลกุ เคลา้ แล้วนามาห่อเป็นลกู ประคบ องั ไอนา้ ใหค้ วามร้อน ประคบบรเิ วณปวดเม่อื ย และบวมฟกชา้ เช้า-เยน็ จนกวา่ จะหาย หรือทาเป็นนา้ มนั ไพลไว้ใชก้ ็ได้ โดยเอาไพล หนัก 2 กิโลกรมั ทอดในนา้ มนั พืช รอ้ นๆ 1 กิโลกรัม ทอดจนเหลืองแลว้ เอาไพลออก ใสก่ านพลผู งประมาณ 4 ช้อนชา ทอดตอ่ ไปด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที กรองแลว้ รอจนนา้ มนั อุ่นๆ ใสก่ ารบูรลงไป 4 ช้อนชา ใส่ภาชนะปดิ ฝามดิ ชิด รอจนเยน็ จึงเขย่าการบูรใหล้ ะลาย นา้ มันไพลนีใ้ ช้ทาถนู วดวันละ 2 ครั้ง เชา้ -เย็น หรอื เวลาปวด (สตู รน้เี ปน็ ของ นายวบิ ลู ย์ เข็มเฉลมิ อ.สนามชัยเขต จ. ฉะเชงิ เทรา)

๒๖๒ แกบ้ ดิ ท้องเสีย ใช้เหง้าไพลสด 4-5 แวน่ ตาใหล้ ะเอยี ด ค้นั เอาแต่น้าเตมิ เกลือคร่งึ ช้อนชา ใช้รับประทาน หรอื ฝนกบั น้าปูนใส รบั ประทาน เป็นยารักษาหดื ใชเ้ หงา้ ไพลแห้ง 5 สว่ น พริกไทย ดปี ลี อย่างละ 2 สว่ น กานพลู พิมเสน อย่างละ ½ สว่ น บดผสมรวมกนั ใชผ้ งยา 1 ช้อนชา ชงนา้ รอ้ นรบั ประทาน หรือปนั้ เป็นลูกกลอนดว้ ยนา้ ผงึ้ ขนาดเทา่ เม็ดพทุ รา รับประทานคร้ังละ 2 ลูก ต้องรบั ประทานตดิ ตอ่ กันเวลานาน จนกวา่ อาการจะดีขึ้น เปน็ ยาแก้เลบ็ ถอด ใชเ้ หงา้ ไพลสด 1 แงง่ ขนาดเท่าหัวแมม่ ือ ตาให้ละเอยี ดผสมเกลอื และการบรู อยา่ งละ ประมาณครงึ่ ชอ้ นชา แลว้ นามาพอกบรเิ วณที่เป็นหนอง ควรเปล่ียนยาวนั ละครงั้ ชว่ ยทาให้ผิวหนงั ชมุ่ ช่นื และเปน็ ยาชว่ ยสมานแผลด้วย ใชเ้ หง้าสด 1 แงง่ ฝานเป็นชน้ิ บางๆ ใชต้ ม้ รวมกบั สมนุ ไพรอื่นๆ เน่ืองจากไพลม่ีน้ามันหอมระเหย สารเคมี - Alflabene : 3,4 - dimethoxy benzaldehyde, curcumin, beta-sitosterol, Volatile Oils

๒๖๓ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Acacia concinna (Willd.) D.C. ชอ่ื สามัญ : - วงศ์ : LEGUMINOSAE – MIMOSOIDEAE ช่ืออนื่ : สม้ ขอน (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พมุ่ รอเล้ือย มหี นามตามลาตน้ ก่งิ กา้ นและใบ ใบ ประกอบแบบขนนกสองชั้น เรยี งสลบั ยาว 7-20 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนาน ขนาดเลก็ ดอกช่อ ออกท่ีซอกใบ เปน็ ช่อกลม กลบี ดอกเป็นหลอด สีนวล ผลเป็นฝกั สนี า้ ตาลดา ผวิ ยน่ ขรุขระ ขอบมกั เปน็ คลน่ื สว่ นที่ใช้ : ตน้ ใบ ดอก ผล ราก ฝัก เมล็ด สรรพคุณ : ต้น - แกต้ าพกิ าร ใบ - แกโ้ รคตา ชาระเมอื กมันในลาไส้ ยาถา่ ยเสมหะ แก้บิด ฟอกลา้ งโลหติ ระดู ดอก - แก้เส้นพิการให้บรบิ ูรณ์ ผล - แกน้ า้ ลายเหนยี ว ราก - แก้ไข้ ฝกั - ปงิ้ ใหเ้ หลอื ง ชงน้าจบิ แก้ไอ ขับเสมหะ เป็นยาถา่ ยทาให้อาเจยี น ฟอกผมแกร้ งั แค แกไ้ ขจ้ ับสน่ั ปดิ แผลโรคผวิ หนัง เมล็ด - คัว่ ให้เกรยี มบดให้ละเอียด นตั ถุ์ทาใหค้ นั จมูกและจามดี ใบ - ตาหอ่ ผา้ ประคบเส้นใหเ้ ส้นออ่ น

๒๖๔ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Syzygium gratum (Wight) S.N. Mitra var. gratum ชอ่ื สามัญ : - วงศ์ : Myrtaceae ชื่ออน่ื : ไครเ้ ม็ด (เชยี งใหม่) เม็ก (ปราจีนบรุ )ี เม็ดชุน (นครศรธี รรมราช) เสมด็ (สกลนคร) เสม็ดเขา เสม็ดแดง (ตราด) เสมด็ ชุน (ภาคกลาง) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่มต้นไม่ผลดั ใบ เปลือกต้นสีนา้ ตาลแดง แตกสะเกด็ แผ่นบางๆ โคนต้นมกั เป็นพูพอน ใบ เปน็ ใบเดยี่ วออกตรงข้าม ใบรูปหอก ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม ดอก ออกเป็นช่อซ่ีร่มเลก็ ๆ สีเหลอื งอ่อน ออกท่ีปลาย ยอด ออกดอกเดอื น มนี าคม-เมษายน ผล กลม สขี าว มขี นาดเลก็ ออกผลเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน สว่ นท่ีใช้ : ใบสด สรรพคุณและวธิ ีใช้ :ใช้ใบสด ตาป่นปิดพอกแกเ้ คล็ดยอก ฟกบวมได้ดี ใช้ผลมะกรดู หรือใบพลู รมควันใต้ใบเสมด็ พออุ่นๆ นาบทอ้ งเด็กแกท้ ้องข้นึ ท้องอืด ท้องเฟ้อในเด็ก แก้ปวดท้องไดด้ ีมาก

๒๖๕ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lonicera japonica Thunb. ชื่อสามัญ : Honey Suckle วงศ์ : Caprifoliaceae ชอ่ื อนื่ : - ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมเ้ ถา กงิ่ สีนา้ ตาลเปน็ มนั มีขนนุม่ ใบเดีย่ วเกิดเป็นคตู่ รงกนั ข้าม มีขนตามเส้นกลางใบทั้งสอง ดา้ น ดา้ นบนสเี ขยี วเข้มเปน็ มัน กา้ นใบส้นั ดอกมีสเี หลืองอมสม้ กลิน่ หอม ออกเปน็ ช่อตามซอกใบ ดอกเป็นหลอดยาว 1.5-3 ซม. แยกเป็น 2 กลบี ๆ บนมี 4 หยัก กลีบล่างมี 1 กลบี เกสรเพศผยู้ าวกวา่ กลบี ดอก ผลกลมสดี า เสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง 6-7 ซม. เกลยี้ งไม่มขี น ส่วนทใ่ี ช้ : ทง้ั ต้น ดอกตูม เถาสด สรรพคุณ :ท้งั ตน้ ใช้เปน็ ยาขับปสั สาวะ แก้แผลฝีต่างๆ แก้ท้องรว่ ง ตับอักเสบ โรคลาไส้ ปวดเมื่อยตามข้อ ดอกตูม ใชร้ ักษาโรคผิวหนัง ดอกคั้นรบั ประทานเป็นยาเจริญอาหาร เถาสด - ใชร้ กั ษา บิดไม่มีตวั (ท้องเสยี ) ลาไส้อกั เสบ วิธแี ละปริมาณที่ใช้ :ใช้เถาสด 100 กรมั สับเป็นท่อนเล็กๆ ใสล่ งในหมอ้ เคลอื บ เติมน้าลงไป 200 มิลลลิ ติ ร แชน่ ้าไว้ 12 ช่ัวโมง แลว้ ตม้ ดว้ ยไฟอ่อนๆ 3 ชั่วโมง แลว้ เตมิ นา้ ให้ได้ 100 มิลลลิ ติ ร กรองเอานา้ รับประทานวนั ละ 1.6-2.4 มลิ ลิลติ ร ตอ่ นา้ หนักตัว 1 กิโลกรัม ให้เพิ่มหรอื ลดขนาดของยาตามอาการ โดยท่ัวไปเริ่มต้นใหร้ บั ประทาน 20 มิลลลิ ิตร ทุก 4 ช่วั โมง เม่ืออาการดขี น้ึ ให้รบั ประทานครั้งละ 20 มิลลลิ ติ ร ทุก 6 ชั่วโมง หลังจากอาการท้องรว่ งหายไปให้รับประทานต่อ อีก 2 วัน สารเคมี ใบ มี lonicerin และ luteolin-7-rhamnoglucoside ดอก มี luteolin-7-glucoside, inositol และ saponin ผล มี Cryptosanthin

๒๖๖ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Raphistemma pulchellum Wall. วงศ์ : ASCLEPIADACEAE ชอื่ อนื่ : ข้าวสารดอกใหญ่, มะโอเครือ, เครือเขาหนงั , ขา้ วสารดอกใหญ่ (กรุงเทพฯ); ข้าวสาร (ทว่ั ไป); เคอื คิก (สกลนคร); เซงคยุ มังอหู มื่อ , มงั อุยหมื่อเซงครึย (กะเหรยี่ ง-ลาปาง); มะโอเครอื , เครือเขาหนัง ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมเ้ ลือ้ ยมียางขาว ใบเป็นใบเดี่ยวเรยี งตรงข้าม รูปไขห่ รอื รูปหัวใจ โคนใบเวา้ ปลายใบแหลม เป็นหาง ขอบใบเรยี บ ขนาดกว้าง 4-15 ซม. ยาว6-20 ซม. บริเวณกลางใบดา้ นบนมีขนขึ้นเป็นกระจุก ก้านใบ ยาว4-12 ซม. ดอกสีขาวหรือครมี ออกเปน็ ช่อซี่ร่มตามซอกใบ ชอ่ หน่ึงมีดอก4-10 ดอก ก้านช่อดอกยาว 6-10 ซม. กลบี เลีย้ งมี 5 กลบี รปู ขอบขนานโคนเช่อื มติดกัน กลีบดอกเชือ่ มกันเปน็ รูประฆัง แยกเป็น 5 แฉก มเี สา้ เกสรสขี าวตรงกลาง ดอกบาน เตม็ ทีก่ ว้างประมาณ 4 ซม. ผลเป็นฝักรปู โค้ง เมล็ดรูปไขม่ ีขนเปน็ พยู่ าวได้ถงึ 4 ซม. สว่ นทใ่ี ช้ : ราก สรรพคุณ : ใชร้ ากปรงุ เป็นยา หยอดรักษาตา แกต้ าแดง ตาแฉะ ตามวั สว่ นที่เป็นพษิ เมลด็ มสี ารพวกกลัยโคไสด์ ท่ีปน็ พิษต่อหวั ใจ ท่มี า : http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=87

๒๖๗ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ช่ือสามัญ : Bilimbing วงศ์ : OXALIDACEAE ช่อื อ่นื : ลงิ ป้งิ หลง้ิ ปงิ้ หลีง้ ตง้ี ลีหมิง เฟืองเทศ มะเฟอื งตรน หลิงปลิง (ภาคใต)้ กะลิงปริง ปลมี งิ ลงิ ปลิง ลงิ ปลงิ (ระนอง) มูงมัง (เกาะสมยุ ) บลมี ิง (มลายู-นราธิวาส) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พ่มุ ขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร แตกกิง่ กา้ นสาขามาก ก่ิงกา้ นเปราะหักง่าย มีขน น่มุ ตามกิ่ง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกมใี บย่อยเรียงตวั กนั เป็นคู่ ใบย่อยรปู หอก ปลายใบแหลม โคนมน จะเรยี งจาก ขนาดเล็กไปหาขนาดใหญ่ ที่โคนจะมีขนาดเลก็ ใบกวา้ งประมาณ 1 เซนติเมตร ยาว 2-5 เซนตเิ มตร มสี ีเขยี วอ่อนมีขน น่มุ ๆ ปกคลุมอยู่ ดอก ออกเป็นช่อตามลาต้นและกง่ิ (ดอกขนาดเล็กหลายช่อ) แตล่ ะชอ่ ยาวราว 6 น้วิ ดอกมี 5 กลีบ มสี ี แดงเขม้ มีกลีบเล้ยี ง 5 กลบี สีเขียวอมชมพู เกสรกลางดอกมสี ีเขยี วแดง ดอกมีกล่ินหอม ผลกลมยาวเส้นผ่าศนู ย์กลาง ประมาณ 2 เซนตเิ มตร ผลสเี ขียว เปน็ พูตามความยาวผล 5 ร่อง ออกเป็นช่อหอ้ ย เมื่อสุกมสี เี หลอื ง ฉา่ น้า เมลด็ แบน ผล มีรสเปร้ียวจัด ส่วนทีใ่ ช้ : ใบสด สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปรมิ าณทใี่ ช้ : ใชใ้ บสด 1 กามือ ตาใหล้ ะเอียด ผสมนา้ เล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครัง้ เชา้ -เยน็ เปลีย่ นยาใหม่ทุกคร้งั ในชวานิยมใช้ยานม้ี าก กลุ่มยารักษาตา คางทมู แกป้ วดหู

๒๖๘ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Caryota mitis Lour. ช่ือสามัญ : Fishtail Palm, Wart Fishtail Palm วงศ์ : PALMAE ช่อื อนื่ : เตา่ ร้างแดง เชื่องหมู่ มะเด็ง งือเด็ง ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ปาล์มแตกกอ ลาตน้ ขนาด 10-15 เซนติเมตร ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงสลบั ใบ ย่อยรูปสามเหลี่ยมหยกั เวา้ กวา้ งประมาณ 13 เซนตเิ มตร ยาว 20-30 เซนตเิ มตร ปลายแหลมคล้ายหางปลา โคนใบรูป ลิ่ม แผ่นใบสีเขียวเปน็ มัน กาบใบ ยาว 0.5-2 เมตร โคนกาบใบมขี นสีน้าตาลแดงปนเทาหรือสดี า และรยางค์สนี า้ ตาลปก คลุม ดอก สีขาวอมเหลือง ออกเปน็ ชอ่ แบบช่อแยกแขนงระหว่างกาบใบหรือใตโ้ คนกาบใบ ดอกแยกเพศ อยรู่ ว่ มตน้ ช่อ ดอกยาว 60-80 เซนติเมตร ดอกบานเต็มท่ีกวา้ ง 2 เซนติเมตร ผล ผลสดแบบมเี นื้อเมล็ดเดยี ว ออกเป็นพวงๆ ทรงกลม ขนาด 2 เซนติเมตร ผลสกุ สแี ดงคลา้ สว่ นท่ีใช้ : หัว ราก สรรพคุณ : หัวและราก มรี สหวานเย็นขม ดับพิษทตี่ ับ ปอด และหวั ใจพิการได้ดี

๒๖๙ ชื่อวิทยาศาสตร์ : Kaempferia galanga L. ช่ือสามัญ : Sand Ginger, Aromatic Ginger, Resurrection Lily วงศ์ : ZINGIBERACEAE ชอ่ื อนื่ : หอมเปราะ (ภาคกลาง) ว่านตีนดิน วา่ นแผ่นดินเยน็ วา่ นหอม (ภาคเหนือ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : พชื ลม้ ลุก อายปุ ีเดยี ว มลี าต้นเปน็ หวั อยู่ใต้ดนิ เรยี กว่า เหงา้ เนอ้ื ภายในสีเหลอื งออ่ น มีสี เหลืองเข้มตามขอบนอก มีกลิ่มหอมเฉพาะตัว ใบเป็นใบเดย่ี ว แทงขึ้นจากเหง้าใตด้ ิน 2-3 ใบ แผ่ราบไปตามพื้นดิน หรือ วางตวั อยู่ในแนวราบเหนือพน้ื ดินเล็กนอ้ ย ใบมรี ปู รา่ งค่อนข้างกลมหรือรูปไข่ป้อม ปลายใบแหลม โคนใบมนหรอื เวา้ เลก็ นอ้ ย มขี นอ่อนบรเิ วณท้องใบ บางคร้งั อาจพบขอบใบมีสีแดงคล้า เน้ือใบค่อนข้างหนา ตัวใบมีขนาดกว้าง 5-10 ซม. ยาว 7-15 ซม. กา้ นใบเปน็ กาบยาว 1-3 ซม.ดอกออกรวมกันเป็นชอ่ ยาว 2-4 ซม.มี 4-12 ดอก ออกตรงกลางระหว่างใบ ดอกมสี ีขาว หรอื สขี าวอมชมพแู ตม้ สีมว่ ง แตล่ ะดอกมี กลีบประดับ 2 กลบี รองรบั อยู่ ซ่ึงใบและต้นจะเรมิ่ แห้งเมื่อมีดอก ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ พบมากทางเหนือ ใบอ่อนม้วนเปน็ กระบอกออกมาแล้วแผ่ราบบนหน้าดิน ตน้ หน่ึงๆ มักมี 1 – 2 ใบ ใบมรี ปู ร่างทรงกลมโตยาว ประมาณ 5 – 10 ซม. หน้าใบเขียว เปราะหอมแดงจะมีท้องใบสแี ดง เปราะหอมขาวจะมี ท้องใบสีขาว มกี ลนิ่ หอม หวั กลมเหมอื นหวั กระชาย ใบงอกงามในหนา้ ฝน และจะแห้งไปในหน้าแล้ง สว่ นทใ่ี ช้ : ใบ ดอก ต้น หัวสดหรอื แหง้ สรรพคุณ : ใบ - แก้เกลือ้ นช้าง ดอก – แก้โรคตา ตน้ - แกท้ ้องข้ึนเฟ้อ ขับลม หวั ขบั เลอื ด และหนองให้ตก แกล้ มพษิ แก้ผ่นื คนั แกไ้ อ แก้บาดแผล หวั และใบ - ใช้ในการปรุงเป็นอาหารได้ แกท้ ้องข้นึ อืดเฟ้อ ขบั ลม วิธีและปริมาณท่ีใช้ - ใช้หวั สด 10-15 กรมั แห้ง 5-10 กรัม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตม้ กับนา้ 1 ถว้ ยแก้ว ดืม่ 1-2 คร้ง

๒๗๐ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Plectranthus amboinicus (Lour.) Spreng. ( Syn. Coleus amboinicus Lour.) ชือ่ สามัญ : Indian borage วงศ์ : LAMIACEAE (LABIATAE) ชื่ออืน่ : หอมด่วนหลวง (เหนือ), ผักหูเสือ, เนยี มอีไหลหลงึ , โฮว้หีเชา่ (จีน) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ม้ ลกุ อายหุ ลายปี สงู 0.3-1 เมตร ลาตน้ อวบนา้ มีขนหนาแน่น ใบ เป็นใบเดีย่ ว ออกตรง ขา้ มสลับตง้ั ฉาก รูปไขค่ ่อนขา้ งกลม กวา้ ง 4-6 ซม. ยาว 5-7 ซม. โคนใบมนตัดมีครบี ยาว ปลายใบมน ขอบใบจกั มน แผ่น ใบสีเขยี ว มีขนหนาแน่นทัง้ สองด้าน เนื้อใบหนา มีกล่ินเฉพาะ กา้ นใบยาว 2-4.5 ซม. ดอก ออกเป็นช่อทีป่ ลายยอด ชอ่ ดอกยาว 10-20 ซม. มีใบประดบั รปู ไข่ ดอกสีฟ้า กลีบเล้ียงโคนเชือ่ ติดกันเป็นรปู ระฆัง ดา้ นนอกมีขน ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกเช่ือมติดกนั เป็นหลอดปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากบนตั้งตรง กลบี ล่างยาวเว้า ออกดอกยาก ผล รูปทรงกลม แป้น กวา้ ง 0.5 มม. ยาว 0.7 มม. ผิวเรยี บ สีน้าตาลอ่อน ส่วนท่ีใช้ : ใบสด สรรพคุณ : ใบ - แกป้ วดหู แกฝ้ ใี นหู แก้หนู า้ หนวกได้ดี รับประทานเป็นผักกับเครื่องจ้มิ วิธใี ช้ - ใช้ใบสดคน้ั เอาน้ามาหยอดหู แกป้ วดหู แก้พิษฝีในหู หนู า้ หนวก

๒๗๑ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Nyctanthes arbor-tristis L. ชื่อสามัญ : Night blooming jasmine วงศ์ : OLEACEAE ช่ืออน่ื : กณิการ์ , กรณกิ าร์ ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ มุ่ หรือไม้ต้นขนาดเลก็ สูงประมาณ 2 เมตร กิ่งเป็นสเี่ หล่ียม มขี นสาก ใบ เดีย่ วเรียงตรง ขา้ ม รูปไข่ กว้าง 2-6 ซม. ยาว 3.5-10 ซม. ปลายแหลมหรือยื่นเปน็ ติง่ แหลม โคนมน ขอบเรยี บหรอื จกั แหลมใกล้ๆ โคน ใบ แผ่นใบหนาสากมือ มีขนแขง็ ตามแผ่นใบและเส้นใบ ตามขอบใบอาจมขี นแข็งๆ เส้นแขนงใบขา้ งละ 3-4 เส้น ปลาย เสน้ จรดกนั ก่อนถึงขอบใบ กา้ นใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกออกตามงา่ มใบ กา้ นชอ่ ดอกยาว 1.2-2 ซม. มีใบประดบั รปู คลา้ ยใบเลก็ ๆ 1 คทู่ ่ีกา้ นช่อดอก แต่ละช่อมี 3-7 ดอก กล่ินหอม บานตอนเยน็ และจะรว่ งในเชา้ วนั รุ่งขึ้น ไมม่ ีกา้ นดอก แต่ ละดอกมใี บประดับ 1 ใบ ดอกตูมมีกลบี ดอกเรียงซ้อนกนั และบดิ เปน็ เกลยี ว กลบี เลีย้ งสีเขียวอ่อน ติดกันเปน็ หลอดรูป กรวยปลายตดั หรอื หยกั ตืน้ ๆ 5 หยัก ด้านนอกมีขน ดา้ นในเกลย้ี ง กลีบดอกโคนตดิ กันเป็นหลอดสีแสด ยาว 1.1-1.3 ซม. ดา้ นนอกเกล้ียง ดา้ นในมขี นยาวๆ สขี าวทีโ่ คนหลอด ปลายหลอดแยกเป็นกลีบสีขาว 5-8 กลีบ แต่ละกลบี ยาว 0.9-1.1 ซม. โคนกลีบแคบ ปลายกลีบกว้างและเว้าลกึ เกสรเพศผู้ 2 อัน ตดิ อยู่ภายในหลอดกลีบดอกตรงบรเิ วณปากหนั ด้านหน้า เขา้ หากัน ก้านชูอับเรณูเช่ือมเปน็ เนื้อเดียวกบั หลอดดอก รงั ไข่อยู่เหนือวงกลบี กลม มี 2 ชอ่ ง มีออวลุ ช่องละ 1 เมด็ กา้ น เกสรเพศเมียมีอนั เดยี ว ยอดเกสรเพศเมยี เปน็ ต่มุ มีขน ผลรปู ไขห่ รอื กลม ค่อนข้างแบน ปลายมตี ่ิงสนั้ ๆ ส่วนทใี่ ช้ : ตน้ ใบ ดอก ราก ก้านดอก สรรพคณุ : ตน้ – รับประทานแกป้ วดศรี ษะ ใบ - บารุงน้าดี ดอก - แก้ไข้ และแก้ลมวงิ เวียน ราก - แก้อุจจาระเปน็ พรรดกึ บารงุ ธาตุ บารุงกาลงั แก้ลม แกผ้ มหงอกบารุงผวิ หนังให้สดชนื่ กา้ นดอกสแี ดงแสด (สสี ้ม) – คัน้ เอานา้ ไปทาสีขนมหรือสีย้อมผ้าไดด้ ี วิธแี ละปริมาณทใี่ ช้ - ใชใ้ บสด 1 กามือ ตา เติมน้าคั้นเองาแตน่ ้า 1 ถว้ ยแกว้ แบ่งรบั ประทาน 4 ครั้ง เป็นยาขม เจริญ อาหาร สารเคมี - กลมุ่ Carotenoid

๒๗๒ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Artocarpus heterophyllus Lam. ช่อื สามัญ : Jack fruit tree วงศ์ : MORACEAE ช่อื อน่ื : ขะนู (ชอง-จันทบรุ ี) ขะเนอ (เขมร) ซคี ยึ , ปะหนอ่ ย (กะเหรย่ี ง-แมฮ่ ่องสอน) นะยวยซะ (กะเหรีย่ ง-กาญจนบุรี) นากอ (มลายู-ปัตตานี) เนน (ชาวบน-นครราชสีมา) มะหนุน (ภาคเหนอื ,ภาคใต)้ ล้าง,ลาน (ฉาน-เหนอื ) หมักหมี้ (ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ) หมากกลาง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : : ไมต้ ้น ขนาดใหญ่ สงู 15 - 30 เมตร ลาตน้ และกิ่งเมื่อมบี าดแผลจะมีนา้ ยางสขี าวขน้ คลา้ ย นา้ นมไหล ใบ เปน็ ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผน่ ใบรปู รี ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10 - 15 เซนตเิ มตร ปลายใบทู่ ถึง แหลม โคนใบมน ผวิ ในด้านบนสเี ขยี วเข้มเปน็ มนั เน้ือใบหนาผวิ ใบดา้ นล่างจะสากมอื ดอก เป็นช่อแบบช่อเชงิ สดแยกเพศ อยรู่ วมกนั ดอกเพศผเู้ รยี กว่า \"ส่า\" มกั ออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมยี จะออกตามกง่ิ ใหญแ่ ละตามลาต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม การออกดอก จะออกปีละ 2 คร้งั คอื ชว่ งเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคม ส่วน ของเนื้อท่ีรับประทานเจริญมาจากกลบี ดอก สว่ นซังคือกลบี เลย้ี ง ผล เปน็ ผลรวมมีขนาดใหญ่ ส่วนทใ่ี ช้ : ยวง เมล็ด แก่นของขนนุ สา่ แห้งของขนนุ ใบ สรรพคุณ :ยวงและเมลด็ – รับประทานเปน็ อาหาร แก่นของขนุน – ตม้ ย้อมผ้าให้สนี า้ ตาลแก่ ส่าแห้งของขนุน – ใชท้ าชุดจุดไฟได้ แกน่ ขนนุ หนงั หรือขนุนละมุด - มรี สหวานชุ่มขม บารงุ กาลังและโลหิต ทาให้เลอื ดเย็น สมาน ใบขนุนละมุด - เผาให้เป็นถา่ นผสมกับนา้ ปนู ใสหยอดหู แก้ปวดหู และหเู ปน็ นา้ หนวก ไสใ้ นของขนนุ ละมุด – รับประทานแก้ตกเลือดทางทวารเบาของสตรีท่มี ากไปให้หยุดได้ แก่นและเน้ือไม้ - รบั ประทานแกก้ ามโรค

๒๗๓ ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Bixa orellana L. ชอื่ สามัญ : Annatto Tree วงศ์ : BIXACEAE ชือ่ อื่น : คาเงาะ คาแงะ คาไทย คาแฝด คายง ชาตี จาปู้ ส้มปู้ (เขมร-สรุ ินทรฒ) ชาด (ภาคใต)้ ซติ ิหมัก (เลย) มะ กายหยมุ แสด (ภาคเหนือ) หมากมอง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น พมุ่ ขนาดเล็ก สูงประมาณ 3-8 เมตร เรอื นยอดเปน็ พุ่มกลมหนาทึก แตกกิ่งกา้ นสาขา มาก ใบ เป็นใบเดย่ี ว ออกเรยี งเวียนรอบตน้ รูปไข่ โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคล่นื เล็กน้อย ใบบาง เกลยี้ งนุ่ม สีเขยี วเหลือบแดง ใบอ่อนมสี ีแดง กวา้ ง 8-10 ซม. ยาว 11-18 ซม. ดอก ออกเป็นช่อตง้ั บรเิ วณปลายก่ิง ช่อ หนึ่งมี 5-10 ดอก กลบี ดอกรูปไข่ยาว สขี าวแกมชมพหู รือสีชมพูอ่อน กลบี รองดอกมีขนาดเล็ก สเี ขยี ว กลีบดอกมี 5 กลีบ ดอกอ่อนจะกลม ผิวสแี ดง มเี กสรตวั ผจู้ านวนมาก มเี กษรตัวเมีย 1 อัน ภายในมีช่อง 1 ช่อง มีไขอ่ ่อนจานวนมาก ผล เปน็ รปู สามเหลีย่ มปลายแหลม มีขนสแี ดงเข้มหนาทึบคลา้ ยผลเงาะ ผลแก่จัดแตกออกได้ 2 ซกี ภายในมีเมลด็ กลมเล็กๆ สี น้าตาลแดงจานวนมาก เนอ้ื หุ้มเมล็ดมสี ีแดงหรือสีแสด ส่วนทีใ่ ช้ : เมลด็ ดอก ใบ เนอื้ หมุ้ เมลด็ เปลือก ราก สรรพคุณ : เมล็ด ใหส้ ารสีแสด ชอื่ สาร Bixin ใชแ้ ตง่ สีอาหารประเภทไขมัน เชน่ ฝอยทอง เนย ไอศกรมี ใชย้ อ้ มผา้ ฝ้าย หรอื ผา้ ไหมไดด้ ว้ ย ** องคก์ ารอนามัยโลกกาหนดใหร้ ับประทานสีทสี่ กัดจากเมล็ดคาแสดได้ไม่เกนิ 0.065 มลิ ลิกรมั ต่อนา้ หนักตัว 1 กโิ ลกรมั ต่อ 1 วนั มคี ุณสมบัติเปน็ ยาระบายอ่อนๆ ลดไข้ ฝาดสมาน ดอก มีคณุ สมบัตเิ ป็นยาบารุงเลือด แกโ้ ลหติ จาง แก้แสบร้อนคนั ตามผวิ หนัง รกั ษาโรคไตผิดปกติ แก้บดิ แกพ้ ิษ ฝาดสมาน ใบ - แกด้ ซี ่าน แก้เจ็บคอ ลดไข้ แกบ้ ิด ขับปสั สาวะ เนอื้ หมุ้ เมลด็ - เป็นยาระบายและขับพยาธิ แก้โรค ผิวหนัง ใช้แตง่ สอี าหาร และเนย เปลอื กราก - ใช้ป้องกนั ไข้มาเลเรีย ลดไข้ และโรคหนองใน สารเคมี : ทีพ่ บ เน้ือหมุ้ เมลด็ ให้สีทีเ่ รียกว่า annatto ซงึ่ เปน็ สีอนุญาตให้ใช้ประกอบอาหารได้ตามประกาศกระทรวง สาธารณสขุ ฉบับท่ี 11 (พ.ศ.2515) annatto ประกอบด้วยสาร Bixin (C25 H30 O4) สีแสดสด และสาร Bixol (C18 H30 O) สีเขียวเข้ม ใชแ้ ต่งสีอาหารประเภทเนย และเนยเทียม (margarine) สที ี่ได้จากเมลด็ คาแสด มีความคงทนและมีสี เขม้ กวา่ สีที่ได้จากแคโรทนี ในต่างประเทศ นยิ มใช้กันในผลติ ภณั ฑน์ ม เช่น เนยเหลว เนยแขง็ เปน็ ต้น นอกจากนัน้ ยังใช้

๒๗๔ ผสมในยาขดั หนงั ที่ให้สีแดงคลา้ วิธเี ตรยี มสีจากเมล็ดคาแสด : โดยแกะเมล็ดออกจากผลท่ีแกจ่ ัด แชน่ ้ารอ้ นหมักทิ้งไวห้ ลายๆ วนั จนสารสี ตกตะกอน แยกเมล็ดออก นานา้ สที ีไ่ ดไ้ ปเค่ยี วจนงวดเกือบแหง้ แล้วนาไปตากแดดจนแห้งเปน็ ผงเกบ็ ไว้ใช้

๒๗๕ ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Caesalpinia sappan L. ชอ่ื สามัญ : Sappan Tree วงศ์ : LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ช่ืออ่ืน : งา้ ย (กะเหรีย่ ง-กาญจนบรุ ี); ฝาง (ทว่ั ไป); ฝางส้ม (กาญจนบรุ ี) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมพ้ ุ่มแตกก่งิ ทโ่ี คน สงู 5-8 เมตร สาต้นมีหนามโคง้ ส้ันๆ และแข็งท่ัวทกุ ส่วน ใบ เป็นใบ ประกอบแบบขนนกสองช้นั เรยี งสลบั กัน ใบย่อยรปู ไขห่ รือรูปขอบขนานกว้าง 0.6-0.8 ซม. ยาว 1.5-1.8 ซม. โคนใบเฉยี ง ดอก ชอ่ ออกที่ซอกใบตอนปลายกิง่ และที่ปลายกงิ่ กลบี รองดอกมี 5 กลบี ขอบกลบี เกยซอ้ นกนั กลบี ล่างสุดโค้งงอและ ใหญ่กวา่ กลีบอื่น กลบี ดอกสีเหลือง มี 5 กลบี เกสรตัวผู้มี 10 อนั แยกเป็นอสิ ระ ผล เป็นฝักแบนแขง็ เปน็ จงอยแหลม เปลือกเปน็ สันมน ปลายแหลม มเี มลด็ เป็นรูปรี 2-4 เมล็ด สว่ นท่ใี ช้ : แก่นของไม้มสี แี ดง มี วัตถไุ ม่มีสี ช่ือ Haematoxylin อยู่ 10% วัตถุนี้เมอ่ื ถูกอากาศ อาจจะกลายเปน็ สีแดง มี แทนนนิ เรซิน และนา้ มนั ระเหยนดิ หนอ่ ย สรรพคุณ : ฝาง มี 2 ชนดิ ชนดิ หนงึ่ แก่นสแี ดงเข้ม เรียกวา่ ฝางเสน อีกชนดิ หนึง่ แก่นสเี หลอื ง เรียกว่าฝางสม้ ใช้ทาเป็น ยาต้ม 1 ใน 20 หรือยาสกดั สาหรบั Haematoxylin ใช้เป็นสีสาหรบั ยอ้ ม Nuclei ของเซล ใชแ้ กน่ ฝางต้มเค่ียว จะได้น้าสี แดงเขม้ คล้ายด่างทบั ทมิ ใชย้ ้อมผ้าไหม งามดมี าก ใชแ้ ตง่ สีอาหาร ทายาอทุ ยั สรรพคณุ ทางยา แกน่ ฝาง รสข่ืนขมหวาน ฝาด รบั ประทานเปน็ ยาบารงุ โลหติ สตรี ขับประจาเดอื น แกป้ อดพิการ ขบั หนอง ทาโลหิตให้เย็น รบั ประทานแก้ท้องรว่ ง แกธ้ าตุพิการ แก้ร้อน แกโ้ ลหิตออกทางทวารหนกั และเบา รักษานา้ กดั เท้า แก้คดุ ทะราด แกเ้ สมหะ แกโ้ ลหติ แก้เลอื ดกาเดา นา้ มนั ระเหย - เป็นยาสมานอยา่ งออ่ น แก้ท้องเดนิ วิธแี ละปริมาณทใี่ ช้ แตง่ สี ยอ้ มสี นาแกน่ ฝางเสนหรอื ฝางสม้ มาแช่นา้ หรอื ต้มเคย่ี วจะไดส้ ชี มพูเข้ม (Sappaned) นามาใช้ตามต้องการ เป็นยาขับประจาเดอื น ใชแ้ ก่น 5-15 กรัม หรือ 5-8 ช้ิน ตม้ กับน้า 2 ถ้วยแกว้ เติมเนอื้ มะขามท่ตี ิดรกอยู่ (แกะเมล็ดออกแล้ว) ประมาณ 4-5 ฝกั เคี่ยวใหเ้ หลือ 1 แก้ว รบั ประทาน เช้า-เยน็ เป็นยารักษานา้ กัดเท้า ใช้แก่น 2 ชิ้น ฝนแกน่ ฝางกับนา้ ปูนให้ข้นๆ ทาบริเวณท่นี ้ากัดเทา้ ในแก่นฝางมตี วั ยา ฝาดสมานแกท้ ้องร่วง ท้องเดิน ใชแ้ ก่น หนกั 3-9 กรมั 4-6 ช้นิ ต้มกับนา้ 2 ถว้ ยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รบั ประทานคร้ังละครึ่งถว้ ยแก้ว หรือใชฝ้ าง 1 สว่ น น้า 20 ส่วน ต้มเคยี่ ว 15 นาที รบั ประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนโต๊ะ หรอื 4-8 ช้อนแกง

๒๗๖ ช่อื วิทยาศาสตร์ : Clitoria ternatea L. ชอ่ื สามัญ : Blue Pea, Butterfly Pea วงศ์ : LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE ชอ่ื อื่น : แดงชัน (เชยี งใหม่); อัญชัน (ภาคกลาง); เอื้องชัน (ภาคเหนือ) ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไมล้ ้มลุกเล้ือยพนั ยาว 1-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบยอ่ ย 3-9 ใบ รปู รีแกม ขอบขนานหรอื รปู รแี กมไข่กลบั กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2-5 ซม. ดอกเด่ยี ว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกรูปดอกถั่ว สีน้าเงนิ ม่วง หรอื ขาว ตรงกลางกลบี สเี หลืองหมน่ ขอบสีขาว ผลเป็นฝกั รูปดาบ โคง้ เล็กน้อย ปลายเป็นจะงอย แตกเปน็ 2 ฝา เมล็ดรูป ไต จานวน 6-10 เมลด็ สว่ นท่ีใช้ :กลบี ดอกสดสนี ้าเงิน จากตน้ อญั ชันดอกสีน้าเงิน รากของต้นอัญชนั ดอกขาว สรรพคุณและวิธใี ช้ :ดอกสนี ้าเงนิ ใช้เปน็ สแี ตง่ อาหาร ขนม ใชก้ ลบี ดอกสด ตาเติมนา้ เล็กน้อย กรองดว้ ยผา้ ขาวบาง คั้น เอาน้าออก จะไดน้ า้ สีน้าเงนิ (Anthocyanin) ใช้เปน็ indicator แทน lithmus ถ้าเติมน้ามะนาวลงไปเล็กนอ้ ย จะ กลายเปน็ สีมว่ ง ใช้แต่งสีอาหารตามต้องการ มักนยิ มใชแ้ ต่งสนี ้าเงินของขนมเรไร ขนมน้าดอกไม้ ขนมขี้หนู รากต้นอญั ชันดอกสีขาว ใช้เปน็ ยาขบั ปัสสาวะ ยาระบาย สารเคมี : anthocyanin ข้อมูลท้ังหมดจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_28_7.htm


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook