แรง แรง (Force : F) คอื ปรมิ าณที่พยายามจะเปลย่ี นสภาพการเคลอ่ื นที่ของมวล เปนปรมิ าณเวกเตอรมี หนว ยเปนนิวตัน (Newton : N) กฎการเคล่ือนท่ีของนิวตัน 1. กฎการเคลื่อนท่ีขอ ที่หนงึ่ ของนวิ ตนั (Newton’s first law of motion) “วตั ถุจะคงสภาพอยนู ง่ิ หรือคงสภาพการเคลือ่ นทีด่ ว ยความเรว็ คงท่ี นอกจากจะมแี รงลพั ธซ ่งึ มีคา ไม เปนศนู ยมากระทาํ ตอ วัตถนุ ัน้ ” เม่อื แรงลัพธท่ีกระทําตอวตั ถมุ คี า เทา กับศูนย วัตถจุ ะรักษาสภาพการเคลอ่ื นที่ กลาวคือ เดมิ วตั ถุอยู สภาพเชน ไร ตอ ไปกจ็ ะคงอยใู นสภาพเชน นัน้ เชน เดมิ วตั ถุอยนู งิ่ กจ็ ะรักษาสภาพอยนู ง่ิ ตอ ไป หรอื เดิมวัตถเุ คลื่อนที่ ดว ยความเร็วเทาใดก็จะตอ งเคลื่อนทด่ี วยความเรว็ คงทีเ่ ทานัน้ นัน่ คอื คงทท่ี ้ังขนาดความเร็ว และทิศของความเรว็ ตอ งไมเ ปลยี่ น ซงึ่ เรียกวา วตั ถสุ มดลุ ตอการเคล่อื นที่ 2. กฎการเคลอ่ื นที่ขอ ทส่ี องของนวิ ตัน (Newton’s second law of motion) “เมื่อแรงลัพธซ ่งึ มคี าไมเปนศูนยมากระทาํ ตอวตั ถุจะทําใหว ัตถเุ คลื่อนที่ดว ยความเรง โดยทศิ ของความเรง จะมีทิศเดยี วกับทศิ ของแรงลัพธที่มากระทาํ ตอวัตถุ ขนาดของความเรง จะแปรผนั ตรงกบั ขนาดของแรงลัพธ เมือ่ มวลคงที่ และขนาดความเรง จะแปรผกผนั กบั มวลของวตั ถุ เม่อื แรงลพั ธคงท”ี่ 3. กฎการเคล่อื นที่ขอ ทีส่ ามของนวิ ตนั (Newton’s third law of motion) “ทุกแรงกริ ิยาจะตองมีแรงปฏิกิรยิ าทม่ี ขี นาดเทา กันและทิศตรงขา มเสมอ” วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (2) __________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
ขอควรรู 1. แรงกริ ิยา-ปฏิกริ ิยา มีขนาดเทากันและทิศตรงขามเสมอ ไมว า วัตถุจะอยูนง่ิ หรอื เคลือ่ นท่ีก็ตาม 2. แรงกริ ิยา-ปฏกิ ริ ยิ า ไมส ามารถนํามารวมกนั หรือหาแรงลัพธไ ด เนอ่ื งจากแรงทั้งสองกระทํา ตอ วตั ถุ คนละกอน 3. แรงกิริยา-ปฏิกริ ิยา เกดิ ขึน้ ไดท ัง้ กรณีที่วตั ถสุ ัมผสั กันหรอื ไมส มั ผสั ก็ได เชน แรงดึงดูดระหวางมวล, แรงระหวางประจุไฟฟา, แรงระหวางขวั้ แมเ หล็ก เปนตน กฎการดึงดูดระหวา งมวลของนวิ ตัน ในป พ.ศ. 2230 นิวตัน ไดสรางกฎเกย่ี วกบั แรงโนม ถว งขึน้ โดยกลา ววา “วัตถุท้ังหลายในเอกภพจะออก แรงดงึ ดดู ซงึ่ กนั และกนั แรงดึงดูดของวัตถคุ ูหน่ึงๆ จะแปรผันตรงกบั ผลคณู ระหวา งมวลวตั ถุทง้ั สองและจะ แปรผกผนั กับกําลงั สองของระยะทางระหวา งวัตถทุ งั้ สอง” m1 F F m2 F= Gm1m2 R R2 G = คาคงตวั ความโนม ถว งสากล (Universal Gravitational Constant) = 6.673 × 10-11 Nm2/kg2 ความเรงเนอื่ งจากแรงโนม ถวงของโลก M เปน รศั มขี อง วัตถุใดๆ อยบู นโลกจะเกดิ แรงท่ีโลกดูดตอวตั ถุ ถาใหโ ลกมีมวล และวัตถุมวล m และ RE Gm1m2 โลกจากกฎการดงึ ดดู ระหวางมวล F = R2 จะได F = GMm R2E GM GM จากสมการจะเหน็ วา G, M และ RE เปน คาคงที่ ดังนน้ั R2E จึงคงที่ใหเ ทากับ g นั่นคอื g = R2E โดยที่โลกมีมวล 5.98 × 1024 kg รัศมเี ฉลี่ยของโลก 6.38 × 106 m เม่อื แทนคา 6.67 × 10-11 × 5.98 × 1024 g = (6.38 × 106 )2 นาํ้ หนักของวัตถุ = 9.80 m/s2 เนื่องจากวตั ถทุ ่ีอยบู นโลกจะมแี รงท่โี ลกดูดวตั ถุ เราจะใหน้ําหนกั วตั ถุ คอื แรงทโี่ ลกดงึ ดูดวตั ถุ ทิศของ นาํ้ หนกั จะมที ิศพุงเขาหาจุดศูนยกลางของโลก มหี นวยเปนนวิ ตัน GMm จาก F = R2E จะได W = mg โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 __________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (3)
แรงเสยี ดทาน (Frictional force) แรงเสียดทานเปน แรงทพี่ ยายามตา นการเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุซ่งึ จะเกดิ บนผวิ ทั้งสองของวัตถทุ สี่ มั ผัสกนั ซ่งึ คา ของแรงเสยี ดทานจะข้นึ กบั ชนิดของผวิ สมั ผสั และแรงทวี่ ตั ถุกดทับลงบนพ้นื เชน แรงเสยี ดทานระหวางผวิ เหลก็ กับเหล็กจะตา งจากผวิ เหล็กกับทองแดงหรอื คผู วิ สมั ผัสเดียวกนั แตว ตั ถุหนกั ไมเ ทากนั ก็จะเกดิ แรงเสยี ดทานไม เทา กนั โดยวตั ถทุ ่ีหนกั มากจะเกิดแรงเสยี ดทานมากกวา N = แรงที่วัตถุกดทับ f = µN f F = แรงดงึ f = แรงเสยี ดทาน (หนวยเปนนิวตัน) W = mg µ = สัมประสิทธคิ์ วามเสยี ดทาน (coefficient of friction) N = แรงท่วี ตั ถกุ ดในแนวตัง้ ฉากกับพนื้ (หนว ยเปนนิวตนั ) 1. แรงเสียดทานสถติ (Static friction) แรงเสียดทานสถติ เปนแรงเสยี ดทานทเ่ี กิดข้นึ บนผิวทั้งสองของวัตถทุ ี่สมั ผสั กัน และผิววัตถทุ ง้ั สองไมม ี การเคลอื่ นที่หรอื ไมล นื่ ไถล เชน แรงเสียดทานที่ถนนกระทาํ ตอพน้ื รองเทา เวลาเดิน เปน ตน 2. แรงเสียดทานจลน (Kinetic friction) แรงเสียดทานจลนเ ปนแรงเสียดทานท่เี กิดขึ้นบนผิวท้ังสองของวัตถุท่สี ัมผัสกัน และผวิ วัตถุทง้ั สองมี การเคลอื่ นท่ีหรือมีการไถล เชน แรงเสยี ดทานที่พ้นื กระทาํ ตอกน ของเดก็ ขณะไถลลงมาตามไมกระดาน วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (4) __________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010
การเคลอ่ื นท่ี 1. ระยะทาง (Distance : S) ระยะทาง คือ ความยาวตามเสนทางการเคลอื่ นทเ่ี ปน ปริมาณสเกลารม หี นว ยเปนเมตร (m) ดงั รูป วัตถุเคล่อื นท่ีจากจดุ A ไปยงั จุด B ตามแนวเสน ประ ระยะทางของการเคลอื่ นที่กค็ อื ระยะตามแนวเสน ประน่ันเอง B • vS A• 2. การกระจัด (Displacement : vS ) การกระจดั คือ ระยะทางในแนวตรงจากตําแหนง เรมิ่ ตน ไปยังตาํ แหนงสุดทายของวตั ถุ และมที ศิ จาก ตกาํารแเหคนลง่ือเนริ่มทตจี่ าน กไปAยังไตปําแBหจนะงเสทุดา ทกาับยระยกะารvSกรมะีทจิศัดจเปากนปAรมิ ไปาณBเวหกรเอืตอAรBม ีหนว ยเปนเมตร (m) การกระจดั ของ 3. อตั ราเรว็ (Speed : v) อัตราเรว็ คือ อัตราสว นระหวางระยะทางที่ไดก บั เวลาท่ีใช มหี นวยเปน เมตรตอ วินาที และ อัตราเรว็ เปน ปรมิ าณสเกลาร ระยะทางทีไ่ ด อตั ราเรว็ ≡ เวลาท่ใี ช 4. ความเรว็ (Velocity : vv ) ความเร็ว คอื อตั ราสวนระหวางการกระจัดท่ไี ดกบั เวลาท่ีใช มหี นวยเปน เมตรตอวนิ าที (m/s) และ ความเรว็ เปน ปรมิ าณเวกเตอร การกระจัดที่ได ความเรว็ ≡ เวลาท่ีใช โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 __________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (5)
5. ความเรง (Acceleration : va ) ความเรง คือ ความเรว็ ท่เี ปล่ียนไปตอ ชว งเวลา มีหนว ยเปน เมตรตอ วนิ าที2 และความเรง เปนปรมิ าณ เวกเตอร ความเรว็ ที่เปลยี่ นไป ความเรง ≡ เวลาท่ีใช = ความเรว็ ปลาย (v) - ความเรว็ ตน (u) เวลาท่ใี ช การเคลอื่ นทีแ่ บบตางๆ การตกอสิ ระ (free fall) การตกอสิ ระเปนการเคล่ือนที่ของวัตถภุ ายใตแรงโนมถวงของโลกเพยี งอยางเดยี วตลอดการเคลอ่ื นที่ โดย ไมพ ิจารณาแรงตา นอากาศ ความเรงในการตกอิสระของวัตถุ เรียกวา คาความโนม ถวง (gravity) ใชส ญั ญลกั ษณ เปน g ความเรงคาน้จี ะมคี าคงที่ (พิจารณาใกลๆ ผวิ โลก) และมที ิศลงในแนวดงิ่ เสมอ ซึ่งคา เฉล่ียทั่วโลกท่ีถือวา เปนคามาตราฐาน คอื g = 9.8065 m/s2 เพ่ือความสะดวกในการคาํ นวณใหใ ช g = 10 m/s2 หรือ g = 9.8 m/s2 ตามโจทยกาํ หนด +v -v ขอควรรู 1. ในการตกอิสระอยา งตอ เนอ่ื ง ทีต่ ําแหนง เดียวกัน (หา งจากจุดตั้งตนเทากนั ) จะมขี นาดของความเร็ว เทา กนั แตท ศิ ตรงขาม 2. ในการตกอิสระอยางตอ เนื่อง ทง้ั ตอนข้นึ และตอนลงซงึ่ เคลอื่ นท่ี ไดขนาดกระจัดเทา กนั ตองใชเ วลา เทา กนั วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (6) __________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
การเคล่อื นที่แบบโพรเจกไทล (Projectile motion) การเคลอ่ื นที่แบบโพรเจกไทลจะมลี กั ษณะที่สําคญั 2 ประการ คอื ประการแรกความเร็วในแนวดง่ิ ของวตั ถุ ไมคงที่ ประการที่สองความเร็วในแนวราบของวตั ถุคงที่ Pv QR จากรปู เปน การปาวตั ถอุ อกไปในแนวระดบั ดวยความเรว็ v จากตําแหนง P แลว วตั ถุเคลอ่ื นทเ่ี ปน วิถโี คง พาราโบลาตกทีต่ ําแหนง R ซึ่งระยะ QR จะข้นึ กับความเรว็ v กลาวคอื ถา ความเรว็ v ทปี่ าออกไปมีคามากก็จะไป ตกไกล ถา ความเรว็ v มคี านอยกจ็ ะตกใกล โดยที่เวลาของการเคลื่อนทีไ่ มข ึ้นกบั ความเร็ว ทีป่ าแตจ ะขึ้นกบั ระยะ ความสงู PQ ถา ระยะ PQ มคี ามากเวลาในการเคล่อื นท่จี ะมีคามากดวย จะไดค วามสัมพันธวา เวลาในการเคล่อื นที่ จาก P ไป R จะเทา กบั เวลาท่วี ตั ถตุ กจาก P ถึง Q บนทีส่ ูงจากพื้นเทา เดิม ถา ยงิ วัตถุออกไปในแนวราบดวยความเรว็ ตนมากกวา เดมิ ระยะตกไกลสุด ในแนวราบจะมากขึ้น บนที่สูงเดียวกนั เมอ่ื ยิงวัตถอุ นั หน่ึงออกไปในแนวราบ ขณะเดียวกนั วตั ถอุ กี กอนหนงึ่ ถกู ปลอ ยใหตก ใน แนวดิ่งพรอ มกนั วตั ถุทงั้ สองกอ นจะตกถึงพืน้ พรอมกนั B วถิ ีโคงพาราโบลา u AC จากรูป เปนการยงิ วัตถุออกจากตาํ แหนง A ดว ยความเรว็ ตน u ในแนวทศิ เอยี งทาํ มมุ กับแนวระดบั วัตถุ จะเคลอ่ื นที่ขึน้ แตเ นื่องจากแรงดงึ ดูดของโลกทําใหวัตถเุ คลื่อนที่เปนวถิ โี คงแทนท่จี ะเคลอื่ นท่เี ปนเสน ตรง และเมอื่ วตั ถุเคลอ่ื นท่ีถึงตาํ แหนงสงู สุดที่จุด B ที่ตาํ แหนงนว้ี ัตถจุ ะมคี วามเร็วเฉพาะแนวราบเทานัน้ (ความเรว็ ในแนวดง่ิ เปนศนู ย) หลงั จากนนั้ วัตถจุ ะเคล่ือนท่โี คง ลงตกที่ตาํ แหนง C โดยไดความสัมพันธวา เวลาทใ่ี ชใ นการเคลอ่ื นทจี่ าก A ไป B จะเทา กบั เวลาท่เี คล่ือนที่จาก B ไป C จะใหตกไกลสดุ ตามแนวราบตองยงิ ดวยมุม 45° และถา มมุ ทย่ี งิ สองมมุ รวมกันได 90° วตั ถุจะตกทีจ่ ดุ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010 __________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (7)
การเคลื่อนทเ่ี ปน วงกลม (Circular motion) เม่ือวตั ถุมกี ารเคลอ่ื นท่เี ปนวงกลมดวยขนาดของความเรว็ คงที่หรอื ไมคงท่ีก็ตาม ทศิ ของความเร็วยอ ม เปลี่ยนไปตลอดเวลาแนๆ นน่ั กค็ อื การเคลือ่ นทม่ี คี วามเร็วไมคงทแ่ี สดงวาตองมแี รงกระทาํ เชน นําวตั ถผุ กู เชือก แลวแกวง เปนวงกลมดังรปู เชอื กจะดึงใหวตั ถเุ คล่อื นทีเ่ ปน วงกลมแรงดงึ ของเชือกจะมีทศิ เขา หาจุดศนู ยก ลาง นั่นคือจะมีแรงกระทาํ ตอวตั ถุในแนว เขาสศู ูนยก ลางของการเคล่ือนทแ่ี ละเรียกแรงนี้วา แรงสศู ูนยก ลาง (Centripetal Force) พจิ ารณาการเคลอื่ นทขี่ องวัตถุเปน วงกลมรัศมี r ดวยอตั ราเร็วคงท่ี v เวลาท่ใี ชใ นการเคลอ่ื นทคี่ รบรอบ T เรียกวา คาบ (period) และจํานวนรอบทเี่ คลอื่ นทีใ่ นหนึ่งหนวยเวลาเรียกวา ความถ่ี (frequency) f = T1 การแกวงของลกู ตมุ นาฬกิ า (The Simple pendulum motion) อนภุ าคมวล m ผกู ปลายเชอื กเบายาว L อกี ปลายหน่ึงของเชือกผูกกบั เพดาน ดงั รูป อนภุ าคเคลือ่ นท่ีใน ระนาบดงิ่ ดว ยแรงโนม ถว งของโลก โดยเชือกจะเอยี งทาํ มุมเล็กๆ กับแนวด่งิ (หนวยเรเดยี น) mg sin θ = ma เนอื่ งจาก θ เปนมุมเลก็ ๆ sin θ ∼ θ gθ = a θL a = -g XL T จะได ω2 = L m T = 2π Lg x mg cos θ mg sin θ การเคลอ่ื นทข่ี องมวลตดิ สปริงเบา mg -kx = ma mk -mkmkm a = = ω2 T = 2π mk วิทยาศาสตร ฟส ิกส (8) __________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
ตัวอยา งขอ สอบ 1. รถยนตค ันหนงึ่ วิ่งดว ยอัตราความเร็วคงตัว 20 เมตรตอวินาที นานเทา ใดจงึ จะเคล่อื นทไี่ ดระยะทาง 500 เมตร 1) 10 s 2) 15 s 3) 20 s *4) 25 s 2. เด็กคนหนึง่ ออกกําลงั กายดว ยการวิง่ ดว ยอตั ราเร็ว 6 เมตรตอวินาที เปน เวลา 1 นาที วิ่งดว ยอตั ราเรว็ 5 เมตรตอ วนิ าทอี กี 1 นาที แลวเดนิ ดว ยอตั ราเร็ว 1 เมตรตอวนิ าที อีก 1 นาที จงหาอัตราเรว็ เฉลีย่ ใน ชว งเวลา 3 นาทนี ี้ 1) 3.0 m/s 2) 3.5 m/s *3) 4.0 m/s 4) 4.5 m/s 3. คลองทต่ี ดั ตรงจากเมอื ง A ไปเมอื ง B มีความยาว 65 กโิ ลเมตร ขณะที่ถนนจากเมือง A ไปเมอื ง B มรี ะยะทาง 79 กโิ ลเมตร ถา ชายคนหนึ่งขนสนิ คา จากเมอื ง A ไปเมอื ง B โดยรถยนต ถามวา สนิ คา นั้นมี ขนาดการกระจดั เทาใด 1) 14 km *2) 65 km 3) 72 km 4) 79 km 4. รถยนตค นั หน่ึงว่งิ ดว ยอตั ราเร็วเฉลีย่ 80 กโิ ลเมตรตอชว่ั โมง จากเมอื ง A ไปเมือง B ท่ีอยหู างกัน 200 กิโลเมตร ถา ออกเดินทางเวลา 06.00 นาฬกิ า จะถึงปลายทางเวลาเทาใด 1) 07.50 นาฬิกา 2) 08.05 นาฬกิ า *3) 08.30 นาฬกิ า 4) 08.50 นาฬกิ า 5. ถาปลอยใหก อ นหินตกลงจากยอดตึกสพู ืน้ การเคล่อื นที่ของกอ นหินกอนจะกระทบพน้ื จะเปน ตามขอ ใด ถาไม คดิ แรงตา นของอากาศ 1) ความเรว็ คงท่ี *2) ความเร็วเพ่ิมข้ึนอยางสมาํ่ เสมอ 3) ความเร็วลดลงอยางสมํ่าเสมอ 4) ความเร็วเพ่มิ ขน้ึ แลวลดลง 6. โยนลกู บอลข้นึ ไปในแนวดง่ิ ดว ยความเรว็ ตน 4.9 เมตรตอ วินาที นานเทาใดลกู บอลจึงจะเคลอื่ นท่ีไปถึงจดุ สงู สดุ *1) 0.5 s 2) 1.0 s 3) 1.5 s 4) 2.0 s 7. การเคล่อื นท่แี บบโปรเจกไทล เมื่อวตั ถุเคลือ่ นท่ขี ้ึนไปถึงตําแหนง สูงสดุ อตั ราเร็วของวัตถุจะเปน อยางไร 1) มีคาเปน ศนู ย 2) มอี ัตราเรว็ แนวราบเปน ศนู ย *3) มคี าเทากบั อตั ราเรว็ แนวราบเมอื่ เรม่ิ เคลือ่ นท่ี 4) มีคา เทา กับอัตราเร็วเมือ่ เริม่ เคลื่อนที่ โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 __________________________ วิทยาศาสตร ฟส ิกส (9)
8. นอตขนาดเล็กผกู ดว ยสายเอ็นแขวนไวใ หส ายยาว l ซึง่ สามารถเปลี่ยนใหมีคาตา งๆ ได คาบการแกวง T ของนอตจะขึ้นกับความยาว l อยา งไร *1) T2 เปน ปฏิภาคโดยตรงกบั l 2) T เปนปฏภิ าคโดยตรงกับ l 3) T2 เปนปฏิภาคโดยตรงกับ l2 4) T เปนปฏภิ าคโดยตรงกบั l 9. รถไตถังเคล่ือนท่ดี ว ยอตั ราเรว็ สม่ําเสมอและวงิ่ ครบรอบได 5 รอบในเวลา 2 วินาที หากคิดในแงความถข่ี อง การเคล่อื นท่ี ความถีจ่ ะเปนเทา ใด *1) 2.5 Hz 2) 1.5 Hz 3) 0.5 Hz 4) 0.4 Hz 10. รถยนตค นั หนงึ่ เคล่ือนที่จากหยดุ นิ่งไปบนเสน ทางตรง เวลาผา นไป 4 วนิ าที มีความเร็วเปน 8 เมตร/วินาที ถาอตั ราเรว็ เพมิ่ ขึ้นอยางสมํา่ เสมอ รถยนตคันน้ีมคี วามเรงเทาใด *1) 2 m/s2 2) 4 m/s2 3) 12 m/s2 4) 14 m/s2 11. เดก็ คนหน่งึ เดินไปทางทศิ เหนอื ไดร ะยะทาง 300 เมตร จากนน้ั เดนิ ไปทางทิศตะวันออกไดร ะยะทาง 400 เมตรใชเ วลาเดินทางทงั้ หมด 500 วินาที เด็กคนนเ้ี ดินดว ยอัตราเรว็ เฉลยี่ กเ่ี มตร/วนิ าที 1) 0.2 m/s *2) 1.0 m/s 3) 1.4 m/s 4) 2.0 m/s 12. ยิงวตั ถุจากหนาผาออกไปในแนวระดับ ปริมาณใดของวตั ถุมีคาคงตัว 1) อตั ราเรว็ 2) ความเร็ว 3) ความเรว็ ในแนวดง่ิ *4) ความเร็วในแนวระดบั 13. เหวยี่ งจกุ ยางใหเคล่ือนท่ีเปน แนววงกลมในระนาบระดบั ศรี ษะ 20 รอบ ใชเวลา 5 วนิ าที จกุ ยางเคลื่อนท่ี ดวยความถ่ีเทาใด 1) 0.25 รอบ/วินาที *2) 4 รอบ/วนิ าที 3) 5 รอบ/วินาที 4) 10 รอบ/วินาที วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (10)_________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
14. การเคลื่อนที่ใดทีแ่ รงลพั ธท ่ีกระทาํ ตอวัตถมุ ที ศิ ตง้ั ฉากกบั ทศิ ของการเคล่ือนทต่ี ลอดเวลา 1) การเคลอื่ นท่ใี นแนวตรง *2) การเคล่อื นทแี่ บบวงกลมดว ยอตั ราเรว็ คงตวั 3) การเคลอ่ื นท่ีแบบโปรเจคไทล 4) การเคล่อื นที่แบบฮารมอนกิ อยา งงา ย 15. ในการเคลือ่ นท่ีเปน เสน ตรง กราฟขอใดแสดงวาวัตถุกาํ ลงั เคลอื่ นทด่ี วยความเร็วคงตัว ความเรง ความเรง 1) 2) 0 เวลา 0 เวลา ความเรง ความเรง 3) 0 เวลา 4) เวลา 0 16. กราฟของความเร็ว v กบั เวลา t ขอ ใดสอดคลอ งกับการเคลอื่ นท่ีของวัตถุท่ีถูกโยนขึน้ ไปในแนวดิ่ง vv 1) 2) t t vv *3) 4) tt 17. รถยนต A เร่มิ เคล่อื นทจี่ ากหยดุ นิ่ง โดยอตั ราเรว็ เพ่มิ ขึ้น 2 เมตร/วนิ าที ทุก 1 วนิ าที เมือ่ สน้ิ วินาทที ี่ 5 รถยนตจ ะมีอตั ราเรว็ เทาใด 1) 5 m/s *2) 10 m/s 3) 15 m/s 4) 20 m/s 18. ถา ปลอ ยใหวัตถตุ กลงในแนวดง่ิ อยางเสรี หากวัตถนุ น้ั ตกกระทบพื้นดนิ ในเวลา 5 วินาที ถามวาวตั ถุกระทบ ดนิ ดวยความเร็วเทา กับกเี่ มตร/วนิ าที 1) 4.9 m/s 2) 9.8 m/s 3) 39 m/s *4) 49 m/s โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (11)
19. การทดลองเรื่องการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย AC ถาใหลูกตุมเคลื่อนที่จาก A ไป B ไป C แลวไป B B ดังรูป ใชเวลา 3 วินาที คาบของการเคล่ือนท่ีมีคา เทาใด 1) 2 s 2) 3 s *3) 4 s 4) 6 s 20. ขอ ความใดถูกตองเกย่ี วกับคาบของลกู ตมุ อยางงา ย 1) ไมข้นึ กบั ความยาวเชอื ก *2) ไมข น้ึ กับมวลของลกู ตุม 3) ไมขน้ึ กับแรงโนม ถว งของโลก 4) มีคาบเทาเดิมถา ไปแกวง บนดวงจันทร 21. จากรปู แสดงจดุ หางสมาํ่ เสมอกนั บนแถบกระดาษท่ีผานเครื่องเคาะสัญญาณเวลา 50 ครั้ง/วนิ าที ขอความใด ถกู ตองสําหรับการเคล่ือนท่นี ี้ 1) ความเรว็ เพ่มิ ขน้ึ สมํา่ เสมอ 2) ความเรง เพมิ่ ขนึ้ สมํา่ เสมอ 3) ความเรง คงตวั และไมเปนศูนย *4) ระยะทางเพิม่ ขึน้ สมํา่ เสมอ 22. วตั ถทุ ่ีเคลือ่ นท่ีแบบโปรเจคไทลขณะท่วี ตั ถุอยูท่ีจดุ สงู สุด ขอใดตอไปน้ถี ูกตอง 1) ความเรว็ ของวตั ถุมีคา เปนศูนย 2) ความเรง ของวตั ถมุ ีคาเปนศนู ย *3) ความเรว็ ของวัตถุในแนวดิง่ มคี าเปนศูนย 4) ความเร็วของวตั ถใุ นแนวราบมคี า เปน ศูนย 23. เมื่ออยบู นดวงจนั ทรชัง่ น้ําหนกั ของวตั ถุท่มี มี วล 10 กโิ ลกรมั ได 16 นิวตนั ถา ปลอ ยใหว ัตถุตกทบี่ นผิว ดวงจนั ทร วัตถุมคี วามเรงเทาใด *1) 1.6 m/s2 2) 3.2 m/s2 3) 6.4 m/s2 4) 9.6 m/s2 24. ชายคนหนง่ึ เดนิ ทางไปทางทศิ เหนือ 100 เมตร ใชเ วลา 60 วนิ าที แลว เดนิ ตอไปทางตะวนั ออกอกี 100 เมตร ใชเ วลา 40 วินาที เขาเดินทางดวยอตั ราเรว็ เฉล่ยี เทาใด 1) 1.0 m/s 2) 1.4 m/s *3) 2.0 m/s 4) 2.8 m/s วิทยาศาสตร ฟสิกส (12)_________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010
25. ขอ ใดตอ ไปนไี้ มไดท าํ ใหการเคล่อื นทข่ี องวัตถเุ ปนการตกแบบเสรี กาํ หนดให การเคลอื่ นท่ที กุ ขอ ไมค ิดแรงตานอากาศ 1) โยนกอ นหินขนึ้ ไปในแนวดง่ิ 2) ปลอ ยลกู กอลฟจากยอดตึกใหตกลงมาในแนวดิ่ง 3) ยงิ ลูกปนจากยอดหนา ผาออกไปในแนวระดับ *4) ผกู ถงุ ทรายเขากบั สปรงิ ในแนวด่งิ ซงึ่ ตรึงไวกับเพดาน ดนั ถงุ ทรายขึ้นแลวปลอ ย 26. วตั ถุ A มมี วล 10 กโิ ลกรมั วางอยนู ิ่งบนพื้น สวนวัตถุ B ซงึ่ มีมวลเทากันกาํ ลังตกลงสพู ้ืนโลก ถาไมคิดแรง- ตานอากาศ และกําหนดใหท งั้ A และ B อยูในบริเวณท่ีขนาดสนามโนมถวงของโลกเทากบั 9.8 นวิ ตัน/ กิโลกรัม ขอ ใดตอไปนไ้ี มถ กู ตอ ง 1) วัตถุทั้งสองมีนา้ํ หนกั เทากนั *2) วัตถทุ ง้ั สองมีอัตราเรง ในแนวด่ิงเทากัน คือ 9.8 เมตร/วนิ าที2 3) แรงโนม ถว งของโลกทีก่ ระทําตอวตั ถุ A มีขนาดเทากบั 98 นิวตัน 4) แรงโนมถว งของโลกทก่ี ระทําตอวัตถุ B มขี นาดเทา กบั 98 นิวตัน 27. แรงในขอ ใดตอ ไปนี้เปน แรงประเภทเดียวกนั กับแรงท่ีทาํ ใหลกู แอปเปล ตกลงสูพ้ืนโลก *1) แรงที่ทําใหด วงจนั ทรอ ยใู นวงโคจรรอบโลก 2) แรงทที่ ําใหอ ิเลก็ ตรอนอยูในอะตอมได 3) แรงที่ทาํ ใหโปรตอนหลายอนภุ าคอยรู วมกันในนิวเคลียสได 4) แรงทที่ ําใหป ายแมเ หล็กติดอยูบนฝาตเู ย็น 28. การเคล่ือนทใ่ี นขอใดตอไปนที้ ่ีความเรงของวัตถุเปนศูนย 1) การเคลื่อนที่แบบวงกลมดวยอัตราเรว็ คงตวั 2) การตกลงตรงๆ ในแนวด่งิ โดยไมมแี รงตานอากาศ *3) การเคลือ่ นทเี่ ปน เสน ตรงในแนวระดบั ดว ยอัตราเรว็ คงตัว 4) การไถลลงเปน เสน ตรงบนพ้นื เอียงลน่ื ที่ไมมีแรงเสียดทาน 29. รถยนตค นั หน่งึ แลนดวยอตั ราเรว็ คงตวั 20 กิโลเมตรตอช่วั โมง ระยะทางทร่ี ถยนตคนั นแี้ ลนไดใ นเวลา 6 นาที เปน ไปตามขอใด 1) 0.3 กโิ ลเมตร *2) 2.0 กิโลเมตร 3) 3.3 กิโลเมตร 4) 120 กิโลเมตร 30. เด็กคนหนึ่งวง่ิ เปน เสนตรงไปทางขวา 20 เมตร ในเวลา 4 วนิ าที จากน้ันกห็ ันกลบั แลววง่ิ เปนเสน ตรงไป ทางซา ยอกี 2 เมตร ในเวลา 1 วนิ าที ขนาดความเร็วเฉลี่ยของเดก็ คนนี้เปนไปตามขอใด 1) 3.5 เมตรตอ วินาที *2) 3.6 เมตรตอวนิ าที 3) 6.0 เมตรตอ วินาที 4) 7.0 เมตรตอ วินาที โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (13)
31. ขอ ใดตอ ไปนีไ้ มไ ดทาํ ใหว ตั ถมุ ีการเคลือ่ นทแี่ บบฮารม อนกิ อยางงาย *1) แขวนลูกตุมดว ยเชือกในแนวด่ิง ผลกั ลูกตุม ใหแกวง เปนวงกลม โดยเสนเชือกทาํ มุมคงตวั กบั แนวดิ่ง 2) แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิง่ ดงึ ลูกตุม ออกมาจนเชอื กทาํ มมุ กับแนวด่งิ เล็กนอ ยแลวปลอยมอื 3) ผกู วตั ถุกับปลายสปริงในแนวระดับ ตรงึ อีกดา นของสปรงิ ไว ดึงวตั ถุใหสปริงยืดออกเล็กนอ ย แลว ปลอยมอื 4) ผกู วตั ถกุ บั ปลายสปริงในแนวดิง่ ตรงึ อกี ดานของสปริงไว ดงึ วัตถใุ หสปรงิ ยดื ออกเลก็ นอ ย แลว ปลอยมอื 32. ผูกวัตถดุ ว ยเชอื กแลวเหวยี่ งใหเ คลอ่ื นทีเ่ ปน วงกลมในแนวระนาบด่ิง ขณะทีว่ ตั ถเุ คล่อื นทมี่ าถึงตําแหนงสูงสดุ ของวงกลม ดงั แสดงในรูป แรงชนิดใดในขอตอ ไปนี้ที่ทําหนาทเี่ ปน แรงสศู นู ยกลาง 1) แรงดึงเชอื ก 2) นา้ํ หนกั ของวัตถุ *3) แรงดงึ เชือกบวกกับนา้ํ หนกั ของวัตถุ 4) ท่ตี ําแหนงน้ัน แรงสูศูนยก ลางเปน ศูนย 33. เตะลูกบอลออกไป ทําใหล ูกบอลเคลื่อนท่ีแบบโพรเจกไทล ดังรูป และกําหนดใหท ิศขน้ึ เปนบวก กราฟในขอใดตอไปนี้บรรยายความเรง ในแนวดง่ิ ของลูกบอลไดถ ูกตอง ถา ไมค ดิ แรงตา นอากาศ ความเรง ความเรง 1) 0 เวลา *2) 0 เวลา ความเรง เวลา ความเรง เวลา 3) 0 4) 0 วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (14)_________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแ คมป 2010
ไฟฟาสถิต แรงไฟฟาทีก่ ระทาํ ตอประจุ +a - + b+ -c - - d+ วัตถเุ ลก็ ๆ สองกอนแขวนในแนวดิ่ง ซึ่งอิสระในการเคล่อื นท่ี รูป (a) วตั ถมุ ปี ระจุชนิดตรงขา มจะเกดิ แรง ดดู กนั รปู (b) และ (c) วัตถมุ ปี ระจุชนิดเดียวกันจะเกิดแรงผลักกนั และรูป (d) วัตถทุ ี่มปี ระจไุ ฟฟากบั วัตถทุ ี่เปน กลางจะเกิดแรงดูดกนั สนามไฟฟา (The Electric Field) สนามไฟฟา ทตี่ ําแหนง ใดๆ คือ แรงไฟฟาตอประจุบวกทดสอบท่ีตาํ แหนงนน้ั โดยทศิ ของสนามไฟฟา มีทศิ ตามทิศของแรงไฟฟาทก่ี ระทําตอ ประจบุ วกทดสอบ E ≡ qF0 (a) (b) 1 E1 2 E2 3 (d) E3 (c) โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (15)
สมบตั ิของเสนแรงไฟฟา 1. เสนแรงจะมที ศิ พงุ ออกจากประจบุ วก และมที ิศพงุ เขาหาประจุลบเสมอ 2. เสน แรงไฟฟาจะมรี ะเบียบจะไมต ดั กนั น่ันแสดงวา จุดๆ หนง่ึ จะมเี สน แรงผา นไดเพียงเสน เดยี ว 3. เสนแรงไฟฟา จะตั้งฉากกบั ผวิ ของวัตถุที่มีประจไุ ฟฟาเสมอ 4. เสนแรงไฟฟา จะส้ินสดุ ท่ผี ิวตวั นําเทาน้นั แสดงวา ภายในตัวนาํ จะไมมเี สน แรงไฟฟา นน่ั คือ ภายในตัวนาํ สนามไฟฟา มีคาเปนศูนย 5. สนามไฟฟา ณ ตําแหนงใดๆ จะมที ศิ อยใู นแนวเสน สัมผัสกับเสนแรง ณ ตาํ แหนงน้ัน 6. ความหนาแนน ของเสน แรงในบริเวณตา งๆ จะบอกใหท ราบถึงความเขม สนามไฟฟาบริเวณน้ันๆ น่นั คอื บริเวณใดทม่ี เี สน แรงไฟฟา หนาแนน มาก แสดงวาความเขม สนามไฟฟา มคี า มาก บริเวณใดทมี่ ีเสนแรงไฟฟา หนาแนนนอย แสดงวาความเขม สนามไฟฟามคี านอย บรเิ วณใดทมี่ ีเสน แรงไฟฟา หนาแนนสมํ่าเสมอ (เสน แรงไฟฟา ขนานกนั ) แสดงวา ความเขมสนามไฟฟา ก็จะมีคา สมํา่ เสมอ แรงไฟฟากระทาํ ตอประจุไฟฟา ทอ่ี ยใู นสนามไฟฟา เม่อื มจี ดุ ประจุไฟฟาวางอยใู นสนามไฟฟาจะเกดิ แรงไฟฟากระทาํ ตอประจไุ ฟฟาซง่ึ ไดจ ากนยิ ามของ สนามไฟฟา คอื E ≡ qF เราสามารถเขียนสมการของแรงท่ีกระทาํ ตอประจุไฟฟาไดเปน F = qE ทิศของแรงทีก่ ระทําตอประจุบวกจะมที ศิ เดียวกับสนามไฟฟา และทิศของแรงทก่ี ระทาํ ตอประจลุ บจะมที ิศ ตรงขา มกบั สนามไฟฟา นนั่ คือ แรงจะมที ิศขนานกบั สนามไฟฟาเสมอ ไมวาประจจุ ะเคลื่อนท่อี ยา งไรในสนามไฟฟา ความเรว็ ตนของจุดประจขุ นานกับสนามไฟฟาสมาํ่ เสมอ vE vE เมือ่ อนุภาคที่มปี ระจไุ ฟฟา อยใู นสนามไฟฟาจะเกดิ แรงไฟฟา กระทําตอ ประจุ ทําใหอนภุ าคเคล่ือนท่ีดวยความเรง เมื่อความเร็ว F = qE ตนขนานกับสนามไฟฟาจะมลี ักษณะการเคลื่อนท่ีแบบการเคลื่อนที่ F = qE แนวตรง (b) (a) วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (16)_________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010
ความเร็วตนของจดุ ประจุทํามุมกับสนามไฟฟาสมํา่ เสมอ เม่อื อนุภาคท่มี ีประจุไฟฟา เคลือ่ นทท่ี ํามุมใดๆ กบั สนามไฟฟา (ไมข นานกบั สนามไฟฟา) จะเกดิ ความเรง ใน มติ เิ ดยี วกบั สนามไฟฟา แตมีความเร็วในมิตขิ นานกับสนามไฟฟา และมติ ติ ัง้ ฉากกบั สนามไฟฟา ซง่ึ ลกั ษณะการ เคล่อื นทีแ่ บบน้ีคอื โพรเจกไตล vE V vE เคลอื่ นท่ีโคง พาราโบลา เคล่อื นทีแ่ นวตรง (a) (b) V โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟส ิกส (17)
แมเหลก็ ไฟฟา แมเหลก็ เม่ือนําแทงแมเ หล็กทสี่ ามารถเคล่ือนท่ไี ดอ ยา งอสิ ระในแนวระดับวางบนพื้น ดงั รปู ปลายหนึ่ง ของแทงแมเ หล็กจะช้ีไปประมาณทิศเหนอื จึงเรียกปลายนขี้ องแมเหล็กวา ขว้ั เหนอื (N) และปลายตรงขาม เรยี กวา ข้วั ใต (S) N NN NS SS SN เมื่อนําแทงแมเหล็กมาไวใกลๆ กนั จะเกิดแรงกระทําตอกนั โดยท่ีขว้ั แมเหล็กชนิดเดียวกนั จะเกดิ แรงผลักกนั และเมือ่ เปน ข้วั แมเหล็กชนดิ ตรงขามจะเกดิ แรงดดู กัน สนามแมเหลก็ โลก ข้ัวโลกเหนือจะเปนขว้ั ใตสนามแมเหลก็ และท่ีข้ัวโลกใตจ ะเปน ขั้วเหนอื สนามแมเ หล็กโลก ดังรูป Emaargthn’estic pole Geographic North Pole Geographic Emaargthn’estic pole South Pole Earth’s axis เสน แรงแมเหล็ก เน่ืองจากทิศของสนามแมเหลก็ ทีจ่ ุดใดๆ คือ ทิศทางขว้ั แมเหลก็ ขว้ั เหนอื ทีเ่ ร่ิมจะเคล่อื นที่ ไปเม่อื วางเรยี งในตําแหนง นั้น ถาลากเชือ่ มตอระหวางจดุ ตา งๆ ทข่ี ้ัวเหนือเคลอื่ นท่ีไป เรียกเสน ทางนี้วา เสนแรง แมเ หล็ก (magnetic lines of force) เสนแรงแมเ หลก็ หมายถงึ เสน ท่แี สดงทิศของแรงลัพธท ีแ่ ทงแมเหลก็ กระทาํ ตอ เขม็ ทิศ เสน แรงแมเหล็กรอบๆ แทง แมเหล็กจะมีลักษณะโคง 3 มิตแิ ละพงุ จากขั้วเหนือไปข้วั ใตของแมเหล็ก เสนแรงแมเ หล็กโลกบนพน้ื ที่เล็กๆ จะมลี ักษณะเปน เสนขนาน ทิศพุงไปทางทิศเหนอื ภมู ิศาสตร วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (18)_________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010
เสน แรงแมเหลก็ ไมต ัดกนั บริเวณทไ่ี มม เี สน แรงแมเ หล็กผา น บริเวณนัน้ จะไมม ีสนามแมเหล็กและเรียกจดุ นนั้ วา จุดสะเทิน (neutral point) แอนรงุภทาคก่ี มรวะลทําmตอมอีปนรุภะาจคุไฟทฟีม่ าีปรqะจเุคซลึง่่ือเนคทลด่ี ือ่ วนยทคีใ่ วนาบมรเรเิ วว็ ณvvทีม่ ใสี นนสานมาแมมแมเหเ หลล็ก็ก vB (ทิศความเรว็ ไมข นานกับ สนามแมเ หล็ก) จะมีแรงเนื่องจากสนามแมเหลก็ (แรงแมเ หล็ก) กระทาํ ตอ อนภุ าคท่มี ปี ระจุ vF = q vv × vB (Lorentz force) ขนาดของแรงทีก่ ระทําตอ อนุภาคทม่ี ปี ระจุ F = qvB sin θ ทิศทางของแรงที่กระทําตอ อนุภาคท่ีมีประจุ ใช “Right hand rule” โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (19)
ตัวอยางขอสอบ 1. จุด A และ B อยภู ายในเสนสนามไฟฟาที่มที ิศตามลูกศร ดังรปู ขอ ใดตอไปนี้ถูกตอ ง AB 1) วางประจุลบลงที่ A ประจลุ บจะเคล่ือนไปที่ B 2) วางประจบุ วกลงท่ี B ประจบุ วกจะเคลือ่ นไปท่ี A 3) สนามไฟฟา ท่ี A สงู กวาสนามไฟฟาที่ B *4) สนามไฟฟา ท่ี A มคี าเทา กบั สนามไฟฟาที่ B 2. A, B และ C เปน แผนวตั ถุ 3 ชนดิ ท่ีทําใหเ กดิ ประจุไฟฟา โดยการถู ซงึ่ ไดผลดังนี้ A และ B ผลกั กัน สว น A และ C ดูดกนั ขอ ใดตอไปนถ้ี กู ตอง 1) A และ C มปี ระจบุ วก แต B มีประจลุ บ 2) B และ C มีประจลุ บ แต A มีประจบุ วก *3) A และ B มีประจุบวก แต C มปี ระจลุ บ 4) A และ C มีประจุลบ แต B มีประจุบวก 3. โดยปกติเขม็ ทิศจะวางตวั ตามแนวทิศเหนอื -ใต เมอ่ื นําเข็มทิศมาวางใกลๆ กับกึ่งกลางแทงแมเ หลก็ ท่ตี ําแหนง ดงั รปู เข็มทศิ จะช้ีในลักษณะใด NS เขม็ ทิศ N S S N 1) 2) S N 3) N *4) S วิทยาศาสตร ฟส ิกส (20)_________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
4. จากแผนภาพแสดงลักษณะของเสน สนามแมเ หล็กทีเ่ กดิ จากแทงแมเหล็กสองแทง AB CD ขอ ใดบอกถงึ ขัว้ แมเหลก็ ทตี่ าํ แหนง A, B, C และ D ไดถ กู ตอง 1) A และ C เปน ขวั้ เหนือ B และ D เปนขวั้ ใต 2) A และ D เปน ข้ัวเหนือ B และ C เปน ข้วั ใต *3) B และ C เปนข้วั เหนอื A และ D เปน ขว้ั ใต 4) B และ D เปน ขวั้ เหนือ A และ C เปนข้ัวใต 5. บริเวณพนื้ ทส่ี ี่เหล่ยี ม ABCD เปน บรเิ วณท่ีมสี นามแมเ หลก็ สม่าํ เสมอซึง่ มีทศิ พงุ ออกต้งั ฉากกับกระดาษ ดงั รปู AB DC ขอ ใดตอ ไปนี้ท่จี ะทําใหอ นุภาคโปรตอนเคลอ่ื นทเ่ี บนเขาหาดาน AB ได *1) ยงิ อนภุ าคโปรตอนเขาไปในบริเวณ จากทางดา น AD ในทศิ ตัง้ ฉากกบั เสน AD 2) ยงิ อนุภาคโปรตอนเขาไปในบริเวณ จากทางดา น BC ในทศิ ตง้ั ฉากกับเสน BC 3) ยงิ อนภุ าคโปรตอนเขาไปในบรเิ วณ จากทางดา น AD ในแนวขนานกบั เสน AC 4) ยิงอนภุ าคโปรตอนเขา ไปในบริเวณ จากทางดาน DC ในแนวขนานกับเสน DB 6. วางอนภุ าคอิเลก็ ตรอนลงในบริเวณซึง่ มีเฉพาะสนามไฟฟา ท่ีมที ศิ ไปทางขวา ดังรูป อนภุ าคอเิ ล็กตรอนจะมี การเคลื่อนท่เี ปนไปตามขอ ใด สนามไฟฟา 1) เคลอื่ นทีเ่ ปนเสนโคง เบนขึ้นขา งบน 2) เคล่ือนท่ีเปนเสนโคง เบนลงขางลา ง 3) เคลื่อนที่เปน เสน ตรงขนานกับสนามไฟฟา ไปทางขวา 4) เคลอ่ื นทเ่ี ปนเสนตรงขนานกับสนามไฟฟา ไปทางซา ย โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (21)
7. อนุภาคโปรตอน อเิ ล็กตรอน และนวิ ตรอน อนภุ าคในขอ ใดทีเ่ มือ่ นําไปวางในสนามไฟฟาแลวจะมีแรงไฟฟา กระทาํ 1) นวิ ตรอน 2) โปรตอนและนิวตรอน 3) โปรตอนและอิเลก็ ตรอน 4) โปรตอน อเิ ล็กตรอน และนิวตรอน 8. ลําอนภุ าค P และ Q เม่อื เคลอ่ื นท่ผี านสนามแมเหลก็ B ทีม่ ีทิศพงุ ออกตัง้ ฉากกบั กระดาษมกี ารเบี่ยงเบน ดังรูป ถา นําอนภุ าคทัง้ สองไปวางไวในบรเิ วณทีม่ ีสนามไฟฟาสม่าํ เสมอ แนวการเคลอื่ นทจ่ี ะเปน อยา งไร QP B 1) เคลอื่ นทไ่ี ปทางเดียวกันในทิศทางตามเสนสนามไฟฟา 2) เคลอ่ื นท่ีไปทางเดียวกนั ในทศิ ทางตรงขา มกับเสนสนามไฟฟา *3) เคลอื่ นที่ในทิศตรงขามกันโดยอนุภาค P ไปทางเดยี วกับสนามไฟฟา 4) เคล่อื นทใี่ นทิศตรงขามกันโดยอนุภาค Q ไปทางเดียวกับสนามไฟฟา 9. วางลวดไวในสนามแมเหล็ก ดงั รปู เมือ่ ใหกระแสไฟฟา เขาไปในเสนลวดตวั นําจะเกิดแรงเนอื่ งจากสนามแมเ หลก็ กระทําตอ ลวดนี้ในทิศทางใด NS I 1) ไปทางซาย (เขาหา N) 2) ไปทางขวา (เขาหา S) 3) ลงขางลาง *4) ขึ้นดานบน 10. อนุภาคโปรตอนเคล่ือนที่เขาไปในทิศขนานกับสนามแมเหล็กซึ่งมีทิศพุงเขากระดาษแนวการเคลื่อนที่ของ อนภุ าคโปรตอนจะเปน อยางไร *1) วง่ิ ตอไปเปนเสน ตรงดวยความเรว็ คงตวั 2) เบนไปทางขวา 3) เบนไปทางซา ย 4) ว่ิงตอไปเปนเสนตรงและถอยหลังกลบั ในทส่ี ดุ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (22)_________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
11. ถา มอี นภุ าคมปี ระจุไฟฟา +q อยใู นสนามไฟฟาระหวา งแผนคูขนาน ดงั รปู ถา เดิมอนุภาคอยูนิ่ง ตอ มาอนภุ าค จะเคลือ่ นที่อยา งไร +Y ++++++++ O +X +q ---------- 1) ทิศ +X ดว ยความเรง 2) ทิศ -X ดว ยความเรง 3) ทิศ +Y ดว ยความเรง *4) ทศิ -Y ดวยความเรง 12. ขณะทอี่ นภุ าคมปี ระจุไฟฟา +q มวล m เคลอื่ นท่ใี นแนวระดบั ในสนามไฟฟา และสนามแมเหลก็ ดงั รปู อนุภาคจะมีการเคลอ่ื นที่อยา งไร ++++++++ 1) โคงข้นึ *2) โคงลง ××××××××× 3) โคง ออกมาจากกระดาษ 4) โคง เขา ไปในกระดาษ × v×× × × ××+q×× × × × × × × × × × ××××××××× ---------- 13. สนามแมเหล็กโลกมีลักษณะตามขอ ใด (ขางบนเปน ข้วั เหนอื ภูมิศาสตร) S S *1) N 2) N N N 3) S 4) S โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (23)
คล่ืน คล่ืนเปน ปรากฏการณการแผก ระจายพลงั งานและโมเมนตมั ออกจากแหลงกาํ เนดิ โดยอาศยั ตวั กลาง หรอื ไมอ าศัยตวั กลางก็ได ซ่ึงเราสามารถแบง คล่นื ไดด ังน้ี 1. จําแนกคล่ืนตามลกั ษณะการเคล่อื นที่ คล่นื ตามขวาง (Transverse wave) เม่อื คลืน่ เคลอื่ นทผ่ี านตัวกลางอนุภาคของตัวกลางจะมกี ารสั่น กลบั ไปมาในแนวต้งั ฉากกับทศิ การเคลอ่ื นท่ขี องคลื่น เชน คลืน่ ในเสน เชอื ก คลืน่ ทผ่ี ิวน้าํ เปน ตน คล่ืนตามยาว (Longitudinal wave) เมอ่ื คลนื่ เคล่ือนทผี่ า นตัวกลางอนุภาคของตัวกลางจะมกี ารส่นั กลับไปกลบั มาในแนวขนานกับทิศการเคลื่อนท่ขี องคล่ืนเชน คลื่นในสปรงิ คล่นื เสยี ง เปน ตน 2. จําแนกคลืน่ ตามลักษณะการอาศยั ตวั กลาง คลื่นกล (Mechanical wave) เปน คลื่นท่ีเคลื่อนที่โดยอาศัยตัวกลาง ซ่ึงอาจเปน ของแขง็ ของเหลว หรอื แกส กไ็ ด ตวั อยา งของคลน่ื ไดแ ก คลื่นเสยี ง คล่ืนผวิ นํา้ คลน่ื ในเสน เชือก เปน ตน คล่ืนแมเหล็กไฟฟา (Electromagnetic wave) เปน คล่ืนท่ปี ระกอบดวยสนามแมเ หล็กและ สนามไฟฟา ในแนวตั้งฉากกนั ในการเคล่อื นทใ่ี ชหลักการเหนีย่ วนํากนั ไปจึงไมจาํ เปน ตอ งอาศยั ตัวกลาง (มตี ัวกลางก็ เคลือ่ นที่ได) และจะเคลือ่ นทไ่ี ดเรว็ ทสี่ ดุ ในสญุ ญากาศ และจะชา ลงเม่ือเคลื่อนทใี่ นตัวกลาง เมื่อจัดลําดับความถ่ี ของคล่นื แมเ หล็กไฟฟา จากความถค่ี า นอ ยไปยังคามากจะไดด งั น้ี กระแสสลบั คลน่ื วทิ ยุ (เอเอม็ เอฟเอ็ม) ไมโครเวฟ (เรดาร) รงั สีอนิ ฟราเรด แสง รงั สอี ัลตาไวโอเลต รงั สเี อกซ และรังสีแกมมา วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (24)_________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
3. จําแนกคล่ืนตามลกั ษณะการเกดิ คลน่ื คลืน่ ดล (Pulse wave) เปน คล่นื ท่เี กิดจากแหลง กาํ เนิดถูกรบกวนเพยี งชว งส้ันๆ เชน สะบัดเชอื กครงั้ เดยี ว โยนกอนหนิ ตกน้ํา คลืน่ ตอเนอ่ื ง (Continuous wave) เปน คล่นื ทเี่ กิดจากแหลงกาํ เนดิ ถูกรบกวนเปนจังหวะตอ เนือ่ ง เชน เคาะผวิ นาํ้ เปนเวลานานๆ สวนประกอบของคลื่น สนั คลื่น (Crest) เปน ตาํ แหนง สงู สุดของคลน่ื หรอื เปน ตําแหนง ที่มกี ารกระจดั สงู สุดในทางบวก ทอ งคลน่ื (Trough) เปน ตาํ แหนง ตา่ํ สุดของคลื่นหรือเปนตาํ แหนงที่มีการกระจัดมากสุด ในทางลบ แอมพลิจดู (Amplitude) เปน ระยะจากแนวปกติไปยงั สันคล่นื หรือทองคล่ืนก็ได ความยาวคล่ืน (Wavelength) เปนความยาวของคลน่ื หนึ่งลกู มคี าเทา กบั ระยะระหวา งสันคล่นื หรอื ทอ ง คลื่นที่อยูถดั กัน หรือถาเปน คลืน่ ตามยาวจะเปน ระยะระหวางชวงอัดถึงชวงอัดถัดกนั หรือขยายถึงขยายก็ได ความยาวคลนื่ แทนดวยสญั ลักษณ λ มีหนว ยเชนเดยี วกบั หนว ยของระยะทาง ความถ่ี (Frequency) หมายถึง จาํ นวนลกู คล่ืนทผ่ี า นตําแหนง ใดๆ ในหนงึ่ หนวยเวลา แทนดว ยสญั ลักษณ f มหี นว ยเปน วิน1าที หรือเฮริ ตซ (Hz) คาบ (Period) หมายถึง ชวงเวลาทีค่ ลื่นเคล่ือนท่ีผา นตําแหนง ใดๆ ครบหนงึ่ ลูกคลืน่ แทนดว ยสัญลกั ษณ T มีหนว ยเปนวินาที อัตราเรว็ ของคล่ืน (wave speed) คอื อัตราสว นของระยะทางที่คลื่นเคล่ือนทไ่ี ดตอเวลาท่ใี ชในเวลา เดียวกนั อตั ราเร็ว = ระเยวะลทาาง v = λT v = fλ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (25)
สมบัติของคลื่น คลื่นจะตองมีสมบตั ิ 4 ประการ ดงั ตอไปนี้ การสะทอ น เมอ่ื คล่ืนเคล่อื นทต่ี กกระทบผิวสะทอ นที่มีขนาดใหญก วา ความยาวคลนื่ จะเกิดการสะทอ น การหักเห เม่อื คลื่นเคลอ่ื นทเี่ ปลยี่ นตวั กลางแลว อัตราเร็วของคลืน่ เปลี่ยนแปลง การเลย้ี วเบน เปน ปรากฏการณท ่คี ลนื่ สามารถเคลือ่ นที่ออ มสิ่งกดี ขวางได การแทรกสอด เมือ่ คล่ืนต้งั แตสองขบวนเคล่ือนที่มาพบกันจะเกดิ การรวมกันของคลนื่ เกดิ คลน่ื ลพั ธ อัตราเร็วของคลื่นน้ํา ทดลองวางแผนแกวแบนลงในถาดคลนื่ ทําใหบรเิ วณนั้นตืน้ ข้ึน กําเนิดคล่ืนตรงว่งิ เขา หาขอบของแผนแกว ในแนวตง้ั ฉาก สังเกตุแนวสวางบนโตะ จะพบวา ความยาวคลืน่ ในบรเิ วณนาํ้ ตนื้ สน้ั กวาบรเิ วณนา้ํ ลกึ เนื่องจาก ความถีท่ ี่บริเวณทง้ั สองเทากัน เพราะเกิดจากแหลงกาํ เนดิ เดียวกัน จะได λลกึ > λตน้ื fλลกึ > fλตื้น vลกึ > vตน้ื อัตราเรว็ คล่ืนในนํ้าลกึ จะมากกวา อัตราเรว็ คลื่นในนาํ้ ต้นื ยกเวน บริเวณนํา้ ลึกมากๆ อัตราเร็วคลน่ื จะไม เปล่ยี นแปลงตามความลึก วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (26)_________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010
ตวั อยางขอสอบ 1. เม่ือคลน่ื เดนิ ทางจากนํ้าลึกสนู ้ําต้นื ขอใดตอ ไปนถี้ ูก 1) อตั ราเรว็ คลน่ื ในนาํ้ ลกึ นอยกวาอัตราเรว็ คลนื่ ในนํา้ ต้ืน *2) ความยาวคลน่ื ในนา้ํ ลกึ มากกวา ความยาวคล่ืนในน้าํ ตนื้ 3) ความถ่ีคล่ืนในน้ําลกึ มากกวาความถค่ี ลื่นในนา้ํ ต้นื 4) ความถีค่ ลื่นในน้าํ ลกึ นอ ยกวาความถ่ีคล่ืนในนา้ํ ตน้ื 2. คลนื่ ใดตอไปนี้เปนคลื่นที่ตองอาศัยตวั กลางในการเคลือ่ นที่ ก. คลืน่ แสง ข. คลื่นเสียง ค. คล่ืนผิวน้าํ ขอ ใดถกู ตอ ง 1) ทงั้ ก, ข. และ ค. *2) ข. และ ค. 3) ก. เทานัน้ 4) ผิดทกุ ขอ 3. เมือ่ คลื่นเคลื่อนจากตัวกลางท่หี นงึ่ ไปตัวกลางที่สองโดยอตั ราเร็วของคล่นื ลดลง ถามวาสําหรบั คล่ืนใน ตัวกลางที่สอง ขอ ความใดถูกตอ ง 1) ความถ่เี พม่ิ ขนึ้ 2) ความถีล่ ดลง 3) ความยาวคลนื่ มากขึน้ *4) ความยาวคล่ืนนอยลง 4. ถา กระทมุ นํา้ เปน จังหวะสม่ําเสมอ ลูกปง ปองทล่ี อยอยหู า งออกไปจะเคล่อื นทีอ่ ยางไร 1) ลูกปง ปองเคลือ่ นที่ออกหางไปมากขึน้ 2) ลูกปงปองเคลื่อนท่ีเขา มาหา *3) ลกู ปงปองเคลื่อนทขี่ น้ึ -ลงอยูทีต่ ําแหนง เดิม 4) ลกู ปง ปองเคล่ือนทไี่ ปดา นขา ง 5. คลื่นเคลอื่ นท่จี ากตวั กลางหน่ึงไปยงั อีกตวั กลางหน่ึง ปรมิ าณใดตอ ไปน้ีไมเ ปล่ียนแปลง *1) ความถ่ี 2) ความยาวคลื่น 3) อัตราเร็ว 4) ทศิ ทางการเคล่อื นทข่ี องคล่นื โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (27)
6. เม่อื ใหแสงสีแดงผา นเขา ไปในปรซิ มึ แสงสแี ดงในปริซมึ จะมคี วามเรว็ และความยาวคลื่นอยา งไรเทยี บกบั แสง น้นั ในอากาศ 1) ความเร็วลดลง ความยาวคล่นื เพม่ิ ขึน้ *2) ความเรว็ ลดลง ความยาวคลื่นลดลง 3) ความเรว็ เพิม่ ขึน้ ความยาวคลื่นเพ่ิมข้นึ 4) ความเรว็ เพ่มิ ขึ้น ความยาวคลืน่ ลดลง 7. ขอ ใดตอ ไปนถี้ กู ตองเก่ยี วกบั คลืน่ ตามยาว *1) เปนคล่นื ทอ่ี นภุ าคของตัวกลางมกี ารสัน่ ในแนวเดียวกบั การเคล่อื นทขี่ องคล่นื 2) เปน คลนื่ ทเ่ี คลือ่ นท่ีไปตามแนวยาวของตัวกลาง 3) เปนคล่นื ท่ีไมตองอาศยั ตัวกลางในการเคลอื่ นที่ 4) เปน คล่ืนท่อี นภุ าคของตัวกลางมีการสัน่ ไดหลายแนว วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (28)_________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
คลื่นเสยี ง คลืน่ เสยี ง (Sound waves) เสยี งเกดิ จากการสัน่ ของวัตถุ พลงั งานที่ทําใหว ัตถสุ ่นั จะทําใหโ มเลกลุ ของอากาศทีอ่ ยูรอบวัตถุสั่นตาม ซ่งึ จะถายโอนพลังงานใหก ับโมเลกุลของอากาศทอ่ี ยถู ัดไป สง ผลใหค ล่นื เสยี งเคลือ่ นท่อี อกจากแหลง กาํ เนิดเสียงมายัง หเู รา การไดยนิ เสยี งเปนการทาํ งานของระบบประสาท ทาํ ใหรบั รแู ละแยกแยะวเิ คราะหเปนเร่ืองราวตา งๆ ได หลงั จากถา ยโอนพลังงานไปแลว โมเลกลุ ของอากาศจะสนั่ กลับสตู าํ แหนง เดิม ในแนวเดยี วกับการเคลือ่ นที่ของ คลน่ื เสยี ง (เสยี งเปนคลน่ื ตามยาว) ความดันอากาศในบริเวณท่ีเสียงเคล่ือนท่ี λ ผานเรียกวา ความดันเสียง ณ เวลาหน่ึงโมเลกุล ของอากาศในบางบริเวณจะอยูใกลชิดกันมาก ทํา ใหม คี วามหนาแนนและความดนั สงู กวาปกติ บริเวณนเ้ี รยี กวา สว นอดั แตใ นบางบรเิ วณโมเลกลุ ของอากาศ อยูหา งกนั มากจึงมคี วามหนาแนนและความดันตํา่ กวา ปกติ บริเวณนี้ เรยี กวา สวนขยาย อตั ราเร็วเสยี ง ในการเคลื่อนทข่ี องเสยี งจําเปนตองอาศยั ตัวกลาง ถา ไมม ีตวั กลางเสียงจะเคลอื่ นที่ไมไ ด การหาอตั ราเร็ว ของเสยี งกห็ าเชนเดยี วกับคลน่ื โดยทั่วไป กลา วคอื อตั ราเร็วเสียงเทา กบั ระยะทางท่ีเสยี งเคลอื่ นทีไ่ ดตอ ชวงเวลานั้น อตั ราเรว็ เสียง = ระเยวะลทาาง v = fλ อัตราเรว็ ของเสยี งในตวั กลางจะไมข ้ึนกบั ความถีแ่ ละความยาวคลน่ื หมายความวา ความถ่ขี องเสยี งจะเพมิ่ หรือลดอตั ราเร็วเสยี งยังมคี าคงเดิม แตก ย็ ังมอี งคป ระกอบทที่ ําใหอัตราเรว็ เสียงเปล่ยี นไดนนั่ คอื ชนดิ ของตัวกลาง ในตัวกลางทีต่ า งกนั อตั ราเรว็ ของเสียงจะตา งกัน โดยสวนใหญแ ลวเสยี งเคลอ่ื นทใี่ น ตัวกลางมคี วามหนาแนนมากจะมีอัตราเร็วมากกวา เคลอ่ื นที่ในตวั กลางทีม่ ีความหนาแนนนอย แตก ็ไมจรงิ เสมอไป เชน เสยี งเคลอ่ื นทใี่ นปรอทจะมอี ัตราเรว็ นอยกวา อตั ราเรว็ เสยี งในนา้ํ เปนตน ความเร็วของตวั กลาง ในกรณีท่ีตวั กลางมีการเคล่อื นที่ จะทําใหอ ัตราเร็วของเสียงเปลย่ี นไป เชน เสียง ทเี่ คลอ่ื นทตี่ ามลมจะเร็วกวา เสยี งทีเ่ คล่ือนทีท่ วนลม (ความถี่เสยี งไมเ ปลย่ี น) V = อตั ราเรว็ เสียง VO = อตั ราเรว็ เสยี งในอากาศน่งิ Vm Vทวน = VO - Vm Vm = อัตราเร็วลม Vตาม = VO + Vm โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (29)
อณุ หภมู ิ มีผลตอ อตั ราเรว็ ของเสยี งในอากาศ กลาวคอื อตั ราเร็วเสยี งในอากาศแปรผันตรงกบั รากที่สอง ของอณุ หภมู สิ ัมบูรณ V α T โดย T เปน อณุ หภูมใิ นหนวยเคลวนิ จะได VV12 = TT21 และได V = 331 + 0.6 t เมอ่ื t เปนอณุ หภมู หิ นวยเซลเซยี ส การไดยิน การไดยนิ ของมนษุ ยจะประกอบดวยแหลง กําเนดิ เสยี ง ตวั กลาง ประสาทหูทปี่ กติของมนษุ ย สว นประกอบของหู ระดับเสยี ง หรอื ระดับความสงู ตํ่าของเสยี งซ่งึ จะขึน้ กบั ความถ่ขี องเสียง โดยชว งความถเ่ี สยี งที่มนษุ ยได ยนิ อยรู ะหวา ง 20-20000 เฮิรตซ โดยเสยี งท่ีมีความถตี่ า่ํ กวา 20 เฮิรตซ เรียกวา อินฟราโซนิก (Infrasonic) และเสยี งทม่ี คี วามถี่สูงกวา 20000 เฮริ ตซ เรียกวา อลุ ตราโซนกิ (Ultrasonic) เสียงแหลม คือ เสยี งท่ีมีระดับเสยี งสงู หรอื เสียงทม่ี ีความถม่ี าก เสยี งทมุ คอื เสยี งท่มี รี ะดับเสยี งตํา่ หรือเสยี งทมี ีความถ่นี อ ย ความเขม ของเสยี ง คือ อัตราพลังงานเสยี งที่ตกลงบนพน้ื ท่ี 1 ตารางเมตร มหี นว ยเปน วตั ตต อตารางเมตร ความเขมของเสียงนอ ยทส่ี ุดที่พอจะไดยินได 10-12 วตั ตตอตารางเมตร ความเขมของเสยี งมากทส่ี ุดทท่ี นฟงได 1 วัตตตอ ตารางเมตร ระดบั ความเขมเสยี ง เปนคา ทีบ่ อกความดังของเสียง ซง่ึ จะข้นึ กบั แอมปลจิ ูดของคลน่ื ถาคา แอมพลิจดู มากเสยี งจะดงั ชวงระดับความเขมเสยี งทีม่ นุษยจ ะไดย ินจะอยูในชว ง 0-120 dB (เดซิเบล) วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (30)_________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
สมบตั ขิ องคลื่นเสยี ง เสยี งเปน คล่ืนจงึ มคี ณุ สมบัตเิ หมอื นคล่นื ทัว่ ไป คอื การสะทอ น การหักเห การเล้ยี วเบน และ การแทรกสอด การสะทอนของเสียง เมื่อเสียงตกกระทบผิวสะทอ นทีข่ นาดใหญกวาความยาวคลน่ื จะเกดิ การสะทอ น และเปนไปตามกฎการ สะทอ น* เสยี งจะสะทอนไดดกี บั วตั ถุผวิ มัน ดังนนั้ เพอื่ ปอ งกันการสะทอนเสยี งภายในหอ งจึงตองใหผนังผิวขรุขระ เชน ติดกรอบรปู ตกแตงดว ยตนไมห รือตดิ มาน เปน ตน เสยี งกอง (Echo) คอื เสียงสะทอ นทีไ่ ดย ินเปนครง้ั ทสี่ องหลงั จากไดย ินเสียงครง้ั แรกไปแลว ซ่งึ จะ เกดิ ข้นึ ไดต อ งใชเ วลาหา งกนั ไมน อยกวา 0.1 วินาที การหกั เหของคลนื่ เสียง เกิดจากการที่เสยี งเปลีย่ นตัวกลางในการเคล่ือนที่แลวทําใหอัตราเร็วและความยาวคลื่นเสียงเปล่ียนไปแต ความถคี่ งเดมิ ปรากฏการณท ่เี กิดในชีวติ ประจาํ วันเนื่องจากการหักเหของเสียง เชน การเห็นฟาแลบแลวไมได ยนิ เสยี งฟารอ ง การแทรกสอดของเสยี ง เกดิ จากการทคี่ ล่นื เสยี งอยา งนอ ย 2 ขบวนเคลือ่ นท่มี าพบกนั แลว เกิดการเสริมหรือหกั ลา งกัน เชน ใน เคร่อื งบินการปอ งกนั เสียงในเครอ่ื งบิน ทาํ โดยการผลิตเสยี งท่ีมคี วามถเ่ี ทา กับเสียงทีเ่ กิดจากเครือ่ งยนตไอพน แต มลี ักษณะตรงขามกันทาํ ใหเสียงเกดิ การหกั ลา ง เสยี งในหองโดยสารจึงเงยี บสนิท บตี ส (Beats) ปรากฏการณก ารแทรกสอดของคลน่ื เสยี งสองชดุ ทมี่ ีความถตี่ า งกนั เล็กนอย (slightly) เคลอ่ื นทใ่ี นทิศทาง เดียวกนั (Same direction) ผลจากหลกั การรวมกันไดของคลนื่ สองขบวนเปนคล่นื ลพั ธท่มี แี อมพลจิ ูดไมค งที่ เปล่ียนแปลงตามเวลา จดุ ที่คลน่ื ท้งั สองรวมกันแบบเสรมิ (Constructive) จะมแี อมพลิจูดมากเสยี งทไ่ี ดยินจะดงั จุดที่คลน่ื ท้ังสองรวมกนั แบบหกั ลาง (Destructive) จะมีแอมพลิจูดนอ ย เสียงท่ไี ดย นิ จะคอย เมื่อคลน่ื เกดิ การรวมกนั แลวจะทําใหเกดิ เสียงดงั และคอยสลับกนั เปนจังหวะคงที่ เรยี กปรากฏการณนี้วา การเกิดบีตสข องเสยี ง (Beats of sound) ความถี่บีตส (Beat frequency) คอื จํานวนครง้ั ท่ีไดย ินเสยี งดงั ในหนง่ึ วินาที (จาํ นวนครงั้ ทเี่ กดิ เสยี งคอย ในหนงึ่ วินาท)ี ซง่ึ ความถีบ่ ตี สจ ะหาไดจากผลตา งระหวางความถขี่ องแหลง กําเนิดท้ังสอง ความถีบ่ ตี ส = จํานวนคร้งั เทวล่ไี ดายินเสียงดงั fb = |f2 - f1| ถา ความถ่เี สียงทัง้ สองตา งกนั เลก็ นอ ย เสยี งบีตสทไี่ ดย นิ จะเปนจงั หวะชา ๆ ถา ความถีเ่ สยี งทงั้ สองตางกนั มาก เสยี งบตี สที่ไดย ินจะเปน จังหวะเร็วขน้ึ โดยปกตมิ นุษยจ ะสามารถจําแนกเสียงบตี สท ไี่ ดย นิ เปนจังหวะ เมอ่ื ความถีบ่ ีตสไมเกิน 7 เฮริ ตซ โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (31)
การเลีย้ วเบนของเสยี ง เกิดจากการที่คล่ืนเสียงสามารถออ มเลีย้ วผานสิ่งกดี ขวางได เสยี งท่มี คี วามยาวคลน่ื ยาวจะเลี้ยวเบนผาน ขอบของสง่ิ กีดขวางไดด กี วา เสยี งที่ความยาวคลื่นสั้น เชน รถวิ่งไปดานหนาตกึ เปดแตรขึน้ คนทอ่ี ยดู านขา งของตึก จะไดยินเสยี งได เพราะเสียงเล้ียวเบนผานขอบของตกึ ไปได คณุ ภาพเสียง แหลง กาํ เนิดเสียงตางกนั อาจใหเ สียงท่ีมรี ะดับเสียงเดียวกัน เชน ไวโอลนิ และขลุย ถา เลน โนต เดยี วกัน จะใหเสยี งทีม่ คี วามถเี่ ดียวกัน แตเราสามารถแยกออกไดว า เสยี งใดเปนเสยี งไวโอลนิ และเสยี งใดเปน เสียงขลยุ แสดงวานอกจากระดับเสียงแลว จะตองมปี จจยั อ่นื อกี ท่ีทาํ ใหเสียงท่ไี ดย ินแตกตางกันจนเราสามารถ แยกประเภทของแหลง กําเนดิ เสยี งนั้นได แหลง กาํ เนดิ เสยี งตางชนดิ กัน ขณะสน่ั จะใหเสียงซงึ่ มีความถม่ี ลู ฐานและฮารโ มนคิ ตา งๆ ออกมาพรอมกนั เสมอ แตจ ํานวนฮารโมนคิ และความเขมเสียงแตล ะฮารโมนิคจะแตกตางกนั จงึ ทําใหล ักษณะคลนื่ เสียงทอี่ อกมา แตกตา งกนั สําหรับแหลง กําเนิดท่ีตา งกันจะใหเ สยี งที่มลี ักษณะเฉพาะตวั ที่เราเรียกวา คณุ ภาพเสยี งตา งกนั นัน้ เอง วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (32)_________________________ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010
ตัวอยางขอ สอบ 1. ถาดดี กตี ารแลวพบวาเสยี งทไี่ ดยนิ ตํ่ากวาปกติ จะมวี ิธีปรับแกใ หเ สียงสูงข้นึ ไดอยา งไร 1) เปลีย่ นใชสายเสนใหญข ึ้น 2) ปรบั สายใหหยอ นลง 3) ปรบั ตําแหนงสายใหยาวข้ึน 4) ปรบั สายใหตงึ ขึ้น 2. เสียงผา นหนา ตา งในแนวตง้ั ฉาก มคี า ความเขมเสียงที่ผา นหนา ตา งเฉล่ีย 1.0 × 10-4 วัตตตอ ตารางเมตร หนา ตางกวา ง 80 เซนติเมตร สูง 150 เซนติเมตร กําลงั เสียงท่ีผา นหนา ตางมีคา เทา ใด 1) 0.8 × 10-4 W *2) 1.2 × 10-4 W 3) 1.5 × 10-4 W 4) 8.0 × 10-4 W 3. ชาวประมงสง คล่นื โซนารไ ปยังฝงู ปลา พบวา ชว งเวลาทค่ี ลืน่ ออกไปจากเครอื่ งสงจนกลับมาถึงเคร่ืองเปน 1.0 วนิ าทีพอดี จงหาวา ปลาอยหู างจากเรอื เทาใด (กาํ หนดใหความเร็วของคลื่นในน้ําเปน 1540 เมตรตอ วนิ าท)ี 1) 260 m 2) 520 m *3) 770 m 4) 1540 m 4. ระดบั เสียงและคุณภาพเสียงข้นึ อยูก ับสมบัตใิ ด ตามลาํ ดับ 1) ความถ่ี รูปรางคลื่น 2) รปู รา งคล่นื ความถ่ี 3) แอมพลจิ ูด ความถ่ี 4) ความถ่ี แอมพลิจดู 5. ขอ ใดตอ ไปน้ีเปนวัตถุประสงคข องการบุผนงั ของโรงภาพยนตรดวยวัสดุกลนื เสยี ง 1) ลดความถ่ขี องเสียง 2) ลดความดังของเสียง *3) ลดการสะทอ นของเสียง 4) ลดการหกั เหของเสียง 6. ในการเทยี บเสียงกีตารก ับหลอดเทยี บเสียงมาตรฐาน เมอ่ื ดีดสายกีตารพรอ มกับหลอดเทียบเสียงเกิดบตี สข้นึ ทคี่ วามถหี่ นงึ่ แตเ ม่ือขนั ใหส ายตึงข้นึ เลก็ นอ ยความถ่ขี องบีตสส ูงขนึ้ ความถีข่ องเสยี งกตี ารเดมิ เปน อยางไร *1) สงู กวา เสียงมาตรฐาน 2) ตํ่ากวา เสียงมาตรฐาน 3) เทา กบั เสยี งมาตรฐาน 4) อาจจะมากกวาหรอื นอยกวา 7. ขอ ใดตอไปน้ที ี่มีผลทาํ ใหอัตราเร็วของคลืน่ เสยี งในอากาศเปลย่ี นแปลงได 1) ลดความถี่ 2) เพม่ิ ความยาวคล่นื 3) เพิม่ แอมพลจิ ดู *4) ลดอุณหภมู ิ 8. สมบตั ิตามขอ ใดของคลืน่ เสยี งที่เกี่ยวของกับการเกิดบีตส 1) การสะทอน 2) การหักเห 3) การเลยี้ วเบน *4) การแทรกสอด โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (33)
9. ขอ ใดไมถ กู ตอ ง *1) คางคาวอาศัยคลนื่ เสยี งในยา นอินฟราโซนิกในการบอกทิศทางและจับเหยือ่ 2) สนุ ัขสามารถไดย ินเสยี งทม่ี คี วามถ่ใี นยา นอลั ตราโซนิกได 3) เสยี งทม่ี คี วามถ่ีในยานอนิ ฟราโซนกิ จะมีความถต่ี า่ํ กวาความถ่ีทีม่ นุษยส ามารถไดยนิ 4) คลนื่ เสียงในยา นอลั ตราโซนกิ สามารถใชทาํ ความสะอาดเคร่ืองมือแพทย 10. เครอื่ งโซนารใ นเรือประมงไดร บั สญั ญาณสะทอนจากทองทะเล หลงั จากสง สัญญาณลงไปเปน เวลา 0.4 วนิ าที ถาอัตราเรว็ เสยี งในน้าํ เปน 1500 เมตรตอวินาที ทะเลมีความลกึ เทากับขอ ใด 1) 150 เมตร *2) 300 เมตร 3) 600 เมตร 4) 900 เมตร วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (34)_________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
คล่นื แมเหล็กไฟฟา ทฤษฎีคลนื่ แมเ หล็กไฟฟา ของแมกซเ วลล นกั ฟสกิ ส และนักคณติ ศาสตรช าวอังกฤษ แมกซเวลลไดร วบรวมกฏตา งๆที่เกีย่ วกบั คลนื่ แมเ หล็กไฟฟา มาสรุปเปนทฤษฎีโดยนําเสนอในรปู ของ สมการคณติ ศาสตร ซึง่ แมกเวลลใ ชทาํ นายวา สนามไฟฟา ทีเ่ ปลีย่ นแปลงตามเวลาทาํ ใหเ กดิ สนามแมเหล็ก และในขณะเดียวกันสนามแมเหลก็ ทเ่ี ปลีย่ นแปลงตามเวลากท็ าํ ใหเ กิดสนามไฟฟาดวย โดยทิศสนามแมเ หล็ก และสนามไฟฟา ตางกม็ ที ิศต้งั ฉากกัน และแมกเวลล ยงั ทํานายอีกวา คลื่นแมเ หล็กทีเ่ กิดขนึ้ จากการเหน่ยี วนาํ อยางตอ เนื่องระหวา งสนามแมเหลก็ และสนามไฟฟา เคลอ่ื นท่ีออกจากแหลงกาํ เนดิ ไปในสญุ ญากาศดว ยอัตราเร็วเทา กับอตั ราเรว็ แสง แมกซเวลลจงึ เสนอความคดิ วา แสงเปน คลื่นแมเ หล็กไฟฟา คาํ ทาํ นายนไ้ี ดร ับการยืนยันวา เปน จรงิ โดยการทดลองของเฮริ ตซ ซ่งึ เปน นกั วทิ ยาศาสตรช าวเยอรมัน ส1.รุปสสนมาบมตัไฟิคฟลานื่ แมvEเ หแลลก็ ะไฟสนฟาา มแไมดเดหังลนก็ ี้ vB มีทศิ ตัง้ ฉากซง่ึ กันและกนั และต้ังฉากกับทิศการเคล่ือนทขี่ อง คลืน่ แมเหล็กไฟฟา เสมอ vEดังนแัน้ ลคะลสืน่ นแามมเแหมลเ ก็หไลฟก็ ฟา vBจึงเปเปน นคฟลง่นื ชตันารมปู ขไวซานง 2. สนามไฟฟา และสนามทง้ั สองจะเปลีย่ นแปลงตามเวลา ดว ยความถ่เี ดยี วกนั และเฟสตรงกันถาสนามไฟฟาเปนศนู ย สนามแมเหลก็ ก็เปน ศนู ยด วยมีคาสูงสุด และตํา่ สดุ พรอมกนั 3. ประจุไฟฟาเม่ือเคล่อื นที่ดวยความเรง จะปลดปลอยคลนื่ แมเหล็กไฟฟา ออกมารอบการเคลื่อนท่ีของ ประจุนนั้ โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (35)
สเปกตรัมของคลื่นแมเหล็กไฟฟา คล่ืนแมเหล็กไฟฟาน้ีแมมแี หลง กาํ เนดิ และวิธีการตรวจวดั ท่ีไมเหมอื นกนั แตค ลื่นเหลานจี้ ะมสี มบตั ริ ว มกัน คอื จะเคลือ่ นท่ไี ปไดดวยความเร็วในสญุ ญากาศท่ีเทากนั หมด และเทากับความเรว็ แสง พรอมๆ กบั มีการสง พลังงานไปพรอมกบั คล่นื สเปกตรมั ของคล่ืนแมเ หล็กไฟฟา 1. คล่ืนวทิ ยุ เปน คล่ืนแมเ หลก็ ไฟฟาทม่ี ีความถีอ่ ยูในชว ง 106-109 เฮริ ตซ ระบบเอเอ็ม (Amplitude Modulation : A.M.) ความถ่ีอยูในชวง 530-1600 กโิ ลเฮิรตซ จะเปนการผสม (Modulate) สัญญาณเสียงเขา กบั คลื่นวิทยุ (คล่นื พาหะ) โดยสัญญานเสียงจะบงั คับใหคล่ืนพาหะมแี อมพลิจดู เปลี่ยนแปลงไปตามสัญญาณเสยี ง คลืน่ วิทยใุ นชว งความถีน่ ้ีจะสามารถสะทอ นไดด ที ่ีบรรยากาศชนั้ ไอโอโนสเฟยร ขอดี คอื ทาํ ใหสามารถสื่อสารไดไกลเปนพนั ๆ กิโลเมตร (คลื่นฟา ) ขอ เสยี คอื จะถกู คลืน่ แมเหล็กไฟฟาจากแหลง อนื่ ๆ แทรกเขา มารบกวนไดงาย วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (36)_________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
ระบบเอฟเอ็ม (Frequency Modulation : F.M.) ความถอี่ ยใู นชว ง 80-108 เมกะเฮริ ตซ เปน การผสม (Modulate) สัญญาณเสยี งเขากับคลน่ื วิทยุ (คล่ืนพาหะ) โดยสญั ญานเสยี งจะบงั คบั ใหค ลื่นพาหะมคี วามถ่ี เปลย่ี นไปตามสญั ญาณเสียง ขอ ดี คอื ทําใหค ลน่ื แมเหลก็ ไฟฟาจากแหลง อนื่ รบกวนไดย าก ขอ เสยี คือ สะทอ น บรรยากาศชนั้ ไอโอโนสเฟยรไ ดนอยมาก ทาํ ใหก ารสงกระจายเสียงตอ งใชสถานีถา ยทอดเปน ระยะๆ (คล่นื ดนิ ) 2. คลนื่ โทรทัศนแ ละไมโครเวฟ มคี วามถใี่ นชวง 108-1011 เฮริ ตซ เปน คลนื่ ท่ีไมส ะทอ นในชนั้ ไอโอโนสเฟย ร แตจะทะลุชนั้ บรรยากาศออกไปนอกโลกเลย การสงสญั ญาณตอ งมีสถานถี า ยทอดเปน ระยะๆ หรอื ใชดาวเทยี มใน การถา ยทอด สว นคล่ืนไมโครเวฟจะใชในอุปกรณสําหรบั หาตําแหนงของส่งิ กีดขวาง ตรวจจบั อัตราเร็วของรถยนต และอากาศยานในทองฟา ซ่ึงเปน อปุ กรณส รางข้นึ เพอื่ ใชต รวจหาที่เรียกวา เรดาร (Radiation Detection And Ranging : RADAR) เพราะคล่ืนไมโครเวฟสามารถสะทอนผวิ โลหะไดด ี ทําใหอ าหารสุกได โดยโมเลกุลของนา้ํ ทอ่ี ยูในอาหารสัน่ สะเทอื นประมาณ 2450 ลานคร้ังตอ วินาที การสนั่ น้ที ําใหอ าหารดูดพลังงานและเกิดความรอ นในอาหาร โดยไมม ีการสญู เสยี พลงั งานในการทาํ ใหเ ตาหรือ อากาศในเตารอนข้นึ อาหารจึงรอนและสุกอยางรวดเรว็ ภาชนะท่ที ําดว ยโลหะและไมไ มควรใช เพราะโลหะ สะทอ นไมโครเวฟออกไป สวนเน้อื ไมม คี วามชน้ื เมอื่ รอ นจะทาํ ใหไมแตกควรใชภาชนะประเภทกระเบอื้ ง และแกว เพราะจะไมดูดความรอ นจากสนามแมเ หล็ก 3. รงั สอี ินฟราเรด มคี วามถใี่ นชว ง 1011-1014 เฮิรตซ เกิดจากวัตถทุ ีม่ ีอุณหภมู สิ งู โดยมนษุ ยสามารถ รับรงั สนี ไ้ี ดโดยประสาทสมั ผสั ทางผิวหนงั รังสอี นิ ฟราเรดมีความสามารถทะลผุ า นเมฆหมอกท่ีหนาไดม ากกวา แสงธรรมดา จงึ ทาํ ใหรงั สอี ินฟาเรดมาใชในการศกึ ษาสภาพแวดลอ มและลกั ษณะพน้ื ผิวโลก โดยการถายภาพพ้นื โลกจากดาวเทียม สวนนักธรณวี ิทยากอ็ าศยั การถา ยภาพจากดาวเทียมดวยรงั สีอนิ ฟาเรดในการสาํ รวจหาแหลง นา้ํ มนั แรธ าตุ และชนิดตา งๆ ของหนิ ได นอกจากนรี้ งั สีอนิ ฟราเรดยังใชใ นรโี มท คอนโทรล (Remote control) ซึง่ เปนอุปกรณควบคมุ ระยะไกล ในกรณีน้ีรงั สีอินฟราเรดจะเปน ตัวนําคาํ ส่ังจากอุปกรณค วบคุมไปยงั เครื่องรับ และใชรังสีอินฟราเรดเปนพาหะนํา สญั ญาณในเสน ใยนําแสง (Optical fiber) ปจจุบันทางการทหารไดนาํ รังสีอนิ ฟราเรดน้ี มาใชในการควบคมุ การ เคลอ่ื นท่ีของอาวธุ นําวิถใี หเคลอ่ื นท่ีไปยังเปาหมายไดอยางแมน ยํา โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (37)
4. แสง มีความถ่ีประมาณ 1014 เฮริ ตซ มีความยาวคลนื่ 400nm-700nm มนุษยส ามารถรบั รูแสงได ดว ยประสาทสัมผสั ทางตา โดยจะเห็นเปนสตี า งๆ เรยี งจากความถม่ี ากไปนอย คอื มวง คราม นา้ํ เงิน เขียว เหลือง แสด แดง สวนใหญแ สงจะเกดิ จากวัตถุทีม่ อี ุณหภูมิสงู มากๆ ซึ่งจะสงออกมาพรอ มๆ กันหลายความถ่ี เมื่อ มีอณุ หภูมยิ งิ่ สงู ความถ่แี สงท่ีเปลง ออกมาก็ย่ิงมาก นักวิทยาศาสตรจงึ ใชส แี สงของดาวฤกษในการบอกวา ดาว ฤกษดวงใดมีอุณหภมู สิ งู กวา กนั เชน ดาวฤกษสนี าํ้ เงินจะมีอุณหภมู ิสูงกวา ดาวฤกษส เี หลอื ง, เปลวไฟจากเตาแกส ซ่งึ มีอุณหภมู ิสูงจะเกดิ สีน้ําเงินหรือสีมว ง แตไ ฟจากแสงเทียนซ่งึ มอี ุณภูมิตา่ํ กวาจะเกดิ แสงสแี ดงหรือสีแสด เปน ตน 5. รังสอี ลั ตราไวโอเลต มคี วามถใ่ี นชว ง 1015 ถึง 1018 เฮริ ตซ ในธรรมชาตสิ ว นใหญมาจากดวงอาทติ ย รงั สีน้ีเปนตัวการทาํ ใหบ รรยากาศชน้ั ไอโอโนสเฟย รแตกตวั เปนไอออนไดด ี (เพราะรงั สีอลั ตราไวโอเลตมพี ลังงานสงู พอทีท่ ําใหอ เิ ล็กตรอนหลุดจากโมเลกุลอากาศ พบวา ในไอโอโนสเฟย รม โี มเลกุลหลายชนดิ เชน โอโซนซ่งึ สามารถ ก้ันรังสอี ลั ตราไวโอเลตไดด ี) ประโยชนของรงั สอี ัลตราไวโอเลต คือ ใชตรวจสอบลายมอื ช่อื , ใชร ักษาโรคผิวหนงั , ใชฆ า เชือ้ โรค บางชนิดได, ใชในสัญญาณกันขโมย แตร งั สีอลั ตราไวโอเลตถา ไดรับในปรมิ าณท่ีสูงอาจทาํ ใหเ กดิ อันตราย ตอ เซลลผ ิวหนังเปน มะเร็งผิวหนงั และ เปน อนั ตรายตอ นยั นต าของมนุษยไ ด 6. รังสเี อกซ มคี วามถใ่ี นชวง 1017 - 1021 เฮริ ตซ มี 2 แบบ รงั สเี อกซมีสมบตั ใิ นการทะลสุ ิง่ กีดขวางหนาๆ และตรวจรับไดดว ยฟล ม จึงใชประโยชนในการหารอย ราวภายในชิ้นโลหะขนาดใหญ ใชในการตรวจสอบสมั ภาระของผโู ดยสาร ตรวจหาอาวุธปน หรอื วัตถรุ ะเบดิ และ ในทางการแพทยใชรงั สีเอกซฉายผานรางกายมนษุ ยไ ปตกบนฟลม ในการตรวจหาความผิดปกตขิ อง อวัยวะภายใน และกระดกู ของมนษุ ย 7. รังสแี กมมา ใชเ รียกคล่ืนแมเหลก็ ไฟฟาทม่ี คี วามถส่ี งู มากกวารังสเี อกซ เกิดจากการสลายตวั ของ นิวเคลยี สของธาตกุ ัมมนั ตรงั สี หรอื เปน รังสีพลงั งานสูงจากนอกโลก เชน รังสคี อสมิกและบางชนิดมาจากการแผ รงั สขี องประจไุ ฟฟาท่ีถูกเรง ในเครอื่ งเรง อนุภาค (Cyclotron) มอี ันตรายตอมนษุ ยม ากทสี่ ุด เพราะสามารถ ทาํ ลายเซลลส่ิงมชี ีวติ ได แตส ามารถใชประโยชนในการรักษาโรคมะเร็งๆ ได วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (38)_________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแคมป 2010
ตัวอยา งขอ สอบ 1. คล่ืนวทิ ยทุ ่ีสงออกจากสถานีวิทยุสองแหง มคี วามถ่ี 90 เมกะเฮริ ตซ และ 100 เมกะเฮิรตซ ความยาวคลื่น ของคล่นื วทิ ยุท้งั สองน้ีตา งกันเทาใด 1) 3.33 m 2) 3.00 m *3) 0.33 m 4) 0.16 m 2. ขอใดเปนการเรยี งลาํ ดับคล่นื แมเ หลก็ ไฟฟาจากความยาวคลน่ื นอ ยไปมากทถ่ี กู ตอ ง *1) รงั สเี อกซ อนิ ฟราเรด ไมโครเวฟ 2) อินฟราเรด ไมโครเวฟ รงั สเี อกซ 3) รังสเี อกซ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด 4) ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด รงั สเี อกซ 3. การฝากสญั ญาณเสียงไปกับคลื่นในระบบวทิ ยุแบบ เอ เอม็ คลืน่ วทิ ยุทีไ่ ดจ ะมีลักษณะอยางไร *1) คลนื่ วทิ ยจุ ะเปล่ยี นแปลงแอมพลิจดู ตามแอมพลจิ ูดของคล่นื เสียง 2) คลน่ื วิทยจุ ะเปลี่ยนแปลงแอมพลิจูดตามความถี่ของคลื่นเสียง 3) คลน่ื วทิ ยจุ ะเปลย่ี นแปลงความถ่ตี ามแอมพลิจดู ของคล่นื เสียง 4) คลน่ื วทิ ยจุ ะเปลย่ี นแปลงความถต่ี ามความถี่ของคลน่ื เสยี ง 4. มนษุ ยอ วกาศสองคนปฏิบตั ิภารกิจบนพื้นผิวดวงจนั ทร ส่อื สารกันดว ยวธิ ใี ดสะดวกทสี่ ดุ 1) คลนื่ เสียงธรรมดา 2) คลน่ื เสียงอลั ตราซาวด *3) คล่ืนวิทยุ 4) คลนื่ โซนาร 5. คล่ืนแมเหล็กไฟฟา ท่ีนิยมใชในรโี มทควบคุมการทาํ งานของเคร่ืองโทรทศั นคือขอใด 1) อนิ ฟราเรด *2) ไมโครเวฟ 3) คล่นื วิทยุ 4) อลั ตราไวโอเลต 6. คลน่ื วทิ ยุ FM ความถี่ 88 เมกะเฮิรตซ มคี วามยาวคลื่นเทาใด กาํ หนดใหค วามเรว็ ของคลืน่ วทิ ยเุ ทา กับ 3.0 × 108 เมตร/วินาที 1) 3.0 m 2) 3.4 m 3) 6.0 m 4) 6.8 m 7. คลื่นใดในขอตอ ไปนีท้ ี่มีความยาวคลน่ื ส้นั ทส่ี ดุ 2) คล่ืนอนิ ฟราเรด 1) คลื่นวิทยุ *4) คลนื่ แสงทต่ี ามองเห็น 3) คล่นื ไมโครเวฟ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (39)
8. สนามแมเหล็กทีเ่ ปน สว นหน่งึ ของคลน่ื แสงน้นั มีทิศทางตามขอใด 1) ขนานกับทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ีของแสง 2) ขนานกบั สนามไฟฟา แตตงั้ ฉากกับทิศการเคล่อื นทีข่ องแสง *3) ตง้ั ฉากกับทั้งสนามไฟฟา และทิศการเคล่อื นที่ของแสง 4) ตั้งฉากกับสนามไฟฟา แตข นานกับทศิ ของการเคลือ่ นท่ีของแสง 9. อนภุ าคแอลฟา อนภุ าคบตี า รังสีแกมมา เมอ่ื เคล่ือนท่ีในสนามแมเ หล็ก ขอใดไมเ กดิ การเบน 1) อนภุ าคแอลฟา 2) อนุภาคบตี า *3) รงั สแี กมมา 4) อนภุ าคแอลฟาและบตี า 10. คลน่ื แมเหล็กไฟฟาชนิดใดตอไปน้ีท่มี ีความยาวคลืน่ สนั้ ที่สุด 1) อินฟราเรด 2) ไมโครเวฟ 3) คลนื่ วิทยุ *4) อลั ตราไวโอเลต 11. รังสใี นขอ ใดใชส ําหรบั ฉายฆาเชือ้ โรคในเคร่อื งมอื ทางการแพทย 1) รังสแี กมมา 2) รงั สีบตี า 3) รังสีอนิ ฟราเรด 4) รังสีแอลฟา วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (40)_________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010
พลังงานนวิ เคลียร กัมมนั ตภาพรงั สี นักฟส ิกสเรยี กปรากฏการณท่ธี าตุสามารถแผร งั สไี ดเ องอยา งตอ เน่อื งนี้วา กมั มนั ตภาพรงั สี และเรยี กธาตุ ทมี่ ีสมบตั ิสามารถแผรังสอี อกมาไดเองน้ีวา ธาตกุ มั มันตรงั สี 1. กมั มนั ตภาพรงั สี 42 He ตวั ยอ α) เปน นิวเคลยี สของอะตอมของธาตฮุ ีเลยี ม มีมวล รังสีแอลฟา (Alpha, สัญลักษณ พลังงานประกอบดวย 4-10 MeV เสยี พลังงานงายอํานาจทะลุ 4u (1u = 1.66 × 10-27 kg) ประจุ +2e ทะลวงต่ํา ผานอากาศได 3 – 5 เซนติเมตร ทําใหเ กิดการแตกตัวเปนไอออนในสารท่ีรงั สผี านไดดที ีส่ ดุ รังสเี บตา (Beta, สญั ลักษณ -01 e ตัวอยา β–) มีประจุ -1e มวล 9.1 × 10-31 กโิ ลกรมั มพี ลังงาน ในชวง 0.025-3.5 MeV ผา นอากาศได 1-3 เมตร อํานาจทะลทุ ะลวงสูงกวา แอลฟา แตทาํ ใหเ กิดการแตกตวั เปน ไอออนในสารทีเ่ คลอื่ นทผ่ี า นไดดีนอ ยกวา แอลฟา รังสีแกมมา (Gamma, สญั ลักษณและตัวยอ γ) เปนคลน่ื แมเหลก็ ไฟฟา สง พลังงานในรูปของโฟตอน E = hf มีพลังงานประมาณ 0.04-3.2 MeV อํานาจทะลทุ ะลวงสงู สดุ ทําใหเกิดการแตกตวั เปน อิออนไดนอ ยสุด 2. การวเิ คราะหชนดิ ของประจขุ องสารกัมมนั ตรงั สีโดยใชสนามแมเหลก็ ทิศการเบี่ยงเบนของอนุภาคแอลฟา และอนุภาคเบตา เปนไปตามทศิ ทางแรงจากสนามแมเ หลก็ ท่กี ระทาํ ตอ ประจุซ่ึง เคลอื่ นทใี่ นสนามแมเ หล็ก โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (41)
สญั ลกั ษณน ิวเคลยี สของธาตุ บอกมวลของธาตุ A X บอกประจุไฟฟา Z เชน U238 มวล = …………………… kg ประจุ = …………………C 92 เลขมวล (Mass number, A) คอื ผลรวมของจํานวนโปรตอนและนิวตรอนท่อี ยภู ายในนิวเคลยี ส เลขอะตอน (Atomic number, Z) คือ จาํ นวนโปรตอนภายในนวิ เคลียส จาํ นวน neutron ภายในนิวเคลียส = A-Z ตัว เลขมวลในทางฟสกิ ส คอื เลขจํานวนเตม็ ทมี่ ีคา ใกลเ คียงกับมวลอะตอมของธาตุนั้นในหนวย u เชน 42 He มวล 1 อะตอมมีคา ประมาณ 4u (มวลจรงิ 4.002603 u) การแตกตัวใหรงั สชี นดิ ตา งๆ 1. การแตกตวั ใหแอลฟา (Alpha decay, α decay) เกิดจากการทนี่ วิ เคลยี สเดมิ สลายตวั ใหน วิ เคลยี ส ใหมที่มเี ลขอะตอมลดลง 2 เลขมวลลดลง 4 พรอมปลดปลอ ยแอลฟาออกมาตามสมการ AZ P → AZ--42 D + 42 He 2. การแตกตวั ใหเ บตาลบ (Beta decay, β- decay) เกิดจากการทน่ี ิวตรอน 1 ตวั ภายในนวิ เคลยี ส เดิม เปลย่ี นสภาพกลายไปเปนโปรตอน 1 ตวั ในนิวเคลยี สใหม ทาํ ใหน วิ เคลยี สใหมม เี ลขมวลเทา เดิมแตเ ลขอะตอม เพิ่มขึน้ หนง่ึ พรอมปลดปลอ ยเบตาลบ ตามสมการ AZ P → Z+41 D + -01 e 163 C → 173 N + -01 e +01 β+) 9.1 3. อนภุ าคเบตาบวก (Positron สญั ลักษณ e e ตัวยอ 2γ เปน อนภุ าคที่มปี ระจุ +e และมมี วล 10-31 กโิ ลกรัม เปนอนุภาคทีเ่ กดิ ยาก โดย -01 + +01 e → × 4. การแตกตวั ใหเบตาบวก เกิดจากการท่โี ปรตอน 1 ตวั ในนิวเคลยี สเดมิ เปลย่ี นสภาพไปเปนนิวตรอน 1 ตัวในนวิ เคลียสใหม ทาํ ใหนิวเคลียสใหมม เี ลขอะตอมลดลง 1 แตเลขมวลคงเดิม พรอ มปลดปลอ ยเบตาบวก ออกมา ตามสมการ AZ P → Z-41 D + +01 e วทิ ยาศาสตร ฟส กิ ส (42)_________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
5. การแตกตวั ใหแ กมมา เปน ผลพลอยไดจากการแตกตวั ใหแ อลฟาและเบตา คอื นิวเคลียสท่ีไดจ ากการ แตกตวั ใหมๆ ยังอยใู นภาวะท่ถี ูกกระตนุ เม่อื นวิ เคลยี สเหลานีก้ ลบั สูภาวะพื้นฐานจะคายพลังงานออกในรปู ของ รังสแี กมมา เชน 28132 Bi → 20881Tl (excited nucleus) + 42 He 20881Tl (excited nucleus) → 20881Tl (ground state nucleus) + γ 3. เวลาครง่ึ ชวี ิต (Half life, T or T 21 ) เวลาครง่ึ ชวี ติ คือ เวลาที่สารสลายตวั ไปเหลอื ครง่ึ หน่ึงของปรมิ าณสารเดมิ เปน คา คงทสี่ ําหรับสาร ชนิดหนง่ึ ความสัมพันธระหวาง Nt, N0, t และ T สมมติทเ่ี วลาเริม่ ตน มีสารอยู = N0 เมอื่ เวลาผานไป จะเหลือปริมาณสารอยู Nt ถา n = จํานวนครง้ั ท่ี สลายตวั จะไดว า สลายตวั คร้งั ที่ 1, n = 1 , t1 = 1T จะเหลอื จาํ นวนนิวเคลียส = N20 สลายตัวคร้ังท่ี 2, n = 2 , t2 = 2T จะเหลอื จํานวนนวิ เคลยี ส = N40 สลายตวั ครงั้ ท่ี 3, n = 3 , t3 = 3T จะเหลือจํานวนนวิ เคลยี ส = N80 N0 สลายตวั ครั้งท่ี n, n = n , tn = nT จะเหลือจาํ นวนนิวเคลียส = 2n t = nt, Nt = N0 จะไดวา NN0t = 21 t/T 2n 4. ไอโซโทป (Isotope) เปนธาตทุ ่ีมีจาํ นวนโปรตอนเทา กันแตจ าํ นวนนวิ ตรอนตา งกนั ไอโซโทปของธาตุ ชนดิ เดยี วกนั จะมคี ณุ สมบัตทิ างเคมีเหมอื นกัน เพราะมจี าํ นวนอเิ ลก็ ตรอนเทากัน แตมคี ณุ สมบัตทิ างฟส กิ สต างกนั เพราะแตละไอโอโทปมีมวลไมเ ทากนั เมอื่ ใหว ิง่ ผา นสนามแมเ หลก็ เดียวกันจะมีรศั มีทางวง่ิ ไมเ ทากนั เน่ืองจาก นวิ เคลยี สที่เปนไอโซโทปกัน เชน ไฮโดรเจน ( 11 H ), ดิวเทอเรียม ( 21 H ) และตริเตยี ม ( 31 H ) มมี วลแตกตางกัน แตจะมีสมบตั ิทางเคมีหรอื ปฏิกิรยิ าเคมเี หมือนกัน ดังนนั้ จึงไมส ามารถวิเคราะหแ ยกไอโซโทปไดด วยปฏิกริ ยิ าเคมี การจะวเิ คราะหไ อโซโทป (Isotope) ทมี่ ีมวลแตกตางกนั จงึ ตองอาศัยสมบัติทางกายภาพทโ่ี ดยการวิเคราะหนี้จะใช อปุ กรณท่ีวดั มวลไดละเอียดมาก ซ่ึงเรียกวา แมสสเปคโทรมิเตอร 5. ปฏิกริ ยิ าแบบฟช ชนั (Fission) เกิดจากการท่ีนิวเคลียสขนาดใหญแตกออกเปนนิวเคลียสขนาดเล็กอันเน่ืองมาจากการใชอนุภาคท่ีมี พลงั งานสงู วง่ิ เขา ชนนิวเคลยี สแลวไดพลังงานถูกปลดปลอ ยออกมา รทั เธอรฟ อรด (Rutherford) เปน คนแรกท่ที าํ ใหเ กิดฟช ชนั ไดโดยการยิงอนภุ าคแอลฟาเขาไปใน นิวเคลยี สของ 174 N แลวไดนวิ เคลียสของ 178 O และอนภุ าคโปรตอน พรอมกับปลดปลอ ยพลงั งานออกมาตาม สมการ 174 N + 42 He 178 O + 11 H โครงการแบรนดซ มั เมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (43)
ในป พ.ศ. 2482 นักฟสกิ สช าวเยอรมนั 2 คน คอื ฮาหน (otto Hahn) และ สตราสมานน (Fritz Strassmann) ในนิวตรอนยงิ เขา ไปในนวิ เคลยี สของยเู รเนยี มดว ยความเร็วตา งๆ กนั แลว ทําใหนวิ เคลียสของ ยูเรเนยี มแตกออกเปน นวิ เคลียสใหม 2 นิวเคลยี ส มีอนุภาคนิวตรอนเกดิ ข้ึนใหม และใหพ ลังงานมากมาย โดย นิวตรอนท่ีเกดิ ข้นึ จะชนกับนิวเคลยี สของยเู รเนยี มที่อยขู างเคยี งตอเนือ่ งกันในเวลาอนั รวดเร็ว เกดิ ปฏกิ ริ ิยาท่ี ตอ เนื่องกนั เรยี กวา ปฏกิ ิรยิ าแบบลกู โซ (Chain Reaction) เมื่อนิวตรอนเขาชนนิวเคลียสของยเู รเนยี ม นวิ เคลยี สจะแตกออกเปน นวิ เคลียสของธาตขุ นาดกลาง ได มากกวา 40 คู โดยมเี ลขมวลอยูระหวา ง 75-158 และเลขอะตอมอยรู ะหวา ง 30-63 พรอ มทง้ั ปลดปลอ ย นิวตรอนออกมา 2 หรือ 3 ตัว แลวใหพ ลงั งานออกมา 200 MeV ตอ ปฏกิ ิริยา ในป พ.ศ. 2485 เฟอรม ี (Enrico Fermi) นักฟส กิ สชาวอติ าลเี ปนคนแรกทส่ี ามารถควบคุมปฏิกิริยาแบบ ลูกโซใ หส ม่ําเสมอได โดยการควบคุมจาํ นวนนิวตรอนท่ที ําใหเกิดพิชชนั วทิ ยาศาสตร ฟสกิ ส (44)_________________________ โครงการแบรนดซ มั เมอรแ คมป 2010
ปฏิกิริยานวิ เคลยี รแบบฟช ชันทร่ี ูจกั กนั ดี เชน 29325 U + 01 n 15461 Ba + 3962 Kr + 3 01 n + 200 MeV ขอ ควรจํา 1. พลังงานทไี่ ดจ ากสมการ เรียกวา พลงั งานตอปฏิกริ ยิ า พลงั งานตอปฏกิ ิรยิ า 2. พลังงานตอมวล = เลขมวลของธาตุทีเ่ ปนเชอ้ื เพลงิ 3. ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลยี รแ บบฟช ชันสามารถควบคมุ ปฏิกริ ิยาแบบลกู โซไ ดโ ดยใชเคร่ืองปฏกิ รณนิวเคลยี ร (Nuclear Reactor) 6. ปฏิกิรยิ าแบบฟว ชนั (Fusion) ปฏิกิริยานิวเคลียรแบบฟวชันเปนปฏิกิริยาที่เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสของธาตุเบาเปนนิวเคลียส ของธาตทุ ี่หนกั กวาแตมมี วลรวมหายไป และไดอ นภุ าคใหมเกิดข้ึนดวย เชน นิวตรอน โปรตอน และอนุภาคนิวตริโน (Neutrino, v ซ่งึ เปน อนุภาคทีม่ ีมวลนอย ไมมปี ระจแุ ละมคี วามเร็วเทาแสง) พรอมปลดปลอยพลงั งานออกมา ตวั อยางของปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี รแ บบฟว ชนั เชน 21 H + 21 H 32 He + 01 n + 3.3 MeV 21 H + 21 H 31 He + 11 H + 4.0 MeV ฟ1.ว ชพนั ืน้ ใผนวิ ดขาอวงฤดกวษงอแาลทะติดยวมงีออณุาทหติ ภยมู สิ เงูชม่ือาวกา ถเปงึ น1ก0า7รหเคลลอวมินตัวซขึง่ อองุณห11ภHูมิสเปูงมนาก42เHชนeนดี้จะวทยําเหใหตธุผาลตไุคฮือโดรเจน แตกตัวออกเปน โปรตอน 2. เม่อื ตรวจดูสเปกตรัมจากดวงอาทติ ย พบวา เปนสเปกตรมั ของไฮโดรเจน 80% และของฮีเลยี ม 20% 3. ฟวชนั ในดวงอาทติ ยเ ปนฟวชันในปฏกิ ิริยาแบบลูกโซของโปรตอน-โปรตอน (Proton-Proton chain) เรยี งตามลาํ ดบั ขั้นท่ี 1 11 H + 11 H 21 H + +01 e + v + Q1 ขน้ั ที่ 2 21 H + 11 H 23 He + γ + Q2 ขั้นท่ี 3 32 He + 32 He 42 He + 2 11 H + Q3 โครงการแบรนดซมั เมอรแคมป 2010 _________________________ วทิ ยาศาสตร ฟส ิกส (45)
ตัวอยางขอ สอบ 1. คารบ อนเปน ธาตทุ ี่เปนสว นสาํ คญั ของส่ิงมชี ีวติ สัญลกั ษณน ิวเคลียส 162 C แสดงวานวิ เคลยี สของคารบ อนนี้ มอี นุภาคตามขอใด 1) โปรตอน 12 ตัว นวิ ตรอน 6 ตวั 2) โปรตอน 6 ตวั นิวตรอน 12 ตัว *3) โปรตอน 6 ตวั อเิ ล็กตรอน 6 ตัว 4) โปรตอน 6 ตัว นิวตรอน 6 ตัว 2. ขอใดตอไปน้ีเปนการกําจดั กากกัมมันตรังสีทด่ี ีทส่ี ุด 1) เรง ใหเกดิ การสลายตวั เรว็ ข้ึนโดยใชค วามดนั สงู มากๆ 2) เผาใหส ลายตวั ที่อุณหภมู ิสูง 3) ใชปฏกิ ิริยาเคมเี ปลี่ยนใหเ ปน สารประกอบอน่ื *4) ใชคอนกรตี ตรึงใหแนนแลว ฝง กลบใตภ เู ขา 3. ขอใดถกู ตองสําหรบั ไอโซโทปของธาตุๆ หนึง่ 1) มเี ลขมวลเทากนั แตเ ลขอะตอมตา งกัน *2) มจี ํานวนโปรตอนเทากัน แตจ ํานวนนิวตรอนตา งกนั 3) มจี าํ นวนนวิ ตรอนเทากัน แตจํานวนโปรตอนตางกัน 4) มีผลรวมของจํานวนโปรตอนและนิวตรอนเทา กัน 4. นักโบราณคดีตรวจพบเรอื ไมโบราณลําหนง่ึ วามีอตั ราสว นของปรมิ าณ C-14 ตอ C-12 เปน 25% ของ อตั ราสวนสาํ หรบั ส่งิ ที่ยังมชี วี ิต สนั นษิ ฐานไดวาซากเรือนี้มีอายุประมาณกี่ป กําหนดใหค รึง่ ชวี ติ ของ C-14 เปน 5730 ป 1) 2865 ป 2) 5730 ป *3) 11460 ป 4) 22920 ป 5. รงั สีในขอใดทม่ี อี ํานาจในการทะลทุ ะลวงผานเนือ้ สารไดน อ ยที่สดุ *1) รงั สีแอลฟา 2) รงั สบี ตี า 3) รังสแี กมมา 4) รังสเี อกซ 6. กิจกรรมการศกึ ษาที่เปรยี บการสลายกมั มนั ตรงั สกี บั การทอดลูกเตาน้นั จํานวนลกู เตาที่ถูกคดั ออกเทียบไดกับ ปรมิ าณใด 1) เวลาครึ่งชวี ิต *2) จาํ นวนนิวเคลยี สตัง้ ตน 3) จาํ นวนนิวเคลียสที่เหลืออยู 4) จาํ นวนนวิ เคลยี สที่สลาย วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (46)_________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010
7. เคร่ืองหมายดังรูปแทนอะไร มวง เหลอื ง 1) เครื่องกําเนิดไฟฟาโดยกงั หันลม *2) การเตือนวามีอนั ตรายจากกมั มนั ตภาพรังสี 3) การเตอื นวา มีอนั ตรายจากสารเคมี 4) เครอ่ื งกาํ เนิดไฟฟาโดยเซลลแสงอาทติ ย 8. นิวเคลยี สของเรเดียม-226 ( 226 Ra ) มีการสลายโดยการปลอยอนุภาคแอลฟา 1 ตัวและรังสแี กมมาออกมา 88 226 จะทําให 88 Ra กลายเปน ธาตใุ ด 1) 218 Po *2) 222 Rn 84 86 3) 23900Th 234 4) 92 U 9. อนภุ าคใดในนวิ เคลยี ส 236 U และ 23940Th ท่มี ีจาํ นวนเทา กนั 92 1) โปรตอน 2) อิเลก็ ตรอน *3) นิวตรอน 4) นวิ คลีออน 10. ในธรรมชาติ ธาตคุ ารบ อนมี 3 ไอโซโทป คอื 12 C 13 C และ 14 C ขอ ใดตอไปนถี้ ูก 6 6 6 1) แตล ะไอโซโทปมจี ํานวนอิเล็กตรอนตางกนั 2) แตล ะไอโซโทปมจี าํ นวนโปรตอนตางกนั *3) แตล ะไอโซโทปมีจาํ นวนนิวตรอนตางกนั 4) แตละไอโซโทปมจี าํ นวนโปรตอนเทา กบั จาํ นวนนิวตรอน 11. รังสใี ดทีน่ ยิ มใชในการอาบรังสีผลไม *2) รงั สีแกมมา 1) รงั สเี อกซ 4) รงั สแี อลฟา 3) รงั สีบตี า 12. ไอโซโทปกมั มันตรงั สขี องธาตไุ อโอดีน-128 มคี ร่งึ ชีวติ 25 นาที ถา มีไอโอดนี -128 ทั้งหมด 256 กรัม จะใชเวลาเทาไรจงึ จะเหลือไอโอดนี -128 อยู 32 กรมั *1) 50 นาที 2) 1 ชว่ั โมง 15 นาที 3) 1 ชัว่ โมง 40 นาที 4) 3 ชวั่ โมง 20 นาที โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟส กิ ส (47)
13. นิวเคลยี สของเรเดยี ม-226 มกี ารสลายดังสมการขางลา ง x คืออะไร 22868 Ra → 28262 Rn + x 1) รังสีแกมมา 2) อนภุ าคบีตา 3) อนุภาคนวิ ตรอน *4) อนุภาคแอลฟา 14. ธาตุกมั มนั ตรังสใี ดท่ีใชในการคาํ นวณหาอายขุ องวตั ถโุ บราณ 1) I-131 2) Co-60 *3) C-14 4) P-32 15. ขอความใดตอ ไปนี้ถกู ตองเกย่ี วกับรังสีแอลฟา รังสีบีตาและรังสแี กมมา 1) รงั สแี อลฟามปี ระจุ +4 2) รงั สีแอลฟามมี วลมากท่ีสดุ และอาํ นาจทะลทุ ะลวงผานสงู ทีส่ ุด 3) รงั สีบีตามีมวลนอ ยทส่ี ดุ และอํานาจทะลุทะลวงผานตํ่าที่สดุ *4) รังสแี กมมามอี าํ นาจทะลทุ ะลวงสูงทีส่ ดุ 16. ขอใดถูกตอ งเกยี่ วกับปฏกิ ิริยานวิ เคลียรฟ วชัน (fusion) 1) เกดิ ทอ่ี ุณหภูมติ ่าํ 2) ไมส ามารถทาํ ใหเกิดบนโลกได *3) เกิดจากนิวเคลียสของธาตุเบาหลอมรวมกันเปน ธาตุหนัก 4) เกดิ จากการท่นี ิวเคลียสของธาตหุ นักแตกตัวออกเปนธาตเุ บา 17. ในการสลายตัวของ 164 C นิวเคลียสของคารบอน-14 ปลอ ยอเิ ล็กตรอนออกหน่งึ ตวั นิวเคลยี สใหมจะมี ประจเุ ปนกเ่ี ทา ของประจโุ ปรตอน 1) 5 *2) 7 3) 13 4) 15 18. อตั ราการสลายตวั ของกลุมนวิ เคลียสกัมมนั ตรังสี A ขึ้นกบั อะไร 1) อณุ หภูมิ 2) ความดัน 3) ปริมาตร *4) จํานวนนิวเคลยี ส A ที่มีอยู 19. ขอ ใดถูกตองเกี่ยวกับไอโซโทปสองไอโซโทปของธาตุชนดิ เดียวกนั 1) มจี าํ นวนนิวคลอี อนเทากนั 2) มีเลขมวลเทา กนั *3) มเี ลขอะตอมเทา กนั 4) มีจํานวนนวิ ตรอนเทากนั 20. ธาตุหรอื ไอโซโทปในขอใดท่ีไมมสี ว นเกยี่ วของในปฏกิ ริ ิยานิวเคลียรฟว ชนั ท่ีเกดิ ข้ึนท่ดี วงอาทติ ย 1) ไฮโดรเจน 2) ดวิ เทอเรียม *3) ทรเิ ทียม 4) ฮเี ลยี ม วิทยาศาสตร ฟส ิกส (48)_________________________ โครงการแบรนดซัมเมอรแคมป 2010
รปู แบบของขอสอบ PAT 2 1. กรอบอยใู นเนื้อหามัธยมศึกษาตอนปลาย 2. เนนลกั ษณะของการทําความเขาใจในหลักการทางฟส กิ ส มากข้นึ คําถามเปน ถูกผดิ เลยี่ งการคาํ นวณ แบบทใ่ี ชข นั้ ตอนเดียว (ยกสตู ร แทนคา) 3. จาํ นวนขอ คอนขางมากเมือ่ เทยี บกับเวลา (เวลารวม 3 ช่วั โมง ถาคิดเฉพาะขอ สอบเนื้อหาเหลือ ประมาณ 2 ชัว่ โมง 30 นาที ตอ 113 ขอ มีเวลาเฉล่ีย ขอ ละ 1 นาที 20 วินาท)ี 4. เนนแผนภมู ิ ตาราง ขอ สอบวดั ศักยภาพ 1. มีลกั ษณะเปน ขอสอบวัดศกั ยภาพทางวิทยาศาสตร ประกอบดวยประเด็น 2. ความเขา ใจกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร (ขอเทจ็ จริง สมมตฐิ าน การสรุปผล) 3. การประยกุ ตใชใ นกระบวนการวิทยาศาสตร (กระบวนการวดั การแปลความหมายขอ มูล) 4. การวเิ คราะหดวยกระบวนการทางวิทยาศาสตร (กราฟ เลขนยั สําคัญ) 5. การสรปุ ผลในกระบวนการทางวิทยาศาสตร (สรุปผลของสมมติฐาน) โครงการแบรนดซมั เมอรแ คมป 2010 _________________________ วิทยาศาสตร ฟสกิ ส (49)
ประเดน็ หลักเปน นาํ ขอมลู ท่ีใหไปใชในสถานการณ อ่ืนไดหรอื ไม ขอมูลนําเสนอ ความเขาใจ (Comprehension) การประยุกตใช (Application) ขอ สอบศกั ยภาพ การวิเคราะห การประเมนิ ผล (Analysis) (Evaluation) เหตกุ ารณเกิดไดอยางไร ผลเปน เพราะเหตใุ ด อะไรคือขอเท็จจรงิ อะไรคอื สมมติฐานจงึ ถูกหรือผิด แสง 1. เสากลมตนหนง่ึ มแี ผนสเตนเลสหุมอยู แผนสเตนเลสมีผิวเรียบมาก และสะทอ นแสงไดดีเหมอื นกระจกนูน ถา เรายืนหา งจากเสาตนนม้ี ากกวา ระยะสองเทา ของความยาวโฟกสั ของกระจกนนู นี้ เราจะเห็นภาพของตนเอง ในกระจกเปน อยา งไร *1) ผอมลง และยืนหัวตัง้ 2) อวนขึน้ และยืนหัวตัง้ 3) ผอมลง และยืนกลับหวั 4) อวนขึน้ และยนื กลบั หัว 2. สมบตั ิขอ ใดของแสงเลเซอรท ท่ี าํ ใหผ ลการเลี้ยวเบนดว ยแผนเกรตตงิ ปรากฏภาพการเลย้ี วเบนไดช ดั เจน *1) มคี วามถ่ใี กลเ คยี งความถ่ีเดียว 2) มลี าํ แสงที่แคบและไมบ านออกเหมอื นแสงท่วั ไป 3) มีความเขมขนสูง 4) มีการเลยี้ วเบนไดดีกวาแสงประเภทอื่น 3. การพดู ผานกรวยกระดาษไปยังผฟู งทีอ่ ยูไ กลออกไปจะทําใหผูฟงไดยินเสียงที่ชัดข้นึ ลักษณะดังกลาวอธิบาย ไดดว ยสมบตั ิขอ ใดของคล่นื เสยี ง 1) การหักเห *2) การสะทอ น 3) การแทรกสอด 4) การเลี้ยวเบน วทิ ยาศาสตร ฟสิกส (50)_________________________ โครงการแบรนดซ ัมเมอรแ คมป 2010
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160