การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 89 ผลการวเิ คราะหป ยุ หมักมลู ชา ง 1. ปริมาณอินทรียวัตถุ 21.26 เปอรเ ซน็ ต โดยนํา้ หนกั 2. อตั ราสวนคารบ อนตอ ไนโตรเจน (C/N ratio) 7 3. คาการนําไฟฟาไมเกนิ 0.007 เดซิซีเมนต/เมตร 4. คาความเปนกรดเปน ดาง (pH) 5.9 5. ปริมาณธาตุอาหารหลัก - ไนโตรเจน 1.82 เปอรเ ซน็ ต โดยน้าํ หนกั - ฟอสฟอรสั 5.13 เปอรเซน็ ต โดยนํ้าหนกั - โพแทสเซียม 1.64 เปอรเซน็ ต โดยนํ้าหนกั 6. ปริมาณความช้นื ของปยุ หมกั 33 เปอรเ ซ็นต โดยนา้ํ หนัก 7. การผา นตะแกรงรอนขนาด 12.5 x 12.5 มลิ ลิเมตร ไดห มด (100%) 8. ปรมิ าณหนิ กรวด ทราย เศษพลาสตกิ หรืออื่น ๆ 0 เปอรเซ็นต โดยนํา้ หนัก 9. ไมม วี สั ดเุ ศษแกว วสั ดุคมและโลหะอืน่ ๆ 10. ปลอดภัยจากสารพิษและธาตโุ ลหะหนกั - Arsenic (As) 8.60 มลิ ลิกรมั /กโิ ลกรัม - Cadmium (Cd) nd มิลลกิ รมั /กโิ ลกรัม - Chromium (Cr) 10.20 มลิ ลกิ รมั /กโิ ลกรัม - Copper (Cu) 80.40 มิลลิกรมั /กิโลกรัม - Lead (Pb) nd มลิ ลกิ รัม/กโิ ลกรมั 11. ตอ งผานการตรวจสอบการเจริญเตบิ โตของพืช ดัชนกี ารงอกของเมล็ด 82%
90 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางที่ 12 ผลการวเิ คราะหค ุณภาพน้ําในพื้นทเี่ ปา หมายปลูกโกฐจุฬาลาํ พา ผลวิเคราะห รายการ ระยอง เชยี งราย พษิ ณุโลก กาญจนบุรี ความเปนกรดเปนดาง (pH) 6.9 5.8 7.5 7.7 การนําไฟฟา (EC) dS/m 0.08 0.01 0.82 0.49 ของแข็งท่ลี ะลายนาํ้ ไดทง้ั หมด (TDS) (มก./ล.) 29 8 403 253 ของแข็งแขวนลอย (SS) (มก./ล.) 8 4 11 15 ปริมาณรวมของธาตไุ นโตรเจน (N) (มก./ล.) 0.08 0.08 3.45 3.20 ปรมิ าณโพแทสเซียม (K) (มก./ล.) 2.3 0.4 2.50 3.4 ปริมาณแคลเซยี ม (Ca) (มก./ล.) 0.16 nd 1.39 88.74 ปรมิ าณแมกนีเซยี ม (Mg) (มก./ล.) 0.93 0.09 1.13 14.18 คลอไรด (Cl) (มก./ล.) 32.77 39.32 21.30 13.11 ฟอสเฟต (PO4) (มก./ล.) 0.005 0.01 0.005 0.03 ซลั เฟต (SO4) (มก./ล.) 5.89 116.86 2.79 3.68 ตะก่วั (Pb) (มก./ล.) nd nd nd nd ทองแดง (Cu) (มก./ล.) nd nd nd nd สังกะสี (Zn) (มก./ล.) nd nd nd nd แคดเมียม (Cd) (มก./ล.) nd nd nd nd สารหนู (As) (มก./ล.) nd nd nd nd หมายเหตุ nd = ตรวจไมพ บ
การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 91 สรุปการจัดการดินจากผลการวเิ คราะหค ุณภาพดินในพ้นื ทเ่ี ปา หมายกอ นปลกู ในการปลูกพชื สมุนไพรโกฐจุฬาลําพา ไดเก็บตวั อยางดินจากพนื้ ท่ที ําการทดลอง ทําการวิเคราะห ดินเพ่ือนาํ ขอ มูลไปใชใ นการจัดการดิน และการปรับปรุงดิน เพ่ือใหด นิ มีสมบตั เิ หมาะสมตอ การปลกู พืช สมนุ ไพรและขอมลู ตองสอดคลอ งกับการเกษตรดีทเี่ หมาะสม (GAP) ในการผลติ พชื อินทรยี (1) สวนสมุนไพรกรมวิทยาศาสตรการแพทย อําเภอปลวกแดง จงั หวดั ระยอง 1.1 เนื้อดนิ เปน รวนปนทราย เหมาะสมสําหรับการปลกู สมนุ ไพรโกฐจุฬาลาํ พา เพราะระบายนํ้าได ดี ตอ งใสป ยุ และนาํ้ คร้งั ละนอย ๆ และใหบ อย ๆ ใสปุย หมักเพื่อใหดนิ ดดู ซบั นํ้าและธาตอุ าหารพชื ไดดี และปอ งกันการชะละลาย 1.2 ความเปนกรดเปนดาง มีคา 4.4 ดินเปนกรดจัด เปนดินที่มีสภาพเปนกรดมีปญหาตอพืชที่ ปลูก คือไมสามารถใชธาตุอาหารที่มีอยูในดินไดเทาท่ีตองการ เพราะธาตุอาหารบางอยางไมอยูในรูปที่ พืชสามารถนํามาใชได เชน ฟอสฟอรสั จะถกู ตรงึ โดยธาตเุ หล็กและอลมู นิ มั และในขณะเดยี วกนั เหล็ก อลูมนิ ัมและแมงกานสี จะละลายออกมามากเกินไปจนอาจเปน พษิ ตอพชื ได ในการปรบั ปรงุ ดินตองใสปูน ตามปริมาณท่ีไดจากการวิเคราะหความตองการปูนของดิน คือ 312 กิโลกรัม/ไร ในแตละแปลง ใสปูนขาว 10.8 กโิ ลกรัม โดยหวานใหท ัว่ แปลง ผสมใหเขากันดี ท้งิ ไวป ระมาณ 1 เดือนกอนปลูก การ ใสป ูนขาวลงไปในดนิ ยังชวยในการฆาเช้ือโรคในดนิ และทาํ ใหการแพรกระจายของโลหะหนักในดินลดลง 1.3 ปริมาณอินทรียวตั ถุ โพแทสเซียม อยใู นระดับต่ํามาก ตองเพิ่มธาตอุ าหารพืชและอนิ ทรยี วัตถุ โดยใสป ยุ หมกั มลู ชา ง ซง่ึ ผานการวเิ คราะหวาไดมาตรฐานและไมมกี ารปนเปอ นดว ยโลหะหนัก ไมใชป ยุ เคมี เพราะเปนการปลูกพชื อนิ ทรยี ปรมิ าณท่ีใสพจิ ารณาจากปริมาณอนิ ทรียวัตถใุ นดิน ตองใสปุยหมัก มลู ชา ง 5 ตัน/ไร 170 กโิ ลกรมั /แปลง โดยหวา นใหท ว่ั แปลงคลกุ เคลาใหเ ขากนั แบงการใสเปน 2 คร้ัง ครั้งแรกกอนปลูก 7 วัน อตั ราปุยท่ีใชแตละครัง้ 185 กิโลกรมั /แปลง คร้งั ที่ 2 หลังจากครงั้ แรก 4 เดือน (2) ศนู ยสงเสรมิ และพัฒนาอาชพี การเกษตร จงั หวดั เชียงราย 2.1 เนือ้ ดนิ เปนดินเหนยี ว ขอ เสยี คือการระบายนา้ํ เลว แตขอ ดกี ็มมี ากดังท่ไี ดก ลาวไวแ ลว ตอ งมี การปรับปรงุ ทางดา นกายภาพดวยการใสปุยหมกั 2.2 ความเปนกรดเปนดางของดนิ มีคา 5.4 ดินเปน กรดจดั ตองปรบั ปรุงดินโดยใชปูนขาว อัตรา ปูนท่ีใสพจิ ารณาจากความตองการปูนของดนิ = 1,248 กโิ ลกรัม/ไร แตล ะแปลงตองใสปูนขาว 30 กโิ ลกรัมตอ 1 แปลง หวา นใหท ่วั แปลง คลกุ เคลา ใหเขา กันดี ใสกอนปลกู พืช 1 เดอื น
92 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก 2.3 ปรมิ าณอินทรยี วัตถุ ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม และแคลเซียมสูงมาก แมกนีเซยี มปานกลาง ดนิ มคี วามอุดมสมบรู ณส ูง เมื่อพิจารณาจากปรมิ าณอินทรียวัตถุ ปุย หมกั มูลชา งทตี่ องใสค อื 1 ตนั /ไร คอื 34 กโิ ลกรมั /แปลง แบง ใส 2 ครัง้ ใสก อนปลูก 7 วนั 17 กโิ ลกรัม/แปลง คร้งั ท่ี 2 หลงั จากครัง้ แรก 4 เดือน ใส 17 กโิ ลกรมั /แปลง การใสปุยหมักมูลชางเพอ่ื ปรับปรุงดนิ ทางดานกายภาพ เพมิ่ ธาตุอาหารพชื และดูดซบั โลหะหนกั ที่เปน พิษ (3) สวนปา เขากระยาง สํานกั งานอนุรกั ษแ ละพฒั นาสวนปาพษิ ณโุ ลก 3.1 เน้อื ดนิ เปน ดินรวนปนทราย เหมาะสมสําหรับปลกู พชื สมุนไพรโกฐจุฬาลาํ พา เพราะระบายนาํ้ ไดดี ตองใสป ุยและนาํ้ ครง้ั ละนอ ย ๆ และใหบอ ย ๆ ใสปยุ หมกั เพอ่ื ใหด ินดูดซับนา้ํ และธาตุอาหารพืชได ดแี ละปอ งกันการชะละลาย 3.2 ความเปน กรดเปน ดา งของดนิ มีคา 5.8 ดินเปนกรดปานกลาง พชื สมนุ ไพรโกฐจุฬาลาํ พา เพาะปลกู ไดดีท่รี ะดับความเปนกรดเปน ดาง 6-7.8 จงึ ตองปรบั ปรงุ ดนิ ใหม ี pH สงู ข้ึน โดยการใสปูนขาว พิจารณาจากความตองการปูนของดิน ปริมาณปูนขาวที่ใชคือ 312 กิโลกรัม/ไร ตองใสปูนขาว 10 กโิ ลกรมั /แปลง โดยการหวานใหท ว่ั คลกุ เคลา ใหเ ขากันดี ใสก อ นปลกู 1 เดอื น 3.3 ปริมาณอนิ ทรยี วัตถุ โพแทสเซยี ม และแมกนีเซยี มปานกลาง ฟอสฟอรสั คอ นขางต่ํา แคลเซยี ม ต่ํา เพมิ่ ธาตุอาหารในดินโดยใสป ุย หมักมูลชา ง อัตรา 2 ตนั /ไร คือ 68 กโิ ลกรัม/แปลง โดยแบง ใส 2 คร้ัง ครัง้ แรกใส 34 กิโลกรัม/แปลง หวา นลงดนิ ใหท ว่ั คลกุ เคลา ใหเขา กัน คร้งั ที่ 2 ใสห ลังจากครง้ั แรก 4 เดือน ในปริมาณ 34 กิโลกรมั /แปลง (4) ศนู ยก สกิ รรมธรรมชาตทิ า มะขาม จงั หวัดกาญจนบุรี 4.1 เนอ้ื ดนิ เปน ดินรวนปนทราย เน้อื ดินเปนรว นปนทราย เหมาะสมสําหรับการปลกู สมุนไพรโกฐจุฬาลาํ พา เพราะระบายนา้ํ ได ดี ตอ งใสป ยุ และน้าํ คร้ังละนอย ๆ และใหบ อ ย ๆ ใสป ุย หมักเพือ่ ใหดินดดู ซบั นาํ้ และธาตุอาหารพชื ไดดี และปองกันการชะละลาย 4.2 ความเปนกรดเปน ดา งของดนิ มคี า 7.6 อยใู นระดับเปน กลาง ไมจําเปนตองปรับปรงุ ดิน 4.3 ปริมาณอินทรียวตั ถปุ านกลาง ฟอสฟอรสั สูงมาก โพแทสเซยี มสงู มาก แคลเซียมปานกลาง แมกนเี ซียมปานกลาง ปรับปรงุ ดินโดยใชป ยุ หมักมลู ชาง อตั รา 1 ตนั /ไร คอื 34 กิโลกรัม/แปลง โดย คร้งั แรกใสปุยหมักมลู ชางอตั รา 17 กิโลกรมั /แปลงกอ นปลกู 7 วนั โดยคลุกเคลาใหเขา กนั ดีกบั ดิน ครง้ั ที่ 2 ใส 17 กิโลกรัม/แปลง
การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 93 การปนเปอนของโลหะหนักในดนิ การปนเปอ นของโลหะหนัก ตะกัว่ ทองแดง สังกะสี แคดเมียม สารหนูในดินทั้ง 4 พนื้ ท่ีทที่ ํา การทดลองอยใู นระดบั ตํ่ากวา เกณฑม าตรฐานทีแ่ นะนาํ สาํ หรบั โลหะหนกั ในดินประเทศไทย ซ่งึ เปนระดบั ความเขมขนทีน่ ํามาใชเ พอื่ ประเมินการปนเปอ นระยะแรก ในการปรบั ปรุงดินโดยปรับความเปนกรดเปนดางของดนิ การใสป ุยหมักลงในดนิ ทําใหด ินมี ศักยภาพในการดูดซบั โลหะหนกั ในดิน ไมใหอ ยใู นรปู ท่ีเปนพิษกบั พชื และชวยดูดซับโลหะหนักได คณุ ภาพนํา้ ทใี่ ชร ดสมนุ ไพร คุณภาพน้าํ ทใ่ี ชรดสมุนไพรโกฐจฬุ าลาํ พา ในพนื้ ทท่ี ดลองทั้ง 4 แหง มีคณุ ภาพตามมาตรฐาน คุณภาพนํา้ เพื่อการชลประทาน โลหะหนกั ตะกั่ว ทองแดง สังกะสี แคดเมยี ม และสารหนูอยใู นระดบั ต่ํา กวา เกณฑมาตรฐาน ซ่ึงอนุโลมใหม ีไดในนํา้ ทัง้ 4 แหง นา้ํ มีคณุ ภาพเพ่ือใชใ นการชลประทาน สามารถใชรดพืชสมนุ ไพรโกฐจฬุ าลําพาได คุณภาพปุยหมักมูลชา ง ไดม าตรฐานสนิ คา ประเภทปจจยั การผลิตทางการเกษตร ทร่ี บั รองโดยกรมพัฒนาทด่ี ิน สรุปการพิจารณาปจจัยการผลิตท่ีเหมาะสมตอ การปลูกสมนุ ไพรโกฐจฬุ าลาํ พา ปจจัยการผลติ ท่มี อี ยูแลว อากาศ เลอื กพนื้ ท่ตี ามลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร ซึ่งเหมาะสมสาํ หรบั การปลกู สมุนไพรโกฐจฬุ าลาํ พา โดยศึกษาขอมูลของแหลง กาํ เนิด ไมม กี ารปนเปอนของมลพิษทางอากาศ ตองหา งจากแหลงกาํ เนดิ มลพษิ นา้ํ คุณภาพน้าํ ท่ีใชร ด ไดมาตรฐานคณุ ภาพน้าํ เพื่อการชลประทานของประเทศไทย ดิน มีความอุดมสมบรู ณสูง โลหะหนักท่ีเปนพษิ อยูในระดับทไี่ มสูงกวา ระดับเกณฑพนื้ ท่ีที่ ยอมรับใหมีไดในประเทศไทย ดนิ ปราศจากสารพิษปนเปอ น ปจ จัยการผลิตท่ีใชเ พอ่ื การปรบั ปรงุ บํารงุ ดิน - ปยุ คอก ปุย หมัก ไดม าตรฐานสินคา ประเภทปจ จยั การผลติ ทางการเกษตรทรี่ บั รองโดยกรม พัฒนาทด่ี นิ - ปนู ท่ใี ชไดม าตรฐาน - สารกาํ จัดศตั รพู ืช (ถาจาํ เปนตองใช) ไดมาตรฐาน
94 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก ในการศกึ ษาวิจัยไดทําการตรวจ วเิ คราะห ปจจัยการผลิตที่เหมาะสมทกุ อยา งไดม าตรฐานตามที่ หนว ยงานภาครฐั กาํ หนด เน่ืองจากดินเปนปจจัยการผลิตท่ีสําคัญที่สุดและความเหมาะสมของดินตอพืชแตละชนิด แตกตางกนั จึงตอ งมีการศึกษาวจิ ัยดินทเ่ี หมาะสมตอการปลูกโกฐจฬุ าลาํ พาโดยเฉพาะ โดยการพิจารณา จากขอ มลู ดงั ตอ ไปน้ี ตารางท่ี 13 สมบัติทางเคมีของดินทม่ี ีความอุดมสมบรู ณสงู ทั่ว ๆ ไป ในประเทศไทย รายการ คา ท่เี หมาะสม pH 6-7 อินทรยี วัตถุ (%) 3.5-4.5 ฟอสฟอรสั (มก./กก.) 25-45 โพแทสเซยี ม (มก./กก.) 90-120 แคลเซียม (มก./กก.) 1000-2000 แมกนีเซยี ม (มก./กก.) 120-360 ท่ีมา : กรมพัฒนาท่ีดิน ขอ มูลอา งองิ จากตางประเทศ เนือ้ ดินสามารถระบายนํา้ ไดด ี มคี วามอดุ มสมบูรณสูง ความเปน กรดเปน ดา ง (pH) ท่ีเหมาะสม ทส่ี ดุ คือเปน กรดเลก็ นอย เปน กลางและดางเล็กนอ ย ทง้ั นย้ี งั ขึ้นอยกู ับสายพนั ธทุ ี่นํามาปลกู ขอมลู ทีไ่ ดจ ากการทดลองปลกู ใน 4 พื้นที่ สวนใหญส อดคลอ งกับขอ มลู จากตางประเทศ ระดบั ความเปน กรดเปน ดาง (pH) ของดนิ ในประเทศไทย (กรมพัฒนาทด่ี ิน) เปน กรดเลก็ นอย 6.0-6.5 เปนกลาง 6.6-7.3 เปน ดางอยา งออน 7.4-7.8
การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 95 ตารางท่ี 14 ผลการวเิ คราะหด นิ ในพนื้ ที่เปา หมายกอ นปลกู และหลงั การเกบ็ เกย่ี วโกฐจฬุ าลําพา สมบัติดิน ระยอง เชียงราย พิษณุโลก กาญจนบุรี เน้อื ดิน กอน หลัง กอน หลงั กอน หลงั กอ น หลงั SL SL CC SL SL SL SL สมบตั ิทางเคมี pH 4.4 7.1 5.4 7.2 4.9 7.3 7.3 7.6 อินทรยี วตั ถุ (%) 0.41 1.10 3.30 3.32 2.20 2.60 1.86 2.60 ฟอสฟอรัส (มก./กก.) 25 27 98 80 7.0 26 88 89 โพแทสเซียม (มก./กก.) 46 95 374 355 75 98 160 150 แคลเซยี ม (มก./กก.) 104 1100 2202 2300 620 1050 1681 1500 แมกนีเซยี ม (มก./กก.) 16 110 212 201 147 160 144 142 โลหะหนกั Pb (มก./กก.) 1.96 1.66 10.80 10.10 3.65 3.35 3.70 3.30 20.10 2.00 1.50 5.60 5.00 Cu (มก./กก.) 0.27 0.25 23.40 65.00 33.25 30.20 5.40 5.10 nd nd nd nd nd Zn (มก./กก.) 3.60 3.20 69.00 6.50 4.67 4.10 3.60 3.20 Cd (มก./กก.) 0.05 nd nd C = ดนิ เหนียว (Clay) nd = ตรวจไมพ บ As (มก./กก.) 0.98 0.91 6.80 หมายเหตุ SL = ดินรวนปนทราย (Sandy Loam) ตารางท่ี 15 ปรมิ าณโลหะหนักในโกฐจุฬาลาํ พาในพ้ืนทเ่ี ปาหมาย ปริมาณท่ีตรวจพบในพื้นท่ีเปาหมาย (มก./กก.) ธาตุ เชยี งราย พิษณโุ ลก กาญจนบุรี ระยอง 0.001-0.003 0.002-0.003 0.001-0.002 สารหนู (As) 0.003-0.004 nd nd nd nd nd nd ตะกั่ว (Pb) nd แคดเมียม (Cd) nd หมายเหตุ nd = ตรวจไมพ บ
96 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางท่ี 16 เกณฑช้ีวัดคุณภาพดนิ ในพน้ื ทเี่ ปาหมายกอ นปลูกและหลงั เกบ็ เกย่ี วโกฐจุฬาลาํ พา ดัชนคี ณุ ภาพดิน ระยอง เชียงราย พษิ ณโุ ลก กาญจนบรุ ี เนื้อดนิ กอน หลัง กอ น หลัง กอ น หลัง กอน หลัง SL SL CC SL SL SL SL สมบัติทางเคมี กรดจดั มาก กลาง กรดแก กลาง กรดจดั กลาง กลาง ดางออน ต่ํามาก ปานกลาง คอนขางสูง สูง ปานกลาง สูง ปานกลาง สงู pH อินทรียวัตถุ (%) ฟอสฟอรสั (มก./กก.) คอนขางสูง สงู สงู มาก สูงมาก คอนขา งตํ่า สูง สงู มาก สงู โพแทสเซียม (มก./กก.) ตาํ่ สงู สงู สูง ตาํ่ สูง ปานกลาง สงู แคลเซียม (มก./กก.) ตา่ํ มาก ปานกลาง สงู สูง ตา่ํ ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง แมกนีเซียม (มก./กก.) ตา่ํ มาก ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง โลหะหนัก Pb (มก./กก.) ต่ํา ตํ่า ตาํ่ ตาํ่ ต่าํ ต่ํา ตาํ่ Cu (มก./กก.) ต่ํา ตาํ่ ตาํ่ ตาํ่ ต่ํา ตาํ่ ตา่ํ Zn (มก./กก.) ตํา่ ตา่ํ ตาํ่ ตาํ่ ตํ่า ตาํ่ ตํา่ Cd (มก./กก.) 0.05 nd nd nd nd nd nd As (มก./กก.) ตํา่ ตาํ่ ต่าํ ต่ํา ต่ํา ต่ํา ต่าํ หมายเหตุ SL = ดนิ รวนปนทราย (Sandy Loam) C = ดินเหนียว (Clay) nd = ตรวจไมพบ
การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 97 ตารางท่ี 17 คุณภาพดินที่เหมาะสมตอ การปลกู โกฐจฬุ าลาํ พา รายการ คาท่ีเหมาะสม เกณฑชว้ี ัดคุณภาพดิน เนอื้ ดนิ รวนปนทราย รว นปนทราย กรดเล็กนอย-ดางอยา งออน pH สูง อินทรียวตั ถุ (%) 6.0-7.8 สูง ฟอสฟอรัส (มก./กก.) 2.5-4.5 สงู 25-45 ปานกลาง โพแทสเซียม (มก./กก.) 90-120 ปานกลาง 1000-2000 แคลเซียม (มก./กก.) 120-200 แมกนีเซยี ม (มก./กก.) จากตารางท่ี 13, 14 และ 16 แสดงผลสมบตั ขิ องดนิ ที่มคี วามอุดมสมบูรณท่วั ๆ ไป ของ ประเทศไทย ระดบั ความเปนกรดเปน ดางของดิน ผลการวิเคราะหดินกอ นปลูกไดข อมูลนาํ ไปปรับปรงุ ดิน และผลวิเคราะหดินหลังเกบ็ เก่ียวในพ้ืนทท่ี ําการทดลองทง้ั 4 พน้ื ที่ สามารถสรปุ ผล คุณภาพดนิ ทีเ่ หมาะสม ตอการปลูกสมนุ ไพรโกฐจุฬาลาํ พาดงั แสดงไวใ นตารางท่ี 17 ซงึ่ ทําใหไ ดผลผลติ มคี ุณภาพมาตรฐาน ปลอดภยั จากโลหะหนัก ตนพืชเจริญเตบิ โตไดดี มีศัตรพู ืชนอ ย 4.4 ปจ จยั การผลติ ทางการเกษตรเพื่อการเพาะปลูกชะเอมเทศ2 ปจจัยการผลิตทางการเกษตรแบง ออกเปน ปจจยั ท่มี อี ยูเชน ดนิ นา้ํ อากาศและปจจยั การผลติ ภายนอกคอื ปยุ อนิ ทรยี ปุยคอก ปุยหมัก วัสดปุ รับปรุงดนิ และสารปอ งกนั และสารกําจดั ศตั รพู ืช ปจจยั การผลติ ทีม่ ีอยคู อื คุณภาพดินและนาํ้ เปน ปจ จัยทีส่ ําคัญพนื้ ฐานทตี่ อ งการทราบกอ นท่ีจะทาํ การคดั เลอื ก พืน้ ท่หี รือแบง ขอบเขต (zoning) ใหช ัดเจน ขอมลู คณุ ภาพดินและน้ําจึงเปน ขอ มูลเบื้องตนที่สําคญั มาก โดยเฉพาะชะเอมเทศ ซ่ึงองคประกอบทางเคมีของรากชะเอมเทศประกอบดว ยสารสําคัญประเภทไตรเทอร ปนซาโปนนิ (กลไี ซรซิ ิคแอซคิ หรือกลไี ซรซิ นิ คิ แอซิค) เปนองคประกอบหลกั มีปริมาณรอยละ 6-14 และ สว นใหญอ ยใู นรปู ของเกลอื แคลเซียมหรอื เกลือโพแทสเซยี ม ดังนนั้ เมื่อทราบผลการวิเคราะหธ าตแุ คลเซยี ม และโพแทสเซียมในดนิ ที่จะปลกู ตองเพม่ิ ธาตุแคลเซยี มและโพแทสเซียมลงในดินใหเพียงพอกับความ
98 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ตองการของพืช เพื่อจะไดผลผลิตคือสารสําคัญในปริมาณท่ตี องการ ความสาํ คัญของคุณภาพดินและ น้ําตอการปลุกพืชสมุนไพร สวนใหญแลวจะคลายคลึงกันนอกจากอาจจะมีรายละเอียดเพ่ิมเติมในพืช สมนุ ไพรแตละชนดิ พ้ืนทีเ่ ปาหมายทท่ี ําการศกึ ษา 1. สวนปา จงั หวดั อุดรธานี 2. สวนปาคอนสาร จงั หวัดชยั ภมู ิ 3. สวนปามัญจาครี ี จงั หวัดขอนแกน 4. สวนสมเด็จ จังหวัดกาฬสนิ ธุ วธิ กี าร 1. ดิน 1.1 การเกบ็ ตัวอยางดิน เก็บตวั อยา งดินในพ้ืนท่ศี ึกษาท่คี วามลกึ 0-15 เซนติเมตร โดยวิธี สมุ ตัวอยาง (Composite sampling) ผง่ึ ใหแหง (air dry) บดดว ยครกบดดิน ผา นตะแกรงรอ นขนาด 2 มิลลิเมตร เก็บในถุงพลาสตกิ 1.2 การวเิ คราะหตัวอยางดนิ รายการทีว่ เิ คราะห ดังน้ี สมบัตทิ างกายภาพดนิ : คาวิเคราะหขนาดอนุภาค ดนิ ทราย ดินทรายแปง ดินเหนียว เนือ้ ดิน โดยวธิ ีปเ ปต (Soil Survey Laboratory Staff, 1992) สมบัติทางเคมี : คา ความเปนกรดเปน ดาง ใชอัตราสว นดนิ ตอ นา้ํ เทากบั 1:1 (Soil Conservation Service, 1982) คาปรมิ าณความตองการปนู (Bower and Huss, 1948) คา การ นําไฟฟา (Reitemeier, 1946) คาปรมิ าณอินทรียวตั ถุ (Walkey and Black, 1947) ปรมิ าณธาตุอาหารทสี่ กัดได : ฟอสฟอรสั ที่เปนประโยชนตอพชื (Bray and Kurt, 1945) โพแทสเซยี ม แคลเซียม และแมกนเี ซยี มทีเ่ ปนประโยชนต อ พชื (Jackson, 1958) ปรมิ าณโลหะหนักในรูปทงั้ หมด : ตะกั่ว ทองแดง สังกะสี แคดเมยี ม และสารหนู (ดดั แปลง จาก Hossner, 1996 และ Burau, 1982)
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 99 2. พืช สุม ตวั อยางสมนุ ไพรชะเอมเทศ โดยการซอ้ื จากรา นขายสมุนไพรและรา นขายยาในกรุงเทพฯ จํานวน 10 ตวั อยา งและเตรยี มตวั อยางโดยสถาบันวิจัยสมนุ ไพร กรมวทิ ยาศาสตรก ารแพทย กระทรวงสาธารณสขุ วเิ คราะหตวั อยา งโดยชงั่ ตัวอยางพืช 1.000 กรมั ยอยดว ย ConcHNO3/HClO4 = 2 : 1 และวดั ปริมาณแคดเมยี มดวยเครอื่ ง Flame Atomic Absorption Spectrophotometer และ Hydride Generation 3. นํ้า 3.1 เก็บตวั อยางน้ําจากแหลงนา้ํ ท่จี ะนาํ มาใชร ดสมุนไพร ตามวิธกี ารเกบ็ ตวั อยางน้าํ ทถี่ กู ตอง 3.2 การวิเคราะหตัวอยางนาํ้ รายการทว่ี ิเคราะห ดังน้ี ดชั นคี ณุ ภาพนา้ํ : ความเปนกรดเปนดาง (กองวิเคราะหดิน, 2537; ม่ันสิน, 2543; สํานักวิทยาศาสตรเพอื่ การพัฒนาท่ีดนิ , 2547) การนําไฟฟา ปริมาณรวมของธาตไุ นโตรเจน แคตไอออน โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม แมกนเี ซียม แอนไอออน ซลั เฟต คลอไรด และฟอสเฟต (กองวิเคราะหด ิน, 2537; สํานกั วิทยาศาสตรเพ่อื การพัฒนาทดี่ ิน, 2547) โลหะหนักในน้าํ ตะก่วั ทองแดง สังกะสี แคดเมียม สารหนู (กรมอนามัย, 2537) เครอ่ื งมอื วทิ ยาศาสตรท ่ใี ชใ นการวเิ คราะหดินและน้าํ Hydrometer, pH meter, Electrical Conductometer, UV Spectrophotometer, Flame Atomic Absorption Spectrophotometer, Hydride Generation และ Flame Photometer
100 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ผลการศึกษาและวิจารณ ตารางที่ 18 ผลการวเิ คราะหโ ลหะหนกั ในตัวอยางชะเอมเทศจากทอ งตลาด เลขทต่ี ัวอยา ง สารหนู ปริมาณโลหะหนกั (มก./กก..) แคดเมียม 1 0.19 ตะกว่ั nd 2 0.05 nd 3 0.14 nd nd 4 0.30 nd nd 5 0.10 nd nd 6 0.03 nd 0.75 7 0.04 nd 0.75 8 0.04 nd 0.70 9 0.03 nd 0.67 10 0.03 nd 0.90 nd nd หมายเหตุ nd = ตรวจไมพบ สรุปผลการวิเคราะหโลหะหนักในตวั อยา งชะเอมเทศ ซงึ่ สมุ ตัวอยาง 10 ตวั อยาง จากตารางท่ี 18 พบวา - ปริมาณสารหนูในตวั อยา งชะเอมเทศอยใู นชว ง 0.03-0.30 มิลลิกรัม/กโิ ลกรมั ซ่ึงมคี าตํา่ กวา คา มาตรฐานในสมุนไพรคอื ตอ งตํา่ กวา 4.00 มิลลกิ รมั /กโิ ลกรัม - ปรมิ าณตะกว่ั ในตัวอยางสมนุ ไพรชะเอมเทศตรวจไมพ บ - ปริมาณแคดเมียมในตวั อยา งสมนุ ไพรชะเอมเทศตรวจไมพบ 5 ตัวอยา ง และอยูในชว ง 0.67-0.90 จาํ นวน 5 ตัวอยา ง ซงึ่ มคี า สูงกวาคา มาตรฐานการปนเปอ นแคดเมยี มตาม มาตรฐานตําราสมุนไพรไทย คอื ตองตํา่ กวา 0.30 แสดงวา ตวั อยา งสมุนไพรชะเอมเทศ ซงึ่ สมุ ตัวอยางจากรา นขายในกรุงเทพฯ มแี หลงท่มี าตา ง ๆ กนั ทาํ ใหมีการปนเปอ นแคดเมียมในตัวอยา งแตกตางกัน
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 101 เนอ่ื งจากแคดเมยี มเปน ธาตโุ ลหะหนกั ซึง่ มกี ารเคลอื่ นทใ่ี นดนิ สูงท่สี ุด โดยดูจากคาสมั ประสิทธิ์ การเคล่อื นยายสูงทสี่ ุดเมื่อมีปรมิ าณแคดเมียมสงู ในดิน และ pH ของดินเปน กรด โอกาสทท่ี าํ ใหการดดู แคดเมยี มของรากชะเอมเทศจะสูงตามไปดวย ดังนัน้ ในการปลกู สมุนไพรชะเอมเทศจะตอ งคาํ นงึ ถงึ การ ปนเปอ นแคดเมยี มในดินใหม าก โดยระมัดระวงั เกยี่ วกับปจจยั การผลิตท่ีมอี ยแู ละทเ่ี ติมลงไปในดนิ เชน ปยุ คอก ปุย หมัก สารกําจดั ศัตรูพชื สารหนูมีโอกาสท่จี ะปนเปอ นในสมุนไพรชะเอมเทศ ดงั น้ันจึงตองมกี ารระมัดระวงั ทางดา นปจ จัย การผลิตเชนเดยี วกัน ผลการวเิ คราะหคุณภาพดินในพื้นทเ่ี ปา หมายกอ นปลูก สมบตั ิทางกายภาพดิน (1) สวนปา คอนสาร จังหวดั ชยั ภมู ิ เนื้อดินเปนดนิ รวนปนทราย (2) สวนปา สวนปามัญจาครี ี จังหวดั ขอนแกน เน้อื ดินเปนดนิ ทราย เนือ้ ดินคอนขา งหยาบ (3) สวนปาสวนสมเด็จ จังหวัดกาฬสนิ ธุ เน้ือดนิ เปนดินรว นปนทราย (4) สวนปา จงั หวดั อุดรธานี เน้ือดนิ เปน ดนิ รวนปนทราย พ้ืนที่ทงั้ 4 แหง มีเน้ือดินคอนขางหยาบ มีลักษณะเฉพาะคือมีชองขนาดใหญระหวา งอนุภาคดิน จะรับนา้ํ ผานผวิ ดนิ ไดด ี ขอ ดี คือ มีการแทรกซมึ นา้ํ ดีและการกระจายนาํ้ ดี ดังนน้ั การไถพรวนจึงทาํ ไดงา ย ขอเสยี คือ เน่อื งจากมพี ื้นทผ่ี ิวจําเพาะนอย เปนอนภุ าคที่ไมม ปี ระจแุ ละยงั ประกอบดว ยชอ งระหวา ง อนุภาคท่มี ีขนาดใหญ จงึ ดูดซับน้ําและธาตอุ าหารพชื ไดนอย ปุยทีใ่ สลงบนผิวดนิ สามารถถกู ชะละลาย ดวยนํ้าใหไ หลลกึ เลยเขตรากพชื ไดง า ย ดงั น้นั จึงตอ งใสปยุ และน้ําครง้ั ละนอย ๆ แตต อ งใหบ อ ย ๆ เปน การสูญเสยี เวลาและคา ใชจา ย สมบตั ทิ างเคมี (1) สวนปาคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ความเปน กรดเปน ดางอยใู นระดับกรดแก ตอ งปรบั pH ใหสูงขึ้น ตองใสป ูนขาว โดยพจิ ารณาจาก คาความตอ งการปูน โดยใชปริมาณ 1/3 ของคาความตอ งการปนู เนอ่ื งจากดินเปน ดนิ ทราย คอื 156 กิโลกรมั /ไร
102 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก คาการนําไฟฟาอยใู นระดับตาํ่ แสดงวาดินมปี ริมาณเกลอื NaCl ต่าํ ไมเ ปนดนิ เค็ม ปรมิ าณอนิ ทรยี วตั ถุ อยใู นระดบั คอ นขา งสูง ปรมิ าณฟอสฟอรัสทเี่ ปนประโยชนอ ยใู นระดับคอ นขา งต่าํ ตอ งเพิ่มธาตฟุ อสฟอรสั ใหด ิน ปริมาณโพแทสเซียมอยูในระดับสงู มาก ปริมาณแคลเซียมอยใู นระดบั ต่าํ ตอ งเพ่ิมธาตุแคลเซยี มใหด นิ ปริมาณแมกนเี ซยี มอยใู นระดบั ปานกลาง ปรมิ าณโลหะหนักท้งั หมด ตะกว่ั ทองแดง และสงั กะสี อยูในระดบั ตา่ํ แคดเมียมและสารหนูอยู ในระดับตา่ํ มากตรวจไมพ บ ปริมาณโลหะหนักทง้ั หมดอยใู นระดับตา่ํ กวาเกณฑพนื้ ฐาน ซึ่งระดบั ความ เขม ขนท่ีนาํ มาใชเพื่อประเมนิ การปนเปอ นระยะแรกท่แี นะนําสาํ หรบั โลหะหนกั ในดนิ ประเทศไทย (2) สวนปา สวนปา มญั จาคีรี จงั หวัดขอนแกน ความเปนกรดเปน ดางของดนิ อยูใ นระดบั กรดเล็กนอ ย ไมจาํ เปนตองปรับ pH ของดนิ นอกจาก ตอ งการให pH ของดนิ สงู ขึน้ ในกรณีทพี่ ืชทีป่ ลกู ตองมี pH ของดินเปน กลางโดยพิจารณาจากคาความ ตอ งการปนู คา การนําไฟฟาอยใู นระดบั ตํา่ แสดงวา ดินมปี รมิ าณเกลอื NaCl ต่ํา ไมเปนดินเค็ม ปริมาณอนิ ทรียวตั ถุอยใู นระดับตํ่ามาก ตองใสปุยหมักหรอื ปยุ คอกในปริมาณ 3-5 ตนั /ไร ปริมาณฟอสฟอรสั ทีเ่ ปนประโยชนอยใู นระดบั ปานกลาง ปริมาณโพแทสเซยี ม แคลเซยี ม และแมกนเี ซียมอยใู นระดับต่าํ ตองเพ่ิมธาตุโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียมในดนิ ปรมิ าณโลหะหนักทง้ั หมด ตะกว่ั ทองแดง และสงั กะสี อยใู นระดบั ตาํ่ แคดเมยี มและสารหนอู ยู ในระดับตา่ํ มากตรวจไมพ บ ปริมาณโลหะหนักทง้ั หมดอยใู นระดับตาํ่ กวาเกณฑพ ้นื ฐาน ซ่ึงระดบั ความ เขม ขน ท่ีนาํ มาใชเพ่อื ประเมนิ การปนเปอ นระยะแรกที่แนะนําสาํ หรับโลหะหนักในดินประเทศไทย (3) สวนปา สวนสมเด็จ จังหวัดกาฬสนิ ธุ ความเปนกรดเปนดา งของดนิ อยูในระดับกรดเลก็ นอย ไมจ ําเปนตองปรับ pH ของดนิ เพราะอยูใน ระดบั ท่ชี ะเอมเทศเจริญเติบโตไดดี คาการนาํ ไฟฟาอยใู นระดบั ตํา่ แสดงวาดนิ มีปริมาณเกลือ NaCl ตํ่า ไมเปนดินเคม็ ปรมิ าณอนิ ทรียวตั ถอุ ยใู นระดบั ตํา่ ตองใสป ยุ หมักหรือปุย คอกในปรมิ าณ 3-5 ตนั /ไร
การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 103 ปริมาณฟอสฟอรสั ทเ่ี ปน ประโยชนอยใู นระดับคอนขางตํ่า ตองมีการเพ่ิมธาตฟุ อสฟอรัสในปรมิ าณที่ เหมาะสม ปริมาณโพแทสเซียม แคลเซยี ม และแมกนเี ซียมอยใู นระดับต่ํา ตองเพ่ิมธาตุโพแทสเซยี ม แคลเซียม และแมกนเี ซียมในดนิ ปริมาณโลหะหนักทงั้ หมด ตะกวั่ อยใู นระดบั ต่ํามากตรวจไมพบ ทองแดงและสงั กะสอี ยูในระดับต่ํา แคดเมียมและสารหนูอยใู นระดับตํ่ามากตรวจไมพ บ ปรมิ าณโลหะหนักท้ังหมดอยใู นระดบั ตาํ่ กวา เกณฑ พืน้ ฐาน ซง่ึ ระดับความเขมขน ที่นํามาใชเ พื่อประเมนิ การปนเปอนระยะแรกทีแ่ นะนาํ สําหรบั โลหะหนักใน ดินประเทศไทย (4) สวนปาจงั หวดั อุดรธานี ความเปนกรดเปน ดางของดินอยใู นระดบั กรดปานกลาง ถาตองปรับ pH ใหสูงขึ้น ตองใสป ูนขาว โดยพิจารณาจากคา ความตองการปนู โดยใชปริมาณ 1/3 ของคาความตองการปูน เนื่องจากดนิ เปนดิน ทราย คอื 104 กิโลกรัม/ไร ปริมาณอนิ ทรียวัตถุอยใู นระดบั ปานกลาง ปุย หมักหรอื ปยุ คอกท่ีตอ งใชค อื 1-3 ตนั ตอไร ปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชน โพแทสเซียม และแมกนีเซียมอยูในระดับตํ่า ตองเพิ่มธาตุ ฟอสฟอรสั โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ในดิน ปรมิ าณแคลเซียม(Calcium, Ca) อยใู นระดบั ต่ํามาก ตองเพมิ่ ธาตุแคลเซยี มใหดิน ปริมาณโลหะหนักทัง้ หมด ตะกวั่ ทองแดง สังกะสี แคดเมียมและสารหนอู ยูในระดับตาํ่ กวาเกณฑ พน้ื ฐาน ซึ่งระดับความเขม ขน ที่นาํ มาใชเ พือ่ ประเมินการปนเปอนระยะแรกที่แนะนําสําหรับโลหะหนักใน ดินประเทศไทย
104 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ตารางที่ 19 ผลการวเิ คราะหค ุณภาพดินในพ้ืนทีเ่ ปา หมายปลูกชะเอมเทศ ผลการวเิ คราะห อุดรธานี รายการ 78.5 ชยั ภูมิ ขอนแกน กาฬสินธุ 12.9 8.6 สมบตั ทิ างกายภาพดนิ SL 5.8 คา วเิ คราะหขนาดอนุภาค 59.6 89.0 82.2 312 - ดินทราย (sand) (%) 27.0 8.0 12.3 0.06 - ดนิ ทรายแปง (silt) (%) 13.4 3.0 5.5 1.59 - ดินเหนยี ว (clay) (%) SL S LS 5 เน้ือดิน (texture) 40 383 สมบัติทางเคมี 5.5 6.1 6.1 79 - ความเปนกรดเปน ดาง (pH) 468 0 0 7.50 - ปรมิ าณความตองการปูน (กก./ไร) 0.07 0.05 0.04 7.62 - การนําไฟฟา (dS/m) 3.43 0.63 0.69 19.30 - ปรมิ าณอนิ ทรยี วตั ถุ (%) 0.20 0.10 ปรมิ าณของธาตุท่สี กัดได 7 12 8 - ปรมิ าณฟอสฟอรัสที่เปนประโยชน (มก./กก.) 180 56 51 - ปริมาณโพแทสเซยี ม (K) (มก./กก.) 596 217 235 - ปรมิ าณแคลเซียม (Ca) (มก./กก.) 199 65 55 - ปริมาณแมกนเี ซยี ม (Mg)(มก./กก.) ปรมิ าณโลหะหนกั ในรปู ท้ังหมด 3.57 7.52 nd - ปริมาณตะกั่ว (Pb) (มก./กก.) 7.96 3.79 2.73 - ปริมาณทองแดง (Cu) (มก./กก.) 13.76 5.67 4.15 - ปริมาณสงั กะสี (Zn) (มก./กก.) nd nd nd - ปริมาณแคดเมียม (Cd) (มก./กก.) nd nd nd - ปริมาณสารหนู (As) (มก./กก.) หมายเหตุ SL = ดนิ รวนปนทราย (Sandy Loam) LS = ดินทรายปนรว น (Loamy Sand) S = ดินทราย (Sand) nd = ตรวจไมพบ
การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 105 ตารางที่ 20 ผลการวิเคราะหค ุณภาพน้ําในพ้ืนท่ีเปาหมายชะเอมเทศ คาวเิ คราะห รายการ ชัยภูมิ ขอนแกน กาฬสินธุ อุดรธานี ความเปนกรดเปน ดาง (pH) 8.1 7.4 7.1 5.6 การนาํ ไฟฟา (EC) dS/m 0.35 0.06 0.67 0.04 ของแขง็ ทลี่ ะลายนาํ้ ไดทัง้ หมด (TDS) (มก./ล.) 185 34 35 24 ของแขง็ แขวนลอย (SS) (มก./ล.) 125 84 163 76 ปริมาณรวมของธาตุไนโตรเจน (N) (มก./ล.) nd 0.08 nd 0.93 ปรมิ าณโพแทสเซียม (K) (มก./ล.) 5.3 2.50 2.2 3.1 ปริมาณแคลเซยี ม (Ca) (มก./ล.) 46.38 2.04 2.04 88.74 ปรมิ าณแมกนีเซยี ม (Mg) (มก./ล.) 13.20 3.66 1.65 nd คลอไรด (Cl) (มก./ล.) 0.02 0.03 1.05 0.50 ฟอสเฟต (PO4) (มก./ล.) 0.05 0.02 0.17 0.01 ซลั เฟต (SO4) (มก./ล.) 0.03 0.05 0.06 0.23 ตะกัว่ (Pb) (มก./ล.) 0.03 0.03 0.004 nd ทองแดง (Cu) (มก./ล.) nd nd nd nd สงั กะสี (Zn) (มก./ล.) 0.04 0.01 0.03 0.01 แคดเมียม (Cd) (มก./ล.) 0.01 0.01 0.01 nd สารหนู (As) (มก./ล.) nd nd nd nd หมายเหตุ nd = ตรวจไมพ บ
106 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางท่ี 21 เกณฑชี้วัดคณุ ภาพดนิ ในพืน้ ที่เปาหมายชะเอมเทศ รายการวเิ คราะห ชัยภมู ิ สถานที่ SL เนือ้ ดนิ กรดแก ขอนแกน กาฬสินธุ อดุ รธานี ความเปนกรดเปน ดาง (pH) S LS SL การนาํ ไฟฟา (EC) (dS/m) ตาํ่ มาก ปรมิ าณอินทรยี วตั ถุ (%) กรดเลก็ นอ ย กรดเลก็ นอ ย กรดปานกลาง คอนขา งสงู ตํ่ามาก ต่าํ มาก ตา่ํ มาก ต่ํามาก ต่าํ มาก ปานกลาง ปริมาณฟอสฟอรัสทีเ่ ปนประโยชน คอ นขางตาํ่ ปานกลาง คอ นขางตาํ่ ต่ํา (Available P) (มก./กก.) สงู มาก ตํา่ ตา่ํ ตาํ่ ปริมาณโพแทสเซียม (K) (มก./กก.) ต่าํ ตา่ํ มาก ตํา่ ต่าํ มาก ปริมาณแคลเซยี ม (Ca) (มก./กก.) ปริมาณแมกนีเซียม (Mg) (มก./กก.) ปานกลาง ตํา่ ตํ่า ตาํ่ ปรมิ าณตะก่วั (Pb) (มก./กก.) ตา่ํ ตา่ํ ตํ่า ตํ่า ปรมิ าณทองแดง (Cu) (มก./กก.) ต่าํ ต่ํา ตํา่ ตํา่ ปริมาณสงั กะสี (Zn) (มก./กก.) ต่ํา ตา่ํ ตา่ํ ต่ํา ปริมาณแคดเมยี ม (Cd) (มก./กก.) ตํา่ มาก ต่ํามาก ตา่ํ มาก ต่ํา ปรมิ าณสารหนู (As) (มก./กก.) ตํา่ มาก ตํา่ มาก ตา่ํ มาก ตา่ํ หมายเหตุ SL = ดนิ รวนปนทราย (Sandy Loam) S = ดนิ ทราย (Sand) LS = ดินทรายปนรวน (Loamy Sand)
การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 107 สรุปคุณภาพดินและคณุ ภาพน้ําในพน้ื ทเี่ ปา หมาย พ้นื ทท่ี ่ีมคี วามอดุ มสมบรู ณม ากทส่ี ดุ คือ ดนิ ในพืน้ ท่ีสวนปาคอนสาร จงั หวดั ชยั ภมู ิ สว นสวนปาอีก 3 แหงมคี วามอุดมสมบูรณต ํ่า การจดั การดินในพื้นทเี่ ปา หมาย ตอ งปรับปรุงดินทางกายภาพเนอ่ื งจากดนิ เปน ดนิ ทราย ซง่ึ เปนดินเนือ้ หยาบ โดยการใสอนิ ทรียวตั ถุ คือปุยคอกหรือปุยหมัก นอกจากจะสลายตัวใหธาตุอาหารแลวยังเปนการเพ่ิมระดับอินทรียวัตถุในดิน ทราย จะทาํ ใหค วามสามารถอมุ นาํ้ ของดินมากขึน้ ตอ งปรบั วิธกี ารใสป ยุ และลงทุนดา นชลประทานเพิ่มเตมิ การปรับปรุงคุณภาพดนิ ทางดานเคมี ตองมีการปรับ pH ของดนิ ใหส ูงข้นึ ในพ้นื ท่ีสวนปาจงั หวัด อดุ รธานแี ละสวนปา คอนสาร จงั หวัดชัยภูมิ โดยการใสโ ดโลไมทต ามอตั ราทแ่ี นะนาํ โดยใชค าความตองการ ปนู ของดิน สว นสวนปา มญั จาครี ี จงั หวดั ขอนแกน และสวนปาสวนสมเดจ็ จังหวัดกาฬสินธุ ไมต องใสป ูน ถาตองการปลูกชะเอมเทศในพื้นที่ทั้ง 4 แหง ตองเพ่ิมธาตุแคลเซียมและธาตุโพแทสเซียม ซึ่งอยูร ะดบั ตาํ่ เพราะตนชะเอมเทศตอ งการธาตุ 2 ธาตนุ ีส้ งู มากในการสรางสารสาํ คัญไตรเทอรปน ซาโปนิน สว นใหญจ ะอยใู นรปู ของเกลอื แคลเซยี มและโพแทสเซยี ม ดังนัน้ ในการทดลองปลกู ชะเอมเทศเพื่องานวจิ ยั จะตองเตรียมวิธีการใสแคลเซียมและโพแทสเซียมลงในดิน เพ่ือใหพอกับความตองการของชะเอมเทศ ดังน้ันในระยะกอ นปลูกชะเอมเทศ ตองมีการวเิ คราะหด นิ ในแปลงทดลองอยางละเอยี ด และ ตอ งมีการจัดการดินใหต รงกบั ความตอ งการของสมนุ ไพรชนิดน้ี การจัดการดนิ ตอ งขนึ้ อยกู ับวิธกี ารเพาะปลกู จะเปนการปลกู โดยเกษตรอนิ ทรียห รอื การปลกู โดย ใชปุยเคมี การจัดการแตกตางกันสาํ หรับเกษตรอินทรียตองตรวจสอบปจจัยการผลิตทุกชนิดท่ีจะใสล ง ไปในดนิ โลหะหนักในดินทั้ง 4 พ้นื ที่ อยใู นระดับทม่ี คี วามเขม ขนตาํ่ มาก ระดับเกณฑพืน้ ฐานทแี่ นะนํา สาํ หรบั ในดินประเทศไทย แสดงวาคุณภาพดินไมม กี ารปนเปอ นของโลหะหนัก คา ระดับเกณฑพ ้นื ฐานที่ แนะนาํ สาํ หรับโลหะหนักในดนิ ประเทศไทยไดแสดงไวใ นตารางที่ 30 คณุ ภาพนาํ้ ท้งั 4 พืน้ ที่ ท้งั ทางดานกายภาพ เคมแี ละโลหะหนักในนํา้ อยูใ นเกณฑม าตรฐานน้ํา เพอ่ื การชลประทาน ตามมาตรฐานนํา้ เพอ่ื การชลประทานไดแสดงไวใ นตารางท่ี 29
108 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก เอกสารอา งองิ 1. นติ ยาพร ตนั มณ.ี รายงานฉบับบสมบูรณ โครงการศึกษาวิจัยปจ จยั การผลิตท่ีเหมาะสมตอ การปลูกสมุนไพรโกฐจุฬาลําพา. สถาบัน การแพทยไทย-จีน เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ , นนทบรุ ี. 2548. หนา 1-45. 2. นิตยาพร ตนั มณี. รายงานฉบับบสมบรู ณ โครงการศกึ ษาวจิ ัยปจจยั การผลติ ทเ่ี หมาะสมตอ การปลกู สมุนไพรชะเอมเทศและการศึกษาการ ปนเปอนของสารหนูและโลหะหนักของสมุนไพรชะเอมเทศที่สุมตัวอยา งจากทองตลาด. สถาบันการแพทยไ ทย-จนี เอเชยี ตะวันออก เฉียงใต กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ , นนทบรุ ี .2549. หนา 1-45. 3. นิตยาพร ตันมณี. รายงานฉบับบสมบูรณ โครงการศึกษาวจิ ัยปจจยั การผลิตที่เหมาะสมตอการปลูกสมุนไพรปญจขันธ. สถาบัน การแพทยไทย-จนี เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก กระทรวงสาธารณสขุ , นนทบุร.ี 2547. หนา 1-19.
การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 109 บทท่ี 5 การผลิตวตั ถดุ ิบสมุนไพรในพืน้ ท่เี ปาหมาย รัฐบาลไดกาํ หนดสมุนไพรเปนยุทธศาสตรระดับชาติ มีแนวคิดและเปาหมายซ่ึงจะนาํ ไปสูการ จดั ทาํ แผนและโครงการท่ีชัดเจนและทาํ ใหเกดิ ผลในทางปฏิบตั ิ เพือ่ ใหเ กิดการวิจยั ท่สี มบูรณ ครบวงจร โดยการนําเอาผลการวจิ ยั มาพัฒนาตอยอดสรางมูลคา เพิ่มใหภ ูมปิ ญญาทอ งถิน่ และเทคโนโลยที องถน่ิ พัฒนาเครือขายองคความรูใหเปนผลิตภัณฑสมุนไพรไดรวดเร็วและครบวงจรเร็วยิ่งข้ึน ตลอดจนใช ประโยชนจากสมุนไพร ทั้งในดานการผลิตเปนยารักษาโรค เพ่ือทดแทนการนําเขายาแผนปจจุบันจาก ตา งประเทศ อยางไรก็ตามกระบวนการผลิตสมุนไพรเปน วัตถดุ ิบสมุนไพรเพื่อนํามาบรโิ ภคเปนอาหาร เปน ยาหรือผลิตภัณฑอาหารเสริมเพ่ือสุขภาพน้ัน การผลิตตลอดกระบวนการจะตองดูแลเอาใจใสคอนขาง ละเอียด เพราะวา วัตถุดิบสมนุ ไพรที่มีคุณภาพนั้น นอกจากจะตอ งปลอดภัยจากสารพษิ แลว ยังตองมี ปริมาณสารสําคัญในระดับทต่ี อ งการดวย ดงั นั้นการผลิตโดยใชเกษตรดีทีเ่ หมาะสม (GAP) อยา งเดียว อาจไมเพียงพอ แตต องคํานึงถงึ สถานที่ปลูกและสง่ิ แวดลอ มดว ย สําหรับการใชใ นระดบั อตุ สาหกรรมนนั้ ตอ งประสบปญหาการขาดแคลนวตั ถุดิบสมนุ ไพรท่มี คี ุณภาพ และมีมาตรฐานคุณภาพเดยี วกนั โดยเนน ถงึ ปริมาณสารสาํ คัญที่สมาํ่ เสมอตรงตามมาตรฐาน ในปรมิ าณที่มากพอท่จี ะขยายกาํ ลังผลติ เพ่ือพัฒนา ถึงระดบั อตุ สาหกรรม ซ่งึ ปจ จยั สําคญั ในการผลติ วตั ถดุ ิบสมนุ ไพรท่มี คี ุณภาพและมีปรมิ าณสารสาํ คัญ ตรงตามมาตรฐานทต่ี อ งการในปรมิ าณมากอยา งคมุ คาในการผลิต (การลงทุน) ประกอบดว ย 4 ขนั้ ตอน หลกั คอื การเพาะปลูก การเกบ็ เก่ยี ว กรรมวิธกี อนและหลงั การเก็บเก่ียว การขนสง และการบรรจหุ ีบหอ นอกจากนี้ยงั มปี จ จัยอื่นอกี ไดแ ก สภาพแวดลอ ม แหลงปลกู การจัดการทด่ี ีและถกู ตอ ง ตลอดจนการ ใชชนิดและพันธุสมุนไพรท่ีมีศักยภาพในการผลิต ซึ่งลวนแตเปนปจจัยที่สาํ คัญท่ีมีผลตอปริมาณและ คุณภาพของวตั ถุดบิ สมุนไพร ดังน้ันการวางแผนงานวจิ ัยและพัฒนาการผลติ วตั ถุดบิ ใหมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานและปอน วตั ถดุ บิ เขาสผู ลติ ภณั ฑอุตสาหกรรมสมุนไพร จึงตอ งมุง มน่ั ผลติ โดยใชหลักการของเกษตรดที ีเ่ หมาะสม (GAP) เพ่ือใหไดขอ มูลสําคัญและนําไปเพอ่ื ใชเ ปนแนวทางในการกําหนดคณุ ภาพและมาตรฐานคณุ ภาพ
110 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก ทางการเกษตร ทางพฤกษศาสตร และทางพฤกษเคมี ใหไดว ัตถดุ บิ สมนุ ไพรทม่ี ีคุณภาพ และมปี ริมาณ สารสําคัญตรงตามมาตรฐานสามารถทดแทนการนําเขา และสงออกตอ ไป 5.1 เกษตรดีทีเ่ หมาะสมสําหรับพชื สมนุ ไพร1 5.1.1 แหลงปลูก สภาพพน้ื ที่ เปนทีร่ าบน้ําไมทวมขัง การระบายนา้ํ ดีหรอื บนพ้ืนทีล่ าดเอียงซงึ่ จะเปนทีล่ กั ษณะ พนื้ ท่ที ่ีพชื สมุนไพรทั่วไปเจริญไดดี (ยกเวนสมนุ ไพรที่ชอบข้นึ ในท่ชี น้ื แฉะ) ความสูงจากระดับนํา้ ทะเล ตองพิจารณาระดับความสูงต่ําของพ้ืนท่ีซ่ึงสมุนไพรบางชนิดมี ขอจํากัดในเรื่องความสงู เชน ปญจขนั ธ ตอ งปลูกในท่ีสูงจากระดับน้ําทะเลประมาณ 300-3,200 เมตร เน่อื งจากตอ งการความหนาวเย็น อุณหภูมิระหวาง 16-25 องศาเซลเซยี ส ความช้นื สมั พัทธท เี่ หมาะสม ประมาณ 70 - 85% อากาศรอนจดั และแหงแลง ชว งเวลานาน อาจกระทบตอ การออกดอกและตดิ ผล และยงั มีผลกระทบตอ ปรมิ าณสารสาํ คญั ภายในตนพชื ดว ย ลักษณะดนิ พืชสมุนไพรโดยท่วั ไปชอบดินรว นปนทราย ระบายน้ําดีและมคี วามอดุ มสมบูรณ สงู (ควรเกบ็ ตัวอยางดินตรวจวิเคราะหเพอื่ ตรวจสอบปริมาณธาตอุ าหาร) สมุนไพรสว นมากจะข้นึ ดบี น ผวิ ดนิ ทมี่ คี วามลึกระดบั หนา ดิน 15-30 เซนตเิ มตร ดนิ ชน้ั ลา งไมควรมีดนิ ดาน ดินลูกรงั หรอื หิน ความเปน กรดดา งของดนิ (คา pH) ความแตกตางของคา pH ของดินมผี ลกระทบตอ ปรมิ าณการละลายของธาตอุ าหารตางๆ ในดนิ ที่พืชจะดดู มาใชไ ด เชน ปญ จขันธ จะชอบดินท่ีมีฤทธเิ์ ปน กรดออ น ดินอมุ น้ําไดดี จะทําใหป ญ จขนั ธเจริญเติบโตไดด ีและจะมปี รมิ าณสารสําคญั สูงอกี ดว ย สภาพภูมอิ ากาศ อณุ หภูมิ สมุนไพรเปนพืชกง่ึ รอ นหรือมแี หลงอาศยั อยบู นภูเขาสูง ชอบอากาศเย็นเปนบาง ชวงเพ่อื สรางหัว (สะสมอาหาร) แสงแดด ตนพชื ใชใ นการสรางและสะสมอาหารเพ่อื การเจริญเตบิ โต สมนุ ไพรบางชนดิ ชอบทโ่ี ลง แจง บางชนิดตองการแสงนอ ย ตอ งอาศัยรม เงาของพืชชว ยในการเจรญิ เติบโตออกดอกตดิ ผล หรือใชต าขา ยพรางแสง เชน ปญจขันธ จะชอบรมเงาหรอื เจริญเติบโตไดดีภายใตหลังคาพรางแสงทลี่ ด แสงได 40-60% จากขอมลู การสาํ รวจแหลง ปลกู พบวา การปลกู ภายใตต าขา ยสเี ขียวจะเจรญิ เตบิ โตได ดแี ละไดน า้ํ หนักผลผลติ สดสงู อกี ดว ย
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 111 แหลง นํา้ ควรเปนแหลง นา้ํ ทส่ี ะอาด จากแหลง ทไี่ มมีสภาพแวดลอมซ่ึงกอ ใหเ กดิ การปนเปอ น โลหะหนัก เชน ตะกั่ว ปรอท แคดเมียมและสารหนู ตองไมอยูใกลคอกสัตวหรือโรงงานอุตสาหกรรม หรือโรงเก็บสารเคมีและไมมีความเสี่ยงในการปนเปอนจุลินทรีย ตลอดจนสารเคมีที่ใชในการเกษตร 5.1.2 การเลอื กพนั ธุ การเลอื กพนั ธุ พันธทุ ป่ี ลกู จะตอ งตรงตามความตอ งการของตลาด และตองใหป ริมาณสารสาํ คญั ที่คงท่ีหรืออยูในระดับที่ตลาดยอมรับ การตรวจสอบชื่อและลักษณะประจําพันธุที่ถูกตอง จําเปนตอง ศึกษา/เรียนรู ไมมีการปะปนของพันธุที่ไมไดมาตรฐานหรือพันธุท่ีไมตองการ ปลอดจากศัตรูพืช เชน โรคหรือแมลง ควรเปนพนั ธทุ ีน่ ยิ มปลกู เจรญิ เติบโตไดดแี ละคุมคาตอ การลงทุน และพันธทุ ่ีปลกู เปนการคา โรงงานและผูบรโิ ภคมีความตองการสงู 5.1.3 การปลูก การเตรยี มดนิ พ้นื ทคี่ วรมกี ารไถตากดิน ปรับสภาพพื้นทแี่ ละเกบ็ ซากพชื ปรับคา ความสมบูรณ ของดินใหตรงตามความตองการของพชื สมนุ ไพรแตละชนดิ การปลูก วิธีการปลูกแบบหวาน โรย หรือปลูกเปนหลุม ซ่ึงตองทราบระยะหางระหวางรอง และแถวที่เหมาะสมตอ พชื สมุนไพรแตล ะชนิด เพื่อใหไดผ ลผลิตสงู สดุ และมีการใชพื้นทีใ่ หค ุมคา สะดวก ตอ การเก็บเก่ยี ว เชน การปลูกปญจขนั ธจ ะปลกู ไดทั้งใชเมล็ด เถาปก ชําหรือลําตนใตดิน โดยใชระยะปลูก ประมาณ 15 x 30 เซนตเิ มตร หรือ 15 x 15 เซนตเิ มตร ตามความเหมาะสมในแตล ะพน้ื ท่ี ซงึ่ หากใช ระยะปลกู ชดิ มากเกนิ ไป อาจทําใหเ กดิ การระบาดของโรคพชื และแมลงไดง า ยขน้ึ 5.1.4 การดแู ลรกั ษา การใหปุย ควรใชปุยอินทรียหรือปุยเคมีตรงตามตองการ โดยเฉพาะปุยเคมีตองเลือกสูตร ที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพร เชน สูตร 15:15:15 หรือ 40-0-0 (พืชใบ) หรือ 13-13-21 (พชื หวั ) การใหนาํ้ เลือกระบบการใหนาํ้ ท่ีเหมาะสมและคุมคาตอการลงทุน เชน แบบสปริงเกอร รด โดยตรง หรอื ใหแ บบรอ ง ซ่ึงขน้ึ อยูกับความตองการน้าํ ของสมุนไพรแตละชนดิ เชน ปญจขันธชอบดนิ ที่ มีความชนื้ สูง (ไมแฉะ) หนา ดินไมแหง มีการรดน้าํ สม่ําเสมอ และหากมีน้าํ ทวมขังมากๆ จะทาํ ใหพชื เนา ตายได
112 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก การอนุรักษศัตรูธรรมชาติ ควรทราบศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชสมุนไพร เพื่อทาํ การ อนุรักษไว ชวยใหมีการสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการใชสารเคมีจําเปนตองใชอยางถูกตอง เหมาะสม และถูกจงั หวะถกู อตั รา ตามคําแนะนําทางวิชาการจากหนวยงานรบั ผดิ ชอบ 5.1.5 สขุ ลักษณะและความสะอาด ควรดแู ลรักษาแปลงใหส ะอาด ปราศจากเศษพืช/หญาทีเ่ ปนแหลง เพาะพันธุของศตั รพู ชื การใช วัสดุการเกษตรตองมีการใชอยางถูกตองปลอดภัย อุปกรณตาง ๆ ตองทาํ ความสะอาดทุกครั้งหลังจาก นาํ ไปใชแลว วัสดุเหลือทิ้งตองกําจัดใหถูกวิธีโดยไมกอใหเกิดปญหาการปนเปอนในส่ิงแวดลอมบริเวณ ใกลเคยี ง 5.1.6 ศตั รูของพืชสมนุ ไพรและการปองกนั กาํ จัด สาํ รวจศตั รูพชื สมุนไพร เชน โรค แมลงและวัชพืช เพือ่ ไดทราบชนดิ อาการ ตน เหตขุ องปญหา ท่ีแทจริง เพ่ือที่จะหาวิธีการปองกันกําจัดท่ีเหมาะสม คุมคาและทันตอเหตุการณตอไป ในกระบวนการ ผลิตพืชสมุนไพรโดยท่ัวไปอาจมีการระบาดของโรค แมลงศัตรูพืชบาง ดังนั้น การปรับสภาพแวดลอม ไมใ หเออื้ ตอ การเปนทพี่ ํานักอาศัย แหลง สะสมของศัตรูพชื เปน ส่ิงทคี่ วรดาํ เนินการ 5.1.7 คําแนะนาํ การใชส ารปอ งกันกาํ จดั ศตั รพู ชื อยา งถูกตองและเหมาะสม การใชสารปองกนั กําจัดศตั รูพชื ท่ีไดร ับการเรียนรู ศึกษาและออกฤทธก์ิ บั พชื โดยตรง ผูเพาะปลกู ตองรจู กั ชนิดของศตั รูพชื ชนดิ และอัตราการใชท ี่ถกู ตอ ง เหมาะสม คมุ คา ของสารปองกันกําจัดศตั รูพชื การเลอื กใชเ คร่ืองพน และหัวฉีด รวมท้ังการพนทถ่ี กู ตอ ง จดั สถานท่ีเก็บวตั ถุอนั ตราย จะชวยใหประหยดั และไมท ําลายสงิ่ แวดลอ ม 5.1.8 การเกบ็ เกย่ี ว เกบ็ เกย่ี วใหถ ูกตองตามวตั ถปุ ระสงคข องการนําไปใช หรอื ตามขอกําหนดตามความตอ งการของ ตลาด เชน อายกุ ารเก็บเก่ยี ว ชว งเวลา สว นทีจ่ ะเก็บเพอ่ื ใหไดสารสําคัญในปริมาณมาก ภาชนะทใี่ ส อปุ กรณเ กบ็ เกยี่ วโรงเรือนสะอาดไมมกี ารปนเปอนสารพิษ เชน การเก็บเกย่ี วปญ จขันธส วนใหญจะเกบ็ เก่ียวใบหรอื สวนทีอ่ ยูเหนือดิน
การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 113 5.1.9 การปฏบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกยี่ ว ควรใหค วามสําคญั และปฏบิ ตั ิดอี ยา งเครงครดั ในการเกบ็ รกั ษาผลผลติ และการบรรจุ ผลผลติ ไมควรวางบนพน้ื ผิวดนิ โดยไมมวี ัสดรุ องรบั เกบ็ ไวใ นภาชนะทแ่ี ขง็ แรงหรือมคี วามคงทนกนั ความช้นื ได เก็บแยกชนดิ สมุนไพรไวเปน สดั สวน การขนสง เตรยี มการเรื่องตลาดรับซ้ือและยานพาหนะในการขนสงไวล ว งหนา ไมก องผลผลติ บนพ้ืนรถบรรทุกโดยตรง ควรใสภ าชนะ ผลผลติ สดตอ งระมดั ระวังไมใหช ํ้าเสยี หาย การขนสง ระยะทาง ไกลควรสงใหถ งึ เรว็ ทีส่ ุด 5.1.10 การบันทกึ ขอ มลู ผเู พาะปลกู ควรบันทึกการปฏิบัติการในข้นั ตอนการผลิตตา ง ๆ ใหมีการตรวจสอบได หากเกิด ขอผิดพลาดบกพรอ งข้นึ สามารถจดั การแกไ ขหรอื ปรบั ปรุงไดทันทว งที เชน บันทกึ สภาวะแวดลอ ม เชน อณุ หภูมิ ความชนื้ ปริมาณน้าํ ฝน พนั ธุ วนั ปลกู วนั ถอนแยก วันใสป ยุ สารเคมี และชนดิ อนิ ทรยี พรอ มอตั ราการใช วันที่ศัตรพู ชื ระบาด คาใชจาย ปริมาณผลผลิต และรายได ปญหาอุปสรรคอืน่ ๆ ในชวงฤดูปลูก การเก็บเกีย่ วและการขนสง 5.2 การผลติ วตั ถดุ บิ ปญ จขนั ธ2 5.2.1 การขยายพนั ธปุ ญจขนั ธ ปญจขนั ธขยายพันธุไ ดท ัง้ โดยการเพาะเมล็ด ใชล าํ ตน ใตดนิ และใชเ ถาปกชาํ การเพาะเมล็ด ไมน ิยมใช เมื่อเทยี บกับวิธีอน่ื เพราะเปนพชื ทีม่ ีดอกแยกเพศและแยกตน จึง มโี อกาสนอ ยท่ีจะเกบ็ เมล็ดพันธุไดใ นปรมิ าณมาก ปญจขนั ธขยายพนั ธดุ ว ยการเพาะเมลด็ จะมีเปอรเซ็นต การงอกตํ่า แตตน พนั ธทุ ีไ่ ดจ ากการเพาะเมล็ดจะมีความแขง็ แรงกวา ตน พันธุท ่ไี ดจากการปก ชาํ เมลด็ พันธปุ ญ จขนั ธม ีนํา้ หนักเฉลีย่ 0.4508 กรมั ตอ 100 เมล็ด การเพาะดวยเมลด็ ทันทแี ละการเตรียม เมลด็ โดยใชน ํา้ อนุ 40 องศาเซลเซียส ทอี่ ุณหภมู ิหองเปนเวลา 24 ช่วั โมง จะมเี ปอรเซน็ ตการงอกท่ี ใกลเ คยี งกัน การเพาะเมลด็ ปญจขันธควรใชวัสดุเพาะดว ยทรายซึ่งเหมาะสมกับเมลด็ พชื ทง่ี อกชา ใชเ วลา
114 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ในการงอกนานหรือทยอยงอก อกี ท้งั ทรายเปน วัสดเุ พาะทโี่ ปรง อากาศถายเทได ทาํ ใหไมมกี ารระบาด ของเช้ือรา แมจะตอ งเพาะไวเ ปนเวลานานก็ตาม ผลการทดสอบเบื้องตน พบวา เมลด็ เร่มิ งอกหลงั จากเพาะ 8-14 วนั เมลด็ งอกชา มากและทยอยงอก โดยใชเวลาประมาณ 35 วัน นบั จากวันทเ่ี รมิ่ งอก กลา ทง่ี อก แลวมีการเจรญิ เตบิ โตชา เมื่อมีใบจริง 2 ใบ ยา ยกลาลงถงุ เริ่มทอดเล้ือยเม่ือมีใบจริง 5 ใบ และ แตก เถา 2-3 เถา/ตน ไมควรเพาะเมลด็ ในชว งฝนตกชกุ การเพาะเมลด็ ในชวงอากาศเย็นไดผ ลดี การใชล าํ ตน ใตด นิ หรอื ไหล ขดุ ลาํ ตน ใตด นิ ขนึ้ มา ตัดเปนทอ นๆ ขนาดประมาณ 5 เซนตเิ มตร ในแตล ะทอ นพนั ธุมี 1-2 ขอ โดยขุดหลมุ เปนแนว ใหม ีระยะปลูกระหวางตน 30 เซนติเมตร และ ระหวา งแถว 50 เซนตเิ มตร ปลูก 1 ทอนพันธ/ุ หลุม กลบดนิ หนาประมาณ 3 เซนตเิ มตร และกดดนิ ให แนนพอควร หลังการปลกู ทกุ คร้งั ตอ งรดน้ําใหช มุ ทนั ที การใชลาํ ตนเหนือดินหรือเถาปกชาํ นาํ เถาปญจขันธที่เจริญเติบโตเต็มที่ ไมออนหรือไมแก เกินไป (สีเขียวปนน้ําตาล) นํามาตัดเปนทอน ๆ โดยแตละทอนพันธุมีขอ 3-4 ขอ ปลิดใบท่อี ยู 2 ขอ ลางออก เตรียมวัสดุปกชาํ ท่ีมีความรวนซุย ใสในภาชนะท่ีมีความช้ืนพอเหมาะและมีการระบายนํ้าดี ปกชําทอนพนั ธเุ อียงทาํ มมุ ประมาณ 45 องศา เอนสวนปลายไปทางทิศตะวันตก เพื่อใหต าทจี่ ะแตกออก ทางทิศตะวนั ออก เรียงรายเปน ระยะหางกนั พอควร ใหท อ นพันธุมขี อ อยูในวสั ดุปกชําอยา งนอ ย 1-3 ขอ โดยให 1-2 ขอ สวนบนท่ีติดใบอยเู หนือดนิ หม่นั รดนา้ํ เพอ่ื ใหส วนที่นาํ มาปกชําเกิดรากขน้ึ รากจะงอก ประมาณ 7 วนั หลงั ปก ชํา เม่ือยอดยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร กลาแขง็ แรงดี ใหย า ยกลา ลงปลกู ในแปลงปลกู ทเ่ี ตรียมไว การปกชาํ นิยมทําในท่รี ม แดดไมจัด เพอ่ื ลดการคายน้ําของพืช และในระหวา ง ปก ชําตอ งใหความชืน้ สูงกวา ปกติ เพอ่ื ไมใหก่งิ แหงตายกอนท่ีจะเกิดราก จากการสัมภาษณเกษตรกรผูปลูกในจังหวัดนครราชสีมาซ่ึงปลูกปญจขันธเปนการคา พบวา เกษตรกรขยายพันธุดวยการปกชํากิ่ง ไมมีการเพาะเมล็ด ปญ จขนั ธออกดอกในชว งเดือนกันยายนแต เกษตรกรไมมีการสังเกตการติดเมล็ดเน่ืองจากนิยมการใชเถาปกชาํ และจากการสาํ รวจเจาหนาท่ีศูนย สง เสริมการเกษตรทีส่ งู ขอบดง จงั หวัดเชยี งใหมรายงานวา ท่ีอําเภอฝาง จังหวัดเชยี งใหมพบปญ จขันธ ตามธรรมชาติ และมลู นธิ ิโครงการหลวงไดมกี ารศกึ ษาวจิ ัยตลอดจนใหเ กษตรกรผลิตและแปรรปู การ ขยายพันธใุ ชทัง้ วธิ ีการใชเถาปกชํา และการเพาะเมล็ด ตน พันธุทีไ่ ดจ ากการเพาะเมล็ด จะมคี วามแข็งแรง กวาการปกชํา แตกเถา 3-5 เถา/ตน ทาํ ใหไดผลผลติ สงู กวา อยางไรกต็ ามพบวามกี ารตดิ เมลด็ ตา่ํ หรอื ในบางปไ มม ีการติดเมลด็ เลยซ่งึ ยงั ไมมีการศกึ ษาชดั เจน
การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 115 5.2.2 การเพาะเลี้ยงเนอื้ เยอื่ พชื การเพาะเลย้ี งเน้อื เยอ่ื พืชของปญ จขนั ธ เปนวธิ ขี ยายพันธพุ ชื เพอื่ ใหไดกลาปรมิ าณมากเพยี งพอ สาํ หรบั การผลิตวัตถดุ ิบในเชงิ พาณิชย วิธีนีไ้ ดเ ปรยี บกวา การปลกู ตามธรรมชาติ เพราะไมข ้นึ กับภมู ิประเทศ และภมู อิ ากาศ นอกจากน้กี ารเล้ียงเซลลเนอื้ เย่ือพืชยงั สามารถควบคุมสภาวะการเจรญิ เติบโตใหเกิดสูงสดุ และการควบคุมคณุ ภาพใหค งที่ การเพาะเล้ยี งเน้อื เยื่อพชื เปน เทคนิคที่มคี า ใชจายสูงมากกวา วิธีการเพาะ เมล็ดและวธิ ปี กชาํ จําเปนตองคัดเลือกพนั ธุพชื ท่ใี หผลผลติ สงู กาํ หนดวิธกี ารเลย้ี งเนอื้ เยื่อและสภาวะที่ เหมาะสม และพัฒนาภาชนะท่ีใชเ ล้ยี งใหเ หมาะสมตอการผลติ ในปรมิ าณมาก การเตรยี มพชื ปลอดเช้อื การเพาะเลยี้ งเนือ้ เย่อื พืชของปญ จขนั ธ ทาํ โดยนาํ ตน ปญจขันธทม่ี คี ณุ ภาพดี มาลางทาํ ความ สะอาดและแชในนํ้าทสี่ ะอาดนาน 30 นาที นํายอดออ นมาฟอกฆา เชอ้ื ทผ่ี วิ ดว ย Clorox 10 % นาน 10 นาที เติม Tween 20 จาํ นวน 2-3 หยด เขยานาน 15 นาที 1 ครั้ง ลา งดว ยนา้ํ เปลา ทฆี่ า เชอ้ื แลว 2 ครัง้ เพาะยอดออ นบนสตู รอาหาร Murashige and Skoog Medium (MS) ที่น่ึงฆาเช้ือแลว เพ่ือใหเกดิ ตน ออน เพาะเลี้ยงท่ีอณุ หภูมิ 25 ± 2 องศาเซลเซยี ส ชวงแสง 16 ช่ัวโมง/วัน ความเขม แสง 2,000 ลกั ซ เปนเวลานาน 1 เดอื น การพฒั นาใหเ กดิ ตนออ นจาํ นวนมาก นาํ ชนิ้ สว นของยอดทไี่ ดจากการเพาะเลย้ี งเน้ือเยอื่ มาเพาะบนสูตรอาหาร MS ที่มสี วนผสมของ benzyl amino purine (BAP) ความเขมขน 0.1 มิลลิกรัม/ลิตร, giberellic acid (GA) ความ เขมขน 5 มลิ ลิกรัม/ลิตร citric acid ความเขม ขน 150 มิลลิกรมั /ลิตร และเพิ่มเหล็กเทา ตวั เพอื่ ให เกดิ ยอดออ นหลายยอดและเพมิ่ ความสูงของยอดออนดว ย รวมท้งั ปอ งกันสารสนี าํ้ ตาลของเนอ้ื เย่อื ท่ปี ลอ ย ออกมาในอาหาร เพาะเลยี้ งเปนเวลา 1 เดอื น การพัฒนาใหเ กดิ ราก นาํ ยอดออ นทขี่ ยายไดจ ากสตู รอาหารทม่ี ฮี อรโมนทีเ่ หมาะสมขางตน มาพฒั นาใหเกดิ ราก โดยนํา ยอดออนมาเพาะเลีย้ งบนสูตรอาหาร MS ทม่ี ฮี อรโ มน 3 – indole acetic acid (IAA), 3 – indole butyric acid (IBA) และ naphthalene acetic acid (NAA), ความเขม ขน 0.1, 1 และ 2 มิลลิกรมั /ลิตร เพาะเลยี้ งเปน เวลา 1 เดอื นและ 1 เดอื นครง่ึ
116 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก การนําตนออ นออกปลูก นาํ ตนออ นทไ่ี ดมาปรับสภาพใหเขา กับส่ิงแวดลอมภายนอก 2 สัปดาห แลวนํามาลางเอาวนุ ออก ใหสะอาด และนําออกปลกู โดยใชว สั ดุปลูกทีม่ ี ดนิ : ข้เี ถาแกลบ : ปุย คอก เทา กับ 2 : 2 : 1 ปลูกใน เรือนเพาะชาํ รดนํา้ วนั ละ 1 ครงั้ ๆ ละ 5 นาที ใหน้าํ อตั โนมัตโิ ดยใชเคร่อื งควบคมุ การใหน าํ้ ปลูกเปน เวลา 1 – 2 เดือน เมือ่ ตนออนแข็งแรงดี สงู ประมาณ 0.5 ฟุต สามารถนําออกปลูกในแปลงปลูก หรือ ปลูกในกระถางดินในสภาพธรรมชาติ การตรวจวิเคราะหส ารสําคญั นาํ ยอดออ นปญจขันธสายพนั ธุจนี และสายพันธไุ ทยทเ่ี พาะเลย้ี งบนสูตรอาหาร MS 58 ที่มี หรอื ไมมี chitosan 0.1 % ขนาดความเขมขน 5 มลิ ลกิ รัม/ลิตร (C5) ท่ีเพาะเลีย้ งเปน เวลา 1 เดอื น มาตรวจวเิ คราะหหาเปอรเ ซน็ ตของซาโปนินรวม 5.2.3 การผลิตวตั ถดุ บิ ปญจขนั ธ การเตรยี มแปลงปลกู เตรยี มพน้ื ทโ่ี ดยทาํ การแผวถางพน้ื ที่ กําจัดวัชพชื เก็บเศษไมตอไมอ อก จากพน้ื ท่ี ถา พื้นที่ในการเพาะปลูกเปน ดินรว นซยุ ดีอยูแลว มวี ัชพชื จาํ นวนไมม าก อาจทําการไถพรวน เพยี งคร้งั เดยี ว แตถ าพน้ื ที่เพาะปลกู มีวัชพชื มากและหนา ดินแข็ง ควรทาํ การไถพรวนประมาณ 2 คร้งั คือ ไถดะ แลวตากดนิ ไวเ ปน เวลา 1 สัปดาห เพอ่ื ทําลายไขแ มลงและเช้อื โรคในดิน แลวจงึ ไถแปรอกี ครัง้ เพื่อกลบั หนา ดนิ ทําใหดินรวนซุยและละเอยี ดมากข้นึ จากนน้ั ขน้ึ แปลงหรือยกรอ ง ขดุ ดินพนู ใหเปน แปลงสงู จากผวิ ดนิ ประมาณ 30-50 เซนติเมตร แปลงทเ่ี ตรยี มมักมีรูปรา งส่เี หลย่ี มผืนผา ขนาดแปลง กวางประมาณ 1 เมตร ความยาวขนึ้ อยกู บั พืน้ ทที่ ่ีมีอยู การปลกู แบบแปลงใหญค วรแบงเปนแปลงยอย ๆ และเวนระยะหา งระหวางแปลงยอ ยเพ่อื ความสะดวกในการปฏบิ ัตดิ ูแลรกั ษาแปลงปลกู โดยเวนระยะหาง ระหวางแปลงประมาณ 50 เซนตเิ มตร และมกี ารระบายน้ําดี ไมใหม ีน้ําทว มขงั เพราะจะทําใหล ําตนเนา ตายงา ย หลงั จากน้ันก็ยอ ยดนิ ในแปลง ผสมกบั ปุยคอกหรือปุยหมักคลุกเคลาใหท ั่วกอนนาํ พืชมาปลูก การปลูก โดยทว่ั ไปพชื เจรญิ เตบิ โตดีในชวงฤดฝู น การปลูกตามฤดกู าลสามารถทาํ ไดโ ดยการ ยายกลาอายุประมาณ 45-60 วันไปปลูกในแปลงปลกู การปลกู ชิดมากเกนิ ไปมกั จะเกิดปญหาเนื่องจาก ความหนาแนน ของพชื ท่ีเตบิ โตซอนทบั กันบนแปลงปลูก และเกดิ การสะสมของโรคหรือแมลงศตั รูพชื ได งาย การปลกู นยิ มปลกู เปนแถวแบบยกรอง เพราะสะดวกในการดูแลรักษา โดยใหร ะยะหางระหวา งรอง
การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 117 ประมาณ 50 เซนติเมตร ระหวา งหลมุ 50 เซนติเมตร แตล ะหลุมกวางและลกึ ประมาณ 1 คืบ ใสปุย หมักพรอ มเชอ้ื ราสเี ขยี ว (ไตรโคเดอรม า) รองกน หลมุ ประมาณหลมุ ละ 1 กํามือ ปลูกสลับแบบฟนปลา พ้ืนที่ 1 ตารางเมตรตอ ตนกลาจํานวน 3 ตน รดน้ําใหช ุม โดยบนแปลงทป่ี ลกู มุงดว ยสแลนตส เี ขียว 70% ตลอดพืน้ ที่ (หากพืน้ ท่ีปลกู มีรม เงา หรือมแี สงราํ ไร และมีปรมิ าณแสงเปนไปตามความตอ งการ ของปญจขนั ธ กไ็ มจ ําเปนตอ งมงุ ดวยสแลนต) ในการเคลอ่ื นยา ยกลา ไปปลูกในแปลงปลกู ทีเ่ ตรียมไว จะตองทําดว ยความระมดั ระวงั อยา ให กระทบกระเทอื นมาก เพอื่ ใหก ารปลูกเปน ไปดว ยดี ตนพืชไมช ะงกั หรือเจริญเติบโตไมดี การดูแลรักษาและการจัดการ การดูแลรักษาควรเริ่มต้ังแตระยะแรกปลูกพืชลงดิน คือใน ชวงแรกตนพืชยังตั้งตัวไมด ตี องมีการใหรมเงาและบงั แสงแดด และใหค วามชนื้ สมาํ่ เสมอ (รดนํา้ เชา -เยน็ ) พรอมจัดตนใหเล้ือยอยูภายในแปลง เม่ือพืชตั้งตัวไดดีแลว การรดน้ําอาจจะลดลงถาในดินยังคงมี ความช้ืนอยู เม่ือปลูกไปสักระยะหนึ่งควรมีการใหปุย พรวนดิน ตัดกิ่งท่ีไมไดรับแสงแดดหรือก่ิงแหง ออกไปเพอื่ ใหใ บสามารถสงั เคราะหแ สงไดเ ต็มท่ี จะชวยเพ่มิ ปริมาณกง่ิ ใหมท ่ีจะแตกออกมา และชว ยให ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น การใหปุยและการพรวนดินควรทาํ ควบคูกันไป โดยใชวิธีหวานปุยรอบๆ ตน ปญจขันธชอบดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ มีความชื้นพอเหมาะ และสภาพอากาศดี จึงตองหม่ันรดน้ํา ระวงั อยาใหด นิ แหง หากปลกู บนพน้ื ท่รี าบในฤดฝู นควรมีระบบการระบายนา้ํ ทด่ี ี เพอ่ื ไมใหน าํ้ ทวมขังและ พืชเนา ตาย โดยทั่วไปพชื ทเี่ ปน เถานนั้ จะตอ งสรา งคางเอาไวใหเ ลื้อยจับ เพราะพชื ทเ่ี ปนเถาหรอื ไมเ ลอ้ื ย จะตอ งยดึ จบั ส่ิงอน่ื ๆ ไตไ ปตามธรรมชาติเสมอ ปญจขันธเปนไมเ ถา สามารถปลกู ไดท ้ังแบบขึ้นคา ง และ แบบไมขน้ึ คา ง หากปลูกแบบขนึ้ คา ง เมื่อเริ่มปลกู จะตอ งเตรยี มคา งไวเ ลยซง่ึ อาจใชราวไมไผ และใชเศษ ไมมาเสียบหรอื สอดไขว เพ่ือใหย อดพนั เล้ือยไปตง้ั แตต น ยังเลก็ และเจริญเติบโตขึ้นไปได รปู ที่ 17 เมล็ดพนั ธปุ ญจขนั ธ รปู ที่ 18 การเพาะเมลด็ โดยใชว สั ดเุ พาะทรายละเอยี ด
118 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก รูปท่ี 19 การเพาะเมลด็ โดยใชวสั ดุเพาะแกลบผสมทราย รปู ท่ี 20 การยา ยกลา ปญจขันธ รูปท่ี 21 กลาปญจขันธม ีลักษณะแตกตางกัน รปู ท่ี 22 การปลกู ปญ จขนั ธในโรงเรือน รูปที่ 23 การเจรญิ เตบิ โตและการแตกกง่ิ แขนง ของปญ จขนั ธ
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 119 รูปท่ี 24 ตน ออ นปญจขนั ธทไ่ี ดจ ากการเพาะยอดออนบนสตู รอาหาร MS AB รูปที่ 25 แสดงรากของยอดออ นปญจขันธท่ีเพาะเลย้ี งบนสูตรอาหาร MS ทม่ี ฮี อรโมน IAA ความเขม ขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. A = IAA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. เพาะเล้ยี งเปนเวลา 1 เดือน B = IAA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล เพาะเลีย้ งเปน เวลา 1 เดือนครง่ึ AB รูปที่ 26 แสดงรากของยอดออนปญจขนั ธท ่ีเพาะเลีย้ งบนสูตรอาหาร MS ท่มี ฮี อรโมน IBA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. A = IBA ความเขม ขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. เพาะเลย้ี งเปน เวลา 1 เดอื น B = IBA ความเขม ขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. เพาะเลยี้ งเปน เวลา 1 เดอื นครงึ่
120 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก AB รูปที่ 27 แสดงรากของยอดออ นปญจขนั ธท ีเ่ พาะเลีย้ งบนอาหารสูตร MS ทีม่ ีฮอรโมน NAA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. A = NAA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. เพาะเล้ียงเปน เวลา 1 เดือน B = NAA ความเขม ขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. เพาะเลยี้ งเปนเวลา 1 เดือนคร่ึง A BC DE รปู ท่ี 28 แสดงความยาวยอดและรากของยอดออ นปญ จขนั ธท เ่ี พาะเลี้ยงบน MS ทีม่ ฮี อรโมน IAA, IBA, NAA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. เพาะเลย้ี งเปนเวลา 1 เดอื นคร่งึ A = IAA ความเขม ขน 0.1 มก./ล. D = IBA ความเขมชน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. B = IAA ความเขม ขน 1 มก./ล. E = NAA ความเขมขน 0.1, 1 และ 2 มก./ล. C = IAA ความเขม ขน 2 มก./ล.
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 121 รูปที่ 29 การเตรยี มแปลงปลกู ปญจขันธ รปู ท่ี 30 การปลูกปญจขันธเปนแถวแบบยกรอง การปอ งกนั กําจดั โรคและแมลง ควรดูแลเอาใจใสก าํ จัดวชั พชื อยา งสมาํ่ เสมอ โดยเฉพาะใน ระยะแรกทีพ่ ชื เลอ้ื ยยงั ไมคลุมแปลง ควรใชมอื ถอนวชั พชื จะดีกวา ใชจ อบดายหญา เพราะอาจจะทําความ เสียหายใหกับพชื ทเี่ ราปลูกได โรคพืชทีพ่ บของปญจขนั ธ ไดแ ก โรคราแปง ขาว โรคใบจดุ และโรคดางขาว โรคราแปง ขาว เกิดจากเช้อื Sphaerotheca cucurbitae จะทําลายแผน ใบ กานใบและลํา ตน ทาํ ใหแ ผน ใบเห่ียวแหง ลาํ ตนโทรมเร็วและออ นแอ และจะทําใหในปถ ดั ไปอัตราการงอกจะลดลง คุณภาพของสมนุ ไพรตาํ่ ลงดว ย รวมท้งั ปรมิ าณผลผลิตลดลงรอ ยละ 20-30 การปอ งกันคอื ใหเ พม่ิ การ ดแู ลรกั ษาใหมากขึ้น เลือกพ้ืนทป่ี ลูกปญ จขนั ธใ หหา งจากพื้นท่ีปลกู พชื ประเภทฟกแฟง แตงกวา หรอื เลือกพื้นท่ที ไ่ี มเคยปลกู พชื เหลา นี้มากอ น ควบคุมใหพ ืน้ ท่ีปลกู มีอากาศถายเทไดดีและไมอ บั แสง นอกจาก
122 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก นี้ตองรบี ถอนหรือทาํ ลายตนทีเ่ ปน โรคทันที และเมอื่ เกบ็ เก่ยี วผลผลิตแลว ใหร บี ทาํ ความสะอาดแปลง ปลกู โดยกวาดเศษไมและลาํ ตนท่ีหลน อยใู หหมด นําไปเผาทาํ ลายท้งิ หรือนําไปทําปยุ หมกั โรคใบจุด เกิดจากเชือ้ Colletotrichum capric (Syd.) Butl.& Bisby สาเหตมุ าจากน้ํา ทว มขังหรือการใหน้าํ มากเกนิ ไป หรอื เกดิ จากการปลูกซา้ํ ท่ีเดิมหลาย ๆ ครัง้ ทําใหเ กดิ การสะสมของเช้อื โรค โรคใบจุดจะทําลายใบ หากเปน มากใบจะเหีย่ วแหง ตาย การปองกนั กาํ จดั โรคดังกลา วเม่อื เกดิ แลว รกั ษายาก ในเบ้อื งตน ควรถอนและทําลาย และควรปองกันกอ นปลกู โดยการหมนุ เวียนแปลงปลกู และ ใชต นพนั ธุท ี่ปราศจากโรค โรคดางขาว เกดิ จากเชอื้ Sclerotium rolfsii จะทําลายบริเวณโคนตนและขยายไปยงั ใบและ สว นราก หากมกี ารระบาดอยางรนุ แรง จะทําใหล ําตนเหี่ยวแหงตาย การปองกันใหใ ชว ิธเี ดยี วกบั โรครา แปง ขาว แมลงศัตรูพืชของปญ จขันธ ไดแก แมลงเตา ทอง ตก๊ั แตน ดว งปกแขง็ ตัวหนอน หอยทาก แมลงท่เี ปนศัตรูพืชเหลานีม้ องดูไดง า ย เพราะจะทิ้งรอ งรอยเอาไวเสมอ ทาํ ใหใบแหวง โหวไ ป สงั เกตเหน็ ไดง า ยมาก การปองกนั กาํ จดั ในเบือ้ งตนใหเก็บทําลายทง้ิ หรอื โรยดวยผงดนิ ขาวหรอื ผงกากถวั่ รูปท่ี 31 แมลงศัตรูพชื ของปญจขนั ธ การเก็บเก่ียว ตองทราบสวนที่ใชที่ถูกตอง อายุของพืช ชวงเวลาเก็บเกี่ยวและวิธีเก็บเก่ียว โดยท่ัวไปควรเร่ิมเก็บเก่ียวเม่ือพืชเจริญเติบโตเต็มท่ีหรือสมบูรณเต็มที่ มักใชระยะท่ีพืชออกดอกเปน เกณฑวาพืชนั้นเจริญเติบโตเต็มที่ และเนื่องจากปจจัยทางกายภาพมีอิทธิพลตอการเจริญเติบโตของพืช เปน ผลใหปญจขนั ธใ นแตล ะพนื้ ที่เจรญิ เติบโตเต็มทีไ่ มพรอมกัน ดังนน้ั การเก็บเกยี่ วในแตล ะพน้ื ทอี่ าจมี
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 123 อายุของพชื ไมเ ทา กัน จากการศึกษาเบ้ืองตนพบวา หากขอมูลทางกายภาพในแตละพืน้ ที่ ไดแ ก ลกั ษณะ ดนิ ความสูงจากระดับนํ้าทะเล ความช้ืนสมั พัทธ ปรมิ าณแสง อุณหภมู ิตํ่าสุด-สงู สุด ปริมาณนํา้ ฝน เปนไปตามลักษณะเฉพาะของปญจขันธดังท่ีไดกลาวมาแลว และพันธุพืชที่นาํ มาปลูกมีคุณภาพดี จะ สามารถเก็บเกี่ยวผลผลติ ไดเ ม่ือพชื มีอายปุ ระมาณ 75-90 วัน โดยตดั สวนเหนอื ดนิ ใหเหลอื ลาํ ตน สว นที่ ตอ ตดิ กับลาํ ตนสว นทอ่ี ยใู ตดนิ ประมาณ 1-3 คบื เพื่อจะไดเ จริญเตบิ โตตอไป ท้งั นค้ี วรเพิม่ ปุยอินทรีย ในแปลงปลกู หลงั การเกบ็ เกี่ยวทกุ ครั้ง ซึง่ สามารถเกบ็ เกย่ี วผลผลติ ไดป ล ะ 3-4 คร้ัง ขนึ้ อยูกับพืน้ ที่ ปลูก หลังจากนน้ั ควรพลกิ ฟน พนื้ ทีใ่ หม ปรับปรุงสภาพดินและปลูกพชื รุนตอ ไป การปฏบิ ตั ิหลังการเก็บเกยี่ ว คดั เลือกเอาดิน ทราย เศษหนิ สวนของพชื อน่ื ท่ีปะปนมาหรอื สวนท่ไี มใ ชอ อกใหหมด นําไปลา งดวยนํ้าสะอาด 2-3 คร้งั ในภาชนะที่สะอาด ขณะลา งตองไมถ ูหรอื ขย้ี สมุนไพรแรงๆ นาํ ขึน้ ใสภ าชนะท่มี ตี ะแกรงเพือ่ ใหส ะเด็ดนา้ํ จากนั้นนาํ สมนุ ไพรไปสบั หรือตัดตามขนาดท่ี ตองการ โดยใชอ ปุ กรณท่ีสะอาด เชน มดี กรรไกร เปน ตน นาํ ไปผึง่ ในท่รี ม ไมอ ับชืน้ บนตะแกรงท่ี สะอาด และทาํ แหงโดยการตากแดด ซง่ึ ควรคลุมภาชนะดว ยผาขาวบางเพือ่ ปองกันฝนุ ละอองและกนั การปลวิ ของชิ้นสวนสมุนไพร ตากจนแหงสนทิ หรือนําเขา อบในตูอ บรอ นไฟฟา ที่มีพัดลมระบายอากาศ ใช อณุ หภูมิ 40-50 องศาเซลเซียส ควรเกลย่ี สมนุ ไพรใหแผบ าง ๆ บนภาชนะ หม่นั กลับสมนุ ไพรตลอดเวลา เมื่อสมนุ ไพรแหง สนทิ แลว ใหเ กบ็ ในถุงพลาสตกิ รดั ปากถงุ ใหส นทิ หรอื เก็บในภาชนะทส่ี ะอาด และไม บรรจุจนแนนเกินไป เขียนชอื่ ชนิดสมุนไพร แหลง ปลกู แปลงที่เก็บ วันทีเ่ ก็บ ผปู ลกู หรอื ผผู ลิตบนฉลาก ท่ปี ด ไวใหชดั เจน การเกบ็ รักษา ปจจยั สาํ คัญตอ การเก็บรักษาสมุนไพรแหง คือ อณุ หภมู ิ โดยทวั่ ไปควรเก็บ สมนุ ไพรแหง ไวท ี่อุณหภูมิตา่ํ กวา 25 องศาเซลเซยี ส สมนุ ไพรจะมคี วามคงตัวดีขึน้ ถาเกบ็ ในสภาพทง้ั ชนิ้ ยังไมบด หากเกบ็ ในสภาพผงจะเรง กระบวนการเสือ่ มทางเคมี เพราะพน้ื ทผี่ วิ สมั ผสั กับอากาศภายนอก มาก และความชน้ื จะทําใหเ กดิ การสลายตวั ของสาร เกิดเชือ้ ราและแบคทีเรีย การเกบ็ รกั ษาสมุนไพรควร เก็บในท่อี ณุ หภูมิต่าํ หรือในที่มอี ากาศถา ยเทไดส ะดวกและสะอาด ปลอดภยั จากการรบกวนของแมลงและ สัตวต า ง ๆ และควรนาํ ออกตากแดดหรืออบทกุ 2-3 เดอื น
124 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก รปู ที่ 32 การปลกู ปญจขนั ธแบบขน้ึ คา ง รปู ที่ 33 การปลูกปญ จขนั ธแ บบไมขึน้ คาง รูปท่ี 34 การปฏบิ ัติหลงั การเกบ็ เก่ียว
การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 125 5.3 การผลติ วัตถุดบิ โกฐจฬุ าลําพา3 5.3.1 การขยายพันธโุ กฐจฬุ าลําพา โกฐจุฬาลําพาขยายพนั ธไุ ดโดยการเพาะเมลด็ การเพาะเมล็ด เพาะเมลด็ พนั ธุในถาดเพาะใหวสั ดุเพาะมีสวนผสมของดิน ทรายหยาบ และ ปุยคอก ปรับสภาพดินใหม คี าความเปนกรด-ดา งระหวา ง 6-7 กอนนํามาใชเ ปนวัสดุเพาะอยางนอ ย 2 เดือน หรอื ใชพีท (peat) เปน วัสดุเพาะ เมล็ดจะงอกหลงั เพาะ 5 วนั เมอ่ื เมล็ดเรมิ่ งอก 50-55 วนั กลา จะมใี บจริง 10 ใบ ยา ยกลา จากถาดเพาะลงถุงชาํ เมอ่ื กลามใี บจริงคแู รกคล่บี าน 5.3.2 การผลิตวัตถุดิบโกฐจุฬาลาํ พา การเตรยี มแปลงปลูก โดยไถพรวนดินท้ิงไว 1 เดอื น คราดเกบ็ เศษวัชพืชออกจากแปลง ไถ พรวนอกี 1-2 ครง้ั เพอ่ื ลดการระบาดของศัตรพู ชื และกําจดั วัชพชื ทยี่ ังตกคา งอยูในดนิ ปรบั สภาพดนิ ตามคําแนะนาํ กอนปลูกโดยใชป ยุ อินทรยี (ที่ไดมาตรฐานสนิ คาประเภทปจ จัยการผลติ ทางการเกษตรที่ รับรองโดยกรมพัฒนาทีด่ ิน) หวานใหทั่วแปลงกอ นปลกู 7 วนั รปู ท่ี 35 เมล็ดโกฐจุฬาลาํ พา รปู ที่ 36 กลาโกฐจุฬาลําพามใี บจรงิ 10 ใบ การปลูก ทําโดยยายกลา ท่มี อี ายุหลังเมลด็ งอกประมาณ 40-60 วัน ความสูงประมาณ 6-7 เซนตเิ มตร ไปปลูกในแปลงปลกู โดยใหร ะยะปลูกระหวางตน 1.5 เมตร ระหวางแถว 2 เมตร ขดุ หลุม ปลกู ขนาด 20 x 20 x 20 เซนติเมตร คลกุ เคลา กนหลมุ ใหด ินรว นซุย โดยสงู จากกนหลมุ ประมาณ 10 เซนตเิ มตร ปลูก 1 ตน ตอหลุม คดั กลาทแี่ ขง็ แรง สมบูรณและมีขนาดสมาํ่ เสมอ วางกลาท่กี น หลุม กลบ ดินทีเ่ หลอื ลงในหลุม กดดินบรเิ วณโคนตน พอแนน รดนา้ํ ใหช มุ
126 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก รูปที่ 37 การยายกลา โกฐจฬุ าลําพาลงแปลงปลูก รูปที่ 38 แปลงปลูกโกฐจุฬาลาํ พาทรงพุมหนา รูปท่ี 39 แปลงปลูกโกฐจุฬาลาํ พาทรงพุมบาง
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 127 12 12 รูปที่ 40 ลักษณะใบประกอบของโกฐจุฬาลําพา รูปท่ี 41 ลักษณะใบประกอบของโกฐจุฬาลําพา ตนทรงพุมบาง ตนทรงพุมหนา 1 ใบประกอบมีขอถ่ี 1 กานใบยาว 2 ใบประกอบมีขอหาง 2 กานใบส้ัน การดูแลรักษาและการจัดการ ใสปุยคอกหรือปุยหมักหลังปลูก 2 เดือน อัตราการใสปุยตาม ผลวิเคราะหดิน และนาํ้ อยางสมํา่ เสมอ ปริมาณนํา้ ท่ีให สังเกตดินในแปลงเปยกช้ืน แฉะเล็กนอย จึง หยุดให ควรใหนา้ํ ทันทีหลังปลูกและใหปุย รปู ท่ี 42 ลักษณะตน ท่เี ปนโรคเหีย่ วเหลือง รูปที่ 43 เช้อื รา Sclerotium sp. การปองกันและกาํ จัดแมลง ควรดูแลเอาใจใสกาํ จัดวัชพืชอยางสม่าํ เสมอ พนสารปองกัน กําจัดแมลงตามความจําเปน และเหมาะสม ควรคิดกบั ดักกาวเหนียวสเี หลอื งเพื่อการพยากรณแ ละลด ปรมิ าณตัวเตม็ วัย โรคพืชท่พี บบอย คือ โรคเห่ียวเหลือง ซง่ึ สามารถปอ งกนั ไดโ ดยการปรบั pH ของดิน ใหอ ยใู นชว ง 6-6.9
128 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก การเก็บเกี่ยว เก็บเก่ียวผลผลิตในชวงเชาระยะออกดอก โดยใชมีดคมตัดสวนเหนือดินหาง จากโคนตน 10 เซนติเมตร นาํ ผลผลิตมาผ่ึงใหแหง โดยมีวัสดุรองรับสวนใบและดอกแหงหลุดจาก ก่ิงแขนงของลําตน การปฏบิ ัติหลังการเก็บเกยี่ ว สถานท่ีวางผลผลิตเพ่อื ทําใหแ หง หรอื เก็บรกั ษาผลผลติ ตองมอี ากาศ ถา ยเทดี ปลอดภัยตอ การทําลายของแมลงศัตรพู ืช ไดแก มดงาม แมลงสาบและหนู และอยหู างจากสิ่ง ปฏกิ ูลเพอื่ ปอ งกนั การปนเปอนเชอื้ โรค การเกบ็ รกั ษา ปจจยั สําคัญตอ การเกบ็ รกั ษาสมุนไพรแหง คอื อณุ หภูมิ โดยทวั่ ไปควรเก็บ สมนุ ไพรแหงไวท อี่ ุณหภูมิตํา่ กวา 25 องศาเซลเซยี ส สมุนไพรจะมีความคงตวั ดขี ้นึ ถา เกบ็ ในสภาพทงั้ ชนิ้ ยังไมบ ด หากเก็บในสภาพผงจะเรง กระบวนการเส่ือมทางเคมี เพราะพนื้ ทผี่ ิวสัมผสั กบั อากาศภายนอก มาก และความชน้ื จะทําใหเ กิดการสลายตวั ของสาร เกิดเช้อื ราและแบคทีเรยี การเก็บรกั ษาสมนุ ไพรควร เกบ็ ในทีอ่ ณุ หภูมิตา่ํ หรือในท่ีมีอากาศถา ยเทไดส ะดวกและสะอาด ปลอดภัยจากการรบกวนของแมลงและ สตั วตาง ๆ และควรนําออกตากแดดหรอื อบทุก 2-3 เดอื น 5.4 การศกึ ษาเปรยี บเทียบคณุ ภาพของปญ จขนั ธพ ันธุพน้ื เมืองและพันธุจนี 4 วิธีดาํ เนนิ การวิจัย การเตรยี มแปลงสาธิต เตรียมพนื้ ท่ีเพาะปลกู แบบแปลงสาธติ โดยทําการไถพรวน เกบ็ ซากพชื ปรับสภาพดนิ ใหเหมาะสม ตอการเจริญเติบโตของพืช จากนน้ั ขน้ึ แปลงปลูกใหม ีความกวา งประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร และมรี องเดินระหวางแปลงประมาณ 0.5 เมตร การเพาะปลกู แบบแปลงสาธติ ชนิด ตรวจสอบชนดิ พชื ตามหลักพฤกษอนกุ รมวิธาน พนั ธพุ ืช 1. ปญจขนั ธพนั ธุพ ้ืนเมอื ง ใชพ นั ธุสนั กาํ แพง โดยคัดเลอื กตนพนั ธทุ มี่ คี ุณภาพดแี ละมปี ริมาณ สารสาํ คัญสูง การขยายพนั ธุ ใชว ิธีปก ชาํ โดยใชท อ นพนั ธจุ ากลาํ ตน 2. ปญ จขันธพ นั ธจุ นี ไดร บั ตนพนั ธจุ ากเขตปกครองชนชาติไทสบิ สองปนนา มณฑลยนู นาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี การขยายพนั ธุ ใชว ธิ ปี ก ชาํ โดยใชท อ นพนั ธจุ ากลําตน
การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 129 พื้นทเี่ ปา หมาย 1. สวนปา หลวงสนั กําแพง จงั หวัดเชียงใหม 2. สวนปาบานหลวง จังหวัดเชยี งใหม 3. สวนปาแมห อพระ จังหวัดเชยี งใหม 4. สวนปาแมแ จม จงั หวัดเชยี งใหม 5. สวนปาแมอคุ อ จงั หวัดเชียงใหม การปลูก ปลูกพรอ มกนั และปฏิบัตเิ หมือนกนั ทุกสวนปา โดยพันธพุ ื้นเมอื งเร่มิ ปลกู เมอื่ วนั ที่ 1 มถิ นุ ายน 2547 (เตรียมตนกลา วันท่ี 1 เมษายน 2547) และพนั ธุจนี เริ่มปลกู เมอื่ วนั ท่ี 10 กรกฎาคม 2547 (เตรียมตนกลาวันที่ 10 พฤษภาคม 2547) ใชต นกลาอายุ 2 เดือน ปลกู ในแปลงยอยทเี่ ตรยี มไวข นาด 10 ตารางเมตร จํานวนสวนปาละ 4 แปลงยอย พันธุพื้นเมืองและพันธจุ ีนชนดิ ละ 2 แปลงยอ ย ปลกู แบบยกรอ ง ระยะหา งระหวางรอ ง 50 เซนติเมตร ระหวางหลุม 50 เซนตเิ มตร แตล ะหลมุ กวางและลกึ ประมาณ 1 คืบ ใสป ุยหมักหรอื ปยุ คอกพรอมเชือ้ ราสีเขยี ว รองกน หลุมประมาณหลุมละ 1 กํามอื ปลกู สลบั แบบฟนปลา จาํ นวน 30 ตน ตอแปลงยอ ย รดน้าํ ใหชุม โดยบนแปลงทปี่ ลูกมุงดวยสแลนตสีเขียว 70% ตลอดพ้ืนท่ี หมายเหตุ : พนั ธจุ ีนปลกู ทีหลังกวา พันธพุ ืน้ เมือง เนื่องจากตอ งรอตน ปญจขนั ธจากสาธารณรฐั ประชาชนจีน ในทางปฏบิ ัตกิ ารศึกษาเปรยี บเทียบควรปลกู พรอ มกนั แตการศกึ ษาคร้ังนีเ้ ปนการศึกษานํา รอ ง แมว าปญ จขันธท ง้ั สองพนั ธุจะปลูกไมพรอ มกันกต็ าม แตขอ มูลทไ่ี ดจ ะเปนประโยชนตอการวจิ ัยตอ ยอด การดูแลรกั ษาและการจัดการ พยายามรักษาความชุมชื้นของแปลงใหสมํา่ เสมอ พรอมจดั ตนใหเลอื้ ยอยภู ายในแปลง ใหปุย อนิ ทรยี ปยุ หมักเปน ระยะ ๆ ในระยะแรกท่ีพืชเล้ือยยังไมคลมุ แปลง ใหถ อนวชั พชื ชว ยดว ย การเกบ็ เกย่ี ว พันธพุ ืน้ เมืองเก็บเกี่ยวเมื่อพืชมีอายปุ ระมาณ 90-160 วัน สว นพันธุจนี เก็บเกี่ยวเมอ่ื พืชมีอายุ ประมาณ 75-120 วันโดยตดั สว นเหนือดินทง้ั หมดใหเ หลือลําตน สว นท่ีตอ ติดกบั ลาํ ตนสวนทอ่ี ยูใตด นิ ประมาณ 1-3 คบื เพอื่ จะไดเ จริญเตบิ โตตอ ไป หมายเหตุ : พันธพุ น้ื เมืองและพันธุจนี ในพนื้ ทเี่ ปาหมายแมจะเก็บเกยี่ วทีอ่ ายุพืชตา งกัน แต การเก็บเกยี่ วจะดาํ เนนิ การพรอมกัน
130 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก การแปรรูปหลังการเกบ็ เกย่ี ว คัดเลือกเอาดนิ ทราย เศษหนิ สวนของพืชอน่ื ทีป่ ะปนมาหรือสว นท่ีไมใ ชทาํ ยาออกใหหมด นําไปลา งดว ยนา้ํ สะอาด 2-3 ครั้ง ในภาชนะทส่ี ะอาด ขณะลา งตองไมถหู รือขย้สี มนุ ไพรแรง ๆ นําขึน้ ใส ภาชนะทีม่ ตี ะแกรงเพื่อใหสะเด็ดนํา้ จากนัน้ นําสมุนไพรไปสบั หรือตดั ตามขนาดทีต่ องการโดยใชอุปกรณ ทสี่ ะอาด เชน มดี กรรไกร เปนตน นําไปผงึ่ ในท่ีรม ไมอ ับชื้น บนตะแกรงทส่ี ะอาด นาํ เขาอบในตอู บรอ น ไฟฟาทีม่ พี ดั ลมระบายอากาศ ใชอณุ หภมู ิ 40-50 องศาเซลเซียส ควรเกลี่ยใหแผบาง ๆ บนภาชนะ หม่นั กลับสมนุ ไพรตลอดเวลาเพอ่ื ปอ งกนั การเกิดความชื้นจากเช้อื รา เมอื่ สมุนไพรแหงสนิทแลว ใหเกบ็ ใน ถงุ รดั ปากถุงใหส นิท หรือเก็บในภาชนะที่สะอาด และไมบ รรจจุ นแนนเกนิ ไป เขียนชอื่ ชนดิ สมุนไพร แหลง ปลูก แปลงทเ่ี กบ็ วนั ท่เี ก็บ ผปู ลกู หรอื ผูผลติ บนฉลากท่ปี ดไวใ หช ัดเจน การเกบ็ รักษาใหเกบ็ ในท่อี ุณหภมู ิ ต่ําหรอื ในทม่ี ีอากาศถา ยเทไดส ะดวกและ สะอาด ปลอดภัยจากการรบกวนของแมลงและสัตวต า ง ๆ ปริมาณผลผลิต ปริมาณผลผลิตของปญจขันธพันธุพื้นเมืองและพันธุจีนที่ไดจากการปลูกแบบแปลงสาธิตใน พืน้ ที่เปาหมาย โดยปลูกพรอ มกันและปฏิบตั เิ หมอื นกนั ทกุ สวนปา คํานวณผลผลติ สมุนไพรแหงตอพ้นื ที่ เพาะปลกู (กิโลกรมั /ไร) การประเมนิ คณุ ภาพของวัตถดุ ิบสมนุ ไพร ตวั อยางสมุนไพรแหงจากแหลง ปลูกสว นหนึง่ นาํ สงสถาบันวิจยั สมุนไพร กรมวทิ ยาศาสตรก าร แพทย กระทรวงสาธารณสขุ เพอ่ื ตรวจวิเคราะหค ณุ ภาพทางเคมี และอกี สว นหนง่ึ นาํ สง สาํ นักวทิ ยาศาสตร เพื่อการพัฒนาท่ีดิน กรมพัฒนาท่ีดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ เพื่อตรวจการปนเปอนดวยสารหนู และโลหะหนกั
การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 131 ผลการวจิ ัย การเตรยี มแปลงสาธติ เตรียมพ้ืนที่เพาะปลูกแบบแปลงสาธติ โดยทําการไถพรวน เก็บซากพืชปรับสภาพดินใหเหมาะสม ตอการเจริญเติบโตของพืช จากนนั้ ขึ้นแปลงปลกู ใหม คี วามกวา งประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร และมรี อ งเดนิ ระหวางแปลงประมาณ0.5 เมตร (รปู ท่ี 44) จากตารางท่ี 22 แสดงใหเ ห็นวา เนอื้ ดินทเี่ หมาะสมสาํ หรบั ปลูกปญ จขนั ธ คอื ดินในสวนปาบาน หลวงและสวนปา หลวงสันกําแพง สวนสวนปาแมแจม สวนปาแมหอพระและสวนปาแมอคุ อ ตอ งมกี าร ปรับปรงุ การเพ่ิมอนิ ทรียวัตถใุ นดนิ เปน วิธมี าตรฐานในการปรับขอ ดอยอนั เนื่องมาจากมเี น้อื หยาบหรือ ละเอียดเกนิ ไป อนิ ทรยี วัตถนุ อกจากจะสลายตวั ใหธาตุอาหารพชื แลว การเพ่มิ ระดบั วัตถุในดนิ ทรายจะ ทาํ ใหความสามารถอมุ นํ้าของดินเพมิ่ ขนึ้ ในขณะทใี่ นดินเหนยี วจะทําใหด ินโปรง การระบายนํ้าและอากาศ ดีขนึ้ การเพาะปลูก ชนิด ตรวจสอบชนิดพชื อยา งถูกตอ งตามหลักพฤกษอนุกรมวิธาน พบวา คอื Gynostemma pentaphyllum (Thunb.) Makino วงศ Cucurbitaceae พนั ธุพชื 1. ปญจขันธพ นั ธุพ ืน้ เมือง ตรวจพบปริมาณสารสกัดชนดิ หยาบของซาโปนินรวมรอยละ 12.77 2. ปญ จขนั ธพ ันธจุ ีน ตรวจพบปรมิ าณสารสกัดชนดิ หยาบของซาโปนนิ รวมรอยละ 13.32 การปลูก การปลูกปญจขนั ธแบบแปลงสาธติ ในพ้ืนท่ีเปา หมาย แสดงในรปู ที่ 45 การเก็บเกยี่ วและการแปรรูปหลงั การเก็บเก่ียว การเก็บเก่ียวปญ จขนั ธและการแปรรูปหลังการเกบ็ เก่ียวในพนื้ ทเี่ ปาหมาย แสดงในรปู ที่ 34
132 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก รูปที่ 44 การเตรียมพน้ื ทเี่ พาะปลูกในสวนปาเปา หมาย รูปท่ี 45 การเพาะปลกู ปญ จขนั ธแ บบแปลงสาธติ ในพน้ื ที่เปาหมาย ปรมิ าณผลผลิต ผลการทดลองในเบอ้ื งตนพบวา ปรมิ าณผลผลิตเฉลี่ยของปญ จขันธพนั ธพุ ืน้ เมอื งและพนั ธุจนี จากพืน้ ที่เปาหมาย เทากับ 177 และ 236 กโิ ลกรมั แหง/ไร ตามลาํ ดับ นอกจากน้ปี ญ จขนั ธพันธจุ นี ให ผลผลิตสงู กวา พันธพุ ้นื เมอื งรอ ยละ 33.33
การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 133 ตารางที่ 22 แสดงคณุ ภาพดนิ และคุณภาพนา้ํ ในพื้นทเ่ี ปา หมายปลูกปญ จขันธ ลําดบั ผลวิเคราะห สถานท่ี คุณภาพดนิ คณุ ภาพน้ํา ที่ 1 สวนปาหลวงสันกาํ แพง เนอื้ ดินเปนดินรวนปนทราย ดนิ เปน เหมาะสมสําหรับการใช จงั หวัดเชยี งใหม กรดแก แตส ามารถปรบั ได ความ รดตนไม ไมมีโลหะหนัก อุดมสมบูรณอ ยใู นระดบั สงู ปนเปอน 2 สวนปาบา นหลวง เนอ้ื ดนิ เปน ดินรวนปนทราย ความ เหมาะสมสาํ หรับการใช จังหวัดเชยี งใหม อุดมสมบูรณอ ยูในระดับสูง ดนิ เปน รดตนไม ไมมโี ลหะหนกั กรดเล็กนอย-ปานกลาง ไมมีการ ปนเปอ น 3 สวนปา แมหอพระ ปนเปอ นโลหะหนกั เหมาะสมสาํ หรับการใช จังหวดั เชียงใหม รดตนไม ไมม ีโลหะหนัก เนอ้ื ดินตอ งมกี ารจัดการโดยเพ่มิ อินทรียวตั ถุ ดนิ เปนกรดเลก็ นอย- ปานกลาง ความอุดมสมบูรณอยใู น ปนเปอน ระดับสงู ทองแดงและสงั กะสีอยใู น ระดบั วิกฤติ ถา ตองการปลกู ตองมี 4 สวนปา แมแจม การศึกษาอยา งละเอยี ด จังหวัดเชยี งใหม เน้ือดนิ สามารถจดั การได ดนิ เปน เหมาะสมสาํ หรับการใช กลาง-ดางออ น ความอุดมสมบูรณอ ยู รดตนไม ไมมีโลหะหนัก ในระดบั สูง การปนเปอนของตะกว่ั ปนเปอ น และทองแดงอยใู นระดับวิกฤติ ตอ ง 5 สวนปา แมอคุ อ ศึกษารายละเอียดเพม่ิ จงั หวดั แมฮ อ งสอน เนอ้ื ดนิ ตองปรับปรุง ดินเปนกรดปาน เหมาะสมสาํ หรับการใช กลาง ความอุดมสมบรู ณต า่ํ -ปาน รดตนไม ไมมโี ลหะหนัก กลาง คาสังกะสอี ยใู นระดับวิกฤติ ปนเปอ น หมายเหตุ ระดับวกิ ฤตของโลหะหนกั ในดนิ หมายถงึ ปริมาณทงั้ หมดของธาตุท่มี ีอยใู นดนิ ทจ่ี ะทาํ ให เกิดพิษ
134 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก การประเมนิ คณุ ภาพของวัตถดุ ิบสมนุ ไพร ผลการตรวจเอกลกั ษณทางเคมีของวัตถุดิบปญ จขนั ธพ นั ธพุ นื้ เมอื งและพนั ธุจ ีน พบวาท้ังสอง พันธุม สี ารสาํ คัญประเภทซาโปนนิ เหมือนกัน ผลวเิ คราะหป ริมาณความชนื้ และปรมิ าณซาโปนินรวมของ วัตถดุ ิบสมุนไพร แสดงในตารางท่ี 23 สาํ หรบั ผลวิเคราะหการปนเปอ นดวยสารหนูและโลหะหนักของ วัตถุดิบสมุนไพรจากพนื้ ท่เี ปาหมาย แสดงในตารางที่ 24 การผลิตวัตถดุ บิ สมนุ ไพรตามแนวทางเกษตรดที เ่ี หมาะสม (GAP) น้นั มีความสําคัญและ จําเปนย่งิ ในตลาดโลกปจ จบุ ัน เพราะแนวโนม การตลาดของผูบรโิ ภคเขาสยู ุคกระแสบรโิ ภคอาหารปลอดภยั (food safety) และยุคการคาเสรีทีม่ ีมาตรการดา นสุขอนามยั และสขุ อนามยั พืช ตา งประเทศเพิ่มความ เขม งวดกับการใชสารเคมีมากขึน้ การผลิตวตั ถดุ บิ สมนุ ไพรตามแนวทาง GAP นนั้ เปนการประกัน คุณภาพของวตั ถดุ ิบและสนับสนุนการจัดทํามาตรฐานการผลติ วตั ถดุ บิ สมุนไพรในประเทศไทย ปจจุบนั ยังไมมีสมุนไพรชนิดใดที่ไดรับการรับรอง GAP จากหนวยงานภาครัฐท่ีรับผิดชอบ คณะผูวิจัยได ดาํ เนนิ การศกึ ษาการผลติ วัตถุดบิ ปญจขนั ธต ามแนวทาง GAP เพอ่ื ใหเ ปน สมุนไพรนํารอ งในการศกึ ษา วิจยั สมนุ ไพรไทยชนดิ อ่นื ๆ ตอ ไป โดยทวั่ ไปปญ จขนั ธจะเก็บเกยี่ วผลผลติ ไดห ลงั จากพชื มีอายุปลกู ประมาณ 6 เดือน และเมื่อสวนของพชื ทีแ่ ตกใหมเ ติบโตเต็มที่ประมาณ 3-6 เดือน กจ็ ะสามารถทยอย เก็บในรอบตอไปไดอยางตอเนื่องตลอดป มรี ายงานวาปจ จยั ทมี่ ีผลตอปริมาณสารสําคัญประเภทซาโปนนิ ในปญจขันธ คือ ชนิด พนั ธุ แหลง ปลกู และชว งเวลาเกบ็ เกีย่ วผลผลิต
การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 135 ตารางที่ 23 แสดงผลวิเคราะหคุณภาพทางเคมขี องวตั ถดุ บิ สมุนไพรจากพน้ื ทีเ่ ปา หมาย ลาํ ดับท่ี สถานทปี่ ลูก อายุ (วนั ) ปริมาณ (%) 1 ปญจขนั ธพ ันธุพื้นเมือง 116 ความช้ืน ซาโปนินรวม 113 สวนปา หลวงสนั กําแพง จงั หวดั เชยี งใหม 117 6.89 15.79 สวนปาบานหลวง จังหวดั เชยี งใหม 117 7.53 12.41 สวนปาแมห อพระ จงั หวัดเชยี งใหม 113 7.89 14.22 สวนปา แมแ จม จังหวดั เชียงใหม 155 7.77 7.55 สวนปา แมอคุ อ จังหวัดแมฮ องสอน 156 8.80 16.42 สวนปาหลวงสันกําแพง จงั หวัดเชียงใหม 156 6.35 7.58 สวนปา บา นหลวง จังหวดั เชียงใหม 156 7.11 7.71 สวนปา แมหอพระ จงั หวดั เชียงใหม 152 6.15 7.84 สวนปาแมแจม จังหวดั เชียงใหม 6.72 8.75 สวนปาแมอ คุ อ จงั หวัดแมฮ องสอน 77 6.51 13.74 78 2 ปญ จขันธพนั ธจุ ีน 76 7.37 11.49 78 7.67 11.25 สวนปาหลวงสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม 76 7.00 18.54 สวนปาบา นหลวง จงั หวัดเชียงใหม 116 7.18 10.45 สวนปา แมห อพระ จังหวัดเชียงใหม 117 7.18 16.45 สวนปา แมแ จม จังหวดั เชยี งใหม 116 7.45 7.77 สวนปา แมอคุ อ จังหวดั แมฮองสอน 117 6.91 8.09 สวนปา หลวงสนั กําแพง จงั หวัดเชยี งใหม 115 7.00 9.66 สวนปา บา นหลวง จังหวดั เชียงใหม 6.44 6.39 สวนปา แมหอพระ จงั หวัดเชียงใหม 7.32 11.65 สวนปาแมแจม จังหวดั เชยี งใหม สวนปา แมอุคอ จังหวดั แมฮองสอน หมายเหตุ ปญ จขันธพันธุพ้ืนเมอื งเจรญิ เติบโตชา มาก เมื่อพืชมีอายุ 90 วนั ใหผลผลติ ตาํ่ มาก จงึ ไม สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตสง ตรวจวิเคราะหคุณภาพได แตปญ จขันธพ นั ธจุ นี เจริญเติบโตเร็ว เมอ่ื พืชมีอายุ 76-78 วัน ใหผ ลผลติ สูง จึงไดเก็บเกย่ี วผลผลิตสงตรวจคณุ ภาพ
136 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ตารางท่ี 24 แสดงผลวเิ คราะหก ารปนเปอ นดวยสารหนูและโลหะหนักของวตั ถดุ ิบสมุนไพรจากพืน้ ที่ เปา หมาย ปริมาณทีพ่ บในวัตถุดิบสมุนไพร (มก./กก.) สารหนู ตะก่วั ทองแดง สังกะสี แคดเมียม โครเมียม สถานท่ีปลูก ปญ จขันธพนั ธุพืน้ เมือง สวนปา หลวงสนั กาํ แพง จังหวดั เชียงใหม 2.71 ไมพบ 4.57 159.98 4.75** 19.97 สวนปาบานหลวง จังหวัดเชียงใหม 2.45 ไมพ บ ไมพบ 126.16 ไมพ บ 10.04 สวนปาแมหอพระ จังหวดั เชียงใหม 0.67 ไมพบ 9.76 161.58 ไมพ บ 11.54 สวนปา แมแ จม จังหวดั เชยี งใหม สวนปาแมอ ุคอ จังหวัดแมฮอ งสอน 4.79** ไมพ บ 3.79 144.29 ไมพ บ 16.42 2.69 ไมพบ 3.10 118.58 4.22** 7.40 ปญ จขันธพันธุจีน สวนปาหลวงสนั กําแพง จังหวัดเชยี งใหม 1.46 ไมพบ 3.67 148.51 1.04** 11.18 สวนปา บานหลวง จงั หวดั เชียงใหม 2.48 ไมพบ ไมพบ 142.34 ไมพ บ 9.18 สวนปาแมหอพระ จงั หวดั เชยี งใหม 6.01** ไมพบ 3.12 164.66 ไมพ บ 4.94 สวนปา แมแจม จงั หวดั เชยี งใหม 1.19 ไมพบ 5.52 120.33 ไมพบ 10.05 สวนปาแมอ ุคอ จังหวัดแมฮองสอน 2.72 ไมพบ 8.22 102.40 0.46** 5.82 หมายเหตุ 1. เกณฑม าตรฐานของสารหนูและโลหะหนักในสมนุ ไพรตามตาํ รามาตรฐานสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia) สารหนู (As) ไมเ กนิ 4 สวนในลา นสว น ตะกัว่ (Pb) ไมเ กิน 10 สว นในลา นสวน แคดเมียม (Cd) ไมเ กนิ 0.3 สว นในลา นสวน ** ไมเ ขา มาตรฐาน 2. ระดบั วิกฤตของโลหะหนกั ในพชื หมายถึง ถามปี ริมาณมากกวา นจี้ ะทําใหเ กิดเปน พษิ กบั พืช (Kobata-Ponidias และ Pondias 1984) สารหนู (As) ไมเ กิน 20 สวนในลา นสว น ตะกั่ว (Pb) ไมเกนิ 300 สวนในลานสวน ทองแดง (Cu) ไมเกิน 100 สวนในลา นสวน สังกะสี (Zn) ไมเ กิน 400 สว นในลา นสวน แคดเมียม (Cd) ไมเ กิน 30 สว นในลา นสว น โครเมียม (Cr) ไมเ กิน 30 สว นในลานสว น ผลการศึกษาวจิ ยั เบอื้ งตน พบวา ปญจขนั ธพนั ธุจนี เจรญิ เตบิ โตเรว็ ใหผลผลิตสงู และมคี ณุ ภาพ ดี เมื่อพชื มีอายุปลกู 76-78 วนั ก็สามารถเกบ็ เกี่ยวผลผลติ ได แตปญจขนั ธพันธุพน้ื เมอื งเจริญเตบิ โต ชา มากในชว งทพี่ ชื มอี ายปุ ลกู 1-3 เดือน หลงั จากน้ันจะเจริญเติบโตเรว็ เมอื่ เปรียบเทยี บผลผลติ วตั ถดุ ิบ
การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 137 สมนุ ไพรแหง ตอ ไร พบวาปญ จขันธพ นั ธุจนี ใหผลผลิตเฉล่ีย 236 กโิ ลกรมั /ไร และปญจขันธพ นั ธุ พื้นเมืองใหผ ลผลิตเฉล่ยี 177 กิโลกรมั /ไร ปญ จขนั ธพันธุจีนใหผ ลผลิตสงู กวาปญจขนั ธพ ันธุพ ้นื เมือง เฉล่ยี รอยละ 33.33 ดังนั้นคณะผูวจิ ยั จงึ ไดค ดั เลอื กปญจขันธพ นั ธจุ นี ไปศึกษาวิจัยตอ ยอดใหครบวงจร เพอื่ สนับสนนุ ขอ มูลวชิ าการดา นการผลิตวัตถดุ ิบปญจขันธใ หไดค ณุ ภาพมาตรฐานระดับสากล สามารถ สง เสริมการผลติ วตั ถุดบิ ปญ จขันธใ หม ีคณุ ภาพตามความตอ งการของตลาดและผูบ รโิ ภคในเชงิ พาณิชย ในประเทศไทย และทดแทนการนาํ เขาวัตถดุ ิบปญจขนั ธไ ด การศึกษาเปรยี บเทียบคุณภาพของปญ จขันธพ ันธุพ้ืนเมือง (พนั ธสุ ันกาํ แพง) และปญจขนั ธพันธุ จีน (พนั ธสุ บิ สองปนนา) ในเบ้ืองตนสรปุ ไดว า เมื่อนําปญจขนั ธพ นั ธุพน้ื เมอื ง (ตรวจพบปริมาณซาโปนิน รวมรอยละ 12.77) และปญ จขนั ธพ ันธุจนี (ตรวจพบปรมิ าณซาโปนนิ รวมรอ ยละ 13.32) มาเตรียมกลา โดยวธิ ปี ก ชาํ เหมอื นกัน ใชกลาทมี่ อี ายุ 2 เดือน ปลูกในพืน้ ทส่ี วนปา เปาหมายจาํ นวน 5 แหง พบวา ปญ จ ขันธพนั ธุจีนเจริญเตบิ โตเรว็ ใหผ ลผลติ สงู และมคี ณุ ภาพดี เม่ือพืชมอี ายุปลูกเฉล่ยี 77 วัน กส็ ามารถเกบ็ เกย่ี วผลผลิตได โดยตรวจพบปริมาณซาโปนินรวมรอ ยละ 13.28 แตปญจขันธพันธพุ นื้ เมอื งเจรญิ เตบิ โต ชามากในชว งทพ่ี ชื มอี ายุปลกู 1-3 เดอื น หลังจากนั้นจะเจริญเตบิ โตเร็ว และจะสามารถเก็บเก่ียวผลผลติ ไดเมือ่ พชื มอี ายปุ ลกู เฉล่ีย 118 วัน โดยตรวจพบปริมาณซาโปนินรวมรอ ยละ 13.64 ปญจขนั ธพ นั ธจุ นี ใหผลผลติ สงู กวา ปญ จขนั ธพันธพุ ืน้ เมืองเฉล่ียรอ ยละ 33.33 นอกจากน้ยี ังพบวา การเก็บเกยี่ วผลผลิต เมื่อพืชมอี ายุมากขึน้ จะทาํ ใหไดผลผลิตทม่ี ีคุณภาพลดลง จากขอมูลดงั กลา วแสดงใหเหน็ วา พันธุพ ืช และอายุพืชท่ีเหมาะสมในการเก็บเกี่ยวผลผลิตจึงเปนปจจัยสาํ คัญท่ีมีผลตอตนทุนการผลิตวัตถุดิบเชิง พาณชิ ย คณะผูว จิ ัยจงึ ไดคัดเลือกปญจขันธพ ันธจุ นี ไปศึกษาวจิ ยั ตอ ยอดใหค รบวงจร 5.5 5 อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมสําหรับปญจขนั ธ มีรายงานการศึกษาคุณภาพของปญจขันธที่มาจากพันธุและแหลงปลูกที่แตกตางกัน พบวา คุณภาพของปญจขันธขน้ึ อยูกบั รสชาตแิ ละปรมิ าณซาโปนินรวม (Total saponins) ดงั น้นั จึงใชปริมาณ ซาโปนินรวมเปนตัวกําหนดคุณภาพมาตรฐานของสมุนไพรชนดิ นี้ ซ่งึ มาตรฐานของซาโปนนิ รวมในปญจ ขันธตอ งไมนอ ยกวา 8 กรมั /นาํ้ หนกั แหง 100 กรัม เนือ่ งจากคุณภาพของสมุนไพรมกั มีปญ หาความไม สมํา่ เสมอของสารสาํ คญั มหี ลายปจจัยทม่ี ผี ลตอ คุณภาพของสาระสาํ คัญในวตั ถุดิบทน่ี ํามาเตรียม อาทิ ชนิด พันธุ และสภาพแวดลอม เปนตน สําหรับปญจขันธซึ่งประกอบดวยสารซาโปนินมากมายหลาย ชนิด ปริมาณสารเหลาน้ีผันแปรไปตาม ชนิด พันธุ แหลงปลูก และชวงเวลาเก็บเกี่ยว จึงไดดําเนินการ
138 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ทดลองเพื่อใหท ราบวธิ ีการปลกู และอายุเกบ็ เกย่ี วที่เหมาะสมสาํ หรับปญจขนั ธ อปุ กรณแ ละวธิ ีการ เพาะเมล็ดปญจขันธพ นั ธุสบิ สองปนนา 1 และยายกลา ปลกู ลงแปลงปลูกทส่ี วนปา บา นหลวง อําเภอแมอาย จังหวดั เชียงใหม เมื่อวันท่ี 24 มิถนุ ายน 2548 วางแผนการทดลองแบบ split plot มี 3 ซา้ํ 2 ปจ จัย ปจ จยั ท่ี 1 (main plot) คอื วิธีการปลูก มี 2 แบบ ไดแ ก ปลูกแบบขน้ึ คา ง โดยให ตนปญ จขันธเลื้อยขนึ้ เกาะยึดกบั แผน ตาขายพลาสติกกวา ง 1.2 เมตร ท่ีขึงในแนวตงั้ ฉากกบั แปลง และ ปลกู แบบไมข้นึ คา งโดยปลอยใหตน ปญ จขนั ธทอดเลือ้ ยไปตามพืน้ ดิน ปจ จยั ที่ 2 (sub plot) คอื อายุ เก็บเกยี่ ว 3 ระยะ ไดแก เก็บเกีย่ วผลผลติ หลงั ปลกู 2, 3 และ 4.5 เดือน การเตรยี มดินโดยเก็บ ตวั อยา งดินวิเคราะหคา ความอุดมสมบรู ณข องธาตุอาหารพืชในดิน และความเปน กรด-ดา งของดนิ (pH) ทีส่ าํ นักวิทยาศาสตรเพือ่ การพฒั นาท่ดี นิ กรมพฒั นาทด่ี ิน ปรบั สภาพดนิ ตามผลวเิ คราะหกอ นปลูก 2 เดือน ใหม ีคา pH 6.5 โดยใสปูนขาวอัตรา 624 กิโลกรัม/ไร และรองพืน้ กอ นปลูกดวยปุยมลู ชา งอตั รา 50 กโิ ลกรัม/ไร ปลกู แบบยกแปลง ขนาดแปลงยอ ย 4 x 7 เมตร เวน ทางเดินระหวา งแปลง 1 เมตร ระหวา งซํา้ 1.5 เมตร ระยะปลกู 1 x 1 เมตร ดา นบนของแปลงปลกู ซึ่งสูงจากพนื้ ดิน 2 เมตร พราง แสงดว ยตาขา ยพรางแสง 70% เกบ็ ผลผลติ เฉพาะ 2 แถวกลาง เวน ตน หวั ทาย นําผลผลติ ไปลางดวย นา้ํ สะอาด ผง่ึ ลมใหแ หง นาํ เขา ตูอบอณุ หภมู ิ 40 องศาเซลเซียส นาน 2 ชว่ั โมง รดู ใบออกจากกา น อบ กา นซา้ํ โดยนําเขาตูอบทีอ่ ณุ หภูมิ 40 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที บันทกึ ผลผลิต นาํ ตัวอยางมาบด เปนผง วเิ คราะหห าปริมาณซาโปนนิ รวมโดยสถาบนั วจิ ยั สมุนไพร กรมวทิ ยาศาสตรก ารแพทย ผลการทดลอง 1. ผลผลิต จากการศกึ ษาพบวา วธิ ีการปลกู กบั อายุเกบ็ เก่ยี วไมมีปฏสิ มั พนั ธ (interaction) ตอ กัน เมอื่ พจิ ารณาวธิ ีการปลกู พบวา การปลูกแบบข้นึ คา งใหผลผลติ ไมแตกตา งกันทางสถิตกิ บั การปลกู แบบไมข ึ้น คา ง (ตารางที่ 25 และ 26) กลา วคือ การปลกู แบบข้นึ คา งใหผ ลผลติ น้ําหนักสดเฉล่ยี 479 กโิ ลกรัม/ไร และน้าํ หนกั แหงเฉลี่ย 88 กิโลกรมั /ไร สว นการปลูกแบบไมข้นึ คางใหน้ําหนักสดเฉล่ยี 538 กโิ ลกรัม/ไร และน้าํ หนักแหงเฉลยี่ 83 กโิ ลกรัม/ไร การเก็บเก่ยี วในอายทุ ต่ี า งกนั ใหผลผลติ แตกตา งกนั ทางสถติ ิ เม่อื เกบ็ เก่ยี วอายุ 4.5 เดอื น ใหผลผลติ แตกตา งจากการเกบ็ เกยี่ วทอี่ ายนุ อ ยกวา โดยอายุเก็บเก่ยี ว 4.5 เดือน ใหนาํ้ หนักสดสูงถึง 1,005 กิโลกรัม/ไร และนาํ้ หนักแหงสูงถึง 176 กิโลกรัม/ไร (ตารางท่ี 25 และ 26)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212