Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือการพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ (ฉบับสมบูรณ์) ยังไม่ใส่ปก

หนังสือการพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ (ฉบับสมบูรณ์) ยังไม่ใส่ปก

Published by E-book Bang SAOTHONG Distric Public library, 2019-10-19 22:25:32

Description: หนังสือการพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ (ฉบับสมบูรณ์) ยังไม่ใส่ปก

Search

Read the Text Version

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 39 รายช่อื สมุนไพรที่ปลกู ของสวนปา เขากระยาง ฟาทะลายโจร อญั ชัน แค เสลดพังพอนตวั เมยี (พญายอ) เสลดพังพอนตัวผู โดไมรลู ม เชยี งดา พลคู าว ไพล หญา ปกกิง่ บอระเพ็ด ขงิ หญา หนวดแมว กระชายดํา ขมิน้ ชัน วานชกั มดลูก ตะไครห อม ข้ีเหล็ก พริกไทย พญาไรใ บ หเู สือ เพชรสังฆาต สมปอ ย เปลา บัวบก กระเจีย๊ บ ทองพันชัง่ ชมุ เห็ดเทศ ชะพลู โกฐจฬุ าลาํ พา วานหางจระเข ยอ 3.3.2 สวนปาดานซาย อาํ เภอดา นซาย จังหวัดเลย สวนปา ดานซา ย จังหวัดเลย อตุ สาหกรรมปา ไมเ ขตขอนแกน องคการอุตสาหกรรมปาไม เดิม เปน สวนปา ปลกู ตามเงอื่ นไขสัมปทานของ บริษทั เลยทําไม จํากดั เริ่มดําเนนิ การปลกู สรางสวนปาเม่ือ ป 2521 องคการอตุ สาหกรรมปาไมไดร บั มอบมาดูแลเมอื่ เดือนกันยายน 2533 เปนสวนโครงการท่ี 4 ของ องคการอุตสาหกรรมปาไม ปจ จุบนั อยใู นความรับผิดชอบของโครงการปลูกสวนปาที่ 1 อุตสาหกรรมปา ไม เขตขอนแกน ฝายอุตสาหกรรมปา ไมภ าคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวนั ออก องคการอุตสาหกรรม ปาไม พ้นื ทีส่ วนปามจี าํ นวน 1 แปลงใหญ จํานวน 3,777.86 ไร ในทอ งทตี่ ําบลโพนสูง อําเภอดา น ซาย จงั หวดั เลย ตัง้ อยูริมทางหลวงหมายเลข 203 (เลย-หลมสัก) ระหวา งหลัก กม.ที่ 77-82 พ้ืนทส่ี วน ปา อยูตามทล่ี าดเอยี งรมิ เขาไปทางทศิ ตะวนั ตก ความสูงจากระดบั น้ําทะเลปานกลาง 700-1,000 เมตร สภาพเดมิ เปนปาดินเขาและปาเบญจพรรณมไี ผเ ปน พืน้ ลางหนาแนนมาก 3.3.3 สวนปา ทา ปลา-นา้ํ ลี อําเภอทา ปลา จงั หวัดอตุ รดติ ถ สวนปาทา ปลา-น้ําลี สาํ นักงานอนุรกั ษและพฒั นาสวนปา อุตรดติ ถ สาํ นักงานอนรุ ักษและพฒั นา สวนปา ภาคเหนอื องคการอุตสาหกรรมปาไม สวนปาทาปลา เปน สวนปา ทป่ี ลกู ตามแผนพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง ชาติ มที ้ังหมด 4 โครงการ คอื โครงการท่ี 1 ปลกู สรา งโดยงบประมาณลงทุนขององคการอุตสาหกรรมปาไม แปลงป 2536 และ 2538 เน้ือท่ีรวม 1,000 ไร

40 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก โครงการที่ 2 ปลกู ชดเชยตามเงอื่ นไขสมั ปทานการทาํ ไมป า บก แปลงป 2531-2535 เนือ้ ทีร่ วม 5,070 ไร โครงการท่ี 3 ปลูกชดเชยตามเงอ่ื นไขสมั ปทานการทําไมปาบก โดยงบประมาณของบรษิ ัททําไม แปลงป 2521-2528 เนอื้ ทร่ี วม 9,185 ไร โครงการที่ 4 ปลูกโดย บรษิ ัท อตุ รดิตถทาํ ไม จาํ กดั โดยองคก ารอุตสาหกรรมปาไมมาดูแล บาํ รงุ รกั ษา แปลงป 2531-2532 เน้ือที่รวม 2,300 ไร สวนปาทา ปลา ตัง้ อยใู นเขตปา สงวนแหง ชาตปิ า ลําน้ํานานฝงขวา ทองท่ตี ําบลผาเลอื ด ตาํ บลจรมิ ตาํ บลทา ปลา อาํ เภอทา ปลา จงั หวัดอตุ รดิตถ สภาพภมู ิประเทศ สวนปา ทา ปลามพี ืน้ ทเ่ี ปนภูเขาสลบั ซบั ซอ น และมที ี่ราบปะปนอยูบางสว น ความลาดชันของพนื้ ท่ี รอยละ 10-50 อยสู งู จากระดับนา้ํ ทะเลปานกลาง 200-400 เมตร 3.3.4 สวนปานาดว ง อําเภอนาดวง จงั หวดั เลย สวนปานาดวงเปนสวนปาท่ีองคการอุตสาหกรรมปาไม ไดรับมอบมาจากกรมปาไมตามคาํ สั่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณท ่ี 32/2532 ลงวนั ท่ี 17 มกราคม 2532 โดยไดร ับมอบจากสํานักงานปา ไมเขตอุดรธานี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2533 และ 13 กันยายน 2534 จัดเปนสวนปาโครงการที่ 4 (สวนปาท่ีองคการอุตสาหกรรมปาไมไดรับมอบจากบริษัททําไมจังหวัด) สังกัดงานปลูกสรางสวนปาท่ี 3 อุตสาหกรรมปาไมเขตขอนแกน มพี ืน้ ทตี่ ้งั อยูใ นเขตปาสงวนแหง ชาติโคกผาดาํ ปาโคกหนองขา และปา ภู ปอบิด ในเขตทองทบ่ี านนาดอกคาํ ตําบลนาดอกคํา อําเภอนาดวง จงั หวดั เลย สาํ นักงานตั้งอยทู บ่ี า นหว ย ปลาดุก หมูที่ 12 ตาํ บลนาดอกดํา อาํ เภอนาดวง จังหวัดเลย อยหู างจากอาํ เภอเมืองเลยประมาณ 60 กิโลเมตร หางจากอุตสาหกรรมปาไมเขตขอนแกน 285 กโิ ลเมตร และหา งจากกรุงเทพฯ 585 กโิ ลเมตร ผลการดาํ เนินงานต้ังแตป  พ.ศ. 2519 ถงึ พ.ศ. 2527 ทาํ การปลกู สรางสวนปา ไมสักไดพนื้ ท่ี รวม 2,763.41 ไร แยกเปนพื้นท่ปี า เศรษฐกิจซง่ึ ทาํ การจดทะเบยี นทด่ี นิ เปนสวนปาตาม พ.ร.บ.สวนปา พ.ศ. 2535 เรยี บรอยแลว จํานวน 1,197 ไร และพ้ืนที่ปาอนุรกั ษจ ํานวน 1,566.41 ไร สวนปานาดวง ไดท าํ การตดั สางขยายระยะสวนปาแปลงปลูกป พ.ศ. 2525 ตามแผนการทาํ ไมป พ.ศ. 2525 สวนปาแปลงปลูกป พ.ศ. 2524 และ 2519 ตามแผนการทาํ ไมป พ.ศ. 2542 เพือ่ ทําการ บาํ รุงรักษาสวนปาตามหลักวิชาการ และนําไมสักท่ีไดจากการตัดสางขยายระยะไปใชประโยชน จาํ นวน

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 41 878.94 ลูกบาศกเมตร การปฏิบัติงานตอ ไปจะทําการตดั สางขยายระยะสวนปาแปลงปลกู ป พ.ศ. 2526 3.3.5 สวนปานา้ํ ตาก อาํ เภอนครไทย จังหวัดพิษณโุ ลก สวนปานา้ํ ตาก สํานกั งานอนรุ ักษแ ละพัฒนาสวนปา พิษณโุ ลก สํานกั งานอนุรกั ษแ ละพฒั นาสวน ปาภาคเหนอื องคการอตุ สาหกรรมปาไม เปนสวนปาโครงการที่ 4 ทร่ี ับมอบพนื้ ทีจ่ ากกรมปา ไมม าดูแล รักษา ซึ่งไดด ําเนนิ การปลกู ปาภายใตเงอ่ื นไขสมั ปทานปาไม โดยบรษิ ทั พษิ ณุโลกทําไม จาํ กดั จาํ นวน 7 แปลง เน้ือที่ 18,806.82 ไร (30.091 เฮกเตอร) สํานกั งานสวนปาน้ําตาก มี 2 สาํ นักงาน คือ สาํ นกั งานฯ ใน และสํานักงานฯ นอก โดยสาํ นักงานฯ นอกมพี ้นื ทตี่ งั้ อยใู นบริเวณตาํ บลบา นพราว และ สํานักงานฯ ใน มีพนื้ ทตี่ ั้งอยูใ นบรเิ วณตําบลหนองกะทา ว อําเภอนครไทย จงั หวัดพษิ ณุโลก ตง้ั อยใู นชว ง ประมาณ 18 องศา 03 ลปิ ดา ถงึ 18 องศา 09 ลิปดา เหนือ และ 100 องศา 37 ลิปดา ถงึ 100 องศา 42.5 ลปิ ดา ตะวนั ออก พื้นท่ีสวนปา ตงั้ อยใู นเขตปา สงวนแหง ชาติ ครอบคลมุ พ้ืนที่ 2 ตําบล คือ ทองท่ี ตําบลบา นพราว และ ทอ งท่ตี าํ บลหนองกะทาว อาํ เภอนครไทย จังหวดั พษิ ณโุ ลก ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะภมู ปิ ระเทศ สภาพภูมปิ ระเทศสวนใหญเปนเขาทางทศิ ใตแ ละทิศตะวันตก ลาดเททางทิศเหนือซ่งึ เปนทล่ี มุ ติด แมนํา้ แควนอ ย สภาพพน้ื ทม่ี คี วามสูงจากระดับน้ําทะเลเฉลีย่ ประมาณ 585 เมตร และมคี วามลาดชนั ของ พื้นทม่ี ากกวา รอ ยละ 35 ลักษณะภมู ิอากาศ มลี ักษณะภูมิอากาศแบบรอนชน้ื ขึ้นอยกู บั อทิ ธพิ ลของลมมรสุมที่พัดประจาํ ฤดูกาล 2 ประเภท คอื 1. ลมมรสุมตะวันออกเฉยี งเหนอื จะพดั พาอากาศเยน็ และแหง จากประเทศจนี ปกคลุมประเทศ ไทยในชว งฤดูหนาว ทาํ ใหมอี ากาศเย็นและแหง แลงทัว่ ไป 2. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต จะพัดพามวลอากาศช้ืนจากทะเลและมหาสมุทร เขามาปกคลุม ประเทศไทย ทําใหมฝี นตกทัว่ ไป มีความชน้ื สมั พัทธร อยละ 65 อุณหภมู สิ ูงสุด 32 องศาเซลเซียส อุณหภมู ติ ํา่ สดุ 18 องศา เซลเซียส ปริมาณน้ําฝนตกมากในชวงเดอื นสิงหาคมถึงกนั ยายน ปริมาณนํ้าฝนเฉลยี่ 123.26 มลิ ลิเมตร/ เดอื น และเฉลี่ย 1,119.36 มิลลิเมตร/ป

42 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ลักษณะดนิ ดนิ ในพ้ืนท่ีสวนปาสว นใหญมที ัง้ ดนิ ตื้นและดินลึก มกั มีเศษหินหรอื หนิ โผลก ระจัดกระจายทวั่ ไป ลักษณะดนิ เปนดินรวนประเภทปนทราย (ตะกอนแมน้ํา) บางสว นเปนดนิ รวนหรอื ดินเหนยี วปนทรายแปง ดนิ มีความอุดมสมบรู ณต่ํา ทรพั ยากรนํ้า สาํ นักงานสวนปา นา้ํ ตาก บริเวณสาํ นักงานฯ นอก มแี มน ํา้ แควนอ ยไหลผานตลอดป สวนบรเิ วณ สาํ นกั งานฯ ใน มลี ําหว ยน้าํ ตากไหลผา นตลอดป ซึ่งบรเิ วณสาํ นกั งานฯ ทัง้ 2 แหง อาศยั แหลงน้ําเหลานี้ ในการอปุ โภคใชส อยในพืน้ ที่สาํ นักงานฯ 3.3.6 สวนปานํา้ สวยหว ยปลาดกุ อาํ เภอนาดว ง จังหวัดเลย สวนปานํ้าสวยหว ยปลาดุก จังหวัดเลย อุตสาหกรรมปาไมเขตขอนแกน องคการอุตสาหกรรม ปา ไม เปนสวนปา ทไ่ี ดรบั ความเหน็ ชอบใหด ําเนนิ การปลูกสรา งสวนปาในพืน้ ที่ โครงการพฒั นาเพอ่ื ความ มนั่ คงบริเวณหวยปลาดุก จงั หวดั เลย ตามหนงั สือกรมปาไมท่ี กษ 0705 (5) 221932 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2526 มีพ้ืนทีท่ ง้ั โครงการ 15,000 ไร โดยใหป ลูกตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคม แหง ชาติ และองคก ารอุตสาหกรรมปาไม จะตองยื่นคําขออนญุ าตตามระเบียบของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ วาดว ยการอนุญาตใหทําการปลกู สรา งสวนปาในเขตปา สงวนแหง ชาติ กอ นดําเนนิ การปลูกทุก ๆ ป องคก ารอุตสาหกรรมปาไม ไดเ ร่มิ ดําเนินการปลูกสวนปา ตามคําสงั่ อ.อ.ป. 57/2527 ลงวนั ที่ 21 มนี าคม 2527 เร่ือง กําหนดโครงการปลกู สรางสวนปา เพม่ิ เติม จึงใหกาํ หนดชื่อสวนปาแหงนีว้ า “โครงการปลูกสรางสวนปานํ้าสวยหวยปลาดุก” จังหวัดเลย สวนปลูกสรางสวนปา ฝายทําไมภาค ตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือเปน การปลูกสรางตามโครงการท่ี 1/2 (หมายถึงเงินลงทุนของ สวนปาเปน เงนิ รายไดท่จี ะสง กระทรวงการคลงั ) ไมม ีการดาํ เนินการทางดา นหมูบา นปาไม เหมอื นสวนปา อื่น ๆ ขององคการอตุ สาหกรรมปาไม เพราะตามนโยบายของทางจังหวดั ตองการใหส วนปาองคการ อุตสาหกรรมปา ไมแ หงนี้ เปน สวนปา “ปา รักนาํ้ ” ตามแนวพระราชดาํ ริ ของกองทัพภาคที่ 2 และเปน แหลงจางแรงงานหมบู า นพัฒนาเพอ่ื ความม่นั คงหวยปลาดกุ งานสวนฯ ไดดาํ เนนิ การปลกู สรา งสวนปา ในป พ.ศ. 2527 เปนปแ รก และป 2528 เปนปตอมา ในป พ.ศ. 2529 องคก ารอุตสาหกรรมปาไม มีวกิ ฤตการณท างการเงิน จงึ ระงับการขยายการปลูกสรา ง

การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 43 สวนปา โครงการ 1/2 และในปงบประมาณ 2530 องคก ารอตุ สาหกรรมปาไม ไดป รับเปล่ียนแผนการ ดาํ เนนิ การปลูกสรา งสวนปา ใหม ตามบันทึกของ อ.อ.ป. ท่ี กษ 1500/3204 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2530 เรือ่ ง การปรบั สวนปา โครงการ 1/2 แปลงป2 527, 2528 และ 2529 เปน สวนปา โครงการ 1, 2 และ 3 ดงั นั้นพื้นท่ีสวนปาแปลงที่ป 2527 และ 2528 ของงานสวนฯ จงึ เปลี่ยนไปเปน สวนปา โครงการ 3 (เปน สวนปา ทีป่ ลกู ทดแทนตามเงือ่ นไขสมั ปทานของ บรษิ ทั ทาํ ไมจังหวดั ) สว นการปลูกในป 2530-2534 เปนสวนปาโครงการ 1 (เปนสวนปา ท่ีปลูกโดยเงินงบประมาณขององคก ารอุตสาหกรรมปาไม) และในป 2535-2538 เปนสวนปาโครงการ osc-u/fio (เปน สวนปา ท่ีปลูกขึ้นโดยไดร บั เงินทนุ ชว ยเหลอื จากศูนย วนพัฒนาวทิ ยาโพน ทะเล-อเู มดะ ประเทศญปี่ ุน) ซง่ึ ไดร ับงบประมาณชว ยเหลอื ดูแลรกั ษาแปลงละ 3 ป สวนปา น้าํ สวยหว ยปลาดุกต้ังอยใู นเขตปา สงวนแหงชาติ ปาโคกผาดาํ ปา โคกหนองขา และปาภู ปอบิด รอบ ๆ อางเก็บนํา้ หวยปลาดกุ ในพืน้ ทพ่ี ฒั นาเพือ่ ความมั่นคงบรเิ วณหวยปลาดกุ (โซนบ)ี อยูใน เขตพน้ื ที่บานหวยปลาดกุ ตาํ บลนาดอกคํา อําเภอนาดวง จังหวดั เลย สํานักงานอยหู างจากจงั หวัดเลย 60 กโิ ลเมตร อาํ เภอนาดวง 30 กิโลเมตร หางจากอุตสาหกรรมปา ไมเ ขตขอนแกน 290 กิโลเมตร และหา ง จากกรงุ เทพฯ 590 กโิ ลเมตร ลักษณะภมู ิประเทศของสวนปา แหง น้ี สูงจากระดบั นาํ้ ทะเลปานกลางประมาณ 400-480 เมตร พื้นท่ีประกอบดว ยท่ีลาดเชงิ เขา เนนิ เขาเตย้ี ๆ สลับกบั ทรี่ าบ ปรมิ าณนํา้ ฝน ตัง้ แตป พ.ศ. 2538-2543 เฉล่ยี 1.512 มม./ป ในป พ.ศ. 2544 มปี รมิ าณน้าํ ฝนทัง้ ป 2,179.00 มม. ชวงฝนตกคอื ชว งเดือน มีนาคม-ตุลาคม ชว งหนา แลง คอื ชว งเดอื นพฤศจิกายน-กุมภาพนั ธ เฉล่ยี 26.03 oC ภูมอิ ากาศประกอบ ดวย 3 ฤดูกาล ไดแก ฤดูฝน ฤดหู นาว และฤดแู ลง ลกั ษณะดิน สว นใหญเ ปน ดนิ ลกู รัง ดนิ ตนื้ การ ระบายนํ้าดี มปี รมิ าณแรธ าตอุ าหารคอนขางต่ํา 3.3.7 สวนปาบา นหลวง อาํ เภอแมอ าย จงั หวัดเชยี งใหม สวนปาบา นหลวง จงั หวดั เชยี งใหม อตุ สาหกรรมปา ไมเ ขตเชียงใหม องคก ารอตุ สาหกรรมปาไม เปนสวนปา โครงการท่ี 4 (สวนปาทอี่ งคก ารอุตสาหกรรมปาไมไดรบั มอบจากบรษิ ัททาํ ไมจังหวดั ) ปลูก ตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง ชาติ เพ่ือใหเ ปนปาเศรษฐกจิ ตั้งอยใู นเขตปาสงวนแหง ชาติ ปาลุม แมน ํ้าฝาง ตาํ บลบานหลวง อําเภอแมอาย จงั หวัดเชียงใหม พนื้ ทส่ี วนปามีจํานวน 1 แปลงใหญ จาํ นวน 5,730 ไร คณะทํางานไดไปสาํ รวจพนื้ ที่เพาะปลกู สมนุ ไพรท่สี วนปา บา นหลวง พบวา มีการปลกู กระชายดํา

44 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ไพล ขงิ ขมนิ้ ชนั วา นชกั มดลกู ไดผลงามมาก แตยงั ไมเคยสง ตรวจคุณภาพของสมุนไพร เนอ่ื งจากเพ่งิ เริ่มปลกู ในปน ี้ ผรู ับผดิ ชอบในพื้นทีม่ คี วามสนใจและมีความตง้ั ใจสงู ในการศกึ ษาวิจัยการปลูกสมุนไพร โดยไดเ รยี นรจู ากเครอื ขา ยสวนปา ขององคการอตุ สาหกรรมปา ไมใ นจงั หวดั เชยี งใหม 3.3.8 สวนปา แมแจม อําเภอแมแ จม จังหวดั เชียงใหม สวนปา แมแจม จงั หวัดเชียงใหม องคก ารอุตสาหกรรมปา ไม เปนพ้ืนท่ีปาสงวนแหงชาติแมแจม และงานสวนปาแมแจม มีเน้ือที่ 86 ไร สงู จากระดบั นา้ํ ทะเล 760 เมตร อณุ หภูมเิ ฉลี่ยทงั้ ป 25 องศา เซลเซียส มีเน้ือทส่ี วนปา รวม 6,932 ไร มลี ํานาํ้ แมแจม ไหลผา นพื้นทสี่ วนปา โครงการพฒั นาการทอ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศสวนปา แมแ จม จงั หวัดเชียงใหม มีอยู 2 แหง คอื 1. บริเวณสาํ นกั งานสวนปา เน้ือท่ี 86 ไร (ดาํ เนินการเสร็จสน้ิ แลว) 2. บริเวณปาสงวนแหงชาติแมแ จม เน้อื ท่ี 59 ไร (อยใู นขัน้ ตอนขอใชป ระโยชนตามมาตรา 13 ทวิ) ซง่ึ พน้ื ทีส่ วนนี้ตอ ไปจะดาํ เนินการพฒั นาเปนโครงการบา นพกั (Homestay) สรา งปางชาง (Elephant- Breedding) กจิ กรรมดูนกเดนิ ปา ศกึ ษาธรรมชาติรมิ นํา้ แมแ จม (Nature Watch) อณุ หภมู ิ 30.74 องศาเซลเซียส อณุ หภมู ิเฉลย่ี สงู สดุ ท้ังป 16.387 องศาเซลเซยี ส อุณหภูมเิ ฉลย่ี ต่ําสุดท้งั ป 23.56 องศาเซลเซยี ส อณุ หภูมเิ ฉลี่ยท้งั ป 38.23 องศาเซลเซียส อณุ หภมู เิ ฉลีย่ สงู สดุ เดอื นเมษายน 7.64 องศาเซลเซยี ส อณุ หภมู เิ ฉลีย่ ตํา่ สุดเดือนมกราคม ปริมาณนา้ํ ฝน 5.7175 มิลลิเมตร ปริมาณนํา้ ฝนเฉล่ยี ทง้ั ป 10.63 มิลลิเมตร ปริมาณนา้ํ ฝนสูงสุดเดอื นกนั ยายน 3.3.9 สวนปา แมย าว-แมซาย อําเภอเมือง จังหวดั เชียงราย สวนปาแมย าว-แมซา ย จังหวัดเชียงราย อตุ สาหกรรมปา ไมเ ขตเชียงใหม องคก ารอุตสาหกรรม ปาไม เปนสวนปาโครงการท่ี 4 (สวนปา ที่องคการอตุ สาหกรรมปาไมไดร ับมอบจากบรษิ ทั ทําไมจงั หวดั )

การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 45 ปลกู ตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหงชาติ เพ่ือใหเ ปนปาเศรษฐกิจ พน้ื ที่สวนปา มจี ํานวน 5,615 ไร ลักษณะภูมปิ ระเทศของสวนปา แหงนี้ สงู จากระดบั นาํ้ ทะเลปานกลางประมาณ 400-500 เมตร จุดขา งในประมาณ 600 เมตร สภาพภมู อิ ากาศ คอ นขา งชนื้ ชวงยาว ชว งหนา รอนส้นั ประมาณเดือน กมุ ภาพันธถ งึ เดือนเมษายน ลักษณะดินเปน ดินรวนปนทราย บางแหงจะเปนดินเหนียว ชัน้ ลางเปน ดิน แดง ดินมีความเปนกรด pH 4.5-5.1 ปรมิ าณแรธาตุ ฟอสเฟตประมาณ 3 ppm แคลเซยี มประมาณ 1,024 ppm และแคลเซยี ม 180 ppm บริเวณน้ียังไมม กี ารทําไรม ากอ น มีนาํ้ ใชต ลอดท้ังป เปนน้าํ หวย ใชนาํ้ ประปาภูเขา สําหรบั สมนุ ไพรน้ันเคยปลกู กระชายดํา แตไ ดผลไมด ี เพราะมีความช้นื สูง เชอ้ื ราข้ึน สมนุ ไพรทปี่ ลูกไดผ ลดี คือ ขิง และ ขา โดยจะปลกู ปเ วนป คณะทํางานไดไ ปสํารวจพืน้ ทส่ี วนปา แมย าว-แมซ า ย พบสมนุ ไพรโดไมร ลู ม ท่ีเกดิ ขึ้นเองตามธรรมชาติ จํานวนมาก และอุดมสมบรู ณดี สาํ หรบั สมุนไพรท่ีมีการปลูกในพนื้ ทน่ี ้ี เชน กวาวเครอื หางไหล เพกา เปนตน 3.3.10 สวนปา แมส าน อําเภอศรสี ัชนาลัย จงั หวดั สโุ ขทัย สวนปาแมสาน จังหวดั สุโขทยั สํานักงานอนุรกั ษและพฒั นาสวนปา สโุ ขทยั (สํานกั งานอนรุ กั ษ และพฒั นาสวนปา ภาคเหนอื องคก ารอุตสาหกรรมปา ไม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม) เปนสวนปาโครงการ 4 เดมิ เปนสวนปา ท่ปี ลกู ตามเงือ่ นไขสัมปทานของบรษิ ัท สโุ ขทัยทําไม จาํ กดั พืน้ ที่ อยใู นเขตสวนปา แหง ชาติ แปลงป 2524 และ 2525 อยูในเขตปาสงวนแหง ชาติปา แมท าแพ ตาํ บลปา งวิ้ ตาํ บลหาดเสย้ี ว อําเภอศรสี ัชนาลยั จังหวัดสโุ ขทยั องคก ารอุตสาหกรรมปา ไมไ ดร บั มอบมาดูแลเมอ่ื วันที่ 29 สงิ หาคม 2533 และไดเขามาดําเนินการเมอื่ วันท่ี 20 กนั ยายน 2533 พื้นทส่ี วนปามี 2 แปลงใหญ ดังนี้ 1. แปลงป 2524 มีเนอ้ื ที่ 4,723 ไร 2. แปลงป 2525 มีเนือ้ ท่ี 1,550 ไร เนือ้ ท่รี บั มอบทั้งหมด 8,668.805 ไร องคการอุตสาหกรรมปา ไมอ นญุ าตใหช ลประทานใช ประโยชนจ าํ นวน 355.805 ไร และใหก ารประปาสวนภูมภิ าคใชป ระโยชนจ าํ นวน 20 ไร สภาพภมู ิประเทศและภูมิอากาศ สวนปาแมส านมสี ภาพภูมิประเทศโดยรวมเปนพนื้ ทล่ี าดเชงิ เขาสลับภูเขา สงู จากระดับน้ําทะเล ปานกลาง 80-350 เมตร ความลาดชันประมาณ 5-35% ปริมาณนํ้าฝน ต้ังแต พ.ศ. 2537-2546

46 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก เฉลีย่ 1,291.97 มม./ป ในป พ.ศ. 2545 มีปริมาณนาํ้ ฝนท้ังป 1,506.0 มม. ชว งฝนตกคือชวงเดอื น เมษายน-ตลุ าคม ชวงหนา แลง คือชว งเดอื นพฤศจิกายน-มนี าคม อณุ หภมู ิเฉลยี่ 27.77 องศาเซลเซียส และความช้นื สัมพทั ธเฉลยี่ 64.3 รายชอื่ สมุนไพรท่ปี ลูกในพนื้ ท่ี เพชรสังฆาต พญารากดํา พญารากขาว พญารากแดง กระชาย ไพล ขมนิ้ ดาํ (มหาเมฆ) ขมิน้ ชัน ตะไครห อม ตะไคร วา นชกั มดลกู ขา บอระเพ็ด หญา ใตใ บ ยอ เหงือกปลาหมอ หญาปกกง่ิ กวางหีแฉะ ขอบชะนางแดง เสลดพังพอน เจตมูลเพลงิ ขาว กระทอื โดไ มร ูลม หวั เคาคา ฟา ทะลายโจร เพกา เจตมูลเพลงิ แดง 3.3.11 สวนปา แมหลกั หมนื่ อําเภอแมอ าย จงั หวัดเชยี งใหม สวนปาแมห ลกั หมืน่ จงั หวดั เชียงใหม อุตสาหกรรมปาไมเขตเชียงใหม องคก ารอตุ สาหกรรม ปาไม เปนสวนปา โครงการท่ี 3 (สวนปาที่ปลูกทดแทนตามเงื่อนไขสมั ปทานของบรษิ ัททาํ ไมจ ังหวดั ) ปลูก ตามแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหงชาติ เพ่อื ใหเ ปนปาเศรษฐกจิ ต้ังอยใู นเขตปาสงวนแหงชาติ ปา ลุม แมน้ําฝาง ตําบลบา นหลวง อาํ เภอแมอ าย จงั หวดั เชียงใหม พ้ืนทส่ี วนปา มจี าํ นวน 1 แปลงใหญ จาํ นวน 9,449 ไร คณะทํางานไดไ ปสาํ รวจพื้นทเ่ี พาะปลกู สมุนไพรทส่ี วนปาแมหลกั หม่ืน พบวา มกี ารปลูกกระชาย ดํา และขมน้ิ ชนั ไดผ ลงามมาก แตยังไมเ คยสงตรวจคุณภาพของสมนุ ไพร เนื่องจากเพิ่งเรม่ิ ปลกู ในปน้ี ผรู บั ผดิ ชอบในพ้นื ทีม่ คี วามสนใจและมีความตงั้ ใจสงู ในการศกึ ษาวจิ ัยการปลกู สมุนไพรโดยไดเ รียนรูจ าก เครือขา ยสวนปา ขององคก ารอตุ สาหกรรมปา ไมใ นจังหวัดเชยี งใหม 3.3.12 สวนปาแมหอพระ อาํ เภอแมแ ตง จงั หวดั เชยี งใหม สวนปาแมหอพระ จังหวัดเชยี งใหม อตุ สาหกรรมปา ไมเ ขตเชียงใหม องคการอตุ สาหกรรมปาไม สวนปาแหง นเ้ี ปน สวนโครงการที่ 1 (เปนสวนปา ทปี่ ลูกโดยเงินงบประมาณขององคก ารอุตสาหกรรมปา ไม) ปลกู ตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหงชาติ เพอ่ื ใหเ ปน ปา เศรษฐกจิ โดยใชเงนิ ลงทนุ ขององคก าร

การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 47 อุตสาหกรรมปาไม ท้ังหมด สํานกั งานสวนปาแมหอพระ ตัง้ อยูในเขตปาสงวนแหงชาติปา แมแ ตง หมูท่ี 8 ตาํ บลแมหอพระ อําเภอแมแ ตง จังหวดั เชยี งใหม อยูห างจากจงั หวัดเชยี งใหม ไปตามถนนสายเชียงใหม- อําเภอพรา ว ประมาณ 50 กิโลเมตร พ้ืนทขี่ องแปลงปลกู สรา งสวนปา มปี ระมาณ 9,246ไร ครอบคลมุ พื้นที่ 3 อําเภอ คอื อําเภอแมแตง อาํ เภอพรา ว และอาํ เภอดอยสะเกด็ จงั หวัดเชียงใหม สวนปา แหง น้ี สูงจากระดับนา้ํ ทะเลประมาณ 500 เมตร หมูบา นปา ไม ไดจ ัดตั้งขน้ึ เมอ่ื ป พ.ศ. 2514 โดยชกั ชวนชาวไรท ย่ี ากจนและไมมีท่ที ํากนิ มาเปน สมาชกิ เพื่อเปน แรงงานและทาํ ไรในสวนปา ปจ จุบนั พฒั นาเปนหมบู า นถาวร หมทู ี่ 8 ตําบลแมหอพระ อําเภอแมแ ตง จังหวัดเชียงใหม ปจ จบุ นั มสี มาชกิ 76 ครอบครวั จํานวนประชากร 188 คน หมบู า น แหงน้ี แมจ ะเปนหมบู า นถาวร ขึน้ กบั กระทรวงมหาดไทยแลว แต อ.อ.ป. ยังมนี โยบายทใี่ หงานสวนปา ตาง ๆ ชว ยพัฒนาความเปนอยแู ละคณุ ภาพชีวติ ใหกับสมาชิกในหมูบ า นปาไมอกี ทางหนงึ่ ตลอดจนเปนพี่ เลี้ยง คอยใหค าํ แนะนาํ ปรึกษา และชว ยแกปญ หาตางๆ โดยในป 25441 ไดขอรบั เงินอุดหนุนจาก องคก ารบริหารสวนตําบลแมห อพระ จํานวน 100,000 บาท จัดสรางรานคาชมุ ชนใหแ กส มาชิกหมูบาน ปา ไม เพอ่ื สรา งรายได และเสรมิ สรา งอาชพี รองรบั ใหแ กช มุ ชน เพอื่ ใหช ุมชนมคี วามเขม แข็ง สามารถ พง่ึ ตนเองไดในระดับหนงึ่ คณะทํางานไดไปสํารวจพนื้ ที่เพาะปลกู สมนุ ไพรทสี่ วนปา หอแมพ ระ พบวา พ้ืนทส่ี วนใหญเ ปน ปา ไมส ักและพนื้ ที่อนรุ ักษ (รอ ยละ 5 ตามขอกําหนดของสวนปา ) จะปลูกไมเตง็ รัง นอกจากนี้ คณะทํางาน ยังพบสมนุ ไพรหลายชนดิ ทีเ่ กดิ ขึน้ เองตามธรรมชาติ เชน มะขามปอ ม กระชายปา ขม้ินปา กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง ฯลฯ เปน ตน สมนุ ไพรเหลา นงี้ ามมาก ขณะนีผ้ รู ับผิดชอบในพ้นื ท่ไี ดทดลองปลูกสมุนไพร ยอ สภาพทว่ั ไปของพ้นื ท่อี ุดมสมบรู ณม าก 3.3.13 สวนปาแมอุคอ อําเภอเมอื ง จงั หวัดแมฮ อ งสอน สวนปาแมอ ุคอ จังหวัดแมฮ อ งสอน สาํ นักงานอนุรักษแ ละพฒั นาสวนปาแมฮอ งสอน (สาํ นักงาน อนรุ กั ษและพัฒนาสวนปา ภาคเหนอื องคการอุตสาหกรรมปา ไม) เปน สวนปาโครงการท่ี 4 ท่รี บั มอบ พ้ืนทจี่ ากกรมปา ไมม าดแู ลรกั ษาเมือ่ วนั ท่ี 22 สงิ หาคม 2533 ซงึ่ ไดดาํ เนนิ การปลูกปาภายใตเ งอื่ นไข สัมปทานปา ไมโ ดย บรษิ ทั แมฮองสอนทําไม จาํ กัด จาํ นวน 4 แปลง เนื้อท่ี 6,479.75 ไร และปลูกโดย บรษิ ัท พ.ต.ทวิ ากร โชตนา และเจาอาภรณสวุ รรณสิงห จาํ นวน 2 แปลงป เน้ือท่ี 1,616.12 ไร รวม พ้นื ทสี่ วนปาทง้ั สน้ิ 6 แปลงป เน้อื ทรี่ วม 8,096.37 ไร

48 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ลักษณะภูมปิ ระเทศ สภาพภมู ิประเทศสวนใหญเ ปน ภเู ขาและทีร่ าบเชงิ เขา บริเวณภูเขาสวนใหญจะเปน เขาหินปนู ปน หินทราย มีหนิ แกรนิตบา งเลก็ นอย ความสูงจากระดบั น้ําทะเลปานกลางประมาณ 500-700 เมตร ความ ลาดชนั ของพ้นื ท่ีประมาณ 16-35% พบลําหวยกระจัดกระจายทัว่ ไป ลักษณะภมู ิอากาศ จังหวัดแมฮองสอนมลี กั ษณะภูมิอากาศแบบฝนเมอื งรอ นเฉพาะฤดูกาล ข้ึนอยกู ับอทิ ธพิ ลของลม มรสุมที่พัดประจาํ ฤดกู าล 2 ประเภท คือ 1. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จะพัดพาอากาศเย็นและแหงจากประเทศจีน ปกคลุม ประเทศไทยในชว งฤดูหนาว ทําใหม อี ากาศเย็นและแหง แลง ทวั่ ไป 2. ลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต จะพดั พามวลอากาศชน้ื จากทะเลและมหาสมุทร เขา มาปกคลมุ ประเทศไทยทําใหมฝี นตกท่วั ไป ลักษณะภมู ิอากาศในชว งป พ.ศ. 2535-2542 จากสถติ ภิ ูมอิ ากาศบริเวณพนื้ ท่ีสวนปาแมอ คุ อ จังหวัดแมฮ องสอน ซงึ่ ทําการเก็บขอมูลท่สี ถานี ตรวจอากาศจังหวดั แมฮ องสอน (เนื่องจากสวนปา แมอุคอไมมสี ถานท่ตี รวจอากาศ) 1. อุณหภมู ิ อุณหภมู เิ ฉลย่ี ท้ังป 25.70 องศาเซลเซียส อุณหภมู สิ งู สุดเฉลย่ี 33.46 องศา เซลเซียส ในเดือนเมษายน และอุณหภมู ติ ํา่ สุดเฉล่ีย 13.24 องศาเซลเซยี ส ในเดือนมกราคม 2. ความชนื้ สมั พัทธ ความชนื้ สมั พัทธเฉลย่ี ตลอดป 73.50% ความชื้นสมั พทั ธส ูงสดุ เฉล่ยี 80.63 % และความช้นื สัมพัทธต า่ํ สุดเฉลย่ี 48.00 % 3. ปริมาณการคายระเหยนํ้า มีปรมิ าณการคายระเหยท้ังป 1,398.80 มลิ ลิเมตร มปี ริมาณ การคายระเหยสูงสุดในเดอื นเมษายน เทา กบั 176.16 มลิ ลิเมตร และตา่ํ สดุ ในเดือนธันวาคม เทากบั 79.08 มลิ ลิเมตร 4. ความเร็วลม ความเร็วลมเฉล่ียตลอดป 0.34 กม./ชม. มีความเรว็ ลมสงู สุดเฉลยี่ 0.83 กม./ชม. ในเดือนเมษายน และมคี วามเรว็ ลมตาํ่ สดุ เฉลย่ี 0.29 กม./ชม. ในเดือนพฤศจิกายน 5. ปรมิ าณนาํ้ ฝน ปรมิ าณนํ้าฝนรวมท้งั ป 1,262.68 มลิ ลเิ มตร และมีวนั ฝนตก 137.02 วัน เดอื นทม่ี ฝี นตกมากท่ีสดุ คือเดือนสงิ หาคม มีวนั ฝนตก 26 วนั และมฝี นตกเฉลีย่ 275.80 มิลลิเมตร 6. หมอก ฟา หลัว และลกู เห็บ หมอกมักจะเกดิ ไดม ากในฤดหู นาว ซึ่งมอี ากาศหนาวเย็นและ ความช้นื สมั พัทธคอนขา งสูงในตอนรงุ เชา ระหวา งเดอื นเมษายน เกดิ หมอกมากทีส่ ดุ ประมาณ 15-20 วนั

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 49 ในเดือน พฤษภาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม พฤศจกิ ายน และธันวาคม เกดิ หมอกประมาณ 1-8 วัน สว นในเดือนมถิ ุนายน และกรกฎาคม ไมพ บหมอกเกิดขึน้ เลย ฟาหลวั เกดิ มากท่สี ุดในเดือนธนั วาคม ประมาณ 24 วนั และเดือนมนี าคมเกดิ ฟา หลัวต่าํ สดุ 0.25 วัน สําหรับการเกิดลกู เห็บพบในเดอื น ธนั วาคม มกราคม และกมุ ภาพันธ เฉลี่ยท้งั ป 5 วัน เมอ่ื นาํ ขอมูลทางดานภูมอิ ากาศเฉลยี่ ในคาบ 30 ป มาเปรยี บเทียบกบั ขอมลู อากาศในชว งป พ.ศ. 2535-2542 พบวา อณุ หภูมเิ ฉล่ียของจงั หวดั แมฮ อ งสอนมีแนวโนมเพิ่มสงู ขน้ึ สว นความชื้นสัมพทั ธใ น บรรยากาศคอ นขางคงท่ี สําหรบั การคายระเหยนาํ้ กพ็ บวา มีแนวโนม ท่ีจะมคี าลดลง ในขณะทีป่ ริมาณนํา้ ฝน ตลอดปม แี นวโนมสงู ขึ้น ลักษณะดนิ ดนิ ในพนื้ ทส่ี วนปา สว นใหญเ ปน ดินทีม่ ีหินปนู โผล (Limestone Rock Land: LSRL) สภาพ พน้ื ที่จะเปน ลอนคลน่ื และเนนิ เขา มีหินปูนโผลก ระจดั กระจายอยทู ่วั ไปในปรมิ าณมากกวา 25% เน้อื ดนิ เปนดนิ รวนปนหินปูนผุ ดินมีสดี ําปนแดงคอนไปทางเหลอื ง บรเิ วณทล่ี าดชันไมเหมาะแกการเกษตรกรรม เนือ่ งจากมหี ินโผลม ากเกนิ ไป บรเิ วณที่ราบเปนดินคอ นขางรว นมกี ารระบายนาํ้ ดจี นถงึ มกี ารระบายนา้ํ มาก เกินไป สาเหตุจากมปี ริมาณสวนผสมของทรายในปริมาณสงู และอาจมกี ารชะลา งพังทลายไดง าย ทรพั ยากรนํา้ สํานักงานสวนปา แมอุคอ (บา นคาหาน) ตง้ั อยบู ริเวณท่รี าบเชงิ เขา ตดิ ลําหว ยขนาดใหญซ ึง่ มนี าํ้ ไหลตลอดป บริเวณสํานักงานสวนปา บา นพกั และแปลงเพาะชาํ ใชนาํ้ จากระบบน้ําประปาภูเขาซ่ึงมีนํ้าใชไ ด ตลอดป ในพน้ื ทส่ี วนปา บางสวน (พนื้ ทป่ี ลูกไมก ฤษณาในแถวสวนปาไมสักเดิมประมาณ 70 ไร ขณะน้ี อยรู ะหวา งการวางระบบประปาภูเขาทวั่ พน้ื ท่แี ปลงปลูก เพอื่ ใชน ํา้ หลอเลยี้ งไมก ฤษณา ใหมคี วามชนื้ ตลอด ป และสวนปากาํ ลังขยายพน้ื ทป่ี ลูกไมก ฤษณาเพิม่ ขน้ึ อีก ใน 1-2 ปน ี้ 3.3.14 สวนปา แมอุมลอง อาํ เภอแมล านอย จงั หวัดแมฮองสอน สวนปา แมอุมลอง สาํ นกั งานอนรุ ักษและพัฒนาสวนปา แมฮ อ งสอน สํานกั งานอนรุ กั ษและพฒั นา สวนปาภาคเหนือ องคการอุตสาหกรรมปา ไม สาํ นกั งานสวนปา ต้ังอยทู ่ี แปลงป 2522 (หว ยมะโหง) หมู 8 ตําบลแมล านอ ย อําเภอแมลานอ ย จังหวดั แมฮองสอน ซง่ึ มพี ้ืนท่ขี องแปลงปลกู สวนปากระจายอยใู น เขตพืน้ ที่ อาํ เภอแมล านอย และอําเภอแมส ะเรียง จังหวดั แมฮอ งสอน

50 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก สวนปาแมอมุ ลองเปน สวนปา โครงการท่ี 4 ทรี่ บั มอบพ้นื ที่จากกรมปาไมมาดแู ล ซึ่งไดดาํ เนนิ การ ปลูกปา ภายใตเ งื่อนไขสัมปทานปา ไมโ ดยองคการสงเคราะหทหารผา นศกึ (อศผ.) จํานวน 5,719 ไร และ ในป 2545 ไดท าํ การรังวัดทด่ี นิ เพื่อแบงพน้ื ท่ีการใชประโยชนท ี่ดินพบวา มเี นื้อทีร่ วม 6,161.88 ไร ซง่ึ ในขณะท่ไี ดด ําเนินการขอขึน้ ทะเบยี นที่ดินเปนสวนปา (สป.3) ในพ้ืนทป่ี าเศรษฐกิจ (ZONE E) แลว จํานวน 3,383.95 ไร และไดส งคืนพน้ื ที่ลุมน้าํ ชน้ั หนงึ่ เอ (ZONE 1A) และพน้ื ทอ่ี นุรกั ษ (ZONE C) จาํ นวน 2,777.93 ไร ใหแกกรมอุทยานแหง ชาตสิ ัตวป า และพันธุพ ืช สว นพน้ื ท่ที ่ีไดรบั มอบซงึ่ ปลกู โดย บริษัท สหายรวมรบเกาหลี จํากัด จาํ นวน 5,012 ไร ขณะนอี้ ยใู นข้ันตอนการดาํ เนนิ งานตดิ ตอ ขอ เจาหนา ท่ีมาทําการรังวัดพนื้ ท่ี เพือ่ ทจ่ี ะไดดําเนินการตามกฎหมายตอ ไป ลกั ษณะทางกายภาพ ลกั ษณะภูมิประเทศ สภาพภมู ิประเทศสว นใหญเปนภเู ขาและเทือกเขา สูงจากระดับนา้ํ ทะเลปานกลางประมาณ 400- 500 เมตร ความลาดชันประมาณรอ ยละ 12-20 ลําหวยสว นใหญพบกระจายท่ัวไป ลกั ษณะทางอทุ กวทิ ยา พ้ืนทส่ี วนปาในเขตการจดั การระบบลุม นํ้า โดยมพี น้ื ทส่ี วนปา บางสว นอยใู นเขตพนื้ ที่ช้ันคณุ ภาพ ลุมน้าํ 1A นา้ํ ที่นํามาใชประโยชนมาจาก 3 แหลงใหญ คือ นํ้าฝน แมนาํ้ ยวม และบอบาดาล ลกั ษณะทางอตุ นุ ยิ มวิทยา ปรมิ าณนา้ํ ฝน ปริมาณน้ําฝนเฉล่ีย 350 มลิ ลเิ มตร โดยเดอื นท่ีมีปรมิ าณน้ําฝนเฉลยี่ สงู สุด คือ เดือนสงิ หาคม (1,155 มิลลเิ มตร) เดือนท่ีมีปรมิ าณนาํ้ ฝนเฉล่ยี ตํ่าสุด คอื เดือนมกราคม (0 มลิ ลิเมตร) อุณหภูมิ อณุ หภมู เิ ฉลย่ี 25.89 องศาเซลเซียส โดยเดอื นทมี่ ีอณุ หภมู ิเฉลี่ยสงู สดุ คือ เดอื น เมษายน (28.50 องศเซลเซียส) เดอื นทมี่ ีอณุ หภูมิเฉลีย่ ต่าํ สดุ คอื เดือนสิงหาคม (22.64 องศาเซลเซยี ส) ปรมิ าณความช้ืนเฉลี่ยสูงสุด คอื เดือนมกราคม (93.74%) เดือนท่ีมีปริมาณความชนื้ ตา่ํ สุดคือเดอื น เมษายน (84.50%) ลกั ษณะทางปฐพีวิทยา ลกั ษณะดินของสวนปาแมอ ุมลอง จัดอยูใ นชดุ ดินทลี่ าดเชิงซอ น (Sc) ปะปนกับชดุ ดินทายาง (Ty) และชุดดนิ แมร มิ (Mr) กลุมดินเปนกลมุ ดินที่มีเนอื้ ดินบนสวนใหญเปนดนิ รว นปนทราย สว นเน้อื ดินลางเปนดินเศษหินหรอื ปนกรวด สีดินเปน สีนํ้าตาลและสีแดง พบทั้งชั้นดนิ ลกึ และชน้ั ดนิ ต้นื ลกั ษณะ

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 51 เนือ้ ดนิ และความอดุ มสมบรู ณตามธรรมชาตคิ อนขา งตาํ่ ปฏิกริ ิยาดนิ เปนกรด โดยมคี าความเปนกรด- ดาง (pH) ประมาณ 4.5-5.5 3.3.15 สวนปา ศรสี ชั นาลัย อาํ เภอศรสี ชั นาลยั จังหวัดสโุ ขทัย สวนปา ศรีสชั นาลยั สาํ นกั งานอนุรกั ษแ ละพฒั นาสวนปาสุโขทยั สาํ นักงานอนรุ ักษและพัฒนา สวนปา ภาคเหนือ องคก ารอตุ สาหกรรมปาไม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ ม สํานกั งาน สวนปา ต้งั อยูเลขท่ี 260 หมูท่ี 12 ตาํ บลแมส า อําเภอศรีสัชนาลยั จงั หวดั สโุ ขทยั บริเวณพ้ืนที่สาํ นกั งาน ไดร ับอนุญาตใหใชประโยชนพ น้ื ทป่ี า สงวนแหงชาติ ปา หว ยทรวง ปา แมสาํ ปา บานตึก และปา หว ยไคร แปลงปลกู สรางสวนปา เริม่ ดาํ เนินการปลกู สรา งตัง้ แตป พ.ศ. 2518-2535 จํานวน 16 แปลง รวมพ้นื ท่ี ทัง้ หมด 15,646ไร ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ สวนปาศรีสัชนาลัย ต้ังอยทู ่ีพกิ ดั เสนรงุ (Latitude) ท่ี 17o 36’ N - 17o 41’ N เสน แวง (Longititude) ท่ี 90o 41’ E - 90o 45’ E หรอื UTM ท่ี 1,947,500 m.N, 576,900 m.E สงู จากระดับนาํ้ ทะเลปานกลาง (MSL) 80-300 เมตร โดยอยหู า งจากจังหวัดสโุ ขทัยประมาณ 75 กิโลเมตร พ้ืนท่โี ครงการตงั้ อยทู างดา นซา ยของถนนสาย ศรีสัชนาลยั – เดนชัย (ทางหลวงหมายเลข 101) ลกั ษณะทางธรณวี ิทยา พ้นื ที่สว นใหญประกอบดวย ทลี่ าดเชงิ เขาสลับซับซอนกับภูเขา มคี วามลาดชนั ประมาณรอยละ 5-35 พบหินช้นั พ้นื ลกึ 50-80 เซนติเมตร ซึ่งจะเปน หนิ ผุ บางแหง มหี นิ ปนู ปะปนอยูด วย ลกั ษณะทางปฐพวี ทิ ยา เปน ดนิ เหนยี วหรอื ดินรวน สนี ํ้าตาลหรือสแี ดง มเี ศษหินปะปนอยมู าก ในดนิ ช้นั ลางระดับความ ลึกตา่ํ กวา 50 เซนตเิ มตรลงไป จะพบหนิ ผุ สขี องดนิ มสี ีแดง ซ่ึงเกดิ จากวัตถตุ น กําเนดิ ดินพวกหนิ ตะกอนเน้อื ละเอยี ดท่มี ีหินปนู ปนหรอื อาจเกิดจากการสลายตวั ผุพังของหินเน้อื ละเอยี ด เปน ดินตนื้ การ ระบายนํา้ ดถี ึงปานกลาง มกี ารกัดกรอนของดนิ ท่ีความชันสูงคา pH ประมาณ 5-7.5 และมีความอุดม สมบูรณต ามธรรมชาตติ า่ํ ถงึ ปานกลาง ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะทางอุตนุ ิยมวิทยา สถติ ปิ รมิ าณนํา้ ฝน 10 ป ยอ นหลัง (ตงั้ แตป  2537-2546) เฉลีย่

52 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก 1,291.97 มลิ ลิเมตร/ป โดยมีปริมาณนํา้ ฝนรวมในป 2546 เทา กับ 975.5 มิลลิเมตร และจาํ นวนวันที่ ฝนตกในป 2546 เทา กบั 92 วัน อุณหภมู ิ สถิตอิ ณุ หภมู ิ 10 ป ยอ นหลงั (ต้ังแตป 2537-2546) เฉล่ยี 27.77 องศาเซลเซยี ส โดยมีอุณหภมู ิสูงสุดในป 2546 เทากบั 34.60 องศาเซลเซียส และอณุ หภมู ิตํ่าสุดในป 2546 เทากบั 22.10 องศาเซลเซยี ส ความช้ืนสมั พัทธ สถติ ิความชน้ื สัมพัทธ 10 ป ยอนหลงั (ต้งั แตป  2537-2546) เฉลี่ยรอยละ 71.80 โดยมคี วามช้ืนสัมพทั ธส ูงสดุ ในป 2546 เทากบั รอ ยละ 90 และความชน้ื สมั พทั ธต าํ่ สดุ ในป 2546 เทากับรอ ยละ 42 ความชน้ื สัมพัทธเฉลย่ี ในป 2546 เทา กับรอยละ 65 พืชสมุนไพรทป่ี ลูกในพื้นท่สี วนปา ศรสี ชั นาลยั เสาวรส จาํ นวน 50 ตน กระชายดาํ จาํ นวน 400 ตน มะขามปอ ม จาํ นวน 200 ตน เพกา จํานวน 350 ตน เทา ยายมอม จํานวน 38 ตน หนอนตายอยาก จาํ นวน 21 ตน หญา หนวดแมว จาํ นวน 101 ตน ขมิ้นเหลอื ง จํานวน 16 ตน กระชายดาํ จํานวน 6 ตน ไพลดาํ จํานวน 20 ตน หวายเอ็นยืด จาํ นวน 31 ตน หญาหนวดแมว จํานวน 201 ตน ขมนิ้ ดาํ จาํ นวน 21 ตน บอระเพ็ด จํานวน 94 ตน ขา จาํ นวน 37 ตน ขมิ้นขาว จํานวน 19 ตน ลูกใตใ บ จํานวน 185 ตน ฟาทะลายโจร จํานวน 84 ตน โทงเทง จาํ นวน 17 ตน เพชรสงั ฆาต จาํ นวน 70 ตน เปลา ตองแตก จาํ นวน 30 ตน เตยหอม จาํ นวน 95 ตน วา นหางจระเข จาํ นวน 39 ตน ทองพันช่งั จาํ นวน 108 ตน สรปุ ชนิดพันธทุ ีป่ ลกู 22 ชนิด จาํ นวน 2,233 ตน พน้ื ที่ปลกู สมนุ ไพรทัง้ ส้นิ 20.22 ไร พื้นท่ที ่ีสามารถปลกู สมนุ ไพรได 95 ไร

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 53 3.3.16 สวนปา หลวงสันกาํ แพง กงิ่ อําเภอแมอ อน จังหวดั เชยี งใหม สวนปา หลวงสนั กาํ แพง จังหวดั เชียงใหม อตุ สาหกรรมปาไมเขตเชียงใหม องคก ารอุตสาหกรรม ปา ไม เปนสวนโครงการท่ี 2 ปลูกปาตามพระราชดาํ รขิ อง พระบาทสมเดจ็ พระเจา อยูห วั ฯ เพ่อื ใหเ ปนปา อนรุ กั ษ และเปน ปา ไมฟ น สาํ หรับราษฎรในอนาคต ดาํ เนินการปลกู ไมกระยาเลย อาทิ ไมย คู าลิบตสั ไมสน สามใบ ฯลฯ และไมสกั ตงั้ แต ป พ.ศ. 2522-ป พ.ศ. 2529 รวมพื้นที่ 4,650 ไร ปจ จบุ นั ไดรับงบเงนิ อดุ หนุนจากรฐั บาลในการจา งงานราษฎรในพนื้ ท่ี บํารุงดแู ลรักษาสวนปาแปลงปต า ง ๆ สวนปา หลวงสัน กําแพง มสี าํ นักงานตั้งอยูในเขตปา สงวนแหง ชาติ ในเขตงานรับผดิ ชอบของศนู ยพ ฒั นาโครงการหลวงแม ทาเหนอื หมูท ่ี 3 บา นหว ยบง ตาํ บลทาเหนอื กง่ิ อําเภอแมอ อน จังหวัดเชียงใหม ลกั ษณะภมู ิประเทศของสวนปาแหงนี้ เปนทร่ี าบระหวา งหุบเขา มีแมน าํ้ ทาไหลผา นจากดานทศิ เหนอื มลี าํ หว ยสาขาไหลจากภูเขาทางดานทศิ ตะวนั ออก และทิศตะวนั ตก ลงมารวมกับแมนํ้าทา ระดับ ความสงู จากระดบั นาํ้ ทะเล 520 เมตร สภาพปา ท่ัวไป สว นใหญเ ปนปา เตง็ รัง และมีปาเบญจพรรณผสม แตไ มม ากนกั ลกั ษณะภมู ิอากาศโดยทัว่ ไป ปรมิ าณนาํ้ ฝน จะเรม่ิ ตกตง้ั แตเดือนมนี าคม ถึงเดอื นตลุ าคม และ ตกชกุ ในเดือนกนั ยายน มีปรมิ าณนา้ํ ฝนทั้งปเ ฉล่ีย 1,200 มม. อณุ หภูมิสูงสุด ในชว งเดอื นเมษายน ประมาณ 41 oC อณุ หภมู ติ ํ่าสุด ในชวงเดือนมกราคม ประมาณ 6 oC และอณุ หภมู ิเฉลย่ี 23.8 oC คณะทาํ งานไดไปสาํ รวจพืน้ ท่ีเพาะปลกู สมนุ ไพรท่ีสวนปาหลวงสนั กาํ แพง พบวา สวนปา แหงนี้มี จดุ เดนหลายอยาง คอื 1. สวนปาแหงนี้เปนสถานที่เงียบสงบ ไมมีโรงงานอุตสาหกรรม ไมมีมลพิษตางๆ ประชากร ประกอบอาชีพทางดานเกษตร มที ้งั กลมุ เกษตรผลติ ผักปลอดสารพิษ กลุมเกษตรของโครงการหลวง มี ความหลากหลายของประชากร โดยเปนคนเมอื ง ประมาณรอ ยละ 87 และชาวเขาเผา กระเหรยี่ งประมาณ รอยละ 13 การคมนาคมสะดวก สามารถดาํ เนินการทอ งเที่ยวในรูปบา นพกั (Homestay) สาํ หรบั พกั ผอ นระยะยาว-ปานกลาง โดยมกี ลุมเปา หมายเปน ผูสงู อายุท่ีตอ งการพักผอ นแบบสงบ อาจเสรมิ ดาน การดูแลสขุ ภาพ อาทิ ขจ่ี ักรยาน การออกกาํ ลงั กายรปู แบบตางๆ หรือดาํ เนินการในรปู ศนู ยส ุขภาพ 2. ผรู บั ผิดชอบในพืน้ ทเี่ ปนผมู ีความรแู ละมีประสบการณด านงานสวนปาและสวนสมนุ ไพรสูง มาก อกี ทงั้ มีความต้งั ใจและทํางานดวยจิตวญิ ญาณ ซึ่งจะเปน ประโยชนอ ยางย่ิงตองานวจิ ัยและพัฒนา สมนุ ไพรของหนว ยงานตาง ๆ ของภาครฐั โดยสามารถเปนเครอื ขายความรว มมือในดานการสนบั สนนุ วัตถดุ บิ สมนุ ไพรสําหรับการศึกษาวิจัย จะทําใหผ วู จิ ยั ทราบรายละเอียดของขอ มูลวตั ถุดบิ เชน การเก็บ

54 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก เกย่ี ว อายุ การแปรรปู สภาพแวดลอ มในการเจริญเติบโต ฯลฯ เปนตน ซงึ่ จะสง ผลใหผลการวจิ ยั ทาง พรีคลนิ ิกมีคุณภาพ 3. สวนปาแหง นม้ี คี วามอดุ มสมบูรณมาก มีสมนุ ไพรทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติมากมายหลาย ชนดิ และมกี ารเพาะปลกู สมนุ ไพรอีกหลายชนิดบนพื้นที่ 5 ไร สมนุ ไพรเหลา น้ี ไดแก ขงิ ไพล ไพลดํา ขมนิ้ ชัน ขมน้ิ ขาว เจียวกูห ลาน กระชายดาํ ฟาทะลายโจร ทองพันชั่ง หญา หนวดแมว หนมุ านประสาน กาย เพชรสงั ฆาต และกระเจย๊ี บแดง รวมท้ังมกี ารปลูกปอกระเจาะฝกยาว (โมโรเฮยะ) ซงึ่ เปน พชื ทีน่ ิยม ปลกู กันอยางแพรห ลายในประเทศญีป่ ุน เน่ืองจากใบของพชื ชนิดนีม้ แี รธาตุตา ง ๆ มากมายซ่งึ มคี ณุ คา ทาง อาหารสูง คือ มีสารประเภทแคโรทีน วติ ามนิ เอ วิตามินบี 1 และวติ ามินบี 2 ในปรมิ าณสูง 3.3.17 สวนปาปากปาด อําเภอนํ้าปาด จงั หวัดอุตรดิตถ สวนปา ปากปาด จงั หวัดอตุ รดติ ถ องคการอุตสาหกรรมปาไม ไดรับมอบพ้นื ที่จากบรษิ ทั อตุ รดิตถท าํ ไม จํากดั ซ่ึงปลกู ตามเง่อื นไขสมั ปทานโดยมีการรบั มอบ 2 คร้ัง คอื ในครัง้ แรกเม่อื วนั ที่ 2 สงิ หาคม 2533 และในครง้ั ทสี่ องเมือ่ วันที่ 1 กันยายน 2535 นอกจากน้ันทางงานสวนปา ปากปาดได ขออนญุ าตจากกรมปาไมเ พือ่ ขอใชพ้นื ที่ตามมาตรา 16 แหงพระราชบญั ญตั ปิ า สงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 ในการจดั ตั้งสาํ นกั งานของสวนปา ปากปาดในวนั ท่ี 12 กรกฎาคม 2536 จํานวนเน้ือที่ 217 ไร ในทอ งที่ ตําบลแสนตอ อําเภอนาํ้ ปาด จงั หวดั อุตรดติ ถ โดยทางงานไดแบง พืน้ ทสี่ วนหน่งึ จํานวน 50 ไร จัดใหเปนสวนรุกขชาติสวนปา ปากปาด เพ่ือใหประชาชนและผทู ่ีสนใจเกย่ี วกับพชื พรรณไมไดม า ศึกษาหาความรแู ละเปนแหลงพกั ผอนหยอนใจ งานปลกู พชื สมนุ ไพรและพืชธัญญาหาร 1. สภาพพ้นื ทปี่ ลูกพืชสมนุ ไพร เปนพื้นทล่ี าดเอยี ง ดินเปนดนิ ลกู รัง มีความอุดมสมบรู ณต าํ่ ไมอุมน้ํา เมื่อฝนตกทาํ ใหเกดิ น้ําไหลบาหนา ดนิ ปรมิ าณน้ําฝนประมาณ 1,400 มลิ ลเิ มตร อุณหภูมิเฉลยี่ 22-36 องศาเซลเซียส 2. สมนุ ไพรท่ีปลูกและบํารงุ รกั ษา ไดแก - ตะไครห อม จํานวน 2 ไร เร่ิมปลูกตงั้ แตเ ดอื นมถิ นุ ายน โดยปลูกระหวางแถวของตน เปลานอย ใชร ะยะปลกู 50 x 50 เซนตเิ มตร - ชุมเห็ดเทศ จํานวน 3 ไร เร่มิ ปลกู ตง้ั แตเ ดอื นสิงหาคม โดยใชร ะยะปลูก 1 x 1 เมตร - เปลา นอ ย

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 55 - วานชักมดลูก - ฟา ทะลายโจร 3. การบาํ รงุ ดูแลรกั ษาพืชสมุนไพร - รดน้าํ - พรวนดนิ - ถอนหญา - รดราดจลุ นิ ทรยี มปี ระสทิ ธภิ าพ สัปดาหล ะ 2 คร้งั - รดราดฮอรโมนยอดพืช สปั ดาหล ะ 2 ครง้ั - รดราดสารขับไลแ มลงศตั รูพชื เม่อื มีการแพรระบาด 4. ปญหาและอุปสรรค - ดินมคี วามอุดมสมบูรณต าํ่ ทําใหพ ืชแคระแกน เจรญิ เตบิ โตไดไ มด ีเทาท่ีควร - มแี หลง นํ้าไมเพยี งพอตอ การใหนํ้าพืชสมนุ ไพร - ไดกลา พันธลุ า ชา ทาํ ใหชวงระยะเวลาปลกู ส้นั ลง - ขาดความรูความเขาใจในการปลกู และดูแลรกั ษา 3.3.18 สวนปา ภูสวรรค อาํ เภอเมอื ง จงั หวัดเลย สวนปาภูสวรรค จังหวัดเลย อุตสาหกรรมปาไมเขตขอนแกน องคการอุตสาหกรรมปาไม (อตุ สาหกรรมปา ไมเขตขอนแกน จะดแู ลพน้ื ทใ่ี นเขตอสี านตอนบนท้งั หมด ไดแ ก จงั หวดั ขอนแกน อุดรธานี เลย ชยั ภูมิ หนองคาย สกลนคร รอยเอด็ และหนองบวั ลําภ)ู เดิมเปน สวนปาท่ีปลกู ตามเง่ือนไขสัมปทาน ขององคการทหารผานศึก เริ่มดําเนินการปลูกสรางสวนปาต้ังแตป พ.ศ.2521 องคการอุตสาหกรรม ปาไมร ับมอบมาดูแลเมอื่ เดอื นกันยายน 2533 เปนสวนโครงการท่ี 4 ปจจบุ ันอยูในความรับผิดชอบของ โครงการปลูกสรางสวนปาที่ 1 อตุ สาหกรรมปาไมเ ขตขอนแกน ฝายอุตสาหกรรมปาไมภ าคตะวันออกและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื องคการอตุ สาหกรรมปา ไม พ้ืนที่สวนปามจี ํานวน 4 แปลงใหญ ในทอ งท่ตี ําบลเสี้ยว อาํ เภอเมือง จงั หวดั เลย กระจายอยรู มิ ทางหลวงหมายเลข 203 (เลย-หลมสัก) ระหวางหลกั กม.ที่ 8-27 มหี มบู านอยรู อบสวนปา 7-8 หมบู า น สํานกั งานสวนปา ต้ังอยรู มิ ทางหลวงหมายเลข 203 กม. ที่ 8,600 ทศิ เหนือ ในเขตแปลงสวนปาป 2521 ของแปลงสวนปาบา นหวยลวงไซ (สวนปาหว ยฮอมเดมิ ) มีเนื้อที่ประมาณ 8 ไร เปนทต่ี ัง้ ของสํานกั งาน โครงการปลกู สรางสวนปา ที่ 1 อุตสาหกรรมปา ไมเ ขตขอนแกน

56 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ดา นการปลูกปา พน้ื ทส่ี วนปา อยูตามไหลเขาคอ นขางชันถงึ ชนั มาก ความสูงจากระดับน้ําทะเล ปานกลางเฉล่ยี 300-700 เมตร เดิมเปน ปา เบญจพรรณ มปี าไผเ ปนไมพืน้ ลางอยอู ยา งหนาแนน เนื้อที่ สวนปา จํานวน 6,794.51 ไร มจี ํานวน 4 แปลงใหญ แยกเปน - สวนปาบา นหว ยลวงไซ (เดมิ สวนปา หว ยฮอม) มีเน้ือท่ี 1,719.06 ไร - สวนปา บานกอไรใหญ (เดมิ สวนปา ภสู วรรค โครงการท่ี 1) มีเน้ือท่ี 1,011.83 ไร - สวนปา บานโพนปา แดง (เดมิ สวนปา ภสู วรรค โครงการที่ 2) มเี น้ือที่ 1,689 ไร - สวนปา โพนปา แดง (เดิมสวนปา ภสู วรรค โครงการท่ี 2) มีเน้อื ที่ 2,374.62 ไร การบํารงุ รกั ษาสวนปา จะทําการแผว ถางวชั พืชปล ะครง้ั และทําแนวกนั ไฟในเดือน พฤศจิกายน ถึง เดอื นกมุ ภาพนั ธ สาํ หรบั สมนุ ไพรในพืน้ ท่ี คอื กระชายดาํ และวานชักมดลกู และขณะน้ีเร่มิ ปลกู ขม้นิ ชันแลว (ไดตน พนั ธุมาจากเขาคอ ทะเลภ)ู 3.4 การคดั เลอื กพื้นท่ีเพาะปลกู สมุนไพรเปาหมาย คัดเลอื กสถานท่ีปลูกโดยดจู ากลกั ษณะทางกายภาพ สภาพแวดลอ มของพน้ื ที่ และประวตั กิ าร ใชที่ดินเพื่อประเมินวาเปนพื้นที่เสี่ยงตอสารพิษตกคางและโลหะหนักหรือไม รวมทั้งดูความพรอมของ พื้นทวี่ า มผี ูรับผดิ ชอบหรือมศี กั ยภาพในการทาํ วิจัยหรือไม หลงั การสาํ รวจพืน้ ท่เี พาะปลกู คัดเลือกพ้นื ท่ีที่ มีสภาพแวดลอมเหมาะสมสําหรบั สมุนไพรแตล ะชนิด ชนิดละ 3-5 แหง ดําเนินการเก็บตัวอยางดนิ และ น้ําเพือ่ การเกษตรกรรมจากพื้นท่ีเปาหมาย สงสํานักวทิ ยาศาสตรเพ่อื การพฒั นาท่ีดิน กรมพฒั นาท่ดี นิ เพ่ือ ประเมินความอุดมสมบูรณข องดิน และคณุ ภาพนํ้า โดยทว่ั ไปชว งทีเ่ หมาะตอการเก็บตวั อยางดนิ คอื หลงั การเกบ็ เก่ยี วหรอื กอนฤดูปลูกประมาณ 2 เดอื น ผลการสาํ รวจสามารถคัดเลือกพ้ืนทท่ี ่ีเหมาะสมในการ ปลูกสมนุ ไพรแตละชนิด ยกเวนโกฐเชียง เนื่องจากไมสามารถหาพ้ืนทท่ี ีส่ งู จากระดบั นาํ้ ทะเล 2,000- 2,900 เมตร รายละเอยี ดดังแสดงในตารางท่ี 2

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 57 ตารางท่ี 2 แสดงรายชือ่ สถานท่ีท่ีมีสภาพแวดลอมเหมาะสมในการปลกู สมนุ ไพรแตล ะชนดิ ลําดับที่ สมนุ ไพร พื้นทเ่ี หมาะสม จังหวดั 1 ปญ จขันธ สวนปา หลวงสันกาํ แพง สวนปา บานหลวง สวนปา เชียงใหม แมหอพระ สวนปาแมแ จม สวนปา แมอคุ อ ศนู ยสง เสริมและพฒั นาอาชีพเกษตรจงั หวัดเชยี งใหม ศูนยวิจัยพชื สวนเชยี งราย กรมวิชาการเกษตร เชียงราย 2 โกฐจุฬาลาํ พา/ชงิ เฮา สวนสมนุ ไพรกรมวิทยาศาสตรก ารแพทย ระยอง ศนู ยสง เสริมและพฒั นาอาชีพเกษตรจงั หวดั เชยี งราย เชียงราย สวนปาเขากระยาง พษิ ณโุ ลก สวนปา ทาปลา-น้ําลี สวนปาปากปาด อุตรดติ ถ สวนปา ขนุ แมค ํามี แพร 3 โกฐสอ ศนู ยกสกิ รรมธรรมชาตทิ า มะขาม กาญจนบรุ ี สวนปาแมย าว-แมซา ย เชยี งราย 4 โกฐเขมา สวนปา ขนุ แมคํามี สวนปาแมค าํ ปอง-แมส าย แพร สวนปา แมย าว-แมซา ย เชยี งราย สวนปา ขนุ แมค ํามี สวนปา แมค ําปอง-แมส าย แพร สวนปาเขากระยาง พิษณโุ ลก 5 โกฐเชยี ง สวนปา ทรายคาํ ลําปาง 6 โกฐหวั บวั ไมพ บพน้ื ที่ท่ีเหมาะสม - สวนปา แมย าว-แมซา ย เชยี งราย สวนปาขนุ แมค ํามี สวนปา แมค าํ ปอง-แมสาย แพร สวนปาเขากระยาง พิษณโุ ลก 7 ชะเอมเทศ สวนปา แมทรายคํา ลาํ ปาง องคก ารอุตสาหกรรมปา ไมจงั หวดั อดุ รธานี อดุ รธานี สวนปาคอนสาร ชยั ภมู ิ สวนปา มญั จาคีรี ขอนแกน 8 อบเชยจนี สวนสมเดจ็ กาฬสนิ ธุ สวนปานาํ้ สวย-หว ยปลาดกุ เลย สวนปา แมย าว-แมซาย เชียงราย สวนปา โซพ ิสยั สวนปา บึงกาฬ หนองคาย สวนปานํา้ โสม อดุ รธานี

58 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก เอกสารอางองิ 1. ชนิดา ศักด์ศิ ิริสมั พนั ธ. หนา ตางสโู ลกกวาง-ประเทศจนี . กรุงเทพฯ : บรษิ ัท สํานักพิมพหนา ตางสโู ลกกวา ง จํากดั . 2544. 427 หนา. 2. จณัฐฏลิ ักษณ ธาตุรักษ, วศิ ิษฐ จติ อาร,ี วฤทธช์ิ าติ ปาณชู. จุลสารเอเชยี ศึกษา (Journal of Asian Studies) เอกสารวิชาการ อนั ดบั ท่ี 1/2546. ศูนยข อมูลจนี ตอนใตศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม. 3. เยน็ จติ ร เตชะดํารงสิน. ขอมลู สาํ คญั ของสมนุ ไพรเปาหมาย. กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก กระทรวง สาธารณสุข. เอกสารประกอบการประชมุ เชงิ ปฏิบตั กิ ารเร่อื ง “การพฒั นาวัตถดุ ิบและการปลูกสมุนไพรจีนในทองถ่นิ ” ระหวางวันท่ี 31 มกราคม - 1 กุมภาพนั ธ 2547 ณ อุทยานแหงชาตเิ ขาใหญ จงั หวดั นครราชสีมา. 4. Lin JY, Li Y. Cultivation Technique of Medicinal Plants. Beijing: China Forest Publishing House. 1999. p. 407-12 (in Chinese). 5. เยน็ จิตร เตชะดํารงสิน. เทคนิคการปลกู สมุนไพรปญจขันธ. สถาบันการแพทยไ ทย-จนี เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต กรมพัฒนาการ แพทยแผนไทยและการแพทยท างเลือก กระทรวงสาธารณสขุ , นนทบุร.ี 2547. 10 หนา . 6. Flora of China. Study Missouri Botanical Garden. http://www.mobot.org June 1998. 7. Cultivation Technique of Jiao-Gu-Lan. http://www.windrug.com December 2003. 8. วีณา จิรจั ฉริยากูล และคณะ. ยาจากสมนุ ไพร. คณะเภสัชศาสตร มหาวทิ ยาลัยมหิดล. กรุงเทพฯ : เท็กซแ อนดเจอนัล คอรปอเรชั่น. 2533. p. 259-61. 9. เยน็ จติ ร เตชะดํารงสิน. แผนการศกึ ษาวจิ ัยการปลกู สมุนไพรจีน. สถาบันการแพทยไ ทย-จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต กรมพฒั นา การแพทยแผนไทยและการแพทยท างเลือก กระทรวงสาธารณสขุ . นนทบรุ ี. 2548. 32 หนา . 10. Ren RA, Chen RH. Identification of Chinese Herbal Medicine. Shanghai: Shanghai Sci.&Tech. Publishing House. 1986. p.109-13 (in Chinese). 11. ประเทศไทย. http://www.rta.mi.th/23200 October 2007. 12. ไซมอน การด เนอร, พินดา สิทธิสุนทร, วไิ ลวรรณ อนุสารสุนทร. คมู ือศึกษาพรรณไมยืนตน ในปาภาคเหนือ ประเทศไทย. กรุงเทพฯ : โครงการจดั พมิ พค บไฟ. 2549. หนา 9-11. 13. องคก ารอุตสาหกรรมปา ไม กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ ม. ขอมูลพน้ื ทส่ี วนปา. 2546-2648.

การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 59 บทท่ี 4 ปจจยั การผลิตทางการเกษตรเพ่อื การเพาะปลูกพืชสมนุ ไพร ปจ จัยการผลิตทางการเกษตรแบง ออกเปน 2 ประเภท คอื ปจ จยั การผลิตทม่ี ีอยู เชน ดิน นาํ้ อากาศ และปจจยั การผลิตภายนอก เชน ปยุ อินทรยี  ปยุ คอก ปยุ หมัก วัสดุปรบั ปรงุ ดิน และสารปอ งกนั และสารกําจดั ศัตรูพชื ปจ จัยการผลิตท่ีมอี ยคู ือ คุณภาพดินและน้าํ เปนปจ จัยท่สี าํ คัญพน้ื ฐานท่ตี อ งการ ทราบกอ นที่จะทําการคัดเลอื กพ้ืนทหี่ รอื แบง ขอบเขต (zoning) 1-2 ใหชดั เจน 4.1 ความสําคัญของคณุ ภาพดินและน้าํ ตอการปลกู พชื สมุนไพร1-2 คณุ ภาพดินและนา้ํ มคี วามสําคัญตอการปลกู พชื สมนุ ไพร เนอ่ื งจากสารสาํ คัญทไี่ ดจ ากพชื สมุนไพร ทั้งปริมาณและคุณภาพ ตองมีการจัดการคุณภาพดินและนํา้ ใหเหมาะสมกับพืชสมุนไพรแตละชนิด นอกจากน้ีการตรวจสอบวาในดินและนํา้ มีการปนเปอนดวยโลหะหนักและสารท่ีเปนพิษอยูในระดับ มาตรฐานน้ันสําคัญมาก ดังนั้น การวเิ คราะหดนิ และพืชเปนกุญแจสาํ คัญนําไปสกู ารจัดการดนิ และปุย อยา งมีประสิทธภิ าพ การใชป ุยอยางมปี ระสทิ ธภิ าพ หมายถงึ การใชป ุย ตรงตามชนดิ ทพี่ ืชตอ งการ และใช ในปรมิ าณที่เหมาะสม การใชป ยุ โดยปราศจากขอ มลู ทีถ่ กู ตองนําไปสคู วามสญู เสียในระยะยาว นอกจาก สรางความสญู เสียใหแกพน้ื ท่ที าํ การเกษตรแลว ยงั สรา งความเสยี หายใหแกสิง่ แวดลอ ม ปยุ ทเี่ กษตรกร ใชมากเกนิ ไปถกู ชะลา งลงสแู หลงนํ้าธรรมชาตแิ ละน้ําใตด ิน ปญหานพี้ บไดบ อยกบั ปยุ ไนเทรต เนอ่ื งจาก เปนปุย ทีถ่ กู ชะลา งไดง า ย จากการศกึ ษาของ Kraimer et al. (2001) พบวาปุย แอมโมเนยี มซลั เฟตถูก ชะลา งลงไปลกึ ถึง 280 เซนตเิ มตร หลังจากใหน้ําชลประทาน 99 มิลลเิ มตร เมอื่ คนหรอื สตั วบ รโิ ภคนา้ํ ท่ีปนเปอนปุยไนเทรตเขาสูรางกาย จุลินทรียในรางกายจะรีดิวซไนเทรตใหกลายเปนไนไทรต ซึ่งเปน อันตรายตอ คนและสตั ว ปยุ ชนดิ อื่นๆ ก็สามารถกอใหเกดิ ปญหาไดในทาํ นองเดยี วกัน การวิเคราะหด ิน ยังสามารถใชเปน เครอื่ งมือที่สาํ คัญในการประเมินผลกระทบดานส่ิงแวดลอ มอีกดว ย เชน ใชบ อกระดับ การสะสมของโลหะหนักในพชื ทปี่ ลกู ในดนิ ทปี่ นเปอน หากใชว ิธสี กดั ท่เี หมาะสม เปนตน (Hani, 1996) 4.1.1 1-2 การเก็บและเตรียมตัวอยา งดนิ เพอ่ื ประเมนิ ความอดุ มสมบรู ณ การประเมนิ ความอุดมสมบูรณโ ดยการนาํ ดินมาวเิ คราะหในหอ งปฏิบัติการ เปนวธิ ีท่ีใหคําตอบ ไดอยา งแมน ยาํ เกษตรกรสามารถนําขอ มูลไปใชในการปรบั ปรงุ บาํ รุงดินและวางแผนการใชป ยุ ไดอยางมี ประสทิ ธิภาพ อยางไรก็ตามเราไมสามารถนาํ ดนิ ทั้งหมดในพนื้ ท่ีมาวเิ คราะหในหองปฏิบตั กิ ารได ดังนั้น

60 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก จึงตองมกี ระบวนการเกบ็ ดนิ บางสวนเพ่อื นาํ ไปวิเคราะห บางสว นของดินซึ่งสามารถเปนตัวแทนของดิน ทั้งหมดในพื้นที่ไดนี้เรียกวา “ตัวอยางดิน” ตัวอยางดินจะตองเปนตัวแทนของดินในพื้นท่ีท่ีตองการ ประเมินความอุดมสมบูรณอยางแทจริง ผลการวิเคราะหจึงจะสามารถนาํ ไปใชบริหารจัดการดินอยาง ถกู ตอ งและเหมาะสม ความสําคัญในการเก็บตัวอยา งจงึ มมี ากพอ ๆ กบั ความสาํ คัญในการวเิ คราะหใน หองปฏิบัติการดิน ณ ตาํ แหนงใดตําแหนงหน่งึ ในพ้นื ทีไ่ มอาจระบุไดวาเปนตัวแทนของพื้นทีน่ ้ันได ดงั น้ัน ในทางปฏบิ ตั ิจาํ เปนตอ งเกบ็ หลายตัวอยางแลวนาํ มาสรางเปนตัวอยา งใหม (composite sample) การ เกบ็ ตวั อยา งไมควรกระทําในชวงเวลาทีฝ่ นตกชุก หรอื ดินแหง เกนิ ไป เพราะยากตอ การเก็บและนาํ มาผสม คลกุ เคลา ชวงทเ่ี หมาะตอการเก็บตัวอยา งดนิ โดยท่ัวไปคอื หลังการเกบ็ เก่ยี ว หรือกอ นฤดปู ลกู ประมาณ 2 เดือน 4.1.2 1-2 การเตรยี มตวั อยา งเพ่อื การวิเคราะห ตัวอยางดินท่ีนํามาถึงหองปฏิบัติการแลวควรมีการลงทะเบียนเจาของตัวอยาง (user/client) ลงทะเบียนตัวอยาง และกําหนดรหัส (lab. code) หรือเครื่องหมายรหัสแทง (bar code) เพ่ือความ สะดวกในการอางอิงภายหลัง ขั้นตอนน้ีไมควรใชเวลา จากน้ันจึงนําตัวอยางไปผ่ึงในที่รมทันที เพื่อลด กิจกรรมของจุลินทรีย ระยะเวลาตั้งแตเก็บตัวอยางดินเสร็จจนถึงเริ่มผึ่งไมควรเกิน 24 ชั่วโมง หากไม สามารถดําเนินการไดทันควรเก็บตัวอยางในท่ีเย็นที่มีอุณหภูมิประมาณ 4 ๐ C หรือเติมสารยับย้ังการ เจริญเติบโตของจุลินทรีย เชน คลอโรฟอรม ลงไปในกรณีที่ตองการใหตัวอยางแหงเร็วข้ึน อาจผ่ึง ตัวอยางในหองหรือตูอบที่เพ่ิมอุณหภูมิใหสูงกวาอุณหภูมิหอง แตจะตองไมเพ่ิมอุณหภูมิสูงกวา 40 ๐ C เนื่องจากดนิ อาจเกิดการเปลี่ยนสมบตั ิทางเคมแี ละกายภาพได โดยเฉพาะโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนไดใน ดินท่ีมีแรไมกาและเวอรมิคูไลทเปนองคประกอบอยูมาก (Bates, 1993; Brown, 1999: Soil and Plant Analysis Council, 1999) ผลการวิเคราะห K, Fe, Mn, Cu, และ Zn อาจไดรับผลกระทบ จากการทําใหด นิ แหง การวิเคราะหแอมโมเนีย และไนเทรตควรดําเนินการทันทีในสภาพดินช้ืน หากตอง ปฏิบัติการไมพรอมที่จะวิเคราะหทันที ควรสกัดและเก็บตัวอยางสารละลายไวในท่ีเย็น (อุณหภูมิ ประมาณ 4 ๐ C) แลว วิเคราะหภายใน 1 เดอื น 4.1.3 1-2 เนือ้ ดนิ เน้ือดิน เปนสมบัติทางกายภาพท่ีสําคัญท่ีสุด เพราะเนื้อดินบงบอกถึงขนาดของชิ้นสวนตางๆ ที่ประกอบขึ้นเปนดิน ดินสวนใหญจะมีเน้ือดินที่เปลี่ยนแปลงยากมากภายใตสภาพธรรมดาของการใช

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 61 ดนิ เพือ่ วตั ถปุ ระสงคท างการเกษตร แมว า ระยะเวลาของการใชดินจะยาวนานมากแลว ก็ตาม นอกจากน้ี เนื้อดนิ ไมม ีผลกระทบโดยตรงตอการเจริญเติบโตและการใหผลผลิตของพืช แตเปนสิ่งท่ีควบคุมสมบัติ อ่ืนๆหลายประการ เชนการดูดยึดน้ํา การดูดซับธาตุอาหารไวสําหรับพืชและเกิดการแลกเปลี่ยนกาซ เปนตน Soil Survey Division staff, 1993 จัดกลุมดินออกเปน 12 กลุมดินไดแก ทราย (sand) ทรายปนรวน (loamy sand) รวนปนทราย (sandy loam) รวน (loam) รวนปนทรายแปง (silt loam) ทรายแปง (silt) รวนเหนยี วปนทราย (sandy clay loam) รว นเหนียว (clay loam) รวน เหนียวปนทรายแปง (silty clay loam) เหนียวปนทราย (sandy clay) เหนียวปนทรายแปง (silty clay) และเหนียว (clay) โดย USDA 4.1.4 1-2 การวดั ระดับความเปนกรดเปนดา ง ความเปนกรด (acidity) หรือความเปนดาง (alkalinity) ของดิน เปนสมบัติท่ีสําคัญที่มี อิทธิพลตอกระบวนการทางเคมีและชีวภาพในดิน ที่มีผลตอการเจริญเติบโตและใหผลผลิตของพืช ความเปนกรดเปนดางของดินไมมีผลกระทบโดยตรงตอการเจริญเติบโตของพืช แตมีผลตอความเปน ประโยชนของธาตุอาหารพืช และการเจริญเติบโตของจุลินทรียดิน ซ่ึงสงผลกระทบทางออมตอการ เจริญเติบโตของพืช (คณาจารยภาควิชาปฐพีวิทยา, 2530; Beck, 1999; Rayment and Higginson, 1992) ความเปนกรดเปนดางของดินเกี่ยวของกับ hydrogen ion (H+) และ hydroxyl ion (OH-) ในสารละลายดนิ (soil solution) โดยปกติสารละลายดนิ จะมไี อออนทัง้ สองชนิดน้ี และ ถา มี H+ > OH- ดินมปี ฏกิ ริ ิยาเปน กรด เรียกดินกรด ถามี H+ < OH- ดนิ มีปฏกิ ิรยิ าเปน ดาง เรียกดินดาง ถา มี H+ = OH- ดินมปี ฏิกริ ยิ าเปนกลาง เรียกดนิ กลาง 4.1.5 ความตองการปนู ของดนิ 1-2 และกรดที่แลกเปลี่ยนได ดินที่มีปฏิกิริยาเปนกรดมักจะมีความอ่ิมตัวดวยเบส (base saturation) นอยกวา 75% จึง มีประจุบวกที่แลกเปล่ียน เชน Ca+2 , Mg+2 , K+ อยูนอยและประจุบวกเหลานี้ถูกชะลางไปไดงาย ยิ่งข้ึนถาดินเปนกรด พืชที่ปลูกบนดินกรดอาจจะขาดอาหารธาตุพวกแคลเซียมและแมกนีเซียม นอกจากนี้จุลธาตุบางธาตุ เชน เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง และธาตุอื่นท่ีไมจําเปนตอการ

62 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก เจริญเติบโตของพืช เชน อะลูมิเนียม จะละลายออกมาอยูในสารละลายดินมากจนกลายเปนสารที่เปน พิษตอพืชได ดังน้ันดินท่ีเปนกรดจัดจึงไมเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของพืช ชวงความเปนกรดเปน ดางของดินท่ีเหมาะสมตอพืช โดยเฉพาะท่ีเก่ียวของกับธาตุอาหารของพืชท่ีมีอยูในดินและเปนประโยชน ตอ พืช โดยทว่ั ๆ ไปอยรู ะหวาง pH 6.0-7.0 (คณาจารยภาควิชาปฐพีวิทยา, 2535, 2530) ความตองการปูนของดิน หมายถึงปริมาณแคลเซียมคารบอเนตบริสุทธ์ิ ที่เม่ือใสลงไปในดิน หนึ่งหนวยพ้ืนท่ีแลวทําให pH ของดินเพ่ิมข้ึนถึงระดับที่ตองการ (โดยปกติถาไมระบุวาเปนระดับ pH ใด จะหมายถึง pH 7) มีหนวยเปน กก./ไร, ตนั ,เฮกแตร เปน ตน (ถวิล ครฑุ กุล. 2512) 4.1.6 1-2 การวดั คา การนาํ ไฟฟา ของดิน ในดินมีเกลือท่ีละลายไดอยูหลายชนิด บางชนิดละลายไดดี เชน NaCl CaCl2 NaHCO3 Na2SO4 เปนตน บางชนิดละลายไดเพียงบางสวน เชน CaSO4 เปนตน เกลือเหลานี้เมื่อละลายนํ้า สามารถนําไฟฟาได ทั้งนี้ขึ้นอยูกับชนิดและความเขมขนของเกลือดวย การวัดคาการนําไฟฟา จึงเปน การประเมินปริมาณเกลือที่ละลายไดของดิน และคาท่ีไดยังเปนตัวกําหนดระดับความเค็มของดินดวย การวัดคาการนําไฟฟาของดินใชวิธีวัดในสารละลายไดของดินกับน้ํา อัตราสวนระหวางดินตอนํ้าอาจ แตกตางกันแลวแตหองปฏิบัติการแตละแหง แตท่ีนิยมใชมักเปน 1:5 หรือ เรียกวา การนําไฟฟา 1:5 หรือใชวัดเม่ือทําใหดินเปน saturated paste แลววัดในสารละลายที่สกัดได เรียกวา EC extract (ECe) จะใชสัดสวนของดินตอนํ้าเทาใดก็ตาม จะตองระบุสัดสวนน้ันไวดวยทุกคร้ังที่รายงานผล (กอง วเิ คราะหดนิ , 2540; Beck, 1999; Bower and Wilcox. 1965; Jackson, 1958) 4.1.7 1-2 การวเิ คราะหฟ อสฟอรสั ฟอสฟอรัส เปน ธาตุอาหารทีม่ คี วามสําคญั ตอ การเจรญิ เติบโตของพืชอยางมาก การหาปริมาณ ธาตุอาหารทม่ี อี ยูในดนิ จะเปนการชว ยประเมินศักยภาพของดินได วิธีวิเคราะหทางเคมี เปนวิธีการหนึ่งที่ ชวยใหสามารถประเมินธาตุอาหารที่เปนประโยชนตอพืชได ซึ่งคาท่ีไดจากการวิเคราะหดินจะมีความ เชื่อถือได ควรมีสหสัมพันธกับการดูดกินของพืช (plant uptake) ถามีคาสหสัมพันธสูงแสดงวาวิธีนั้น เหมาะในการประเมนิ ความเปน ประโยชนของธาตุนั้นในดิน

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 63 4.1.8 การวเิ คราะหเ หลก็ ทองแดง แมงกานีส และสังกะสี 1-2 ในดิน เหลก็ (Fe) ทองแดง (Cu) แมงกานสี (Mn) และสงั กะสี (Zn) จดั เปนจลุ ธาตุ (micronutrients) กลุมหน่ึงในดินที่มีความสําคัญตอความตองการของพืช ซึ่งมีความตองการในปริมาณนอยเม่ือเทียบกับ ธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง โดยปกติแลวจุลธาตุท่ีมีอยูในดินจะอยูในรูปแบบตางๆ กันดังนี้ (Cox and Kampreth, 1972) 1. รปู ที่ละลายน้าํ ได (water-soluble form) 2. รูปท่ีแลกเปลีย่ นได (exchangeable form) 3. รูปคีเลท (chelated form) รูปท่ีถูกดูดซับ (adsorbed form) และรูปสารประกอบ เชงิ ซอน (complexed form) 4. แรดินเหนียว (secondary clay minerals) รูปออกไซดโลหะที่ไมละลายน้ํา (insoluble metal oxides form) 5. แรปฐมภูมิ (primary minerals) รูปที่มีความสําคัญตอพืชและพืชนําไปใชประโยชนไดคือ รูป 3 กลุมแรก โดยรูปที่ แลกเปล่ียนได รูปคีเลท หรือถูกดูดซับรวมถึงรูปสารประกอบเชิงซอนจะใชประเมินความ เปนประโยชนของจุลธาตุ 4.1.9 1-2 อินทรยี วตั ถุในดนิ อินทรียวัตถุในดินประกอบดวยสารอินทรียตางๆ ที่ไดจากสิ่งที่มีชีวิต อินทรียวัตถุในดินสวน ใหญไดจากเศษพืช และเม่ือเศษพืชสลายตัวลงจะใหสารอินทรียหลายชนิดรวมท้ังฮิวมัสดวย การ สลายตวั ของเศษพืชถูกควบคุมดว ยปจจยั หลายปจ จัย 4.1.10 1-2 โลหะหนักในดนิ มลพิษของโลหะหนักมีผลกระทบตอทุกสิ่งทุกอยางในสิ่งแวดลอม แตผลกระทบในดินจะ ยืนนานท่ีสุด เนื่องจากโลหะหลากหลายถูกดูดซับไวแนนอยูกับคอลลอยดของฮิวมัส และดินเหนียว ในดิน ระยะเวลาของการเปน มลพษิ อาจเปน หลายรอยป และหลายพันป (ตวั อยา งเชน ครงึ่ ชวี ติ แรก (first half lives) : Cd 15-1100 ป , Cu 310-1500 ป และ Pb 740-5900 ป ซ่งึ ผนั แปรตามชนดิ ของดนิ และตวั แปร (parameters) ทางเคมีฟส ิคัลของดนิ ) ไมเ หมอื นสารมลพษิ อินทรยี ซ ึง่ จะถูกยอย

64 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลอื ก สลายในที่สุด โลหะจะคงอยใู นรูปอะตอมถึงแมรูปโมเลกุลของโลหะจะเปล่ียนแปลงตามเวลาเนอื่ งจาก อินทรยี โ มเลกุลท่ีรวมกบั โลหะถกู ยอยสลายหรอื สภาวะของดนิ เปลี่ยนไป ขอบเขตที่โลหะอิออนถูกดูดซับโดยกระบวนการแลกเปล่ียนประจุบวก และการดูดซับท่ีไม เฉพาะเจาะจงของดินจะข้นึ อยกู บั คณุ สมบตั ขิ องโลหะ pH สภาพรีดอกซ ลกั ษณะของตวั ดดู ซบั ความ เขม ขนและคุณสมบตั ขิ องโลหะอื่นๆ และลีแกนดซทล่ี ะลายอยใู นสารละลายของดนิ แรดินเหนียวและไฮดรัสออกไซดในดิน มีการเลือกสรรการดูดซับของโลหะวาเลนซีสอง ตามลาํ ดบั ดังน้ี Pb > Cu > Zn > Ni > Cd แตมีความแตกตางบางระหวา งชนดิ ของแร และการ เลอื กสรรจะผันแปรตามสภาพของ pH พีด (peat) มลี ําดบั การเลือกสรรเปน Pb > Cu > Cd = Zn > Ca โดยทั่วไป Pb และ Cu จะถกู ดดู ซบั ไดม ากกวา และการดูดซับของ Zn และ Cd จะนอ ยกวา ซงึ่ หมายความวา Zn และ Cd จะเกิดการเปลยี่ นแปลงแตกแยกไดด กี วา และถูกใชเปน ประโยชนโ ดย สิ่งมชี วี ิตไดมากกวา Pb และ Cu โดยปกตโิ ลหะเกือบทัง้ หมดยกเวน Mo จะละลายไดม ากที่สดุ และเปนประโยชนตอสง่ิ มีชวี ิตท่ี pH ตา่ํ เพราะฉะนั้นปญหาพิษภัยของโลหะจะรุนแรงมากขึ้นในส่ิงแวดลอมที่เปนกรด เชน ในกรณี มลพิษโดยอนุภาคของสินแรซัลไฟด การผุพังสลายตัวของซัลไฟดเพ่ิมความเปนกรดของดินจะทําให ปญหาของมลพษิ ทางโลหะรุนแรงยิง่ ข้ึน ในดินเกษตรกรรมการใสป ูนสามารถบรรเทาความรุนแรงของพิษ ภัยของโลหะ แตขอ พงึ ระวงั คอื ดินเขตรอนไมเ หมาะสมที่จะยกระดบั ของ pH จนเกอื บเปนกลาง (pH 6.6-7.3) เพราะจะทาํ ใหด ินเสอ่ื มสภาพไดง า ย 4.1.11 1-2 คุณภาพนาํ้ คุณภาพของนํ้าเพอื่ การเกษตรกรรม มคี วามสําคัญตอ การดาํ รงชวี ิตของพชื ไมน อ ยกวาปริมาณ นํ้าทพ่ี ชื ตอ งการ ในสมยั กอ นน้ําในแหลงน้าํ ตา ง ๆ เชน แมนํา้ ลาํ คลองตามธรรมชาตทิ ง้ั หลายมกั จะมี คุณภาพดี เหมาะแกก ารเจรญิ เติบโตของพชื แตในสภาพปจ จบุ ันนํ้าในแหลงนํ้ามกั มสี ารตางๆ เจือปน อยู น้ําบาดาลบางแหงก็เปนนา้ํ กรอ ยหรอื นาํ้ เค็ม นํา้ ในแมน้ําลําธารบางแหงมีแมงกานีส ดีบกุ เหล็ก โซเดยี ม และสารเคมบี างอยางทีเ่ ปน พิษแกพืชและสตั วเ ลีย้ ง แมแ ตน้าํ ฝนกอ็ าจจะมีสารตะกว่ั กาํ มะถนั หรือสารเคมีอ่ืน ๆ ปนอยูจนเกิดเปน อนั ตรายแกส ่งิ มีชวี ิตทั้งหลายได นา้ํ ท่ีนํามาใชใ นการเกษตรจะตอ งมี สิ่งอนื่ เจือปนมาดวยไมม ากกน็ อยตามสภาพที่มาของนา้ํ นนั้

การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 65 ความเหมาะสมของคุณภาพน้ําเพื่อการเกษตรกรรม อาจพิจารณาตรวจสอบคุณภาพของนํ้า ทางดานตา ง ๆ ดงั ตอ ไปนี้ คุณสมบัตินาํ้ ทางกายภาพ (physical characteristics) คุณภาพของน้ําทางกายภาพ แสดงถงึ คณุ สมบัติของนา้ํ ท่ีสามารถรบั รูดว ยประสาทสมั ผสั ตางๆไดด ว ยการดสู ี ดมกล่ิน ชิมรส หรือ สัมผสั ขอ มลู คณุ ภาพน้ําทางกายภาพทส่ี าํ คญั คือ ความขนุ ของนาํ้ (turbidity) ความขุน ของน้าํ แสดงวา นา้ํ มีสงิ่ ตาง ๆ เจือปนอยูโดยแขวนลอย อยใู นนํ้า ซ่ึงสารท่ีแขวนลอยในน้าํ อาจเปนสารอนินทรียตาง ๆ ไดแก ทราย ตะกอนทราย อนุภาค ดินเหนียว และสารอินทรยี  เชน แพลงตอน และสงิ่ มีชวี ติ เลก็ ๆ เปน ตน น้ําทม่ี ีสารแขวนลอยอยูเปนจาํ นวนมาก เปน อุปสรรคตอการจดั การระบบชลประทาน กลาวคอื ทําใหคูคลองชลประทานเกิดการต้ืนเขินไดงาย ตองเสียคาใชจายในการบาํ รุงรักษาเพิ่มขึ้น หรือทําให ตะกอนทับถมในแปลงเพาะปลูกมากจนเกิดความเสียหาย เชน การตกตะกอนของทรายหรือตะกอน ทรายในแปลงนา เปนตน โดยทั่ว ๆ ไป นํา้ ชลประทานที่ไดจากแหลงนํ้าบาดาลหรืออางเก็บน้ําจะไมมี ปริมาณตะกอนมากจนทาํ ใหเกิดปญหาตอ การเกษตรได คุณภาพของนํา้ ในการเพาะปลูกควรมีความขุนของนํ้าไมเกิน 300 สว นในลาน ตามมาตรฐาน Jackson candle turbidimeter และมสี ารแขวนลอยในนา้ํ (total suspended solids) ไมเกนิ 400 สวนในลาน อณุ หภูมิของน้ํา โดยท่วั ไปนาํ้ ตามแหลง น้าํ ในประเทศไทย จะมอี ุณหภูมิเฉลี่ยระหวา ง 20-35 องศาเซลเซยี ส โดยบางทอ งทอ่ี าจมีอุณหภมู ิสงู กวา หรือต่ํากวา นบ้ี า งเลก็ นอ ยตามสภาพภูมปิ ระเทศ ยกเวน นํ้าท่ีปลอ ยจากโรงงานอตุ สาหกรรมในกระบวนการหลอ เย็น อณุ หภมู ขิ องนาํ้ ทีใ่ ชใ นการปลกู พชื ไมควรเกนิ 40 องศาเซลเซยี ส สขี องนํ้า ปกตสิ ขี องนํ้าจะไมม ผี ลกระทบตอ การเพาะปลกู พชื แตส ขี องน้าํ แสดงวา มสี ารอนิ ทรยี  ปะปนอยใู นนาํ้ นํ้าท่ีใชส ําหรบั ปลกู พชื ควรมีสไี มเกนิ 400 สว นในลา น ตามหนว ย Chloroplatinate scale รสและกลน่ิ (taste and odor) น้ําทใ่ี ชใ นการเกษตรจะตองไมมรี สและกลิน่ กลิ่นมักเกดิ จากนาํ้ มอี ากาศไมเพยี งพอและมกี ารยอ ยสลายสารอนิ ทรยี  แตส ารอินทรยี จะมีประโยชนกบั พืชมากหาก ไมมกี ล่นิ

66 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก คุณสมบัติทางเคมี (chemical characteristics) คุณภาพนํ้าทางเคมีจะขึ้นกับสภาพและ ลักษณะของแหลงนํ้า และปริมาณน้ําท่ีมีอยูจึงทําใหชนิดและปริมาณของสารเคมีท่ีละลายปะปนในน้ํา แตกตางกันดวย ดังน้ัน คุณภาพของนํ้าทางเคมีจึงเปนขอมูลสําคัญสําหรับใชพิจารณาเกี่ยวกับคุณภาพ นํ้าที่ควรนําไปใชเพื่อการเพาะปลูก และใชในการเลี้ยงสัตว ในการวิเคราะหคุณภาพนํ้าทางเคมีเปนการ หาจํานวนแรธาตุตาง ๆ ที่ละลายสะสมในน้ําวาจะมีอยูในระดับใดโดยพืช ประชาชนและสัตวตาง ๆ จะ สามารถนาํ ไปใชไ ดมากนอยเพียงใดหรือไม ขอ มูลคณุ ภาพนา้ํ ทางเคมีทสี่ าํ คัญมดี งั ตอไปนี้ คาพเี อช (pH) ของนํา้ คาพีเอชของนาํ้ เปนคา ท่ีแสดงความกรดและดาง พเี อชของนํ้ามคี า มากกวา 7 จะแสดงความเปนดาง คาพเี อชนอ ยกวา 7 แสดงความเปนกรด และเทากบั 7 แสดงวา เปน กลาง สาํ หรับนา้ํ จากแมนํา้ ลาํ ธารธรรมชาติโดยทว่ั ไปจะมีคา พีเอชระหวาง 7 ถงึ 8.5 (ยกเวนในทอ งทซ่ี ึ่ง ดนิ เปนกรด) สว นนํา้ บาดาลท่ัวๆไปจะมีคา พีเอชอยรู ะหวาง 6.0-8.5 ซ่ึงสามารถนําไปใชเ พาะปลกู พชื ได การนําไฟฟา ของน้ํา คา การนาํ ไฟฟาของนา้ํ เปนคา บง บอกถึงความเขมขน ของสารละลายท่มี ีในนา้ํ คา การนําไฟฟา ของนาํ้ ที่มคี าเพมิ่ ขึ้นหรอื ลดลงยอมแสดงถึงปริมาณสารละลายทเ่ี พม่ิ ขึน้ หรือลดลงในนํ้าดวย เน่อื งจากการนาํ ไฟฟามีคาเปน ปฏภิ าคโดยตรงกับปรมิ าณสารหรือปรมิ าณของแขง็ ท่ีละลายไดในน้ํานัน้ ดวยเหตุนี้ การตรวจสอบปริมาณสารหรือปริมาณสารของแข็งที่ละลายไดในนํา้ จึงเปนการวัดคาการนํา ไฟฟาของนํ้าดงั กลาวน่นั เอง หนวยวดั การนาํ ไฟฟาของน้ํามีหนวยเปน “ไมโครโมห (micromhos) ตอ เซนตเิ มตร” หรอื ไมโครซีเมนตต อ เซนตเิ มตร เกลือของธาตุตา ง ๆ เชน แคลเซยี ม แมกนีเซยี ม โซเดยี ม และโพแทสเซยี ม ทีล่ ะลายอยใู นนาํ้ เพื่อการเกษตรกรรมจะกอใหเกิดปญหาตอพืช และตอการเจริญเติบโตของพืชอาจทําใหผลผลิตลดลง หรือพืชตายได ถาปริมาณเกลือมีมากจะมีผลตอการดูดซึมนํ้าและการหายใจของพืชโดยปกติ เกลือท่ี ละลายอยใู นนํ้าจะไมกอ ใหเกิดปญ หาตอ พืชโดยตรง แตค วามเขม ขน ของเกลือทเ่ี หลืออยใู นดนิ จะกอ ใหเ กิด ผลเสียตอ เกษตรกรรมอยางมาก ดังนัน้ ในระยะแรกของการใชท ีด่ นิ ทําการเพาะปลูก น้ําที่มีเกลอื แรอยู มากจะไมกอใหเกดิ ความเสียหาย แตเมื่อเวลาผานไปนาน ๆ ความเขม ขน ของเกลอื ในดินจะเพมิ่ มากขน้ึ เน่ืองจากการระเหยของนํา้ ในดิน จงึ เกดิ ปญหาดินเคม็ ยังผลใหพ น้ื ท่ีเกษตรกรรมไดร บั ความเสียหาย คาความเขม ขน ของเกลอื ในนาํ้ วดั ไดจ าก คาการนําไฟฟาของอณุ หภมู ิ 25 องศาเซลเซยี ส ซ่ึงมี หนวยเปน ไมโครโมหต อเซนตเิ มตรหรอื เดซซิ เี มนต/เมตร ปริมาณของเกลือโซเดียมในนํา้ ตามปกติดินทุกประเภทจะมีเกลือของแคลเซียมและ แมกนีเซียมอยู และมีปริมาณเกลือโซเดียมอยูเล็กนอยปริมาณเกลือโซเดียมมักจะมีอยูไมเกินรอยละ 5

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 67 ถาปริมาณของเกลือโซเดียมเพ่ิมข้ึนถึงรอยละ 10 หรือมากกวาน้ี ดินจะแตกซ่ึงทําใหดูดซึมนํ้าไดนอยลงทํา การหวานไถยากลําบาก ดินจะมีสภาพเปนดาง และถาดินเปยกจะเหนียวจับตัวเปนกอน และจับตัวเปน แผน แข็งเมื่อดนิ แหง สดั สวนของปริมาณเกลือโซเดียมในดนิ คํานวณไดจากอตั ราสว นการดดู ซึมโซเดยี ม (Sodium Adsorption Ratio, SAR) ปริมาณสารมีพษิ ในนา้ํ สารมพี ษิ บางชนิดจะกอ ใหเกดิ ผลเสียตอ การเจริญเติบโตของพชื ผลผลติ ลดลงหรือพชื อาจตายได เชน คลอไรด โบรอน นอกจากน้ีอาจจะมีสารพษิ อน่ื ๆ ในน้าํ เพอ่ื การเกษตร เชน โมลิบดีนมั เซเลเนยี ม แคดเมยี ม โคบอลต สารหนู เบอริลเลียม วานาเดียม โครเมียม ทองแดง แมงกานสี นกิ เกลิ ฟลูออไรด สงั กะสี ลิเทียม เหล็ก ตะกั่ว และอะลมู เิ นยี ม สาํ หรับเซเลเนียมเปนสารพิษท่ีใหมีอยใู นนํา้ เพื่อการเกษตรกรรม ไมได 4.2 ปจ จยั การผลิตเพื่อการเพาะปลูกปญ จขันธ3 ปจจัยการผลติ ทางการเกษตรทส่ี ําคัญตอการผลิตวัตถุดิบปญ จขนั ธป ระกอบดวย ปจ จยั ทีม่ ีอยู เชน ดนิ นํ้า อากาศ และปจ จัยการผลติ ภายนอกซง่ึ นํามาใชใ นกระบวนการผลติ เชน ปุย วัสดุปรบั ปรงุ ดนิ และสารปองกนั และกําจดั ศตั รพู ืช ในการเลอื กพื้นที่ปลูกเมือ่ สภาพแวดลอมทางกายภาพเหมาะสม แลว ปจ จยั สาํ คญั ทต่ี อ งพจิ ารณามดี งั ตอ ไปน้ี ความอุดมสมบูรณข องดิน ควรวเิ คราะหดนิ เพื่อทราบสมบัติทางกายภาพและสมบตั ทิ างเคมี พารามิเตอรที่จาํ เปนตองวิเคราะหค อื เน้ือดิน ความเปน กรดเปนดา ง การนาํ ไฟฟา (เฉพาะพื้นที่ดนิ เค็ม) อนิ ทรยี วัตถุ ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม พนื้ ท่เี สยี่ งจากการปนเปอน อนั เน่อื งมาจากมลภาวะทางดิน น้ํา และอากาศ ท่ีเกิดจากสารเคมอี นั ตราย โดยพิจารณาจากแหลงทมี่ าทง้ั จากธรรมชาติ เชน แรทอี่ ยูในดิน จากวัตถุตนกําเนิดดนิ จากกจิ กรรมของมนษุ ยท่ี สําคญั มีหลายแหลงดว ยกัน เชน ปุย และสารเคมใี นการเกษตร โรงถลงุ แร การเผาไหมของนาํ้ มัน โรงงาน อตุ สาหกรรม ของเหลือใชจ ากโรงงานอุตสาหกรรมและจากชุมชน การรวั่ ซมึ จากพนื้ ทฝี่ ง กลบของเสยี ตา ง ๆ หรอื จากปยุ คอกสามารถเปน แหลงกาํ เนดิ ของโลหะหนกั ซ่ึงสะสมในดิน นาํ้ และอากาศไดม ปี ริมาณแตกตา ง กนั ไป ตวั อยา งเชน แคดเมียมจากเหมอื งสงั กะสี สารหนูจากเหมืองดบี กุ ตอ ง มกี ารวิเคราะหโ ลหะหนักในดนิ คณุ ภาพน้ําทใี่ ช จะตองมคี ุณสมบัติสอดคลองกบั มาตรฐานคุณภาพนํ้าเพอื่ การชลประทานของ พื้นที่ของภาคหรอื ของประเทศ พารามิเตอรพนื้ ฐานทตี่ องวิเคราะห คือ ความเปน กรดเปนดาง ความ

68 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ขนุ การนาํ ไฟฟา สารแขวนลอยในนํา้ โลหะหนกั เชน แคดเมียม โครเมยี ม ทองแดง และธาตโุ ลหะหนกั ซง่ึ เปนพษิ ท่มี ีความเสี่ยงตอการปนเปอ นในนํา้ ได การใชปุยทจ่ี ําเปน เพอื่ ใหไดผ ลผลิตปญ จขันธใ นปริมาณมากตองประเมินจากผลการวเิ คราะห ดิน ซง่ึ ทําใหท ราบชนิดและปริมาณของปุยทใี่ ช และระยะเวลาในการใสป ยุ ในทางปฏิบตั ิปุย ที่ใชคือ ปุย หมกั และปุยคอก ซ่งึ ผานการหมกั อยา งสมบรู ณ และตรวจวเิ คราะหโลหะหนกั แลว ปจจบุ ันปุยหมักที่ขาย ในทองตลาดทไ่ี ดร บั เครื่องหมายตัว Q จะผานการรับรองมาตรฐานปุยหมกั การบํารงุ ดนิ ในแนวปฏิบัติท่ชี ว ยอนุรกั ษด นิ และนาํ้ ท่ีเหมาะสม โดยการใชปยุ อนิ ทรีย ทาํ ให เพิม่ ความอดุ มสมบรู ณใ หดิน ปรมิ าณรากพืช ธาตุอาหารพชื ในดนิ กระตนุ ใหเกดิ กิจกรรมทางชวี ภาพใน ดนิ ปลูกพืชปุย สด เพอ่ื ไถกลบ เฉพาะพืชตระกลู ถวั่ วิธปี ฏิบัตสิ ามารถขอคําแนะนําไดจ ากกรมพัฒนา ท่ดี นิ แนวปฏบิ ัติในการลดการกรอ นของดินโดยการทาํ แนวกน้ั นํ้าหรือขอบแหลงนํา้ โดยปลกู หญาแฝกหรือ หญา ธรรมชาติ การศกึ ษาปจ จัยการผลติ เพอ่ื การเพาะปลกู ปญ จขนั ธต อ งใหส อดคลอ งกับหลกั เกณฑข ององคก าร อนามัยโลกเกีย่ วกบั เกษตรดที เี่ หมาะสม (Good Agricultural Practice, GAP) และการศกึ ษาเปน การผลติ พชื สมุนไพรอินทรีย จงึ ตองปฏิบัตติ ามแนวทางการผลิตพืชอินทรีย ซึ่งหลกั เกณฑมาตรฐานการ ผลติ ผลติ ผลเกษตรอินทรยี ขององคก ารอาหารและเกษตรแหง สหประชาชาติ พน้ื ท่ีเปา หมายทีท่ าํ การศึกษา 1. สวนปาหลวงสนั กําแพง จงั หวดั เชียงใหม 2. สวนปาบา นหลวง จงั หวดั เชียงใหม 3. สวนปาแมหอพระ จังหวดั เชยี งใหม 4. สวนปาแมแ จม จังหวดั เชยี งใหม 5. สวนปาแมอุคอ จงั หวัดแมฮ องสอน วธิ ีการ 1. ดิน 1.1 การเก็บตวั อยา งดิน เกบ็ ตวั อยา งดินในพื้นทศ่ี ึกษาทค่ี วามลึก 0-15 เซนตเิ มตร โดยวิธี สมุ ตัวอยา ง (Composite sampling) ผงึ่ ใหแ หง บดดวยครกบดดิน ผานตะแกรงรอ นขนาด 2 มลิ ลเิ มตร เก็บในถงุ พลาสติก

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 69 1.2 การวิเคราะหตัวอยางดนิ รายการทว่ี เิ คราะห ดังน้ี สมบตั ทิ างกายภาพดิน : คาวเิ คราะหข นาดอนุภาค ดินทราย ดินทรายแปง ดินเหนียว เนือ้ ดนิ โดยวธิ ีปเปต (Soil Survey Laboratory Staff, 1992) สมบตั ิทางเคมี : คา ความเปนกรดเปนดาง ใชอตั ราสว นดนิ ตอ นํ้าเทากบั 1:1 (Soil Conservation Service, 1982) คาปรมิ าณความตองการปนู (Bower and Huss, 1948) คา การ นาํ ไฟฟา (Reitemeier, 1946) คาปรมิ าณอินทรียวัตถุ (Walkey and Black, 1947) ปรมิ าณธาตอุ าหารที่สกดั ได : ฟอสฟอรัสทเี่ ปนประโยชนต อพชื (Bray and Kurt, 1945) โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม และแมกนีเซียมทีเ่ ปน ประโยชนต อ พืช (Jackson, 1958) ปรมิ าณโลหะหนกั ในรูปทัง้ หมด : ตะกั่ว ทองแดง สงั กะสี แคดเมยี ม และสารหนู (ดดั แปลงจาก Hossner, 1996 และ Burau, 1982) 2. พืช ตัวอยา งสมนุ ไพรปญจขนั ธจากพนื้ ที่ทดลองทงั้ 5 แหง โดยการเตรียมตวั อยา งตามวิธมี าตรฐาน และวิเคราะหต ัวอยางโดยชง่ั ตัวอยางพชื 1.000 กรมั ยอ ยดว ย ConcHNO3/HClO4 = 2 : 1 และวัด ปรมิ าณแคดเมียมดวยเครือ่ ง Flame Atomic Absorption Spectrophotometer และ Hydride Generation 3. น้ํา 3.1 เกบ็ ตัวอยา งนํ้าจากแหลงน้ําท่ีจะนํามาใชรดสมุนไพร ตามวิธีการเก็บตัวอยางน้ําทีถ่ ูกตอ ง 3.2 การวิเคราะหต ัวอยางน้าํ รายการทว่ี ิเคราะห ดงั น้ี ดัชนีคณุ ภาพน้ํา : ความเปนกรดเปนดาง (กองวิเคราะหดิน, 2537; มั่นสิน, 2543; สํานักวิทยาศาสตรเพอ่ื การพัฒนาทีด่ นิ , 2547) การนําไฟฟา ปริมาณรวมของธาตไุ นโตรเจน แคตไอออน โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนเี ซยี ม แอนไอออน ซลั เฟต คลอไรด และฟอสเฟต (กองวิเคราะหดนิ , 2537; สํานักวิทยาศาสตรเ พ่ือการพฒั นาทด่ี ิน, 2547) โลหะหนกั ในนํ้า ตะกว่ั ทองแดง สังกะสี แคดเมยี ม สารหนู (กรมอนามัย, 2537) เครือ่ งมือวทิ ยาศาสตรท่ใี ชในการวิเคราะหด นิ และนา้ํ Hydrometer, pH meter, Electrical Conductometer, UV Spectrophotometer, Flame Atomic Absorption Spectrophotometer, Hydride Generation และ Flame Photometer

70 กรมพฒั นาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก ผลการศกึ ษาและวจิ ารณ (1) สวนปาหลวงสันกาํ แพง จังหวัดเชยี งใหม ผลการศึกษาคณุ ภาพดินในพืน้ ที่สวนปา หลวงสันกําแพงจํานวน 4 แปลง สรุปไดด งั น้ี สมบัติทางกายภาพ เน้อื ดินเปน ดินรวนปนทราย เนอื้ ดนิ คอ นขางหยาบ มลี ักษณะเฉพาะคอื มีชองขนาดใหญในระหวาง อนภุ าคดิน จะรับนํา้ ผานผวิ ดนิ ไดด ี มีขอดคี ือ มกี ารแทรกซมึ นา้ํ ดี และมีการกระจายนา้ํ ดี ดังนน้ั การไถ พรวนจงึ ทําไดง าย ขอ เสยี คอื เนื่องจากมพี นื้ ทผ่ี ิวจาํ เพาะนอ ย เปนอนุภาคที่ไมม ปี ระจุและยงั ประกอบดว ย ชองระหวางอนภุ าคท่มี ีขนาดใหญ จงึ ดดู ซับน้ําและธาตุอาหารพืชไดน อ ย ปยุ ที่ใสบนผวิ ดิน สามารถดูดชะ ละลายดว ยนาํ้ ใหไ หลลกึ เลยเขตรากไดง าย ดงั นนั้ จึงตอ งใสปยุ และน้ําคร้งั ละนอ ย ๆ แตตอ งใหบ อย ๆ เปน การสูญเสียเวลาและคา ใชจ า ย สมบัติทางเคมี ปฏกิ ิริยาดนิ pH ดนิ เปนกรดแก ตอ งปรับ pH ของดินใหมีคา เปน 7 โดยการใสป นู ในดนิ ตาม อัตราทคี่ าํ นวณให ปรมิ าณอนิ ทรียวตั ถุคอ นขา งสงู ปริมาณฟอสฟอรัสท่เี ปน ประโยชนค อนขา งสงู ในแปลงท่ี 1 และ 4 และมีปรมิ าณสูงในแปลงท่ี 2 และ 3 ปรมิ าณโพแทสเซยี มทีเ่ ปนประโยชนส งู มากในทุกแปลง ปริมาณแคลเซยี มปานกลางในแปลงท่ี 2 และ 4 และปริมาณตา่ํ ในแปลงที่ 1 และ 3 สว นปรมิ าณแมกนเี ซยี ม ปานกลางในทุกแปลง ปริมาณโลหะหนักในดิน ไดแ ก ทองแดง สงั กะสี และแคดเมยี มในทุกแปลงตา่ํ กวา คามาตรฐาน สวนปริมาณตะก่ัวในแปลงที่ 1, 3 และ 4 ตํ่ากวา คามาตรฐาน แตแ ปลงที่ 2 สงู กวา คามาตรฐาน (ตอ งไมเกิน 100 mg/kg) คุณภาพนํา้ เหมาะสมสําหรบั การใชร ดน้ําตน ไม ไมมโี ลหะหนกั ปนเปอ น (2) สวนปา บา นหลวง จงั หวัดเชยี งใหม ผลการศกึ ษาคณุ ภาพดนิ ในพ้นื ท่ีสวนปาบานหลวงจํานวน 4 แปลง สรปุ ไดดังน้ี สมบตั ิทางกายภาพ เนื้อดนิ เปน ดินรวนปนทราย เนื้อดนิ คอนขางหยาบ มลี ักษณะเฉพาะคือ มีชอ งขนาดใหญในระหวาง อนุภาคดิน จะรับน้ําผา นผวิ ดนิ ไดดี มขี อดคี ือ มีการแทรกซมึ น้าํ ดี และมกี ารกระจายน้าํ ดี ดังนนั้ การไถพรวน จึงทําไดง าย ขอ เสียคอื เนอ่ื งจากมีพนื้ ท่ีผวิ จําเพาะนอย เปน อนภุ าคท่ไี มมีประจแุ ละยงั ประกอบดว ยชอ ง

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 71 ระหวางอนภุ าคทม่ี ขี นาดใหญ จึงดดู ซบั น้าํ และธาตอุ าหารพืชไดน อ ย ปุยทีใ่ สบ นผวิ ดิน สามารถดดู ชะละลาย ดว ยน้ําใหไ หลลกึ เลยเขตรากไดง า ย ดงั นัน้ จึงตองใสปยุ และนํ้าคร้งั ละนอ ย ๆ แตตองใหบอ ย ๆ เปนการ สญู เสียเวลาและคา ใชจ า ย สมบตั ิทางเคมี ปฏกิ ิริยาดิน pH ดินเปนกรดเล็กนอ ยถงึ กลาง ปรมิ าณอนิ ทรียวัตถอุ ยใู นระดบั สงู ปริมาณ ฟอสฟอรสั ทเ่ี ปนประโยชนอยใู นระดบั คอนขา งสงู ปริมาณโพแทสเซยี มทีเ่ ปนประโยชนส งู มาก ปรมิ าณ แคลเซยี มและแมกนีเซียมอยูในระดับปานกลาง ปริมาณโลหะหนักในดนิ อยใู นปรมิ าณทไ่ี มเ กนิ คามาตรฐานโลหะหนกั ในดินปลกู พชื คณุ ภาพนา้ํ เหมาะสมสาํ หรับการใชรดน้าํ ตน ไม ไมม ีโลหะหนักปนเปอ น (3) สวนปาแมห อพระ จงั หวดั เชยี งใหม ผลการศึกษาคณุ ภาพดินในพืน้ ท่ีสวนปา แมหอพระจํานวน 5 แปลง สรปุ ไดด งั น้ี สมบัติทางกายภาพ เนื้อดนิ เปน เนอ้ื ละเอยี ด ดนิ เหนยี วปนทรายแปง และดินรวนเหนยี วปนทรายแปง มีลกั ษณะ เฉพาะคอื มชี องระหวางอนุภาคขนาดเลก็ และมปี ริมาณรวมของชอ งมาก มขี อดีคอื มีพืน้ ท่ผี วิ จาํ เพาะสูง อนุภาคมีประจุและชอ งระหวา งอนุภาคมีขนาดเล็ก จึงดูดซับนํ้าและธาตุอาหารพืชไดมาก การละลายธาตุ อาหารไปกับนา้ํ เลยเขตรากเกิดไดย าก สามารถใสปยุ และนาํ้ นาน ๆ คร้งั หน่ึงก็ได ขอ เสียคือ การแทรก ซมึ นํ้าและการกระจายนํ้าในหนาตดั ดินไดชา การไถพรวนตอ งใชก าํ ลงั งานมาก มักเรยี กวาดินหนัก ทํางาน ยาก สน้ิ เปลืองเวลาและเช้อื เพลงิ มาก ดนิ เหลา นีจ้ ะมีปญหาน้ําทว มขังและการระบายอากาศเลว รากพืช อาจประสบปญหาขาดอากาศได และปญหาอีกประการหนงึ่ คอื มักเกดิ แผนแขง็ ปด ผวิ ซงึ่ ทาํ ใหเมล็ดพืช งอกไดย าก หากมกี ารปรบั ปรุงสมบตั ทิ างฟสกิ สบางประการของเนอ้ื ละเอยี ด เชน สงเสริมใหอนภุ าคจบั ตัวกนั เปนเม็ดจะทําใหด นิ มีสดั สวนของชองขนาดใหญเพิ่มขนึ้ การแทรกซมึ และการกระจายนํ้าในหนา ตัดจะเร็วขน้ึ ทําใหการระบายนาํ้ และการถายเทอากาศของดินดีขน้ึ ดวย และชว ยลดปญ หาเร่อื งแผนแขง็ ปดผวิ ดว ย สมบัตทิ างเคมี ปฏกิ ริ ยิ าดิน pH ดนิ เปนกรดเลก็ นอ ย แปลงท่ี 1, 2, 3, 4 ไมตองเตมิ ปนู เพราะปรมิ าณทีเ่ ติม นอ ยมาก ใหเตมิ ปูนเฉพาะแปลงท่ี 5 ปรมิ าณอินทรียวตั ถอุ ยูในระดบั สงู ปรมิ าณฟอสฟอรสั ทเ่ี ปน

72 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ประโยชน และแคลเซียมอยใู นระดับสงู ปรมิ าณโพแทสเซียมท่ีเปน ประโยชนสูงมาก ปรมิ าณแมกนเี ซยี ม อยูในระดบั ปานกลาง ปรมิ าณโลหะหนกั ในดิน ตะกวั่ และแคดเมยี มไมเกนิ คา มาตรฐาน สวนปริมาณทองแดง สังกะสี มคี าอยูใ นชว งระดับวิกฤตใิ นดินทกุ แปลง แตวา ยังไมเ กนิ มาตรฐานคุณภาพดิน คุณภาพนํา้ เหมาะสมสําหรับการใชรดนา้ํ ตน ไม ไมมโี ลหะหนักปนเปอ น (4) สวนปา แมแจม จังหวดั เชียงใหม ผลการศกึ ษาคุณภาพดินในพื้นท่ีสวนปา แมแจม จาํ นวน 4 แปลง สรปุ ไดด งั น้ี สมบัตทิ างกายภาพ เน้ือดินเปน ดินรวนเหนยี ว เปน ดินเน้ือละเอยี ด มลี ักษณะเฉพาะคอื มชี อ งระหวา งอนุภาคขนาด เลก็ และมีปรมิ าณรวมของชอ งมาก มขี อ ดีคอื มีพ้นื ท่ผี ิวจาํ เพาะสงู อนุภาคมีประจแุ ละชอ งระหวาง อนุภาคมขี นาดเลก็ จงึ ดดู ซับนํ้าและธาตุอาหารพืชไดมาก การละลายธาตุอาหารไปกับนํา้ เลยเขตรากเกิด ไดยาก สามารถใสป ยุ และนํ้านาน ๆ ครงั้ หนง่ึ กไ็ ด ขอ เสยี คือ การแทรกซมึ นาํ้ และการกระจายนํ้าในหนา ตัดดินไดช า การไถพรวนตองใชก ําลังงานมาก มกั เรยี กวาดินหนัก ทาํ งานยาก สน้ิ เปลืองเวลาและเช้อื เพลงิ มาก ดินเหลาน้ีจะมีปญ หานํา้ ทว มขังและการระบายอากาศเลว รากพืชอาจประสบปญ หาขาดอากาศได และปญ หาอกี ประการหนงึ่ คอื มักเกิดแผนแข็งปด ผิว ซง่ึ ทําใหเ มล็ดพชื งอกไดย าก หากมกี ารปรบั ปรุง สมบตั ิทางฟสกิ สบ างประการของเน้อื ละเอยี ด เชน สงเสริมใหอนุภาคจบั ตวั กันเปน เม็ดจะทําใหดินมี สัดสวนของชอ งขนาดใหญเ พม่ิ ขนึ้ การแทรกซมึ และการกระจายนาํ้ ในหนาตดั จะเร็วข้ึน ทาํ ใหการระบาย นํ้าและการถา ยเทอากาศของดินดีขึน้ ดวย และชว ยลดปญหาเร่อื งแผนแขง็ ปด ผิวดวย สมบัติทางเคมี ปฏกิ ริ ิยาดนิ pH ดนิ เปน กลางถึงดา งอยา งออน ปรมิ าณอินทรยี วัตถอุ ยใู นระดบั คอนขางสงู ปรมิ าณฟอสฟอรสั ทีเ่ ปน ประโยชนอยใู นระดับคอ นขางสูงในแปลงที่ 2, 3, 4 สว นแปลงท่ี 1 มีปรมิ าณ ปานกลาง ปรมิ าณแคลเซียมและโพแทสเซียมท่ีเปน ประโยชนสูงมาก ปรมิ าณแมกนีเซียมอยูในระดับ ปานกลาง ปริมาณโลหะหนักในดิน มีตะกั่วและสงั กะสอี ยูใ นระดับวกิ ฤตใิ นดนิ เปนพิษตอพชื และมคี าสูง กวา มาตรฐานของดิน ทองแดงและแคดเมียมไมเ กินระดบั วิกฤตแิ ละไมเกินคามาตรฐาน คณุ ภาพนาํ้ เหมาะสมสาํ หรับการใชรดนํ้าตนไม ไมม โี ลหะหนักปนเปอน

การพัฒนาสมุนไพรแบบบูรณาการ 73 (5) สวนปาแมอคุ อ จังหวดั แมฮ อ งสอน ผลการศึกษาคณุ ภาพดินในพืน้ ท่ีสวนปา แมอ ุคอจาํ นวน 4 แปลง สรุปไดด ังน้ี สมบัติทางกายภาพ เนอ้ื ดนิ แปลงท่ี 1, 3 เปน ดินรว นปนทราย เนื้อดนิ คอ นขา งหยาบ มลี กั ษณะเฉพาะคอื มีชอ งขนาด ใหญในระหวางอนุภาคดิน จะรับนํ้าผานผิวดนิ ไดดี มขี อดีคอื มีการแทรกซึมนาํ้ ดี และมีการกระจายนํ้าดี ดงั นัน้ การไถพรวนจงึ ทําไดง า ย ขอ เสยี คอื เนอื่ งจากมพี ื้นที่ผิวจาํ เพาะนอ ย เปนอนุภาคท่ีไมมปี ระจุและยงั ประกอบดวยชอ งระหวางอนภุ าคทมี่ ขี นาดใหญ จึงดดู ซับนํ้าและธาตุอาหารพชื ไดน อ ย ปุยทีใ่ สบ นผวิ ดิน สามารถดดู ชะละลายดว ยนา้ํ ใหไ หลลึกเลยเขตรากไดง าย ดงั นั้นจึงตอ งใสปยุ และน้าํ ครั้งละนอ ย ๆ แตต อ ง ใหบ อ ย ๆ เปนการสูญเสียเวลาและคา ใชจ าย แปลงท่ี 2, 4 ดนิ เนอ้ื ปานกลาง เปน ดินรว นเหนียวปนทราย มีลกั ษณะเฉพาะคือ มีสมบตั กิ ่ึงกลาง ระหวา งดนิ เนือ้ หยาบและดนิ เนื้อละเอียด คือระบายนา้ํ ไมเ รว็ มาก จนกอใหเกดิ การชะละลายสูญเสยี ธาตุ อาหารพืช แตเ รว็ พอท่ีจะระบายอากาศไดทันตอ ความตอ งการของพชื และมีความจุนํ้าใชป ระโยชนคอ นขา ง มาก พืชสามารถใชป ระโยชนจากสวนใหญข องนาํ้ ทอี่ ุม ไว ดนิ เน้อื ปานกลาง จงึ มีลักษณะเดนเหมาะสมตอ การใชง านเพาะปลกู มากกวาดนิ เนอื้ หยาบหรือเน้อื ละเอียด สมบัตทิ างเคมี ปฏิกริ ิยาดนิ pH ดินเปนกรดปานกลาง จงึ ตอ งเติมปูนเพ่ือยกระดับ pH ใหเ ปน กรดเลก็ นอย ถึงปานกลาง ปริมาณอินทรียวัตถุอยใู นระดับปานกลางถงึ สงู ปริมาณฟอสฟอรัสทีเ่ ปนประโยชนอยใู น ระดบั คอนขา งตา่ํ ในแปลงท่ี 2 และระดับปานกลางในแปลงท่ี 1, 3, 4 ปริมาณโพแทสเซยี มทีเ่ ปน ประโยชน สูงในแปลงที่ 1 และระดบั สงู มากในแปลงท่ี 2, 3, 4 ปริมาณแคลเซียมอยูในระดบั ตํ่า แมกนเี ซยี มใน แปลงที่ 1, 2, 3 อยใู นระดับตาํ่ และระดบั ปานกลางในแปลงท่ี 4 ในการปรบั pH ของดิน ควรจะใช โดโลไมท เพื่อเพ่มิ แคลเซียมและแมกนเี ซียมในดิน ปรมิ าณโลหะหนักในดิน ตะก่วั ทองแดง และแคดเมยี ม ไมเกนิ คามาตรฐาน ปริมาณสังกะสอี ยู ในชว งระดับวกิ ฤติในดิน แตไมเกินคา มาตรฐาน คณุ ภาพนาํ้ เหมาะสมสาํ หรบั การใชรดน้าํ ตน ไม ไมมโี ลหะหนักปนเปอน

74 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางท่ี 3 ผลการวเิ คราะหค ณุ ภาพดนิ ในพ้นื ที่สวนปา หลวงสันกาํ แพงกอนปลกู ปญจขนั ธ รายการ แปลงที่ 1 ผลการวิเคราะห แปลงท่ี 4 แปลงท่ี 2 แปลงที่ 3 สมบัตทิ างกายภาพดิน 58.4 58.6 27.0 57.9 60.3 26.9 คาวิเคราะหข นาดอนภุ าค 14.6 26.4 25.2 14.5 - ดนิ ทราย (sand) (%) SL 15.7 14.5 SL - ดนิ ทรายแปง (silt) (%) SL SL - ดินเหนียว (clay) (%) 5.3 5.5 - เนอ้ื ดิน (texture) 2.25 5.5 5.3 2.60 624 3.05 2.58 624 สมบตั ิทางเคมี 156 312 - ความเปนกรดเปน ดาง (pH) 21 22 - ปรมิ าณอนิ ทรยี วตั ถุ (OM) (%) 185 29 32 200 - ปรมิ าณความตอ งการปูน (LR) (กก./ไร) 770 200 185 1,229 219 1,030 862 211 ปรมิ าณของธาตทุ ี่สกัดได 280 219 - ปริมาณฟอสฟอรัสทเี่ ปนประโยชน (P) (มก./กก.) 24.000 27.500 - ปรมิ าณโพแทสเซยี ม (K) (มก./กก.) 14.000 169.300 26.900 11.500 - ปรมิ าณแคลเซยี ม (Ca) (มก./กก.) 54.300 15.800 15.100 45.400 - ปรมิ าณแมกนเี ซยี ม (Mg) (มก./กก.) 1.100 53.200 47.900 0.900 1.000 0.900 ปริมาณโลหะหนกั ในรปู ท้งั หมด - ปริมาณตะกว่ั (Pb) (มก./กก.) - ปริมาณทองแดง (Cu) (มก./กก.) - ปริมาณสงั กะสี (Zn) (มก./กก.) - ปริมาณแคดเมียม (Cd) (มก./กก.) หมายเหตุ SL = ดินรว นปนทราย (Sandy Loam)

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 75 ตารางที่ 4 ผลการวเิ คราะหคณุ ภาพดินในพื้นท่ีสวนปาบานหลวงกอ นปลกู ปญ จขันธ รายการ แปลงท่ี 1 ผลการวิเคราะห แปลงท่ี 4 แปลงที่ 2 แปลงท่ี 3 สมบตั ทิ างกายภาพดนิ 60.7 61.7 20.7 62.0 63.6 19.7 คา วิเคราะหข นาดอนุภาค 18.6 20.0 17.9 18.6 - ดนิ ทราย (sand) (%) SL 18.0 18.5 SL - ดินทรายแปง (silt) (%) SL SL - ดินเหนยี ว (clay) (%) 7.0 6.0 - เนอ้ื ดิน (texture) 4.60 6.3 6.1 4.33 0 5.07 4.53 0 สมบตั ทิ างเคมี 00 - ความเปน กรดเปน ดา ง (pH) 14 21 - ปริมาณอินทรียวตั ถุ (OM) (%) 355 15 23 385 - ปรมิ าณความตอ งการปนู (LR) (กก./ไร) 1,326 400 405 1,186 323 1,438 1,204 348 ปรมิ าณของธาตุทสี่ กัดได 332 330 - ปริมาณฟอสฟอรัสทเ่ี ปนประโยชน (P) (มก./กก.) 30.000 24.700 - ปริมาณโพแทสเซยี ม (K) (มก./กก.) 8.200 26.000 25.900 7.500 - ปรมิ าณแคลเซียม (Ca) (มก./กก.) 44.700 8.600 47.700 42.900 - ปรมิ าณแมกนเี ซยี ม (Mg) (มก./กก.) 0.400 46.200 45.700 9.000 0.500 0.400 ปริมาณโลหะหนักในรูปทง้ั หมด - ปริมาณตะกว่ั (Pb) (มก./กก.) - ปรมิ าณทองแดง (Cu) (มก./กก.) - ปริมาณสงั กะสี (Zn) (มก./กก.) - ปริมาณแคดเมียม (Cd) (มก./กก.) หมายเหตุ SL = ดินรวนปนทราย (Sandy Loam)

76 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางที่ 5 ผลการวิเคราะหค ุณภาพดินในพ้ืนที่สวนปาแมห อพระกอนปลกู ปญ จขันธ รายการ แปลงท่ี 1 ผลการวเิ คราะห แปลงท่ี 5 แปลงท่ี 2 แปลงที่ 3 แปลงที่ 4 สมบัตทิ างกายภาพดิน 11.5 10.2 49.0 9.3 10.5 11.6 48.0 คาวิเคราะหข นาดอนภุ าค 39.5 51.5 47.6 46.3 41.8 - ดนิ ทราย (sand) (%) SiCL 39.2 41.9 42.1 SiC - ดินทรายแปง (silt) (%) SiCL SiC SiC - ดินเหนียว (clay) (%) 6.2 5.5 - เน้อื ดนิ (texture) 4.72 6.1 6.1 6.1 4.42 0 4.28 4.43 4.68 624 สมบตั ทิ างเคมี 000 - ความเปนกรดเปนดาง (pH) 6 30 - ปริมาณอนิ ทรยี วตั ถุ (OM) (%) 100 33 35 36 135 - ปริมาณความตองการปนู (LR) (กก./ไร) 1,030 130 130 135 3,060 226 3,228 3,213 3,024 167 ปรมิ าณของธาตทุ ส่ี กดั ได 165 165 165 - ปริมาณฟอสฟอรัสท่ีเปนประโยชน (P) (มก./กก.) 9.500 8.800 - ปริมาณโพแทสเซยี ม (K) (มก./กก.) 341.000 19.600 6.700 8.500 77.900 - ปริมาณแคลเซียม (Ca) (มก./กก.) 144.500 74.800 77.400 75.300 95.800 - ปริมาณแมกนีเซยี ม (Mg) (มก./กก.) 0.000 101.000 96.700 94.300 0.000 0.000 0.000 0.000 ปริมาณโลหะหนักในรปู ทั้งหมด - ปริมาณตะกว่ั (Pb) (มก./กก.) - ปริมาณทองแดง (Cu) (มก./กก.) - ปรมิ าณสังกะสี (Zn) (มก./กก.) - ปริมาณแคดเมียม (Cd) (มก./กก.) หมายเหตุ SiCL = ดนิ รวนเหนียวปนทรายแปง (Silty Clay Loam) SiC = ดินเหนยี วปนทรายแปง (Silty Clay)

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 77 ตารางท่ี 6 ผลการวิเคราะหค ณุ ภาพดินในพื้นที่สวนปาแมแจม กอ นปลูกปญ จขันธ รายการ แปลงที่ 1 ผลการวิเคราะห แปลงที่ 4 แปลงที่ 2 แปลงที่ 3 สมบัตทิ างกายภาพดนิ 24.9 22.3 41.1 24.5 22.5 45.6 คาวเิ คราะหขนาดอนภุ าค 34.0 40.2 44.5 31.8 - ดินทราย (sand) (%) CL 35.3 33.0 CL - ดินทรายแปง (silt) (%) CL CL - ดินเหนียว (clay) (%) 7.5 7.6 - เนอ้ื ดิน (texture) 2.67 7.0 7.6 3.53 0 2.99 2.77 0 สมบตั ิทางเคมี 00 - ความเปน กรดเปน ดา ง (pH) 11 24 - ปริมาณอนิ ทรียวตั ถุ (OM) (%) 235 17 19 210 - ปริมาณความตอ งการปูน (LR) (กก./ไร) 6,372 230 220 6,754 248 7,417 8,020 213 ปรมิ าณของธาตุท่ีสกดั ได 230 220 - ปริมาณฟอสฟอรัสทเ่ี ปนประโยชน (P) (มก./กก.) 607.200 359.700 - ปรมิ าณโพแทสเซยี ม (K) (มก./กก.) 50.100 603.350 585.200 35.100 - ปริมาณแคลเซียม (Ca) (มก./กก.) 698.500 48.500 49.000 541.200 - ปรมิ าณแมกนเี ซยี ม (Mg) (มก./กก.) 0.200 639.100 669.900 0.000 0.000 0.000 ปรมิ าณโลหะหนักในรปู ทง้ั หมด - ปริมาณตะกว่ั (Pb) (มก./กก.) - ปรมิ าณทองแดง (Cu) (มก./กก.) - ปรมิ าณสังกะสี (Zn) (มก./กก.) - ปริมาณแคดเมียม (Cd) (มก./กก.) หมายเหตุ CL = ดินรวนเหนียว (Clay Loam)

78 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ตารางที่ 7 ผลการวิเคราะหค ณุ ภาพดนิ ในพืน้ ที่สวนปา แมอ คุ อกอ นปลกู ปญ จขันธ รายการ แปลงท่ี 1 ผลการวเิ คราะห แปลงที่ 4 แปลงท่ี 2 แปลงที่ 3 สมบตั ทิ างกายภาพดนิ 58.6 59.1 23.3 55.0 56.1 22.1 คา วเิ คราะหขนาดอนภุ าค 18.1 24.9 24.3 18.8 - ดนิ ทราย (sand) (%) SL 20.1 19.6 SCL - ดนิ ทรายแปง (silt) (%) SCL SL - ดินเหนียว (clay) (%) 5.5 5.9 - เนอ้ื ดนิ (texture) 2.93 5.7 5.9 2.79 468 2.54 2.32 312 สมบัติทางเคมี 312 312 - ความเปน กรดเปนดาง (pH) 12 15 - ปรมิ าณอนิ ทรยี วตั ถุ (OM) (%) 105 8 11 185 - ปรมิ าณความตอ งการปูน (LR) (กก./ไร) 734 185 165 923 117 959 887 128 ปรมิ าณของธาตทุ ่ีสกดั ได 118 99 - ปริมาณฟอสฟอรัสทีเ่ ปนประโยชน (P) (มก./กก.) 19.400 17.300 - ปรมิ าณโพแทสเซยี ม (K) (มก./กก.) 15.300 18.000 17.300 18.300 - ปรมิ าณแคลเซยี ม (Ca) (มก./กก.) 78.300 15.800 16.200 72.700 - ปรมิ าณแมกนีเซยี ม (Mg) (มก./กก.) 0.000 78.300 69.400 0.000 0.000 0.000 ปรมิ าณโลหะหนกั ในรูปท้ังหมด - ปริมาณตะก่วั (Pb) (มก./กก.) - ปรมิ าณทองแดง (Cu) (มก./กก.) - ปริมาณสงั กะสี (Zn) (มก./กก.) - ปริมาณแคดเมยี ม (Cd) (มก./กก.) หมายเหตุ SL = ดินรวนปนทราย (Sandy Loam) SCL = ดนิ รว นเหนียวปนทราย (Sandy Clay Loam)

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 79 ตารางที่ 8 เกณฑช้วี ัดคณุ ภาพดินในพนื้ ท่เี ปาหมายกอ นปลกู ปญ จขนั ธ ดัชนคี ุณภาพดิน สันกําแพง บา นหลวง พน้ื ท่ี แมแ จม แมอุคอ SL SL แมห อพระ CL SL SCL เนอ้ื ดิน SiCL SiL สมบตั ิทางเคมี กรดแก กรดเล็กนอย- กลาง-ดา ง กรด กลาง กรดเล็กนอย- อยา งออ น ปานกลาง ความเปน กรดเปนดา ง (pH) ต่าํ มาก ตา่ํ มาก ปานกลาง ตํา่ มาก ตํ่ามาก คอนขางสูง- สงู ตํ่ามาก ปานกลาง การนาํ ไฟฟา (EC) สูง สงู อนิ ทรียวตั ถุ (OM) สงู สูง -สูง สงู ปรมิ าณธาตทุ ีส่ กดั ได คอ นขางสงู คอ นขา งสงู - ตา่ํ - ฟอสฟอรสั (P) ปานกลาง ปานกลาง สงู มาก โพแทสเซียม (K) สูงมาก สงู มาก สงู สงู - สงู มาก สงู มาก แคลเซียม (Ca) ปานกลาง-ต่าํ ปานกลาง สงู สงู - ปานกลาง สูงมาก แมกนเี ซยี ม (Mg) ปานกลาง ปานกลาง ปานกลาง ตํ่า- ปานกลาง ปริมาณโลหะหนกั ในรปู ท้งั หมด ตะก่วั (Pb) สูง ต่ํา ปกติ ระดบั วกิ ฤติ ปกติ ระดบั วิกฤติ ระดับวิกฤติ ปกติ ทองแดง (Cu) ปกติ ตํ่า ระดบั วิกฤติ ระดบั วกิ ฤติ ปกติ ปกติ สงั กะสี (Zn) ปกติ ตา่ํ ปกติ ปกติ แคดเมยี ม (Cd) ปกติ ตา่ํ หมายเหตุ SL = ดินรวนปนทราย (Sandy Loam) SCL = ดินรว นเหนียวปนทราย (Sandy Clay Loam) SiCL = ดินรว นเหนียวปนทรายแปง (Silty Clay Loam) SiC = ดินเหนยี วปนทรายแปง (Silty Clay)

80 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางท่ี 9 ผลการวิเคราะหคณุ ภาพน้ําในพน้ื ทีเ่ ปา หมายปลกู ปญจขันธ คา วเิ คราะห รายการ สนั กําแพง บานหลวง แมหอพระ แมแจม แมอุคอ ความเปน กรดเปนดาง (pH) 7.0 7.2 7.6 7.4 7.9 การนาํ ไฟฟา (EC) dS/m 0.25 0.25 0.70 0.72 0.08 ของแข็งท่ลี ะลายนาํ้ ไดท้งั หมด (TDS) (มก./ล.) 136.00 136.00 377.00 388.00 46.00 ของแขง็ แขวนลอย (SS) (มก./ล.) 6.00 12.00 99.00 90.00 28.00 ปรมิ าณรวมของธาตุไนโตรเจน (N) (มก./ล.) 1.18 1.68 2.94 1.51 0.59 ปริมาณโพแทสเซียม (K) (มก./ล.) 10.20 6.40 25.60 0.00 1.60 ปรมิ าณแคลเซยี ม (Ca) (มก./ล.) 18 37.68 118.82 112.84 10.08 ปริมาณแมกนเี ซียม (Mg) (มก./ล.) 11.76 4.80 12.65 17.38 1.95 คลอไรด (Cl) (มก./ล.) 4.16 2.64 14.60 14.50 2.31 ฟอสเฟต (PO4) (มก./ล.) 0.086 0.056 0.291 0.060 0.021 ซัลเฟต (SO4) (มก./ล.) 3.16 4.40 7.11 7.61 2.47 ตะก่วั (Pb) (มก./ล.) 0.000 0.000 0.000 0.000 0.000 ทองแดง (Cu) (มก./ล.) 0.000 0.003 0.000 0.000 0.000 สังกะสี (Zn) (มก./ล.) 0.000 0.000 0.000 0.000 0.000 แคดเมียม (Cd) (มก./ล.) 0.000 0.000 0.000 0.000 0.000

การพัฒนาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 81 สรปุ คณุ ภาพดนิ และคุณภาพนํา้ ในพื้นท่ีทดลองปลูกสมุนไพรปญ จขันธ จากผลการตรวจวเิ คราะหพบวา พ้นื ทท่ี ม่ี คี ุณภาพดที ีส่ ดุ คือ สวนปาบานหลวง รองลงมาคอื สวนปา หลวงสนั กาํ แพง สวนปา แมแจม สวนปาแมหอพระ และสวนปาแมอ ุคอตามลาํ ดับ 1. คุณภาพดินในพน้ื ทสี่ วนปา บา นหลวง คุณภาพดินดีท่สี ุด คอื เน้อื ดินเปนดนิ รวนปนทราย ความอุดมสมบูรณอยูในระดับสูง ความเปนกรด-ดา งของดนิ เปน กรดเล็กนอย-กลาง ไมม กี ารปนเปอ น โลหะหนกั คุณภาพนํา้ อยใู นระดับดี 2. พ้นื ท่ีสวนปา หลวงสันกาํ แพง เน้อื ดินเปนดินรว นปนทราย ความเปน กรด-ดา งของดินสามารถ ปรับไดโดยใชโดโลไมท ความอุดมสมบูรณข องดนิ สงู มีการปนเปอนของตะกวั่ 1 แปลง ตอ งตรวจสอบ ใหม แปลงอื่น ๆ ปกติ 3. พ้นื ท่สี วนปา แมแ จม เน้อื ดนิ สามารถจดั การได ความเปนกรด-ดา งของดนิ เปน กลาง-ดาง อยา งออน ความอุดมสมบูรณอยใู นระดับสงู แตมปี ญ หาการปนเปอ นของตะกั่วและทองแดงอยใู นระดบั วกิ ฤติ ตอ งมกี ารศกึ ษารายละเอยี ดเพิม่ เติม 4. พน้ื ท่ีสวนปา แมหอพระ เนือ้ ดนิ ตอ งมีการจัดการโดยเพิม่ อินทรียวตั ถุ ความเปนกรด-ดา ง เปน กรดเล็กนอย-ปานกลาง ความอุดมสมบรู ณของดินอยูใ นระดบั สงู คาทองแดงและสงั กะสอี ยใู นระดับ วิกฤติ ถาตองการปลกู จะตองมกี ารศึกษาอยา งละเอียด 5. พน้ื ท่ีสวนปาแมอ ุคอ เน้อื ดินตอ งปรบั ปรุง ความเปน กรด-ดา งของดนิ เปน กรดปานกลาง ความอุดมสมบูรณต ่ํา-ปานกลาง คาสังกะสอี ยใู นระดับวิกฤติ คาทองแดง แคดเมยี มและตะก่ัวปกติ การจัดการปญ หาของเนอ้ื ดนิ มที างเลอื ก ดังนี้ 1. เลือกปลูกพชื ใหเหมาะสมกบั ชนดิ ของดิน เน้ือดนิ ที่เหมาะสมสําหรับการปลกู ปญ จขนั ธ คอื ดินในสวนปาบานหลวง สว นดนิ ในสวนปาหลวงสนั กําแพง สวนปาแมแจม สวนปา แมหอพระ สวนปา แม อุคอ ตองมีการปรบั ปรุง 2. การเพ่ิมอินทรยี วัตถุในดินเปนวธิ มี าตรฐานในการปรบั ขอดอยอนั เนอื่ งมาจากมีเน้ือดนิ หยาบ หรอื ละเอียดเกนิ ไป อินทรยี วตั ถนุ อกจากจะสลายตัวใหธาตุอาหารพชื แลว การเพม่ิ ระดบั วัตถุในดนิ ทราย จะทาํ ใหความสามารถอุมนํ้าของดินเพ่ิมขน้ึ ในขณะทดี่ ินเหนยี วจะทาํ ใหดินโปรง การระบายนํ้าและอากาศ ดีขึน้

82 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก 4.3 ปจ จัยการผลติ ทางการเกษตรเพอื่ การเพาะปลกู โกฐจุฬาลําพา1 ในการศึกษาวิจัยปจจัยการผลิตท่ีเหมาะสมตอการปลูกโกฐจุฬาลาํ พา ซึ่งเปนการศกึ ษาเพื่อใช ในแปลงทดลองตามแนวทางการเกษตรดที ่ีเหมาะสม (Good Agricultural Practice,GAP) การศกึ ษา จงึ ตอ งใหสอดคลอ งกบั หลักเกณฑข ององคการอนามยั โลกเกี่ยวกบั การเกษตรดีท่เี หมาะสม และการศกึ ษา เปนการผลิตพชื สมุนไพรอินทรีย จงึ ตองปฏบิ ัตติ ามแนวทางการผลติ พชื อินทรีย ซึ่งหลักเกณฑม าตรฐาน การผลิตผลิตผลเกษตรอนิ ทรยี ขององคก ารอาหารและเกษตรแหง สหประชาชาติ พน้ื ท่เี ปา หมายท่ีทาํ การศึกษา 1. สวนสมนุ ไพร กรมวิทยาศาสตรการแพทย จังหวดั ระยอง 2. ศนู ยส ง เสรมิ และพฒั นาอาชพี การเกษตรจงั หวดั เชยี งราย 3. สวนปาเขากระยาง สาํ นักงานอนุรกั ษและพฒั นาสวนปาพิษณุโลก 4. ศูนยกสกิ รรมธรรมชาติทามะขาม จังหวัดกาญจนบรุ ี วิธกี าร 1. ดิน 1.1 การเกบ็ ตวั อยา งดิน เก็บตัวอยา งดินในพื้นท่ีศกึ ษาท่คี วามลึก 0-15 เซนตเิ มตร โดยวิธี สมุ ตวั อยา ง (Composite sampling) ผง่ึ ใหแ หง บดดวยครกบดดนิ ผา นตะแกรงรอ นขนาด 2 มลิ ลเิ มตร เก็บในถงุ พลาสตกิ 1.2 การวเิ คราะหตวั อยางดิน รายการที่วิเคราะห ดงั น้ี สมบัติทางกายภาพดิน : คา วเิ คราะหขนาดอนุภาค ดินทราย ดนิ ทรายแปง ดินเหนยี ว เนอ้ื ดิน โดยวธิ ีปเ ปต (Soil Survey Laboratory Staff, 1992) สมบัติทางเคมี : คา ความเปนกรดเปนดาง ใชอตั ราสว นดินตอนาํ้ เทา กบั 1:1 (Soil Conservation Service, 1982) คา ปรมิ าณความตอ งการปูน (Bower and Huss, 1948) คาการ นําไฟฟา (Reitemeier, 1946) คา ปรมิ าณอินทรยี วัตถุ (Walkey and Black, 1947) ปริมาณธาตอุ าหารท่สี กัดได : ฟอสฟอรสั ท่ีเปน ประโยชนต อ พชื (Bray and Kurt, 1945) โพแทสเซยี ม แคลเซียม และแมกนีเซียมท่เี ปนประโยชนต อ พืช (Jackson, 1958) ปรมิ าณโลหะหนักในรูปทง้ั หมด : ตะกวั่ ทองแดง สงั กะสี แคดเมยี ม และสารหนู (ดัดแปลงจาก Hossner, 1996 และ Burau, 1982)

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 83 2. พืช ตัวอยา งสมุนไพรโกฐจุฬาลําพาจากพืน้ ท่ที ดลองทั้ง 4 แหง โดยการเตรียมตวั อยา งตามวธิ ี มาตรฐานและวเิ คราะหตวั อยางโดยช่ังตัวอยางพชื 1.000 กรมั ยอยดว ย ConcHNO3/HClO4 = 2 : 1 และวดั ปริมาณแคดเมยี มดวยเครือ่ ง Flame Atomic Absorption Spectrophotometer และ Hydride Generation 3. นา้ํ 3.1 เก็บตวั อยางนํ้าจากแหลง นํ้าทจี่ ะนาํ มาใชร ดสมุนไพร ตามวธิ ีการเก็บตัวอยางน้ําท่ีถูกตอง 3.2 การวเิ คราะหต ัวอยางน้าํ รายการท่ีวิเคราะห ดังน้ี ดชั นคี ณุ ภาพนํ้า : ความเปนกรดเปนดาง (กองวิเคราะหดิน, 2537; ม่ันสิน, 2543; สํานักวิทยาศาสตรเ พื่อการพัฒนาที่ดนิ , 2547) การนําไฟฟา ปรมิ าณรวมของธาตไุ นโตรเจน แคต ไอออน โพแทสเซียม แคลเซยี ม แมกนีเซยี ม แอนไอออน ซัลเฟต คลอไรด และฟอสเฟต (กอง วิเคราะหด นิ , 2537; สาํ นักวทิ ยาศาสตรเ พือ่ การพฒั นาทีด่ ิน, 2547) โลหะหนักในนาํ้ ตะกั่ว ทองแดง สังกะสี แคดเมียม สารหนู (กรมอนามัย, 2537) เครื่องมอื วิทยาศาสตรท ่ใี ชใ นการวเิ คราะหดนิ และน้ํา Hydrometer, pH meter, Electrical Conductometer, UV Spectrophotometer, Flame Atomic Absorption Spectrophotometer, Hydride Generation และ Flame Photometer ผลการศึกษาและวิจารณ ผลการวิเคราะหคณุ ภาพดินในพื้นทีเ่ ปา หมายกอนปลูก สมบตั ิทางกายภาพ (1) สวนสมนุ ไพร กรมวิทยาศาสตรก ารแพทย จังหวดั ระยอง เน้ือดินเปนดินรวนปนทราย (2) สวนปา เขากระยาง จังหวัดพษิ ณโุ ลก เน้ือดินเปนดินรวนปนทราย (3) ศูนยก สกิ รรมธรรมชาติทามะขาม จงั หวัดกาญจนบุรี เน้ือดินเปนดินรวนปนทราย พื้นท่ที งั้ 3 แหง มเี นื้อดนิ คอนขา งหยาบ มลี กั ษณะเฉพาะ คอื มีชองขนาดใหญระหวา งอนุภาค ดิน จะรบั น้ําผา นผวิ ดนิ ไดดี

84 กรมพัฒนาการแพทยแ ผนไทยและการแพทยทางเลือก ขอดี คือ มีการแทรกซึมนํา้ ดีและมีการกระจายนํ้าดี ดังน้ันการไถพรวนจึงทําไดงาย ขอ เสยี คอื เนอ่ื งจากมีพ้ืนท่ีผวิ จําเพาะนอ ย เปนอนุภาคที่ไมม ปี ระจุและยงั ประกอบดว ยชอ งระหวา ง อนุภาคที่มีขนาดใหญ จึงดูดซับน้ําและธาตุอาหารพืชไดนอย ปุย ทใี่ สล งบนผวิ ดนิ สามารถดูดชะละลาย ดวยนา้ํ ใหไหลลกึ เลยเขตรากไดง า ย ดงั นั้นจงึ ตอ งใสปยุ และนาํ้ ครัง้ ละนอย ๆ แตตองใหบอ ย ๆ เปนการ สญู เสียเวลาและคาใชจา ย (4) ศนู ยส ง เสรมิ และพฒั นาอาชีพการเกษตร จงั หวดั เชยี งราย เนอื้ ดนิ เปน ดินเหนียว มเี นื้อละเอยี ด มี ลกั ษณะเฉพาะคอื มชี อ งระหวางอนภุ าค มีขนาดเล็ก และมปี ริมาณรวมของชอ งมาก ขอ ดี คอื มพี ้ืนทผ่ี วิ จําเพาะสงู อนุภาคมปี ระจแุ ละชองระหวางอนุภาคมีขนาดเล็กจึงดดู ซับนาํ้ และ ธาตุอาหารพชื ไดมาก การละลายธาตุอาหารไปกบั นาํ้ เลยเขตรากเกิดไดยาก สามารถใสปุยและน้าํ นาน ๆ คร้ังหนึ่งก็ได ขอเสีย คือ การแทรกซึมน้ํา และการกระจายนํ้าในหนาตดั ดินไดช า การไถพรวนตองกาํ ลงั งานมาก มกั เรยี กวาดินหนกั ทํางานยาก สนิ้ เปลืองเวลาและเช้อื เพลงิ มาก ดนิ เหลา นจี้ ะมปี ญหานํา้ ทว มขงั และการ ระบายอากาศเลว รากพชื อาจประสบปญหาขาดอากาศได และปญหาอีกประการหนึ่งคือมักเกิดแผน แข็งปดผิว ซ่ึงทาํ ใหเมล็ดพชื งอกไดย าก หากมกี ารปรับปรุงสมบตั ิทางฟส กิ สบ างประการของเนอ้ื ละเอียด เชน สงเสรมิ ใหอ นภุ าคจับตวั กนั เปน เมด็ จะทําใหดินมีสดั สว นของชองขนาดใหญเพิม่ ขนึ้ การแทรกซมึ และ กระจายนํ้าในหนาตัดจะเรว็ ขึ้น ทาํ ใหการระบายนาํ้ และการถายเทอากาศของดินดีขน้ึ ดวย และชว ยลด ปญ หาเรอื่ งแผน แข็งปด ผิวดนิ ดว ย สมบัติทางเคมี (1) สวนสมนุ ไพรกรมวิทยาศาสตรก ารแพทย จังหวัดระยอง ความเปนกรดเปน ดางอยูในระดบั กรดจดั มาก ตอ งปรับ pH ของดิน โดยใชป นู ขาวในอตั ราซึง่ สามารถพจิ ารณาจากคาความตองการปูน ใชป นู ขาว 10.8 กโิ ลกรัม/แปลง (54 ตารางเมตร) คา การนําไฟฟาอยใู นระดับตํา่ มาก แสดงวา มปี ริมาณเกลือ NaCl ตํา่ ไมเ ปน ดินเคม็ ปรมิ าณอินทรียวตั ถอุ ยูใ นระดบั ตาํ่ มาก ตอ งใสป ยุ หมกั หรอื ปุยคอก 324 กิโลกรมั /แปลง ปรมิ าณฟอสฟอรสั ที่เปนประโยชนอยใู นระดับคอ นขางสงู ไมตอ งเพ่มิ ธาตฟุ อสฟอรสั ลงในดนิ ปริมาณโพแทสเซียมอยูในระดบั ตา่ํ ตอ งเพิ่มธาตุโพแทสเซยี มลงไปในดิน ปริมาณแคลเซยี ม อยใู นระดับต่ํามาก ตอ งเพิ่มธาตแุ คลเซยี ม ซงึ่ สามารถไดร บั จากการเติมปนู

การพฒั นาสมุนไพรแบบบูรณาการ 85 ปริมาณแมกนีเซยี มอยูใ นระดับตาํ่ มาก ตอ งเพมิ่ ธาตแุ มกนเี ซยี ม ถา จาํ เปน ปรมิ าณโลหะหนักในรปู ทง้ั หมด ตะก่วั ทองแดง สังกะสี สารหนู อยใู นระดับตํ่า แคดเมยี ม อยใู น ระดบั ตํ่ามาก ตรวจไมพ บ ปริมาณตะกั่ว ทองแดง สังกะสี แคดเมยี ม และสารหนู อยใู นระดบั ตาํ่ กวา ระดับเกณฑพ นื้ ฐาน ซงึ่ เปนระดบั ความเขมขนทน่ี าํ มาใชเ พอื่ ประเมินการปนเปอ นระยะแรกทแี่ นะนําสําหรับ โลหะหนักในดินประเทศไทย (2) ศูนยส งเสรมิ และพัฒนาอาชีพการเกษตร จงั หวดั เชยี งราย ความเปน กรดเปนดา งของดินอยใู นระดบั เปนกรดแก ตอ งปรับ pH ใหสงู ข้ึนโดยใสป ูนขาว ปริมาณทใ่ี ช พิจารณาจากคา ความตอ งการปูน จะตองใชปนู ขาว 30 กโิ ลกรมั /แปลง คาการนําไฟฟาอยใู นระดับต่ํามาก แสดงวามีปรมิ าณเกลือ NaCl ตํา่ ไมเ ปนดนิ เค็ม ปริมาณอินทรยี วตั ถอุ ยใู นระดบั คอนขางสูง ปรมิ าณฟอสฟอรสั และแคลเซยี มทเี่ ปนประโยชนอยใู นระดบั สงู มาก ไมต อ งเพิ่มธาตุฟอสฟอรัสและ ธาตุแคลเซยี ม ปรมิ าณโพแทสเซียมอยใู นระดับสงู มาก ไมตอ งเพ่มิ ธาตุโพแทสเซียม ปรมิ าณแมกนีเซียมอยูในระดบั ปานกลาง ไมตอ งเพม่ิ ธาตุแมกนเี ซยี ม ปริมาณโลหะหนักในดนิ ตะกั่ว ทองแดง สงั กะสี สารหนู อยใู นระดับต่าํ แคดเมยี ม อยใู นระดบั ต่ํา มาก ตรวจไมพ บ ปริมาณโลหะหนักอยใู นระดับต่ํากวาระดบั เกณฑพ ้นื ฐานที่แนะนําสําหรบั โลหะหนักใน ดนิ ของประเทศไทย ซง่ึ เปน ระดบั ความเขม ขน ที่นํามาใชเ พ่อื ประเมนิ การปนเปอนระยะแรก (3) สวนปาเขากระยาง จงั หวัดพษิ ณโุ ลก ความเปนกรดเปนดางอยใู นระดับกรดจดั ตอ งปรับ pH ของดินใหสงู ขนึ้ โดยใชปนู ขาว พจิ ารณา ปรมิ าณปูนขาวทีใ่ ชจากคาความตองการปนู ของดิน 10 กโิ ลกรมั /แปลง คา การนําไฟฟา อยูในระดบั ตา่ํ มาก แสดงวา มปี รมิ าณเกลือ NaCl ต่าํ ไมเปนดนิ เค็ม ปริมาณอินทรียวตั ถุอยใู นระดับปานกลาง ตองใสปยุ หมกั หรอื ปยุ คอกในดนิ 68 กิโลกรมั /แปลง ปริมาณฟอสฟอรสั ท่เี ปนประโยชนอ ยใู นระดับคอ นขา งตํา่ ตอ งเพิม่ ธาตฟุ อสฟอรัส ปริมาณโพแทสเซียมและแมกนีเซียมอยูในระดับปานกลาง ปริมาณแคลเซียมอยูในระดับตาํ่

86 กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลอื ก ปรมิ าณโลหะหนกั ในดนิ ตะกัว่ ทองแดง สังกะสี สารหนู อยูในระดับตาํ่ แคดเมยี ม อยใู นระดบั ต่าํ มาก ตรวจไมพ บ ปริมาณโลหะหนกั อยใู นระดับตาํ่ กวาระดับเกณฑพ ้ืนฐานทแี่ นะนําสําหรับโลหะหนกั ใน ดินของประเทศไทย ซึ่งเปนระดบั ความเขม ขนท่ีนาํ มาใชเ พื่อประเมนิ การปนเปอ นระยะแรก (4) ศนู ยกสกิ รรมธรรมชาตทิ ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี ความเปนกรดเปน ดางของดิน อยูในระดับเปน กลาง ไมตอ งปรบั pH คาการนาํ ไฟฟาอยใู นระดบั ต่ํามาก แสดงวา มปี รมิ าณเกลอื NaCl ต่ํา ไมเปนดินเค็ม ปริมาณอินทรยี วตั ถอุ ยูในระดบั ปานกลาง ปรับปรงุ ดินโดยใชปยุ หมกั /ปุยคอก 34 กโิ ลกรัม/แปลง ปริมาณฟอสฟอรัสท่เี ปนประโยชนแ ละโพแทสเซยี มอยใู นระดบั สูงมาก ปริมาณแคลเซียมและแมกนเี ซียมอยูในระดับปานกลาง ปริมาณโลหะหนกั ในรปู ท้งั หมด ตะกัว่ ทองแดง สงั กะสี สารหนู อยใู นระดับต่าํ ปรมิ าณแคดเมียมอยูในระดับต่ํามาก ตรวจไมพบ ปรมิ าณตะกั่ว ทองแดง สงั กะสี แคดเมียม และสารหนูในดิน อยูในระดบั ตํา่ กวา ระดบั เกณฑ พนื้ ฐานทแี่ นะนาํ สําหรับโลหะหนกั ในดินประเทศไทย ซงึ่ เปน ระดบั ความเขม ขนทน่ี ํามาใชเพอื่ ประเมนิ การ ปนเปอ นระยะแรก

การพฒั นาสมุนไพรแบบบรู ณาการ 87 ตารางที่ 10 เกณฑชี้วัดคุณภาพดินในพนื้ ท่ีเปาหมายกอ นปลกู โกฐจุฬาลําพา พ้นื ท่ี ดัชนคี ุณภาพดิน ระยอง พิษณโุ ลก กาญจนบรุ ี SL เชียงราย กลาง เน้ือดิน SL C SL ตํ่ามาก ปานกลาง สมบัตทิ างเคมี กรดจัดมาก กรดแก กรดจดั ตํา่ มาก ต่าํ มาก ตาํ่ มาก สูงมาก ความเปนกรดเปนดาง (pH) ตํา่ มาก คอ นขางสงู ปานกลาง สูงมาก การนาํ ไฟฟา (EC) ปานกลาง อินทรยี วัตถุ (OM) ปานกลาง ปรมิ าณธาตุทสี่ กดั ได คอนขา งสงู สูงมาก คอนขางต่ํา ตาํ่ ตา่ํ สงู มาก ปานกลาง ต่าํ ฟอสฟอรัส (P) ตํา่ โพแทสเซยี ม (K) ตํา่ มาก สูง ต่ํา nd แคลเซยี ม (Ca) ตา่ํ มาก ปานกลาง ปานกลาง ต่าํ แมกนเี ซยี ม (Mg) ปริมาณโลหะหนกั ในรูปทง้ั หมด ตะกั่ว (Pb) ตาํ่ ต่าํ ตาํ่ ตํา่ ต่าํ ทองแดง (Cu) ต่าํ ต่ํา ต่ํา nd nd สังกะสี (Zn) ตา่ํ ตํา่ ต่ํา แคดเมยี ม (Cd) nd สารหนู (As) ตํ่า หมายเหตุ SL = ดินรว นปนทราย (Sandy Loam) C = ดนิ เหนยี ว (Clay) nd = ตรวจไมพ บ

88 กรมพฒั นาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ตารางที่ 11 ผลการวเิ คราะหคณุ ภาพดินในพื้นท่เี ปา หมายกอนปลูกโกฐจุฬาลาํ พา รายการ ระยอง ผลการวเิ คราะห กาญจนบุรี เชยี งราย พิษณโุ ลก สมบตั ทิ างกายภาพดนิ 75.5 52.8 15.0 36.0 71.7 39.0 คา วิเคราะหขนาดอนภุ าค 9.5 22.3 16.6 8.2 - ดนิ ทราย (sand) (%) 4.7 11.7 SL - ดินทรายแปง (silt) (%) SL C SL 7.3 - ดินเหนยี ว (clay) (%) 5.4 4.9 0 - เนือ้ ดิน (texture) 4.4 624 468 0.04 สมบตั ทิ างเคมี 312 0.05 0.04 1.86 - ความเปนกรดเปนดาง (pH) 0.02 3.32 2.20 88 - ปรมิ าณความตอ งการปนู (LR) (กก./ไร) 0.41 98 7 160 - การนําไฟฟา (EC) (dS/cm) 25.0 374 75 1681 - ปรมิ าณอนิ ทรียวตั ถุ (%) 46.0 2202 620 144 ปริมาณของธาตุท่สี กดั ได 104.0 212 147 3.70 - ปริมาณฟอสฟอรสั ท่ีเปนประโยชน (P) (มก./กก.) 16.0 10.80 3.65 5.60 - ปริมาณโพแทสเซียม (K) (มก./กก.) 1.96 23.40 2.00 5.40 - ปริมาณแคลเซียม (Ca) (มก./กก.) 0.27 69.0 33.25 nd - ปริมาณแมกนีเซียม (Mg) (มก./กก.) 3.60 nd nd 3.60 ปริมาณโลหะหนักในรปู ทัง้ หมด 0.05 6.80 4.67 - ปรมิ าณตะก่ัว (Pb) (มก./กก.) 0.98 - ปรมิ าณทองแดง (Cu) (มก./กก.) - ปรมิ าณสงั กะสี (Zn) (มก./กก.) - ปรมิ าณแคดเมียม (Cd) (มก./กก.) - ปริมาณสารหนู (As) (มก./กก.) หมายเหตุ SL = ดินรวนปนทราย (Sandy Loam) C = ดนิ เหนยี ว (Clay) nd = ตรวจไมพบ