“...พอเพยี ง มีความหมายกว้างขวางย่ิงกวา่ น้อี ีก คือคำวา่ พอ ก็พอเพียงน้ีก็พอแคน่ นั้ เอง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภนอ้ ย เมอื่ มีความโลภนอ้ ยก็เบยี ดเบียนคนอื่นน้อย ถา้ ประเทศใดมีความคิดอันน้ี มคี วามคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความวา่ พอประมาณ ซือ่ ตรง ไม่โลภอยา่ งมาก คนเรากอ็ ยู่เป็นสุข พอเพยี งนอี้ าจมมี ากอาจจะมีของหรหู ราก็ได้ แต่ว่าตอ้ งไมเ่ บียดเบียนคนอ่ืน...” พระราชดำรสั เน่อื งในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสดิ าลัย วันท่ี 4 ธันวาคม 2551 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 1
คำนำ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไดเ้ คยจดั ทำหนงั สอื “117 อาชพี เกษตรกรรมทางเลอื ก” เพอ่ื เผยแพร ่ องค์ความรู้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมท่ีเหมาะสมในการดำเนินชีวิต และการพึ่งพาตนเองตาม แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงต่อมากองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรกรรมย่ังยืน สำนักงาน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการปรับปรุงเน้ือหาสาระให้มีความสมบูรณ์ย่ิงข้ึน รวมทั้งมีการ เพ่ิมเติมข้อมูลการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในหนังสือดังกล่าว และจัดทำเป็นหนังสือ “119 อาชีพ เกษตรกรรมทางเลือก” เพื่อเผยแพร่ให้กับเกษตรกรที่เข้ารับการฝึกอบรมภายใต้โครงการพัฒนาการเกษตร ตามแนวทฤษฎใี หม่ โดยยดึ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการศูนย์เครอื ข่ายปราชญ์ชาวบา้ น และโครงการ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลความรู้และทางเลือกของการประกอบอาชีพให้แก ่ ผ้สู นใจทัว่ ไป ในปงี บประมาณ พ.ศ. 2555 กองนโยบายเทคโนโลยเี พอื่ การเกษตรและเกษตรกรรมยงั่ ยนื ไดด้ ำเนนิ การปรับปรุงข้อมูลการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพ่ิมเติม เพ่ือให้มีความเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ ในปัจจุบันโดยจัดทำเป็นหนังสือ “120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก” ซ่ึงเป็นการนำเสนอเนื้อหาความรู้ท่ี เกี่ยวข้องเพ่ือเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพทางการเกษตรด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ทางเลือกอาชีพ ด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง การแปรรูปผลิตภัณฑ์และอาหาร รวมท้ังการจัดการและการผลิตพันธุ์หม่อนและ ไหม นอกจากนี้ ยังมีการปลูกผักลอยแพที่เป็นทางเลือกหน่ึงให้กับผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัยและผู้ที่ไม่มีดิน เพาะปลกู ทา้ ยน้ี กองนโยบายเทคโนโลยเี พ่ือการเกษตรและเกษตรกรรมยงั่ ยืน ขอขอบคณุ หน่วยงานตา่ ง ๆ ที่ เกย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร กรมปศสุ ตั ว์ กรมพฒั นาทด่ี นิ กรมประมง กรมวชิ าการเกษตร กรมการขา้ ว กรมหม่อนไหม และศูนย์เครือขา่ ยปราชญ์ชาวบ้าน ทใ่ี หค้ วามอนุเคราะหข์ ้อมลู ความรู้ในการประกอบอาชีพ และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าหนังสือฉบับนี้ จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจในการประกอบอาชีพ เกษตรกรรมได้เป็นอย่างด ี กองนโยบายเทคโนโลยีเพือ่ การเกษตรและเกษตรกรรมยง่ั ยนื มนี าคม 2555 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 3
คำนำ สารบัญ สารบัญ เศรษฐกจิ พอเพยี ง 9 ทฤษฎใี หม่ ชวี ติ ทพ่ี อเพยี ง 13 20 1. ทางเลอื กอาชีพด้านพชื : 24 1.1 การปลูกกลว้ ยไข่ 25 1.2 การปลกู ปเู ลเ่ พ่อื การค้า 29 1.3 การปลูกกระชายดำ 31 1.4 การผลติ พริกสด 34 1.5 การทำกอ้ นเชื้อเหด็ และเปิดดอก 37 1.6 การปลูกข้าวโพดฝักสด 39 1.7 การปลกู ขา้ วโพดฝกั อ่อน 42 1.8 การผลิตหนอ่ ไมฝ้ รง่ั 44 1.9 การผลติ ตะไคร ้ 47 1.10 การผลติ ผกั ปลอดภยั จากสารพิษ 50 1.11 ออ้ ยคน้ั นำ้ ครบวงจร 52 1.12 การปลูกมะพรา้ วออ่ น 54 1.13 การปลูกไผ่ตง 56 1.14 การผลิตฝรั่งคณุ ภาพ 58 1.15 การปลกู ส้มโอ 60 1.16 การผลิตมะมว่ งเพือ่ สง่ ออก 62 1.17 การผลิตชมพ ู่ 64 1.18 การผลิตถั่วเขียวครบวงจร 66 1.19 การปลกู ถ่ัวลสิ ง 68 1.20 การผลิตถวั่ ลสิ งหลังนา 1.21 การปลกู ผกั ลอยแพ 4 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
สารบัญ 2. ทางเลือกอาชพี ด้านปศุสตั ว์ : m ทางเลือกอาชีพด้านการเลีย้ งสัตว์ใหญ่ : 72 2.1 การเลี้ยงขนุ โคนมเพศผู ้ 74 2.2 การเลย้ี งโคขุนโคมัน 76 2.3 การขนุ โคเน้ือคณุ ภาพ 78 2.4 การเลยี้ งโคเนอ้ื เพื่อผลิตลกู จำหนา่ ย 80 2.5 การเล้ียงโคนมเพ่ือผลิตน้ำนมดิบจำหน่าย 82 2.6 การเลย้ี งกระบอื 84 2.7 การเลีย้ งกระบือนม 88 m ทางเลือกอาชพี ด้านการเลีย้ งสตั วเ์ ล็ก : 90 2.8 การเลี้ยงแพะเน้อื เพ่อื ผลิตพนั ธ์ุจำหน่าย 92 2.9 การเลี้ยงแพะเนื้อเพือ่ ผลิตนมจำหน่าย 94 2.10 การเลย้ี งแพะเนือ้ เพ่อื ผลติ เน้ือจำหน่าย 96 2.11 การเลี้ยงสุกรเพ่ือผลิตสุกรลูกผสมพนั ธดุ์ รู ็อค-เหมยซาน 98 2.12 การเลย้ี งสกุ รขุน 100 2.13 การเล้ียงหมูป่า 102 2.14 การเลี้ยงแกะเพื่อผลิตพนั ธุ์จำหน่าย 106 2.15 การเล้ยี งแกะเพอื่ ผลติ เนอื้ จำหน่าย 108 m ทางเลอื กอาชพี ด้านการเลย้ี งสัตว์ปกี : 110 2.16 การเลย้ี งไกช่ นเชิงกฬี า (ไกเ่ กง่ ) 112 2.17 การเล้ียงไก่ชนเชงิ อนุรกั ษ์ (ไกช่ นสวยงาม) 114 2.18 การเลี้ยงไก่พื้นบ้านเพื่อเสริมรายได้ 116 2.19 การเล้ียงไก่ลูกผสมพ้ืนเมืองเพือ่ ผลติ ลกู จำหน่าย 118 2.20 การเลี้ยงไก่ลกู ผสมพ้นื เมืองเพ่อื จำหนา่ ย 120 2.21 การเลี้ยงไกไ่ ข่ 122 2.22 การเลย้ี งไกเ่ นอื้ (ไก่กระทง) 2.23 การเล้ยี งไกเ่ บตง 2.24 การเลย้ี งไก่คอล่อน 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 5
2.25 การเลย้ี งไกง่ วง สารบญั 2.26 การเลย้ี งไก่แจ ้ 2.27 การเล้ียงเปด็ ไขเ่ พอ่ื ผลิตเปด็ สาวจำหนา่ ย 124 2.28 การเลี้ยงเป็ดไขเ่ พ่อื ผลติ ไขจ่ ำหน่าย 126 2.29 การเลี้ยงขนุ เปด็ ไขเ่ พศผู้ 128 2.30 การเลย้ี งเปด็ พันธ์เุ นอ้ื 130 2.31 การเลี้ยงเป็ดเทศ 132 2.32 การเลย้ี งนกกระทา 134 2.33 การเลี้ยงหา่ น 136 m ทางเลือกอาชพี ด้านการเล้ยี งแมลง 138 2.34 การเลี้ยงจิง้ หรดี 140 m ทางเลือกอาชพี ดา้ นการเล้ียงสตั ว์ แบบผสมผสาน : 144 2.35 การเลี้ยงไกไ่ ขผ่ สมผสานกบั การเล้ียงปลา 148 2.36 การเลย้ี งไก่เน้ือผสมผสานกบั การเลี้ยงปลา 150 2.37 การเลย้ี งเปด็ ไข่ผสมผสานกบั การเลย้ี งปลา 152 2.38 การเลยี้ งสกุ รผสมผสานกับการเล้ยี งปลา 153 3. ทางเลือกอาชีพด้านประมง : 156 3.1 การเพาะเลย้ี งปลากะพงขาว 158 3.2 การเล้ยี งปูทะเล 160 3.3 การเลย้ี งปลาแรด 163 3.4 การเล้ียงกุง้ กา้ มกราม 166 3.5 การเลย้ี งปลาบู่ 168 3.6 การเล้ยี งปลาหมอไทย 170 3.7 การเลยี้ งปลาตะเพยี นขาว 172 3.8 การเล้ยี งปลานลิ 175 3.9 การเลี้ยงปลาช่อน 177 3.10 การเพาะเลยี้ งกบ 6 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
สารบญั 3.11 การเลี้ยงปลากดเหลือง 179 3.12 การเลยี้ งปลาดุกบก๊ิ อยุ 181 3.13 การเลี้ยงปลาสวาย 183 4. ทางเลือกอาชพี ดา้ นการแปรรปู อาหาร : 188 4.1 การเพาะเลี้ยงไรแดง 190 4.2 การผลติ อาหารไก่ อาหารปลา และอาหารสกุ ร 195 4.3 การผลติ เมล็ดพันธห์ุ ญ้ารซู ี่เพื่อจำหนา่ ย 197 4.4 การผลิตเสบียงสัตว์เพอื่ จำหน่าย 200 5. ทางเลอื กอาชีพด้านการแปรรปู อาหาร : 201 5.1 ไข่เค็ม 203 5.2 การผลติ กระเทียมดอง 205 5.3 การผลิตข้าวเกรียบ 207 5.4 การผลติ เครอื่ งดื่มสมนุ ไพร 208 5.5 การผลิตน้ำพรกิ ตาแดง 209 5.6 การผลติ นำ้ พริกเผา 210 5.7 การผลิตน้ำพริกนรก 211 5.8 การผลิตนำ้ พริกแกงเผด็ 212 5.9 การผลิตนำ้ พรกิ แกงเขียวหวาน 213 5.10 การผลติ พริกแกง 215 5.11 หอยเชอร่ีอาหารจานเดด็ 216 5.12 การผลติ ไส้กรอก 217 5.13 การผลติ กะปิ น้ำปลา 218 5.14 เคร่ืองด่มื นำ้ ข้าวกล้องงอกผสมธัญพืช 221 5.15 การแปรรูปเผอื ก 224 5.16 การแปรรปู สับปะรด 226 5.17 การแปรรปู กล้วย 229 5.18 การผลติ ผลไมด้ อง/แช่อม่ิ 5.19 การแปรรูปมะขามเปร้ียว 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 7
สารบัญ 5.20 การแปรรูปขนุน 231 5.21 การผลิตลกู ชิ้นปลา 232 5.22 การทำปลาส้มตัว 233 5.23 การทำแหนมปลา (สม้ ฟกั ) 234 5.24 การทำปลารา้ 235 5.25 ปลาป่นปรุงรส 236 5.26 การทำขนมปัน้ ขลบิ ไส้ปลา 237 5.27 การทำปลาพันอ้อย 239 5.28 การทำก้งุ จอ่ ม 240 5.29 การผลิตน้ำผลไมพ้ ร้อมด่ืม 241 m การแปรรูปเน้อื สัตว ์ 5.30 การทำแหนม 5.31 การทำหมูและเนอื้ แผน่ 244 5.32 การทำหมูและไก่ยอ 246 5.33 การทำกนุ เชยี ง 247 6. ทางเลือกอาชพี ดา้ นหม่อนไหม : 249 6.1 การฟอกย้อมไหมด้วยวัสดธุ รรมชาติ 252 6.2 การจัดการและการผลติ พนั ธ์ุหมอ่ นให้มีคุณภาพ 258 6.3 การจดั การและผลิตพนั ธไ์ุ หมใหม้ ีคณุ ภาพ 262 7. ทางเลอื กอาชพี ด้านการแปรรปู ผลิตภัณฑ์อืน่ ๆ : 266 7.1 การผลิตกระดาษใบสบั ปะรด ปอสา และผลติ ภณั ฑ์ 268 7.2 การผลิตผา้ ทอมือ และผลิตภัณฑ ์ 271 7.3 การผลิตหตั ถกรรมจากผักตบชวา 273 7.4 ธรุ กิจโรงสีข้าวขนาดเล็ก (แปรรปู ขา้ วเปลือกเป็นขา้ วสาร) 275 7.5 การผลิตนำ้ สกดั ชวี ภาพ 277 7.6 การผลติ น้ำส้มควนั ไม ้ 280 7.7 การผลติ สารบำบดั น้ำเสีย พด.6 282 7.8 การผลติ นำ้ มันมะพรา้ วบริสทุ ธ ์ิ 8 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
เ ศ ร ษ ฐ กิ จ พอเพียง 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 9
พระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพยี ง และทฤษฎใี หม”่ “...มีพอเพียงพอกินนี้ ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงน่ันเอง ถ้าแต่ละคนมีพอกินก็ใช้ได้พอเพียงน้ี ก็หมายความวา่ มีกนิ มีอยูไ่ ม่ฟมุ่ เฟือย ไม่หรหู ราก็ได้ แตว่ ่าพอ แมบ้ างอย่างอาจจะดูฟุม่ เฟือยแตก่ ท็ ำให ้ มีความสุขถา้ ทำไดก้ ส็ มควรทจ่ี ะทำ สมควรที่จะปฏบิ ัติ อนั นกี้ ค็ วามหมายอกี อยา่ งของเศรษฐกจิ หรอื ระบบพอเพยี งได้ แปลพอเพยี งนคี้ อื ตอนท่ีพูดพอเพียง แปลในใจแลว้ กไ็ ด้ออกมาดว้ ยวา่ จะแปลเปน็ Self-sufficiency ถงึ ได้บอกวา่ พอเพยี งแก่ตนเอง แตค่ วามจริง เศรษฐกจิ พอเพยี งนีก้ ว้างกว่า Self-sufficiency ซง่ึ Self-sufficiency นี้ หมายความวา่ ผลติ อะไรมพี อทจี่ ะใช ้ ไมต่ อ้ งไปขอยมื คนอน่ื อยไู่ ดด้ ้วยตนเอง ท่ีอ่ืนเขาแปลจากภาษาฝร่ังกันว่า ให้ยืนบนขาตัวเอง คำว่ายืนบนขา ตวั เองน้ี มคี นบางคนเขาพดู วา่ ชอบกลใครจะมายนื บนขาคนอน่ื มายนื บนขาเรา เรากโ็ กรธ แตต่ วั เองยนื บนขา ตัวเองก็หกล้มอันนี้ก็เป็นความคิดท่ีมันอาจจะเฟื่องไปหน่อย แต่ว่าเป็นตามท่ีเขาเรียกว่ายืนบนขาตัวเอง หมายความว่า 2 ขาของเรานยี่ ืนบนพน้ื ใหอ้ ยไู่ ด้ไม่หกล้ม ไมต่ ้องไปขอยมื ขาคนอนื่ มาใชเ้ พอ่ื ท่จี ะยนื อยู ่ 10 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
แค่คำว่าพอเพียงนี้มีความหมายกว้างกว่าย่ิงกว่านี้อีก คือ คำว่าพอก็เพียง พอเพียงนี้ก็พอ คนเรา ถ้าพอในความต้องการมันก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าประเทศใด มคี วามคดิ อนั นไี้ มใ่ ชเ่ ศรษฐกจิ มคี วามคดิ วา่ ทำอะไรตอ้ งพอเพยี ง หมายความวา่ พอประมาณไมส่ ดุ โตง่ ไมโ่ ลภ อยา่ งมากคนเราก็อยเู่ ปน็ สขุ พอเพยี งน้อี าจจะมีมาก อาจจะมีของหรหู รากไ็ ด้ แต่ว่าตอ้ งไม่เบียดเบยี นคนอื่น ต้องพอประมาณ พดู จากพ็ อเพยี ง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏบิ ตั ติ นก็พอเพียง พดู แลว้ เหมอื นจะอวดวา่ ตวั เองเกง่ แตว่ า่ ตกใจตวั เองวา่ ทพี่ ดู ไปใชง้ านได้ จงึ มาสรปุ เปน็ ทฤษฎใี หม่ และ เมอ่ื เปน็ ทฤษฎใี หมก่ ใ็ หไ้ ปทมี่ ลู นธิ ชิ ยั พฒั นาแลว้ เขยี นขา้ งใตว้ า่ เปน็ ทฤษฎใี หมเ่ ปน็ ของมลู นธิ ชิ ยั พฒั นานนั้ ต่อมากม็ ี คนเห็นว่าใช้ได้ แล้วก็ไปปฏิบัติท่ีที่แห้งแล้ง นี่ก็เคยเล่าให้ฟังแล้วท่ีอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็ได้ผลดีที่ ตรงนน้ั 12 ไร่ ปหี นึ่งเขากม็ ขี ้าวกิน ท่ีไปเยี่ยมไมม่ ีข้าวกนิ มเี พียงไมก่ เ่ี ม็ดต่อรวง เม่อื ชาวบา้ นแถวน้นั เหน็ ว่าดี ก็ขอใ ห้ช่วย ปีต่อไปก็เป็น 11 ไร่ ปีต่อๆ ไปก็เป็น 100 เป็น 200 และขยายออกไป ในภาคอ่ืน ก็ด้วยเป็นการปฏิบัติตามทฤษฎีใหม่ก็ได้ผล แล้วก็เม่ือเป็นทฤษฎีใหม่นี้ก็มาเข้าเป็นเร่ืองของ เศรษฐกิจพอเพียง ก็คนที่ทำนีต้ อ้ งไมฟ่ ุ้งซ่านไม่ฟุ้งเฟอ้ แลว้ เขียนไว้ในทฤษฎีนั้นวา่ ลำบาก เพราะวา่ ผูป้ ฏบิ ตั นิ ี้ต้อง มีความเพียร และต้องอดทนไม่ใช่ว่าทำได้ทุกแห่ง ต้องเลือกท่ีและค่อยๆ ทำไป ก็สามารถที่จะขยาย ความคดิ ของทฤษฎีใหม่ไปได้ โดยดดั แปลงทฤษฎีนี้ แล้วแตส่ ถานท่ี แลว้ แต่สภาพของภมู ิประเทศ อันนีถ้ ึงบอกว่า เศรษฐกิจพอเพียง หรอื ทฤษฎีใหม่นี้ 2 อยา่ งน้จี ะนำความเจรญิ แกป่ ระเทศได้ แต่ ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทนต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่า ทกุ คนจะมคี วามพอใจได.้ ..” พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าถวายชัยมงคล เน่ืองในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวงั ดุสติ 4 ธันวาคม 2551 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 11
เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสช้ีแนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ พสกนิกรชาวไทยมาเป็นเวลานานกว่า 25 ปี โดยมีแนวคิดท่ีตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของทางสายกลางและ ความไม่ประมาท และคำนึงถึงความพอประมาณ คือ ให้ทำอะไรด้วยความพอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไปและ ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีเหตุผลในการกระทำและมีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว คือ มกี ารเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะรบั ผลกระทบจากความเปลย่ี นแปลงตา่ งๆ ทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคตโดยอาศยั ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร มาประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำทุกอย่าง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้ค้นพบประวัติว่า ปรัชญานี้เกิดขึ้น เมื่อปี 2507 แตค่ รงั้ นผี้ ไู้ ดร้ บั ฟงั เหน็ ดเี หน็ งาม มศี รทั ธา หากแตย่ งั ไมไ่ ดม้ กี ารนำมาปฏบิ ตั อิ ยา่ งลกึ ซง้ึ จนกระทง่ั ปี 2540 (เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ) เมื่อเกิดเหตุการณ์จึงทำให้มีผู้สนใจในปรัชญามากขึ้น หลังจากน้ัน มีความสนใจมากข้ึนเรื่อยๆ โดยนำหลักปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียงในมิติท่ีหลากหลายมากย่ิงข้ึนด้วยอีก ประการหน่งึ ปี 2552 เป็นอีกคราวหนึ่ง ท่ีประเทศไทยต้องประสบกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงขอพระราชทานนำแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อเกษตรกรและประชาชนท่ีประสบปัญหาในการประกอบอาชีพ ทั้งท่ีเป็นอาชีพเกษตรกรรมหรือ สาขาอนื่ เพ่ือเป็นแนวทางในการปรบั ใชไ้ ดต้ ่อไป สำหรับเกษตรกรและประชาชนน้ัน เราท้ังหลายสามารถถอดบทเรียนรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพยี ง สู่การปฏิบัตจิ ริงในชีวิตได้ เพยี งสำนกึ ในทกุ ย่างก้าวดว้ ยหลักพอเพยี งอยา่ งรู้เพยี งพอ “หพลกัอขเพอยีงงก”า รใชช้ วี ิต เศรษฐกิจพอเพียง ของขวัญจากพ่อของแผ่นดินพระองค์ทรงสอนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือให้คนไทยได้ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจเพ่ือใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิตอย่างพอดีพอประมาณ สมดุล และสรา้ งภูมิคมุ้ กันภยั ทีอ่ าจเกิดขน้ึ แก่ตนเองและครอบครวั แกง่ านและสังคม มิใช่การสอนทใ่ี หเ้ อาเงินเป็นตัวต้ัง ไมใ่ ชแ่ คเ่ ร่อื งการคา้ ขาย เรือ่ งการทำมาหากิน มใิ ชก่ ารชวนถอยหลังกลบั ไปอย่ใู นยุคโบราณที่ขาดแคลน มิใชก่ ารสอนให้คนหยดุ พัฒนา หยดุ กระตือรือรน้ หยดุ รับความรู้และเทคโนโลยี มิใช่การสอนใหท้ ำทุกสง่ิ ทกุ อยา่ งทส่ี ามารถเพิม่ ตัวเลขการเงนิ ของตนเอง เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นหลักท่ีทุกคนทุกครอบครัว ทุกองค์กร ทุกชมุ ชน สามารถนอ้ มนำมาปฏิบัตไิ ด้ ดว้ ยการทวนกระแสกเิ ลสและความโลภ 12 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ทฤษฎีใหม่ ชีวิตที่พอเพียง 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 13
ทฤษฎีใหม่ขน้ั ต้น การจดั สรรพ้นื ที่อยู่อาศยั และที่ทำกนิ ใหแ้ บ่งพ้ืนที่ออกเปน็ 4 สว่ น ตามอตั ราสว่ น 30:30:30:10: ซึ่งหมายถึง พื้นท่ีส่วนที่หน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ำ เพ่ือใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริม การปลกู พชื ในฤดูแลง้ ตลอดจนการเล้ียงสัตว์นำ้ และพชื ต่างๆ พ้ืนท่ีส่วนท่ีสอง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพ่ือใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับ ครอบครวั ใหเ้ พยี งพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพงึ่ ตนเองได้ พ้ืนที่ส่วนที่สาม ประมาณ 30% ให้ปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้ เป็นอาหารประจำวัน หากเหลือบริโภคกน็ ำไปจำหน่าย พ้ืนทีส่ ่วนทสี่ ี่ ประมาณ 10% เป็นทอ่ี ยู่อาศยั เลยี้ งสตั ว์ ถนนหนทาง และโรงเรอื นอื่นๆ หลักการและแนวทางสำคญั 1. เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเล้ียงตัวเองได้ในระดับที่ ประหยัดก่อน ท้ังนี้ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำนองเดียวกับ การ “ลงแขก” แบบดัง้ เดิมเพือ่ ลดคา่ ใช้จา่ ย 2. เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักท่ีทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังน้ัน จึงประมาณว่าครอบครัว หน่ึงทำนาประมาณ 5 ไร่ จะทำให้มีข้าวกินตลอดปี โดยไม่ต้องซ้ือหาราคาแพง เพ่ือยึดหลักพึ่งตนเองได้ อยา่ งมีอสิ รภาพ 3. ต้องมีน้ำเพ่ือการเพาะปลูกสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนท้ิงช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จงึ จำเปน็ ตอ้ งกนั ทดี่ นิ สว่ นหนง่ึ ไวข้ ดุ สระนำ้ โดยมหี ลกั วา่ ตอ้ งมนี ำ้ เพยี งพอทจี่ ะทำการเพาะปลกู ไดต้ ลอดปี ทงั้ น ี้ ได้พระราชทานพระราชดำริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก 1 ไร่ โดย ประมาณ ฉะนั้น เม่ือทำนา 5 ไร่ ทำพืชไร่หรือไม้ผลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร่) จะต้องมี น้ำ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ต่อปี ดังนัน้ หากต้งั สมมตฐิ านว่ามีพ้นื ที่ 15 ไร่ ก็สามารถกำหนดสตู รคร่าวๆ ว่า แตล่ ะแปลงประกอบด้วย l นา 5 ไร ่ l พชื ไรพ่ ชื สวน 5 ไร่ l สระนำ้ 3 ไร่ ลกึ 4 เมตร มคี วามจุประมาณ 19,000 ลูกบาศกเ์ มตร ซง่ึ เปน็ ปริมาณนำ้ ท่ี เพียงพอที่จะสำรองไวใ้ ชย้ ามฤดแู ลง้ l ที่อยูอ่ าศยั และอนื่ ๆ 2 ไร ่ รวมท้ังหมด 15 ไร ่ แต่ท้งั นี้ ขนาดของสระเกบ็ กักน้ำขน้ึ อยู่กับสภาพภูมิประเทศ และสภาพแวดลอ้ ม ดังนี ้ l ถ้าเป็นพ้ืนท่ีทำการเกษตรอาศัยน้ำฝน สระน้ำควรมีลักษณะเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหย ไดม้ ากเกนิ ไปซงึ่ จะทำให้มีน้ำใช้ตลอดท้ังปี 14 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
l ถ้าเป็นพื้นท่ีทำการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ำอาจมีลักษณะลึกหรือต้ืนและแคบ หรือกว้างก็ไดโ้ ดยพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะสามารถมีนำ้ มาเตมิ อย่เู รอื่ ยๆ การมสี ระเกบ็ กกั นำ้ นน้ั เพอ่ื เกษตรกรไดม้ นี ำ้ ใชอ้ ยา่ งสมำ่ เสมอทง้ั ปี (ทรงเรยี กวา่ Regulator หมายถงึ การควบคุมให้ดีมีระบบน้ำหมุนเวียนใช้เพ่ือการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน หน้าแล้งและระยะฝนทง้ิ ชว่ ง แต่มไิ ด้หมายความวา่ เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรงั เพราะหากนำ้ ในสระ เก็บกักน้ำไม่พอ ในกรณีมีเข่ือนอยู่บริเวณใกล้เคียง ก็อาจจะต้องสูบน้ำมาจากเข่ือน ซ่ึงจะทำให้น้ำในเขอ่ื น หมดได้ แต่เกษตรกรควรทำนาในหน้าฝน และเม่ือถึงฤดูแล้งหรือฝนท้ิงช่วงให้เกษตรกรใช้น้ำที่ได้เก็บตุนนั้น ให้เกดิ ประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพชื ให้เหมาะสมกบั ฤดูกาล เชน่ l หน้าฝน จะมีนำ้ มากพอทีจ่ ะปลูกข้าวและพชื ชนิดอ่ืนๆ ได ้ l หนา้ แลง้ หรอื ฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพชื ทใี่ ชน้ ำ้ น้อย เชน่ ถ่วั ต่างๆ 4. การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณ และคำนงึ จากอตั ราการถอื ครองทดี่ นิ ถวั เฉลย่ี ครวั เรอื นละ 15 ไร่ อยา่ งไรกต็ าม หากเกษตรกรมพี น้ื ทถ่ี อื ครอง นอ้ ยกว่า หรือมากกว่าน้กี ส็ ามารถใช้อัตราส่วน 30:30:30:10 ไปเปน็ เกณฑ์ปรับใชไ้ ด้ กลา่ วคอื l 30% สว่ นแรก ขดุ สระนำ้ (สามารถเลยี้ งปลา ปลกู พชื นำ้ เชน่ ผกั บงุ้ ผกั กระเฉด ฯลฯ ได้ ด้วย) และบนสระอาจจะสรา้ งเล้าไก่ได้ด้วย l 30% ส่วนทีส่ อง ทำนา l 30% ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไมเ้ พ่ือเป็นเชือ้ ฟืน ไมส้ ร้างบ้าน พืชไร่ พืชผกั สมนุ ไพร เปน็ ตน้ ) l 10% สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอ่ืนๆ (ถนนคันดิน กองฟาง กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเหด็ คอกสัตว์ ไม้ดอก ไม้ประดบั พืชผกั สวนครวั หลงั บา้ น เป็นต้น) อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตรหรือหลักการโดยประมาณเท่าน้ัน สามารถปรับปรุง เปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยข้ึนอยู่กับสภาพของพื้นท่ีดิน ปริมาณน้ำฝนและสภาพแวดล้อม เชน่ ในกรณีภาคใตท้ ่ีมฝี นตกชุกกว่าภาคอื่น หรอื พน้ื ทใ่ี ดมแี หลง่ นำ้ มาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของ บ่อหรอื สระนำ้ ใหเ้ ล็กลงเพอ่ื เกบ็ พ้ืนที่ไวใ้ ช้ประโยชนอ์ นื่ ตอ่ ไปได ้ ทฤษฎใี หมข่ น้ั ก้าวหน้า หลักการดังกล่าวมาแล้วเป็นทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง เม่ือเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ลงมือ ปฏิบัติตามขั้นที่หนึ่งในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว เกษตรกรก็จะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ข้ันพออยู่พอกิน และตัดค่าใช้จ่ายลงเกือบหมดมีอิสระจากสภาพปัจจัยภายนอกและเพ่ือให้มีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงควรที่จะ ตอ้ งดำเนนิ การตามข้นั ทีส่ องและข้นั ท่ีสามต่อไปตามลำดบั ดงั นี้ ทฤษฎีใหมข่ ัน้ ที่สอง เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในท่ีดินของตนจนได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลงั กันในรปู กลมุ่ หรือสหกรณ์ รว่ มแรง รว่ มใจกันดำเนินการในด้านต่างๆ ดังน ี้ 1. การผลิต (พันธ์พุ ชื เตรยี มดนิ ชลประทาน ฯลฯ) l เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย การจัดหาน้ำและอน่ื ๆ เพื่อการเพาะปลูก 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 15
2. การตลาด (ลานตากข้าว ย้งุ เครอ่ื งสขี ้าว การจำหน่ายผลผลิต) l เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหายุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเคร่ืองสีข้าว ตลอดจนการรวมกัน ขายผลผลิตใหไ้ ด้ราคาดี และลดคา่ ใชจ้ ่ายลงด้วย 3. การเป็นอยู่ (กะปิ นำ้ ปลา อาหาร เครอ่ื งน่งุ ห่ม ฯลฯ) l ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ท่ีดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานใน การดำรงชวี ติ เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ นำ้ ปลา เสอื้ ผา้ ทีพ่ อเพยี ง 4. สวัสดกิ าร (สาธารณสุข เงินก)ู้ l แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเม่ือยามป่วยไข้ หรือมีกองทนุ ไวก้ ู้ยืมเพอื่ ประโยชนใ์ นกจิ กรรมตา่ งๆ ของชุมชน 5. การศกึ ษา (โรงเรียน ทนุ การศึกษา) l ชมุ ชนควรมบี ทบาทในการสง่ เสรมิ การศกึ ษา เชน่ มกี องทนุ เพอ่ื การศกึ ษาเลา่ เรยี น ใหแ้ ก่ เยาวชนของชุมชนเอง 6. สงั คมและศาสนา l ชมุ ชนควรเป็นท่ีรวมในการพัฒนาสงั คมและจิตใจ โดยมศี าสนาเปน็ ทยี่ ดึ เหน่ียว l กิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง ไม่ว่า สว่ นราชการองคก์ รเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชมุ ชนน้นั เป็นสำคญั ทฤษฎีใหมข่ ัน้ ท่สี าม เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สอง เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ข้ันที่สาม ต่อไป คือ ตดิ ตอ่ ประสานงานเพอ่ื จัดหาทุน หรอื แหลง่ เงนิ เช่น ธนาคารหรอื บริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วย ในการลงทนุ และพัฒนาคุณภาพชวี ิต ทั้งน้ี ท้งั ฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารหรอื บริษทั เอกชนจะได้รับประโยชนร์ ่วมกนั กลา่ วคอื l เกษตรกรขายขา้ วได้ในราคาสูง (ไมถ่ ูกกดราคา) l ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ (ซ้ือข้าวเปลือกตรงจาก เกษตรกรและมาสีเอง) l เกษตรกรซื้อเคร่ืองอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำเพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เปน็ รา้ นสหกรณ์ราคาขายสง่ ) l ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินในกิจกรรมต่างๆ ใหเ้ กิดผลดยี งิ่ ขน้ึ ประโยชนข์ องทฤษฎใี หม ่ จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่างๆ นั้น พอจะ สรุปถงึ ประโยชน์ของทฤษฎใี หม่ได้ ดงั น้ ี 1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเอง ไดต้ ามหลกั ปรัชญาของ \"เศรษฐกจิ พอเพียง\" 16 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
2. ในหน้าแล้งมนี ้ำน้อย ก็สามารถเอานำ้ ที่เกบ็ ไว้ในสระมาปลูกพืชผกั ต่างๆ ทใ่ี ช้นำ้ น้อยได้ โดยไม่ ต้องเบยี ดเบยี นชลประทาน 3. ในปที ่ีฝนตกตามฤดูกาลโดยมนี ำ้ ดีตลอดปี ทฤษฎใี หม่นี้ก็สามารถสร้างรายไดใ้ หร้ ำ่ รวยขน้ึ ได้ 4. ในกรณีท่ีเกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟ้ืนตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการ ไมต่ อ้ งช่วยเหลอื มากเกินไป อนั เปน็ การประหยดั งบประมาณด้วย ขอ้ สำคญั ทีค่ วรพิจารณา 1. การดำเนินการตามทฤษฎีใหม่น้ัน มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ในแต่ละท้องถน่ิ ฉะนนั้ เกษตรกรควรขอรับคำแนะนำจากเจา้ หน้าทีด่ ว้ ย 2. การขุดสระน้ำนั้น จะต้องสามารถเก็บกักน้ำได้ เพราะสภาพดินในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน เช่น ดนิ ร่วน ดนิ ทราย ซงึ่ เปน็ ดินทไ่ี มส่ ามารถอมุ้ น้ำได้ หรอื เป็นดนิ เปรี้ยว ดินเคม็ ซึง่ อาจจะไม่เหมาะสมกบั พืชที่ปลูกได้ ฉะน้ัน จะต้องพิจารณาให้ดีและควรขอรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าท่ีพัฒนาท่ีดินหรือเจ้าหน้าท่ี หนว่ ยงานทเ่ี ก่ียวข้องก่อน 3. ขนาดของพ้ืนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวณและคำนึงจากอัตราการถือครอง ทดี่ นิ ถวั เฉลี่ยครัวเรอื นละ 15 ไร่ แตใ่ ห้พึงเขา้ ใจว่าอัตราสว่ นเฉลยี่ ขนาดพนื้ ที่นมี้ ใิ ชห่ ลกั ตายตัว หากพืน้ ท่กี าร ถือครองของเกษตรกรจะมีน้อยกว่า หรือมากกว่าน้ี ก็สามารถนำอัตราส่วนน้ี (30:30:30:10) ไปปรับใช้ได้ โดยถอื เกณฑ์เฉล่ยี 4. การปลูกพืชหลายชนิด เช่น ข้าวซ่ึงเป็นพืชหลัก ไม้ผล พืชผัก พืชไร่ และพืชสมุนไพร อีกท้ัง ยังมกี ารเลี้ยงปลา หรอื สัตวอ์ ่ืนๆ ซง่ึ เกษตรกรสามารถนำมาบริโภคไดต้ ลอดท้ังปี เป็นการลดค่าใชจ้ ่ายในส่วน ของอาหารสำหรับครอบครัวได้ และสว่ นทเี่ หลือสามารถจำหน่ายไดเ้ ป็นรายได้แก่ครอบครัวไดอ้ ีก 5. ความร่วมมือร่วมใจของชุมชนจะเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติตามหลักทฤษฎีใหม่ เช่น การลงแรงชว่ ยเหลอื กนั หรือท่ีเรียกวา่ การลงแขก นอกจากจะทำใหเ้ กิดความสามัคคใี นชมุ ชนแลว้ ยงั เป็นการ ลดค่าใช้จ่ายในการจา้ งแรงงานได้อกี ดว้ ย 6. ในระหว่างการขุดสระน้ำ จะมีดินท่ีถูกขุดข้ึนมาเป็นจำนวนมาก หน้าดินซ่ึงเป็นดินดีควรนำไป กองไว้ต่างหากเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนำมาเกล่ียคลุมดินช้ันล่าง ทเี่ ปน็ ดินไมด่ ี ซ่งึ อาจนำมาถมทำขอบสระนำ้ หรือยกรอ่ งสำหรับปลูกไม้ผล 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 17
ทางเลือกอาชีพด้านพืช 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 19
การปลกู กลว้ ยไข่ กล้วยไข่เป็นผลไม้ที่นิยมบริโภคกันท่ัวไป เนื่องจากมีรสชาติดี ลักษณะการเรียงตัวของผลและ สผี ลสวยสะดดุ ตา ปจั จบุ นั สง่ ออกจำหนา่ ยตา่ งประเทศมากขน้ึ ตลาดทส่ี ำคญั คอื จนี และฮอ่ งกง กลว้ ยไขเ่ ปน็ พชื ทส่ี ามารถปลกู ไดแ้ ทบทกุ ภาคของประเทศ ในพนื้ ทปี่ ลกู ทมี่ กี ารจดั การการผลติ เพอื่ ใหไ้ ดท้ งั้ ปรมิ าณ และผลผลติ ตรงตามมาตรฐานคุณภาพตลาดต้องการ ปัญหาสำคัญท่ีมีผลต่อคุณภาพของผลผลิต คือ การปนเปื้อนของ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่อสุขอนามัยของผู้บริโภค ตลอดจนการปนเป้ือนส ู่ ส่งิ แวดล้อมในระยะยาว ดังนั้น กระบวนการผลติ จงึ ต้องมีการปฏิบัตอิ ย่างถกู ต้องและเหมาะสม แหล่งปลูกทีเ่ หมาะสม สภาพพื้นที่ - พน้ื ทีด่ อน หรือพ้ืนที่ราบ ไม่มนี ำ้ ทว่ มขงั - ความสูงจากระดบั น้ำทะเลไมเ่ กิน 1,200 เมตร - มีแหล่งนำ้ ธรรมชาติ หรืออยใู่ นเขตชลประทาน - การคมนาคมสะดวก ลกั ษณะดนิ - ดินร่วน, ดินร่วนเหนียว หรอื ดนิ ร่วนปนทราย - มคี วามอุดมสมบูรณส์ งู ระบายน้ำดี - ระดับน้ำใต้ดินลึกมากกว่า 75 เซนตเิ มตร - คา่ ความเปน็ กรดด่างของดนิ ระหว่าง 5.0-7.0 สภาพภมู อิ ากาศ - อุณหภูมิทีเ่ หมาะสมต่อการเจริญเติบโต ระหว่าง 25-35 องศาเซลเซยี ส - ปรมิ าณนำ้ ฝนไมน่ ้อยกว่า 1,200 มิลลเิ มตรต่อปี - ไมม่ ลี มแรงพัดผา่ นเปน็ ประจำ - มแี สงแดดจัด แหล่งน้ำ - มีน้ำใชเ้ พียงพอตลอดฤดปู ลูก - เปน็ แหลง่ นำ้ สะอาด คา่ ความเปน็ กรดดา่ งของนำ้ ระหวา่ ง 5.0-9.0 20 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
พนั ธุ์ กล้วยไข่มี 2 สายพันธ์ุ คือ กล้วยไข่สายพันธ์ุกำแพงเพชร และกล้วยไข่พระตระบอง พันธุ์ที่นิยม ปลกู เปน็ การคา้ คือ กล้วยไข่สายพันธกุ์ ำแพงเพชร 1. กล้วยไข่สายพนั ธุก์ ำแพงเพชร ลักษณะกาบใบเป็นสีน้ำตาลหรือช๊อคโกแลต ร่องก้านใบเปิดและขอบก้านใบขยายออก ใบมี สีเหลืองออ่ น ไม่มีนวล ก้านเครือมขี นขนาดเล็ก ผวิ เปลอื กผลบาง ผลเล็ก เน้ือมสี เี หลอื ง รสชาตหิ วาน 2. กล้วยไขพ่ ระตะบอง ลักษณะกาบใบเปน็ สนี ้ำตาลปนดำ สขี องใบเขม้ กวา่ สายพันธกุ์ ำแพงเพชร รสชาตจิ ะออกหวาน อมเปรี้ยว และผลมขี นาดใหญ่กวา่ กล้วยไขส่ ายพันธกุ์ ำแพงเพชร การปลกู การเตรียมดนิ - วิเคราะห์ดิน เพื่อประเมินค่าความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารพืชในดิน และความเป็นกรด ดา่ งของดนิ ปรับสภาพดนิ ตามคำแนะนำก่อนปลูก - ไถพรวน ตากดนิ ท้งิ ไวป้ ระมาณ 1 เดือน เพ่อื ลดการระบาดของศตั รูพืช - คราดเกบ็ เศษวชั พชื ออกจากแปลง ฤดปู ลกู - ช่วงเวลาการปลกู ในเขตภาคเหนือตอนล่าง ประมาณเดอื นกนั ยายนถึงพฤศจกิ ายน วิธกี ารปลูก - ปลกู ดว้ ยหน่อใบแคบทีม่ ีความสมบูรณ์ด ี - เตรยี มหลุมปลกู ขนาด 50x50x50 เซนติเมตร - รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกอัตรา 5 กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้ากับหน้าดินรองก้นหลุมปลูก ถ้ามีการไว้หน่อ (ratoon) เพ่ือเก็บเก่ียวผลผลิตต่อไปอีก 1-2 รุ่น ควรรองก้นหลุมด้วย หินฟอสเฟต อัตรา 100-200 กรมั /หลมุ - ระยะปลูก (1.5-1.75) x2 เมตร เป็นการปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียงครั้งเดียว แล้วรื้อ ปลูกใหม่ 2x2 เมตร เป็นการปลูกสำหรับไว้ตอหรือหน่อ (ratoon) เพ่ือท่ีจะเก็บเกี่ยวผลผลิตของหน่อ (ratoon) อกี 1-2 รนุ่ - การปลูก วางหน่อพันธ์ุที่หลุมปลูกให้ลึก 25-30 เซนติเมตร โดยจัดวางหน่อพันธุ์ให้ด้านที่ติด กบั ตน้ แมอ่ ย่ใู นทิศทางเดียวกนั กลบดินลงหลมุ ปลูกและกดดนิ บรเิ วณโคนตน้ ใหแ้ น่น แล้วรดนำ้ ให้ชุม่ การดแู ลรักษา การพรวนดิน ภายหลังปลูกกล้วยไข่ประมาณ 1 เดือน ควรรีบทำการพลิกดินให้ท่ัวท้ังแปลงปลูก เพ่ือให้ดินเก็บ ความชนื้ จากนำ้ ฝนไวใ้ หม้ ากทสี่ ุด และเป็นการกำจัดวัชพชื ไปด้วย ขณะที่รากกลว้ ยยงั ขยายไปไม่มากนกั การกำจดั วัชพืช ควรกำจัดวัชพชื ปีละ 3 ครงั้ ครง้ั แรกพร้อม ๆ กบั การพลิกดิน สว่ นครง้ั ที่ 2 และ 3 ให้พิจารณา จากปริมาณวชั พืช แตจ่ ะทำก่อนที่ต้นกลว้ ยตกเครือ การให้ปุย๋ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 1 ครั้ง เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูกอัตรา 3-5 กิโลกรัมต่อหลุม ใส่ปุ๋ยเคม ี 4 ครง้ั ครง้ั ท่ี 1 และ 2 เปน็ ระยะทกี่ ลว้ ยมกี ารเจรญิ เตบิ โตทางลำตน้ ใสป่ ยุ๋ เคมสี ตู ร 20-10-10 หรอื 15-15-15 อัตรา 125-250 กรัมต่อต้นต่อครงั้ หลงั จากปลกู 1 และ 3 เดอื น การให้ปุ๋ยเคมคี ร้งั ที่ 3 และ 4 จะใหป้ ๋ยุ เคมี ภายหลังจากปลูก 5 และ 7 เดือน ซ่ึงเป็นระยะท่ีกล้วยใกล้จะให้ผลผลิต จะให้ปุ๋ยเคมีสูตร 12-12-24, 13-13-21 หรือ 14-14-21 อัตรา 125-250 กรัมตอ่ ตน้ ต่อครง้ั 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 21
วิธีการใส่ปุ๋ยเคมี โรยห่างจากต้นประมาณ 30 เซนติเมตร หรือใส่ลงในหลุมลึกประมาณ 10 เซนตเิ มตร 4 ด้าน แล้วพรวนดนิ กลบ การใหน้ ำ้ ในฤดูฝน เม่ือฝนทิง้ ช่วง เม่ือสงั เกตหนา้ ดนิ แหง้ และเริ่มแตก ควรรีบให้น้ำ ในฤดแู ล้งเร่ิมให้นำ้ ตัง้ แตห่ มดฝน ประมาณปลายเดอื นมกราคม-พฤษภาคม วิธกี ารให้นำ้ ใช้วิธีปล่อยให้น้ำไหลเข้าไปในแปลงย่อยเป็นแปลง ๆ เมื่อดินมีความชุ่มชื้นดีแล้ว จึงให้แปลงอ่ืน ต่อไป เทคนิคทีค่ วรทราบ การพูนโคน โดยการโกยดินเข้าสุมโคนกล้วย ช่วยลดปัญหาการโค่นล้มของต้นกล้วยเมื่อมีลมแรง โดยเฉพาะ ตน้ ตอท่เี กดิ ข้นึ ระยะหลงั โคนจะลอยข้นึ ทำใหก้ ลว้ ยโค่นลม้ ลงไดง้ า่ ย การแต่งหนอ่ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการแต่งหน่อ คือ มีดยาวปลายขอ ชาวบ้านเรียกว่า มีดขอ การแต่งหน่อทุกคร้ัง โดยเฉือนเฉียงตัดขวางลำต้นเอียงทำมุม 45 องศากับลำต้น โดยคร้ังแรกเฉือนให้รอบเฉือนด้านล่างอยู่สูง จากโคนตน้ ประมาณ 4-5 นว้ิ หลงั จากนนั้ อกี ประมาณ 20-30 วนั จงึ เฉอื นหนอ่ ครง้ั ที่ 2 ใหร้ อบเฉอื นครงั้ ใหม ่ อยทู่ ศิ ทางตรงขา้ มกบั รอยเฉอื นครง้ั กอ่ นและใหร้ อยเฉอื นมมุ ลา่ งสดุ ครง้ั ใหมอ่ ยสู่ งู จากรอยเฉอื นมมุ บนครง้ั กอ่ น 4-5 น้ิว แต่งหน่อเช่นนี้ไปเร่ือย ๆ จนถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะปล่อยหน่อให้เจริญเติบโตเป็นกล้วยตอ ตอ่ ไป หรืออาจขดุ หนอ่ ไว้ สำหรับปลกู ใหมห่ รือขายกต็ าม การตดั แต่งและการไวใ้ บ การไว้ใบกล้วยไข่ในระยะต่าง ๆ มีผลอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโต การปฏิบัติดูแลรักษาปัญหาโรค และแมลง ตลอดจนผลผลิต และคณุ ภาพผล ในช่วงแรกระยะการเจริญเติบโต ควรไว้จำนวน 12 ใบ ถ้ามากกว่านี้ จะมีปัญหาทำให้การปฏิบัติ ดูแลรักษาทำได้ยากลำบาก โรคแมลงจะมากข้ึนเกิดการแย่งแสงแดด ลำต้นจะสูงบอบบางไม่แข็งแรง เกิด การหักล้มได้ง่าย ในทางตรงข้ามถ้าจำนวนใบ มีน้อยเกินไปจะทำให้การเจริญเติบโตไม่ดี ลำต้นไม่สมบูรณ์ ดนิ สญู เสียความชืน้ ได้เร็ว ปัญหาวชั พืชจะมากข้ึนภายหลัง กล้วยตกเครือแล้ว ควรตัดแต่งใบออก เหลือไว้เพียงต้นละ 9 ใบก็พอ ถ้าเหลือใบไว้มากจะทำให้ ต้นกล้วยรับนำ้ หนักมาก จะทำให้เกิดการหกั ลม้ ได้งา่ ย ระยะกล้วยมีนำ้ หนกั เครือมากขนึ้ และถ้าหากตัดแตง่ ใบออกมากเกินไป เหลือจำนวนใบไว้น้อย จะทำให้บริเวณคอเครือและผลกล้วยถูกแสงแดดเผา เป็นเหตุให้ กลว้ ยหกั พบั บรเิ วณคอเครือกอ่ นเก็บเก่ยี ว และผลเสียหายไม่สามารถนำไปขายได้ 22 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การค้ำเครอื เมอ่ื กล้วยตกเครือจะมีน้ำหนกั มาก จึงควรป้องกันลำตน้ หักล้ม ซึ่งกระทำได้โดยการปักหลัก ผูกยึด ติดกบั ลำต้น การปกั หลกั ตอ้ งปกั ลงไปในดนิ ใหแ้ นน่ ทศิ ทางตรงขา้ มกบั เครอื กลว้ ยใหแ้ นบชดิ กบั ลำตน้ กลว้ ยมากทสี่ ดุ เท่าที่จะทำได้ ผูกยึดลำต้นกล้วยให้ตรึงกับไม้หลักสัก 3 ช่วง ดังน้ี คือ บริเวณช่วงโคนต้น กลางต้น และ คอเครอื โดยใชป้ อกล้วยหรือปอฟางก็ได้ ถ้าใชไ้ มร้ วกสำหรบั ค้ำเครือควรจะนำไปแช่นำ้ 15-20 วัน เสียกอ่ น แล้วนำมาตากแดดให้แหง้ จงึ ค่อยนำไปใช้ การตดั ปลี กล้วยไข่ท่ีมีการเจริญเติบโตและสมบูรณ์ หลังจากปลูก 7-8 เดือน ก็จะแทงปลี แต่ถ้า การเจรญิ เตบิ โตและความสมบรู ณไ์ มด่ ี การแทงปลกี จ็ ะชา้ ออกไปอกี ระยะเวลาตง้ั แตเ่ รมิ่ แทงปลจี นถงึ ปลคี ลอ้ ยตวั ลงมาสดุ จะใชเ้ วลาประมาณ 7 วนั หลงั จากนน้ั ปลจี ะบาน ระยะเวลาตง้ั แตป่ ลเี รม่ิ บานหวแี รกจนสดุ หวสี ดุ ทา้ ย จะใช้เวลาอีกประมาณ 7 วัน รวมระยะเวลาต้ังแต่ออกปลี จนสามารถตัดปลีท้ิงประมาณ 15 วัน ท้ังน้ ี กข็ ึน้ อย่กู บั ความสมบูรณ์ของตน้ กลว้ ยและชว่ งฤดูทีก่ ลว้ ยตกปล ี การเก็บเก่ยี ว ปกตหิ ลงั จากตดั ปลแี ลว้ ประมาณ 45 วนั เปน็ เวลาทเ่ี หมาะสมในการเกบ็ เกย่ี ว ถา้ ปลอ่ ยไวน้ านกวา่ น ี้ ผลกล้วยอาจแตก และสุกคาต้น หรือท่ีชาวสวนเรียกว่ากล้วยสุกลม รสชาติไม่อร่อย สีและผิวกระด้าง ไม่นวลสวยเหมือนท่ีนำไปบม่ กล้วยไข่ท่ีตกเครือในช่วงฤดูหนาว ซ่ึงผลจะแก่ช้า มีผลทำให้อายุการเก็บเกี่ยวต้องยาวนานออกไป ถึง 50-55 วนั หลงั ตดั ปลี 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 23
การปลูกปเู ล่เพ่อื การค้า ปูเล่ เป็นพืชตระกูลกะหล่ำท่ีปลูกกันมากทางภาคใต้ของประเทศไทยมานานแล้ว นิยมปลูก ในกระถางหรอื ภาชนะอนื่ ๆ มอี ายยุ นื ไมต่ ำ่ กวา่ 2 ปี ซง่ึ ตา่ งจากผกั ทวั่ ไป มลี กั ษณะเดน่ คอื มแี ขนงขนึ้ ตามลำตน้ สามารถนำไปชำปลกู ขยายพนั ธต์ุ อ่ ไปได้ และเนอื่ งจากปเู ลเ่ ปน็ พชื ทสี่ ามารถปลกู เปน็ ไมก้ ระถางได้ จงึ สามารถ ควบคุมการใช้สารเคมีเพื่อเป็นผักปลอดสารพิษท่ีบริโภคได้อย่างปลอดภัย หากมีการบำรุงรักษาที่ดีจะทำให้ ปเู ลเ่ ปน็ ท้ังพชื ทใ่ี ช้บรโิ ภค และเปน็ ไม้ประดับเพ่อื ตกแต่งบา้ นได้ ปจั จยั จำเปน็ ท่ีต้องใช ้ 1. พนั ธป์ุ ูเล ่ 2. สถานที่ หรอื แปลงดินสำหรบั การเพาะปลกู แตถ่ ้าปลูกในกระถางจะเหมาะกวา่ 3. ดนิ ที่มปี ุ๋ยคอก หรอื ปุ๋ยหมกั ผสมกบั ดินร่วนทร่ี ะบายน้ำไดด้ ี ข้ันตอนการดำเนนิ งาน 1. ดินทม่ี ีปยุ๋ คอก หรอื ปยุ๋ หมักผสมกบั ดนิ ร่วนทีร่ ะบายนำ้ ไดด้ ี 2. กดดินรอบโคนให้แน่น รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น วางไว้ท่ีแจ้ง เนื่องจากปูเล่เป็นพืช ท่ีชอบแดด 3. เติมดินผสม เพื่อกลบโคนต้นเป็นระยะทุก 2 อาทิตย์ การป้องกัน กำจัด ถ้าพบแมลงศัตรูพืช ใหใ้ ช้มือทำลายก็เพียงพอ ไม่จำเปน็ ต้องใช้สารเคม ี ผลผลิต การเก็บ การนำใบไปบรโิ ภค เมอ่ื ตน้ ปเู ล่มีอายปุ ระมาณ 2 เดอื นขึน้ ไป ผปู้ ลูกสามารถเกบ็ ผักปูเล่ได้ โดยเด็ดใบล่างข้ึนไปเรื่อยๆ ควรเหลือใบบนไว้กับต้นบ้างเพ่ือให้ใบส่วนท่ีเหลือสามารถสังเคราะห์แสง เพือ่ การเจรญิ เตบิ โต ตลาด และผลตอบแทน ต้นปูเล่ นอกจากจะใช้เป็นอาหารแล้ว ด้วยลักษณะและรูปร่างท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะจึงทำให ้ ตน้ ปูเลส่ ามารถเปน็ ตน้ ไมป้ ระดับไวต้ ามบ้านไดเ้ ช่นกัน ตลาดในปจั จุบนั ปเู ลน่ บั ว่าเปน็ พืชชนิดใหมท่ ่ปี ลอดภัย จากสารพิษ และสามารถปลูกเองไดใ้ นครวั เรอื น ซึง่ ในขณะนยี้ งั ไม่มีผ้ปู ลูกเพือ่ ตดั ใบในเชิงการค้า นบั ว่าเปน็ ตลาดใหม่ของผักปลอดสารพิษ สามารถทำการตกลงด้านการตลาดล่วงหน้ากับซูเปอร์มาร์เก็ตและจัดการ ใหม้ ภี าชนะบรรจใุ หเ้ หมาะสมกบั สภาพของผลผลติ รวมถงึ การกำหนดราคาในการขายไดจ้ ากผผู้ ลติ ทง้ั น้ี ตน้ ทนุ และผลตอบแทนขึ้นกบั ปรมิ าณการผลิต และความต้องการของตลาด 24 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การปลูกกระชายดำ กระชายดำเป็นพืชสมุนไพรท่ีมีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อนบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ พบได ้ ตามบริเวณป่าดิบร้อนชื้น แหล่งปลูกที่มีช่ือเสียงและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปคือ เขตปลูกอำเภอนาแห้ว อำเภอดา่ นซา้ ย และอำเภอภเู รอื จงั หวดั เลย ปจั จบุ นั ปลกู มากในเขตจงั หวดั เลย เปน็ พชื ทที่ ำรายไดใ้ หก้ บั ผปู้ ลกู สูงมากจึงมีการขยายพน้ื ทป่ี ลูกไปยังแหล่งอนื่ ๆ เปน็ พชื ท่ีอย่ใู นวงศ์ Zingiberaceae เช่นเดียวกับขงิ และขม้ิน มีชือ่ วทิ ยาศาสตร์ Kaempferia parviflora ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร ์ กระชายดำแตกต่างจากกระชายทั่วไป (ที่ใช้เป็นเคร่ืองแกง) คือ กระชายทั่วไปใช้ส่วนที่เป็น ราก(tuber) ซ่ึงงอกออกมาจากเหง้า (ลำต้นที่อยู่ใต้ดิน) มีกาบใบและใบซ้อนโผล่ข้ึนอยู่เหนือดิน ส่วนกระชายดำมีลำต้นอยู่ใต้ดิน (rhizome) หรือท่ีเรียกกันทั่วไปว่าหัว ลักษณะคล้ายขิงหรือขมิ้น แต่มขี นาดเล็กกวา่ ใบใหญ่และมีสีเขียวเข้มกว่ากระชายทั่วไป ขนาดใบกว้างประมาณ 7-15 เซนติเมตร ยาว 30-35 เซนติเมตร ใบมีกลิ่นหอม ประกอบด้วยกาบใบมีสีแดงจางๆ และหนาอวบ กำเนิดมาจากหัว ทอี่ ยู่ใต้ดิน ลำต้นมีความสูงประมาณ 30 เซนตเิ มตร ดอกออกจากยอด ชอ่ ละหน่ึงดอก มใี บเลีย้ ง ดอกมสี ีชมพอู ่อน ๆ ริมปากดอกสขี าว เส้าเกสรสีมว่ ง เกสรสเี หลือง กลบี รองกลีบดอกเชื่อมติดกันมีลกั ษณะเปน็ รปู ทอ่ มขี น โคนเชอ่ื มตดิ กนั เป็นช่อยาว เกสรตัวผู้ จะเหมือนกับกลีบดอก อับเรณูอยู่ใกล้ปลายท่อ เกสรตัวเมียมีขนาดยาวเล็ก ยอดของมันเป็นรูปปากแตร เกลี้ยงไมม่ ขี น หัวมีสีเข้มแตกต่างกัน ต้ังแต่สีม่วงจาง ม่วงเข้ม และดำสนิท (ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ความแตกต่าง ของสีขึ้นอยกู่ ับส่งิ แวดล้อม อายุ หรอื พนั ธุกรรม) สีของหวั เมื่อนำไปดองสุราจะถูกฟอกออกมา พนั ธุ์ ในปัจจุบันยังไม่มีการรวบรวมและจำแนกพันธ์ุอย่างเป็นทางการ แต่หากจำแนกตามลักษณะของสี ของเนอื้ หวั พอจะแยกได้ 3 สายพันธุ์ คือ - สายพนั ธท์ุ ม่ี ีเนอื้ หวั สีดำ - สีม่วงเข้ม - สมี ว่ งอ่อนหรือสนี ้ำตาล ส่วนใหญ่แล้ว จะพบกระชายท่ีมีสีม่วงเข้มและสีม่วงอ่อน ส่วนกระชายที่มีสีดำสนิทจะมีลักษณะ หัวค่อนข้างเล็ก ชาวเขาเรียกว่า กระชายลิง ซ่ึงมีไม่มากนักจัดว่าเป็นกระชายที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการ ของตลาด 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 25
แหลง่ ปลกู ทเ่ี หมาะสม เน่ืองจากกระชายดำเป็นพืชดั้งเดิมของชาวเขา จึงเชื่อกันว่ากระชายดำท่ีดี มีคุณภาพ จะต้องปลูก บนพื้นท่ีที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 500-700 เมตร เจริญเติบโตและลงหัวได้ดีในดินร่วนทราย มีการ ระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง ไม่ชอบแดดจัด ชอบแดดร่มรำไร เกษตรกรจึงนิยมปลูกกระชายดำระหว่าง แถวไม้ยืนต้น แต่ก็ยังไม่มีข้อมูล ยืนยันว่าปลูกกลางแจ้งกับปลูกในท่ีร่มรำไรมีผลแตกต่างกันอย่างไร ท้ังใน ด้านคุณภาพและการเจรญิ เติบโต การปลูก การเตรยี มพนั ธปุ์ ลกู โดยการใช้หัวแก่จัดมีอายุประมาณ 11-12 เดือน ปราศจากเช้ือโรค เก็บไว้ในท่ีแห้งและเย็น นานประมาณ 1-3 เดอื น กอ่ นเกบ็ รกั ษาควรจมุ่ หวั พนั ธใุ์ นสารปอ้ งกนั กำจดั เชอื้ รา โดยใชไ้ ดโฟลาแทน 80 หรอื แมนเซ็ทดี ผสมน้ำอัตรา 2-4 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร (1 ปี๊บ) ในพื้นที่ 1 ไร่จะใช้หัวพันธุ์ประมาณ 200-250 กิโลกรัม ข้นึ กบั ระยะปลกู และขนาดของหัวด้วย การเลอื กหัวพันธ์ ุ ควรจะใช้พันธุ์ท่ีมีขนาดเล็ก เน่ืองจากในน้ำหนักที่เท่ากันกับหัวขนาดใหญ่ หัวขนาดเล็กจะปลูกได้ มากกวา่ และควรเลอื กหัวพันธุท์ มี่ สี ีดำหรือมว่ งเข้ม ซึง่ เปน็ ทีต่ ้องการของตลาด ฤดปู ลกู เร่ิมต้ังแต่ปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม และจะเก็บเก่ียวในเดือนธันวาคม-มกราคม กระชายดำ จะมีอายุเก็บเกีย่ วประมาณ 8-9 เดอื น การเตรียมดนิ กอ่ นทจ่ี ะมกี ารไถเตรยี มดนิ ควรหวา่ นปนู ขาวในอตั รา 100-150 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ เพอื่ ฆา่ เชอ้ื โรคทอี่ ย ู่ ในดนิ หลงั จากนนั้ จงึ ไถกลบปนู ขาวทงิ้ ไวป้ ระมาณ 10-15 วนั เนอื่ งจากเปน็ ดนิ รว่ นปนทราย เกษตรกรอาจไถ เพียงครั้งเดียว ก่อนปลูกควรยกเป็นแปลง (ไม่ต้องสูงนัก) ความกว้างของแปลง 1.50-2.0 เมตร ความยาว ไม่จำกัด วธิ ีการปลกู ใช้หัวพันธ์ุท่ีเตรียมไว้แล้วแยกหัวโดยหักออกเป็นข้อๆ ตามรอยต่อระหว่างหัว ฝังกลบดินให้มิดแต่ ไม่ลึกนัก โดยใช้ระยะปลูกระหว่างแถว X ระหว่างหลุม 0.20 X 0.25 เมตร หรือ 0.25 X 0.30 เมตร ปลกู เสร็จแล้วใช้แกลบหว่านกลบบางๆ อีกช้นั หนึง่ การดแู ลรกั ษา การใสป่ ๋ยุ ใชป้ ยุ๋ คอกมลู ไกผ่ สมแกลบรองพน้ื รว่ มกบั ปยุ๋ เคมสี ตู ร 15-15-15 อตั รา 25-30 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ หากดนิ มีความอุดมสมบรู ณ์อยู่แล้ว อาจใชแ้ กลบทไี่ ดจ้ ากการรองพ้ืนเลา้ ไก่ก็เป็นการเพียงพอ โดยไมต่ ้องใช้ปุ๋ยเคมี การกำจัดวัชพืช วัชพืชในไร่กระชายไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เนื่องจากกระชายมีระยะปลูกถี่ใบ สามารถคลุมดิน ป้องกันการงอกของเมลด็ วชั พืชไดด้ ี หากมคี วามจำเป็นต้องกำจัดวชั พืชออกใหห้ มดจากแปลง การเก็บเก่ยี ว อายุเก็บเก่ียวของกระชายดำ ประมาณ 8-9 เดือน ซ่ึงจะเก็บเก่ียวในเดือนธันวาคม-มกราคม ในชว่ งน้ี สงั เกตดใู บจะเร่ิมแกม่ ีสเี หลอื งและแหง้ ตายลงในทส่ี ดุ 26 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การเก็บเก่ียวเร็วก่อนกำหนด จะมีผลต่อคุณภาพโดยเฉพาะของหัวจะไม่เข้ม ซึ่งเป็นกระชายดำที่ ตลาดต้องการ (แต่อย่างไรก็ตามอายุการเก็บเก่ียว จะมีผลต่อสีของหัวกระชายมากน้อยเพียงใดยังไม่มี รายงานอย่างเปน็ ทางการ) การขดุ หัวกระชาย ถ้ายกเป็นแปลงตอนปลูก จะเก็บเก่ียวได้ง่าย โดยใช้จอบหรือเสียม ขุดหัวข้ึนมาแล้วเคาะดินให ้ หลุดออกจากหัวและราก เกษตรกรนิยมนำหัวกระชายที่ขุดได้ใส่ถุง แล้วนำไปทำความสะอาดท่ีบ้าน โดยการปลดิ ราก ออกจากหวั ใหห้ มดใหเ้ หลอื แตห่ วั ลว้ นๆ (สว่ นรากหรอื นมกระชายทปี่ ลดิ ออกจากหวั สามารถ นำไปจำหนา่ ยใหพ้ อ่ ค้าได)้ ผลผลติ โดยเฉล่ียหัวพันธ์ุ 1 กิโลกรัม สามารถให้ผลผลิตได้ 5-8 กิโลกรัม ดังนั้น 1 ไร่ จะได้ผลผลิต ประมาณ 1,000-2,000 กโิ ลกรมั สรรพคณุ ทางยา ในปัจจุบัน กระชายดำจัดว่าเป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ท้ังผู้บริโภค และวงการแพทย์แผนไทย เพราะเช่ือว่ามีสรรพคุณทางยา ถึงแม้ว่ายังไม่มีรายงานทางการแพทย์ อยา่ งเปน็ ทางการ แตจ่ ากประสบการณข์ องผใู้ ชก้ ระชาย มรี ายงานวา่ ใชเ้ ปน็ ยาบำรงุ กำลงั บำรงุ หวั ใจ แกใ้ จสน่ั แก้บิด แก้ปวดข้อ แก้ลมวิงเวียน แน่นหน้าอก แก้แผลในปาก ทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผุดผ่อง สดใส ขับปสั สาวะ แกโ้ รคกระเพาะ และปวดท้อง เปน็ ต้น แตท่ ่ีกล่าวกนั มาก คอื บำรงุ กำหนัด จึงได้ฉายาวา่ โสมไทย (โครงการสมนุ ไพรเพ่อื การพึ่งตนเอง, 2539) การแปรรปู ในปัจจุบันนอกจากใช้กระชายดำเพื่อประกอบเป็นตัวยาโดยตรงแล้ว ยังนำไปบดเป็นผงบรรจุซอง ชงน้ำร้อนด่ืมบำรุงสุขภาพ ใช้ดองด่ืมเพ่ือให้เกิดความกระชุ่มกระชวย ทำลูกอมและที่นิยมมากท่ีสุด ในปัจจุบัน คือ ทำไวน์กระชายดำ กระชายดำแบบหัวสด การรับประทาน : ใช้รากเหง้า(หัวสด) ประมาณ 4-5 ขีด ต่อสุราขาว 1 ขวด ดองสุราขาว ดื่มก่อน รับประทานอาหารเย็น ปริมาณ 30 ซีซี. ผู้ที่ด่ืมสุราไม่ได้ ให้ฝานเป็นแว่นบางๆ แช่น้ำร้อนดื่มทุกวัน หรอื จะดองกบั นำ้ ผึง้ ก็ได้ ในอตั ราสว่ น 1:1 กระชายดำหัวแหง้ กรรมวิธีการผลิต : การทำกระชายดำแบบฝานเป็นแว่นอบแห้ง โดยการนำหัวสดของกระชายดำไปล้าง ทำความสะอาด นำมาฝานเป็นแว่น แล้วนำเข้าตู้อบ อบให้แห้งท่ีอุณหภูมิสูงจนแห้งได้ที่แล้วจึงนำมาเก็บไว้ ในท่ีแห้งและเย็น ซ่ึงวิธีการนี้จะช่วยให้เก็บรักษากระชายดำได้นาน การรับประทาน : หากไม่ใช่คอเหล้าท ่ี มักนยิ มนำไปดองกบั เหลา้ ขาว กม็ ักหนั่ เปน็ ชนิ้ นำไปตากแหง้ แลว้ มาต้มกับน้ำรับประทาน บางตำราบอกให้ นำหัวกระชายดำหน่ั ตากแห้งสดไปดองกับน้ำผง้ึ แท้ 7 วัน นำมาดม่ื ก่อนนอน อาจจะนำมาปนั้ เปน็ ลูกกลอน ก็ได ้ รายละเอียดวธิ ีใช้ : - หัวแหง้ ประมาณ 15 กรัม (1 กล่อง) ดองกับเหลา้ ขาว 1 แบน ผสมนำ้ ผง้ึ เพอื่ รสชาตทิ ีด่ ขี น้ึ ได้ตามชอบใจ ด่มื ก่อนนอนวนั ละ 30 ซซี ี. ( 1 เปก็ ) - หัวแห้ง ดองกบั น้ำผึ้งแท้ในอตั ราสว่ น 1:1 - หัวแห้ง บดเป็นผงละเอียดผสมน้ำผ้ึง พริกไทยป่น กระเทียมผง บอระเพ็ดผง ในอัตราส่วน 10 : 5 : 2 : 1 : 0.5 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 27
กระชายดำแบบชาชง กรรมวิธีการผลิต : นำหัวกระชายดำท่ีฝานเป็นแว่น อบให้แห้ง แล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วจึงบรรจุซอง กระชายดำแบบชาชง จะไม่มีสว่ นผสมอื่นอีก จะมีแต่กระชายดำแท้ 100% เทา่ นัน้ วธิ ีใช้ : - กระชายดำ 1 ซอง ชงนำ้ ร้อน 1 แก้ว (ประมาณ 120 ซซี ี.) ขอ้ แนะนำ : - หากตอ้ งการรสชาติทดี่ ขี นึ้ สามารถแตง่ รสด้วยน้ำตาล หรอื นำ้ ผ้งึ ตามชอบใจ ลูกอมกระชายดำ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเลย ร่วมกับกลุ่มโซนศรีสองรัก ได้จัดทำผลิตภัณฑ ์ ลูกอมสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ซ่ึงได้รับการสนับสนุนจากศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ นาแห้ว จงั หวัดเลย ส่วนประกอบ : 1. กระชายดำ 2. นมสด 3. เนยอยา่ งด ี 4. นำ้ ตาลทราย 5. แบะแซ ไวน์กระชายดำ ตามความหมายในภาษาอังกฤษน้ัน ไวน์ (wine) หมายถึง \"เหล้าองุ่น\" เท่านั้น ตามกระแสนิยม สำหรับคนไทยน้ัน คำวา่ \"ไวน\"์ หมายถงึ ผลไม้ หรอื สมุนไพรทนี่ ำมาหมักแล้วได้แอลกอฮอล์ ไม่เกนิ 15 ดกี รี ซงึ่ กรรมวธิ ีผลิตก็ทำเชน่ เดียวกบั ไวนใ์ นต่างประเทศ แตใ่ นกฎหมายไทยตามพระราชบัญญตั ิสุราฯ นั้นเรียกวา่ \"สุราแช่\" ดังนั้น อนุโลมที่จะเรียกผลไม้หรือสมุนไพรที่นำมาหมักว่า \"ไวน์\" และต่อท้ายด้วยชื่อผลไม้หรือ สมุนไพรท่ีนำมาทำเป็นวัตถุดิบน้ัน เช่น ไวน์สับปะรด ไวน์ลูกยอ ไวน์ลูกหม่อน เพราะไม่สามารถท่ีหาคำใด มาเรียกไดเ้ หมาะสม และเข้าใจไดง้ า่ ย 28 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การผลิตพรกิ สด พริก เป็นผักที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยเป็นอย่างมาก คนไทยนิยมใช้พริกในการ ประกอบอาหารประจำวัน เพราะพริกสามารถใช้เป็นท้ังพืชผักและเคร่ืองปรุงแต่งรส นอกจากนี้ ยงั มปี ระโยชนใ์ นดา้ นอตุ สาหกรรมผลติ ภณั ฑแ์ ปรรปู เครอื่ งปรงุ แตง่ รส อาทิ พรกิ แหง้ พรกิ ปน่ พรกิ แกง นำ้ พรกิ เผา ซอสพริก และที่สำคัญพริกเป็นพืชผักเพ่ือการส่งออกที่สำคัญ โดยสามารถนำเงินเข้าประเทศ ปลี ะหลายลา้ นบาท ทง้ั ในรปู พรกิ สด พรกิ แหง้ และผลติ ภณั ฑแ์ ปรรปู พรกิ จงึ นบั เปน็ พชื ผกั ทส่ี ามารถทำรายได ้ ใหก้ ับผู้ปลูกได้เป็นอย่างด ี พันธุ์พริกสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทผลเรยี วยาวเลก็ ถึงปานกลาง อาทิ พริกข้หี นู พริกชฟ้ี า้ พรกิ เหลือง ประเภทผลเปน็ รปู ระฆัง และเผ็ดน้อย หรอื ไมเ่ ผด็ เลยไดแ้ ก่ พริกยักษห์ รอื พรกิ หวาน ปจั จัยจำเป็นทต่ี ้องใช้ พนื้ ที่ปลกู พริกควรเปน็ ทโี่ ล่งแจ้งไดร้ บั แสงตลอดวัน ไมค่ วรเป็นท่ีลุ่มๆ ดอนๆ หรอื ที่สูง ดนิ แหง้ และ พื้นที่ดังกล่าวไม่ควรเป็นท่ีที่เคยปลูกพริกติดต่อกันหลายปี เพราะอาจเป็นที่สะสมโรคแมลงได้ แต่ถ้า จำเป็นต้องปลูกซ้ำที่เดิมควรปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียน พริกสามารถเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสูง มีการระบายน้ำดี สามารถเก็บความชื้นได้พอเหมาะ ความเป็นกรดเป็นดา่ งของดนิ (pH) อย่รู ะหวา่ ง 6.0-6.8 โดยทั่วไปพรกิ เปน็ พืชทช่ี อบอากาศร้อน ข้นั ตอนการดำเนนิ งาน 1) การเตรียมแปลงเพาะ แปลงเพาะควรกวา้ ง 1 เมตร สว่ นความยาวข้นึ กับความตอ้ งการ และ ความสะดวก ในการดูแลรักษาควรขุดพลิกดินลึก 8-10 นิ้ว ตากแดดทิ้งไว้อย่างน้อย 7 วัน จึงย่อยดิน ให้ละเอียด ใส่ปุ๋ย ปุ๋ยอินทรีย์ 4-5 กิโลกรัมต่อพื้นท่ี 1 ตารางเมตร พรวนคลุกเคล้าให้เข้ากันดีกับดิน เกล่ียหนา้ ดินใหเ้ รยี บ สำหรับการเพาะในกระบะ ใชด้ นิ ร่วนซยุ ผสมปุย๋ คอกท่แี ห้งและละเอยี ด ในอตั รา 2 : 1 ถ้ามีแกลบเผาสีดำให้นำมาผสมอีก 1 ส่วน จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วรดน้ำตากทิ้งไว้ 1 สัปดาห ์ จงึ ทำการเพาะเมล็ด 2) การเพาะกล้า การปลูก ส่วนมากเพาะกล้าก่อนปลูก แล้วจึงย้ายไปปลูกในแปลง หรืออาจ ย้ายกล้าเมื่อมีใบจริง 2-3 ใบ ลงในถุงพลาสติกขนาด 4x6 นิ้วก่อน เมื่อกล้าอายุประมาณ 20 วัน หลังจากย้ายลงถุงพลาสติก (หรือสูงประมาณ 15 เซนติเมตร ) จึงย้ายปลูกลงแปลง ถ้าความงอก 90% และต้องการปลูกในพ้ืนที่ 1 ไร่ จำนวนต้นประมาณ 3,200 ต้น จะต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 50-100 กรัม โรยเป็นแถวในแปลงเพาะท่ีทำรอยเป็นร่องต้ืนๆ ลึก 0.50 เซนติเมตร แถวควรจะขวางความยาว 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 29
ของแปลง การเพาะกลา้ เพอ่ื ยา้ ยลงแปลงปลกู โดยตรง ควรมรี ะยะหา่ งมากขนึ้ ประมาณ 8–10 เซนตเิ มตร หลงั จาก โรยเมล็ดแล้วโรยดินกลบเมล็ดให้ดินเสมอหน้าดิน คลุมด้วยฟางใหม่บางๆ กำจัดเช้ือราและแมลงด้วย สารสกดั จากธรรมชาติ รดนำ้ แปลงเพาะวนั ละ 1–2 ครงั้ (เชา้ –เยน็ ) กรณยี า้ ยกลา้ ลงถงุ พลาสตกิ ดนิ ทใ่ี สล่ งถงุ ใช้สว่ นผสมของดนิ เชน่ เดียวกบั การเตรียมกระบะเพาะ 3) การเตรียมแปลงเพาะปลูก ควรเตรยี มแปลงปลกู ตง้ั แตเ่ รมิ่ เพาะกลา้ โดยคร้งั แรกไถตากดินไว้ 1–2 สัปดาห์ แล้วจึงทำการไถพรวนดินเก็บซากวัชพืชที่ไม่ตาย และสลายตัวยากออกจากดินท้ิงไว้ อีก 1–2 สัปดาห์ ถ้าดินมีความเป็นกรดมาก (pH ต่ำ) ก็ปรับความเป็นกรดเป็นด่างให้สูงขึ้นมาอยู่ระหว่าง 6.0-6.8 โดยใส่ปูนขาวตามค่าวเิ คราะหด์ ิน หรือ ประมาณไมเ่ กนิ ไรล่ ะ 300 กโิ ลกรัม 4) การปลูกและระยะปลูก การย้ายกล้าจากแปลงเพาะไปปลูก ควรทำเม่ืออายุกล้า 30-40 วัน หรือสูงประมาณ 12 เซนติเมตร ก่อนถอนกล้าควรรดน้ำแปลงเพาะกล้าให้ชุ่มก่อน แล้วใช้เสียมแซะ ด้านข้างๆ แถว หลังปลกู ควรมวี ัสดชุ ่วยคลมุ กลา้ อาทิ กรวยหรอื ใบไม้ 3–4 วัน จะทำใหก้ ล้าต้งั ตัวไดเ้ ร็วขน้ึ ถ้าไม่มีวัสดุคลุมกล้าควรตัดยอดที่มีใบอ่อนออก ส่วนการย้ายกล้าจากถุงพลาสติกลงแปลงปลูก ควรระวัง เวลาฉกี ถงุ พลาสตกิ ออก อยา่ ใหด้ นิ แตก และปลกู ใหล้ กึ กวา่ ระดบั เดมิ ทอี่ ยใู่ นถงุ เลก็ การปลกู ทง้ั 2 วธิ ี หลงั จาก ปลูกเสร็จให้รดน้ำตามทันทีจะทำให้กล้าตั้งตัวเร็ว และมีอัตราการรอดสูง หลุมที่ปลูกควรลึก 1 หน้าจอบ (ขนาด 30x30x30 เซนตเิ มตร ) อาจปลกู เป็นแถวคู่ หรือแถวเดย่ี ว แถวคู่ ใช้ระยะห่างระหว่างแถวคู่ 120 เซนติเมตร ระหว่างแถว 80 เซนติเมตร และระหว่างต้น 50 เซนตเิ มตร แถวเดี่ยว ใช้ระยะห่างระหว่างแถว 100 เซนติเมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ท้ัง 2 วิธี ใน 1 ไร่จะปลกู ได้ 3,200 ตัน กอ่ นยา้ ยปลูกควรใส่ปยุ๋ อินทรยี อ์ ตั รา 2 ตันต่อไร่ 5) การดูแลรักษา 5.1 หลังจากการปลูก ควรให้น้ำทุกวันในระยะ 1 เดือนแรก เม่ือลำต้นเร่ิมแตกก่ิงก้าน จงึ คอ่ ยงดการใหน้ ำ้ ไดบ้ า้ ง โดยสงั เกตความชน้ื ของดนิ 5.2 หลังจากพริกต้ังตัวแล้ว หรืออายุ 15-20 วัน หลังปลูกควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย ์ ตามความเหมาะสม โดยโรยรอบตน้ แลว้ พรวนดนิ กลบพร้อมทัง้ กำจดั วชั พชื ทุกๆ 20 วัน 5.3 หลงั ปลกู ใหด้ แู ลและกำจดั แมลงศตั รพู ชื ประเภทเพลยี้ ไฟ ไรขาว และเชอ้ื รา อยา่ งนอ้ ย อาทติ ย์ละคร้ัง ผลผลิต หลังจากปลูกลงแปลงแล้ว 90 วัน พริกจะเริ่มแก่เป็นสีแดง และเร่ิมเก็บผลผลิตรุ่นแรกเม่ืออายุ ประมาณ 100 วนั และเกบ็ ตอ่ ไปเรอื่ ยๆ 15 วนั ตอ่ ครงั้ โดยเฉลยี่ จะไดพ้ รกิ สดครงั้ ละ 100 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ถ้าดแู ล รักษาดี และให้น้ำเพียงพอ พริกจะมีอายุเก็บเกยี่ วได้นานถงึ 8 เดอื น ตลาด และผลตอบแทน ถ้าวันใดพริกสดเข้าสู่ตลาดมากจนไม่สามารถระบายออกให้หมดในวันนั้นได้ ราคาพริกสดจะต่ำ โดยมีราคาประมาณกโิ ลกรมั ละ 6–15 บาท สำหรบั พริกแหง้ ราคากโิ ลกรัมละ 25–30 บาท เพราะพรกิ แห้ง สามารถเก็บรักษาได้นาน พริกแห้งผลเล็กเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศและเป็นที่ต้องการของ ตลาดต่างประเทศ การระบายสินค้าจึงคล่องตัวกว่าพริกแห้งผลใหญ่ สำหรับตลาดต่างประเทศพบว่า มีการ ส่งออกทั้งในรูปแบบพริกสดและพริกแห้ง พริกสดท่ีส่งออก ได้แก่ พริกใหญ่ชนิดชี้ฟ้าและพริกเล็กชนิดขี้หนู สว่ นพริกแหง้ จะเป็นพริกปน่ ชนิดเผด็ นอ้ ยถงึ ปานกลางและพริกแหง้ ผลใหญ่สีแดงเขม้ 30 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การทำก้อนเชือ้ เห็ด และเปิดดอก ปจั จบุ นั การเพาะเหด็ เปน็ ทน่ี ยิ มอยา่ งกวา้ งขวาง เพราะไดผ้ ลผลติ เรว็ และมตี ลาดรองรบั การเพาะเหด็ จึงเป็นทางเลือกหน่ึงในการประกอบอาชีพที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูงนัก แต่สร้างรายได้ให้เป็นท่ีน่าพอใจ สามารถทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพรองได้ การซื้อเช้ือเห็ดคุณภาพดี ไม่มีจุลินทรีย์อ่ืนปนเป้ือน ให้ผลผลิต สูง และได้กำไรดีน้ันเป็นหน้าท่ีของผู้เพาะเห็ดที่ต้องจำเองว่าบริษัทหรือห้างร้านใดท่ีผลิตเห็ดคุณภาพดี แต่ บางครั้งเช้ือเห็ดจากร้านเดียวกันคุณภาพกลับไม่สม่ำเสมอก็มี ปัญหาเช่นนี้ทำให้ผู้เพาะดอกเห็ดขายหันมา สนใจท่ีจะผลิตเชื้อเห็ดเอง แม้จะลงทุนสูงกว่าการซ้ือก้อนเช้ือเห็ดมาเปิดดอก หากแต่เหมาะสำหรับผู้ท่ี ต้องการยึดการเพาะเห็ดเป็นอาชีพ ซึ่งต้องทำการสำรวจตลาดและค้นคว้าข้อมูลในการผลิตมาให้ดีเสียก่อน เหด็ มหี ลายชนดิ อาทิ เหด็ ฟาง เห็ดหอม เหด็ นางรม เหด็ นางฟา้ เปน็ ตน้ ปจั จัยจำเป็น 1) วสั ดเุ พาะ โดยทั่วไปจะใชว้ สั ดุเหลอื ทิง้ ทางการเกษตร อาทิ ขี้เลือ่ ยไมย้ างพารา ขี้เลอ่ื ยไม้ออ่ น ฟางข้าว ชานออ้ ย ฯลฯ 2) ถงุ พลาสตกิ ทนรอ้ นขนาด 6.75x12.5 นว้ิ หรอื ขนาด 8x12 นวิ้ 3) คอขวดพลาสติกเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.5 นวิ้ 4) สำล ี 5) ยางรัด 6) หมอ้ น่ึงเชือ้ 7) โรงเรอื นบ่มเส้นใย 8) โรงเรอื นเปิดดอก สตู รอาหารก้อนเชื้อเห็ด ขเ้ี ลื่อยยางพาราแหง้ (ไมต่ อ้ งหมัก) 100 กโิ ลกรมั รำละเอยี ด 5 กโิ ลกรมั ปูนขาว 1 กโิ ลกรมั ยปิ ซัม 2 กโิ ลกรัม ดเี กลอื 0.2 กิโลกรัม (ปรบั ความชืน้ ในวัสดุเพาะประมาณ 60-65%) 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 31
ขัน้ ตอนการดำเนนิ งาน 1) นำส่วนผสมข้างต้นผสมให้เข้ากันด้วยมือหรือเคร่ืองผสม ปรับความชื้นประมาณ 60-65% โดยการเตมิ น้ำลงไปพอประมาณ 2) ใช้มือกำข้ีเล่ือยข้ึนมาบีบให้แน่น แล้วสังเกตว่าถ้ามีน้ำซึมออกมาตามร่องน้ิวมือแสดงว่า เปียกไป ใหเ้ ตมิ ขีเ้ ลอ่ื ยแหง้ แตถ่ ้าไม่มนี ำ้ ซมึ ให้แบมือออก ขี้เลอื่ ยจะรวมกันเปน็ ก้อนแลว้ แตกออก 2-3 ส่วน แสดงว่าใช้ได้ (มีความช้ืนประมาณ 60-65%) แต่ถ้าแบมือแล้วข้ีเล่ือยไม่รวมตัวกันเป็นก้อนแสดงว่า แห้งไป ให้เติมน้ำลงไปอีก 3) เมื่อผสมคลุกเคล้าส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว ให้บรรจุข้ีเลื่อยใส่ถุงพลาสติกทนความร้อนน้ำหนัก บรรจุ 8–10 ขีด หรอื 2 ใน 3 ของถุง แลว้ กดใหแ้ นน่ พอประมาณ ใสค่ อขวด รัดด้วยหนังยาง จุกสำล ี 4) นำไปน่ึงฆา่ เชื้อท่ี 90-100 องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ 2-3 ช่วั โมง 5) นำถงุ พลาสติกออกพักให้เยน็ ในที่สะอาด เปดิ จกุ สำลี ต่อเชอ้ื ที่ต้องการลงไปตรงคอขวด 6) นำถุงเชื้อเห็ดไปบ่มไว้ที่สะอาด มีอากาศถ่ายเทสะดวกพ่นยาฆ่าแมลงทุกวัน จนกว่าเส้นใย จะเตม็ ถงุ (ระยะเวลาตา่ งกนั ตามชนิดของเห็ด) 7) เมื่อเส้นใยเห็ดเดินเต็มถุงแล้ว คัดเอาเฉพาะถุงท่ีไม่มีการปนเปื้อนมาเปิดในโรงเรือนเปิดดอก เพื่อให้เกิดดอกเห็ดต่อไป ภายในโรงเรือนต้องสะอาด มีอากาศถ่ายเทดี มีแสงสว่างและเก็บความช้ืนได้ดี พอควร (ความชื้นสมั พทั ธภ์ ายในโรงเรอื นประมาณ 70% ขึ้นไป) รดน้ำทุกวันเพือ่ ให้เหด็ ออกดอก ลักษณะเชื้อเหด็ ทดี่ ี มีวิธสี งั เกตดังน้ี 1. เห็ดตระกูลนางรม (เห็ดนางรมฮังการี เห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดยานางิ) เส้นใยเดินเต็มถุง มีสีขาว หากมสี ีเหลือง แสดงวา่ เสน้ ใยเห็ดเริม่ แกแ่ ล้ว 2. เหด็ เปา๋ ฮอื้ เหด็ ขอนขาว เหด็ ลม เสน้ ใยเดนิ เตม็ ถงุ มสี ปอรเ์ หด็ สดี ำตกอย่ ู 3. ถุงบรรจุต้องไม่มีรอยแตกและร่ัว 4. ไมม่ ีเชื้อราเขียวหรือราอน่ื เจรญิ บนกอ้ นเหด็ ปัญหาทพ่ี บในการทำเชือ้ เห็ด 1. เชอ้ื เหด็ ไมเ่ จรญิ อาจมสี าเหตจุ ากหวั เชอ้ื ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ มกี า๊ ซแอมโมเนยี เหลอื อยู่ ความชน้ื ในขเ้ี ลอื่ ย สูงเกินไป อากาศในห้องบม่ เย็นเกินไป เปน็ ตน้ 2. เชอ้ื เหด็ เสยี เนอื่ งจากมเี ชอื้ อนื่ ปนเปอื้ น อาจมสี าเหตจุ ากอณุ หภมู ขิ องหมอ้ นงึ่ ตำ่ เกนิ ไป หมกั ปยุ๋ ไม่ได้ท่ี ถุงพลาสติกรั่ว มีรู จุกสำลีเปียก หรือใช้สำลีเก่า อาจจะเป็นพาหะนำเชื้อโรคได้ หัวเชื้อไม่บริสุทธิ์ เปน็ ต้น 3. เส้นใยเห็ดเดินแล้วหยุดหรือเดินเพียงบางๆ เน่ืองจากขี้เลื่อยหมักไม่ได้ท่ี ทำให้มีกลิ่น แอมโมเนยี เหลอื อยู่ มสี ารทเี่ ปน็ พษิ เจอื ตดิ อยู่ เชน่ นำ้ ยางจากขเี้ ลอ่ื ย นำ้ มนั ผงซกั ฟอก อณุ หภมู ใิ นหอ้ งบม่ ตำ่ เกินไป ปุ๋ยเปียกเกินไป หรือความชน้ื ในปยุ๋ ไมส่ ม่ำเสมอ 4. เส้นใยเจริญบางมาก สาเหตุจากอาหารในปุ๋ยไม่เพียงพอ มีเช้ือจุลินทรีย์อ่ืนปนเปื้อน ข้ีเล่ือย ท่ีใชม้ พี ิษตอ่ เห็ด 5. เชอื้ เห็ดเดินเต็ม แตไ่ ม่สร้างดอก อาจเน่อื งจากเชอื้ เห็ดเปน็ หมนั 6. ออกดอกช้า ผลผลิตต่ำ สาเหตจุ าก เช้ือเหด็ เสือ่ ม อาหารและความชนื้ ไม่เพียงพอ 32 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ผลผลติ โดยเฉลย่ี ประมาณ 300-500 กรมั ตอ่ ถุง (ตลอดอายุก้อน) ตน้ ทุน และผลตอบแทน ตน้ ทนุ การผลิตเฉลี่ย 21,000 บาท โรงเรือนขนาด 4x6 เมตร ก้อนเชอื้ 1,500 ก้อน ผลตอบแทนสุทธิ ครัง้ แรก 8,500 บาท (คำนวณจากราคาขายเฉลีย่ 25 บาทตอ่ กโิ ลกรมั ) คร้งั ท่ี 2 เป็นต้นไป 6,500 บาท ต่อรนุ่ ตลาด 1) เห็ดฟาง ประเทศไทยสามารถผลิตได้กว่า 70% ของเห็ดทั่วประเทศ แต่บริโภคภายใน ประเทศเกือบหมด มีเหลือสง่ ออกตลาดโลกนอ้ ยมาก จงึ มีการพยายามเพม่ิ ผลผลิตด้วยวธิ ีตา่ งๆ เพ่ือผลิตเปน็ สนิ คา้ ออก 2) เห็ดนางรมฮังการี และนางฟ้าภูฏาน เป็นเห็ดท่ีออกดอกได้ท้ังปี คนนิยมบริโภคกัน อย่างแพรห่ ลาย 3) เห็ดหอม เหมาะสำหรับบริเวณท่ีมีอากาศหนาวเย็นและความช้ืนสูง มีราคาสูงในท้องตลาด สามารถรบั ประทานไดท้ ้งั แบบสด และแปรรปู โดยการทำแห้ง 4) เห็ดแชมปิญอง ชอบอากาศหนาวเย็น ต้องการอุณหภูมิประมาณ 12–20 องศาเซลเซียส มรี าคาสงู ในท้องตลาด เปน็ ทีน่ ยิ มอยา่ งมากในแถบประเทศยโุ รป 5) เหด็ หัวลงิ ชอบอากาศเยน็ ในการออกดอก มีสรรพคุณสามารถยบั ยัง้ โรคมะเร็งต่างๆ ได้ 6) เหด็ หหู นู เปน็ ทนี่ ยิ มอยา่ งแพรห่ ลายในทอ้ งตลาด เปน็ ยาเยน็ บำรงุ สขุ ภาพ 7) เห็ดยานางิ มีรสชาตคิ ล้ายเห็ดโคนเปน็ ท่นี ิยมกนั อยา่ งแพรห่ ลาย 8) เหด็ ออรนิ จิ ชอบอากาศหนาวเยน็ เป็นท่นี ยิ มของผูบ้ รโิ ภคทีร่ กั สุขภาพ แหลง่ ข้อมูล : กลมุ่ สง่ เสรมิ การผลติ ผกั สว่ นสง่ เสรมิ การผลติ ผกั ไมด้ อกไมป้ ระดบั และพชื สมนุ ไพร สำนกั สง่ เสรมิ และ จดั การสนิ คา้ เกษตรผลผลติ แลว้ แตช่ นดิ ของเหด็ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 33
การปลูกข้าวโพดฝักสด ข้าวโพดฝักสด หมายถึง ข้าวโพดทุกชนิดท่ีคนเราใช้เป็นอาหารก่อนท่ีเมล็ดข้าวโพดจะแก่ ซ่ึงใน ปัจจุบันข้าวโพดฝักสดเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและของโลก สำหรับข้าวโพดฝักสด ในประเทศไทย ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน ข้าวโพดข้าวเหนียว และข้าวโพดเทียน แต่ท่ีสำคัญ คอื ขา้ วโพดหวาน และขา้ วโพดฝกั ออ่ น สว่ นขา้ วโพดขา้ วเหนยี ว และขา้ วโพดเทยี น เปน็ การบรโิ ภคในทอ้ งถน่ิ และในอนาคตดา้ นตลาดมแี นวโนม้ ทจ่ี ะขยายมากขน้ึ ขา้ วโพดหวานเปน็ พชื อายสุ น้ั ใหผ้ ลตอบแทนแกเ่ กษตรกร ผูป้ ลูกอย่ใู นเกณฑด์ ี สามารถจำหนา่ ยไดใ้ นตลาดบรโิ ภคสดและโรงงานอุตสาหกรรมกระป๋อง ข้าวโพดหวาน แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ พันธุ์ผสมเปิด ได้แก่ พันธุ์ซุปเปอร์สวิท พันธ์ุซุปเปอร์ฮาร์โก้ เกษตรกรสามารถเก็บไว้ทำพันธ ุ์ ได้ 2-3 รนุ่ เหมาะสำหรับจำหนา่ ยในตลาดบรโิ ภคสด พันธ์ุลูกผสม ได้แก่ พันธ์ุอินทรี2 พันธุ์ซูการ์73 พันธุ์ซูการ์74 พันธ์ุไฮ-บริทซ์5 พันธ์ุเอ พนั ธเ์ุ อทเี อส-2 พนั ธร์ุ อยลั สวที พนั ธยุ์ นู ซิ ดี ส์ พนั ธสุ์ วทิ ทโู ทน เปน็ ตน้ ผลผลติ เปน็ ทตี่ อ้ งการของตลาดบรโิ ภคสด และโรงงานอตุ สาหกรรม เกษตรกรไม่สามารถเก็บเมลด็ ไวท้ ำพันธไ์ุ ด ้ ข้าวโพดฝักออ่ น แบ่งเปน็ 2 ประเภท คือ พันธุ์ผสมเปิด ลักษณะฝักไม่ค่อยสม่ำเสมอ สามารถเก็บไว้ทำพันธุ์ได้และจะต้องปลูกห่างจาก พันธุ์อ่ืนๆ ประมาณ 200 เมตร หรือทิ้งช่วงการปลูกจากพันธุ์อื่นไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ ได้แก ่ พันธุ์เชียงใหม่ 90 เริ่มเก็บเกย่ี วอายุ 48 วันหลงั งอก พนั ธ์สุ ุวรรณ2 เร่มิ เกบ็ เก่ียวอายุ 45 วนั หลงั งอก พันธ์ุลูกผสม ลักษณะฝักสม่ำเสมอ ผลผลิตสูงเป็นที่ต้องการของโรงงาน เกษตรกรไม่สามารถ เก็บเมล็ดไว้ทำพันธ์ุต่อได้ ได้แก่ พันธ์ุเกษตรศาสตร์2 พันธ์ุG 5414 พันธ์ุแปซิฟิค 116 พันธ์ุแปซิฟิค 421 พันธ์ุ IBG 710 เป็นต้น พนั ธ์ขุ า้ วเหนยี ว ไดแ้ ก่ ข้าวโพดหวานพิเศษขอนแก่น ผลิตโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ลักษณะเมล็ดสีขาวขุ่น กล่ินหอม อายเุ กบ็ เกย่ี วสนั้ ประมาณ 65-70 วัน ขา้ วโพดเทียน ได้แก ่ ข้าวโพดเทียนสีขาว พันธ์ุ SSRTW 8801 (สุโขทัย 1) ผลิตโดยกรมวิชาการเกษตร อายุเก็บเก่ียว 56-65 วัน ผลผลิตจำนวนฝักท้ังหมด 22,218 ฝักต่อไร่ ปลูกได้ทุกภาคของประเทศที่มีปริมาณน้ำ เพยี งพอ 34 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ปจั จัยจำเป็นท่ตี อ้ งใช้ ข้าวโพดฝักสดสามารถปลูกได้ตลอดท้ังปี โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชลประทาน ลักษณะดินม ี ความอดุ มสมบรู ณส์ งู การระบายนำ้ ดี ดนิ มคี วามเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) ประมาณ 5.5-6.8 สามารถปลกู ไดต้ งั้ แตพ่ นื้ ท ่ี ระดับน้ำทะเลจนถงึ ความสงู 2-3 พนั เมตร อุณหภูมิระหวา่ ง 20-30 องศาเซลเซียส มปี รมิ าณนำ้ เพยี งพอต่อ การเจรญิ เตบิ โตของตน้ ขา้ วโพด แหล่งปลกู ภาคเหนอื ได้แก่ จังหวดั นครสวรรค์ อุทัยธานี พะเยา ลำปาง แพร่ เชยี งราย เชียงใหม่ และลำพูน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ทุกจังหวัดยกเว้นจังหวัดเลย ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ชยั นาท สระบุรี และลพบรุ ี ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวดั สุพรรณบรุ ี ราชบรุ ี กาญจนบรุ ี เพชรบรุ ี และประจวบคีรีขนั ธ ์ ข้ันตอนการดำเนินการ ขา้ วโพดหวาน 1. ฤดูปลูก ข้าวโพดหวานสามารถปลูกได้ทั้งปีในบางพื้นท่ีที่มีน้ำเพียงพอ สามารถปลูก ในเดอื นเมษายน เพราะการปลกู ชว่ งนไ้ี มม่ ปี ญั หาเรอ่ื งพนั ธอุ์ น่ื ๆ มาปะปน ชว่ งปลกู ทเี่ หมาะสม คอื ประมาณ ปลายเดือนกันยายน เพราะไมจ่ ำเปน็ ต้องใหน้ ้ำ หรอื อาจใหบ้ ้างในช่วงใกลเ้ กบ็ เก่ียว 2. การเตรียมดิน ไถดะ 1 คร้ัง แล้วตากดินไว้ 7-15 วัน หว่านปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่ม ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ ประมาณ 1-2 ตนั ตอ่ ไร่ (ในดนิ เหนยี วควรเพม่ิ แกลบและปยุ๋ คอกหรอื ปยุ๋ หมกั เพมิ่ เปน็ 2-4 ตันต่อไร่) ไถแปร 1-2 ครั้ง เพอ่ื ย่อยดนิ ให้เหมาะสมตอ่ การยกแปลงปลกู 3. ระยะปลูก มี 2 แบบ คือ แบบแถวเดี่ยว ระยะระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระหว่างต้น 30 เซนติเมตร แบบแถวคู่ (แบบแปลงผัก) ชักร่องกว้าง 120 เซนติเมตร ปลูกข้างสันร่องท้ัง 2 ด้าน ระยะระหวา่ งตน้ 30 เซนติเมตร 4. การปลูก ข้าวโพดหวานใช้เมล็ดพนั ธุ์ 1-15 กิโลกรัมต่อไร่ 5. การใส่ปุ๋ยมี 2 ระยะคือ รองพื้นด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ ตามความเหมาะสม และใส่ปุ๋ย แตง่ หน้า 2 คร้ัง เมื่ออายุ 25-30 วนั ละ 40-45 วัน ผลผลติ ขา้ วโพดหวาน ให้ผลผลิตเฉลีย่ ประมาณ 1,800 กโิ ลกรัมต่อไร่ ข้าวโพดฝักออ่ น ใหผ้ ลผลติ เฉลย่ี ประมาณ 1,500 กิโลกรัมต่อไร ่ ขา้ วโพดข้าวเหนียว ใหผ้ ลผลิตเฉล่ียประมาณ 1,600 กิโลกรัมต่อไร่ ขา้ วโพดเทียน ให้ผลผลติ เฉลี่ยประมาณ 1,600 กิโลกรัมต่อไร ่ หมายเหต ุ ข้าวโพดเทยี น 1 ไร่ปลูกไดป้ ระมาณ 16,000-32,000 ต้น (ระยะปลูก 50x20 เซนตเิ มตร ) 1-2 ต้น ต่อหลมุ ข้าวโพดเทียน 1 ตน้ ตดิ ฝกั 1-2 ฝัก หรือประมาณ 1 ฝกั ตอ่ ตน้ จะได้ 32,000 ฝกั ขายได้ฝกั ละ 0.50 บาท ไดเ้ งินประมาณ 16,000 บาทตอ่ ไร่ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 35
แนวโนม้ ในอนาคตของข้าวโพดฝกั สด 1. เป็นพืชท่ีมีศักยภาพในการแข่งขันการส่งออกสูง เพราะข้าวโพดฝักสดสามารถแปรรูปเป็น ผลผลิตได้หลายรูปแบบ สามารถส่งออกได้ทั้งในตลาดยุโรป อเมริกา แอฟริกา นอกจากน้ี ตลาดภายใน ประเทศกม็ คี วามต้องการบริโภคมากขน้ึ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในสังคมเมือง 2. การส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวโพดฝักสดไม่มีปัญหาทางด้านโภชนาการ เนื่องจากในข้ันตอน การผลิตมีการใช้สารเคมีน้อย ส่งผลให้ผลผลิตที่ได้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสูง เพราะไม่มีสารพิษตกค้าง หรือมนี อ้ ยมาก 3. เป็นพืชที่มีศักยภาพการผลิตสูง สามารถเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิตได้ง่ายเพราะเป็นพืชระยะ เวลาการผลิตส้ัน (ใช้ระยะเวลาเพียง 45-50 วัน สำหรับข้าวโพดฝักอ่อน และ 70-75 วัน สำหรับข้าวโพด หวาน) และสามารถปลูกได้ตลอดปี ดูแลรักษาง่าย ให้ผลผลิตสูงมีความเส่ียงต่ำ ใช้สารเคมีน้อย การเพิ่ม คุณภาพและผลผลิตสามารถทำได้โดยใช้พันธ์ุและวิธีการผลิตท่ีเหมาะสม นอกจากนี้ยังเป็นพืชท่ีเหมาะสม สำหรบั เกษตรกรในชนบท โดยเฉพาะในเขตทม่ี นี ำ้ ชลประทาน 4. เป็นพืชที่มีศักยภาพในการนำไปผลิตเป็นพืชอินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวโพดฝักอ่อนและ ข้าวโพดหวาน เพราะเป็นพืชท่ีมีแมลงศัตรูน้อย นอกจากน้ีพันธ์ุที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีความต้านทานโรค ทส่ี ำคญั ได้ดพี อสมควร โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ขา้ วโพดฝักออ่ น ตลาด และผลตอบแทน ข้าวโพดหวานประมาณร้อยละ 50 ท่ีผลิตได้ในประเทศไทยจะถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ข้าวโพดหวานเพ่ือส่งไปจำหน่ายต่างประเทศ ซ่ึงจัดอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศผู้ส่งออกข้าวโพดหวาน ในตลาดโลก ขา้ วโพดหวานและขา้ วโพดฝกั ออ่ นทเ่ี กบ็ สว่ นของฝกั ออกไปใชป้ ระโยชนแ์ ลว้ สว่ นของตน้ และใบ ยังคงเหลือในแปลงรวมไปถึงกาบหุ้มฝัก ไหม ช่อดอกตัวผู้ของข้าวโพดฝักอ่อน และซังข้าวโพดหวานท่ีเหลือ จากโรงงานอตุ สาหกรรมยงั สามารถนำไปเปน็ อาหารสัตวไ์ ด้ด ี 36 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การปลูก ข้าวโพดฝักออ่ น ข้าวโพดฝกั ออ่ น เป็นขา้ วโพดทีเ่ ก็บฝักมารบั ประทานเมอ่ื ฝักอ่อนอยู่ หรือที่แกนกลางฝัก (ซัง) ยงั ไม่ แข็งแรง การดูแลรักษาทั่วไปจึงไม่ต่างจากข้าวโพดฝักสดอื่นๆ ยกเว้นการใส่ปุ๋ย การป้องกันกำจัดโรค และแมลง การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษาหลังการเก็บเก่ียวและการใช้ประโยชน์ นอกจากน้ี ยังเป็นพืชท่ีม ี ความสำคญั ทางเศรษฐกจิ เพราะมลู คา่ การสง่ ออกขา้ วโพดฝกั ออ่ นบรรจกุ ระปอ๋ งเพม่ิ ขน้ึ ทกุ ปี ขา้ วโพดฝกั ออ่ น เปน็ พชื ทม่ี อี ายเุ กบ็ เกยี่ วสน้ั และสามารถปลกู ไดป้ ลี ะหลายครงั้ พนั ธข์ุ า้ วโพดฝกั ออ่ นสามารถแบง่ ตามวธิ กี ารผลติ พันธไ์ุ ด้เป็น 2 ประเภท ได้แก ่ 1. พนั ธุ์ผสมเปิด ซงึ่ ไม่มกี ารควบคมุ การผสมเกสรในการผลิตเมลด็ พันธ์ุ มีเพยี งการคดั เลอื กตน้ ที่ ไม่ต้องการท้ิงไปก่อนออกดอก สามารถเก็บเมล็ดเพื่อใช้เป็นพันธ์ุในฤดูต่อไปได้ 2-3 รุ่น โดยผลผลิตลดลง เพียงเล็กน้อย พันธุ์ประเภทนี้จะมีขนาดฝักและลักษณะต่างๆ ไม่ค่อยสม่ำเสมอ ดังนั้น ผลผลิตจึงมักไม่เป็น ทตี่ อ้ งการของโรงงานอุตสาหกรรมแตส่ ามารถส่งขายตลาดสดได้ อาทพิ นั ธุ์รงั สติ 1 พนั ธ์เุ ชียงใหม่ 90 2. พันธุ์ลูกผสม เป็นพันธ์ุท่ีเกิดจากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้ท่ีผ่านการคัดเลือกแล้ว การผลิตเมล็ดพันธุ์ต้องมีการควบคุมการผสมเกสร และผลผลิตของสายพันธ์ุแท้ค่อนข้างต่ำ ทำให้ราคา เมล็ดพันธุ์สูงกว่าพันธุ์ผสมเปิดมาก และไม่สามารถเก็บเมล็ดไว้ทำพันธ์ุต่อได้ แต่จะมีลักษณะต่างๆ เช่น ลำต้น ขนาด และสีของฝักสม่ำเสมอ อีกทั้งให้ผลผลิตสูงเป็นท่ีต้องการของโรงงาน ได้แก่ พันธุ์ G5414, G5445, NTB017, NTB018, Pacific16, Pacific421, Baby1, B50, IB991, CNB0308, CNB0305 และ SXB 28 ปจั จยั จำเป็นท่ตี อ้ งใช ้ พื้นท่ีปลูกข้าวโพดฝักอ่อนควรอยู่ในเขตชลประทานหรือใกล้แหล่งน้ำสะอาด ที่สามารถระบายน้ำ ไดด้ ี ขา้ วโพดฝกั ออ่ นสามารถปลกู ไดใ้ นดนิ แทบทกุ ชนดิ โดยเฉพาะดนิ ทมี่ กี ารระบายนำ้ ดี ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ ง ของดิน (pH) อยู่ระหว่าง 6.5-7.0 มีอินทรีย์วัตถุสูงกว่า 1.5% มีฟอสฟอรัสไม่ต่ำกว่า 20 ส่วนในล้าน มีโพแทสเซียมไม่ต่ำกว่า 100 ส่วนในล้านส่วน โดยท่ัวไปข้าวโพดเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูม ิ 10-40 องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิท่ีเหมาะท่ีสุดคือ 27 องศาเซลเซียส มีอุณหภูมิกลางวันสูงและ กลางคนื ตำ่ มแี สงแดดจดั การออกดอกจะเรว็ ขน้ึ ถา้ ปลกู ในฤดทู มี่ คี วามยาวของกลางวนั นอ้ ยกวา่ 12 ชว่ั โมง ขั้นตอนการดำเนนิ งาน 1) ฤดูปลูก สามารถปลูกข้าวโพดได้ตลอดปีถ้ามีน้ำ แต่ท่ีปลูกกันมากก็คือ ในช่วงฤดูฝน สว่ นฤดูอ่นื ๆ จะสามารถปลกู ไดใ้ นแหลง่ ท่มี รี ะบบการชลประทานดี หรือมีแหลง่ นำ้ อดุ มสมบรู ณ ์ 2) การเตรียมดิน ไถดะ 1 ครั้ง ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แล้วทำการไถแปร หรือ พรวนดนิ ให้ร่วนอกี 1-2 ครง้ั จากน้นั จดั ทำร่องหรอื แถวปลูก 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 37
3) การปลูกและระยะปลูก ระยะปลูกข้าวโพดฝักอ่อนท่ีเหมาะสม คือ ระยะห่างระหว่างแถว 50 เซนติเมตร หยอดเมล็ดพันธุ์ หลุมละ 3 ต้น หรือระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระหว่างหลุม 25 เซนติเมตร หลุมละ 2 ต้น โดยปลูกลึกประมาณ 3-4 เซนติเมตร ไม่ควรหยอดเมล็ดลึกเกินไป เพราะจะทำให้เมล็ดงอกช้า แต่ถ้าหากหยอดตืน้ เกินไป เมลด็ จะไม่งอก และอาจถูกทำลายโดยนกและหนไู ด้ ถ้าเป็นดินเหนียวควรหยอดเมล็ดให้ตื้นกว่าดินทรายเล็กน้อย ถ้าใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เช่น พนั ธเุ์ ชียงใหม่ 90 รังสิต 1 จะใชเ้ มล็ดพันธ์ุประมาณ 5 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ สำหรบั เมลด็ พนั ธหุ์ วานจะใชป้ ระมาณ 3 กิโลกรัมตอ่ ไร่ จะไดต้ น้ ข้าวโพดประมาณ 19,000 ต้นตอ่ ไร่ แตถ่ ้าปลกู แบบยกรอ่ งจะได้เพียง 14,600 ต้น ตอ่ ไร่ เพราะตอ้ งหกั พ้ืนท่ีของร่องนำ้ และทางเดนิ ออก 4) การใส่ปุ๋ย ข้าวโพดฝักอ่อนมีการสะสมธาตุอาหารหลักในส่วนของฝักอ่อนมากกว่าส่วนอ่ืนๆ ความต้องการธาตุอาหารจึงมีผลอย่างย่ิงต่อความสมบูรณ์ของฝัก ในดินท่ีมีความสมบูรณ์ต่ำควรใช้ปุ๋ยเคมี ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 1-2 ตันต่อไร่ 75-100 กิโลกรัมต่อไร่ รองก้นหลุมตอนปลูก และ ปุ๋ยไนโตรเจนอตั รา 10-15 กโิ ลกรมั ต่อไร่ โรยขา้ งแถวเมื่อมีอายุ 25-30 วัน ในดนิ ทม่ี คี วามอดุ มสมบูรณส์ ูงใน ปุ๋ยไนโตรเจนอยา่ งเดียวอตั รา 20 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ แบง่ ใส่ 2 ครงั้ ในขั้นเตรียมดิน และเมอื่ อายุ 25 วนั ควรใส่ 1-2 คร้งั ทัง้ นีข้ ้ึนอย่กู ับความอุดมสมบรู ณข์ องดิน 5) การให้น้ำ ข้าวโพดฝักอ่อนเป็นพืชท่ีต้องการน้ำมากต้ังแต่วันปลูกจนเสร็จสิ้นการเก็บเกี่ยว หากขาดนำ้ ฝกั ออ่ นจะมลี กั ษณะผดิ ปกติ อาทิ ผอม ลบี ซงั แหง้ หวั โต ดงั นนั้ ควรใหน้ ำ้ ทกุ วนั แตค่ รงั้ ละไมม่ าก ทำเช่นเดียวกับการให้น้ำผักและเว้นระยะห่างขึ้น เม่ือต้นใหญ่สมบูรณ์ดีแล้ว ควรหม่ันสังเกตต้นข้าวโพด อยา่ ปลอ่ ยให้เหีย่ ว ศตั รูขา้ วโพดทคี่ วรระวัง 1) โรคสำคัญของข้าวโพดฝักอ่อน ได้แก่ โรคราน้ำค้าง โรคใบไหม้แผลเล็ก โรคราสนิม โรคโคนเนา่ ทเี่ กิดจากแบคทเี รีย 2) แมลงศตั รพู ชื ไดแ้ ก่ มอดดนิ หนอนกระทหู้ อม หนอนเจาะลำตน้ ขา้ วโพด หนอนเจาะฝกั ขา้ วโพด 3) วัชพืชในตระกูลหญ้าใบแคบ อาทิ หญ้านกสีชมพู หญ้าตีนนก หญ้าปากควาย หรือตระกูล หญา้ ใบกว้าง อาทิ ผกั โขม ผักเบย้ี หิน หญ้ายาง เทยี นนา หรอื ตระกลู กก อาทิ แห้วหม ู ผลผลติ ข้นึ อยู่กับพนั ธ์ทุ เ่ี ลือกใช้และรายละเอียดตามข้นั ตอนการดำเนินงาน ตลาด และผลตอบแทน พนั ธลุ์ กู ผสมจะใหผ้ ลผลติ สงู กวา่ มรี าคาดกี วา่ และเปน็ ทตี่ อ้ งการของโรงงานมากกวา่ ขา้ วโพดฝกั ออ่ น มีอายุเก็บเก่ียวส้ัน เพียง 60 วัน นับจากวันปลูกถึงวันส้ินสุดการเก็บเก่ียว นอกจากนี้ ต้นข้าวโพด ยังสามารถนำไปเล้ียงโคนม และทำปุ๋ยหมักได้ มาตรฐานการรับซื้อ การปลูกข้าวโพดฝักอ่อนเพอื่ อุตสาหกรรมหรอื ส่งออกฝักสดนั้น สิ่งทส่ี ำคัญทส่ี ดุ คอื คุณภาพ และ ปริมาณของผลผลิต ทำอย่างไรให้ได้มาตรฐานมากท่ีสุด ดังนั้น เกษตรกรควรศึกษาข้อมูลต่างๆ ก่อนปลูก ซงึ่ มขี อ้ ทเี่ กษตรกรควรคำนงึ ถงึ ดงั นี้ ขนาดของขา้ วโพดฝกั ออ่ น เพอ่ื สง่ โรงงานอตุ สาหกรรม จำแนกเปน็ 3 เกรด คอื ฝักมีความยาว 9-13 เซนติเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-1.8 เซนติเมตร (L), ฝักมีความยาว 7-9 เซนติเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2-15 เซนติเมตร (M), ฝักมีความยาว 4-7 เซนติเมตร และมี เสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 1.0-1.2 เซนติเมตร (S), ซง่ึ ส่วนใหญโ่ รงงานจะผลติ เกรด S, M มากกวา่ L 38 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การผลติ หน่อไม้ฝรง่ั หนอ่ ไมฝ้ รง่ั เปน็ พชื ผกั ทม่ี ศี กั ยภาพในการสง่ ออก มแี นวโนม้ ในการสง่ ออกทดี่ ี โดยเฉพาะการสง่ ออก ผลผลิตสด และยังเป็นพืชผักทางเลือกอีกชนิดหนึ่งของเกษตรกรที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยมีการส่งเสริม ในรูปแบบครบวงจร เพาะปลูกมากในเขตจังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี โดยตลาดต่างประเทศ ท่สี ำคญั คือ ประเทศญปี่ ุ่น รองลงมาได้แก่ ตลาดยโุ รป และตลาดในแถบเอเซีย ปจั จยั ที่สำคญั 1. การเตรยี มเมล็ดพนั ธ ์ุ ควรซ้ือเมล็ดพนั ธท์ุ ผ่ี ลติ มาจากบริษัทเจา้ ของพันธุ์ และซือ้ กับบริษทั ทจ่ี ำหนา่ ยเมล็ดพันธุ์ ซง่ึ จะ สามารถปลกู ได้ ประมาณ 2-4 ไร่ ใช้พน้ื ทีเ่ พาะกล้าประมาณ 500-600 ตารางเมตร อย่างไรก็ตามในปัจจบุ นั มกี ารใช้เทคนิคการเพาะเลย้ี งเนอื้ เยื่อในการผลติ ตน้ กล้าหน่อไม้ฝร่ัง เพื่อใชใ้ นการปลกู ซงึ่ เปน็ วธิ กี ารทท่ี ำให้ ได้ต้นกล้าท่ีแขง็ แรง ตรงตามพันธ์ุ แตม่ ีขอ้ ระวงั คือตอ้ งการคดั ต้นพันธ์ุ (Clone) ทด่ี ีเพือ่ นำมาขยายพนั ธุ์ต่อ 2. การเตรียมแปลงเพาะกล้า ควรเป็นทโ่ี ล่งแจง้ ใกล้แหล่งนำ้ ไมม่ ีนำ้ ท่วมขงั มีความเปน็ กรดเป็นด่างของดนิ (pH) ประมาณ 6.5-7.0 ปราศจากวชั พชื ในการเพาะกลา้ ขนาด 1 ไร่ ใหเ้ ตรยี มแปลงเพาะขนาด 1x10 เมตร จำนวน 8 แปลง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์จำนวน 30 กิโลกรัม (ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักตามความเหมาะสม) และปูนขาว 1 กิโลกรัมต่อแปลงเพาะ คลุกเคล้าให้ทั่ว เกลี่ยดินบนแปลงให้เรียบและใช้ไม้ทำร่องลึก 1-2 เซนติเมตร ตามแนวขวางของแปลง แต่ละร่องหา่ งกนั ประมาณ 20-25 เซนติเมตร 3. วัสดปุ รบั ปรงุ ดิน มหี ลายชนิดขึ้นอยู่กับสภาพดินท่ใี ช้ในการเพาะกลา้ ควรเลือกใชด้ ังน ้ี 3.1 ปุ๋ยอนิ ทรยี ์ 3.2 ปูนขาว 3.3 สารสกัดจากธรรมชาตทิ ่มี ีฤทธ์กิ ำจัดโรครา 3.4 สารสกดั จากธรรมชาตทิ ม่ี ฤี ทธ์กิ ำจดั แมลงซึ่งปลอดภัยตอ่ ทงั้ ผ้บู ริโภคและผ้ปู ลกู 3.5 แกลบ ฟาง 3.6 บวั รดนำ้ 3.7 อปุ กรณ์การเตรยี มแปลง จอบ คราด ไมป้ าดแปลง ไมช้ ักร่อง 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 39
ขน้ั ตอนการดำเนินงาน 1. การเพาะกล้าหน่อไม้ฝร่ัง นำเมล็ดมาหยอดลงในรอ่ งทเ่ี ตรียมไว้จดุ ละ 1 เมล็ด หา่ งกันประมาณ 10-15 เซนตเิ มตร กรณี มีมดหรือแมลงให้โรยทับด้วยปูนขาวบางๆ จากนั้นกลบดินในร่องบางๆ แล้วใช้ฟางคลุมทับบนแปลงหนาพอ ประมาณ ใช้สารสกัดจากธรรมชาติที่มีฤทธ์ิในการลดเชื้อราใส่บัวรดน้ำราดให้ทั่ว จากน้ันรดน้ำตามให้ชุ่ม ระยะแรกๆ ต้องรดน้ำให้บ่อยครั้ง อย่าปล่อยให้แปลงแห้งประมาณ 10-15 วัน ต้นกล้าจะเร่ิมงอกเปิดฟาง ออกให้เหลือฟางเพียงบางๆ เพอื่ ให้ตน้ กล้างอกสะดวก ในช่วงตน้ การให้ปยุ๋ จะต้องให้อยา่ งต่อเนื่องทุกเดอื น 2. การยา้ ยกลา้ หนอ่ ไม้ฝร่ัง หลังจากท่ีกล้ามีอายุได้ 4-6 เดือน ต้นกล้าจะมีความแข็งแรง และมีอัตราการรอดตายสูง ก่อนย้ายต้องงดให้น้ำในแปลงกล้า 2 อาทิตย์ เพื่อให้รากมีความเหนียว ก่อนถึงวันกำหนดย้ายกล้า 2-3 วัน ควรใหน้ ำ้ เพ่ือให้ดินอ่อนตัวจะได้ทำการขุดได้ง่าย ควรตัดลำต้นเหนือดินออกโดยเหลือความสูงไว้ประมาณ 15-20 เซนติเมตร ก่อนย้าย 1 วัน จะต้องให้น้ำในแปลงปลูกที่เตรียมไว้เพื่อให้ดินมีความช้ืนเพียงพอ ใชร้ ะยะปลกู ระหวา่ งตน้ ควรหา่ ง 50 เซนติเมตร ระหวา่ งแถวควรห่าง 120-150 เซนตเิ มตร 3. การดแู ลรกั ษา การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ การให้น้ำต้นกล้าท่ีย้ายลงแปลงใหญ่ โดยปกติจะให้น้ำ วนั เว้นวนั หลังจากกล้าต้ังตัวไดแ้ ลว้ ให้ 3-5 วนั ต่อครั้ง โดยให้ดูความชน้ื ในดนิ ประกอบด้วย การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยคอกรองพ้ืนปริมาณ 2-3 ตันต่อไร่ พร้อมท้ังใส่สารสกัดจากธรรมชาต ิ อยา่ งตอ่ เน่ืองอีก 3 ระยะคือ - ระยะเจรญิ เตบิ โต หลงั ปลกู 1 เดือน - ระยะให้ผลผลิต ให้ใสป่ ุ๋ยเพื่อใหห้ นอ่ ไม้ฝรง่ั สมบรู ณ์ ไม่บานเรว็ - ระยะฟักตัว การไวต้ น้ แมเ่ หนือดิน เม่ือต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุมากขึ้น บริเวณกอจะแน่น ควรมีการตัดแต่งยอดและแต่งก่ิงแขนงต้น ออกบ้าง การทำราวค้ำต้น ควรทำราวค้ำต้น เมื่ออายุประมาณ 4 เดือนหลังย้ายปลูก โดยวัสดุท่ีใช้ทำราวต้องแข็งแรง จำนวนชน้ั ของราวต้องเหมาะสมกบั ความสงู เพ่ือค้ำตน้ แม่ การพรวนดิน ในช่วงแรกหลังจากย้ายปลูก ให้ทำการพรวนดินกลบโคน หลังจากน้ัน ควรจะ ทำทกุ 3-4 เดอื นต่อคร้ัง พร้อมกบั การเตมิ ปุ๋ยอนิ ทรยี ์ การพกั ตน้ เมือ่ เรม่ิ เก็บผลผลติ หนอ่ ไมฝ้ รัง่ อยา่ งตอ่ เนือ่ งประมาณ 60 วนั ผลผลิตจะเริ่มลดลง จำเปน็ ตอ้ งตัดแตง่ และพกั ต้นไว้ พรอ้ มงดการเกบ็ เกีย่ วและการถอนแยกต้นแม่ทิง้ ทงั้ หมด รอให้ต้นใหม่งอก เปน็ ระยะเวลาประมาณ 30 วนั จึงเริ่มทำการเก็บเกีย่ วอกี คร้งั 4. การเกบ็ เก่ียวและการจดั การหลงั การเกบ็ เกี่ยว เกษตรกรสามารถเก็บเกยี่ วไดห้ ลังจากยา้ ยปลูกแลว้ 4-6 เดอื น หนอ่ ทเี่ กบ็ เกยี่ วได้ควรมีขนาด เสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง 0.8-1 เซนติเมตร ในปริมาณ 30% ของจำนวนตน้ ท้งั หมด ใหท้ ำการถอน โดยจับบรเิ วณ โคนหนอ่ ท่ีตดิ กับดินในลักษณะทถี่ นดั แลว้ ดงึ หนอ่ ข้นึ จากดนิ แล้วรบี นำหน่อไม้ฝร่ังวางไวใ้ นทรี่ ่ม ไมต่ ากแดด และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวกทำความสะอาดโคนหน่อด้วยน้ำสะอาด แล้วนำหน่อไม้ฝร่ังมาเรียงให้ ปลายหนอ่ เสมอกนั และตัดสว่ นโคนทยี่ าวไม่เท่ากันออกด้วยมดี คมๆ หลงั จากนน้ั ให้คดั เกรด แลว้ รดั หน่อดว้ ย หนงั ยาง เรียงผลผลติ ให้ตั้งยอดหน่อขึ้น เพอื่ ปอ้ งกนั หน่องอ บรรจใุ ช้ตะกร้าพลาสตกิ ที่รองดว้ ยแผน่ ฟองน้ำท่ี สะอาด คลุมด้วยผา้ ขาวบางหรือฟองน้ำอีกชั้นดา้ นบน และขนสง่ มายงั จดุ รวบรวมผลผลติ อย่างรวดเรว็ 40 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
ผลผลิตหน่อไมฝ้ ร่งั ทม่ี คี ุณภาพ ควรมีลักษณะดงั น้ ี 1. หน่อตรง ไมค่ ดงอ หรือแคระแกรน็ 2. ปลายหนอ่ ต้องแนน่ ไม่บาน (ไม่มีช่อใบโผล่พน้ กาบหุม้ ใบ) 3. ความยาวของหน่อ 25 เซนติเมตร โดยมีส่วนเขียวไม่น้อยกว่า 19-25 เซนติเมตร (ข้ึนอยู่กับความเข้มงวดของการรับซื้อผลผลิตของแต่ละบริษัท ท้ังน้ีต้องคำนึงถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ หนอ่ ไม้ฝร่ังตอ้ งเขา้ เกณฑม์ าตรฐานด้วย) 4. ขนาดของหน่อไม้ฝรง่ั แตล่ ะเกรดมีความสม่ำเสมอ 5. ต้องสะอาด ปราศจากโรคและแมลง ตน้ ทนุ และผลตอบแทน 35,000 บาทตอ่ ไร ่ ตน้ ทนุ การผลิตเฉลีย่ ปีท่ี 1 ผลตอบแทนเฉลยี่ 33,000 บาทตอ่ ไร่ ตน้ ทุนการผลติ เฉล่ยี ปที ี่ 2 เปน็ ต้นไป 53,000 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนสุทธิเฉล่ยี 87,000 บาทตอ่ ไร่ แหลง่ ข้อมูล : กลมุ่ ส่งเสริมการผลิตผกั สว่ นสง่ เสรมิ การผลติ ผัก ไม้ดอกไมป้ ระดบั และพชื สมนุ ไพร สำนักสง่ เสริม และจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสรมิ การเกษตร 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 41
การผลิตตะไคร้ ตะไคร้ เป็นพืชเครื่องเทศ/สมุนไพรอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในการประกอบอาหารไทยหลายชนิด ไม่ว่า จะเป็นอาหารจำพวกยำ หรือแกงต่างๆ หรือแม้แต่ต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นอาหารท่ีคนรู้จักกันท่ัวโลกก็ยังมีตะไคร้ เป็นส่วนประกอบ และในปัจจุบันได้มีบริษัทอุตสาหกรรมบางแห่งได้ผลิตเครื่องปรุงอาหารไทยสำเร็จรูป เพอ่ื วางจำหนา่ ยทว่ั ไปตามหา้ งสรรพสนิ คา้ ตา่ งๆ และสง่ ออก ทำใหเ้ หน็ ไดว้ า่ ตะไครย้ งั มโี อกาสในการทำตลาดได้ แตท่ ้งั น้ีผลผลติ ต้องมีปริมาณและคุณภาพตรงตามทต่ี ลาดตอ้ งการดว้ ย ซึ่งเกษตรกรจำเปน็ ตอ้ งมกี ารวางแผน การผลติ และการตลาดเปน็ อยา่ งดี 1. การขยายพนั ธ ์ุ สามารถขยายพนั ธ์โุ ดยการแยกหน่อหรือเหงา้ ไปปลกู 2. การเตรยี มแปลงปลูก โดยการไถดนิ ตากกอ่ นประมาณ 7 วนั เพอ่ื กำจดั วชั พชื โรคและแมลงในดนิ ตามดว้ ยการไถพรวน เพ่ือยอ่ ยดนิ การยกรอ่ งทำแบบเดียวกับการปลูกพืชโดยทวั่ ๆ ไป ระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 50x50 เซนติเมตร แล้วนำส่วนของหน่อหรือเหง้าลงปลูกระหว่าง ขา้ งร่อง หรอื กลางร่อง หลมุ ละประมาณ 1-2 ตน้ โดยปักใหเ้ อยี ง 45 องศาเซลเซยี ส ในพ้ืนที่ 1 ไร่ จะใชห้ นอ่ หรอื เหงา้ ประมาณ 6,400–12,800 ต้น แลว้ แตร่ ะยะหา่ งระหวา่ งเหงา้ 3. การใหน้ ำ้ สามารถทำได้ 2 แบบ คือให้นำ้ แบบสปรงิ เกอร์ และปลอ่ ยน้ำไหลเข้าร่องพอให้ดินเปยี ก การใหป้ ยุ๋ หลงั จากปลกู ประมาณ 20-50 วนั ใสป่ ยุ๋ เมอ่ื ตะไครเ้ รม่ิ มกี ารแตกกอในชว่ งตง้ั แต่ 120-150 วนั ใส่ปุ๋ย สตู รเดมิ เดือนละครัง้ เพ่ือเรง่ การเจริญเติบโตสว่ นของเหงา้ และใบ 4. การดูแลรักษาตะไคร้ ตะไคร้เป็นพืชท่ีทนต่อโรคแมลง และทนแล้งได้ดีซึ่งง่ายต่อการดูแล ปัญหาท่ีมักพบกับ ต้นตะไคร้บ้าน คือ หนอนกอเข้าทำลายในระยะต้นกำลังเจริญเติบโต อย่างไรก็ตามสามารถป้องกันได้ด้วย การกำจดั วชั พืชในแปลงให้สะอาด และดูแลใหต้ น้ ตะไคร้แข็งแรงโดยการใสป่ ุ๋ยบำรุงดิน 5. การวางแผนการผลติ ตอ่ การตลาด จัดประชุมวางแผนการผลิตและการตลาดในท้องถ่ิน เพื่อกำหนดทางเลือกในการจำหน่าย ผลผลิตของกลมุ่ กอ่ นปลกู โดยประสานกับผรู้ ับซื้อท่ีมอี ยู่ในทอ้ งถิ่นหรือลกู ค้าเปา้ หมายของกลมุ่ 42 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
6. ผลผลิต (ผลผลิตสด) เร่มิ ใหผ้ ลผลิตไดห้ ลังปลูก 90 วัน (ผลผลติ 2 ตนั ตอ่ ไร่ตอ่ ป)ี 7. ตลาดและผลตอบแทน เรมิ่ ให้ผลผลติ เก็บเกีย่ วไดห้ ลงั ปลกู 90 วนั (ผลผลติ 2 ตันตอ่ ไร่ตอ่ ปี) ตน้ ทนุ การผลติ และผลตอบแทน 2,585 บาทต่อไร 1 บาทต่อไร่ 2,000 กิโลรัมต่อไร 1 กิโลกรมั ต่อไร่ - ต้นทุนการผลติ บาทต่อกิโลกรมั - ผลผลิตเฉลีย่ 4-6 บาทต่อกิโลรัม 1 - ราคาทเี่ กษตรกรขายได้ 10,000 บาทต่อไร่ 1 บาทต่อไร ่ - รายไดร้ วม 7,415 บาทต่อไร 1 บาทต่อไร ่ - รายได้สทุ ธ ิ การวิเคราะหผ์ ลตอบแทนการลงทนุ ผลิตตะไครต้ อ่ ไร่ รายไดต้ ่อกำไรตอ่ อัตราผลตอบแทน ทางเกษตรกรขายผลผลติ ไดร้ าคา ปรมิ าณ ผลผลติ 2 บาทตอ่ กโิ ลกรัม 3 บาทตอ่ กิโลกรัม 4 บาทต่อกโิ ลกรมั 5 บาทต่อกิโลกรัม (กโติตลอ่อ่ กไปรร ีมั ่ ) ร(บายา ทได) ้ (กบำา ไทร) ต(รอออ้บผตัยแลรลท าะ น) ร(บายา ทได) ้ (กบำา ไทร) ต(รอออ้บผตัยแลรลท าะ น) ร(บายา ทได) ้ (กบำา ไทร) ต(รอออ้บผตัยแลรลท าะ น) ร(บายา ทได) ้ (กบำา ไทร) ต(รอออ้บผตัยแลรลทา ะ น) 1,500 3,000 -760 -20.21 4,500 740 19.68 6,000 2,240 59.57 7,500 3,740 99.47 2,000 4,000 240 6.38 6,000 2,240 59.57 8,000 4,240 112.77 10,000 6,240 165.96 2,500 5,000 1,240 32.98 7,000 3,740 99.47 10,000 6,240 165.96 12,500 8,740 232.45 3,000 6,000 2,240 59.57 9,000 5,240 139.36 12,000 8,240 219.15 15,000 11,240 298.94 หมายเหตุ : กำหนดให้ตน้ ทนุ การผลติ ตอ่ ไร่เท่ากับ 3,760 บาท 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 43
การผลิต ผักปลอดภัยจากสารพิษ ผัก เป็นพืชอาหารท่ีคนไทยนิยมรับประทานกันมาก เน่ืองจากให้คุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ ตอ่ รา่ งกายสงู แตค่ า่ นยิ มในการบรโิ ภคนน้ั มกั จะเลอื กบรโิ ภคผกั ทสี่ วยงาม ไมม่ รี อ่ งรอยการทำลายของหนอน และแมลงศัตรูพืช จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกผักต้องใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดแมลงในปริมาณที่มาก ทำให ้ ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว การปลูกผักปลอดภัย จากสารพษิ โดยการนำเอาวิธกี ารป้องกันและกำจัดศัตรพู ชื หลายวิธีมาประยกุ ต์รวมกัน จงึ เปน็ ทางเลือก สำหรบั ความปลอดภัยของเกษตรกร ผ้บู ริโภคและสิง่ แวดล้อม ผักปลอดภัยจากสารพิษ หมายถึง ผลผลิตพืชผักท่ีไม่มีสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชตกค้างอย ู่ หรือมีการตกค้างอยู่ไม่เกินระดับมาตรฐานท่ีกระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับท่ี 288 พ.ศ. 2548 ลงวันท่ี 17 มกราคม 2548 เรอื่ งอาหารทีม่ สี ารพิษทต่ี กค้าง ปัจจัยทจ่ี ำเปน็ พ้นื ทีป่ ลูก พนั ธุ์ ปุย๋ วัสดปุ ้องกนั กำจัดศัตรูพืช (เช่น กับดัก กาวเหนียว กบั ดกั แสงไฟ วัสดคุ ลุมดิน สารชวี ภณั ฑ์ สมนุ ไพรปอ้ งกันกำจัดศัตรูพืช ฯลฯ) โรงเรอื นมงุ้ ตาขา่ ย ฯลฯ ขนึ้ กับวิธีที่เลือกใช้ ขัน้ ตอนการดำเนนิ งาน 1. การเลือกพืน้ ทป่ี ลูกใหเ้ หมาะสม ควรเป็นพ้ืนที่ราบ สม่ำเสมอ ไม่มีน้ำท่วมขัง ระบายน้ำได้ดี ใกล้แหล่งน้ำท่ีสะอาด และมีน้ำ เพยี งพอตลอดฤดูปลูก 2. การเตรยี มพันธ ์ุ เลือกใช้พันธุ์ที่ตา้ นทานศัตรูพชื และปลอดเชือ้ โรค กรณีทีใ่ ชเ้ มล็ดพันธ์ุควรดำเนนิ การดังนี้ 2.1 คดั แยกเมล็ดทีเ่ สียออก 2.2 แช่เมล็ดในน้ำอุ่น ท่ีอุณหภูมิ 50-55 องศาเซลเซียส นาน 15-30 นาท ี เพ่อื ลดปริมาณเชอ้ื โรคท่ีตดิ มากับเมล็ดพนั ธุ์ และถ้ามเี มลด็ บางส่วนลอยข้นึ มาใหน้ ำไปท้งิ เนอ่ื งจากเปน็ เมล็ด ท่ไี มไ่ ด้คณุ ภาพ 3. การเตรียมดนิ ไถและพรวนดินให้ละเอียด โดยไถดะลึก 1 ครั้ง และตากดินไว้ไม่น้อยกว่า 7 วัน และไถพรวนดินอกี 1 ครัง้ แลว้ ยกร่องตากดินประมาณ 7 วนั เพ่ือกำจัดแมลงและเช้อื โรคท่ีอย่ใู นดิน 44 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
4. การปรับปรงุ ดินแปลงปลูก ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่นปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ โดยคลุกเคล้าให้ทั่วแปลงเปน็ เน้ือเดียวกันกับดิน และควรมีการปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดินให้อยู่ในสภาพท่ีเหมาะสม โดยใชป้ นู ขาวหรือปูนมาร์ลอตั รา 200-300 กโิ ลกรัมต่อไร่ โดยหว่านใหท้ ั่วแล้วคลุกเคล้ากบั ดิน 5. การปลกู และดูแลรกั ษา ระยะปลกู ควรปลกู ผกั ใหม้ รี ะยะหา่ งพอสมควร อยา่ ใหแ้ นน่ เกนิ ไป เพอ่ื ใหม้ กี ารระบายอากาศทด่ี ี การใส่ปุ๋ย ธาตุอาหารส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วในดิน แต่ธาตุไนโตรเจนและโพแตสเซียมจะถูก ชะลา้ งไดง้ า่ ย ดงั นนั้ จะตอ้ งใหป้ ยุ๋ ทง้ั สองในระหวา่ งการเจรญิ เตบิ โตของผกั แตอ่ ยา่ ใหช้ ดิ โคนตน้ โดยใสค่ รงั้ แรก หลังปลูกผักไปแล้ว 3 สัปดาห์ และครั้งท่ี 2 ใส่หลังจากคร้ังแรก 2-3 สัปดาห์ หรือเมื่อผักเร่ิม ออกดอกตดิ ผล เมือ่ ใส่ป๋ยุ แล้วให้พรวนดินกลบและรดนำ้ การควบคุมวัชพืช การควบคุมวัชพืชอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดี เช่น การคลุมดิน โดยฟางข้าวหรือพลาสติกสเี ทาเงนิ จะช่วยรกั ษาความชนื้ ในดนิ และบงั แสงสวา่ งทำใหเ้ มล็ดวชั พชื โตช้า 6. การปอ้ งกนั กำจัดศตั รพู ืชแบบผสมผสาน เพื่อให้การปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ ควรใช้วิธีการป้องกัน และกำจัดศัตรูพืชหลายๆ วิธี ผสมผสานกัน ดังนี ้ 6.1 การใชก้ ับดักกาวเหนยี ว กับดักชนิดนี้ไม่มีสี ไม่มีกล่ิน และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมใช้ในการควบคุมปริมาณ ตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูพืช โดยทั่วไปนิยมใช้กาวเหนียวทาบนวัสดุท่ีมีสีเหลือง เช่น แผ่นพลาสติกหรือ กระป๋องน้ำมันเคร่ือง ควรติดต้ังในแปลงผักให้สูงกว่ายอดผักประมาณ 30 เซนติเมตร โดยจะใช้ประมาณ 60-80 กบั ดกั ต่อไร ่ 6.2 การใช้กบั ดักแสงไฟ เปน็ การใชแ้ สงไฟจากหลอดฟลอู อเรสเซนต์ (หลอดนอี อน) หรอื หลอดแบลค็ ไลทล์ อ่ แมลง ในเวลากลางคืนให้มาเล่นไฟ และตกลงไปในภาชนะที่บรรจุน้ำมันเคร่ือง หรือน้ำท่ีรองรับอยู่ด้านล่าง ควรติดตั้งประมาณ 2 จุดต่อไร่ โดยติดให้สูงจากพื้นดิน 150 เซนติเมตร และให้ภาชนะรองรับอยู่ห่างจาก หลอดไฟ 30 เซนตเิ มตร และควรปดิ สว่ นอน่ื ๆ ทจี่ ะทำใหแ้ สงสวา่ งสอ่ งกระจายเปน็ บรเิ วณกวา้ งเพอ่ื ไมใ่ หล้ อ่ แมลง จากทอ่ี นื่ เขา้ มาในแปลง 6.3 การใชพ้ ลาสติกหรือฟางข้าวคลมุ แปลงปลกู เป็นการควบคุมปริมาณวัชพืชและเก็บรักษาความชื้นในดินไว้ได้นาน และเป็นการ ประหยัดน้ำที่ใช้รดแปลงผัก ควรใช้กับพืชที่มีระยะปลูกแน่นอน ควรใช้พลาสติกสีเทา-เงินสำหรับแปลงท่ีมี การระบาดของเช้ือไวรัสท่มี ีเพลีย้ ออ่ นหรือแมลงเป็นพาหะ 6.4 การปลกู ผกั ในโรงเรอื นม้งุ ตาขา่ ยไนล่อน พ้ืนท่ีท่ีใช้ควรเป็นพ้ืนท่ีท่ีสามารถปลูกผักได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี เพ่ือเป็นการ ได้คุ้มค่าต่อการสร้างโรงเรือนและการใช้ตาข่ายไนล่อน โครงสร้างโรงเรือนอาจทำด้วยไม้หรือเหล็กก็ได ้ สว่ นตาขา่ ยทใี่ ชจ้ ะเปน็ ตาขา่ ยไนลอ่ นสขี าวขนาด 16 ชอ่ งตอ่ ความยาว 1 นวิ้ วธิ ดี งั กลา่ วสามารถปอ้ งกนั ไดเ้ พยี ง หนอนผีเส้ือ และด้วงหมัดผักเท่าน้ัน หากต้องการป้องกันแมลงชนิดอ่ืนๆ อาทิ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ หนอน แมลงวันชอนใบ แมลงหว่ีขาว ไร ตอ้ งใช้มงุ้ ไนล่อนความถข่ี นาด 24 หรือ 32 ชอ่ งต่อน้ิว แต่อาจมีปญั หาเรอ่ื ง อุณหภูมิและความชื้นภายในมุ้ง ประเภทผักท่ีเหมาะสมกับการปลูกในโรงเรือนมุ้งไนล่อน ได้แก่ คะน้า ผกั กาดขาว กวางตงุ้ ฮอ่ งเต้ ตงั้ โอ๋ ปวยเลง้ ขนึ้ ฉา่ ย กะหลำ่ ดอก บลอ็ กโคล่ี ถว่ั ฝกั ยาว มะเขอื เปราะ ถว่ั ลนั เตา ฯลฯ 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 45
6.5 การควบคมุ โดยวิธี เป็นการใช้ส่ิงมีชีวิตควบคุมศัตรูพืช ซ่ึงได้แก่ แมลงตัวห้ำ ตัวเบียน ท่ีทำลายแมลง ศตั รูพชื ชนิดอนื่ ๆ หรืออาจใช้สิง่ มีชวี ติ ขนาดเลก็ เช่น เช้อื บกั เตรี เชอื้ ไวรสั เชอ้ื รา ไส้เดอื นฝอย 6.6 การใช้สารสกดั จากพชื พืชท่ีนิยมนำมาใช้เป็นสารสกัดควบคุมโรคและแมลง คือ สะเดา เน่ืองจากม ี “สารอะซาดแิ รคตนิ ” ซ่ึงมีคณุ สมบตั ใิ นการป้องกนั และกำจดั แมลงได้โดยสามารถใช้ฆ่าแมลงได้บางชนดิ l ใชเ้ ป็นสารไล่แมลง l ทำใหแ้ มลงไม่กินอาหาร l ทำใหก้ ารเจรญิ เติบโตของแมลงผดิ ปกติ l ยับยั้งการเจริญเตบิ โตของแมลง l ยับยง้ั การวางไข่ และการลอกคราบของแมลง l เป็นพษิ ต่อไข่ของแมลง ทำใหไ้ ขไ่ ม่ฟัก l ยับยั้งการสร้างเอนไซมใ์ นระบบย่อยอาหารของแมลง ท้ังน้ีมีข้อควรระวัง คือ พืชบางชนิดเมื่อได้รับสารนี้แล้วอาจเกิดอาการใบไม้เหี่ยวย่น หรือ ต้นแคระแกร็น ดงั น้นั หากพบอาการดังกลา่ วควรงดใชท้ นั ที หรือใช้ในปริมาณที่ตำ่ ลง แหล่งข้อมลู : กรมสง่ เสรมิ การเกษตร 46 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
อ้อยคัน้ น้ำครบวงจร น้ำอ้อยเป็นผลผลิตทางการเกษตรท่ีเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปว่าเป็นเครื่องดื่มท่ีมีประโยชน์ รสชาติหวานหอมอร่อยแก้กระหายได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะในเขตท่ีเป็นแหล่งท่องเท่ียว การจำหน่ายน้ำอ้อย จึงเป็นอีกอาชีพหน่ึงท่ีทำรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี พันธุ์ของอ้อยที่นิยมนำมาค้ันน้ำกันมาก ไดแ้ ก่ พันธุ์สงิ คโปร์ พันธุ์สุพรรณบรุ ี50 พนั ธ์สุ พุ รรณบุรี72 พนั ธเุ์ มอรซิ ารท์ ปจั จัยท่ีใช้ในการปลูกอ้อยพนั ธ์คุ ั้นน้ำ สภาพพ้ืนที่ท่ีเหมาะสมเป็นที่ดอนน้ำไม่ท่วมขัง การคมนาคมสะดวก ห่างไกลจากแหล่งมลพิษ ควรเปน็ ดนิ ร่วนหรอื ดนิ รว่ นเหนียว ร่วนปนทรายหรือดนิ เหนียว มีความอุดมสมบูรณข์ องดนิ ปานกลางขึน้ ไป ระดับหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ระหว่าง 5.5-7.0 สภาพภูมิอากาศท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต 30-35 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนกระจายสม่ำเสมอ 1,000-1,200 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี และมแี หลง่ นำ้ เพียงพอ ลกั ษณะพนั ธุ์ พันธุ์สุพรรณบุรี 50 ใบสีเขียวเข้ม ลำมีขนาดใหญ่สีเขียวอมเหลือง ปล้องยาวเป็นรูปทรงกระบอก แตกกอ 5-6 ลำต่อกอ ไว้ตอได้ 3-4 คร้ัง ทนทานต่อโรคลำต้นเน่าแดง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 8 เดือน ผลผลิตน้ำอ้อย 4,600-5,200 ลิตรต่อไร่ ความหวาน 15-17 บริกซ์ เหมาะสำหรับปลูกทั้งในสภาพท่ีดอน และท่ีล่มุ พันธุ์สิงคโปร์ เป็นพันธุ์ที่เกษตรกร อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นิยม ปลูกในอดีต ใบสีเขียวอ่อน ลำมีขนาดใหญ่สีเหลืองเข้ม ปล้องส้ันเป็นรูปข้ามต้มหรือป่องกลาง แตกกอ 3-4 ลำต่อกอ ไว้ตอไม่ได้ อ่อนแอต่อโรคลำต้นเน่าแดง อายุเก็บเก่ียวประมาณ 8 เดือน ผลผลิตน้ำอ้อย 2,100-2,800 ลติ รต่อไร่ ความหวาน 13-15 บริกซ์ เหมาะสำหรบั ปลูกในสภาพท่ลี ุ่ม การเตรียมดิน การปลกู ออ้ ยในพนื้ ทีต่ ่างกันจะต้องเตรยี มดินต่างกัน ดงั น ี้ - ในสภาพที่ลุ่ม ต้องขุดเป็นร่องหรือยกร่อง โดยมีสันร่องกว้าง 5-6 เมตร ความยาวร่อง ตามขนาดพ้ืนท่ี และให้มีคูน้ำรอบแปลงลึกประมาณ 1 เมตร - ในสภาพท่ีดอน เป็นการปลูกในพ้ืนท่ีราบ จึงควรมีการปรับระดับพ้ืนให้มีความลาดเอียง ประมาณ 1 เปอร์เซน็ ต์ กรณีถา้ ดนิ มอี ินทรยี ว์ ตั ถตุ ำ่ กวา่ 1.5 เปอรเ์ ซ็นต์ ควรหวา่ นปยุ๋ อินทรยี ์หรือปุ๋ยคอกที่ ยอ่ ยสลายดแี ลว้ อตั รา 1,000-2,000 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ แลว้ พรวนกลบไถดว้ ยผานสาม 1 ครง้ั ลกึ 30-50 เซนตเิ มตร 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 47
ตากดิน 7-10 วัน พรวนด้วยผานเจ็ด 1-2 คร้ัง แล้วคราดเก็บเศษ ซาก ราก เหง้า หัว และไหล ของวัชพืชข้ามปอี อกจากแปลง การเตรียมท่อนพันธ ุ์ - ใช้ท่อนพันธุ์อายุ 6-8 เดือน จากแหล่งและแปลงที่ไม่มีโรคลำต้นเน่าแดงระบาด หรือจัดทำ แปลงพนั ธุ์ไว้ใช้เอง เพื่อลดตน้ ทนุ การผลติ โดยเตรียมแปลงพนั ธ์ุ 1 ไร่ สำหรบั แปลงปลกู 10 ไร ่ - ใช้มีดตัดลำออ้ ยชดิ โคน และตดั ยอดอ้อยต่ำกว่าคอใบสดุ ทา้ ยที่คลี่แลว้ ประมาณ 20 เซนตเิ มตร ลอกกาบใบตดั ออ้ ยเปน็ ทอ่ น จำนวน 3 ตาตอ่ ทอ่ น แลว้ นำไปปลกู ทนั ที ไมค่ วรทง้ิ ไวเ้ กนิ 7 วนั - ตรวจแปลงพันธ์ุอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบการระบาดของโรค ลำต้นเน่าแดง ต้องขุดกออ้อยออก เผาทำลายนอกแปลงปลูกทนั ที วิธีการปลกู - ปลูกเปน็ แถวเดย่ี วทง้ั ในแปลงพนั ธแ์ุ ละแปลงปลกู - วางทอ่ นพนั ธ์ใุ นรอ่ ง ให้มรี ะยะระหวา่ งท่อน 50 เซนติเมตร - กลบดินให้สม่ำเสมอ สำหรับพันธุ์สุพรรณบุรี 50 กลบหนา 3-5 เซนติเมตร สำหรับ พันธสุ์ ิงคโปร์ กลบหนา 1-2 เซนติเมตร การใหป้ ยุ๋ ใหป้ ๋ยุ หลังปลูก หรือหลงั แต่งตอออ้ ย 2 ครั้ง - ลักษณะดินร่วน ดินร่วนเหนียว หรือดินเหนียว ให้ปุ๋ยคร้ังแรกเม่ืออายุ 1 เดือน อตั รา 35 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ ครง้ั ทสี่ องเมอื่ อายุ 3 เดือน อตั รา 40 กโิ ลกรมั ต่อไร่ - ลักษณะดินร่วนปนทราย ให้ปุ๋ยคร้ังแรกพร้อมปลูกอัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ครั้งสอง เมื่อ 3 เดือน อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ ท้ังน้ีอาจใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเกษตร เพื่อเป็นการประหยัดเพื่อ ช่วยลดภาวะโลกรอ้ นได ้ การใหน้ ำ้ - ให้นำ้ ทนั ทหี ลงั ปลูก เพื่อใหอ้ ้อยงอกสมำ่ เสมอหลงั จากนน้ั ให้น้ำทกุ 2-3 สปั ดาห์ ในสภาพท่ีล่มุ ให้น้ำโดยการตักน้ำสาดหรือใช้เครื่องสูบน้ำวางลงในเรือขนาดเล็ก สูบน้ำจากร่อง ในสภาพที่ดอนให้น้ำ ประมาณครง่ึ รอ่ ง โดยไม่ต้องระบายนำ้ ออก - งดให้น้ำ 2 สปั ดาหก์ อ่ นเกบ็ เกีย่ ว ถ้าในช่วงเก็บเกี่ยวมฝี นตกหนกั ต้องระบายน้ำออกจากรอ่ ง ทนั ทใี หเ้ หลอื ไม่เกินครึง่ ร่อง ระยะเกบ็ เกี่ยวท่ีเหมาะสม - เก็บเกี่ยวอ้อยที่อายปุ ระมาณ 8 เดือน - น้ำออ้ ยมีความหวาน 13-17 บรกิ ซ์ - ลำอ้อยมคี วามยาวไมน่ ้อยกว่า 2 เมตร - ควรเกบ็ เก่ียวในชว่ งเชา้ หรอื เยน็ ขณะท่ีอากาศไมร่ ้อนจัด วิธีการเกบ็ เกยี่ ว - ตดั เฉพาะลำออ้ ยทมี่ อี ายุ 8 เดอื น สงั เกตไดค้ อื พนั ธส์ุ พุ รรณบรุ ี 50 จะมลี ำสเี ขยี วอมเหลอื ง สำหรับ พนั ธส์ุ ิงคโปรจ์ ะมีสีเหลืองเข้ม - ใช้มดี ถากใบและกาบออกทัง้ สองดา้ น อยา่ ให้เปลือกหรือลำเสียหาย ตดั ลำออ้ ยชิดดนิ แล้วตดั ยอดออ้ ยตำ่ กว่าจดุ คอใบประมาณ 25 เซนติเมตร วางบนแครห่ รอื พืน้ ทส่ี ะอาด หา้ มวางบนพืน้ ดนิ 48 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
การทำน้ำอ้อยคัน้ ปัจจัยทจ่ี ำเป็นต้องใชท้ ำออ้ ยค้นั น้ำ 1. ทอ่ นอ้อย ความยาวประมาณ 75-90 เซนติเมตร 2. เครอื่ งค้ันนำ้ ออ้ ย ก่อนใชล้ า้ งลูกหีบด้วยน้ำสะอาดแล้วทิง้ ไวใ้ ห้แห้ง 3. ภาชนะบรรจุน้ำอ้อย ภาชนะท่ีใช้อาจเป็นขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกพร้อมฝาปิด สามารถปดิ ได้สนิท ซึง่ ก่อนบรรจุต้องลา้ งทำความสะอาดและควำ่ ขวดไวจ้ นกวา่ จะแหง้ 4. วัสดกุ ารผลิตอ่นื ๆ เชน่ ผา้ ขาวบาง มดี ตระกรา้ และภาชนะรบั ออ้ ย ตอ้ งทำความสะอาดกอ่ น นำมาใช้ทกุ ครัง้ ข้ันตอนการดำเนินงาน 1. นำท่อนอ้อยที่ห่ันเป็นท่อนแล้วไปปอกเปลือกออกให้ทั่วท้ังลำ แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาด ท้ิงไว้ให้สะเดด็ นำ้ 2. นำท่อนอ้อยที่ล้างสะอาดแล้ว เข้าเครื่องคั้นน้ำอ้อย ลูกหีบจะดึงท่อนอ้อยเข้าไปเองช้าๆ จนตลอดท่อนอ้อยเพ่ือแยกชานอ้อยกับน้ำอ้อยออกจากกัน นำน้ำอ้อยท่ีได้กรองด้วยผ้าขาวบางท่ีสะอาด หนา 4 ช้ัน (เพื่อความสะดวกในการทำงานและความสะอาดของน้ำอ้อย ควรต่อท่อจากภาชนะรองรับ นำ้ ออ้ ยของเครื่องคนั้ นำ้ อ้อยจนถงึ ภาชนะใสน่ ำ้ ออ้ ย โดยผา่ นผ้าขาวบางท่ีปดิ คลุมภาชนะใส่นำ้ อ้อยไว)้ ผลผลติ น้ำอ้อยพร้อมดื่มท่ีบรรจุขวดสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นหรือแช่ไว้ในถังน้ำแข็งท่ีมีอุณหภูมิประมาณ 4 องศาเซลเซยี ส จะเก็บไว้ไดน้ านถงึ 4 วนั หากจะเกบ็ นานกว่านัน้ ควรเกบ็ ในลกั ษณะแช่แขง็ แหลง่ ข้อมูล : กรมส่งเสริมการเกษตร 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก 49
การปลกู มะพร้าวอ่อน มะพร้าว เป็นพืชเศรษฐกิจเมืองร้อนท่ีมีประโยชน์มากที่สุด ท้ังน้ี เพราะแทบทุกส่วนของมะพร้าว มปี ระโยชนท์ งั้ สนิ้ นบั ตง้ั แตร่ ากไปจนถงึ ยอด และมะพรา้ วหอมเปน็ มะพรา้ วอกี ชนดิ หนง่ึ ทป่ี ลกู กนั อยา่ งกวา้ งขวาง เพราะมคี ณุ ลกั ษณะพเิ ศษ คอื นำ้ มะพรา้ วหอม เนอื้ มะพรา้ วมรี สชาตหิ วาน กลมกลอ่ ม และมกี ลน่ิ หอมชน่ื ใจ ปจั จัยทจี่ ำเป็น สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม นำ้ ฝน ควรอยใู่ นพนื้ ทที่ มี่ ฝี นตกกระจายสมำ่ เสมอประมาณ 1,500-2,000 มลิ ลลิ ติ รตอ่ ปี และไมค่ วร มีฝนตกน้อยกว่า 50 มิลลลิ ิตร นานเกนิ 3 เดือน สภาพภมู อิ ากาศ ควรเป็นพ้นื ทีท่ ่อี ุณหภมู เิ ฉลีย่ 27 องศาเซลเซยี ส แสงแดด ควรได้รับแสงแดดอย่างน้อย 5 ชั่วโมงต่อวัน แสงแดดสาดส่องสม่ำเสมอตลอดป ี จงึ จะเติบโตดี ลม ควรมีลดพัดออ่ นๆ แต่สมำ่ เสมอ ดิน ไมเ่ ปรย้ี วหรือเค็มจัด เปน็ ดินอะไรก็ได้ที่มปี ยุ๋ เพยี งพอ และความชนื้ พอเหมาะ แหล่งน้ำ เป็นส่ิงจำเป็นอย่างย่ิง เพราะจะช่วยให้ผลผลิตมะพร้าวอ่อนตลอดปี ถ้าขาดน้ำจะทำให้ ผลมะพรา้ วมที ิง้ ชว่ ง ข้อควรจำ ถ้าเป็นดินน้ำไหล ทรายมูล ท่ีเกิดจากน้ำพัดพามาสะสม เช่น ดินริมแม่น้ำ จะปลูก มะพร้าวได้ดที ่ีสดุ ข้นั ตอนการดำเนนิ งาน การปลูกในท่ีลุ่ม พ้ืนที่ลุ่มน้ำท่วมขัง จำเป็นต้องยกร่องให้สูงกว่าระดับน้ำ ไม่น้อยกว่า 50 เซนตเิ มตร คันร่องกวา้ ง 5-8 เมตร ร่องลึก 10 เมตร กวา้ ง 1.5-2 เมตร ข้อควรจำ ไมค่ วรปลกู ในพืน้ ท่ลี ุ่มมีนำ้ ขัง การปลกู ในทด่ี อน ถ้าเป็นพนื้ ที่รกรา้ ง ต้องถางให้เตยี น โคน่ ตน้ ไม้ และขุดออกให้หมด เพอื่ สะดวก ในการดูแลรักษาตอ่ ไป ข้อควรจำ ไมค่ วรปลกู ในพ้ืนท่เี ป็นดนิ ดาน หรือเป็นชั้นหนิ ทม่ี หี นา้ ดินลกึ นอ้ ยกวา่ 1 เมตร วิธปี ลกู - การเตรยี มหลุม ขดุ หลมุ ขนาดกวา้ ง ลกึ ยาวประมาณ 1 เมตร ลว่ งหน้า 1-2 เดือน ก่อนปลกู แยกดินบนและดินล่างไว้คนละด้านของขอบหลุม ท้ิงไว้ 7 วัน ใช้เศษหญ้าหรือไม้รองก้นหลุม ใช้ดินบน 1 ส่วนผสมปุ๋ยคอก 7 ส่วนรองก้นหลุม แล้วใส่ดินล่างผสมกับปุ๋ยร็อคฟอสเฟต 121- ต่อหลุมใส่ลง ให้เต็มหลมุ ทิง้ ไว้จนถึงฤดูฝน 50 120 อาชีพเกษตรกรรมทางเลือก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286