~ 151 ~ กจิ กรรมที่ 2 ใหอ ธิบายความสําคญั ของ “การจดั การความรู” มาพอสงั เขป .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... กิจกรรมท่ี 3 ใหอ ธบิ ายหลกั ของ “การจดั การความรู” มาพอสังเขป .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................
~ 152 ~ เร่ืองที่ 2 : รูปแบบและกระบวนการในการจัดการความรู 1. รปู แบบการจัดการความรู การจัดการความรูนั้นมีหลายรูปแบบ หรอื ท่ีเรยี กกันวา “โมเดล” มีหลากหลายโมเดล หัวใจ ของ การจัดการความรู คือการจดั การความรูท่อี ยูใ นตัวคนในฐานะผูปฏิบตั แิ ละเปน ผมู ีความรู การ จัดการความรู ที่ทําใหคนเคารพในศักดิศ์ รีของคนอืน่ การจัดการความรูน อกจากการจัดการความรูใ น ตนเองเพื่อใหเกิด การพัฒนางานและพัฒนาตนเองแลว ยังมองรวมถึงการจัดการความรูใ นกลุม หรือ องคกรดวยรูปแบบการ จัดการความรูจ ึงอยูบ นพืน้ ฐานของความเชือ่ ทีว่ า ทุกคนมีความรู ปฏิบัติใน ระดับความชํานาญที่ตางกัน เคารพความรทู ีอ่ ยูในตวั คน ดร.ประพนธ ผาสุกยืด ไดคิดคนรูปแบบการจัดการความรูไ ว 2 รูปแบบ คือรูปแบบ ปลาทูหรือ ทีเ่ รียกวา “โมเดลปลาทู” และรูปแบบปลาตะเพียน หรือทีเ่ รียกวา “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงใหเห็นถึง รูปแบบการจัดการความรูในภาพรวมของการจัดการทีค่ รอบคลุมทั้งความรูทีช่ ัดแจง และความรูท่ีฝงลึก ดงั น้ี โมเดลปลาทู เพือ่ ใหการจัดการความรู หรือ KM เปนเรือ่ งที่เขาใจงาย จึงกําหนดใหการจัดการความรู เปรียบ เหมือนกับปลาทูตัวหนึง่ มีสิง่ ทีต่ องดําเนินการจัดการความรูอ ยู 3 สวน โดยกําหนดวา สวนหัว คือการ กําหนดเปาหมายของการจัดการความรูท ีช่ ัดเจน สวนตัวปลาคือการแลกเปลีย่ นความรูซ ึง่ กัน และกัน และ สวนปางปลาคือ ความรทู ่ีไดร ับจากการแลกเปลยี่ นเรียนรู รูปแบบการจัดการความรู ตาม โมเดลปลาทู
~ 153 ~ สว นที่ 1 “หวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” KV คือเปาหลายของการจัดการความรู ผูใช ตองรูว าจะจัดการความรูเพือ่ บรรลุเปาหมายอะไร เกี่ยวของหรือสอดคลองกับวิสัยทัศนพันธกิจ และ ยุทธศาสตรขององคกรอยางใด เชน จัดการความรูเ พื่อเพิม่ ประสิทธิภาพของงาน จัดการความรู เพื่อพัฒนา ทักษะชีวิตดานยาเสพติด จัดการความรูเ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิตดานสิง่ แวดลอม จัดการ ความรูเ พือ่ พัฒนา ทกั ษะชวี ติ ดา นชีวิตและทรพั ยสนิ จัดการความรูเพอื่ ฟน ฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี ดัง้ เดิมของคนในชุมชน เปน ตน สวนที่ 2 “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เปนการแลกเปลี่ยนเรียนรู หรือ การแบงปนความรูที่ฝงลึกในตัวคนผูป ฏิบัติ เนนการแลกเปลีย่ นวิธีการทํางานทีป่ ระสบผลสําเร็จ ไมเนนที่ ปญ หา เครื่องมือในการแลกเปลย่ี นเรยี นรูมหี ลากหลายแบบ อาทิ การเลาเรือ่ ง การสนทนา เชิงลึก การชื่น ชมหรือการสนทนาสนเชิงบวก เพื่อนชวยเพื่อน การทบทวนการปฏิบัติงาน การถอด บทเรียน การถอด องคความรู สวนที่ 3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เปนขุมความรูท ีไ่ ดจาก การ แลกเปลีย่ นความรู มีเครือ่ งมือในการจัดเก็บความรูทีม่ ีชีวิตไมหยุดนิง่ คือ นอกจากจัดเก็บความรู แลวยัง งายในการนําความรูออกมาใชจริง งายในการนําความรูอ อกมาตอยอด และงายในการปรับ ขอมูลไมให ลา สมยั สวนน้จี งึ ไมใชส วนทมี่ ีหนาทเ่ี กบ็ ขอ มลู ไวเฉย ๆ ไมใชห องสมดุ สําหรับเก็บสะสม ขอมูลที่นําไปใช จรงิ ไดย าก ดงั น้ัน เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ จึงเปนเครือ่ งมือจัดเก็บความรู อันทรงพลังยิ่งใน กระบสนการจัดการความรู ตวั อยา งการจัดการความรเู รื่อง “พัฒนากลุมวสิ าหกนิ ชมุ ชน ในรูปแบบปลาทู
~ 154 ~ โมเดลปลาตะเพยี น จากโมเดล “ปลาทู” ตัวเดียวมาสูโ มเดล “ปลาตะเพียน” ทีเ่ ปนฝูง โดยเปรียบแมปลา “ปลาตัวใหญ” ได กับวิสัยทัศน พันธกิจ ขององคกรใหญ ในขณะทีป่ ลาตัวเล็กหลาย ๆ ตัว เปรียบ ไดกับเปาหมายของการ จัดการความรูท ีต่ องไปตอบสนองเปาหมายใหญขององคกร จึงเปนปลาทั้งฝูง เหมือน “โมบายปลา ตะเพียน” ของเลนเด็กไทยสมัยโบราณทีผ่ ูใ หญสานเอาไวแขวนเหนือเปลเด็ก เปน ฝูงปลาที่หันหนาไปใน ทิศทางเดียวกัน และมีความเพียรพยายามที่จะวายไปในกระแสน้ําที่เปลี่ยนแปลง อยตู ลอดเวลา ปลาใหญอาจเปรียบเหมือนการพัฒนาอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ใน ชุมชนซึง่ การพัฒนาอาชีพดังกลาว ตองมีการแกปญหาและพัฒนารวมกันไปทัง้ ระบบเกิดกลุม ตาง ๆ ขึ้นในชุมชน เพื่อการเรียนรูร วมกัน ทั้งการทําบัญชีครัวเรือน การทําเกษตรอินทรีย การทําปุย หมัก การเลีย้ งปลา การ เลี้ยงกบ หากการแกปญหาทีป่ ลาตัวเล็กประสบผลสําเร็จ จะสงผลใหปลาใหญหรือ เปาหมายในระดับ ชุมชนประสบผลสําเร็จดวยเชน นั่นคือปลาวายไปขางหนาอยางพรอมเพรียงกัน ทีส่ ําคัญ ปลาแตละตัวไมจําเปนตองมีรูปรางและขนาดเหมือนกัน เพราะการจัดการ ความรูข อง แตละเรื่อง มีสภาพของความยากงายในการแกปญหาทีแ่ ตกตางกัน รูปแบบของการจัดการ ความรูข องแต ละหนวยยอยจึงสามารถสรางสรรค ปรับใหเขากับแตละทีไ่ ดอยางเหมาะสม ปลา บางตัวอาจมีทองใหญ เพราะอาจมีสวนของการแลกเปลี่ยนเรียนรูมาก บางตัวอาจเปนปลาที่หางใหญ เดนในเรือ่ งของการจัดระบบ คลังความรูเพื่อใชในการปฏิบัติมา แตทกุ ตวั ตอ งมหี ัวและตาทมี่ องเห็น เปาหมายที่จะไปอยางชัดเจน
~ 155 ~ การจัดการความรูไ ดใหความสําคัญกับการเรียนรูท ี่เกิดจากการปฏิบัติจริง เปนการเรียนรู ในทุก ขัน้ ตอนของการทํางาน เชนกอนเริ่มงานจะตองมีการศึกษาทําความเขาใจในสิง่ ทีก่ ําลังจะทํา จะเปนการ เรียนรูด วยตัวเองหรืออาศัยความชวยเหลือจากเพื่อนรวมงาน มีการศึกษาวิธีการและ เทคนิคตาง ๆ ที่ใช ไดผลพรอ มทั้งคน หาเหตผุ ลดว ยวา เปน เพราะอะไร และจะสามารถนําสิง่ ทีไ่ ดเรียนรู นั้นมาใชงานที่กําลังจะ ทํานี้ไดอยางไร ในระหวางทีท่ ํางานอยูเ ชนกัน จะตองมีการทบทวนการทํางาน อยูตลอดเวลา เรียกไดวา เปนการเรียนรูท ี่ไดจากการทบทวนกิจกกรรมยอยในทุก ๆ ขั้นตอน หมั่น ตรวจสอบอยูเ สมอวาจุดมุง หมาย ของงานทีท่ ําอยูน ีค้ ืออะไร กําลังเดินไปถูกทางหรือไม เพราะเหตุใด ปญหาคืออะไร จะตองทําอะไรให แตกตางไปจากเดิมหรือไม และนอกจากนัน้ เมือ่ เสร็จสิน้ การ ทํางานหรือเมือ่ จบโครงการ ก็จะตองมีการ ทบทวนสิง่ ตาง ๆ ที่ไดมาแลววามีอะไรบางทีท่ ําไดดี มี อะไรบางทีต่ องปรับปรุงแกไขหรือรับไวเปน บทเรียน ซึ่งการเรียนรูต ามรูปแบบปลาทูนี้ ถือเปนหัวใจ สําคัญของกระบวนการเรียนรูท ี่เปนวงจรอยู สวนกลางของรูปแบบการจัดการความรูนั่นเอง
~ 156 ~ 2. กระบวนการจดั การความรู กระบวนการจัดการความรู เปนกระบวนการแบบหนึ่งทีจ่ ะชวยใหองคกรเขาถึงขั้นตอน ที่ทําให เกิดการจัดการความรู หรือพัฒนาการของความรูที่จะเกิดขึ้นภายในองคกร มขี นั้ ตอน 7 ข้ันตอน ดงั น้ี 1. การบงชี้ความรู เปนการพิจารณาวา เปาหมายการทํางานของเราคืออะไร และเพื่อให บรรลุ เปาหมายเราจําตอ งรอู ะไร ขณะนีเ้ รามีความรอู ะไร อยใู นรปู แบบใด อยูกบั ใคร 2. การสรางและแสวงหาความรู เปนการจัดบรรยากาศและวัฒนธรรมการทํางานของคน ใน องคกรเพื่อเอื้อใหคนมีความกระตือรือรนในการแลกเปลีย่ นความรูซ ึง่ กันและกัน ซึง่ จะกอใหเกิด การสราง ความรูใหมเพ่ือใชในการพฒั นาอยตู ลอดเวลา 3. การจัดการความรูใ หเปนระบบ เปนการจัดทําสารบัญและจัดเก็บความรูป ระเภทตาง ๆ เพื่อใหการเก็บรวบรวมและการคนหาความรู นาํ มาใชไ ดง า ยและรวดเรว็ ย 4. การประมวลและกลัน่ กรองความรู เปนการประมวลความรูใหอยูในรูปเอกสาร หรือ รูปแบบอน่ื ๆ ที่มีมาตรฐาน ปรบั ปรงุ เนื้อหาใหสมบรู ณ ใชภาษาที่เขาใจงายและใชไดงาย 5. การเขาถึงความรู เปนการเผยแพรความรูเ พื่อใหผูอืน่ ไดใชประโยชน เขาถึงความรู ไดงาย และสะดวก เชนใชเทคโนโลยี เวบ็ บอรด หรือบอรดประชาสัมพันธ เปนตน 6. การแบงปนแลกเปลีย่ นความรู ทําใหหลายวิธีการ หากเปนความรูเ ดนชัด อาจจัดทํา เปน เอกสาร ฐานความรูท ีใ่ ชเทคโนโลยีสารสนเทศ หากเปนความรูฝ งลึกทีอ่ ยูใ นตัวคน อาจจัดทําเปน ระบบ แลกเปลีย่ นความรูเ ปนทีมขามสายงาน ชุมชนแหงการเรียนรู พีเ่ ลีย้ งสอนงาน การสับเปลี่ยน งาน การยืม ตัวเวทีแลกเปลี่ยนเรยี นรู เปนตน 7. การเรยี นรู การเรียนรูของบุคคลจะทําใหเกิดความรูใหมๆ ข้ึนมากมาย ซึง่ จะไปเพิม่ พูน องค ความรูข ององคกรทีม่ ีอยูแ ลวใหมากขึ้นเรือ่ ย ๆ ความรูเ หลานีจ้ ะถูกนําไปใชเพือ่ สรางความรูใ หม ๆ เปน วงจรทีไ่ มส น้ิ สดุ เรยี กวาเปน “วงจรแหง การเรยี นรู
~ 157 ~ ตัวอยางของการะบวนการจัดการความรู “วิสาหกิจชุมชน” บานทุง รวงทอง 1. การบง ชค้ี วามรู หมบู า นทงุ รวงทองเปนหมูบานหน่ึงท่อี ยูในอําเภอจุน จงั หวดั พะเยา จากการที่หนวยงาน ตา ง ๆ ไดไปสงเสริมใหเ กดิ กลุมตาง ๆ ขึ้นในชุมชน และเห็นความสําคัญของการรวมตัวกัน เพ่ือเกื้อกลู คนใน ชุมชนใหมีการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกนั และกนั จึงมีเปาหมายจะพัฒนาหมูบานใหเปนวิสาหกิจชุมชน จึงตองมีการ บงช้คี วามรทู จ่ี ําเปนทจี่ ะพัฒนาหมบู านใหเ ปนวิสาหกิจชุมชน นั่นคือหาขอมูลชุมชนใน ประเทศไทยมี ลักษณะเปน วสิ าหกจิ ชุมชน และเมือ่ ศึกษาขอ มูลแลว ทาํ ใหรูวาความรูเรื่องวิสาหกจิ ชมุ ชนอยูท ่ไี หน นน่ั คือ อยทู ่เี จา หนา ที่หนว ยงานราชการที่มาสง เสรมิ และอยูใ นชมุ ชนที่มีการทาํ วสิ าหกจิ ชมุ ชนแลว ประสบ ผลสําเรจ็ 2. การสรา งและแสวงหาความรู จากการศึกษาหาขอมูลแลววา หมูบานท่ีทําเรื่องวิสาหกิจชมุ ชนประสบผลสาํ เร็จอยูที่ไหน ได ประสานหนวยงานราชการ และจดั ทําเวทแี ลกเปล่ียนเรียนรเู พื่อเตรยี มการในการไปศกึ ษาดูงาน เมอ่ื ไป ศึกษาดูงานไดแ ลกเปลีย่ นเรยี นรู ทําใหไดรับความรูเพ่ิมมากข้ึน เขาใจรูปแบบ กระบวนการ ของการทํา วิสาหกิจชุมชน และแยกกันเรียนรูเฉพาะกลุม เพ่ือนาํ ความรทู ี่ไดรบั มาปรบั ใชในการทํา วิสาหกิจชุมชนใน หมูบานของตนเอง เมื่อกลับมาแลว มีการทําเวทีหลายครั้ง ทง้ั เวทใี หญท ค่ี นทั้ง หมบู า นและหนว ยงาน หลายหนว ยงานมาใหคําปรึกษา ชุมชนรวมกันคิด วางแผน และตดั สนิ ใจ รวมทั้งมีเวทียอยเฉพาะกลุม จากการแลกเปลีย่ นเรยี นรผู านเวทีชาวบานหลายครงั้ ทําใหชุมชนเกิด การพฒั นาในหลายดา น เชน ความสัมพันธของคนในชุมชน การมีสว นรวม ทั้งรวมคิด รว มวางแผน รว มดาํ เนนิ การ รว มประเมนิ ผล และรว มรับผลประโยชนท เ่ี กิดข้ึนในชุมชน 3. การจดั การความรูใหเปน ระบบ การทําหมูบานใหเปนวิสาหกิจชุมชน เปนความรูใหมของคนในชุมชน ชาวบา นไดเรียนรไู ป พรอ ม ๆ กัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรูกันอยางเปนทางการและไมเปนทางการ โดยมสี ว นราชการและ องคกรเอกชนตาง ๆ รวมกันหนุนเสริมการทํางานอยางบูรณาการ และจากการถอดบทเรียนหลายครั้ง ชาวบานมีความรูเพิ่มมากขึ้นและบันทึกความรูอยางเปนระบบนั่นคือ มีความรูเฉพาะกลุม สว นใหญ จะ บันทึกในรูปเอกสาร และมีการทําวิจัยจากบุคคลภายนอก 4. การประมวลและกลน่ั กรองความรู มีการจัดทําขอมูล ซึง่ มาจากการถอดบทเรียน และการจัดทําเปนเอกสารเผยแพรเฉพาะ กลุม เปนแหลงเรียนรูใ หกับนักศึกษา กศน. และนักเรียนในระบบโรงเรียน รวมทัง้ มีนําขอมูลมาวิเคราะห เพื่อ จัดทําเปน หลกั สตู รทองถ่นิ ของ กศน. อาํ เภอจนุ ดว ย
~ 158 ~ 5. การเขาถงึ ความรู นอกจากการมีขอมูลในชุมชนแลว หนวยงานตาง ๆ โดยเฉพาะองคการบริหารสวนตําบล ได จัดทําขอมูลเพื่อใหคนเขาถึงความรูไดงาย ไดนําขอมูลใสอินเตอรเน็ต และในแตละตําบลจะมี อินเตอรเน็ต ตําบลใหบริการ ทําใหคนภายนอกเขาถึงขอมูลไดงาย และมีการเขาถึงความรูจ ากการ แลกเปลี่ยนเรียน รวมกันจากการมาศึกษาดูงานของคนภายนอก 6. การแบงปน แลกเปลย่ี นความรู ในการดาํ เนนิ งานกลุม ชุมชน ไดมีการแลกเปลีย่ นเรียนรูกันในหลายรูปแบบ ทัง้ การไป ศึกษาดู งาน การศึกษาเปนการสวนตัว การรวมกลุมในลักษณะชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) ท่ีแลกเปล่ียน เรียนรวมกัน ทัง้ เปนทางกายและไมเปนทางการ ทําใหกลุม ไดรับความรูมากขึ้น และบางกลุมเจอ ปญหาอุปสรรค โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการกลุม ทําใหกลุมตองมาทบทวนรวมกันใหม สราง ความเขาใจรวมกัน และเรียนรูเรอ่ื งการบรหิ ารจัดการจากกลุม อืน่ เพ่ิมเติม ทําใหกลุมสามารถดํารง อยไู ดโดยไมล มสลาย 7. การเรยี นรู กลุม ไดเรียนรูห ลายอยางจากการดําเนินการวิสาหกิจชุมชน การทีก่ ลุม มีการพัฒนาขึน้ นั่นแสดง วา กลุม มีความรูม ากขึน้ จากการลงมือปฏิบัติและแลกเปลีย่ นเรียนรูร วมกัน การพัฒนา นอกจากความรูที่ เพิ่มขึ้น ซึ่งเปนการยกระดับความรูข องคนในชุมชนแลว ยังเปนการพัฒนาความคิด ของคนในชุมชน ชุมชนมีความคิดทีเ่ ปลี่ยนไปจากเดิม มีการทํากิจกรรมเพือ่ เรียนรูร วมกันบอยขึน้ มีความคิดในการพึ่งพา ตนเอง และเกิดกลมุ ตาง ๆ ขึ้นในชุมชน โดยการมีสวนรวมของคนในชุมชน
~ 159 ~ กจิ กรรม 1. รปู แบบของการจดั การความรมู อี ะไรบา ง และมลี กั ษณะอยา งไร .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. กระบวนการจัดการความรูมีกข่ี ัน้ ตอน อะไรบา ง .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 3. ใหผเู รยี นยกตัวอยางกลมุ หรอื ชุมชนท่ีมีการจัดการความรปู ระสบผลสําเรจ็ และอธบิ ายดว ยวา สําเร็จอยา งไร เพราะอะไร .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................
~ 160 ~ เรอ่ื งที่ 3 : การรวมกลมุ เพอื่ ตอยอดองคค วามรู 1. บุคคลและเคร่ืองมือท่เี กย่ี วขอ งกบั การจัดการความรู บุคคลท่ีเก่ียวขอ งกบั การจดั การความรู ในการจัดการความรูดวยวิธีการรวมกลุม ปฏิบัติการเพื่อตอยอดความรู การแลกเปลีย่ น เรียนรูเ พือ่ ดึงความรูท ีฝ่ งลึกในตัวบุคคลออกมาแลวสกัดเปนขุมความรู หรือองคความรูเ พือ่ ใชในการ ปฏิบัติงานนัน้ จะตองมีบุคคลทีส่ งเสริมใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู ในบรรยากาศของการมีใจใน การแบงปนความรู รวมท้ังผูทที่ ําหนาทก่ี ระตุนใหคนอยากทจ่ี ะแลกเปลย่ี นเรยี นรซู งึ่ กนั และกัน บุคคล ทีส่ ําคัญและเกี่ยวของกับ การจัดการความรู มดี ังตอไปนี้ “คณุ เอ้ือ” ชอื่ เต็มคอื “คณุ เอ้ือระบบ” เปนผนู ําระดับสูงขององคก ร หนา ทส่ี าํ คัญคอื 1) ทําใหการจัดการความรู เปนสวนหนึ่งของการปฏิบัติงานตามปกติขององคกร 2) เปดโอกาสใหทุกคนในองคกรเปน “ผนู าํ ” ในการพัฒนาวิธีการทํางานที่ตนรับผิดชอบ และนําประสบการณม าแลกเปลย่ี นเรยี นรูกบั เพ่ือนรวมงาน สรางวัฒนธรรมการเอื้ออาทร และแบงปนความรู และ 3) หากุศโลบายทําใหความสําเร็จของการใชเครื่องมือการจัดการความรูมีการนําไปใช มากขึ้น “คุณอํานวย” หรือผูอ ํานวยความสะดวกในการจัดการความรู เปนผูกระตุน สงเสริมใหเกิดการ แลกเปลีย่ นเรยี นรู และอาํ นวยความสะดวกตอ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู นําคนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ การ ทํางานรวมกัน ชวยใหคนเหลานัน้ สื่อสารกันใหเกิดความเขาใจ เห็นความสามารถของกันและกัน เปนผู เชือ่ มโยงคนหรือหนวยงานเขามาหากัน โดยเฉพาะอยางยิ่งเชือ่ มระหวางคนทีม่ ีความรูห รือ ประสบการณ กับผูต องการเรียนรู และนําความรูน ั้นไปใชประโยชน คุณอํานวยตองมีทักษะที่สําคัญ คือทักษะการ สื่อสารกับคนที่แตกตางหลากหลาย รวมทั้งตองเห็นคุณคาของความแตกตางหลากหลาย และรูจ ักประสาน ความแตกตางเหลานัน้ ใหมีคุณคาในทางปฏิบัติ ผลักดันใหเกิดการพัฒนางาน และ ติดตามประเมินผลการ ดาํ เนนิ งาน คนหาความสําเร็จ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ตองการ “คุณกิจ” คือเจาหนาทีผ่ ูป ฏิบัติงาน คนทํางานทีร่ ับผิดชอบตามหนาทีข่ องตนในองคกร ถือเปน ผูจ ัดการความรูตัวจริงเพราะเปนผูด ําเนินกิจกรรมการจัดการความรู มีประมาณรอยละ 90 ของทัง้ หมด เปนผูรวมกันกําหนดเปาหมายการใชการจัดการความรูของกลุม ตน เปนผูค นหาและ แลกเปลีย่ นเรียนรู ภายในกลุม และดําเนินการเสาะหาและดูดซับความรูจ ากภายนอกเพือ่ นํามาประยุกต ใชใหบรรลุเปาหมาย รว มทก่ี าํ หนดไว เปน ผูดาํ เนนิ การจดบันทกึ และจัดเก็บความรูใหห มุนเวยี นตอ ยอด ความรไู ปไมร จู บ “คณุ ลขิ ิต” คอื คนท่ีทําหนา ทีจ่ ดบนั ทกึ กิจกรรมจัดการความรูตา ง ๆ เพอื่ จัดทําเปนคลงั ความรู ขององคกร
~ 161 ~ ในการจัดการความรูท่ีอยูในคน โดยการแลกเปลีย่ นเรียนรูร วมกัน จากการเลาเรื่องสูก ันฟง บุคคลที่สงเสริมสนับสนุนใหมีการรวมตัวกันเพื่อเลาเรือ่ งคือผูน ําสูงสุด หรือท่ีเรียกวา “คุณเอือ้ ” เมื่อ รวมตัวกนั แลวแตล ะคนไดเ ลา เรอ่ื งทีป่ ระสบผลสําเรจ็ จากการปฏิบัตขิ องตนเองออกมาใหเพือ่ นฟง คน ที่เลา เรือ่ งแตละเรื่องนั้นเรียกวา “คุณกิจ” และในระหวางทีเ่ ลาจะมีการซักถามความรู เพื่อใหเห็น แนวทางของ การปฏิบัติ เทคนิค เคล็ดลับในการทํางานใหประสบผลสําเร็จ ผูท ีท่ ําหนาทีน่ ีเ้ รียกวา “คุณอํานวย” และ ในขณะทเี่ ลาเร่อื งจะมผี คู อยจดบันทึก โดยเฉพาะเคล็ดลับ วิธีการทํางานให ประสบผลสําเร็จ นัน่ คือ “คุณ ลิขิต” ซึง่ ก็หมายถึง คนทีค่ อยจดบันทึกนัน่ เอง เมือ่ ทุกคนเลาจบ ไดฟงเรือ่ งราว วิธีการทํางานใหประสบ ผลสําเรจ็ แลว ทกุ คนชวยกนั สรปุ ความรทู ีไ่ ดจากการสรปุ น้ี เรียกวา “แกน ความรู” นเ่ั นอง เครื่องมือทเ่ี กีย่ วขอ งกบั การจัดการความรู การจัดการความรู หัวใจสําคัญคอื การจัดการความรูที่อยูในตัวคน เครื่องมือทีเ่ กีย่ วของ กับการจัด งานความรูเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรูจึงมีหลากหลายรูปแบบ ดงั น้ี 1. การประชมุ (สัมมนา ปฏิบัติการ) ท้งั ที่เปนทางการและไมเปนทางการ เปนการ แลกเปลีย่ น เรียนรรู ว มกนั หนวยงานองคกรตางๆ มีการใชเครือ่ งมือการจัดการความรูใ นรูปแบบนี้ กันมาก โดยเฉพาะ กลุมงานราชการ 2. การไปศกึ ษาดูงาน นัน่ คอื แลกเปลยี่ นเรยี นรูจากการไปศึกษาดูงาน มีการซักถาม หรือ จัดทํา เวทีแสดงความคิดเห็นในระหวางไปศึกษาดูงาน ก็ถือเปนการแลกเปลีย่ นความรูร วมกัน คือ ความรูย ายจาก คนไปสูคน 3. การเลาเรื่อง (Storytelling) เปนการรวมกลุม กันของผูปฏิบัติงานทีม่ ีลักษณะคลายกัน ประมาณ 8-10 คน แลกเปลีย่ นเรียนรูโ ดยการเลาเรือ่ งสูก ันฟง การเลาเรือ่ งผูฟ งจะตองนัง่ ฟงอยาง มีสมาธิ หรือฟงอยางลึกซึง้ จะทําใหเขาใจในบริบทหรือสภาพความเปนไปของเรื่องทีเ่ ลา เมือ่ แตละคน เลาจบ จะมี การสกัดความรู ทีเ่ ปนเทคนิค วิธีการทีใ่ หงานประสบผลสําเร็จออกมา งานทีท่ ําจน ประสบผลสําเร็จ เรียกวา best practice หรือการปฏิบตั ิงานทเี่ ลิศ ซึง่ แตละคนอาจมีวิธีการทีแ่ ตกตาง กัน ความรูท ี่ไดถือเปน การยกระดับความรูใ หกับคนทีย่ ังไมเคยปฏิบัติ และสามารถนําความรูท ี่ไดรับ ประยุกตใชเพือ่ พัฒนางาน ของตนเองได 4. ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice : CoPS) เปนการรวมตัวกันของคนทีส่ นใจ เรื่อง เดียวกัน รวมตัวกันเพือ่ แลกเปลีย่ นเรียนรูท ัง้ เปนทางการแบะไมเปนทางการ ผานการสือ่ สาร หลาย ๆ ชองทาง อาจรวมตวั กนั ในลกั ษณะของการประชุม สัมมนา และแลกเปลี่ยนความรูก ัน หรือการรวมตัวใน รูปแบบอืน่ เชน การต้ังเปนชมรม หรือใชเทคโนโลยีในการแลกเปลีย่ นความรูก ันใน ลักษณะของเว็บ บล็อก ซึง่ สามารถแลกเปลีย่ นเรียนรูก ันไดทุกที ทุกเวลา และประหยัดคาใชจายอีกดวย การแลกเปลีย่ น เรียนรูจะทําใหเกดิ การพัฒนาความรู และตอ ยอดความรู
~ 162 ~ 5. การสอนงาน หมายถึงการถายทอดความรูห รือบอกวิธีการทํางาน การชวยเหลือ ให คาํ แนะนาํ ใหกําลงั ใจแกเ พือ่ นรวมงาน รวมทั้งการสรางบรรยากาศเพื่อถายทอดและแลกเปลี่ยน ความรูจ าก คนท่ีรูมาก ไปสคู นทีร่ นู อ ยในเรื่องนัน้ ๆ 6. เพือ่ นชวยเพอ่ื น (Peer Assist) หมายถึง การเชิญทีมอื่นมาแบงปนประสบการณดี ๆ ทีเ่ รียวา best practice มาแนะนํา มาสอน มาบอกตอ หรือมาเลาใหเราฟง เพือ่ เราจะไดนําไป ประยุกตใชใน องคกรของเราได และเปรียบเทียมเปนระยะ เพอ่ื ยกระดบั ความรแู ละพฒั นางานใหด ี ยิง่ ขนึ้ ตอ ไป 7. การทบทวนกอนการปฏิบัติงาน (Before Action Review : BAR) เปนการทบทวนการ ทํางานกอนการปฏิบัติงาน เพื่อดูความพรอมกอนเริม่ การอบรม ใหความรู หรือทํากิจกรรมอืน่ ๆ โดยการ เชิญคณะทํางานมาประชุมเพือ่ ตรวจสอนความพรอม แตละฝายนําเสนอถึงความพรอมของ ตนเองตาม บทบาทหนาทีท่ ี่ไดรับ การทบทวนกอนการปฏิบัติงานจึงเปนการปองกันความผิดพลาดที่ จะเกิดขึ้นกอน การทํางานนั้นเอง 8. การทบทวนขณะปฏิบัติงาน (During Action Review : DAR) เปนการทบทวนใน ระหวาง ทีท่ ํางาน หรือจัดอบรม โดยการสังเกตและนําผลจากการสังเกตมาปรึกษาหารือและแก ปญหาในขณะ ทํางานรวมกัน ทําใหลดปญ หา หรืออุปสรรคในระหวางการทํางานได 9. การทบทวนหลังการปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) เปนการติดตามผล หรือ ทบทวนการทํางานของผูเ ขารวมกิจกรรม หรือคณะทํางานหลังเลิกกิจกรรมแลว โดยการนัง่ ทบทวน สิ่งที่ ไดปฏิบัติไปรวมกัน ผานการเขียนและการพูด ดวยการตอบคําถามงาย ๆ วา คาดหวังอะไรจาก การทํา กจิ กรรมน้ี ไดตามที่คาดหวังหรือไม ไดเพราะอะไร ไมไดเพราะอะไร และจะทําอยางไรตอไป 10. การจัดทําดัชนีผูร ู คือการรวบรวมผูทีเ่ ชีย่ วชาญ เกงเฉพาะเรือ่ ง หรือภูมิปญญา มา รวบรวม จัดเก็บไวอยางเปนระบบ ทัง้ รูปแบบทีเ่ ปนเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส เพือ่ ใหคนไดเขาถึง แหลงเรยนรูไ ด งาย และนาํ ไปสกู จิ กรรมการแลกเปล่ียนรูต อ ไป เครื่องมือในการแลกเปลีย่ นเรียนรูน ีเ้ ปนเพียงสวนหนึง่ ของเครื่องมืออีกหลายชนิดทีน่ ําไปใช การ จัดการความรู เครือ่ งมือทีม่ ีผูน ํามาใชมากในการแลกเปลีย่ นเรียนรูใ นระดับตนเองและระดับกลุม คือการ แลกเปลี่ยนเรียนรูโ ดยเทคนิคการเลาเรือ่ ง การเลาเรือ่ งการแลกเปลีย่ นเรียนรูจากวิธีการทํางาน ของคนอืน่ ที่ ประสบผลสําเร็จ หรือทีเ่ รียกวา best practice เปนการเรียนรูท างลัด นัน่ คือเอาเทคนิค วิธีการทํางานทีค่ น อื่นทําแลวประสบผลสําเร็จมาเปนบทเรียน และนําวิธีการนั้นมาประยุกตใชกับ ตนเอง เกิดวิธีการปฏิบัติ ใหมท ด่ี ีขนึ้ กวาเดมิ เปนวงจรเรอ่ื ยไปไมสิน้ สดุ การแลกเปลี่ยนเรยี นรจู าก การเลา เรอ่ื ง มลี ักษณะดงั นี้
~ 163 ~ การเลาเร่อื ง การเลา เร่ือง หรอื Storytelling เปนเครื่องมืออยางงายในการจัดการความรู ซึง่ มวี ิธีการ ไมยงุ ยาก ซับซอน สามารถใชไดกับทุกกลุมเปาหมาย เปนการเลาประสบการณในการทํางานของแต ละคนวา มี วิธกี ารทําอยางไรจึงจะประสบผลสําเรจ็ กจิ กรรมเลา เร่ือง ตองทาํ อยางไรบา ง กจิ กรรมจัดการความรู โดยใชเทคนิคการเลาเรื่อง ประกอบดวยกิจกรรมตาง ๆ ดงั น้ี 1. ใหค ุณกจิ (สมาชิกทุกคน) เขียนเรื่องเลาประสบการณความสําเร็จในการทํางานของ ตนเองเพื่อใหความรูฝง ลึกในตัว (Tacit Knowledge) ปรากฏออกมาเปนความรูชัดแจง (Expicit Knowledge) 2. เลาเรื่องความสําเร็จของตนเอง ใหส มาชิกในกลุมยอ ย ฟง 3. คณุ กิจ (สมาชิก) ในกลุม ชวยกันสกัดขุมความรู จากเร่อื งเลา เขยี นบนกระดาษ ลิปชารต 4. ชว ยกันสรปุ ขุมความรูท ส่ี กดั ไดจ ากเรื่อง ซึ่งมีจาํ นวนหลายขอ ใหก ลายเปน แกน ความรู ซ่ึงเปนหัวใจที่ทําใหง านประสบผลสําเร็จ 5. ใหแตล ะกลมุ คัดเลอื กเร่ืองเลา ทด่ี ีที่สดุ เพอ่ื นาํ เสนอในท่ีประชมุ ใหญ 6. รวมเรื่องเลาของทุกคน จัดทําเปนเอกสารคลังความรูของกองคกร หรือเผยแพรผ าน ทางเว็บไซต เพอ่ื แบง ปน แลกเปลี่ยนความรู และนํามาใชประโยชนในการทํางาน ขุมความรู คอื วิธกี ารแกป ญ หา หรือพฒั นางาน แกนความรู คือบทสรุปของขุมความรู (เรอื่ งนี้สอนใหรูวา)
~ 164 ~ ตัวอยา งเรื่องเลา ...ประสบการณค วามสําเรจ็ เรือ่ ง “อดีตเดก็ หลงผิด สผู ูนาํ ความคดิ เยาวชน ..อรรพผล บุญเลย้ี ง.. “ตอนเด็ก ๆ ชีวิตผลน่ีก็แบบสุด ๆ เหมือนกันนะ อยางตอนมัธยมตน ผมเคยโดนคดี ธนบัตร ปลอม พอมาชวงมัธยมปลายก็มาโดนคดีคาอาวุธสงคราม ซ่ึงตอนน้ันจะวาไปจริง ๆ มันไมใช ของผมนะ แตเปนของเพ่ือน ๆ ที่มาอยูกับเรามากกวา ก็จะมีปนเอ็ม 16 สองกระบอก ปน 11 มม. สองกระบอก มีลูก กระบอกสอ งวถิ ี 56 นดั สว นคดียาเสพตดิ ทโี่ ดน ผมจะมยี าบา ในครอบครอง 800 เมด็ แลว ก็กญั ชา 2 กโิ ล ชีวิตผมมันก็อยูในวงการนี้มาตลอด การจะเขาไปสัมผัสกับสิ่งเหลานีม้ ันก็เลยไมใชเรือ่ งแปลก อะไร แลวตอนน้ีโดนจับก็เปนการตกกระไดพลอยโจนมากกวา เพราะตอนน้ันเปนชวงท่ีผมหันหลังให กับ ทุกอยาง แลวก็ขึ้นจากบานที่สุราษฎรธานีมาเรียนรามคําแหง วันหน่ึงคิดถึงบานและเพ่ือน ๆ ก็ เลยกลับไป เยีย่ มเพ่อื น ตํารวจกม็ าล็อคตวั พาเขาไปบา นทันที ผมเจอขอ หาคดสี ูญกญั ชาและถกู คมุ ประพฤติ 3 ป บางครง้ั เคยเจอเหตกุ ารณห นั หลงั ชนกันกับเพ่อื น 2 คน แลวมีคนลอมรุมกระทืบกวา 20 คน สวน หนง่ึ อาจจะดวยผมเปน คนมเี พื่อนเยอะ พอใครมาขอความชวยเหลือผมก็ชวย พอใครเกิด เร่ืองอะไรข้ึนก็ตอง เขาไปชวยทุกที แตอยางที่บอกครับ ผมก็มีขีดจํากัดการชวยเหลือของผมอยู มี 2 ขอ ที่ผมจะไมเขาไปชวย นั่นคือการไปหาเรื่องคนอื่นกอน แลวก็ตองไมใชเรือ่ งผูห ญิง เพราะถาเปน 2 กรณีน้ี ผมจะไมชวยเหลือ อยา งเดด็ ขาด อยูห างบานอยูหางครอบครัว เบือ้ งหลังผมจะเปนแบบนีต้ ลอด แตพอเขาบานปุบ!! ผมก็ จะ กลายเปนลูกชายที่นารัก เปนหลานท่ีเรียบรอยในสายตายาไปในทันที เพราะอะไรเหรอครับ ก็ เพราะผมมี รางวัลเยาวชนดีเดนแหงชาติ ประจําป 2544 การันตีไงครับ ผมเปนคนเรียนเกง เคยเปน ตัวแทนของ โรงเรียนไปประกวดโครงงานวิทยาศาสตรไดที่ 1 ของประเทศ กอนจะไปแขงระดับนานาชาติ ที่ประเทศ มาเลเซยี ผลกค็ ือไดร ับรางวลั ชนะเลศิ ดา นสิง่ แวดลอมกลบั มาครับ กระทั่งชวงที่ถูกคุมความประพฤตินั่นละครับ ครอบครัวถึงรูถึงพฤติกรรมผมทั้งหมด แตเมื่อ ทุก อยางมันมาถึง ทุกคนก็ตองยอมรับ ซึ่งในใจสวนลึกตอนนั้นผมแครความรูสึกของยามาก ผมรักยา มาก เพราะทานเลี้ยงผมมาตั้ง 12 ป ผมไมอยากใหทานเสียใจ แตเมื่อเรือ่ งมันแกไขไมไดเสียแลว สิ่งที่ผมจะทํา ได คือการปรบั ปรงุ ตวั ใหม เพ่ือสรางความเชอ่ื มั่นใหท ุกคน ใหค ณุ ยา กลับมาอีกคร้ัง ผมตัดสินใจเดินทางเขากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคําแหงอยางที่ตั้งใจเอาไว โดย เลอื กคณะรฐั ศาสตร เอกการเมอื งการปกครอง ผมอยากพสิ จู นต ัวเองใหทุกคนเห็น ทั้งจะหาเงิน เรียนเองโดย ไมข อทางบา น
~ 165 ~ ผมใชเวลาเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยราคําแหง 3 ปจบ ที่สําคัญคะแนนเฉียดฉิววาจะ ได เกียรตินิยมอันดับ 1 ดวยนะครับ บางคนอาจสงสัยวา เปนไปไดยังไง เรียนไปดวยทํางานไปดวย ที่สําคัญ การทาํ งานของผม คือการหาเงนิ มาไดดว ยความสุจริต 100% ครบั งานสุจริตที่ผมทําที่แรก็คือที่บริษัทซีพี ผมทําในสวนงานประสานกิจการสัมพันธ แลวก็ทํา ออร แกไนซ ซึง่ รายไดจะอยูทีว่ ันละ 200 บาท เรียกไดวาตอนนั้นใครใชใหทําอะไรผมทําหมด ขอแต วาอยาให ผมทาํ ผดิ กฎหมาย ซง่ึ ผมทาํ งานไดป ระมาณ 3 เดือน ก็มีการขึน้ เงินใหผมเปนวันละ 500 บาท มันทําใหผม ดใี จมาก เพราะการไดทํางานที่นี่ก็เหมือนเปนการเปดโลกทัศนหลายอยางทาง ความคิดใหผมไดกาวมาถึงทุก วนั น้ี หลายคนอาจจะสงสัยวา แลวคดีควบคุมความประพฤติที่ติดตัวผมไมมีผลกับสังคม ภายนอกเหรอ สําหรับผมไมมีครับ เพราะความผิดมันไมไดติดไวที่หนาผาก มันไมไดโชวใหคนอ่ืนเห็น ในเม่ือมีคนให โอกาสผมทํางาน และทุกคนก็ใหการตอนรับผม ผมก็ตั้งใจทํางานอยางถึงที่สุด ไมมี ใครมานั่งพูดพลามถึง อดีตทีผ่ า นมาของผม ทกุ คนดทู ีก่ ารทาํ งานการปฏบิ ัตติ ัวในวนั นีข้ องผมมากกวา และจุดเปลยี่ นทส่ี ําคญั ในชวี ติ ผมกค็ ือ ชวงที่เกิดเหตุสินามิครับ ตอนน้ันผมเปนตัวแทนของ บริษัท ลงไปดูพนื้ ทบ่ี านนา้ํ เคม็ จงั หวดั พงั งา ดว ยสภาพที่เหน็ ในตอนนัน้ มันเปนสภาวะความสูญเสีย ยากจะบรรยาย จริง ๆ บานเรือน ทรัพยสิน ชีวิต รวมไปถึงการสูญเสียดานจิตใจยากที่จะเยียวยา มันเปนความรูสึกที่บอก ไมถูกจริง ๆ ย่ิงผมเห็นสภาพเด็ก ๆ ทีต่ องสูญเสียพอแมไมเหลือใคร มัน สะทอนถึงกนบึ้งของหัวใจเลย ทเี ดียว ผมลงพนื้ ทสี่ ํารวจไดพ กั หนึ่ง ก็มานัง่ คิดกับเพือ่ นวาใกลถึงวันเด็กแลว ก็นาจะมีการจัดงาน วันเด็ก ใหเด็ก ๆ ไดสนุกสนานกัน จากนั้นเราก็เริ่มออกไปประกาศทั่วพื้นที่วาจะมีการแจกของ มีการ จัดกิจกรรม วนั เดก็ ซึ่งตอนนั้นผมกับเพื่อนเราควักตังคของตัวเองเพอ่ื ไปซ้อื ของขวญั มาใหเ ดก็ ๆ กวา 70-80 คน หลังจากกลับชวยสึนามิ ผมก็เดินทางกลับเขากรุงเทพฯ มาทํางานเหมือนเดิม แตทิศทาง ความคิด เร่ิมเปล่ียน ผมอยากทํางาน อยากทํากิจกรรมในทางสรางสรรคสังคม ผมไมอยากทิ้ง ความรูสึกวาอยาก ชวยเหลือเด็ก ๆ นอ ง ๆ เยาวชน ดีที่การไปทาํ กิจกรรมที่บานน้ําเค็มผมไดเพื่อน 2 คน ซึ่งอุดมการณตรงกัน มไี อเดยี ตรงกนั จนมาตงั้ กลุม Y-ACT. ซ่ึงเราจะทํากจิ กรรมเก่ียวกบั เด็ก และเยาวชน กลมุ ของเราจะทําหนา ที่อบรมนอง ๆ ทั่วประเทศในเรื่องตาง ๆ อยางเชน กิจกรรมสรางสรรค จิต สาธารณะ การพัฒนาโครงการ ทักษะผูนํา รณรงคเร่ืองเหลา บุหร่ี เอดส รวมไปถึงการอบรม ในสวนของ หนวยงานตาง ๆ ในที่สุดผมลาออกจากงานประจํามาทํางานนี้เต็มตัว ผมมีความสุขกับ การทํางานทุกวันนี้ มาก” “คนเราทุกคนลวนยอมเคยทําผิดกันทั้งนั้น ไมมีใครที่ไมเคยทําไมผิด อยูท่ีวาเม่ือเราทําผิด แลวเรา จะใชเวลานานแคไหนในการสํานึกผิด และหันหลับมาใชบทเรียนที่ผานมา กาวมาอยูกับ ปจจุบันและ อนาคตทด่ี กี วา เดมิ ได เทานีท้ เ่ี คยทําผิดพลาดมากจ็ ะถูกลบเลอื นหายไปดว ย คณุ คา แหง ความดีทีจ่ ะพิสูจนวา ความดียอมชนะความชั่วเสมอ”
~ 166 ~ 2. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิหรอื ชมุ ชนแหงการเรียนรู (CoPs) ในชุมชนมีปญหาซับซอน ที่คนในชุมชนตองรวมกันแกไข การจัดการความรูจ ึงเปนเรือ่ งที่ ทุก คนตองใหความรวมมือ และใหขอเสนอแนะในเชิงสรางสรรค การรวมกลุม เพือ่ แกปญหาหรือรวม มือกัน พัฒนาโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรูรว มกัน เรียกวา ชุมชนนักปฏิบัติ บุคคลในกลุม จึงตองมี เจตคติที่ดีในการ แบงปนความรู นาํ ความรทู มี่ ีอยพู ัฒนากลมุ จากการลงมอื ปฏบิ ัติ และเคารพใน ความคดิ เห็นของผอู นื่ ชุมชนนกั ปฏบิ ัติคืออะไร ชุมชนนักปฏิบัติคือคนกลุมเล็ก ๆ ซึ่งทํางานดวยกันมาระยะหนึง่ มีเปาหมายรวมกัน และ ตองการทีจ่ ะแบงปนแลกเปลีย่ นความรู ประสบการณจาการทํางานรวมกัน กลุม ดังกลาวมักจะไมได เกิด จากการจัดตัง้ โดยองคกร หรือชุมชน เปนกลุม ทีเ่ กิดจากความตองการแกปญหา พัฒนาตนเอง เปนความ พยายามที่จะทําใหความฝนของตนเองบรรลุผลสําเร็จ กลมุ ทีเ่ กดิ ข้ึนไมม ีอาํ นาจใด ๆ ไมมี การกําหนดไวใน แผนภูมิโครงสรางองคกร ชุมชน เปาหมายของการเรียนรูข องคนมีหลายอยาง ดังนัน้ ชุมชนนักปฏิบัติจึง มไิ ดมีเพียงกลมุ เดยี ว แตเ กิดขนึ้ เปน จาํ นวนมาก ทัง้ นีอ้ ยูทีป่ ระเด็นเนือ้ หาทีต่ องการ จะเรียนรูร วมกันนั่นเอง และคนคนหนึ่งอาจจะเปนสมาชิกในหลายชุมชนก็ได ชมุ ชนนักปฏิบัตมิ คี วามสําคญั อยางไร ชุมชนนักปฏิบัติเกิดจากลุม ทีม่ ีเครือขายความสัมพันธทีไ่ มเปนทางการมารวมกัน เกิด จากความ ใกลชิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพันธรวมกัน การรวมตัวกันในลักษณะทีไ่ มเปนทางการ จะเอื้อตอการ เรยี นรู และการสรางความรูใหม ๆ มากกวาการรวมตัวกันเปนทางการ มีจุดเนนคือ ตองการเรียนรูร วมกัน จากประสบการณการทํางานเปนหลัก การทํางานในเชิงปฏิบัติ หรือจากปญหา ในชีวิตประจําวัน หรือ เรียนรูเ ครือ่ งมือใหม ๆ เพือ่ นํามาใชในการพัฒนางาน หรือวิธีการทํางานทีไ่ ดผล และไมไดผล การมี ปฏิสัมพันธระหวางบุคคล ทําใหเกิดการถายทอดแลกเปลี่ยนความรูฝงลึก สราง ความรู และความเขาใจได มากกวาการเรียนรูจากหนังสือ หรือการฝกอบรมตามปกติ เครือขายที่ ไมเปนทางการ ในเวทีชุมชนนัก ปฏบิ ตั ิซึ่งมสี มาชิกจากตางหนวยงาน ตางชุมชน จะชวยใหองคการ หรือชุมชนประสบความสําเร็จไดดีกวา การสื่อสารตามโครงสรางที่เปนทางการ ชุมชนนกั ปฏิบัติเกดิ ขนึ้ ไดอ ยา งไร การรวมกลุมปฏิบัติการ หรือการกอตัวข้นึ เปน ชมุ ชนนกั ปฏิบัติได ลวนเปนเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับคน คน ตอ งมี 3 ส่ิงตอ ไปนีเ้ ปนเบ้ืองตน คอื 1. ตองมีเวลา คือมีเวลาที่จะมาแลกเปลีย่ นเรียนรู มารวมคิด รวมทํา รวมแกปญหา ชวยกัน พัฒนางาน หรือสรา งสรรคส ่ิงใหม ๆ ใหเ กดิ ขึ้น หากคนที่มารวมกลุมไมมีเวลา หรือไมจัด สรรเวลาไวเพือ่ การนี้ก็ไมมีทางบที่จะรวมกลมุ ปฏิบตั ิการได
~ 167 ~ 2. ตองมีเวทีหรือพืน้ ที่ การมีเวทีหรือพื้นทีค่ ือการจัดหาหรือกําหนดสถานทีท่ ีจ่ ะใชในการ พบ กลุม การชุมชน พบปะพูดคุยสนทนาแลกเปลีย่ นความคิด แลกเปลีย่ นประสบการณตามทีก่ ลุม ไดชวยกัน กําหนดขึน้ เวทีดังกลาวอาจมีหลายรูปแบบ เชนการจัดประชุม การจัดสัมนา การจัดเวที ประชาคม เวที ขางบาน การจัดเปนมุมกาแฟ มุมอานหนงั สอื เปน ตน การจดั ใหมีเวทหี รอื พื้นท่ดี งั กลาว เปนการทําใหคนไดมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรูใน บรรยากาศ สบาย ๆ เปดโอกาสใหคนทีส่ นใจเรือ่ งคลาย ๆ กัน หรือคนทีท่ ํางานดานเดียวกันมีโอกาส จับกลุม ปรึกษา หารือกันไดโดยสะดวก ตามความสมัครใจ ในภาษาอังกฤษเรียกการชุมนุมลักษณะ น้ีวา Community of Practices หรอื เรียกยอ วา CoPs ในภาษาไทยเรียก ชุมชนนักปฏิบัติ ชุมชนนักปฏิบัติเปนคําทีใ่ ชกันโดยทัว่ ไป และมีคําอื่น ๆ ที่มีความหมายเดียวกันนี้ เชน ชุมชน แหง การเรยี นรู ชุมชนปฏิบัติการ หรอื เรยี กคํายอ ในภาษาอังกฤษวา CoPs กเ็ ปน ท่เี ขาใจกนั 3. ตองมีไมตรี คนตองมีไมตรีตอกันเมือ่ มาพบปะกัน การมีไมตรีเปนเรือ่ งของใจ การมี น้ําใจ ตอกัน มีใจใหกันและกัน เปนใจทีเ่ ปดกวาง รับฟงความคิดเห็นของผูอ ืน่ พรอมรับสิง่ ใหม ๆ ไมยึดติดอยู กบั ส่งิ เดิม ๆ มีความเอื้ออาทร พรอ มทจ่ี ะชว ยเหลือเกอ้ื กูลซึง่ กันและกัน การรวมกลุม ปฏิบัติการ จะดําเนินไปไดดวยดี บรรลุตามเปาหมายทีต่ ัง้ ใจ จะตองมีเวลา เวที ไมตรี เปนองคประกอบที่ชวยสรางบรรยากาศทีเ่ ปดกวาง และเอื้ออํานวยตอการแสดงความคิดเห็น ที่ หลากหลายในกลมุ จะทําใหไดมุมมองที่กวางขวางยิ่งขึ้น รปู แบบของเวทชี มุ ชนนกั ปฏิบัติ การแลกเปลี่ยนเรียนรูผานเวทีชุมชนนักปฏิบัติมีหลากหลายรูปแบบ เชนการมารวมกลุม กัน เพ่ือ แลกเปล่ียนความรรู ะหวางกันในรูปแบบตาง ๆ เชน การประชุม การสัมมนา การจัดเวทีประชาคม เวทีขาง บาน การจัดเปนมุมกาแฟ มมุ อานหนังสอื แตในปจจุบันมีการใชเทคโนโลยีมาใชในการสือ่ สาร ทําใหเกิด การแลกเปลย่ี นเรียนรูรวมกนั ผานทางอินเตอรเน็ต ดังนัน้ รูปแบบของการแลกเปลีย่ นเรียนรู ทีเ่ รียกวา “เวที ชุมชนนักปฏิบัติ” จึงมี 2 รูปแบบ ดงั น้ี 1. เวทีจริง เปนการรวมตัวกันเปนกลุม หรือชุมชน และมาแลกเปลีย่ นเรียนรูร วมกันดวย การ เห็นหนากัน พูดคุย แลกเปลีย่ นความคิดเห็น ทั้งแบบเปนทางการและไมเปนทางการ แต การ แลกเปลีย่ นในลักษณะนีจ้ ะมีขอจํากัดในเรื่องคาใชจายในการเดินทางมาพบกัน แต สามารถแลกเปลี่ยน เรยี นรรู วมกันไดในเชิงลกึ
~ 168 ~ 2. เวทีเสมือน เปนการรวมตัวกันเชื่อมเปนเครือขายเพื่อแลกเปลีย่ นเรียนรูรวมกันผานทาง อินเตอรเน็ต ซึง่ ในปจจุบันมีการใชอินเตอรเน็ตในการสือ่ สารหรือคนควาขอมูลกันอยาง แพรหลาย ทัง้ ในประเทศและตางประเทศ การแลกเปลีย่ นเรียนรูใ นลักษณะนีเ้ ปนการ แลกเปลีย่ นเรียนรูแ บบ ไมเปนทางการ มีปฏิสัมพันธกันผานทางออนไลน จะเห็นหนากัน หรือไมเห็นหนากันก็ได และจะมี ความรูส ึกเหมือนอยูใ กลกัน จึงเรียกวา เวทีเสมือน น่ัน คือเสมือนอยูใกลกันนัน่ เอง การแลกเปลี่ยน เรียนรูจ ะใชวิธีการบันทึกผานเว็บบล็อกซึ่ง เหมือนสมุดบนั ทกึ เลม หนึง่ ท่ีอยใู นอินเตอรเนต็ สามารถ บันทกึ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูและสง ขอมูลหากนั ไดท ุกที ทกุ เวลา และประหยัดคาใชจายเนื่องจาก ไมตอ งเดินทางมาพบกัน ชมุ ชนแหง การเรยี นรู ชุมชนแหงการเรียนรู คือการทีค่ นในชุมชนเขารวมในกระบวนการเรียนรู พรอมทีจ่ ะเปน ผูให ความรูแ ละรับความรู จากการแบงปนความรูทัง้ ในตนเองและความรูในเอกสารใหแกกันและกัน ชุมชน แหงการเรียนรูจึงมีทั้งระบบบุคคลและระดับกลุม เช่อื มโยงกันเปน เครือขา ยเพ่ือเรยี นรรู ว มกัน การสงเสริมใหชุมชนเปนชุมชนแหงการเรียนรูจ ึงตองเริ่มทีต่ ัวบุคคล เริ่มตนจากการทํา ความ เขาใจ สรางความตระหนักใหกับคนในชุมชนเปนบุคคลแหงการเรียนรู เห็นความสําคัญของการ มีนิสัยใฝ
~ 169 ~ เรียนรู สงเสริมใหเกิดการเรียนรูจ ากกิจกรรมทีร่ ัฐบาลหรือองคการชุมชนจัดให จาการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันอยางสม่าํ เสมอ จนเกิดเปนความเคยชินและเห็นประโยชนจาก ความรูท ีไ่ ดรับ เพ่มิ ขึ้น การสรางนิสัยใฝเรียนรูของบุคคล คือการใหประชาชนในชุมชนไดรับบริการตาง ๆ ที่สนใจ อยางตอเนือ่ งสม่ําเสมอ กระตุน ใหเกิดความอยากรูอ ยากเห็นเปนอันดับแรก เกิดความตระหนักถึง ความสําคัญของการศึกษาหาความรู เกิดการเรียนรูอ ยางตอเนือ่ ง เปนผูน ําในการพัฒนาดานตาง ๆ ทั้งการ เรยี นรจู ากหนงั สือ เรียนรูเพอ่ื พัฒนาอาชีพและการพัมนาคุณภาพชีวิต ดังนัน้ บุคคลถือเปนสวนหนึ่งของชุมชนหรือสังคม การสงเสริมบุคคลเปนผูใ ฝเรียนรู ยอม สงผลใหชุมชนเปนชุมชนแหงการเรียนรูด วย การสงเสริมใหชุมชนมีสวนรวมในการแลกเปลี่ยน เรียนรู รวมกันอยางสม่าํ เสมอ ทั้งเปนทางการและไมเปนทางการ จะทําใหเกิดการหมุนเกลียวของ ความรู หาก บุคคลในชุมชนเกิดความคุนเคยและเห็นความสําคัญของการเรียนรูอ ยูเ สมอ จะเปนกาว ตอไปของการพัม นาชุมชนและสังคมใหเปนสังคมแหงการเรียนรู ตัวชีว้ ัดระดบั กลมุ 1. มเี วทชี มุ ชนแลกเปลย่ี นเรียนรใู นหลายระดบั 2. มกี ลุม องคกร เครอื ขายท่ีมกี ารเรียนรรู ว มกนั อยา งตอ เนอื่ ง 3. มีชุดความรู องคความรู ภมู ปิ ญญา ทปี่ รากฏเดน ชัดและเปนประสบการณเรยี นรขู อง ชุมชน ถกู บนั ทกึ และจดั เกบ็ ไวในรปู แบบตาง ๆ 4. การจดั ทาํ สารสนเทศเผยแพรค วามรู สารสนเทศ คอื ขอมูลตา ง ๆ ท่ผี านการกลั่นกรองและประมวลผลแลว บวกกับประสบการณ ความ เชีย่ วชาญ ที่สะสมมาแรมป มีการจดั เกบ็ หรือบันทึกไว พรอมในการนํามาใชงาน การจดั ทาํ สารสนเทศ ในการจัดการความรู จะมีการรวบรวมและสรางองคความรูท ีเ่ กิดจากการปฏิบัติขึน้ มากมาย การจัดทําการสนเทศจึงเปนการสรางชองทางใหคนทีต่ องการใชความรูสามารถเขาถึง องคความรูไ ด และ กอใหเกิดการแบงปนความรูรวมกันอยางเปนระบบ ในการจัดเกบ็ เพอื่ ใหค น หา ความรูค ือไดงายขึน้ องคกร ตองกําหนดสิง่ สําคัญทีจ่ ะเก็บไวเปนองคความรู และตองพิจารณถึง วิธีการในการเก็บรักษา และนํามาใช ใหเกิดประโยชนตามตองการ องคก รตองเกบ็ รกั ษาสิ่งทอ่ี งคก ร เรยี กวา เปน ความรูไ วใหดีทีส่ ดุ
~ 170 ~ การจัดทําสารสนเทศ ควรจัดทําอยางเปนระบบ และควรเปนระบบทีส่ ามารถคนหาและ สงมอบ ไดอยางถูกตองและรวดเร็ว ทันเวลาและเหมาะสมกับความตองการ และจัดใหมีการจําแนก รายการตาง ๆ ที่อยูบ นพืน้ ฐานตามความจําเปนในการเรียนรู องคกรตองพิจารณาถึงความแตกตาง ของกลุม คนในการคน คืนความรู องคกรตองหาวิธีการใหพนักงานทราบถึงชองทางการคนหาความรู เชนการทําสมุดจัดเก็บรายชื่อ และทักษะของผูเชี่ยวชาญ เครือขายการทํางานตามลําดับชั้น การ ประชุม การฝกอบรม เปนตน สิง่ เหลานี้ จะนําไปสูการถายทอดความรูในองคกร วัตถุประสงคการจดั ทําสารสนเทศ 1. เพื่อใหมีระบบการจัดเก็บขอมูลและองคความรู อยา งเปน หมวดหมู และเหมาะสมตอ การใช งาน และสามารถคนหาไดตลอดเวลา สะดวก งาย และรวดเรว็ 2. เพือ่ ใหเกิดระบบการสื่อสาร การแลกเปลีย่ น แบงปน และถายทอดองคความรูร ะหวาง กัน ผา นส่อื ตา ง ๆ อยางมีประสิทธิภาพ 3. เพือ่ ใหเกิดการเขาถึงและเชือ่ มโยงองคความรู ระหวางหนวยงานทั้งภายในและภายนอก อยางเปนระบบ สะดวกและรวดเรว็ 4. เพื่อรวบรวม และจัดเก็บความรูจากผูม ีประสบการณ รวมถึงผูเ ชีย่ วชาญในรูปแบบตาง ๆ ใหเ ปน รปู ธรรม เพอ่ื ใหทุกคนสามารถเขาถึงความรแู ละพฒั นาตนเองใหเปนผรู ไู ด 5. เพือ่ นําเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใชเปนเครือ่ งมือในการถายทอดระหวางความรูฝงลึก กับ ความรูชัดแจง ที่สามารถเปลี่ยนสถานะระหวางกันตลอดเวลา ทําใหเกิดความรูใหม ๆ การเผยแพรค วามรู เปนการนําความรูท ีไ่ ดรับมาถายทอดใหบุคลากรในองคกรไดรับทราบ และใหมีความรู เพียงพอ ตอการปฏิบัติงาน การเผยแพรความรูจ ึงเปนองคประกอบหนึ่งของการจัดการความรู การ เผยแพรความรูมี การปฏิบัติกันมานานแลว สามารถทําใหหลายทางคือ การเขียนบันทึก รายงาน การฝกอบรม การประชุม การสัมนา จัดทําเปนบทเรียนทั้งในรูปแบบของหนังสือ บทความ วิดิทัศน การอภิปรายของเพือ่ นรวมงาน ในระหวางการปฏิบัติงาน การอบรมพนักงานใหมอยางเปนทางการ หองสมุด การฝกอบรมอาชีพและการ เปนพี่เลีย้ ง การแลกเปลีย่ นเรียนรูใ นรูปแบบอืน่ ๆ เชน ชุมชนนักปฏิบัติ เรือ่ งเลาแหงความสําเร็จ การ สัมภาษณ การสอบถาม เปนตน การถวายทอดหรือ เผยแพรความรู มีการพัฒนารูปแบบโดยอาศัย เทคโนโลยีเพือ่ การสือ่ สาร และเทโนโลยีมีการกระจาย ไปอยางกวางขวาง ทําใหกระบวนการถายทอด ความรูผานเทคโนโลยีโดยเฉพาะอนิ เตอรเ นต็ ไดร ับ ความนิยมอยางแพรหลายมากขึ้น การเผยแพรความรูแ ละการใชประโยชน มีความจําเปนสําหรับองคกร เนือ่ งจากองคกรจะ เรียนรูไ ดดี ขึน้ เมือ่ มีความรู มีการกระจายและถายทอดไปอยางรวดเร็ว และเหมาะสมทัว่ ทัง้ องคกร การเคลือ่ นทีข่ อง สารสนเทศและความรูระหวางบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งนั้น จงึ เปน ไปไดโ ดยตงั้ ใจ และไมต งั้ ใจ
~ 171 ~ กจิ กรรม 1. หากผเู รียนเปน “คณุ อํานวย” ผเู รยี นมวี ธิ กี ระตนุ ใหเพ่ือนเลา เร่ืองในเชิงลึก เพ่ือแลกเปลยี นเรยี นรู รวมกนั ไดด ว ยวธิ ใี ด .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ความรทู ่ีจําเปนในการแกปญหาหรอื พัฒนาตวั ผูเรียนคืออะไร และขอบขายความรูนั้นมีอะไรบาง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. การจัดทําสารสนเทศเพื่อเผยแพรความรู ผเู รียนคดิ วาวิธใี ดเผยแพรไ ดดที ส่ี ดุ เพราะเหตใุ ด .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
~ 172 ~ เรื่องท่ี 4 : การฝกทักษะกระบวนการจัดการความรู 1. กระบวนการจัดการความรูด วยตนเอง การจัดการความรดู วยตนเอง การจัดการความรูด วยตนเอง จะทําใหผูเ รียนเรียนรูห ลักการอันแทจริงในการพัฒนาตนเอง และ จูงใจตนเองใหกาวไปสูการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทํางาน เปนผูม ีสัมฤทธิผ์ ลสูงสุด โดยการ นําองคความรูท ีเ่ ปนประโยชนไปประยุกตใชในชีวิตจริง และการทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ และ สามารถปรับตัวทันตอโลกยุคโลกาภิวัตน มีโอกาสแลกเปลีย่ นเรียนรูป ระสบการณชีวิตและ ประสบการณ การทํางานรวมกัน มีทัศนคติทีด่ ีตอชีวิตนเองและผูอืน่ มีความกระตือรือรนและเสริมสราง ทัศนคติทีด่ ีตอ การทํางาน นําไปสูก ารเห็นคุณคาของการอยูร วมกันแบบพึง่ พาอาศัยกัน ชวยเกือ้ กูล เรียนรูซ ึง่ กันและกัน กอใหเ กิดการเปน ชมุ ชนแหงการเรียนรู ในลักษณะของทมี ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ การจัดการความรูเ ปนเรือ่ งที่เริม่ ตนที่คน เพราะความรูเ ปนสิง่ ที่เกิดมาจากคน มาจาก กระบวนการเรียนรูก ารคิดของคน คนจึงมีบทบาททัง้ ในแงของผูส รางความรูและเปนผูท ีใ่ ชความรู ซึ่ง ถา จะมองภาพกวางออกไปเปนครอบครัว ชุมชน หรือแมแตในหนวยงาน ก็จะเห็นไดวาทัง้ ครอบครัว ชุมชน หนวยงาน ลวนประกอบขึน้ มากจาคนหลาย ๆ คน ดังนัน้ หากระดับปจเจกบุคคลมีความ สามารถในการ จัดการความรู ยอมสงผลตอความสามารถในการจัดการความรูของกลุมดวย วิธกี ารเรยี นรูทีเ่ หมาะสมเพอ่ื ใหเ กดิ การจัดการความรดู วยตนเอง คือใหผูเ รียนไดเริม่ กระบวน การ เรียนรูต ัง้ แตการคิด คิดแลวลงมือปฏิบัติ และเมือ่ ปฏิบัติแลวจะเกิดความรูจ ากการปฏิบัติ ซ่ึงผู ปฏิบัติจะ จดจําทั้งสวนทีเ่ ปนความรูฝงลึกและความรูท ี่เปดเผย มีการบันทึกความรูใ นระหวางเรียนรู กิจกรรมหรือ โครงการลงในสมุดบันทึก ความรูปฏิบัติทีบ่ ันทึกไวในรูปแบบตางๆ จะเปนประโยชน สําหรับตนเองและ ผูอ ืน่ ในการนําไปปฏิบัติแกไขปญหาทีช่ ุมชนประสบอยูใ หบรรลุเปาหมาย และขัน้ สุดทาย ใหผูเ รียนได พัฒนาปรับปรุงสิง่ ทีก่ ําลังเรียนรูอยูตลอดเวลา ยอนดูวาในกระบวนการเรียนรูนัน้ มีความบกพรองใน ขน้ั ตอนใด ก็ลงมือพัมนาตรงจดุ นั้นใหด ี ทักษะการเรียนรู เพื่อจัดการความรใู นตนเอง ผูเ รียนจะตองพัฒนาตนเอง ใหมีความสามารถและทักษะในการจัดการความรูด วยตนเอง ใหมี ความรทู ่ีสูงขน้ึ ซงึ่ สามารถฝกทกั ษะเพอ่ื การเรียนรูไดดงั น้ี ฝกสังเกต ใชสายตาและหูเปนเครือ่ งมือ การสังเกตจะชวยใหเขาใจในเหตุการณหรือ ปรากฏการณน ัน้ ๆ
~ 173 ~ ฝกการนําเสนอ การเรียนรูจะกวางขึน้ ไดอยางไร หากรูอ ยูคนเดียว ตองนําความรูไปสูการ แลกเปลีย่ นเรียนรูก ับคนอืน่ การนําเสนอใหคนอืน่ รับทราบ จะทําใหเกิดการแลกเปลีย่ นความรูก ัน อยาง กวางขวาง ฝกตัง้ คําถาม คําถามจะเปนเครื่องมืออยางหนึ่งในการเขาถึงความรูไ ด เปนการตั้งคําถาม ให ตนเองตอบ หรือจะใหใครตอบก็ได ทําใหไดขยายขอบขายความคิด ความรู ทําใหรูส ึก และรูก วาง ยิง่ ขึ้นไปอีก อันเนือ่ งมาจากการทีไ่ ดศึกษาคนควาในคําถามที่สงสัยน้ัน คําถามควรจะถามวา ทําไม อยางไร ซึ่งคําถามระดับสูง แสวงหาคําตอบ ตองรูว าความรู หรือคําตอบที่ตองการนัน้ มีแหลงขอมูลใหคนควาไดจาก ที่ไหน บาง เปนความรูท ีอ่ ยูใ นหองสมุด ในอินเตอรเน็ต หรือเปนความรูท ีอ่ ยูใ นตัวคน ที่ตองไปสัมภาษณ ไป สกัดความรูออกมา เปน ตน ฝกบูรณาการเชือ่ มโยงความรู เนือ่ งจากความรูเ รือ่ งหนึ่งเรื่องใดไมมีพรมแดนกั้น ความรูน ั้น สัมพันธเชื่อมโยงกนั ไปหมด จึงจําเปนตองรูความเปนองครวมของเรือ่ งนัน้ ๆ อยางยกตัวอยางปุย หมัก ไม เฉพาะแตมีความรูเรือ่ งวิธีทําเทานั้น แตเชือ่ มโยงการกําหนดราคาไวเพื่อจะขาย โยงไปที่วิธีใช ถาจะ นําไปใชเอง หรอื แนะนําใหผ อู ื่นใช โยงไปถึงบรรจุภัณฑวาจะบรรจุกระสอบแบบไหน ทุกอยาง บูรณาการ กนั หมด ฝกบันทึก จะบันทึกแบบจดลงสมุด หรือเปนภาพ หรือใชเครือ่ งมือบันทึกใด ๆ ก็ได ตอง บนั ทกึ ไว บันทึกไวปรากฏรองรอยหลักฐานของการคิดการปฏิบัติ เพือ่ การเขาถึงและการเรียนรูข อง บุคคล อน่ื ดว ย การฝกเขียน เขียนรายการของตนเองใหเปนประโยชนตอการเรียนรูของตนเองและผูอื่น งาน เขยี นหรือขอ เขียนดงั กลาวจะกระจายไปเพ่อื แลกเปลย่ี นเรยี นรกู ับผูค นในสังคมที่มาอานงานเขียน ขั้นตอนการจัดการความรดู ว ยตนเอง ในการเรยี นรเู พื่อจดั การความรูใ นตัวเอง นอกจากวิเคราะหตนเองเพือ่ กําหนดองคความรู ทีจ่ ําเปน ในการพัฒนาตนเองแลวนัน้ การแลกเปลี่ยนเรียนรูเพือ่ ใหไดมาซึง่ ความรู เปนวิธีการคนหา และเขาถึง ความรูท ี่งายเปนการเรียนรูท างลัด นัน่ คือ ดูวาทีอ่ ืน่ ทําอยางไร เลียนแบบ best practice และทําใหดีกวา เมือ่ ปฏิบัติแลวเกิดความสําเร็จแมเพียงเลกนอยก็ถือวาเปน best practice ในขณะนัน้ กระบวนการเรียนรู เพื่อพัฒนาตนเองสามารถดําเนินการตามขั้นตอนตาง ๆ ได ดงั น้ี
~ 174 ~ 1. ขั้นการบงชีค้ วามรู ผูเรียนวิเคราะหตนเอง เพื่อรูจุดออน จุดแข็งของตนเอง กําหนด เปาหมายในชีวิต กําหนดแนวทางเดินไปสูจุดหมาย และรูว าความรูท ีจ่ ะแกปญหาและพัฒนาตนเอง คือ อะไร 2. ขัน้ สรางและแสวงหาความรู ผูเ รียนจะตองตระหนักและเห็นความสําคัญของการ แสวงหา ความรู เขาถึงความรูท ีต่ องการดวยวิธีการทีห่ ลากหลาย แหลงเรียนรูท ีใ่ ชในการแสวงหาความรู ไดแกการ ใชเทคโนโลยีสารสนเทศ การแสวงหาความรูจ ากผูเ ชีย่ วชาญ ภูมิปญญาทองถิน่ และเพื่อน โดยยอมรับใน ความรูค วามสามารถซึง่ กันและกัน และตองใชทักษะตาง ๆ เพือ่ ใชในการสรางความรู เชนฝกสังเกต ฝก การนาํ เสนอ ฝก การต้ังคําถาม ฝกการแสวงหาคําตอบ ฝกบรู ณาการเชื่อมโยง ความรู ฝกบันทึก และฝก การเขียน 3. การจัดการความรูใ หเปนระบบ จัดท่าํ สารบัญจัดเก็บความรูป ระเภทตาง ๆ ทีจ่ ําเปน ตองรู และนําไปใชเพือ่ การพัฒนาตนเอง การจัดการความรูใ หเปนระบบจะทําใหเก็บรวบรวม คนหา และนํามา ใชไดงา ย รวดเรว็ 4. ขั้นการประมวลและกลัน่ กรองความรู ความรูท ี่จําเปนอาจตองมีการคนควา และ แสวงหา เพม่ิ เติม เพื่อใหความรูมีความทันสมัย นาํ ไปปฏิบตั ไิ ดจ รงิ 5. การเขาถึงความรู เมือ่ มีความรูจ ากการปฏิบัติแลว มีการเก็บความรูใ นรูปแบบตาง ๆ เชน สมุดบันทึกความรู แฟมสะสมงาน วารสาร หรือใชเทคโนโลยีในการจัดเก็บรูปแบบเว็บไซด วิดีทัศน แถมบนั ทกึ เสียง และคอมพวิ เตอร เพอ่ื ใหต นเองและผูอ่นื เขาถงึ ไดง า ยอยางเปน ระบบ 6. ขนั้ การแบงปนแลกเปลยี่ นความรู ผูเรียนตองเขารวมกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรูก ับ เพื่อน ๆ หรือชุมชน เพื่อเรียนรูร วมกัน อาจเปนลักษณะของการสัมมนา เวทีเรือ่ งเลาแหงความสําเร็จ การศึกษาดู งาน หรือแลกเปลี่ยนเรียนรูผานทางอินเตอรเ นต็ เปน ตน 7. ขน้ั การเรยี นรู ผูเรยี นจะตองนําเสนอความรูในโอกาสตาง ๆ เชนการจัดนิทรรศการ การพบ กลุมการเขาคาย หรือการประชุมสัมมา รวมทัง้ มีการเผยแพรความรูผ านชองทางตาง ๆ เชน วารสาร เว็บ ไซด จดหมายขาว เปน ตน ความสําเรจ็ ของการจัดการความรูดวยตนเอง 1. ผูเรยี นเกิดการเรยี นรูตามแผนพฒั นาตนเองทไี่ ดกําหนดไว 2. ผเู รียนตระหนกั ถงึ ความรับผิดชอบในการพมั นาตนเองเพ่อื เรยี นรวู ิชาตาง ๆ อยางเขาใจ และนํามาใชประโยชนในชีวิตประจําวันได 3. ผูเรียนมคี วามรทู ีท่ ันสมัย เหมาะสมกับสถานการณปจ จบุ นั สามารถปรับตวั ใหอยูใ น สังคมได
~ 175 ~ ตวั อยางการจดั การความรูของ “เอก 009” คุณคงเคยไดยินคนพูดวา “ไมมีเวลา” นีเ่ ปนคําพูดทีแ่ ปลกมาก เปนคําพูดทีบ่ อกถึง ความหมาย ในตวั ของมนั เอง โดยไมตองการคําอธิบายใด ๆ สาํ หรบั เวลาแลว คนท่ีไมม ีเวลาแลว คนทีไ่ มมีเวลาคือคน ตาย ดังนัน้ ถาคุณยังหายใจ แสดงวาเวลายังเดินอยู แตไมตองเรงรีบเสียจนมาก เกินไป และควรรูว าตอน ไหนควรรีบ และถารีบแลวก็ตองทําใหดี เพราะเวลาทีค่ นเราทําอะไรเร็ว ๆ มักจะมากับความลวก ซ่ึง จะตองใชเวลาในการเขาแกไขปญหา ผมวิเคราะหดูตนเอง จึงพบวา ทําไม 1 วัน ผมจึงมีเวลาเพียงนอย นดิ ปญ หาหลกั ๆ คือผมเสียเวลาไปกับการนอนตืน่ สาย เลมเกม ดูทีวี เลนเน็ต และขี้เกียจนั่นเอง ดังนัน้ ผมจึงคิดวา วิธีแกอยทู ี่ตัวเราเอง ผมจงึ รวู าเราควรทาํ ในส่งิ ทตี่ รง กันขา ม น่ันคอื 1. ผมตื่นเชา ตอนแรก ๆ อาจจะยากนิดหนึง่ เริ่มจากนอนกอน 4 ทุมทุกวัน รางกาย จะต่ืน เอง 05.00 น. และเราก็ไมนอนสัปหงก แตใหตืน่ เลย หรือถาเราไมมีแรงใจ หรือไมรูว า ตืน่ มาแลวจะทํา อะไรดี ใหเราสํารวจเน็ตวามีกิจกรรมอะไรดี ๆ ทีเ่ ราไปรวมตอนเชาได และนัดกลุม ผูท ีจ่ ะทํากิจกรรมใน ตอนเชา ทําใหเรามีแรงจูงใจในการตืน่ นอนเชา กิจกรรมทีผ่ มทําเปนประจํา คือ ปน จักรยาน หรืออาจไป วิ่งตอนเชา เพื่อหากลุมเพื่อนใหม ๆ กลุมเพ่ือนใหม ๆ คงนาจะไมใชรุน เดียว กัน แตเปนผูใ หญทีเ่ ราจะ สามารถคยุ และแลกเปลี่ยนประสบการณการทํางาน แลวเราก็จะไดความรู อะไรอีกเยอะ เปรียบเหมือนการ เรียนรูท ีไ่ มหยุดนิ่ง ยิง่ รูจ ักคนมากขึน้ เราก็จะไดประสบการณตาง ๆ จากคนทีร่ ูจ ักมากมาย วาเคาเคยเปน อะไร ทําอะไรมา บางครัง้ คนที่เราอยากไปรวมกิจกรรมดวย อาจจะสรางความเปลีย่ นแปลงในชีวิตเราได เชนเคาอาจจะกําลังตามหาคนที่มีความสามารถ บางอยาง แลวบังเอิญไดมาเจอกันตอนออกกําลังกาย ซ่ึง ผมเองก็ไดประโยชนจากตรงนีเ้ ยอะมาก ซึง่ การทีเ่ ราไดทีป่ รึกษาแบบความเปนเพื่อน ทําใหมีความจริงใจ และไดรับคําปรึกษาฟรี เรอ่ื งบางอยาง เราคนหาจากเอกสาร จากอินเตอรเน็ต ไมเจอ แตกลับไปเจอเอางาย ๆ ตอนออกกําลังกาย นัน่ เพราะ เราได เจอผูค นมากมายทีพ่ รอมจะเปนมิตร และแลกเปลีย่ นประสบการณ กนั นําพาซึ่งโอกาส อันมากมายชักนําเราไปสูอนาคตที่ดี และเราตองพาตัวเราไปออกไปหามันกอน 2. เลิกเลนเกม เกมไมวาจะเปน offline หรือ online ก็ไมตางกัน อาการติดเกมผมก็ เคยเปน วัน ๆ นัง่ คุยแตเรือ่ งเกม ซือ้ หนังสือเกม การตูน จดจอแตเรื่องเกม ผมสรุปออกมาวาเกม เปนกิจกรรมที่ สิน้ เปลืองเวลามาก ๆ และประโยชนทีไ่ ดชางนอยนิดจนไมคุม คาทีจ่ ะไปเสียเวลาเลน อาการติดเกมเหมือน ติดยาเสพติด อยากเลน ตืน่ มาก็เลน กินเสร็จเลนตอ หมดแรงก็นอน ตืน่ มาก็ เลนอีก ชีวิตแทบไมไดทํา อะไรเลย การเลิกเลนเกมของผมโดยการทํางานใหมากขึ้นจนไมมีเวลาเลนเกม และยิ่งทํางานมากก็ยิ่งไดเงิน มาก ผมจึงไมม เี วลาหนั หลงั กลบั ไปเลน เกมอีก มุงมั่นทํางาน โลกจรงิ ๆ หาเงินจริง ๆ ไมใชเงินในเกม หา เพื่อนจริง ๆ ที่คุยกันแบบเห็นหนาเห็นตา ทําอะไรทีม่ ันเปนจริง สัมผัสได ไมใชโลกจอมปลอมทีเ่ ด็ก ๆ หลงใหล และถอนตัวไมข ึน้ นอกจากการทํางานคือการออก กําลังกาย และไดไปเท่ียวดวยกัน นัน่ คือ การ ปนจักรยานทางไกล เพราะเราตอ งซอ มปน เพอ่ื ไป ออกทริปทางไกล ตอนทผ่ี มเลิกเลน เกม เปนชวงที่ผมไม รูสึกตัววาผมเลิกเลน แตผ มมารูสกึ ตัวอกี ครัง้ ก็ตอนทีผ่ มไมคิดจะกลับไปเลนมันอีกแลว เพราะการที่ผมได
~ 176 ~ ออกไปพบปะพูดคุยกับกลุม เพือ่ นใหม ๆ คนจริง ๆ ไดทํากิจกรรมในโลกแหงความเปนจริงรวมกัน มันดี กวาโลกของเกมเยอะเลย และผมคิดวา ถาเด็ก ๆ ทุกคนถาไดมีโอกาสไปทํากิจกรรมทีส่ นุกสนานกับเพื่อน ตา งวัย กน็ า จะชว ยใหห า งเหนิ จาก โลกของเกมได และคนพบตัวเองวายังมีกิจกรรมอีกเยอะแยะทีด่ ีกวาการ นัง่ เลนเกม 3. ดูทีวี การติดทีวี หรือละคร หรือเกมโชวชวงดึก เมือ่ กอนผมก็ติดแบบตองดูใหได แต ปจจุบันผมก็แทบไมไดดูทีวีเลย 1 อาทิตยดูไมเกิน 3 ช่ัวโมง เพราะกิจกรรมอื่น ๆ นอกบานและ การ ทํางานที่เราใสใจ เราใสความรับผิดชอบในงาน กลับถึงบานมีแรงเหลือ การดูทีวี เชนขาว ก็อาจจะติดตาม เฉพาะชวงสรุปขาว และขา วไหนทเ่ี จาะลกึ หรอื สนใจเปน พเิ ศษ ผมก็จะคน เพ่ิมเติมจาก Internet 4. การเลนเน็ต มีหลายเว็บไซดทีใ่ หความรูท ีด่ ี การหาความรูเ พิม่ เติมใหกับตนเอง ผานเน็ต มี เว็บบอรดอีกมากมายที่มีความรูใ หเราเขาไปขุด ดักจับเอามาใช เพียงแตเราตองรูจ ักจํากัด เวลาในการเลน เน็ต และเลือกอานทีม่ ีสาระ และมีประโยชนกับเราจริง ๆ สิง่ ทีผ่ มหาความรูจ ากเน็ตอยู ตลอด คือ การศึกษาภาษาอังกฤษ โดยการฟงเพลงที่เราชอบ เราแปลไมออกเราก็หาคําแปลในเน็ต และฝกรองไปดวย การแปลเพลงตาง ๆ และการฝกรองเพลง ชวยพัฒนาทักษะดานภาษาไดดีเยีย่ ม ผมคิดวาเปนบทเรียนที่ดี ส่ิงท่ีผมไมท ําในการเลนเน็ต คือ เลิกเปดเว็บที่เกีย่ วกับเกม การตูน ทุกชนิด เลิกดูดวง เลิกอานขาวซุบซิบ นนิ ทา 5. ความขีเ้ กียจ สิ่งนี้มันฝงตัวอยูใ นมนุษยทุกตัวตนที่อับจน แรนแคน เฝาคิด ภาวนา ถึงแต ความสุขสบาย ความร่ํารวย แตกลับไมล งมอื อะไรเลย เฝา แตข อเงิน หรอื หวงั จะทํานอยแต ไดเยอะ ทําเร็ว ๆ ลวก ๆ แตไ รซ ง่ึ คณุ ภาพ ความขีเ้ กียจเมือ่ กอนผมก็มีขี้เกียจนะ จนผมคิดวา ทําไมตองทําโนน ทํานีด่ วย เราก็อยูแบบสกปรก ๆ ของเราไป ตัวเรารับได คนอืน่ จะรูส ึกยังไงก็ชาง ไมไดอยูก ับเรานี่ ก็ปลอยใหทีอ่ ยู อาศัยสกปรกรุงรัง และเมืผ่ มเริม่ ทํางานจริงจัง เริม่ ใชชีวิตในโลกแหง ความเปนจริง เริม่ พบเจอผูคนมาก ขึ้นโดยเฉพาะคนที่ประสบความสําเร็จในชีวติ ส่ิง ๆ หนึง่ ที่เคา เหลานัน้ มีเหมือนกันก็คือ ความสะอาด คน ทหี่ าเงนิ ไดเ ยอะ ๆ จะใชเวลาสว นหนงึ่ ของชวี ิตเพื่อรกั ษา ความสะอาดพื้นที่รอบ ๆ ตัวเอง โดยคนเหลานัน้ จะไมชอบความสกปรก ความไมเปนระเบียบ แต ถาตองใหเขาอยูก ับคนสกปรก หรือไมมีระเบียบ เคาจะ ยอมรับไมได หากเราจะทํางานกับเขา เรา ก็ตองทําตัวเองใหสะอาด เปนระเบียบ การปฏิบัติตัวงาย ๆ ถา หากขีเ้ กียจ ก็กําจัดความสกปรกออกไป แบงเวลาวันละ 30 นาที หรืออาจจะเริม่ จากวันละ 10 นาทีกอน โดยตัง้ ใจวา เวลา 10 นาทีนี้ จะเปนเวลาทีพ่ ิเศษที่สุดในชีวิตของเราทุกวัน คือเราจะทําใหบานเราสะอาด เริม่ จาก 1 หองน้าํ กอน (ดูเหมือนวาจะงายและเห็นผลเร็ว) เทน้าํ ยาขัดหองน้าํ แลวขัด ๆๆๆ ภายใน 10 นาที เราก็จะรูว า งายมาก ทําทุกวันยังไดเลย เมือ่ ขัดหองน้าํ แลว ก็เก็บกวนดบาน เริม่ จากการจํากัดพืน้ ที่ กอ น เชน 10 นาทตี อ ไปนี้ เราจะเก็บโตะทํางาน ซึง่ เมือ่ ทําจริง ๆ แลวจะเกิน 10 นาที แตผมก็มักจะเก็บ ตอ จนเสร็จ แตปญหาสําคัญของการเริม่ ตนเขาสูก ารเปนคนรักสะอาด คือเราตองรูจ ักการจัดการ ตอง มี เครื่องมือ เชน เพิ่มชนั้ วางของ ซื้อถังขยะมาไวใช ถาอยากเก็บของก็หากลอง หรือลังมาใส
~ 177 ~ อยาปลอยเวลาใหผานไปกับกิจกรรมเดิม ๆ เชนเลมเกม ดูทีวี เลนเน็ต Chat ดูดวง เมื่อ อะไร ๆ รอบตัวสะอาดขึ้นมา จิตใจเราก็จะแจมใส และสมองปลอดโปรง มีกะจิตกะใจทํางานให ไดมากขึน้ งานท่ี ออกมากเ็ ปย มไปดวยคณุ ภาพ คุม กับเวลาที่เสยี ไป ทีผ่ มพูดมานี้ เพราะผมทําได มากกวา 500,000 บาทตอ เดอื น 2. การสรปุ องคค วามรูและการจัดทาํ สารสนเทศการจัดการความรูดวยตนเอง การสรปุ องคความรู การจัดการความรู เรามุง หา “ความสําเร็จ” มาแลกเปลี่ยนเรียนรู เรามุงหาความสําเร็จใน จุดเล็ก ๆ จุดนอยตา งจดุ กนั นาํ มาแลกเปล่ียนเรยี นรู เพื่อใหเกิดการขยายผลไปสคู วามสาํ เร็จท่ี ใหญข น้ึ องคความรูเปนความรูจากการปฏิบัติ เรยี กวา “ปญญา” กระบวนการเรียนรูเ ปดโอกาสให ผูเรียน เปนผูส รางความรูดวยตนเอง สังเกตสิง่ ทีต่ นอยากรู ลงมือปฏิบัติจริง คนควาและแสวงหาความรู เพ่ิมจน คนพบความจริง สรางสรรคเกิดเปนองคความรูแ ละเกิดประสบการณใหม การเรียนรูแ บบนี้ จะสงเสริมให ผูเรียนไดพัฒนาความสามารถในการคิด สูก ารปฏิบตั ิ และเกิด “ปญ ญา” หรอื องค ความรูเฉพาะของตนเอง องคความรูม ีอยูอ ยางมากมาย การปฏิบัติงานจนประสบผลสําเร็จ รวมทัง้ การแกปญหาตาง ๆ ท่ี เกิดขึ้นในระหวางการทํางานที่สงผลใหงานสําเร็จลุลวงตามเปาประสงค ถือวาเปนองค ความรูทีเ่ กิดขึ้น ทง้ั สิ้น และเปนองคความรูที่มีคาตอการเรยี นรูทง้ั ส้ิน การสรุปองคความรูม ีความสําคัญตอกระบวนการจัดการความรูเ ปนอยางยิง่ เพราะการสรุป องค ความรูจ ะเปนการตอยอดความรูใ หกับตนเองและผูอ ืน่ หากบุคคลอื่นตองการความชวยเหลือใน การ แกปญหาบางเรื่อง เราจะใชความรูท ่ีมอี ยูชวยเหลือเพื่อนไดอยางไร และเมือ่ เราจะเริม่ ตนทําอะไร เรารูบ าง ไหมวามีใครทําเรือ่ งนีม้ าบาง อยูทีไ่ หนในชุมชนของเรา เพือ่ ที่เราจะทํางานใหสําเร็จไดงายขึน้ และไมทํา ผดิ ซ้าํ ซอน การดําเนินการจัดการองคความรู อาจตองดําเนินการตามขั้นตอนตาง ๆ ดงั น้ี 1. การกําหนดความรูหลักที่จาํ เปน หรือสําคัญตองาน หรอื กจิ กรรมของกลมุ หรอื องคก ร 2. การเสาะหาความรูที่ตองการ 3. การปรับปรุง ดดั แปลง หรือสรางความรูบางสวนใหเหมาะตอการใชงานของตน 4. การประยุกตใชความรูในกิจกรรมงานของตน 5. การนําประสบการณจากการทํางาน และการประยุกตใชความรมู าแลกเปลย่ี นเรียนรู และสกัดขุมความรู ออกมาบันทึกไว 6. การจดั บนั ทกึ “ขุมความรู” และ “แกน ความรู” สําหรับไวใชงาน และปรับปรุงเปนชุด ความรูที่ครบถวน ลมุ ลึก และเชื่อมโยงมากขึ้น เหมาะตอการใชงานมากขึ้น
~ 178 ~ การจัดการความรูเพื่อใหเกิดองคความรูที่ตองการ เร่ิมจากการกําหนด “เปาหมายของงาน” น่ัน คอื การบรรลุผลสัมฤทธิ์ ในการดาํ เนินการตามทก่ี าํ หนดไว คอื 1. การตอบสนอง คือการสนองตอบความตองการของทุกคนที่เกี่ยวของ 2. การมนี วตั กรรม คอื 1) นวัตกรรมในการทํางาน 2) นวัตกรรมทางผลงาน 3. ขีดความสามารถ คือการมีสมรรถนะที่เกิดจากการเรียนรูของตนเอง 4. ประสทิ ธิภาพ คือองคความรู หรือคลังความรู การจดั ทาํ สารสนเทศการจดั การความรดู วยตนเอง การจัดการความรูด วยตนเอง องคความรูก ็ยังอยูในสมองคนในรูปของประสบการณจาก การทํางานทีป่ ระสบผลสําเร็จนั้น เราตองมีการถอดองคความรูซึง่ อาจไหลเวียนองคความรูจ าก คนสูค น หรือจากคนมาจัดทําเปนสารสนเทศในรูปแบบตาง ๆ เพื่อใหคนเขาถึงความรูไ ดงายและ นําไปสูก ารปฏิบัติ ได โดยการนําความรูท ี่ไดมาจัดเก็บเปนหมวดหมูข องความรู การชีแ้ หลงความรู การสราง เครือ่ งมือใน การเขาถึงความรู การกรองความรู การเชือ่ มโยมความรู การจัดระบบองคความรูย ัง หมายรวมถึงการทําให ความรูล ะเอียดชัดเจนขึน้ องคความรูอ าจจัดเก็บไวในรูปแบบตาง ๆ เชน บันทึกความรู แฟมสะสมงาน เอกสารจากการถอดบทเรียน แผน ซดี ี เวบ็ ไซด เวบ็ บลอ็ ก เปนตน 3. กระบวนการจัดการความรดู ว ยการรวมกลมุ ปฏิบตั กิ าร กระบวนการจัดการความรูด วยกลมุ ปฏิบัติการ ในยคุ ของการเปลีย่ นแปลงท่ีรวดเรว็ นนั้ ปญหาจะมีความซับซอนมากขึ้น เราจําเปนตอง มีความรู ที่หลากหลาย ความรูส วนหนึง่ อยูในรูปของเอกสาร ตํารา หรืออยูใ นรูปของสือ่ อิเล็กทรอนิกส เชน เทป วิดีโอ แตความรูท ี่มีอยูม ากทีส่ ุดคืออยูใ นสมองคน ในรูปแบบของประสบการณ ความจํา การทํางานที่ ประสบผลสาํ เร็จ การํารงชีวิตอยูในสังคมปจจุบันจําเปนตองใชความรูอยางหลากหลาย นําความรูห ลายวิชา มาเชื่อมโยง บูรณาการใหเกิดการคิด วิเคราะห สรางความรูใหมจากการแก ปญหาและพัมนาตนเอง ความรูบางอยางเกิดขึน้ จากการรวมกลุม เพื่อแกปญหา หรือพัฒนาในระดับ กลุม องคกร หรือชุมชน ดังนนั้ จงึ ตอ งมีการรวบกลมุ เพอ่ื จดั การความรูรวมกนั
~ 179 ~ ปจ จัยที่ทาํ ใหการจดั การความรดู วยการรวมกลมุ ปฏิบตั ิการประสบผลสําเรจ็ 1. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในกลุม คนในกลุม ตองมีเจตคติทีด่ ีในการแบงปน ความรู ซง่ึ กนั และกนั มคี วามไวเ น้อื เชือ่ ใจกัน ใหเ กียรตกิ ัน และเคารพความคิดเห็นของคนในกลุมทุกคน 2. ผูนํากลุม ตองมองวาคนทุกคนมีคุณคา มีความรูจากประสบการณ ผูน ํากลุม ตอง เปน ตนแบบในการแบงปนความรู กําหนดเปาหมายของการจัดการความรูในกลุมใหชัดเจน หาวิธีการ ใหคนใน กลุม นําเรื่องทีต่ นรูอ อกมาเลาสูก ันฟง การใหเกียรติกับทุกคนจะทําใหทุกคนกลาแสดงออก ในทาง สรา งสรรค 3. เทคโนโลยี ความรูท ีเ่ กิดจากการรวมกลุม ปฏิบัติการเพือ่ ถอดองคความรู ปจจุบันมี การใช เทคโนโลยีมาใชเพือ่ การจัดเก็บ เผยแพรความรูก ันอยางกวางขวาง จัดเก็บในรูปของเอกสารใน เว็บไซด วดิ โี อ VCD หรือจดหมายขาว เปนตน 4. การนาํ ไปใช การติดตามประเมินผล จะชว ยใหท ราบวา ความรูท ีไ่ ดจากการรวมกลุม ปฏิบัติ มีการนําไปใชหรือไม การติดตามผลอาจใชวิธีการสังเกต สัมภาษณ หรือถอดบทเรียนผู เกี่ยวของ ประเมินผลจากการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ในกลุม เชนการเปลีย่ นแปลงทางดานความคิด ของคนในกลุม พฤติกรรมของคนในกลุม ความสัมพันธ ความเปนชุมชนทีร่ วมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยน ความรูก ันอยาง สม่ําเสมอ รวมทัง้ การพัฒนาดา นอ่นื ๆ ทสี่ งผลใหกลุม เจริญเติบโตขึ้นดว ย กระบวนการจัดการความรูด ว ยกลุมปฏิบัติการ มีขนั้ ตอนดงั นี้ 1. การบงชีค้ วามรู สํารวจปญหา วิเคราะหปญหาภายในกลุม แยกปญหาเปนขอ ๆ เรียง ตามลําดับความสําคัญ กําหนดความรูทีต่ องใชในการแกปญหา ความรูน ัน้ อาจอยูใ นรูปของเอกสาร หรือ อยทู ่ีตัวบุคคลผทู ่ีเคยปฏิบัติในเร่อื งน้นั และสําเร็จมาแลว 2. การสรางและแสวงหาความรู เมื่อกําหนดองคความรูท ีจ่ ําเปนในการแกปญหาหรือ พัฒนา แลว ทําการสํารวจและแสวงหาความรูที่ตองการจากหลาย ๆ แหลง 3. การจัดการความรูใหเปนระบบ นําขอมูลทีไ่ ดจากการแสวงหาความรู มาจัดใหเปน ระบบ เพอ่ื แยกเปน หมวดหมู เพื่อใหงา ยตอการวเิ คราะหและตัดสนิ ใจในการนําไปใช 4. การประมวลและกลนั่ กรองความรู ในยุคที่สังคมเปลีย่ นแปลงไปอยางรวดเร็ว และมี การนํา เทคโนโลยีมาใชเพือ่ การเรียนรูและการบริหารจัดการมากขึ้น ความรูบ างอยางอาจลาสมัย ใช แกปญหา ไมไดในสมัยนี้ ตองมีการประมวลและกลัน่ กรองความรูก อนนํามาใช ความรูท ีผ่ านการปฏิบัติ จนประสบ ผลสําเร็จมาแลว ถือเปนความรูท ีส่ ําคัญเนือ่ งจากมีบทเรียนจากการปฏิบัติ และหาเปน ความรูต ามทีเ่ รา ตองการก็สามารถนํามาประยุกตใชในกลุมได 5. การเขาถึงความรู สมาชิกในกลุม ทุกคนควรจะเขาถึงความรูไดทุกคน เนือ่ งจากทุกคน มี ความสําคัญในการแกปญหา พัฒนา รวมทัง้ เปนผูส รางพลังใหกับกลุม การแกปญหาไมได หมายความวา ผูนํากลุม คนเดียวสามารถแกปญหาไดหมด ทุกคนควรมีสวนรวมในการแกปญหา ความรูทีจ่ ําเปนในการ
~ 180 ~ แกป ญ หาหรอื พฒั นากลุม ตองมีการจัดการใหทุกคนสามารถเขาถึงความรู ไดงาย หากเปนกลุม ปฏิบัติการ การเขาถึงความรูไดงาย คอื การแลกเปลี่ยนเรียนรูในตัวคน การศึกษาดูงานกลุมอ่ืน การศึกษาหาความรูจาก เวบ็ ไซด หรือการนําเอกสารมาใหสมาชิกไดอาน 6. การแบงปนแลกเปลี่ยนความรู ความรูส วนใหญจะอยูใ นสมองคนซึง่ เปนผูป ฏิบัติ ไม สามารถถายทอดออกมาเปนความรูท ีช่ ัดแจง ในรูปของเอกสาร หรือสื่ออ่ืน ๆ ท่ีจับตองได การ แลกเปลีย่ นเรียนรูจ ึงมีความสําคัญอยางมากในการดึงความรูท ีอ่ ยูใ นตัวคนออกมา เปนการตอยอด ความรู ใหแ กก นั และกนั การแลกเปลี่ยนแบงปนความรูรวมกัน ทาํ ไดห ลายวธิ ี เชนการประชุม สัมมนา การศึกษา ดูงาน การเปน พเ่ี ล้ยี งสอนงาน หรอื การรวมกลมุ ชุมชนนักปฏบิ ตั เิ ฉพาะเร่ืองท่ีสนใจ 7. การเรียนรู สมาชิกในกลุม เกิดการเรียนรูร วมกัน การไดแลกเปลีย่ นประสบการณก็ถือ เปนการ เรยี นรู นั่นคือเกิดความเขาใจและมีแนวคิดในการนําไปปรับใช หากมีการนําไปใชโดยการ ปฏิบัติจะสงผล ใหผูป ฏบิ ตั เิ กดิ การเรยี นรมู ากยงิ่ ข้นึ เพราะในระหวางการปฏิบัติจะมีปญหาเขามาให แกไขเปนระยะ ๆ การ ทําไปแกปญหาไป เปนการเรียนรูท ีด่ ี และเมือ่ ปฏิบัติจนเกิดผลสําเร็จ อาจเปน ผลสําเร็จทีไ่ มใหญโต สําเร็จในขัน้ ทีห่ น่ึง หรือขัน้ ทีส่ อง ก็ถือเปนผลสําเร็จจาการปฏิบัติทีเ่ ปนเลิศ หรือ best practice ของผู ปฏิบตั นิ นั่ เอง 4. การสรุปองคความรแู ละการจดั การทําสารสนเทศการจดั การความรดู วยการ รวมกลุม ปฏิบัตกิ าร การรวมกลุม ปฏบิ ัตกิ าร ในการปฏิบัติงานแตละครั้ง กลุม จะตองมีการสรุปองคความรูเ พือ่ จัดทําเปนสารสนเทศ เผยแพร ความรูใ หกับสมาชิกกลุม และกลุมอื่น ๆ ที่สนใจในการเรียนรู และเมือ่ มีการดําเนินการจัดหา หรือสราง ความรูใหมจากการพัฒนาขึ้นมา ตอ งมีการกําหนดสิง่ สําคัญทจ่ี ะเก็บไวเปนองคความรู และตองพิจารณาถึง วธิ กี ารในการเก็บรักษาและนํามาใชใหเกิดประโยชนตามความตองการ ซ่ึงกลมุ ตองจัดเก็บองคความรูไ วให ดีที่สุด ไมวาจะเปนขอมูลขาวสารสนเทศ การวิจัย การพัฒนา โดยตอง คํานึงถึงโครงสรางและสถานที่ หรือฐานของการจัดเก็บ ตองสามารถคนหาและสงมอบใหอยางถูกตอง มีการจําแนกหมวดหมูข องความรู ไวอ ยา งชัดเจน การสรุปองคความรูดว ยการรวมกลมุ ปฏิบตั กิ าร การจัดการความรูก ลุมปฏิบัติการ เปนการจัดการความรูข องกลุม ทีร่ วมตัวกัน มีจุดมุงหมาย ของ การทํางานรวมกันใหประสบผลสําเร็จ ซง่ึ มกี ลมุ ปฏิบัติการ หรือที่เรียกวา “ชุมชนนักปฏิบัติ” เกิดขึน้ อยาง มากมาย เชน กลุม ฮักเมืองนาน กลุม เลีย้ งหมู กลุม เลีย้ งกบ กลุมเกษตรอินทรีย กลุม สัจจะออมทรัพย หรอื กลุมอาชีพตา ง ๆ ในชุมชน กลุมเหลาน้ีพรอ มท่จี ะเรียนรูแ ละแลกเปลีย่ น ประสบการณซ งึ่ กนั และกัน
~ 181 ~ องคความรูจึงเปนความรูและปญญาทีแ่ ตกตางกันไปตามสภาพและบริบทของชุมชน การสราง องคความรูหรือชุดความรูของกลุมไดแลว จะทําใหสมาชิกกลุมมีองคความรูหรือชุดความรู ไวเปนเครือ่ งมือ ในการพัมนางาน และแลกเปลยี่ นเรียนรกู ับคนอน่ื หรือกลุมอื่นอยางภาคภมู ใิ จ เปน การตอยอดความรูแ ละ การทํางานของตนตอไปอยางไมมีทีส่ ิ้นสุด อยางทีเ่ รียกกวาเกิดการเรียนรู และพัฒนากลุมอยางตอเนือ่ ง ตลอดชวี ติ ในการสรุปองคความรูข องกลุม กลุมจะตองมีการถอดองคความรูท ี่เกิดจากการปฏิบัติ การถอด องคความรูจ ึงมีลักษณะของการไหลเวียนความรู จากคนสูค น และจากคนสูก ระดาษ นัน่ คือ การองค ความรูมาบันทึกไวในกระดาษ หรือคอมพิวเตอร เพื่อเผยแพรใหกับคนทีส่ นใจไดศึกษาและ พัฒนาความรู ตอ ไป ปจ จยั ท่ีสง ผลสําเรจ็ ตอการรวมกลมุ ปฏิบัติการ คือ 1. การสรางบรรยากาศของการทํางานรวมกัน กลุมมีความเปนกันเอง 2. ความไววางใจซึ่งกันและกัน เปนหัวใจสําคัญของการทํางานเปนทีม สมาชิกทุกคนควร ไวว างใจกนั ซ่ือสตั วตอกัน สื่อสารกนั อยางเปดเผย ไมมีลับลมคมใน 3. การมอบหมายงานอยางชัดเจน สมาชิกทุกคนเขาใจวัตถุประสงค เปาหมาย และ ยอมรับภารกิจหลักของทีมงาน 4. การกาํ หนดบทบาทใหก บั สมาชกิ ทกุ คน สมาชกิ แตล ะคนเขา ใจและปฏบิ ตั ติ ามบทบาท ของตนเอง และเรียนรเู ขาใจในบทบาทของผอู ื่นในกลุม ทุกบทบาทมีความสําคัญ รวมทั้งบทบาทในการชวย รักษาความเปน กลุม ใหม ั่นคง เชน การประนปี ระนอม การ อาํ นวยความสะดวก การใหก าํ ลงั ใจ เปน ตน 5. วิธีการทํางาน สง่ิ สําคัญทค่ี วรพจิ ารณา คือ 1) การสื่อความ การทํางานเปนกลุมตองอาศัยบรรยากาศ การสื่อความที่ชัดเจน เหมาะสม ซึง่ จะทําใหทุกคนกลาเปดใจ แลกเปลีย่ นความคิดเห็น และแลกเปลีย่ นเรียนรูซ ึง่ กันและกันจน เกิดความเขาใจ และนําไปสูการทํางานท่มี ีประสทิ ธภิ าพ 2) การตัดสินใจ การทํางานเปนกลุม ตองใชความรูก ารตัดสินใจรวมกัน เมื่อเปดโอกาส ใหสมาชิกในกลุม แสดงความคิดเห็น และรวมตัดสินใจแลว สมาชิกยอมเกิดความผูกพันทีจ่ ะทําใหสิง่ ที่ ตนเองไดม ีสว นรว มตง้ั แตตน 3) ภาวะผูน ํา คือบุคคลทีไ่ ดรับการยอมรับจากผูอ ืน่ การทํางานเปนกลุม ควรสงเสริมให สมาชิกในกลุม ทุกคนไดมีโอกาสแสดงความเปนผู เพือ่ ใหทุกคนเกิดความรูส ึกวาไดรับการยอมรับ จะได รูสึกวาการทํางานรวมกันเปนกลุมนั้นมีความหมาย ปรารถนาที่จะทําอีก 4) การกาํ หนดกติกาหรอื กฎเกณฑตาง ๆ ท่จี ะเอ้ือตอการทํางานรวมกันใหบ รรลุ เปาหมาย ควรเปด โอกาสใหส มาชกิ ไดม สี ว นรว มในการกาํ หนดกตกิ า หรอื กฎเกณฑท่จี ะนาํ มาใชรวมกัน
~ 182 ~ 6. การมีสวนรวมในการประเมินผลการทํางานของกลุม ควรมีการประเมินผลการทํางาน เปนระยะในรูปแบบทั้งไมเปนทางการและเปนทางการ โดยสมาชิกทกุ คนมสี ว นรว มในการประเมิน ผลงาน ทําใหสมาชิกไดรับทราบความกาวหนาของงาน ปญหาอุปสรรคทีเ่ กิดขึน้ รวมทัง้ พัฒนา กระบวนการ ทํางาน หรือการปรับปรุงแกไขรวมกัน ซึง่ ในที่สุดสมาชิกจะไดทราบวาผลงานบรรลุ เปาหมาย และมี คุณภาพมากนอยเพียงใด ตัวอยาง การถอดองคความรูชมุ ชนอนิ ทรียบา นยางยวน บริบทชุมชนบานยางยวน หมูท่ี 5 ตาํ บลดอนตรอ อาํ เภอเฉลมิ พระเกยี รติ จงั หวดั นคร ศรธี รรม ราช เปนพื้นท่ีราบกลุมแบบลกู คล่นื ประชาชนสวนใหญประกอบอาชีพทํานาเปนหลัก อาชีพ รองลงมาคือ การเล้ียงสตั ว เชนเลีย้ งโค เปด ไก เปน รายไดเสรมิ และมีการปลูกผกั ไวเ พื่อบริโภคเอง จากสภาพความ เปลี่ยนแปลงในสังคมยุคปจจุบันทําใหคนในบานยางยวนตองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต มาพึ่งตนเองมากขึ้น แกน นําชุมชน ซึ่งเปนผูนําธรรมชาติเขามามีบทบาทพลักผันวิถีชีวิตชุมชนให ดีข้ึน การประสบปญหาจาก ภาวะเศรษฐกิจทําใหการลงทุนในการประกอบการทํานาสูงขึ้น ทั้งในเรื่อง ของคาน้ํามัน คาปยุ คายาปราบ ศตั รพู ืช ซึง่ มีผลกับเกษตรกร สวนหนึ่งที่มองเห็นไดชัดคือ การ เจ็บไขไดปวยของคนในชุมชน บาน ยางยวนมีกลุมองคกรตาง ๆ เกิดขึ้นมากมายสําหรับการใชแก ปญหาตาง ๆ ของสมาชิกในชุมชน ซึ่งเนนที่ การประกอบอาชีพ และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ซงึ่ มีแกนนาํ ชุมชนอยางกลุมแกนนําที่เขารวมเวที เสวนา และทีมงาน เขามามีบทบาทในการรวบรวม ประชาชนในพื้นที่มารวมคิดรวมทํากิจกรรมตาง ๆ ท่ี เปนประโยชนอยางมหาศาลใหกับคนในบาน ยางยวน หมทู ่ี 5 ตาํ บลตอนตรอ อาํ เภอเฉลมิ พระเกยี รติ กระบวนการแผนชมุ ชนพง่ึ ตนเองบา นยางยวน กลมุ แกนนาํ ท่ีเขา รว มเวทีเสวนา เลาวาการจัดทําแผนชุมชนของบานยางยวนนั้น เริ่มท่ี การจัดเก็บ ขอ มลู บัญชคี รัวเรอื นของหมูบาน แลว นาํ ขอ มลู น้ันมารว มวเิ คราะหเพื่อนําขอมลู ที่ไดมาใช ในการจดั ทาํ แผนชุมชน สิ่งที่ปรากฏคือเรื่องของคาใชจายของคนในชุมชนสวนใหญเกิดจากการ ประกอบอาชีพ และ หน้สี นิ สว นใหญก ็เกิดขน้ึ จากการประกอบอาชีพดว ยเชนกัน เพราะบางครั้งใน การทํานาตองใชตนทุนสูง เมื่อเจอกับปญหาภัยธรรมชาติ นาลมทาํ ใหเ ปน หน้ีเปน สิน จากขอมลู ทีไ่ ด ก็นํามาจัดทําเปนแผนชุมชน ซง่ึ จะเนน ท่ีเร่ืองของแผนการทาํ เกษตร ซึ่งมีผลโดยตรงกับการประกอบ อาชีพของคนในชุมชน ส่ทิ ต่ี องทําก็ คือการทํานาแบบอินทรีย เพื่อลดตน ทุนการผลติ ในเร่ืองของปยุ มีราคาแพง โดยตองการที่จะขยายการทาํ นาแบบอนิ ทรยี ทง้ั หมูบ า รน จากแผนการทําเกษตรของชุมชน ทําใหเกิดกลุมองคก รตา ง ๆ ในชุมชน เกี่ยวกับการประกอบอาชีพทํานามากมาย
~ 183 ~ นอกเหนือจากการทําแผนเรือ่ งการทํานาแบบอินทรียแลว บานยางยวนไดมีการทําเรือ่ งของ การ ปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกกินเองในชุมาชนกอนทีจ่ ะขายสูต ลาดนอกชุมชน โดยเนน การปลูก ทุกอยางที่ กิน และกินทุกอยางทป่ี ลูก ในการนีไ้ ดมพี ้ืนทส่ี าํ หรบั ใชเปนแปลงผักรวมของ ชุมชน โดยใชปุย อินทรียทํา ขึน้ เองใชในแปลกผัก กลุมแกนนําทีเ่ ขารวมเวทีเสนวนาบอกกับทีมงานวา ในการจัดทําเวทีประชาคมจัดทําแผน ของ หมูบ าน ไดรับความรวมมือจากองคการบริหารสวนตําบลซึง่ เขามาสนับสนุนและหนวยงานตาง ๆ ทีเ่ ขามา หนุนเสริมเพือ่ บูรณาการแผนเขากับการทํางานของหนวยงาน ทั้งพัฒนาชุมชน เกษตร กศน. และ สาธารณสุข กลุมแกนนําที่เขารวมเวทีเสวนา และผูใ หขอมูลไดพูดถึงเรื่องสุขภาพชุมชน บอกวาการที่ จะให คนในชุมชนมีสุขภาพทีด่ ีตองเริ่มทีก่ ารกิน และขาวซึ่งเปนอาหารหลักตองเปนขาวที่ปลอดภัย ตอคนใน ชุมชน เพราะฉะนัน้ ชุมชนตองผลิตขาวเองจึงจะไดขาวมีคุณภาพ และขาวที่มีคุณภาพนัน้ จะเปนผลดีตอ ตนเอง และลูกหลานของตนในชุมชน โดยจะเนน ใหคนในชุมชนปลูกขาวสําหรับบริโภค เองไวหนึง่ แปลง โดยทํานาแบบอินทรีย เมือ่ มีแผนพัฒนาในเรือ่ งเกษตรอินทรีย หมูบ านก็ตองหาความรูใ นเรือ่ งนี้ โดยไดสงแกนนํา เขา อบรมหาความรูจ ากที่ตาง ๆ เชนเรือ่ งการทํานาชีวภาพ การทําปุยหมัก การทําน้าํ หมักชีวภาพ และการ แลกเปล่ยี นเรยี นรเู พอื่ นํามาปรับใชกับกลมุ ไดเหมาะสม กลมุ องคก รบานยางยวน เรื่องของกลุมและองคกรในบานยางยวนเปนเรื่องที่โดดเดน เพราะการจัดตัง้ นัน้ สอดคลอง กับวิถี ชีวิตและสามารถแกปญหาของคนในชุมชนไดเปนอยางดี เชน ศูนยขาวบานยางยวน เปนองคกรของชุมชนมีกองทุนใหกูย ืมเพือ่ การผลิตขาว โดยเฉพาะ เนน เรือ่ งการทําขาวอินทรีย โดยจายเปนเมล็ดพันธุใ หกับสมาชิกและเมือ่ สมาชิกขายผลผลิตก็นําเงิน คาเมล็ด พนั ธมุ าคืน เพื่อที่ศูนยขาวจะไดนํามาซื้อเมล็ดพันธุม าไวในศูนยขาวตอไป นอกจากใหกูย ืม เมล็ดพันธุแลว ศูนยขาวก็รับขายขาวใหกับสมาชิกอีกดวย จากการมีศูนยขาวทําใหประชาชนเปลีย่ น จากการทํานาปมาเปน การทํานาปรัง ซึ่งสามารถทําไดถึง 3 ครง้ั ตอป นอกจากมีศูนยขาวของหมูบานแลว บางยางยวนยังมีโรงสีขาวของชุมชนอีกดวย ซึง่ เปน อีก กิจกรรมหนึง่ ทีต่ อบสนองคนในชุมชนไดดี เพราะโรงสีรับสีขาว 3 ประเภท คือขาวกลอง ขาวซอม มือ และขาวขาว และมีการรับสีขาวจากภายนอกชุมชนอีกดวย ซึ่งโรงสีจะมีผลกําไรก็นํามาปนกําไร ใหกับ สมาชิก โดยกําหนดวาสมาชิกของโรงสีเปนสมาชิกทุกคนทีอ่ ยูใ นหมูบาน บริหารโดยศูนยขาว บานยาง ยวน ทุกคนในหมูบานสามารถมาใชบริการได
~ 184 ~ บานยางยวนมีกลุม องคกรการเงินทีห่ ลากหลาย ทุกกลุม เกิดขึน้ ในหมูบ าน จะมีองคกร การเงิน ของกลุม ตามมา กลุม แกนนําทีเ่ ขารวมเวทีเสวนาบอกวา เปนการสรางนิสัยใหรักการอาน และเปนทุน สําหรับการประกอบอาชีพของคนในชุมชน การจัดตัง้ กลุม กองทุนตาง ๆ นัน้ มีทัง้ ที่หมูบ าน จัดตัง้ เองตาม มติของประชาชนและกลุมองคกรทีห่ นวยงานภาครัฐมาหนุนเสริมใหมีการจัดตัง้ เพือ่ แกปญหาใหกับ ประชาชนกลุมกองทุนตาง ๆ ไดแ ก กองทุนขาว กองทุนอาหารและโภชนาการ กองทุนเลี้ยงสัตว กองทุน ปลูกผัก กองทุนเลีย้ งโคยุทธศาสตร กองทุนมะลิ กองทุนพัฒนาอาชีพสตรี กองทุนปุย หมัก กองทุนแผน แมบทชุมชน กองทนุ สวัสดิการสาธารณสุข สจั จะวนั ละ 1 บาท ออมทรัพยตนแบบและกองทุนหมูบาน การเกิดกลุมองคกรการเงินเพื่อตอบสนองความตองการของชุมชนนั้น เปนการเรียนรูใน เรื่องของ การประหยดั อดออม บางคนเปนสมาชิกในทุกกองทุน และบางคนก็เลือกที่จะเปนสมาชิก กองทุนตาง ๆ ท่ี สอดคลองกับวิถีการดําเนินชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งนับไดวากลุมองคกร การเงินบานยางยวน ตอบสนองคนในชุมชนไดทุกอาชีพ กลุมแกนนาํ ทเี่ ขารว มเวทเี สวนา และสมาชิกบอกวา ทุกกลุมมีความโปรงใสตรวจสอบได เพราะ ความไวเน้ือเช่ือใจซง่ึ กนั และกัน และการทําหลักฐานการเงินบัญชีที่ชัดเจน หากขาดความ โปรงใสคิดวาคง อยูไ มได และจะขาดซึง่ ความรักและสามัคคีไมสามารถทีจ่ ะทํากิจกรรมใด ๆ ไดเลย ทุกกลุม มีกิจกรรมที่ เชือ่ มโยงกันเปน ลกู โซ พ่ึงพาซึ่งกนั และกัน การดาํ เนนิ การกลมุ ขาวอินทรียน ั้น เชือ่ มโยงกับกลุม ปุย หมัก เชือ่ มโยงกับกลุม เลีย้ งโค เชื่อมโยง กบั ศูนยข าว เชื่อมโยงกับโรงสีชุมชน เรียกวาทุกกิจกรรมเชื่อมโยงกันหมดอยางลงตัว การสบื ทอดภูมิปญ ญา การปฏิสัมพันธกันในระหวางชุมชน การรว มกจิ กรรมตาง ๆ โดยเฉพาะกองทุนการเงิน ตาง ๆ ของชุมชน ไดถายทอดจากรุน สูร ุนดวยวิธีการปฏิบัติรวมกัน ในเรือ่ งของภูมิปญญาทองถิน่ ทีม่ ี อยูใน ชุมชนก็มีการถา ยทอดสูลูกหลานกด็ วยวธิ กี ารสอนกับแบบตัวตอตัวตามแตผูเรียนจะสนใจ ไมวาจะเปน ดานหัตถกรรม การทําเครื่องมือเครือ่ งใช ที่ใชในการทํามาหากินของคนในชุมชน หรือ แมแตเรือ่ งหมอ พืน้ บาน หมอสมุนไพร ก็ไดถายทอดสูคนรุน หลัง จากรุนสูรุน ไมมีทีส่ ิน้ สุด แมไมได ถายทอดเปนลาย ลกั ษณอักษร แตก็ยังมีเหลืออยูในชุมชนบานยางยวน ความสัมพันธกับหนว ยงานภาครฐั ประชาชนในบานยางยวนมีปฏิสัมพันธกับหนวยงานภาครัฐคอนขางดี สังเกตไดจากการ เกิดกลุม องคกรตาง ๆ ในชุมชน ซึง่ สวนใหญจะมีหนวยงานภาครัฐคอยหนุนเสริมในเรือ่ งตาง ๆ ซึ่ง ทางชุมชนไม ปฏิเสธในการที่จะรับสิ่งดี ๆ ทีท่ ําใหเกิดการพัฒนาในชุมชนบานยางยวน เชน กลุม พัฒนาอาชีพสตรี โรงสีชุมชน กลุม ออมทรัพย กลุมเลี้ยงโค ยุทธศาสตร กองทุนแผนแมบทชุมชน สวัสดิการสาธารณสุข หรือแมแตกองทุนหมูบ าน และการทีห่ มูบ านไมปฏิเสธหนวยงานภาครัฐทีล่ ง ไปหนุนเสริม ผูเ ขารวมเวที
~ 185 ~ บอกวา ทีบ่ านยางยวนนัน้ หนวยงานภาครัฐไดลงมาอยางตอเนือ่ ง คอย ติดตามใหคําแนะนําชวยเหลือ ทุก โครงการจะไดรับคําแนะนํามาเจาหนาที่ของหนวยงานที่มาปฏิบัติ งานในพน้ื ฐาน นําความรูตาง ๆ มาใหอยู เสมอมิไดขาด เรียกไดวาลงมาคลุกคลีอยูในหมูบา นก็วา ได ส่งิ ท่ีอยากใหมีในหมูบานยางยวน กลมุ แกนนาํ ทีเ่ ขารวมเวทีเสวนา บอกวา อยากใหคนในบานยางยวนหันมาทําขาวอินทรีย กินขาว อินทรยี เพราะจะทําใหสุขภาพของคนในชุมชนดีขึน้ ทุกอยางทีท่ ําสิง่ ทีด่ ี ๆ คนในชุมชนตอง ไดรับสิง่ นั้น กอนท่ีคนทีอ่ ยูนอกชุมชน มีขาวอินทรีย มีผักปลอดสารพิษ มีปลาจากธรรมชาติ ปลอด สารเคมี คนใน ชุมชนตองไดกินกอนทีจ่ ะสงขายโรงพยาบาล เพราะหากไมเริ่มกินที่ชุมชนแตไปกินที่ โรงพยาบาลก็ เหมือนกับไมไดดูแลสุขภาพของคนในชุมชน สารสนเทศการจัดการความรดู ว ยการรวมกลมุ ปฏิบัตกิ าร สารสนเทศการจัดการความรูด วยการรวมกลุมปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวมขอมูลที่ เปน ประโยชนตอการพัฒนางาน พัฒนาคน หรือพัฒนากลุม ซึง่ อาจจัดทําเปนเอกสารคลังความรู ของกลุม หรือเผยแพรผ านทางเว็บไซด เพื่อแบงปน แลกเปลี่ยนความรู และนาํ มาใชประโยชนใน การทํางาน ตวั อยา งของสารสนเทศจากการรวมกลุม ปฏบิ ัตกิ าร ไดแก 1. บันทกึ เรอ่ื งเลา เปน เอกสารทร่ี วบรวมเรอ่ื งเลา ท่แี สดงใหเ หน็ ถึงวิธีการทํางานให ประสบ ผลสาํ เรจ็ อาจแยกเปน เรอ่ื ง ๆ เพอื่ ใหผทู ส่ี นใจเฉพาะเรือ่ งไดศึกษา 2. บันทึการถอดบทเรียนหรือการถอดองคความรู เปนการทบทวน สรุปผลการทํางานที่ จัดทํา เปนเอกสาร อาจจัดทําเปนบันทึกระหวางการทํางาน และหลังจากทํางานเสร็จแลว เพื่อใหเห็น วิธีการ แกปญหาในระหวางการทํางาน และผลสําเร็จจากการทํางาน 3. วีซีดีเรือ่ งสัน้ เปนการจัดทําฐานขอมูลความรูท ีส่ อดคลองกับสังคมปจจุบัน ทีม่ ีการ ใชเครือ่ ง อิเล็กทรอนิกสอยางแพรหลาย การทําวีซีดีเปนเรื่องสัน้ เปนการเผยแพรใหบุคคลไดเรียนรู และนําไปใช ในการแกป ญ หา หรอื พฒั นางานในโอกาสตอ ไป 4. คูมือการปฏิบัติงาน การจัดการความรูที่ประสบผลสําเร็จจะทําใหเห็นแนวทางของ การทํางาน ที่ชัดเจน การจัดทําเปนคูมือเพือ่ การปฏิบัติงาน จะทําใหงานมีมาตรฐาน และผูเ ขียวของ สามารถนําไป พฒั นางานได 5. อินเตอรเน็ต ปจจุบันมีการใชอินเตอรเน็ตกันอยางแพรหลาย และมีการสือ่ สารแลก เปล่ียน ความรูผ านทางอินเตอรเน็ตในเว็บไซดตาง ๆ มีการบันทึกความรูท ัง้ ในรูปแบบของเว็บบล็อก เว็บบอรด และรูปแบบอืน่ ๆ อินเตอรเน็ตจึงเปนแหลงเก็บขอมูลจํานวนมากในปจจุบัน เพราะคน สามารถเขาถึง ขอมลู ไดอ ยางรวดเรว็ ทกุ ที่ ทกุ เวลา
~ 186 ~ กจิ กรรม 1. การจัดการความรูดวยตนเองตองอาศัยทักษะอะไรบาง และผเู รยี นมวี ิธกี ารจัดการความรูดวย ตนเองอยางไร ยกตัวอยาง .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. องคความรูที่ผเู รยี นไดรบั จากการจัดการความรูดว ยตนเองคอื อะไร (แยกเปน ขอ ๆ) .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
~ 187 ~ 3. ใหผ เู รยี นเขยี นเรื่องเลาแหง ความสาํ เร็จ และรวมกลุมกบั เพ่ือนท่ีมเี รือ่ งเลาลักษณะคลา ยกัน ผลัด กนั เลา เร่ือง สกดั ความรูจากเรื่องเลา ของเพื่อน ตามแบบฟอรมนี้ แบบฟอรมการบันทึกขุมคงามรูจ ากเรื่องเลา ชื่อเรื่อง ......................................................................................................................................................... ชอื่ ผเู ลา ......................................................................................................................................................... 1 เนอื้ เรื่องยอ ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. การบันทึกขุมความรูจากเรื่องเลา 2.1 ปญ หา ......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.2 วิธีแกปญ หา (ขุมความรู) .................................................................................................. .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
~ 188 ~ 2.3 ผลทเี่ กดิ ขึ้น ............................................................................................................................ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.4 ความรูส กึ ของผูเ ลา / ผูเ ลาไดเ รียนรูอะไรบาง จากการทํางานนี้ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. แกน ความรู ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
~ 189 ~ 4. ใหผ ูเ รยี นจบั กลมุ 3-5 คน ไปถอดองคความรูแหลงเรียนรูในชุมชน และนํามาสรุปเปนองคความรู โดย เรียบเรียงเขียนเปนเรียงความ คลายตัวอยาง “การถอดองคความรูชุมชนอินทรียบานยางยวน” สรุปองคค วามรกู ลมุ .................................................................................................................................. ทีอ่ ยูแหลงเรยี นรู ชอ่ื ผูถ อดองคค วามรู .................................................................................................................................. 1. ............................................................................................................................ 2. ............................................................................................................................ 3. ............................................................................................................................ 4. ............................................................................................................................ 5 ............................................................................................................................ ประเดน็ การถอดองคค วามรู 1. สภาพบริบทแหลงเรยี นรู 2. กระบวนบริหารจัดการแหลง เรยี นรู 3. การสืบทอดภูมิปญญา 4. ปญหาอุปสรรค และแนวทางการพฒั นาแหลง เรยี นรู
~ 190 ~ แบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบเร่ืองการจดั การความรู คําชีแ้ จง จงกาบาท x เลอื กขอ ทท่ี า นคดิ วาถูกตองทีส่ ดุ 1. การจดั การความรูเรียกส้นั ๆ วา อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปาหมายของการจัดการความรูคืออะไร ก. พัฒนาคน ข. พัฒนางาน ค. พัฒนาองคกร ง. ถูกทกุ ขอ 3. ขอใดถกู ตอ งมากท่สี ดุ ก. การจัดการความรูหากไมทํา จะไมรู ข. การจัดการความรู คือการจดั การความรูของผูเ ชยี่ วชาญ ค. การจัดการความรู ถือเปนเปาหมายของการทํางาน ง. การจัดการความรู คือการจัดการความรูที่มีในเอกสาร ตาํ รา มาจัดใหเปนระบบ 4. ขั้นสูงสดุ ของการเรียนรคู อื อะไร ก. ปญ ญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ มลู ง. ความรู
~ 191 ~ 5. ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) คอื อะไร ก. การจัดการความรู ข. เปาหมายของการจัดการความรู ค. วิธีการหนึ่งของการจัดการความรู ง. แนวปฏิบัติของการจัดการความรู 6. รูปแบบของการจัดการความรูตามโมเดลปลาทู สว น “ทองปลา” หมายถึงอะไร ก. การกําหนดเปาหมาย ข. การแลกเปลยี่ นเรียนรู ค. การจัดเก็บเปนคลังความรู ง. ความรทู ่ชี ัดแจง 7. ผทู ่ีทาํ หนา ทก่ี ระตุนใหเ กิดการแลกเปลย่ี นเรยี นรคู ือใคร ก. คณุ เอื้อ ข. คุณอาํ นวย ค. คุณกจิ ง. คณุ ลิขติ 8. สารสนเทศเพอ่ื เผยแพรความรใู นปจ จุบันมีอะไรบา ง ก. เอกสาร ข. วซี ดี ี ค. เวบ็ ไซด ง. ถูกทกุ ขอ 9. การจัดการความรูดวยตนเองกับชุมชนแหงการเรียนรูมีความเกี่ยวของกันหรือไม อยางไร ก. เกี่ยวของกัน เพราะการจัดการความรูในบุคคลหลาย ๆ คน รวมกันเปนชุมชน เรยี กวา เปน ชมุ ชนแหง การเรียนรู ข. เกยี่ วของกนั เพราะการจัดการความรูใหกับตนเองก็เหมือนกับจัดการความรูให ชมุ ชนดว ย ค. ไมเ กยี่ วขอ งกนั เพราะจัดการความรูดวยตนเองเปนปจเจกบุคคล สว นชมุ ชนแหง การเรียนรเู ปนเร่ืองของชุมชน ง. ไมเ กี่ยวของกนั เพราะชุมชนแหง การเรยี นรูเปนการเรียนรูเฉพาะกลมุ
~ 192 ~ แบบประเมินตนเองหลงั เรียน บทสะทอนทไ่ี ดจ ากการเรียนรู 1. สิ่งที่ทานประทับใจในการเรียนรูรายวิชาการจัดการความรู .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ปญ หา / อุปสรรคที่พบในการเรียนรูรายวิชาการจัดการความรู .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. ขอเสนอแนะเพม่ิ เตมิ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
~ 193 ~ บทท่ี 4 คิดเปน สาระสําคัญ ทบทวนทําความเขาใจกับความเชื่อพื้นฐานของคนคิดเปนทางการศึกษาผูใหญและการ เชือ่ มโยงไปสูการเรียนรูเร่อื งของการคิดเปน ปรชั ญาคิดเปน การคิดแกปญหาแบบคนคิดเปน ศึกษาวิเคราะห ถงึ ลกั ษณะของขอมลู การคิดเปนและกระบวนการวิเคราะหสังเคราะห ขอมูลการคิดเปน ทั้ง 3 ประการ คือ ขอมูลทางวิชาการ ขอมูลเกี่ยวกับตนเอง และขอมูลทางสภาวะแวดลอมทางสังคม โดยเนนที่ขอมูลดาน คุณธรรมจริยธรรม ซ่งึ เปนจุดเนน สาํ คัญของการคดิ การตัดสนิ ใจ แกป ญ หาของคนคิดเปน ผลการเรยี นรทู ่ีคาดหวัง 1. อธิบายถึงความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญข องคนคิดเปน และการเชื่อมโยงไปสู การเรยี นรูเ ร่ืองการคิดเปน ปรชั ญาคิดเปน การคิดแกปญหา อยางเปนระบบ แบบคนคิดเปนได 2. วิเคราะหจําแนกลักษณะของขอมูลการคิดเปนทั้ง 3 ดาน ที่นํามาใชประกอบการคิดและ การตัดสนิ ใจ ทงั้ ขอมลู ดา นวิชาการ ขอมลู เกยี่ วกบั ตนเอง ขอมลู เกีย่ วกับสงั คมและสภาวะแวดลอ ม โดยเนน ที่ขอมลู ดานคณุ ธรรมจริยธรรมทเี่ กย่ี วของกับบคุ คล ครอบครวั และชุมชน ทเ่ี ปนจุดเนนสําคัญของคนคิด เปน ได 3. ฝก ปฏิบัติการคดิ การแกปญ หาอยางเปนระบบ การคิดเปน ท้งั จากกรณีตวั อยา งและหรอื สถานการณจริงในชุมชน โดยนําขอมูลดานคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเปนสวนหนึ่งของขอมูลทางสังคมและ สภาวะแวดลอมมาประกอบการคิดการพัฒนาได ขอบขา ยเน้ือหา 1. ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญกับกระบวนการคิดเปน การเชื่อมโยงสูปรัชญาคิด เปน และการคิดการตัดสินใจแกปญหาอยางเปนระบบแบบคนคิดเปน 2. ระบบขอมูล การจําแนกลกั ษณะของขอ มูล การเกบ็ ขอมูล การวิเคราะห สงั เคราะห ขอมูลทั้งดานวิชาการ ดานตนเอง และสังคมสภาวะแวดลอม โดยเนน ไปทีข่ อมูลดานคุณธรรมจริยธรรมท่ี เกี่ยวของกับบุคคล ครอบครัวและชุมชน เพื่อนํามาใชประกอบการตัดสินใจแกปญหาตามแบบอยางของคน คิดเปน 3. กรณีตัวอยาง และสถานการณจ ริงในการฝก ปฏบิ ตั ิเพื่อการคิด การแกป ญหาแบบคนคิดเปน
~ 194 ~ ขอแนะนาํ การจดั การเรียนรู 1. คิดเปน เปนวิชาทีเ่ นนใหผูเ รียนไดเรียนรูด วยการคิด การวิเคราะห และแสวงหาคําตอบดวยการ ใชกระบวนการที่หลากหลายเปดกวาง เปนอิสระมากกวาการเรียนรูท ี่เนนเนือ้ หาใหทองจํา หรือมีคําตอบ สาํ เร็จรปู ใหโ ดยผูเรยี นไมต อ งคดิ ไมต องวเิ คราะหเ หตุและผลเสยี กอ น 2. ขอแนะนําวา กระบวรการเรียนรูในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนัน้ ผูเรียนสวนใหญผานการ เรียนมาจากหลักสูตร กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนตนมากอน คุน เคยกับกระบวนการกลุม การสานเสวนา หรือการอภิปรายถกแถลงมากอน พอจะใชการอธิบายเสริมการอภิปรายไดบาง แตถึงกระนัน้ ก็ควรจะใช กระบวนการกลุม การอภิปราย เพือ่ ใหเปนการฝกทักษะการคิดการวิเคราะหขอมูลอยูเ ปนประจําจนเกิดเปน นิสัย สามารถนํากระบวนการดังกลาวนีไ้ ปประยุกตใชกับการเรียนรูในรายวิชาอืน่ ๆ ในลักษณะเดียวกันได ดวย ในเวลาเดียวกนั กจ็ ะเปนการชวยเพอื่ นๆ ผเู รียนบางคนท่ยี งั ไมเ คยมีประสบการณในการคิดการวิเคราะห มากอ นไดเ รยี นรดู วยความเขาใจดยี ิง่ ข้ึน 3. เนือ่ งจากเปนวิชาทีป่ ระสงคจะใหผูเรียนไดฝกการคิดการวิเคราะห เพื่อแสวงหาคําตอบดวย ตนเองมากกวาทองจําเพื่อหาความรูแ บบเดิม ครูและผูเรียนจึงควรจะตองปฏิบัติตามกระบวนการทีแ่ นะนํา โดยไมขามขน้ั ตอนจะชวยใหก ารเรียนรูเกิดข้ึนอยางมปี ระสิทธิภาพ
~ 195 ~ เรื่องท่ี 1 ทบทวนความเชอ่ื พ้นื ฐานทางการศกึ ษาผใู หญข องคนคดิ เปน และการเชือ่ มโยงไปสปู รัชญาคดิ เปน การแกปญหาอยางเปนระบบของคนคดิ เปน ในชีวิตประจําวันทุกคนตองเคยพบกับปญหาตางๆ ไมวาจะเปนปญหาการเรียน การงาน การเงิน หรือแมแตการเลนกีฬาหรือปญหาอ่ืนๆ เชน ปญหาขัดแยงของเด็ก หรือปญหาการแตงตัวไปงาน ตางๆ เปน ตน เม่ือเกดิ ปญ หากเ็ กดิ ทกุ ข แตล ะคนกจ็ ะมวี แี กไขปญหา หรือแกท ุกขดว ยวธิ ีการท่ีแตกตางกันไป ซ่ึงแตล ะคน แตล ะวธิ ีการอาจเหมือนหรอื ตา งกัน และอาจใหผ ลลพั ธท ่เี หมือนกนั หรือตางกันก็ได ทั้งนี้ข้ึนอยู กับพื้นฐานความเชื่อ ความรู ความสามารถและประสบการณของบุคคลนัน้ หรืออาจจะขึ้นอยูก ับทฤษฎีและ หลกั การของความเชอ่ื ท่ีตางกนั เหลา นน้ั “คิดเปน” เปนกระบวนการคิดและตัดสินใจแกปญหาวิธีหนึ่งของคนทํางาน กศน.ที่ทาน อาจารย ดร.โกวิท วรพิพัฒน อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนและอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการได นําเสนอไวเปนทิศทางและหลักการสําคัญในการดําเนินงานโครงการการศึกษาผูใ หญและการศึกษานอก โรงเรียนในสมัยนั้น และใชเปนปญหาสองนําทางในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ในระยะตอ มาดว ย “คิดเปน” ตัง้ อยูบนความเชือ่ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ หญที่เปนหลักความจริงของมนุษย ทีว่ า คนเรามีความหลากหลายแตกตางกัน แตทุกคนตองการความสุขเปนเปาหมายสูงสุด คน กศน.เชื่อวา ปญหาหรือความทุกขเปนเรือ่ งธรรมชาติทีเ่ กิดขึน้ ไดก็สามารถแกไขได ความทุกขหรือปญหาเปนสิง่ ที่เกิด ขึน้ กับคนมากนอย หนักเบา ตางกันออกไป เมือ่ เกิดปญหาหรือความทุกขคนเราก็ตองพยายามหาทาง แกปญหาหรือคลีค่ ลายความทุกขใหหมดไปใหความสุขกลับคืนมา ความสุขของมนุษยจะเกิดขึน้ ไดตอเมื่อ มนุษยกับสภาวะแวดลอมทีเ่ ปนวิถีชีวิตของตนสามารถปรับตัวกับสภาวะแวดลอมใหกลมกลืนกันไดนี้ มนุษยตองรูจ ักแสวงหาขอมูลทีห่ ลากหลายและเพียงพออยางนอย 3 ดานดวยกัน คือ ขอมูลดานวิชาการ ขอมูลเกีย่ วกับตนเอง และขอมูลเกีย่ วกับสภาวะแวดลอมทางสังคม ชุมชน นํามาวิเคราะหศึกษารายละเอียด อยางรอบคอบและสังเคราะหเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดนํามาใชแกปญหา ความเชือ่ พ้นื ฐานของคนคิดเปน หรือความเชอ่ื พน้ื ฐานทางการศกึ ษาผใู หญค อื อะไร? เพอื่ ใหผ ูเรียนมคี วามเขาใจและเขาถงึ “คิดเปน” ไดอยางลึกซึง้ และชัดเจน ผูเ รียนทีเ่ คยเรียน เร่ือง “คิดเปน” มากอนในระดับประถมศึกษาหรือระดับมัธยมศึกษาตอนตน ขอใหขามไปอานตอและรวม กิจกรรมกระบวนการ ต้งั แต เร่อื งที่ 2 ของบทนี้เปนตนไป
~ 196 ~ สําหรับผูเรียนที่ยังไมเคยเรียนเรื่อง “คิดเปน” มากอนในระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาตอนตน ขอใหรวมกันทําความเขาใจเรื่องความเชือ่ พืน้ ฐานของคนคิดเปนหรือความเชือ่ พืน้ ฐาน ทางการศึกษาผูใ หญเสียกอน ทัง้ นีเ้ พราะกระบวนการ “คิดเปน” เนนการทําความเขาใจดวยกระบวนการคิด และสรางความเขาใจดวยตนเองเปนหลัก ใหใชกรณีตัวอยางในแบบเรียนคิดเปน ระดับประถมศึกษาเปน เอกสารประกอบการสนทนาและรว มสรปุ แนวคดิ ดงั ตอ ไปน้ี ความเชอื่ พื้นฐานทางการศกึ ษาผใู หญ ปฐมบทของปรชั ญา “คิดเปน ” ครัง้ หนึง่ ดร.โกวิท วรพิพัฒน อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเคยเปนอธิบดีกรมการ ศึกษานอกโรงเรียนมากอนเคยเลาใหฟงวามีเพือ่ นฝรัง่ ถามทานวา ทําไมคนไทยบางคนจนก็จน อยูกระตอบ เกาๆทํางานก็หนัก หาเชากินค่าํ แตเมื่อกลับบานยังมีแกใจนั่งเปาขลุย ตัง้ วงสนทนา สนุกสนาน เฮฮากับ เพื่อนบานหรือโขกหมากรุกกับเพือ่ น ไดอยางเบิกบานใจ ตกเย็นก็นัง่ กินขาวคลุกน้ําพริก คลุกน้ําปลากับลูก เมียอยางมีความสุขได ทานอาจารยตอบไปวา เพราะเขาคิดเปน เขาจึงมีความสุข มีความพอเพียง ไมทุกข ไม เดือดรอนทุรนทุรายเหมือนคนอืน่ ๆ เทานัน้ แหละ คําถามก็ตามมาเปนหางวาว เชน ก็เจา “คิดเปน” มันคือ อะไร อยูที่ไหน หนาตาเปนอยางไร หาไดอยางไร หายากไหม ทําอยางไรจึงจะคิดเปน ตองไปเรียนจากพระ อาจารยท ศิ าปาโมกขห รอื เปลา คา เรยี นแพงไหม มคี า ยกครูไหม ใครเปนครูอาจารยหรือศาสดา ฯลฯ ดูเหมือนวา “คิดเปน” ของทา นอาจารยจ ะเปน คําไทยงายๆ ธรรมดาๆ แตก ็ออกจะลกึ ลา้ํ ชวนใหใฝหาคาํ ตอบยง่ิ นัก “ คดิ เปน ” คืออะไรใครรบู า ง มีทิศทางมาจากไหนใครเคยเห็น จะเรยี นราํ่ ทําอยา งไรใหคดิ เปน ไมลอเลนใครตอบได ขอบใจเอย
~ 197 ~ ประมาณป พ.ศ.2513 เปนตนมา ทานอาจารย ดร.โกวิท วรพิพัฒน และคณะไดนําแนวคิด เรื่อง “คิดเปน” มาเปนเปาหมายสําคัญในการจัดการศึกษาผูใ หญหลายโครงการ เชน โครงการการศึกษา ผูใหญแบบเบ็ดเสร็จ โครงการรณรงคเพื่อการรูหนังสือแหงชาติ โครงการการศึกษาประชาชนและการศึกษา ผูใหญขั้นตอเนือ่ งเปนตน*ตอมาทานยายไปเปนอธิบดีกรมวิชาการ ทานก็นําคิดเปนไปเปนแนวทางจัด การศึกษาสําหรับเด็กในโรงเรียนจนเปนทีย่ อมรับมากขึน้ เพือ่ ใหการทําความเขาใจกับการคิดเปนงายขึ้น พอท่ีจะใหคนที่จะมามีสวนรวมในกระบวนการเรียนการสอนตามโครงการดังกลาวเขาใจและสามารถ ดําเนินกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับหลักการ “คิดเปน” ได จึงมีการนําเสนอแนวคิดเรือ่ ง ความเชื่อ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใหญขึ้นเปนครัง้ แรก โดยใชกระบวนการคิดเปน ในการทําความเขาใจกับความเชื่อ พื้นฐานทางการศึกษาผูใหญใหกับผูทีจ่ ะจัดกระบวนการเรียนการสอนตามโครงการดังกลาวในรูปแบบของ การฝกอบรม** ดวยการฝกอบรมผูร วมโครงการการศึกษาผูใ หญแบบเบ็ดเสร็จ และโครงการการศึกษา ผูใหญขั้นตอเนื่องระดับ 3-4-5 เปนที่รูจักฮือฮากันมากในสมัยนั้นผูเ ขารับการอบรมยังคงรําลึกถึงและ นํามาใชประโยชนจนทุกวันนี้ เราจะมาทําความรูจักกับความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญที่เปนปฐมบทของการคิดเปนกันบางดีไหม การเรียนรูเรื่องความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใ หญใหเขาใจไดดีผูเ รียนตองทําความเขาใจดวยการรวม กิจกรรม การคิดวิเคราะหเรือ่ งราวตางๆ เปนขัน้ เปนตอนตามลําดับ และสรุปความคิดเปนขั้นเปนตอนตาม ไปดวย โดยไมตองกังวลวาคําตอบหรือความคิดที่ไดจะผิดหรือถูกเพียงใด เพราะจะไมมีคําตอบใดถูก ทั้งหมด และไมมีคําตอบใดผิดทัง้ หมด เมือ่ ไดรวมกิจกรรมครบตามกําหนดแลว ผูเ รียนจะรวมกันสรุป แนวคดิ เร่อื ง ความเช่ือพน้ื ฐานทางการศกึ ษาผใู หญไ ด ดว ยตนเอง ตอไปนี้เราจะมาเรียนรูเ รือ่ งความเชือ่ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ หญ เพือ่ นําไปสูก ารสรางความเขาใจ เรื่องการคิดเปนรวมกันเริม่ ดวยการรวมกิจกรรมตางๆเปนขัน้ เปนตอนไป ตัง้ แตกิจกรรมที่ 1 - 5 โดยจะมีครู รว มกจิ กรรมดว ย * นับเปนวิธีการทางการศึกษาที่สมัยใหมมากยังไมมีหนวยงานไหนคเยทํามากอน ** ท่ใี หวทิ ยากรทเี่ ปน ผูจัดอบรมและผเู ขา รับการอบรมมีสว นเรียนรไู ปพรอมๆ กันดว ย กระบวนการ อภิปรายถกแถลงในรูปกระบวนการกลุมมกี ารวิเคราะหกรณีตัวอยา งหลายเรื่อง ท่ีกําหนดขน้ึ นาํ เหตุผล และ ขอคิดเห็นของกลุมมาสรุปสังเคราะหออกมาเปนความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญ (สมัยนนั้ ) หรือ กศน. (สมยั ตอมา) ผลสรุปของการอภิปรายถกแถลงไมวาจะเปนกลุมไหนก็จะไดออกมาเปนทิศทางเดียวกันเพราะ เปน สัจธรรมทีเ่ ปนความจริงในชีวติ
~ 198 ~ กิจกรรมท่ี 1 ครูและผูเรียนนั่งสบายๆ อยูก ันเปนกลุม ครูแจกใบงานที่ 1 ทีเ่ ปนกรณีตัวอยางเรือ่ ง “หลาย ชีวิต” ใหผูเ รียนทุกคน ครูอธิบายใหผูเ รียนทราบวา ครูจะอานกรณีตัวอยางใหฟง 2 เทีย่ วชาๆ ใครทีพ่ ออาน ไดบางก็อานตามไปดวย ใครทีอ่ านยังไมคลองก็ฟงครูอานและคิดตามไปดวย เมือ่ ครูอานจบแลวก็จะพูดคุย กับผูเรียนเชิงทบทวนถึงเนือ้ หาในกรณีตัวอยางเรื่อง “หลายชีวิต” เพือ่ จะใหแนใจวาผูเ รียนทุกคนเขาใจ เนื้อหาของกรณีตัวอยางตรงกันจากนัน้ ครูจึงอานประเด็น ซึ่งเปนคําถามปลายเปด (คําถามทีไ่ มมีคําตอบ สาํ เรจ็ รูป) ทก่ี าํ กบั มากบั กรณตี ัวอยางใหผ ูเ รียนฟง ใบงานท่ี 1 กรณตี วั อยา ง เร่ือง “หลายชวี ิต” หลายชวี ิต พระมหาสมชัย เปนพระนักเทศน มีประสบการณการเทศนมหาชาติกัณฑมัทรีทีม่ ีชือ่ เสียงเปนที่ แพรหลายในหลายทีห่ ลายภาคของไทย วัดหลายแหงตองจองทานไปเทศนใหงานของวัดนัน้ ๆ เพราะญาติ โยมขอรอง และพระนักเทศนทั้งหลายก็นิยมเทศนรวมกับทานมหาสมชัยตัง้ ใจไววาอยากเดินทางไปเทศนที่ วัดไทยในอเมริกาสักครั้งในชีวิต เพราะไมเคยไปตางประเทศเลย เจเกียว เปนนักธุรกิจชั้นนํา มีกิจการหลายอยางในความดูแล เชน กิจการเสื้อผาสําเร็จรูป กิจการ จําหนายสินคาโอทอ็ ป กิจการสงออกสินคาอาหารกระปอง กิจการจําหนายสินคาทางอินเทอรเน็ต แตเจเกียว ไมมลี กู สืบสกุลเลย ตง้ั ความหวงั ไววา ขอมลี กู สักคน แตกไ็ มเ คยสมหวังเลย ลุงแปน เปนเกษตรกรอาวุโส อายุเกิน 60 ปแลว แตยังแข็งแรง มีฐานะดี ชอบทํางานทุกอยาง ไมอยู นิ่ง ทํางานสวนตัว งานสังคม งานชวยเหลือคนอืน่ และงานบํารุงศาสนา ลุงแปนแอบมีความหวังลึกๆ อยาก ไดป รญิ ญากิตตมิ ศกั ดิ์ จากมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกั แหงเพ่ือเก็บไวเปน ความภมู ใิ จของตนเอง และวงศต ระกูล เด็กหญิงนวลเพ็ญ เปนเด็กหญิงจนๆ ตางจังหวัดหางไกล ไมเคยเห็นกรุงเทพ ไมเคยเขาเมือง ไมเคยออกจาก หมูบ านไปไกลๆ เลย ด.ญ. นวลเพ็ญคิดวาถามีโอกาสไปเทีย่ วกรุงเทพสักครัง้ คงจะดีใจและมีความสุขมาก ทส่ี ดุ ทิดแหวง บวชเปนเณรตัง้ แตเล็ก เมื่ออายุครบบวชก็บวชเปนพระ เพิ่งสึกออกมาชวยพอทํานา ทิด แหวงตั้งความหวังไววาเขาอยากแตงงานกับหญิงสาวสาย ร่าํ รวยสักคน จะไดมีชีวิตที่สุขสบาย ไมตอง ทํางานหนักเหมือนที่เปนอยใู นปจจุบนั
ประเดน็ ~ 199 ~ กรณตี ัวอยา งเรอื่ ง “หลายชวี ติ ” บอกอะไรบางเกี่ยวกับชีวิตมนุษย ครูแบงกลุม ผูเ รียนออกเปน 2-3 กลุม ยอย ใหผูเรียนเลือกประธานกลุม และเลขานุการกลุม เพื่อเปน ผูนําอภปิ รายและผจู ดบันทกึ ผลการอภปิ รายของกลุมและนําผลการอภิปรายของกลุม เสนอตอทีป่ ระชุมใหญ จากนั้นใหผูเรียนแตละกลุมอภิปรายถกแถลงเพื่อหาคําตอบตามประเด็นที่กําหนดให ครูติดตามสังเกต เหตุผลของกลุมหากขอมูลยังไมเพียงพอ ครูอาจชีแ้ นะใหอภิปรายเพิม่ เติม ในสวนของขอมูลทีย่ ังขาดอยูไ ด เลขานุการกลุมบันทึกผลการพิจารณาหาคําตอบตามประเด็นที่กําหนด ใหเปนคําตอบสั้นๆ ไดใจความ เทานั้น และนําคําตอบนั้นไปรายงานในที่ประชุมกลุมใหญ** ในการประชุมกลุม ใหญ ผูแ ทนกลุม ยอยนําเสนอรายงาน ครูบันทึกขอคิดเห็นของกลุม ยอยไวที่ กระดาษปรูฟ ซึ่งเตรียมจัดไวกอนแลว เมือ่ ทุกกลุมรายงานแลว ครูนําอภิปรายในกลุม ใหญถึงคําตอบของ กลุม ซีง่ จะหลอมรวมบูรณาการคําตอบของกลุม ยอยออกมาเปนคําตอบประเด็นอภิปรายของกรณีตัวอยาง “หลายชีวิต” ของกลุม ใหญ จากนั้นครูนําสรุปคําตอบทีไ่ ดเปนขอเขียนทีส่ มบูรณขึน้ และนําคําตอบนั้น บนั ทกึ ในกระดาษปรฟู ตดิ ไวใ หเ หน็ ชดั เจน ตัวอยางขอสรุปของกรณีตัวอยาง เรื่อง ตวั อยาง ขอสรุปผลการอภปิ รายจากกรณีตวั อยางเรอ่ื ง “หลายชีวิต” ปรากฏดังในกรอบดาน “หลายชวี ติ ” ขวามือ ตัวอยาง ขอสรุปน้ีอาจใกลเคียง -------------- กับขอสรุปของทานก็ได คนแตละคนมีความแตกตางกัน มีวิถีการดําเนินชีวิตที่ ไมเหมือนกัน แตทุกคนมีความตองการทีค่ ลายกัน คือ ตองการประสบความสําเร็จ ซึง่ ถาบรรลุตามตองการของ ตน คนนั้นก็จะมคี วามสขุ กรณีตัวอยา งเร่อื ง “หลายชวี ติ ” เริ่มเปดตวั ออกมาเปนเร่ืองแรก ผูเรียนจะตองติดตามตอไป ดวยการทํากจิ กรรมที่ 2 ท่ี 3 ท่ี 4 ถึงท่ี 5 ตามลําดับ จึงจะพบคําตอบวา “ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญ คืออะไรแน และจะเปนปฐมบทของ “การคิดเปน”อยางไร พกั สักครกู อนนะ ** หากมผี เู รียนไมม ากนกั ครูอาจไมตอ งแบง กลมุ ยอย ใหผูเ รียนทกุ คนรว มอภปิ รายถกแถลง หรือสนทนา แลกเปลีย่ นความคิดกันในกลมุ ใหญเ ลย โดยมีประธานหรือหัวหนากลุม เปนผนู ํา และมีเลขานกุ ารกลุมใหญ เปนผบู ันทกึ (ครูอาจเปนผูช วยบนั ทึกได)
~ 200 ~ กจิ กรรมท่ี 2 ครแู ละผูเรยี นน่งั สบายๆ อยกู นั เปน กลุม ครูแจกใบงานที่ 2 ทเี่ ปนกรณีตวั อยา ง เร่ือง “แปะ ฮง” ครูดําเนินกิจกรรมเชนเดียวกับการดําเนินงานในกิจกรรมที่ 1 ใบงานท่ี 2 กรณตี ัวอยา งเรอ่ื ง แปะ ฮง แปแะ ปฮะงฮง ทานขุนพิชิตพลพาย เปนคหบดีมีชือ่ เสียงมากในดานความเมตตากรุณาทานเปนคนทีพ่ รอมไปดวย ทรพั ยส มบัติ ขาทาสบริวาร เกียรตยิ ศ ชือ่ เสียง และสขุ กายสบายใจ ตาแปะ ฮง เปนชายจีนชราตวั คนเดียว ขายเตา ฮวย อาศัยอยทู ห่ี อ งแถวเลก็ ๆ หลังบานขุนพิชิต แปะฮงขายเตาฮวยเสร็จกลับบานตอนเย็นตกค่าํ หลักจากอาบน้าํ อาบทากินขาวเสร็จก็นัง่ สี ซอเพลดิ เพลนิ ทกุ วนั ไป วันหนึ่งทานขุนคิดวา แปะฮงดูมีความสุขดี แตถาไดมีเงินมากขึ้นคงจะมีความสุขอยางสมบูรณมาก ขึ้น ทานขุนจึงเอาเงินหนึ่งแสนบาทไปใหแปะฮง จากนั้นมาเปนเวลาอาทิตยหนึ่งเต็มๆ ทานขุนไมไดยินเสียง ซอจากบานแปะฮงอีกเลย ทานขุนรูสึกเหมือนขาดอะไรไปอยางหนึ่ง เย็นวันที่แปดแปะฮงก็มาพบทานขุน พรอ มกับนําเงนิ ท่ยี ังเหลอื อกี หลายหมืน่ มาคืน แปะ ฮงบอกทานขนุ วา “ผมเอาเงินมาคืนทานครับ ผสมเหนือ่ ยเหลือเกิน มีเงินมากก็ตองทํางานมากขึน้ ตองคอย ระวังรักษาเงินทอง เตาฮวยก็ไมไดขาย ตองไปลงทุนทางอืน่ เพื่อใหรวยมากขึ้นอีกลงทุนแลวก็กลัวขาดทุน เหน่อื ยเหลือเกนิ ผมไมอ ยากไดเ งนิ แสนแลว ครับ” คืนนั้นทานขุนก็หายใจโลงอก เมื่อไดยินเสียงซอจากบานแปะฮง แทรกเขามากับสายลม ประเดน็ ในเรื่องความสุขของคนในเรื่องนี้ ทานไดแนวคิดอะไรบาง? แนวทางการทํากิจกรรม 1. เลขานุการกลุมบันทึกความเห็นของกลุมที่รวมกันอภิปราย ความเห็นอาจมีหลายคําตอบได 2. อาจเปรียบเทยี บความเห็นหรือคําตอบของกลุมผูเรียนกับตวั อยางขอสรปุ ท่นี ําเสนอวาใกลเคยี ง กันหรือไม เพียงใด 3. เลอื กขอ คิดหรือคาํ ตอบของกลุมที่คดิ วาดีทีส่ ดุ ไว 1 คําตอบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288