Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทร 31001 ทักษะการเรียนรู้ ม ปลาย

ทร 31001 ทักษะการเรียนรู้ ม ปลาย

Description: หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้
ทร 31001 ทักษะการเรียนรู้
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
จำนวน 288 หน้า
สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงศึกษาธิการ

Keywords: ทักษะการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

~ 151 ~ กจิ กรรมที่ 2 ใหอ ธิบายความสําคญั ของ “การจดั การความรู” มาพอสงั เขป .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... กิจกรรมท่ี 3 ใหอ ธบิ ายหลกั ของ “การจดั การความรู” มาพอสังเขป .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................

~ 152 ~ เร่ืองที่ 2 : รูปแบบและกระบวนการในการจัดการความรู 1. รปู แบบการจัดการความรู การจัดการความรูนั้นมีหลายรูปแบบ หรอื ท่ีเรยี กกันวา “โมเดล” มีหลากหลายโมเดล หัวใจ ของ การจัดการความรู คือการจดั การความรูท่อี ยูใ นตัวคนในฐานะผูปฏิบตั แิ ละเปน ผมู ีความรู การ จัดการความรู ที่ทําใหคนเคารพในศักดิศ์ รีของคนอืน่ การจัดการความรูน อกจากการจัดการความรูใ น ตนเองเพื่อใหเกิด การพัฒนางานและพัฒนาตนเองแลว ยังมองรวมถึงการจัดการความรูใ นกลุม หรือ องคกรดวยรูปแบบการ จัดการความรูจ ึงอยูบ นพืน้ ฐานของความเชือ่ ทีว่ า ทุกคนมีความรู ปฏิบัติใน ระดับความชํานาญที่ตางกัน เคารพความรทู ีอ่ ยูในตวั คน ดร.ประพนธ ผาสุกยืด ไดคิดคนรูปแบบการจัดการความรูไ ว 2 รูปแบบ คือรูปแบบ ปลาทูหรือ ทีเ่ รียกวา “โมเดลปลาทู” และรูปแบบปลาตะเพียน หรือทีเ่ รียกวา “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงใหเห็นถึง รูปแบบการจัดการความรูในภาพรวมของการจัดการทีค่ รอบคลุมทั้งความรูทีช่ ัดแจง และความรูท่ีฝงลึก ดงั น้ี โมเดลปลาทู เพือ่ ใหการจัดการความรู หรือ KM เปนเรือ่ งที่เขาใจงาย จึงกําหนดใหการจัดการความรู เปรียบ เหมือนกับปลาทูตัวหนึง่ มีสิง่ ทีต่ องดําเนินการจัดการความรูอ ยู 3 สวน โดยกําหนดวา สวนหัว คือการ กําหนดเปาหมายของการจัดการความรูท ีช่ ัดเจน สวนตัวปลาคือการแลกเปลีย่ นความรูซ ึง่ กัน และกัน และ สวนปางปลาคือ ความรทู ่ีไดร ับจากการแลกเปลยี่ นเรียนรู รูปแบบการจัดการความรู ตาม โมเดลปลาทู

~ 153 ~ สว นที่ 1 “หวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” KV คือเปาหลายของการจัดการความรู ผูใช ตองรูว าจะจัดการความรูเพือ่ บรรลุเปาหมายอะไร เกี่ยวของหรือสอดคลองกับวิสัยทัศนพันธกิจ และ ยุทธศาสตรขององคกรอยางใด เชน จัดการความรูเ พื่อเพิม่ ประสิทธิภาพของงาน จัดการความรู เพื่อพัฒนา ทักษะชีวิตดานยาเสพติด จัดการความรูเ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิตดานสิง่ แวดลอม จัดการ ความรูเ พือ่ พัฒนา ทกั ษะชวี ติ ดา นชีวิตและทรพั ยสนิ จัดการความรูเพอื่ ฟน ฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี ดัง้ เดิมของคนในชุมชน เปน ตน สวนที่ 2 “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เปนการแลกเปลี่ยนเรียนรู หรือ การแบงปนความรูที่ฝงลึกในตัวคนผูป ฏิบัติ เนนการแลกเปลีย่ นวิธีการทํางานทีป่ ระสบผลสําเร็จ ไมเนนที่ ปญ หา เครื่องมือในการแลกเปลย่ี นเรยี นรูมหี ลากหลายแบบ อาทิ การเลาเรือ่ ง การสนทนา เชิงลึก การชื่น ชมหรือการสนทนาสนเชิงบวก เพื่อนชวยเพื่อน การทบทวนการปฏิบัติงาน การถอด บทเรียน การถอด องคความรู สวนที่ 3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เปนขุมความรูท ีไ่ ดจาก การ แลกเปลีย่ นความรู มีเครือ่ งมือในการจัดเก็บความรูทีม่ ีชีวิตไมหยุดนิง่ คือ นอกจากจัดเก็บความรู แลวยัง งายในการนําความรูออกมาใชจริง งายในการนําความรูอ อกมาตอยอด และงายในการปรับ ขอมูลไมให ลา สมยั สวนน้จี งึ ไมใชส วนทมี่ ีหนาทเ่ี กบ็ ขอ มลู ไวเฉย ๆ ไมใชห องสมดุ สําหรับเก็บสะสม ขอมูลที่นําไปใช จรงิ ไดย าก ดงั น้ัน เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ จึงเปนเครือ่ งมือจัดเก็บความรู อันทรงพลังยิ่งใน กระบสนการจัดการความรู ตวั อยา งการจัดการความรเู รื่อง “พัฒนากลุมวสิ าหกนิ ชมุ ชน ในรูปแบบปลาทู

~ 154 ~ โมเดลปลาตะเพยี น จากโมเดล “ปลาทู” ตัวเดียวมาสูโ มเดล “ปลาตะเพียน” ทีเ่ ปนฝูง โดยเปรียบแมปลา “ปลาตัวใหญ” ได กับวิสัยทัศน พันธกิจ ขององคกรใหญ ในขณะทีป่ ลาตัวเล็กหลาย ๆ ตัว เปรียบ ไดกับเปาหมายของการ จัดการความรูท ีต่ องไปตอบสนองเปาหมายใหญขององคกร จึงเปนปลาทั้งฝูง เหมือน “โมบายปลา ตะเพียน” ของเลนเด็กไทยสมัยโบราณทีผ่ ูใ หญสานเอาไวแขวนเหนือเปลเด็ก เปน ฝูงปลาที่หันหนาไปใน ทิศทางเดียวกัน และมีความเพียรพยายามที่จะวายไปในกระแสน้ําที่เปลี่ยนแปลง อยตู ลอดเวลา ปลาใหญอาจเปรียบเหมือนการพัฒนาอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ใน ชุมชนซึง่ การพัฒนาอาชีพดังกลาว ตองมีการแกปญหาและพัฒนารวมกันไปทัง้ ระบบเกิดกลุม ตาง ๆ ขึ้นในชุมชน เพื่อการเรียนรูร วมกัน ทั้งการทําบัญชีครัวเรือน การทําเกษตรอินทรีย การทําปุย หมัก การเลีย้ งปลา การ เลี้ยงกบ หากการแกปญหาทีป่ ลาตัวเล็กประสบผลสําเร็จ จะสงผลใหปลาใหญหรือ เปาหมายในระดับ ชุมชนประสบผลสําเร็จดวยเชน นั่นคือปลาวายไปขางหนาอยางพรอมเพรียงกัน ทีส่ ําคัญ ปลาแตละตัวไมจําเปนตองมีรูปรางและขนาดเหมือนกัน เพราะการจัดการ ความรูข อง แตละเรื่อง มีสภาพของความยากงายในการแกปญหาทีแ่ ตกตางกัน รูปแบบของการจัดการ ความรูข องแต ละหนวยยอยจึงสามารถสรางสรรค ปรับใหเขากับแตละทีไ่ ดอยางเหมาะสม ปลา บางตัวอาจมีทองใหญ เพราะอาจมีสวนของการแลกเปลี่ยนเรียนรูมาก บางตัวอาจเปนปลาที่หางใหญ เดนในเรือ่ งของการจัดระบบ คลังความรูเพื่อใชในการปฏิบัติมา แตทกุ ตวั ตอ งมหี ัวและตาทมี่ องเห็น เปาหมายที่จะไปอยางชัดเจน

~ 155 ~ การจัดการความรูไ ดใหความสําคัญกับการเรียนรูท ี่เกิดจากการปฏิบัติจริง เปนการเรียนรู ในทุก ขัน้ ตอนของการทํางาน เชนกอนเริ่มงานจะตองมีการศึกษาทําความเขาใจในสิง่ ทีก่ ําลังจะทํา จะเปนการ เรียนรูด วยตัวเองหรืออาศัยความชวยเหลือจากเพื่อนรวมงาน มีการศึกษาวิธีการและ เทคนิคตาง ๆ ที่ใช ไดผลพรอ มทั้งคน หาเหตผุ ลดว ยวา เปน เพราะอะไร และจะสามารถนําสิง่ ทีไ่ ดเรียนรู นั้นมาใชงานที่กําลังจะ ทํานี้ไดอยางไร ในระหวางทีท่ ํางานอยูเ ชนกัน จะตองมีการทบทวนการทํางาน อยูตลอดเวลา เรียกไดวา เปนการเรียนรูท ี่ไดจากการทบทวนกิจกกรรมยอยในทุก ๆ ขั้นตอน หมั่น ตรวจสอบอยูเ สมอวาจุดมุง หมาย ของงานทีท่ ําอยูน ีค้ ืออะไร กําลังเดินไปถูกทางหรือไม เพราะเหตุใด ปญหาคืออะไร จะตองทําอะไรให แตกตางไปจากเดิมหรือไม และนอกจากนัน้ เมือ่ เสร็จสิน้ การ ทํางานหรือเมือ่ จบโครงการ ก็จะตองมีการ ทบทวนสิง่ ตาง ๆ ที่ไดมาแลววามีอะไรบางทีท่ ําไดดี มี อะไรบางทีต่ องปรับปรุงแกไขหรือรับไวเปน บทเรียน ซึ่งการเรียนรูต ามรูปแบบปลาทูนี้ ถือเปนหัวใจ สําคัญของกระบวนการเรียนรูท ี่เปนวงจรอยู สวนกลางของรูปแบบการจัดการความรูนั่นเอง

~ 156 ~ 2. กระบวนการจดั การความรู กระบวนการจัดการความรู เปนกระบวนการแบบหนึ่งทีจ่ ะชวยใหองคกรเขาถึงขั้นตอน ที่ทําให เกิดการจัดการความรู หรือพัฒนาการของความรูที่จะเกิดขึ้นภายในองคกร มขี นั้ ตอน 7 ข้ันตอน ดงั น้ี 1. การบงชี้ความรู เปนการพิจารณาวา เปาหมายการทํางานของเราคืออะไร และเพื่อให บรรลุ เปาหมายเราจําตอ งรอู ะไร ขณะนีเ้ รามีความรอู ะไร อยใู นรปู แบบใด อยูกบั ใคร 2. การสรางและแสวงหาความรู เปนการจัดบรรยากาศและวัฒนธรรมการทํางานของคน ใน องคกรเพื่อเอื้อใหคนมีความกระตือรือรนในการแลกเปลีย่ นความรูซ ึง่ กันและกัน ซึง่ จะกอใหเกิด การสราง ความรูใหมเพ่ือใชในการพฒั นาอยตู ลอดเวลา 3. การจัดการความรูใ หเปนระบบ เปนการจัดทําสารบัญและจัดเก็บความรูป ระเภทตาง ๆ เพื่อใหการเก็บรวบรวมและการคนหาความรู นาํ มาใชไ ดง า ยและรวดเรว็ ย 4. การประมวลและกลัน่ กรองความรู เปนการประมวลความรูใหอยูในรูปเอกสาร หรือ รูปแบบอน่ื ๆ ที่มีมาตรฐาน ปรบั ปรงุ เนื้อหาใหสมบรู ณ ใชภาษาที่เขาใจงายและใชไดงาย 5. การเขาถึงความรู เปนการเผยแพรความรูเ พื่อใหผูอืน่ ไดใชประโยชน เขาถึงความรู ไดงาย และสะดวก เชนใชเทคโนโลยี เวบ็ บอรด หรือบอรดประชาสัมพันธ เปนตน 6. การแบงปนแลกเปลีย่ นความรู ทําใหหลายวิธีการ หากเปนความรูเ ดนชัด อาจจัดทํา เปน เอกสาร ฐานความรูท ีใ่ ชเทคโนโลยีสารสนเทศ หากเปนความรูฝ งลึกทีอ่ ยูใ นตัวคน อาจจัดทําเปน ระบบ แลกเปลีย่ นความรูเ ปนทีมขามสายงาน ชุมชนแหงการเรียนรู พีเ่ ลีย้ งสอนงาน การสับเปลี่ยน งาน การยืม ตัวเวทีแลกเปลี่ยนเรยี นรู เปนตน 7. การเรยี นรู การเรียนรูของบุคคลจะทําใหเกิดความรูใหมๆ ข้ึนมากมาย ซึง่ จะไปเพิม่ พูน องค ความรูข ององคกรทีม่ ีอยูแ ลวใหมากขึ้นเรือ่ ย ๆ ความรูเ หลานีจ้ ะถูกนําไปใชเพือ่ สรางความรูใ หม ๆ เปน วงจรทีไ่ มส น้ิ สดุ เรยี กวาเปน “วงจรแหง การเรยี นรู

~ 157 ~ ตัวอยางของการะบวนการจัดการความรู “วิสาหกิจชุมชน” บานทุง รวงทอง 1. การบง ชค้ี วามรู หมบู า นทงุ รวงทองเปนหมูบานหน่ึงท่อี ยูในอําเภอจุน จงั หวดั พะเยา จากการที่หนวยงาน ตา ง ๆ ไดไปสงเสริมใหเ กดิ กลุมตาง ๆ ขึ้นในชุมชน และเห็นความสําคัญของการรวมตัวกัน เพ่ือเกื้อกลู คนใน ชุมชนใหมีการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกนั และกนั จึงมีเปาหมายจะพัฒนาหมูบานใหเปนวิสาหกิจชุมชน จึงตองมีการ บงช้คี วามรทู จ่ี ําเปนทจี่ ะพัฒนาหมบู านใหเ ปนวิสาหกิจชุมชน นั่นคือหาขอมูลชุมชนใน ประเทศไทยมี ลักษณะเปน วสิ าหกจิ ชุมชน และเมือ่ ศึกษาขอ มูลแลว ทาํ ใหรูวาความรูเรื่องวิสาหกจิ ชมุ ชนอยูท ่ไี หน นน่ั คือ อยทู ่เี จา หนา ที่หนว ยงานราชการที่มาสง เสรมิ และอยูใ นชมุ ชนที่มีการทาํ วสิ าหกจิ ชมุ ชนแลว ประสบ ผลสําเรจ็ 2. การสรา งและแสวงหาความรู จากการศึกษาหาขอมูลแลววา หมูบานท่ีทําเรื่องวิสาหกิจชมุ ชนประสบผลสาํ เร็จอยูที่ไหน ได ประสานหนวยงานราชการ และจดั ทําเวทแี ลกเปล่ียนเรียนรเู พื่อเตรยี มการในการไปศกึ ษาดูงาน เมอ่ื ไป ศึกษาดูงานไดแ ลกเปลีย่ นเรยี นรู ทําใหไดรับความรูเพ่ิมมากข้ึน เขาใจรูปแบบ กระบวนการ ของการทํา วิสาหกิจชุมชน และแยกกันเรียนรูเฉพาะกลุม เพ่ือนาํ ความรทู ี่ไดรบั มาปรบั ใชในการทํา วิสาหกิจชุมชนใน หมูบานของตนเอง เมื่อกลับมาแลว มีการทําเวทีหลายครั้ง ทง้ั เวทใี หญท ค่ี นทั้ง หมบู า นและหนว ยงาน หลายหนว ยงานมาใหคําปรึกษา ชุมชนรวมกันคิด วางแผน และตดั สนิ ใจ รวมทั้งมีเวทียอยเฉพาะกลุม จากการแลกเปลีย่ นเรยี นรผู านเวทีชาวบานหลายครงั้ ทําใหชุมชนเกิด การพฒั นาในหลายดา น เชน ความสัมพันธของคนในชุมชน การมีสว นรวม ทั้งรวมคิด รว มวางแผน รว มดาํ เนนิ การ รว มประเมนิ ผล และรว มรับผลประโยชนท เ่ี กิดข้ึนในชุมชน 3. การจดั การความรูใหเปน ระบบ การทําหมูบานใหเปนวิสาหกิจชุมชน เปนความรูใหมของคนในชุมชน ชาวบา นไดเรียนรไู ป พรอ ม ๆ กัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรูกันอยางเปนทางการและไมเปนทางการ โดยมสี ว นราชการและ องคกรเอกชนตาง ๆ รวมกันหนุนเสริมการทํางานอยางบูรณาการ และจากการถอดบทเรียนหลายครั้ง ชาวบานมีความรูเพิ่มมากขึ้นและบันทึกความรูอยางเปนระบบนั่นคือ มีความรูเฉพาะกลุม สว นใหญ จะ บันทึกในรูปเอกสาร และมีการทําวิจัยจากบุคคลภายนอก 4. การประมวลและกลน่ั กรองความรู มีการจัดทําขอมูล ซึง่ มาจากการถอดบทเรียน และการจัดทําเปนเอกสารเผยแพรเฉพาะ กลุม เปนแหลงเรียนรูใ หกับนักศึกษา กศน. และนักเรียนในระบบโรงเรียน รวมทัง้ มีนําขอมูลมาวิเคราะห เพื่อ จัดทําเปน หลกั สตู รทองถ่นิ ของ กศน. อาํ เภอจนุ ดว ย

~ 158 ~ 5. การเขาถงึ ความรู นอกจากการมีขอมูลในชุมชนแลว หนวยงานตาง ๆ โดยเฉพาะองคการบริหารสวนตําบล ได จัดทําขอมูลเพื่อใหคนเขาถึงความรูไดงาย ไดนําขอมูลใสอินเตอรเน็ต และในแตละตําบลจะมี อินเตอรเน็ต ตําบลใหบริการ ทําใหคนภายนอกเขาถึงขอมูลไดงาย และมีการเขาถึงความรูจ ากการ แลกเปลี่ยนเรียน รวมกันจากการมาศึกษาดูงานของคนภายนอก 6. การแบงปน แลกเปลย่ี นความรู ในการดาํ เนนิ งานกลุม ชุมชน ไดมีการแลกเปลีย่ นเรียนรูกันในหลายรูปแบบ ทัง้ การไป ศึกษาดู งาน การศึกษาเปนการสวนตัว การรวมกลุมในลักษณะชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) ท่ีแลกเปล่ียน เรียนรวมกัน ทัง้ เปนทางกายและไมเปนทางการ ทําใหกลุม ไดรับความรูมากขึ้น และบางกลุมเจอ ปญหาอุปสรรค โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการกลุม ทําใหกลุมตองมาทบทวนรวมกันใหม สราง ความเขาใจรวมกัน และเรียนรูเรอ่ื งการบรหิ ารจัดการจากกลุม อืน่ เพ่ิมเติม ทําใหกลุมสามารถดํารง อยไู ดโดยไมล มสลาย 7. การเรยี นรู กลุม ไดเรียนรูห ลายอยางจากการดําเนินการวิสาหกิจชุมชน การทีก่ ลุม มีการพัฒนาขึน้ นั่นแสดง วา กลุม มีความรูม ากขึน้ จากการลงมือปฏิบัติและแลกเปลีย่ นเรียนรูร วมกัน การพัฒนา นอกจากความรูที่ เพิ่มขึ้น ซึ่งเปนการยกระดับความรูข องคนในชุมชนแลว ยังเปนการพัฒนาความคิด ของคนในชุมชน ชุมชนมีความคิดทีเ่ ปลี่ยนไปจากเดิม มีการทํากิจกรรมเพือ่ เรียนรูร วมกันบอยขึน้ มีความคิดในการพึ่งพา ตนเอง และเกิดกลมุ ตาง ๆ ขึ้นในชุมชน โดยการมีสวนรวมของคนในชุมชน

~ 159 ~  กจิ กรรม 1. รปู แบบของการจดั การความรมู อี ะไรบา ง และมลี กั ษณะอยา งไร .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. กระบวนการจัดการความรูมีกข่ี ัน้ ตอน อะไรบา ง .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 3. ใหผเู รยี นยกตัวอยางกลมุ หรอื ชุมชนท่ีมีการจัดการความรปู ระสบผลสําเรจ็ และอธบิ ายดว ยวา สําเร็จอยา งไร เพราะอะไร .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................

~ 160 ~ เรอ่ื งที่ 3 : การรวมกลมุ เพอื่ ตอยอดองคค วามรู 1. บุคคลและเคร่ืองมือท่เี กย่ี วขอ งกบั การจัดการความรู บุคคลท่ีเก่ียวขอ งกบั การจดั การความรู ในการจัดการความรูดวยวิธีการรวมกลุม ปฏิบัติการเพื่อตอยอดความรู การแลกเปลีย่ น เรียนรูเ พือ่ ดึงความรูท ีฝ่ งลึกในตัวบุคคลออกมาแลวสกัดเปนขุมความรู หรือองคความรูเ พือ่ ใชในการ ปฏิบัติงานนัน้ จะตองมีบุคคลทีส่ งเสริมใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู ในบรรยากาศของการมีใจใน การแบงปนความรู รวมท้ังผูทที่ ําหนาทก่ี ระตุนใหคนอยากทจ่ี ะแลกเปลย่ี นเรยี นรซู งึ่ กนั และกัน บุคคล ทีส่ ําคัญและเกี่ยวของกับ การจัดการความรู มดี ังตอไปนี้ “คณุ เอ้ือ” ชอื่ เต็มคอื “คณุ เอ้ือระบบ” เปนผนู ําระดับสูงขององคก ร หนา ทส่ี าํ คัญคอื 1) ทําใหการจัดการความรู เปนสวนหนึ่งของการปฏิบัติงานตามปกติขององคกร 2) เปดโอกาสใหทุกคนในองคกรเปน “ผนู าํ ” ในการพัฒนาวิธีการทํางานที่ตนรับผิดชอบ และนําประสบการณม าแลกเปลย่ี นเรยี นรูกบั เพ่ือนรวมงาน สรางวัฒนธรรมการเอื้ออาทร และแบงปนความรู และ 3) หากุศโลบายทําใหความสําเร็จของการใชเครื่องมือการจัดการความรูมีการนําไปใช มากขึ้น “คุณอํานวย” หรือผูอ ํานวยความสะดวกในการจัดการความรู เปนผูกระตุน สงเสริมใหเกิดการ แลกเปลีย่ นเรยี นรู และอาํ นวยความสะดวกตอ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู นําคนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ การ ทํางานรวมกัน ชวยใหคนเหลานัน้ สื่อสารกันใหเกิดความเขาใจ เห็นความสามารถของกันและกัน เปนผู เชือ่ มโยงคนหรือหนวยงานเขามาหากัน โดยเฉพาะอยางยิ่งเชือ่ มระหวางคนทีม่ ีความรูห รือ ประสบการณ กับผูต องการเรียนรู และนําความรูน ั้นไปใชประโยชน คุณอํานวยตองมีทักษะที่สําคัญ คือทักษะการ สื่อสารกับคนที่แตกตางหลากหลาย รวมทั้งตองเห็นคุณคาของความแตกตางหลากหลาย และรูจ ักประสาน ความแตกตางเหลานัน้ ใหมีคุณคาในทางปฏิบัติ ผลักดันใหเกิดการพัฒนางาน และ ติดตามประเมินผลการ ดาํ เนนิ งาน คนหาความสําเร็จ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ตองการ “คุณกิจ” คือเจาหนาทีผ่ ูป ฏิบัติงาน คนทํางานทีร่ ับผิดชอบตามหนาทีข่ องตนในองคกร ถือเปน ผูจ ัดการความรูตัวจริงเพราะเปนผูด ําเนินกิจกรรมการจัดการความรู มีประมาณรอยละ 90 ของทัง้ หมด เปนผูรวมกันกําหนดเปาหมายการใชการจัดการความรูของกลุม ตน เปนผูค นหาและ แลกเปลีย่ นเรียนรู ภายในกลุม และดําเนินการเสาะหาและดูดซับความรูจ ากภายนอกเพือ่ นํามาประยุกต ใชใหบรรลุเปาหมาย รว มทก่ี าํ หนดไว เปน ผูดาํ เนนิ การจดบันทกึ และจัดเก็บความรูใหห มุนเวยี นตอ ยอด ความรไู ปไมร จู บ “คณุ ลขิ ิต” คอื คนท่ีทําหนา ทีจ่ ดบนั ทกึ กิจกรรมจัดการความรูตา ง ๆ เพอื่ จัดทําเปนคลงั ความรู ขององคกร

~ 161 ~ ในการจัดการความรูท่ีอยูในคน โดยการแลกเปลีย่ นเรียนรูร วมกัน จากการเลาเรื่องสูก ันฟง บุคคลที่สงเสริมสนับสนุนใหมีการรวมตัวกันเพื่อเลาเรือ่ งคือผูน ําสูงสุด หรือท่ีเรียกวา “คุณเอือ้ ” เมื่อ รวมตัวกนั แลวแตล ะคนไดเ ลา เรอ่ื งทีป่ ระสบผลสําเรจ็ จากการปฏิบัตขิ องตนเองออกมาใหเพือ่ นฟง คน ที่เลา เรือ่ งแตละเรื่องนั้นเรียกวา “คุณกิจ” และในระหวางทีเ่ ลาจะมีการซักถามความรู เพื่อใหเห็น แนวทางของ การปฏิบัติ เทคนิค เคล็ดลับในการทํางานใหประสบผลสําเร็จ ผูท ีท่ ําหนาทีน่ ีเ้ รียกวา “คุณอํานวย” และ ในขณะทเี่ ลาเร่อื งจะมผี คู อยจดบันทึก โดยเฉพาะเคล็ดลับ วิธีการทํางานให ประสบผลสําเร็จ นัน่ คือ “คุณ ลิขิต” ซึง่ ก็หมายถึง คนทีค่ อยจดบันทึกนัน่ เอง เมือ่ ทุกคนเลาจบ ไดฟงเรือ่ งราว วิธีการทํางานใหประสบ ผลสําเรจ็ แลว ทกุ คนชวยกนั สรปุ ความรทู ีไ่ ดจากการสรปุ น้ี เรียกวา “แกน ความรู” นเ่ั นอง เครื่องมือทเ่ี กีย่ วขอ งกบั การจัดการความรู การจัดการความรู หัวใจสําคัญคอื การจัดการความรูที่อยูในตัวคน เครื่องมือทีเ่ กีย่ วของ กับการจัด งานความรูเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรูจึงมีหลากหลายรูปแบบ ดงั น้ี 1. การประชมุ (สัมมนา ปฏิบัติการ) ท้งั ที่เปนทางการและไมเปนทางการ เปนการ แลกเปลีย่ น เรียนรรู ว มกนั หนวยงานองคกรตางๆ มีการใชเครือ่ งมือการจัดการความรูใ นรูปแบบนี้ กันมาก โดยเฉพาะ กลุมงานราชการ 2. การไปศกึ ษาดูงาน นัน่ คอื แลกเปลยี่ นเรยี นรูจากการไปศึกษาดูงาน มีการซักถาม หรือ จัดทํา เวทีแสดงความคิดเห็นในระหวางไปศึกษาดูงาน ก็ถือเปนการแลกเปลีย่ นความรูร วมกัน คือ ความรูย ายจาก คนไปสูคน 3. การเลาเรื่อง (Storytelling) เปนการรวมกลุม กันของผูปฏิบัติงานทีม่ ีลักษณะคลายกัน ประมาณ 8-10 คน แลกเปลีย่ นเรียนรูโ ดยการเลาเรือ่ งสูก ันฟง การเลาเรือ่ งผูฟ งจะตองนัง่ ฟงอยาง มีสมาธิ หรือฟงอยางลึกซึง้ จะทําใหเขาใจในบริบทหรือสภาพความเปนไปของเรื่องทีเ่ ลา เมือ่ แตละคน เลาจบ จะมี การสกัดความรู ทีเ่ ปนเทคนิค วิธีการทีใ่ หงานประสบผลสําเร็จออกมา งานทีท่ ําจน ประสบผลสําเร็จ เรียกวา best practice หรือการปฏิบตั ิงานทเี่ ลิศ ซึง่ แตละคนอาจมีวิธีการทีแ่ ตกตาง กัน ความรูท ี่ไดถือเปน การยกระดับความรูใ หกับคนทีย่ ังไมเคยปฏิบัติ และสามารถนําความรูท ี่ไดรับ ประยุกตใชเพือ่ พัฒนางาน ของตนเองได 4. ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice : CoPS) เปนการรวมตัวกันของคนทีส่ นใจ เรื่อง เดียวกัน รวมตัวกันเพือ่ แลกเปลีย่ นเรียนรูท ัง้ เปนทางการแบะไมเปนทางการ ผานการสือ่ สาร หลาย ๆ ชองทาง อาจรวมตวั กนั ในลกั ษณะของการประชุม สัมมนา และแลกเปลี่ยนความรูก ัน หรือการรวมตัวใน รูปแบบอืน่ เชน การต้ังเปนชมรม หรือใชเทคโนโลยีในการแลกเปลีย่ นความรูก ันใน ลักษณะของเว็บ บล็อก ซึง่ สามารถแลกเปลีย่ นเรียนรูก ันไดทุกที ทุกเวลา และประหยัดคาใชจายอีกดวย การแลกเปลีย่ น เรียนรูจะทําใหเกดิ การพัฒนาความรู และตอ ยอดความรู

~ 162 ~ 5. การสอนงาน หมายถึงการถายทอดความรูห รือบอกวิธีการทํางาน การชวยเหลือ ให คาํ แนะนาํ ใหกําลงั ใจแกเ พือ่ นรวมงาน รวมทั้งการสรางบรรยากาศเพื่อถายทอดและแลกเปลี่ยน ความรูจ าก คนท่ีรูมาก ไปสคู นทีร่ นู อ ยในเรื่องนัน้ ๆ 6. เพือ่ นชวยเพอ่ื น (Peer Assist) หมายถึง การเชิญทีมอื่นมาแบงปนประสบการณดี ๆ ทีเ่ รียวา best practice มาแนะนํา มาสอน มาบอกตอ หรือมาเลาใหเราฟง เพือ่ เราจะไดนําไป ประยุกตใชใน องคกรของเราได และเปรียบเทียมเปนระยะ เพอ่ื ยกระดบั ความรแู ละพฒั นางานใหด ี ยิง่ ขนึ้ ตอ ไป 7. การทบทวนกอนการปฏิบัติงาน (Before Action Review : BAR) เปนการทบทวนการ ทํางานกอนการปฏิบัติงาน เพื่อดูความพรอมกอนเริม่ การอบรม ใหความรู หรือทํากิจกรรมอืน่ ๆ โดยการ เชิญคณะทํางานมาประชุมเพือ่ ตรวจสอนความพรอม แตละฝายนําเสนอถึงความพรอมของ ตนเองตาม บทบาทหนาทีท่ ี่ไดรับ การทบทวนกอนการปฏิบัติงานจึงเปนการปองกันความผิดพลาดที่ จะเกิดขึ้นกอน การทํางานนั้นเอง 8. การทบทวนขณะปฏิบัติงาน (During Action Review : DAR) เปนการทบทวนใน ระหวาง ทีท่ ํางาน หรือจัดอบรม โดยการสังเกตและนําผลจากการสังเกตมาปรึกษาหารือและแก ปญหาในขณะ ทํางานรวมกัน ทําใหลดปญ หา หรืออุปสรรคในระหวางการทํางานได 9. การทบทวนหลังการปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) เปนการติดตามผล หรือ ทบทวนการทํางานของผูเ ขารวมกิจกรรม หรือคณะทํางานหลังเลิกกิจกรรมแลว โดยการนัง่ ทบทวน สิ่งที่ ไดปฏิบัติไปรวมกัน ผานการเขียนและการพูด ดวยการตอบคําถามงาย ๆ วา คาดหวังอะไรจาก การทํา กจิ กรรมน้ี ไดตามที่คาดหวังหรือไม ไดเพราะอะไร ไมไดเพราะอะไร และจะทําอยางไรตอไป 10. การจัดทําดัชนีผูร ู คือการรวบรวมผูทีเ่ ชีย่ วชาญ เกงเฉพาะเรือ่ ง หรือภูมิปญญา มา รวบรวม จัดเก็บไวอยางเปนระบบ ทัง้ รูปแบบทีเ่ ปนเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส เพือ่ ใหคนไดเขาถึง แหลงเรยนรูไ ด งาย และนาํ ไปสกู จิ กรรมการแลกเปล่ียนรูต อ ไป เครื่องมือในการแลกเปลีย่ นเรียนรูน ีเ้ ปนเพียงสวนหนึง่ ของเครื่องมืออีกหลายชนิดทีน่ ําไปใช การ จัดการความรู เครือ่ งมือทีม่ ีผูน ํามาใชมากในการแลกเปลีย่ นเรียนรูใ นระดับตนเองและระดับกลุม คือการ แลกเปลี่ยนเรียนรูโ ดยเทคนิคการเลาเรือ่ ง การเลาเรือ่ งการแลกเปลีย่ นเรียนรูจากวิธีการทํางาน ของคนอืน่ ที่ ประสบผลสําเร็จ หรือทีเ่ รียกวา best practice เปนการเรียนรูท างลัด นัน่ คือเอาเทคนิค วิธีการทํางานทีค่ น อื่นทําแลวประสบผลสําเร็จมาเปนบทเรียน และนําวิธีการนั้นมาประยุกตใชกับ ตนเอง เกิดวิธีการปฏิบัติ ใหมท ด่ี ีขนึ้ กวาเดมิ เปนวงจรเรอ่ื ยไปไมสิน้ สดุ การแลกเปลี่ยนเรยี นรจู าก การเลา เรอ่ื ง มลี ักษณะดงั นี้

~ 163 ~ การเลาเร่อื ง การเลา เร่ือง หรอื Storytelling เปนเครื่องมืออยางงายในการจัดการความรู ซึง่ มวี ิธีการ ไมยงุ ยาก ซับซอน สามารถใชไดกับทุกกลุมเปาหมาย เปนการเลาประสบการณในการทํางานของแต ละคนวา มี วิธกี ารทําอยางไรจึงจะประสบผลสําเรจ็ กจิ กรรมเลา เร่ือง ตองทาํ อยางไรบา ง กจิ กรรมจัดการความรู โดยใชเทคนิคการเลาเรื่อง ประกอบดวยกิจกรรมตาง ๆ ดงั น้ี 1. ใหค ุณกจิ (สมาชิกทุกคน) เขียนเรื่องเลาประสบการณความสําเร็จในการทํางานของ ตนเองเพื่อใหความรูฝง ลึกในตัว (Tacit Knowledge) ปรากฏออกมาเปนความรูชัดแจง (Expicit Knowledge) 2. เลาเรื่องความสําเร็จของตนเอง ใหส มาชิกในกลุมยอ ย ฟง 3. คณุ กิจ (สมาชิก) ในกลุม ชวยกันสกัดขุมความรู จากเร่อื งเลา เขยี นบนกระดาษ ลิปชารต 4. ชว ยกันสรปุ ขุมความรูท ส่ี กดั ไดจ ากเรื่อง ซึ่งมีจาํ นวนหลายขอ ใหก ลายเปน แกน ความรู ซ่ึงเปนหัวใจที่ทําใหง านประสบผลสําเร็จ 5. ใหแตล ะกลมุ คัดเลอื กเร่ืองเลา ทด่ี ีที่สดุ เพอ่ื นาํ เสนอในท่ีประชมุ ใหญ 6. รวมเรื่องเลาของทุกคน จัดทําเปนเอกสารคลังความรูของกองคกร หรือเผยแพรผ าน ทางเว็บไซต เพอ่ื แบง ปน แลกเปลี่ยนความรู และนํามาใชประโยชนในการทํางาน ขุมความรู คอื วิธกี ารแกป ญ หา หรือพฒั นางาน แกนความรู คือบทสรุปของขุมความรู (เรอื่ งนี้สอนใหรูวา)

~ 164 ~ ตัวอยา งเรื่องเลา ...ประสบการณค วามสําเรจ็ เรือ่ ง “อดีตเดก็ หลงผิด สผู ูนาํ ความคดิ เยาวชน ..อรรพผล บุญเลย้ี ง.. “ตอนเด็ก ๆ ชีวิตผลน่ีก็แบบสุด ๆ เหมือนกันนะ อยางตอนมัธยมตน ผมเคยโดนคดี ธนบัตร ปลอม พอมาชวงมัธยมปลายก็มาโดนคดีคาอาวุธสงคราม ซ่ึงตอนน้ันจะวาไปจริง ๆ มันไมใช ของผมนะ แตเปนของเพ่ือน ๆ ที่มาอยูกับเรามากกวา ก็จะมีปนเอ็ม 16 สองกระบอก ปน 11 มม. สองกระบอก มีลูก กระบอกสอ งวถิ ี 56 นดั สว นคดียาเสพตดิ ทโี่ ดน ผมจะมยี าบา ในครอบครอง 800 เมด็ แลว ก็กญั ชา 2 กโิ ล ชีวิตผมมันก็อยูในวงการนี้มาตลอด การจะเขาไปสัมผัสกับสิ่งเหลานีม้ ันก็เลยไมใชเรือ่ งแปลก อะไร แลวตอนน้ีโดนจับก็เปนการตกกระไดพลอยโจนมากกวา เพราะตอนน้ันเปนชวงท่ีผมหันหลังให กับ ทุกอยาง แลวก็ขึ้นจากบานที่สุราษฎรธานีมาเรียนรามคําแหง วันหน่ึงคิดถึงบานและเพ่ือน ๆ ก็ เลยกลับไป เยีย่ มเพ่อื น ตํารวจกม็ าล็อคตวั พาเขาไปบา นทันที ผมเจอขอ หาคดสี ูญกญั ชาและถกู คมุ ประพฤติ 3 ป บางครง้ั เคยเจอเหตกุ ารณห นั หลงั ชนกันกับเพ่อื น 2 คน แลวมีคนลอมรุมกระทืบกวา 20 คน สวน หนง่ึ อาจจะดวยผมเปน คนมเี พื่อนเยอะ พอใครมาขอความชวยเหลือผมก็ชวย พอใครเกิด เร่ืองอะไรข้ึนก็ตอง เขาไปชวยทุกที แตอยางที่บอกครับ ผมก็มีขีดจํากัดการชวยเหลือของผมอยู มี 2 ขอ ที่ผมจะไมเขาไปชวย นั่นคือการไปหาเรื่องคนอื่นกอน แลวก็ตองไมใชเรือ่ งผูห ญิง เพราะถาเปน 2 กรณีน้ี ผมจะไมชวยเหลือ อยา งเดด็ ขาด อยูห างบานอยูหางครอบครัว เบือ้ งหลังผมจะเปนแบบนีต้ ลอด แตพอเขาบานปุบ!! ผมก็ จะ กลายเปนลูกชายที่นารัก เปนหลานท่ีเรียบรอยในสายตายาไปในทันที เพราะอะไรเหรอครับ ก็ เพราะผมมี รางวัลเยาวชนดีเดนแหงชาติ ประจําป 2544 การันตีไงครับ ผมเปนคนเรียนเกง เคยเปน ตัวแทนของ โรงเรียนไปประกวดโครงงานวิทยาศาสตรไดที่ 1 ของประเทศ กอนจะไปแขงระดับนานาชาติ ที่ประเทศ มาเลเซยี ผลกค็ ือไดร ับรางวลั ชนะเลศิ ดา นสิง่ แวดลอมกลบั มาครับ กระทั่งชวงที่ถูกคุมความประพฤตินั่นละครับ ครอบครัวถึงรูถึงพฤติกรรมผมทั้งหมด แตเมื่อ ทุก อยางมันมาถึง ทุกคนก็ตองยอมรับ ซึ่งในใจสวนลึกตอนนั้นผมแครความรูสึกของยามาก ผมรักยา มาก เพราะทานเลี้ยงผมมาตั้ง 12 ป ผมไมอยากใหทานเสียใจ แตเมื่อเรือ่ งมันแกไขไมไดเสียแลว สิ่งที่ผมจะทํา ได คือการปรบั ปรงุ ตวั ใหม เพ่ือสรางความเชอ่ื มั่นใหท ุกคน ใหค ณุ ยา กลับมาอีกคร้ัง ผมตัดสินใจเดินทางเขากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคําแหงอยางที่ตั้งใจเอาไว โดย เลอื กคณะรฐั ศาสตร เอกการเมอื งการปกครอง ผมอยากพสิ จู นต ัวเองใหทุกคนเห็น ทั้งจะหาเงิน เรียนเองโดย ไมข อทางบา น

~ 165 ~ ผมใชเวลาเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยราคําแหง 3 ปจบ ที่สําคัญคะแนนเฉียดฉิววาจะ ได เกียรตินิยมอันดับ 1 ดวยนะครับ บางคนอาจสงสัยวา เปนไปไดยังไง เรียนไปดวยทํางานไปดวย ที่สําคัญ การทาํ งานของผม คือการหาเงนิ มาไดดว ยความสุจริต 100% ครบั งานสุจริตที่ผมทําที่แรก็คือที่บริษัทซีพี ผมทําในสวนงานประสานกิจการสัมพันธ แลวก็ทํา ออร แกไนซ ซึง่ รายไดจะอยูทีว่ ันละ 200 บาท เรียกไดวาตอนนั้นใครใชใหทําอะไรผมทําหมด ขอแต วาอยาให ผมทาํ ผดิ กฎหมาย ซง่ึ ผมทาํ งานไดป ระมาณ 3 เดือน ก็มีการขึน้ เงินใหผมเปนวันละ 500 บาท มันทําใหผม ดใี จมาก เพราะการไดทํางานที่นี่ก็เหมือนเปนการเปดโลกทัศนหลายอยางทาง ความคิดใหผมไดกาวมาถึงทุก วนั น้ี หลายคนอาจจะสงสัยวา แลวคดีควบคุมความประพฤติที่ติดตัวผมไมมีผลกับสังคม ภายนอกเหรอ สําหรับผมไมมีครับ เพราะความผิดมันไมไดติดไวที่หนาผาก มันไมไดโชวใหคนอ่ืนเห็น ในเม่ือมีคนให โอกาสผมทํางาน และทุกคนก็ใหการตอนรับผม ผมก็ตั้งใจทํางานอยางถึงที่สุด ไมมี ใครมานั่งพูดพลามถึง อดีตทีผ่ า นมาของผม ทกุ คนดทู ีก่ ารทาํ งานการปฏบิ ัตติ ัวในวนั นีข้ องผมมากกวา และจุดเปลยี่ นทส่ี ําคญั ในชวี ติ ผมกค็ ือ ชวงที่เกิดเหตุสินามิครับ ตอนน้ันผมเปนตัวแทนของ บริษัท ลงไปดูพนื้ ทบ่ี านนา้ํ เคม็ จงั หวดั พงั งา ดว ยสภาพที่เหน็ ในตอนนัน้ มันเปนสภาวะความสูญเสีย ยากจะบรรยาย จริง ๆ บานเรือน ทรัพยสิน ชีวิต รวมไปถึงการสูญเสียดานจิตใจยากที่จะเยียวยา มันเปนความรูสึกที่บอก ไมถูกจริง ๆ ย่ิงผมเห็นสภาพเด็ก ๆ ทีต่ องสูญเสียพอแมไมเหลือใคร มัน สะทอนถึงกนบึ้งของหัวใจเลย ทเี ดียว ผมลงพนื้ ทสี่ ํารวจไดพ กั หนึ่ง ก็มานัง่ คิดกับเพือ่ นวาใกลถึงวันเด็กแลว ก็นาจะมีการจัดงาน วันเด็ก ใหเด็ก ๆ ไดสนุกสนานกัน จากนั้นเราก็เริ่มออกไปประกาศทั่วพื้นที่วาจะมีการแจกของ มีการ จัดกิจกรรม วนั เดก็ ซึ่งตอนนั้นผมกับเพื่อนเราควักตังคของตัวเองเพอ่ื ไปซ้อื ของขวญั มาใหเ ดก็ ๆ กวา 70-80 คน หลังจากกลับชวยสึนามิ ผมก็เดินทางกลับเขากรุงเทพฯ มาทํางานเหมือนเดิม แตทิศทาง ความคิด เร่ิมเปล่ียน ผมอยากทํางาน อยากทํากิจกรรมในทางสรางสรรคสังคม ผมไมอยากทิ้ง ความรูสึกวาอยาก ชวยเหลือเด็ก ๆ นอ ง ๆ เยาวชน ดีที่การไปทาํ กิจกรรมที่บานน้ําเค็มผมไดเพื่อน 2 คน ซึ่งอุดมการณตรงกัน มไี อเดยี ตรงกนั จนมาตงั้ กลุม Y-ACT. ซ่ึงเราจะทํากจิ กรรมเก่ียวกบั เด็ก และเยาวชน กลมุ ของเราจะทําหนา ที่อบรมนอง ๆ ทั่วประเทศในเรื่องตาง ๆ อยางเชน กิจกรรมสรางสรรค จิต สาธารณะ การพัฒนาโครงการ ทักษะผูนํา รณรงคเร่ืองเหลา บุหร่ี เอดส รวมไปถึงการอบรม ในสวนของ หนวยงานตาง ๆ ในที่สุดผมลาออกจากงานประจํามาทํางานนี้เต็มตัว ผมมีความสุขกับ การทํางานทุกวันนี้ มาก” “คนเราทุกคนลวนยอมเคยทําผิดกันทั้งนั้น ไมมีใครที่ไมเคยทําไมผิด อยูท่ีวาเม่ือเราทําผิด แลวเรา จะใชเวลานานแคไหนในการสํานึกผิด และหันหลับมาใชบทเรียนที่ผานมา กาวมาอยูกับ ปจจุบันและ อนาคตทด่ี กี วา เดมิ ได เทานีท้ เ่ี คยทําผิดพลาดมากจ็ ะถูกลบเลอื นหายไปดว ย คณุ คา แหง ความดีทีจ่ ะพิสูจนวา ความดียอมชนะความชั่วเสมอ”

~ 166 ~ 2. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิหรอื ชมุ ชนแหงการเรียนรู (CoPs) ในชุมชนมีปญหาซับซอน ที่คนในชุมชนตองรวมกันแกไข การจัดการความรูจ ึงเปนเรือ่ งที่ ทุก คนตองใหความรวมมือ และใหขอเสนอแนะในเชิงสรางสรรค การรวมกลุม เพือ่ แกปญหาหรือรวม มือกัน พัฒนาโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรูรว มกัน เรียกวา ชุมชนนักปฏิบัติ บุคคลในกลุม จึงตองมี เจตคติที่ดีในการ แบงปนความรู นาํ ความรทู มี่ ีอยพู ัฒนากลมุ จากการลงมอื ปฏบิ ัติ และเคารพใน ความคดิ เห็นของผอู นื่ ชุมชนนกั ปฏบิ ัติคืออะไร ชุมชนนักปฏิบัติคือคนกลุมเล็ก ๆ ซึ่งทํางานดวยกันมาระยะหนึง่ มีเปาหมายรวมกัน และ ตองการทีจ่ ะแบงปนแลกเปลีย่ นความรู ประสบการณจาการทํางานรวมกัน กลุม ดังกลาวมักจะไมได เกิด จากการจัดตัง้ โดยองคกร หรือชุมชน เปนกลุม ทีเ่ กิดจากความตองการแกปญหา พัฒนาตนเอง เปนความ พยายามที่จะทําใหความฝนของตนเองบรรลุผลสําเร็จ กลมุ ทีเ่ กดิ ข้ึนไมม ีอาํ นาจใด ๆ ไมมี การกําหนดไวใน แผนภูมิโครงสรางองคกร ชุมชน เปาหมายของการเรียนรูข องคนมีหลายอยาง ดังนัน้ ชุมชนนักปฏิบัติจึง มไิ ดมีเพียงกลมุ เดยี ว แตเ กิดขนึ้ เปน จาํ นวนมาก ทัง้ นีอ้ ยูทีป่ ระเด็นเนือ้ หาทีต่ องการ จะเรียนรูร วมกันนั่นเอง และคนคนหนึ่งอาจจะเปนสมาชิกในหลายชุมชนก็ได ชมุ ชนนักปฏิบัตมิ คี วามสําคญั อยางไร ชุมชนนักปฏิบัติเกิดจากลุม ทีม่ ีเครือขายความสัมพันธทีไ่ มเปนทางการมารวมกัน เกิด จากความ ใกลชิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพันธรวมกัน การรวมตัวกันในลักษณะทีไ่ มเปนทางการ จะเอื้อตอการ เรยี นรู และการสรางความรูใหม ๆ มากกวาการรวมตัวกันเปนทางการ มีจุดเนนคือ ตองการเรียนรูร วมกัน จากประสบการณการทํางานเปนหลัก การทํางานในเชิงปฏิบัติ หรือจากปญหา ในชีวิตประจําวัน หรือ เรียนรูเ ครือ่ งมือใหม ๆ เพือ่ นํามาใชในการพัฒนางาน หรือวิธีการทํางานทีไ่ ดผล และไมไดผล การมี ปฏิสัมพันธระหวางบุคคล ทําใหเกิดการถายทอดแลกเปลี่ยนความรูฝงลึก สราง ความรู และความเขาใจได มากกวาการเรียนรูจากหนังสือ หรือการฝกอบรมตามปกติ เครือขายที่ ไมเปนทางการ ในเวทีชุมชนนัก ปฏบิ ตั ิซึ่งมสี มาชิกจากตางหนวยงาน ตางชุมชน จะชวยใหองคการ หรือชุมชนประสบความสําเร็จไดดีกวา การสื่อสารตามโครงสรางที่เปนทางการ ชุมชนนกั ปฏิบัติเกดิ ขนึ้ ไดอ ยา งไร การรวมกลุมปฏิบัติการ หรือการกอตัวข้นึ เปน ชมุ ชนนกั ปฏิบัติได ลวนเปนเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับคน คน ตอ งมี 3 ส่ิงตอ ไปนีเ้ ปนเบ้ืองตน คอื 1. ตองมีเวลา คือมีเวลาที่จะมาแลกเปลีย่ นเรียนรู มารวมคิด รวมทํา รวมแกปญหา ชวยกัน พัฒนางาน หรือสรา งสรรคส ่ิงใหม ๆ ใหเ กดิ ขึ้น หากคนที่มารวมกลุมไมมีเวลา หรือไมจัด สรรเวลาไวเพือ่ การนี้ก็ไมมีทางบที่จะรวมกลมุ ปฏิบตั ิการได

~ 167 ~ 2. ตองมีเวทีหรือพืน้ ที่ การมีเวทีหรือพื้นทีค่ ือการจัดหาหรือกําหนดสถานทีท่ ีจ่ ะใชในการ พบ กลุม การชุมชน พบปะพูดคุยสนทนาแลกเปลีย่ นความคิด แลกเปลีย่ นประสบการณตามทีก่ ลุม ไดชวยกัน กําหนดขึน้ เวทีดังกลาวอาจมีหลายรูปแบบ เชนการจัดประชุม การจัดสัมนา การจัดเวที ประชาคม เวที ขางบาน การจัดเปนมุมกาแฟ มุมอานหนงั สอื เปน ตน การจดั ใหมีเวทหี รอื พื้นท่ดี งั กลาว เปนการทําใหคนไดมีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรูใน บรรยากาศ สบาย ๆ เปดโอกาสใหคนทีส่ นใจเรือ่ งคลาย ๆ กัน หรือคนทีท่ ํางานดานเดียวกันมีโอกาส จับกลุม ปรึกษา หารือกันไดโดยสะดวก ตามความสมัครใจ ในภาษาอังกฤษเรียกการชุมนุมลักษณะ น้ีวา Community of Practices หรอื เรียกยอ วา CoPs ในภาษาไทยเรียก ชุมชนนักปฏิบัติ ชุมชนนักปฏิบัติเปนคําทีใ่ ชกันโดยทัว่ ไป และมีคําอื่น ๆ ที่มีความหมายเดียวกันนี้ เชน ชุมชน แหง การเรยี นรู ชุมชนปฏิบัติการ หรอื เรยี กคํายอ ในภาษาอังกฤษวา CoPs กเ็ ปน ท่เี ขาใจกนั 3. ตองมีไมตรี คนตองมีไมตรีตอกันเมือ่ มาพบปะกัน การมีไมตรีเปนเรือ่ งของใจ การมี น้ําใจ ตอกัน มีใจใหกันและกัน เปนใจทีเ่ ปดกวาง รับฟงความคิดเห็นของผูอ ืน่ พรอมรับสิง่ ใหม ๆ ไมยึดติดอยู กบั ส่งิ เดิม ๆ มีความเอื้ออาทร พรอ มทจ่ี ะชว ยเหลือเกอ้ื กูลซึง่ กันและกัน การรวมกลุม ปฏิบัติการ จะดําเนินไปไดดวยดี บรรลุตามเปาหมายทีต่ ัง้ ใจ จะตองมีเวลา เวที ไมตรี เปนองคประกอบที่ชวยสรางบรรยากาศทีเ่ ปดกวาง และเอื้ออํานวยตอการแสดงความคิดเห็น ที่ หลากหลายในกลมุ จะทําใหไดมุมมองที่กวางขวางยิ่งขึ้น รปู แบบของเวทชี มุ ชนนกั ปฏิบัติ การแลกเปลี่ยนเรียนรูผานเวทีชุมชนนักปฏิบัติมีหลากหลายรูปแบบ เชนการมารวมกลุม กัน เพ่ือ แลกเปล่ียนความรรู ะหวางกันในรูปแบบตาง ๆ เชน การประชุม การสัมมนา การจัดเวทีประชาคม เวทีขาง บาน การจัดเปนมุมกาแฟ มมุ อานหนังสอื แตในปจจุบันมีการใชเทคโนโลยีมาใชในการสือ่ สาร ทําใหเกิด การแลกเปลย่ี นเรียนรูรวมกนั ผานทางอินเตอรเน็ต ดังนัน้ รูปแบบของการแลกเปลีย่ นเรียนรู ทีเ่ รียกวา “เวที ชุมชนนักปฏิบัติ” จึงมี 2 รูปแบบ ดงั น้ี 1. เวทีจริง เปนการรวมตัวกันเปนกลุม หรือชุมชน และมาแลกเปลีย่ นเรียนรูร วมกันดวย การ เห็นหนากัน พูดคุย แลกเปลีย่ นความคิดเห็น ทั้งแบบเปนทางการและไมเปนทางการ แต การ แลกเปลีย่ นในลักษณะนีจ้ ะมีขอจํากัดในเรื่องคาใชจายในการเดินทางมาพบกัน แต สามารถแลกเปลี่ยน เรยี นรรู วมกันไดในเชิงลกึ

~ 168 ~ 2. เวทีเสมือน เปนการรวมตัวกันเชื่อมเปนเครือขายเพื่อแลกเปลีย่ นเรียนรูรวมกันผานทาง อินเตอรเน็ต ซึง่ ในปจจุบันมีการใชอินเตอรเน็ตในการสือ่ สารหรือคนควาขอมูลกันอยาง แพรหลาย ทัง้ ในประเทศและตางประเทศ การแลกเปลีย่ นเรียนรูใ นลักษณะนีเ้ ปนการ แลกเปลีย่ นเรียนรูแ บบ ไมเปนทางการ มีปฏิสัมพันธกันผานทางออนไลน จะเห็นหนากัน หรือไมเห็นหนากันก็ได และจะมี ความรูส ึกเหมือนอยูใ กลกัน จึงเรียกวา เวทีเสมือน น่ัน คือเสมือนอยูใกลกันนัน่ เอง การแลกเปลี่ยน เรียนรูจ ะใชวิธีการบันทึกผานเว็บบล็อกซึ่ง เหมือนสมุดบนั ทกึ เลม หนึง่ ท่ีอยใู นอินเตอรเนต็ สามารถ บันทกึ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูและสง ขอมูลหากนั ไดท ุกที ทกุ เวลา และประหยัดคาใชจายเนื่องจาก ไมตอ งเดินทางมาพบกัน ชมุ ชนแหง การเรยี นรู ชุมชนแหงการเรียนรู คือการทีค่ นในชุมชนเขารวมในกระบวนการเรียนรู พรอมทีจ่ ะเปน ผูให ความรูแ ละรับความรู จากการแบงปนความรูทัง้ ในตนเองและความรูในเอกสารใหแกกันและกัน ชุมชน แหงการเรียนรูจึงมีทั้งระบบบุคคลและระดับกลุม เช่อื มโยงกันเปน เครือขา ยเพ่ือเรยี นรรู ว มกัน การสงเสริมใหชุมชนเปนชุมชนแหงการเรียนรูจ ึงตองเริ่มทีต่ ัวบุคคล เริ่มตนจากการทํา ความ เขาใจ สรางความตระหนักใหกับคนในชุมชนเปนบุคคลแหงการเรียนรู เห็นความสําคัญของการ มีนิสัยใฝ

~ 169 ~ เรียนรู สงเสริมใหเกิดการเรียนรูจ ากกิจกรรมทีร่ ัฐบาลหรือองคการชุมชนจัดให จาการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันอยางสม่าํ เสมอ จนเกิดเปนความเคยชินและเห็นประโยชนจาก ความรูท ีไ่ ดรับ เพ่มิ ขึ้น การสรางนิสัยใฝเรียนรูของบุคคล คือการใหประชาชนในชุมชนไดรับบริการตาง ๆ ที่สนใจ อยางตอเนือ่ งสม่ําเสมอ กระตุน ใหเกิดความอยากรูอ ยากเห็นเปนอันดับแรก เกิดความตระหนักถึง ความสําคัญของการศึกษาหาความรู เกิดการเรียนรูอ ยางตอเนือ่ ง เปนผูน ําในการพัฒนาดานตาง ๆ ทั้งการ เรยี นรจู ากหนงั สือ เรียนรูเพอ่ื พัฒนาอาชีพและการพัมนาคุณภาพชีวิต ดังนัน้ บุคคลถือเปนสวนหนึ่งของชุมชนหรือสังคม การสงเสริมบุคคลเปนผูใ ฝเรียนรู ยอม สงผลใหชุมชนเปนชุมชนแหงการเรียนรูด วย การสงเสริมใหชุมชนมีสวนรวมในการแลกเปลี่ยน เรียนรู รวมกันอยางสม่าํ เสมอ ทั้งเปนทางการและไมเปนทางการ จะทําใหเกิดการหมุนเกลียวของ ความรู หาก บุคคลในชุมชนเกิดความคุนเคยและเห็นความสําคัญของการเรียนรูอ ยูเ สมอ จะเปนกาว ตอไปของการพัม นาชุมชนและสังคมใหเปนสังคมแหงการเรียนรู ตัวชีว้ ัดระดบั กลมุ 1. มเี วทชี มุ ชนแลกเปลย่ี นเรียนรใู นหลายระดบั 2. มกี ลุม องคกร เครอื ขายท่ีมกี ารเรียนรรู ว มกนั อยา งตอ เนอื่ ง 3. มีชุดความรู องคความรู ภมู ปิ ญญา ทปี่ รากฏเดน ชัดและเปนประสบการณเรยี นรขู อง ชุมชน ถกู บนั ทกึ และจดั เกบ็ ไวในรปู แบบตาง ๆ 4. การจดั ทาํ สารสนเทศเผยแพรค วามรู สารสนเทศ คอื ขอมูลตา ง ๆ ท่ผี านการกลั่นกรองและประมวลผลแลว บวกกับประสบการณ ความ เชีย่ วชาญ ที่สะสมมาแรมป มีการจดั เกบ็ หรือบันทึกไว พรอมในการนํามาใชงาน การจดั ทาํ สารสนเทศ ในการจัดการความรู จะมีการรวบรวมและสรางองคความรูท ีเ่ กิดจากการปฏิบัติขึน้ มากมาย การจัดทําการสนเทศจึงเปนการสรางชองทางใหคนทีต่ องการใชความรูสามารถเขาถึง องคความรูไ ด และ กอใหเกิดการแบงปนความรูรวมกันอยางเปนระบบ ในการจัดเกบ็ เพอื่ ใหค น หา ความรูค ือไดงายขึน้ องคกร ตองกําหนดสิง่ สําคัญทีจ่ ะเก็บไวเปนองคความรู และตองพิจารณถึง วิธีการในการเก็บรักษา และนํามาใช ใหเกิดประโยชนตามตองการ องคก รตองเกบ็ รกั ษาสิ่งทอ่ี งคก ร เรยี กวา เปน ความรูไ วใหดีทีส่ ดุ

~ 170 ~ การจัดทําสารสนเทศ ควรจัดทําอยางเปนระบบ และควรเปนระบบทีส่ ามารถคนหาและ สงมอบ ไดอยางถูกตองและรวดเร็ว ทันเวลาและเหมาะสมกับความตองการ และจัดใหมีการจําแนก รายการตาง ๆ ที่อยูบ นพืน้ ฐานตามความจําเปนในการเรียนรู องคกรตองพิจารณาถึงความแตกตาง ของกลุม คนในการคน คืนความรู องคกรตองหาวิธีการใหพนักงานทราบถึงชองทางการคนหาความรู เชนการทําสมุดจัดเก็บรายชื่อ และทักษะของผูเชี่ยวชาญ เครือขายการทํางานตามลําดับชั้น การ ประชุม การฝกอบรม เปนตน สิง่ เหลานี้ จะนําไปสูการถายทอดความรูในองคกร วัตถุประสงคการจดั ทําสารสนเทศ 1. เพื่อใหมีระบบการจัดเก็บขอมูลและองคความรู อยา งเปน หมวดหมู และเหมาะสมตอ การใช งาน และสามารถคนหาไดตลอดเวลา สะดวก งาย และรวดเรว็ 2. เพือ่ ใหเกิดระบบการสื่อสาร การแลกเปลีย่ น แบงปน และถายทอดองคความรูร ะหวาง กัน ผา นส่อื ตา ง ๆ อยางมีประสิทธิภาพ 3. เพือ่ ใหเกิดการเขาถึงและเชือ่ มโยงองคความรู ระหวางหนวยงานทั้งภายในและภายนอก อยางเปนระบบ สะดวกและรวดเรว็ 4. เพื่อรวบรวม และจัดเก็บความรูจากผูม ีประสบการณ รวมถึงผูเ ชีย่ วชาญในรูปแบบตาง ๆ ใหเ ปน รปู ธรรม เพอ่ื ใหทุกคนสามารถเขาถึงความรแู ละพฒั นาตนเองใหเปนผรู ไู ด 5. เพือ่ นําเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใชเปนเครือ่ งมือในการถายทอดระหวางความรูฝงลึก กับ ความรูชัดแจง ที่สามารถเปลี่ยนสถานะระหวางกันตลอดเวลา ทําใหเกิดความรูใหม ๆ การเผยแพรค วามรู เปนการนําความรูท ีไ่ ดรับมาถายทอดใหบุคลากรในองคกรไดรับทราบ และใหมีความรู เพียงพอ ตอการปฏิบัติงาน การเผยแพรความรูจ ึงเปนองคประกอบหนึ่งของการจัดการความรู การ เผยแพรความรูมี การปฏิบัติกันมานานแลว สามารถทําใหหลายทางคือ การเขียนบันทึก รายงาน การฝกอบรม การประชุม การสัมนา จัดทําเปนบทเรียนทั้งในรูปแบบของหนังสือ บทความ วิดิทัศน การอภิปรายของเพือ่ นรวมงาน ในระหวางการปฏิบัติงาน การอบรมพนักงานใหมอยางเปนทางการ หองสมุด การฝกอบรมอาชีพและการ เปนพี่เลีย้ ง การแลกเปลีย่ นเรียนรูใ นรูปแบบอืน่ ๆ เชน ชุมชนนักปฏิบัติ เรือ่ งเลาแหงความสําเร็จ การ สัมภาษณ การสอบถาม เปนตน การถวายทอดหรือ เผยแพรความรู มีการพัฒนารูปแบบโดยอาศัย เทคโนโลยีเพือ่ การสือ่ สาร และเทโนโลยีมีการกระจาย ไปอยางกวางขวาง ทําใหกระบวนการถายทอด ความรูผานเทคโนโลยีโดยเฉพาะอนิ เตอรเ นต็ ไดร ับ ความนิยมอยางแพรหลายมากขึ้น การเผยแพรความรูแ ละการใชประโยชน มีความจําเปนสําหรับองคกร เนือ่ งจากองคกรจะ เรียนรูไ ดดี ขึน้ เมือ่ มีความรู มีการกระจายและถายทอดไปอยางรวดเร็ว และเหมาะสมทัว่ ทัง้ องคกร การเคลือ่ นทีข่ อง สารสนเทศและความรูระหวางบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งนั้น จงึ เปน ไปไดโ ดยตงั้ ใจ และไมต งั้ ใจ

~ 171 ~  กจิ กรรม 1. หากผเู รียนเปน “คณุ อํานวย” ผเู รยี นมวี ธิ กี ระตนุ ใหเพ่ือนเลา เร่ืองในเชิงลึก เพ่ือแลกเปลยี นเรยี นรู รวมกนั ไดด ว ยวธิ ใี ด .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ความรทู ่ีจําเปนในการแกปญหาหรอื พัฒนาตวั ผูเรียนคืออะไร และขอบขายความรูนั้นมีอะไรบาง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. การจัดทําสารสนเทศเพื่อเผยแพรความรู ผเู รียนคดิ วาวิธใี ดเผยแพรไ ดดที ส่ี ดุ เพราะเหตใุ ด .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

~ 172 ~ เรื่องท่ี 4 : การฝกทักษะกระบวนการจัดการความรู 1. กระบวนการจัดการความรูด วยตนเอง การจัดการความรดู วยตนเอง การจัดการความรูด วยตนเอง จะทําใหผูเ รียนเรียนรูห ลักการอันแทจริงในการพัฒนาตนเอง และ จูงใจตนเองใหกาวไปสูการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทํางาน เปนผูม ีสัมฤทธิผ์ ลสูงสุด โดยการ นําองคความรูท ีเ่ ปนประโยชนไปประยุกตใชในชีวิตจริง และการทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ และ สามารถปรับตัวทันตอโลกยุคโลกาภิวัตน มีโอกาสแลกเปลีย่ นเรียนรูป ระสบการณชีวิตและ ประสบการณ การทํางานรวมกัน มีทัศนคติทีด่ ีตอชีวิตนเองและผูอืน่ มีความกระตือรือรนและเสริมสราง ทัศนคติทีด่ ีตอ การทํางาน นําไปสูก ารเห็นคุณคาของการอยูร วมกันแบบพึง่ พาอาศัยกัน ชวยเกือ้ กูล เรียนรูซ ึง่ กันและกัน กอใหเ กิดการเปน ชมุ ชนแหงการเรียนรู ในลักษณะของทมี ทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ การจัดการความรูเ ปนเรือ่ งที่เริม่ ตนที่คน เพราะความรูเ ปนสิง่ ที่เกิดมาจากคน มาจาก กระบวนการเรียนรูก ารคิดของคน คนจึงมีบทบาททัง้ ในแงของผูส รางความรูและเปนผูท ีใ่ ชความรู ซึ่ง ถา จะมองภาพกวางออกไปเปนครอบครัว ชุมชน หรือแมแตในหนวยงาน ก็จะเห็นไดวาทัง้ ครอบครัว ชุมชน หนวยงาน ลวนประกอบขึน้ มากจาคนหลาย ๆ คน ดังนัน้ หากระดับปจเจกบุคคลมีความ สามารถในการ จัดการความรู ยอมสงผลตอความสามารถในการจัดการความรูของกลุมดวย วิธกี ารเรยี นรูทีเ่ หมาะสมเพอ่ื ใหเ กดิ การจัดการความรดู วยตนเอง คือใหผูเ รียนไดเริม่ กระบวน การ เรียนรูต ัง้ แตการคิด คิดแลวลงมือปฏิบัติ และเมือ่ ปฏิบัติแลวจะเกิดความรูจ ากการปฏิบัติ ซ่ึงผู ปฏิบัติจะ จดจําทั้งสวนทีเ่ ปนความรูฝงลึกและความรูท ี่เปดเผย มีการบันทึกความรูใ นระหวางเรียนรู กิจกรรมหรือ โครงการลงในสมุดบันทึก ความรูปฏิบัติทีบ่ ันทึกไวในรูปแบบตางๆ จะเปนประโยชน สําหรับตนเองและ ผูอ ืน่ ในการนําไปปฏิบัติแกไขปญหาทีช่ ุมชนประสบอยูใ หบรรลุเปาหมาย และขัน้ สุดทาย ใหผูเ รียนได พัฒนาปรับปรุงสิง่ ทีก่ ําลังเรียนรูอยูตลอดเวลา ยอนดูวาในกระบวนการเรียนรูนัน้ มีความบกพรองใน ขน้ั ตอนใด ก็ลงมือพัมนาตรงจดุ นั้นใหด ี ทักษะการเรียนรู เพื่อจัดการความรใู นตนเอง ผูเ รียนจะตองพัฒนาตนเอง ใหมีความสามารถและทักษะในการจัดการความรูด วยตนเอง ใหมี ความรทู ่ีสูงขน้ึ ซงึ่ สามารถฝกทกั ษะเพอ่ื การเรียนรูไดดงั น้ี ฝกสังเกต ใชสายตาและหูเปนเครือ่ งมือ การสังเกตจะชวยใหเขาใจในเหตุการณหรือ ปรากฏการณน ัน้ ๆ

~ 173 ~ ฝกการนําเสนอ การเรียนรูจะกวางขึน้ ไดอยางไร หากรูอ ยูคนเดียว ตองนําความรูไปสูการ แลกเปลีย่ นเรียนรูก ับคนอืน่ การนําเสนอใหคนอืน่ รับทราบ จะทําใหเกิดการแลกเปลีย่ นความรูก ัน อยาง กวางขวาง ฝกตัง้ คําถาม คําถามจะเปนเครื่องมืออยางหนึ่งในการเขาถึงความรูไ ด เปนการตั้งคําถาม ให ตนเองตอบ หรือจะใหใครตอบก็ได ทําใหไดขยายขอบขายความคิด ความรู ทําใหรูส ึก และรูก วาง ยิง่ ขึ้นไปอีก อันเนือ่ งมาจากการทีไ่ ดศึกษาคนควาในคําถามที่สงสัยน้ัน คําถามควรจะถามวา ทําไม อยางไร ซึ่งคําถามระดับสูง แสวงหาคําตอบ ตองรูว าความรู หรือคําตอบที่ตองการนัน้ มีแหลงขอมูลใหคนควาไดจาก ที่ไหน บาง เปนความรูท ีอ่ ยูใ นหองสมุด ในอินเตอรเน็ต หรือเปนความรูท ีอ่ ยูใ นตัวคน ที่ตองไปสัมภาษณ ไป สกัดความรูออกมา เปน ตน ฝกบูรณาการเชือ่ มโยงความรู เนือ่ งจากความรูเ รือ่ งหนึ่งเรื่องใดไมมีพรมแดนกั้น ความรูน ั้น สัมพันธเชื่อมโยงกนั ไปหมด จึงจําเปนตองรูความเปนองครวมของเรือ่ งนัน้ ๆ อยางยกตัวอยางปุย หมัก ไม เฉพาะแตมีความรูเรือ่ งวิธีทําเทานั้น แตเชือ่ มโยงการกําหนดราคาไวเพื่อจะขาย โยงไปที่วิธีใช ถาจะ นําไปใชเอง หรอื แนะนําใหผ อู ื่นใช โยงไปถึงบรรจุภัณฑวาจะบรรจุกระสอบแบบไหน ทุกอยาง บูรณาการ กนั หมด ฝกบันทึก จะบันทึกแบบจดลงสมุด หรือเปนภาพ หรือใชเครือ่ งมือบันทึกใด ๆ ก็ได ตอง บนั ทกึ ไว บันทึกไวปรากฏรองรอยหลักฐานของการคิดการปฏิบัติ เพือ่ การเขาถึงและการเรียนรูข อง บุคคล อน่ื ดว ย การฝกเขียน เขียนรายการของตนเองใหเปนประโยชนตอการเรียนรูของตนเองและผูอื่น งาน เขยี นหรือขอ เขียนดงั กลาวจะกระจายไปเพ่อื แลกเปลย่ี นเรยี นรกู ับผูค นในสังคมที่มาอานงานเขียน ขั้นตอนการจัดการความรดู ว ยตนเอง ในการเรยี นรเู พื่อจดั การความรูใ นตัวเอง นอกจากวิเคราะหตนเองเพือ่ กําหนดองคความรู ทีจ่ ําเปน ในการพัฒนาตนเองแลวนัน้ การแลกเปลี่ยนเรียนรูเพือ่ ใหไดมาซึง่ ความรู เปนวิธีการคนหา และเขาถึง ความรูท ี่งายเปนการเรียนรูท างลัด นัน่ คือ ดูวาทีอ่ ืน่ ทําอยางไร เลียนแบบ best practice และทําใหดีกวา เมือ่ ปฏิบัติแลวเกิดความสําเร็จแมเพียงเลกนอยก็ถือวาเปน best practice ในขณะนัน้ กระบวนการเรียนรู เพื่อพัฒนาตนเองสามารถดําเนินการตามขั้นตอนตาง ๆ ได ดงั น้ี

~ 174 ~ 1. ขั้นการบงชีค้ วามรู ผูเรียนวิเคราะหตนเอง เพื่อรูจุดออน จุดแข็งของตนเอง กําหนด เปาหมายในชีวิต กําหนดแนวทางเดินไปสูจุดหมาย และรูว าความรูท ีจ่ ะแกปญหาและพัฒนาตนเอง คือ อะไร 2. ขัน้ สรางและแสวงหาความรู ผูเ รียนจะตองตระหนักและเห็นความสําคัญของการ แสวงหา ความรู เขาถึงความรูท ีต่ องการดวยวิธีการทีห่ ลากหลาย แหลงเรียนรูท ีใ่ ชในการแสวงหาความรู ไดแกการ ใชเทคโนโลยีสารสนเทศ การแสวงหาความรูจ ากผูเ ชีย่ วชาญ ภูมิปญญาทองถิน่ และเพื่อน โดยยอมรับใน ความรูค วามสามารถซึง่ กันและกัน และตองใชทักษะตาง ๆ เพือ่ ใชในการสรางความรู เชนฝกสังเกต ฝก การนาํ เสนอ ฝก การต้ังคําถาม ฝกการแสวงหาคําตอบ ฝกบรู ณาการเชื่อมโยง ความรู ฝกบันทึก และฝก การเขียน 3. การจัดการความรูใ หเปนระบบ จัดท่าํ สารบัญจัดเก็บความรูป ระเภทตาง ๆ ทีจ่ ําเปน ตองรู และนําไปใชเพือ่ การพัฒนาตนเอง การจัดการความรูใ หเปนระบบจะทําใหเก็บรวบรวม คนหา และนํามา ใชไดงา ย รวดเรว็ 4. ขั้นการประมวลและกลัน่ กรองความรู ความรูท ี่จําเปนอาจตองมีการคนควา และ แสวงหา เพม่ิ เติม เพื่อใหความรูมีความทันสมัย นาํ ไปปฏิบตั ไิ ดจ รงิ 5. การเขาถึงความรู เมือ่ มีความรูจ ากการปฏิบัติแลว มีการเก็บความรูใ นรูปแบบตาง ๆ เชน สมุดบันทึกความรู แฟมสะสมงาน วารสาร หรือใชเทคโนโลยีในการจัดเก็บรูปแบบเว็บไซด วิดีทัศน แถมบนั ทกึ เสียง และคอมพวิ เตอร เพอ่ื ใหต นเองและผูอ่นื เขาถงึ ไดง า ยอยางเปน ระบบ 6. ขนั้ การแบงปนแลกเปลยี่ นความรู ผูเรียนตองเขารวมกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรูก ับ เพื่อน ๆ หรือชุมชน เพื่อเรียนรูร วมกัน อาจเปนลักษณะของการสัมมนา เวทีเรือ่ งเลาแหงความสําเร็จ การศึกษาดู งาน หรือแลกเปลี่ยนเรียนรูผานทางอินเตอรเ นต็ เปน ตน 7. ขน้ั การเรยี นรู ผูเรยี นจะตองนําเสนอความรูในโอกาสตาง ๆ เชนการจัดนิทรรศการ การพบ กลุมการเขาคาย หรือการประชุมสัมมา รวมทัง้ มีการเผยแพรความรูผ านชองทางตาง ๆ เชน วารสาร เว็บ ไซด จดหมายขาว เปน ตน ความสําเรจ็ ของการจัดการความรูดวยตนเอง 1. ผูเรยี นเกิดการเรยี นรูตามแผนพฒั นาตนเองทไี่ ดกําหนดไว 2. ผเู รียนตระหนกั ถงึ ความรับผิดชอบในการพมั นาตนเองเพ่อื เรยี นรวู ิชาตาง ๆ อยางเขาใจ และนํามาใชประโยชนในชีวิตประจําวันได 3. ผูเรียนมคี วามรทู ีท่ ันสมัย เหมาะสมกับสถานการณปจ จบุ นั สามารถปรับตวั ใหอยูใ น สังคมได

~ 175 ~ ตวั อยางการจดั การความรูของ “เอก 009” คุณคงเคยไดยินคนพูดวา “ไมมีเวลา” นีเ่ ปนคําพูดทีแ่ ปลกมาก เปนคําพูดทีบ่ อกถึง ความหมาย ในตวั ของมนั เอง โดยไมตองการคําอธิบายใด ๆ สาํ หรบั เวลาแลว คนท่ีไมม ีเวลาแลว คนทีไ่ มมีเวลาคือคน ตาย ดังนัน้ ถาคุณยังหายใจ แสดงวาเวลายังเดินอยู แตไมตองเรงรีบเสียจนมาก เกินไป และควรรูว าตอน ไหนควรรีบ และถารีบแลวก็ตองทําใหดี เพราะเวลาทีค่ นเราทําอะไรเร็ว ๆ มักจะมากับความลวก ซ่ึง จะตองใชเวลาในการเขาแกไขปญหา ผมวิเคราะหดูตนเอง จึงพบวา ทําไม 1 วัน ผมจึงมีเวลาเพียงนอย นดิ ปญ หาหลกั ๆ คือผมเสียเวลาไปกับการนอนตืน่ สาย เลมเกม ดูทีวี เลนเน็ต และขี้เกียจนั่นเอง ดังนัน้ ผมจึงคิดวา วิธีแกอยทู ี่ตัวเราเอง ผมจงึ รวู าเราควรทาํ ในส่งิ ทตี่ รง กันขา ม น่ันคอื 1. ผมตื่นเชา ตอนแรก ๆ อาจจะยากนิดหนึง่ เริ่มจากนอนกอน 4 ทุมทุกวัน รางกาย จะต่ืน เอง 05.00 น. และเราก็ไมนอนสัปหงก แตใหตืน่ เลย หรือถาเราไมมีแรงใจ หรือไมรูว า ตืน่ มาแลวจะทํา อะไรดี ใหเราสํารวจเน็ตวามีกิจกรรมอะไรดี ๆ ทีเ่ ราไปรวมตอนเชาได และนัดกลุม ผูท ีจ่ ะทํากิจกรรมใน ตอนเชา ทําใหเรามีแรงจูงใจในการตืน่ นอนเชา กิจกรรมทีผ่ มทําเปนประจํา คือ ปน จักรยาน หรืออาจไป วิ่งตอนเชา เพื่อหากลุมเพื่อนใหม ๆ กลุมเพ่ือนใหม ๆ คงนาจะไมใชรุน เดียว กัน แตเปนผูใ หญทีเ่ ราจะ สามารถคยุ และแลกเปลี่ยนประสบการณการทํางาน แลวเราก็จะไดความรู อะไรอีกเยอะ เปรียบเหมือนการ เรียนรูท ีไ่ มหยุดนิ่ง ยิง่ รูจ ักคนมากขึน้ เราก็จะไดประสบการณตาง ๆ จากคนทีร่ ูจ ักมากมาย วาเคาเคยเปน อะไร ทําอะไรมา บางครัง้ คนที่เราอยากไปรวมกิจกรรมดวย อาจจะสรางความเปลีย่ นแปลงในชีวิตเราได เชนเคาอาจจะกําลังตามหาคนที่มีความสามารถ บางอยาง แลวบังเอิญไดมาเจอกันตอนออกกําลังกาย ซ่ึง ผมเองก็ไดประโยชนจากตรงนีเ้ ยอะมาก ซึง่ การทีเ่ ราไดทีป่ รึกษาแบบความเปนเพื่อน ทําใหมีความจริงใจ และไดรับคําปรึกษาฟรี เรอ่ื งบางอยาง เราคนหาจากเอกสาร จากอินเตอรเน็ต ไมเจอ แตกลับไปเจอเอางาย ๆ ตอนออกกําลังกาย นัน่ เพราะ เราได เจอผูค นมากมายทีพ่ รอมจะเปนมิตร และแลกเปลีย่ นประสบการณ กนั นําพาซึ่งโอกาส อันมากมายชักนําเราไปสูอนาคตที่ดี และเราตองพาตัวเราไปออกไปหามันกอน 2. เลิกเลนเกม เกมไมวาจะเปน offline หรือ online ก็ไมตางกัน อาการติดเกมผมก็ เคยเปน วัน ๆ นัง่ คุยแตเรือ่ งเกม ซือ้ หนังสือเกม การตูน จดจอแตเรื่องเกม ผมสรุปออกมาวาเกม เปนกิจกรรมที่ สิน้ เปลืองเวลามาก ๆ และประโยชนทีไ่ ดชางนอยนิดจนไมคุม คาทีจ่ ะไปเสียเวลาเลน อาการติดเกมเหมือน ติดยาเสพติด อยากเลน ตืน่ มาก็เลน กินเสร็จเลนตอ หมดแรงก็นอน ตืน่ มาก็ เลนอีก ชีวิตแทบไมไดทํา อะไรเลย การเลิกเลนเกมของผมโดยการทํางานใหมากขึ้นจนไมมีเวลาเลนเกม และยิ่งทํางานมากก็ยิ่งไดเงิน มาก ผมจึงไมม เี วลาหนั หลงั กลบั ไปเลน เกมอีก มุงมั่นทํางาน โลกจรงิ ๆ หาเงินจริง ๆ ไมใชเงินในเกม หา เพื่อนจริง ๆ ที่คุยกันแบบเห็นหนาเห็นตา ทําอะไรทีม่ ันเปนจริง สัมผัสได ไมใชโลกจอมปลอมทีเ่ ด็ก ๆ หลงใหล และถอนตัวไมข ึน้ นอกจากการทํางานคือการออก กําลังกาย และไดไปเท่ียวดวยกัน นัน่ คือ การ ปนจักรยานทางไกล เพราะเราตอ งซอ มปน เพอ่ื ไป ออกทริปทางไกล ตอนทผ่ี มเลิกเลน เกม เปนชวงที่ผมไม รูสึกตัววาผมเลิกเลน แตผ มมารูสกึ ตัวอกี ครัง้ ก็ตอนทีผ่ มไมคิดจะกลับไปเลนมันอีกแลว เพราะการที่ผมได

~ 176 ~ ออกไปพบปะพูดคุยกับกลุม เพือ่ นใหม ๆ คนจริง ๆ ไดทํากิจกรรมในโลกแหงความเปนจริงรวมกัน มันดี กวาโลกของเกมเยอะเลย และผมคิดวา ถาเด็ก ๆ ทุกคนถาไดมีโอกาสไปทํากิจกรรมทีส่ นุกสนานกับเพื่อน ตา งวัย กน็ า จะชว ยใหห า งเหนิ จาก โลกของเกมได และคนพบตัวเองวายังมีกิจกรรมอีกเยอะแยะทีด่ ีกวาการ นัง่ เลนเกม 3. ดูทีวี การติดทีวี หรือละคร หรือเกมโชวชวงดึก เมือ่ กอนผมก็ติดแบบตองดูใหได แต ปจจุบันผมก็แทบไมไดดูทีวีเลย 1 อาทิตยดูไมเกิน 3 ช่ัวโมง เพราะกิจกรรมอื่น ๆ นอกบานและ การ ทํางานที่เราใสใจ เราใสความรับผิดชอบในงาน กลับถึงบานมีแรงเหลือ การดูทีวี เชนขาว ก็อาจจะติดตาม เฉพาะชวงสรุปขาว และขา วไหนทเ่ี จาะลกึ หรอื สนใจเปน พเิ ศษ ผมก็จะคน เพ่ิมเติมจาก Internet 4. การเลนเน็ต มีหลายเว็บไซดทีใ่ หความรูท ีด่ ี การหาความรูเ พิม่ เติมใหกับตนเอง ผานเน็ต มี เว็บบอรดอีกมากมายที่มีความรูใ หเราเขาไปขุด ดักจับเอามาใช เพียงแตเราตองรูจ ักจํากัด เวลาในการเลน เน็ต และเลือกอานทีม่ ีสาระ และมีประโยชนกับเราจริง ๆ สิง่ ทีผ่ มหาความรูจ ากเน็ตอยู ตลอด คือ การศึกษาภาษาอังกฤษ โดยการฟงเพลงที่เราชอบ เราแปลไมออกเราก็หาคําแปลในเน็ต และฝกรองไปดวย การแปลเพลงตาง ๆ และการฝกรองเพลง ชวยพัฒนาทักษะดานภาษาไดดีเยีย่ ม ผมคิดวาเปนบทเรียนที่ดี ส่ิงท่ีผมไมท ําในการเลนเน็ต คือ เลิกเปดเว็บที่เกีย่ วกับเกม การตูน ทุกชนิด เลิกดูดวง เลิกอานขาวซุบซิบ นนิ ทา 5. ความขีเ้ กียจ สิ่งนี้มันฝงตัวอยูใ นมนุษยทุกตัวตนที่อับจน แรนแคน เฝาคิด ภาวนา ถึงแต ความสุขสบาย ความร่ํารวย แตกลับไมล งมอื อะไรเลย เฝา แตข อเงิน หรอื หวงั จะทํานอยแต ไดเยอะ ทําเร็ว ๆ ลวก ๆ แตไ รซ ง่ึ คณุ ภาพ ความขีเ้ กียจเมือ่ กอนผมก็มีขี้เกียจนะ จนผมคิดวา ทําไมตองทําโนน ทํานีด่ วย เราก็อยูแบบสกปรก ๆ ของเราไป ตัวเรารับได คนอืน่ จะรูส ึกยังไงก็ชาง ไมไดอยูก ับเรานี่ ก็ปลอยใหทีอ่ ยู อาศัยสกปรกรุงรัง และเมืผ่ มเริม่ ทํางานจริงจัง เริม่ ใชชีวิตในโลกแหง ความเปนจริง เริม่ พบเจอผูคนมาก ขึ้นโดยเฉพาะคนที่ประสบความสําเร็จในชีวติ ส่ิง ๆ หนึง่ ที่เคา เหลานัน้ มีเหมือนกันก็คือ ความสะอาด คน ทหี่ าเงนิ ไดเ ยอะ ๆ จะใชเวลาสว นหนงึ่ ของชวี ิตเพื่อรกั ษา ความสะอาดพื้นที่รอบ ๆ ตัวเอง โดยคนเหลานัน้ จะไมชอบความสกปรก ความไมเปนระเบียบ แต ถาตองใหเขาอยูก ับคนสกปรก หรือไมมีระเบียบ เคาจะ ยอมรับไมได หากเราจะทํางานกับเขา เรา ก็ตองทําตัวเองใหสะอาด เปนระเบียบ การปฏิบัติตัวงาย ๆ ถา หากขีเ้ กียจ ก็กําจัดความสกปรกออกไป แบงเวลาวันละ 30 นาที หรืออาจจะเริม่ จากวันละ 10 นาทีกอน โดยตัง้ ใจวา เวลา 10 นาทีนี้ จะเปนเวลาทีพ่ ิเศษที่สุดในชีวิตของเราทุกวัน คือเราจะทําใหบานเราสะอาด เริม่ จาก 1 หองน้าํ กอน (ดูเหมือนวาจะงายและเห็นผลเร็ว) เทน้าํ ยาขัดหองน้าํ แลวขัด ๆๆๆ ภายใน 10 นาที เราก็จะรูว า งายมาก ทําทุกวันยังไดเลย เมือ่ ขัดหองน้าํ แลว ก็เก็บกวนดบาน เริม่ จากการจํากัดพืน้ ที่ กอ น เชน 10 นาทตี อ ไปนี้ เราจะเก็บโตะทํางาน ซึง่ เมือ่ ทําจริง ๆ แลวจะเกิน 10 นาที แตผมก็มักจะเก็บ ตอ จนเสร็จ แตปญหาสําคัญของการเริม่ ตนเขาสูก ารเปนคนรักสะอาด คือเราตองรูจ ักการจัดการ ตอง มี เครื่องมือ เชน เพิ่มชนั้ วางของ ซื้อถังขยะมาไวใช ถาอยากเก็บของก็หากลอง หรือลังมาใส

~ 177 ~ อยาปลอยเวลาใหผานไปกับกิจกรรมเดิม ๆ เชนเลมเกม ดูทีวี เลนเน็ต Chat ดูดวง เมื่อ อะไร ๆ รอบตัวสะอาดขึ้นมา จิตใจเราก็จะแจมใส และสมองปลอดโปรง มีกะจิตกะใจทํางานให ไดมากขึน้ งานท่ี ออกมากเ็ ปย มไปดวยคณุ ภาพ คุม กับเวลาที่เสยี ไป ทีผ่ มพูดมานี้ เพราะผมทําได มากกวา 500,000 บาทตอ เดอื น 2. การสรปุ องคค วามรูและการจัดทาํ สารสนเทศการจัดการความรูดวยตนเอง การสรปุ องคความรู การจัดการความรู เรามุง หา “ความสําเร็จ” มาแลกเปลี่ยนเรียนรู เรามุงหาความสําเร็จใน จุดเล็ก ๆ จุดนอยตา งจดุ กนั นาํ มาแลกเปล่ียนเรยี นรู เพื่อใหเกิดการขยายผลไปสคู วามสาํ เร็จท่ี ใหญข น้ึ องคความรูเปนความรูจากการปฏิบัติ เรยี กวา “ปญญา” กระบวนการเรียนรูเ ปดโอกาสให ผูเรียน เปนผูส รางความรูดวยตนเอง สังเกตสิง่ ทีต่ นอยากรู ลงมือปฏิบัติจริง คนควาและแสวงหาความรู เพ่ิมจน คนพบความจริง สรางสรรคเกิดเปนองคความรูแ ละเกิดประสบการณใหม การเรียนรูแ บบนี้ จะสงเสริมให ผูเรียนไดพัฒนาความสามารถในการคิด สูก ารปฏิบตั ิ และเกิด “ปญ ญา” หรอื องค ความรูเฉพาะของตนเอง องคความรูม ีอยูอ ยางมากมาย การปฏิบัติงานจนประสบผลสําเร็จ รวมทัง้ การแกปญหาตาง ๆ ท่ี เกิดขึ้นในระหวางการทํางานที่สงผลใหงานสําเร็จลุลวงตามเปาประสงค ถือวาเปนองค ความรูทีเ่ กิดขึ้น ทง้ั สิ้น และเปนองคความรูที่มีคาตอการเรยี นรูทง้ั ส้ิน การสรุปองคความรูม ีความสําคัญตอกระบวนการจัดการความรูเ ปนอยางยิง่ เพราะการสรุป องค ความรูจ ะเปนการตอยอดความรูใ หกับตนเองและผูอ ืน่ หากบุคคลอื่นตองการความชวยเหลือใน การ แกปญหาบางเรื่อง เราจะใชความรูท ่ีมอี ยูชวยเหลือเพื่อนไดอยางไร และเมือ่ เราจะเริม่ ตนทําอะไร เรารูบ าง ไหมวามีใครทําเรือ่ งนีม้ าบาง อยูทีไ่ หนในชุมชนของเรา เพือ่ ที่เราจะทํางานใหสําเร็จไดงายขึน้ และไมทํา ผดิ ซ้าํ ซอน การดําเนินการจัดการองคความรู อาจตองดําเนินการตามขั้นตอนตาง ๆ ดงั น้ี 1. การกําหนดความรูหลักที่จาํ เปน หรือสําคัญตองาน หรอื กจิ กรรมของกลมุ หรอื องคก ร 2. การเสาะหาความรูที่ตองการ 3. การปรับปรุง ดดั แปลง หรือสรางความรูบางสวนใหเหมาะตอการใชงานของตน 4. การประยุกตใชความรูในกิจกรรมงานของตน 5. การนําประสบการณจากการทํางาน และการประยุกตใชความรมู าแลกเปลย่ี นเรียนรู และสกัดขุมความรู ออกมาบันทึกไว 6. การจดั บนั ทกึ “ขุมความรู” และ “แกน ความรู” สําหรับไวใชงาน และปรับปรุงเปนชุด ความรูที่ครบถวน ลมุ ลึก และเชื่อมโยงมากขึ้น เหมาะตอการใชงานมากขึ้น

~ 178 ~ การจัดการความรูเพื่อใหเกิดองคความรูที่ตองการ เร่ิมจากการกําหนด “เปาหมายของงาน” น่ัน คอื การบรรลุผลสัมฤทธิ์ ในการดาํ เนินการตามทก่ี าํ หนดไว คอื 1. การตอบสนอง คือการสนองตอบความตองการของทุกคนที่เกี่ยวของ 2. การมนี วตั กรรม คอื 1) นวัตกรรมในการทํางาน 2) นวัตกรรมทางผลงาน 3. ขีดความสามารถ คือการมีสมรรถนะที่เกิดจากการเรียนรูของตนเอง 4. ประสทิ ธิภาพ คือองคความรู หรือคลังความรู การจดั ทาํ สารสนเทศการจดั การความรดู วยตนเอง การจัดการความรูด วยตนเอง องคความรูก ็ยังอยูในสมองคนในรูปของประสบการณจาก การทํางานทีป่ ระสบผลสําเร็จนั้น เราตองมีการถอดองคความรูซึง่ อาจไหลเวียนองคความรูจ าก คนสูค น หรือจากคนมาจัดทําเปนสารสนเทศในรูปแบบตาง ๆ เพื่อใหคนเขาถึงความรูไ ดงายและ นําไปสูก ารปฏิบัติ ได โดยการนําความรูท ี่ไดมาจัดเก็บเปนหมวดหมูข องความรู การชีแ้ หลงความรู การสราง เครือ่ งมือใน การเขาถึงความรู การกรองความรู การเชือ่ มโยมความรู การจัดระบบองคความรูย ัง หมายรวมถึงการทําให ความรูล ะเอียดชัดเจนขึน้ องคความรูอ าจจัดเก็บไวในรูปแบบตาง ๆ เชน บันทึกความรู แฟมสะสมงาน เอกสารจากการถอดบทเรียน แผน ซดี ี เวบ็ ไซด เวบ็ บลอ็ ก เปนตน 3. กระบวนการจัดการความรดู ว ยการรวมกลมุ ปฏิบตั กิ าร กระบวนการจัดการความรูด วยกลมุ ปฏิบัติการ ในยคุ ของการเปลีย่ นแปลงท่ีรวดเรว็ นนั้ ปญหาจะมีความซับซอนมากขึ้น เราจําเปนตอง มีความรู ที่หลากหลาย ความรูส วนหนึง่ อยูในรูปของเอกสาร ตํารา หรืออยูใ นรูปของสือ่ อิเล็กทรอนิกส เชน เทป วิดีโอ แตความรูท ี่มีอยูม ากทีส่ ุดคืออยูใ นสมองคน ในรูปแบบของประสบการณ ความจํา การทํางานที่ ประสบผลสาํ เร็จ การํารงชีวิตอยูในสังคมปจจุบันจําเปนตองใชความรูอยางหลากหลาย นําความรูห ลายวิชา มาเชื่อมโยง บูรณาการใหเกิดการคิด วิเคราะห สรางความรูใหมจากการแก ปญหาและพัมนาตนเอง ความรูบางอยางเกิดขึน้ จากการรวมกลุม เพื่อแกปญหา หรือพัฒนาในระดับ กลุม องคกร หรือชุมชน ดังนนั้ จงึ ตอ งมีการรวบกลมุ เพอ่ื จดั การความรูรวมกนั

~ 179 ~ ปจ จัยที่ทาํ ใหการจดั การความรดู วยการรวมกลมุ ปฏิบตั ิการประสบผลสําเรจ็ 1. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในกลุม คนในกลุม ตองมีเจตคติทีด่ ีในการแบงปน ความรู ซง่ึ กนั และกนั มคี วามไวเ น้อื เชือ่ ใจกัน ใหเ กียรตกิ ัน และเคารพความคิดเห็นของคนในกลุมทุกคน 2. ผูนํากลุม ตองมองวาคนทุกคนมีคุณคา มีความรูจากประสบการณ ผูน ํากลุม ตอง เปน ตนแบบในการแบงปนความรู กําหนดเปาหมายของการจัดการความรูในกลุมใหชัดเจน หาวิธีการ ใหคนใน กลุม นําเรื่องทีต่ นรูอ อกมาเลาสูก ันฟง การใหเกียรติกับทุกคนจะทําใหทุกคนกลาแสดงออก ในทาง สรา งสรรค 3. เทคโนโลยี ความรูท ีเ่ กิดจากการรวมกลุม ปฏิบัติการเพือ่ ถอดองคความรู ปจจุบันมี การใช เทคโนโลยีมาใชเพือ่ การจัดเก็บ เผยแพรความรูก ันอยางกวางขวาง จัดเก็บในรูปของเอกสารใน เว็บไซด วดิ โี อ VCD หรือจดหมายขาว เปนตน 4. การนาํ ไปใช การติดตามประเมินผล จะชว ยใหท ราบวา ความรูท ีไ่ ดจากการรวมกลุม ปฏิบัติ มีการนําไปใชหรือไม การติดตามผลอาจใชวิธีการสังเกต สัมภาษณ หรือถอดบทเรียนผู เกี่ยวของ ประเมินผลจากการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ในกลุม เชนการเปลีย่ นแปลงทางดานความคิด ของคนในกลุม พฤติกรรมของคนในกลุม ความสัมพันธ ความเปนชุมชนทีร่ วมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยน ความรูก ันอยาง สม่ําเสมอ รวมทัง้ การพัฒนาดา นอ่นื ๆ ทสี่ งผลใหกลุม เจริญเติบโตขึ้นดว ย กระบวนการจัดการความรูด ว ยกลุมปฏิบัติการ มีขนั้ ตอนดงั นี้ 1. การบงชีค้ วามรู สํารวจปญหา วิเคราะหปญหาภายในกลุม แยกปญหาเปนขอ ๆ เรียง ตามลําดับความสําคัญ กําหนดความรูทีต่ องใชในการแกปญหา ความรูน ัน้ อาจอยูใ นรูปของเอกสาร หรือ อยทู ่ีตัวบุคคลผทู ่ีเคยปฏิบัติในเร่อื งน้นั และสําเร็จมาแลว 2. การสรางและแสวงหาความรู เมื่อกําหนดองคความรูท ีจ่ ําเปนในการแกปญหาหรือ พัฒนา แลว ทําการสํารวจและแสวงหาความรูที่ตองการจากหลาย ๆ แหลง 3. การจัดการความรูใหเปนระบบ นําขอมูลทีไ่ ดจากการแสวงหาความรู มาจัดใหเปน ระบบ เพอ่ื แยกเปน หมวดหมู เพื่อใหงา ยตอการวเิ คราะหและตัดสนิ ใจในการนําไปใช 4. การประมวลและกลนั่ กรองความรู ในยุคที่สังคมเปลีย่ นแปลงไปอยางรวดเร็ว และมี การนํา เทคโนโลยีมาใชเพือ่ การเรียนรูและการบริหารจัดการมากขึ้น ความรูบ างอยางอาจลาสมัย ใช แกปญหา ไมไดในสมัยนี้ ตองมีการประมวลและกลัน่ กรองความรูก อนนํามาใช ความรูท ีผ่ านการปฏิบัติ จนประสบ ผลสําเร็จมาแลว ถือเปนความรูท ีส่ ําคัญเนือ่ งจากมีบทเรียนจากการปฏิบัติ และหาเปน ความรูต ามทีเ่ รา ตองการก็สามารถนํามาประยุกตใชในกลุมได 5. การเขาถึงความรู สมาชิกในกลุม ทุกคนควรจะเขาถึงความรูไดทุกคน เนือ่ งจากทุกคน มี ความสําคัญในการแกปญหา พัฒนา รวมทัง้ เปนผูส รางพลังใหกับกลุม การแกปญหาไมได หมายความวา ผูนํากลุม คนเดียวสามารถแกปญหาไดหมด ทุกคนควรมีสวนรวมในการแกปญหา ความรูทีจ่ ําเปนในการ

~ 180 ~ แกป ญ หาหรอื พฒั นากลุม ตองมีการจัดการใหทุกคนสามารถเขาถึงความรู ไดงาย หากเปนกลุม ปฏิบัติการ การเขาถึงความรูไดงาย คอื การแลกเปลี่ยนเรียนรูในตัวคน การศึกษาดูงานกลุมอ่ืน การศึกษาหาความรูจาก เวบ็ ไซด หรือการนําเอกสารมาใหสมาชิกไดอาน 6. การแบงปนแลกเปลี่ยนความรู ความรูส วนใหญจะอยูใ นสมองคนซึง่ เปนผูป ฏิบัติ ไม สามารถถายทอดออกมาเปนความรูท ีช่ ัดแจง ในรูปของเอกสาร หรือสื่ออ่ืน ๆ ท่ีจับตองได การ แลกเปลีย่ นเรียนรูจ ึงมีความสําคัญอยางมากในการดึงความรูท ีอ่ ยูใ นตัวคนออกมา เปนการตอยอด ความรู ใหแ กก นั และกนั การแลกเปลี่ยนแบงปนความรูรวมกัน ทาํ ไดห ลายวธิ ี เชนการประชุม สัมมนา การศึกษา ดูงาน การเปน พเ่ี ล้ยี งสอนงาน หรอื การรวมกลมุ ชุมชนนักปฏบิ ตั เิ ฉพาะเร่ืองท่ีสนใจ 7. การเรียนรู สมาชิกในกลุม เกิดการเรียนรูร วมกัน การไดแลกเปลีย่ นประสบการณก็ถือ เปนการ เรยี นรู นั่นคือเกิดความเขาใจและมีแนวคิดในการนําไปปรับใช หากมีการนําไปใชโดยการ ปฏิบัติจะสงผล ใหผูป ฏบิ ตั เิ กดิ การเรยี นรมู ากยงิ่ ข้นึ เพราะในระหวางการปฏิบัติจะมีปญหาเขามาให แกไขเปนระยะ ๆ การ ทําไปแกปญหาไป เปนการเรียนรูท ีด่ ี และเมือ่ ปฏิบัติจนเกิดผลสําเร็จ อาจเปน ผลสําเร็จทีไ่ มใหญโต สําเร็จในขัน้ ทีห่ น่ึง หรือขัน้ ทีส่ อง ก็ถือเปนผลสําเร็จจาการปฏิบัติทีเ่ ปนเลิศ หรือ best practice ของผู ปฏิบตั นิ นั่ เอง 4. การสรุปองคความรแู ละการจดั การทําสารสนเทศการจดั การความรดู วยการ รวมกลุม ปฏิบัตกิ าร การรวมกลุม ปฏบิ ัตกิ าร ในการปฏิบัติงานแตละครั้ง กลุม จะตองมีการสรุปองคความรูเ พือ่ จัดทําเปนสารสนเทศ เผยแพร ความรูใ หกับสมาชิกกลุม และกลุมอื่น ๆ ที่สนใจในการเรียนรู และเมือ่ มีการดําเนินการจัดหา หรือสราง ความรูใหมจากการพัฒนาขึ้นมา ตอ งมีการกําหนดสิง่ สําคัญทจ่ี ะเก็บไวเปนองคความรู และตองพิจารณาถึง วธิ กี ารในการเก็บรักษาและนํามาใชใหเกิดประโยชนตามความตองการ ซ่ึงกลมุ ตองจัดเก็บองคความรูไ วให ดีที่สุด ไมวาจะเปนขอมูลขาวสารสนเทศ การวิจัย การพัฒนา โดยตอง คํานึงถึงโครงสรางและสถานที่ หรือฐานของการจัดเก็บ ตองสามารถคนหาและสงมอบใหอยางถูกตอง มีการจําแนกหมวดหมูข องความรู ไวอ ยา งชัดเจน การสรุปองคความรูดว ยการรวมกลมุ ปฏิบตั กิ าร การจัดการความรูก ลุมปฏิบัติการ เปนการจัดการความรูข องกลุม ทีร่ วมตัวกัน มีจุดมุงหมาย ของ การทํางานรวมกันใหประสบผลสําเร็จ ซง่ึ มกี ลมุ ปฏิบัติการ หรือที่เรียกวา “ชุมชนนักปฏิบัติ” เกิดขึน้ อยาง มากมาย เชน กลุม ฮักเมืองนาน กลุม เลีย้ งหมู กลุม เลีย้ งกบ กลุมเกษตรอินทรีย กลุม สัจจะออมทรัพย หรอื กลุมอาชีพตา ง ๆ ในชุมชน กลุมเหลาน้ีพรอ มท่จี ะเรียนรูแ ละแลกเปลีย่ น ประสบการณซ งึ่ กนั และกัน

~ 181 ~ องคความรูจึงเปนความรูและปญญาทีแ่ ตกตางกันไปตามสภาพและบริบทของชุมชน การสราง องคความรูหรือชุดความรูของกลุมไดแลว จะทําใหสมาชิกกลุมมีองคความรูหรือชุดความรู ไวเปนเครือ่ งมือ ในการพัมนางาน และแลกเปลยี่ นเรียนรกู ับคนอน่ื หรือกลุมอื่นอยางภาคภมู ใิ จ เปน การตอยอดความรูแ ละ การทํางานของตนตอไปอยางไมมีทีส่ ิ้นสุด อยางทีเ่ รียกกวาเกิดการเรียนรู และพัฒนากลุมอยางตอเนือ่ ง ตลอดชวี ติ ในการสรุปองคความรูข องกลุม กลุมจะตองมีการถอดองคความรูท ี่เกิดจากการปฏิบัติ การถอด องคความรูจ ึงมีลักษณะของการไหลเวียนความรู จากคนสูค น และจากคนสูก ระดาษ นัน่ คือ การองค ความรูมาบันทึกไวในกระดาษ หรือคอมพิวเตอร เพื่อเผยแพรใหกับคนทีส่ นใจไดศึกษาและ พัฒนาความรู ตอ ไป ปจ จยั ท่ีสง ผลสําเรจ็ ตอการรวมกลมุ ปฏิบัติการ คือ 1. การสรางบรรยากาศของการทํางานรวมกัน กลุมมีความเปนกันเอง 2. ความไววางใจซึ่งกันและกัน เปนหัวใจสําคัญของการทํางานเปนทีม สมาชิกทุกคนควร ไวว างใจกนั ซ่ือสตั วตอกัน สื่อสารกนั อยางเปดเผย ไมมีลับลมคมใน 3. การมอบหมายงานอยางชัดเจน สมาชิกทุกคนเขาใจวัตถุประสงค เปาหมาย และ ยอมรับภารกิจหลักของทีมงาน 4. การกาํ หนดบทบาทใหก บั สมาชกิ ทกุ คน สมาชกิ แตล ะคนเขา ใจและปฏบิ ตั ติ ามบทบาท ของตนเอง และเรียนรเู ขาใจในบทบาทของผอู ื่นในกลุม ทุกบทบาทมีความสําคัญ รวมทั้งบทบาทในการชวย รักษาความเปน กลุม ใหม ั่นคง เชน การประนปี ระนอม การ อาํ นวยความสะดวก การใหก าํ ลงั ใจ เปน ตน 5. วิธีการทํางาน สง่ิ สําคัญทค่ี วรพจิ ารณา คือ 1) การสื่อความ การทํางานเปนกลุมตองอาศัยบรรยากาศ การสื่อความที่ชัดเจน เหมาะสม ซึง่ จะทําใหทุกคนกลาเปดใจ แลกเปลีย่ นความคิดเห็น และแลกเปลีย่ นเรียนรูซ ึง่ กันและกันจน เกิดความเขาใจ และนําไปสูการทํางานท่มี ีประสทิ ธภิ าพ 2) การตัดสินใจ การทํางานเปนกลุม ตองใชความรูก ารตัดสินใจรวมกัน เมื่อเปดโอกาส ใหสมาชิกในกลุม แสดงความคิดเห็น และรวมตัดสินใจแลว สมาชิกยอมเกิดความผูกพันทีจ่ ะทําใหสิง่ ที่ ตนเองไดม ีสว นรว มตง้ั แตตน 3) ภาวะผูน ํา คือบุคคลทีไ่ ดรับการยอมรับจากผูอ ืน่ การทํางานเปนกลุม ควรสงเสริมให สมาชิกในกลุม ทุกคนไดมีโอกาสแสดงความเปนผู เพือ่ ใหทุกคนเกิดความรูส ึกวาไดรับการยอมรับ จะได รูสึกวาการทํางานรวมกันเปนกลุมนั้นมีความหมาย ปรารถนาที่จะทําอีก 4) การกาํ หนดกติกาหรอื กฎเกณฑตาง ๆ ท่จี ะเอ้ือตอการทํางานรวมกันใหบ รรลุ เปาหมาย ควรเปด โอกาสใหส มาชกิ ไดม สี ว นรว มในการกาํ หนดกตกิ า หรอื กฎเกณฑท่จี ะนาํ มาใชรวมกัน

~ 182 ~ 6. การมีสวนรวมในการประเมินผลการทํางานของกลุม ควรมีการประเมินผลการทํางาน เปนระยะในรูปแบบทั้งไมเปนทางการและเปนทางการ โดยสมาชิกทกุ คนมสี ว นรว มในการประเมิน ผลงาน ทําใหสมาชิกไดรับทราบความกาวหนาของงาน ปญหาอุปสรรคทีเ่ กิดขึน้ รวมทัง้ พัฒนา กระบวนการ ทํางาน หรือการปรับปรุงแกไขรวมกัน ซึง่ ในที่สุดสมาชิกจะไดทราบวาผลงานบรรลุ เปาหมาย และมี คุณภาพมากนอยเพียงใด ตัวอยาง การถอดองคความรูชมุ ชนอนิ ทรียบา นยางยวน บริบทชุมชนบานยางยวน หมูท่ี 5 ตาํ บลดอนตรอ อาํ เภอเฉลมิ พระเกยี รติ จงั หวดั นคร ศรธี รรม ราช เปนพื้นท่ีราบกลุมแบบลกู คล่นื ประชาชนสวนใหญประกอบอาชีพทํานาเปนหลัก อาชีพ รองลงมาคือ การเล้ียงสตั ว เชนเลีย้ งโค เปด ไก เปน รายไดเสรมิ และมีการปลูกผกั ไวเ พื่อบริโภคเอง จากสภาพความ เปลี่ยนแปลงในสังคมยุคปจจุบันทําใหคนในบานยางยวนตองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต มาพึ่งตนเองมากขึ้น แกน นําชุมชน ซึ่งเปนผูนําธรรมชาติเขามามีบทบาทพลักผันวิถีชีวิตชุมชนให ดีข้ึน การประสบปญหาจาก ภาวะเศรษฐกิจทําใหการลงทุนในการประกอบการทํานาสูงขึ้น ทั้งในเรื่อง ของคาน้ํามัน คาปยุ คายาปราบ ศตั รพู ืช ซึง่ มีผลกับเกษตรกร สวนหนึ่งที่มองเห็นไดชัดคือ การ เจ็บไขไดปวยของคนในชุมชน บาน ยางยวนมีกลุมองคกรตาง ๆ เกิดขึ้นมากมายสําหรับการใชแก ปญหาตาง ๆ ของสมาชิกในชุมชน ซึ่งเนนที่ การประกอบอาชีพ และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ซงึ่ มีแกนนาํ ชุมชนอยางกลุมแกนนําที่เขารวมเวที เสวนา และทีมงาน เขามามีบทบาทในการรวบรวม ประชาชนในพื้นที่มารวมคิดรวมทํากิจกรรมตาง ๆ ท่ี เปนประโยชนอยางมหาศาลใหกับคนในบาน ยางยวน หมทู ่ี 5 ตาํ บลตอนตรอ อาํ เภอเฉลมิ พระเกยี รติ กระบวนการแผนชมุ ชนพง่ึ ตนเองบา นยางยวน กลมุ แกนนาํ ท่ีเขา รว มเวทีเสวนา เลาวาการจัดทําแผนชุมชนของบานยางยวนนั้น เริ่มท่ี การจัดเก็บ ขอ มลู บัญชคี รัวเรอื นของหมูบาน แลว นาํ ขอ มลู น้ันมารว มวเิ คราะหเพื่อนําขอมลู ที่ไดมาใช ในการจดั ทาํ แผนชุมชน สิ่งที่ปรากฏคือเรื่องของคาใชจายของคนในชุมชนสวนใหญเกิดจากการ ประกอบอาชีพ และ หน้สี นิ สว นใหญก ็เกิดขน้ึ จากการประกอบอาชีพดว ยเชนกัน เพราะบางครั้งใน การทํานาตองใชตนทุนสูง เมื่อเจอกับปญหาภัยธรรมชาติ นาลมทาํ ใหเ ปน หน้ีเปน สิน จากขอมลู ทีไ่ ด ก็นํามาจัดทําเปนแผนชุมชน ซง่ึ จะเนน ท่ีเร่ืองของแผนการทาํ เกษตร ซึ่งมีผลโดยตรงกับการประกอบ อาชีพของคนในชุมชน ส่ทิ ต่ี องทําก็ คือการทํานาแบบอินทรีย เพื่อลดตน ทุนการผลติ ในเร่ืองของปยุ มีราคาแพง โดยตองการที่จะขยายการทาํ นาแบบอนิ ทรยี ทง้ั หมูบ า รน จากแผนการทําเกษตรของชุมชน ทําใหเกิดกลุมองคก รตา ง ๆ ในชุมชน เกี่ยวกับการประกอบอาชีพทํานามากมาย

~ 183 ~ นอกเหนือจากการทําแผนเรือ่ งการทํานาแบบอินทรียแลว บานยางยวนไดมีการทําเรือ่ งของ การ ปลูกผักปลอดสารพิษ ปลูกกินเองในชุมาชนกอนทีจ่ ะขายสูต ลาดนอกชุมชน โดยเนน การปลูก ทุกอยางที่ กิน และกินทุกอยางทป่ี ลูก ในการนีไ้ ดมพี ้ืนทส่ี าํ หรบั ใชเปนแปลงผักรวมของ ชุมชน โดยใชปุย อินทรียทํา ขึน้ เองใชในแปลกผัก กลุมแกนนําทีเ่ ขารวมเวทีเสนวนาบอกกับทีมงานวา ในการจัดทําเวทีประชาคมจัดทําแผน ของ หมูบ าน ไดรับความรวมมือจากองคการบริหารสวนตําบลซึง่ เขามาสนับสนุนและหนวยงานตาง ๆ ทีเ่ ขามา หนุนเสริมเพือ่ บูรณาการแผนเขากับการทํางานของหนวยงาน ทั้งพัฒนาชุมชน เกษตร กศน. และ สาธารณสุข กลุมแกนนําที่เขารวมเวทีเสวนา และผูใ หขอมูลไดพูดถึงเรื่องสุขภาพชุมชน บอกวาการที่ จะให คนในชุมชนมีสุขภาพทีด่ ีตองเริ่มทีก่ ารกิน และขาวซึ่งเปนอาหารหลักตองเปนขาวที่ปลอดภัย ตอคนใน ชุมชน เพราะฉะนัน้ ชุมชนตองผลิตขาวเองจึงจะไดขาวมีคุณภาพ และขาวที่มีคุณภาพนัน้ จะเปนผลดีตอ ตนเอง และลูกหลานของตนในชุมชน โดยจะเนน ใหคนในชุมชนปลูกขาวสําหรับบริโภค เองไวหนึง่ แปลง โดยทํานาแบบอินทรีย เมือ่ มีแผนพัฒนาในเรือ่ งเกษตรอินทรีย หมูบ านก็ตองหาความรูใ นเรือ่ งนี้ โดยไดสงแกนนํา เขา อบรมหาความรูจ ากที่ตาง ๆ เชนเรือ่ งการทํานาชีวภาพ การทําปุยหมัก การทําน้าํ หมักชีวภาพ และการ แลกเปล่ยี นเรยี นรเู พอื่ นํามาปรับใชกับกลมุ ไดเหมาะสม กลมุ องคก รบานยางยวน เรื่องของกลุมและองคกรในบานยางยวนเปนเรื่องที่โดดเดน เพราะการจัดตัง้ นัน้ สอดคลอง กับวิถี ชีวิตและสามารถแกปญหาของคนในชุมชนไดเปนอยางดี เชน ศูนยขาวบานยางยวน เปนองคกรของชุมชนมีกองทุนใหกูย ืมเพือ่ การผลิตขาว โดยเฉพาะ เนน เรือ่ งการทําขาวอินทรีย โดยจายเปนเมล็ดพันธุใ หกับสมาชิกและเมือ่ สมาชิกขายผลผลิตก็นําเงิน คาเมล็ด พนั ธมุ าคืน เพื่อที่ศูนยขาวจะไดนํามาซื้อเมล็ดพันธุม าไวในศูนยขาวตอไป นอกจากใหกูย ืม เมล็ดพันธุแลว ศูนยขาวก็รับขายขาวใหกับสมาชิกอีกดวย จากการมีศูนยขาวทําใหประชาชนเปลีย่ น จากการทํานาปมาเปน การทํานาปรัง ซึ่งสามารถทําไดถึง 3 ครง้ั ตอป นอกจากมีศูนยขาวของหมูบานแลว บางยางยวนยังมีโรงสีขาวของชุมชนอีกดวย ซึง่ เปน อีก กิจกรรมหนึง่ ทีต่ อบสนองคนในชุมชนไดดี เพราะโรงสีรับสีขาว 3 ประเภท คือขาวกลอง ขาวซอม มือ และขาวขาว และมีการรับสีขาวจากภายนอกชุมชนอีกดวย ซึ่งโรงสีจะมีผลกําไรก็นํามาปนกําไร ใหกับ สมาชิก โดยกําหนดวาสมาชิกของโรงสีเปนสมาชิกทุกคนทีอ่ ยูใ นหมูบาน บริหารโดยศูนยขาว บานยาง ยวน ทุกคนในหมูบานสามารถมาใชบริการได

~ 184 ~ บานยางยวนมีกลุม องคกรการเงินทีห่ ลากหลาย ทุกกลุม เกิดขึน้ ในหมูบ าน จะมีองคกร การเงิน ของกลุม ตามมา กลุม แกนนําทีเ่ ขารวมเวทีเสวนาบอกวา เปนการสรางนิสัยใหรักการอาน และเปนทุน สําหรับการประกอบอาชีพของคนในชุมชน การจัดตัง้ กลุม กองทุนตาง ๆ นัน้ มีทัง้ ที่หมูบ าน จัดตัง้ เองตาม มติของประชาชนและกลุมองคกรทีห่ นวยงานภาครัฐมาหนุนเสริมใหมีการจัดตัง้ เพือ่ แกปญหาใหกับ ประชาชนกลุมกองทุนตาง ๆ ไดแ ก กองทุนขาว กองทุนอาหารและโภชนาการ กองทุนเลี้ยงสัตว กองทุน ปลูกผัก กองทุนเลีย้ งโคยุทธศาสตร กองทุนมะลิ กองทุนพัฒนาอาชีพสตรี กองทุนปุย หมัก กองทุนแผน แมบทชุมชน กองทนุ สวัสดิการสาธารณสุข สจั จะวนั ละ 1 บาท ออมทรัพยตนแบบและกองทุนหมูบาน การเกิดกลุมองคกรการเงินเพื่อตอบสนองความตองการของชุมชนนั้น เปนการเรียนรูใน เรื่องของ การประหยดั อดออม บางคนเปนสมาชิกในทุกกองทุน และบางคนก็เลือกที่จะเปนสมาชิก กองทุนตาง ๆ ท่ี สอดคลองกับวิถีการดําเนินชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งนับไดวากลุมองคกร การเงินบานยางยวน ตอบสนองคนในชุมชนไดทุกอาชีพ กลุมแกนนาํ ทเี่ ขารว มเวทเี สวนา และสมาชิกบอกวา ทุกกลุมมีความโปรงใสตรวจสอบได เพราะ ความไวเน้ือเช่ือใจซง่ึ กนั และกัน และการทําหลักฐานการเงินบัญชีที่ชัดเจน หากขาดความ โปรงใสคิดวาคง อยูไ มได และจะขาดซึง่ ความรักและสามัคคีไมสามารถทีจ่ ะทํากิจกรรมใด ๆ ไดเลย ทุกกลุม มีกิจกรรมที่ เชือ่ มโยงกันเปน ลกู โซ พ่ึงพาซึ่งกนั และกัน การดาํ เนนิ การกลมุ ขาวอินทรียน ั้น เชือ่ มโยงกับกลุม ปุย หมัก เชือ่ มโยงกับกลุม เลีย้ งโค เชื่อมโยง กบั ศูนยข าว เชื่อมโยงกับโรงสีชุมชน เรียกวาทุกกิจกรรมเชื่อมโยงกันหมดอยางลงตัว การสบื ทอดภูมิปญ ญา การปฏิสัมพันธกันในระหวางชุมชน การรว มกจิ กรรมตาง ๆ โดยเฉพาะกองทุนการเงิน ตาง ๆ ของชุมชน ไดถายทอดจากรุน สูร ุนดวยวิธีการปฏิบัติรวมกัน ในเรือ่ งของภูมิปญญาทองถิน่ ทีม่ ี อยูใน ชุมชนก็มีการถา ยทอดสูลูกหลานกด็ วยวธิ กี ารสอนกับแบบตัวตอตัวตามแตผูเรียนจะสนใจ ไมวาจะเปน ดานหัตถกรรม การทําเครื่องมือเครือ่ งใช ที่ใชในการทํามาหากินของคนในชุมชน หรือ แมแตเรือ่ งหมอ พืน้ บาน หมอสมุนไพร ก็ไดถายทอดสูคนรุน หลัง จากรุนสูรุน ไมมีทีส่ ิน้ สุด แมไมได ถายทอดเปนลาย ลกั ษณอักษร แตก็ยังมีเหลืออยูในชุมชนบานยางยวน ความสัมพันธกับหนว ยงานภาครฐั ประชาชนในบานยางยวนมีปฏิสัมพันธกับหนวยงานภาครัฐคอนขางดี สังเกตไดจากการ เกิดกลุม องคกรตาง ๆ ในชุมชน ซึง่ สวนใหญจะมีหนวยงานภาครัฐคอยหนุนเสริมในเรือ่ งตาง ๆ ซึ่ง ทางชุมชนไม ปฏิเสธในการที่จะรับสิ่งดี ๆ ทีท่ ําใหเกิดการพัฒนาในชุมชนบานยางยวน เชน กลุม พัฒนาอาชีพสตรี โรงสีชุมชน กลุม ออมทรัพย กลุมเลี้ยงโค ยุทธศาสตร กองทุนแผนแมบทชุมชน สวัสดิการสาธารณสุข หรือแมแตกองทุนหมูบ าน และการทีห่ มูบ านไมปฏิเสธหนวยงานภาครัฐทีล่ ง ไปหนุนเสริม ผูเ ขารวมเวที

~ 185 ~ บอกวา ทีบ่ านยางยวนนัน้ หนวยงานภาครัฐไดลงมาอยางตอเนือ่ ง คอย ติดตามใหคําแนะนําชวยเหลือ ทุก โครงการจะไดรับคําแนะนํามาเจาหนาที่ของหนวยงานที่มาปฏิบัติ งานในพน้ื ฐาน นําความรูตาง ๆ มาใหอยู เสมอมิไดขาด เรียกไดวาลงมาคลุกคลีอยูในหมูบา นก็วา ได ส่งิ ท่ีอยากใหมีในหมูบานยางยวน กลมุ แกนนาํ ทีเ่ ขารวมเวทีเสวนา บอกวา อยากใหคนในบานยางยวนหันมาทําขาวอินทรีย กินขาว อินทรยี  เพราะจะทําใหสุขภาพของคนในชุมชนดีขึน้ ทุกอยางทีท่ ําสิง่ ทีด่ ี ๆ คนในชุมชนตอง ไดรับสิง่ นั้น กอนท่ีคนทีอ่ ยูนอกชุมชน มีขาวอินทรีย มีผักปลอดสารพิษ มีปลาจากธรรมชาติ ปลอด สารเคมี คนใน ชุมชนตองไดกินกอนทีจ่ ะสงขายโรงพยาบาล เพราะหากไมเริ่มกินที่ชุมชนแตไปกินที่ โรงพยาบาลก็ เหมือนกับไมไดดูแลสุขภาพของคนในชุมชน สารสนเทศการจัดการความรดู ว ยการรวมกลมุ ปฏิบัตกิ าร สารสนเทศการจัดการความรูด วยการรวมกลุมปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวมขอมูลที่ เปน ประโยชนตอการพัฒนางาน พัฒนาคน หรือพัฒนากลุม ซึง่ อาจจัดทําเปนเอกสารคลังความรู ของกลุม หรือเผยแพรผ านทางเว็บไซด เพื่อแบงปน แลกเปลี่ยนความรู และนาํ มาใชประโยชนใน การทํางาน ตวั อยา งของสารสนเทศจากการรวมกลุม ปฏบิ ัตกิ าร ไดแก 1. บันทกึ เรอ่ื งเลา เปน เอกสารทร่ี วบรวมเรอ่ื งเลา ท่แี สดงใหเ หน็ ถึงวิธีการทํางานให ประสบ ผลสาํ เรจ็ อาจแยกเปน เรอ่ื ง ๆ เพอื่ ใหผทู ส่ี นใจเฉพาะเรือ่ งไดศึกษา 2. บันทึการถอดบทเรียนหรือการถอดองคความรู เปนการทบทวน สรุปผลการทํางานที่ จัดทํา เปนเอกสาร อาจจัดทําเปนบันทึกระหวางการทํางาน และหลังจากทํางานเสร็จแลว เพื่อใหเห็น วิธีการ แกปญหาในระหวางการทํางาน และผลสําเร็จจากการทํางาน 3. วีซีดีเรือ่ งสัน้ เปนการจัดทําฐานขอมูลความรูท ีส่ อดคลองกับสังคมปจจุบัน ทีม่ ีการ ใชเครือ่ ง อิเล็กทรอนิกสอยางแพรหลาย การทําวีซีดีเปนเรื่องสัน้ เปนการเผยแพรใหบุคคลไดเรียนรู และนําไปใช ในการแกป ญ หา หรอื พฒั นางานในโอกาสตอ ไป 4. คูมือการปฏิบัติงาน การจัดการความรูที่ประสบผลสําเร็จจะทําใหเห็นแนวทางของ การทํางาน ที่ชัดเจน การจัดทําเปนคูมือเพือ่ การปฏิบัติงาน จะทําใหงานมีมาตรฐาน และผูเ ขียวของ สามารถนําไป พฒั นางานได 5. อินเตอรเน็ต ปจจุบันมีการใชอินเตอรเน็ตกันอยางแพรหลาย และมีการสือ่ สารแลก เปล่ียน ความรูผ านทางอินเตอรเน็ตในเว็บไซดตาง ๆ มีการบันทึกความรูท ัง้ ในรูปแบบของเว็บบล็อก เว็บบอรด และรูปแบบอืน่ ๆ อินเตอรเน็ตจึงเปนแหลงเก็บขอมูลจํานวนมากในปจจุบัน เพราะคน สามารถเขาถึง ขอมลู ไดอ ยางรวดเรว็ ทกุ ที่ ทกุ เวลา

~ 186 ~  กจิ กรรม 1. การจัดการความรูดวยตนเองตองอาศัยทักษะอะไรบาง และผเู รยี นมวี ิธกี ารจัดการความรูดวย ตนเองอยางไร ยกตัวอยาง .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... 2. องคความรูที่ผเู รยี นไดรบั จากการจัดการความรูดว ยตนเองคอื อะไร (แยกเปน ขอ ๆ) .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

~ 187 ~ 3. ใหผ เู รยี นเขยี นเรื่องเลาแหง ความสาํ เร็จ และรวมกลุมกบั เพ่ือนท่ีมเี รือ่ งเลาลักษณะคลา ยกัน ผลัด กนั เลา เร่ือง สกดั ความรูจากเรื่องเลา ของเพื่อน ตามแบบฟอรมนี้ แบบฟอรมการบันทึกขุมคงามรูจ ากเรื่องเลา ชื่อเรื่อง ......................................................................................................................................................... ชอื่ ผเู ลา ......................................................................................................................................................... 1 เนอื้ เรื่องยอ ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. การบันทึกขุมความรูจากเรื่องเลา 2.1 ปญ หา ......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.2 วิธีแกปญ หา (ขุมความรู) .................................................................................................. .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

~ 188 ~ 2.3 ผลทเี่ กดิ ขึ้น ............................................................................................................................ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2.4 ความรูส กึ ของผูเ ลา / ผูเ ลาไดเ รียนรูอะไรบาง จากการทํางานนี้ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. แกน ความรู ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

~ 189 ~ 4. ใหผ ูเ รยี นจบั กลมุ 3-5 คน ไปถอดองคความรูแหลงเรียนรูในชุมชน และนํามาสรุปเปนองคความรู โดย เรียบเรียงเขียนเปนเรียงความ คลายตัวอยาง “การถอดองคความรูชุมชนอินทรียบานยางยวน” สรุปองคค วามรกู ลมุ .................................................................................................................................. ทีอ่ ยูแหลงเรยี นรู ชอ่ื ผูถ อดองคค วามรู .................................................................................................................................. 1. ............................................................................................................................ 2. ............................................................................................................................ 3. ............................................................................................................................ 4. ............................................................................................................................ 5 ............................................................................................................................ ประเดน็ การถอดองคค วามรู 1. สภาพบริบทแหลงเรยี นรู 2. กระบวนบริหารจัดการแหลง เรยี นรู 3. การสืบทอดภูมิปญญา 4. ปญหาอุปสรรค และแนวทางการพฒั นาแหลง เรยี นรู

~ 190 ~ แบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบเร่ืองการจดั การความรู คําชีแ้ จง จงกาบาท x เลอื กขอ ทท่ี า นคดิ วาถูกตองทีส่ ดุ 1. การจดั การความรูเรียกส้นั ๆ วา อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปาหมายของการจัดการความรูคืออะไร ก. พัฒนาคน ข. พัฒนางาน ค. พัฒนาองคกร ง. ถูกทกุ ขอ 3. ขอใดถกู ตอ งมากท่สี ดุ ก. การจัดการความรูหากไมทํา จะไมรู ข. การจัดการความรู คือการจดั การความรูของผูเ ชยี่ วชาญ ค. การจัดการความรู ถือเปนเปาหมายของการทํางาน ง. การจัดการความรู คือการจัดการความรูที่มีในเอกสาร ตาํ รา มาจัดใหเปนระบบ 4. ขั้นสูงสดุ ของการเรียนรคู อื อะไร ก. ปญ ญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ มลู ง. ความรู

~ 191 ~ 5. ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) คอื อะไร ก. การจัดการความรู ข. เปาหมายของการจัดการความรู ค. วิธีการหนึ่งของการจัดการความรู ง. แนวปฏิบัติของการจัดการความรู 6. รูปแบบของการจัดการความรูตามโมเดลปลาทู สว น “ทองปลา” หมายถึงอะไร ก. การกําหนดเปาหมาย ข. การแลกเปลยี่ นเรียนรู ค. การจัดเก็บเปนคลังความรู ง. ความรทู ่ชี ัดแจง 7. ผทู ่ีทาํ หนา ทก่ี ระตุนใหเ กิดการแลกเปลย่ี นเรยี นรคู ือใคร ก. คณุ เอื้อ ข. คุณอาํ นวย ค. คุณกจิ ง. คณุ ลิขติ 8. สารสนเทศเพอ่ื เผยแพรความรใู นปจ จุบันมีอะไรบา ง ก. เอกสาร ข. วซี ดี ี ค. เวบ็ ไซด ง. ถูกทกุ ขอ 9. การจัดการความรูดวยตนเองกับชุมชนแหงการเรียนรูมีความเกี่ยวของกันหรือไม อยางไร ก. เกี่ยวของกัน เพราะการจัดการความรูในบุคคลหลาย ๆ คน รวมกันเปนชุมชน เรยี กวา เปน ชมุ ชนแหง การเรียนรู ข. เกยี่ วของกนั เพราะการจัดการความรูใหกับตนเองก็เหมือนกับจัดการความรูให ชมุ ชนดว ย ค. ไมเ กยี่ วขอ งกนั เพราะจัดการความรูดวยตนเองเปนปจเจกบุคคล สว นชมุ ชนแหง การเรียนรเู ปนเร่ืองของชุมชน ง. ไมเ กี่ยวของกนั เพราะชุมชนแหง การเรยี นรูเปนการเรียนรูเฉพาะกลมุ

~ 192 ~ แบบประเมินตนเองหลงั เรียน บทสะทอนทไ่ี ดจ ากการเรียนรู 1. สิ่งที่ทานประทับใจในการเรียนรูรายวิชาการจัดการความรู .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ปญ หา / อุปสรรคที่พบในการเรียนรูรายวิชาการจัดการความรู .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. ขอเสนอแนะเพม่ิ เตมิ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................

~ 193 ~ บทท่ี 4 คิดเปน สาระสําคัญ ทบทวนทําความเขาใจกับความเชื่อพื้นฐานของคนคิดเปนทางการศึกษาผูใหญและการ เชือ่ มโยงไปสูการเรียนรูเร่อื งของการคิดเปน ปรชั ญาคิดเปน การคิดแกปญหาแบบคนคิดเปน ศึกษาวิเคราะห ถงึ ลกั ษณะของขอมลู การคิดเปนและกระบวนการวิเคราะหสังเคราะห ขอมูลการคิดเปน ทั้ง 3 ประการ คือ ขอมูลทางวิชาการ ขอมูลเกี่ยวกับตนเอง และขอมูลทางสภาวะแวดลอมทางสังคม โดยเนนที่ขอมูลดาน คุณธรรมจริยธรรม ซ่งึ เปนจุดเนน สาํ คัญของการคดิ การตัดสนิ ใจ แกป ญ หาของคนคิดเปน ผลการเรยี นรทู ่ีคาดหวัง 1. อธิบายถึงความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญข องคนคิดเปน และการเชื่อมโยงไปสู การเรยี นรูเ ร่ืองการคิดเปน ปรชั ญาคิดเปน การคิดแกปญหา อยางเปนระบบ แบบคนคิดเปนได 2. วิเคราะหจําแนกลักษณะของขอมูลการคิดเปนทั้ง 3 ดาน ที่นํามาใชประกอบการคิดและ การตัดสนิ ใจ ทงั้ ขอมลู ดา นวิชาการ ขอมลู เกยี่ วกบั ตนเอง ขอมลู เกีย่ วกับสงั คมและสภาวะแวดลอ ม โดยเนน ที่ขอมลู ดานคณุ ธรรมจริยธรรมทเี่ กย่ี วของกับบคุ คล ครอบครวั และชุมชน ทเ่ี ปนจุดเนนสําคัญของคนคิด เปน ได 3. ฝก ปฏิบัติการคดิ การแกปญ หาอยางเปนระบบ การคิดเปน ท้งั จากกรณีตวั อยา งและหรอื สถานการณจริงในชุมชน โดยนําขอมูลดานคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเปนสวนหนึ่งของขอมูลทางสังคมและ สภาวะแวดลอมมาประกอบการคิดการพัฒนาได ขอบขา ยเน้ือหา 1. ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญกับกระบวนการคิดเปน การเชื่อมโยงสูปรัชญาคิด เปน และการคิดการตัดสินใจแกปญหาอยางเปนระบบแบบคนคิดเปน 2. ระบบขอมูล การจําแนกลกั ษณะของขอ มูล การเกบ็ ขอมูล การวิเคราะห สงั เคราะห ขอมูลทั้งดานวิชาการ ดานตนเอง และสังคมสภาวะแวดลอม โดยเนน ไปทีข่ อมูลดานคุณธรรมจริยธรรมท่ี เกี่ยวของกับบุคคล ครอบครัวและชุมชน เพื่อนํามาใชประกอบการตัดสินใจแกปญหาตามแบบอยางของคน คิดเปน 3. กรณีตัวอยาง และสถานการณจ ริงในการฝก ปฏบิ ตั ิเพื่อการคิด การแกป ญหาแบบคนคิดเปน

~ 194 ~ ขอแนะนาํ การจดั การเรียนรู 1. คิดเปน เปนวิชาทีเ่ นนใหผูเ รียนไดเรียนรูด วยการคิด การวิเคราะห และแสวงหาคําตอบดวยการ ใชกระบวนการที่หลากหลายเปดกวาง เปนอิสระมากกวาการเรียนรูท ี่เนนเนือ้ หาใหทองจํา หรือมีคําตอบ สาํ เร็จรปู ใหโ ดยผูเรยี นไมต อ งคดิ ไมต องวเิ คราะหเ หตุและผลเสยี กอ น 2. ขอแนะนําวา กระบวรการเรียนรูในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนัน้ ผูเรียนสวนใหญผานการ เรียนมาจากหลักสูตร กศน. ระดับมัธยมศึกษาตอนตนมากอน คุน เคยกับกระบวนการกลุม การสานเสวนา หรือการอภิปรายถกแถลงมากอน พอจะใชการอธิบายเสริมการอภิปรายไดบาง แตถึงกระนัน้ ก็ควรจะใช กระบวนการกลุม การอภิปราย เพือ่ ใหเปนการฝกทักษะการคิดการวิเคราะหขอมูลอยูเ ปนประจําจนเกิดเปน นิสัย สามารถนํากระบวนการดังกลาวนีไ้ ปประยุกตใชกับการเรียนรูในรายวิชาอืน่ ๆ ในลักษณะเดียวกันได ดวย ในเวลาเดียวกนั กจ็ ะเปนการชวยเพอื่ นๆ ผเู รียนบางคนท่ยี งั ไมเ คยมีประสบการณในการคิดการวิเคราะห มากอ นไดเ รยี นรดู วยความเขาใจดยี ิง่ ข้ึน 3. เนือ่ งจากเปนวิชาทีป่ ระสงคจะใหผูเรียนไดฝกการคิดการวิเคราะห เพื่อแสวงหาคําตอบดวย ตนเองมากกวาทองจําเพื่อหาความรูแ บบเดิม ครูและผูเรียนจึงควรจะตองปฏิบัติตามกระบวนการทีแ่ นะนํา โดยไมขามขน้ั ตอนจะชวยใหก ารเรียนรูเกิดข้ึนอยางมปี ระสิทธิภาพ

~ 195 ~ เรื่องท่ี 1 ทบทวนความเชอ่ื พ้นื ฐานทางการศกึ ษาผใู หญข องคนคดิ เปน และการเชือ่ มโยงไปสปู รัชญาคดิ เปน การแกปญหาอยางเปนระบบของคนคดิ เปน ในชีวิตประจําวันทุกคนตองเคยพบกับปญหาตางๆ ไมวาจะเปนปญหาการเรียน การงาน การเงิน หรือแมแตการเลนกีฬาหรือปญหาอ่ืนๆ เชน ปญหาขัดแยงของเด็ก หรือปญหาการแตงตัวไปงาน ตางๆ เปน ตน เม่ือเกดิ ปญ หากเ็ กดิ ทกุ ข แตล ะคนกจ็ ะมวี แี กไขปญหา หรือแกท ุกขดว ยวธิ ีการท่ีแตกตางกันไป ซ่ึงแตล ะคน แตล ะวธิ ีการอาจเหมือนหรอื ตา งกัน และอาจใหผ ลลพั ธท ่เี หมือนกนั หรือตางกันก็ได ทั้งนี้ข้ึนอยู กับพื้นฐานความเชื่อ ความรู ความสามารถและประสบการณของบุคคลนัน้ หรืออาจจะขึ้นอยูก ับทฤษฎีและ หลกั การของความเชอ่ื ท่ีตางกนั เหลา นน้ั “คิดเปน” เปนกระบวนการคิดและตัดสินใจแกปญหาวิธีหนึ่งของคนทํางาน กศน.ที่ทาน อาจารย ดร.โกวิท วรพิพัฒน อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนและอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการได นําเสนอไวเปนทิศทางและหลักการสําคัญในการดําเนินงานโครงการการศึกษาผูใ หญและการศึกษานอก โรงเรียนในสมัยนั้น และใชเปนปญหาสองนําทางในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ในระยะตอ มาดว ย “คิดเปน” ตัง้ อยูบนความเชือ่ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ หญที่เปนหลักความจริงของมนุษย ทีว่ า คนเรามีความหลากหลายแตกตางกัน แตทุกคนตองการความสุขเปนเปาหมายสูงสุด คน กศน.เชื่อวา ปญหาหรือความทุกขเปนเรือ่ งธรรมชาติทีเ่ กิดขึน้ ไดก็สามารถแกไขได ความทุกขหรือปญหาเปนสิง่ ที่เกิด ขึน้ กับคนมากนอย หนักเบา ตางกันออกไป เมือ่ เกิดปญหาหรือความทุกขคนเราก็ตองพยายามหาทาง แกปญหาหรือคลีค่ ลายความทุกขใหหมดไปใหความสุขกลับคืนมา ความสุขของมนุษยจะเกิดขึน้ ไดตอเมื่อ มนุษยกับสภาวะแวดลอมทีเ่ ปนวิถีชีวิตของตนสามารถปรับตัวกับสภาวะแวดลอมใหกลมกลืนกันไดนี้ มนุษยตองรูจ ักแสวงหาขอมูลทีห่ ลากหลายและเพียงพออยางนอย 3 ดานดวยกัน คือ ขอมูลดานวิชาการ ขอมูลเกีย่ วกับตนเอง และขอมูลเกีย่ วกับสภาวะแวดลอมทางสังคม ชุมชน นํามาวิเคราะหศึกษารายละเอียด อยางรอบคอบและสังเคราะหเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุดนํามาใชแกปญหา ความเชือ่ พ้นื ฐานของคนคิดเปน หรือความเชอ่ื พน้ื ฐานทางการศกึ ษาผใู หญค อื อะไร? เพอื่ ใหผ ูเรียนมคี วามเขาใจและเขาถงึ “คิดเปน” ไดอยางลึกซึง้ และชัดเจน ผูเ รียนทีเ่ คยเรียน เร่ือง “คิดเปน” มากอนในระดับประถมศึกษาหรือระดับมัธยมศึกษาตอนตน ขอใหขามไปอานตอและรวม กิจกรรมกระบวนการ ต้งั แต เร่อื งที่ 2 ของบทนี้เปนตนไป

~ 196 ~ สําหรับผูเรียนที่ยังไมเคยเรียนเรื่อง “คิดเปน” มากอนในระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาตอนตน ขอใหรวมกันทําความเขาใจเรื่องความเชือ่ พืน้ ฐานของคนคิดเปนหรือความเชือ่ พืน้ ฐาน ทางการศึกษาผูใ หญเสียกอน ทัง้ นีเ้ พราะกระบวนการ “คิดเปน” เนนการทําความเขาใจดวยกระบวนการคิด และสรางความเขาใจดวยตนเองเปนหลัก ใหใชกรณีตัวอยางในแบบเรียนคิดเปน ระดับประถมศึกษาเปน เอกสารประกอบการสนทนาและรว มสรปุ แนวคดิ ดงั ตอ ไปน้ี ความเชอื่ พื้นฐานทางการศกึ ษาผใู หญ ปฐมบทของปรชั ญา “คิดเปน ” ครัง้ หนึง่ ดร.โกวิท วรพิพัฒน อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเคยเปนอธิบดีกรมการ ศึกษานอกโรงเรียนมากอนเคยเลาใหฟงวามีเพือ่ นฝรัง่ ถามทานวา ทําไมคนไทยบางคนจนก็จน อยูกระตอบ เกาๆทํางานก็หนัก หาเชากินค่าํ แตเมื่อกลับบานยังมีแกใจนั่งเปาขลุย ตัง้ วงสนทนา สนุกสนาน เฮฮากับ เพื่อนบานหรือโขกหมากรุกกับเพือ่ น ไดอยางเบิกบานใจ ตกเย็นก็นัง่ กินขาวคลุกน้ําพริก คลุกน้ําปลากับลูก เมียอยางมีความสุขได ทานอาจารยตอบไปวา เพราะเขาคิดเปน เขาจึงมีความสุข มีความพอเพียง ไมทุกข ไม เดือดรอนทุรนทุรายเหมือนคนอืน่ ๆ เทานัน้ แหละ คําถามก็ตามมาเปนหางวาว เชน ก็เจา “คิดเปน” มันคือ อะไร อยูที่ไหน หนาตาเปนอยางไร หาไดอยางไร หายากไหม ทําอยางไรจึงจะคิดเปน ตองไปเรียนจากพระ อาจารยท ศิ าปาโมกขห รอื เปลา คา เรยี นแพงไหม มคี า ยกครูไหม ใครเปนครูอาจารยหรือศาสดา ฯลฯ ดูเหมือนวา “คิดเปน” ของทา นอาจารยจ ะเปน คําไทยงายๆ ธรรมดาๆ แตก ็ออกจะลกึ ลา้ํ ชวนใหใฝหาคาํ ตอบยง่ิ นัก “ คดิ เปน ” คืออะไรใครรบู า ง มีทิศทางมาจากไหนใครเคยเห็น จะเรยี นราํ่ ทําอยา งไรใหคดิ เปน ไมลอเลนใครตอบได ขอบใจเอย

~ 197 ~ ประมาณป พ.ศ.2513 เปนตนมา ทานอาจารย ดร.โกวิท วรพิพัฒน และคณะไดนําแนวคิด เรื่อง “คิดเปน” มาเปนเปาหมายสําคัญในการจัดการศึกษาผูใ หญหลายโครงการ เชน โครงการการศึกษา ผูใหญแบบเบ็ดเสร็จ โครงการรณรงคเพื่อการรูหนังสือแหงชาติ โครงการการศึกษาประชาชนและการศึกษา ผูใหญขั้นตอเนือ่ งเปนตน*ตอมาทานยายไปเปนอธิบดีกรมวิชาการ ทานก็นําคิดเปนไปเปนแนวทางจัด การศึกษาสําหรับเด็กในโรงเรียนจนเปนทีย่ อมรับมากขึน้ เพือ่ ใหการทําความเขาใจกับการคิดเปนงายขึ้น พอท่ีจะใหคนที่จะมามีสวนรวมในกระบวนการเรียนการสอนตามโครงการดังกลาวเขาใจและสามารถ ดําเนินกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับหลักการ “คิดเปน” ได จึงมีการนําเสนอแนวคิดเรือ่ ง ความเชื่อ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใหญขึ้นเปนครัง้ แรก โดยใชกระบวนการคิดเปน ในการทําความเขาใจกับความเชื่อ พื้นฐานทางการศึกษาผูใหญใหกับผูทีจ่ ะจัดกระบวนการเรียนการสอนตามโครงการดังกลาวในรูปแบบของ การฝกอบรม** ดวยการฝกอบรมผูร วมโครงการการศึกษาผูใ หญแบบเบ็ดเสร็จ และโครงการการศึกษา ผูใหญขั้นตอเนื่องระดับ 3-4-5 เปนที่รูจักฮือฮากันมากในสมัยนั้นผูเ ขารับการอบรมยังคงรําลึกถึงและ นํามาใชประโยชนจนทุกวันนี้ เราจะมาทําความรูจักกับความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญที่เปนปฐมบทของการคิดเปนกันบางดีไหม การเรียนรูเรื่องความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใ หญใหเขาใจไดดีผูเ รียนตองทําความเขาใจดวยการรวม กิจกรรม การคิดวิเคราะหเรือ่ งราวตางๆ เปนขัน้ เปนตอนตามลําดับ และสรุปความคิดเปนขั้นเปนตอนตาม ไปดวย โดยไมตองกังวลวาคําตอบหรือความคิดที่ไดจะผิดหรือถูกเพียงใด เพราะจะไมมีคําตอบใดถูก ทั้งหมด และไมมีคําตอบใดผิดทัง้ หมด เมือ่ ไดรวมกิจกรรมครบตามกําหนดแลว ผูเ รียนจะรวมกันสรุป แนวคดิ เร่อื ง ความเช่ือพน้ื ฐานทางการศกึ ษาผใู หญไ ด ดว ยตนเอง ตอไปนี้เราจะมาเรียนรูเ รือ่ งความเชือ่ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ หญ เพือ่ นําไปสูก ารสรางความเขาใจ เรื่องการคิดเปนรวมกันเริม่ ดวยการรวมกิจกรรมตางๆเปนขัน้ เปนตอนไป ตัง้ แตกิจกรรมที่ 1 - 5 โดยจะมีครู รว มกจิ กรรมดว ย * นับเปนวิธีการทางการศึกษาที่สมัยใหมมากยังไมมีหนวยงานไหนคเยทํามากอน ** ท่ใี หวทิ ยากรทเี่ ปน ผูจัดอบรมและผเู ขา รับการอบรมมีสว นเรียนรไู ปพรอมๆ กันดว ย กระบวนการ อภิปรายถกแถลงในรูปกระบวนการกลุมมกี ารวิเคราะหกรณีตัวอยา งหลายเรื่อง ท่ีกําหนดขน้ึ นาํ เหตุผล และ ขอคิดเห็นของกลุมมาสรุปสังเคราะหออกมาเปนความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญ (สมัยนนั้ ) หรือ กศน. (สมยั ตอมา) ผลสรุปของการอภิปรายถกแถลงไมวาจะเปนกลุมไหนก็จะไดออกมาเปนทิศทางเดียวกันเพราะ เปน สัจธรรมทีเ่ ปนความจริงในชีวติ

~ 198 ~ กิจกรรมท่ี 1 ครูและผูเรียนนั่งสบายๆ อยูก ันเปนกลุม ครูแจกใบงานที่ 1 ทีเ่ ปนกรณีตัวอยางเรือ่ ง “หลาย ชีวิต” ใหผูเ รียนทุกคน ครูอธิบายใหผูเ รียนทราบวา ครูจะอานกรณีตัวอยางใหฟง 2 เทีย่ วชาๆ ใครทีพ่ ออาน ไดบางก็อานตามไปดวย ใครทีอ่ านยังไมคลองก็ฟงครูอานและคิดตามไปดวย เมือ่ ครูอานจบแลวก็จะพูดคุย กับผูเรียนเชิงทบทวนถึงเนือ้ หาในกรณีตัวอยางเรื่อง “หลายชีวิต” เพือ่ จะใหแนใจวาผูเ รียนทุกคนเขาใจ เนื้อหาของกรณีตัวอยางตรงกันจากนัน้ ครูจึงอานประเด็น ซึ่งเปนคําถามปลายเปด (คําถามทีไ่ มมีคําตอบ สาํ เรจ็ รูป) ทก่ี าํ กบั มากบั กรณตี ัวอยางใหผ ูเ รียนฟง ใบงานท่ี 1 กรณตี วั อยา ง เร่ือง “หลายชวี ิต” หลายชวี ิต พระมหาสมชัย เปนพระนักเทศน มีประสบการณการเทศนมหาชาติกัณฑมัทรีทีม่ ีชือ่ เสียงเปนที่ แพรหลายในหลายทีห่ ลายภาคของไทย วัดหลายแหงตองจองทานไปเทศนใหงานของวัดนัน้ ๆ เพราะญาติ โยมขอรอง และพระนักเทศนทั้งหลายก็นิยมเทศนรวมกับทานมหาสมชัยตัง้ ใจไววาอยากเดินทางไปเทศนที่ วัดไทยในอเมริกาสักครั้งในชีวิต เพราะไมเคยไปตางประเทศเลย เจเกียว เปนนักธุรกิจชั้นนํา มีกิจการหลายอยางในความดูแล เชน กิจการเสื้อผาสําเร็จรูป กิจการ จําหนายสินคาโอทอ็ ป กิจการสงออกสินคาอาหารกระปอง กิจการจําหนายสินคาทางอินเทอรเน็ต แตเจเกียว ไมมลี กู สืบสกุลเลย ตง้ั ความหวงั ไววา ขอมลี กู สักคน แตกไ็ มเ คยสมหวังเลย ลุงแปน เปนเกษตรกรอาวุโส อายุเกิน 60 ปแลว แตยังแข็งแรง มีฐานะดี ชอบทํางานทุกอยาง ไมอยู นิ่ง ทํางานสวนตัว งานสังคม งานชวยเหลือคนอืน่ และงานบํารุงศาสนา ลุงแปนแอบมีความหวังลึกๆ อยาก ไดป รญิ ญากิตตมิ ศกั ดิ์ จากมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกั แหงเพ่ือเก็บไวเปน ความภมู ใิ จของตนเอง และวงศต ระกูล เด็กหญิงนวลเพ็ญ เปนเด็กหญิงจนๆ ตางจังหวัดหางไกล ไมเคยเห็นกรุงเทพ ไมเคยเขาเมือง ไมเคยออกจาก หมูบ านไปไกลๆ เลย ด.ญ. นวลเพ็ญคิดวาถามีโอกาสไปเทีย่ วกรุงเทพสักครัง้ คงจะดีใจและมีความสุขมาก ทส่ี ดุ ทิดแหวง บวชเปนเณรตัง้ แตเล็ก เมื่ออายุครบบวชก็บวชเปนพระ เพิ่งสึกออกมาชวยพอทํานา ทิด แหวงตั้งความหวังไววาเขาอยากแตงงานกับหญิงสาวสาย ร่าํ รวยสักคน จะไดมีชีวิตที่สุขสบาย ไมตอง ทํางานหนักเหมือนที่เปนอยใู นปจจุบนั

ประเดน็ ~ 199 ~ กรณตี ัวอยา งเรอื่ ง “หลายชวี ติ ” บอกอะไรบางเกี่ยวกับชีวิตมนุษย ครูแบงกลุม ผูเ รียนออกเปน 2-3 กลุม ยอย ใหผูเรียนเลือกประธานกลุม และเลขานุการกลุม เพื่อเปน ผูนําอภปิ รายและผจู ดบันทกึ ผลการอภปิ รายของกลุมและนําผลการอภิปรายของกลุม เสนอตอทีป่ ระชุมใหญ จากนั้นใหผูเรียนแตละกลุมอภิปรายถกแถลงเพื่อหาคําตอบตามประเด็นที่กําหนดให ครูติดตามสังเกต เหตุผลของกลุมหากขอมูลยังไมเพียงพอ ครูอาจชีแ้ นะใหอภิปรายเพิม่ เติม ในสวนของขอมูลทีย่ ังขาดอยูไ ด เลขานุการกลุมบันทึกผลการพิจารณาหาคําตอบตามประเด็นที่กําหนด ใหเปนคําตอบสั้นๆ ไดใจความ เทานั้น และนําคําตอบนั้นไปรายงานในที่ประชุมกลุมใหญ** ในการประชุมกลุม ใหญ ผูแ ทนกลุม ยอยนําเสนอรายงาน ครูบันทึกขอคิดเห็นของกลุม ยอยไวที่ กระดาษปรูฟ ซึ่งเตรียมจัดไวกอนแลว เมือ่ ทุกกลุมรายงานแลว ครูนําอภิปรายในกลุม ใหญถึงคําตอบของ กลุม ซีง่ จะหลอมรวมบูรณาการคําตอบของกลุม ยอยออกมาเปนคําตอบประเด็นอภิปรายของกรณีตัวอยาง “หลายชีวิต” ของกลุม ใหญ จากนั้นครูนําสรุปคําตอบทีไ่ ดเปนขอเขียนทีส่ มบูรณขึน้ และนําคําตอบนั้น บนั ทกึ ในกระดาษปรฟู ตดิ ไวใ หเ หน็ ชดั เจน ตัวอยางขอสรุปของกรณีตัวอยาง เรื่อง ตวั อยาง ขอสรุปผลการอภปิ รายจากกรณีตวั อยางเรอ่ื ง “หลายชีวิต” ปรากฏดังในกรอบดาน “หลายชวี ติ ” ขวามือ ตัวอยาง ขอสรุปน้ีอาจใกลเคียง -------------- กับขอสรุปของทานก็ได คนแตละคนมีความแตกตางกัน มีวิถีการดําเนินชีวิตที่ ไมเหมือนกัน แตทุกคนมีความตองการทีค่ ลายกัน คือ ตองการประสบความสําเร็จ ซึง่ ถาบรรลุตามตองการของ ตน คนนั้นก็จะมคี วามสขุ กรณีตัวอยา งเร่อื ง “หลายชวี ติ ” เริ่มเปดตวั ออกมาเปนเร่ืองแรก ผูเรียนจะตองติดตามตอไป ดวยการทํากจิ กรรมที่ 2 ท่ี 3 ท่ี 4 ถึงท่ี 5 ตามลําดับ จึงจะพบคําตอบวา “ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญ คืออะไรแน และจะเปนปฐมบทของ “การคิดเปน”อยางไร พกั สักครกู อนนะ ** หากมผี เู รียนไมม ากนกั ครูอาจไมตอ งแบง กลมุ ยอย ใหผูเ รียนทกุ คนรว มอภปิ รายถกแถลง หรือสนทนา แลกเปลีย่ นความคิดกันในกลมุ ใหญเ ลย โดยมีประธานหรือหัวหนากลุม เปนผนู ํา และมีเลขานกุ ารกลุมใหญ เปนผบู ันทกึ (ครูอาจเปนผูช วยบนั ทึกได)

~ 200 ~ กจิ กรรมท่ี 2 ครแู ละผูเรยี นน่งั สบายๆ อยกู นั เปน กลุม ครูแจกใบงานที่ 2 ทเี่ ปนกรณีตวั อยา ง เร่ือง “แปะ ฮง” ครูดําเนินกิจกรรมเชนเดียวกับการดําเนินงานในกิจกรรมที่ 1 ใบงานท่ี 2 กรณตี ัวอยา งเรอ่ื ง แปะ ฮง แปแะ ปฮะงฮง ทานขุนพิชิตพลพาย เปนคหบดีมีชือ่ เสียงมากในดานความเมตตากรุณาทานเปนคนทีพ่ รอมไปดวย ทรพั ยส มบัติ ขาทาสบริวาร เกียรตยิ ศ ชือ่ เสียง และสขุ กายสบายใจ ตาแปะ ฮง เปนชายจีนชราตวั คนเดียว ขายเตา ฮวย อาศัยอยทู ห่ี อ งแถวเลก็ ๆ หลังบานขุนพิชิต แปะฮงขายเตาฮวยเสร็จกลับบานตอนเย็นตกค่าํ หลักจากอาบน้าํ อาบทากินขาวเสร็จก็นัง่ สี ซอเพลดิ เพลนิ ทกุ วนั ไป วันหนึ่งทานขุนคิดวา แปะฮงดูมีความสุขดี แตถาไดมีเงินมากขึ้นคงจะมีความสุขอยางสมบูรณมาก ขึ้น ทานขุนจึงเอาเงินหนึ่งแสนบาทไปใหแปะฮง จากนั้นมาเปนเวลาอาทิตยหนึ่งเต็มๆ ทานขุนไมไดยินเสียง ซอจากบานแปะฮงอีกเลย ทานขุนรูสึกเหมือนขาดอะไรไปอยางหนึ่ง เย็นวันที่แปดแปะฮงก็มาพบทานขุน พรอ มกับนําเงนิ ท่ยี ังเหลอื อกี หลายหมืน่ มาคืน แปะ ฮงบอกทานขนุ วา “ผมเอาเงินมาคืนทานครับ ผสมเหนือ่ ยเหลือเกิน มีเงินมากก็ตองทํางานมากขึน้ ตองคอย ระวังรักษาเงินทอง เตาฮวยก็ไมไดขาย ตองไปลงทุนทางอืน่ เพื่อใหรวยมากขึ้นอีกลงทุนแลวก็กลัวขาดทุน เหน่อื ยเหลือเกนิ ผมไมอ ยากไดเ งนิ แสนแลว ครับ” คืนนั้นทานขุนก็หายใจโลงอก เมื่อไดยินเสียงซอจากบานแปะฮง แทรกเขามากับสายลม ประเดน็ ในเรื่องความสุขของคนในเรื่องนี้ ทานไดแนวคิดอะไรบาง? แนวทางการทํากิจกรรม 1. เลขานุการกลุมบันทึกความเห็นของกลุมที่รวมกันอภิปราย ความเห็นอาจมีหลายคําตอบได 2. อาจเปรียบเทยี บความเห็นหรือคําตอบของกลุมผูเรียนกับตวั อยางขอสรปุ ท่นี ําเสนอวาใกลเคยี ง กันหรือไม เพียงใด 3. เลอื กขอ คิดหรือคาํ ตอบของกลุมที่คดิ วาดีทีส่ ดุ ไว 1 คําตอบ