คูมือการวิจัยสำหรับการอาชีวศึกษา Research in TVET made easy เรียนรูวิจัยได...งายนิดเดียว
ช่ือหนงั สือ คมู่ ือการวจิ ยั สาำ หรับการอาชีวศกึ ษา Research in TVET made easy “เรียนรวู้ จิ ยั ได้..ง่ายนิดเดยี ว” จัดทาำ โดย สาำ นักวจิ ยั และพฒั นาการอาชีวศกึ ษา ชอ่ื ผู้แตง่ ปีทีพ่ ิมพ์ สำานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ครัง้ ทพ่ี มิ พ์ Colombo Plan Staff College for Technician Education (CPSC) ISBN 2557 ครั้งท ่ี 1 978-616-202-966-0
สาสน์ จากเลขาธกิ ารคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา สำ�นกั ง�นคณะกรรมก�รก�รอ�ชวี ศึกษ� มนี โยบ�ยในก�รสง่ เสริม สนับสนนุ ก�รดำ�เนินก�รพัฒน�ศกั ยภ�พบคุ ล�กร ครู อ�จ�รยอ์ �ชีวศกึ ษ�ใหม้ ี คว�มรู้ คว�มเข�้ ใจท�งด�้ นก�รวิจยั ก�รวจิ ัยอ�ชวี ศึกษ� ภ�ยใต้ก�รดำ�เนนิ ง�นของ ส�ำ นักวิจัยและพฒั น�ก�รอ�ชวี ศึกษ�ม�อย่�งต่อเน่ือง โดยก�ำ หนดเป�้ หม�ยในก�ร ดำ�เนนิ ก�รมุง่ เน้นในก�รพัฒน�คุณภ�พผลง�นก�รวจิ ยั อ�ชีวศกึ ษ� อนั สง่ ผลต่อ ก�รผลิตผูส้ ำ�เร็จก�รอ�ชีวศึกษ�ให้มีคุณภ�พสอดคล้องคว�มต้องก�รของตล�ด แรงง�น ซงึ่ ปจั จุบนั เปน็ ที่ทร�บกนั เป็นอย่�งดีว�่ หล�ยหนว่ ยง�นทง้ั ภ�ครฐั และ เอกชนให้คว�มสำ�คัญกับก�รทำ�วิจยั ที่มุ่งเน้นก�รนำ�ผลวิจัยม�ประยุกต์ใช้ในก�ร พฒั น� ปรบั ปรุงกระบวนก�รบริห�รจัดก�รองค์กรเพมิ่ ม�กขน้ึ อีกท้งั ก�รวจิ ัยยงั ก่อ ใหเ้ กิดก�รค้นคว้�องคค์ ว�มรู้ วทิ ย�ก�รใหม่ ๆ ท้งั ท�งด�้ นทฤษฎแี ละปฏิบัติซึ่งเป็น สิ่งส�ำ คญั ในแวดวงวิช�ก�ร ดังนัน้ ก�รมีสือ่ เพือ่ ก�รเรียนรูท้ ีส่ �ม�รถให้คว�มรู้ด้�นก�รวิจัย อ�ชวี ศึกษ�ท่ีเข�้ ใจได้ง�่ ยแก่ครแู ละบุคล�กรท�งก�รศกึ ษ� จะเป็นส่วนส�ำ คัญทีส่ ง่ เสรมิ ให้บคุ ล�กรก�รอ�ชวี ศึกษ�หนั ม�สนใจในก�รด�ำ เนินก�รวจิ ัยทีถ่ กู ตอ้ ง และ ร่วมกันสร้�งสรรค์ผลง�นวิจยั อ�ชีวศึกษ�ที่มีคุณค่�ต่อก�รพัฒน�อ�ชีวศึกษ�ของ เร�ตอ่ ไป ดร.ชยั พฤกษ์ เสรรี กั ษ์ เลข�ธกิ �รคณะกรรมก�รก�รอ�ชวี ศึกษ� 1
คำ�นำ� เอกส�รฉบับนีแ้ ปลและเรยี บเรียงจ�ก “Research in TVET made easy” ซง่ึ จัดทำ� โดย Colombo Plan Staff College for Technician Education (CPSC) ส�ำ นักง�น คณะกรรมก�รก�รอ�ชวี ศกึ ษ� โดยส�ำ นักวิจยั และพฒั น�ก�รอ�ชวี ศึกษ� เห็นว่�เอกส�ร ฉบบั น้ีใชภ้ �ษ�และวิธกี �รนำ�เสนอกระบวนก�รจัดท�ำ วิจัยท่เี ข�้ ใจง่�ย ผู้อ่�นส�ม�รถเรียน ได้เร็ว และน�ำ ไปส่กู �รปฏิบตั ิไดอ้ ย่�งเป็นรปู ธรรม จงึ ไดจ้ ดั ให้มกี �รแปลและเรยี บเรยี งขน้ึ เพอื่ เผยแพรแ่ ก่สถ�นศึกษ� ขอขอบคุณอ�จ�รย์ ดร.ศิริพรรณ ชุมนมุ ท่ปี ระส�นง�นกับ Colombo Plan Staff College for Technician Education (CPSC) ประส�นง�นขอต้นฉบับและไดร้ ับคว�ม เห็นชอบให้แปลจ�ก Dr. Mohammad Naim Yaakub ผู้อำ�นวยก�ร CPSC ซ่งึ ไดร้ บั คว�มอนุเคร�ะหจ์ �ก ดร.จริย� ทัพพะกลุ ณ อยธุ ย� อดตี ผเู้ ชย่ี วช�ญ CPSC และอ�จ�รย์ ฉวี บญุ คมุ้ รว่ มกันดำ�เนินก�รแปลและเรียบเรยี ง โดยจะไดน้ �ำ เสนอตน้ ฉบับภ�ษ�ไทยนแ้ี ก่ CPSC เพือ่ เปน็ ก�รเผยแพร่ดว้ ยหวังว�่ เอกส�รฉบบั นจ้ี ะเป็นประโยชน์แกผ่ ้บู รหิ �ร ครูและ บุคล�กรก�รอ�ชีวศกึ ษ� และผ้สู นใจท่วั ไป ( ดร.มงคลชัย สมอดุ ร ) ผู้อำ�นวยก�รส�ำ นกั วิจัยและพัฒน�ก�รอ�ชีวศึกษ� 2557 2
บทท่ี 1 สารบัญ หนา้ บทท่ี 2 บทท่ี 3 คุณลกั ษณะและเครอื่ งมือการวิจัย 7 คว�มหม�ยของก�รวจิ ยั 9 ลกั ษณะสำ�คญั ของก�รวจิ ัย 10 สมรรถนะคว�มส�ม�รถและทักษะท่จี ำ�เปน็ ในก�รวิจัย 12 ขนั้ ตอนของก�รวจิ ัยโดยย่อ 14 เกร็ดคว�มรใู้ นก�รทำ�วจิ ยั 16 อภธิ �นศัพท์ 17 แบบฝึกหัดท�้ ยบทท่ี 1 18 ประเภทของการวจิ ัย 19 ก�รแบง่ ประเภทก�รวจิ ัยต�มวตั ถปุ ระสงค์ 21 ก�รแบง่ ก�รวิจยั ต�มระเบยี บวธิ ีของก�รวจิ ยั 24 เกร็ดคว�มร้ใู นก�รทำ�วิจัย 32 อภธิ �นศพั ท์ 32 แบบฝกึ หดั ท้�ยบทที่ 2 34 การวางแผนงานวจิ ยั 37 เกณฑ์ในก�รเลือกหัวขอ้ ก�รวิจยั 39 ก�รว�งแผนก�รวิจยั 40 ปัญห�ก�รวจิ ัย 41 ปัญห�หรอื วตั ถปุ ระสงคย์ อ่ ย / ค�ำ ถ�ม 42 กรอบทฤษฎี และกรอบแนวคิด 45 ก�รทบทวนวรรณกรรม และก�รศึกษ�ที่เกีย่ วขอ้ ง 45 ตวั แปร 48 สมมตุ ฐิ �น 49 ค�ำ จำ�กดั คว�มของค�ำ ศัพท์ 50 เกรด็ คว�มรใู้ นก�รทำ�วิจัย 52 แบบฝกึ หดั ท้�ยบทท่ี 3 53 3
บทท่ี 4 การวจิ ัยทางสงั คมศาสตรแ์ ละการวจิ ยั เชิงการพัฒนาเทคโนโลยี หนา้ บทท่ี 5 บทท่ี 6 กรอบก�รด�ำ เนนิ ง�นวิจยั 55 ก�รวจิ ยั ท�งสังคมศ�สตร์ ก�รวจิ ยั เชงิ พัฒน�เทคโนโลยี 57 เคร่อื งมือท�งสถติ ิ 57 ม�ตร�ก�รวัด 63 ขอ้ ผิดพล�ดท่ัวไปในก�รวจิ ัย 65 เกรด็ คว�มรใู้ นก�รทำ�วิจัย 68 อภธิ �นศพั ท์ 70 แบบฝึกหัดท้�ยบทที่ 4 72 72 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การสรปุ ผล และข้อเสนอแนะ 73 ก�รน�ำ เสนอผลก�รวิจยั สรุปผลก�รวจิ ัย 75 ก�รสรปุ จ�กผลก�รวิจยั 77 ขอ้ เสนอแนะ 80 เกร็ดคว�มรใู้ นก�รทำ�วิจยั 80 อภธิ �นศัพท์ 80 แบบฝึกหดั ท้�ยบทที่ 5 81 82 การจัดทาำ รายงานวิจยั 82 สว่ นส�ำ คญั ของร�ยง�นก�รวิจยั แบบก�รเขยี นโครงร�่ งก�รวจิ ยั 83 ลักษณะของโครงร่�งก�รวจิ ยั 85 สว่ นประกอบของขอ้ โครงร่�งก�รวิจัย 88 เกร็ดคว�มรู้ในก�รทำ�วจิ ัย 89 อภธิ �นศพั ท์ 89 90 แบบฝกึ หัดท�้ ยบทที่ 6 91 91 4
บทท่ี 7 การวจิ ัยออนไลน์ หน้า ก�รวจิ ยั ออนไลน์ 93 คณุ สมบตั สิ ำ�คัญของก�รวจิ ัยออนไลน์ 95 วธิ ีก�รปัจจบุ ันสำ�หรับดำ�เนนิ ก�ร ก�รวจิ ยั ออนไลน์ 96 ก�รรวบรวมขอ้ มลู ท�งออนไลน์ 96 เกรด็ คว�มรูใ้ นก�รท�ำ วิจยั 104 อภิธ�นศัพท์ 111 แบบฝึกหัดท�้ ยบทที่ 7 112 บรรณ�นุกรม 112 ภ�คผนวก 113 115 5
ตารางท่ี 1 สารบัญตาราง หนา้ ตารางที่ 2 ประเภทของก�รวจิ ัย วัตถุประสงคเ์ บอ้ื งต้น และลกั ษณะสำ�คัญ ตารางที่ 3 คุณลักษณะของสมมุติฐ�น 23 ตารางที่ 4 ขน�ดตัวอย�่ งจำ�แนกต�มค่�คว�มคล�ดเคลื่อน 49 ตารางที่ 5 ข้อดี ข้อเสียของก�รสุ่มตัวอย�่ งประเภทต�่ งๆ 59 เปรียบเทยี บระหว�่ งก�รวจิ ยั ท�งสงั คมศ�สตรแ์ ละก�รวิจยั 60 ตารางที่ 6 พฒั น�ก�รท�งเทคโนโลยี 64 ตารางที่ 7 ปญั ห�ก�รวิจยั ประเภทของข้อมลู และก�รทดสอบท�งสถิติ ตารางท่ี 8 วิธีก�รท�งสถติ ิ นอนพ�ร�เมตริก(Non-Parametric) 69 ข้อผิดพล�ดในก�รวิจัยและวิธีก�รหลกี เล่ียง 70 ภาพที่ 1 71 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 สารบัญภาพ ภาพท่ี 4 ภาพที่ 5 ค�ำ ถ�มที่น�ำ ไปสกู่ �รเริ่มตน้ ของก�รวจิ ัย 10 ภาพที่ 6 The General Research Framework 14 ภาพที่ 7 ภาพท่ี 8 ก�รแบ่งประเภทก�รวิจยั 21 ภาพที่ 9 ภาพท่ี 10 ศกึ ษ�ประสทิ ธิผลของก�รเรยี นก�รสอนแบบฐ�นสมรรถนะ 47 ภาพท่ี 11 ภาพท่ี 12 ศกึ ษ�ประสทิ ธผิ ลของวธิ กี �รสอนเกยี่ วกับคว�มส�ำ เร็จของ 47 ภาพท่ี 13 ภาพที่ 14 นักเรียนกบั ตวั แปรปรับ ภาพที่ 15 ก�รพัฒน�โมดุลสำ�หรบั ก�รเรียนก�รสอนวชิ �เขยี นแบบเทคนคิ 48 4 ขน้ั ตอนพนื้ ฐ�นส�ำ หรบั ก�รใชโ้ ปรแกรม SPSS วิเคร�ะห์ข้อมูล 67 ตวั อย่�งก�รสำ�รวจออนไลน์แบบอีเมล 97 ตวั อย่�งก�รสำ�รวจแบบกระด�นข่�ว 98 ตวั อย�่ งรูปแบบฟอรม์ ก�รสำ�รวจแบบ HTML 99 ตัวอย่�งก�รใช้ web – fixed form 100 ตวั อย�่ งเครอื่ งมือบ�งสว่ นของ Web-customized interactive 101 ตวั อย่�งของแบบ Downloadable Surveys 101 ก�รสมั ภ�ษณอ์ อนไลน์ 104 ตวั อย่�งของก�รสร้�งก�รแสดงผลก�รวเิ คร�ะหข์ ัน้ สงู 109 6
��������ลักษณะสำ�คัญและเครื่องมือการวิจัย บทท่ี 1 ความหมายของการวจิ ัย ลกั ษณะสำาคัญของการวจิ ัย สมรรถนะและทกั ษะทีจ่ ำาเป็นในการวจิ ัย ข้นั ตอนของการวิจัยโดยยอ่ 7
วัตถุประสงค์ การศกึ ษาบทนผี้ ู้อา่ นจะสามารถ อธบิ ายความหมายของการวิจัยการจัดการอาชีวศกึ ษาและฝกึ อบรมวชิ าชพี บอกลกั ษณะสำคัญของการวจิ ัย บอกความรู้ความสามารถและทกั ษะทจ่ี ำเป็นสำหรับการวิจยั บรรยายขัน้ ตอนของการวจิ ยั โดยย่อ อธิบายความสำคญั ของการทำวจิ ยั ระบุปญั หาทต่ี อ้ งการวิจัย 8
1.�ความหมายของการวิจัย�(Definition�of�Research) หลงั จ�กอ่�นจบบทน้ี บ�งท่�นอ�จ ร้สู ึกสับสนกับคว�มหม�ยของ “ก�รวิจัย” ซง่ึ อ�จเปน็ เพร�ะท่�นคุน้ เคยกับก�รใช้คำ�นี้ใน คว�มหม�ยปกติธรรมด�อย่�งทีเ่ คยปฏบิ ัติ ม�โดยยังไม่ได้คำ�นึงถึงกับคว�มหม�ยที่แท้ จรงิ ของก�รวิจัย โดยทัว่ ไป ก�รวิจยั หม�ยถงึ ก�รคน้ คว�้ ห�คำ�อธิบ�ยท่ีชัดเจนจ�กปร�กฏก�รณ์ท่ีเร� ศกึ ษ� หรอื เป็นก�รห�วธิ ีก�รแก้ปัญห�ท่มี ีอยู่ใน สถ�นท่ีท�ำ ง�นหรือสงิ่ แวดล้อม อันจะนำ�ไปสู่จดุ ท่เี ปน็ แกนหลักของก�รวจิ ยั ทเ่ี ป็นปัญห�นนั้ ใน ที่น้ีเพื่อให้เข้�ใจคว�มหม�ยของก�รวิจยั ได้ดี ยง่ิ ขนึ้ เปน็ ก�รดีทีส่ ดุ ท่ีจะอธบิ �ยให้เหน็ ว�่ อะไรใช่หรือไม่ใชก่ �รวิจัย โดยขอใหท้ ่�นลองศึกษ�ส�มกรณีตอ่ ไปนี้ (CPSC, 1984) แลว้ คดิ ว่�กรณไี หนเป็นง�นวจิ ัยหรอื ไม่ ð อเลก็ ซานเดอร์ (Mr. Alexander) ได้ค้นคว้าและจดั ทำาเป็นโมดลู สาำ หรับการเรียนการสอน หลังจากทบทวนวรรณกรรมเกีย่ วกับเรื่องนีท้ ีม่ ีอยู่ในหอ้ งสมุดของมหาวิทยาลัยและเรียกมัน วา่ เป็นงานวิจยั ชน้ิ หนงึ่ ของเขา ð ฮัน (Mr. Sohan) ได้ทาำ การสำารวจและจัดทาำ เอกสารรายงานที่ใหข้ อ้ มูลเกี่ยวกับอายุ ภมู ิหลังการสอนและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมของครูชา่ งในรฐั ของเขา ð ไซมัน (Ms. Siman) จัดอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ ารเร่ืองการพฒั นาหลกั สูตรและการจัดทาำ สงิ่ ที่เธอ เรยี กวา่ รายงานการวจิ ยั เกี่ยวกบั หลักสูตรสำาหรับช่างคอมพวิ เตอร์ เธอไดจ้ ดั ทำาโดยการ สาำ รวจเกี่ยวกบั เรื่องนีแ้ ละโดยการสนทนากับผูเ้ ข้าร่วมการประชมุ เชิงปฏบิ ตั กิ าร จ�กบริบทข้�งตน้ จะพบว�่ ท้ังส�มกรณียังไมเ่ ปน็ ง�นวจิ ยั เร�ลองม�พิจ�รณ� และทำ�คว�มเข�้ ใจในแตล่ ะกรณี 9
กรณแี รก เรือ่ งน้ี ถ้�อเลก็ ซ�นเดอร์ ไดท้ �ำ ก�รทดสอบประสทิ ธิภ�พของโมดูลที่เข� จดั ท�ำ ขน้ึ ผ�่ นวธิ กี �รท�งวทิ ย�ศ�สตร์ จงึ จะเรยี กไดว้ �่ ผลง�นน้ี เปน็ ผลง�นวจิ ยั ชน้ิ หนง่ึ ของเข� กรณีท่ีสอง ถ้�ฮันได้ทำ�ก�รวิเคร�ะห์ห�คว�มสัมพันธ์ระหว่�งข้อมูลทีไ่ ด้ม�ท้ังอ�ยุ ภูมหิ ลงั ก�รสอน และประสบก�รณ์ในอตุ ส�หกรรมของครูช�่ งกับคุณภ�พของก�รเรียน ก�รสอน ทศั นคตขิ องพวกเข�หรอื ผลสมั ฤทธท์ิ �งก�รเรยี นของนกั เรยี น จงึ จะถอื ว�่ เข�ได้ ท�ำ ก�รวจิ ยั กรณที ส่ี าม ถ�้ ไซมนั ไดด้ ำ�เนินก�รก�รตรวจสอบคว�มสอดคลอ้ งของหลกั สูตร พัฒน� ช่�งเทคนิคดังกล่�วกับคว�มต้องก�รของง�นโดยเก็บรวบรวมข้อมูลอย่�งมีระบบจ�กภ�ค ก�รจ�้ งง�น ทำ�ก�รวเิ คร�ะหข์ ้อมูลและแปลคว�มหม�ย จึงจะถอื ว่�ร�ยง�นของเข�เป็น ร�ยง�นก�รวจิ ยั เมื่อได้วิเคร�ะหต์ วั อย�่ งทัง้ ส�มแลว้ เร�จะเข�้ ใจไดว้ �่ ก�รวจิ ยั คอื อะไร? ก�รวจิ ัยคอื วธิ ีก�รทเี่ ร� ด�ำ เนนิ ก�รแก้ปญั ห� ท่ีย่งุ ย�กทเี่ กดิ ขึ้นในทที่ �ำ ง�นหรอื ในสภ�พแวดล้อมของเร�อย�่ งเปน็ ระบบ มี คว�มเชื่อถือได้ โดยพย�ย�มใหเ้ กดิ คว�มรู้ใหม่ ตอบปญั ห�คว�มย่งุ ย�กน้ัน หรือเป็นก�รแก้ “ปุม่ ปม” ท่ีไมม่ ีค�ำ ตอบม�ก่อนน้ี (Leedy, 1980) 2.�ลักษณะสำ�คญั ของการวจิ ยั �(Characteristics�of�Research) ก�รวจิ ัยมคี ณุ ลกั ษณะเด่นแตกต่�งจ�กก�รจดั กิจกรรมท�งก�รศกึ ษ�อ่ืนๆ ซง่ึ ลักษณะ ต�่ งๆทจ่ี ะกล่�วถึงตอ่ ไปนีจ้ ะชใ้ี หเ้ ห็นถึงคว�มหม�ยและวิธกี �รของก�รวิจัย 2.1การวิจัยเรมิ่ ต้นด้วยคำาถามที่ทา้ ทายนักวิจยั ท่�นลองมองไปรอบๆจะพบว่�มีคำ�ถ�มม�กม�ยทีย่ ังไม่มีคำ�ตอบในสถ�นก�รณ์ปัจจุบัน ของ”ก�รจดั ก�รอ�ชีวศึกษ�และฝึกอบรมวชิ �ชพี ” ลองเปรียบเทียบสง่ิ เหล่�นน้ั กบั สงิ่ ที่เปน็ อดุ มคตหิ รือสง่ิ ทค่ี วรจะเป็น แลว้ พจิ �รณ�ดูช่องว�่ งระหว�่ ง “เป็นอะไร” “ควรจะเป็นอะไร” ซึ่ง นำ�ไปสูค่ ำ�ถ�มต่อไปว่�”ท�ำ ไม” “ส�เหตเุ กิดจ�กอะไร” “จะตอ้ งท�ำ อะไร” และ”หม�ยคว�มว่� อย่�งไร” ค�ำ ถ�มเหล�่ นจ้ี ะนำ�ไปสูก่ �รเรมิ่ ตน้ ของก�รวจิ ัย สถานการณท์ ่ีคาดวา่ จะเกิดขึ้น (ควรจะเป็นอะไร) ช่องว่าง(ความแตกตา่ ง) ภาพท่�ี 1�� สถานการณ์ปจั จุบนั (เปน็ อะไร) คำ�ถามทน่ี ำ�ไปสู่ การเริ่มต้นของ การวิจัย 10
2.2 ระบปุ ญั หาการวจิ ัยได้อย่างชัดเจน ไมค่ ลมุ เครอื หนึง่ ในขั้นตอนสำ�คัญของก�รวิจัยคือท่�นต้องใช้เวล�ม�กพอสมควรในก�รพย�ย�มระบุ ปญั ห�ท่แี ทจ้ ริงท่ีตอ้ งก�รห�คำ�ตอบใหช้ ดั เจน ไม่คลมุ เครือ ไม่สบั สน ซึ่งถอื ว่�จะช่วยให้ก�ร วจิ ยั ดำ�เนินก�รไปอย่�งร�บรน่ื ตลอดรอดฝัง่ ก�รกำ�หนดปญั ห�ที่ถูกตอ้ งจะช่วยให้ค�ดก�รณผ์ ลของก�รศกึ ษ� ชว่ ยในก�รตงั้ สมมุติฐ�นก�ร วิจยั (Sevilla, et al., 1984,2000) ก�รค�ดก�รณเ์ หล่�นี้ ม�ได้หล�ยท�ง อ�ทิเช่นม�จ�ก ข้อมูล จ�กก�รสงั เกต หรอื แม้แตค่ ว�มเชือ่ เปน็ ตน้ ซึ่งส่ิงเหล�่ นถี้ ือเปน็ ก�รค�ดเด�เบือ้ งต้น 2.3 การวจิ ัยจะตอ้ งมีการวางแผน ดังทรี่ อู้ ยวู่ �่ ก�รวจิ ยั ตอ้ งทำ�อย�่ งเปน็ ระบบ จงึ จำ�เป็นอย่�งยง่ิ ท่ีตอ้ งมีแผนทเ่ี ปรยี บเสมือน “พิมพ์เขยี ว” นำ�ท�งก�รด�ำ เนนิ ง�นอย�่ งเปน็ ข้นั เป็นตอนที่สมั พนั ธ์กัน มีลำ�ดบั ก่อนหลงั ต�ม กนั ม�ไมใ่ หห้ ลุดจ�กกรอบเพ่ือให้ไดผ้ ลตรงกับวัตถุประสงค์ของก�รวิจัยทต่ี งั้ ไว้ ในแผนหรอื โครงร�่ งก�รวจิ ัยจะต้องระบสุ ่งิ ตอ่ ไปนี้คือ“ทำ�ไม”ต้องทำ�วจิ ยั เรื่องนี้ มคี ว�มสำ�คัญ อย�่ งไร ตอ้ งก�รจะแกป้ ญั ห�อะไร ตัง้ สมมตฐิ �นไว้เพ่ือทดสอบคอื อะไร ออกแบบวจิ ัยแบบใด ใช้วธิ ีก�รท�งวจิ ัยอย�่ งไร 2.4 งานวิจยั อยบู่ นพ้นื ฐานของขอ้ เทจ็ จริง จ�กลกั ษณะดังกล่�วข้�งตน้ ทีอ่ ธิบ�ยทิศท�งของก�รวิจยั แล้ว ข้นั ตอนตอ่ ไปคอื ก�รเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูลซึง่ จะตอ้ งพึงระวังเสมอว�่ ขอ้ มลู ที่จะเก็บรวบรวมนน้ั ข้ึนอยกู่ บั ข้อเทจ็ จริง ที่ส�ม�รถตอบปญั ห� ขอ้ ค�ำ ถ�มไดอ้ ย�่ งสอดคล้องและเหม�ะสม เพอ่ื อธบิ �ยและแปลผลได้อย�่ งมีคณุ ค�่ และถกู ตอ้ ง 2.5 งานวิจยั กอ่ ใหเ้ กิดคาำ ถามต่อไป ผลก�รวจิ ยั อ�จนำ�ไปสู่ปัญห�อ่นื ท่สี �ม�รถด�ำ เนินก�รวิจัยไดอ้ ย�่ งตอ่ เนอื่ งต่อไป แสดงให้เห็น ว่�ก�รวิจัยเป็นกระบวนก�รที่ส�ม�รถดำ�เนินก�รวิจัยได้ไม่มที ี่ส้ินสดุ นอกจ�กนยี้ งั มลี ักษณะ อืน่ ๆ ของก�รวิจยั ทีร่ วบรวมไวด้ ังนี้ - การวิจยั คอื การคน้ หาขอ้ เทจ็ จริงเชงิ วิชาการ ก�รวจิ ยั เปน็ วธิ กี �รของก�รคดิ ดงั ท่ี Kerlinger (1973) ไดก้ ล�่ วไวว้ �่ ก�รวจิ ยั เปน็ ก�รด�ำ เนนิ ก�ร อย่�งมรี ะบบ มกี �รควบคมุ ก�รตรวจสอบขอ้ เท็จจริงเชิงประจกั ษ์ มกี �รตั้งสมมตฐิ �นและ ทดสอบ เป็นก�รห�คว�มสัมพันธ์ระหว่�งเหตทุ ่ีเกิดขึน้ กล�่ วอย่�งสน้ั ๆว่�ก�รวจิ ยั เป็นกระบวน ก�รท�งวิทย�ศ�สตร์ที่ใช้ค้นห�ข้อมลู ที่เป็นข้อเท็จจริงใหม่ๆรอบตัวเร�ซ่ึงบ�งครัง้ เร�อ�จไม่ เคยคดิ ว่�ไมส่ �ม�รถคน้ พบได้ 11
- การวจิ ยั เป็นการสรา้ งข้อมูลทถี่ ูกตอ้ ง ก�รวจิ ัยจะชว่ ยรวบรวมคว�มรูใ้ หม่ หรือขอ้ มูลซ่งึ เมือ่ วิเคร�ะห์และแปลผลแลว้ ส�ม�รถ น�ำ ม� ใช้เพอ่ื วตั ถุประสงค์ต่�งๆได้อย�่ งหล�กหล�ย - การวจิ ัยสามารถช่วยในการตัดสนิ ใจ ผลก�รวจิ ยั ช่วยใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่ีถูกตอ้ งในก�รตัดสนิ ใจของบุคคลในองค์กรทุกระดับ เช่นเดียวกับ ในก�รจดั ก�รอ�ชวี ศกึ ษ�และฝกึ อบรมวชิ �ชีพ ผู้บริห�ร ครู หรอื ผู้ทีเ่ ก่ยี วข้องส�ม�รถนำ�ผล ก�รวิจยั ไปพิจ�รณ�ประกอบก�รตดั สินใจในสถ�นก�รณต์ ่�งๆในโครงก�รหรือ กจิ กรรมทร่ี ับ ผดิ ชอบ ก�รวิจัยเป็นคว�มรับผิดชอบในหน�้ ทแ่ี ละตอ่ สถ�บนั ก�รวจิ ัยคือเครอื่ งมอื ท่ีจะชว่ ย ตอบค�ำ ถ�มต�่ งๆ ในสถ�นศกึ ษ� เชน่ ผบู้ ริห�ร สถ�นศกึ ษ�มหี น�้ ที่ต้องห�วิธแี กป้ ญั ห�ทีอ่ �จ จะเป็นอปุ สรรคต่อก�รทำ�ง�นใหบ้ รรลวุ ิสยั ทัศน์และพนั ธกิจ กล�่ วคือ ก�รวิจยั เปน็ ปจั จยั ทนี่ ำ� ไปสกู่ �รพัฒน� - การวิจัยคือผลลพั ธข์ องการทาำ งาน อยา่ งเป็นเหตุและเป็นผล ก�รวิจยั ทำ�ให้เร�เข�้ ถงึ และมองเข้�ไปในปัญห� ไดโ้ ดยอย�่ งเปน็ เหตุและเป็นผล ทำ�ให้ส�ม�รถแกไ้ ข ปัญห�ในง�น ในสภ�พแวดล้อมไดถ้ ูกจดุ น�ำ ไปส่กู �ร ปรับปรงุ สภ�พก�รทำ�ง�นได้อย�่ งเป็นเหตแุ ละเป็นผล - การวิจยั มจี ดุ มงุ่ หมาย ก�รวิจยั มีจุดม่งุ หม�ยเพื่อท�ำ ใหเ้ กดิ สิ่งท่ถี ูกตอ้ ง และมีก�รพัฒน�คุณภ�พชวี ิต (Calderon and Gonzales, 2008) 3.สมรรถนะและทักษะที่จำ�เป็นในการวิจัย�� (Competencies�and�Skills�Needed�in�Research) ในก�รแสวงห�คำ�ตอบที่เปน็ เป�้ หม�ยสงู สดุ เพื่อค้นห�คว�มจริงของก�รวจิ ยั ท�่ นจ�ำ เป็นต้องมี สมรรถนะท�งคว�มส�ม�รถและทกั ษะทีจ่ ำ�เป็นในก�รทำ�วิจยั ดว้ ยเหตุผลดังนี้ 12
1 การวจิ ัยขึน้ อยูข่ อ้ มูล ขอ้ เท็จจริงจำานวนมากทจี่ ะต้องอาศยั การคน้ คว้า จากหอ้ งสมุด ท่านมีทกั ษะเหลา่ นีห้ รอื ไม่ ðมีทกั ษะก�รใช้หอ้ งสมดุ ðส�ม�รถห�ขอ้ มูลที่ตอ้ งก�รไดใ้ นเวล�ที่จ�ำ กัด ðมีทกั ษะก�รใชบ้ ัตรร�ยก�ร (ห�กเป็นระบบเดมิ ) ðมีทักษะก�รใช้คอมพิวเตอรแ์ ละสิง่ อ�ำ นวยคว�มสะดวกในก�รคน้ คว�้ ในหอ้ งสมุด ðตระหนกั ถงึ กฎและระเบยี บทกี่ �ำ หนดในก�รจดั ก�ร และก�รใช้ห้องสมดุ 1 คอมพวิ เตอรม์ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การดาำ เนนิ ชวี ติ และในการวจิ ยั อยา่ งหลกี เลย่ี ง ไม่ไดท้ ีน่ กั วจิ ัยควรมีทักษะ ดังน้ี ðส�ม�รถใชค้ อมพวิ เตอรส์ �ำ หรบั คน้ คว�้ ก�รประมวลขอ้ มูล ก�รใช้โปรแกรม สำ�หรับก�รคำ�นวณท�งสถิติหรอื สำ�หรบั ก�รจัดเก็บขอ้ มูล รวมทัง้ ก�รสร�้ ง ต�ร�งและกร�ฟกิ ต่�งๆ เป็นตน้ ðส�ม�รถใชเ้ ทคโนโลยีส�รสนเทศและก�รสอ่ื ส�ร (ICT) ในก�รค้นคว�้ จ�ก เวบ็ ไซตต์ �่ งๆและในก�รเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ออนไลน์ ðมคี ว�มรใู้ นก�รค้นคว�้ ข้อมลู จ�กอนิ เตอรเ์ นต็ รวมทงั้ ก�รใชอ้ เี มลในก�รสอ่ื ส�ร 1 เน่อื งจากการวิจัยเกีย่ วข้องกบั การรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ เท็จจรงิ จงึ จาำ เปน็ ทตี่ อ้ งมคี วามรูท้ ักษะดา้ นสถิติและการวัดทเี่ กี่ยวขอ้ ง ดังนี้ ðส�ม�รถจ�ำ แนกขอ้ มูล ðส�ม�รถในก�รใชเ้ ครอื่ งมอื ท�งสถติ ทิ ีเ่ หม�ะสมในก�รประมวลผลขอ้ มูลและ ตอบค�ำ ถ�มก�รวจิ ัย ðส�ม�รถก�ำ หนดขน�ดของตัวอย่�งจ�กประช�กร ðส�ม�รถใชโ้ ปรแกรมประมวลผล เช่น โปรแกรม \"SPSS\" หรอื โปรแกรมอนื่ ใน ก�รประมวลผล และก�รเลือกใชว้ ิธีท�งสถติ ิ 1 ทกั ษะการส่ือสารทง้ั ในรูปแบบการพดู และเขยี น ดงั น้ี ðส�ม�รถในก�รสร้�งเคร่อื งมือใชใ้ นก�รวจิ ยั เช่น ก�รสร�้ งแบบส�ำ รวจ แบบประเมนิ แบบสอบถ�มหรอื แบบสมั ภ�ษณ์ (ค�ำ ถ�มทจ่ี ะถ�ม และวธิ คี ดิ ) เปน็ ตน้ ðส�ม�รถจัดท�ำ โครงร�่ งก�รวจิ ัย เขยี นร�ยง�นก�รวิจยั ท่ีสมบรู ณ์ ถกู ต้อง สอื่ คว�มหม�ยได้ชดั เจน ðส�ม�รถนำ�เสนอโครงร�่ งหรอื ขอ้ เสนอก�รวิจยั ร�ยง�นก�รวิจยั ก�รวิจยั ควรอธิบ�ยสง่ิ ทท่ี �่ นจะท�ำ หรอื ไดท้ �ำ ไดอ้ ย�่ งชดั เจนและแมน่ ย�ำ ซง่ึ หม�ยคว�มว�่ จะตอ้ งมีทักษะในก�รตีคว�ม และก�รสื่อส�รท่ดี ี 13
4.�ขั้นตอนของการวิจัยโดยย่อ�������� �(Research�Process�at�a�Glance) ดงั ไดอ้ ธบิ �ยแลว้ ข้�งต้นจะเหน็ ว�่ ก�รวิจัยมีข้ันตอนในก�รดำ�เนินก�รเรมิ่ ตง้ั แตก่ �รเลือกปัญห� ก�รก�ำ หนดกรอบแนวก�รคิดก�รวจิ ัย จ�กทฤษฎที ่ีเกีย่ วข้องก�รออกแบบก�รวจิ ยั และอธิบ�ย วธิ กี �รวิจัย ก�รรวบรวมขอ้ มูล ก�รวเิ คร�ะห์และแปลผล และก�รสรปุ ผลก�รวิจัย ภ�พที่ 2 แสดงใหเ้ ห็นถึงกระบวนทัศน์ (paradigm) ขั้นตอนในก�รท�ำ วิจัย (ดดั แปลงม�จ�กขอ้ เขียนของ IluminadaG.Espino,PH.D.) 14
ภ�พของกระบวนทัศน์ของก�รวิจัยข้�งต้นแสดงให้เห็นว่�ผู้วิจยั จะต้องกำ�หนดปัญห�ก�ร วจิ ยั จ�กสถ�นก�รณ์หรอื สภ�พแวดลอ้ มในก�รจดั ก�รอ�ชีวศกึ ษ�และฝึกอบรมวิช�ชพี (Technical and Vocational Education and Training - TVET) ก็เชน่ เดยี วกนั มีสภ�พ ก�รณท์ ีจ่ ะก่อให้เกิดปญั ห�ทีจ่ ะต้องท�ำ ก�รวิจัย(รวมทั้งปัญห�ยอ่ ย) ซ่งึ จ�กนน้ั จะดำ�เนนิ ก�ร ทบทวนวรรณกรรมและง�นวิจยั ที่เกี่ยวข้องทีจ่ ะช่วยกำ�หนดกรอบแนวคิดและนำ�ไปสูก่ �รต้ัง สมมตุ ิฐ�น ก�รออกแบบก�รวิจัย ก�รเลอื กวิธกี �รวิจยั วธิ ีก�รรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี หม�ะสมที่มี ผลต่อก�รประมวลผล ก�รแปลผล ต่อเนอ่ื งไปถงึ ก�รสรปุ ผลก�รวิจยั และจัดทำ�ขอ้ เสนอแนะ และดงั ที่ได้กล�่ วไวก้ ่อนหน�้ นวี้ ่�ก�รวจิ ัยกอ่ ใหเ้ กดิ ค�ำ ถ�มเพ่ือก�รวจิ ยั อนื่ ทีต่ อ่ เนือ่ งต่อไป ดัง ในภ�พที่ 2 ท่ีมลี กู ศรช้หี ลังจ�กก�รสรปุ ผลกลบั ไปยังจดุ เร่มิ ตน้ และเป็นสจั ธรรมที่ก�รวิจยั เกดิ จ�กสถ�นก�รณห์ รือสภ�พแวดลอ้ มที่เปน็ แหล่งของปญั ห� สถ�นก�รณ์ หรือสภ�พแวดล้อม น้ันน�ำ ไปสปู่ ัญห�อืน่ อีกท�ำ ให้มกี �รวิจยั เกิดขน้ึ ไม่มีทสี่ น้ิ สดุ ดังน้ันก�รวิจยั จึงถือว�่ เป็นวงจร กจิ กรรมซ่ึง “เปน็ กระบวนก�รทีไ่ มม่ ีทีส่ ิน้ สุด” สิง่ ที่น�่ สนใจนอกจ�กนนั้ คอื เมอ่ื พจิ �รณ�สองขอ้ คว�มในรูปภ�พกระบวนทัศนด์ ังกล�่ วจะ เหน็ ว�่ ในตอนแรกท่�นอ�จตอ้ งอ�ศัยแนวคิดท่ีม�จ�กส�มญั สำ�นกึ (common sensing) แตเ่ มอ่ื ส�ม�รถระบุปัญห�ท่ีต้องก�รทำ�วจิ ัยและเข�้ สกู่ ระบวนก�รวิจัย จนได้ข้อค้นพบแล้ว สง่ิ ที่ค้น พบจ�กก�รทำ�วจิ ัยไม่ได้ทำ�ให้ส�มญั ส�ำ นึก ในตอนแรกน้นั ห�ยไป แตอ่ �จจะลดลงเพร�ะก�ร ท�ำ วจิ ยั ชว่ ยให้เร�อธิบ�ยสิ่งต่�งๆได้อย่�งเปน็ เหตุเปน็ ผลม�กข้นึ 15
เกรด็ ความรใู้ นการทำ�วจิ ยั �(Practical�Research�Tips) โดยทว่ั ไปมขี อ้ สังเกตวา่ ผบู้ ริหาร ครู นักเรยี นในการจัดการอาชีวศึกษาและฝกึ อบรม วิชาชีพสว่ นใหญ่คดิ วา่ การระบุปัญหาที่จะดาำ เนินการวิจัยเป็นเรอ่ื งยาก ลองมา ดูคำาแนะนำาต่อไปนีซ้ ึ่งจะช่วยในการระบุหัวข้อวิจัยเพือ่ ดำาเนินการวิจัยให้ได้ตาม วตั ถปุ ระสงค์ » ควรศึกษาวิทยานพิ นธใ์ นระดบั ปริญญาโท และปริญญาเอก จากแหล่งต่างๆ ทีม่ ปี ญั หาในสถานการณค์ ลา้ ยคลึงหรอื เกีย่ วข้อง » ควรอ่านเอกสารต่างๆเก่ียวกับแนวโน้มและประเดน็ ปญั หา ในปัจจบุ ัน ซึง่ อาจเปน็ แหลง่ ที่มาของความคดิ ในการวิจยั เช่น อ่านหนงั สือพมิ พ์ นิตยสาร และวารสารตา่ งๆ » ควรมกี ารสัมภาษณผ์ ู้ร้ใู นการจัดการอาชีวศกึ ษาและฝกึ อบรม วิชาชีพ เพ่อื ใหไ้ ด้ขอ้ มลู เชิงลกึ ซงึ่ อาจนำามาสูก่ ารทาำ การวิจยั ทีเ่ ป็นประโยชน์ช่วยแกป้ ญั หาทม่ี อี ยู่ ควรอ่านคาำ กล่าว คำาวจิ ารณ์ รายงานพเิ ศษ นโยบาย เร่ืองราวตา่ งๆ ที่เกี่ยวขอ้ งจะเปน็ ข้อมูลส่กู ารทาำ การวิจัยเชน่ กนั 16
อภธิ านศัพท์(Glossary) ทใี่ ช้ในการวิจยั สมมตฐิ �น (Hypothesis/es) ข้อคว�มทีค่ �ดคะเนผลของก�รวิจยั โดยอ�ศัยขอ้ มลู ที่ ได้จ�กก�รทบทวนเอกส�รวรรณกรรมที่เกย่ี วขอ้ ง จ�กก�รสังเกต หรอื แหลง่ ข้อมูลท่นี �่ เชอ่ื ถือ สมมตฐิ �นน้ี เปน็ ก�รค�ดเด�เบื้องต้นเท�่ นั้น ปญั ห�(Problem) ปัญห�ท�งก�รวจิ ัยหม�ยถงึ ข้อคว�มที่เป็นเงอ่ื นไขหรือ สภ�วะในสถ�นทที่ ำ�ง�นหรือในสภ�พแวดล้อมที่ต้องก�ร ท�ำ วจิ ยั เพื่อปรบั ปรุงหรอื เพื่อก�รพฒั น�อย�่ งหน่ึงอย�่ งใด ก�รวิจยั (Research) กระบวนก�รในก�รแก้ปัญห�ทเ่ี กดิ ขนึ้ สถ�นท่ีท�ำ ง�น หรือในสภ�พแวดล้อมโดยก�รแสวงห�คว�มรูใ้ หม่อย่�ง มรี ะบบหรอื คำ�ตอบของปญั ห�น้นั Kerlinger (1973) ไดใ้ หค้ ว�มหม�ยของก�รวจิ ัย คอื กระบวนก�รห�คว�มรู้ คว�มจรงิ ใหมอ่ ย�่ งเปน็ ระบบอ�ศยั หลักเหตุและผล ท่ีรอบคอบ มีก�รตรวจสอบข้อเท็จจริงเชงิ ประจกั ษ์ และทดสอบสมมตฐิ �นทีจ่ ะใช้แกป้ ัญห�ในสถ�นทท่ี �ำ ง�น หรือในสภ�พแวดล้อม 17
แบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 1 (Practical Application) 1. โปรดพจิ �รณ�ว�่ ขอ้ คว�มทอ่ี ธบิ �ยเกย่ี วกบั ง�นของครอู �ชวี ศกึ ษ�ตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ขอ้ คว�ม ท่ีเกยี่ วข้องกับก�รวิจยั หรือไม่ โดยก�เครือ่ งหม�ย ในชอ่ ง “ใช่ “ หรอื “ไมใ่ ช”่ ใน ช่องที่ กำ�หนด ข้อความนเ้ี กยี่ วข้องกับการวิจยั หรือไม่ ใช่ ไม่ใช่ 1. กิตตจิ ดั ทำ�ใบตรวจสอบร�ยก�รอุปกรณ์ในโรงฝึกง�น 2. บอ๊ บพฒั น�ชุดก�รเรียนรู้ในก�รแกไ้ ขปญั ห�คอมพิวเตอร์ 3. ฟ�ริด�ไดท้ �ำ ก�รทดลองวิธีก�รสอน 2 วธิ ี โดยห�ประสทิ ธภิ �พ และตคี ว�มผลต�ม สมมติฐ�นที่ตง้ั ไว้ 4. ม�รลิ ีนไดจ้ ดั ท�ำ โปรแกรมก�รฝึกอบรมสำ�หรบั ช�่ งครจู �กท่ไี ด้ศกึ ษ�ตวั อย�่ งเอกส�ร ก�รฝกึ อบรมและตวั อย่�งท่ีเกี่ยวข้องและวรรณกรรมจ�กหอ้ งสมดุ 5. พีโดรไดท้ ำ�ก�รห�คว�มสมั พันธ์ระหว่�งทกั ษะของผสู้ ำ�เร็จอ�ชีวศึกษ�กบั ทักษะกับ ที่อตุ ส�หกรรมตอ้ งก�ร 2. โปรดให้เหตผุ ลม� 5 ขอ้ ว่�ทำ�ไมก�รวจิ ยั จึงมคี ว�มส�ำ คัญในก�รจดั ก�รอ�ชีวศกึ ษ�และ ฝึกอบรมวชิ �ชีพ __________________________________________________________ __________________________________________________________ __________________________________________________________ _________________________________________________________ _________________________________________________________ _________________________________________________________ _________________________________________________________ _________________________________________________________ _________________________________________________________ 3. โปรดอธบิ �ยปญั ห� 2 ปญั ห� ที่ตอ้ งก�รวิจยั ในก�รจัดก�รอ�ชีวศึกษ�และฝึกอบรมวิช�ชีพ โดยอ�จระบสุ ถ�นก�รณ์ในรปู แบบของค�ำ ถ�ม ก. ข. …………………………. 18
����������������ประเภทของการวิจัย บทท�่ี 2 ประเภทของการวิจยั ��แบง่ ตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย n การวิจัยพ้ืนฐาน n การวจิ ัยประยกุ ต์ n การวจิ ัยเชิงปฏิบตั ิการ n การวิจยั เชิงพฒั นา������������������������ � � � � � �����แบง่ ตามวิธีวจิ ัย��� n การวจิ ยั เชิงประวตั ิศาสตร�์ n การวจิ ยั เชงิ พรรณนา 19
วัตถุประสงค์ การศึกษาบทน้ีผูอ้ ่านจะสามารถ จำแนกประเภทของการวจิ ัยตามวตั ถุประสงคแ์ ละวธิ วี จิ ยั อธบิ ายประเภทของการวจิ ยั โดยสังเขป บอกความแตกต่างระหว่างการวิจยั เชงิ คุณภาพและเชิงปรมิ าณ ตดั สินใจเลือกประเภทของการวิจัยทจี่ ะดำเนินการบนพ้นื ฐานของปญั หา การวจิ ยั และข้อมลู ทีม่ ีอยู่ 20
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ก�รแบ่งประเภทของก�รวิจัย มี 2 วิธี คือ แบ่งต�มวัตถุประสงค์ของก�รวิจัย และแบง่ ต�มระเบยี บวธิ ีของก�รวจิ ยั ภ�พที่ 3 ข�้ งล่�ง แสดงใหเ้ ห็นถึงวธิ ีก�รท้งั สองของก�ร แบง่ หมวดหมกู่ �รวิจยั การวิจยั เชงิ พฒั นา กรณีศึกษา ทางชาตพิ นั ธ์ุ เชงิ สำารวจ การวิจัยเชิงปฏิบัตกิ าร เชิงคณุ ภาพ เชิงปรมิ าณ เชิงสหสมั พนั ธ์ เชิงย้อนรอย เชงิ ประวัตศิ าสตร์ เชงิ พรรณนา เชิงทดลอง ออนไลน์ การวิจยั ประยุกต์ การวจิ ยั พื้นฐาน แบง่ ตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย แบง่ ตามระเบียบวิธวี ิจัย ประเภทของการวจิ ยั ภาพท่ี 3 ก�รแบ่งประเภทของก�รวจิ ยั 1. การแบ่งประเภทการวิจยั ตามวัตถปุ ระสงค์(Research Based on Purpose) 1.1 การวิจัยพ้ืนฐาน (Basic Research) หรอื บ�งครง้ั เรยี กว�่ ก�รวจิ ยั บริสุทธิ์ (Pure Research) คอื ก�รศึกษ�เพอื่ พัฒน�และองคป์ ระกอบ รวมถึงทดสอบทฤษฎตี ่�งๆเพอ่ื เพิ่มพนู คว�มรู้ใหก้ ว�้ งขว�ง แต่ไม่ได้มุ่งหวงั ในก�รแก้ไขปญั ห�อย�่ งเรง่ ด่วน โดยปกติแลว้ มกั จะดำ�เนนิ ก�รในหอ้ งทดลอง ตวั อย่าง: 1. ก�รศกึ ษ�ศักยภ�พก�รใช้ LED เพือ่ แสงสว�่ งในห้องเรยี น 2. ก�รศกึ ษ�ผลกระทบท�งด�้ นพฤตกิ รรมขณะปฏบิ ัติง�นระยะสิ้นสดุ โครงก�ร ของนักเรยี นช่�งเม่ือได้ฟงั เพลงร็อค/ป๊อบ จ�กตัวอย�่ งจะเห็นได้ว�่ ก�รวิจัยไม่ได้มีจดุ ประสงคเ์ พ่อื แกป้ ัญห�เร่งด่วน แตข่ อ้ ค้น พบจ�กก�รวิจัยจะถกู รวบรวมไวเ้ ป็นพ้ืนฐ�นท�งทฤษฎี 1.2 การวิจยั ประยกุ ต์ (Applied Research) คอื ก�รวิจัยทน่ี ำ�คว�มรู้ไปใช้จริง เปน็ ก�รแสวงห�คว�มรู้เพื่ออธบิ �ยปัญห� ทดสอบทฤษฎี ต่�งๆ เพื่อประเมินประโยชน์ท�งก�รพัฒน�ง�นด้�นก�รศึกษ� ก�รจัดก�ร และสิ่งที่ คล�้ ยคลึงกัน 21
ตัวอย่าง : 1. ศึกษ�ปจั จัยทด่ี ึงดูดนกั เรยี นใหเ้ ข�้ ศกึ ษ�ตอ่ ประก�ศนยี บัตรวชิ �ชพี ช้นั สงู 2. เปรยี บเทยี บประสิทธิผลของวธิ ีสอน แนวคดิ ทเี่ ปน็ รปู ธรรม 2 วธิ ี ส�ำ หรับวิช�อเิ ลก็ ทรอนิกสพ์ น้ื ฐ�น จ�กตัวอย่�งทัง้ สองจะเหน็ ชดั เจนว�่ ก�รวิจยั ประยุกตม์ วี ัตถุประสงคแ์ กไ้ ขปญั ห�ในท�ง ปฏิบตั ิหรือทดสอบทฤษฎเี พ่ือประเมนิ ผลและอ�จใชใ้ นก�รแสวงห�วิธีก�รด�ำ เนนิ ง�นที่ดที ่สี ดุ 1.3 การวจิ ยั เชิงปฏิบตั กิ าร (Action Research) คอื ก�รวจิ ัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั วธิ ีก�รแก้ปัญห�ที่เฉพ�ะเจ�ะจงของสถ�นก�รณ์เฉพ�ะเร่ืองหรือเฉพ�ะแหง่ ซ่งึ จะด�ำ เนินง�น โดยบคุ คลผตู้ อ้ งก�รใช้ผลก�รวิจัย เพ่ือปรับปรุงสถ�นก�รณป์ จั จุบันทเ่ี ปน็ ปญั ห� นิยมท�ำ วจิ ัย ประเภทนี้ในระบบโรงเรียน เน่ืองจ�กเป็นก�รคน้ ห�และระบุปัญห�ในหอ้ งเรียน หรอื ในก�ร บริห�รง�นโรงเรยี นและเปน็ ก�รแก้ปญั ห�ในห้องเรียน หรือในก�รบรหิ �รง�นโรงเรียน และ เปน็ ก�รแกป้ ัญห�ดังกล่�ว แต่ผลของก�รวจิ ัย ไมส่ �ม�รถนำ�ไปอ�้ งองิ หรือใชผ้ ลก�รวจิ ยั ใน สถ�นก�รณโ์ ดยทั่วไป ดังนนั้ ก�รวิจยั เชิงปฏิบตั ิก�รจึงเปน็ ก�รวิจยั สถ�นก�รณ์ และข้อเสนอก�รวิจัยท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั ก�รแกป้ ญั ห�เฉพ�ะเจ�ะจง และก�รดำ�เนนิ ง�นของผลก�รวจิ ยั ไมส่ �ม�รถน�ำ ไป ใชก้ ับสถ�นก�รณอ์ ่ืนๆ ก�รวิจยั ปฏบิ ัตกิ �รเปน็ กระบวนก�รทผ่ี ้ปู ฏบิ ัติง�นพย�ย�มศึกษ�ปญั ห� อย�่ งเปน็ วทิ ย�ศ�สตร์ เพอ่ื แสวงห�แนวท�งแกไ้ ขปญั ห�และประเมนิ ก�รตดั สนิ ใจและก�รกระท�ำ ตวั อยา่ ง : 1. ก�รศึกษ�ปัจจยั ทท่ี �ำ ให้นกั เรียนช�่ งในสถ�นศกึ ษ�แหง่ หนงึ่ ที่มีคณุ ภ�พก�ร เรียนวชิ �ส�มัญตำ่� เช่น วิช�ภ�ษ�อังกฤษ คณิตศ�สตร์และฟิสิกส์ เป็นต้น 2. ก�รวิจัยในก�รสอนวิช�โลหะวทิ ย� วธิ ใี ดจะมีประสทิ ธิภ�พม�กกว�่ กัน ระหว่�งก�รสอนแบบฐ�นสมรรถนะ (Competency based Instruction) และก�รสอนแบบด้ังเดิม (Conventional Method) 3. ก�รพัฒน�คลงั ข้อสอบส�ำ หรบั ก�รทดสอบของแผนกส�ำ หรับวชิ �ไฟฟ�้ พืน้ ฐ�น โดยก�รวิเคร�ะหร์ �ยขอ้ (Item Analysis) 4. ก�รวเิ คร�ะหเ์ พ่อื ก�ำ หนดปัจจยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ก�รปฏบิ ตั ิง�นและผลง�น ของนกั เรยี นส�ข�ช�่ งกลโรงง�น 5. ก�รพฒั น�คลินกิ คณิตศ�สตร์ สำ�หรบั นักศึกษ�วิศวกรรมอตุ ส�หก�รใน รูปของโปรแกรมเสรมิ 22
1.4 การวจิ ัยเชงิ พัฒนา (Development Research) คอื ก�รวจิ ัยท่ีคน้ ห�ข้อเท็จ จรงิ ของสภ�พก�รณห์ รอื สภ�วก�รณข์ องสิง่ ท่เี ปน็ อย่ใู นปจั จบุ นั เพื่อน�ำ คว�มร้ทู ี่ได้จ�กก�รวจิ ยั หรือประสบก�รณใ์ นท�งปฏิบตั ิไปสกู่ �รพัฒน� เปลยี่ นแปลงสง่ิ ใหมๆ่ ไม่ว่�จะเป็นส่ิงประดษิ ฐ์ ผลติ ภณั ฑ์ นวัตกรรม ก�รสร้�งกระบวนก�ร ระบบ และก�รบรกิ �รแบบใหม่ หรอื ปรับปรงุ สงิ่ ท่ีมีอยู่แล้ว กล�่ วอกี นัยหนง่ึ คอื ก�รวิจัยประเภทนีน้ ำ�คว�มรไู้ ปสร�้ งหรือพัฒน�ตน้ แบบ ประดษิ ฐค์ ดิ ค้นหรือรูปแบบ วิธีก�ร ส่งิ ใหมๆ่ รวมถึงเปน็ ก�รวจิ ัยและพฒั น�วัสดุอปุ กรณ์ สือ่ ก�รเรียนก�รสอนอกี ด้วย ตวั อยา่ ง 1. ก�รศึกษ�เพื่อกำ�หนดศักยภ�พของก�รใช้น�ำ มันมะพร้�วแทนนำ�้มันลนิ สีดใน ก�รผลิตสีล�เทกส์ (Latax) 2. ผลติ อปุ กรณ์ประหยัดพลังง�นท่ีเป็นนวตั กรรมส�ำ หรับก�รอบแห้ง ผัก ผลไม้ เนอื้ สัตว์ และ ปล�โดยใช้พลังง�นแสงอ�ทิตย์ 3. ก�รศึกษ�เพือ่ พัฒนชุดก�รเรยี นก�รสอน เช่น คมู่ อื ก�รเรียนก�รสอนวิช� เครอื่ งทำ�คว�มเยน็ และเครื่องปรบั อ�ก�ศ และชุดฝกึ คว�มเข�้ ใจแนวคิด ส�ำ หรับวชิ � เทอร์โมไดน�มิกส์ ตารางท่ี 1 การเปรียบเทียบวัตถปุ ระสงค์ และลกั ษณะตามประเภทของการวิจยั ประเภทของการวจิ ยั วตั ถปุ ระสงค์เบอ้ื งต้น ลักษณะของการวจิ ัย ก�รวจิ ัยพื้นฐ�น /เบอ้ื งตน้ ขย�ยคว�มรู้ให้กว้�งขว�งข้ึน - พัฒน�ทฤษฎี หรือเพมิ่ พูน ไมใ่ ช่เปน็ ก�รแก้ปัญห�โดยทันที คว�มรทู้ ่มี ีอยู่ หรือก�รพัฒน� ก�รวจิ ัยประยกุ ต์ เร่ืองต่�งๆ - เกยี่ วข้องกับก�รพฒั น� และ ทดสอบทฤษฎี มุง่ เน้นก�รค้นห�คำ�ตอบของ - มีก�รน�ำ ผลก�รวจิ ัยไป ปัญห�ในท�งปฏบิ ตั ิ ประยกุ ต์ใช้ - ม่งุ ทีก่ �รทดสอบทฤษฎเี พ่ือ ประเมนิ คว�มมปี ระโยชน์ ในท�งก�รศึกษ� ธรุ กจิ ก�รจดั ก�ร ฯลฯ 23
ประเภทของการวจิ ัย วัตถุประสงค์เบือ้ งต้น ลกั ษณะของการวิจัย ก�รวจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ �ร ค้นห�คำ�ตอบของสถ�นก�รณ์ท่ี - น�ำ ผลก�รวิจยั ไปใช้พฒั น� ก�รวจิ ัยเชงิ พัฒน� เป็นปัญห�โดยทนั ที มุ่งเน้นก�รผลติ และพัฒน� วสั ดุ สถ�นก�รณท์ ีม่ ปี ัญห�ยุ่งย�ก ผลติ ภัณฑ์ และอุปกรณ์ สร�้ ง ในปจั จบุ ัน กระบวนก�รระบบและก�ร บริก�รใหมๆ่ - ขนึ้ อยู่กับสถ�นก�รณ์ - ผลก�รศกึ ษ�เปน็ จรงิ สำ�หรบั เหตกุ �รณเ์ ฉพ�ะเท�่ นน้ั ไมส่ �ม�รถนำ�ไปใช้ใน สถ�นก�รณอ์ ืน่ - เปน็ ก�รนำ�ผลก�รวจิ ัยไป พัฒน�สิ่งที่มีอยู่ เช่น สง่ิ ประดิษฐ์ นวัตกรรม ผลติ ภัณฑก์ ระบวนก�ร อปุ กรณ์ เปน็ ต้น 2. แบ่งการวิจัยตามวิธีวิจยั 2.1การวิจัยเชิงประวตั ิศาสตร์(HistoricalResearch)คอื ก�รวิจยั ท่ีตรวจสอบ ห�คว�มจริงของสง่ิ ที่ผ�่ นม�แลว้ ในอดีต ทำ�ก�รสรปุ อย่�งมีเหตุผลเก่ียวกับแนวโน้ม ส�เหตุ และผล กระทบจ�กเหตกุ �รณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ ในอดีต ทีอ่ �จช่วยอธบิ �ยเหตกุ �รณ์ในปัจจุบัน และ ค�ดก�รณ์เหตกุ �รณ์ในอน�คต (CPSC,1984) หรือหม�ยถงึ ก�รสืบคน้ เหตกุ �รณ์ ก�รพัฒน� ประสบก�รณ์ก�รประเมินหลักฐ�นของคว�มถูกต้องของแหล่งข้อมูลในอดีตอย่�งรอบคอบและ ก�รตีคว�มหลักฐ�นที่ประเมินแลว้ เปน็ สง่ิ จ�ำ เปน็ (Kerlinger,1972) ก�รวจิ ยั เชงิ ประวตั ศิ �สตร์ อ�จเปน็ เรอ่ื งย�กทจ่ี ะท�ำ ไดด้ ี แตก่ เ็ ปน็ สง่ิ ทส่ี �ำ คญั และจ�ำ เปน็ เพร�ะจะชว่ ยใหม้ คี ว�มรคู้ ว�มเข�้ ใจ ปญั ห�ของก�รศกึ ษ�ท่ีไมส่ �ม�รถจะห�ไดโ้ ดยวธิ หี รือเทคนิคอ่นื ( Sanchez, 2002) ดังนัน้ จึงเหน็ ได้ว่�ก�รวิจยั เชงิ ประวตั ศิ �สตรจ์ ะไมเ่ หมือนก�รวิจยั ประเภทอ่ืน เพร�ะเน้น ก�รเกบ็ ขอ้ มูลจ�กเอกส�รท�งประวตั ิศ�สตรท์ จ่ี ดั เก็บอย�่ งมรี ะบบและเปน็ ท�งก�ร เป็นข้อมลู ที่ ไดร้ ับก�รยืนยันจ�กผรู้ ้แู ละเชย่ี วช�ญในเรอื่ งหรือเหตกุ �รณ์นั้นๆ และไม่ใช้แบบสอบถ�มในก�รเก็บ ขอ้ มลู แตเ่ น้นในก�รสบื ห�ข้อเทจ็ จริงของอดตี ทผี่ �่ นม�จ�กเอกส�รปฐมภมู ิของเรอื่ งท่วี จิ ยั แหลง่ ข้อมูลปฐมภมู ิในท่ีนี้ ได้แก่ 1. บันทกึ หรือร�ยง�นของบคุ คลผู้มีสว่ นรว่ ม หรือเป็นพย�นของเหตกุ �รณ์ 2. ค�ำ ใหก้ �รของผูร้ ว่ มง�น และผู้ติดตอ่ 3. เอกส�ร กฎหม�ย สัญญ� รัฐธรรมนญู ประก�ศ (พระบรมร�ชโองก�ร) ใบเสรจ็ ระเบยี น สะสม (portfolio) หนงั สือ ไดอ�ร่ี ว�รส�ร สมดุ จดร�ยก�รต�่ งๆ ว�ระก�รประชุม ฯลฯ 24
อย�่ งไรก็ต�ม ในบ�งคร้งั นักวิจยั ไมส่ �ม�รถห�ขอ้ มูลปฐมภมู ิได้ จงึ ต้องค�ดก�รณ์จ�ก ข้อมูลช้ันรองหรือทุติยภมู จิ �กบุคคลทเี่ ชอ่ื ถอื ไดท้ ่ีเก่ียวขอ้ งในเหตกุ �รณท์ ีศ่ กึ ษ� แหล่งขอ้ มูลทตุ ิยภูมิ หรือข้อมูลชั้นรอง ไดแ้ ก่ 1. หนงั สอื ส�ร�นกุ รม หนงั สือทบี่ ันทกึ ข้อมลู ท�งสถติ ิ 2. บทคว�มซ่ึงพิมพใ์ นว�รส�รระดบั มืออ�ชีพ นิตยส�ร หนงั สอื พิมพ์ และสิง่ ตีพิมพอ์ นื่ ๆ 3. เอกส�รท�งวชิ �ก�รท่เี ป็นต้นฉบับ ฯลฯ และ 4. ขอ้ มูลท่ีถ่�ยทอดจ�กขอ้ มูลชนั้ ต้น คว�มสมบรู ณ์ และคว�มน�่ เชอื่ ถอื ของก�รศกึ ษ�ของก�รวิจัยเชงิ ประวตั ิศ�สตรข์ ้นึ อยู่ กับคว�มถูกต้องของข้อมูลไม่ว่�จะเปน็ ขอ้ มลู หลักหรอื ขอ้ มูลรอง ดังน้ัน คว�มถกู ตอ้ งของขอ้ มูลที่ เกบ็ รวบรวมจึงเปน็ คว�มรบั ผิดชอบของผู้วจิ ยั สรุปได้ว่�ก�รวิจยั เชิงประวัติศ�สตร์อ�จไม่มีนัยสำ�คัญสำ�หรับก�รจดั ก�รอ�ชีวศึกษ�และ ฝกึ อบรมวชิ �ชพี แต่อ�จใช้ในก�รวจิ ัยเพอ่ื ก�รตดิ ต�มคว�มเจรญิ เตบิ โต และก�รพัฒน�ก�ร จัดก�รอ�ชีวศึกษ�และฝกึ อบรมวิช�ชพี ในบ�งเร่ือง เช่น ก�รพฒั น�ของหลกั สตู ร และก�ร ววิ ฒั น�ก�รของก�รจัดก�รอ�ชีวศึกษ�และฝึกอบรมวชิ �ชพี เป็นต้น ตวั อย�่ ง 1. ก�รศกึ ษ�เกยี่ วกับก�รพัฒน�หลกั สูตรของโปรแกรมช่�งเทคนิค พจิ �รณ�วิธกี �ร ออกแบบท่ีใช้ตัง้ แตต่ น้ จนถงึ ปัจจบุ นั 2. ก�รศกึ ษ�เพ่อื ตรวจสอบห�คว�มจริงเกย่ี วกบั อบุ ัติเหตุ และตดิ ต�มก�รเกิด อุบตั ิเหตใุ นโรงฝกึ ง�นของสถ�นศกึ ษ�อ�ชีวศกึ ษ�ในระยะส�มปีท่ีผ�่ นม� 3. ก�รตรวจสอบข้อเท็จจริงเกีย่ วกับก�รพัฒน�โรงเรียนศิลป์และก�รช่�งเป็น วทิ ย�ลยั ส�รพัดช่�ง 2.2 การวจิ ยั เชิงพรรณนา (Descriptive Research) คือ ก�รบรรย�ยและ อธิบ�ยสิ่งท่ีเกดิ ขนึ้ ผ้วู ิจัยจะท�ำ ก�รรวบรวมขอ้ มลู วิเคร�ะห์และนำ�เสนอ ซ่ึงไมจ่ ำ�เป็นตอ้ ง วเิ คร�ะหค์ ว�มสัมพันธร์ ะหว่�งตัวแปร ประเภทของการวจิ ยั เชงิ พฒั นา q ก�รวิจัยเชิงคณุ ภ�พ (Qualitative Research) เช่น กรณีศึกษ�และช�ตพิ ันธุ์ศึกษ� เป็นตน้ q ก�รวจิ ยั เชิงปรมิ �ณ (Quantitative Research) ก�รวจิ ัยเชิงสำ�รวจ (Survey), ก�รวจิ ัยเชิง คว�มสมั พันธ(์ Correlation Research) ก�รวจิ ยั เชงิ ย้อนรอย (Ex Post Facts)และก�ร วจิ ัยเชงิ ประเมินผล(Evaluation Research) 25
2.2.1 การวจิ ัยเชงิ คุณภาพ(Qualitative Research) ก�รวจิ ยั ประเภทนนี้ ักวจิ ัย พย�ย�มศกึ ษ�ปร�กฏก�รณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ ในทุกๆ ด�้ นของคว�มซบั ซ้อน (Fraenkel and Wallen, 2007) ก.กรณีศกึ ษ� (Case Study) คือ ก�รศกึ ษ�เชงิ ลกึ อย�่ งละเอยี ดถถ่ี ว้ นเกย่ี วกบั บคุ คล คณะบคุ คล สถ�บนั หรอื เหตกุ �รณใ์ นช่วงเวล�หนง่ึ ทตี่ อ่ เน่ืองกนั ผศู้ ึกษ�วจิ ยั จะค้นพบ และระบตุ ัวแปรต่�งๆ ทชี่ ว่ ยสนับสนุนประวัติและก�รพัฒน�ของหวั ข้อก�รวิจยั ก�รเก็บ รวบรวมขอ้ มูล ประสบก�รณท์ ่ีเกิดข้ึนในอดีตท่ผี ่�นม� และสถ�นภ�พในปจั จุบนั และ สภ�พแวดล้อมของหวั ข้อทีศ่ กึ ษ� ก�รวิจัยแบบกรณีศึกษ�มจี ุดอ่อนในเรอ่ื งก�รลงคว�มเหน็ ในส่งิ ทค่ี น้ พบ เนือ่ งจ�กจุด เน้นหรือจดุ สนใจขึน้ อยู่กบั แต่ละบุคคล และพน้ื ฐ�นของก�รวิเคร�ะหอ์ �จขึน้ อยู่กับคว�ม ลำ�เอียงของผสู้ งั เกตก�รณ์ แต่อย่�งไรก็ต�มก�รสงั เกตก�รณ์เปน็ วธิ เี บือ้ งตน้ ของก�ร เก็บรวบรวมข้อมูล มขี ้อเสนอแนะว่�สำ�หรับก�รจดั ก�รอ�ชีวศึกษ�และฝึกอบรม วิช�ชพี ใหใ้ ช้กรณศี ึกษ�เพมิ่ เติมก�รวจิ ยั ประเภทอืน่ เพื่อจะไดข้ อ้ มูลเชิงลกึ ในก�ร แก้ปญั ห� ตวั อย่�ง 1. ก�รวิเคร�ะห์พฤติกรรมก�รสอนของครูอ�ชีวศึกษ�คนหน่ึงทถี่ กู รอ้ งเรยี นจ�กนกั เรียน สว่ นใหญ่ 2. ก�รศึกษ�ก�รปฏบิ ัติง�นนกั เรียนช่�งที่พิก�รหรอื ด้อยโอก�ส ในโปรแกรมหลกั ของ หลักสตู ร กบั นักเรยี นปกติ 2.2.2 การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative Research) คือ ก�รวิจัยท่ีนักวจิ ัย พย�ย�มทำ�ใหป้ ร�กฏก�รณเ์ ข�้ ใจง่�ย โดยก�รออกแบบก�รวจิ ัยที่จำ�กัดก�รเกบ็ รวบรวมและก�รวิเคร�ะหข์ อ้ มลู ก.การวิจยั เชงิ สำารวจ (Survey Research) คือ ก�รศกึ ษ�เพ่อื รวบรวมขอ้ มลู ทจ่ี ำ�กดั จ�กกรณตี �่ งๆ จำ�นวนม�ก พย�ย�มท่จี ะได้ขอ้ มูลจ�กจ�ำ นวนประช�กร หรอื กลุม่ ตวั อย�่ ง เพื่อกำ�หนดสภ�วะของประช�กรทีม่ ีหนึง่ ตัวแปร หรือมีม�กกว่� เป็นก�รเกบ็ รวบรวม ข้อมลู เกีย่ วกับตวั แปรต่�ง ๆ ไม่เกี่ยวกบั บุคคล ก�รวิจัยเชิงส�ำ รวจจะถูกน�ำ ม�ใช้ในก�ร วัดสง่ิ ทมี่ ีอยู่ โดยไม่ตอ้ งสอบถ�มว่�ทำ�ไมจึงมอี ยู่ ดงั นั้นก�รสำ�รวจจะไมศ่ ึกษ�คว�ม สมั พันธ์ อ�จเป็นก�รวิเคร�ะหข์ อ้ มลู ภ�คตัดขว�ง (เกบ็ ข้อมูล ณ จุดหน่งึ ของเวล�) หรอื วเิ คร�ะหข์ อ้ มูลทีไ่ ดม้ �จ�กจุดต�่ ง ๆ กัน 26
ตัวอย่าง 1. ก�รสำ�รวจคว�มกังวลของช่�งเทคนิค ในสถ�นศกึ ษ� 2. คว�มต้องก�รแรงง�นทม่ี ีคว�มส�ม�รถในก�รปฏิสมั พันธ์ กับคนรอบข้�งและสังคม ในอุตส�หกรรมประเภทต่�งๆ 3. ประเภทของเทคโนโลยีท�งก�รศึกษ�ในก�รสอนวชิ �บรรย�ยหลักสูตรก�รศึกษ�ช่�ง เทคนคิ ที่นกั เรยี นชอบ 2.2.3 การวิจัยเชิงสมั พันธ์ (Correlational Research) คือ ก�รศึกษ�เพอื่ คน้ ห� คว�มสัมพนั ธร์ ะหว่�งตวั แปรต�่ งๆ ตัวแปรตัวหนึ่งจะแตกต่�งจ�กตัวแปรอนื่ อย�่ งไร ก�รออกแบบก�รวจิ ัยนีจ้ ะชว่ ยในก�รกำ�หนดขอบเขต ซึ่งตวั แปรต่�งๆ มีคว�มสัมพันธ์กับ กลุม่ ประช�กร ก�รวิจยั ประเภทนอี้ �จนำ�ไปใช้ในวตั ถปุ ระสงค์ก�รทำ�น�ยหรือพย�กรณ์ ในก�รวจิ ัยแบบนี้ นักวจิ ัยจะใชว้ ัดคว�มสมั พนั ธเ์ พอ่ื กำ�หนดขน�ดและทศิ ท�งของ คว�มสมั พนั ธ์นน้ั ห�กค�่ ของสมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พันธส์ ูงแสดงว่�ตวั แปรของก�รศึกษ� มคี ว�มสมั พันธ์กันสงู ซึง่ ค่�ดังกล่�วไมไ่ ดช้ ้ใี หเ้ หน็ ว�่ ตวั แปรใดเป็นเหตหุ รือเปน็ ผลของ เหตุก�รณ์น้นั ตวั อย่าง 1. ทดสอบคว�มสัมพันธข์ องผลก�รเรียนวิช�คณิตศ�สตร์และฟิสิกส์ของนักเรียนเมื่ออยู่ ชัน้ มธั ยมศกึ ษ�กบั คะแนนเฉล่ยี ในวิช�หลกั ของนักเรียนเมอื่ เรียนโปรแกรมวิช�ช่�ง 2. ก�รศึกษ�เพื่อทดสอบสมมุติฐ�นเกี่ยวกับคว�มสมั พนั ธ์ระหว�่ งคว�มคดิ สร�้ งสรรคแ์ ละ คว�มส�ม�รถในก�รบรหิ �รของเจ�้ หน�้ ทีใ่ นสถ�นศึกษ� 27
2.2.4 การวิจยั เชงิ ย้อนรอย (Expost Facto Research) คอื ก�รวจิ ยั ทศี่ ึกษ� จ�กผลไปห�เหตุซงึ่ เกดิ ม�ก่อนแลว้ ก�รศกึ ษ�ประเภทน้ีมีจุดออ่ น คอื ข�ดก�รจัดก�ร ตวั แปรซ่งึ หม�ยคว�มว่�ไมส่ �ม�รถควบคุมตัวแปรอิสระ ซึง่ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลบ�งประก�รได้ ก�รศกึ ษ�เชิงย้อนรอยใชเ้ พอ่ื ค้นห�คว�มแตกต�่ งท่มี ีอยู่ในสภ�วก�รณ์ พฤตกิ รรม ทัศนคติ และคว�มเชอ่ื ของบคุ คลกลมุ่ ต�่ ง ๆ ตวั อย่าง 1. ก�รวเิ คร�ะหผ์ ลกระทบขณะฝกึ ปฏบิ ตั งิ �นจรงิ (on the job training) ของผู้จบก�ร ศกึ ษ�ทปี่ ฏิบตั ิง�นในอุตส�หกรรม 2. ก�รศกึ ษ�ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ ก�รเลอื กหรอื ไมเ่ ลอื กเรยี นวชิ �ช�่ งของนกั ศกึ ษ�ปที ่ี 1 2.3 การวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Research) คือ ก�รศกึ ษ� กระบวนก�รคน้ ห�คว�มจรงิ ทฤษฎหี ลกั ก�ร เทคโนโลยี หรอื องคค์ ว�มรใู้ หมๆ่ โดยใชว้ ธิ กี �ร ท�งวิทย�ศ�สตร์ทีม่ ุง่ เนน้ คว�มเปลีย่ นแปลงของตัวแปรทีเ่ กีย่ วข้องภ�ยใต้เงอื่ นไขที่มีก�ร ควบคุมโดยกระบวนก�รวิจัย เพอ่ื ศึกษ�พฤตกิ รรม หรือ สถ�นก�รณด์ งั กล่�วน้ัน ว่�เปน็ ส�เหตุ ของก�รเปล่ียนแปลงหรือไม่ โดยวธิ ีก�รเปรยี บเทียบคว�มแตกต�่ งของตัวแปรท่เี ปล่ยี นไป ที่เกดิ ขนึ้ ในสภ�พปกตกิ ับพฤติกรรมทเ่ี กิดข้ึนในสภ�พท่ถี ูกควบคมุ เพื่อสรปุ ผลคว�มจรงิ ทค่ี น้ พบ ซึง่ น�ำ ไปใช้อธิบ�ยพฤติกรรมต่�งๆ ในเชิงเหตผุ ลได้อย�่ งชัดเจน ก�รวิจัยเชิงทดลองจึงเป็นก�ร วิจัยจ�กส�เหตไุ ปห�ผลทเ่ี กดิ ข้นึ เพือ่ ศกึ ษ�ว�่ ตวั แปรทเ่ี ก่ียวข้องนน้ั เป็นส�เหตทุ ่ที ำ�ใหเ้ กดิ ผล เชงิ นนั้ จรงิ หรือไม่ ก�รวจิ ัยเชิงทดลองประกอบด้วยกลุ่มตวั อย�่ ง 2 ประเภทคือ l กลมุ่ ทดลอง (Experimental group) หม�ยถึง กลุม่ ตวั อย่�งที่ได้รบั ก�รทดลอง (Treatment) ต�มแบบแผนก�รทดลองท่กี ำ�หนดไว้ลว่ งหน�้ l กลมุ่ ควบคมุ (control group) หม�ยถงึ กลมุ่ ตวั อย�่ งทม่ี ลี กั ษณะเหมอื นกลมุ่ ทดลองทง้ั จ�ำ นวนและคุณสมบตั ิโดยทว่ั ๆ ไป แตไ่ ม่ไดร้ บั ก�รทดลองถูกปล่อยให้เป็นไปต�ม สภ�พแวดลอ้ มปกตทิ เ่ี ปน็ อยเู่ ดมิ เพอ่ื ประโยชนใ์ นก�รเปรยี บเทยี บพฤตกิ รรมต�่ งๆกบั กลมุ่ ทถ่ี กู กระทำ� 28
แนวคิดในเชิงทดลองมลี ักษณะดังนี้ 1. มีตัวแปรอิสระทจี่ ะถกู จดั กระท�ำ 2. ตวั แปรอน่ื ทง้ั หมดถูกกำ�หนดให้มีค่�คงทย่ี กเว้นตวั แปรต�ม 3. ผลของก�รจัดก�รกับตวั แปรอสิ ระบนตัวแปรต�มจะถกู วัดและสังเกต 2.3.1 รูปแบบการออกแบบการวิจัยเชิงทดลอง คื อ ก�รทดลองหล�ยรูปแบบ เช่น ก�รทดลองทีม่ จี ุดอ่อน ก�รทดลองท่ีแทจ้ ริง (True Experimental Designs) และ แบบกง่ึ ทดลอง (Quasi – experimental design) หม�ยเหตุ R = ก�รสุ่มตัวอย่�งเข้�สู่กลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม X = ตวั แปรอิสระท่จี ดั กระท�ำ O = ก�รสังเกต หรือก�รวดั ผลก่อนและหลังก�รทดลอง รปู แบบการทดลองที่มจี ุดออ่ น (Weak Experimental Design) รูปแบบนใี้ ช้คำ�ว่� ออ่ นแอ(weak) เพร�ะรูปแบบทั้งหล�ยทีอ่ ยใู่ นกล่มุ นไี้ มส่ �ม�รถควบคุมตัวแปรอ่นื ๆได้ อย�่ งเต็มท่ีเป็นแบบแผนขั้นพื้นฐ�นของก�รวิจัยเชงิ ทดลอง เพือ่ ใช้ในก�รว�งแผน ทดลอง โดยมงุ่ เนน้ ก�รศึกษ�ก�รเปลีย่ นแปลงของตัวแปรต�ม อันเนื่องม�จ�กตวั แปร อิสระ แบง่ ออกเป็น 3 แบบได้แก่ แบบท่ี 1 รูปแบบกลุ่มเดียววัดคร้ังเดยี ว (One- shot design) เป็นแบบแผนก�รทดลอง กรณีศกึ ษ� มงุ่ เน้นก�รวิจัยทดลองกับกลุ่มทดลองเพยี งกล่มุ เดียว มีก�รวดั ผลครั้งเดยี ว คอื หลังก�รทดลอง ไม่มีก�รเปรยี บเทยี บ ไมม่ ีกลุ่มทดลอง ไม่มกี �รทดสอบก่อนก�รทดลอง วิธีก�รทดลอง (E) X O แบบที่ 2 รูปแบบกล่มุ เดยี ววดั สองครั้ง (One-group Pretest – Posttest Design) คอื ก�รศึกษ�จ�กลมุ่ ทดลองเพียงกลุม่ เดียว ไมม่ ีกลุ่มควบคมุ กลมุ่ ทดลองจะถูกวดั หรือถกู สังเกตก่อนและหลงั จ�กก�รทดลอง จ�กนนั้ นำ�ผลท่ไี ดจ้ �กก�รวัดหรือก�ร สงั เกตไปเปรยี บเทียบกนั กลมุ่ ทดลอง (E) O1 X O2 แบบที่ 3 รูปแบบสองกลุม่ วัดครัง้ เดยี ว (Static–group comparison) เป็นก�รศึกษ�กลมุ่ ตวั อย�่ งก�รทดลอง2กลุ่มคือกลุม่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ท�ำ ก�ร ทดลองเฉพ�ะกลมุ่ ทดลอง โดยไม่มีก�รจัดหรอื ก�รสงั เกตกอ่ นก�รทดลอง สว่ นกล่มุ ควบคมุ ไมไ่ ดถ้ ูกกระทำ�ใดๆ หลงั จ�กสน้ิ สดุ ก�รทดลองแลว้ จงึ ท�ำ ก�รวดั หรอื สงั เกต เพื่อเปรียบเทียบคว�มแตกต�่ งระหว่�งกล่มุ ทดลองกับกลุ่มควบคุม X O1 กลุ่มทดลอง O2 กล่มุ ควบคุม 29
การทดลองแบบเตม็ รูปหรอื แท้จรงิ แบบท่ี 4 รูปแบบสองกล่มุ วดั สองครัง้ (Pretest–Posttest Control Group Design) มุ่งเนน้ ก�รทดลองกับกลมุ่ ตวั อย�่ งทเ่ี กิดจ�กสุ่มจ�กกลมุ่ ประช�กรจ�ำ นวน 2 กลุม่ ท่ีมี คุณลกั ษณะเหมอื นกนั ไดแ้ ก่กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม ตอ้ งเริ่มกระบวนก�รทดลอง ท้งั 2 กลมุ่ จะถูกจัดแจง หลงั จ�กนัน้ จึงเรมิ่ กระบวนก�รทดลอง โดยที่กลุ่มทดลอง จะถูกกระทำ� (X) ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ได้ถูกกระทำ�ใด ๆ หลังเสร็จสิ้นกระบวนก�ร ทดลองแลว้ จดั ให้ท้งั 2 กลมุ่ ถกู วัดอีกคร้งั หนึง่ แลว้ นำ�ผลก�รทดลองไปเปรยี บเทียบกนั วธิ ีก�รทดลอง กลุม่ ทดลอง O1 X O3 กลมุ่ ควบคุม O2 O4 แบบที่ 5 รปู แบบสองกลุ่มวดั คร้ังเดยี ว (Posttest only Group Design) กลมุ่ ท้ังสอง คอื กล่มุ ทดลองและกลุ่มควบคมุ ไมไ่ ด้ถูกวัดกอ่ นกระบวนก�รทดลอง ดำ�เนนิ ก�รทดลองโดยให้กล่มุ ทดลองได้รบั ก�รกระท�ำ (X) ส่วนกลุ่มควบคุมไมไ่ ดร้ ับก�รกระท�ำ ใดๆ ภ�ยหลงั เสรจ็ สิน้ ก�รทดลองแลว้ จงึ ใหก้ ลมุ่ ทั้งสองถกู วัด เพือ่ เปรียบเทยี บผลทเี่ กิด ขึ้นระหว�่ งกลุ่ม วิธีก�รทดลอง X O1 กลมุ่ ทดลอง O2 กล่มุ ควบคุม แบบท่ี 6 การทดลองสก่ี ลมุ่ แบบโซโลมอน (Randomized Solomon Four group design) แบบแผนก�รทดลองแบบนนพ้ี ย�ย�มก�ำ จัดผลกระทบของ pretest O1 X O3 กลมุ่ ทดลอง O2 O4 กลมุ่ ควบคุม X O5 กลุ่มทดลอง O6 กลมุ่ ควบคุม แบบที่ 7 แบบกึ่งทดลอง (Quasi – experimental design) แบบผลก�รทดลอง แบบก่ึงทดลองน้ี ไม่มกี �รสุ่มเข้�กลุ่มตวั อย�่ งแต่อย่�งใด 1. Matching only design ก�รออกแบบก�รทดลองโดยก�รจับคู่ มกี ลุม่ ทดลอง และกลมุ่ ควบคมุ กอ่ นก�รทดลองจะมกี �รจัดกลมุ่ ตวั อย่�งทกุ กล่มุ จ�กน้นั จงึ ทำ�ก�รกระท�ำ กบั กลมุ่ ทดลอง ส่วนกลมุ่ ควบคมุ ไม่ได้รบั ก�รกระท�ำ ใด ๆ เม่ือเสร็จสิ้น ก�รกระทำ�แล้ว จึงทำ�ก�รวดั กลมุ่ ตัวอย�่ งทง้ั 2 กลุ่ม 30
O1 X O2 กล่มุ ทดลอง O3 O4 กลุม่ ทดลอง 2. รูปแบบกลมุ่ เดยี ววดั หลายคร้งั แบบอนกุ รมเวลา(Time series design) เป็นก�รวจิ ัยกึ่งทดลอง โดยเก็บข้อมูลของกลมุ่ ทดลองหล�ยครง้ั ในช่วงเวล�ท่ตี �่ งกัน ทัง้ กอ่ นและหลงั ก�รทดลอง O1O2O3O4 x O5O6O7O8 กลุ่มทดลอง ตวั อย่าง 1. ก�รทดลองเพือ่ ตรวจสอบประสิทธิภ�พของวิธีก�รซึง่ เป็นนวัตกรรมในก�รสอน Thermodynamics โปรแกรมช่�งเทคนิค กับผลสมั ฤทธ์ิท�งก�รเรียน 2. เพื่อก�รเพ่ิมประสทิ ธภิ �พด�้ นตน้ ทนุ ก�รศึกษ�วิจัยถกู ออกแบบเพ่ือคน้ ห�วิธกี �ร ทค่ี นง�นในภ�คอตุ ส�หกรรมจะมปี ระสทิ ธผิ ลก�รท�ำ ง�นม�กขน้ึ โดยเปรยี บเทยี บในก�รปฏิบัติ ง�นแบบเดมิ ต�มต�ร�งเวล�ก�รท�ำ ง�น 5 วนั /สปั ด�หก์ บั ก�รปฏิบตั งิ �นแบบอัดแน่น เปน็ 4วนั /สปั ด�ห์ 2.4 การวิจัยออนไลน์ (Online Research) ออนไลน์ หม�ยถงึ ก�รเช่ือมตอ่ ผ่�นโมเด็ม หรอื เครอื ข�่ ยกับคอมพิวเตอร์อ่ืนๆ ก�รวจิ ยั ออนไลน์เป็นวธิ ีท่นี กั วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลท�งอินเทอรเ์ น็ตดังจะไดก้ ล่�วในร�ยละเอยี ดต่อไป 2.4.1 ประเภทของการวจิ ยั ออนไลน์ l การวิจัยตลาด (Market Research) ก�รวจิ ยั ตล�ด รวมถึง ก�รวจิ ยั ปฐมภมู ิ และ ทุติยภูมิ ก�รวิจัยปฐมภูมิ ได้แก่ ก�รส�ำ รวจข้อมูลท�งเว็บเพจ ส�ำ รวจท�งอเี มลและกลมุ่ ทีเ่ ปน็ จดุ สนใจออนไลน์ (Online focus group) l การสำารวจเว็บเพจ คือ รูปแบบของก�รสำ�รวจเชิงปริม�ณที่ต้องก�รคำ�ตอบ ภ�ยในระยะเวล�อันส้ัน ใช้แบบสอบถ�มเป็นเครื่องมือก�รวจิ ยั l การสาำ รวจทางอีเมล (email survey) เปน็ ก�รส�ำ รวจเชงิ คุณภ�พ ค�ดหวัง ก�รตอบ สนองอยูร่ ะดบั สูง l โฟกัสกลมุ่ ออนไลน์ (Online focus group) ดำ�เนินก�รโดยใช้อนิ เทอร์เน็ต ผ�่ นก�รสนทน�ออนไลน์ l การตดิ ตามผูส้ าำ เรจ็ การศึกษาทางอนิ เทอรเ์ นต็ l การสมั ภาษณ์ออนไลน์ 31
เกร็ดความรู้ในการทาำ วิจัย( Practical Research Tips) วธิ ีก�รวิจัยปฏบิ ัตกิ �ร( Action Research)เป็นก�รวิจยั ทม่ี กั ใช้ในก�รจัดก�ร อ�ชวี ศึกษ�และอบรมวิช�ชพี เพ่อื พัฒน�ก�รเรยี นก�รสอนในอ�ชีวศกึ ษ� ดังตวั อย่�งตอ่ ไปน้ี l ก�รพัฒน�ก�รใชโ้ ปรแกรม CAI ในก�รสอนเพ่อื อธบิ �ยเร่อื งทเ่ี ปน็ น�มธรรม l ก�รศึกษ�ประสทิ ธิผลของวธิ ีก�รสอนในเรื่องทม่ี คี ว�มย�ก ซบั ซ้อนของนักเรยี น อ�ชีวศึกษ� l ก�รพัฒน�ชดุ ก�รเรยี นก�รสอนในรูปแบบใหมๆ่ ทเ่ี หม�ะสมกบั เร่ืองทเ่ี รียนรู้ l ก�รห�ปัจจยั ท่เี ก่ียวข้องกบั ผลก�รเรียนของนกั เรียนนกั ศกึ ษ�อ�ชีวศกึ ษ� l ก�รจดั ท�ำ คลังขอ้ สอบส�ำ หรบั ก�รเรียนก�รสอนวชิ �ชพี ส�ข�ต�่ งๆ อภธิ านศัพท์(Glossary) ก�รวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิก�รเกย่ี วข้องกับก�รแกป้ ัญห� ก�รวิจัยเชงิ ปฏิบตั กิ �ร เฉพ�ะหน้�ของสถ�นก�รณ์ในพืน้ ที่ ผลก�รวจิ ัยใช้ได้ (Action Research) เฉพ�ะขอบเขตของปญั ห�เท่�นน้ั ไม่ส�ม�รถนำ�ไปใช้ กับสถ�นก�รณ์อ่ืนๆ ก�รวิจยั ประยุกต์ คอื ก�รวิจยั ท่ีน�ำ ผลไปประยุกตใ์ ช้ และมีจุดมงุ่ หม�ยทีจ่ ะ (Applied Research) ค้นห�คำ�อธิบ�ยของปญั ห�ทีส่ งั เกตเห็นนอกจ�กนี้ยังใชใ้ น ก�รวจิ ยั พืน้ ฐ�น ก�รทดสอบทฤษฎี (Basic Research) ก�รวจิ ัยพน้ื ฐ�นมจี ดุ มุ่งหม�ยในก�รคว�มรู้ใหม่ กรณศี กึ ษ� เพอื่ ขย�ยคว�มรูท้ �งวชิ �ก�รเพ่ือพฒั น�ทฤษฎีหรอื (Case Study) ตรวจสอบทฤษฎีทม่ี ีอยแู่ ลว้ ก�รควบคมุ คือ ก�รศกึ ษ�ท่เี ข้มขน้ และกว�้ งขว�งเกีย่ วกบั บุคคล (Control) หรือกลมุ่ บุคคล หม�ยถงึ คว�มพย�ย�มของนกั วิจยั ในก�ร ลบผลกระทบของตัวแปรใดๆ ทีน่ อกเหนอื จ�กตัวแปรอสิ ระ ทอ่ี �จส่งผลกระทบตอ่ ประสทิ ธิภ�พของตัวแปรต�ม 32
ก�รวจิ ัยเชงิ สหสัมพันธ์ คอื ก�รดำ�เนนิ ก�รศกึ ษ�เพ่อื ค้นห�คว�มสมั พนั ธใ์ ดๆ ที่มี (Correlational Research) อยู่ระหว�่ งตัวแปร ก�รวิจัยเชิงพรรณน� คือ ก�รศกึ ษ�ทเ่ี น้นก�รเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ยี วกับ (Description Research) สภ�วก�รณท์ ีเ่ ปน็ อยู่ในปัจจบุ นั นอกจ�กน้ยี ังส�ำ รวจ ปจั จัยทก่ี อ่ ให้เกิดปร�กฏก�รณ์ ก�รวจิ ัยเชิงพฒั น� ก�รวิจยั เชิงพัฒน�เป็นก�รวิจยั ทีม่ ุ่งเน้นนำ�ผลจ�กก�ร (Developmental วิจัยไปผลติ อุปกรณ์ เครอื่ งมือ หรอื เสนอกระบวนก�ร Research) ผลติ และก�รบรกิ �รแบบใหม่ ก�รวิจยั เชงิ ทดลอง คอื วิธีก�รของก�รวิจยั ซงึ่ พย�ย�มควบคุมผลกระทบจ�ก (Experimental ภ�ยนอกยกเว้นตัวแปรท่ีคิดว่�เปน็ ส�เหตเุ ปน็ ก�รวจิ ยั เพื่อ Research) พิสจู นค์ ว�มสัมพันธ์เชิงเหตุผลของปร�กฏก�รณ์ต่�งๅโดย จดั กระท�ำ ต่อตวั แปรอสิ ระเพื่อศกึ ษ�ผลทม่ี ีต่อตวั แปรต�ม และมกี �รควบคมุ ตวั แปรอ่นื มใิ ห้มผี ลกระทบต่อตวั แปรต�ม ก�รวิจัยเชิงย้อนรอย คือ ก�รวิจยั ที่ศึกษ�จ�กผลไปห�เหตุ ซึง่ ท้งั ผลและเหตุ (Ex post Facto) ได้เกดิ ขนึ้ ก่อนแลว้ ก�รวิจัยเชงิ ประวตั ศิ �สตร์ คอื ก�รวิจัยที่ใหค้ ว�มสำ�คัญตอ่ เหตกุ �รณห์ รอื ส่งิ ต่�งๆ (Historical Research) ท่เี กดิ ข้นึ ในอดีต มจี ดุ มุ่งหม�ยศึกษ�ห�ขอ้ เท็จจริงท�ง ประวัตศิ �สตร์ เพื่อได้ขอ้ สรุป ซงึ่ อ�จอธบิ �ยเหตกุ �รณท์ ่ี เกิดขึน้ ในปจั จบุ ันและใช้ค�ดก�รณ์เหตุก�รณ์ในอน�คต ก�รวิจยั เชงิ คุณภ�พ คือ ก�รศึกษ�ที่นักวิจยั พย�ย�มอธิบ�ยสิ่งทีเ่ กิดขึน้ (Qualitative Research) ต�มธรรมช�ตใิ นคว�มซับซ้อนท้งั หมด ก�รวจิ ยั เชงิ ปรมิ �ณ พย�ย�มอธิบ�ยปร�กฏก�รณ์ผ่�นก�รเก็บรวบรวมและ (Quantitative Research) วเิ คร�ะหข์ อ้ มลู ซง่ึ มกี �รออกแบบและควบคมุ อย�่ งรอบคอบ ก�รวิจัยเชงิ ส�ำ รวจ ก�รวจิ ัยทีใ่ ช้วิธกี �รเก็บรวบรวมขอ้ มลู อย�่ งจำ�กัด (Survey Research) จ�กประช�กรจ�ำ นวนม�ก 33
แบบฝกึ หัดทา้ ยบทท่ี 2 (Practical Application) 1. จากสว่ นหนง่ึ ของบทคัดยอ่ งานวจิ ยั ต่อไปน้ี ให้ทา่ นระบุวา่ เป็นการวิจยั ประเภทใด เรอ่ื งที่ 1 ก�รวจิ ยั น้ีเพ่อื ห�ว�่ ใช้ก�รเปรียบเปรย ยกตัวอย่�ง จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมีคว�มเข�้ ใจเร่ือง ท่ีเปน็ น�มธรรมในก�รเรยี นในห้องปฏิบัตกิ �รอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ม�กข้นึ หรอื ไม่ โดยก�รใช้ วดิ ีโอและเคร่ืองบันทึกเสยี งเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในระหว�่ งก�รด�ำ เนินก�ร ของครแู ละ นักเรียน และพบว�่ ยังไม่มกี �รวิจัยเรื่องใดทใี่ ช้เคร่ืองมอื เชน่ น้ีม�กอ่ น ผลก�รวจิ ยั พบว่� ยงั สรปุ ไม่ได้ชดั เจนว่�วธิ ีทใ่ี ชส้ ่งผลท่ดี ีขึน้ เรื่องที่ 2 ก�รวิจยั เพือ่ ทำ�ก�รสำ�รวจคว�มคิดเห็นของครูเกีย่ วกับคว�มเหม�ะสมในก�รใช้วิธีก�ร สอนแบบต�่ งๆ รวมทั้งก�รสมั ภ�ษณเ์ ชิงลึกใหไ้ ดร้ �ยละเอยี ดประกอบขอ้ มูลจ�กแบบส�ำ รวจ เร่ืองท่ี 3 ปัญห�คว�มยุง่ ย�กที่พบในระหว�่ งก�รสอบคอื บ�งครง้ั มปี ัญห�ก�รคุมสอบ ก�รแจก ขอ้ สอบให้ครบ อีกทั้งตอ้ งเสยี เวล�ในก�รตรวจขอ้ สอบ ซึง่ บ�งครง้ั ต้องอดหลับอดนอน ก�รคดั ลอกคะแนน ก�รคำ�นวณผล และประก�ศผล ด้วยเหตุนี้อ�จ�รย์ในภ�ควิช� เทคโนโลยีและส�รสนเทศจงึ ร่วมกันพฒั น�ก�รสอบแบบออนไลน์ให้กับก�รสอบของ นกั ศกึ ษ�อ�ชวี ศกึ ษ�ข้นึ เรอื่ งท่ี 4 หวั หน้�ภ�คไดพ้ บว่�ผลก�รเรียนเฉลย่ี ในวชิ �ท่ีอ�จ�รย์ เดอรล์ � ครูส สอนต่�ำ กว่�ค�่ เฉลี่ย จึงท�ำ ให้อ�จ�รย์ เดอรล์ � ครสู ท�ำ วิจัยเพอื่ พัฒน�วธิ กี �รสอนเพ่อื ทำ�ใหผ้ ลก�ร เรยี นเพิม่ สงู กว่�ค�่ เฉลี่ย 2. ตอ่ ไปนเ้ี ปน็ สถานการณท์ ท่ี าำ ใหท้ า่ นตอ้ งทาำ วจิ ยั เพอ่ื แกป้ ญั หาเหลา่ นน้ั ขอใหท้ า่ น ระบวุ า่ จะเลอื กใชก้ ารวจิ ยั ประเภทใด จงึ จะไดผ้ ลการวจิ ยั มาใชแ้ กป้ ญั หาเหลา่ นน้ั ได้ เร่อื งท่ี 5 ช�ริย� สนใจทีจ่ ะทำ�ก�รทดลองเปรียบเทียบห�ประสิทธิผลของวิธีก�รสอนว่�จะ ส�ม�รถปรับปรุงก�รสอนเพอ่ื ให้ผลก�รเรียนของนกั เรียนสงู ขนึ้ หรือไม่ ทงั้ น้ีเพ่อื ให้ หัวหน�้ ภ�คได้พิจ�รณ�และเสนอแนะก�รวิจัยด้วย 34
เรื่องที่ 6 สำ�นกั ง�นอุดมศึกษ�ของประเทศฟลิ ิปปินส์ได้เห็นชอบที่ให้สถ�นศึกษ�ระดับ อุดมศึกษ�ในแต่ละจงั หวดั ไดร้ วมกนั เปน็ สถ�บนั เดยี ว เช่นทีจ่ ังหวดั x จะต้งั เป็น มห�วิทย�ลยั x โดยรวมกนั เอ� 4 สถ�บนั ท่มี อี ย่แู ล้วเข�้ ดว้ ยกนั คณะกรรมก�รจึงให้มี ก�รท�ำ วจิ ัยถงึ สภ�พทเ่ี ป็นอยู่ของท้ัง4 สถ�บนั ว่�เปน็ อย�่ งไร มจี ุดอ่อนจดุ แข็งอะไรบ�้ ง กอ่ นก�รรวมกนั ซึง่ จะศกึ ษ�ขอ้ มลู จ�กข้อมลู ต่�งๆทม่ี ีอยขู่ องแตล่ ะสถ�บัน เรอื่ งที่ 7 โปรเฟสเซอร์ เพอเรยี ร�่ ตอ้ งก�รจะศึกษ�สมรรถนะของช่�งในอุตส�หกรรมรถยนตท์ ั้งใน ด�้ นสมรรถนะอ�ชีพ คณุ ลักษณะก�รท�ำ ง�นและก�รด�ำ รงชวี ิต ท้ังน้ีเพอ่ื น�ำ ข้อมูลม�ใช้ ปรับปรงุ คณุ ภ�พก�รจดั ก�รเรียนก�รสอนในสถ�นศกึ ษ�อ�ชวี ศกึ ษ� เรอ่ื งท่ี 8 อ�จ�รย์ที่สอนระดับปวส.พบว่�นกั ศึกษ�ส่วนใหญ่สอบไม่ผ่�นในวิช�แคลคูลัส จึง ต้องก�รวิจัยเพอื่ ห�คว�มสัมพนั ธข์ องตัวแปรต่�งๆที่จะส�ม�รถนำ�ไปพัฒน�ผลสัมฤทธิ์ ของก�รเรยี นก�รสอนวชิ �แคลคลู สั ดงั กล�่ ว เรอื่ งที่ 9 เปน็ ทีท่ ร�บว่�ทักษะก�รสื่อส�รมีคว�มสำ�คัญที่พนักง�นจะต้องมีในทุกง�นทั้งท�งก�ร เขยี นและก�รพดู โดยเฉพ�ะพบว่�ผู้จบอ�ชีวศกึ ษ�มปี ัญห�ท�งด�้ นนี้ ดงั นน้ั ท่�นคิดว�่ จะ ต้องทำ�ก�รวิจัยประเภทใดในก�รห�ผลกระทบของก�รใช้ทักษะภ�ษ�อังกฤษทีม่ ีต่อก�ร ทำ�ง�นของผู้จบอ�ชวี ศกึ ษ� เรือ่ งที่ 10 โจเซพเปน็ ผูป้ ระกอบก�รที่ประสบคว�มสำ�เร็จเป็นอย่�งสูงในธุรกิจก�รทำ�กระเป๋�ถือ ของผหู้ ญิงโดยใช้วสั ดุท้องถ่นิ และนกั วิจัยต้องก�รท่จี ะศกึ ษ�ประวัติและภมู หิ ลังของ เข�เพือ่ ให้เป็นโมเดลตัวอย่�งสำ�หรับนักเรียนอ�ชีวศึกษ�โดยก�รศึกษ�แบบเจ�ะลึกถึง ประวัติครอบครัว ก�รศึกษ� ประสบก�รณ์ในก�รท�ำ ง�น คว�มสนใจ และก�รฝกึ อบรม รวมท้ังก�รสัมภ�ษณ์เข� และผ้เู กี่ยวข้อง 35
โปรดเขยี นคำ�ตอบของข้อ 1-10 ลงในต�ร�งข้�งล�่ งนี้ เรื่องที่ ประเภทการวจิ ัย เหตผุ ลท่ีเลอื กประเภทการวจิ ยั น้ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ………………………………………….. 36
การวางแผนการวิจัย บทที่�3 เกณฑ์การเลือกหัวข้อการวิจัย การวางแผนการวิจัย ปัญหาการวิจัย หัวข้อย่อย/คำ�ถาม �ทฤษฎีและกรอบแนวคิด ตัวแปร สมมุติฐาน นิยามศัพท์ย่อ 37
วัตถปุ ระสงค์ การศึกษาบทน้ีผ้อู ่านสามารถ กำหนดหรือออกแบบการวจิ ัย อธิบายช้นั ตอนการทำวจิ ยั กำหนดปญั หาในการดำเนินการวจิ ยั ทบทวนวรรณกรรมและการศึกษาอย่างเปน็ ระบบ กำหนดกรอบแนวคิดสำหรับปัญหาการวจิ ยั จำแนกประเภทของตวั แปรการทำวจิ ัย กำหนดสมมตฐิ านของการวิจัยไดอ้ ย่างถูกต้อง กำหนดนยิ ามคำศัพทท์ สี่ ำคญั 38
เพอื่ คว�มส�ำ เรจ็ ในก�รวิจัย ก�รว�งแผนเป็นสง่ิ จ�ำ เปน็ ทผี่ ูว้ จิ ยั จ�ำ เปน็ ต้องสร้�งกรอบ แนวคว�มคดิ ก�รวิจยั อย�่ งระมดั ระวงั และอย�่ งเปน็ ระบบ ถ�้ รีบเรง่ ในก�รดำ�เนินก�รวิจัยโดย ไม่ได้ว�งแผน ผู้วจิ ัยอ�จจะจบลงดว้ ยคว�มพย�ย�มทไี่ ร้ผล ก�รว�งแผนหม�ยถงึ ก�รเตรยี ม คว�มพรอ้ ม ก�รวจิ ยั ต้องก�รแนวคว�มคิดก่อนท่จี ะท�ำ ง�นใดๆ แผนเป็นส่ิงกำ�หนดภ�พรวม ของก�รด�ำ เนนิ ง�น แนวคว�มคดิ ก�รวจิ ัยจะเริ่มตน้ ด้วยก�รใช้เวล�พิจ�รณ�เกณฑ์ในก�รเลอื ก หัวขอ้ สำ�หรบั ก�รวจิ ยั 1.��หลักเกณฑ์ในการเลอื กหัวขอ้ การวจิ ยั ���(Criteria�in�Selecting�a�Topic�for�Research) เกณฑ์ในก�รเลือกหวั ขอ้ ก�รวจิ ัย มีปจั จยั สำ�คญั 2 ประก�รคอื 1.1 ปัจจยั สว่ นบคุ คล ซึง่ รวมถึงคว�มสนใจคว�มส�ม�รถของนกั วจิ ยั (ด�้ นคว�มรู้และ ปัจจยั ก�รดำ�เนนิ ก�ร) ขอ้ จ�ำ กัด และขน�ดของก�รวิจยั 1.2 ปจั จัยภ�ยนอก รวมถงึ คว�มเป็นเอกลักษณ์/คว�มแปลกใหม่ คว�มสำ�คญั หรอื คุณค�่ ของผลก�รวจิ ยั แหล่งข้อมลู และเคร่อื งมอื ก�รวจิ ัย หนว่ ยง�นหรอื สถ�นทที่ ี่จะดำ�เนนิ ก�รวิจยั 1.1 ปัจจยั สว่ นบุคคล (Personal Factors) [ ความสนใจ ผู้วิจัยต้องสนใจตอ่ ปญั ห�ท่จี ะด�ำ เนนิ ก�ร และตอ้ งพย�ย�มตรวจสอบขอ้ เท็จจรงิ ด้วยคว�มตง้ั ใจ มงุ่ ม่นั มิฉะน้ันแล้วก�รวิจัยอ�จจะไมบ่ รรลผุ ลส�ำ เร็จ [ ความสามารถของผูว้ จิ ยั ผูว้ จิ ยั ตอ้ งมคี ณุ สมบัตทิ เ่ี หม�ะสม มีคว�มส�ม�รถและ ผ�่ นก�รฝกึ อบรมทีจ่ ะส�ม�รถท�ำ ก�รวิจยั ในส�ข�ของตน และตอ้ งก�รท�ำ วจิ ยั ในหวั ข้อที่ เกี่ยวขอ้ งกบั สถ�บนั ก�รศกึ ษ�ทีส่ งั กัด ในหวั ข้อก�รวิจัยทส่ี �ม�รถทำ�ได้และประสบคว�ม สำ�เร็จ หม�ยคว�มว�่ ผู้วจิ ยั ควรทำ�วิจยั ท่อี ยู่ในขอบเขตหรือในคว�มรบั ผิดชอบของตน [ ความสามารถเชงิ เศรษฐกจิ หม�ยคว�มถึง ระยะเวล� และจำ�นวนงบประม�ณทต่ี ้อง ใช้ในก�รท�ำ ก�รวิจัยให้บรรลผุ ล ผูว้ จิ ัยอ�จมองห�ก�รสนบั สนนุ ด้�นก�รเงนิ และส่ิงท่ี ไมใ่ ชก่ �รเงนิ จ�กสถ�บนั ก�รศึกษ� บริษทั หรอื จ�กแหลง่ ทุนภ�ยนอก [ ขนาดของการวจิ ยั ผู้วิจัยต้องมคี ว�มฉล�ดในก�รเลือกขน�ดของปัญห�และเวล�ที่ใช้ ในก�รดำ�เนนิ ก�รวจิ ัย 1.2 ปัจจยั ภายนอก(External Factors) [ มคี วามเปน็ เอกลกั ษณ/์ แปลกใหม่ ก�รวจิ ยั มสี ว่ นชว่ ยสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ คว�มรใู้ หม่ กบั องค์คว�มร้เู ดิมที่มีอยู่ มลี กั ษณะเด่น และแตกต�่ งจ�กก�รวจิ ยั ท่เี คยทำ�ม�ก่อน [ ความสาำ คญั /คณุ คา่ ของปญั หาการวจิ ยั ปัญห�ก�รวิจัยควรมีผลต่อคุณค่�บ�งประก�ร ตอ่ ชวี ติ ก�รตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ ของปญั ห�ดงั กล�่ ว ควรสนบั สนนุ ส�ข�ทอ่ี ยใู่ นคว�มสนใจ 39
[ ขอ้ มูลทส่ี ำาคญั ต้องส�ม�รถเข�้ ถึงข้อมลู และวสั ดทุ ่ีจะใช้ง�นไดส้ ะดวก แ ล ะ ต้ อ ง มี ทรพั ย�กร และแหลง่ ขอ้ มลู ท่ีจะท�ำ ก�รศึกษ�อย่�งเพียงพอ [ หนว่ ยงานทจ่ี ะดาำ เนนิ งานวจิ ยั เพอ่ื ใหก้ �รสนบั สนนุ ก�รจดั ก�ร/ก�รบรหิ �ร ก�รท�ำ วิจยั เปน็ ไปอย�่ งสะดวก ร�บรื่น ควรจดั ลักษณะของก�รวจิ ัยใหส้ อดคลอ้ งกบั หนว่ ยง�นทผ่ี วู้ จิ ยั ปฏบิ ตั งิ �นอยู่ พงึ ตระหนกั ว�่ ก�รวจิ ยั ส�ม�รถนำ�ไปสู่ก�รพัฒน�กระบวนก�ร ระบบ และ/หรือ ก�รบริก�รของหนว่ ยง�นและควรถ�มตัวเองว่�ง�นวิจยั จะเป็นประโยชน์ ต่อหน่วยง�น/ลักษณะง�นของท�่ นหรือไม่ หวั ขอ้ ท่คี วรหลีกเลี่ยงในการทาำ วจิ ยั wหวั ขอ้ ทเ่ี กย่ี วกบั ศลี ธรรม และหลกั จรยิ ธรรม ทมี่ ีแนวโน้มจะไดค้ �ำ ตอบท่ี ล�ำ เอยี ง ไมส่ �ม�รถใชว้ ธิ กี �รท�งวทิ ย�ศ�สตร์ และเปน็ ก�รย�กทจ่ี ะไดค้ �ำ ตอบ ทม่ี คี ว�มเชือ่ ถอื ได้ wคำาถามปรชั ญา ไมส่ �ม�รถใช้วิธีก�รท�งวิทย�ศ�สตร์ ย�กตอ่ ก�รถ�ม เพ่อื เกบ็ รวบรวมข้อมูล wคำาถามเกยี่ วกับศาสนา ซ่ึงไมส่ �ม�รถวดั โดยวิธีก�รท�งวทิ ย�ศ�สตร์ได้เชน่ กัน ในก�รว�งแผนก�รวจิ ัย จะต้องคำ�นงึ ถงึ ส่ิงต่อไปนี้ . หวั ขอ้ ก�รวจิ ยั นอกจ�กจะมคี ว�มเปน็ ไปไดแ้ ละส�ม�รถด�ำ เนนิ ก�รไดแ้ ลว้ จะตอ้ ง ค�ำ นงึ ถงึ ลกั ษณะ/ประเภทของข้อมลู ทตี่ อ้ งก�ร . วิธีก�รเก็บข้อมูล ตอ้ งเป็นระบบเพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูลทเี่ ชอ่ื ถือและตรงกบั ทต่ี อ้ งก�ร . ทกั ษะด�้ นเทคนคิ /วชิ �ก�ร คว�มส�ม�รถ และข้อจ�ำ กัดของผ้วู ิจัย . คว�มสนใจ และระบบท่ีสนบั สนุนก�รวิจัย . ไมเ่ คลิบเคลิม้ หลงใหลไปกับสิ่งล่อใจของหวั ขอ้ ก�รวิจยั โดยไมไ่ ด้พิจ�รณ�ถงึ ผลลพั ธ์ท่ีต�มม�ของก�รวจิ ัย . ควรศกึ ษ�ทกุ แงท่ ุกมุมของหัวข้อวิจัยเท�่ ทจ่ี ะเป็นไปได้ เพร�ะถ้�ไดท้ ำ�ไปแลว้ จะทำ�ให้เสียเวล� และทรพั ย�กรท่ใี ช้ไป แต่ได้ผลไมต่ รงกบั ทต่ี ้องก�ร 2.�การวางแผนการวิจยั �(Research�Planning) ในทน่ี ีเ้ น้นคว�มจริงท่ีว่�ก�รว�งแผนเป็นสง่ิ สำ�คัญในก�รทำ�วจิ ัย แผนก�รวิจัยท�ำ ให้ เกิดคว�มมนั่ ใจว�่ ก�รวิจัยจะประสบคว�มสำ�เรจ็ ปกติแลว้ แผนก�รวจิ ัยจะปร�กฏอยู่ในขอ้ เสนอ ของก�รวิจยั ที่น�ำ เสนอเพอ่ื ขอก�รสนับสนุนงบประม�ณหรอื ก�รใหค้ ว�มเหน็ ชอบก�รวิจัยใน ก�รจัดก�รอ�ชีวศึกษ�และฝึกอบรมวิช�ชีพหรือไม่ก็เป็นข้อเสนอก�รทำ�วิทย�นิพนธ์ในระดับ บณั ฑิตศึกษ� 40
3.�ปัญหาของการวิจัย�(The�Research�Problem) ไมว่ �่ จะเปน็ ก�รวจิ ยั ประเภทใด และจะด�ำ เนินก�รในสถ�นที่ไหนกต็ �ม ขั้นตอนแรกก็ คอื ก�รก�ำ หนดปัญห� ซึง่ นกั วิจยั ทุกคนรดู้ ีว่�เป็นเร่ืองย�กท่ีสุดแต่กม็ ีคว�มสำ�คญั ม�กทีส่ ดุ ดัง นน้ั การกำาหนดปัญหาเปน็ หวั ใจสาำ คญั ของการวิจยั ยอ้ นกลับไปดขู ั้นตอนของก�รวิจัย (ภ�พท่ี 2) ซ่งึ แนะใหร้ เู้ ป็นนยั ว�่ แหลง่ ทม่ี �ของก�ร วจิ ัยคือสถ�นก�รณห์ รอื สิ่งแวดล้อม ดงั นน้ั ปญั ห�ก�รวจิ ยั จึงมีอยู่ในท่วั ไป มองดูสิ่งแวดลอ้ ม รอบๆ ตวั ท่�นดงั นี้ ] สง่ิ ทม่ี �กระตนุ้ คว�มสนใจของท่�นมอี ะไรบ�้ ง ] สง่ิ ทย่ี งั คงสับสนและท่ยี งั ไม่มคี �ำ ตอบหรอื ค�ำ อธิบ�ย ] สง่ิ ทม่ี �สมั ผสั คว�มอย�กรู้อย�กเหน็ ของท่�นมีอะไรบ้�ง ทัง้ หมดทีก่ ล่�วม�ข้�งต้นนีท้ ำ�ใหท้ ่�นต้องพิจ�รณ�ว่�ปัญห�ทีเ่ ป็นไปได้ที่จะก�รวิจัยคืออะไร เพร�ะไมใ่ ช่ทกุ ปญั ห�ท่ีจะส�ม�รถทำ�วิจยั ได้ [ปัญหาท่ีวิจยั ได้ ไม่ใช่เพยี งแค่ตอบคำาถาม “ใช่” หรือ “ไมใ่ ช่” เท�่ นัน้ ก�รวจิ ัยอยไู่ กล กว�่ น้นั ก�รวจิ ยั เปน็ ก�รไตส่ วนเชิงลกึ เข�้ ไปในคว�มหม�ยของก�รค้นพบจนกระทั่งสงิ่ ส�ำ คญั ท่ีซ่อนอยใู่ นก�รคน้ พบนีไ้ ดเ้ ปดิ เผยออกม� [ปญั หาที่วจิ ยั ได้ บอกนยั ถึงความสมั พนั ธ์ ปญั ห�ท่ีจะวิจยั ได้จะตอ้ งเป็นปร�กฎก�รณ์ ที่ เป็นรูปธรรม สังเกตเหน็ ได้ และเป็นเหตุเปน็ ผล หรอื มีส�เหตุของคว�มแตกต่�ง ซึ่งท�ำ ให้ สถ�นก�รณห์ น่ึงมคี ว�มแตกต�่ งจ�กอีกสถ�นก�รณ์หนง่ึ [ปญั หาการวจิ ัยต้องมีความชัดเจน ไม่คลุมเครอื ปญั ห�ก�รวจิ ยั ควรตอ้ งระบไุ ว้อย่�ง ชัดเจน เพื่อว�่ ทกุ คนท่ีอ่�นจะไดเ้ ข�้ ใจ และตอบสนองตอ่ ปัญห�ต�มแบบที่ผูว้ ิจยั ตอ้ งก�รอย่�งแท้จรงิ 41
[ปญั หาท่ีจะวจิ ยั ไดต้ อ้ งบอกนัยของการตีความหมายของข้อมลู ก�รวิจยั เป็นก�ร แสวงห�ข้อเทจ็ จริง และสังเคร�ะห์คว�มหม�ยของข้อเทจ็ จริงซ่งึ น�ำ ไปสขู่ ้อสรุปท่มี เี หตผุ ล และน่�เชอ่ื ถอื 4.�ปญั หาหรอื วตั ถปุ ระสงคย์ อ่ ย/คำ�ถาม(Sub-Research�Problems/Questions) ปญั ห�ของก�รวิจัยจะมีปัญห�หลักและปญั ห�ย่อยหรอื ค�ำ ถ�มเฉพ�ะ บ�งครั้งค�ำ ตอบของ ปญั ห�ย่อยเหล�่ นนี้ �ำ ไปสู่ปญั ห�หลกั ของก�รวจิ ัย ในก�รจำ�แนกปญั ห�ก�รวิจัยหลกั ออกเป็น ปัญห�ย่อย/คำ�ถ�มยอ่ ย ผูว้ จิ ยั จะได้คว�มคดิ ในภ�พรวม และองคป์ ระกอบต่�งๆ ของปัญห� หลกั ลกั ษณะของคำาถามเฉพาะหรือปัญหาย่อยของการวจิ ัยมดี ังน้ี 0 ปญั ห�ยอ่ ยหรอื ค�ำ ถ�มก�รวิจัย ไมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งเปน็ ปัญห�ของก�รวจิ ยั แตเ่ ปน็ ปัญห� ท่ี เกดิ จ�กสถ�นก�รณ์ของก�รวจิ ยั ที่จ�ำ เปน็ ต้องตดั สนิ เพอ่ื ให้บรรลุถงึ ก�รตกลงใจเกยี่ ว กับปญั ห�หลกั ของก�รวจิ ยั กล�่ วง�่ ยๆ ก็คือ ปญั หาย่อยรวมกนั เปน็ ปัญหา ที่สมบูรณ์ หรือปญั หาหลักของการวจิ ัย 0 ปญั ห�ยอ่ ยแตล่ ะปญั ห�อ�จแยกออกไปท�ำ ก�รศกึ ษ�วิจัยต�่ งห�ก ซงึ่ จะกล�ยเปน็ ส่วน หนึง่ ของปญั ห�ก�รวิจัย 0 ก�รแปลคว�มหม�ยข้อมูลของคำ�ถ�มก�รวจิ ยั หรอื ปญั ห�ย่อยตอ้ งมีคว�มชดั เจนเช่น เดียวกับก�รระบุปัญห�ก�รวิจัย ตวั อยา่ ง ตัวอยา่ งปัญหาหลักการวจิ ยั 1 ปัจจัยทีเ่ กี่ยวข้องส่วนบุคคลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสถ�บัน/สถ�นศึกษ�ต่อ ไปนี้ มปี จั จยั ใดบ�้ งท่ีสง่ ผลตอ่ ก�รจ้�งง�นของผู้สำ�เรจ็ ก�รศึกษ�ด�้ นช่�งอุตส�หกรรม ใน ด�้ นของระยะเวล�ในก�รรอคอยส�ำ หรบั ง�นแรก และเปน็ ง�นที่สอดคล้องกบั ส�ข�ที่เรยี น 1. ปัจจัยทีเ่ กีย่ วข้องสว่ นบคุ คล V อ�ยุ V สถ�นภ�พ V ทกั ษะ (ด้�นวชิ �ชีพ ด้�นสังคม และด้�นแนวคว�มคิด) V ทกั ษะด�้ นก�รสือ่ ส�ร V เกรดเฉลีย่ เม่ือส�ำ เรจ็ ก�รศกึ ษ� V ระดบั คว�มส�ม�รถท�งสติปัญญ�(IQ) V สถ�บนั ทส่ี ำ�เรจ็ ก�รศึกษ� V ส�ข�วชิ �ท่ีจบ 42
2. ปจั จยั ทเี่ กี่ยวข้องกบั สถานศึกษา/สถาบนั V คว�มเพียงพอของอปุ กรณส์ อื่ ก�รเรียนก�รสอน และส่ิงอ�ำ นวยคว�มสะดวก V ประสิทธิผลของโปรแกรมก�รฝึกปฏบิ ัติง�น (on the job training) V คว�มส�ม�รถของครู – อ�จ�รย์ V คว�มเหม�ะสมของหลกั สูตร ปญั หายอ่ ยของการวิจัย / คาำ ถาม 1. ข้อมูลพน้ื ฐ�นของผู้ตอบแบบสอบถ�มของผ้สู �ำ เรจ็ ก�รศกึ ษ�เปน็ อย�่ งไร 2. ผตู้ อบแบบสอบถ�ม รบั รู้ หรอื มคี ว�มคดิ เหน็ อย�่ งไร เกย่ี วกบั สถ�บนั /สถ�นศกึ ษ�ในด�้ น วสั ดุ อปุ กรณ์ สอ่ื ก�รเรียนก�รสอน และส่ืออ�ำ นวยคว�มสะดวก ประสิทธิผลของก�ร เรยี นก�รสอนในส�ข�ท่ีเรียนในระหว�่ งที่มกี �รเรยี นก�รสอน ศกั ยภ�พของครู-อ�จ�รย์ และคว�มเหม�ะสมของหลักสตู ร 3. ระยะเวล�เฉล่ียทีร่ อง�นแรกของผู้สำ�เรจ็ ก�รศกึ ษ� 4. ปจั จยั ท่ีเก่ียวกับผูส้ ำ�เรจ็ ก�รศกึ ษ�และปัจจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกับสถ�บัน/สถ�นศกึ ษ� เกย่ี วขอ้ งอย�่ งมนี ยั ส�ำ คญั ตอ่ ก�รจ�้ งง�นของผสู้ �ำ เรจ็ ก�รศกึ ษ�ด�้ นช�่ งเทคนคิ หรอื ไม่ ตวั อย่างปัญหาหลกั การวจิ ัย 2 ก�รใช้วิธกี �รเน้นผลลัพธใ์ นก�รเรียนก�รสอน (The outcome-based teaching- learning approach) ผลต่อสมั ฤทธ์ิผลของนกั ศกึ ษ�ช่�งเทคนคิ สำ�หรบั กลมุ่ ทดลอง และกลมุ่ ควบคมุ เป็นอย�่ งไร ปญั หายอ่ ยของการวิจัย / คำาถาม คะแนนเฉลี่ยก่อนก�รทำ�ก�รทดลอง(Pre-test)และคะแนนเฉลี่ยหลังก�รทำ�ก�ร ทดลอง (Post-test) ของนกั ศึกษ�กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมเปน็ อย�่ งไร 1. ก�รเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยกอ่ นและหลงั ก�รทำ�ก�รทดลองของนกั ศึกษ� กลุ่มทดลองเป็นอย่�งไร 2. ก�รเปรียบเทยี บคะแนนเฉลี่ยกอ่ นและหลังก�รทำ�ก�รทดลอง ของนกั ศึกษ� กลมุ่ ควบคุมเปน็ อย่�งไร 3. ก�รเปรียบเทียบคะแนนเฉลีย่ กอ่ นและก�รทดลองของนกั ศึกษ�กลุ่มควบคมุ และ กลุ่มทดลอง เปน็ อย�่ งไร 4. ก�รเปรียบเทยี บคะแนนเฉลย่ี หลังก�รทดลองของนักศึกษ�กล่มุ ควบคุมและ กลมุ่ ทดลอง เป็นอย�่ งไร 5. ก�รเรียนก�รสอนแบบเน้นใช้ผลลพั ธเ์ ปน็ ฐ�น (OBTL) มปี ระสิทธภิ �พหรอื ไม่ 43
ตัวอย�่ งทกี่ ล่�วม� มคี ว�มเหม�ะสมกบั ปัญห�ก�รวิจยั หรอื ปัญห�ยอ่ ยของก�รวจิ ัย ด�้ นสังคมศ�สตร์ เช่น ในท�งก�รศึกษ� หรือโครงก�รวิจัยเชงิ พัฒน�ด�้ นเทคนิค ไดแ้ ก่ ในก�รปรับปรุงก�รผลติ กระบวนก�ร หรือระบบ ในโครงก�รวจิ ัยเชงิ พัฒน�บ�งครง้ั ก็ เปน็ ก�รดที ีจ่ ะระบุวัตถุประสงคข์ องโครงก�รเพื่อแสดงเหตุผลของโครงก�ร เรมิ่ ตน้ ด้วยวตั ถปุ ระสงค์ทั่วไปแล้วต�มด้วยวตั ถปุ ระสงค์เฉพ�ะ ตัวอย่าง ในสถ�บันก�รศึกษ�ด้�นอ�ชีวศึกษ�แห่งหนึ่งที่เปิดสอนส�ข� คือ เทคโนโลยี อ�ห�ร สถ�บันแหง่ นต้ี ้งั อยู่ในภมู ิภ�คทฤี่ ดฝู นมรี ะยะเวล�ย�วน�นกว่�ฤดแู ล้ง ดงั นั้น ก�รอบแหง้ ผลไม้ ผัก เน้ือ และปล� จึงเป็นปัญห�ใหญ่ ก�รจดั ซือ้ เครอื่ งอบแหง้ อ�ห�ร เชิงพ�ณิชยใ์ นท้องตล�ดเป็นส่งิ ท่ีเปน็ ไปไม่ได้ เพร�ะสถ�บันข�ดแคลนงบประม�ณ เมอ่ื สถ�นก�รณเ์ ปน็ เช่นน้ี จงึ จ�ำ เป็นตอ้ งประดษิ ฐ์เครือ่ งอบแหง้ อ�ห�รสำ�หรบั ใช้ในหอ้ ง ทดลอง โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ก�รถนอมอ�ห�ร ซ่ึงจะน�ำ ม�ใช้ในก�รเรียนก�รสอน ก�รสร้�งเครือ่ งอบแห้งอ�ห�รแบบธรรมด�ด้วยร�ค�ต้นทุนต่ำ�เพื่อใช้ในห้องทดลอง อ�จจะเป็นค�ำ ตอบของปัญห�ดังกล่�ว [ วัตถปุ ระสงคท์ ่วั ไป V สร�้ งเคร่ืองอบแห้งอ�ห�ร แบบง�่ ยๆ และตน้ ทุนตำ�่ สำ�หรับห้องปฏิบัติก�ร [ วตั ถปุ ระสงค์เฉพาะ V กำ�หนดคว�มตอ้ งก�รส�ำ หรับอบแหง้ ผกั ผลไม้ เนือ้ และปล� V ออกแบบตวั อย่�งเครื่องอบแหง้ อ�ห�รโดยประยกุ ต์ใช้หลักก�รต�่ งๆของก�รถนอม อ�ห�ร V พัฒน�ต้นแบบเคร่ืองอบแหง้ อ�ห�รส�ำ หรับหอ้ งปฏิบัติก�ร V ประเมินประสทิ ธิภ�พของเคร่อื งอบอ�ห�ร 44
5.�กรอบทฤษฎ�ี และกรอบแนวความคดิ เมอื่ ได้หัวข้อก�รวจิ ัย และปัญห�ก�รวิจยั แล้ว ขัน้ ตอนต่อไปคือก�รก�ำ หนด กรอบแนวคิด ซง่ึ จะเรม่ิ ต้นดว้ ยก�รทบทวนวรรณกรรมและก�รศึกษ�ต่�งๆ เพ่อื กำ�หนดกรอบทฤษฏี 1 กรอบทฤษฎี น�ำ เสนอทฤษฎี หรอื ชดุ ของทฤษฎที อ่ี ธบิ �ยว�่ ท�ำ ไมปร�กฏก�รณ์ จงึ มีอยู่ โดยทวั่ ไปแลว้ กรอบทฤษฎเี ปน็ โครงสร้�งของคว�มคดิ เป็นชดุ หรอื ระบบของข้อเทจ็ จริงและคว�มคดิ ท่ีนำ�ไปสู่ทฤษฎี 1 กรอบแนวคดิ กรอบแนวคิดอธิบ�ยมุมมอง และจุดยนื ของนกั วิจยั หลงั จ�กที่ เข�ไดร้ ับรู้ทฤษฎตี ่�ง ๆซง่ึ เกี่ยวขอ้ งกบั ปัญห� กรอบคว�มคิดจะเปน็ คมู่ อื ของ นกั วจิ ัยในก�รด�ำ เนนิ ก�รวเิ คร�ะห์ ซงึ่ ตอ่ ม�กจ็ ะเป็นกระบวนทัศน์ของก�รวิจัย 1 กระบวนทัศน(์ กรอบ)ของการวิจัย เป็นก�รแสดงคว�มเชือ่ มโยงของกระบวน ก�รวจิ ยั ท่อี ธบิ �ยถึงคว�มสมั พันธ์ระหว�่ งตวั แปร ดงั น้ัน กระบวนทัศน์ของ การวิจยั จะกล�ยเปน็ คูม่ อื ในก�รด�ำ เนินง�นวิจัย 6.�การทบทวนวรรณกรรม�และการศึกษาเอกสารที่เกีย่ วข้อง�� (Theoretical�and�Conceptual�Framework) ก�รพัฒน�กรอบก�รทำ�ง�นเร่ิมต้นด้วยก�รทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องซึ่งเป็น กระบวนก�รท่สี �ำ คญั ทผ่ี ้วู จิ ยั ส�ม�รถเชือ่ มโยงหวั ขอ้ และปญั ห� เข้�กับแหล่งคว�มรทู้ ีม่ ีอยู่ ผู้วจิ ยั ส�ม�รถค้นห�ขอ้ มูลจ�กหนงั สอื หนังสืออ�้ งองิ ว�รส�ร ร�ยง�นก�รวจิ ัย วิทย�นิพนธ์ และปรญิ ญ�นิพนธ์ ก�รวิจยั และก�รศกึ ษ�ท่ไี ดด้ �ำ เนนิ ก�รม�กอ่ นแล้ว และแหลง่ ขอ้ มลู อ่ืนๆ เช่นจ�กเวบ็ ไซต์ต่�งๆ 45
ส่ิงที่ควรทาำ และไม่ควรทาำ ในการทบทวนวรรณกรรม สิง่ ที่ควรทำา สิง่ ทไ่ี มค่ วรทาำ » ศึกษ�วรรณกรรมเฉพ�ะทีเ่ กีย่ วข้อง » อย่�งเพียงแตน่ บั จ�ำ นวนก�รอ้�งอิง และ กับก�รวิจัยทีจ่ ะดำ�เนินก�รในเรื่องของ ก�รศึกษ�เพื่อทำ�ให้ร�ยง�นก�รวิจัยมี วัตถปุ ระสงค์ วธิ ีก�ร และก�รค้นพบ เท่�น้นั จ�ำ นวนม�ก » อธิบ�ยถึงคว�มสัมพันธ์ของวรรณกรรมที่ » อย่�เริ่มดำ�เนินก�รทบทวนวรรณกรรม ทบทวนกบั ก�รวิจยั ทจี่ ะดำ�เนินก�ร โดยไม่ได้ว�งแผนต้องมีคว�มชัดเจนในสิ่งที่ » อธิบ�ยคว�มสัมพันธ์ของก�รศึกษ�ที่ได้ ตอ้ งก�รทำ� ทบทวน ซึ่งให้คว�มเหมือน คว�มแตกต่�ง » อย่�ฉีกหน้�หนังสือออกจ�กเล่มเพื่อเก็บ จดุ อ่อนและจดุ แข็ง รวบรวมร�ยละเอียดข้อมูล » ไปห้องสมดุ ที่มีเคร่อื งมอื ส�ำ หรับเก็บรวบรวม » อย่�เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เศษกระด�ษ ขอ้ มูล เชน่ บัตรดชั นี หรือบัตรส�ำ หรับ หรอื กระด�ษชนิ้ เล็กๆ บันทึก คลบิ เหนบ็ กระด�ษ กล้องถ่�ยรูป บนพ้นื ฐ�นของก�รอภปิ ร�ยดงั กล่�วข้�งต้น วตั ถุประสงค์ของก�รทบทวนวรรณกรรม ส�ม�รถสรุปได้ โดยสงั เขปดังน้ี V แนะนำ�วิธีก�รหรอื เทคนิคในก�รจัดก�รกบั ก�รวจิ ัย V ให้ขอ้ มลู และข้อเทจ็ จรงิ กับนักวจิ ยั V แสดงให้ทร�บถงึ บุคคล นกั วจิ ัย หรือผเู้ ช่ยี วช�ญที่เสนอข้อมูลทีม่ ีส่วนรว่ ม อย่�งมนี ัยส�ำ คญั ต่อเรือ่ งทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับก�รวจิ ยั ของผวู้ จิ ัย V ชว่ ยใหน้ ักวจิ ัยมองเห็นก�รศกึ ษ�ของตนเองในมุมมองของก�รศกึ ษ�อน่ื ๆ ท่ี ด�ำ เนินก�รก่อนหน�้ น้ี V ชว่ ยผู้วิจัยประเมนิ คว�มสัมพนั ธข์ องก�รวิจยั กบั ก�รศึกษ�อ่นื V ทำ�ให้ผู้วิจัยเกดิ คว�มมนั่ ใจในคว�มคิด และแนวคิดของก�รศึกษ�ของตนเอง ซ่ึงหม�ยคว�มว�่ มตี ัวบ่งชี้ทแ่ี ขง็ แกร่ง บ่งช้วี ่�สงิ่ ที่นักวจิ ัยมีอยูใ่ นใจส�ม�รถ ตรวจสอบได้ V ให้ข้อมลู ก�รวิจัยทีไ่ ด้ดำ�เนนิ ก�รม�ก่อนหน้�น้ี เพื่อว่�จะไม่มีก�รดำ�เนินก�ร ศึกษ�ซ�้ำ เกิดขนึ้ และก�รทบทวนวรรณกรรมจะน�ำ ผวู้ จิ ัยไปสู่ส่ิงทีย่ งั คงส�ม�รถ ถูกตรวจสอบได้ จ�กก�รทบทวนวรรณกรรม ผวู้ จิ ัยมคี ว�มพร้อมในก�รกำ�หนดแผนทฤษฎีสำ�หรบั ปญั ห�ก�รวิจยั ซ่งึ เปน็ คำ�อธบิ �ย ของปร�กฏก�รณห์ รอื ปญั ห�ที่จะศกึ ษ� แผนทฤษฏีจะเปน็ ฐ�น ในก�รกำ�หนดสมมตฐิ �นก�รวจิ ัย ปกติแล้วแสดงต�มกระบวนทัศนข์ องกระบวนก�รวจิ ยั 46
กระบวนทัศนท์ ่ี 1 (ภ�พท่ี 4) แสดงใหเ้ หน็ ว่�ก�รวิจยั น้พี ย�ย�มที่จะตัดสนิ ว่�วธิ สี อนมี ผลกระทบต่อสัมฤทธทิ์ �งก�รเรียนของนักเรียนในชน้ั หรือไม่ และชีใ้ หเ้ หน็ ว่�ในก�รสอง วธิ ี วิธกี �รใดจะมีประสทิ ธผิ ลม�กกว่�กนั A.1 ตัวอย�่ ง กระบวนทัศนข์ องก�รวจิ ยั ทแ่ี สดงถึงคว�มสัมพันธ์ ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม วธิ สี อน ผ ล ส ัม ฤ ท ธิ ท์ � ง ก � ร เรี ย น ข อ ง » ก�รสอนแบบเดมิ นกั ศึกษ�คะแนนท่ไี ด้ระหว�่ ง » ก�รสอนแบบใชผ้ ลลัพธ์เป็นฐ�น/ » Pretest กอ่ นเรยี น ก�รสอนแบบฐ�นสมรรถนะ » Posttest หลังเรยี น ภ�พที่ 4 ศกึ ษ�ประสทิ ธผิ ลของก�รเรยี นก�รสอนแบบฐ�นสมรรถนะ ตวั แปรอิสระ ตวั แ ตวั แปรตาม » วิธสี อน » ผลสัมฤทธิข์ องนักศกึ ษ� ตัวแปรรอง » สตปิ ญั ญ�ของนกั ศกึ ษ� ภ�พที่ 5 ศึกษ�ประสทิ ธิผลของวธิ ีก�รสอนเก่ียวกบั คว�มส�ำ เรจ็ ของนกั เรยี นกบั ตัวแปรปรบั กระบวนทศั น์ที่ 2 (ภาพท่ี 5) คลา้ ยคลงึ กับกระบวนทัศนแ์ รกยกเว้น กระบวนทศั นท์ ่ี 2 ยอมรับไอคิวหรือระดบั สตปิ ัญญ�ของนักเรียนว�่ มผี ลกระทบตอ่ คว�มสมั พนั ธ์ ระหว่�งวธิ กี �รสอนและผลสมั ฤทธิท์ �งก�รเรียนของนักเรยี น ซง่ึ แสดงนัยว�่ ถ้� ต้องก�รได้คว�มสัมพันธ์ทีเ่ กดิ ขนึ้ จรงิ ระหว�่ งวธิ ีก�รสอนและคว�มสำ�เร็จของนกั เรียน จะตอ้ งมีก�รควบคุมผลกระทบของไอควิ หรอื ระดับสติปัญญ� 47
A.2 ตวั อย�่ ง กรอบ (กระบวนทศั น)์ ของก�รวจิ ัยเชงิ พฒั น� ตัวป้อน กระบวนการ ผลลพั ธ์ โมดูลก�รเรียนก�รสอนวชิ � ขอ้ ก�ำ หนดในก�รจดั ก�รเรยี นรู้ ก�รว�งแผนโครงก�รและก�รออกแบบ เขยี นแบบเทคนคิ ท่มี ีก�ร l คว�มตอ้ งก�รคว�มรู้ l ก�รพฒั น�โครงก�ร ตรวจสอบแลว้ l คำ�อธิบ�ยร�ยวิช� l ก�รทดสอบและก�รรับรองคว�มรู้ ก�รสรปุ ผล l หลกั สตู ร l ก�รปรบั แก้ไข l ปญั ห�ทีป่ ระสบในก�รสอน l ก�รสรปุ ผล ประเมินผลโดยผ้มู สี ว่ นได้เสยี l ก�รพัฒน�โมดุล l ร�ยละเอียดขอ้ มูลของ นักเรยี น ภ�พที่ 6 ก�รพัฒน�โมดลู สำ�หรับก�รเรยี นก�รสอนวิช�เขยี นแบบเทคนิค กระบวนทัศน์ที่ 3 (ภาพที่ 6) แสดงให้เหน็ ถงึ การพัฒนาโมดลู วา่ มีการพัฒนามา อย่างไร กรอบตัวปอ้ น (input) อธบิ �ยว่� ขอ้ กำ�หนดในก�รจดั ก�รคว�มรทู้ ่ีต้องก�ร ก่อนทจ่ี ะดำ�เนนิ ก�รพัฒน�โมดลู มีอะไรบ้�ง กล่องตรงกล�งให้คว�มคดิ เกยี่ วกับขัน้ ตอนในก�รดำ�เนนิ ต�มกระบวนก�รพัฒน�โมดูลซึ่งนำ�ไปสูค่ ว�มสำ�เร็จสมบูรณ์ของ โครงก�รและแสดงผลลัพธ์หลงั จ�กพฒั น�โมดลู แล้ว ข้ันตอนตอ่ ไปคือก�รประเมนิ ผล ซึ่งจะดำ�เนินก�รโดยผู้มีส่วนไดเ้ สีย เพื่อให้เกดิ ก�รยอมรับ และก�รน�ำ ไปใช้ 7.�ตัวแปร�(variables) ตวั แปร หม�ยถงึ คณุ สมบัติหรอื คณุ ลักษณะหรือปร�กฏก�รณข์ องสิ่งต�่ งๆ ที่ผู้วจิ ัยต้องก�ร ศกึ ษ�ห�คว�มจริง ซ่งึ อ�จจะเปน็ สิง่ ที่มชี วี ิต หรอื ไมม่ ีชีวิตก็ได้ ตวั แปรตอ้ งมคี �่ เปลีย่ นแปลงได้อย่�ง น้อยตง้ั แต่สองค�่ ข้ึนไป ประเภทของตวั แปร ต�มวตั ถปุ ระสงคข์ องก�รศกึ ษ� จะอธบิ �ยตวั แปร ได้ 3 ประเภท [ตวั แปรอิสระ (Independent Variable) คือ ตัวแปรทผี่ วู้ จิ ัยก�ำ หนดให้เป็น ตัวแปรท่ีมีอิทธิพลต่อตวั แปรอืน่ ๆ ผู้วิจยั ส�ม�รถควบคมุ เปล่ยี นแปลงตวั แปรอิสระ เพือ่ ดผู ลทีต่ �มม� ตัวแปรอิสระ อ�จจะเรยี กว่�ตัวแปรตน้ หรือตัวแปรส�เหตุก็ได้ [ตวั แปรตาม (Dependent Variable) คือ ตัวแปรทเ่ี ปลย่ี นไปต�มตวั แปรอสิ ระ พูดง�่ ยๆ กค็ อื เป็นผลของตวั แปรอสิ ระนั่นเอง เป็นตวั แปรท่ีเร�ตอ้ งเก็บค่�และบนั ทึกผล [ตัวแปรรองหรือตัวแปรควบคุม (Moderator Variable) คือ ตัวแปรทอ่ี �จมี ผลกระทบต่อคว�มสมั พนั ธร์ ะหว�่ งตวั แปรอิสระ และตัวแปรต�ม 48
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124