99 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เทพนารีจึงว่า “ก็ต้นไม้น่ันแหละเป็นวิมานของดิฉัน” แต่พูดอย่างไรพระภิกษุรูปนั้นก็ไม่ไยดี จึงให้บุตรของตนเอง ไปปรากฏกายขวางขวานท่านไว้ หากทว่าพระคุณเจ้าจะยั้งก็ย้ังไม่ทัน แล้ว คมขวานสับเข้าท่ีแขนของเทพบุตรน้อยขาดกระเด็น เทพนารีเห็นดังน้ันก็โกรธสุดขีด รี่เข้าไปหมายจะฆ่าท่านเสีย แต่ก็ย้ังใจคิดได้ว่า หากเราลงมือ มีหวังต้องตกนรกเป็นแน่ ควรนำ เรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าจะดีกว่า ครั้นพระพุทธองค์ทราบเร่ืองนี้ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้าม ภิกษุพรากของเขียว (ตัดต้นไม้หรือแม้แต่เด็ดใบไม้) พวกรุกขเทวดาส่วนมากมีจิตใจดีงาม ชอบช่วยเหลือมนุษย์ จะเห็นว่าต้นไม้บางต้นนั้น ชาวบ้านก็เอาผ้าสีต่างๆ ไปผูกไว้ หาของ หวานของคาวไปเซ่นไหว้ ซ่ึงก็เป็นเร่ืองดี เพราะรุกขเทวดาเหล่านี้ ถ้าเห็นว่ามนุษย์คนใดให้ความเคารพตนเอง ก็จะช่วยเหลือ มนุษย์คนน้ันเป็นการตอบแทนเช่นกัน จริงๆ แล้วหากจะขอพรจากรุกขเทวดา ไม่จำเป็นต้องหา ของคาวหวานไปเซ่น เพราะพวกเทวดามีอาหารทิพย์ของเขา ไม่กิน อาหารของมนุษย์อยู่แล้ว ท่ีควรทำก็คือ ปัดกวาดบริเวณต้นไม้น้ันให้สะอาด ผูกผ้าให้ สวยงาม จัดแจงประดับดอกไม้ โปรยน้ำอบเสียให้หอมกรุ่น จากน้ันก็ จุดธูปเทียนบอกกล่าวเสีย เท่าน้ีเป็นอันพอใจของรุกขเทวดาแล้ว ถ้า ทำแล้วก็ทำให้สม่ำเสมอด้วย เขาจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเราตลอดไป ข้อน้ีผู้เขียนอิงเนื้อหาจาก “ปลาสชาดก” ในพระไตรปิฎก ไม่
101 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ได้อุปโลกน์ข้ึนมาเองแต่อย่างใด ในทางกลับกัน หากไปแสดงการลบหลู่ดูหมิ่น รุกขเทวดาก็ อาจสั่งสอนตักเตือนเอาบ้างเหมือนกัน ซ่ึงถ้าไม่สุดวิสัยจริงๆ เขาก็ไม่ ทำ เพราะพวกเขามีข้อปฏิบัติร่วมกันเรียกว่า รุกขธรรม “รุกขธรรม” ท่ีว่านี้ คือ ถ้ามีมนุษย์มาโค่นต้นไม้ที่มีรุกขเทวดา สถิตอยู่ เป็นเหตุให้วิมานพังทลายลง เทวดาเจ้าของวิมานจะต้อง ไม่ โกรธไม่น้อยใจ หากโกรธแค้นฉุนเฉียวข้ึนมา รุกขเทวดาองค์น้ันจะถูกห้ามไม่ ให้เข้าท่ีร่วมชุมนุม “สโมสรรุกขเทวดา” ซึ่งจะมีข้ึนทุกๆ ๑๕ วัน จนกว่าเทวดานั้นจะสำนึกตัว หากรุกขเทวดาใดทำเกินเลยไปกว่านั้น ถึงขั้นทำร้ายมนุษย์ให้ถึงแก่ความตาย รุกขเทวดาตนน้ันจะจุติไปเกิด ในนรกทันที พวกรุกขเทวดาบางทีก็น่าสงสารเช่นกัน ต้องตกเป็นผู้ถูก กระทำอยู่ฝ่ายเดียว คุณธรรมประจำใจของพวกเขา มนุษย์เราควร เอาเยี่ยงอย่างท่ีสุด ภูมิเทวดา เทวดาประเภทนี้เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า เจ้าท่ี หรือ พระภูมิเจ้าที่ มีสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกมนุษย์ สถานภาพความเป็นอยู่ก็เหมือนกับรุกขเทวดา วิมานของ พวกเขาต้องให้เทพผู้มีหน้าที่มาเนรมิตให้ จากนั้นก็เสวยสุขอยู่ใน วิมานอย่างสำราญบานใจ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 102 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ภูมิเทวดานี้ สามารถให้คุณให้โทษกับมนุษย์ได้เช่นกัน ดังนั้น คนโบราณมักเตือนว่า เวลาไปอยู่ค้างอ้างแรมต่างท่ีต่างถ่ินให้บอก กล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เพราะไม่ทราบว่าเทวดาพวกนี้จะมีจิตใจเป็น อย่างไร มีลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนมนุษย์เราน่ีเอง เกิดไปนอนทับซ้อนใน เขตวิมานของเขา ถึงจะอยู่กันคนละมิติ ก็อาจทำให้เขาไม่พอใจได้ ค่าท่ีไม่รู้จักให้ความเคารพกัน บ้างก็หวงท่ีตนเองก็มี เทวดาทุกประเภทในช้ันจาตุมมหาราชิกา ด้านการใช้ ชีวิตอาจดีกว่ามนุษย์หลายเท่า แต่ด้านจิตใจน้ันไม่ต่างจาก มนุษย์เลย เทวดาบางองค์ยังหยาบกระด้างกว่ามนุษย์เสียอีก ในครั้งพุทธกาล ภูมิเทวดาท่ีสถิตบนฉัตรภายในบ้านของ อนาถปิณฑิกเศรษฐี เห็นท่านเศรษฐีทำบุญทำทานมากมายก่ายกอง ก็กลัวว่าท่านจะฉิบหายเพราะทำบุญทำทาน วันหน่ึงจึงปรากฏกายออกมาบอกท่านว่า “เราเป็นเทวดา ประจำฉัตรของท่าน มาเตือนด้วยความหวังดีว่า หยุดทำทานได้แล้ว ประเด๋ยี วทรพั ย์สมบัติของท่านกห็ มดกนั พอดี หรอื ไม่ก็เพลาๆ ลงบา้ ง” เศรษฐีฟังแล้วก็ถามคืนว่า “พูดจบหรือยัง” ภูมิเทวดาน้ันก็ ตอบว่า “พูดจบแล้ว” เศรษฐีจึงชี้ออกไปนอกประตูแล้วบอกว่า “ท่านสถิตอยู่บ้าน เรามานาน ยังไม่รู้จักอะไรคือความดีความช่ัว... ไปเถิด ออกไปจาก บ้านเรา” เศรษฐีอนาถปิณฑิกะท่านบรรลุโสดาบันแล้วขณะนั้น มีศีล บริสุทธ์ิบริบูรณ์ ด้านกายภาพอาจหยาบกว่า แต่ด้านสภาวะจิตนั้นสูง
103 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . กว่าหลายเท่า เมื่อออกปากไล่ วิมานของเทวดาองค์น้ันก็หายวับไป ทันที ภูมิเทวดาก็กลายเป็นเทวดาเร่ร่อน เมื่อไม่มีที่อยู่ก็ต้องทำคุณไถ่ โทษเสียยกใหญ่ กว่าเศรษฐีจะยอมยกโทษให้กลับมาอยู่ดังเดิม การไถ่โทษของเทวดาในครั้งนั้นคือ ไปช่วยให้ลูกหน้ีของ เศรษฐีมีเงินทอง แล้วดลใจให้เอาเงินมาคืน ช่วยให้เศรษฐีทำมาค้า ข้ึนผิดหูผิดตา วันดีคืนดีก็มาเข้าฝันเศรษฐีว่า มีขุมทรัพย์ที่คนโบราณฝังไว้ ริมชายหาด ให้ไปขุดเอา ต่ืนเช้ามาไปสำรวจก็ปรากฏว่า บริเวณนั้น เป็นอย่างที่เห็นในฝันทุกประการ ท้ังที่ตัวเศรษฐีก็ไม่เคยมาท่ีนี่เลย คร้ันให้คนขุดก็เป็นท่ีอัศจรรย์ว่าเจอไหเงินไหทองมากมาย ขนขึ้น มากองเป็นภูเขาเลากาทีเดียว เศรษฐีเห็นว่าเทวดาได้ช่วยเหลือ ตนเองจนมีสมบัติเพิ่มขึ้นมากมาย ได้ทำบุญทำทานอีกไม่มีหมด จึง ยกโทษให้แต่โดยดี ตรงนี้อาจเป็นที่มาของการต้ังศาลพระภูมิในเวลาต่อมา เป็นการอัญเชิญให้เทวดามาอยู่ด้วย จะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน นับ เป็นเรื่องดี ความจริงศาลอันเล็กๆ คงไม่พอให้เทวดาขดตัวเข้าไปอยู่ได้ เพียงแต่ทำไว้เพ่ือเป็น “เครื่องหมาย” เวลาให้ความเคารพกันจะได้รู้ ว่าควรทำ ณ ตรงท่ีใด
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 104 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ อากาสเทวดา เทวดาประเภทน้ี มีหน้าที่รับผิดชอบกัน ชัดเจน เพ่ือให้เกิดความสมดุลของดินฟ้าอากาศ เช่น เทวดาประจำพายุร้อน (สีตวลาหกเทพบุตร) เทวดาประจำพายุเย็น (อุณหวลาหกเทพบุตร) เทพเจ้าแห่งฝน (วัสสาวลาหกเทพบุตร) เทวดา ประจำพระจันทร์ (จันทิมเทพบุตร) เทวดาประจำ พระอาทิตย์ (สุริยเทพบุตร) เป็นต้น การทำหน้าท่ีของเทวดาประเภทนี้ แม้จะ อยู่ในอาณัติของ ”ท้าวธตรัฐ” ผู้เป็นนาย แต่บาง ครั้งก็ต้องรับคำสั่งด่วนจากมหาเทพคือ “องค์ อมรินทร์” แห่งดาวดึงส์เหมือนกัน อย่างเช่นคร้ังหนึ่งเมืองโกศลเกิดแห้งแล้ง ฝนไม่ตกเป็นเวลานาน จนกระท่ังสระในพระเชต วันวิหารแห้งขอด พระพุทธองค์เห็นความเดือด ร้อนของชาวเมืองจึงทรงมีพระดำริว่า “วันน้ีเราจะ ทำให้ฝนตก” เพียงเท่าน้ัน แท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ขององค์อมรินทร์ ก็แสดงอาการแข็งกระด้างข้ึน มาทันที ท้าวท่านรู้ถึงความดำริของพระพุทธองค์ ก็ทรงมีเทวโองการด่วนถึง “เทพวัสสาวลาหก” ซึ่ง เป็นเทพแห่งกสิกร ให้รีบทำให้ฝนตกทันที
105 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ท้าววิฬุรหก ท้าววิฬุรหกทรงมีรูปกายใหญ่โตผิวคล้ำ ท่าทางขึงขังน่าเกรง ขาม ปกครองด้านทิศใต้ มีเทพบุตรขุนทัพในอาณัติ ๙๐ องค์ ปกครองพวก “กุมภัณฑ์” และ “ครุฑ” กุมภัณฑ์ เม่ือได้ยินช่ือนี้ คนท่ัวไปอาจนึกแสยงใจว่า ต้องมีรูปร่างน่า เกลียด จิตใจโหดร้ายแน่แล้ว นั่นเป็นความเข้าใจท่ีถูกเพียงครึ่งเดียว กุมภัณฑ์จริงๆ แล้วไม่ใช่เทวดาเต็มตัวเสียทีเดียว คือมีการ เสวยสุขอย่างเทวดาก็จริง แต่ก็ได้รับความลำบากจากความพิกลของ ร่างกายตนเอง เน่ืองจากว่า มีร่างกายใหญ่โต หยาบกระด้าง ดำ ทะมึน หน้าตาขี้ร้ิวขี้เหร่ บ้างพุงใหญ่เท่าตุ่ม บ้างมีลูกอัณฑะใหญ่ หรือหนักหน่อยก็รับไปท้ัง ๒ อย่าง ได้รับความลำบากไม่น้อย แตด่ ว้ ยบุญท่ที ำไว้ ทำใหส้ ามารถละสภาวะน้นั กลายรา่ งเปน็ เทพสมบรู ณแ์ บบ เสวยสุขในวิมานได้ปกตเิ ปน็ คร้งั คราวสลบั กันไป เทวดาประเภทนี้ ทำความดีไว้ก็จริง แต่โมโหง่าย มือไว ใจหยาบกระด้าง เช่น เป็นพ่อค้าแม่ขาย ด้านหนึ่งก็ใจบุญสุนทาน ด้านหน่ึงกลับหน้าเลือดไม่น้อย โก่งราคาเอากำไรกันเห็นๆ เป็นต้น หน้าท่ีหลักของภุมภัณฑ์คือ รับใช้ท้าววิฬุรหก นายเหนือหัว ตนและคอยตรวจสอบการกระทำของมนุษย์ เพ่ือรายงานต่อเทพ เบ้ืองบนต่อเป็นทอดๆ ไป
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 106 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ กุมภัณฑ์ สถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ในเมืองมนุษย์ มีท้ังท่ีใจดีและ โหดร้าย เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป มนุษย์เราเกิดปะเหมาะเห็นภูตตัวสูง ใหญ่ พุงโย้ ถือกระบอง ทำตาแดง ก็นั่นล่ะ “กุมภัณฑ์” เขาสามารถส่ังสอนมนุษย์ด้วยฤทธิ์ของตนเองได้ หากไปล่วง เกินเขาก่อน แต่ก็ไม่ทำให้ถึงตายเพราะผิดกฎสวรรค์ ครุฑ ครุฑ “ไม่ใช่เทวดา” แต่เป็นสัตว์ดิรัจฉานกายทิพย์ มีปีก สวยงาม ตาแหลมคมมองเห็นได้ไกล เวลาไปไหนมาไหนจะบินไป เป็นเจ้าแห่งสัตว์ปีก และมีฤทธิ์มาก สามารถจำแลงกายได้ มีช่ือเรียกอีกอย่างว่า สุบรรณ แปลว่า ปีกงาม แต่จะเหมาเอาว่า ครุฑ เป็นก่ึงสัตว์ก่ึงเทพก็ไม่ได้ เพราะเทพ เป็นฝ่ายสุขคติ (ฝ่ายไปเกิดในทางดี) ส่วนสัตว์ดิรัจฉานเป็นฝ่ายทุคติ (ฝ่ายเกิดในทางรับความลำบาก) ภูมิทั้งสองฝ่ายนี้ไม่ปะปนกัน ครุฑ เกิด ๒ ครั้งคือ เกิดจากท้องแม่เป็นไข่ แล้วฟักไข่ออกมา อีกทีหน่ึง จึงเป็นสัตว์ดิรัจฉานขนานแท้ เพียงแต่ด้วยบุญญาธิการ ของพวกเขา ทำให้กลายเป็นสัตว์ที่มีกายละเอียด มีอิทธิฤทธิ์ อยู่ตาม ป่าใหญ่และตีนเขา แต่ด้วยความท่ีมีกายทิพย์ มนุษย์จึงมองไม่เห็น นอกจากพวกเขาจงใจให้เห็นเท่าน้ัน สัตว์โลกท่ีจะเกิดเป็นครุฑได้ เพราะมีกรรมฝ่ายชั่วที่ทำให้ไป เกิดเป็นดิรัจฉาน แต่ก็มีกรรมดีอีกส่วนหน่ึงหนุนส่งอยู่ในระดับที่ สามารถมีกายทิพย์ได้ ผลกรรมในส่วนของครุฑไม่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ แต่ฝ่ายนาค น้ันมีพอให้ยกเป็นตัวอย่างได้ ซ่ึงผู้เขียนจะเล่าในลำดับ ต่อไป
107 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรูปักษ์มีรูปกายสูงสง่า มีขุนพลเทวดาในอาณัติ ๙๐ องค์ สถิตอยู่ในเทพนครทางด้านทิศใต้ ปกครองนาคทั้งหลาย นาค ดูเหมือนว่า “ท้าววิรูปักษ์” จะไม่ได้ปกครองพวกเทพจำพวก ใดๆ นอกจากสัตว์ดิรัจฉานกายทิพย์คือ “นาค” เท่าน้ัน เพราะลำพัง แค่นาคก็ยุ่งยากมากแล้ว เพราะมีจำนวนมากเหลือเกินในพิภพนี้ นาคเป็นสัตว์ดิรัจฉานที่มีฤทธิ์ รูปกายคล้ายงู และเป็นเจ้า แห่งงู มีภพของตนเอง อยู่ตามที่ต่างๆ บนโลกมนุษย์ ส่วนใหญ่อยู่ ใต้น้ำและทางน้ำใต้ดินที่รู้จักกันว่า “เมืองบาดาล” มีบ้างท่ีอยู่บน ภูเขาซ่ึงจะเป็นพวกมีฤทธ์ิมาก เช่น นันโทปนันทนาคราช เป็นต้น เพราะไม่เช่นน้ันจะถูกครุฑจับกินโดยง่าย สัตว์กายทิพย์จำพวกนี้ มีกายด้ังเดิมคล้ายงูก็จริง แต่ก็ สามารถจำแลงกายตนเองเป็นสตั ว์ชนดิ อ่นื รวมทั้งมนษุ ย์ได้ ตามแต่วา่ สะดวกอย่างไร หากเดินดินก็จำแลงเป็นมนุษย์ ข้ึนต้นไม้ก็จำแลงเป็น กระรอก หากไปทัง้ สังขารเทอะทะไมม่ ีขา คงเล้อื ยลำบากมากทีเดยี ว พวกนาคมีบทบาทกับพระพุทธศาสนาอย่างมาก เช่นใน คราวท่ีพระพุทธองค์เสวย “วิมุตติสุข” อยู่ใต้ต้นมุจลินท์ ช่วงนั้นฝนตก ตลอดเวลา พญานาคชื่อว่า “มุจลินท์” ก็ปรากฏกายแผ่พังพานกำบัง ฝนให้พระองค์ แม้ในประวัติของพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 108 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ก็มีหลายรูปที่เล่าว่ามีนาคมาช่วยเหลือ หรือมาฟังธรรมจากพวกท่าน หากสงสัยว่า เหตุใดจึงไปเกิดเป็นนาค ข้อนี้ไม่สามารถระบุ ชัดเจนได้ แต่สามารถยกตัวอย่างได้ เช่น สมัยของพระพุทธเจ้า พระนามว่า “กัสสปะ” มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางทางน้ำเกิดคะนอง มือ ทำใบจอกแหนขาดไปใบหนึ่ง ซึ่งการพรากพืชจากต้นนั้นเป็น อาบัติ และท่านไม่แสดงอาบัติน้ีให้ใครทราบ ผ่านไปนานท่านก็ยังไม่ลืมความผิดของตนเอง จนกระท่ัง มรณภาพไปเกิดเป็นนาค ความดีท่ีทำไว้ทั้งชีวิตไม่ได้ช่วยให้ท่านไป เกิดในที่ดี เพราะดวงจิตของท่านระลึกอยู่แต่ความผิดของตนเอง กระน้ันก็อำนวยให้มีกายทิพย์ มีฤทธ์ิ มีวิมานทิพย์ของตนเอง แต่ยัง คงเป็นสัตว์ดิรัจฉานอยู่นั่นเอง สัตว์ดิรัจฉาน เป็นฝ่ายทุคติ (ลงต่ำ) ไม่มีโอกาสบรรลุ ธรรมข้ันใดได้ ไม่ว่าจะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือปฏิบัติ ธรรมอย่างไรก็ตาม เพราะยังมีกรรมฝ่ายชั่วขัดขวางอยู่ คำว่า “นาค” น้ี น่าสนใจทีเดียว เพราะแท้จริง ไม่ได้หมายถึง เฉพาะสัตว์ประเภทงูเท่านั้น หากหมายถึงสัตว์ชนิดใดก็ได้ที่มีใจใฝ่ดี เรียกว่า “ใจประเสริฐ” เช่น ช้าง (บางตัว) เป็นต้น
109 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ท้าวกุเวร หรือเวสสุวรรณ ท้าวจตุโลกบาลท่านสุดท้ายนี้ มีช่ือเรียก ๒ ช่ือ ซึ่งก็คือ มหาเทพองค์เดียวกัน ท้าวท่านมีรูปกายทิพย์อันสูงใหญ่งามสง่า ล่ำสันบึกบึน พระสุรเสียงกังวาน ทรงเป็นจอมแห่งยักษ์ สถิตคุ้มครอง อยู่ด้านทิศเหนือ มีเทพบุตรขุนพลข้างกาย ๙๐ องค์ และยังมีพวก ยักษ์คอยรับใช้เฉพาะอีกหนึ่งพันล้านตน ท้าวเวสสุวรรณองค์ปัจจุบัน มีบันทึกไว้ในคำอธิบายพระ ไตรปิฎกว่า ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบันด้วย จึงทรงเป็นราชาแห่งยักษ์ที่ มีคุณธรรมสูง ภูมิธรรมของพระองค์สามารถไปเกิดในช้ันดุสิตได้ แต่ พระองค์ก็ยินดีรับหน้าที่ดูแลสวรรค์และโลกมนุษย์มากกว่าจะเสวย สุขอยู่เฉยๆ ยักษ์ เป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณน้ี มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ เทวดาปกติ มีรูปกายงามสง่า ผิวพรรณผุดผ่อง แต่สถานภาพทาง ชนช้ันชาวสวรรค์ถูกจัดเป็น “พวกยักษ์” ยกตัวอย่างเช่น ยักษ์ชื่อ ชนวสภะ ชาติที่แล้วของยักษ์ตนน้ี คือ “พระเจ้าพิมพิสาร” เจ้าเมือง พาราณสี พระบิดาของพระเจ้าอชาตศัตรูนั่นเอง ยักษ์ตนน้ีบรรลุธรรมชั้นโสดาบันแล้ว ต้ังแต่เป็นเจ้าเมือง พาราณสี ท่ีมาเกิดเป็นยักษ์ก็เพราะความพอใจ อยากช่วยเหลือ สหายเก่าของตนเองคือ “ท้าวเวสสุวรรณ” จึงเป็นยักษ์สูงศักดิ์ด้วย บารมีทีเดียว อีกพวกหนึ่งคือ เทวดาที่มีรูปกายอัปลักษณ์ ดำบ้าง อ้วน บ้าง มีลักษณะพิกลพิการต่างๆ เพราะพวกน้ีอดีตชาติสั่งสมสันดาน
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 110 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ขี้โมโหและเห็นแก่ตัว ยักษ์ประเภทนี้ มีคฤหาสน์ วิมานตามรสนิยมของตน เสวยสุขจากผลบุญเช่น เดียวกับประเภทแรก แต่มีอารมณ์ปรวนแปร ดุร้าย เป็นปกติ บางพวกที่สำนึกตนได้ ปรับปรุงตนเองเป็น ยักษ์นิสัยดี แต่บางพวกก็ยังคงสันดานเดิม ข้ีโมโห เห็นแก่ตัว ทำตัวเกะกะระราน เทวดาด้วยกันหรือ กระท่ังมนุษย์ พวกน้ีถ้ามีฤทธ์ิมาก ไม่เกรงกลัวใคร ยอมใหแ้ ตเ่ จ้าเหนอื หัวตนเท่านน้ั ในคร้ังพุทธกาล พระพุทธเจ้าและพระมหา โมคคัลลานะ (อัครสาวกเบ้ืองซ้ายเลิศด้านมีฤทธิ์ มาก) ก็เคยปราบมาแล้วหลายตน แหล่งสถิตของพวกยักษ์ก็คือ จะมีวิมาน สวยหรูอยู่ตามถ้ำตามผา ภูเขา หรือตามแหล่ง แม่น้ำ ทะเล พวกยักษ์ที่อยู่ตามแหล่งน้ำหากเป็น เพศชายคนไทยเราเรียกว่า “รากษส” เพศหญิง เรียกว่า “ผีเส้ือน้ำ” หรือ “ผีเส้ือสมุทร” ยุคใดก็ตามที่โลกเต็มไปด้วยมนุษย์มีจิตใจ หยาบกระด้าง เห็นแก่ตัว ชอบใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ปราศจากการยับย้ังชั่งใจ แต่ยังรู้จักทำความดี ให้ ทาน รักษาศีลอยู่ไม่ขาด เมื่อสิ้นชีวิตแล้วส่วนใหญ่ จะไปเกิดเป็นเทวดาประเภทน้ี ตามท่ีผู้เขียนค้นคว้าข้อมูลได้นั้น “ยักษ์” ถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของสวรรค์ช้ันจาตุม มหาราชเลยทีเดียว
111 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เกร็ดที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ท้าวเวสสุวรรณได้ ฉายาอีกอย่างว่า “เจ้าแห่งขุมทรัพย์” ที่เรียกอย่างนั้นเพราะ บรรดา ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ตามท่ีต่างๆ ในเมืองมนุษย์ก็คือ พวกยักษ์ ซ่ึงเป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณนี่เอง อีกประการท่ีควรรู้คือ ยักษ์บางพวกยังต้องเปลี่ยน กะไปเป็นนายนิรยบาล ทำหน้าท่ีควบคุมและทรมานสัตว์ นรก ในนรกขุมต่างๆ ด้วย เมื่อหมดกะของตนเองก็กลับมา เสวยสุขในวิมานต่อไป ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับ “บุญจะนำ กรรมจะแต่ง” พวกเขาไป อย่างไร ไม่ยาก...ถ้าอยากไปเกิดชั้นจาตุมฯ เหตุท่ีสวรรค์ช้ันจาตุมมหาราช มีเทวดาหลากหลาย ประเภท มีก่ึงเทพกึ่งอสุรกายบ้าง มีร่างกายพิกลบ้าง ก็ เพราะทำดีแบบ “ผีเข้าผีออก” ถึงคราวทำดีก็ทำ แต่หากไม่ ทำก็ทำตัวไม่น่าคบ ข้ีโมโห เห็นแก่ตัวบ้าง ขี้อิจฉาริษยาบ้าง ฯลฯ พูดให้เข้าใจง่ายคือ แม้จะทำดีเป็นประจำ แต่จิตใจ ไม่ได้ดีตามไปด้วย ยังมากด้วยความคิดด้านร้ายอยู่ แต่ข้อดีของชาวสวรรค์ชั้นน้ีก็คือ ได้ทำประโยชน์ให้ กับโลก ทั้งโลกมนุษย์และโลกทิพย์ การช่วยเหลือผู้อื่น สำหรับหลายๆ คนก็เป็นความสุข
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 112 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ หากต้องการเป็นเทวดาช้ันนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อจะได้ อุทิศตนให้เป็นประโยชน์ เป็นการสร้างบารมีให้กับตนเอง พระพุทธ- เจ้าช้ีทางไว้ว่า “หม่ันทำบุญทำทาน รักษาศีลอยู่มิได้ขาด เมื่อตายไปย่อมไป เกิดยังชั้นจาตุมมหาราช” ถา้ เพยี งเปน็ เทวดาชนั้ รากหญา้ ยงั รสู้ กึ ทำคณุ ประโยชนไ์ มเ่ ตม็ ที่ อยากเปน็ หนงึ่ ในทา้ วจตโุ ลกบาล พระพทุ ธเจา้ กช็ ที้ างไวเ้ ชน่ กนั วา่ “จงทำบุญสุนทาน ช่วยเหลือผู้อ่ืนให้มาก รักษาศีลอย่าง มั่นคงจนเป็นปกติชีวิต เมื่อตายไปย่อมไปเกิดเป็นผู้รุ่งเรืองยิ่งกว่าเทพ ใดๆ ในช้ันจาตุมมหาราช” เทวดาในชั้นนี้ มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๙ ล้านปีมนุษย์ แดนรองรับเทวดาตกสวรรค์ เทวดาในช้ันท่ีสูงๆ ขึ้นไป เม่ือได้เสวยสุขแล้วเกิดหลงใหล มัวเมา ระเริงการบำรุงบำเรอด้วยสิ่งอันเป็นทิพย์ จนลืมดื่มลืมกิน ร่างกายทิพย์ก็ต้องการอาหารเช่นกัน เมื่อไม่กินอาหาร ร่างกายก็ซูบ เซียวสุดท้ายก็ต้องจุติ เม่ือจุติแล้วก็จะมาเกิดในชั้นจาตุมมหาราชน้ี แต่ถ้าบุญไม่ มากพอก็มีสิทธ์ิไปเกิดยังเมืองมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็มี
ชนั้ ที่ ๒ ดาวดึงส์ (ไตรตรึง) ส ว ร ร ค์ ช้ั น ด า ว ดึ ง ส์ ไ ด้ ชื่ อ ว่ า เ ป็ น แดนสุขาวดี ทิพยสมบัติต่างๆ ล้วน งดงามอลังการชนิดยากจะนึกภาพไปถึงได้ เป็นสุดยอดแห่งนครโลกีย์อันน่าหลงใหล เป็นสถานที่เสวยสุขสุดเกษมของคนทำดี ทุกชนิด ผู้ ค น ใ น โ ล ก ม นุ ษ ย์ ท่ี ว่ า พ า กั น ทำบุญทำกุศล หวังว่าเม่ือตายไปจะได้ไป เกิดบนสรวงสวรรค์นั้น เม่ือจินตนาการถึง สวรรค์ช้ันฟ้า ทิพย์สมบัติอันวิจิตรตระการ ตาซึ่งเป็นดินแดนที่ปรารถนาอยากจะไป แล้ว ก็มีแต่สวรรค์ช้ันดาวดึงส์น่ีเองที่รอ รองรับอยู่ เพราะไม่ว่าใครก็มีสิทธ์ิไปเกิดใน สวรรค์ชั้นนี้ได้ ขอเพียงทำความดีด้วย ดวงจิตแน่วแน่บริสุทธ์ิจริงๆ ค ว า ม ดี ท่ี ท ำ อ า จ เ ป็ น สิ่ ง ห รื อ เรื่องเล็กน้อย แต่เจตนาของผู้ทำเต็ม
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 114 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เปี่ยมแรงกล้า ก็จะส่งผลให้ผู้ทำได้ไปเสวยสุขยังดินแดนสุขาวดี น้ีได้แล้ว ยกตัวอย่างในครั้งพุทธกาล มีหญิงคนหนึ่ง เห็นพระเดินผ่าน มา เกิดความเลื่อมใส จึงจัดแจงดอกไม้กำหน่ึงเข้าไปถวายท่าน เธอมี ความเจตนาอันเอิบอ่ิมก่อนถวาย ขณะถวาย และหลังถวายเสร็จแล้ว ก็ยังรู้สึกอยู่เช่นน้ัน หลังจากส้ินชีวิต เธอได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาเสวย สุขอยู่ในเมืองสุขาวดีแห่งน้ี หากคำนวณความละเอียดเป็นระยะทาง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สูงจากสภาวะของมนุษย์ประมาณ ๖๗๒,๐๐๐ กิโลเมตร ถ้าจะมีผู้หนึ่งผู้ใดยืนมองอยู่ขอบสุดของดาวดึงสถาน จะเห็น ปราสาทมนเฑียรของเหล่าเทพยดา นางฟ้า เรียงรายมากมาย สุดลูก หูลูกตา ล้วนแล้วแต่ยิ่งใหญ่กว้างขวาง และงดงามอลังการ บ้างก็ เป็นแก้วผลึก บ้างก็เป็นเงินเป็นทอง ประดับประดาไปด้วยเพชรนิล จินดาสารพัดชนิด เม่ือเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ไม่ปรากฏรอยต่อรอยตำหนิให้ เห็นแม้แต่ร้ิวหนึ่งรอยเดียว ส่องประกายวาบวับเล่ือมพราวจนละลาน ตาไปหมด แต่ท้ังน้ันก็ไม่แออัดยัดเยียดกันแม้แต่น้อย เพราะอาณา บริเวณของเทวดาแต่ละองค์กินพื้นท่ีกว้างขวาง ต่อให้ว่ิงเต็มกำลัง เดือนหน่ึงยังข้ามไม่พ้น ยิ่งไปกว่าน้ัน บางวิมานน้ันก็สามารถล่อง ลอยไปได้ทุกทิศทางตามประสงค์ของผู้ครอบครอง เสียงดนตรีทิพย์อันไพเราะร่ืนหูก็แว่วอยู่ทุกสารทิศ แต่ก็ไม่ อึงอลปนกัน อยากได้ยินทำนองเพลงใด เม่ือเงี่ยหูต้ังใจฟังก็ได้ยิน ชัดเจนเฉพาะเพลงนั้น เพลงสวรรค์น้ันย่ิงฟังก็ยิ่งสำราญบานใจ หาก
115 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ควบคุมจิตไม่ได้ อาจถึงกับเคล้ิบเคล้ิมลุ่มหลง ลุกขึ้นเต้นรำตาม ทำนองเพลง จมูกจะต้องแต่กลิ่นหอมระร่ืนของมวลบุปผาสวรรค์ อันมี ดารดาษอยู่ทั่วไป แผ่นพ้ืนก็เป็นสีทองอร่าม ยามย่างเหยียบไปน้ันก็ นุ่มนิ่ม ยุบลงเล็กน้อยเมื่อเหยียบ ครั้นยกเท้าขึ้นก็ดีดขึ้นเรียบเสมอ ตามเดิม ท่ีมีหญ้าก็เขียวขจีและละเอียดราวกับปูด้วยพรมเน้ือดี ที่ปู หินกรวดก็เกล้ียงเกลา บ้างก็ใสบ้างก็เป็นสีน้ำนม สลับด้วยสีต่างๆ งามจนแทบไม่กล้าเหยียบ เพราะกลัวฝุ่นเท้าเราจะทำให้หมอง อาหารทิพย์นั้นก็มีพร่ังพร้อม กล่ินหอมจนน้ำลายสอ รสนั้นก็ สุดเลอเลิศ เพียงแค่แตะปลายล้ิน ก็ซาบซ่านไปทุกเส้นประสาท สัมผัส เม่ือกลืนเข้าไปจะซึมซาบหล่อเล้ียงสู่กายทิพย์ในทันที ไม่ทิ้ง กากให้ต้องขับถ่ายสักน้อยนิด เทวดา นางฟ้า ที่เสวยสุขอยู่ในอัครวิมานของตนเอง ก็มีแต่ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะระริกรื่น เทพบุตรก็หล่อเหลาคมคาย ล่ำสัน สมส่วน ผิวกายเกล้ียงเกลาไร้ท่ีติ เทพธิดาก็งามหยาดเยิ้ม ทรวดทรง องค์เอว มือเท้ากลมกลึง ผิวพรรณเกลาเกลี้ยงเนียนเรียบอย่างหาดู ไม่ได้ในเมืองมนุษย์ แต่ละองค์มีบริวารทั้งเทพบุตรเทพนารีตาม รสนิยมของตน คอยปรนเปรออยู่เป็นร้อยเป็นพันองค์ พวกเขามีในสิ่งที่อยากมี ได้ในสิ่งท่ีอยากได้ ทุกทิวาราตรี ผ่านด้วยความสุข สำราญด้วยเครื่องปรนเปรอตามปรารถนา (กามคณุ ) คอื รปู เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความร่นื รมย์ทางใจ จน แทบลืมวันลืมคืน
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 116 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ แดนดาวดึงส์เป็นสถานที่ของ ผู้มีบุญ จึงมีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีด สุดเช่นน้ี ทุกที่ทุกแห่งทั้งที่ส่วนตัวและ ท่ีส่วนรวมล้วนน่าอยู่ น่าเข้าไปหา ความร่ืนรมย์ ฤษีโยคีที่บำเพ็ญจนได้ ฌานสมาบัติ หรือพระอริยสงฆ์ผู้มี ฤทธ์ิ มักมาเย่ียมชมและพักผ่อนยังดิน แดนแห่งนี้ สวนสวรรค์ ลองนึกภาพดาวดึงส์เป็นรูป บัวบาน กลีบบัวด้านที่ชี้ไปทางทิศทั้งสี่ มีอุทยานอันกว้างขวางและงดงาม เต็มไปด้วยแมกไม้ร่มร่ืนสารพัดชนิด ดอกไม้นานาพันธุ์ออกดอกเป็นสีต่างๆ สวยงาม ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปท่ัว พื้นเป็นหญ้าเขียวและอ่อน นุ่ม ก้อนหินทุกก้อนหมดจดเกล้ียง เกลา ยามสัมผัสจะว่าแข็งก็ไม่แข็ง จะ ว่าอ่อนก็ไม่อ่อน สระน้ำประจำ อุทยานก็มีน้ำใสสะอาด จืดสนิท ทั้ง ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย พื้นดิน ขอบสระแม้ชุ่มน้ำ แต่ก็ไม่ร่วนเป็น โคลนตม
117 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ครั้นพวกเทพบุตรเทพธิดา สำราญในวิมานตนเองจนเบื่อแล้ว จะพากันออกมาพักผ่อนยังอุทยานเหล่านี้ บ้างก็ใช้เป็นที่พบปะกัน ตามแตป่ ระสงค์ อุทยานทั้ง ๔ แห่งน้ี มีช่ือเรียกน่าฟังดังนี้ อทุ ยานนนั ทะ อยทู่ างทศิ ตะวนั ออก เปน็ สวนทนี่ า่ รนื่ รมยท์ ส่ี ดุ ในแดนสวรรค์ มีไม้ดอกยืนต้น เช่น กัลปพฤกษ์ เป็นต้น เป็นไม้หลัก ยามออกดอกจะทั้งหอมทั้งงามเรืองรอง อุทยานจิตรลดา อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นสวนที่ประดับ ประดาไปด้วยไม้เล้ือยนานาชนิด อทุ ยานสกั กะ อยู่ทางทิศเหนอื เป็นสวนทีม่ ีตน้ ไมใ้ หญ่และไม้ เลอ้ื ยนานาชนดิ อุทยานผรุสกะ อยู่ทางทิศใต้ เป็นสวนไม้ดัด และไม้เตี้ยนับ พันๆ ชนิด ยังมีอุทยานอีกแห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชื่อ ว่า “อุทยานปุณฑริก” ท่ีแห่งนี้เป็นเขตพระราชฐานของ “สมเด็จพระ อมรินทราธิราช” จอมเทพชั้นดาวดึงส์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบ แม้จะ ไม่ใช่เขตหวงหา้ ม แต่เทพบตุ รเทพธิดาทเ่ี ขา้ ไปในสวนแหง่ น้ี ต้องสังวร ระวงั กิรยิ าวาจาให้เหมาะสม กลางอุทยานปุณฑริก มีต้นทองหลางขนาดใหญ่ยืนเด่นเป็น ประธานอยู่ต้นหนึ่ง มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “ต้นปาริชาต” หรือ “ต้นกัลปพฤกษ์” ร้อยปีจะออกดอกคร้ังหน่ึง เม่ือออกดอกจะผลิบาน เหลืองอร่ามทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปไกลถึงแปดแสนวา
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 118 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ คร้ันหลุดจากข้ัวจะล่องลอยไปท่ัวอุทยาน พวกเทวดาพากัน มาเก็บไปไว้ยังวิมานของตน เพราะดอกไม้นี้มีแสงเรืองรองและส่ง กลิ่นหอมอยู่ตลอดเวลา ไม่เห่ียวเฉา ใต้ต้นปาริชาต มีแท่นผลึกศิลาอยู่แท่นหน่ึง เป็นสีแดงเรือง รองและอ่อนนุ่ม เรียกว่า “บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” ซึ่งเป็นแท่นที่ ประทับพักผ่อนขององค์อมรินทราธิราช พระราหุลเถระ ซ่ึงมีสถานภาพทางโลกเป็นพระโอรสของ เจ้าชายสิทธัตถะก็ข้ึนมาละสังขาร ณ แท่นศิลาน้ี พระอนุรุทธะ ก็ เคยมาจำพรรษาที่นี่เช่นกัน ในคราวท่ีพระพุทธองค์เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรด พระมารดาก็ทรงแสดง ณ ท่ีแห่งน้ี ถัดจากแท่นบัณฑุกัมพลศิลาเข้าไป มีศาลาใหญ่อันวิจิตร งดงามหลังหน่ึง ท่ีหน้ามุขมีป้ายจารึกชื่อไว้ว่า “สุธรรมาศาลา” เป็น ศาลาทองประดับ แก้ว ๗ ชนิด* พ้ืนเป็นแก้วผลึกล้วนไม่มีรอยต่อ ล้อมอาณาเขตด้วยกำลังทองต่ำๆ เหลืองอร่าม ภายในบริเวณเป็น สวนดอกไม้นานาพันธุ์ ย่ิงกว่าน้ันยังมีดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า “อสาพติ” หนึ่งพันปีจะ บานครั้งหนึ่ง เทพบุตรเทพธิดาบางองค์ ตั้งแต่เกิดจนจุติจากไปยังไม่ เคยเห็นดอกไม้นี้บานเลยสักครั้งก็มี ศาลาสุธรรมาแห่งนี้ เกิดข้ึนด้วยอำนาจบุญของพระมเหสี ของพระอินทร์ ชื่อว่า “สุธรรมา” แก้ว ๗ ชนิด คือ แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ แก้วประพาฬ แก้วมุกดา แก้ววิเชียร แก้วผลึก และ แก้วหุง
119 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เน่ืองจากศาลาสุธรรมา เป็นที่ ประชุมฟังธรรมของพวกเทพยดา ภายใน ศาลาโอ่โถงงดงาม มีธรรมาสน์แก้วต้ัง กึ่งกลาง ห่างออกมาด้านขวาของธรรมาสน์ ก็เป็นแท่นที่ประทับฟังธรรมขององค์อินทร์ รายล้อมด้วยแท่นประทับของพระสหายท้ัง ๓๒ องค์ จากนั้นก็เป็นของเทพต่างๆ ตาม ลำดับช้ัน ต่อให้เทวดาท่ัวทั้งแดนสวรรค์มา รวมกันในศาลาแห่งนี้ ก็สามารถรองรับได้ ทั้งหมด ไม่แออัดยัดเยียด คร้ันถึงวันพระ เหล่าเทพยดาที่ เล่ือมใสในพระพุทธศาสนา จะพร้อม เพรียงกันมาฟังธรรม องค์ผู้แสดงธรรม หลักนั้นมีช่ือว่า “พระพรหมกุมาร” เป็น พรหมผู้ทรงความรู้ทางธรรม เสด็จมาจาก พรหมโลก เมื่อแสดงธรรมจบจึงเสด็จกลับ บางคราวเป็นเทวดาท่ีรู้ธรรมในช้ันดาวดึงส์ นั่นเองเป็นผู้แสดงธรรม สับเปลี่ยน หมุนเวียนกันไป เพราะในช้ันน้ีมีผู้ทรงธรรม สูง ท้ังบรรลุธรรมชั้นโสดาบันมาเกิดเป็น จำนวนมาก แม้แต่พระอินทร์เองก็ทรง บรรลุโสดาบันเช่นกัน และทรงข้ึน ธรรมาสน์แสดงธรรมเป็นครั้งคราว
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 120 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ พระจุฬามณีเจดีย์ ทางฝ่ังด้านตะวันออกเฉียงใต้ของดาวดึงส์ มีสถานที่สำคัญ ยิ่งยวดต้ังอยู่ น่ันคือ พระจุฬามณีเจดีย์ เป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธิ์ท่ีสุด และเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของเหล่าเทวดาและพรหม ภายในพระ เจดีย์บรรจุของ ๒ ส่ิงคือ “พระเกศโมลี” (มวยผม) และ “พระเขี้ยว แก้วเบื้องขวา” ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์เจดีย์จะเปล่งฉัพพรรณรัศมีแพรวพราวอยู่ตลอดกลางวัน กลางคืน ผู้สร้างคือ สมเด็จพระอมรินทราธิราช จอมเทพชั้นดาวดึงส์ องค์ปัจจุบัน ตามประวัติเล่าไว้ว่า ครั้งท่ีเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ทรงใช้พระขรรค์ตัด พระเมาลี (มวยผม) ออก แล้วทรงอธิษฐานว่า “ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไซร้ ขอให้มวยผมน้ีจงลอยขึ้นไปในอากาศ อย่าได้ตกลงบนแผ่นดิน” แล้วก็ทรงโยนพระเมาลีน้ันข้ึนไปในอากาศ คราวนั้นองค์ อมรินทร์ซ่ึงทรงเฝ้าถวายการอารักขาอยู่ นำผอบมารองรับไว้ แล้วอัญ เชิญไปประดิษฐานยังดาวดึงส์เทพนคร โดยทรงเนรมิตเจดีย์สำหรับ บรรจุไว้ แล้วทรงขนานนามว่า “พระจุฬามณีเจดีย์” ต่อมาภายหลังจากถวายพระเพลิงพระสรีระของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ เมืองกุสินารา (ปัจจุบันคือจังหวัดเทวริยา รัฐอุตตระ ประเทศอินเดีย) “โทณพราหมณ์” ซึ่งได้รับแต่งต้ังให้เป็น ผู้แจกพระบรมสารีริกธาตุแก่เมืองต่างๆ ฉวยเอาพระเขี้ยวแก้วเบ้ือง
121 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ขวาซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะ ขณะน้ันองค์อมรินทร์สังเกตการณ์อยู่ พบเห็นพฤติกรรมของ โทณพราหมณ์ทุกประการ จึงคิดว่า “ถึงพราหมณ์น้ีจะได้ไป ก็คงจะ ทำการสักการบูชาได้ไม่สมพระเกียรติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า สู้เราอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ยังเทวโลกจะดีกว่า” ดำริดังน้ีแล้ว ก็ทรงนำพระเขี้ยวแก้วเบ้ืองขวาน้ัน ออกจากผ้าโพกศีรษะของ โทณพราหมณ์อัญเชิญข้ึนสู่เทวโลก บรรจุเคียงไว้กับพระเกศโมลี ภายในพระจุฬามณีเจดีย์ พระจุฬามณีเจดีย์แห่งน้ี สูงแปดหม่ืนวา ต้ังแต่ฐานถึงส่วน กลางสร้างด้วยแก้วอินทนิล จากส่วนกลางถึงยอดเป็นทองคำ ทั้งองค์ เจดีย์ประดับด้วยแก้ว ๗ ชนิด ล้อมด้วยกำแพงทองคำ ยาวด้านละ หน่ึงแสนหกหมื่นวา สมเด็จพระอมรินทราธิราช มหาราชแห่งดาวดึงส์นี้ มีช่ือเรียกมากกว่า ๒๐ ชื่อ เช่น พระอินทร์ ท้าวสักกะ ท้าวสหัสสนัย ท้าวโกสีย์ เป็นต้น สุดแต่คนจะ เรียก พระองค์มีรูปกายใหญ่โต สูงถึงหกพันวา แต่ไม่ได้เป็นสีเขียวดัง ที่เข้าใจกัน ตามคัมภีร์พุทธศาสนาบอกว่า พระวรกายมีสีสุกปล่ังด่ังทอง ทา มีรัศมีเจิดจ้าแต่ไม่แยงนัยน์ตา ท้าวท่านเป็นเทพสูงสุดในชั้นดาวดึงส์ และเป็นผู้บังคับ บัญชาโดยตรงของท้าวจตุโลกบาลแห่งชั้นจาตุมฯ อีกด้วย เท่ากับว่า ทรงมีอำนาจเหนือสวรรค์ถึงสองชั้น
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 122 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ปราสาทของพระองค์มีชื่อว่า “เวชยันต์” ตั้งอยู่กึ่งกลาง ดาวดึงส์ โดดเด่นเหนือปราสาทวิมานของเทพทุกองค์ พระอินทร์น้ันความจริงเป็นชื่อตำแหน่งของเทพผู้ครอง สวรรค์ช้ันนี้เท่าน้ัน เม่ือองค์เดิมจุติไป ก็มีองค์ใหม่เข้าเถลิงราชย์แทน ดังนั้นใครก็ตามท่ีประกอบกรรมดีไว้มาก ก็มีสิทธ์ิจ่อคิว เป็นพระอินทร์ได้ หากไม่มีผู้สร้างบารมีเพื่อจะเป็นพระอินทร์มาเกิดเลย ช่วง น้ันก็ว่างจากผู้ปกครอง แม้จะมีเทพผู้มีบุญรับหน้าท่ีขัดตาทัพไปก่อน แต่ไม่มีอำนาจครอบคลุมถึงสามภพได้ ส่วนองค์ปัจจุบันนั้น มีนามจริงขณะท่ียังสร้างบารมีในเมือง มนุษย์ว่า “มฆะ” มีภรรยา ๔ คนและมีสหายอีก ๓๒ คน ท้ังหมดร่วม กันสร้างบารมีจนได้ไปเกิดยังช้ันดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นน้ีเดิมทีไม่ได้ชื่อดาวดึงส์ ขณะเดียวกันในช่วงก่อน มฆมาณพจะมาเกิด ถือเป็นช่วงท่ีช้ันนี้ตกต่ำเพราะขาดผู้ท่ีมีปัญญา บารมีมาปกครอง ครั้นมฆมาณพรวมท้ังสหายท้ังหมด มาเกิดพร้อมหน้ากัน แล้ว เห็นเทวดาพวกท่ีอยู่ก่อน หลงระเริงในทิพยสมบตั ิ จิตใจตกตำ่ มี พฤติกรรมพาลเกเร ไม่ต่างจากมนุษย์อันธพาล เป็นเพียงพวกกินบุญ เก่าเท่านั้น จึงเกิดความรังเกียจ จับเทวดาพวกนั้นโยนลงจากสวรรค์ เสียหมด (เทวดาพวกเดิมน้ี ตกจากดาวดึงส์แล้วไปอยู่ที่ใด ผู้เขียนจะ เล่าในลำดับต่อไป) สวรรค์ช้ันนี้จึงถูกเรียกว่า “ดาวดึงส์” แปลว่า แดนอันเป็นที่ อยู่ของเทพ ๓๒ องค์ และกลายเป็นแดนสุขาวดีตั้งแต่นั้นมา
ทิศเหนือ 124 ศาลาสุธรรมา อุทยานสักกะ อุทยานปุณฑริก ต้นปาริชาตและ บัณฑุกัมพลศิลา . . . . . . สวรร ์ค . . . . . . อุทยานจิตรลดา เวชยันตปราสาท อุทยานนันทะ ของพระอินทร์ ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ อุทยานผรุสกะ พระจุฬามณีเจดีย์ อันที่จริงสถานที่ต่างๆ ในดาวดึงส์ หรือกระทั่งธรรมเนียม ต่างๆ เช่น การฟังธรรมบนสวรรค์ จะมีการเปล่ียนแปลงไปตามแต่ นโยบายของผู้ปกครองสวรรค์แต่ละองค์ สำหรับสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ หากสำหรับองค์อ่ืนๆ ท่ีจะขึ้นมาแทนก็อาจเป็นอีกแบบหน่ึง (องค์ปัจจุบันมีบุญญาธิการมาก อายุจึงยืนยาวนับประมาณมิได้ ยาก จะละตำแหน่งน้ีไปง่ายๆ นอกจากจะทรงสละทิพยสมบัติเองแล้ว ไป เกิดในชั้นท่ีสูงกว่าข้ึนไป ซึ่งสามารถทำได้เพราะมีบุญมากพอ)
125 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ใครก็มีสิทธ์ิเป็นพระอินทร์ได้ การท่ีพระอินทร์ซึ่งมีอำนาจครอบคลุมถึง ๓ ภพได้นั้น (ดาวดึงส์ จาตุมฯ และดิรัจฉานประเภทกายทิพย์) ไม่ใช่เพราะได้ ทำบุญทำกุศลตามปกติ แต่ต้องสั่งสมบารมีมาเพื่อจะเป็นพระอินทร์ โดยเฉพาะเทา่ น้นั ผู้ที่เผยความลับข้อน้ีคือ พระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสไว้ว่า ต้องประพฤติตนอยู่ในความดี ๗ ข้อ ตลอดชีวิต (วัตตบท ๗) คือ ๑. เลี้ยงดูบิดามารดาโดยเคารพ ๒. อ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความยำเกรงต่อผู้ใหญ่ ๓. พูดแต่ถ้อยคำอันอ่อนหวานไพเราะ ๔. ไม่พูดส่อเสียดกระทบกระท่ังผู้อื่น ๕. ไม่ตระหนี่ถ่ีเหนียว พร้อมจะให้ได้ทุกเม่ือ ๖. ซ่ือสัตย์สุจริต พูดจริงทำจริง ๗. ควบคุมจติ ใจตวั เอง ไมโ่ มโหงา่ ย ถ้าเกิดความโกรธตอ้ งรีบ ระงับโดยเร็ว พระพุทธองค์ทรงรับรองไว้ว่า ท้ังหญิงท้ังชายถ้าปฏิบัติตาม ได้ทั้ง ๗ ข้อตลอดชีวิต คร้ันสิ้นชีวิตลง จะไปเกิดยังชั้นดาวดึงส์จ่อคิว รอเป็นพระอินทร์ทันที เพ่ือให้เห็นภาพชัดว่า ทำดีอย่างไรจึงได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ผเู้ ขยี นขอยกอดีตชาติของพระอินทรอ์ งค์ปัจจบุ นั มาประกอบ...
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 126 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ในอดีต มาณพคนหนึ่งช่ือว่า “มฆะ” เข้าไปทำงานในหมู่บ้าน ถึงยามพักก็ปัดกวาดทำความสะอาดพ้ืน แล้วทำเพิงนั่งพักอย่าง สบายใจ คนอื่นเห็นก็ขอเข้ามานั่งพักด้วย ชายหนุ่มจึงไปปัดกวาดที่ อ่ืนหาหญ้ามาปูใหม่ แล้วนอนพักเอาแรง แต่มิวายถูกแย่งท่ีอีก แต่มฆะไม่ได้แสดงความไม่พอใจอันใด อยากมาอาศัยหลบ แดดด้วยก็ไม่ว่ากัน คร้ันเป็นอย่างนี้หลายหนเข้า จึงคิดว่าคนเหล่าน้ี ได้พักร้อนสบาย เราได้ทำประโยชน์ให้กับเขา เราเองก็อิ่มใจไปด้วย ในคราวเลิกงานวันต่อมา ชายหนุ่มหาท่ีไม่มีเจ้าของจัดการ ถางหญ้า กวาดพื้นทำเป็นลานกว้าง ใต้ต้นไม้ก็ทำเป็นที่นั่งไว้ ให้ผู้คน มาน่ังพักผ่อนกัน คร้ันเข้าฤดูหนาวก็ก่อกองไฟไว้ให้ผิงกัน เข้าหน้า ร้อนก็เตรียมน้ำไว้ให้ดื่มอาบ ทำอย่างน้ีแล้วได้เห็นคนท่ีมาพักต่างได้รับความสุข ผ่อน คลาย เจ้าตัวก็พลอยอิ่มใจไปด้วย คิดว่าคนเราชอบที่รื่นรมย์กันท้ัง นั้น หากทำทางเดินให้คนเดินง่ายขึ้นคงดี เช้าวันต่อมาจึงจัดการตัดกิ่งไม้ เกลี่ยดินทำทางเสียยกใหญ่ คนอ่ืนๆ เห็นเข้าจึงพากันเข้ามาเป็นสมัครพรรคพวกอาสาช่วยกันทำ ถนนกันเป็นการใหญ่ รวมแล้วมีผู้เสียสละมาทำถนนถึง ๓๓ คน เมื่อ ได้ร่วมงานกันนานวันเข้าก็รักใคร่สาบานเป็นเพ่ือนกันท้ังหมดว่า “แต่ น้ีไปพวกเราจะทำแต่ความดีสร้างประโยชน์ร่วมกัน” วันหน่ึงนายบ้านเห็นพวกน้ีไม่ทำการงานอย่างอื่น พากันทำ ถนนอย่างเดียว จึงคิดว่า พวกน้ีขยันขันแข็งหากใช้ไปหาของป่า ลง น้ำจับปลา เราคงได้ผลประโยชน์ไม่น้อย คิดแล้วก็รีบให้คนไปเรียก พวกเขามาตกลงกัน
127 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ครั้นถามไปว่า “มาทำอะไรกันเล่าพ่อ” ก็ได้คำตอบว่า “ทำ ทางไปสวรรค์” นายบ้านก็อ้ึง สงสัยว่ามีคนคิดกันแบบน้ีด้วยรึ ? แล้วจึงบอกไปว่า “พวกพ่อมีบ้านช่อง มีครอบครัวต้องรับผิด ชอบ อย่าพากันทำอย่างน้ีเลย มันไม่มีประโยชน์ สู้เข้าไปล่าสัตว์ ลง น้ำจับปลา อีกพวกหน่ึงก็หมักเหล้าขายไม่ดีกว่ารึ ?” แต่ไม่ว่านายบ้านจะชักแม่น้ำท้ังห้าอย่างไร พวกนักพัฒนา ทั้งหลายก็ไม่เล่นด้วย แกจึงพาลโกรธคาดโทษว่า “เมื่อแนะนำทาง เจริญให้ไม่เอา ก็ต้องเห็นดีกันละ” ว่าแล้วก็ว่ิงแจ้นไปฟ้องเจ้าเมือง “เป่าหู” นายท่านว่า “มีพวก โจรกลุ่มหน่ึง รังควานหมู่บ้านของกระผมขอรับ ลูกเล็กเด็กแดงไม่เป็น อันหลับนอน ผวาว่าจะถูกข่มเหงทำร้ายเข้าสักวัน ตัวกระผมก็ไม่มี ปัญญาจะไปสู้รบปรบมือกับพวกมันได้อย่างไร” เจ้าเมืองรับทราบแล้ว ไม่ฟังหน้าฟังหลัง ส่ังรวบรัดทันทีว่า “ไปจับตัวมันมา” มฆมาณพและพวกยอมให้จับตัวแต่โดยดี เม่ือเข้ามาถึงลาน พิจารณาคดี เจ้าเมืองก็รวบรัดแบบปัดเสนียดว่า “เอาช้างเหยียบให้ จมตีนไปเลย ไม่ต้องไต่สวนแล้ว” มฆมานพทราบเรื่องอย่างน้ัน ไม่ได้หว่ันใจเพราะเตรียมรับ สถานการณ์ไว้ก่อนแล้ว จึงเตือนสติพรรคพวกของตนว่า “เพื่อนเราทั้งหลาย นอกจากความเมตตาแล้ว พวกเราก็ไม่มี ที่พ่ึงอย่างอื่น สหายเราอย่าได้กล่าวโทษโกรธเคืองใครเลย ขอให้ทำ จิตให้อ่อนโยน แผ่เมตตาไปให้ท่านเจ้าเมือง แผ่เมตตาให้ช้าง และ คนอื่นๆ เถิด”
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 128 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เม่ือเจ้าหน้าท่ีไสช้างเข้ามาใกล้ ช้างไม่ยกตีนขึ้นเหยียบ จะทำอย่างไรมันก็ ยังยืนน่ิงอยู่อย่างนั้น เจ้าเมืองเห็นดังน้ันสั่ง ว่า “เอาเส้ือมาคลุมเสียสิ” คร้ันนำเส้ือคลุมจนมิดหมดแล้ว ช้างยังคงไม่ยอมเหยียบอยู่นั่นเอง กลับ ถอยออกห่างไปเสียอีก เจ้าเมืองเห็นว่า ไม่ใช่เร่ืองปกติ รีบสั่งให้หยุดแล้วเรียกพวก เขาเข้ามาถามให้แน่ชัด พวกมฆมาณพจึง บอกเล่าเรื่องราวตามจริงว่าเป็นมาอย่างไร เจ้าเมืองได้ฟังความจริงแล้วกล่าว ว่า “แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักคุณความดี ของพวกท่าน เราเป็นมนุษย์แท้ๆ ยังโง่ได้ ถึงปานนี้ พวกท่านโปรดยกโทษให้เราเถิด” ครั้นแล้วก็ปลดนายบ้านไปเป็นคน คอยรับใช้มฆมาณพแทน มอบช้างตัวน้ัน ให้เป็นพาหนะส่วนตัว แล้วก็ให้คนสร้าง บ้านให้พวกเขาท้ังหมด นักพัฒนาทั้ง ๓๓ คน ต่างพากัน เบิกบานใจว่า ผลของความดีท่ีทำกลับมา ช่วยเหลือพวกเราแล้ว จึงปรึกษากันจะ ทำความดีอื่นๆ ต่อไป สุดท้ายจึงตกลงว่า จะสร้างศาลาท่ีพักไว้ตามทางสี่แยก
129 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ศาลาของพวกเขาน้ันจะแค่เพียงตั้งเสาขึ้นสี่เสาแล้วมุง หลังคา ทำคานไม้ไว้ให้นั่ง มีพนักไว้พิงเท่าน้ันก็หาไม่ พวกเขาสร้าง อำนวยความสะดวกสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีใครคิดจะทำ ศาลาแบ่งเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับคนท่ัวไป ส่วนหนึ่ง สำหรับคนเร่ร่อนเข็ญใจ และส่วนหน่ึงสำหรับคนป่วย ดูไปก็คล้าย เรือนรับรองเลยทีเดียว เพียงแต่เรือนรับรองของพวกเขา เป็นท่ี สาธารณะใครจะมาใช้ก็ได้ กล่าวถึงภรรยาของมฆมานพ ซ่ึงมีถึง ๔ นาง คือ สุนันทา สุจิตรา สุธรรมา และ สุชาดา ๓ คนแรกน้ันเห็นสามีทำความดีแล้ว อยากมีส่วนร่วมด้วย สุธรรมาจึงจ้างช่างทำช่อฟ้าให้สวยที่สุด แล้ว สลักช่ือไว้ที่ช่อฟ้าว่า “ศาลาสุธรรมา” ฝ่ายสุนันทาไม่น้อยหน้า จ้าง คนขุดสระน้ำขนาดใหญ่ ปลูกบัวไว้กลางสระ ตกแต่งท่าและตล่ิงให้ สวยงาม ให้ผู้คนได้ใช้กินใช้อาบกันอย่างสุขสำราญ ด้าน สุจิตรา เห็นพี่ใหญ่และน้องสามทำประโยชน์ก็คิดทำ บ้าง จึงจัดพื้นที่สร้างสวนดอกไม้บ้าง จัดหาพันธุ์ไม้ ดอกไม้ สารพัด ชนิดมาปลูก ชาวบ้านเมื่อได้อาบน้ำกินน้ำและน่ังพักสบายแล้ว ก็พา กันมาเดินชมดอกไม้ให้ร่ืนรมย์ใจ ในสวนน้ีมฆมานพได้ปลูกต้น ทองหลางไว้ต้นหนึ่ง ใต้ต้นตั้งแท่นหินไว้ให้คนน่ังพักกินลมชมวิว จะมีก็แต่ “นางสุชาดา” ภรรยาคนสุดท้าย คิดว่าสามีทำส่ิง ใดส่ิงนั้นก็เป็นของเราเช่นกัน วันท้ังวันจึงทำเพียงนั่งแต่งตัวไม่ได้ร่วม ไม้ร่วมมืออะไรกับคนอ่ืนๆ ฝ่ายชายหนุ่มท้ัง ๓๓ คน นำม้านั่งไปต้ังไว้ในศาลา ๓๓ ท่ี
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 130 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ แล้วฝึกช้างให้รู้ว่า หากมีแขกมานั่งบนม้าน่ังของผู้ใด ให้ช้างของผู้น้ัน พาแขกไปพักท่ีเรือนของตน เจ้าของบ้านจะทำหน้าที่บริการดูแลแขก เอาใจใส่อย่างดี มฆมานพซึ่งเป็นพ่ีใหญ่ของกลุ่ม นอกจากเป็นผู้นำทำความ ดีแล้วยังบำเพ็ญวัตตบท ๗ คร้ันส้ินชีวิตจึงไปเกิดยังช้ันดาวดึงส์เป็น ท้าวสักกะ (พระอนิ ทร)์ โดยบารมี เพอ่ื นๆ ทง้ั ๓๒ คนกไ็ ปเกดิ ดาวดงึ สเ์ ชน่ เดยี วกนั แมแ้ ตช่ า่ งไม้ กม็ สี ว่ นในความดนี ดี้ ว้ ย ไดไ้ ปเกดิ เปน็ “วศิ วุ กรรมเทพบตุ ร หรอื วษิ ณุ กรรม” ภรรยาทั้งสามคนคือ สุนันทา สุจิตรา สุธรรมา ไปเกิดเป็น มเหสีของท้าวสักกะ เสวยสมบัติทิพย์ด้วยกันอย่างสุขสำราญ ทุกส่ิง ทุกอย่างท่ีพวกเขาทำไว้ในเมืองมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น สวน ศาลา ทาง ต้นไม้ ได้บังเกิดเป็นของทิพย์เป็น “ศาลาสุธรรมา” อันโอฬารตระการ ตาเป็นอุทยานอันงดงามเรืองรองอลังการท่ัวเมืองสวรรค์ จะมีก็แต่นางสุชาดา ที่ไม่ได้ร่วมทำความดีอย่างคนอื่นเขา เท่าน้ัน การณ์ไม่ได้เป็นอย่างท่ีตนเองคิดเสียแล้ว ครั้นตายไปก็ไปเกิด เป็นนางนกกระยางในซอกเขาแห่งหน่ึง อดีตสามีเม่ือเกิดอยู่บนสวรรค์แล้ว ไม่เห็นภรรยาเก่าตนเอง มาเกิดด้วย ก็ใช้ทิพยเนตรตรวจดู ครั้นรู้แล้วก็คิดถึงเยื่อใยที่ผ่านมา จึงลงไปหา เล่าเร่ืองท้ังหมดให้ฟังว่า “ทุกคนไปเกิดบนสวรรค์กันหมด เหลือก็แต่เธอคนเดียว มาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานเสวยทุกข์กว่าใครเขา” ทีแรกนางไม่เชื่อ เจ้าพ่ีต้องพานางขึ้นไปเที่ยวสวรรค์ให้เห็น ประจักษ์ พาไปหาพ่ีสาวอีก ๓ คน พวกนางพอเห็นนางนกกระยาง พากันถากถางว่า “ดูซิ น้องเรา ขาเรียวยาว จงอยปากก็สวย การแต่ง
131 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ตัวก็น่ามองจริงๆ พวกเราสู้ไม่ได้เลย” แล้วพากันจากไป ท้าวสักกะจึงถามว่า “เห็นแล้วหรือยัง ทุกคนเขามาเกิดร่วมกันในที่น้ี มีเจ้าเพียงคนเดียว ไม่ได้ร่วมสุขกับพี่” นางจึงถามว่า “แล้วน้องจะทำอย่างไรเล่า ?” ท้าวท่านแนะนำนางให้ทำความดีรักษาศีลห้าให้บริบูรณ์ นางรับปากด้วยความยินดี คร้ันกลับไปโลกมนุษย์แล้วนางนก กระยางก็รักษาศีลห้าโดยบริบูรณ์ ศีลข้ออื่นนั้นไม่เป็นปัญหาอันใดสำหรับนาง ทำได้อย่างเป็น ปกติ มีก็แต่ข้อแรกคือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเท่าน้ัน ทำให้นางได้รับความ ลำบากอย่างใหญ่หลวงทีเดียว เพราะอาหารของนกกระยางก็คือ “ปลา” ปลาเป็นสัตว์มีชีวิต นางไม่กินปลาก็เท่ากับไม่มีอาหารกิน แต่นางนกกระยางมีใจเด็ดเดี่ยวน่านับถือ ไม่กินก็คือไม่กิน จะกินแต่เฉพาะปลาตายเท่าน้ัน แต่ปลาตายก็หายากเหลือเกิน นาน วันเข้านางจึงผ่ายผอม หมดเรี่ยวหมดแรงจนสุดท้ายก็ตาย ผลความดีของศีลห้า ส่งให้นางนกกระยางไปเกิดเป็น “ธิดา ของช่างปั้นหม้อ” ในเมืองพาราณสี เมื่อเป็นมนุษย์ก็ย่ิงมีโอกาสได้ทำ ความดีมากขึ้น ศีลห้านางรักษาได้อย่างบริบูรณ์ ท้าวสักกะคอยมา ช่วยเหลือให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อสิ้นชีวิตนางได้ไปเกิดเป็น “เทพธิดาของท้าวเวปจิตติ” ในภพอสูร หรือท่ีผู้เขียนเรียกตั้งให้ใหม่ว่า “ไอศูรย์ภิภพ” ซึ่งเป็นภพที่เทียบเท่าดาวดึงส์ทุกประการ น่ันเองท้าวสักกะผู้เป็นสามีเก่า จึงสามารถพานางมาอยู่ใน วิมานร่วมกับตนเอง ได้เสวยสุขร่วมกันพร้อมหน้า
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 132 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ไม่ยาก...ถ้าอยากไปเกิดดาวดึงส์ ดังเช่นที่ผู้เขียนเล่าไว้แต่ตอนต้นว่า สวรรค์ชั้นนี้ต้อนรับคนทำ ดีทุกชนิด เป็นที่เสวยสุขของคนดีมีใจเป็นกุศล เทวดาชั้นนี้มีอายุเฉลี่ย ท่ี ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ซ่ึงเท่ากับ ๓๖ ล้านปีมนุษย์ ผู้ประสงค์จะไปเกิดยังดินแดนอันสุขสำราญแห่งนี้ พระพุทธ- องค์ตรัสช้ีทางอย่างกว้างๆ ในหลายที่หลายแห่ง สรุปได้ดังน้ี ๑. ชายหญิงที่รักษาศีลห้า ศีลแปดมิได้ขาด เมื่อส้ินชีวิตย่อม ไปเกิดในช้ันดาวดึงส์ ๒. ชายหญิงที่ถือเอาพระรัตนตรัยเป็นท่ีพ่ึงเหนือท่ีพึ่งอ่ืนใด มี ศีล รักการเรียนรู้ เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพ่ือส่วนรวม ดำเนินชีวิต ด้วยสติปัญญา ย่อมสามารถไปเกิดในชั้นดาวดึงส์ได้ ๓. ชายหญิงที่ให้ทานแก่ผู้มีสมณะผู้ทรงศีล เช่น ให้อาหาร การกิน เครื่องนุ่งห่ม พาหนะ ดอกไม้ ท่ีพักอาศัย เครื่องให้แสงสว่าง ยารักษาโรค และเครื่องใช้อันสมควรอื่นๆ ด้วยศรัทธาและเจตนาอัน ดี ย่อมไปเกิดในช้ันดาวดึงส์ได้ ๔. ชายหญิงท่ีเล้ียงดูมารดาบิดาด้วยความเคารพ ยำเกรง สมณพราหมณ์ผู้มีศีล อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จะไปเกิดในชั้นดาวดึงส์อย่างแน่นอน
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 134 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ทำดีเท่าน้ี...ก็มีสิทธ์ิได้ไปดาวดึงส์ ! หากอยากไปเสวยสุขในชั้นดาวดึงส์ ความดีท่ีทำให้ไปเกิดใน ที่แห่งนั้นก็ยิ่งไม่ใช่เร่ืองยากเย็น พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความดี คนดี ทำง่าย...” หากคิดว่าความดีเป็นเร่ืองยาก ก็นับว่าทำตัวห่างจากสวรรค์ มากมายนัก ต่อไปน้ีเป็นตัวอย่างของคนที่ไปสวรรค์ในคร้ังพุทธกาล เทพธิดาข้าวตอก หญิงสาวชาวนาคนหน่ึง กำลังทำข้าวตอกอยู่ในบ้าน บังเอิญ เห็นพระมหากัสสปะบิณฑบาตผ่านมา (ความจริงท่านจงใจมาโปรด นางโดยเฉพาะ) ก็เกิดความเล่ือมใส รีบนิมนต์ท่านไว้แล้วประคอง ถาดข้าวตอกมาใส่บาตรท่าน ต่อมาไม่กี่วันเธอถูกงูกัดตาย ผลบุญเพียงเท่าน้ัน ทำให้เธอไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มี วิมานทองใหญ่โตมโหฬาร สวยงามตระการตา มีนางอัปสรพันหน่ึง คอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง คำให้การของพระมหาโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานเถระ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า เท่ียวไปเมืองสวรรค์อยู่บ่อย ครั้งหน่ึงท่านไปยืนอยู่หน้าประตูวิมาน ของเทพธดิ าองค์หนง่ึ แลว้ ถามว่า “เทพธิดา สมบัติของเธอมากมายนัก เธอทำบุญอะไรไว้ หนอ?” เทพธิดาอิดเอื้อน “อย่าถามดิฉันเลยท่านเจ้าข้า”
135 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . นัยว่าเทพธิดาอายที่จะบอกแก่ท่าน เพราะบุญที่ทำน้ันเล็ก น้อยเหลือเกิน แต่ท่านรบเร้าให้บอกจึงตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า “ท่านผู้เจริญ ทานดิฉันก็มิได้ถวาย การบูชาก็มิได้ทำ พระ ธรรมกม็ ไิ ด้ฟงั รักษาเพียงคำสตั ย์อย่างเดยี วเทา่ นนั้ เจา้ ค่ะ” ผละจากเทพธิดานั้น พระเถระไปยังวิมานของเทพธิดาองค์ อ่ืน แล้วถามในลักษณะเดียวกัน เธอตอบอย่างขวยเขินว่า “ท่านเจ้าขา ดิฉันไม่ได้ทำบุญทำทานอะไรเลย แต่ในสมัย ของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ดิฉันเป็นทาสีของคนอ่ืน นาย ของดิฉันนั้นดุร้ายหยาบคายเหลือเกิน เอาไม้บ้าง ท่อนฟืนบ้างที่ตัว พอฉวยได้ แล้วตีศีรษะดิฉัน ดิฉันนั้นเมื่อเกิดความโกรธข้ึนก็นึกตำหนิตัวเองว่า นี่นายของ เจ้า เขามีสิทธ์ิจะทำอะไรเจ้าก็ได้ ต่อให้ทำร้ายเจ้าจนเสียโฉมหรือจะ ตัดจมูกเจ้าทิ้ง เจ้าก็อย่าโกรธเลย แล้วดิฉันก็ระงับความโกรธเอาไว้ จนกลายเป็นคนจิตใจ อ่อนโยน ด้วยเหตุนี้แหละเจ้าค่ะ ดิฉันจึงได้สมบัติน้ี” ส่วนเทพธิดาองค์อื่นๆ ก็ให้ปากคำกับพระเถระถึงบุญท่ีทำให้ ตนเองได้เสวยสุขบนสวรรค์นี้ไปต่างๆ ล้วนแล้วแต่ดูน้อยนิด แต่ให้ ผลมากทั้งส้ิน บ้างก็ว่า “ท่านผู้เจริญ ดิฉัน ได้ถวายอ้อยลำเดียวแก่ภิกษุรูป หน่ึง” อีกองค์ก็ว่า “ดิฉันถวายมะพลับแค่ผลเดียว” อีกองค์ก็ว่า “ดิฉันได้ถวายฟักทองผลหนึ่ง”
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 136 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ...“ดิฉันได้ถวายล้ินจ่ีผลเดียว” ...“ดิฉันได้ถวายหัวมันแค่หนึ่งกำมือ” ...“ดิฉันก็ถวายสะเดาแค่กำมือเดียว” แม้แต่พระมหาโมคัลลานะยังอัศจรรย์ใจ นำความนี้มากราบ ทูลพระพุทธเจ้าให้ทราบ และพระองค์ตรัสรับรองตามน้ันทุกประการ แต่ที่ส่งผลให้เธอได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์หลังจากตาย แล้ว ก็เพราะมีเจตนาท่ีดี ทำความดีด้วยใจอันบริสุทธิ์น่ันเอง ไปดาวดึงส์เพราะเล้ียงแม่ เรื่องสุดท้ายเกิดข้ึนเม่ือปี ๒๕๔๙ นี่เอง ผู้เขียนได้ฟังจากพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ท่ีวัดแถวบางพลัดว่า มี เด็กคนหน่ึงเป็นชาวจังหวัดอำนาจเจริญ บวชเป็นสามเณรอยู่จังหวัด ยโสธรได้ ๑ ปี แล้วเข้ากรุงเทพฯ มาเรียนท่ีวัดแห่งน้ี จำได้ว่าสมัยท่ีผู้เขียนยังครองเพศบรรพชิตอยู่ สามเณรรูปนี้ก็ เป็นศิษย์ท่ีเรียนนักธรรมบาลีกับผู้เขียนเหมือนกัน ต่อมาสามเณรต้อง ลาสิกขาออกไปเพราะแม่ของเธอไม่มีคนดูแล จนอายุได้ ๑๙ ปีเขาประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บสาหัส ในวันท่ี เขาส้ินลม พระคุณเจ้ารูปดังกล่าวอยู่ใกล้ชิดคอยบอกให้เขานึกถึงแต่ เรื่องดีๆ ไว้ กลางดึกของวันนั้นเขาก็สิ้นลม ต่อมาไม่นาน เขาก็มาปรากฏในนิมิตของพระคุณเจ้ารูปนี้ บอกท่านวา่ “หลวงพ่คี รับ ผมไดไ้ ปเกดิ บนสวรรคช์ ัน้ ที่ ๒ แลว้ นะ โอย้ !
137 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . มีความสุขเหลือเกิน มีแต่ผู้หญิงงามๆ ล้อม หนา้ ลอ้ มหลงั ของอย่ขู องกินมากมายไปหมด หลวงพ่ไี มต่ ้องเปน็ ห่วงผมแลว้ นะ” ท่านจึงถามในนิมิตว่า “อ้าว! แล้วไป เกิดที่ช้ันนั้นได้ยังไง” เขาตอบว่า “เพราะบุญท่ีผมได้บวช เณรแล้วเลี้ยงดูแม่นั่นแหละครับ” ท่านถามต่อไปว่า “แล้วไม่อยากมา เกิดอีกเหรอ ?” เจ้าหนุ่มในนิมิตตอบว่า “ถ้าไม่ หมดบุญจะมาเกิดที่น่ีทำไม สกปรกก็สกปรก อยู่ท่ีโน่นสุขสบายจะตาย...” สวรรค์ช้ัน ๒ ท่ีเด็กหนุ่มในนิมิตบอก น้ัน ก็คือ “ชั้นดาวดึงส์” น่ันเอง
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . แดนอสูร สวรรค์ใตพ้ ิภพ ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ อสูร! ...ฟังช่ือแล้วดูน่ากลัวชอบกล แต่หากรู้ความหมายแท้จริงก็ไม่น่ากลัวอะไร ท่าน “พระธรรม ธีรราชมหามุนี” (วิลาศ ป.ธ.๙) ผู้ประพันธ์ “โลกทีปนี” แปลคำ “อสูร” ว่า ผู้ไม่ดื่มน้ำคันธปานะอันมีฤทธิ์แรงคล้ายสุรา ซ่ึงเป็นการแปลเข้า ข้างฝ่ายอสูร แต่ผู้เขียนขอแปลว่า “ผู้ปราศจากความแกล้วกล้า” เหตุ เพราะหลังจากพวกน้ีรบแพ้เหล่าเทพซ่ึงมีสมเด็จพระอมรินทราธิราช เป็นจอมทัพแล้ว ในครั้งต่อๆ มาเมื่อยกทัพบุกสวรรค์ เพียงเห็นยอดธงรบของ จอมทัพสวรรค์ ไม่ทันเห็นองค์จริง ก็พากันอกส่ันขวัญหาย ถอยทัพ กลับไมเ่ ป็นทา่ แลว้ คำว่า อสูร จึงน่าจะมีความหมายมาจากสาเหตุน้ีมากกว่า (“สูร” แปลว่า กล้าหาญ แกล้วกล้า, “อะ” แปลงมาจาก “น” เป็นศัพท์ ปฏิเสธ ทำให้ สูร กลับความหมายเป็น ข้ีขลาด) แดนอสูร ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นใดๆ ทั้งส้ิน แต่มีศักด์ิฐานะ และกำลังบุญเทียบเท่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทุกประการ
139 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ด้วยว่า พวกอสูรเป็นเทวดาในช้ัน ดาวดึงส์มาก่อน แต่เพราะมีพฤติกรรมไม่ดี จึงถูกพระอินทร์ปฏิวัติแล้วขับออกจาก ดาวดึงส์ และควรทราบว่า “อสูร” กับ “อสุรกาย” แม้มีรูปศัพท์และความหมาย คล้ายกัน แต่เป็นคนละจำพวกกัน อสูร คือ เทวดาที่ถูกขับจากสวรรค์ เป็นสัตว์โลกฝ่ายสุคติ เกิดมาเสวยสุขอัน เป็นทิพย์จากผลบุญ มีปราสาทวิมานเป็นท่ี เป็นทาง ส่วน อสุรกาย คือพวกผีหรือสัตว์ โลกฝ่ายทุคติ เกิดมารับผลบาปที่เคยทำไว้ เร่ร่อนไปในท่ีต่างๆ ได้รับความทุกข์ทรมาน จากความหิวโหยและหวาดผวา เร่ืองราวระหว่างพระอินทร์กับอสูร มีบันทึกไว้ในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท เป็น เรื่องอ่านสนุกเพลิดเพลิน หากมีนักประ พั น ธ์ ฝี มื อ ดี ห ยิ บ ม า เ ขี ย น เ ป็ น นิ ย า ย แฟนตาซี คงสนุกไม่น้อย แต่ ณ ตรงน้ี ผู้ เขียนจะขอเล่าแบบรวบยอด ดังนี้ ครั้งหนึ่งดาวดึงส์เทวโลกมี “ท้าว สัมพรเทวราช” เป็นองค์อินทร์ปกครอง ดาวดึงส์ แต่ท้าวท่านเม่ือได้เสวยอำนาจ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 140 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ และทิพยสมบัติก็หลงระเริง มัวเมาอยู่กับการเสพสุขสำราญ ร่วมกับ ประดาเทพยดาในชั้นเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสัตว์โลกท่ีไม่รู้จัก คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นึกว่าชีวิตตนเองนี้สุดยอด เป็นอมตะ ไม่มีวันแก่วันตาย โลกมนุษย์ช่วงน้ันเป็นยุคตกต่ำ ผู้คนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เท่าใดนัก นานทีปีหนทางสวรรค์จึงจะมีเทวดาขึ้นไปเกิดใหม่สักครั้ง คร้ันมฆมาณพ รวมท้ังภรรยาและสหาย สร้างบุญบารมีแล้ว ข้ึนไปเกิดยังชั้นดาวดึงส์ ท้าวสัมพรเทวราช และเทวดาท่ีอยู่ก่อน เห็น มีเทพบุตรเทพธิดามาใหม่ต่างดีใจ จัดเฉลิมฉลองพร้อมแบ่งเขต สวรรค์ให้ครองครึ่งหนึ่ง จากน้ันก็ชูจอกกรอกสุรากันยกใหญ่ ฝ่ายมฆเทพบุตร เห็นเทวดาพวกท่ีอยู่ก่อน หลงระเริงในทิพย- สมบัติ จิตใจตกต่ำมีพฤติกรรมพาลเกเร จึงเกิดความรังเกียจคิดว่า พวกน้ีไม่รู้จักดีช่ัว เป็นเพียงพวกกินบุญเก่าเท่าน้ัน เราไม่ต้องการ เกลือกกลั้วกับเทวดาอันธพาลเช่นนี้ จึงนัดแนะกับพรรคพวกของตนเองท้ังหมด (ร่วมแสนองค์) ว่า “อย่าได้ด่ืมสุราเป็นอันขาด พวกเขาฉลองให้เราก็ให้เมากันเอง” พอท้าวสัมพรเทวราช และเหล่าประยูรญาติเทวดาเมามายไร้ สติ มฆเทพบุตรก็ให้สัญญาณแก่บริวารของตน จับเจ้าถิ่นอันธพาล ทั้งหมดโยนลงจากสวรรค์ ชนิดล้างบางไม่มีเหลือแม้แต่องค์เดียว ปราสาทวิมานของพวกเดิมก็อันตรธานไปเช่นกัน ชำระเมืองดาวดึงส์เรียบร้อยแล้ว มฆเทพบุตรได้รับการ สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ใหม่ทันที พระอินทร์
141 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . องค์น้ีมีคุณธรรมบารมีเต็มเปี่ยม จึงได้รับการเคารพยำเกรงจากทวย เทพและเหล่า “สัตว์อทิสมานกาย” (พวกกายทิพย์แต่ไม่ใช่เทวดา) โดยดุษณี ฝ่ายเทวดาข้ีเมาทั้งหลาย ลอยละล่ิวทะลุออกจากมิติสวรรค์ แรงเหวี่ยงยังทำให้ทะลุมิติมนุษย์ไปอีก แต่เพราะเป็นสัตว์โลกฝ่าย สุคติจึงตกลงอยู่เพียงน้ัน พร้อมด้วยอำนาจบุญของพวกเขา ก็บังเกิด ภพอีกภพหนึ่งข้ึนรองรับเทวดาตกสวรรค์ท้ังหมดเอาไว้ ปราสาท วิมานก็ผุดพรายข้ึนเป็นประหน่ึงเมืองฟ้า ภพนี้พวกอสูรจะเรียกอย่างไรน้ันไม่ทราบ แต่ต่อมาถูกเรียก ว่า ภพอสูร มีความพรั่งพร้อมด้วยส่ิงบำเรอความเกษมสำราญ เช่นเดียวกับสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ทุกประการ ท้าวสัมพรอสูร พอได้สติขึ้นมาพบว่าตนเองถูกทรยศขับจาก ทิพยไอศูรย์สมบัติก็โกรธแค้นเป็นกำลัง รวมรวบไพร่พลเทพอสูร ยาตราทัพบุกสวรรค์ทันที ครั้นกองทัพอสูรเข้าประชิดสวรรค์ ต้องเผชิญกับกองทัพของ ท้าวจตุโลกบาลในช้ันจาตุมฯ เมืองหน้าด่านก่อน ท้าวมหาราชท้ังสี่ ทางหน่ึงก็เกณฑ์ไพร่พล นาค ยักษ์ กุมภัณฑ์ และครุฑออกรบกันเป็น สามารถ ทางหนึ่งก็ส่งคนธรรพ์ไปรายงานสมเด็จพระอมรินทร์ เป็นการด่วน ฝ่ายดาวดึงส์ก็จัดทัพลงมาสมทบ พุ่งรบกันอุตลุด องค์ อมรินทร์พร้อมกับสหายท้ัง ๓๒ น้ัน ประทับบน “ช้างเอราวัณ” ซ่ึง เอราวณั เทพบตุ รจำแลงกายขน้ึ มเี ศยี ร ๓๓ เศียร องคอ์ มรินทรป์ ระทบั บัญชาการรบอย่เู ศียรหน้าสุด
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 142 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ควรทราบว่า พวกเทวดา หากถูกฆ่าตายจะเกิดข้ึนใหม่ เพราะยังไม่ส้ินบุญ การรบกันแม้จะเสียเลือดเสียเน้ือ แต่ไม่เสียชีวิต แบบราบคาบ ยกเว้น พวกนาค และครุฑ แต่ปีกครุฑและเกล็ดนาคก็ แข็งทายาด มีเร่ืองเล่าว่าขนาดอาวุธของพระอินทร์ยังทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ฝ่ายอสูรแพ้อย่างไม่เป็นท่า ท้าวสัมพรอสูรและ อสูรระดับขุนพลถูกจับได้และนำไปเฝ้าสมเด็จพระอมรินทร์ ณ ศาลา สุธรรมา ทา้ วสัมพรอสรู ถกู มดั ต้งั แตพ่ ระศอถึงพระบาท กระดิกกระเดีย้ วรกายไม่ได้ แต่พระโอษฐ์ยังใช้ได้ จึงก่นญาติโกโหติกาจอมเทพแห่ง ดาวดงึ ส์เปน็ การใหญ่ จน “มาตลเี ทพบุตร” ซงึ่ เป็นเทพสารถี อดรนทน ไม่ไหว บทสนทนาในช่วงนี้ กินใจมาก โปรดอ่าน!... บัดน้ัน มาตลีเทพบุตร ได้ทูลถาม ท้าวสักกะ จอมเทวดาว่า “ข้าแต่ท้าวสักกะมฆวาฬ พระองค์ได้ทรงสดับถ้อยคำอัน หยาบคาย เฉพาะหน้าของท้าวเวปจิตติจอมอสูร ยังทรงอดทนได้ เพราะความกลัว หรือเพราะไม่มีกำลัง พระเจ้าข้า” ท้าวสักกะตรัสตอบว่า “เราอดทนถ้อยคำอันหยาบคายของท้าวเวปจิตติได้ เพราะ ความกลัวหรือเพราะไม่มีกำลังก็หาไม่ วิญญูชนเช่นเราไฉนจะพึง โต้ตอบกับคนพาลเล่า” สกั กะ เปน็ อกี ชอ่ื หนง่ึ ของพระอนิ ทร์ หมายถงึ ผมู้ คี วามอาจหาญชาญชยั
143 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . มาตลีเทพบุตรทูลว่า “คนพาลไม่มีผู้กำราบ มันยิ่ง กำเริบ เพราะฉะน้ัน ธีรชนพึงกำราบคน พาลด้วยลงโทษอย่างรุนแรง” ท้าวสักกะตรัสตอบว่า “ผู้ใดรู้ว่าคนอ่ืนโกรธแล้ว เป็น ผู้มีสติสงบระงับได้ เราเห็นว่าการสงบ ระงับได้ของผู้น้ันแล เป็นการกำราบคน พาลทีเดียว” มาตลีเทพบุตรทูลว่า “ข้าแต่ท้าววาสวะ ข้าพระองค์ เห็นโทษในความอดทนน้ีแล เม่ือใด คนพาลย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า ผู้นี้ ย่อมอดกล้ันต่อเราเพราะความกลัว เมื่อน้ัน คนมีปัญญาทรามย่ิงข่มขี่ผู้นั้น เ ห มื อ น โ ค ยิ่ ง ข่ ม ขี่ โ ค ตั ว แ พ้ ท่ี ห นี ไ ป ฉะน้ัน” ท้าวสักกะตรัสตอบว่า “บุคคลจงสำคัญเห็นว่า ผู้น้ีอด กล้ันต่อเราเพราะความกลัวหรือหาไม่ ก็ตามที ประโยชน์ทั้งหลายมีประโยชน์ ของตนเป็นอย่างย่ิง ประโยชน์ย่ิงกว่า
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 144 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ขันติไม่มี ผู้ใดแลเป็นคนมีกำลังอดกล้ันต่อคนผู้ทุรพลไว้ได้ ความอด กลั้นของผู้น้ัน บัณฑิตท้ังหลายกล่าวว่าเป็นขันติอย่างย่ิง คนทุรพลจำ ต้องอดทนอยู่เป็นนิตย์ บัณฑิตท้ังหลายกล่าวกำลังของผู้ซึ่งมีกำลังอย่างคนพาลว่า มิใช่กำลัง ไม่มีผู้ใดท่ีจะกล่าวโต้ต่อผู้มีกำลังผู้ซ่ึงธรรมคุ้มครองแล้วได้ เลย เพราะความโกรธน้ัน โทษท่ีลามกจึงมีแก่ผู้ที่โกรธตอบต่อผู้ที่โกรธ บุคคล ผู้ไม่โกรธตอบต่อผู้ที่โกรธ ย่อมช่ือว่าชนะสงครามซ่ึง เอาชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อ่ืนโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ ผู้นั้นช่ือว่า ประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและคนอ่ืน คนท่ีไม่ ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญเห็นผู้รักษาประโยชน์ของท้ังสองฝ่าย คือ ของตนและของคนอ่ืน ว่าเป็นคนโง่” (เวปจิตติสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค) เมื่อท้าวสัมพรอสูรพร้อมกับบริวาร ได้รับการปล่อยตัวกลับ ภพของตนเอง ระหว่างทางผ่านโลกมนุษย์ ทรงกระเซอะกระเซิงมาถึง อาศรมของฤษีกลุ่มหนึ่ง ก็เข้าใจว่าฤษีพวกนี้คงเป็นที่ปรึกษาของ พระอินทร์เป็นแน่ ตนเองจึงพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ดำริดังนั้นแล้วจึง ชักชวนบริวาร ฮือเข้ารื้ออาศรมของพวกฤษีจนราบเป็นหน้ากลอง ฝ่ายฤษีก็ว่า “อาตมาไม่ได้เกี่ยวกับเร่ืองสวรรค์ชั้นฟ้าเลย อภัยให้พวกอาตมาเถิด” แต่ท้าวท่านไม่รับฟัง บริภาษอีกยกว่า “ข้า
145 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ไม่เช่ือ อย่ามาขออภัย ข้าสิควรให้ภัยแก่พวกท่านจะเหมาะสมกว่า” เม่ืออธิบายกันไม่ฟัง พวกฤษีจำต้องใช้ไม้ตาย สาปแช่งท้าว สัมพรอสูรไปว่า “พวกอาตมาขออภัยแต่ท่านกลับจะให้ภัย ภัยใดที่ ท่านจะให้แก่พวกอาตมา ท่านก็รับภัยน้ันไปเสียเองเถิด” นับตั้งแต่น้ัน ท้าวสัมพรอสูร ก็มีอาการวิตกจริตหวาดผวา ยามหลับก็เห็นภาพศัตรูกรูกันเข้ามากรุ้มรุมทำร้ายตน พรวดพราดขึ้น ร้องโหวกเหวกเป็นการใหญ่ ความน้ีไม่นานเป็นท่ีรู้กันท่ัวภพอสูร ต้ัง แต่น้ันมาท้าวเธอจึงถูกขนานพระนามเสียใหม่ว่า ท้าวเวปจิตติ จอม อสูรผู้มีจิตฟั่นเฟือน เมืองอสูรนี้ เพื่อให้เกียรติแก่พวกอสูร ผู้เขียนขอเรียกเสียใหม่ ว่า ไอศูรย์เทวพิภพ ทุกครั้งท่ีเห็นดอกจิตปาตลีในเมืองอสูรบาน พวกอสูรจะ คิดถึงดอกกัลปพฤกษ์ในเมืองดาวดึงส์ แล้วพากันยาตราทัพบุก สวรรค์อีก แต่ครั้นเห็นธงรบของกองทัพสวรรค์ กลับหวาดหวั่นใน อานุภาพสมเด็จพระอมรินทราธิราช เป็นต้องแตกทัพกลับทุกที ผู้อ่านท่ัวไปอาจเข้าใจว่า ปัจจุบันนี้อสูรกับเทพยังรบกันอยู่ ข้อน้ีเป็นความเข้าใจผิด ความจริงท้าวเวปจิตติหรือสัมพรอสูร ได้ เจรจาสงบศึกกับองค์อมรินทร์แล้ว ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ยังทรง พระชนม์อยู่ เร่ืองมีอยู่ว่า... วันหนึ่ง พระอินทร์ทรงหลบไปน่ังเล่นในอุทยานแต่พระองค์ เดียว คร้ันแล้วดำรขิ ึน้ วา่ “เราไม่ควรทำร้ายศัตรูของเรา ไม่ว่าทางใด”
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 146 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ การดำริเช่นนี้ เพราะนึกละอายใจว่ามเหสีองค์ที่ ๔ ของ พระองค์ เป็นเทพธิดาของท้าวเวปจิตติ ท้าวท่านลงไปลักพามาจาก ภพอสูร (เพราะเป็นภรรยาเก่าสมัยยังเป็นมนุษย์) เท่ากับว่าท้าวเวป- จติ ติมีศักดเิ์ ป็น “พ่อตา” ของพระอนิ ทร์ดว้ ยจำยอม คร้ันรบกันหลายครั้ง พระอินทร์นึกละอายใจว่า ลูกเขยมารบ กบั พ่อตาน้ันไมเ่ หมาะ ท้าวเวปจิตติทราบวารจิตของพระอินทร์ ทรงขึ้นมาหาท้าว ท่านเป็นการส่วนพระองค์ในทันที และต่อไปน้ีคือความในนทุพภิย สูตร ท้าวสักกะจอมเทวดาทอดพระเนตรเห็นท้าวเวปจิตติจอม อสูรผู้มาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วจึงตรัสกับท้าวเวปจิตติจอมอสูรว่า “หยุดเด๋ียวน้ี ท่านท้าวเวปจิตติ ท่านถูกจับเสียแล้ว” ท้าวเวปจิตติตรัสถามว่า “แน่ะ...ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านละทิ้ง ความคิดเดิมของท่านเสียแล้วหรือ” ท้าวสักกะถึงกับทรงนิ่งงันไป ก่อนตรัสว่า “ท้าวเวปจิตติ ท่าน จงสาบานเพ่ือท่ีจะไม่ประทุษร้ายต่อเรา” (เป็นการกล่าวถ่อมตัว) ท้าวเวปจิตติตรัสว่า “แน่ะ...ท้าวสุชัมบดี บาปของคนพูดเท็จ บาปของคนผู้ติ เตียนพระอริยเจ้า บาปของคนผู้ประทุษร้ายต่อมิตร และบาปของคน อกตัญญู จงให้ผลแก่ผู้ท่ีประทุษร้ายต่อท่าน” นับแต่นั้น ท้าวเวปจิตติ แห่งไอยศูรยพิภพกับท้าวสักกะแห่ง ดาวดึงส์ ก็นับญาติกันอย่างสนิทใจ
ชน้ั ท่ี ๓ ยามา ละเอียดเหนือสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ขึ้นไป คำนวณเป็นระยะทางได้ ๑,๓๔๔,๐๐๐ กิโลเมตร เป็นสวรรค์ช้ัน “ยามา” อันเพียบพร้อมไปด้วยความสุข สโมสรสุดเปรียบปาน เหนือล้ำกว่าช้ัน ดาวดึงส์หลายเท่าตัว ทิพยปราสาทเงินและทอง ณ ดิน แดนแห่งน้ีล้วนแต่ใหญ่โตวิจิตรตระการตา ทอประกายระยิบระยับอยู่ตลอดทิพาราตรี อุทยานทิพย์อันมีอยู่ทั่วไปก็ร่มรื่นน่าร่ืนรมย์ เป็นท่ีสุด เทพยดา นางฟ้าในชั้นยามา ก็รูป กายสมส่วนน่าหลงใหล มีรัศมีเปล่งออก จากกายไกลหลายวา ต่างเสวยสุขอันพร่ัง พร้อมตามที่ต้องการอย่างไม่มีวันหมดสิ้น กลางคืนกลางวันไม่ได้ปรากฏ ณ ดินแดนแห่งนี้ เพราะแสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง แต่ก็สว่างเรืองรองด้วยรัศมีแห่งปราสาท
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 148 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ วิมานและกายทิพย์ของเหล่าเทพบุตรเทพ ธิดาท้ังหลาย หากอยากทราบว่า ตอนใดเป็น กลางวันกลางคืน ต้องดูที่ดอกไม้อัน ดารดาษอยู่ท่ัวแดนสวรรค์นั่นทีเดียว ถ้า หุบอยู่ก็หมายว่าเป็นกลางคืน ถ้าบาน สะพรั่งเรืองรอง ก็เป็นเวลากลางวัน เทพในชั้นน้ีเป็นผู้มีจิตใจแน่วแน่ มั่นคง หากเป็นคนก็เป็นคนพูดจริงทำจริง ส่วนมากเป็นเทวดาที่นับถือพุทธศาสนา ทั้งส้ิน จอมเทพผู้ปกครองทวยเทพบน สวรรค์ชั้นน้ีนามว่า “สมเด็จพระสุยาม เทวาธิราช” ทรงมีน้ำพระทัยประกอบด้วย เมตตากรุณาและรักความยุติธรรมเป็น อย่างย่ิง เทพในอาณัติของพระองค์ต่างให้ ความรักเทิดทูนท้าวท่านอย่างย่ิง คนไทยบางกลุ่ม เชื่อกันว่าสมเด็จ พระสุยามเทวาธิราชนี้ เป็นองค์เดียวกับ เทพไท้ผู้ปกปักรักษาขอบขัณฑสีมาสยาม ประเทศของเรา และอำนวยให้รอดพ้น จากภยันตราย ภัยภายนอกภายในมาจน ทุกวันน้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258