Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวรรค์ มนุษย์ ความดี สุคติภูมิ

สวรรค์ มนุษย์ ความดี สุคติภูมิ

Published by Dhammanava, 2021-02-07 05:13:08

Description: เรื่องราวของสวรรค์ชั้นต่างๆที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

149 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ทวยเทพทุกองค์ในสยามประเทศ ล้วนอยู่ภายใต้ทิพย- เศวตฉัตรของพระองค์ คอยสงเคราะห์และช่วยธำรงความเป็น ไทให้แก่ประเทศน้ี ไม่ยาก...ถ้าอยากไปเกิดช้ันยามา ทวยเทพชั้นน้ี รักอิสระและความสงบอย่างที่สุด ไม่ค่อยสุงสิง กับเทพช้ันอื่น มีอายุอยู่ท่ี ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์ ผู้คนที่จะได้มาเสวยสุขยังสรวงสวรรค์ช้ันนี้ ต้องเป็นผู้มีจิตใจ แน่วแน่มั่นคง ทำบุญทำทาน รักษาศีลอยู่เป็นปกติชีวิต ต้ังหน้าตั้งตา ทำแต่ความดีสถานเดียว ไม่แลเหลียวทางช่ัวเป็นเด็ดขาด เมื่อตัวตายกายดับแล้ว จะมาเกิดในสวรรค์ชั้นยามาอย่าง แน่นอน ส ว ร ร ค์ ชั้ น น้ี ต้ อ น รั บ เ ฉ พ า ะ ผู้ ค น ที่ จิ ต ใ จ แ น่ ว แ น่ ใ น ก า ร ทำความดีเท่าน้ัน ตัวอย่างของบุคคลผู้ไปเกิดชั้นยามา ในอดีตยังมีอุบาสกคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่น แกนิมนต์พระ ภิกษุมารับอาหารบิณฑบาตท่ีบ้านของตนทุกวัน ถึงวันพระก็เข้าวัด ฟังธรรม รักษาอุโบสถศีล (ศีลแปด) มิได้ขาด ช่วงนั้นมีโจรชุกชุม วันหน่ึงอุบาสกสั่งให้ปิดประตูบ้านไว้ เมื่อ พระคุณเจ้ามารับอาหารบิณฑบาต เห็นประตูบ้านของอุบาสกปิด

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 150 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ สนิทก็เข้าใจว่าคงไม่อยู่บ้าน วันนี้ไม่มีการถวายภัตตาหารเสียแล้ว ท่านจึงกลับวัดไป ฝ่ายอุบาสกจัดเตรียมข้าวของถวายไว้มากมาย แต่เม่ือไม่ เห็นพระมารับอาหาร จึงไต่ถามคนในบ้าน ได้ความว่าท่านมาแล้ว แต่เห็นประตูบ้านปิดจึงกลับไป อุบาสกเกิดความเศร้าใจอย่างยิ่งว่า ทำให้พระคุณเจ้าได้รับความลำบาก วันนี้คงไม่ได้อาหารฉันเป็นแน่ ตนเองก็ไม่ได้ส่วนบุญไปด้วย วันต่อมาจึงว่าจ้างชายคนหนึ่งมาเฝ้าประตูไว้ ถ้าพระคุณเจ้า มาให้นิมนต์เข้ามารับอาหารบิณฑบาต เหตุการณ์เดิมจึงไม่เกิดข้ึนอีก อุบาสกได้ถวายทาน ทำบุญอ่ืนๆ อย่างสบายใจตลอดชีวิต เมื่อสิ้นชีพ อำนาจการขวนขวายในการทำบุญทำทาน ยังผล ให้อุบาสกไปเปิดเป็นเทวดา เสวยสุขสมบูรณ์อยู่ ณ สวรรค์ช้ันยามา แห่งน้ี ในขณะเดียวกัน ชายท่ีเฝ้าประตูก็มีใจปลาบปล้ืมยินดีกับ การทำบุญของอุบาสกด้วย ทำหน้าท่ีของตนเองอย่างไม่ขาดตก บกพร่อง ถึงคราวช่วยเหลืองานบุญอื่นๆ ก็ขวนขวายโดยไม่เห็นแก่ ความเหน็ดเหนื่อย มีจิตแช่มช่ืนยินดีต่อการทำดีอยู่ตลอด คร้ันสิ้นชีวิต ก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทวดาในช้ันดาวดึงส์ ได้เสวย สุขจากผลแห่งความดีอย่างเต็มท่ีเช่นเดียวกัน

ช้ันที่ ๔ ดสุ ิต สวรรค์ชั้นดุสิตมีทิพยสถานวิมาน วิจิตรตระการสุดท่ีจะพรรณนาให้ท่ัวถึง ได้ ท่ีสำคัญยังเป็นดินแดนของ “พระโพธิ- สัตว์” ผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมีเพ่ือจะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า และรองรับผู้ทรงคุณ ธรรมสูงส่งทั้งหลาย ช่ือก็มีนัยน่าคิดอยู่แล้วว่า ดินแดน อันเป็นท่ีอยู่ของเทพผู้มีรอยยิ้มแช่มช่ืนอยู่ ตลอดเวลา เทพชั้นน้ี แม้พร่ังพร้อมไปด้วยส่ิง อำนวยความสุขอันประณีตที่สุด ปราสาท วิมานใหญ่โตมโหฬาร ล้วนแต่เป็นแก้ว เงนิ ทองท้ังส้ิน ภาคพ้ืนก็เป็นทองอร่ามทั่วท้ัง พิภพ แต่ทุกองค์พากันเสวยสุขกันอย่างพอ เพียง มีความยินดีเท่าที่อำนวยประโยชน์ กบั ตนเอง สถานท่ีแห่งนี้จึงร่มรื่นสุขเย็นเป็น ท่ีสุด ทุกวันพระ เหล่าทวยเทพจะมารวม

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 152 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ กันฟังธรรม ณ เทวธรรมสภาประจำช้ันดุสิต โดยมีเทพผู้เป็นพระโพธิ- สัตว์ ซ่ึงมีอยู่เป็นจำนวนมาก สับเปลี่ยนกันแสดงธรรมเป็นคร้ังๆ ไป จอมเทพผู้เป็นใหญ่ในช้ันน้ีมีพระนามว่า “สมเด็จพระสันตุสิต เทวราช” ท้าวท่านทรงรู้ธรรมและทรงคุณธรรมสูง เทพสำคัญบนชั้นดุสิตที่ควรทราบ องค์แรกคือ พระเทพสิริมหามายา เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทรง เป็นพระมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ ปัจจุบัน พระนางสิริมหามายาให้กำเนิดพระโอรสแล้ว ก็เสด็จทิวงคต ซ่ึงเป็นเร่ืองปกติของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ในอดีต พระนางได้ ตั้งความปรารถนาขอเป็นมารดา ผู้ให้กำเนิดผู้จะตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า เม่ือให้กำเนิดแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่เพียงเท่านั้น ประการหน่ึง เพื่อไม่ให้พระครรภ์ของพระนางแปดเปื้อน มลทินเพราะการให้กำเนิดผู้อื่น ครั้นทิวงคตแล้วไปเกิดยังชั้นดุสิตนี้ โดยมีรูปกายเป็นเทพ บุรุษ ด้วยว่าหากมีรูปกายเป็นเทพนารี มีเทพบุรุษพบเห็นแล้วเกิด ความสิเน่หาจะเป็นโทษแก่เทพผู้น้ัน อาจมีผู้สงสัยว่า เทพมารดาของพระพุทธเจ้า ประทับอยู่ช้ัน ดุสิต แต่เหตุใดพระพุทธองค์เสด็จแสดงพระอภิธรรมโปรดพระมารดา ท่ีชั้นดาวดึงส์ น่ันเพราะว่า ดาวดึงส์เป็นชั้นท่ีเทพทุกชั้นสามารถมาฟังธรรม

153 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ได้สะดวก ผู้ท่ีจะได้รับประโยชน์จากการฟังธรรมย่อมมีมากย่ิงกว่า มาก นัยว่าหากทรงข้ึนมายังช้ันดุสิต เทพชั้นต่ำกว่าซ่ึงมีมากมหาศาล จะมีกำลังฤทธิ์ข้ึนมาได้ไม่กี่องค์เท่านั้น องค์ที่ ๒ คือ พระเทพศรีอาริยเมตตรัย พระโพธิสัตว์ซ่ึงรอ เวลาจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอีกไม่กี่พันปีข้าง หน้า พระโพธิสัตว์องค์น้ี เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าโคดมปัจจุบันยังทรง พระชนม์อยู่ เกิดเป็นพระโอรสของ “พระนางกาญจนาเทวี” มเหสีของ พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงพระนามว่า “พระอชิตะ” คร้ันพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา เสด็จออกผนวช เป็นผู้มี ปัญญารอบรู้สูง เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกดีย่ิง เม่ือถึงแก่มรณภาพ แล้วก็มาบังเกิดเป็นพระเทพศรีอาริยเมตตรัยในชั้นดุสิตน้ี เพ่ือรอเวลา จุติลงไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ไม่ยาก...ถ้าอยากไปเกิดชั้นดุสิต สวรรค์ช้ันนี้เป็นชั้นสูง เทพบุรุษ เทพนารี โดยมากเป็นผู้ทรง ธรรม หรือเป็นพระโพธิสัตว์ท้ังส้ิน วันหนึ่งคืนหน่ึงในสวรรค์ชั้นดุสิต เท่ากับ ๔๐๐ ปีในโลกมนุษย์ อายุของทวยเทพในชั้นน้ีประมาณ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ เท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์ บุคคลในพุทธกาลท่ีมาเกิดในช้ันน้ีก็เช่น พระติสสเถระ พระ อชิตเถระ (เมื่อมาเกิดบนสวรรค์มีชื่อว่า พระเทพศรีอาริยเมตตรัย) ธรรมิกอุบาสก อนาถบิณฑิกเศรษฐี (เศรษฐีผู้สงเคราะห์คนยาก ผู้ สร้างวัดเชตวันมหาวิหาร) พระนางมัลลิกา (มเหสีของพระเจ้าปเสนทิ โกศล แห่งแคว้นมคธ ผู้สร้างวัดบุปผาราม)

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 154 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ดังน้ันผู้ประสงค์จะเกิดยังสวรรค์ชั้นน้ี นอกจากจะทำบุญ สุนทาน รักษาศีลเป็นปกติชีวิตแล้ว ต้องฝึกยกระดับจิตของตนเองให้ ผ่องใสและใฝ่ในธรรม มากกว่าระดับคนปกติ ไม่มักมากในกามราคะ หมั่นละลายความโกรธออกจากใจ และกระตือรือร้นที่จะรู้ธรรม ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมเป็นนิสัย เม่ือทำได้เช่นน้ี ปราสาทวิมานอันวิจิตรตระการในช้ันดุสิต จะผุดขึ้นรอท่านไปเสวยสุข พระโพธิสัตว์ ๒ ความหมาย ดังข้อความข้างต้นว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่สถิตเสวยสุขของ พระโพธิสัตว์ด้วย ดังนั้นผู้เขียนจำเป็นต้องให้ความกระจ่างของคำ “พระโพธิสัตว์” ไว้ ณ ท่ีนี้เช่นกัน ท่านผู้อ่านจะได้มีความเข้าใจตรงกัน โดยนำร่องเรื่องประวัติศาสตร์เสียก่อนเล็กน้อย พระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน แตกออกเป็น ๒ นิกาย คือ เถรวาท กับ มหาสังฆิกวาท ต่อมานิกายมหาสังฆิกก็แตกหน่อ ก่อแนวคิดกันออกไปเร่ือยๆ ซึ่งรู้กันในภายหลังคือ นิกายมหายาน จนกระทั่ง ๖๐๐ ปีหลังพุทธกาล ช่วงนั้นพุทธศาสนาเกิดการ ผันผวนทั้งภายนอกภายใน เกิดการปะปนกันทางแนวคิด พระพุทธ- ศาสนาจึงรับเอาอิทธิพลความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของพราหมณ์ เทพเจ้า ของกรีกเข้ามา แนวคิด “พระอวโลกิเตศวร” ก็สันนิษฐานว่าเกิดใน สมัยน้ี และน่ันเองความหมายของพระโพธิสัตว์ ก็ถูกนิยามไปอีกทาง หนึ่ง กลายเป็นแนวคิด ๒ ทาง คือ พระโพธิสัตว์ ตามความหมายของ “พุทธศาสนาแบบ

155 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ด้ังเดิม” คือ เถรวาท หมายถึงผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมีอย่างแน่วแน่ เพื่อ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สั่งสอนสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ ซึ่งหลักใหญ่ของ บารมีท่ีทำมี ๑๐ ประการด้วยกัน คือ ๑. การเสียสละ (ทาน) ๒. รักษากายวาจาให้เรียบร้อย ไม่สร้างทุกข์กับตนเองและ ผู้อ่ืน (ศีล) ๓. การใช้ชีวิตอย่างสงบพอเพียง หรือแสวงหาความสงบ (เนกขัมมะ) ๔. การแสวงหาความรู้และใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ต่อ คนส่วนมาก (ปัญญา) ๕. ความพากเพียรทุกด้าน (วิริยะ) ๖. ความอดทนอดกลั้น (ขันติ) ๗. ธำรงความถูกต้อง พูดจริงทำจริง (สัจจะ) ๘. มุ่งม่ันในปณิธานท่ีต้ังไว้ (อธิษฐาน) ๙. ความมีเมตตา (เมตตา) ๑๐. มีใจเป็นกลางวางตัวให้ถูกต้อง มีเหตุมีผล (อุเบกขา) พระโพธิสัตว์ ตามความหมายของ “พุทธศาสนามหายาน” กลับหมายถึงผู้ตั้งใจช่วยเหลือสรรพชีวิตบนโลกมนุษย์ ด้วยความต้ัง ปรารถนาว่า ถ้าสัตว์ในระบบเวียนว่ายตายเกิดนี้ยังไม่หมด เราจะยัง ไม่ตรัสรู้ เราจะตามไปเป็นคนสุดท้าย ผู้ที่ต้ังความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ตามแนวคิดน้ี เมื่อ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 156 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ สิ้นชีพจะเกิดเป็นเทพ คอยช่วยเหลือมนุษย์ต่อไป ซึ่งปัจจุบันมีพระ โพธิสัตว์ในลักษณะเทพ เป็นท่ีเคารพนับถือของผู้คนเป็นจำนวนมาก ลักษณะแนวคิดดงั กล่าว ถอื เป็นเรอ่ื งดี แตผ่ ้ทู ี่คอยให้พระโพธิสัตวม์ าชว่ ย โดยไมย่ อมขวนขวาย ดว้ ยตนเองนี่ “นา่ เปน็ หว่ ง” ตัวอย่างบุคคลผู้ไปเกิดในชั้นดุสิต ในคร้ังพุทธกาล หากจะเอ่ยถึงผู้ที่อุทิศตัวเพ่ือพระพุทธ- ศาสนา มีใจผูกพันยินดีในการทำบุญอยู่เสมอ ก็ต้องนึกถึงท่าน “เศรษฐีอนาถบิณฑิกะ” ท่านเป็นผู้สร้าง “วัดเชตวันมหาวิหาร” ถวาย ไว้ในบวรพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวัดท่ีพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่นานถึง ๑๙ พรรษา ช่ัวชีวิตของเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ ไม่เคยเว้นว่างจากการ ทำความดีเลยแม้แต่ลมหายใจเดียว หมั่นทำบุญทำทาน รักษาศีลอยู่ ไม่ขาด ผู้เขียนเลือกเรื่องของเศรษฐีท่านนี้มาเล่า เพราะเห็นว่าชีวิต ของท่านเป็นที่น่าเอาเย่ียงอย่างหลายประการ โปรดอ่าน... อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในเมือง สาวัตถี บิดาชื่อว่า “สุมนะ” อนาถบิณฑิกะ เดิมชื่อว่า “สุทัตตะ” เป็น คนมีจิตเมตตาชอบทำบุญให้ทานแก่คนยากจนอนาถา ชาวบ้านชาว เมืองจึงเรียกท่านว่า อนาถบิณฑิกะ แปลว่า ผู้ให้ข้าวน้ำแก่คนยากไร้

157 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เหตุท่ีทำให้เศรษฐีรู้จักกับพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าคบหากับ ราชคหกเศรษฐีในเมืองราชคฤห์ แล้วเห็นเพื่อนง่วนกับการจัดเตรียม การจนไม่มีเวลามาสนทนาปราศรัยกับตนเอง เกิดความสงสัยจึงถาม ว่า “ท่านจะจัดงานใหญ่อย่างนี้ ต้อนรับพระราชาหรืออย่างไร” ได้คำตอบว่า “เพ่ือนเอ๋ยเราจะทำบุญ เราได้อาราธนา พระพุทธเจ้ากับพระสาวก มาฉันภัตตาหารในเช้าวันพรุ่งนี้” อนาถบิณฑิกเม่ือได้ยินคำว่า “พระพุทธเจ้า” บังเกิดปีติ ปลาบปล้ืมใจแทบไม่เช่ือหูตนเอง ต้องถามให้แน่ใจถึง ๓ คร้ัง เพราะ คำว่า พระพุทธเจ้า ไม่ใช่จะได้ยินง่ายๆ ไม่ใช่ใครจะมาประกาศตน กันง่ายๆ ยิ่งเพ่ือนเศรษฐีสำทับว่า “พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ เกิดขึ้นในโลกแล้ว” ก็ย่ิงปลาบปลื้มถึงขีดสุด เฝ้ารอให้ ถึงเช้าวันพรุ่งอย่างใจจดจ่อ เช้าวันน้ันเองอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็สมประสงค์ ได้เข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรมจากพระองค์จนได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน ประกาศตนเป็นอุบาสกถือเอาพระรัตนตรัย เป็นท่ีพึ่งเหนือหัวตลอดชีวิต ครั้นแล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าเพ่ือเสด็จไปยังเมืองสาวัตถี พร้อมท้ังกราบทูลว่าจะสร้างพระอารามถวายพระองค์ ณ เมือง สาวัตถี เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับอาราธนา อนาถบิณฑิกรู้สึกปีติยินดี จนตัวลอย ระหว่างเดินทางกลับเมืองสาวัตถี ซ่ึงระยะทางไกลถึง ๘๖๔ กิโลเมตร จึงสร้างวิหารไว้สำหรับพระพุทธเจ้าประทับพักทุกๆ ๑๖ กิโลเมตร

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 158 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ครั้นถึงกรุงสาวัตถีแล้วได้ติดต่อขอซ้ือท่ีดินจาก “เจ้าชายเชต” แต่เจ้าชายก็อยากจะทดลองความศรัทธาของเศรษฐี ว่าแรงกล้าพอท่ี ตนจะยอมขายท่ีดินให้หรือไม่ พระองค์จึงท้าว่าหากนำเงินมาปูให้ เต็มพื้นท่ีที่จะซ้ือได้หมดจึงจะยกให้ ปรากฏว่าเศรษฐีทำจริงดังคำท้า นำเงินถึง ๕๔ โกฏิมาปู ตลอดพ้ืนท่ี แต่ยังเหลือส่วนท่ีจะสร้างซุ้มประตูอีกเล็กน้อย เจ้าชาย เชตเห็นความมุ่งมั่นของเศรษฐีจึงยอมยกให้ และขอเป็นผู้จัดสร้างซุ้ม ประตูเสียเอง โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ไว้ที่ซุ้มประตู เศรษฐียินยอม พระอารามน้ีจึงมีชื่อว่า เชตวัน ก่อสร้างพระอารามเสร็จแล้ว ได้อาราธนาพระบรมศาสดา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทับ และจัดพิธีฉลองพระอาราม อย่างมโหฬารนานถึง ๕ เดือน เม่ือพิธีฉลองพระอารามแล้วเสร็จ ได้กราบอาราธนาพระภิกษุจำนวน ๒๐๐ รูป ไปฉันภัตตาหารท่ีบ้าน ของตนทุกวัน คร้ังหนึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถึงคราวตกอับแทบไม่มีเงิน ทำบุญ แต่ยังไม่ละการทำบุญ มีเท่าไรก็ทำไปตามอัตภาพ ผลแห่ง ความดีท่ีทำมาตลอดน้ีเอง ก็อำนวยให้แกมีการเงินดีขึ้นยิ่งกว่าแต่ ก่อนหลายเท่า เม่ือส้ินอายุขัย ท่านก็ได้ไปบังเกิดยังช้ันดุสิตแห่งน้ี

ชั้นที่ ๕ นมิ มานรดี ค ว า ม วิ จิ ต ร พิ ส ด า ร แ ล ะ ค ว า ม ล ะ เ อี ย ด ป ร ะ ณี ต ข อ ง ส ว ร ร ค์ ช้ั น นิมมานรดี เหนือกว่าช้ันดุสิตอย่างย่ิง เหนือจะพรรณาได้เลยทีเดียว อัครวิมานในแดนทิพย์นี้ ท่านว่ามี สามชนิดคือ ปราสาทเงิน ปราสาททอง และปราสาทแก้ว เปล่งรัศมีแข่งกันจน ระยับพราวไปหมด ย่ิงไปกว่าน้ัน ภาคพ้ืนท่ีย่ำเดินไป ทุกท่ีทุกแห่งล้วนแต่เป็นทองอร่ามไปหมด สระโบกขรณีและอุทยานทิพย์นั้นก็มีอยู่ ทวั่ ไปใหท้ วยเทพไดพ้ ักผ่อนสำราญใจ ทวยเทพในชั้นนี้ มีกายทิพย์อัน งดงามที่สุด ท่ัวกายทอรัศมีวาววับจับตา บางองค์นั้นก็เปล่งรัศมีประหน่ึงว่าจะเบียด เอาแสงพระอาทิตย์ให้หมองไปฉะนั้น ทว่ารัศมีของเทพนั้นเรืองรองสัก ปานใดก็ตาม แต่ก็นุ่มนวลนัยน์ตาเป็นที่สุด

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 160 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ยิ่งมองก็ย่ิงจับตา กอปรกับความงามของกายทิพย์ตลอดจนทิพย์ อาภรณ์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่อยากวางตาเลยทีเดียว ความพิเศษของเทพผู้เสวยสุขในชั้นน้ีคือ สุขใดท่ีพวกเขา ปรารถนา ก็เนรมิตเอาได้ตามท่ีใจชอบ ไม่มีขัดข้องติดขัดเลยแม้แต่ อย่างเดียว ดังนั้นสุขอันสูงสุดของพวกเขาก็คือได้ตามท่ีตนเอง ต้องการทุกประการ เพราะสามารถสรรหามาได้ด้วยกำลังฤทธ์ิของ ตนเองอย่างง่ายดาย ซ่ึงช่ือของสวรรค์ชั้นนี้ก็แปลชัดว่า ดินแดนของทวยเทพผู้ เพลิดเพลินในสิ่งอันสนองความประสงค์ด้วยการเนรมิตเอาตาม ชอบใจ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในชั้นน้ี มีพระนามว่า “สมเด็จพระสุนิม มิตเทวาธิราช” ไม่ยาก...ถ้าอยากไปเกิดช้ันนิมมานรดี หากมีพวกเราชาวโลกมนุษย์ ปรารถนาอยากจะไปใช้ชีวิตใน ดินแดนแห่งน้ี ก็ไม่ใช่เร่ืองยากแต่ประการใด ความจริงแล้ว หากมีใจน้อมไปในการทำดี มีความอ่อนโยน ต่อสิ่งดีๆ เสียแล้ว ไม่ว่าจะสวรรค์ช้ันใดก็ตามใน ๖ ชั้นน้ัน ก็ไม่ใช่ เร่ืองยากจะไปเลย บุญกุศลที่ควรทำนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากช้ันอ่ืน เพียงแต่ ต้องมีใจมุ่งม่ันอย่างเต็มท่ีจริงๆ หมั่นฝึกยกระดับจิตของตนเองให้ตั้ง มั่นอยู่ในธรรม อยู่ในคุณงามความดี สั่งสมการให้ทาน การเสียสละ

161 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ต้ังตนเองอยู่ในศีลอย่างม่ันคง ไม่ให้บกพร่องด่างพร้อย จะทำส่ิงใดก็ ทำจริง ไม่เหลาะแหละลังเล ยกตัวอย่างเรื่องการให้ทาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ในการให้ ทาน คนผู้ไม่มีความหวังในการให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลของ ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมการให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราหุง หากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ท่านไม่ได้หุงหากิน เราจะไม่ให้พวก ท่านนั้นก็ไม่สมควร” แต่คิดว่า “เราจะให้ทานเช่นเดียวกับผู้ที่มีความ มุ่งม่ันในการให้ทานอย่างจริงจัง” นางวิสาขา มหาอุบาสิกาผู้งดงามเป็นสาวพันปี ผู้ถูกขนาน นามคู่กับเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ ท่านก็ว่าไปเกิดในสวรรค์ช้ันน้ี เพราะ มีจิตในแน่วแน่ม่ันคงในการทำดีตลอดชีวิต ยิ่งกว่าน้ันนางไม่ได้ทำ แบบสุ่มส่ีสุ่มห้าเสียด้วย นางวิสาขามีวิจารณญาณในการทำบุญซึ่ง น่าเอาเป็นเย่ียงอย่างที่สุดคนหน่ึง ข้อแตกต่างท่ีทำให้นางไปเกิดในชั้นที่สูงกว่าอนาถบิณฑิกะก็ เพราะตรงนี้ ตรงที่นางมีวิจารณญาณหรือภาวะทางปัญญาในการทำ ดีมากกว่า ตัวอย่างบุคคลผู้ไปเกิดในชั้นนิมมานรดี ผู้เขียนขอยกเร่ืองมหาอุบาสิกาวิสาขามาเล่าประกอบ ซึ่ง ประวัติของนางมีความยาวพอสมควร ผู้เขียนเห็นว่า เรื่องราวท้ังหมด เป็นประโยชน์หลายๆ ด้านทั้งยังอ่านสนุกอีกด้วย จึงขอยกมาท้ังหมด โปรดอ่าน... วิสาขาอุบาสิกาเป็นธิดาของนางสุมนา ภริยาหลวงของธนญ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 162 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ชัยเศรษฐี ในภัททิยนคร แคว้นอังคะ คร้ันอายุ ๗ ขวบ พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยการบรรลุธรรมของชาวแคว้นอังคะ จึงเสด็จจาริกไป ณ ท่ีน้ัน เมณฑกเศรษฐีผู้เป็นปู่ ได้ทราบความที่พระทศพลเสด็จถึง นครของตน จึงให้เรียกเด็กหญิงวิสาขาลูกสาวธนัญชัยเศรษฐีผู้บุตร มา บอกว่า “แม่หนู เป็นมงคล ท้ังแก่เจ้าท้ังแก่เรา แม่หนูกับพวก เด็กหญิงบริวารของเจ้าจงไปต้อนรับพระทศพล” นางรับคำด้วยดีแล้วก็ปฏิบัติตามท่ีบิดาสั่ง คร้ังนั้น พระ ศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นางกัณฑ์หน่ึง ครั้นจบเทศนา นางพร้อม ด้วยเด็กหญิง ๕๐๐ ก็บรรลุโสดาปัตติผล ต่อมาไม่นาน พระเจ้าปัสเสนทิโกศล แห่งเมืองสาวัตถี แคว้น โกศล ได้ขอเศรษฐีจากเมืองภัททิยะไปประดับบารมีตนเอง เพราะถ้า เมืองไหนมีเศรษฐีมากๆ พระราชาก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย แสดง ว่าเป็นผู้มีบารมี พระเจ้าพิมพิสาร ได้ส่งธนัญชัยเศรษฐี พร้อมกับเด็ก หญิงวิสาขาไปด้วย ซ่ึงธนัญชัยเศรษฐีก็ไม่ได้คัดค้านแต่ประการใด ครั้นพอเดินทางไปถึงแคว้นหน่ึงทูลพระเจ้าปัสเสนทิว่า ขอตั้ง ท่ีอยู่ ณ ที่แห่งน้ี ภายในเมืองนั้นคับแคบ หม่อมฉันไม่ประสงค์เลย พระเจ้าปัสเสนทิโกศลก็ทรงอนุญาต และได้ตั้งเป็นเมืองช่ือว่า สาเกต เพราะเป็นเมืองที่เศรษฐีจองในเวลาเย็น ให้ธนัญชัยเศรษฐีมีตำแหน่ง เป็นเจ้าเมืองแห่งน้ี ด้านกรุงสาวัตถี บุตรของมิคารเศรษฐี ช่ือว่า ปุณณวัฒนา โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ผู้เป็นมารดาบิดาจึงเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมา เล้ียงอาหารแล้วถามว่า หญิงที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี มีอยู่

163 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . หรือ พราหมณ์เหล่านั้น ตอบว่ามีอยู่ เศรษฐีก็ว่า ถ้ากระนั้น ท่านคัดเลือกพราหมณ์เก่งๆ มา ๘ คน ส่งไปเสาะหาเด็กหญิงตามลักษณะดังน้ี แล้วให้เงินเป็นอันมาก พราหมณ์เหล่านั้น ไปแสวงหายังนครใหญ่ๆ แต่ก็ไม่พบเด็ก หญิงที่ต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี จนเดินทางมาถึงเมืองสาเกต พอดีว่าในวันนั้นมีงานรื่นเริง จึงคิดกันว่า งานของพวกเราคงได้เร่ือง ในวันน้ีทีเดียว พวกพราหมณ์ เข้าไปยังศาลาแห่งหนึ่งริมฝ่ังแม่น้ำแล้วก็น่ัง พักกันอยู่ ขณะนั้น นางวิสาขา มีอายุย่างเข้า ๑๕-๑๖ ปี ประดับ ประดาด้วยเคร่ืองอาภรณ์ครบทุกอย่าง แวดล้อมกุมารี ๕๐๐ คน หมายว่าจะไปอาบน้ำยังท่าน้ำ ครั้นแล้วฝนก็เทลงมาอย่างหนักหน่วง เด็กหญิง ๕๐๐ รีบกรู กันเข้าไปสู่ศาลา พวกพราหมณ์พิจารณาอยู่ ก็ไม่เห็นเด็กหญิงเหล่า นั้นแม้สักคนเดียว ท่ีต้องด้วยลักษณะเบญจกัลยาณี คร้ันแล้วก็เห็น นางวิสาขาเข้าไปยังศาลา ด้วยการเดินตามปกติ แม้ผ้าและอาภรณ์ เปียกโชก ก็ไม่ว่ิงเหมือนคนอื่น เป็นที่ต้องตายิ่ง พวกพราหมณ์พอเห็นนางก็สบตากัน คิดเหมือนกันว่า ได้เห็น ความงาม ๔ อย่างของนางนี้แล้ว ยังเหลืออีกอย่างคือฟัน จึงกล่าว กะกันและกันว่า “ธิดาของพวกเรา เป็นหญิงเฉื่อยชา สามีของหญิงคนนี้ เห็น ทีจักไม่ได้แม้เพียงปลายข้าว” ทีนั้น นางวิสาขา พูดกะพราหมณ์เหล่าน้ันว่า “พวกท่านว่า ใครกัน”

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 164 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ พวกพราหมณ์ก็ตอบว่า “ว่าเธอนั่นละ” นางจึงถามพราหมณ์เหล่าน้ันด้วยเสียง อันไพเราะอีกว่า “เหตุไร จึงว่าฉันอย่างน้ัน” พราหมณ์ก็ว่า “บริวารของเธอ ไม่ ยอมให้ผ้าและเคร่ืองประดับเปียก รีบเข้าสู่ศาลา แต่เธอกลับไม่รีบเร่งเลย ปล่อยเนื้อตัวเปียก หมด พวกเราจึงพากันว่าเธอยังไงล่ะ” วิสาขาก็แย้มย้ิมว่า “พ่อท้ังหลาย พวก ท่านอย่าพูดอย่างน้ี ฉันแข็งแรงกว่าเด็กหญิง เหล่าน้ัน แต่เห็นว่าเป็นหญิงว่ิงไม่เหมาะสมเลย จึงไม่วิ่ง” พวกพราหมณ์เห็นฟันในเวลานางพูด แล้ว ก็ยินดีว่า ใช่แล้ว นางต้องลักษณะแห่ง หญิงงามทุกประการ จึงส่งข่าวไปยังมิคาร เศรษฐี บิดาของปุณณวัฒนกุมารให้ทราบ ทางฝ่ายมิคารเศรษฐีก็ส่งคนมาสู่ขอ อย่างเป็นทางการ พร้อมกับเดินทางมารับตัว วิสาขาด้วยตนเอง และครั้งน้ี พระเจ้าปัสเสนทิ โกศลก็เสด็จร่วมมาด้วย การต้อนรับในคร้ังนั้น เป็นการจัดการ ของสาวเจ้าวิสาขาท้ังสิ้น นางกอปรด้วยความ เฉลียวฉลาด รู้จักส่ิงที่ควรและไม่ควรย่ิงกว่าใคร

165 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ฝ่าย (ธนญชัย) เศรษฐีนั้น คืนก่อน ส่งตัว ได้ให้โอวาท ๑๐ ข้อแก่ธิดาว่า หญิงที่อยู่ในสกุลพ่อผัวแม่ผัว ไม่ควร นำไฟภายในออกไปภายนอก ไม่ควรนำไฟภายนอกเข้าไปภายใน พึงให้แก่คนท่ีให้เท่านั้น ไม่พึงให้แก่คนท่ีไม่ให้ พึงให้แก่คนท้ังที่ให้ทั้งที่ไม่ให้ พึงนั่งให้เป็นสุข พึงบริโภคให้เป็นสุข พึงนอนให้เป็นสุข พึงบูชาไฟ พึงนอบน้อมเทวดาภายใน ดั่งนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้นก็เรียกประชุมผู้ เก่ียวข้องท้ังหมดแล้ว แต่งตั้งกรรมการ ๘ คน ให้เป็นผู้ค้ำประกันแล้วสั่งว่า ถ้าคดีเกิดขึ้นแก่ ธิดาของเราพวกท่านก็พากันชำระเสีย นางวิสาขาพอไปถึงเมืองสาวัตถี ก็นำ ข้าวของท่ีขนมาด้วย แจกจ่ายชาวเมืองที่ ยากไร้ ในขณะท่ีแจกก็กล่าวถ้อยคำอัน ไพเราะน่ารักน่าฟัง เหมาะแก่วัยของคนว่า

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 166 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ท่านจงให้ส่ิงน้ีแก่คุณแม่ของฉัน จงให้ส่ิงน้ีแก่คุณพ่อของฉัน จงให้ส่ิง น้ีแก่พี่ชายน้องชายของฉัน จงให้ส่ิงน้ีแก่พี่สาวน้องสาวของฉัน ทำ ประหนึ่งว่าชาวเมืองท้ังหมด เป็นญาติสนิทของตนเอง มิคารเศรษฐี ครั้นจะทำพิธีมงคลสมรสของบุตร หาได้คำนึง ถึงพระตถาคตแม้ประทับอยู่ในวิหารใกล้ๆ ไม่ เพราะตนเองเล่ือมใส พวกชีเปลือย พอจะจัดงานก็คิดว่า เราจะจัดเล้ียงพระคุณเจ้าของเรา แล้วให้คนหุงข้าวปายาสแข็งบรรจุในภาชนะใหม่หลายร้อยสำรับ แล้วเชิญพวกชีเปลือย ๕๐๐ คน เข้าไปในเรือน จากนั้นให้คนไปบอกนางวิสาขาว่า สะใภ้ของฉันจงมาไหว้ พระอรหันต์เถอะ ด้านนางวิสาขาน้ัน เป็นอริยสาวิกาขั้นโสดาบัน พอได้ยินคำ ว่า “อรหันต์” ก็รู้สึกร่าเริงยินดี มาสู่ท่ีบริโภคแห่งพวกชีเปลือย คร้ัน แลดูชีเปลือยแล้ว คิดว่า ผู้เว้นจากหิริโอตตัปปะเช่นนี้ จะเรียกว่าพระ อรหันต์ไม่ได้ พ่อตาจึงให้เรียกเรามาทำไม แล้วก็ต่อว่าพ่อเสียทีหนึ่ง พวกชีเปลือยเห็นอาการของนางวิสาขา ก็ติเตียนเศรษฐีเป็น เสียงเดียวกันว่า คฤหบดี ท่านไม่มีทางหาหญิงอ่ืนแล้วหรือจึงให้ สาวิกาของสมณโคดมซ่ึงเป็นนางกาฬกัณณีตัวสำคัญเข้ามาในท่ีน้ี จงขับไล่นางออกจากเรือนน้ีโดยเร็ว เศรษฐีน้ันคิดว่า เหตุผลเพียงเท่าน้ีคงไล่ธิดาของสกุลใหญ่ไป ไม่ได้ จึงว่า พระผู้เป็นเจ้าท้ังหลาย เป็นเร่ืองธรรมดาของเด็ก รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ทำอะไรผิดพลาดไปท่านก็อย่าถือสาเลย แล้วก็ส่งพวกชี เปลือยกลับ ตนเองนั่งบนท่ีน่ังมีค่ามากกินข้าวมธุปายาสในถาด ทองคำ

167 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ขณะนั้น มีพระเถระรูปหน่ึงเที่ยวบิณฑบาตผ่านมา ขณะนั้น นางวิสาขายืนพัดพ่อผัวอยู่ เห็นพระเถระรูปน้ันแล้ว ก็คิดว่า จะบอก พ่อผัวน้ันไม่ควร จึงเล่ียงออกไปยืนในท่ีท่ีจะให้พ่อตาเห็นพระเถระได้ แต่เศรษฐีนั้นเป็นพาล แม้เห็นพระเถระก็แกล้งทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าบริโภคอยู่นั่นเอง นางวิสาขารู้ว่าพ่อผัวเห็นพระเถระแล้วแต่ไม่ใส่ใจ จึงกล่าวว่า “นิมนตไ์ ปขา้ งหนา้ เถดิ เจา้ ค่ะ พ่อตาของดิฉนั กำลังบรโิ ภคของเก่าอย่”ู เศรษฐีพอได้ยินว่า “บริโภคของเก่า” เท่านั่นเองก็วางมือ แล้วตวาดอย่างไม่พอใจว่า “เอาข้าวปายาสน้ีไปท้ิง แล้วก็ขับไล่นังนี่ ออกจากบ้านเดี๋ยวนี้ นังคนนี้ทำให้เราเป็นผู้ชื่อว่าเค้ียวกินของไม่ สะอาด ในกาลมงคลเช่นน้ี” แต่พวกคนรับใช้ทั้งหมดในเรือนน้ัน ล้วนเป็นคนของนาง วิสาขา จึงไม่อาจจะเข้าใกล้ ไม่มีแม้แต่คนเอ่ยปากใดๆ ทั้งสิ้น นางวิสาขาฟังคำของพ่อผัวแล้ว ก็ว่า “พ่อ ดิฉันจะไม่ออกไป ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ คุณพ่อมิได้นำดิฉันมา เหมือนจับนางทาสีมา แต่ท่าน้ำ ธิดาของมารดาบิดาผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ออกไปด้วยเหตุ เพียงเท่านี้ ดังนั้น ในเวลาจะมาท่ีนี้ คุณพ่อของดิฉัน จึงได้เรียก กรรมการ ๘ คนมาส่ังว่า ถ้าคดีเกิดขึ้นพวกท่านจงช่วยกันสะสาง” เศรษฐีก็เห็นด้วย จึงเรียกกรรมการทั้ง ๘ มาแล้วบอกว่า “ผู้ หญิงคนนี้ ว่าฉันว่า ‘กินของไม่สะอาด’ ความผิดน้ีไม่ใช่น้อย พวก ท่านไล่นางไปจากบ้านเราเดี๋ยวน้ี” กรรมการท้ังหมดก็ถามว่า ใช่อย่างนั้นหรือแม่

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 168 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ นางวิสาขาก็ว่า ฉันไม่ได้พูดอย่างน้ันเลย แต่เมื่อพระเถระมา ยืนอยู่ที่ประตูเรือน พ่อผัวของฉัน กำลังรับประทานข้าวมธุปายาสอยู่ ไม่ใส่ใจพระเถระน้ัน ฉันคิดว่า พ่อตาของเรา ไม่ทำบุญในชาติน้ี กิน แต่บุญเก่าเท่าน้ัน จึงได้พูดว่า นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด เจ้าค่ะ พ่อตา ของดิฉัน กำลังกินของเก่า... ดิฉันผิดที่ตรงไหน พวกกรรมการก็ว่า ก็ไม่มีความผิดอะไร แล้วก็กล่าวกับ เศรษฐีว่า นางกล่าวถูกแล้ว ท่านจะโกรธไปทำไม เศรษฐีเมื่อถูกถามอย่างน้ีก็หมดปัญญาจะเถียง จึงกล่าว พาดพิงไปถึงเร่ืองอื่นว่า ช่างเถอะ แต่คืนวันหน่ึง พ่อของนางแอบให้ โอวาท ๑๐ ข้อแก่นาง เราแอบไปได้ยินเข้า มันไม่เข้าท่าสักเร่ือง พวก ท่านลองให้นางอธิบายให้เราฟังดู นางวิสาขาจึงอธิบายความในโอวาทท้ังสิบข้อ ดังน้ี ไฟในไม่พึงนำออกไปภายนอก หมายความว่า เจ้าเห็นโทษ ของแม่ผัวพ่อผัวและสามีของเจ้าแล้ว อย่าเฝ้ากล่าว ณ ภายนอก ไฟแต่ภายนอก ไม่พึงให้เข้าไปภายใน หมายความว่า ถ้า หญิงหรือชายทั้งหลาย ในบ้านใกล้เรือนเคียงของเจ้า พูดถึงโทษของ แม่ผัวพ่อผัวและสามี เจ้าอย่านำเอาคำ ท่ีคนพวกน้ันพูด มาพูดอีก ว่า คนโน้นพูดว่าร้ายอย่างนี้ เจ้าควรให้แก่คนที่ให้เท่าน้ัน หมายความว่า ควรให้แก่คนที่ ถือเคร่ืองอุปกรณ์ที่ยืมไปแล้วส่งคืนเท่าน้ัน ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่ให้ หมายความว่า ไม่ควรให้แก่ผู้ท่ีถือ เอาเคร่ืองอุปกรณ์ท่ียืมไปแล้ว ไม่ส่งคืน

169 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ควรให้แก่คนทั้งที่ให้และที่ไม่ให้ หมายความว่า เมื่อญาติ และมิตรยากจนมาถึงแล้ว คนเหล่าน้ัน อาจจะใช้คืน หรือไม่อาจ ก็ตาม ควรให้แก่ญาติและมิตรเหล่าน้ัน พึงนั่งเป็นสุข หมายความว่า ไม่ควรลุกหนีไปในขณะที่แม่ผัว พ่อผัวและสามียังอยู่ พึงบริโภคเป็นสุข หมายความว่า ไม่บริโภคก่อนแม่ผัวพ่อผัว และสามี เล้ียงดูท่านเหล่าน้ัน รู้ส่ิงท่ีทุกๆ คนได้แล้วหรือยังไม่ได้ แล้วตนเองค่อยบริโภคทีหลัง พึงนอนเป็นสุข หมายความว่า ไม่พึงขึ้นท่ีนอนก่อนแม่ผัว พ่อผัวและสามี ควรทำวัตรปฏิบัติหน้าที่อันตนควรทำแก่พวกเขา แล้วตนเองค่อยนอนทีหลัง พึงบูชาไฟ หมายความว่า เห็นท้ังแม่ผัวพ่อผัวท้ังสามี ให้เป็น เหมือนกองไฟ ควรยำเกรง พึงนอบน้อมเทวดาภายใน หมายความว่า การเห็นแม่ผัวพ่อ ผัวและสามี เป็นเหมือนเทวดานั้นเป็นเรื่องที่ควร เศรษฐีได้ฟังเนื้อความแห่งโอวาท ๑๐ ข้ออย่างน้ันแล้ว ได้แต่ น่ังก้มหน้า หมดปัญญาโต้เถียง วิสาขาพอให้ความกระจ่างแล้วก็ว่า ฉันได้เปล้ืองความผิด ของตนเองแล้ว ก็สมควรไปได้แล้ว จากน้ันก็สั่งให้คนเก็บข้าวของ เตรียมกลับบ้านเก่าตนเอง เศรษฐีได้ยินดังน้ันก็รู้สึกผิดข้ึนมา รีบลุกข้ึนกล่าวว่า ลูกเอ๋ย พ่อพูดไปก็เพราะความโง่เขลา ยกโทษให้พ่อด้วยเถิด

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 170 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ วิสาขา : คุณพ่อ ดิฉันยกโทษที่ควรยกให้แก่คุณพ่อได้ แต่ ดิฉันเป็นธิดาของตระกูลผู้มีความเลื่อมใสอันไม่ง่อนแง่น ในพระพุทธ ศาสนา พวกดิฉันอยู่ห่างจากพระภิกษุสงฆ์ไม่ได้ ดิฉันจะอยู่ก็ต่อเม่ือ ได้บำรุงภิกษุสงฆ์ตามความพอใจของดิฉัน เศรษฐี : แม่ เจ้าจงบำรุงพวกสมณะของเจ้า ตามความ ชอบใจเถิด คร้ันแล้วนางวิสาขา ให้คนไปทูลนิมนต์พระทศพล แล้วเชิญ เสด็จให้เข้าไปสู่เรือนในวันรุ่งข้ึน พระตถาคตเจ้าเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนา มิคารเศรษฐี ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลหมดสงสัยในพระรัตนตรัย เข้ามาทำกิริยาประ หนึ่งดูดนมของสะใภ้ แล้วยกย่องนางว่า ต้ังแต่วันนี้ไป เจ้าจงเป็น มารดาของฉัน นางวิสาขาได้ช่ือว่ามิคารมารดา ภายหลังได้บุตรชาย จึงได้ ตั้งช่ือบุตรนั้นว่า มิคาระ ด้วย จำเดิมแต่กาลน้ันเรือนของมิคารเศรษฐี ก็เปิดประตูเพ่ือ พระพุทธศาสนา มิได้แสดงความเป็นอ่ืนอีกต่อไป คร้ังหนึ่ง มีงานรื่นเริงในกรุงสาวัตถี ชาวเมืองแต่งตัวไปเท่ียว กันแล้วก็ไปวัด นางวิสาขามิคารมารดา ก็แต่งตัวไปวิหาร ก่อนจะเข้า วิหารก็คิดว่า เราไม่ควรสวมเคร่ืองประดับของมีค่าต่างๆ เข้าไปวิหาร จึงเปล้ืองเคร่ืองประดับนั้นออกห่อไว้ แล้วได้ส่งให้ในมือหญิงคนใช้ ขากลับหญิงคนใช้ก็ลืมเคร่ืองประดับไว้ที่หน้าวิหาร เมื่อชาวบ้านกลับกันหมดแล้ว พระอานนท์มาตรวจดูความ

171 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เรียบร้อย ก็พบเอา จึงนำไปเก็บไว้ข้างบันไดกุฏิ ฝ่ายนางวิสาขา สำรวจดูความเป็นอยู่ของพระเพื่อจะได้ช่วย ในส่ิงที่ขัดข้องแล้ว ก็กลับบ้าน คร้ันแล้วก็นึกถึงเครื่องประดับ ถามได้ ความว่า หญิงรับใช้ลืมไว้ นางก็ส่ังให้ไปเอามาแต่ถ้าพระคุณเจ้า อานนท์จับต้องแล้ว ก็ไม่ต้องเอามา พอหญิงรับใช้ไปถึงวิหาร ก็ทราบว่าพระเถระอานนท์เก็บให้ แล้ว นางจึงไม่ขอคืน กลับบ้านไปมือเปล่า ควรทราบว่าเคร่ืองประดับของนางวิสาขานั้น มีค่าชนิดตี ราคาไม่ได้เลย มีน้ำหนักมากจนคนปกติไม่สามารถประดับได้ (นางมี กำลังเท่ากับช้าง ๕ ตัว) เม่ือหญิงรับใช้กลับมามือเปล่านางวิสาขาก็เข้าใจทุกเรื่องได้ กล่าวว่า ฉันจักไม่แต่งเคร่ืองประดับที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันจับต้อง ฉันบริจาคแล้ว แต่พระผู้เป็นเจ้ารักษาไว้จะเป็นการลำบาก ฉัน จำหน่ายเครื่องประดับน้ันแล้วน้อมนำสิ่งอันสมควรให้จะดีกว่า จาก นั้นให้หญิงรับใช้เอากลับมาให้ช่างทองตีราคา ปรากฏว่าได้ ๙ โกฏิ ๑ แสนทองคำ ของมีค่ามหาศาลเช่นน้ี ไม่มีใครซื้อได้เลย นางวิสาขาจึงออก ทรัพย์ซื้อไว้เอง แล้วนำทรัพย์ข้ึนเกวียนไปวิหาร กราบทูลพระพุทธ องค์ว่า นำเงินจำนวนน้ี สร้างวิหารถวายไว้ในพระพุทธศาสนาสืบไป คร้ังนั้น พระศาสดาจำต้องเสด็จไปโปรดคนสำคัญท่านหนึ่ง ไม่สามารถอยู่ช่วยดูแลการก่อสร้างได้ จึงมีพุทธานุมัติให้พระมหา โมคคัลลานะ อยู่เป็นประธานสงฆ์แทนและด้วยอานุภาพของท่าน

172 พวกคนงานที่ไปตัดไม้และขนหิน ระยะ ทางแม้ตั้งแปดร้อยเก้าร้อยกิโลเมตร ก็ขน เอาไม้และหินมากมายมาทันในวันน้ัน น่ันเอง แม้ยกไม้และหินใส่เกวียนก็ไม่ ลำบากเลย เพลาเกวียนก็ไม่หัก ประมาณ ๙ เดือนปราสาท ๒ ชั้นก็ เสร็จสิ้น ความใหญ่โตของปราสาทนั้นน่า อัศจรรย์มาก คือ มีห้องพันห้อง ชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ช้ันบน ๕๐๐ ห้อง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับมา นาง ก็รีบเข้าไปกราบทูลอาราธนาพระองค์ให้ ประทับ ณ วิหารของนางพร้อมกับพระ สาวก เป็นเวลา ๔ เดือน นางเองก็ทำบุญ ถวายทาน ณ วิหารนั้นเองตลอด ๔ เดือน ในวันสุดท้าย ได้ถวายผ้าเพ่ือทำ จีวรแก่ภิกษุสงฆ์ ถวายเภสัช (เนยใส เนย ข้น น้ำมัน น้ำผ้ึง น้ำอ้อย) แก่ภิกษุทุกรูป การบริจาคทานครั้งนี้นางหมดเงินถึง ๙ โกฏิ รวมแล้วถึง ๒๗ โกฏิ ซึ่งเป็นสมบัติ จำนวนมหาศาลทีเดียว ในวันฉลองวิหารเสร็จ เวลาบ่าย นางวิสาขาก็คิดว่า ความปรารถนาใดๆ ที่ เราตั้งไว้แล้วในกาลก่อน ความปรารถนา

173 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . นั้นๆ ทั้งหมด ถึงที่สุดแล้ว จากนั้นก็เดิน ร้องรำทำเพลงอยู่รอบปราสาทของตนเอง อย่างอิ่มเอมใจ ตลอดชีวิตของนาง สร้างคุณ ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนานานัปการ ชาวบ้านทั่วไปต่างนับถือนางเป็นเย่ียง อ ย่ า ง ข อ ง ห ญิ ง ผู้ มี ค ว า ม ฉ ล า ด ใ น ก า ร ทำความดี และกิริยาวาจางดงามเหมาะ สม ทั้งได้รับยกย่องคู่กับอนาถบิณฑิก เศรษฐีว่าเป็นยอดอุบาสกอุบาสิกาเลยที เดียว เมื่อสิ้นชีวิต นางก็ได้บังเกิดใน สวรรค์ช้ันนิมมานรดีน้ี เสวยสุขจากความดี ของตนเองอย่างเต็มอ่ิมเต็มสุข

ชน้ั ที่ ๖ ปรนิมมติ วสวตั ดี สวรรค์ในฝ่ายเทวโลกสิ้นสุดลงใน ช้ันน้ีเอง เป็นชั้นสูงสุด ทวยเทพผู้เกิดในช้ันปรนิมมิตวส วัตดี เสวยสุขอันละเอียดอ่อนสุขล้ำสุขยิ่ง กว่าช้ันใดๆ ทั้งสิ้น ส่ิงใดก็ตามที่นึก ปรารถนา ก็ไม่จำเป็นต้องเสาะแสวงหาเอา เอง ไม่ต้องทำอะไรทั้งส้ิน เพียงแค่นึก เท่าน้ัน ก็จะมีเทพบุตรเทพธิดาผู้เป็นบริวาร คอยเนรมิตให้ทุกส่ิงอัน มองในสายตาของมนุษย์แล้ว ก็ อาจให้รู้สึกว่า หากมีแต่นอนนึกนั่งนึกเอา แล้วก็ได้ตามประสงค์ทุกอย่างเช่นนี้ ดีน้ันก็ ดีอยู่หรอก แต่นานเข้าไม่เบ่ือกับการต้อง อยู่เฉยๆ ไม่ก็เป็นง่อยกันพอดี ความเห็นนี้เห็นทีต้องล้มเลิกไป เสีย เพราะเมืองสวรรค์แตกต่างจากความ เป็นอยู่ของมนุษย์หลายเท่าพันทวี ไม่มีส่ิง ใดเลยจะเอาไปเปรียบเทียบได้ การเสวย

175 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . สุขในสวรรค์เมืองฟ้านั้น สุข (ในกามคุณ) เป็นสุขจริงๆ ไม่มีทุกข์อัน เกิดจากความเบ่ือหน่าย ความเจ็บปวด ความเมื่อยขบ ความเจ็บไข้ ใดๆ ทั้งสิ้น จะนั่งอยู่ในท่าเดียวเป็นสิบย่ีสิบปี ก็ไม่เกิดความทุกข์กาย ลำบากใจใดๆ ทั้งส้ิน ผู้ท่ีจะมีความเป็นอยู่เช่นน้ี จะมีก็แต่ผู้มีกำลังบุญมากเท่านั้น แสดงให้เห็นข้อดีประการหน่ึงว่า ในอดีตตนเองได้ส่ังสมอบรมตนมา อย่างดี ช่วยผู้อ่ืนไว้มาก ทำความดีเพ่ือคนส่วนใหญ่หรือเพื่อ ประโยชน์ใหญ่เป็นหลักไว้มาก จึงได้มาเสวยสุขในลักษณะน้ี สวรรค์ช้ันนี้ กว้างใหญ่กว่าช้ันใดๆ ท้ังส้ิน ตามคัมภีร์รุ่นหลังๆ แบ่งเขตปกครองเป็นสองแดน คือ แดนเทพ กับ แดนมาร มีมหาเทพ ผู้ปกครองแยกกันเป็นสององค์ ต่างก็เสวยสุขเป็นเอกเทศไม่ยุ่งเกี่ยว กันทั้งไม่เป็นศัตรูกันเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น มหาเทพผู้ปกครองมีชื่อเดียวกันว่า สมเด็จพระปรนิมมิตวส วัตดีเทวาธิราช ซ่ึงการแบ่งเช่นนี้ เข้าใจว่า เกิดจากแนวคิดท่ีว่า ในสมัยพุทธ กาล ท้าววสวัตดี คอยมารังควาญพระพุทธเจ้าและสาวกอยู่เป็น ประจำ มหาเทพองค์นี้เป็นเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิต วสวัตดี มหาเทพองค์น้ีไม่ได้เป็นผู้มีใจช่ัวช้าหยาบคายอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าเคยมีอดีตอันขมขื่นกับพระพุทธเจ้าสมัยยังบำเพ็ญบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็ผูกเวรว่าจะตามรังควาญให้ถึงท่ีสุด ท้ังท่ี ตนเองก็ทำคุณงามความดีมาไม่ใช่น้อย

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 176 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เม่ือสวรรค์ช้ันน้ีถูกปกครองโดยมหาเทพผู้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ ต่อพระพุทธองค์เช่นน้ี ก็เห็นจะไม่ใช่เทพฝ่ายมีความเห็นถูกต้องตาม ทำนองคลองธรรมเสียแล้ว จึงอนุมานต่อไปว่า ในช้ันน้ี เป็นช้ันท่ี รองรับคนทำดีชนิดแน่วแน่ม่ันคง ทำเพื่อขัดเกลาจิตใจตนเองให้เกิด ปีติผ่องใส ขจัดความตระหน่ีถ่ีเหนียว ความขัดข้องเคืองใจท้ังมวล ควรจะมีเทพอีกพวกหนึ่งท่ีมีจิตใจดีงามกว่าท้าววสวัตดี จึงแบ่งอีกฝั่ง หนึ่งเป็นแดนเทพ ซ่ึงอันท่ีจริงแล้ว เป็นการอนุมานเอาของมนุษย์เท่านั้นเอง อีก ประการ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็มีพระสาวกรูป หน่ึงชื่อ พระอุปคุตเถระ ได้ปราบพยศท้าววสวัตดีองค์น้ีจนยอมศิโร- ราบ มีจิตใจอ่อนน้อมเล่ือมใสต่อพระรัตนตรัยแล้ว และบารมีท่ีส่ังสมมาของท้าวเธอ ก็มีมากจนชาติต่อไปหลัง จากเสวยสุขจนเพียงพอแล้ว จะได้ไปตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วย (รู้ธรรมเองแต่ไม่สามารถสอนคนอ่ืนให้รู้ตามได้) เทพอื่นๆ ภาย ใต้ปกครองของท้าวเธอ ก็คงไม่มีทัศนคติพยศนอกไปจากการควบคุม ของมหาเทพผู้ปกครองได้ ถ้ามองในแง่ของนัยซ่อนหรือบุคลาธิษฐาน ก็ต้องยอมรับใน ความสามารถของโบราณผู้เร่ิมต้นแนวคิดเร่ืองฝ่ายเทพฝ่ายมารน้ี ซ่ึง ท่านอาจหมายถึงคนเราแม้จะเป็นคนดีทำความดีไว้มากมาย ถึงข้ัน ไปเสวยสุขถึงแดนทิพย์ชั้นสูงสุด แต่ถ้าหากว่าท่านผู้น้ันไม่ได้ขัดเกลา จิตใจตนเองจนบรรลุธรรมข้ันใดขั้นหนึ่งเสียก่อน ก็ยังหนีไม่พ้นความ คิดผิดๆ มีความขัดแย้งกันทางความคิดแบบดำ-ขาวอยู่ ดังนั้นก็คล้ายจะบอกว่า อย่าได้คาดหวังว่า ผู้มากบุญบารมี

177 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . มีศักดิ์ฐานะสูงส่งน้ันจะเป็นฝ่ายท่ีทำอะไรถูกต้องไปหมดแต่ฝ่าย เดียว ตราบใดยังเป็นปุถุชนคนมีกิเลสหนาอยู่ เมื่อเกิดความเบา ปัญญาขึ้นมาก็มีสิทธิ์ทำผิดพลาดได้ทุกคน เม่ือนำเสนอแนวคิดตามนัยน้ีแล้ว ผู้เขียนก็ไม่ขอยืนยันว่า สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี แบ่งเป็นสองแดน แต่คงมีแดนเดียว เท่านั้น และมีมหาเทพปกครองเพียงองค์เดียว คือ อดีตพญามาร ปรนิมมิตวสวัตดีมาร ผู้กลับตัวกลับใจเป็นอธิเทวราชผู้ทรงธรรมผู้ เดียวเท่าน้ัน ส่วนคำว่ามาร อันหมายถึงเทพบุตรมาร ท่ีคอยมารังควาญ การทำดีของคนนั้น ก็มีสิทธิ์มีอยู่ทุกชั้น ข้อน้ีไม่จำเป็นต้องไปคำนึงถึง ให้มากความ เพราะเป็นเร่ืองภายนอก ส่ิงที่น่ากลัวท่ีสุดเห็นจะเป็นใจ เราน่ีเอง หากมีมารในใจอันหมายถึงกิเลสมาร ก็เท่ากับว่ามันจะคอย ขัดขวางไม่ให้เราทำความดีสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันไปได้เลย คนผู้มีจิตใจแน่วแน่ ไม่ไขว้เขวต่อการทำความดี ก็เท่ากับปิด ทางมารภายในไปได้แล้ว มารภายนอกนั่นหรือจะมาขัดขวางความ แน่วแน่ของเราได้ แม้แต่พญามารผู้มากฤทธิ์ยังไม่สามารถขัดขวาง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้เลย พญามารสิ้นพยศไปแล้ว มารก๊อง แก๊งน่ันหรือจะขัดขวางเราได้... ไม่ยาก...ถ้าอยากไปเกิดช้ันปรนิมมิตวสวัตดี จะไปเกิดในเทวโลกช้ันสูงสุดน้ี ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากลำบาก เลย เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวก็คือ ทำดีทุกอย่างด้วยดวงใจบริสุทธิ์ ทำ ดีเพ่ือหวังให้ความดีได้ช่วยขัดเกลาตนเองเป็นสำคัญเช่น ให้ทาน

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 178 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เพราะคิดว่าเป็นการให้ การเสียสละ เพื่อขจัดความตระหน่ีความเห็น แก่ตัว รักษาศีลเพราะศีลช่วยให้เรามีกายใจใสสะอาด ไม่ก่อเวรก่อ ภัยต่อตัวเองต่อคนอื่น ล้วนเป็นประโยชน์ท้ังต่อตนเองต่อผู้อื่น (ท่าน ว่า ผู้รักษาศีล ๘ จะได้ไปเกิดที่ช้ันน้ี) เม่ือส่ังสมความดีอันบริสุทธิ์นี้ไว้เป็นอันมาก ก็จะส่งผลให้ไป เกิดในชั้นนี้สมประสงค์ เหล่าทวยเทพในช้ันปรนิมมิตวสวัตดีมีอายุ ๑๙,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๙๒๑,๖๐๐ ล้านปีมนุษย์ วันหนึ่งคืนหนึ่งเท่ากับ ๑,๖๐๐ ปีใน เมืองมนุษย์ทีเดียว ตัวอย่างบุคคลผู้ไปเกิดยังช้ันปรนิมมิตวสวัตดี มีตัวอย่างน่าสนใจอยู่ผู้หน่ึง คนผู้น้ีมีสถานะทางสังคมเป็นถึง หญิงโสเภณี ดีหน่อยก็ตรงท่ีบริการเฉพาะชนชั้นสูง ชนช้ันกเฬวราก หมดสิทธ์ิจะได้เชยชมเธออย่างเด็ดขาด ทว่าชีวิตในช่วงหลังของนางกลับด้านกันชนิดดำเป็นขาว สุดท้ายก็ได้ไปเกิดยังสวรรค์ช้ันสูงสุดนี้ เหมือนภาษิตจีนว่า หยุดม้า ริมเหว วางดาบสำเร็จเป็นอรหันต์ ยังไงยังง้ัน เร่ืองราวชีวิตของหญิงผู้เกลือกกล้ัวโลกีย์น้ี มีบันทึกไว้ในพระ ไตรปิฎก (ขุ.วิ.) ว่า... สิริมา ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุโสดาบัน จาก นั้นก็สละงานที่เศร้าหมอง ตั้งสลากภัต ๘ กองแก่พระสงฆ์ นิมนต์ ภิกษุ ๘ รูปมารับทานที่เรือนนางเป็นประจำ ตนเองเม่ือเลิกชีวิต

179 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . โสเภณีก็รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด เข้าวัดฟังธรรมมิได้ขาด กิจการ กุศลทุกอย่างที่ตนสามารถช่วยได้ ก็ช่วยอย่างเต็มที่ ช่วยด้วยจิตใจ เต็มเป่ียมด้วยศรัทธาเอิบอ่ิมใจ ต่อมาไม่นาน นางก็เกิดโรคร้ายแรง ร่างกายทรุดโทรม นอน ซมอยู่กับท่ีนอน จะหาหมอใดมารักษาก็ไม่หาย แต่นางก็ยังทำบุญทำ ทานอยู่มิได้ขาด ตนเองลุกขึ้นไม่ได้ ก็ให้คนอื่นทำให้ แล้วก็นั่งรับพร ทั้งกายอันส่ันเทาเพราะพิษไข้น่ันเอง เย็นวันหนึ่งนางก็จากไปอย่างสงบ... นางเม่ือจุติจากภพมนุษย์ ก็ไปเกิดเป็นเทพธิดา อยู่ ณ ช้ัน ปรนิมมิตวสวัตดี คร้ันระลึกถึงสมบัติทิพย์ที่ตนได้นั้น ก็เพราะความ ดีท่ีตนได้ทำไว้กับพระพุทธศาสนา จึงได้ลงจากสวรรค์พร้อมกับ บริวาร มาเฝ้าพระพุทธองค์ ครั้งน้ันพระวังคีสเถระ มีทิพยเนตร จึงได้เล่าเป็นพยานว่า “นางสิริมา นครโสเภณี บัดน้ี ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดา ณ ปรนิมมิตวสวัตดีสวรรค์แล้ว ได้เสวยสุขจากความดีของตนเองแล้ว” สาวเจ้าสิริมาได้ไปเกิดยังชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เพราะอำนาจ ของผลความดีสองประการคือ นางบรรลุธรรมชั้นโสดาบัน ประการหน่ึง อีกประการหน่ึง นางมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย ได้ ทำบุญทำทานรักษาศีลอย่างมั่นคงตลอดบั้นปลายชีวิต



เทวดาตกสวรรค์ พระพุทธศาสนา ถือว่า สวรรค์ เป็น เพียงภพหน่ึงในระบบเวียนว่ายตายเกิด อยู่ภายใต้ลักษณะสามประการคือ เกิดขึ้น ดำรงอยู่ แล้วดับไป ทั้งสิ้น ทางพระท่านว่า “ความไม่เที่ยง” ดังน้ัน เทวดา ไม่ว่าจะมีอายุ ยืนยาวสักปานใด สุดท้ายก็ต้องเคล่ือนจาก สวรรค์อยู่นั่นเอง ซ่ึงมีสาเหตุ ๔ ประการ คือ ๑. สิ้นอายุ มนุษย์มีกำหนดอายุ อยู่ท่ี ๑๐๐ ปี เทวดา ก็มีกำหนดอายุของ พวกเขา ข้ึนอยู่กับแต่ละชั้นไป เม่ือหมด อายุ ก็ต้องจุติไปเกิดยังภพภูมิอ่ืนแล้วแต่ บุญกรรมของตนเองจะกำหนด ๒. ส้ินบุญ เทวดาบางองค์ทำบุญ มาน้อย กำลังบุญอาจแรงถึงขนาดส่งไป เกิดยังชั้นใดช้ันหนึ่ง แต่ว่ามีไม่มากพอ เทวดาองค์นั้นก็ต้องจุติกลางคันเพราะส้ิน

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 182 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ บุญ เหมือนเคร่ืองบิน อาจมีเช้ือเพลิง ทำให้มันทะยานข้ึนสู่อากาศได้ แต่ถ้า เชื้อเพลิงมีน้อยเกิดหมดเสียแต่กลางคัน ก็ร่วงเท่านั้น... ๓. ไม่กินอาหาร พวกเทวดา เป็นกายทิพย์ก็จริง แต่ก็ต้องดำรงชีวิต อยู่ได้ด้วยอาหารเช่นกัน เพียงแต่เป็น อาหารอันละเอียดมีแต่สารอาหาร ไม่มี กาก เรียกว่าอาหารทิพย์ เทวดาบางองค์ หลงระเริงกับความสุขสำราญบนสวรรค์ จนลืมกินข้าวกินน้ำ ร่างกายก็ทนไม่ไหว เป็นอันจุติเหมือนกัน ๔. เพราะความโกรธ เหล่า เทพดา หากบังเกิดความโกรธข้ึนมา ไม่ ว่ากรณีใดก็ตาม ต้องรีบระงับให้เร็วท่ีสุด หากปล่อยไว้ ก็จะเป็นเหมือนไฟ เกิดลุก ไหม้ขึ้นจากภายใน เผาผลาญตนเองให้ ไม่เหลือจุณ ทำให้จุติจากสวรรค์ได้ง่ายๆ คนที่ระงับความโกรธได้ สุขุม เยือกเย็นเป็นปกติชีวิต จึงสมควรได้รับ การยกย่องว่า คนใจเทวดา...

183 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ลางร้ายก่อนตกหรือเคล่ือนจากสวรรค์ ๑. ดอกไม้ท่ัวปราสาทวิมานเหี่ยวเฉา ๒. เส้ือผ้าและเคร่ืองประดับ หม่นหมอง ๓. มีเหงื่อไหลออกจากรักแร้ ๔. เกิดความเบ่ือหน่าย จะทำอย่างไรก็ไม่สำราญเหมือนเคย ๕. ร่างกายเหี่ยวแห้ง หม่นหมองปราศจากรัศมี เกิดอาการ เหน่ือยอ่อน เทวดาองค์ใดก็ตาม ถ้ามีลางบอกเหตุเช่นนี้แล้ว ๗ วันหลัง จากนั้น ก็ต้องจุติจากสวรรค์ ไปเกิดภพอ่ืนตามบุญตามกรรมต่อไป สรุปอายุของเทวดา จาตุมมหาราชิกา ๕๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ ดาวดึงส์ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๓๖ ล้านปีมนุษย์ ยามา ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์ ดุสิต ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์ นิมมานรดี ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์ ปรนิมมิตวสวัตดี ๑๙,๐๐๐ ปีทิพย์ เท่ากับ ๙๒๑,๖๐๐ ล้านปีมนุษย์

“ท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏะท้ังหลาย อย่าได้กลัวบุญเลย เพราะบุญเป็นชื่อของความสุข”

ที่อยู่ ของ ผู้ ประเสริฐ พรหมโลก ๒๐ ชั้น

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 186 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ พรหมโลก เป็นภูมิอันละเอียดอ่อนย่ิงกว่า เทวโลกหลายเท่าทีเดียว ข้อแตกต่างของเทวโลก กับพรหมโลกนั้น ผู้เขียนได้เขียนไว้ในตอนต้นว่า เทวโลก สถานท่ีเสวยสุขของคนที่ปรารถนา ความสุขสำราญในกามคุณ คือ รูป เสียง กล่ิน รส และสัมผัสทั้งทางกาย ทางใจ พรหมโลก เป็นดินแดนของผู้บำเพ็ญทาง จิต (พรต) ไม่ฝักใฝ่ในทางกามคุณแล้ว จิตนั้นมี ความละเอียดประณีตมาก เมื่อมีการฝึกอบรมก็จะ เกิดอารมณ์ธรรมตามภูมิชนิดยิบย่อยมากเหมือน กัน พรหมโลกจึงมีช้ันตามภูมิจิตภูมิธรรมของผู้ฝึก อบรม หากนักพรตปฏิบัติถึงข้ันใดขั้นหน่ึงแล้วละ สังขารไป ก็จะไปปฏิสนธิ (เกิด) ในช้ันน้ันๆ พระพุทธเจ้าตรัสรองรับไว้หลายท่ีว่า แดน พรหมโลกมีอยู่จริง ในครั้งที่พระองค์ตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ ชาวพรหมโลกชื่อว่า สหัมบดีพรหม เป็นผู้มา อาราธนาให้พระองค์จาริกโปรดชาวโลก พรหมโลกเป็นช้ันสูง เป็นที่เสวยสุขของผู้ บำเพ็ญทางจิตจนได้ ฌาน เท่านั้น ออกจะไม่ทั่วไป กับคนธรรมดา ดังนั้นผู้เขียนจะขอเล่าเร่ืองพรหม โลกเพียงย่อๆ สำหรับประดับความรู้และให้เห็นถึง ความน่ามหัศจรรย์ของมิตินี้

กำเนิดพรหม พ ร ห ม น้ั น เ กิ ด ใ น ลั ก ษ ณ ะ อุ บั ติ ข้ึ น เช่นเดียวกับเทวดา พออุบัติขึ้นก็มี รูปกายสมบูรณ์เช่นกับคนหนุ่มวัยสิบเจ็ด สิบแปด มีลักษณะงามพร้อม อวัยวะทุก ส่วนเกลาเกลี้ยงกลมกลืน ทรงเครื่อง ป ร ะ ดั บ ง ด ง า ม ส ถิ ต ใ น วิ ม า น อั น วิ จิ ต ร ตระการของตนเอง มี รั ศ มี เ รื อ ง ร อ ง จ า ก ก า ย ยิ่ ง ก ว่ า พระอาทิตย์หลายพันเท่า ท่านเปรียบเทียบ ว่า เพียงแค่พรหมยื่นมือออก ก็สว่างจ้าไป ท้ังจักรวาลทีเดียว มีข้อต่างจากเทวดาก็ตรงที่พรหม น้ัน เป็นผู้มีภาวะทางจิตอันละเอียดเป็น กลาง ดังนั้น พรหมจะไม่มีเพศ คือไม่มี ลักษณะอันบ่งบอกว่าเป็นเพศหญิงหรือ ชายใดๆ ท้ังส้ิน ย่ิงกับพรหมบางช้ัน โดย เฉพาะชั้นอรูปพรหมด้วยแล้ว ก็เป็นเพียง สภาวะเท่านั้น ไม่มีกระทั่งรูปกายด้วยซ้ำ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 188 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ อาหารการกินก็ไม่จำเป็นสำหรับพรหม เมื่อบังเกิดในวิมาน ของตนแล้ว ก็อ่ิมเอิบแช่มชื่นด้วยอาหารคือฌานสมาบัติตลอดไป อีกท้ังพรหมนั้นมีความพอใจในภาวะของตนเอง ไม่มีความ รู้สึกนึกต้องการในทางโลกียวิสัยแต่อย่างใดทั้งส้ิน ดังนั้น กามคุณคือ สิ่งบำเรอด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความร่ืนรมย์สำราญทาง ใจ ในช้ันพรหมจึงไม่มี ความสุข เป็นความสุขอันสงบเอิบอิ่มจากฌานล้วนๆ ภาวะทางจิตพรหม การที่ผู้หน่ึงผู้ใดจะไปเกิดเป็นพรหมชั้นไหนน้ัน ขึ้นอยู่กับ ภาวะทางจิตที่ได้รับการฝึกฝนว่าอยู่ในระดับใด เรียกกันว่า สมาบัติ (ฌาน) ซึ่งมีความละเอียดมาก ด้วยพ้ืนที่อันจำกัดนี้ ผู้เขียนไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ หรือแม้จะอธิบาย ถ้าไม่ใช่ผู้เคยปฏิบัติก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ภาวะ ของอารมณ์ฌานประเภทนั้นๆ เป็นอย่างไร ดังนั้น จะขอจำแนกไว้ใน ลักษณะหลักการพอให้รู้ทาง ดังนี้ สมาบัติ แยกเป็นสองขั้นใหญ่ๆ คือ รูปฌาน กับ อรูปฌาน รูปฌาน หมายถึง การเอารูปธรรมอย่างใดอย่างหน่ึงมา กำหนดเป็นอารมณ์ เช่น กำหนดลมหายใจ เป็นต้น มี ๔ ระดับคือ ปฐมฌาน หรือ ฌานที่ ๑ มีองค์อารมณ์ ๕ ชนิด ได้แก่

189 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . วิตก คือ อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ เช่น จิต กำหนดอยู่ท่ีลมหายใจเข้าออก วิจาร คือ รู้ความเคลื่อนไหวของอารมณ์ สมาธิ เช่น หายใจเข้า ออก ก็รู้ว่า หายใจเข้า ออก ปีติ คือ มีความอิ่มเอิบใจ อันเกิดจากสมาธิ สุข คือ ความรู้สึกเบาสบายกาย ใจ เอกัคคตา คือ จิตจดจ่อน่ิงอยู่ในอารมณ์ เดียว ไม่ฟุ้งซ่านสอดส่ายไปต่างๆ ทุติยฌาน หรือ ฌานท่ี ๒ มีองค์อารมณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ตติยฌาน หรือ ฌานท่ี ๓ มอี งค์อารมณ์ สุข เอกคั คตา จตุตถฌาน หรือ ฌานท่ี ๔ มีองค์อารมณ์ อุเบกขา เอกัคคตา (เพ่ิมอุเบกขา คือความเป็นกลาง ไม่รับรู้ต่อสิ่งใดทั้งสิ้น รู้อยู่เพียงอย่างเดียว คือ ความสงบน่ิงของจิต) อรูปฌาน หมายถึง การยกระดับจิตสู่ภาวะอันละเอียดอ่อน (อัปปนาสมาธิ) จิตไร้การรับรู้ภายนอกอันเป็นรูปธรรม แต่อยู่ใน อารมณ์ภายในอันเป็นภาวะไร้รูป ตัดขาดจาก ความกำหนัด ความ โกรธ ความหลง ซ่ึงเป็นอารมณ์กิเลสช่ัวคราว คือ อากาสานัญจายตนะ การกำหนดเอาสภาวะอากาศอันว่าง เปล่าเป็นอารมณ์

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 190 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ วิญญาณัญจายตนะ การกำหนดเอาการรับรู้หาท่ีสุดมิได้ เป็นอารมณ์ อากิญจัญญายตนะ การกำหนดเอาภาวะท่ีไม่มีอะไรเป็น อารมณ์ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นการเข้าถึงภาวะอัน ละเอียดอ่อนมาก มีความจำได้ หมายรู้ก็ไม่ใช่ ไม่มีความจำได้ หมายรู้ก็ไม่ใช่ ระดับฌานเหล่าน้ี ดูเหมือนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ทางจิตอย่าง มาก เพราะถ้าสำเร็จขั้นใดขั้นหนึ่ง ก็เกิดพลังทางจิต สามารถแสดง ฤทธ์ิต่างๆ ได้มากมายทีเดียว อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นใคร จะนับถือศาสนาใด ก็สามารถปฏิบัติ ให้ถึงได้ ถ้ารู้จักการทำสมาธิ การปฏิบัติแบบน้ีมีก่อนพระพุทธศาสนา เสียอีก พวกฤษีชีไพร โยคี นักบวชในศาสนาต่างๆ ฝึกกันได้มากมาย แต่ก็น่าคิดว่า พระพุทธศาสนา ไม่ถือว่าการได้ฌานนี้เป็น สูงสุด ท่านจัดเป็นเพียงขั้นโลกิยะ ได้แล้วก็ยังเส่ือมได้ ถ้ารักษา อารมณ์สงบของจิตไว้ไม่ได้ ปล่อยให้กิเลสเข้ารุมเร้าเหมือนภาวะจิต ของคนปกติ ดังท่ีมีเร่ืองเล่าว่า มีฤษีท่านหน่ึงเหาะผ่านอุทยานแห่งหนึ่ง บังเอิญเห็นมเหสีของพระราชาทรงสรงสนานอยู่ในสระ ก็เกิดความ ใคร่แทรกข้ึนในจิต ฌานท่ีพากเพียรบำเพ็ญมา เส่ือมในพริบตา ตก

191 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . วูบลงในอุทยานนั้นเอง ถึงอย่างน้ัน ก็มีข้อดี ประการหนึ่งว่า เมื่อไปเกิดในชั้น พรหม หากเข้าใจถึงลักษณะของ ธรรมชาติคือ ทุกส่ิงไม่เที่ยง มีเกิด ขึ้นต้ังอยู่ดับไป ไม่มีใครเป็นอมตะ ตลอดไป แล้วพัฒนาจิตตนเองให้ สูงขึ้นเร่ือยๆ ก็สามารถเล่ือนระดับ ชั้นไปเกิดในพรหมโลกที่สูงข้ึนไป เร่ือยๆ จนสุดท้าย ก็เข้าสู่พระ นิพพานได้เช่นกัน

ช้นั ของพรหม เม่ือทราบภาวะทางจิตของพรหมไปแล้ว ชั้นที่ไปเกิดของ พรหม ก็แบ่งตามน้ันเช่นกัน ในขณะเดียวกัน แต่ละช้ันก็ยังมีระดับ ย่อย หรือเกรดต่างกันถึงสามระดับอีกด้วย ชั้นรูปพรหม หรือ กายใจสงบ ช้ันปฐมฌาน ปาริสัชชาพรหม ระดับสามัญ ไปเกิดเป็น (บริวารของท้าวมหา พรหม) ระดับกลาง ไปเกิดเป็น ปุโรหิตาพรหม (ที่ปรึกษาหรือผู้นำใน ระดับละเอียด ไปเกิดเป็น กิจการของท้าวมหาพรหม) มหาพรหม (พรหมผู้ย่ิงใหญ่) ชั้นทุติยฌาน ปริตตาภาพรหม ระดับสามัญ ไปเกิดเป็น (ผู้ทรงรัศมีพอประมาณ) อัปปมาณาภาพรหม ระดับกลาง ไปเกิดเป็น (ผู้ทรงรัศมีอันปราศจาก ขอบเขต)

193 อาภัสสราพรหม (ผู้ทรงรัศมีดังสายฟ้า) ระดับละเอียด ไปเกิดเป็น ชั้นตติยฌาน ปริตตาสุภาพรหม . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ระดับสามัญ ไปเกิดเป็น (ผู้มีรัศมีสวยงามพอ ประมาณ) ระดับกลาง ไปเกิดเป็น อัปปมาณสุภาพรหม (ผู้มีรัศมีสวยงามไม่มี ระดับละเอียด ไปเกิดเป็น ประมาณ) สุภกิณหพรหม (ผู้มีรัศมีสวยงามสลับสี แพรวพราว) ชั้นจตุตถฌาน เวหัปผลาพรหม ระดับละเอียด ไปเกิดเป็น (ผู้ได้รับผลอย่างไพบูลย์) ระดับละเอียด ไปเกิดเป็น อสัญญีสัตตาพรหม (ผู้ปราศจากการ ระดับละเอียด ไปเกิดเป็น เคลื่อนไหว) สุทธาวาสพรหม (ท่ีอยู่ของผู้บริสุทธ์ิ ชั้นน้ี ยังเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุ ธรรมขั้นอนาคามี ด้วย)

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 194 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ช้ันสุทธาวาสน้ี มีแบ่งออกไปอีก ๔ ระดับ คือ อวิหา (ผู้มีรัศมีไม่ยิ่งหย่อนกว่าผู้ใด) อตัปปา (ผู้ไม่มีความเดือดร้อนใดๆ) สุทัสสา (ผู้ทรงไว้ซึ่งความเห็นอันงดงาม) สุทัสสี (ผู้ทรงไว้ซ่ึงความเห็นอันแจ่มแจ้ง) อกนิฐา (ผู้ทรงคุณชนิดหาผู้ด้อยกว่าไม่ได้) ซึ่งชั้นสุทธาวาสท้ัง ๔ นี้ ใครจะไปเกิดเป็นระดับใดน้ัน อยู่ที่ ระดับการพิจารณา ความปรารถนา ความเช่ือม่ัน บุญบารมี และ ปัญญาของผู้น้ันด้วย อรูปฌาน หรือ ไร้รูปใจเรืองรอง ช้ันนี้ แบ่งระดับช้ันตามภาวะทางจิตอันละเอียด คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้านับตามช้ันที่อยู่ จะมีเพียง ๘ ชั้น แต่ถ้าแบ่งกันแบบ ละเอียดตามภูมิธรรม ก็มีถึง ๒๐ ชั้น

195 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . อายุของพรหม จะเว้นไว้เป็นไม่เด็ดขาด เพราะอายุของพรหมยาวนานเสีย ยิ่งกว่านาน ไม่สามารถนับเป็นปีได้เลย ต้องมีวิธีการคำนวณให้เห็น ภาพไว้เสียก่อนจึงจะเข้าใจได้ การนับกัปป์น้ี ถ้าเปิดตำรา ก็มีข้อสับสนกับคำว่า กัปป์ เหมือนกัน เพราะนัยหน่ึงนั้น หมายถึงช่ัวเวลาเกิดและดับของโลก อีก นัยหนึ่ง หมายถึง ชั่วอายุหน่ึงๆ ของคน คือ ถ้าช่วงน้ันมีอายุ ๑๐๐ ปี ก็นับเป็น ๑ กัปป์ ถ้าช่วงน้ันมีอายุเพียง ๕๐ ปี ก็นับเป็น ๑ กัปป์ หลังจากค้นคว้าเทียบเคียงแล้ว ต่อน้ีไปคือข้อสรุปที่ผู้เขียน วินิจฉัยแล้วว่าลงตัวที่สุด การนับกัปป์ อายุกัปป์ คือ กำหนดอายุสัตว์ สัตว์เกิดมามีอายุเท่าไร เมื่ออายุส้ินสุดลง เรียก ๑ กัปป์ อันตรกัปป์ คือ กำหนดอายุสัตว์ ระหว่างขึ้นลง ได้แก่ ตายแล้วเกิดธรรมสังเวช อายุเพิ่มข้ึนจนถึง ๑ อสงไขย แล้วเกิด ประมาท อายุถอยลงมาถึง ๑๐ ปีอีก นับเป็น ๑ อันตรกัปป์ อสงไขยกัปป์ คือ ๖๔ อันตรกัปป์ มหากัปป์ คือ ๔ อสงไขยกัปป์

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 196 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ วิธีนับอันตรกัปป์ กำหนดกาล ๑ อันตรกัปป์น้ัน ประมาณด้วยอุปมาว่า มี ขุนเขา กว้างและสูง ๑๖ กิโลเมตร ถึง ๑๐๐ ปี จะมีเทพยดาเอาผ้า ทิพย์เน้ือละเอียดลงมาเช็ดถูบนยอดขุนเขานั้นหนหน่ึงแล้ว ถึงอีก ๑๐๐ ปี จึงเอาผ้าลงมาเช็ดถูอีก ทำอย่างน้ีจนกระท่ังขุนเขาน้ันสึก เกรียนเหี้ยนลงมาราบเสมอพ้ืนดิน นับเป็น ๑ อันตรกัป หรือ มีกำแพงสี่เหล่ียมจตุรัส กว้างลึก ๑๖ กิโลเมตร ถึง ๑๐๐ ปี มีเทพยดานำเมล็ดผักกาดมาหย่อนลงเมล็ดหน่ึง ถึงอีก ๑๐๐ ปี จึง นำมาหย่อนลงอีก ทำอย่างน้ีจนเต็มเสมอปากกำแพงน้ัน นับเป็น ๑ อันตรกัปป์ คำว่า อันตรกัปป์ นี้ เพราะความท่ีเป็นคำยาว จึงเรียกกัน เพียงว่า กัปป์ ก็เป็นอันเข้าใจกันว่า หมายถึง อันตรกัปป์ นั่นเอง อายุชั้นสุขกายใจสงบ (รูปาวจร) ปาริสัชชา หนึ่งในสามมหากัปป์ ปุโรหิตา ครึ่งมหากัปป์ มหาพรหม ๑ มหากัปป์ ปริตตาภา ๒ มหากัปป์ อัปปมาณาภา ๔ มหากัปป์ อาภัสสรา ๘ มหากัปป์ ปริตตาสุภา ๑๖ มหากัปป์

197 อัปปมาณสุภา ๓๒ มหากัปป์ . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . สุภกิณหา ๖๔ มหากัปป์ เวหัปผลา ๕๐๐ มหากัปป์ อสัญญีสัตตา ๕๐๐ มหากัปป์ สุทธาวาส อวิหา ๑,๐๐๐ มหากัปป์ ๒,๐๐๐ มหากัปป์ อตัปปา ๔,๐๐๐ มหากัปป์ สุทัสสา ๘,๐๐๐ มหากัปป์ สุทัสสี ๑๖,๐๐๐ มหากัปป์ อกนิฏฐา อายุช้ันไร้รูปใจเรืองรอง (อรูปาวจร) อากาสานัญจายตนะ ๒๐,๐๐๐ มหากัปป์ วิญญาณัญจายตนะ ๔๐,๐๐๐ มหากัปป์ อากิญจัญญายตนะ ๖๐,๐๐๐ มหากัปป์ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ๘๐,๐๐๐ มหากัปป์

จะไปเกิดในชน้ั พรหมไดอ้ ยา่ งไร พ ร ห ม โ ล ก เ ป็ น แ ด น ดิ น อั น ประเสริฐ เป็นท่ีอยู่ของผู้ห่างไกลจาก กามคุณเคร่ืองบำเรอความสุขสามัญ ผู้ ต้องการไปพรหมโลก ต้องละทิ้งความสุข ในโลกียวิสัย เอาใจออกห่างเครื่องกังวลทั้ง มวล ปฏิบัติฝึกฝนจิตใจให้เกิดความสงบ ที่ เรียกว่า “สมาธิ” ในแบบใดแบบหนึ่ง ในพระพุทธศาสนา ท่านเรียกว่า สมถกรรมฐาน ซึ่งพระพุทธเจ้าได้กำหนด รูปแบบให้เลือกปฏิบัติตามจริตนิสัยของ แต่ละคน ถึง ๔๐ แบบ ดังนี้ กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อรูป ๔


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook