199 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . กสิณ ๑๐ 1. กสิณดิน คือการเพ่งดินที่นำมาป้ันเป็นแผ่นกลม เส้นผ่า ศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติ โดย ทำความรู้สึกถึงความแข็งของดิน ไม่ใช่เพ่งที่สีของดินนั้น เพราะจะ กลายเป็นกสิณสีต่างๆ แทน 2. กสิณน้ำ คือการเพ่งน้ำท่ีบรรจุในภาชนะปากกลม เส้นผ่า ศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติ 3. กสิณไฟ คือการเพ่งเปลวไฟผ่านช่องท่ีมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติ โดยทำความรู้สึก ถึงความร้อนของไฟ 4. กสิณลม คือการเพ่งอาการเคลื่อนไหวของใบไม้ กิ่งไม้ที่ ถูกลมพัด 5. กสิณสีเขียว คือการเพ่งวัตถุสีเขียว เช่น กระดาษสีเขียว ที่ เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้า ของผู้ปฏิบัติ โดยทำความรู้สึกถึงสีเขียวท่ีปรากฏ 6. กสิณสีเหลือง คือการเพ่งวัตถุสีเหลือง เช่น กระดาษสี เหลือง ท่ีเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาว ของใบหน้าของผู้ปฏิบัติ 7. กสิณสีแดง คือการเพ่งวัตถุสีแดง เช่น กระดาษสีแดง ท่ี เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้า ของผู้ปฏิบัติ 8. กสิณสีขาว คือการเพ่งวัตถุสีขาว เช่น กระดาษสีขาว ที่
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 200 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเท่ากับ ความยาวของใบหน้าของผู้ปฏิบัติ 9. กสิณแสงสว่าง คือการเพ่งแสงสว่างท่ี ลอดช่องหลังคาลงมากระทบพ้ืน หรือฝาผนังเป็น วงกลม หรืออาจจะประยุกต์ใช้แสงอย่างอื่นก็ได้ โดยทำความรู้สึกถึงความสว่าง ไม่ใช่เพ่งท่ีสีของ แสงนั้น 10. อากาสกสิณ (ช่องว่าง) คือการเพ่งช่อง ว่างต่างๆ เช่น ช่องว่างในกรอบหน้าต่าง ประตู อสุภะ ๑๐ คือการเพ่งซากศพชนิดต่างๆ ภาพจะติดตา และเป็นเคร่ืองเตือนใจถึงความตายที่อาจเกิดขึ้นได้ ตลอดเวลา ประกอบด้วย 1. ศพขึ้นอืด 2. ศพท่ีเปล่ียนสภาพเป็นสีเขียวคล้ำปน กับสีอื่นๆ 3. ศพที่มีน้ำเหลืองไหลเย้ิม 4. ศพท่ีขาดเป็น 2 ท่อน 5. ศพท่ีถูกสัตว์กัดกินแล้ว 6. ศพที่ขาดกระจุยกระจาย 7. ศพท่ีถูกสับเป็นท่อนๆ กระจัดกระจาย 8. ศพที่มีเลือดอาบ
201 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . 9. ศพที่ถูกหนอนชอนไชเต็มไปหมด 10. ศพที่เหลือแต่กระดูก อนุสติ ๑๐ 1. พุทธานุสติ คือการระลึกถึงคุณของ พระพุทธเจ้า ด้วยความรู้สึกเล่ือมใส ศรัทธา 2. ธัมมานุสติ คือการระลึกถึงคุณของ พระธรรม ด้วยความรู้สึกเลื่อมใส ศรัทธา 3. สังฆานุสติ คือการระลึกถึงคุณของ พระอริยสงฆ์ ด้วยความรู้สึกเล่ือมใส ศรัทธา 4. สีลานุสติ คือการระลึกถึงความบริสุทธิ์ ของศีลของตนเอง ด้วยความอิ่มเอิบใจ พร้อมด้วย การพิจารณาถึงอานิสงส์ต่างๆ ที่จะได้รับจาก ความบริสุทธิ์ของศีลน้ัน 5. จาคานุสติ คือการระลึกถึงการให้ทาน ที่ตนได้ทำไปแล้ว ด้วยความอ่ิมเอิบใจ พร้อมด้วย การพิจารณาถึงอานิสงส์ต่างๆ ที่จะได้รับจากการ ให้ทานน้ัน 6. เทวตานุสติ คือการพิจารณาถึงบุญ กุศลต่างๆ ท่ีทำให้เกิดเป็นเทวดา แล้วระลึกถึงบุญ กุศลต่างๆ ที่ตนได้ทำไว้แล้ว อันจะส่งผลให้ได้เกิด เป็นเทวดา
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 202 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ 7. มรณานุสติ คือการระลึกถึงความตายท่ีต้องมีขึ้นเป็น ธรรมดา โดยไม่รู้ว่าจะช้าหรือเร็วเท่าใด จะได้ไม่ประมาทในการรีบ ทำบุญกุศลต่างๆ รวมทั้งมีความเพียรในการทำกรรมฐาน คือสมาธิ และวิปัสสนา เพ่ือให้พร้อมสำหรับความตาย 8. กายคตาสติ คือการพิจารณาถึงร่างกายว่าประกอบไป ด้วยส่วนต่างๆ เช่น ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูก ฯลฯ เต็มไปด้วยของไม่สะอาด น่าเกลียด ไม่สวยงาม เป็นท่ีเกิดของโรค นานาชนิด ไม่น่ารักน่าใคร่ เพื่อไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาในกาย 9. อานาปานสติ คือการเพ่งลมหายใจเข้าออก 10. อุปสมานุสติ คือการระลึกถึงคุณของพระนิพพาน อัปปมัญญา ๔ คือ การแผ่ความรู้สึกออกไปโดยไม่มีประมาณ ประกอบด้วย 1. เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข 2. กรุณา คือความปรารถนาให้ผู้อ่ืนพ้นจากความทุกข์ 3. มุทิตา คือความยินดีที่ผู้อ่ืนมีความสุข 4. อุเบกขา คือความรู้สึกท่ีไม่ยึดม่ันถือม่ันในความสุขความ ทุกข์ของผู้อื่น เพราะเห็นว่าเป็นเร่ืองธรรมดาของชีวิต สัตว์โลกย่อม เป็นไปตามกรรม จึงทำลายความยินดียินร้าย ความชอบความชังลง ได้ วางจิตให้เป็นกลาง ไม่ฟูไม่แฟบ ไม่กระเพ่ือมหวั่นไหว สงบนิ่งอยู่
203 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือการพิจารณาถึงความเป็นปฏิกูล น่ารังเกียจ ของอาหารท่ีรับประทานเข้าไป พิจารณาถึงการแปรสภาพ ของอาหาร ต้ังแต่ถูกเคี้ยว คลุกเคล้ากับน้ำลายอยู่ในปาก ผ่านไปยัง กระเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ จนกระท่ังออกมาจากร่างกายอีกคร้ัง ด้วยสภาพที่บูดเน่า น่ารังเกียจ เพ่ือประโยชน์ในการไม่ติดในรส อาหาร รวมถึงป้องกันกิเลสตัวอื่นๆ ที่จะเกิดจากอาหาร จตุธาตุววัฏฐาน คือการพิจารณาร่างกายของตนว่าเป็น เพียงธาตุ 4 คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม เท่าน้ัน ปราศจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เพ่ือขจัดความยึดมั่นถือม่ัน อรูปสมาบัติ ๔ คือ การใช้ส่ิงที่ไม่ใช่รูปธรรมเป็นเครื่องยึดจิต เป็นสมาธิข้ัน สูง ประกอบด้วย 1. อากาสานัญจายตนะ คือการเพ่งช่องว่างท่ีกว้างใหญ่หา ที่สุดไม่ได้ ซ่ึงเกิดจากการเพิกรูปธรรม (เช่น นิมิตต่างๆ ท่ีใช้ยึดจิตใน รูปสมาบัติ) ออกไป ในช้ันอรูปสมาบัตินี้ จะพ้นจากความยินดีพอใจ ในรูปธรรมท้ังปวง ยินดีพอใจเฉพาะในนามธรรมเท่านั้น 2. วิญญาณัญจายตนะ คือการเพ่ง หรือทำความรู้สึกไปท่ี วิญญาณหรือจิต ที่แผ่ออกไปรับรู้ความรู้สึกในช่องว่างที่กว้างใหญ่ ไพศาลในขั้นอากาสานัญจายตนะน้ัน จิตจะละเอียด ประณีตกว่าอา กาสานัญจายตนะ 3. อากิญจัญญายตนะ คือการทำความรู้สึกถึงความไม่มี อะไรเลย หลังจากเพิกวิญญาณัญจายตนะออกไป จิตจึงละเอียด
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 204 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ประณีตขึ้นไปอีก 4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือความรู้สึกท่ีเหลืออยู่น้อยมาก จนแทบ ไม่รู้สึกตัวเลย หลังจากเพิกความรู้สึกใน อากิญจัญญายตนะออกไป เป็นจิตท่ี ละเอียด ประณีตท่ีสุดที่ปุถุชน โสดาบัน และสกทาคามีบุคคลจะทำได้ (ผู้บรรลุธรรมขั้นอนาคามี และ อรหัตผล จะทำได้ถึงขั้นหมดความรู้สึก ตัวอย่างสิ้นเชิง ท่ีเรียกว่านิโรธสมาบัติ หรือสัญญาเวทยิตนิโรธ)
พรหมที่สำคญั ท้าวมหาพรหม หรือ พกพรหม คราวหน่ึง พกพรหม ผู้สถิตอยู่ ณ พรหมโลกช้ัน มหาพรหม (ช้ันที่ ๓) ได้เกิด ทิฐิขึ้นมาว่า ฐานะแห่งพรหมน้ีเที่ยง ย่ังยืน ติดต่อกัน คงท่ี มีความไม่เคลื่อนไหวเป็น ธรรมดา ไม่เกิดไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ไม่มีอะไรหรือใครอีกแล้วจะเหนือ ไปกว่าพรหม ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบ ความคิดของพกพรหมด้วยพระฌานอัน บริสุทธิ์ ก็ทรงไปปรากฏในพรหมโลก พกพรหมได้เห็นพระผู้มีพระภาค กำลังเสด็จมาแต่ไกลได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอ ต้อนรับพระองค์สู่พรหมโลก ภาวะของ พรหมน้ีเท่ียง ยั่งยืน ติดต่อกัน คงที่ มีความ ไม่เคล่ือนไหวเป็นธรรมดา ไม่เกิด ไม่แก่
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 206 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ไม่มีอะไรหรือใครอีกแล้ว จะเหนือไปกว่า พรหมได้ เมื่อพกพรหมกล่าวเช่นน้ีแล้ว พระพุทธองค์ก็แย้มพระโอษฐ์ รับส่ังว่า ท่านผู้เจริญ พกพรหมท่านมั่นใจว่าเข้าใจถูกแล้วหรือ ท่าน เข้าใจว่าภาวะของพรหมท่ีไม่เท่ียงเลยว่าเท่ียง ที่ไม่ยั่งยืนเลยว่าย่ังยืน ท่ีไม่ติดต่อกันเลยว่าติดต่อกัน ท่ีไม่คงท่ีเลยว่าคงที่ ท่ีมีความ เคล่ือนไหวเป็นธรรมดาว่า มีความไม่เคลื่อนไหวเป็นธรรมดา และท่ี ต้องเกิดแก่ ตาย จุติ อุบัติของตนว่า ภาวะของพรหมนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ แล้วก็ขอให้ทราบไว้ด้วยว่า ภาวะท่ีเหนือกว่า พรหมนี้ยังมีอยู่ทีเดียว พกพรหมยังไม่สนิทใจเชื่อถือ ทูลว่า พระโคดม พวกข้า ๗๒ คน เกิดในพรหมโลกนี้เพราะบุญ ทำให้มีอำนาจเหนือการเกิดและ การแก่ได้แล้ว การอุปบัติในพรหมโลก ซ่ึงบรรลุไตรเภทนี้เป็นที่สุด แล้ว ผู้คนมิใช่น้อยต่างปรารถนาเป็นดังพวกข้า ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคก็แย้งว่า พกพรหม ท่านเข้าใจว่า ตนเองเป็นอมตะหรือ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ดูกรพรหม จงรู้เสียด้วยว่า ท่านมีอายุ ๑ มหากัปป์เท่านั้นเอง พกพรหมก็ว่า อ้อ อย่างนั้นหรือ ถ้าท่านบอกว่าเราเข้าใจผิด ทั้งหมด ก็จงบอกมาให้ชัดเจนซิว่า ทำไมเราถึงได้มาเกิด ณ พรหม โลกแห่งน้ี พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า ๑. เรารู้ว่า การช่วยเหลือมนุษย์ท่ีกรำแดดในฤดูร้อนให้ได้
207 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ด่ืมน้ำกิน เป็นศีลวัตรเก่าแก่ของท่าน ๒. เรารู้ว่า การคอยช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกคนร้ายจับไป ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา เป็นศีลวัตรเก่าแก่ของท่าน ๓. เรารู้ว่า การช่วยพยุงเรือท่ีถูกกระแสแม่น้ำคงคาพัดพา ไปไม่ให้ล่มน้ัน เป็นศีลวัตรเก่าแก่ของท่าน ๔. และในครั้งน้ัน เราก็เป็นศิษย์ของท่าน นามว่า กัปปมาณพ เพราะนับถือในความรู้และวีรกรรมของท่าน ข้อน้ีมีความกระจ่างว่า เมื่อก่อน พกพรหม เกิดในตระกูล ใหญ่ แต่มีความเบ่ือหน่ายในการใช้ชีวิตแบบโลกีย์ จึงออกบวชเป็น ฤษี บำเพ็ญฌาณสมาบัติ ปลูกอาศรมอยู่ท่ีริมฝ่ังแม่น้ำคงคา ใช้เวลา ส่วนใหญ่อยู่กับการเข้าฌาน ในครั้งนั้น มีพวกพ่อค้า เดินทางผ่านทะเลทรายเสมอๆ ใน ทะเลทรายไม่มีใครสามารถเดินทางกลางวันได้ เดินได้แต่ตอนกลาง คืน คร้ังน้ัน โคงานที่เทียมแอกเกวียนเล่มหน้า เมื่อเดินทางก็วกกลับ มาทางเดิม เกวียนทุกเล่มก็วกกลับตามเหมือนกัน กว่าจะรู้ว่าหลง ทางก็ต่อเมื่ออรุณข้ึน เดินทางอีกหน่ึงวันเต็มก็ยังไม่พ้นทะเลทราย ฟืน และน้ำก็หมดส้ิน พ่อค้าท้ังหมดต่างหมดสิ้นหวัง ผูกโคไว้แล้วนอนรอ ความตาย ฝ่ายพระดาบส คร้ันออกจากอาศรมแต่เช้าตรู่ แลดูแม่น้ำ คงคา ก็คิดว่า ในโลกนี้มีเหล่าสัตว์ท่ีลำบากเพราะไม่มีน้ำกินบ้างไหม หนอ แล้วก็เล็งตาทิพย์ตรวจดู เห็นหมู่พ่อค้าในทะเลทรายได้รับความ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 208 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ลำบากสาหัส ก็เกิดความสงสาร จึงอธิษฐานด้วยอภิญญาจิตว่า ขอ ใหน้ำจงไหลตรงไปยังหมู่เกวียนในทะเลทราย คร้ันแล้วน้ำก็ไหลไป หาพวกพ่อค้าด้วยอำนาจฤทธิ์ พวกพ่อค้าได้ยินเสียงน้ำก็ลุกขึ้น พอ เห็นน้ำต่างก็ร่าเริง ยินดี อาบดื่ม ให้โคทั้งหลายดื่มน้ำแล้ว ก็ออกเดิน ทางต่อโดยสวัสดี สมัยต่อมา เกิดพวกโจรปล้นบ้าน จับแม่โคและเชลยไป ท้ังคนทั้งสัตว์โกลาหลวุ่นวายไปหมด ดาบสได้ยินเสียงก็รำพึงว่า เกิด อะไรขึ้น คร้ันทราบเร่ืองก็คิดว่าเมื่อเราเห็นอยู่ สัตว์เหล่านี้จงอย่า พินาศ แล้วใช้อภิญญาจิตเนรมิตกองทัพ ๔ เหล่า ดักรอพวกโจรอยู่ พอพวกโจรมาเห็นกองทัพดักอยู่ก็เข้าใจว่า พระราชาเสด็จมา จึงท้ิง ส่ิงของท่ีปล้นมาแล้วหนีเอาตัวรอด สมัยต่อมา ตระกูลหน่ึงอยู่ท่ีแม่น้ำคงคาด้านเหนือ ผูกสันถว ไมตรีกับตระกูลซึ่งอยู่ที่แม่น้ำคงคาด้านใต้ ผูกเรือขนานบรรทุก ของกินของใช้ของหอมและดอกไม้เป็นต้นเป็นอันมาก มาตามกระแส น้ำคงคา ครั้นแล้วก็เกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำมา เล่นงานเรือบรรทุก จนไม่สามราถบังคับได้ ผู้คนร่ำร้องตกใจกันเป็นการใหญ่ ฝ่ายพระดาบสน่ังอยู่ท่ีอาศรม ได้ยินเข้า ก็เนรมิตตนเองเป็น พญาครุฑ จับเรือเอาไว้ไม่ให้ล่มไปกับกระแสน้ำ อีกชาติหนึ่ง พกพรหมนั้นเคยเป็นฤๅษีช่ือเกสวะ สมัยน้ัน พระ โพธิสัตว์ของพวกเราเป็นมาณพชื่อว่ากัปปะ เป็นศิษย์ของท่านเกสวะ มีความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์อย่างเหนียวแน่น พกพรหมเม่ือได้ยินพระพุทธองค์ตรัสเล่าได้อย่างถูกต้องเช่น น้ี ก็บังเกิดจิตเล่ือมใสว่าพระองค์รู้ได้จริงๆ จึงยินยอมปลดเปลื้อง
209 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ความเห็นเดิมของตน เช่ือถือที่พระองค์บอก พร้อมกับกล่าวสรรเสริญ พระพุทธองค์ว่า ทรงเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดอย่างน่าอัศจรรย์ อาจเพราะนัยประวัติน้ีก็เป็นได้ นัยท่ีว่า ท้าวมหาพรหมหรือ พกพรหมผู้น้ี กอปรด้วยจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้คนอยู่ตลอด ผู้คน ท่ีได้รับความเดือดร้อน พรหมผู้นี้เป็นอดรนทนดูไม่ได้ ต้องรีบหาทาง ช่วยเหลือให้รับความสวัสดี ในยุคต่อมา จึงมีการสร้างพระพรหมขึ้นบูชา แล้วกราบไว้ขอ พรให้ช่วยบรรเทาทุกข์ ขจัดความเดือดร้อนต่างๆ รวมท้ังประสิทธ์ิสิ่ง อันเป็นมงคลแก่ชีวิตของตนเอง และก็มักจะสมประสงค์เสียด้วย ข้อนี้มีทั้งความเป็นไปได้ และความเป็นไปไม่ได้ แต่ที่เป็นไปได้อย่างแน่นอนคือ พระพุทธองค์ยืนยันว่า ท้าว มหาพรหมท่านนี้ มีอยู่จริง... ท้าวสหัมบดีพรหม พรหมท่านนี้ เข้าใจว่า อยู่พรหมโลกชั้นเดียวกับท้าวพกพรหม คือ ช้ันท่ี ๓ และถือว่าท่านเป็นผู้มีคุณุปการต่อพุทธศาสนามากที เดียว เพราะถ้าไม่ได้ท่านเป็นผู้อาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงแสดง ธรรมโปรดชาวโลกเสียแล้ว นอกจากพระพุทธองค์แล้วก็จะไม่มีใคร เลยจะรู้จะเห็นธรรมจากพระองค์ได้เลย เล่าว่า อดีตชาติของสหัมบดีพรหมท่านน้ี เคยเป็นพระภิกษุ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ประพฤติปฏิบัติตาม
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 210 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ พระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นผู้เจนจบในพระธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรมในขั้นใด เพราะบารมียังไม่ เต็มท่ี เม่ือส้ินชีพลงก็มาเกิดในพรหมโลกชั้น มหาพรหมน้ี ครั้นถึงคราวที่พระพุทธเจ้าโคดมองค์ปัจจุบัน ตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงเกิดความปริวิตกว่า โอหนอ ธรรมที่เรา ตรัสรู้น้ันลึกซ้ึงเหลือเกิน ชาวโลกไหนเลยจะรู้แจ้งแทงตลอดตามท่ีเรา สอนได้ ท้าวสหัมบดีทราบความดำรินี้ของพระองค์ จึงเร่งรีบลงจาก พรหมโลก เข้ามาคุกเข่าประณมหัตถ์อัญชลีแล้วกราบทูลอาราธนาว่า ขอพระองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์ชาวโลกผู้มีบารมีเต็มท่ีแล้ว ให้ได้รู้ได้ เห็นธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยเถิด เม่ือท้าวสหัมบดีพรหมเปล่งวาจาด้วยความนอบน้อมเช่นนี้ แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงรับอารธนาด้วยอาการดุษณี นับจากนั้น ก็ ทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนให้ไพศาลไปทั่วโลก มีผู้ได้รู้เห็นธรรมจาก พระองค์มากมายนับไม่ถ้วน อุปการคุณของท้าวสหัมบดีพรหมในข้อนี้ พวกเราชาวพุทธ ควรสำนึกอย่างยิ่ง
สถานท่ีสำคัญในพรหมโลก ในพรหมโลกช้ัน อกนิษฐะ มีพระเจดีย์ อยู่องค์หน่ึงช่ือว่า “ทุสเจดีย์” เป็นท่ี ประดิษฐานอาภรณ์เครื่องประดับของพระ โพธิสัตว์ ซึ่งทรงเปลื้องออกก่อนจะผนวช ตัวเจดีย์เป็นแก้วผลึกล้วน เปล่ง ประกายหลากสีสวยงามตระการตาย่ิง เร่ืองมีว่า ครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกผนวช ทรงเปล้ืองอาภรณ์เครื่อง ประดับท้ังหมดออก แล้วท้าวมหาพรหมเป็น ผู้รับไว้ และทรงอัญเชิญมาไว้ ณ พรหมโลก ชั้นน้ี เพ่ือให้พรหมทั้งหลายได้สักการะบูชา เป็นอนุสติเตือนใจในการทำความดี เพ่ือผล อันย่ิงใหญ่ในวันข้างหน้า และเป็นเคร่ือง เตือนสติว่า เพื่อความสุขอันแท้จริงคือพระ นิพพานของตนเองและผู้อ่ืนแล้ว วิญญูชน สามารถสละทรัพย์สมบัติทางโลกได้ทุก อย่าง เป็นความเด็ดเด่ียวของคนผู้เล็งเห็น ประโยชน์ท่ีจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า...
ไปเกิด บนสวรรค์ ไม่ยาก อย่างท่คี ิด!
เลอื ก สถานภาพ ใหถ้ กู ต้อง บนสวรรค์ก็มีชนชั้นเช่นเดียวกับโลก มนุษย์ ซึ่งไม่มีทางหลีกเล่ียงได้เลย ด้ ว ย ว่ า ตั ว ข อ ง ผู้ น้ั น เ อ ง เ ป็ น ค น ก ำ ห น ด สถานภาพของตน อาศัยบุญเป็นตัว กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เทวดาท่ีมีบุญมาก ก็จะมีรัศมี เปล่งปล่ังและแผ่ออกไปได้ไกล ถ้ามีน้อยก็ ลดหล่ันกันตามสัดส่วน เวลานั่งในที่ ประชุม ก็ต้องนั่งตามกำลังของบุญ เป็นที่รู้ กันโดยอัตโนมัติ น่ันไม่สำคัญเท่ากับเมื่อไปเกิดแล้ว จะได้เสวยสมบัติทิพย์ของตนเองอย่างเป็น อิสระ หรือแอบอิงกับสมบัติของผู้อื่น ซ่ึง ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็เท่ากับไม่ได้เป็นเจ้าของ สมบัติพัสถานวิมานประสาทที่ตนอยู่ แต่ อาศัยอยู่กับผู้อื่น เป็นเทพบุตร เทพธิดา หรือเทพบริวารของเทพผู้เป็นเจ้าวิหารอีก ชั้นหน่ึง
215 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . การเป็นอยู่อย่างหลังน้ีแม้ว่าจะสบาย แต่ก็ไม่เป็นอิสระเต็มท่ี เก่ียวกับเร่ืองนี้ผู้เขียนได้เขียนไว้แล้วในหัวข้อ ชนชั้นบนสวรรค์ แต่ขอ นำมาวางไว้อีกคร้ังเพ่ือเพิ่มความเข้าใจ ดังนี้ ๑. ถ้าไปเกิดบนตักของเทพดาองค์ใด ก็เป็นประหนึ่งบุตร ธิดา ของเทวดาองค์น้ัน ๒. ถ้าเป็นหญิง ไปเกิดเหนือแท่นบรรทมของเทพองค์ใด ก็ เป็นนางอัปสรรับใช้ใกล้ชิดเทวดาองค์นั้น ๓. ถ้าเป็นหญิง ไปเกิดใกล้ๆ แท่นบรรทมของเทวดาองค์ใด ก็ จะต้องเป็นนางอัปสรรับใช้จัดเคร่ืองต้นเครื่องทรงของเทวดาองค์นั้น ๔. ถ้าเป็นชาย ไปเกิดในบริเวณปราสาทของเทวดาองค์ใด ก็ เป็นบริวารรับใช้เทวดาองค์นั้น ๕. ถ้าเกิดในระหว่างรอยต่อ ไม่ทราบว่าเป็นดินแดนของ เทวดาองค์ใดแน่ เทวราชท่ีเป็นใหญ่ของชั้นน้ันก็จะทรงตัดสินให้ว่า จะให้ไปเป็นบริวารของเทวดาองค์ใด ถ้าตัดสินไม่ได้เอาเป็นบริวาร ของพระองค์ เป็นการตัดปัญหาเสีย ทั้งหมดนี้ หาได้เป็นสถานภาพท่ีต่ำต้อยแต่อย่างใด เพราะ ลงได้ไปเกิดสวรรค์แล้ว ก็ได้รับความสุขอย่างล้นหลามอยู่แล้ว ท้ังยัง ได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากเทพผู้เป็นใหญ่ในบ้าน (วิมาน) อย่างถ้วนหน้า มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบทว่า มีเทพธิดาองค์หนึ่ง เป็นสนมของ เทพบุตรผู้ย่ิงใหญ่ ได้รับความรักเอ็นดูจากผู้สามีอย่างท่ีสุด คร้ันวัน หน่ึง นางก็จุติจากเทวโลกเสียกลางคัน มาเกิดยังเมืองมนุษย์ ด้วย
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 216 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ระยะเวลาที่รวดเร็ว จุติก็เกิดในภพที่เจริญทันที ทำให้นางระลึกชาติ ได้ว่าตนเองเป็นอะไรมาก่อน นางจึงปรารถนาจะไปเกิดที่เดิมอีก เฝ้าทำบุญทำกุศลแล้วก็ อธิษฐานทุกครั้งว่า ขอให้ได้ไปเกิดร่วมกับสามีบนสวรรค์อีก คนท่ี ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กะนางก็เข้าใจว่า หญิงคนน้ีเพ้ียนใหญ่แล้ว ทำบุญ แล้วยังบูชาสามีตนเอง เลยเรียกกันว่า นางปติบูชิกา แปลว่า หญิงผู้ บูชาสามี แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจพวกเขา เที่ยวทำบุญทำกุศลตลอด ชีวิต สุดท้ายก็ได้ไปเกิดเป็นเทพปริจาริกาของเทพบุตรองค์น้ัน เหมือนเดิม การเลือกสถานภาพบนสวรรค์ หรือแม้กระทั่งในภพอื่น เช่น มนุษย์ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “คนบางคนในโลกน้ี คิดว่า เราให้ของของตนเท่าน้ัน เรื่อง อะไรจะชักชวนคนอ่ืน แล้วจึงให้ทานด้วยตนเท่าน้ัน ไม่ชักชวนผู้อื่น เขาย่อมได้โภคสมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ บางคนชักชวนผู้อ่ืน แต่ตนเองไม่ให้ เขาย่อมได้บริวาร สมบัติ ไม่ได้โภคสมบัติ บางคนตนเองก็ไม่ให้ทั้งไม่ชักชวนผู้อ่ืน เขาย่อมไม่ได้โภค สมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติ ได้รับความลำบาก ต้องเที่ยวขอเขากิน บางคนตนเองก็ให้ ท้ังยังชวนผู้อื่น เขาย่อมได้ท้ังโภคสมบัติ และบริวารสมบัติ ในท่ีที่ตนเกิด”
โลกมนุษย.์ .. ศูนยก์ ลาง การทำความดี ทด่ี ที ส่ี ุด ในจำนวนภพท้ัง ๓๑ ภพ มีโลกมนุษย์ เป็นศูนย์กลาง โลกมนุษย์เป็นท่ีท่ีผู้คน สามารถทำความดี (รวมทั้งความช่ัว) ได้ สะดวกท่ีสุด แม้แต่พวกเทวดา ก็ยังต้องลง มาทำความดีในโลกมนุษย์ ซ่ึงมีหลักฐาน กล่าวไว้มากมายในพระไตรปิฎก มีเทพ บุตรเทพธิดาจำนวนมากท่ีลงมาทำบุญกับ พระ มีช่วยเหลือมนุษย์เพื่อเพ่ิมกำลังบุญ ของตนเอง ให้อยู่ได้นานไปอีก อย่างเช่น ท่านท้าวอมรินทร์ คร้ัง หนึ่งก็ทรงเกือบจะหมดบุญอยู่รอมร่อ ต้อง แปลงกายเป็นคนยากไร้ มาถวายอาหาร บิณฑบาตกับพระมหากัสสปะ ซึ่งเพ่ิงออก จากนิโรธสมาบัติ เพ่ือต่อบุญตนเองให้ได้ เสวยสุขต่อไป ส่วนพวกสัตว์ดิรัจฉานน้ัน พวกมัน เป็นประเภทมีสติปัญญาไม่สมบูรณ์ แม้จะ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 218 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ทำได้บ้าง แต่ก็ไม่ให้ผลมากนัก ต่ำกว่าน้ันลงไป เช่น อสุรกาย เปรต สัตว์นรก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง จะ ทำความดีอะไรไม่ได้เลย เพราะเป็น พ ว ก เ กิ ด ม า เ พ่ื อ รั บ ผ ล ก ร ร ม ชั่ ว ข อ ง ตนเองเท่านั้น การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นถือว่า ประเสริฐสุดแล้ว หากเกิดมาแล้ว ใช้ ชีวิตอย่างประมาท ไม่รู้จักสร้างสม ความดี ก็เท่ากับว่า ได้ละทิ้งโอกาสอัน ดีน้ีไปอย่างน่าเสียดาย ออกจะเสีย ชาติเกิดอยู่บ้าง หมายเหตุ : การถวายทานกับพระท่ี เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จะได้บุญมากยิ่งกว่า มาก เพราะการเข้านิโรธสมาบัติ เป็นการเสวย สุขอยู่ในภาวะนิพพานถึงเจ็ดวัน ร่างกายจะ หยุดการทำงานไม่มีการตอบสนองใดๆ ท้ังสิ้น แต่ไม่ตาย
แผนท่ี... ไปสวรรค์ เม่ือทราบแน่นอนแล้วว่า จะเลือก สถานะอย่างไร ก็ต้องเลือกต่อไปว่า จะไปเกิด ณ ชั้นไหน ซ่ึงแน่นอนว่า ขึ้นอยู่ กับความแรงของบุญอย่างเดียวเท่านั้น และคร้ันไปเกิดแล้ว จะอยู่ได้นาน หรือไม่ก็อยู่ท่ีปริมาณบุญว่าทำไว้มากน้อย เพียงใด ถ้าจะพูดเฉพาะการให้ทาน ซึ่ง เป็นการทำความดีเบ้ืองต้น (แต่ให้ผลมาก) ความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ซึ่งทำให้ทานที่ได้ บริจาคแล้วเป็นทานอันยอดเย่ียม มีผล มากนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเป็นหลักการไว้ ๓ ข้อ คือ ๑. ผู้รับทาน เป็นผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วยคุณธรรม ๒. สิ่งที่ให้เป็นของบริสุทธ์ิ ได้มา โดยชอบธรรม และเหมาะสมเป็นประโยชน์ แก่ผู้รับ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 220 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ๓. ผู้ให้ก็ให้ด้วยความต้ังใจ คิดจะให้เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ แท้จริง มีเจตนาบริสุทธ์ิท้ัง ๓ กาล คือ ก่อนให้ใจยินดี ขณะให้จิต ผ่องใส ให้แล้วเบิกบานใจ และความใน ทานสูตร ท่านก็บอกไว้ในเรื่องของเจตนาอย่าง ชัดเจนว่า เป็นตัวกำหนดได้ว่า จะส่งผลให้ได้เกิดในช้ันใด ประการแรก ถ้าให้ด้วยหวังผลว่า พอตายแล้วจะได้รับผล ของทานนั้น คือให้ทานแบบหวังผลในชาติหน้าสถานเดียว หลังจาก ตายไปเขาก็จะเกิดในสวรรค์ช้ัน จาตุมมหาราชิกา ประการที่สอง ถ้าให้โดยไม่หวังผล เพียงคิดว่า การให้ทาน เป็นเร่ืองที่ดี การได้ช่วยเหลืออนุเคราะห์ผู้อ่ืนเป็นมโนธรรมของเรา คร้ันจากโลกนี้ก็จะไปเกิดในชั้น ดาวดึงส์ ประการท่ีสาม แต่ถ้าไม่ได้คิดอย่างประการท่ีสอง ให้ทาน โดยต้ังความคิดว่า มารดาบิดาปู่ย่าตายายของเรา ท่านก็ทำมาอย่าง น้ี เราควรเอาเป็นเย่ียงอย่าง ทำเป็นจารีตอันดีต่อไป ไม่ได้คิดอะไร มากไปกว่านั้น เม่ือตายจะไปเกิดในช้ัน ยามา ประการท่ีส่ี ถ้าให้ทานด้วยการตั้งความคิดว่า พระคุณเจ้า หรือผู้มีศีลมีธรรม ท่านไม่ได้หุงหาอาหาร ใช้ชีวิตด้วยการอาศัยคนอ่ืน ให้ เราซึ่งเล้ียงตัวเองได้ ก็ควรอนุเคราะห์ท่าน (หรือแม้กระทั่งให้กับ คนยากไร้เพราะคิดว่า เขาทำมาหากินไม่ได้ ชีวิตหมดสิ้นหนทาง จริงๆ) ซ่ึงเป็นคุณธรรมท่ีมีในใจของคนผู้น้ัน เป็นลักษณะของคนท่ีมี จิตอันละเอียดอ่อน มีจิตกอปรด้วยความเสียสละเพ่ือประโยชน์ของผู้ อื่น เขาเมื่อตายก็จะไปเกิดในช้ัน ดุสิต (ช้ันที่มีพระโพธิสัตว์ไปเกิด มากท่ีสุด เพราะพระโพธิสัตว์คิดกันอย่างน้ี)
221 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ประการท่ีห้า ถ้าให้ทานด้วยความคิดว่า อยากจะให้ อยาก เสียสละให้อย่างไม่มีความเสียดายใดๆ ท้ังส้ิน เพราะคิดว่า สมบัติ เป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้เสมอ (เหมือน พระเวสสันดร) ข้อนี้เขาเร่ิมมองเห็นสัจธรรมของชีวิตแล้ว คนผู้น้ันเม่ือตายก็จะไป เกิดในช้ัน นิมมานรดี ประการที่หก ถ้าให้เพราะคิดว่า พอให้เราเกิดความสบายใจ เกิดความอ่ิมเอิบยินดี เพราะได้ทำประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะได้ขจัด ความตระหน่ีถี่เหนียวของตนเองให้เบาบางไปอย่างหนึ่ง เพราะจะได้ ขัดเกลาตนเองให้เป็นผู้ไม่ยึดติดกับของนอกกายอย่างหน่ึง ทุกคร้ังท่ี ให้เขารู้สึกปลาบปล้ืมโสมนัส เม่ือละจากโลกนี้ไป เขาจะเกิดในช้ัน สูงสุดคือ ปรนิมมิตวสวัตดี ยังมีประการสุดท้ายคือ การให้ทานเพราะคิดว่า ให้แล้วผล บุญนั้นจะช่วยหนุนเสริมให้จิตของตนเอง ข้ึนสู่ความละเอียดสงบใน คราวบำเพ็ญเพียรได้ง่ายขึ้น เขาจะได้ตามประสงค์ น่ันก็เท่ากับว่า เมื่อยกระดับจิตสำเร็จก็จะไปเกิดในพรหมโลก ซึ่งการทำบุญหรือทำความดีน้ัน ไม่ใช่มีเพียงการทำทาน เท่านั้น ยังมีที่สูงขึ้นไปกว่าน้ันอีก น่ันคือ การรักษาศีล ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วยว่า การรักษาศีลน้ัน เป็นหลัก ในการดูแลตนเอง ระมัดระวังกาย วาจา ให้อยู่อย่างปกติ เป็น ธรรมชาติ ซึ่งแนวทางน้ีทำให้เกิดความสุขกับตนเองและคนอื่นอย่าง แท้จริง ในหลักการทำความดี (บุญกิริยาวัตถุ) พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าทำความดีคือให้ทาน และรักษาศีล ไปพร้อมกันอยู่มิได้ขาด
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 222 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ผลบุญจะมีมาก ทำแล้วให้ต้ังความปรารถนาเอาไว้ว่า ขอให้ไป เกิดในชั้นนั้นช้ันน้ี บุญจะส่งให้ไปเกิดตามที่อธิษฐาน การทำความดีในระดับนี้ เป็นข้ัน ทาน และ ศีล ยังมีอีกข้ันหน่ึง ซ่ึงจะส่งผลให้ผู้นั้นไปเกิดถึงพรหมโลก น่ันคือ ภาวนา การฝึกฝนจิตใจของตนเองให้มีสติสมบูรณ์ จิตใจสงบผ่องใส ซึ่งก็มีกันแทบทุกศาสนา โดยเฉพาะ พุทธ เชน พราหมณ์ เต๋า ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า สมถภาวนา ความละเอียดในการยกระดับจิตขึ้นสู่สมถภาวนา ผู้เขียนได้ นำเสนอไว้แล้ว ในหัวข้อ “จะไปเกิดพรหมโลกได้อย่างไร” (หน้า ๑๙๖) ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงหลักการใหญ่ๆ ซึ่งความจริงแล้ว ความ ดีทำได้หลายทางมาก ขอนำหลักการทำความดีหรือบุญกิริยาวัตถุ ใน หนังสือ “แผนท่ีความดี” ของผู้เขียนมาประกอบ ดังนี้ ๑. คิดแต่เร่ืองดีๆ เมื่อต่ืนข้ึนในเช้าวันใหม่ จิตใจของเราก็เปิดรับเร่ืองราวนอก ตัวแล้ว จงเปิดรับเร่ืองราวเหล่าน้ันด้วยหัวใจเบิกบาน สูดลมหายใจ ลึกๆ มองออกไปบนท้องฟ้า ทำจิตใจให้เบาสบายเหมือนก้อนเมฆ พร้อมที่จะโบยบินไปอย่างอิสระ ปรับความคิดเสียต้ังแต่วินาทีที่รู้สึกตัว ว่าเราจะไม่ให้ความ คิดร้ายๆ อารมณ์ร้ายๆ มาทำให้จิตใจขุ่นมัวในวันนี้ เร่ืองเม่ือวานคือ เรื่องเม่ือวาน ท้ิงไว้กับเม่ือวาน วันน้ีจะเกิดอะไรข้ึน เราจะรับมือ ด้วยความเยือกเย็น รอบคอบ และเป็นสุข
223 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . จิตใจท่ีเร่ิมต้นด้วยความดีเช่นน้ี จะส่งผลตลอดเวลาที่เหลือ ของวันนั้น ๒. ต้ังใจรักษากิริยา คำพูดให้สุภาพ อ่อนโยน ความสุขของเรา เริ่มต้นที่ตัวเราเอง ขณะที่เมื่อต้องการ ความรักความเห็นใจจากผู้อื่น ก็ต้องเร่ิมต้นท่ีตัวเราก่อนเสมอ ลอง ตรวจสอบตนเองว่า ตนเองได้ดูแล ระวังกิริยาและคำพูดให้เป็นปกติ อยู่ในแนวทางอันเรียบร้อยและเรียบง่าย อยู่คนเดียวก็สบายใจ เดิน เข้าหาคนอื่นก็เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจหรือยัง ถ้ายังไม่มั่นใจ ต่อไปน้ีคือวิธีการดูแลตนเอง ให้มีความดีอยู่ เป็นเพ่ือน - หลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้อ่ืนให้เดือนร้อน เจ็บปวดหรือร้าย แรงถึงขึ้นฆ่าแกงกัน พระพุทธองค์สอนว่า ทุกชีวิตมีคุณค่า การเคารพและ พิทักษ์ชีวิตเป็นความดีสูงสุดอย่างหนึ่ง ความสุขใดๆ ก็แล้ว แต่ ถ้ายืนอยู่บนความทุกข์ร้อนของคนอ่ืน เป็นความสุขที่ ไม่ใช่ความดีเด็ดขาด และก็เป็นความสุขที่ตนเองเข้าใจว่า “น่าจะเป็น” ความสุข เท่าน้ัน ผลสุดท้าย ก็คือความทุกข์ขนัดนั่นเอง - เคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น เล่ียงการแอบอ้าง ขโมย หรือ ด้วยวิธีการใดๆ ที่ขัดต่อความดี ทำให้ผู้อื่นสูญเสียของรัก รวมท้ัง หาความร่ำรวยบนความทุกข์ยากของผู้อ่ืน - หลีกเล่ียงการมีสัมพันธ์ทางเพศกับคู่ที่ไม่ใช่ของตนเอง
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 224 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เร่ืองเพศไม่ใช่เรื่องต้องห้ามหรือขัดต่อความดี แต่ต้อง ซ่ือสัตย์กับรัก เคารพข้อผูกพันของกันและกัน - หลีกเล่ียงการพูดหลอกลวงผู้อื่น ไม่กล่าวคำพูดที่ก่อให้เกิด การแบ่งแยก กระทบกระทั่งและเกลียดชัง ไม่วิพากษ์หรือประณาม ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จริง พูดแต่ความจริงท่ีสร้างสรรค์ พูดอย่างมีสติ - สุดท้ายท่ีควรเล่ียงอย่างยิ่งคือ การเข้าไปสู่วังวนอันจะ ทำให้หลงระเริงจนเสียคน เช่น การพนัน เที่ยวกลางคืน เหล้า เบียร์ บุหร่ี รวมท้ังยาเสพติดทุกประเภท ถ้าเราสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ได้ แสดงว่าได้แสดง ความรักตนเองอย่างแท้จริง น่ีคือการดูแลตนเองให้อยู่อย่างปกติ เป็นธรรมชาติ กิริยาก็ดู สุภาพ การกระทำก็น่าไว้ใจ คำพูดก็น่าเช่ือถือ คนรอบข้างก็รู้สึก เป็นสุขท่ีได้คบค้าสมาคมกับเรา ตัวเราก็เป็นสุขท่ีได้เป็นตัวของเรา ๓. อ่อนน้อมถ่อมตน และเปิดใจให้กว้าง รับฟังความ เห็นของผู้อ่ืน ความมีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น เป็น เอกลักษณ์อันงดงามของชาวเอเชีย ตัวอย่างเช่น อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ ผู้เรียบเรียงพระไตร ปิฎกฉบับประชาชน ท่านเป็นผู้ทรงความรู้สูง เป็นอาจารย์ท่ีมีลูก ศิษย์มากมาย แต่ท่านไม่เคยอวดอ้างว่าตนเองเก่งกว่าผู้ใด ในเวลา ท่ีมาทำงานสอน เดินผ่านใครไม่ว่าจะแก่อาวุโสกว่าหรืออ่อนกว่า ท่านจะยกมือไหว้ก่อนทั้งนั้น เป็นการแสดงความเคารพผู้อ่ืนโดยไม่
225 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เลือกเรา-เขา ในขณะที่เวลาพูด ท่านไม่เคยพูดจากระทบกระท่ังเสียดสีใคร เลย จนได้รับยกย่องให้เป็นคนไทยตัวอย่าง ประจำปี ๒๕๓๘ การแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น ต้องแสดงออก จากใจจริง ไม่เสแสร้งเพ่ือให้เป็นเพียงมารยาทสังคม หรือต้องการ ประจบเอาใจใคร พูดถ่อมตนอย่างจริงใจ ยกมือไหว้ผู้อ่ืนอย่างจริงใจ แย้มยิ้ม พูดจาสุภาพอย่างจริงใจ รับฟังอย่างจริงใจ หากมีข้อโต้แย้งซ่ึง จำเป็นต้องช้ีแจงให้ถูกต้อง ก็ชี้แจงเหตุผลอย่างสุภาพ หลีกเลี่ยง ถ้อยคำที่แสดงความดูหมิ่นความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง จงทำตัวเหมือนต้นข้าวที่ยิ่งสุกงอมเท่าไหร่ ก็ย่ิงค้อมรวงลง บอกกับตนเองเสมอว่า คนท่ีคุยกับเราต้องได้รับความรู้สึก สบายใจและประทับใจ ไม่เกิดความบาดหมางขัดข้องใจเป็นอันขาด ๔. สร้างความเข้าใจ เห็นใจ และมอบความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์ รวมท้ังเพื่อนร่วมโลกใบน้ี ในชีวิตประจำวันของเรา ต้องพบปะคนอยู่ตลอดเวลา บาง ครั้งมีชอบใจกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง คนโน้นทำไม่ได้ด่ังใจ คนน้ี ทำไมต้องทำอย่างน้ี เราอาจลืมไปว่า จะให้คนอ่ืนเป็นอย่างที่เราต้องการทั้งหมด นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่เรา และเราก็ไม่ใช่เขา จงยอมรับในความเป็นผู้อ่ืน เข้าใจธรรมชาติของผู้อื่น เข้าใจ สิ่งที่เขาทำ เห็นใจในสิ่งท่ีเขาคิด ฝึกมองผู้อ่ืนด้วยความปรารถนาดี
226 การไม่พอใจอะไรใครสักคน แล้วเอาเรื่อง ของคนอ่ืนมาบ่น ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น คนที่ได้ยินคง ไม่มีใครชื่นชมเราอย่างเด็ดขาด และเราเองก็สร้าง นิสัยพาลให้เกิดกับตนเองด้วย เร่ืองใดๆ ก็ตาม ถ้าไม่สามารถแก้ไขด้วยการ พูดคุยกันอย่างเปิดเผย ด้วยการยอมรับกันและกันได้ ก็จงให้อภัยเขาเถิด ให้อภัยแล้วส่งใจอวยพรให้เขามี สุขสมบูรณ์ แทนการประณามสาปแช่ง ซึ่งขัดต่อ ความดีอย่างส้ินเชิง ๕. ช่ืนชมการทำความดีของผู้อ่ืน ธรรมชาติของมนุษย์นั้นชอบจับผิด ดูหมิ่น และริษยาผู้อื่น ซึ่งแท้จริงไม่ก่อมรรคผลใดๆ ต่อ ตนเองแม้แต่น้อย เมื่อรู้สึกตัวว่าเกิดอารมณ์เหล่าน้ีขึ้น ไม่ว่า กรณีใด จงสลัดมันท้ิงให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะหากได้เห็นหรือรับรู้ว่าใครก็ตาม ทำความดี ทำเรื่องอันเป็นคุณค่าต่อตัวเขา สังคมหรือ ศีลธรรมประเพณี จงชื่นชมการกระทำน้ันด้วยความ จริงใจ อย่าลืมชักชวนตนเองและคนอื่นให้ทำอย่าง นั้นบ้าง เป็นการเอาอย่างคนที่เขาทำดี เป็นการทำดีสองต่อ
227 ๖. รู้จักเอ้ือเฟ้ือแบ่งปัน แบ่งปันด้วยความบริสุทธ์ิใจ หวัง ผลเพียงประการเดียวคือ ให้ผู้อื่นได้ความ สุขจากสิ่งท่ีให้ ไม่คาดหวังอะไรมากกว่านี้ ค ว า ม ดี ข้ อ นี้ ส า ม า ร ถ ท ำ ล า ย กำแพงสองด้านเลยทีเดียว กำแพงแรกคือ ทำลายความ ตระหน่ีและความโลภมากอยากได้ของ ตนเอง ท่ีเราตัดสินใจให้ หมายความว่า เกิดจิตอ่อนโยนปรารถนาดีต่อผู้อื่นแล้ว ไม่รู้สึกเสียดายหรือหวงแหน พร้อมท่ีจะ หยิบย่ืนความช่วยเหลือออกไป กำแพงที่สองคือ ทำลายกำแพง ของความไม่เป็นมิตร แม้แต่คนไม่รู้จักกัน ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการหยิบยื่นความเอ้ือเฟื้อ แบ่งปัน ไมตรีระหว่างกันก็จะเกิดข้ึนอย่าง แน่นอน พระพุทธองค์ก็ทรงรับรองไว้แล้ว ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับ ที่สำคัญ ควรฝึกเอ้ือเฟื้อแบ่งปัน ให้เป็นนิสัยธรรมชาติของเรา ไม่ทำด้วย เพราะมีจุดประสงค์เคลือบแฝง หรือคาด หวังอะไรในทางสนองผลกลับมาสู่ตัวเอง เช่น ให้ของขวัญเพ่ือหวังว่าเขาจะชอบพอ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 228 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เรา ช่วยเป็นธุระเร่ืองเงินเพ่ือเขาจะได้สำนึกบุญคุณ แล้วตอบแทน ตนเองในภายหลัง เพราะความจริงแล้ว นั่นไม่ใช่การทำความดีเพ่ือความดี เพราะเมื่อการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ก็เข้าใจผิดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ ดีบ้าง ตีโพยตีพายว่าทำคุณคนไม่ขึ้นบ้าง ๗. ฝึกตัดความกังวล ควบคุมความรู้สึก ในชีวิตประจำวันของคนเรา มีเรื่องราวมากมายให้ขบคิด กังวล หลายครั้งคิดจวนเป็นบ้า คิดจนปวดหัวนอนไม่หลับ เราอาจลืมไปว่าปัญหาทุกปัญหามีทางออก เพียงแต่ว่า ตัวผู้แก้น้ันต้องค่อยๆ มองหาทางออกอย่างสุขุมรอบคอบที่สุด มี จิตใจแจ่มใสที่สุด หากมีความวุ่นวายกังวลสารพัด ก็เหมือนกับท้องฟ้าท่ีเกิด พายุกระหน่ำ มีแต่ความมืดมน สับสน ก็หาทางออกลำบาก วางทุกอย่างไว้ สงบจิตใจด้วยวิธีการท่ีตนเองถนัด เช่น นับ หนึ่งถึงสิบ ถึงร้อย ถ้าเป็นชาวพุทธใช้วิธีสวดมนต์ ภาวนา เป็นต้น เพื่อตัดความกังวลรอบด้าน ปรับจิตใจให้โปร่งใส การสงบจิตใจ ทางหนึ่งก็เป็นการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ในด้านร้าย ทางหน่ึงก็เป็นการสำรวจตรวจสอบตนเองไปในตัว นั่นเอง ถ้าลองได้ทำเช่นน้ีอยู่บ่อยๆ จนเคยชิน จะทราบว่า ความสุข ที่แท้จริง ไม่ใช่อื่นใดไกลตัวเลย อยู่ท่ีใจเราน่ีเอง อยู่ที่ใจที่สุขเย็น น่ีเอง
229 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ๘. ช่วยเหลือผู้อ่ืนด้วยความเต็มใจ พบเห็นผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ลังเลท่ีจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือให้ ความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองเล็กๆ น้อยๆ จงอย่าลังเลที่จะ ขวนขวายช่วยเหลือ อย่าอายที่จะจูงคนแก่ข้ามถนน จงอย่าเฉยเมยที่จะให้ท่ีน่ัง กับคนชราหรือผู้หญิงบนรถเมล์ การช่วยเหลือน้ีแหละจะทำให้เราเป็นมิตรกับทุกคน เป็น ที่รักของทุกคน ๙. เพิ่มเติมความรู้ และรับฟังคำแนะนำดีๆ ของผู้อ่ืน ความฉลาดเฉลียวในทางสร้างสรรค์ จะเกิดแก่เราไม่ได้โดย เด็ดขาด ถ้าปราศจากการขวนขวายใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา องค์พระศาสดาจารย์สอนไว้ว่า การจุดประกายความเป็น เลิศทางปัญญาให้เกิดแก่ตนเองได้น้ัน มี ๔ วิธีต่อเนื่องกันคือ เรียนรู้ ขบคิดวิเคราะห์ หาความกระจ่างเพ่ิมเติมเม่ือเกิดสงสัยไม่เข้าใจ และบันทึกเอาไว้ เพ่ือเป็นประโยชน์ในการค้นคว้าของตนเอง หรือแม้กระท่ังคนรุ่นหลัง ความดีจะเกิดข้ึนก็ต่อเม่ือตนเอง ใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ สร้างสรรค์ต่อตัวเราเองและผู้อื่น การจบการศึกษาสูงมาจากเมือง นอกเมืองนา แต่กลับเอาความรู้มาสร้างความมั่งค่ังกับตนเองและ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 230 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ พรรคพวก หรือทำให้ตนเองกลายเป็นคนหัวหมอ เอารัดเอาเปรียบผู้ อื่นนั้น สู้ไม่เรียนจะเป็นความดีเสียหลายเท่านัก อีกประการ พระพุทธองค์สอนว่า ผู้ให้คำแนะนำน้ันเหมือนผู้ ช้ีขุมทรัพย์ จงอย่าปล่อยตัวเองไปไม่พอใจคนที่ให้คำแนะนำเด็ดขาด คนเขาถ้าไม่ปรารถนาดีต่อเราเสียแล้ว ไม่มีใครเปลืองเวลาเปลืองมัน สมองมาให้คำแนะนำใครเป็นอันขาด เมื่อมีข้อแนะนำจากใครก็ตาม จงเปิดใจรับฟังและขอบคุณ เขาอย่างจริงใจที่สุด แล้วเก็บงำเอาส่ิงท่ีดีๆ สิ่งท่ีเหมาะสมมาปรับใช้ จงอย่าเถียงหรือโต้แย้ง ไม่ว่าต่อหน้าหรือผ่านไปแล้ว ควรฝึกตนเอง เป็นผู้มีใจอ่อนโยน อ่อนโยนที่จะรับฟัง อ่อนโยนท่ีจะปรับปรุงตนเอง ถ้าการกระทำที่เราทำอยู่น้ัน ไม่จัดว่า “ดีพอ” ๑๐. ยินดีให้คำแนะนำผู้อ่ืนอย่างเต็มใจ ไม่มีใครเลยในโลกน้ี จะรู้ไปเสียทุกอย่าง และคงไม่มีทุก อย่างทุกเรื่อง ท่ีคนคนหนึ่งจะรู้ได้ครบถ้วน เมื่อมีคนถามหรือขอคำแนะนำจากเรา ถ้ารู้ก็แสดงน้ำใจ ด้วยการแนะนำเป็นลำดับให้เขาเข้าใจให้ครบถ้วน ไม่ควรปัดภาระ หม่ินว่าเขาโง่ กล่าวหาว่าเรื่องแค่น้ีก็ไม่รู้ จงเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า หากเราไม่รู้อย่างเขา เราก็คงถาม เช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าเราเองก็ไม่รู้ จงแสดงน้ำใจด้วยการแนะนำให้ถามคนที่รู้ ไม่ควรปัดความรับผิดชอบแบบไม่มีเยื่อใย เช่น ยิ้มแล้วบอกว่า ขอ โทษจริงๆ ดิฉันไม่ทราบเลยค่ะ ลองถาม........ดูดีไหมคะ หรือจะให้
231 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ดิฉันช่วยก็ยินดีนะคะ ในทางความดีระดับสูงข้ึน พระพุทธองค์สอนว่า... การแนะนำ ชักชวนผู้อ่ืนให้รู้จักความดี ให้ทำความดี ใน ขณะท่ีตนเองก็ปฏิบัติตนเองในแนวทางนั้นด้วย เป็นความดีอันสูงสุด ของชีวิต ในคร้ังพุทธกาล มีอุบาสกคนหนึ่งช่ือ ธรรมิกะ ช่ัวชีวิตทำ ความดีมิได้ขาด ก่อนสิ้นใจ พวกเทวดาจากเทวโลกท้ังหกช้ันตั้ง ขบวนรถแห่กันมาจากสวรรค์ท้ัง ๖ ชั้น เชื้อเชิญ ธรรมิกะให้ไปอยู่ใน ช้ันของตน อุบาสกเล่าให้ลูกหลานฟัง ก็พากันไม่เชื่อ แกเลยต้องพิสูจน์ ให้ดู สั่งให้เอาพวงมาลัยมา แล้วถามว่า พวกเจ้าคิดว่าสวรรค์ช้ันไหน ดี พอพวกลูกๆ หลานๆ บอกว่า ช้ันดาวดึงส์ แกก็สั่งให้โยนพวง มาลัยไปตรงจุดท่ีมีขบวนเทพช้ันดาวดึงส์ ปรากฏว่าพวงมาลัยน้ัน ห้อยอยู่ในอากาศอย่างอัศจรรย์ เพราะไปคล้องถูกงอนแอกของทิพยพาหนะพอดี เมื่อเห็นกับตาดังน้ี พวกลูกหลานจึงได้เชื่อ ขณะที่อุบาสกเอง ก็ส้ินใจไปปรากฏเป็นเทพบุตรอยู่ ณ ขบวนของดาวดึงส์เทพสวรรค์ ตามท่ีตนปรารถนา
จองพ้นื ท่ี ทางไปสวรรค์มีทางเดียว แต่การทำ สวรรค์ สรา้ งวิมาน ความดีมีหลายอย่าง เช่นเดียวกับ ไว้รอ พาหนะ มีให้เลือกหลายชนิด จะใช้ มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ หรือเครื่องบิน ก็เลือก ได้ท้ังส้ิน และน่ีก็เป็นธรรมท่ีทำให้สัตว์เกิด ในสวรรค์ อีกวิธีหน่ึงเช่นกัน เป็นหลักการ ที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้เช่นกัน คือ 1. ตนเองเป็นผู้เว้นขาดจากการ ฆ่าสัตว์ 2. ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ 3. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ 4. สรรเสริญการงดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ 5. ตนเองเป็นผู้เว้นขาดจากการ ลักขโมย
233 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . 6. ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการลักขโมย 7. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจากการลักขโมย 8. สรรเสริญการงดเว้นจากการลักขโมย 9. ตนเองเป็นผู้เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม 10. ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม 11. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม 12. สรรเสริญการงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม 13. ตนเองเป็นผู้เว้นขาดจากการพูดเท็จ 14. ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการพูดเท็จ 15. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจากการพูดเท็จ 16. สรรเสริญการงดเว้นจากการพูดเท็จ 17. ตนเองเป็นผู้เว้นจากการพูดส่อเสียด 18. ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการพูดส่อเสียด 19. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจากการพูดส่อเสียด 20. สรรเสริญการงดเว้นจากการพูดส่อเสียด 21. ตนเองเป็นผู้เว้นจากการพูดคำหยาบ 22. ชักชวนผู้อ่ืนให้งดเว้นจากการพูดคำหยาบ 23. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจากการพูดคำหยาบ 24. สรรเสริญการงดเว้นจากการพูดคำหยาบ 25. ตนเองเป็นผู้เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ 26. ชักชวนผู้อื่นให้งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 234 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ 27. เป็นผู้พอใจการงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ 28. สรรเสริญการงดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ 29. ตนเองเป็นผู้ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา (ทำให้เกิดอิจฉา) 30. ชักชวนผู้อ่ืนให้ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา 31. เป็นผู้พอใจความไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา 32. สรรเสริญความไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา 33. ตนเองเป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท 34. ชักชวนผู้อ่ืนให้มีจิตไม่พยาบาท 35. เป็นผู้พอใจความมีจิตไม่พยาบาท 36. สรรเสริญความมีจิตไม่พยาบาท 37. ตนเองเป็นผู้มีเหตุผล คิดเห็นในสิ่งท่ีถูกต้อง 38. ชักชวนผู้อ่ืนให้มีเหตุผล คิดเห็นในส่ิงท่ีถูกต้อง 39. เป็นผู้พอใจความมีเหตุผล คิดเห็นในส่ิงที่ถูกต้อง 40. สรรเสริญความมีเหตุผล คิดเห็นในส่ิงท่ีถูกต้อง พระองค์ตรัสว่า ถ้าปฏิบัติตาม ย่อมดำรงอยู่ในสวรรค์ เหมือนได้รับอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ทีเดียว ความดี ไม่มีแบ่งชาติแบ่งศาสนา ถ้าทำด้วยเจตนาบริสุทธ์ิ ก็ ไปสวรรค์ด้วยกันหมด
ทำชัว่ ไวม้ ากแตอ่ ยากไปเกดิ บนสวรรค์ ล้างบาปได้หรือไม่ ในข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่าง ชัดเจนว่า ส่ิงท่ีทำแล้วก็เป็นอันทำ ไม่ สามารถแก้ไขกลับกลายได้ แต่ก็สามารถ ผ่อนหนักเป็นเบาได้ อุปมาเหมือน มีแท้งค์น้ำขนาด ใหญ่ มีน้ำอยู่ก้นแท้งค์ แล้วมีคนเอาเกลือ ใส่ลงไปกำหนึ่ง น้ำที่อยู่ก้นแท้งค์นั้นก็เค็ม เป็นธรรมดา จากนั้นก็มีคนเปิดน้ำเข้าไป เร่ือยๆ จนกระทั่งน้ำเต็มแท้งค์ พอชิมดูก็ ไม่มีรสเกลือแล้ว แต่จะว่าไม่มีเกลือในน้ำ น้ันก็ไม่ใช่ เพียงแต่เกลือน้ันถูกเจือจางจน ไม่สามารถรู้รสได้แล้วเท่าน้ัน กรรมดี กรรมชั่วก็เช่นเดียวกัน หากทำกรรมช่ัวไว้ แต่เกิดสำนึกผิด ก็ขอให้ หม่ันทำกรรมดีทุกวิถีทาง ทำให้มาก เพื่อ ก ร ร ม ดี จ ะ ไ ด้ ห นุ น เ นื อ ง ต่ อ เ น่ื อ ง กั น จ น กระทั่งกรรมชั่วหาช่องจะสนองไม่ได้
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 236 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ หากทำดีทำช่ัวไว้ก้ำกึ่งกัน เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ต้อง วัดกันท่ีจิตก่อนจะสิ้นลมแล้วว่า จะถูกชักนำไปในลักษณะใด หากดิ้นรนหวาดกลัว จิตหม่นหมองตลอดเวลา ก็มีทางได้รับ ผลกรรมชั่วก่อน แต่ถ้าชักนำจิตใจให้เป็นสุขเบิกบานอ่ิมเอิบอยู่กับสิ่งดีๆ ก็ หวังได้ว่าจะได้เสวยความสุขก่อน ขณะจิตก่อนส้ินลม สำคัญต่อการกำหนดการเกิดในภพหน้า ขอยกคำของท่านปยุตฺโต ว่า “ระดับจิตของเราอยู่แค่ไหน เวลาตายโดยทั่วไปถ้าไม่ใช่ กรณียกเว้น มันก็อยู่ในระดับนั้นแหละ ส่วนในกรณียกเว้น ถ้าเวลา ตายนึกถึงอารมณ์ที่ดี เช่นทำกรรมชั่วมามาก แต่เวลาตายนึกถึงสิ่ง ที่ดี ก็ไปเกิดดีได้ ถ้าหากเวลาอยู่ ทำกรรมดี แต่เวลาตายเกิดจิต เศร้าหมอง ระดับจิตตกลงไป ก็ไปเกิดในที่ต่ำ” คนพอจะสิ้นลม ความดีความชั่วทุกอย่างที่เคยทำไว้ จะ ปรากฏข้ึนในจิตของผู้น้ัน ในลักษณะกึ่งฝัน หากทำดีไว้มาก ความดีก็ จะมาปรากฏให้เห็นเป็นฉากๆ หากทำชั่วก็เป็นในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น จะเห็นว่า เมื่อใครคนหนึ่ง มีหวังประการเดียวว่าจะ ตายแน่นอน ญาติๆ จะนิมนต์พระมาเทศน์ให้ฟัง หรือให้นึกถึงพระถึง เจ้าไว้ ให้คิดแต่เรื่องดีๆ อันเป็นกุศล เพ่ือต้องการให้ขณะจิตก่อน ตายของเขาเป็นกุศล เม่ือสิ้นใจจะได้ไปสู่ท่ีชอบ (สุคติ) ภาษาวิชาการ
237 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เรียกว่า มรณาสันนวิถี หมายถึง วิถีจิตขณะใกล้ตาย ในที่น้ีจะขออ้างเฉพาะด้านกุศลหรือด้านดี ซ่ึงมีลักษณะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ๑. ทำให้เจ้าตัวได้เห็นเรื่องดีๆ ท่ีเคยทำไว้อย่างชัดเจนเป็น ฉากๆ ยังผลให้เขามีจิตแช่มช่ืนเบิกบาน ไม่เกรงต่อความตายที่คืบ คลานเข้ามา เม่ือสิ้นใจ จิตสุดท้ายอันเบิกบานยินดีน้ัน ก็เป็นแรงส่ง เขาให้ไปเกิดในชั้นท่ีดี ไม่ไปสู่ทุคติฝ่ายลำบาก ๒. บางคนอาจเห็นสิ่งที่ตนเคยทำ เคยสร้างไว้ เช่น วิหาร ศาลา โบสถ์ โรงเรียน โรงพยาบาล ผ้าจีวร ธูป เทียน ดอกไม้ เป็นต้น ซ่ึงเป็นนิมิตที่ดี ให้เขาได้ยึดเหน่ียวเป็นอารมณ์ เมื่อตายไป ก็จะได้ ไปเกิดในช้ันที่ดี ตามกรรมดีท่ีทำ ๓. เห็นนิมิตอันบ่งบอกถึงภูมิท่ีตนเองจะไป เช่น เห็นเทพบุตร เทพธิดาแวดล้อมเต็มไปหมด เห็นวิมานสวยงาม เห็นมีขบวนแห่ อันอลังการมารับตนเอง ภาพเหล่านี้จะปรากฏในจิตของเขาอย่าง ชัดเจน ทำให้มีจิตใจแช่มช่ืนโสมนัส ส้ินลมด้วยรอยย้ิม หลังจากน้ัน ก็จะไปเกิดในสวรรค์ช้ันฟ้าตามแรงกรรม วิถีจิตก่อนสิ้นลมน้ี เร่ืองของพระนางมัลลิกา มเหสีของ พระเจ้าปัสเสนทิโกศล เป็นตัวอย่างท่ีน่าสนใจมาก... ช่ัวชีวิตของพระนางมัลลิกา ทำความดีมาโดยตลอด พระนางกอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาด ช่วยเหลือผู้อ่ืนไว้มากมาย ความดีของนางปรากฏเป็นที่ยกย่องสรรเสริญไปท่ัวแคว้นโกศล มคธ
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 238 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ และแคว้นอ่ืนๆ แต่มีอยู่คร้ังหน่ึง พระนางได้โกหกพระสวามีในเรื่อง เร้นลับส่วนตัวชนิดหนึ่ง กรรมท่ีไม่ดีของพระนางมีเพียง อย่างเดียวเท่าน้ัน คร้ันวาระสุดท้าย พระนางไม่คิดถึง ความดีที่ตนเองทำมาท้ังชีวิต แต่เฝ้าคิดถึงเร่ืองน้ีอยู่ตลอด ทำให้จิตหม่นหมอง เม่ือส้ินลมพระนางก็ไปเกิดในนรกอเวจี ได้รับความ ทุกข์ทรมานอยู่ ๗ วันมนุษย์ (ซ่ึงก็น้อยมาก เหมือนกับคน เอามือจุ่มลงในน้ำร้อนแล้วยกขึ้นทันที) ระหว่าง ๗ วันนี้ พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ผู้สวามี ทำบุญอุทิศเพื่อนาง แล้วตั้งใจว่า จะทูลถามพระพุทธเจ้าว่า นางไปเกิด ณ ภพไหน แต่พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ พระองค์ทราบผลในขณะน้ีของพระนาง จะทำให้พระเจ้าอยู่ หัวทรงเข้าใจผิด (พระเจ้าปัสเสนทิ เป็นคนไม่ค่อยฉลาด นัก) พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมที่น่าร่ืนเริง จนพระ ราชาทรงลืมถาม วันท่ี ๘ จึงทรงเปิดโอกาสให้ถาม และตรัสตอบว่า มหาบพิตร มัลลิกาเทวี ผู้เป็นที่รักยิ่งของพระองค์ ไปเสวย สุขรอพระองค์ ณ ชั้นดุสิตเมืองฟ้าแล้ว สร้างความปลาบปล้ืมแก่ท้าวเธออย่างที่สุด ถึงกับ ทรงสรวลแล้วว่า ถ้านางไม่ไปเกิดในดุสิตสวรรค์แล้วจะมี ใครไปเกิดอีกเล่า
239 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . อยากให้ญาติท่ีตายไปขึ้นสวรรค์ หรือพ้นจากความลำบาก แน่นอน เรื่องของกรรม เม่ือใครทำส่ิงใด ไว้ ผู้น้ันเองจะต้องเป็นผลรับผลของการกระทำน้ัน จะให้ผู้อ่ืนมารับแทนน้ัน เป็นไปไม่ได้ ไม่มีแพะ รับบาปเด็ดขาด เพราะแฟ้มบันทึกคดีบาปทั้งมวล ไม่ได้อยู่ที่แฟ้มของนายนิรยบาลเป็นหลัก แต่ถูก บันทึกไว้ที่ “จิต” ของผู้ทำเป็นหลัก โบราณว่า “ความลับไม่มีในโลก” ผู้ใดทำกรรมช่ัวไว้มากมาย ครั้นละโลกน้ี ไปแล้ว ก็ต้องตกไปสู่ที่ลำบากอย่างแน่นอน อาจ ทุรนทุรายอยู่ในนรก หรือเป็นเปรตหิวโหยในท่ีใดท่ี หนึ่งก็เป็นได้ และเกิดว่า คนน้ันเป็นญาติหรือผู้เป็นที่รัก ของเราล่ะ จะมีทางช่วยเขาอย่างไร? ทางช่วยน้ันมีแน่นอน คือ ทางแรก ทุกคนรู้วันเกิดของตนเอง แต่ไม่ สามารถรู้ได้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปวันไหน ทางที่ดี ก็คือระมัดระวังตนเองไม่ให้ทำสิ่งอันเป็นความผิด บาป และเตือนตนเองให้ทำแต่ความดีมีคุณแก่ตน แก่คนอื่นให้มาก
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 240 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ สำหรับคนอ่ืนก็ปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน คือแนะนำให้เขา ไม่ทำส่ิงผิดบาป ดึงเขาออกจากอบายมุข แหล่งมั่วสุมต่างๆ ชักนำ เขาให้ทำแต่ส่ิงดีๆ ทำบุญรักษาศีลในโอกาสอันควร สรุปง่ายๆ คือ ทำดีเสียแต่วันน้ี เพ่ือชีวิตในวันหน้าจะได้ดี เมื่อมีอันต้องจากโลกนี้ไป ก็เบาใจได้ว่า ตนเองไม่ต้องตกไปสู่ที่ต่ำ อย่างแน่นอน ภาษาชาวบ้านเรียกว่า นอนตายตาหลับ ทางท่ีสอง เมื่อไม่มีโอกาสจะช่วยเหลือเขาตามข้อแรก มาทราบเร่ืองก็ต่อเมื่อ บุคคลน้ันๆ ไม่สามารถมีลมหายใจยืนยาวอยู่ ในโลกน้ีอีกแล้ว ตามธรรมเนียมปฏิบัติของไทย ญาติๆ จะคอยกระซิบให้เขา นึกถึงแต่เรื่องดีๆ นึกถึงพระถึงเจ้า หรือไม่ก็นิมนต์พระมาเทศน์หรือ สวดมนต์ให้ฟัง เพ่ือน้อมนำจิตใจของเขาให้นึกถึงความดีมีจิตเป็นปีติ ต่อไปนี้คือข้อปฏิบัติกับผู้ท่ีจะสิ้นใจ ๑. อยู่เคียงข้างเขา ชวนคุย สัมผัส เพื่อให้ความอุ่นใจว่า เขา ไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับความหวาดกลัวเพียงลำพัง ๒. ควรให้เขารู้ว่าตนเองจะต้องจากไป แต่อย่าบอกอย่าง กะทันหัน ค่อยๆ ให้เขาเข้าใจได้เอง และพยายามแสดงออกว่าเรา เข้าใจเขา ปลอบประโลมให้เขาคลายจากความกังวลทุรนทุราย ๓. ช่วยคลี่คลายเร่ืองที่ค่ังค้างอยู่ในใจเขา รับปากว่าจะช่วย สะสางภาระธุระท่ีค้างอยู่ให้ลุล่วง ชวนให้เขาทำจิตใจให้สบาย แผ่ เมตตา ขอโทษและยกให้ ๔. บอกให้เขาทราบว่า น่ีเป็นวาระอันสำคัญต่อชีวิตในวัน
241 ข้างหน้าของเขา และเป็นโอกาสอันดีท่ีจะได้ทำ สิ่งท่ีดีๆ อย่างเต็มที่ เอ่ยถึงความดีทุกอย่างท่ี เขาเคยทำมาในชีวิต ให้เขาเกิดความปลาบ- ปลื้มปีติต่อความดีที่เคยทำ ให้เขาสวดมนต์ หรือฟังสวดมนต์ หรือนิมนต์พระมาทำบุญแล้ว สัมผัส กระซิบบอกว่า เรามาทำบุญกันนะ เธอ เป็นเจ้าของบุญน้ี ตั้งใจทำบุญนะ สิ่งที่เธอทำนี้ จะทำให้เธอสบาย ๕. ผู้เฝ้าดูอาการ ควรอยู่ในความสงบ ระวังคำพูดให้ดี ไม่ควรทะเลาะหรือทำเสียง เอะอะ แสดงความเศร้าโศก เพราะจะไปกวน จิตของเขาให้ขุ่น เมื่อทำเช่นน้ีได้ วาระสุดท้ายบุคคลผู้ เป็นที่รักก็จะมีความเบาใจ จากไปอย่างสงบ จิตซึ่งถูกปรุงแต่งในทางท่ีดี (เป็นกุศล) ก็จะไปสู่ ทางสูงคือสุคติ ในธรรมบทมีเรื่องเล่าว่า โจรคนหน่ึง หลังจากเลิกเป็นโจรก็ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ตลอดชีวิตไม่เคยทำความดีอะไรไว้เลย คร้ันวัน ท่ีเขาจะตาย พระสารีบุตร สาวกฝ่ายขวา ของ พระพุทธเจ้า ออกจากนิโรธสมาบัติ พิจารณา เห็นอดีตโจรผู้น้ี ก็เกิดความเมตตา จึงไปโปรด เขาท่ีบ้าน ชี้ให้เขาเห็นถึงความดีความช่ัว
242 ชักชวนเขาทำดีให้ทาน ปราวารณาตัวเป็น อุบาสก สมาทานศีล ชักนำจิตใจของเขาให้เกิด ปีตีในความดี ครั้นเขาส้ินใจ ก็ได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้น ดุสิต เสวยกรรมดีท่ีเพ่ิงทำน้ันก่อน (เมื่อ หมดบุญเม่ือใด เขาก็ต้องไปรับกรรมในนรกต่อ) ทางสุดท้าย เมื่อเขาละโลกนี้ไปแล้ว ก็ทำบุญอุทิศให้ หรือคำเฉพาะเรียกว่า “บุพพ เปตพลี” ทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงไปแล้ว วิธีน้ี เป็นการช่วยส่งเสริมให้ผู้จากไปสู่ โลกอื่น ได้รับความสุขเพ่ิมขึ้น แต่ถ้าทางที่หนึ่งก็ไม่ได้ช่วย ทางท่ีสอง ก็ไม่ได้แลเหลียว มารำลึกถึงเอาเม่ือตอนเขา ตายจากไปแล้ว ก็เหมือนจะเป็นแก้ช่วยเหลือ กันที่ปลายเหตุ ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้ผลเท่าไรนัก โดยเฉพาะกับลูกที่สำนึกในรักและบุญ คุณของพ่อแม่ยามท่านจากไป มาทำบุญอุทิศ ให้ท่านเอาตอนไม่มีท่านอยู่แล้ว ในยามท่ีพ่อ แม่มีชีวิตอยู่ ไม่ยอมทำดีเพ่ือท่าน ไม่ยอม ชักชวนท่านทำดี เป็นเร่ืองไม่สมควร การทำบุญอุทิศให้ผู้ตายน้ัน ใช่ว่าจะได้ รับเสมอไป ข้อนี้พระพุทธองค์ให้ความกระจ่าง
243 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ไว้ในชาณุสโสณิสูตร ทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย ว่า มีพราหมณ์คนหนึ่งช่ือ ชาณุสโสณี เข้าไปทูลถาม พระพุทธเจ้าว่า คนทำบุญแล้วอุทิศให้พวกญาติสาโลหิต พวกเขาจะ ได้รับหรือไม่ พระองค์ตอบว่า “บางท่ีก็ได้ บางที่ก็ไม่ได้ คนบางคนท่ีไปตกนรก เขาย่อมมีอาหารของเขา (คือกรรม) พวกเขาย่อมไม่ได้รับบุญท่ีอุทิศให้ คนบางคนที่ไปกำเนิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ดิรัจฉานก็มีอาหารของ ดิรัจฉาน บุญที่อุทิศให้เขาย่อมไม่ได้รับ คนบางคนที่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาย่อมมีอาหารของเขา บุญ ท่ีอุทิศให้เขาย่อมไม่ได้รับ คนบางคนที่ไปเกิดเป็นเทวดา เขาก็มีอาหารของเทวดา บุญ ที่อุทิศให้เขาย่อมไม่ได้รับ คนบางคนท่ีไปเกิดเป็นเปรต เปรตก็มีอาหารของเปรต อีกท้ัง เมื่อมิตรหรือญาติสาโลหิตของเขา อุทิศส่วนบุญใดให้จากโลกน้ี เขา ย่อมดำรงชีวิตอยู่ด้วยส่วนบุญนั้น พราหมณ์ นี้คือภพท่ีจะได้รับส่วนบุญท่ีอุทิศให้” ทีนั้นพราหมณ์ก็ถามต่อว่า “ถ้าญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่อยู่ ในที่ท่ีจะรับส่วนบุญได้ ส่วนบุญนั้นจะตกไปท่ีใคร” พระองค์ตอบว่า “ผลบุญน้ันก็กลับคืนมาสู่ผู้อุทิศให้นั่นเอง” การอุทิศส่วนบุญนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติเพียงอย่างเดียว
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 244 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ จะอุทิศให้ใครก็ได้ คำว่า อุทิศ แปลว่า “เจาะจง” จะเจาะจงไปให้ใครก็ได้ท้ังส้ิน หากผู้ที่เราเจาะจงไปน้ัน อยู่ในภพท่ี “พร้อมจะรับ” ผลบุญ จากเรา เขาก็จะได้รับ อย่างเช่น วันดีคืนร้ายเกิดฝันหรือเห็นพวกอทิสมานกาย มา ปรากฏให้เห็นด้วยอาการอย่างใดอย่างหน่ึง ทำให้เราเกิดไม่สบายใจ ทำบุญอุทิศให้พวกเขา แน่นอนว่า พวกเขาได้รับแน่นอน คร้ันได้รับแล้ว จะพ้นจากทุกข์หรือไม่ มีคำกล่าวไว้ในคัมภีร์ มงคลทีปนีว่า “กรรมท่ีคนหนึ่งทำแล้ว จะไปให้ผลกับอีกคนหนึ่งก็ หาไม่ แต่สิ่งท่ีเขาอุทิศให้ ย่อมไปถึงคนอื่นได้” ตัวอย่างชัดเจนท่ีสุด คือเร่ืองญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ญาติของพระเจ้าพิมพิสาร ได้รับความทุกข์ทรมานในภาวะ เปรตมาเป็นเวลานับกัปกัลป์ รอญาติในโลกมนุษย์ที่จะอุทิศส่วนบุญ ให้นั้นก็ไม่มี จนกระท่ังพระเจ้าพิมพิสารมาเกิดในโลกมนุษย์ ก็ได้ โอกาสมาปรากฏตัวให้เห็น พระเจ้าพิมพิสารครั้นเห็นสารรูปอันทุเรศทุรังน่าเวทนาของ พวกเปรตน้ันในตอนกลางคืน ก็นำความนี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไขความว่า น่ันคือเปรตญาติของพระองค์ เฝ้ารอให้ พระองค์อุทิศส่วนบุญให้มาเป็นเวลานานแล้ว คร้ันแล้ว ท้าวเธอก็จัดการทำบุญอย่างใหญ่โตมโหฬาร อุทิศ ส่วนบุญให้อย่างล้นหลาม ทั้งข้าว น้ำ เสื้อผ้า ท่ีอยู่อาศัย ก็ปรากฏว่า เปรตพวกน้ันได้รับทุกอย่างท่ีอุทิศให้ มีกายอันสมบูรณ์ ปราศจาก
245 ความหิวโหยอีก ได้มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด กาย ได้ท่ีอยู่อาศัย ไม่ต้องเร่ร่อนหาส่วน บุญเหมือนแต่ก่อน แต่กระน้ัน ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะพ้นจากกรรมน้ัน ยังคงต้องเป็น เปรตต่อไป เพียงไม่ต้องทุกข์ทรมาน เหมือนแต่ก่อนเท่าน้ัน ต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่า การให้ทาน เพื่ออุทิศผลให้กับผู้ตาย ต้องเลือกผู้รับทาน ด้วย ขนาดปลูกข้าว ก็ยังต้องเลือกดินดี น้ำดี หาไม่แล้ว ผลบุญน้ันจะส่งไปไม่ถึงผู้ ญาติหรือคนท่ีเรารัก มีเรื่องเล่าว่า นายพรานคนหน่ึง ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย ทำกับผู้รับท่ีไร้ศีลเสีย สามครั้ง กับผู้มีศีลครั้งหน่ึง ผู้ตายที่ไปเกิด เป็นเปรตได้รับเพียงคร้ังเดียว สามคร้ังแรก ไม่ได้รับเลย พวกเขาถึงกับร่ำร้องว่า ปฏิคาหกทุศีลปล้นเราแล้ว สำหรับผู้รู้แบบรู้มาบ้าง อาจมีข้อ สงสัยต่อไปว่า แล้วกับคำท่ีว่า เทวตาพลี การทำบุญอุทิศให้เทวดาเล่า ถ้าบอกว่า
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 246 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เทวดาไม่ได้รับ แล้วทำไมจึงมีธรรมข้อน้ีมา การอุทิศส่วนบุญน้ัน อุทิศให้ได้หมด แต่ผู้ท่ีได้รับชัดคือพวก เปรตอย่างแน่นอน (ปรทัตตูปชีวิกเปรต) สัตว์ในภพอ่ืนที่ว่ารับน้ันเป็น ความเข้าใจคลาดเคล่ือนเล็กน้อย คือ เม่ือเราอุทิศให้ เขาก็ทำการ อนุโมทนาจากเรา เห็นดีเห็นงามจากการกระทำน้ันของเรา เขาก็ได้ บุญของเขา บุญตัวนั้นคือ บุญที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญของเขา เอง ไม่ใช่บุญที่เราอุทิศให้แต่ประการใด พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิด จากร่วมยินดีกับการทำบุญของผู้อื่น การอุทิศให้เป็นการแสดงความเอ้ือเฟ้ือโดยอาการเท่านั้น เพ่ือให้เกิดจิตอ่อนโยนเก้ือกูลกันเท่านั้น ข้อนี้ รวมท้ังมนุษย์ด้วยกันด้วย
“กิจท่ีควรทำทั้งมวล เป็นหน้าท่ีของพวกท่าน จะต้องขวนขวายเอง เราตถาคต เป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่าน้ัน”
. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . บรรณานุกรม ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ชาญ พิญญู. แผนท่ีความดี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บ้านหนังสือ โกสินทร์, ๒๕๔๙. ฐิตวณฺโณ ภิกขุ. ตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร. กรุงเทพฯ : มหามกุฏ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘. ดนัย ไชยโชธา, รองศาสตราจารย์. พจนานุกรมพุทธศาสน์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๓. พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาส ญาณวโร ป.ธ.๙). ภูมิวิลาสินี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า, ๒๕๔๕. พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาส ญาณวโร ป.ธ.๙). โลกทีปนี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ดอกหญ้า, ๒๕๓๕. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ ประมวลศัพท์. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ ประมวลธรรม. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓. พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ (วันจันทร์). นรกและสวรรค์ ใน พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๔.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258