Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวรรค์ มนุษย์ ความดี สุคติภูมิ

สวรรค์ มนุษย์ ความดี สุคติภูมิ

Published by Dhammanava, 2021-02-07 05:13:08

Description: เรื่องราวของสวรรค์ชั้นต่างๆที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

49 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ถึงถูกผิดไม่ได้เด็ดขาด ต้องมีฝ่ายหน่ึงที่ตั้งสติแล้วระงับความรู้สึกทั้งมวลเอาไว้ ยอม อ่อน ยอมขอโทษ ยอมรับทุกส่ิงทุกอย่างไว้ก่อน เมอื่ มสี ตสิ มบรู ณแ์ ลว้ ความจรงิ จะปรากฏเอง แลว้ คอ่ ยคยุ กนั ดว้ ยเหตผุ ล อย่าลืมว่า ความรักคือการเสียสละ ยิ่งเป็นผู้เสียสละกัน ทั้ง ๒ ฝ่าย ชีวิตรักของคู่น้ัน ก็รับรองความราบร่ืนได้ ๔. มีปัญญาและพูดกันรู้เร่ือง (สมปัญญา) ปัญญา แปล ว่า ความรู้ แต่ไม่ได้หมายถึงคุณวุฒิทางด้านการศึกษาตาม ประกาศนียบัตร หากหมายถึงความเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่เอาแต่ใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักกาลเทศะ รู้จักผ่อนหนักเบา ความรู้ข้อนี้นำ ไปสู่การครองชีวิตคู่ท่ีสมบูรณ์ การมีปัญญาและพูดกันด้วยเหตุผลรู้เร่ือง เป็น “หัวใจ” ของ การใช้ชีวิตคู่เลยทีเดียว หากขาดข้อน้ีเพียงข้อเดียวเท่าน้ัน อีก ๓ ข้อท่ี เหลือก็ไปไม่รอด ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่า สวรรค์ชีวิตคู่จะรอดหรือล่ม? สวรรค์ในที่ทำงาน คนปัจจุบัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานเป็นพนักงานหรือลูกจ้าง ต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน บ้านกลายเป็นที่หลับนอน เติมแรง จากน้ันก็ออกไปสู้งานต่อ ท่ีทำงานจึงเป็นเหมือนบ้านหลังที่ ๒ (หรืออาจเป็นหลังที่ ๑ เสียด้วยซ้ำ) เป็นบ้านซึ่งมีคนมากหน้าหลายตามารวมกันอยู่ มาก

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 50 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ บ้างน้อยบ้าง ตามแต่องค์กรจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าเจ้านายและพนักงานทำตัวเป็นเทวดา ที่ทำงานจะเป็น สวรรค์ข้ึนมาได้ เจ้านาย หัวหน้างาน ซ่ึงเป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวนั้น พระพุทธองค์วางแนวทางการทำตัวเป็นเทวดาไว้ ดังน้ี ๑. มอบตำแหน่งหน้าที่ให้ตามกำลังความสามารถ ๒. ช่ืนชมและเลื่อนตำแหน่งหรือเพิ่มเงินเดือนตามสมควร ๓. มีสวัสดิการให้ยามป่วยไข้ ๔. ดูแลเอาใจใส่การอยู่การกินของพนักงาน แสดงน้ำใจด้วย การหาของฝากติดมือเข้าท่ีทำงานเสมอ ๕. ให้หยุดงานหรือลาได้ตามเหมาะสม เจ้านายเช่นน้ี เช่ือได้ว่าจะเป็นที่รักของพนักงานใต้บังคับ บัญชาอย่างแน่นอน แต่เจ้านายเป็นเทวดาอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าอยู่ในแวดล้อมของเสือ สิงห์กระทิงแรด ก็ดูจะคล้ายเป็น “เทวดาตกสวรรค์” มาเกลือกกลั้ว กับโคลนตม พนักงานหรือลูกจ้างเอง จึงต้องทำตัวเป็นเทวดา เพ่ือ ทำให้ท่ีทำงานเป็นสวรรค์สมบูรณ์แบบเช่นกัน มีเคล็ดดังนี้ ๑. เข้าทำงานตรงเวลา ๒. เลิกงานตรงเวลา ๓. ไม่เห็นแก่ได้ ไม่กินนอกกินใน

51 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ๔. พัฒนาศักยภาพการทำงาน ของตนเองและมีการตื่นตัว ตลอดเวลา ๕. นำความดีของนายไปบอกเล่า สวรรค์ในสถานศึกษา น่าเห็นใจว่า ชีวิตของคนปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านเสียเป็นส่วนมาก นับ แต่เด็กจนกระท่ังวัยทำงาน และอาจเร่ือย ไปจนถึงวัยท่ีต้องอยู่บ้าน เลี้ยงหลาน ถึง ได้มีเวลาอยู่กับบ้านอย่างเต็มเม็ดเต็ม หน่วย โรงเรียนเป็นสถานที่แรกท่ีเด็ก เข้าไปใช้ชีวิตในปฐมวัย เป็นบ้านหลังท่ี ๒ ของพวกเขา ในขณะท่ีครูก็เป็นเสมือนพ่อ แม่คนท่ี ๒ ของพวกเขาเช่นกัน สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ครู เพื่อน ล้วนแล้วแต่มีส่วนขัดเกลาและบ่มเพาะ พฤติกรรมของเด็กท้ังส้ิน เด็กท่ีพ่อแม่ไม่มี เวลาให้ความรักความเอาใจใส่มากนัก (ซึ่งเป็นส่วนมากของคนเมือง) โรงเรียนคือ ที่เดียวเท่าน้ันท่ีมีส่วนช้ีนำความคิดและ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 52 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ พฤติกรรมของเด็ก โรงเรียนถ้ามีผู้บริหารดี มีครูดีมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้ากว้างไกล เป็นผู้มีคุณธรรมเป็นเทวดา โรงเรียนแห่งนั้นก็เปรียบเสมือนสวรรค์อีก แห่งหนึ่ง เด็กที่เข้าไปเรียนได้รับความสุข พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ย่อมสบายใจได้ว่า นำลูกหลานของตนเองไปฝากไว้กับบุคคล ผสู้ ามารถจะชว่ ยอบรมบม่ เพาะใหเ้ ดก็ เปน็ คนดี มอี นาคต โรงเรียนจะเป็นสวรรค์ได้หรือไม่ จึงอยู่ที่ครูเป็นสำคัญ พระพุทธศาสนาสอนว่า ครูจะเป็นเทวดาได้ก็เพราะ ๑. ปฏิบัติตัวเป็นที่รัก และเป็นตัวอย่างของนักเรียน รวมทั้ง เพ่ือนครูและผู้ปกครอง เป็นที่ไว้วางใจได้ในทุกด้าน ๒. มีใจหนักแน่น มีเหตุผล ไม่ใจเบา ใจง่าย ด่วนตัดสินใจ หรือกระท่ังต้อนรับพฤติกรรมและอารมณ์ของคนรอบข้างได้อย่าง เยือกเย็น ๓. มีจิตใจอ่อนโยน พูดจาสุภาพ ไม่แข็งกระด้าง ไม่ถือดี อวดดีมีทิฐิมานะ ยอมรับฟังความคิดเห็นของเด็กนักเรียน เพ่ือนครู หรือผู้ปกครอง ๔. อดทนต่ออุปสรรคทุกด้าน ไม่ว่าการถูกต่อว่าอย่างไม่ ถนอมน้ำใจของผู้ปกครองนักเรียนบางคน เพ่ือนครูบางคน ๕. มีระเบียบวินัย ไม่ทำตามใจตนเอง ด้วยคิดว่าเป็นเสรีภาพ ส่วนตัว เพราะเม่ือตกลงใจมาเป็นครู ทุกส่ิงที่ ทำ พูด คิด ล้วนแต่ เป็น “แม่แบบ” ให้กับเด็กทั้งส้ิน

คน... ไมใ่ ช่ ...คน คน เปน็ สตั วท์ จี่ ดั อยใู่ นภพสคุ ติ เรยี ก ว่า “มนุษยภูมิ” คำว่ามนุษย์ แปลว่า ผมู้ ใี จสงู (“มน” แปลวา่ ใจ, “อษุ ย” แปลวา่ สงู ) เหตุที่เรียกดังน้ีก็เพราะจิตเดิมของ คนนั้น ผ่องใส แต่ด้วยความท่ีถูกกิเลส ครอบงำ จึงทำให้มีเปล่ียนแปลงไปต่างๆ คนจึงมีหลายประเภท พระพุทธ- ศาสนาท่านจัดคนไว้ ดังน้ี ๑. คนนรก คนประเภทน้ีเกิดมา หาแต่เร่ืองเดือดร้อนใส่ตัว ทำแต่เร่ืองช่ัว ร้ายผิดกฏหมายเป็นสันดาน ต้องไปอยู่ใน คุกตะราง บ้างได้รับความทุกข์ทรมาน ต่างๆ เพราะการกระทำไม่ดีของตนเอง ๒. คนเปรต คนประเภทน้ี ต้องใช้ ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก เส้ือผ้าจะนุ่งห่ม บ้านจะให้ซุกหัวก็ไม่มี อาหารการกินกว่า จะได้มาก็ยากเย็นแสนเข็ญ บางคนต้องหา

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 54 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ เก็บกินในถังขยะ ทำอะไรก็ไม่ได้รับความ สะดวก บางคนเกิดในท่ีแร้นแค้นแสน สาหัส นั่นเพราะกรรมเก่าของพวกเขาท้ังสิ้น ๓. คนดิรัจฉาน บางคนเกิดมา ทำตัวไม่ต่างจากสัตว์ดิรัจฉาน มีความ กักขฬะหยาบกระด้างเป็นพื้นนิสัย ทำตาม สันดานดิบแบบสัตว์ จิตใจเต็มไปด้วยโมห จริต ไม่คิดถึงบาปบุญคุณโทษ ลบหลู่ครู อาจารย์ ด่าพ่อตีแม่ รังแกชาวบ้าน ทำตัว ให้เป็นที่เกลียดชังของคนท่ัวไป ๔. คนจริงๆ รู้จักแยกแยะบาป บุญคุณโทษ ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ เว้น ช่ัวกลัวความผิด ทำแต่ส่ิงดี มีศีลธรรม จรรยาอันดี และไม่ประมาทต่อการดำเนินชีวิต

มาเป็น เทวดา กันเถอะ ความดี คือรากฐานของชีวิต ชีวิตที่ ปราศจากความดี ย่อมปราศจากคุณค่า ไม่น่ายกย่อง สังคมท่ีปราศจากคนดี มีแต่จะ โกลาหลวุ่นวายเท่าน้ัน ความดีน้ัน ต้องเริ่มต้นท่ีภายใน คือ ใจ เป็นสำคัญ จึงเป็นที่มาของคำว่า “มโนธรรม” ชีวิตที่ปราศจากมโนธรรม ย่อมไม่ต่างกับเจดีย์ท่ีรากฐานไม่มั่นคง มี โอกาสพังทลายลงได้ทุกเมื่อ คนจึงจำต้อง มีหลักธรรมประคองใจ ท่ีเราเรียกว่า มโนธรรม มโนธรรม หมายถึงความสำนึกดี และความสำนึกดีคือ “ธรรมแท้” หากทุก ศาสนา ปราศจากมโนธรรมสำนึกเสียแล้ว มนุษย์ก็ไม่ต่างจากสัตว์ดิรัจฉาน บ่อเกิดแห่งมโนธรรมอันถือว่าเป็น รากฐานของคนทุกสังคม คือ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 56 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ๑. ละอายช่ัว กลัวบาป คุณธรรมข้อนี้จะเกิดได้ ก็ต่อเม่ือคนรู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร มิใช่เพียงรู้ถูกกับผิดเท่าน้ัน ในชีวิตจริงของคนเรา มีเหตุการณ์ไม่น้อยที่พิจารณาแล้วเห็น ว่าไม่ผิด แต่ทว่าไม่ควรทำ ไม่ควรคิด ไม่ควรพูด มนุษย์ที่มีความ ละอายใจย่อมระลึกได้ถึงความละเอียดอ่อนในข้อนี้ ความละอาย ความชั่วกลัวบาปจึงจะเกิดขึ้น ลำพังรู้ถูกกับผิดเท่าน้ัน อาจยังไม่เข้า ถึงเน้ือแท้ของมโนธรรม ๒. กตัญญูกตเวที รู้บุญคุณและตอบแทนคุณคน ความกตัญญูกตเวทีเป็นสัญลักษณ์ของคนดี โลกท้ังโลกหาก ปราศจากคนกตัญญูกตเวที ไม่แน่ว่าจะเป็นโลกท่ีน่ารังเกียจท่ีสุด ความดีคือความถูกต้อง และคนดีคือคนท่ีทำหน้าที่อย่าง ถูกต้อง การตอบแทนบุญคุณ เป็นมโนธรรมอย่างหน่ึง คนเราเม่ือมี โอกาสสมควรกระทำ ลูกสมควรแทนคุณพ่อแม่ ศิษย์สมควรแทนคุณครู ประชาชน สมควรแทนคุณแผ่นดิน ศาสนิกชนสมควรแทนคุณศาสนา เป็นพนักงานควรแสดงกตเวทีต่อองค์กร หรือหน่วยงานของ ตน ทุ่มเท เสียสละ ไม่คิดเก่ียงงอนหนีงาน มองเห็นการเสียสละ การ ทดแทนคุณเป็นความสุข “สุขที่ได้ให้” ผู้รู้จักบุญคุณและหาทางแทนคุณคน ไปอยู่ที่ใดพระพุทธองค์ ทรงรบั รองไวว้ า่ ไมม่ ที างตกสทู่ ตี่ ำ่ อยา่ งแนน่ อน

57 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ๓. รักชาติ รักแผ่นดิน จะหาความภูมิใจไม่ได้เลย หากชาติและแผ่นดินตกเป็นเมือง ขึ้นของชาติอ่ืน เม่ือเกิดบนแผ่นดินที่มีเอกราชเป็นของตนเอง สมควรนึกถึง คุณของบรรพชนผู้กอบกู้แผ่นดินน้ี เพราะมีแผ่นดินเราจึงมีชีวิตสงบ ร่มเย็น ผู้รักชาตริ ักแผน่ ดิน จึงควรทำหน้าท่ขี องประชาชนท่ดี ี ช่วยกัน ปกป้องเอกราชของชาติ สรา้ งความสงบสามคั คีให้เกิดข้ึนในแผน่ ดนิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ต้องสามัคคีช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน เก้ือหนุนซึ่งกันและกัน มีความเข้าใจซ่ึงกันและกันโดยแท้จริง จึงจะทำให้บ้านเมืองของเรา อยู่ได้…” “…ขอให้ทำหน้าที่ อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัลหรือผล ประโยชน์ให้มาก…” “…ขอให้ยึดม่ันในชาติบ้านเมืองและในประโยชน์ร่วมกัน ของประเทศชาติ ให้ย่ิงกว่าประโยชน์อ่ืนใด…” ๔. มีศาสนาเป็นหลักใจ ศาสนาเป็นอุปกรณ์ปกครองใจ คนที่มีศาสนาเป็นหลักใจ ย่อมหนักแน่นม่ันคง ไม่รู้สึกโดดเด่ียว อะไรคือศาสนาแท้ ? คำตอบคือ มโนธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานของศาสนาทุกศาสนา

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 58 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ สำหรับพระพุทธศาสนา มีหลักใจไว้เพื่อให้ คนใช้ปฏิบัติพัฒนาตนเองเป็น เทวดาเดินดิน ไว้ ๓ ประการ คือ ละทิ้งความชั่ว ไม่ทำเร่ืองเปล่าประโยชน์ ไม่พูดเร่ืองเปล่าประโยชน์ ทำแต่ความดี ดำเนินชีวิตด้วยสติ ทำดีทุก ย่างก้าว ข้อนี้โปรดติดตามเพ่ิมเติมในภาค “ตติย บรรพ์ : แผนท่ีไปสวรรค์ ไม่มีวันหลงทาง” ระงับจิตใจให้กอปรด้วยปัญญาและ เหตุผล ไม่เป็นทาสของความรัก โลภ โกรธ และ ลุ่มหลงมัวเมาเข้าใจผิด แม้แต่กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ถ้ามี ศาสนารองรับ หรือวางอยู่บนพ้ืนฐานของศาสนา กฎหมายน้ันย่อมเกิดความศักด์ิสิทธ์ิ มีความหมาย บางคนอ้างว่าตนเองไม่มีศาสนา ไม่คิดจะ นับถือศาสนาใดท้ังส้ิน เขาอาจลืมไปว่า ศาสนา แปลว่า คำสอน การที่เขาดำเนินชีวิต และดำรง ชีวิตอยู่ได้ในสังคมด้วยความระมัดระวัง รู้ว่าอะไร ควรทำไม่ควรทำ รู้จักบอกกล่าวตักเตือนตนเองนั้น ก็เท่ากับเป็นคนมีศาสนาแล้ว เป็น “ศาสนาของ ตนเอง” ตนเองเป็นหลักใจที่ถูกต้องให้ตนเอง

59 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ๕. มีดี ๓ ประการคือ รู้ดี การงานดี และประพฤติดี ขอยกอุบายธรรมของ “สมเด็จพระมหาวีร วงศ์ (อ้วน ติสโส)” อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส มาเป็นมงคลประกอบไว้ ณ ที่น้ี ท่านเจ้าประคุณฯ เมตตาแนะนำว่า “ประเทศไทยเราท่ีจะก้าวหน้าทันประเทศ ท่ีเขาก้าวไปไกลแล้ว โดยมติเห็นว่า ต้องมีหลักสูตร ฝึกอบรมทุกคนให้มีความดีประจำตัว ๓ อย่างคือ รู้ ดี การงานดี และประพฤติดี โดยควรแก่หน้าท่ีที่ตน พึงทำ ที่ว่ารู้ดีน้ัน ไม่ได้หมายถึงสำเร็จปริญญา จากมหาวิทยาลัยทั้งหมดดอก เพียงแต่รู้กะ โครงการในหน้าท่ีของตนๆ ไม่ให้พลาด คาดการณ์ ไม่ให้ผิด ประกอบกิจได้ผล สมกับเหตุเท่าน้ันก็ช่ือ ว่า “รู้ดี” ท่ีว่าการงานดีน้ัน ก็มิได้หมายถึงทำ ระเบิดปรมาณูได้ทั้งหมดดอก เป็นแต่มีอาจหาญ ในกิจอันเป็นหน้าท่ีของตน อดทนต่อร้อน ต่อหนาว ต่อเหนื่อย ต่อยาก กิจที่ทำก็สุจริต ผลท่ีได้ก็สมกับ เหตุ เห็นรายเหลือเป็นสำคัญกว่ารายได้ รายรับ ท้ัง รู้หลีกเล่ียงจาก การหามเข็ม การไสช้างเข้ารูเข็ม และการคายน้ำผึ้งเข้าปากหมี

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 60 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ซ่ึงว่า หามเข็ม นั้นหมายกิจเล็กน้อย อาจ ทำคนเดียว แต่รุมกันทำต้ังร้อย หรือต้องการ เสมียน ๓ คน สมัครตั้งพัน เป็นตัวอย่าง ซ่ึงว่า ไสช้างเข้ารูเข็ม นั้นหมายสิ่งท่ี เหลือวิสัย ส่ิงที่เหนือภูมิ และส่ิงท่ียังไม่ถึงคราว ถึง ทำก็ไม่สำเร็จ เป็นตัวอย่าง และซึ่งว่า คายน้ำผ้ึงเข้าปากหมี นั้น หมายทรัพย์ในดิน สินในน้ำ อันมีในด้าวแดนไทย ธรรมดาก็ย่อมเป็นของไทย แต่ไทยเมินเสียให้ ต่างด้าวเข้าถือสิทธิ์ เป็นตัวอย่าง ท่ีว่าประพฤติดีนั้น หมายถึงเป็นคนมีศีล รักษากาย และมีธรรมเป็นเครื่องห่อหุ้มจิตใจ สิ่งท่ี ทำ คำท่ีพูด ล้วนออกมาจากใจท่ีเป่ียมล้นด้วยคุณ ธรรม ความรู้ดี การงานดี และความประพฤติดี ท้ัง ๓ ประการนี้เป็นอุปกรณ์สำคัญยิ่งต่อการสร้าง มโนธรรมของคนในชาติ”





สวรรค์ เมืองฟ้า มหานคร แห่งสุข

โ ล ก ท่ี ม นุ ษ ย์ แ ล ะ สั ต ว์ น า น า ช นิ ด ทางพุทธ ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อาศัยอยู่น้ี เราเรียกว่า “โลกมนุษย์” เป็นภพหนึ่งในระบบเวียนว่ายตายเกิด เร่ืองเทวดา (วัฏฏสงสาร) เป็นภพหยาบ จับต้องได้ แต่อย่าไปอ้อนวอน ง่าย และดำรงสถานะเป็นศูนย์กลาง ท่านมากเกินไป ให้อยู่ ของภพท่ีหยาบกว่าและละเอียดกว่า อย่างเป็นเพ่ือนกัน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของความดี และ เป็นมิตรกัน ถ้าท่าน ความชั่ว จะให้อะไรก็ให้เอง ขณะเดียวกันโลกมนุษย์นี้ก็จัด ไม่ต้องไปรอ เป็นฝ่ายสุคติ หรือฝ่ายสูง อ.วศิน อินทสระ มีภพหยาบอีกภพหน่ึงซึ่งใช้โลก ใบนี้ร่วมกับมนุษย์ และอยู่ร่วมกันเสีย ด้วย น่ันคือ “ภพดิรัจฉาน” แต่สัตว์ดิรัจฉานโดยมาก มี ทุกข์มากกว่าสุข เป็นภพไร้อารยธรรม อาศัยสัญชาตญาณในการดำรงชีวิต แม้จะร่วมโลกเดียวกับมนุษย์ แต่ก็ถูก จัดเป็น ฝ่ายทุคติ คือฝ่ายต่ำ

65 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ยงั มภี พทลี่ ะเอยี ดกวา่ โลกมนษุ ยข์ น้ึ ไป อีกภพหน่ึง ละเอียดทั้งรูปกาย ความเป็นอยู่ ความสุขที่ได้รับก็เป็นความสุขอันละเอียด อ่อน สุขจริง ไม่เจือทุกข์เหมือนโลกมนุษย์ มี ความเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบในทุกสิ่ง ไม่มี ส่ิงสมมุติลวงตา ทุกส่ิงทุกอย่างวันนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร อีกร้อยอีกพันปีข้างหน้าก็ยังคงสถานะเดิมไว้ ไม่เปล่ียนแปลง และเกิดขึ้นมามีเจ้าของ ชัดเจน แย่งชิงกันไม่ได้ สุขในส่ิงท่ีต้องการคือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย ทางใจ ก็ เป็นของแท้ละเอียดอ่อนไม่มีท่ีติ ภพท่ีว่าน้ี เรียกว่า สวรรค์ ว่ากันว่าคนในดินแดนแห่งนี้ เกิดมา ก็มีอายุเท่าเด็กหนุ่มสาววัยสิบเจ็ดทันที และ คงสภาพอยู่อย่างนั้นจนวันจุติทีเดียว หญิงสาวชายหนุ่มในเมืองมนุษย์ท่ี ว่า หล่อสุดสวยสุด เม่ือเทียบกับชาวสวรรค์ แล้ว ฝ่ายมนุษย์นั้นเหมือน “อุรังอุตัง” ยังไง ยังงั้น เพลงในเมืองมนุษย์ท่ีว่าสุดฮิตกันทั้ง บ้านท้ังเมือง ลองถ้าใครได้ไปฟังเพลงจาก เมืองสวรรค์ดูบ้าง กลับมาฟังเพลงของมนุษย์

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 66 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ อีก อาจระคายหูเหมือนได้ยิน “วัวมันร้อง” สวรรค์ มีความหมายว่า โลกท่ีไปแล้วมีแต่สิ่งที่ดี หรือแดนท่ี มีแต่ความสุข แบ่งเป็น ๒ ช้ันหรือระดับคือ เทวโลก กับ พรหมโลก แต่ละช้ันยังมีช้ันย่อยลงไปอีก โดยท้ัง ๒ ชั้นน้ีมีการแบ่งชั้นแตกต่าง กันชัดเจน น่ันคือ เทวโลก แบง่ ช้ันตามน้ำหนักมากนอ้ ยของความดี (บญุ ) ทท่ี ำ พรหมโลก แบ่งช้ันตาม “ภูมิธรรม” พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ พรหมโลก เป็นดินแดนเฉพาะสำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตจนได้ฌานสมา บัติระดับใดระดับหน่ึงเท่าน้ัน สามารถเรียงลำดับสวรรค์ต้ังแต่ช้ันสูงสุดไปจนต่ำสุดได้ดังนี้ เทวโลก มี ๖ ชั้น (เรียงจากชั้นสูงสุดไปชั้นต่ำสุด) ๖ ปรนิมมิตวสวัตดี ๕ นิมมานรดี ๔ ดุสิต ๓ ยามา ๒ ดาวดึงส์ ๑ จตุมมหาราชิกา

พรหมโลก (เรียงจากชั้นสูงสุดไปชั้นต่ำสุด) เนวสัญญานาสัญญายตนะ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากาสานัญจายตนะ ชั้นไร้รูปใจเรืองรอง (อรูปวจร) ชั้น อกนิฏฐา สุทธาวาส }ฌาน ๔ สุทัสสี สุทัสสา อตัปปา อวิหา อสัญญีสัตตา เวหัปผลา ชั้น สุภกิณหา ฌาน ๓ อัปปมาณาสุภา ปริตตาสุภา ชั้น อาภัสสรา ฌาน ๒ อัปปมาณาภา ชั้น ฌาน ๑ ปริตตาภา มหาพรหมา ปุโรหิตา ปาริสัชชา ชั้นสุขกายใจสงบ (รูปาวจร)

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 68 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ น่าสังเกตประการหน่ึงว่า สวรรค์ ฝ่ายเทวโลกมีเพียง ๖ ชั้น แต่ฝ่ายพรหมโลก กลับแบ่งแยกยิบย่อยไปมากมาย ข้อน้ีตอบได้ไม่ยากคือ ความ ต้องการของคนน้ันมีมากก็จริง แต่ความสุขท่ี ต้องการน้ันก็หนีไม่พ้น กิน กาม เกียรติ เม่ือ ทำความดีไว้ ตายไป ก็ได้รับสนองความ ต้องการอย่างเต็มที่ เพียงแต่ต่างกันท่ีความ ละเอียด ความฟู่ฟ่า ซึ่งกำลังบุญจะเสกสรร ให้เท่าน้ัน เทวโลก แปลว่า ดินแดนเสวยสุข สำราญ สถานอันพร่ังพร้อมไปด้วยความ สนุกสนานบันเทิง เป็นสวรรค์สถานที่เสวย สุขของคนที่ปรารถนาความสุขสำราญใน กามคุณ คือ รูป เสียง กล่ิน รส และสัมผัสท้ัง ทางกายทางใจ ส่วน พรหมโลก แปลว่า แดนของ คนผู้ประเสริฐ เป็นดินแดนของผู้บำเพ็ญทาง จิต (พรต) ไม่ฝักใฝ่ในทางกามคุณแล้ว จิต น้ันมีความละเอียดประณีตมาก เมื่อมีการ ฝึกอบรมก็จะเกิดอารมณ์ธรรมตามภูมิ ชนิด ยิบย่อยมากมาย พรหมโลกจึงมีชั้นตามภูมิจิตภูมิ- ธรรมของผู้ฝึกอบรม หากนักพรตปฏิบัติถึง

69 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ข้ันใดข้ันหนึ่งแล้วละสังขารไป ก็จะไป ปฏิสนธิ (เกิด) ในช้ันนั้นๆ กับคำถามว่า สวรรค์ มีจริงหรือไม่ ผู้อ่านที่ได้อ่านบทต้นๆ มาแล้วคงทราบได้ ขอชี้แจงคร่าวๆ ในที่น้ีว่า มีจริงหรือไม่นั้น ผู้ เขียนหรือใครๆ ที่ปราศจากคุณวิเศษไม่ สามารถตอบได้ แต่พระพุทธองค์ ผู้ซ่ึงเป็นบรมครู ของพวกเราชาวพุทธ ตรัสรับรองไว้อย่าง ชัดเจนหลายท่ีหลายแห่งในพระไตรปิฎก เช่น ความในตอนหน่ึงว่า (ขุททกนิกาย จูฬนทิ เทส เล่มที่ ๓๐) “เทพน้ันมี ๓ ประเภท คือ สมมติ เทพ อุปปัตติเทพ และวิสุทธิเทพ... อุปปัติ เทพ ก็คือเทวดาชาวจาตุมมหาราช ชาว ดาวดึงส์ ชาวยามา ชาวดุสิต ชาว นิมมานรดี ชาวปรนิมมิตวสวัตดี เทวดาท่ี นับเข้าในหมู่พรหม และเทวดาในชั้นท่ีสูง กว่านั้น” นี่ก็เป็นเคร่ืองยืนยันได้พอสมควร ส่วนรายละเอียดของเทพท้ัง ๓ ประเภทนี้ ผู้ เขียนจะชี้แจงในลำดับต่อไป

ชาวสวรรค์ จำเป็นอีกเช่นกันท่ีต้องแยกออกเป็น สองฝ่าย คือ เทวโลก กับ พรหมโลก ลักษณะทางกายภาพ และความเป็นอยู่ ของท้ัง ๒ ฝ่ายนี้ แตกต่างกันพอสมควร ประชากรชาวสวรรค์ช้ันพรหมน้ัน เรียกง่ายๆ ว่า พรหม ชั้นต้น (รูปาวจร) ไม่มีเพศ ไม่รับ รู้รส กล่ิน สัมผัส ชั้นสูง (อรูปาวจร) ไม่มีกระทั่งรูป กาย เป็นเพียงสภาวะจิต มีรัศมีเรืองรอง เสวยสุขน่ิงอยู่ในองค์ธรรมตามชั้นของ ตนเอง หากคิดแบบชาวบ้านก็คงจะเบ้ หน้าวา่ อะไรกัน ไม่มีเพศ ไมม่ กี ายรับรู้เช่น นี้ จะเรียกวา่ เสวยสขุ ไดอ้ ยา่ งนนั้ หรอื ? ต้องไม่ลืมว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความสุขสูงสุดนั้นไม่มีอะไรเกิน

71 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ความสงบ” (นตฺถิ สนฺติ ปรมํ สุขํ) ความสงบท่ีว่านี้คือสงบจากกิเลส เครื่องผูกพันจิตนั่นเอง ด้านประชากรทางฝ่ายเทวโลกน้ัน แทบจะไม่ต่างจากเมือง มนุษย์นัก มีหลายชาติพันธ์ุ มีเพศ มีการแบ่งชนชั้น และมีผู้เป็นใหญ่ ปกครอง เสวยสุขในกามคุณกันเต็มคราบ อะไรท่ีอยากได้อยากมี แล้วไม่ได้ไม่มีในเมืองมนุษย์ ตายไปเกิดบนนี้ละก็ เมืองสวรรค์จัดให้! ชาวสวรรค์เป็นพวกกายทิพย์ เกิดขึ้นมาเพื่อเสวยสุขจริงๆ จึง มีข้อแตกต่างจากมนุษย์ตรงที่มีความละเอียดอ่อน ผิวกายนวลเนียน ไร้รอยตำหนิ ไม่มีคราบไคล ไม่ต้องชำระล้าง ไม่มีการขับถ่าย ไวต่อ ความรู้สึก และไม่มีความทุกข์เพราะอาการปวดเม่ือยใดๆ อาหาร เป็นอาหารทิพย์ ไม่มีกาก เมื่อกินเข้าไปซาบซ่าน ทั่วร่างทันที จำนวนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น สวรรค์ชั้นต่ำสุดคือ “จาตุมมหาราช” มีเทวดาหลากหลายประเภทเหมือนกับเผ่าของมนุษย์ แล้วยังมีความ เป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก ผู้เป็นใหญ่ในชั้นนี้มีอำนาจปกครอง ลงมาถึงสัตว์ดิรัจฉานในโลกเราอีกด้วย เกี่ยวกับคำเรียกชาวสวรรค์ฝ่ายเทวโลก อาจทำให้สับสนอยู่ ไม่น้อย บ้างก็เรียกเทพ เทวดา เทพยดา เทพบุตร เทพธิดา นางอัปสร ผู้เขียนสรุปให้ดังนี้ ฝ่ายชายเรียกว่า เทพบุตร ฝ่ายหญิงเรียกว่า เทพธิดา หรือเรียกรวมทั้งหมด ก็ใช้คำว่า เทวดา หรือ เทพ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 72 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ส่วนคำว่า นางอัปสร หมายถึง พวกนางสนม กำนัล ที่ทำหน้าท่ี ปรนนิบัติรับใช้เทพบุตรเทพธิดา มีคำ เรียกหรูหราอีกคำว่า นางปาทปริจา ริกา (ปา-ทะ-ปะ-ริ-จา-ริ-กา หมายถึง ผู้รับใช้ใกล้ชิด) จริงๆ แล้ว คำว่า “เทพบุตร เทพ ธิดา” น้ันก็ใช้ยังไม่ตรงตัวนัก เพราะว่า ชาวสวรรค์ท้ัง ๒ ประเภทน้ี เป็นพวกที่ไป เกิดเป็นลูกหลานของเทพอีกทีหนึ่ง ไม่ได้ เ ส ว ย ส ม บั ติ อั น เ ป็ น ข อ ง ต น เ อ ง จ ริ ง ๆ เนื่องจากบุญไม่มากถึงข้ันนั้น สำหรับเทพที่เกิดมามีวิมานของ ตนเอง ทั้งวิมานแบบใหญ่โตอลังการ หรือแบบพอเหมาะพอควรน้ัน หากจะ เรียกให้ถูกต้องเรียกว่า เทพบุรุษ เทพนารี แต่คำน้ีไม่ติดปากชาวบ้าน จึงมี ใช้เฉพาะงานวรรณกรรมเท่าน้ัน คน ท่ัวไปยังใช้ “เทพบุตร เทพธิดา” ซ่ึงเมื่อเป็นท่ีเข้าใจกันว่าหมาย ถึงใคร ก็ไม่ถือว่าผิด

การกำเนดิ ของ ชาวสวรรค์ เราคงคุ้นคำว่า “โอปปาติกะ” อยู่บ้าง แต่เม่ือได้ยินคำน้ี ก็มักนึกไปถึงผีสาง นางไม้เสียมากกว่าจะนึกถึงอย่างอื่น อันที่ จริงคำนี้กินความหมายกว้างทีเดียว ถ้าจะทำความเข้าใจให้ชัดๆ ก็คือ โอปปาติกะ เป็นคำที่ใช้เรียกรูปแบบการ เกิดของสัตว์บางประเภทท่ีเกิดแบบผุดขึ้น ด้วยอำนาจของกรรมดีกรรมชั่ว เช่น สัตว์ นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม ชาวสวรรค์ก็เกิดแบบโอปปาติกะ เช่นกัน คือ เกิดข้ึนมาแบบทันทีทันใด ไม่ ต้องอาศัยพ่อแม่ เกิดมาก็มีร่างกายใหญ่โต สวยงามสมส่วน อยู่ในวัยสิบเจ็ดสิบแปด ทันที แล้วก็คงสภาพอยู่เช่นนั้นตลอดไป ไม่ แก่ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ส่วนใครจะไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพ ธิดาในช้ันไหน ข้ึนอยู่กับความดีท่ีทำไว้ใน โลกนี้ว่าจะมีก่ีมากน้อย

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 74 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ไม่เพียงเท่าน้ัน หากเทวดาช้ันใดไม่พอใจในภพที่ตนเองเกิด สามารถอธษิ ฐานจติ ลงมาเกดิ ในเมอื งมนษุ ยห์ รอื ในชน้ั ตำ่ กวา่ ได้ มีตัวอย่างในครั้งพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร เจ้าเมือง พาราณสี พระองค์บรรลุโสดาบันแล้ว ปกติพระโสดาบันเมื่อละสังขาร จะไปเกิดในช้ันดุสิต แต่พระองค์มีความสนิทสนมกับท้าวเวสสุวรรณ จอมเทพในชั้นจาตุมมหาราช เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ด้วยกัน พระองค์ จึงเลือกไปเกิดในช้ันจาตุมมหาราชแทน หรือเหตุการณ์ของพระภิกษุรูปหน่ึง ปฏิบัติธรรมอยู่อย่างขมัก เขมน้ แลว้ เกดิ หวั ใจวายมรณภาพไปเสยี เฉยๆ เมอ่ื ลมื ตาขนึ้ อกี ที กพ็ บ วา่ ตนเองนง่ั อยใู่ นวมิ านสวยงาม มนี างอปั สรลว้ นแตส่ วยงามลอ้ มหนา้ ลอ้ มหลงั เม่ือพวกหล่อนๆ หน้าแฉล้มน้ันจะเข้ามาถูกเน้ือต้องตัว ความ แปลกใจในตอนแรกก็กลายเป็นตกใจสุดขีด รีบกระโดดหนีเพราะกลัว จะทำใหศ้ ลี ของตนเองดา่ งพรอ้ ย พวกหล่อนจึงต้องช้ีแจงให้ฟังว่า ตอนน้ีท่านได้ละสังขารจาก โลกมนุษย์มาเกิดบนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ไม่ได้เป็นสมณะอีกต่อไป แล้ว แต่แทนท่ีท่านจะยินดีปรีดากับสมบัติที่ได้ กลับเกิดความสังเวช ใจว่า “โอหนอ เราปฏิบัติธรรมยังไม่บรรลุอะไรเลย ต้องตายก่อน เสียแล้วหรือ หากขืนเสวยสุขอยู่อย่างน้ี พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ- ปรินิพพานไปก่อน แล้วเม่ือไหร่จะมีคนสั่งสอนให้เราพ้นทุกข์” คิดแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานขอจุติลงมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก เพ่ือให้ตนเองได้บวชและปฏิบัติธรรมให้ถึงฝ่ังพระนิพพาน

75 ก า ร เ ลื อ ก เ กิ ด มี ข้ อ ย ก เ ว้ น บ้ า ง เหมือนกัน ชาวสวรรค์ช้ันสูงจะลงมาเกิดใน ช้ันต่ำกว่าได้ แต่ชาวสวรรค์ชั้นต่ำจะเลือก ไปเกิดยังช้ันสูงกว่าไม่ได้เพราะบุญไม่ถึง เ มื อ ง ม นุ ษ ย์ เ ร า ข อ ใ ห้ มี เ งิ น เ สี ย อย่าง จะทำอะไรท่ีไหนย่อมได้ทั้งส้ิน แต่ คนกระเป๋าแห้งจะทำอะไรก็เกินกำลัง (ทรัพย์) ไปหมด พวกเทวดาก็คล้ายกัน ต่างกันท่ี เราใช้เงิน พวกเขาใช้บุญ ข้อดีของบุญก็คือ “ต้องทำเองหา เอง” ได้แล้วก็เป็นของผู้น้ัน เร่ืองแอบขโมย กันน้ันไม่ได้เด็ดขาด บนสวรรค์จึงไม่มีพวกฉ้อฉลหรือ ทุจริตมิจฉาชีพอย่างเมืองมนุษย์

ชนชัน้ บนสวรรค์ เปน็ ความนา่ สนใจอกี เชน่ กนั สวรรคก์ ็ มีการแบ่งชนชั้นกันชัดเจน แบ่งกันตาม ความมากน้อยของบุญที่ทำไว้ เวลานั่ง ประชุมกันเช่น น่ังฟังธรรม เขาจะนั่งเรียง ตามศักด์ิคือบุญนี้ ส่วนจะรู้ว่ามีบุญมากน้อยอย่างไร น้ัน ก็ดูที่รัศมีที่เปล่งออกจากกายทิพย์ของ เทวดาแต่ละองค์ ข้อนี้หมายถึงเทพที่มีวิมานของ ตนเอง แต่บางองค์ทำบุญไว้ก็จริง ทว่าบุญ น้ันให้ผลในทางเสวยสุขอย่างเดียว ไม่มีผล ถึงขนาดให้มีวิมานของตนเองได้ เช่น รักษาศีลสม่ำเสมอ แต่ไม่ ทำบุญทำทานเลย หรือทำบุญทำทานก็แต่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นต้น เพราะการทำบุญน้ันก็เหมือน กับการหว่านพืช หว่านอะไรลงไปก็ได้ ผลอย่างน้ัน

77 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ครั้นไปเกิดบนสวรรค์ก็มีหลักอย่างนี้ว่า ๑. ถ้าไปเกิดบนตักของเทพดาองค์ใด ก็เป็นประหนึ่งบุตร ธิดา ของเทวดาองค์น้ัน ๒. ถ้าเป็นหญิง ไปเกิดเหนือแท่นบรรทมของเทพองค์ใด ก็ เป็นนางอัปสรรับใช้ใกล้ชิดเทวดาองค์น้ัน ๓. ถ้าเป็นหญิง ไปเกิดใกล้ๆ แท่นบรรทมของเทวดาองค์ใด จะต้องเป็นนางอัปสรรับใช้ คอยจัดเครื่องต้นเครื่องทรงของเทวดา องค์น้ัน ๔. ถ้าเป็นชาย ไปเกิดในบริเวณปราสาทของเทวดาองค์ใด ก็ เป็นบริวารรับใช้เทวดาองค์นั้น ๕. ถ้าเกิดในระหว่างรอยต่อ ไม่ทราบว่าเป็นเขตแดนของ เทวดาองค์ใดแน่ เทวราชท่ีเป็นใหญ่ของชั้นนั้นจะทรงตัดสินให้ว่าจะ ให้ไปเป็นบริวารของเทวดาองค์ใด หากตัดสินไม่ได้ก็ทรงแก้ปัญหา โดยนำมาเป็นบริวารของพระองค์เสียเอง มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบทว่า พระกนิษฐาของพระอนุรุทธะ ชื่อ ว่า โรหิณี ตลอดพระชนมชีพ พระนางไม่ได้ทำบุญอะไร เพียงแต่ได้ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน ครั้นตายจากโลกมนุษย์ ก็พลันไปบังเกิดยังชั้นดาวดึงส์ แต่ก็ ไปเกิดตรงดินแดนรอยต่อของเทพบุตรส่ีองค์ เทพบุตรทั้งส่ีเมื่อเห็น นางก็เกิดความหลงใหลอยากได้นางมาครอบครอง แต่ตกลงกันไม่ได้ ถกเถียงกันเป็นการใหญ่ ร้อนถึง “องค์อมรินทราธิราช” ต้องมาช่วย ตัดสิน แต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้ พระองค์จึงทรงริบเอาไปครองเสียเอง

บนสวรรค์ ไมม่ ี สตั วด์ ริ จั ฉาน ตามภาพจิตรกรรมฝาผนังหรือว่าใน วรรณคดี เราจะเห็นเทวดาผู้เป็น ประธานอย่างท่ีเรียกกันว่า เทวราชบ้าง มหาเทพบ้าง จะมีสัตว์บางชนิดเป็น พาหนะ กระทั่งองค์อมรินทร์ผู้เป็นใหญ่ใน ชั้นดาวดึงส์ ก็ทรงมีช้างเอราวัณเป็น พาหนะ เห็นดังนี้ ก็อาจพลอยเข้าใจไปได้ ว่า บนสวรรค์ก็มีสัตว์พาหนะเหมือนกัน ความจริงแล้วบนสวรรค์ไม่ว่าชั้น ใดก็ตาม ไม่มีสัตว์ดิรัจฉานทุกชนิด สัตว์ พาหนะของเทพต่างๆ ล้วนแต่เป็นเทพ บริวารของเทวดาองค์นั้นๆ จำแลงกายข้ึน ท้ังสิ้น (เทคโนโลยีของสวรรค์ก็พัฒนาไป พร้อมๆ กับมนุษย์ คนสมัยใหม่ท่ีไปเกิดบน สวรรค์คงไม่มีพาหนะพวกน้ีแล้วกระมัง ท่า จะเป็นยวดยานอันทันสมัยไปหมดแล้ว) ช้างเอราวัณ ที่เป็นพาหนะของ

79 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . พระอินทร์ก็เช่นกัน แท้จริงแล้วคือ เอราวัณเทพบุตร แปลงกายเพื่อ เป็นพาหนะของพระองค์เท่าน้ัน แม้ว่าชาติก่อนของช้างเอราวัณน้ีจะเป็นช้างจริง แต่เม่ือตาย ไปเกิดบนสวรรค์ก็อุบัติเป็นเทพบุตรรูปงามเหมือนองค์อื่นๆ มีเร่ืองเล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับช้างเอราวัณแถวปากน้ำว่า มี หญิงคนหนึ่งคิดอย่างไรไม่ทราบ ไปบนบานช้างเอราวัณไว้ว่า ถ้าได้ สมประสงค์จะมาถวายเมถุนสังวาส แล้วปรากฏว่า เธอคนนั้นได้ อย่างท่ีขอไว้จริงๆ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ได้ไปแก้บนสักที วันหน่ึงมีคนพบศพเธอในห้องนอนท่ีบ้าน สภาพศพยับเยิน น่าสยดสยอง คล้ายกับว่าถูกข่มขืนกระทำชำเราอย่างโหดร้ายที่สุด ผู้พบเห็นเหตุการณ์ต่างพากันสรุปว่า น่าจะเป็นเทพช้างเอราวัณมา ทวงบนเป็นแน่ จึงได้เสียชีวิตในสภาพเช่นนั้น นั่นก็เป็นความเช่ือของชาวบ้าน หากจะเอาความจริงมาว่า เห็นจะเป็นไปได้ยาก ประการแรก ยังไม่เคยมีพบว่าส่ิงลี้ลับจะมาทำอันตราย มนุษย์ได้ถึงขั้นน้ี ประการต่อมา ตามประวัติอดีตชาติของช้างเอราวัณ เป็นช้าง มีอุปนิสัยดี ทำคุณประโยชน์ต่อมนุษย์มาโดยตลอด และถือศีลห้า เป็นปกติ เมื่อเกิดเป็นเทพบุตร ก็ยังคงเป็นเทพบุตรท่ีอ่อนโยน ตั้งมั่น อยู่ในศีลห้า จะให้มากระทำแบบนั้นกับใคร เป็นไม่ได้อย่างเด็ดขาด ประการสุดท้าย เทพบุตรช้ันดาวดึงส์ หากไม่ใช่มาเพื่อ นมัสการสิ่งศักด์ิสิทธิ์ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ หรือพระภิกษุผู้ทรงศีล

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 80 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ก็ยากนักที่จะลงมาเมืองมนุษย์ ซึ่งเต็ม ไปด้วยคนทุศีล สกปรกเหม็นคาวมาก และเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ งาม สมบูรณ์กว่าเป็นล้านเท่า มนุษย์น้ัน กายหยาบเต็มไปด้วยส่ิงสกปรก ต้อง ล้างต้องเช็ด เทียบกันแล้วก็ไม่ต่างกับ ลิงพิการตัวหน่ึงเท่านั้น เทพบุตรที่ไหน จะมีแก่ใจไปกระทำสังวาสกับเธอ ข่ า ว ลื อ นี้ จึ ง เ ป็ น เ พี ย ง ข่ า ว โคมลอยใบใหญ่ ผู้ปล่อยข่าวมีประสงค์ อย่างไร ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญานเอง แต่การตายของเธอเป็นฝีมือของมนุษย์ ใจบาปอย่างแน่นอน

เทวดา ๓ ประเภท เ ก่ี ย ว กั บ เ ท ว ด า ห รื อ ช า ว ส ว ร ร ค์ น้ี ต้องทำความเข้าใจเล็กน้อย ในด้านความเป็นอยู่ แน่นอนว่า ต้องเสวยสุขอันเกิดจากความดีของตนเอง ในภพอันละเอียดอ่อนต่างหาก แ ต่ ถ้ า จ ะ เ อ่ ย ถึ ง ด้ า น ภ า ว ะ ข อ ง จิตใจแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแบ่งประเภทไว้ กว้างและน่าสนใจ คือ ๑. เป็นเทวดาตามสมมติ ได้แก่ ชาวมนุษย์ มีการรวมกันอยู่เป็น กลุ่มใหญ่ แล้วยกย่องให้คนที่มีคุณธรรมบารมีข้ึนเป็น “ราชา” ปกครองพวกตน เทิดทูนประหนึ่ง เทพศักดิ์สิทธิ์ ดังน้ันผู้ถูกยกย่องหรือแต่ง ตั้งนี้ ก็เป็นประหนึ่ง “เทพ” ในเมืองมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำข้อปฏิบัติ สำหรับผู้ท่ีจะเป็นราชาในหมู่มนุษย์ได้โดย สมบรู ณ์นนั้ ตอ้ งตงั้ อยู่ในทศพิธราชธรรมคอื

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 82 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ๑. สงเคราะห์อนุเคราะห์ ๒. มีศีลาจารวัตรดีงาม ๓. เสียสละ ๔. มีจิตใจซ่ือตรง ๕. อ่อนโยน ๖. เข้มแข็ง ๗. ไม่กระทำตามอารมณ์ ๘. ไม่ใช้อำนาจข่มเหงผู้อ่ืน ๙. อดทน ๑๐. ยุติธรรม ๒. เป็นเทวดาโดยกำเนิด คือสัตว์ในภพใดภพหน่ึง สั่งสม ความดีไว้จนหนุนส่งให้เกิดในสวรรค์ โดยการอุบัติขึ้นเองตามกำลัง ของความดีน้ันๆ ๓. เป็นเทวดาโดยความบริสุทธิ์ สภาวะน้ีถือว่าสูงสุดยอด เยี่ยมเหนือเทพอื่นใด เพราะท่านทำลายกิเลสในใจจนบริสุทธ์ิผุดผ่อง สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว เทพโดยความบริสุทธ์ิหรือ “วิสุทธิเทพ” น้ี เป็นสภาวะทางจิต ของท่านล้วนๆ หลังจากท่านละสังขารไปแล้ว ก็เหมือนไฟหมดเชื้อ ไม่เสวยสุขทุกข์ในภพภูมิใดทั้งส้ิน ในครงั้ พทุ ธกาล “พระเจา้ ปสั เสนทโิ กศล” เคยถามพระพทุ ธเจา้ วา่ “พระอรหนั ต์ ในศาสนาอน่ื นอกจากพทุ ธศาสนา มหี รอื ไม”่

83 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . พระพทุ ธองคต์ รสั ตอบวา่ “ ค น ที่ บ ำ เ พ็ ญ ท า ง จิ ต ไ ด้ คุ ณ วิเศษแสดงฤทธ์ิต่างๆ ได้นั้นมีท่ัวไป แต่ พ ร ะ อ ร หั น ต์ มี เ ฉ พ า ะ ใ น พุ ท ธ ศ า ส น า เท่านั้น” ท้ั ง น้ี เ พ ร า ะ ข้ั น ต อ น ก า ร ช ำ ร ะ กิเลสนั้นเป็นเร่ืองละเอียดอ่อน ต้องใช้ ปัญญาอันบริสุทธิ์ด้วยวิธีแยบยลจริงๆ ตัวอย่างเช่น “กาฬเทวินดาบส” กับ “อุทกดาบส” อาจารย์ของพระโพธิ สัตว์ (พระพุทธเจ้าตอนยังไม่ตรัสรู้) ก็มี บารมีพร้อมจะบรรลุอรหันต์ แต่ก็ติดอยู่ แค่ข้ันอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ (อภิญญา ข้อ ๖ คือทำลายกิเลสได้ราบคาบ) ไม่ สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เพราะขาดผู้ช้ี ทางอันแยบยลให้ ใ น ยุ ค ท่ี ไ ม่ มี พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า ม า ตรัสรู้สั่งสอนสัตว์เลย จะมีผู้ที่ส่ังสม บารมีไว้เพ่ือเป็น “พระปัจเจกพุทธเจ้า” มาเกิด เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว ก็ส่ัง สอนใครให้บรรลุตามไม่ได้ ท่านจึงไม่มี ศิษย์ ไม่มีสาวกเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่สอนไม่เป็น

เห็นเทวดา... เหน็ ตนเอง เป็นท่ีเข้าใจกันแล้วว่า เทวดาเป็น พ ว ก ก า ย ล ะ เ อี ย ด ห รื อ ก า ย ทิ พ ย์ (อทิสมานกาย) อยู่นอกเหนือการรับรู้ทาง ประสาทสัมผัสปกติของมนุษย์ เพราะฉะน้ันถ้ามนุษย์ต้องการจะ เห็นและส่ือสารกับพวกเทวดา ก็ต้องปรับ ค ว า ม ล ะ เ อี ย ด ข อ ง จิ ต ต น เ อ ง ใ ห้ เ ที ย บ เท่ากับพวกเขา หากจะใช้ภาษาสมัยใหม่ก็ อาจเรียกว่า “จูนคล่ืนให้ตรงกัน” อันว่าผู้ท่ีจะเห็นพวกกายทิพย์ได้ นั้น จะต้องบำเพ็ญทางจิตจนได้อภิญญา ข้อที่ ๕ คือ มีตาทิพย์ ซึ่งผู้เขียนขอไม่เขียน ถึงวิธีการปฏิบัติให้ได้อภิญญาข้อน้ี หากผู้อ่านท่านใดสนใจ โปรด ศึกษาเพิ่มเติมได้ในหนังสืออภิญญาของ “พระอริยคุณาธาร” (เส็ง ปุสฺโส) หรืออีก เล่มของ “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ได้ ในท่ีนี้ จะพาไปรู้เห็นลำดับความ

85 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ยากง่าย กว่าจะได้สัมผัสกับเทวดาเต็มรูปแบบ ที่เป็นขั้นตอนการ ปฏิบัติและรับรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์สามารถปฏิบัติได้จน เจนจบชำนาญท้ังหมด ดังนี้ ๑. รู้ถึงประกายรัศมีของเทวดา แต่มองไม่เห็นร่างกายของ พวกเขา ๒. เม่ือปรับระดับจิตให้ละเอียดยิ่งขึ้น ก็สามารถเห็นร่างกาย ของเทวดา แต่ไม่สามารถติดต่อส่ือสารกับพวกเขาได้ ๓. เมื่อปรับระดับจิตให้ละเอียดขึ้นอีก ก็สามารถติดต่อ สื่อสารกับเทวดาได้ แต่ไม่ทราบว่าพวกเขามาจากช้ันไหน ๔. เม่ือปรับระดับจิตให้ละเอียดต่อไป ก็ทราบว่าเทวดาเหล่า น้ันมาจากชั้นใด แต่ไม่ทราบว่าพวกเขาจุติจากท่ีไหนและมาเกิดใน สวรรค์ช้ันน้ันๆ ด้วย วิบากกรรม* อะไร ๕. เม่ือปรับระดับจิตต่อไปอีก ก็ทราบได้ว่า เทวดาเหล่านั้น จุติจากที่ไหน แล้วไปเกิดในสวรรค์ช้ันนั้นๆ ด้วยวิบากกรรมอะไร แต่ก็ ยังไม่ทราบว่า ที่พวกเขาได้อาหารอย่างนี้และเสวยสุขอย่างนี้เพราะ วิบากกรรมอะไร ๖. เม่ือปรับระดับจิตต่อไป ก็ทราบว่าท่ีพวกเทวดาได้อาหาร อย่างนี้และเสวยสุขอย่างนี้ เพราะวิบากกรรมอะไร แต่ก็ยังไม่ทราบ ว่าพวกเขาอยู่ในสวรรค์ช้ันไหน มีอายุเท่าไหร่ ๗. เม่ือปรับระดับจิตให้ละเอียดขึ้นอีก จึงทราบว่าพวกเทวดา วิบากกรรม คือผลบุญหรือผลบาป ซึ่งได้ให้ผลอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ ผู้กระทำ หรือจะเรียกว่า “ผลลัพธ์จากการกระทำของสัตว์” ก็ได้

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 86 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ น้ันอยู่สวรรค์ชั้นไหน มีอายุเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ทราบว่าพระองค์ (หมาย ถึงพระพุทธเจ้า) เคยอยู่ร่วมกับเทวดาพวกน้ีในชาติใดหรือไม่ ๘. เม่ือบำเพ็ญเพียรต่อไปจนจิตละเอียดถึงระดับสูงสุด ผ่องใสแล้ว ก็ทราบได้ว่าเคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่านั้นมาหรือไม่ อย่างไร ในช้ันของผู้บำเพ็ญทางจิตปกติ เม่ือสามารถติดต่อสื่อสารกับ พวกเทวดาได้ ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่อริยบุคคลระดับพระพุทธเจ้า พระองค์จะรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ละเอียดปรุโปร่งชนิดหมดข้อกังขา คุณวิเศษ ๘ ข้อนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงลำดับข้ันการสัมผัสกับ เทวดาเท่าน้ัน แต่ยังเป็นตัวอย่างอันดีของคนทุกคนด้วยว่า... หากต้องการจะทำอะไร จะรู้อะไร ต้องทำให้สำเร็จ สมบูรณ์ ต้องรู้ให้ถ่องแท้ ไม่ทำหรือรู้เพียงคร่ึงๆ กลางๆ แล้วก็ พอกันเท่าน้ัน ต้องยอมรับว่า พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างของผู้เอาจริงเอาจัง อย่างน่านับถือ

เหนือ โลก มนุษย์ คือ... เทวโลก ๖ ชั้น

หลังทำความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ือง ทางพุทธ ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ราวของสวรรค์มาแล้ว จากน้ีไป ผู้ เขียนจะพาไปดูว่า สวรรค์แต่ละช้ันมี เร่ืองเทวดา ความน่าสนใจและท่ีสำคัญ “น่าไปเกิด” แต่อย่าไปอ้อนวอน อย่างไรบ้าง ท่านมากเกินไป ให้อยู่ อย่างเป็นเพื่อนกัน เหนือโลกมนุษย์ข้ึนไป เป็น เป็นมิตรกัน ถ้าท่าน สวรรค์ฝ่ายเทวโลก ทางพุทธศาสนา จะให้อะไรก็ให้เอง ท่านเรียก ช้ันกามาวจร แต่ผู้เขียนขอ เรียกให้เข้าใจง่ายว่า ช้ันสราญรมย์ ไม่ต้องไปรอ เพราะพร่ังพร้อมไปด้วยส่ิงอำนวยความ สุขความร่ืนเริงในแบบโลกีย์ท้ังส้ิน อ.วศิน อินทสระ ใครที่ไปเกิดในเทวโลก หากไม่ รู้จักย้ังคิดถึงหลักการเวียนว่ายตายเกิด หลักของความไม่เท่ียงแล้ว จะเข้าใจว่า เม่ือตนเองมาเกิดในแดนสุขาวดีน้ี คง เสวยสุขไปชั่วกัลปาวสานเป็นแน่แท้ แล้วก็หลงระเริงในสุขน้ัน จนวันที่ หมดบุญน่ันแล้ว ค่อยได้สติข้ึนมา

89 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . อย่างไรก็ตาม การได้ไปเกิดยัง สวรรค์ก็นับเป็นเร่ืองดีย่ิง หากไม่ประมาท เสียแล้ว ก็สามารถเพ่ิมพูนบุญของตนให้ ยืดยาวไปได้นานแสนนาน หากเห็นว่า อยู่ในโลกมนุษย์ มันทุกข์ยากแสนเข็ญ ก็จงหม่ัน ทำความดีไว้มากๆ ดีท้ังกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ จะได้พบกับความสุขท่ีแท้จริง เสียที ดินแดนแห่งนี้ ต้อนรับเฉพาะ คนมีดีมีบุญเท่าน้ัน! ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเล็ก น้อย สำหรับคำว่า “เหนือโลกมนุษย์ข้ึน ไป” ไม่ได้หมายความว่า อยู่เหนือหัวเรา ข้ึนไป เพราะโลกน้ีเป็นวงกลมหมุมรอบ ตัวเองตลอดเวลา ไม่มีส่วนใดที่แสดงว่า “เหนือข้ึนไป” จริงๆ ฉะนั้นคำว่า “เหนือขึ้นไป” ในท่ีนี้ หมายถึงมิติที่ละเอียดเหนือกว่ามนุษย์ข้ึน ไป ส่วนจะอยู่ตรงไหนน้ัน ไม่สามารถ บอกได้เพราะเป็นมิติหนึ่งต่างหาก

ชนั้ ท่ี ๑ จาตมุ มหาราชกิ า สวรรค์ ช้ันจาตุมมหาราช มีความ หมายว่า ภูมิเป็นท่ีอยู่ของเทวดาซึ่งมี ทา้ วมหาราช ๔ องคเ์ ปน็ มหาราชา เป็นมิติ ท่ีทับซ้อนอยู่กับมนุษย์โลกน่ีเอง แต่กว้าง ใหญ่ทั้งยังละเอียดกว่ามนุษย์มากนัก จึง ไมส่ ามารถสมั ผสั กนั ได้ ดว้ ยประสาทสมั ผสั ทกุ ชนดิ หากจะเอาความละเอียดของมิติ มาคำนวณเป็นระยะทาง สวรรค์ช้ันจาตุม- มหาราชจะสูงจากโลกมนุษย์ประมาณ ๗๓๖,๐๐๐ กิโลเมตร เทวดาชั้นนี้ มีหลากหลายประเภท และมีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ท่ีสุด บางประเภทมีลูกหลานอยู่กันเป็น ครอบครัว วิธีกำเนิดลูกน้ันไม่ได้คลอดจาก ครรภ์แต่อย่างใด ถึงเวลาจะมีเทวดาองค์ ใหม่มาเกิดบนตักของพวกเขาเอง แล้ว

91 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . พวกเขาก็รับเทวดาองค์นั้นนั่นเองเป็น ลูก บางประเภทมีวิมานของตนเองอยู่ เป็นเอกเทศได้รับความสุขสำราญเต็มท่ี พร้อมกันน้ันยังได้ปฏิบัติหน้าท่ีตามท่ีรับ ผิดชอบหรือท้าวมหาราชของตนเอง มอบหมายให้ อีกประเภท เป็นพวกก้ำกึ่ง ระหว่างเทพกับดิรัจฉาน ก่ึงเทพก่ึงเปรต กึ่งอสุรกายก็มี จำพวก “ก่ึงเทพกึ่งดิรัจฉาน” คือ นาค ครุฑ ถือว่าเป็นดิรัจฉาน ไม่ใช่เทพ แต่ด้วยเป็นพวกกายทิพย์ มี ฤทธ์ิ เข้าออกในเมืองสวรรค์ได้ จึงต้อง อยู่ในการปกครองของท้าวมหาราชใน ชั้นจาตุมมหาราชน้ี ส่วนจำพวก “ก่ึงเทพกึ่งเปรต หรือกึ่งอสุรกาย” น้ันคือ ยักษ์บางตน และ กุมภัณฑ์ พวกท่ีต้องแปรสภาพเป็นเปรต หรืออสุรกาย เพื่อรับวิบากจากผลบาป ของตนเองก็เรียกว่า เปรต หรือ อสุร- กาย เม่ือกลับคืนสภาพเป็นเทพมาเสวย สุขในวิมานดังเดิมก็เรียกว่า เทพ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 92 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ บางตนกลางวนั เปน็ เทพ กลางคนื ตอ้ งไปรบั ผลบาป บางตนขา้ ง ข้ึนเป็นเทพ ข้างแรมไปรับผลบาปก็มี แล้วแต่ความหนักเบาของผล กรรม ผู้รู้บางท่านบอกว่า พระยายมราช ในเมืองนรกแต่ละขุม และ นายนิรยบาล ผู้เป็นเจ้าหน้าท่ีในเมืองนรก ก็เป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์ นรกเช่นกัน มีการทำงานเป็นกะเหมือนโลกมนุษย์ เม่ือหมดกะของ ตนเองก็กลายสภาพเป็นเทพ เสวยสุขบนสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราช บางคัมภีร์ถึงขนาดบอกว่า ท้าวเวสสุวรรณ หนึ่งในสี่ มหาราชในชั้นจาตุมมหาราชิกา อีกภาคหนึ่งของท่านก็คือ “พระยา ยมราช” แต่ผู้เขียนเห็นแย้งว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะท้าวเวสสุวรรณ องค์ปัจจุบัน บรรลุธรรมชั้นโสดาบันแล้ว จึงไม่ไปสู่ทางต่ำกว่าภพ มนุษย์ (สุคติ) อย่างเด็ดขาด ดังน้ันชาวสวรรค์หรือเทวดาในชั้นน้ีจึงแบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ ระดับสูง เสวยสุขเป็นปกติอยู่ในนครทั้ง ๔ ทิศ ระดับล่าง เสวยสุขปะปนในภพมนุษย์และถูกเรียกช่ือไป ต่างๆ แล้วแต่ลักษณะของแต่ละประเภท เช่น กุมภัณฑ์ ยักษ์ คนธรรพ์ เป็นต้น เป็นเร่ืองน่าฉงนว่า เทพในชั้นนี้มีภาระหน้าที่กันทั่วหน้า หน้าท่ีส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับเมืองมนุษย์ และแม้จะอยู่ในช้ันต่ำสุด มีศักดิ์ฐานะประหนึ่งประชากร รากหญ้า แต่ก็สามารถไปมาหาสู่กับชั้นดาวดึงส์ซ่ึงอยู่เหนือข้ึนไปอีก ช้ันหนึ่งได้

93 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . อีกท้ังยังต้องทำหน้าที่ซ่ึงเกี่ยวเน่ืองกับชั้นดาวดึงส์อยู่ด้วย เช่น พวกคนธรรพ์ (เทวดาประเภทหนึ่ง) ซ่ึงถนัดในเร่ืองดนตรีและร้อง รำ ก็ต้องไปถวายการปรนนิบัติพระอินทร์เป็นประจำ และเมื่อถึงคราวที่พวกอสูรบุกสวรรค์ เมืองหน้าด่านก็คือช้ัน จาตุมมหาราชิกานี่เอง ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็ต้องทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่ คุ้มกันไม่ให้อสูรบุกไปถึงชั้นดาวดึงส์ (อยากทราบว่าเพราะเหตุใด พวกอสูรจึงบุกสวรรค์ โปรดอ่านหัวข้อ “อสูร สวรรค์ใต้ภิภพ”) เทวดาในช้ันจาตุมมหาราชิกานี้ มีหลากหลายประเภท มาก พอๆ กับเผ่าพันธ์ุของมนุษย์ทีเดียว เพ่ือให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนจะ ขอเล่าถึงเฉพาะที่มีความแตกต่างกันชัดเจนท่ีสุด ควบคู่ไปกับท้าว มหาราชที่มีอำนาจปกครองเหล่าเทพในทิศท้ังสี่ ดังน้ี ท้าวจตุโลกบาล ท้าวมหาราชท้ังส่ี ผู้ปกครองประจำส่ีทิศนี้ เรียกรวมว่า ท้าว จตุโลกบาล แปลว่า เทวราชผู้รักษาโลกในทิศทั้งส่ี ท้าวท่านมีความเป็นใหญ่เท่ากันทุกประการ มีหน้าที่เก่ียวกับ โลกมนุษย์และเทวโลกไปพร้อมๆ กัน หน้าท่ีในเมืองมนุษย์ได้แก่ ทุกวันพระ ๑๕ ค่ำ ท้าวท่านจะ สำรวจดูว่าผู้ใดตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีงามบ้าง และคนเหล่าน้ัน ประสพความลำบากอันเกิดจากอธรรมใดบ้าง หากมิใช่เพราะกรรม เก่าของพวกเขา ท้าวท่านก็จะช่วยเหลือให้ผ่านพ้นไปได้ ส่วนใน วันพระ ๘ ค่ำหรือ ๑๔ ค่ำ ท้าวท่านจะมีบัญชาให้เสนาและเทพบุตร

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 94 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ทั้งหลายทำหน้าท่ีแทน หน้าท่ีในเทวโลกน้ันยิ่งมากมาย เป็นท้ังผู้พิทักษ์ประตูสวรรค์ เมื่อถึงคราวประชุมที่ “สุธรรมาเทวสภา” ชั้นดาวดึงส์ เทวมหาราชท้ัง ส่ี จะมีที่นั่งเฉพาะของตนในทิศท้ังสี่ ท้ังยังคอยทำหน้าท่ีบันทึกการ ประชุม รวมทั้งเป็นผู้ส่งรายงานสถานการณ์บนโลกมนุษย์ว่าเป็น เช่นไร มีคนทำดีมากหรือน้อย โดยการบันทึกลงในสมุดบัญชีทองคำ ที่เรียกว่า สุพรรณบัฏ จากน้ันพระอินทร์ทรงอ่านประกาศให้เหล่า เทพท้ังหลายทราบอีกต่อหนึ่ง เทวดาชั้นอื่นๆ ส่วนมาก (ไม่เว้นกระท่ังพระอินทร์) ระเริงอยู่ กับสุขในวิมานฉิมพลีของตนเองจนลืมวันลืมคืน ไม่ค่อยใส่ใจโลก มนุษย์นัก อีกประการ วันหนึ่งๆ ของเทวโลกชั้นสูง ผ่านไปตามปกติก็ จริง แต่เมื่อเทียบกับเมืองมนุษย์แล้ว ต่างกันมากทีเดียว มีเร่ืองในอรรถกถาธรรมบท (คัมภีร์ขยายความพระไตรปิฏก) เล่าว่า เทพธิดาองค์หนึ่งจุติจากดาวดึงส์ ขณะเดินชมสวนกับเทพบุตร และนางอัปสรอ่ืนๆ แล้วมาเกิดในเมืองมนุษย์ เมื่อตายจากเมืองมนุษย์ก็ไปเกิดบนสวรรค์ท่ีเดิมน่ันเอง ปรากฏว่าเทพบุตรและนางอัปสรท้ังหลาย ยังคงเดินชมสวนกันอยู่ เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไปเร็วถึงขนาดน้ัน ต้องอาศัยท้าวจตุโลกบาล นี่เองคอยรายงานให้ทราบเป็นระยะ ท้าวมหาราชทั้งสี่น้ี อยู่ภายใต้อาณัติของ “พระอินทร์” หรือ องค์อมรินทร์อีกต่อหนึ่ง มีพระชนมายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ หรือเท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์ เมื่อมีองค์ใดองค์หน่ึงหมดอายุ (บุญ) จุติไป พระอินทร์

95 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . จะเป็นผู้แต่งต้ังเทพองค์ใหม่เป็นท้าวมหาราชแทน โดยคัดจากคุณ ธรรมและบุญเป็นหลัก ต่อนี้ไป ผู้เขียนจะเล่าถึงอำนาจปกครองของท้าวจตุโลกบาล ดังน้ี ๑. ท้าวธตรัฐมหาราช จอมคนธรรพ์ รักษาทิศตะวันออก ๒. ท้าววิฬุรหก จอมกุมภัณฑ์และครุฑ รักษาทิศใต้ ๓. ท้าววิรูปักษ์ จอมนาค รักษาทิศตะวันตก ๔. ท้าวกุเวร หรือเวสสุวรรณ จอมยักษ์ รักษาด้านทิศเหนือ เหนือ ท้าวเวสสุวรรณ ตะวันตก ตะวันออก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวธตรัฐ ใต้ ท้าววิฬุรหก

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 96 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ท้าวธตรัฐมหาราช ท้าวธตรัฐมีรูปกายงามสง่ามาก ท้ังยังติดสำอางเล็กน้อย สุรเสียงนุ่มนวล ชำนาญศิลปะการดนตรีเป็นท่ีสุด เป็นเจ้าผู้ปกครอง เทวดาทางทิศตะวันออก มีเทพบุตรระดับขุนทัพประจำกาย ๙๐ องค์ ล้วนแต่งามสง่า น่าเกรงขาม แกล้วกล้า และฉลาดหลักแหลม ท้าว ท่านปกครองเทวดาจำพวกคนธรรพ์ และเทวดาบางจำพวก คนธรรพ์ เป็นเทวดาประเภทท่ีชำนาญในการขับร้อง ร่ายรำ และการ เล่นดนตรีทุกชนิด มีทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย อยู่กันเป็นชุมชนใหญ่ กระจายทั่วไปในมิติท่ีทับซ้อนมนุษย์เรา โดยเฉพาะตามต้นไม้มีกล่ิน หอมทุกชนิด คอยทำหน้าท่ีให้ความบันเทิงแก่เหล่าทวยเทพท้ังหลาย ฝีมือการละเล่นดนตรีของพวกเขา ได้รับการยอมรับว่าเหนือ กว่าการละเล่นของชาวสวรรค์ทุกช้ันเลยทีเดียว แม้แต่องค์อมรินทร์ เอง ก็ยังต้องมีบัญชาให้คนธรรพ์ ไปแสดงถวายยังช้ันดาวดึงส์อยู่เป็น ประจำ แม้จะมีฐานะแค่เป็นผู้บำเรอความสุขให้กับผู้อื่น แต่คนธรรพ์ หลายองค์ ก็มีบทบาทสูงส่งพอสมควร อย่างเช่น “มาตลี” ก็ได้รับ ความเอ็นดูจากองค์อมรินทร์ ให้เป็นเทพสารถีประจำพระองค์ หรือ “ปัญจสิข” ก็ได้รับเกียรติอันย่ิงใหญ่ ทำหน้าท่ีดีดพิณนำเสด็จ พระพุทธองค์ ที่เสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์ในคราวท่ีทรงขึ้นไปแสดง พระอภิธรรมโปรดพระมารดา

97 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ข้อดีอีกประการของเทวดาประเภท น้ีคือ จะได้รับเชิญไปแสดงให้พวกเทพชม ตลอดเวลา จึงได้ท่องเท่ียวไปทุกแห่งหน หากจะถามว่า ทำบุญอะไรไว้จึง ได้ไปเกิดเป็นคนธรรพ์เล่า? พระพุทธองค์ตอบไว้ใน “สุจริตสูตร” (สํ.ขนฺธ.) ว่า “ใครก็ตามทำดีทางกาย วาจา ใจ แล้วปรารถนาว่า ขอให้เกิดเป็นคนธรรพ์ เขาจะไดส้ มปรารถนา” น่ันหมายความว่า ไม่จำกัดว่าทำดี อะไรไว้ แต่อยู่ที่ทำดีแล้วต้องการเป็น คนธรรพ์หรือไม่ เพราะเทวดาประเภทนี้มี ความสามารถในทางศิลปะการดนตรีมาก ขณะอยู่บนโลกมนุษย์ หากเรา อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดนตรีและการ เต้นรำ ยังรักศิลปะน้ีอยู่ อยากเป็นผู้สามารถ ในด้านนี้จริงๆ ก็สามารถตั้งความปรารถนา ไว้ได้ว่า “ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนภพใด ก็ขอให้ เป็นคนให้ความสุขสำราญกับผู้อ่ืนด้วยการ ดนตรีและเต้นรำนี้” หรือกระทั่งไม่ได้ตั้งความปรารถนา แต่มีใจฝักใฝ่ในด้านนี้อยู่แล้ว ก็ทำให้มีส่วน ได้ไปเสวยสุขเป็นคนธรรพ์ได้เหมือนกัน

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 98 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ รุกขเทวดา เป็นช่ือเรียกเทวดาท่ีมีวิมานอยู่บนต้นไม้ แต่มนุษย์ไม่อาจ มองเห็นวิมานทิพย์ของเทวดาเหล่าน้ันด้วยตาเนื้อได้ ต้นไม้ซึ่งเป็นท่ี สถิตของรุกขเทวดาน้ันจะต้องเติบโตแข็งแรงเท่าน้ัน หรือหากเป็นต้น ไม้ท่ีมีแก่นแล้ว จะสูงแค่คืบเดียวก็เป็นที่สถิตของรุกขเทวดาได้ ขณะเดียวกัน รุกขเทวดาจะยึดเอาต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งด้วย ตนเองไม่ได้ จะต้องให้ท้าวธตรัฐเป็นผู้ช้ีให้ และให้เทพบุตรผู้รับผิด ชอบเนรมิตให้อีกต่อหน่ึง วิมานของรุกขเทวดาเหล่านี้ก็ค่อนข้าง “ง่อนแง่น” เหมือนกัน เพราะต้องฝากไว้กับโชคชะตา หากวันดีคืนร้ายมีคนมาตัดหรือพายุ โค่นเสีย วิมานของรุกขเทวดาก็พังทลายลงเหมือนกัน เป็นภาระของ ท้าวเหนือหัวของตนเองมาชี้ที่ให้ใหม่ ในพระไตรปิฎกมีเรื่องเล่าเก่ียวกับรุกขเทวดานี้หลายแห่ง เป็นที่มาของพระสูตรสำคัญอย่าง “กรณีเมตตสูตร” (พระคาถา ป้องกันภูตผีปิศาจ) หรือต้นเหตุของการบัญญัติสิกขาบทบางข้อ เช่น ในครั้งพุทธกาล พระภิกษุรูปหน่ึง แบกขวานเข้าไปเพ่ือ จะตัดต้นไม้มาสร้างกุฏิ เลือกได้ต้นงามๆ แล้วลงมือทันที เทพนารีท่ี สถิตอยู่บนต้นไม้นั้นก็ตกใจ ปรากฏกายออกมาอ้อนวอนว่า “ท่าน เจา้ ขา หยดุ เถิด อย่าได้ทำลายวมิ านของดิฉัน” พระคุณเจ้าได้ยินเงยหน้ามอง เห็นเป็นหญิงสาวก็เข้าใจว่า มาล้อเล่น จึงตัดบทไปว่า “สีกา วิมงวิมานท่ีไหนกัน อย่ามาล้อเล่น กับอาตมา ไม่เห็นรึว่ากำลังตัดไม้อยู่”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook