Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะละวางอัตตา

ธรรมะละวางอัตตา

Published by Sarapee District Public Library, 2020-08-16 02:36:39

Description: ธรรมะละวางอัตตา

Keywords: ธรรมะ

Search

Read the Text Version

ธรรมะเพอ่ื การ ละวางอตั ตาตวั ตน บรรยายโดย อาจารยส์ ุดใจ ชน่ื สานวน กลมุ่ ประสานงานเพอ่ื การเตอื นภยั (เขากะลา)

คานา ใชค่ ุณ...หรือเปลา่ ? หนกั เหลอื เกิน...กบั การที่ตอ้ งแบกความทกุ ข์ ความหนกั ใจไวท้ ้งั ชีวติ เหนื่อยเหลือเกิน ....กบั การทต่ี อ้ งกระทบกระทง่ั อารมณ์หลากหลาย หวั เราะ ร้องไห้ ยนิ ดี ยนิ ร้าย ท่ถี าโถมเขา้ มา ตลอดเวลาทุกวนั คนื เบื่อเหลือเกนิ ..กบั การเวียนเกิด เวียนตาย อยใู่ นสงั สารวฏั อนั ยาวไกล โดยไมร่ ู้ จุดหมายปลายทาง และจะยงั วนเวียนไปอกี เท่าไรหนอ ? ....ลองหยดุ สักนิด....แลว้ ถามตวั เองว่า.... เราทกุ ขเ์ พราะสิ่งใด...? เรากาํ ลงั แบกอะไร …? เราจะวางลงไดไ้ หม ....? เราจะวางอยา่ งไร....? เมื่อเหน็ ทกุ ข์ ยอ่ มอยากออกจากทกุ ข.์ ..จึงตอ้ งมีคาํ ถาม แลว้ กห็ าคาํ ตอบ และ “คาํ ตอบ”....ท่คี ณุ คน้ หา อยใู่ นหนงั สือเล่มน้ี ..... ธรรมะเพื่อการละวางอตั ตาตวั ตน เป็นการถา่ ยทอด...กฎธรรมชาติ....กฎแห่งกรรม ... กฎของจกั รวาล ผา่ น หนงั สือเล่มน้ี โดยผทู้ รงภูมิปัญญาจากต่างดวงดาวในจกั รวาลน้ี เพอ่ื ใหม้ นุษย์

บนโลกใบน้ี ไดม้ องเห็นสจั จะธรรม หรือกฎธรรมชาตใิ นอกี มุมหน่ึงของทกุ สรรพส่ิง ท่เี กิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป ซ่ึงกฏธรรมชาติ เป็นกฎเดียวกนั ในทกุ ๆ จกั รวาล ธรรมชาติ สามารถเขา้ ถงึ ได้ อยทู่ ่วี า่ ใครจะมองเห็น วนั น้ี....คณุ อาจโชคดี ท่ีไดเ้ หน็ ธรรมชาติของขนั ธ์ 5 ผ่านภาษาเรียบงา่ ยท่ี เขา้ ใจไดท้ นั ที....โดยผา่ นหนงั สือเลม่ น้ี...เทา่ น้นั ขอ้ ความทีเ่ ป็นสจั ธรรมน้ี ไมไ่ ดถ้ ูกปรุงแต่งดว้ ยภาษาท่เี ลศิ เลอ แต่เป็นถอ้ ยคาํ งา่ ย ๆ ทผ่ี อู้ า่ นทกุ วยั สามารถเขา้ ใจไดท้ นั ทีท่อี า่ นจบ ออกจากทุกขไ์ ดท้ นั ที ท่ีอยากออก วางความหนกั ไดท้ นั ที ท่ีอยากวาง จะสุข หรือทกุ ข์ จะยดึ หรือวาง จะวา่ งหรือวุน่ ... คุณเลอื กได้ อา่ นหนงั สือเลม่ น้ีจบแลว้ มุมมองคุณจะเปลีย่ นไป คณุ จะเหน็ ความเป็นจริง ของทกุ สรรพสิ่งในธรรมชาติท่ีเป็นเชน่ น้นั เองอยตู่ ลอดเวลา และไม่ไปบงั คบั บญั ชาสิ่งเหล่าน้นั ความเหน็ ผิดยดึ ติดในอตั ตาตวั ตนจะลดนอ้ ยถอยลงไป จน คณุ สามารถเลอื กได้ วา่ อยากจะทุกขต์ อ่ ไป หรือจะคืนความทกุ ขใ์ ห้ ธรรมชาติ โดยไมไ่ ปควา้ เอามาครอบครอง

คาํ ถามมากมาย คาํ ตอบหลากหลายท่ไี ดพ้ บเจอจากสถานทต่ี ่าง ๆ อาจทาํ ให้ เบาบางจางคลายจากความทกุ ขไ์ ดเ้ ป็นคร้ังๆ แลว้ กก็ ลบั มาทุกขใ์ หม่ ดว้ ยความ ไมเ่ ขา้ ใจขนั ธ์ 5 ตามจริง แต.่ ..หนงั สือเล่มน้ีจะทาํ ให.้ ..ความทุกขห์ ายไปอยา่ งถาวร ถา้ คุณทาํ ได.้ . ดว้ ยมมุ มองทเ่ี ขา้ ใจ....วา่ ความทุกขเ์ กดิ ข้ึนเพราะไปอุปาทาน ยดึ มนั่ ถอื มนั่ ใน ขนั ธ์ 5 ว่านน่ั เรา นน่ั เป็นเรา นน่ั เป็นของเรา จึงยดึ มนั่ ถือมน่ั กนั เอาไว้ จึง ตอ้ งเวียนเกดิ เวยี นตาย...จนนบั ภพนบั ชาตไิ มไ่ ดแ้ ลว้ เพราะอวชิ ชา คือความเหน็ ผดิ ทาํ ใหย้ ดึ ตดิ ในตวั ตน....เรา เขา แต.่ ..วนั น้ี...มมุ มองของคณุ จะเปลย่ี นไป...อตั ตาตวั ตนของคณุ จะหล่น หาย เพราะไมอ่ ยาก “ยดึ ไว”้ อกี แลว้ นนั่ เอง. กลมุ่ ประสานงานเพอ่ื การเตอื นภยั (เขากะลา) www.ufokaokala.com

สารบัญ ธรรมะเพ่อื การละวางอตั ตาตวั ตนชดุ ที่ 1 การปล่อยวาง ........................................................................... 1 แบบฟอร์มขนั ธ์หา้ .....................................................................7 ทฤษฎีแห่งความสัมพนั ธ์............................................................16 “ความเป็นเช่นน้นั เอง” .............................................................21 การเวียนวา่ ยตายเกิด .................................................................37 ปัจจุบนั กค็ ือปัจจุบนั ................................................................41 โลกน้ีคือละคร .......................................................................49 สมาธิภาวนา .......................................................................... 69 ธรรมะเพ่อื การละวางอตั ตาตวั ตนชุดท่ี 2 การมองทุกสรรพส่ิงท่ีเกิดข้นึ บนโลกใบน้ี ........................................89 มองใหเ้ ป็นจะเห็นความว่าง.........................................................92 สุญญตาสูตร .......................................................................... 97 การเกดิ เป็นทกุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ ...........................................................100 มารู้จกั อดตี ปัจจุบนั อนาคต ในอกี มมุ มองหน่ึง... กนั เถอะ ..................105 ความลบั ของตวั ตน ................................................................115 ธรรมะเพอ่ื การละวางอตั ตาตวั ตนชดุ ท่ี 3 รู้จกั ขนั ธห์ า้ ตามความเป็นจริง ....................................................122

โลกน้ี...กค็ อื ละครโรงใหญ่ .......................................................123 ทางโลก .............................................................................126 “กฎแห่งกรรม” .................................................................... 132 อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา ...........................................................136 สมมตุ ิ คือความว่าง ...............................................................148 อวชิ ชา...............................................................................152 แกงเขียวหวานไก่....ไมม่ จี ริง .....................................................156 ธรรมะเพอื่ การละวางอตั ตาตวั ตนชุดที่ 4 “เวลา” สิ่งล้าํ ค่าท่มี องไมเ่ ห็น?.................................................165 โลกวา่ งเปลา่ ..................................................................................................175 ไมเ่ ป็นทวนิ ิยม...............................................................................................179 สัจจะแท้ ............................................................................185 สุญญตา..................................................................................... ....................188 ความธรรมดา....................................................................... 189

1 ธรรมะเพอื่ การละวางอตั ตาตัวตน ชุดที่ 1 บรรยายโดย อาจารย์สุดใจ ช่ืนสานวน การปล่อยวาง ธรรมะ ในข้นั ปล่อยวาง ก็คือการเห็นการเกิดข้ึนของอารมณ์ ตามธรรมชาติ เห็นการปรุงแต่งไปตามกลไกของธรรมชาติ และไม่เขา้ ไปยงุ่ เกี่ยวบงั คบั บญั ชาธรรมชาติน้นั ๆ อารมณ์ท่ีมนั เกิดข้ึนตามกลไกของธรรมชาติน้นั มนั กเ็ กิดซ้าํ ๆ เช่นน้ีมานานแลว้ และขณะน้ีกย็ งั คงเกดิ อยู่ และก็จะยงั เกิดข้ึนไปอีก ในอนาคตต่อๆไป เบ่ือบา้ งไหม? กบั อารมณ์ท่ีรุ่มร้อน วิตกกงั วล หดหู่ หม่นหมอง มึนซึม ที่มนั เกิดข้ึนกบั เราซ้าํ แลว้ ซ้าํ เล่า มานานเหลือเกิน แลว้ ทาํ ใหจ้ ิตเราหวน่ั ไหวข้ึนลงไปกบั อารมณ์เหลา่ น้ีไมเ่ คยหยดุ นิ่ง ยงิ่ หา้ มเหมือนยง่ิ ยุ ยง่ิ อยากสงบ ก็ยงิ่ ฟ้ ุงซ่าน ยง่ิ อยากเลกิ กงั วล กย็ งิ่ คิดยง่ิ กงั วลไม่เคยหยดุ อารมณ์กย็ ง่ิ ร้อนรุ่มทุรนทุราย จะหาความสงบไม่ได้ เลยในภาวะน้นั ๆ

2 เพราะเราหา้ มมนั ไมไ่ ด้ เราสงั่ มนั ไมไ่ ด้ มนั ไม่อยใู่ นบงั คบั บญั ชาของใคร แต่เรารู้จกั มนั ได้ เราเรียนรู้มนั และเขา้ ใจมนั ตามที่มนั เป็นนนั่ แหละ ท่ีจะทาํ ใหเ้ ราปลอ่ ยวางมนั ได้ เพราะว่าเราอยใู่ กลก้ บั มนั มานานเหลือเกิน และตอนน้ีมนั กย็ งั อยกู่ บั เรา ถา้ คดิ วา่ ยงั ตอ้ งอยกู่ บั มนั ไปอกี ไมร่ ู้จะนานเท่าไรน้นั ถา้ ตอ้ งข้ึนลง ว่งิ ตามมนั ไปเรื่อยๆ แค่ คิดกเ็ หน่ือยเหลอื เกิน เรามาลองปล่อยวางอารมณ์เหลา่ น้นั กนั ดูบา้ ง ดงั ท่ีหลวงพ่อ ชา สุภทั โท (พระโพธิญาณเถร) ท่านไดอ้ ปุ มาอุปไมยไวว้ ่า อารมณ์ท้ังหลายเหมอื นกบั งูเห่าทม่ี พี ษิ ร้าย ถ้าไม่มอี ะไรขวาง มนั กเ็ ลอื้ ยไปตามธรรมชาตขิ องมนั แม้พษิ มนั จะมอี ยู่ มนั กไ็ ม่แสดงออกมา ไม่ได้ทาอนั ตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้า ไปใกล้มนั เพราะอารมณ์ มนั กต็ อ้ งเกิดอยา่ งน้นั อยแู่ ลว้ ตามเหตุปัจจยั เรา แค่ยนื ดอู ยหู่ ่างๆ แมม้ นั จะยงั เกดิ ข้นึ อยู่ แต่มนั ก็ทาํ อะไรเราไม่ได้ เหมือนแม่น้าํ ที่กาํ ลงั เชี่ยวกราก ถา้ เรายนื ดอู ยบู่ นฝ่ัง เรากจ็ ะเห็นน้าํ น้นั มนั ก็ไหลเช่ียวไปเรื่อยๆ ปะทะกบั สิ่งต่างๆ แลว้ พดั พาสิ่งน้นั ๆไปดว้ ย

3 เมื่อเรายนื ดูเราก็เห็น แต่ถา้ เผลอลงไปในน้าํ น้นั แมจ้ ะว่ายน้าํ เป็นก็ ยงั คงตอ้ งเปี ยกปอน เหนด็ เหนื่อยในการวา่ ยเขา้ หาฝั่งอยดู่ ี ถา้ เรายงั ไม่รู้เท่าทนั ธรรมชาติของอารมณ์ กจ็ ะเขา้ ไปพยายาม ที่จะดบั มนั ไม่ใหม้ นั ร้อนรน เศร้าหมอง และถา้ พยายามแลว้ มนั ไมด่ บั ก็จะมีตวั เราเป็นผทู้ ุกขต์ ามอารมณ์น้นั ๆ แต่ถา้ รู้ และเขา้ ใจในอารมณ์ น้นั ๆ วา่ มนั กเ็ กิดเช่นน้นั เอง ไมเ่ ขา้ ไปหา้ ม ไมเ่ ขา้ ไปขวาง ไม่เขา้ ไป ดบั มนั มนั ก็ทาํ อะไรเราไมไ่ ด้ ตวั เราผทู้ ุกขก์ ็ไม่มี แมม้ นั กาํ ลงั แสดง อารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง วติ กกงั วล ก็ดคู วามหดหู่เศร้าหมองวติ กกงั วล น้นั ตามท่ีมนั กาํ ลงั เกิดข้ึนอยู่ แต่มิใช่วา่ เขา้ ใจแลว้ อารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง วติ กกงั วล จะ หายไปนะคะ มนั ไมห่ ายไปหรอกในขณะน้นั เพราะแมเ้ ราเขา้ ใจกลไก การปรุงแต่งของมนั แลว้ กต็ าม แต่เพราะมนั เก่ียวเนื่องกนั หลายส่วน แต่ละส่วนมนั ก็ทาํ งานตามกลไกของมนั เมอื่ คิดกงั วลแลว้ มนั ก็ตอ้ งมี อารมณ์หดหู่เศร้าหมองวิตกกงั วลตามสารเคมีน้นั แมเ้ ราจะรู้จะเขา้ ใจ แต่ก็ยงั มลี ะอองของภาวะอารมณ์ขณะน้นั มาครอบคลุมอยดู่ ี จึงไดแ้ ต่ มองเห็นภาวะอารมณข์ ณะน้นั ๆ แต่ไม่ไดเ้ ป็นความทุกขน์ น่ั เอง

4 เหมือนเรารู้สึกร้อนๆหนาวๆคลา้ ยจะเป็นไข้ แต่ยงั ไม่ไดเ้ ป็น กก็ นิ ยาแกไ้ ขห้ วดั แลว้ ทาํ งานต่อ แต่ยาน้นั มีผลทาํ ใหเ้ กิดอาการง่วง นอน เพราะฤทธ์ิของยามีอาการง่วงนอนร่วมอยดู่ ว้ ย ดงั น้นั แมเ้ ราจะ ไมอ่ ยากนอน อยากทาํ งาน แต่เมอ่ื กินยาเขา้ ไปแลว้ สารเคมอี อกฤทธ์ิ แลว้ กท็ าํ ใหเ้ ราง่วงนอน อยากนอน และตอ้ งหลบั ในที่สุด แมจ้ ะอยาก หรือไมอ่ ยากกต็ อ้ งหลบั อยดู่ ีเพราะสารเคมที าํ งานตรงไปตรงมา คนท่ีตอ้ งผา่ ตดั เมอ่ื เขาใหด้ มยาสลบ แมจ้ ะฝืนอยา่ งไรกต็ อ้ ง สลบอยดู่ ี ร่างกายไมส่ ามารถตา้ นทานต่อสารเคมที ่ีมาทาํ ปฏิกิริยากบั กลไกในร่างกายได้ ดงั น้นั ถา้ เราศกึ ษาใหด้ ี ดใู หด้ ี เรานาํ วทิ ยาศาสตร์ท่ีวเิ คราะห์ วจิ ยั แลว้ มาประยกุ ตใ์ ชเ้ พอ่ื เรียนรู้ร่างกายของเรา ขนั ธห์ า้ ของเรา อารมณ์ของเราท่ีเกิดข้ึนในแต่ละขณะ แต่ละนาทีแลว้ กจ็ ะเห็นกลไกท่ี ทาํ ไม? ธรรมะจึงบอกวา่ ทุกอยา่ งเป็นธรรมชาติ ทุกอยา่ งไมใ่ ช่ตวั ตน ทุกอยา่ งเป็นไปตามเหตุปัจจยั เมื่อส่ิงน้ีมี ส่ิงน้ีจึงมี เมือ่ คิดเสียใจ

5 อารมณ์ก็หดหู่ เศร้าหมอง มนั รองรับกนั ตรงไปตรงมาตามเหตุตาม ปัจจยั อยา่ งน้ี เป็นเร่ืองธรรมดา ถา้ เป็นแค่ผดู้ ู ที่ไม่ไดเ้ ขา้ ไปยงุ่ เก่ียวกบั ภาวะอารมณใ์ น ขณะน้นั ความหดหู่เศร้าหมอง ความเบื่อหน่าย ความห่อเห่ียวใจ ท่ีเรา คิดว่าเป็นความทกุ ข์ หรือแมแ้ ต่ความพออกพอใจ ท่ีเราคิดว่าเป็น ความสุขน้นั เม่ือดูกจ็ ะเห็นวา่ มนั เป็นเพียงภาวะอารมณ์ลกั ษณะหน่ึง กาํ ลงั ดาํ เนินกลไกอยใู่ นขนั ธ์ 5 ขณะน้ีเท่าน้นั และเมือ่ เห็นมนั จริงๆ อารมณ์เหลา่ น้ีก็ทาํ อนั ตรายเราไมไ่ ดเ้ ช่นกนั แมม้ นั จะยงั คงแสดง อาการหดหู่เศร้าหมองเช่นน้นั อยกู่ ต็ าม อยา่ งที่หลวงพอ่ ชา สุภทั โท (พระโพธิญาณเถร) ท่านไดอ้ ปุ มาอปุ ไมยไวว้ า่ “งูเห่า กเ็ ป็ นไปตามเร่ืองของงูเห่า มนั กอ็ ย่อู ย่างน้นั ถ้าหากเป็ นคนทฉี่ ลาดแล้ว กจ็ ะปล่อยหมด สิ่งทด่ี กี ป็ ล่อยมนั ไป ส่ิงทชี่ ่ัวกป็ ล่อยมนั ไป สิ่งทชี่ อบใจกป็ ล่อยมนั ไป เหมอื นอย่างเราปล่อยงูเห่าที่มพี ษิ ร้ายน้ัน ปล่อยให้มนั เลอื้ ยของมนั ไป มนั กเ็ ลอื้ ยไปท้ังทีม่ พี ษิ อย่ใู นตวั มนั นนั่ เอง”

6 ธรรมะ กค็ ือธรรมชาติ การมองเห็นความเป็นธรรมชาตขิ อง ขนั ธห์ า้ เป็นสิ่งท่ีสาํ คญั อยา่ งยงิ่ ในการที่จะปล่อยวาง ไมย่ ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในขนั ธห์ า้ ก็เพราะเขา้ ใจในกลไกของมนั นนั่ เอง ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วไปก่อนหนา้ น้ี ในกระบวนการขนั ธห์ า้ น้นั ก็เป็น ธรรมชาติเช่นเดียวกนั แต่มีมุมมองที่กวา้ งข้ึนอกี ในรูปแบบ วิทยาศาสตร์ผสมผสานกนั ไปดว้ ย จึงเป็นในรูปแบบของวทิ ยาศาสตร์ ทางจิต ที่สามารถเขา้ ใจไดเ้ ป็นรูปธรรม คือมีการพสิ ูจน์ทาง วิทยาศาสตร์เขา้ มาสนบั สนุนกลไกของขนั ธห์ า้ ที่ไดก้ ลา่ วไวน้ น่ั เอง บางคร้ัง การมองเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงน้นั ก็ สามารถทาํ ใหเ้ ราเขา้ ใจถงึ กลไกของธรรมชาติ และไม่อยากที่จะไป บงั คบั บญั ชาใหธ้ รรมชาติเป็นไปอยา่ งที่เราตอ้ งการ ธรรมชาติยอ่ มปรุงแต่งใหแ้ ต่ละบุคคล เป็นไปตามแต่ละเหตุ ปัจจยั น้นั ๆท่ีเขาไดส้ ะสมมา ไมไ่ ดม้ ใี ครจะอยากเป็นหรือไมอ่ ยากเป็น เช่นน้นั ดงั น้นั การเกิดมาตามกรรม ก็เป็นสิ่งท่ีถกู ตอ้ งตามกฎของ ธรรมชาติ เพราะเมอ่ื ยงั มีตวั ตนของตนอยู่ ส่ิงที่กระทาํ ยอ่ มถกู เกบ็ ไว้ เพ่ือประมวลผลต่อไป

7 เหมอื นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เมื่อต้งั โปรแกรมบวกเลขไว้ แลว้ เราก็ใส่ตวั เลขไปเร่ือยๆ +15 -28 +32 -16 +88 +90 -43 -2 17 +343 - 51 +8... แลว้ บนั ทึกต่อไปเรื่อยๆ เมื่อกดใหค้ าํ นวณยอดสุทธิของขอ้ มลู ตวั เลขที่ประมวลผลออกมาไดเ้ ท่าไร จะเป็นบวก หรือตดิ ลบ เคร่ือง คอมพิวเตอร์กร็ ายงานออกมาถกู ตอ้ งตามน้นั เราก็เช่นกนั เมอื่ ยงั มี ความเป็นตวั เรา ของเราอยู่ การบนั ทึกกุศล หรืออกศุ ลเขา้ ไว้ เมื่อ ประมวลผลออกมาอยา่ งไร กลไกของธรรมชาติกย็ อ่ มจดั สรรใหไ้ ปอยู่ ในแบบฟอร์มขนั ธห์ า้ น้นั ๆ ตามการประมวลผลออกมานน่ั เอง แบบฟอร์มอะไร? ทาํ ไมตอ้ งมีแบบฟอร์มขนั ธห์ า้ แบบฟอร์ มขันธ์ ห้า กลไกของธรรมชาติกม็ กี ารจดั สรรกาํ หนดกฎเกณฑเ์ ป็น แบบฟอร์มขนั ธห์ า้ ข้ึนมา แบบฟอร์มแต่ละแบบฟอร์มน้นั จะมีความ เหมอื นกนั ในแต่ละแบบฟอร์ม ดงั ตวั อยา่ งเช่น

8 แบบฟอร์มขันธ์ห้าของนกแก้ว แบบฟอร์มน้ีมสี องขา มปี ีกสี เขียว จะมีลกั ษณะบินไดแ้ ละพดู ไดถ้ า้ มกี ารสอนใหพ้ ดู แบบฟอร์มของนกยงู มปี ี กแต่บนิ ไม่ได้ มสี ีสนั สดใส หาง ลาํ แพนสวยงาม แต่สอนใหพ้ ดู ไม่ได้ แบบของปลาฉลาม จะมลี กั ษณะดุร้าย กินปลาเลก็ ๆเป็น อาหาร แบบฟอร์มของปลาทู จะไมด่ ุร้าย จะตกเป็นอาหารของปลา ต่างๆ จึงมกี ารอยกู่ นั เป็นฝงู ใหญ่ การว่าย การแสดงออกจะ เหมือนๆกนั แบบฟอร์มของลิง ของแมลง ของเต่า ของกระต่าย ของอะไร กต็ ามกจ็ ะมีลกั ษณะเฉพาะของแต่ละแบบฟอร์มแตกต่างกนั ไป ดงั น้นั เม่ือการประมวลผลของการบนั ทึกไวอ้ อกมาเป็นเช่น ไร ถา้ ผลของการประมวลผลออกมาไมถ่ งึ เกณฑท์ ี่จะไดเ้ กิดมาเป็น มนุษยแ์ ต่เขา้ ไดก้ บั แบบฟอร์มไหน กจ็ ะตอ้ งไปยงั แบบฟอร์มน้นั สมมตุ ิวา่ สร้างอกศุ ลมากกวา่ แลว้ ไดแ้ บบฟอร์มปลาทู เม่อื เขา้ ไปอยใู่ นแบบฟอร์มน้นั แลว้ ก็ตอ้ งคิดรู้ทาํ ไปตามแบบฟอร์มน้นั เลยเพราะมนั มีแค่ช้นั เดียว คือมแี คก่ ารทาํ ตามสญั ชาตญาณเท่าน้นั เมอื่

9 ออกมาเป็นลกู ปลาก็ตอ้ งเอาตวั รอดตามสญั ชาตญาณ เมอ่ื โตข้ึนมาก็ เขา้ ไปในฝงู แหวกวา่ ยไปหาอาหารตามกลุ่มของปลา เมอ่ื ฉลามมา สญั ชาตญาณเอาตวั รอดก็ว่ายหนี แลว้ มารวมฝงู กนั ใหม่ ก็เป็นอยอู่ ยา่ ง น้ีตามแบบฟอร์ม จะไม่มกี ารคิดไดว้ ่าจะรวมกนั สูฉ้ ลาม จะฉลาดรู้เท่า ทนั ไม่ว่ายไปเขา้ อวนท่ีมนุษยว์ างไวเ้ พราะแบบฟอร์มน้ีไมไ่ ดม้ ีไวใ้ ห้ คิดซบั ซอ้ นได้ จึงมกี ารคิดไดแ้ ค่ช้นั เดียวคือเป็นไปตามสญั ชาตญาณ ของแบบฟอร์มน้นั ๆ ดงั น้นั ถา้ ตอนเป็นมนุษย์ แมค้ นๆน้นั จะเก่งกลา้ สามารถ เป็น ใหญ่เป็นโตไม่กลวั ใคร สร้างสิ่งไม่ดีไวม้ ากมายแต่ถา้ ผลท่ีส่งไปลง แบบฟอร์มของปลาทูแลว้ แบบฟอร์มน้นั คิดรู้ไดต้ ามสญั ชาตญาณ เท่าน้นั แบบฟอร์มปลาทขู ้ีกลวั เมื่อไปอยใู่ นแบบฟอร์มน้นั ก็ตอ้ งข้กี ลวั ไปดว้ ยตามแบบฟอร์มที่ธรรมชาติออกแบบไวแ้ ลว้ มดที่เราเห็นเดินกนั เป็นแถวๆน้นั เม่อื ไปเกิดในแบบฟอร์ม น้นั กต็ อ้ งเดินเป็นแถวๆตามกนั ไป ไม่มกี ารท่ีจะคิดว่าฉนั นอนดีกวา่ จะ เดินตามเขาไปทาํ ไม จึงคิดรู้ไดต้ ามสญั ชาตญาณของแบบฟอร์มน้นั เท่าน้นั แมก้ ่อนตายจะเป็นคนรวดเร็ววอ่ งไวทาํ งานเก่ง แต่มดี า้ น อกศุ ลมากกวา่ หากเม่อื ละขนั ธม์ นุษยไ์ ปการประมวลผลส่งไปอยใู่ น

10 แบบฟอร์มของเต่า แบบฟอร์มน้นั เชื่องชา้ คลานไปเร่ือยๆ ตว้ มเต้ียมๆ เขาก็ตอ้ งตว้ มเต้ียมตามแบบฟอร์มน้นั ตามสญั ชาตญาณของเต่านนั่ เอง จะไม่มีการคิดไดว้ ่า ไมเ่ อาแลว้ วิง่ ดีกวา่ เบ้ือเดินชา้ ๆ เบื่อนอนในน้าํ เบ่ือ ฯลฯ ไม่สามารถคิดรู้ได้ ซ่ึงกเ็ ป็นไปตามแบบฟอร์มน้นั ใน ส่วนมาก แต่สาํ หรับมนุษยก์ ็เป็นแบบฟอร์มขนั ธห์ า้ เช่นกนั แต่ แบบฟอร์มน้ีมลี กั ษณะพเิ ศษมากกว่าแบบฟอร์มอ่ืนๆ มีความซบั ซอ้ น มคี ุณสมบตั ิคิดรู้ไดเ้ อง ดงั น้นั จึงเรียกวา่ สตั วป์ ระเสริฐ เพราะเป็น แบบฟอร์มท่ีนอกจากจะมีสญั ชาตญาณตามธรรมชาติแลว้ ยงั สามารถ มปี ัญญาคิดรูไ้ ดท้ ่ีนอกเหนือไปจากแบบฟอร์มอ่นื ๆ คือมสี ติยง้ั คิด มี การพจิ ารณา มกี ารไตร่ตรอง มกี ารควบคุมอารมณ์ท่ีเกิดตาม สญั ชาตญาณ ดงั น้นั จงึ สามารถทจ่ี ะพจิ ารณาธรรมและบรรลุธรรมได้ ดังน้นั การทจ่ี ะเกดิ มาได้แบบฟอร์มของมนุษย์น้นั จงึ เป็ น เรื่องทยี่ ากแสนยาก การมองใหเ้ ห็นกลไกตามธรรมชาติน้นั ก็ตอ้ งมองใหร้ อบ มองใหเ้ ห็นความเป็นธรรมดาของกลไกของสตั วเ์ หล่าน้นั ดว้ ย จ้ิงจก

11 มนั ก็เกิดมาอยใู่ นแบบฟอร์มของมนั มนั ตอ้ งกนิ แมลงมนั ตอ้ งอยตู่ าม บา้ นเราเพราะรอกินแมลง เรารําคาญอยากไลม่ นั เราก็ทาํ ไดแ้ ต่ถา้ มนั มา อีกเราก็ไลอ่ กี มนั มาอีกเราโมโห ความทุกขก์ เ็ ป็นของเรา ความ พยาบาทท่ีจะทาํ ร้ายมนั ก็ถกู บนั ทึกไว้ ท้งั ๆที่ยงั ไม่ไดท้ าํ ก็บนั ทกึ ไป เรียบร้อยแลว้ ตามเจตนา ตามความคิดท่ีเรายดึ ว่าเป็นผคู้ ิดนนั่ เอง แมลงเมา่ เมอื่ มไี ฟท่ีไหนมนั กพ็ ากนั บินเขา้ ไป แลว้ มนั กต็ าย กนั เป็นฝงู ๆ เมอ่ื เรามองดูเรากป็ ลงสงั เวชท่ีมนั พากนั บินเขา้ ไปตาย แต่ เมือ่ มนั อยใู่ นแบบฟอร์มน้นั มนั ไม่สามารถคิดไดว้ ่าอยา่ เขา้ ไปในไฟ เลยเด๋ียวตาย แต่แบบฟอร์มน้นั มนั กท็ าํ ตามสญั ชาตญาณของ แบบฟอร์มเท่าน้นั เกิดปัญญาคิดรู้ไมไ่ ด้ ดงั น้นั การท่ีไปเกิดเป็นสตั วต์ ่างๆน้นั ก็เป็นการเกิดมาใช้ กรรม ที่ว่าเกดิ มาใชก้ รรม กเ็ พราะไม่สามารถท่ีจะคิดรู้ พาตวั เองออก จากความทุกขไ์ ด้ ก็ทาํ ไปตามสญั ชาตญาณเท่าน้นั เป็นนก ออกจากไข่ แลว้ กห็ ดั บิน ออกไปหากิน มสี ญั ชาตญาณเอาตวั รอดจากภยั สืบพนั ธุ์ ออกไข่ เล้ียงลกู แลว้ ก็ตาย ถา้ เกิดมาในแบบฟอร์มนกอกี ก็ออกจากไข่ แลว้ กห็ ดั บิน ออกไปหากิน มสี ญั ชาตญาณเอาตวั รอดจากภยั สืบพนั ธุ์ ออกไข่ เล้ียง ลกู ถกู คนยงิ บาดเจ็บ แลว้ กต็ าย วฏั จกั รของนกก็มแี ค่น้ี เกิดมาแต่ละชาติกเ็ ท่าเดิม กค็ ือเกิดแค่ ไหน กต็ ายแคน่ ้นั เพราะไม่มคี วามคดิ ซบั ซอ้ นใหเ้ กิดปัญญาได้ จนกวา่

12 จะมีการเปล่ยี นแบบฟอร์มไปยงั แบบฟอร์มอน่ื ๆ ที่มกี ลไกซบั ซอ้ น มากข้ึนไปอีกเท่าน้นั (หมายเหตุ) ที่กล่าวมาน้ีเป็นแบบฟอร์มขนั ธห์ า้ ของสตั วต์ าม ธรรมชาติท่ีเห็นกนั ทวั่ ๆไป มไิ ดก้ ลา่ วรวมถึงการอธิษฐานจิตมาสร้าง บารมขี องพระโพธิสตั วใ์ นชาตภิ พที่ผา่ นมา ที่ท่านมีปัญญาไตร่ตรอง และคิดรู้ไดต้ ามการอธิษฐานจิตน้นั ๆ ดงั น้นั การท่จี ะมองเหน็ ธรรมชาติ แล้วปล่อยวางตามความ เป็ นจริงน้นั ต้องเข้าใจในหลายๆเรื่อง และมองเหน็ ความเป็ นเช่น น้ันเองของทุกสรรพส่ิง แบบฟอร์มของเสือ เกิดมาตอ้ งดุร้าย กินสตั วเ์ ป็นอาหาร เม่อื จิตที่เขา้ มาอยใู่ นแบบฟอร์มน้ี คิดอะไร กท็ าํ ไปตามน้นั เมื่อหิว สญั ชาตญาณกต็ อ้ งหาอาหาร กต็ อ้ งไปลา่ สตั ว์ เม่อื เห็นกวางก็ตอ้ งคิด จะฆา่ กวางตามสญั ชาตญาณ แลว้ ดาํ เนินการตามท่ีคิด นน่ั คือ สญั ชาตญาณหากินตามธรรมชาติ แบบฟอร์มของมนุษย์ เมือ่ หิวหนั ไปเห็นคนกาํ ลงั กินขา้ วใน ร้าน อยากเขา้ ไปแยง่ อาหารน้นั แต่มีสติยง้ั คิดมกี ารไตร่ตรองก่อน ดงั น้นั ความหิวจึงไม่สามารถผลกั ดนั ใหม้ นุษยท์ าํ ในส่ิงท่ีเห็นวา่ ไม่ ถกู ตอ้ งไดเ้ พราะมคี วามคิดอกี ดา้ นหน่ึงท่ีซบั ซอ้ นกวา่ สญั ชาตญาณ มา คอยขวางก้นั การทาํ ตามอารมณ์น้นั ๆอีกช้นั หน่ึงนน่ั เอง แต่ไม่ใช่ไปมองวา่ เสือผดิ ท่ีคิดแลว้ กไ็ ปลา่ กวางกนิ เป็นอาหาร แต่เพราะเป็นสญั ชาตญาณท่ีมีอยใู่ นแบบฟอร์มน้นั กวางกอ็ ยใู่ น

13 แบบฟอร์มท่ีตอ้ งคอยระวงั ตวั คอยหนีตลอดเวลาเม่อื แบบฟอร์มน้นั มี สญั ชาตญาณหนีอยา่ งเดียว ตอนเป็นมนุษยเ์ คยกลา้ ไมก่ ลวั ใครถา้ ไปอยู่ แบบฟอร์มกวางก็จาํ ไม่ได้ ก็ตอ้ งคดิ ไปตามกลไกของแบบฟอร์มน้นั ดงั น้นั การมองเห็นว่าหมาน่ารักแมวน่ากอด หนูน่าเกลยี ด จิ้งจกน่าเบ้ือ งูน่ากลวั ไสเ้ ดือนน่าขยะแขยง น้นั ก็เป็นการมองท่ีไม่ เขา้ ใจในความเป็นจริงของธรรมชาติ จึงมีความเห็นที่ไมเ่ ทา่ เทียมกนั สตั วต์ ่างๆมนั กไ็ มส่ ามารถเลอื กเองไดว้ า่ มนั ไม่อยากเป็นหมา ไม่อยากเป็นแมว ไมอ่ ยากเป็นหนู ไมอ่ ยากเป็นกิ้งกือไสเ้ ดือน แต่เม่อื วิบากส่งไปลงในแบบฟอร์มขนั ธห์ า้ น้นั แลว้ เขากต็ อ้ งไปตาม แบบฟอร์มน้นั แบบฟอร์มแมวน่ารัก ข้ีประจบ เขากเ็ ลน่ ไปตามกลไก ของแบบฟอร์มน้นั แบบฟอร์มน้นั จึงมขี นสวย น่ารกั สะอาด ประจบ เก่ง แบบฟอร์มหนู ชอบลกั ขโมย ชอบคุย้ เศษอาหาร สกปรก แบบฟอร์มน้นั จึงมขี นสีดาํ หรือทึมๆ หางแหลมน่าเกลยี ด เพราะตอ้ ง อยใู่ นท่อสกปรก เราเห็นกร็ ังเกียจเหมือนกนั หมด มดชอบข้ึนอาหาร มดก่ีตวั กีต่ วั เดินเรียงแถว จะมารุมกินแต่ เศษอาหารท่ีท้ิงไว้ กเ็ พราะแบบฟอร์มเขาเป็นอยา่ งน้นั จมกู ไดก้ ล่ิน

14 ไกลมากและมาเป็นขบวน ซ่ึงเขาอยใู่ นแบบฟอร์มน้นั ๆกไ็ ม่สามารถ เลอื กได้ ตอ้ งเป็นไปตามกลไกของแบบฟอร์มน้นั แมแ้ ต่มนุษยก์ ็ไมส่ ามารถเลือกเองไดเ้ ช่นกนั ดงั น้นั ทาํ ไมจึง ตอ้ งสร้างกุศล สร้างบารมไี ปเรื่อยๆ เพราะในข้นั ที่ไม่สามารถปล่อย วางขนั ธห์ า้ ไดย้ งั มตี วั ตนของตนอยนู่ ้นั การที่จะบนั ทกึ ส่ิงใดเขา้ ไป ก็ ควรที่จะบนั ทึกในส่ิงที่เป็นกุศลดีกวา่ เพอ่ื ป้ องกนั การไปอยใู่ น แบบฟอร์มท่ีไม่สามารถคิดรู้ไดเ้ องเหล่าน้นั ความจริงทุกส่ิงมนั ก็เป็นของมนั อยา่ งน้นั แหละตามกลไก ของธรรมชาติ แต่เรากเ็ ลือกท่ีจะอยกู่ บั สิ่งใดๆก็ได้ แต่อยา่ ไดไ้ ปยดึ วา่ ส่ิงน้ีดีกว่าสิ่งน้ี เรารักแมวก็อยกู่ บั แมวไป ถา้ สุนขั มนั วิ่งไล่แมวเรา ก็ ตอ้ งรู้วา่ สญั ชาตญาณของสุนขั มนั เป็นอยา่ งน้นั นนั่ เอง เราก็ช่วยแมว ไปตามเร่ือง ตามความเมตตาเท่าท่ีทาํ ได้ แต่การท่ีจะไปขุ่นแคน้ อาฆาต แลว้ ฆา่ สุนขั ตวั น้นั กเ็ พราะเราเห็นวา่ สิ่งน้ีเรารกั สิ่งน้ีเราเกลียด เราตอ้ งกาํ จดั ส่ิงท่ีเราเกลยี ดไป แต่ถา้ แมวเราไปไลจ่ บั หนูกต็ อ้ งรูว้ ่า สญั ชาตญาณมนั เป็นอยา่ งน้นั เอง เรากช็ ่วยหนูไปตามเรื่องตามความ เมตตาท่ีเรามี ไมใ่ ช่ไปโกรธแคน้ แมวเราเพิ่มอีก หาว่าเรากเ็ ล้ียงอาหาร อยา่ งดีแลว้ ก็ยงั ไปกินหนูอกี ซ่ึงสิ่งน้ีเป็นกลไกของแบบฟอร์มของมนั ซ่ึงกไ็ ม่มอี ะไรผดิ อะไรถกู เช่นกนั เพราะมนั เป็นธรรมชาติของแต่ละ แบบฟอร์มนนั่ เอง นกตอ้ งจกิ กินหนอน ไก่ตอ้ งกินไสเ้ ดือน งตู อ้ งกินกบกินเขยี ด เราไม่สามารถไปช่วยสตั วเ์ หลา่ น้นั ไดท้ ้งั โลก แต่ถา้ ส่ิงน้นั เราสามารถ

15 ช่วยเหลอื ได้ มาเกิดตรงหนา้ เรา เรามองเห็น กช็ ว่ ยกนั ไปตามธรรมดา ตามความเมตตากรุณาท่ีมอี ยู่ แต่บางสิ่งที่ไมส่ ามารถช่วยได้ ก็ตอ้ ง ปล่อยวาง ต้องเหน็ ความเป็ นไปของธรรมชาติ จติ จะได้ไม่ไปหดหู่ เศร้าหมองกบั ธรรมชาตเิ หล่าน้นั ก็เป็นมุมมองอกี มุมมองหน่ึงของการเห็นความเป็นเช่น น้นั เองของธรรมชาติ เราจะไดไ้ ม่ไปมอี คติกบั ส่ิงใดๆรอบตวั ที่อนั น้ี ชอบ อนั น้ีไม่ชอบ รักแมว เกลยี ดหมา รักนก เกลียดหนู หรือมองเห็น สิ่งน้ี ดีกวา่ สิ่งน้ี ทาํ ใหจ้ ิตของเราโอนไหวไปตามความเห็นท่ีเอยี งไป ในดา้ นใดดา้ นหน่ึงนน่ั เอง แบบฟอร์มขนั ธห์ า้ เป็นภาษาเรียกที่อาจไมค่ ุน้ เคย แต่ระบบท่ี ไดม้ าอธิบายกลไกของธรรมชาติไดน้ าํ มากลา่ วไว้ ซ่ึงเมือ่ ฟังแลว้ ก็ สามารถเขา้ ใจในกลไกของธรรมชาติในอกี รูปแบบหน่ึง กข็ อนาํ มาเลา่ เพ่ิมเติม เพอ่ื บางท่านที่ไดส้ นใจเร่ืองของขนั ธห์ า้ จะไดน้ าํ ไป เทียบเคียงกบั ธรรมะท่ีว่า การเกิดมาตามกรรม นนั่ เอง มมุ มองของธรรมชาติ เป็นมุมมองท่ีสอนใหเ้ ราเขา้ ใจ ธรรมชาติท่ีมนั กาํ ลงั เกิดข้นึ อยตู่ ามสิ่งท่ีมนั เป็น ไมไ่ ดส้ อนใหไ้ ป เปลี่ยนแปลงธรรมชาติใหเ้ ป็นอยา่ งที่เราตอ้ งการ

16 ทฤษฎีแห่งความสัมพันธ์ “ทุกอย่างเป็ นไปตามเหตุปัจจยั ไม่ได้เป็ นไปตามความหวงั ของใคร สร้างเหตุปัจจยั ทจ่ี ะนาไปสู่ผลน้นั ๆเถดิ โดยไม่ต้องสร้างความหวงั ” จากหนงั สือ “ฝนประปราย” ทุกส่ิงทุกอยา่ งมนั เป็นไปตามธรรมชาติ ต่อใหด้ ดั แปลง อยา่ งไร สุดทา้ ยมนั กค็ ืนสู่ธรรมชาติ โทรศพั ท์ ทีวี คอมพิวเตอร์ ดดั แปลงใหส้ ะดวกสบาย ใชไ้ ดท้ นั สมยั ขนาดไหน สุดทา้ ยกต็ อ้ ง กลบั คืนไปเป็นดิน น้าํ ลม ไฟ อากาศ อยา่ งเดิมก่อนท่ีจะถกู ปรุงแต่งอยู่ ดี ดงั น้นั การท่ีจะเขา้ ใจธรรมชาติได้ กต็ อ้ งเห็นธรรมชาติท่ีมนั มี ววิ ฒั นาการของมนั เองไปเร่ือยๆ ดงั น้นั เมอื่ มีเกวยี น กต็ อ้ งมีรถ เมื่อมี รถ กต็ อ้ งมีเคร่ืองบิน เมือ่ มเี ครื่องบินกต็ อ้ งมเี ทคโนโลยดี า้ นอวกาศไป

17 เรื่อยๆ เมอ่ื ก่อนอยถู่ ้าํ ก็เริ่มมบี า้ น ก็เริ่มมตี ึกไปเรื่อยๆ ตามววิ ฒั นาการ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะอยกู่ บั ธรรมชาติที่มนั ถกู ปรุงแต่งไป เร่ือยๆ แต่การอยโู่ ดยเขา้ ใจธรรมชาติน้นั กต็ อ้ งเห็นมนั เป็นอยา่ ง น้นั เองของมนั อยา่ ไปต้งั ความหวงั วา่ จะตอ้ งเป็นอยา่ งโนน้ อยา่ งน้ี อยา่ งที่เราตอ้ งการ เพราะถา้ ต้งั ความหวงั เมื่อไร ความผดิ หวงั กร็ ออยู่ แลว้ เม่ือน้นั อยา่ งเช่นเราอยากปลกู ดอกไม้ หว่านเมลด็ ดอกดาวเรืองลง ในดิน หวงั จะใหด้ อกดาวเรืองข้นึ มาเต็มพ้นื ท่ีออกดอกสีเหลอื ง สวยงาม แลว้ เรากเ็ ฝ้ าลดน้าํ ลงไป แต่ว่ากลบั มีตน้ ไมอ้ น่ื งอกข้นึ มา พร้อมๆกบั ตน้ ดาวเรืองเตม็ ไปหมด ซ่ึงเรากย็ อ่ มไมพ่ อใจ เพราะตอ้ ง คอยมานง่ั ถอนตน้ หญา้ ออกจากตน้ ดาวเรือง ทาํ ไมไม่มแี ต่ตน้ ดอก ดาวเรืองเท่าน้นั ฉนั ตอ้ งการแต่ดอกดาวเรืองเท่าน้นั ฉนั ไม่ไดต้ อ้ งการ ตน้ หญา้ ฉนั ไมไ่ ดห้ ว่านแกลงไป แกข้ึนมาทาํ ไม ถา้ ถอนตน้ หญา้ ไป โมโหไป อารมณ์หงุดหงิดข่นุ มวั ไป นนั่ เพราะความไม่เขา้ ใจในธรรมชาติ ก็ทาํ ใหอ้ ุปาทานว่าตน้ ดอกดาวเรือง ของเรา แต่ตน้ หญา้ ไม่ใช่ส่ิงที่เราอยากได้ เกิดข้ึนมา แต่ธรรมชาติมนั ไม่ไดส้ นใจวา่ เราจะสุขหรือทกุ ขเ์ พราะมนั ตน้ หญา้ ที่มนั มีพนั ธุฝ์ ังอยใู่ นดิน เม่อื มเี หตุปัจจยั เหมาะสม มีน้าํ มแี ดด มอี งคป์ ระกอบพร้อมมนั กง็ อกข้ึนมาตามกลไกของมนั มนั อาจจะงอก งามไดเ้ ร็วมากกว่าตน้ ดาวเรืองดว้ ยซ้าํ คนท่ีตอ้ งการแต่ตน้ ดาวเรือง เท่าน้นั ท่ีจะมโี อกาสสุข หรือทุกขก์ บั ตน้ หญา้ ส่วนเกินเหล่าน้ี ถา้ ตอ้ ง

18 ถอนหญา้ ไป แลว้ โมโหไป ข่นุ มวั ไป อารมณก์ ็หงุดหงิดข่นุ มวั เป็น ธรรมดา ถา้ เขา้ ใจธรรมชาติกถ็ อนตน้ หญา้ ตามท่ีมนั ข้ึนมา เพ่ือไมใ่ ห้ ไปแยง่ อาหารตน้ ดาวเรืองทีก่ าํ ลงั จะโตข้ึนมา กท็ าํ งานน้นั ดว้ ยอารมณ์ ปกติ งานท่ีทาํ เท่ากนั ตามท่ีมนั เป็นอยู่ แต่อารมณ์ไม่เท่ากนั ธรรมชาติมีเพียงหน่ึงเดียว ไม่มกี ารแบ่งแยก มนั เป็นไปตาม เหตุปัจจยั ตามกลไกท่ีมาปรุงแต่ง ดงั น้นั การท่ีเรามองเห็นของสองสิ่ง ไมเ่ ท่ากนั น้นั กม็ ีผลใหเ้ กิดการเปรียบเทียบระหวา่ งของสองส่ิงเสมอ จึงมีความเหล่อื มล้าํ ต่าํ สูงเกิดข้ึนเสมอ มกี ารเปรียบเทียบเร่ือยไป คือ อนั น้ีดีกว่าอนั น้ี อนั น้ีสวยกว่าอนั น้ี อนั น้ีแยก่ ว่าอนั น้ี อยรู่ ่ําไป ธรรมะกส็ อนว่าอย่าไปเปรียบเทียบว่า เราดกี ว่าเขา เขาดกี ว่า เรา หรือเราเสมอเขา เพราะเราจะเกิดการนาํ ไปเปรียบเทียบระหวา่ งของสองส่ิง นนั่ เอง เมอื่ เขาดีกวา่ เรากไ็ มพ่ อใจ เมอ่ื เราดีกวา่ เรากเ็ กดิ ความหยง่ิ ยโส โอหงั หรือถา้ เรากบั เขาใกลเ้ คียงกนั หรือเสมอกนั เรากจ็ ะอยากมใี ห้ มากกว่าใหด้ ีกว่าอยนู่ น่ั เอง ซ่ึงจริงๆแลว้ มนั ไม่มกี ารเปรียบเทียบหรอก ทกุ อยา่ งเป็นไป ตามธรรมชาติของแต่ละบุคคล ตามเหตุปัจจยั ของเขาเท่าน้นั เอง มนั จึง ไมม่ คี นรวย ไมม่ ีคนจน ไมม่ คี นพอมพี อกินเกิดข้ึนจริงๆ แต่มนั เป็นไปตามเหจุปัจจยั ของแต่ละคนที่ผลกั ดนั ไปตามกลไกนน่ั เอง

19 ธรรมชาติกเ็ ช่นกนั ตน้ ดาวเรืองกบั ตน้ หญา้ มนั ก็เป็น ธรรมชาติเหมือนกนั ตน้ มะมว่ งกบั ตน้ ประดู่ก็เป็นธรรมชาติ เหมอื นกนั ชาวสวนชอบตน้ มะมว่ ง นกั อนุรกั ษช์ อบตน้ ประดู่ นกั ท่องเที่ยวชอบดอกไมส้ วยงาม แลว้ แต่ใครชอบสิ่งไหน ในภูเขาท้งั ลกู มีตน้ ไมเ้ ต็มไปหมด ตน้ สกั ตน้ ยาง ตน้ เตง็ ตน้ รัง ตน้ มะม่วง พทุ รา ตน้ ไมใ้ บหญา้ มากมาย ทกุ ตน้ กข็ ้ึนอยกู่ นั เองตามธรรมชาติ แต่ผทู้ ี่เขา้ ไปในป่ าน้นั ต่างหาก ที่ตอ้ งกระทบกระทง่ั กบั ภาวะอารมณ์ของตนเอง ถา้ นกั ท่องเที่ยวเดินเขา้ ไปในป่ า เห็นดอกกลว้ ยไมก้ ็ชอบใจ เห็นตน้ หนามกไ็ มพ่ อใจ นกั อนุรักษไ์ ปเห็นตน้ สกั กพ็ อใจ คนหาหน่อไมเ้ ห็น ตน้ กอไผก่ พ็ อใจเพราะเก็บหน่อไมไ้ ด้ มนั จึงอยทู่ ่ีเหตุปัจจยั แต่ละคน เด็กดูหนงั การ์ตนู ก็พอใจ แมบ่ า้ นดรู ายการอาหารกพ็ อใจ พ่อบา้ นดขู ่าวการเมอื งกพ็ อใจ ในบา้ นหลงั เดียวกนั ยงั มคี วามพอใจไม่ เหมือนกนั นน่ั เป็นเหตุปัจจยั ของแต่ละบุคคล ไม่มใี ครผดิ ใครถกู ถา้ เราเห็นทุกอยา่ งเป็นหน่ึงเดียว เป็นธรรมชาติ กจ็ ะไม่มกี าร แบ่งแยก จะเห็นว่ามนั เป็นของมนั อยา่ งน้นั เอง ไปเท่ียวป่ าหนา้ ฝนก็ ตอ้ งมีตน้ ไมส้ ีเขียวชุ่มชน่ื เขา้ ป่ าหนา้ แลง้ ก็ตอ้ งเห็นตน้ ไมย้ นื แหง้ สี น้าํ ตาลเป็นเรื่องธรรมดา ถา้ ไปคร้ังแรกสวย คร้ังหลงั แหง้ แลง้ รู้สึก ผดิ หวงั เบื่อหน่าย ก็ตอ้ งเห็นอารมณ์เบื่อหน่ายเป็นธรรมดาของการ ปรุงแต่งตามความคิดน้นั

20 ดงั น้นั ถา้ เราสามารถมองเห็นความเป็นเช่นน้นั เองของ ธรรมชาติในสงั คมยคุ ปัจจุบนั ได้ กจ็ ะทาํ ใหส้ ่ิงที่จะมากระทบอารมณ์ ปรุงแต่งนอ้ ยลง ดอกกุหลายสีแดง กบั สีชมพกู ็เหมือนกนั ตามธรรมชาติ แต่ ความรู้สึกเราชอบสีชมพู ดงั น้นั เม่ือหาซ้ือสีชมพไู ม่ได้ มแี ต่สีแดง กไ็ ม่ ชอบใจ หงุดหงิดใจ เพราะมีอปุ าทานกบั สีชมพมู ากกวา่ แต่ความจริง กุหลาบก็คือกุหลาบ จะสีอะไรมนั ก็เป็นของมนั อยอู่ ยา่ งน้นั เอง ตวั ดอกกหุ ลาบเองสกั แต่ว่าข้ึนมาตามเหตุปัจจยั มนั ไม่เคยสุขทุกข์ แต่คน ไปอปุ าทานกบั มนั ต่างหากที่สุขได้ ทกุ ขไ์ ด้ ถา้ เห็นวา่ มนั กเ็ ป็นของมนั อยา่ งน้นั แหละ ก็จะเห็นความเป็นธรรมชาติมากข้ึน เรามโี อกาสจะสุข ทุกขก์ บั สิ่งรอบขา้ งไดต้ ลอดเวลา รถมาชา้ กห็ งุดหงิด คนแน่นก็หงุดหงิด แดดร้อนกห็ งุดหงิด ไปกินขา้ วคนเยอะ ก็หงุดหงิด ถา้ เราเขา้ ใจวา่ อ๋อ มนั เลกิ งานคนก็เยอะอยา่ งน้ีแหละ ถนน สายน้ีมนั เลก็ ก็ตดิ อยา่ งน้ีแหละ แดดออกมนั กต็ อ้ งร้อนอยา่ งน้ีแหละ อยา่ งน้ีเป็นตน้ อยา่ ไปคิดว่ามสี องสิ่ง คือรถน่าจะติดนอ้ ยกว่าน้ี คน น่าจะนอ้ ยกวา่ น้ี แดดน่าจะอ่อนกวา่ น้ี ความจริงมนั กเ็ ป็นของมนั อยา่ ง น้ีตามเหตุปัจจยั วนั หยดุ รถกไ็ มต่ ิด คนบนรถกไ็ มแ่ น่น เพราะเหตุ ปัจจยั มนั เป็นวนั หยดุ ที่ไม่มคี นอยากออกจากบา้ นนนั่ เอง กเ็ ป็ นมุมมองของธรรมชาตอิ กี มมุ มองหนง่ึ ทม่ี เี พยี งหนึ่ง เดียวเท่าน้นั ไม่มกี ารแบ่งแยกออกเป็ นสอง เป็ นสาม เพยี งแต่มสี ่ิงอน่ื มาปรุงแต่ง จงึ แปรปรวนเปลย่ี นแปลงไปเร่ือยเท่าน้นั เอง

21 “ความเป็ นเช่นนัน้ เอง” ในมุมมองของธรรมะ วทิ ยาศาสตร์ และมนุษย์ต่างดาว แมป้ ัจจุบนั มนุษยโ์ ลกจะมีความเจริญท้งั สองดา้ น แต่ส่วน ใหญ่ จะต่างคนต่างมุมมองคิดในส่วนท่ตี นเองรู้ และพยายามทาํ ความ เขา้ ใจใหถ้ กู ตอ้ งตรงตามน้นั ซ่ึงกไ็ มใ่ ช่เร่ืองผดิ ปกติอะไร คนปฏิบตั ิธรรมะก็ปลอ่ ยวางดว้ ยวธิ ีการศกึ ษาดา้ นธรรมะ พิจารณาการเกิดดบั ของอารมณ์ ความรู้สึกวา่ เป็นเช่นน้นั เอง ไมน่ ่ายดึ มนั่ ถือมนั่ อะไร ส่วนในมมุ มองของวิทยาศาสตร์อารมณ์ของคนเรากข็ ้ึนอยกู่ บั สารเคมีในร่างกายมนุษย์ แพทยท์ ่านน้นั จะสนใจธรรมะหรือไมก่ ็ตาม แต่เขาก็รูว้ ่ากลไกของร่างกายมนุษยม์ นั ข้ึนอยกู่ บั สารเคมใี นสมองตอ้ ง ควบคุมความคิด ใหค้ ิดแต่ส่ิงท่ีร่ืนรมย์ อยา่ เครียดเพราะจะทาํ ให้ สารเคมปี ระเภทท่ีเกิดโทษต่อร่างกายหลง่ั ออกมา ทาํ ใหเ้ กิดความวิตก กงั วลเกิดความเครียดข้ึนได้ และหากคดิ เรื่องวติ กกงั วลอยอู่ ยา่ งเดียว ซ้าํ แลว้ ซ้าํ เลา่ จนสารเคมหี ลงั่ มากเกินไป ทาํ ใหม้ ีอาการเครียดรุนแรง ซึมเศร้ารุนแรง ก็ตอ้ งจ่ายยาควบคุมสารเคมใี นสมองใหอ้ ยใู่ นสภาพที่ สมดุล เพอื่ ลดอาการเครียดวติ กกงั วล หรือความหดหู่เศร้าหมอง ที่

22 บุคคลผนู้ ้นั กาํ ลงั เป็นอยู่ ดงั น้นั แพทยก์ ็จะเห็นวา่ เป็น “เช่นน้นั เอง” ในมมุ มองทางวทิ ยาศาสตร์และก็ใหย้ ารักษาไปตามอาการน้นั ๆ ส่วนมนุษยต์ ่างดาว บอกว่ามนั เป็นธรรมชาติ เป็นกลไกของ ขนั ธห์ า้ ของมนุษย์ ท่ีมนุษยท์ กุ คนมีอยแู่ ลว้ ซ่ึงจะเกี่ยวเน่ืองกนั ท้งั สอง ดา้ น คือท้งั ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ และดา้ นจิตเพยี งแต่อาจจะรู้กนั คนละมุม คนละดา้ นเท่าน้นั ดงั น้นั จึงไดม้ กี ารอธิบายกลไกของร่างกายมนุษย์ เพอ่ื ใหม้ นุษยไ์ ดร้ ู้จกั อกี มุมมองหน่ึง มุมมองของธรรมชาติท่ีเป็นท้งั วทิ ยาศาสตร์และทางจิต ผสมกนั และเพื่อที่จะเห็นว่าขนั ธห์ า้ มนั มี กลไกของมนั เองตามธรรมชาติ เมอื่ รู้จกั ขนั ธห์ า้ ตามความเป็นจริงแลว้ กไ็ ม่น่ายดึ มนั่ ถอื มนั่ อะไร เพราะเป็นกลไกอยา่ งน้นั เอง ร่างกายของมนุษยป์ ระกอบดว้ ยธาตุ และพลงั งานธาตุทางเคมี ท่ีประกอบกนั อยใู่ นร่างกายของมนุษย์ ซ่ึงเรากร็ ู้วา่ มี ดิน น้าํ ลม ไฟ อากาศธาตุ ประกอบกนั อยู่ และมธี าตุรู้ (หรือที่เรียกว่าจิต) เป็นตวั ขบั เคล่ือน และธาตุหยาบทุกอยา่ งในร่างกายจะมชี ื่อเรียกทาง วิทยาศาสตร์หรือทางวงการแพทยท์ ้งั หมดซ่ึงเป็นช่ือของธาตุทางเคมี การผลดั เปลี่ยนหมนุ เวียนของเซลลท์ ุกเซลลใ์ นร่างกายมนั เปลีย่ นแปลงตลอดเวลา ต้งั แต่ก่อนเกิด เป็นทารกแรกเกิด เป็นวยั รุ่น เป็นผใู้ หญ่หรือวยั ชรา เซลลท์ ้งั หลายก็ไมใ่ ช่เซลลเ์ ดียวกนั เซลลเ์ ดิมถกู

23 เปลยี่ นแปลงหมุนเวยี นไปหมดแลว้ มีแต่เซลลใ์ หม่เกิดข้ึนตลอดเวลา น่ีคือหลกั ฐานทางวิทยาศาสตร์ ทางธรรมะก็รูว้ ่ามนั เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป มนั แปรปรวนตลอดเวลา เมอื่ มเี กิด กต็ อ้ งมีแก่ มีเจบ็ มีตาย เป็น ธรรมดาซ่ึงก็ถกู ตอ้ งท้งั สองดา้ น ทางวทิ ยาศาสตร์ ภายในสมองก็มไี ฟฟ้ า มสี ารเคมี มีกลไก การทาํ งานที่สลบั ซบั ซอ้ น ความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ สบายกาย สบายใจ หรือไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ ส่วนหน่ึงก็ข้ึนอยกู่ บั สารเคมที ่ี หลงั่ ออกมาตามความคิดท่ีเป็นตวั ชกั นาํ นนั่ เอง ทางธรรมะ มกี ารปฏบิ ตั ิธรรมเพ่อื ควบคุมความคิด อารมณใ์ ห้ เป็นไปในแนวทางที่เป็นกุศล เพ่ืออะไร? เพอื่ เราจะไดไ้ มม่ ีความทุกข์ ซ่ึงการคิดดี พดู ดี ทาํ ดี ก็จะทาํ ใหผ้ นู้ ้นั มคี วามสุข เพราะมีความสงบ เยน็ อ่ิมเอิบในจิตใจ แต่ถา้ พยาบาท ม่งุ ร้าย ผนู้ ้นั จะมีแตค่ วามทุกข์ ร้อน รนและหาวิธีแกแ้ คน้ ต่างๆ ซ่ึงมนั อยใู่ นข่ายของความทุกข์ ซึ่งมนั ต้องเป็ น... อย่างน้ันเอง... อย่แู ล้ว มนั เป็ นไปตามกลไก ของธรรมชาติ เพราะกลไกของร่างกายมนุษย์ มนั จะองิ กนั กบั ความคิด ความรู้สึกของมนุษยผ์ นู้ ้นั เมื่อมคี วามคิดดี มคี วามปรารถนาดี มีความ

24 เมตตาสงสารเกิดข้นึ ความคิดน้ีกไ็ ปกระตุน้ สารเอน็ โดรฟิ นในสมอง ใหม้ นั หลง่ั ออกมา เม่ือร่างกายไดร้ ับสารเอน็ โดรฟิ น กจ็ ะทาํ ใหร้ ่างกาย มีปฏิกิริยาตอบสนองดา้ นบวกสดชื่นแจ่มใส อ่ิมเอบิ อารมณ์ดี ที่เรา เรียกว่ามคี วามสุข นน่ั ถกู ตอ้ ง แต่หากความคิดท่ีออกมาเป็นไปในทาง ความโกรธ พยาบาท หรือวิตกกงั วล ความคิดน้นั กจ็ ะไปกระตนุ้ สารเคมีประเภทท่ีเป็นดา้ นลบในสมอง ใหห้ ลงั่ ออกมา เมือ่ สารเคมี ชนิดน้ีหลง่ั ออกมาแลว้ ก็จะมีปฏกิ ิริยาดา้ นลบส่งไปถงึ อารมณ์ใหม้ ี ความทุรนทุราย ร้อนรน หรือวิตกกงั วลตลอดเวลาซ่ึงอารมณ์จะ รุนแรงมากนอ้ ยแค่ไหนก็ข้นึ อยกู่ บั ปริมาณสารเคมที ี่หลงั่ ออกมา ถา้ หลงั่ มากเกินไป ก็จะอาละวาด ทาํ ร้ายผอู้ ื่นได้ หรือเศร้าโศกเสียใจจน คิดฆา่ ตวั ตายได้ ดงั น้นั เมื่อมกี ารคิดแต่พยาบาทคร้ังแลว้ คร้ังเลา่ สารเคมีตวั น้ีหลง่ั ออกมามากเกินไปกจ็ ะคลุม้ คลงั่ ตอ้ งส่งโรงพยาบาล ประสาท ซ่ึงแพทยก์ จ็ ะทาํ การรักษา ดว้ ยการฉีดสารเคมที ่ีจะไประงบั การหลง่ั ของสารเคมีชนิดน้นั ใหอ้ ยใู่ นภาวะสมดุล อาการจงึ จะสงบลง ได้ ดงั น้นั สารเคมจี ึงเป็นตวั แสดงพฤติกรรมของมนุษยใ์ นแง่ ต่างๆ นี่คือ “ผล” ท่ีเกิดจาก “เหตุ” น้นั ๆ ดงั น้นั เราจึงตอ้ งยอ้ นกลบั มาท่ี “เหตุ” ก่อน

25 โดยก่อนทีจ่ ะหลงั่ สารเคมใี ดๆออกมากจ็ ะมตี วั “ความคิด” เป็นตวั ช้ีนาํ อยา่ งที่บอกแตต่ น้ เม่ือมคี วามคิดดี สารเคมีประเภทที่เป็น ประโยชนต์ ่อร่างกายก็หลง่ั ออกมา เราสดช่ืน เราสบายกาย สบายใจ ท่ี เราเรียกกนั วา่ “ความสุข” เม่ือคิดร้าย วติ กกงั วล สารเคมีที่หลงั่ ออกมากท็ าํ ใหเ้ รา โศกเศร้า เสียใจ คบั แคน้ ใจ เป็นความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจที่เรา เรียกกนั ว่า “ความทุกข”์ เราจึงตอ้ งมาสกดั ก้นั ที่ตน้ เหตุ ก่อนท่ีจะ ส่งไปท่ี “ผล” คนที่ปฏิบตั ิธรรมะ ยอ่ มจะรู้ว่า ทาํ ไมพทุ ธศาสนา จึงสอนให้ เรามีเมตตา กรุณาต่อผอู้ ่นื ใหม้ ีความรกั ความหวงั ดี ใหค้ วามเห็นอก เห็นใจต่อผทู้ ี่ดอ้ ยกว่า ใหอ้ ภยั กบั ความคิดร้ายของผอู้ น่ื นี่เป็นกุศโลบายในทางพทุ ธศาสนา คือการใหเ้ ปลี่ยนความคิด เมอ่ื คิดพยาบาท อยา่ เลย ใหค้ ิดเมตตาเขาดีกวา่ เมือ่ คิดริษยา อยา่ เลย มี มุทิตาจิตหรือพลอยยนิ ดีกบั เขาดกี ว่า น่ีเป็นอบุ าย ใหเ้ ปล่ียนความคิด จากดา้ นลบ เป็นดา้ นบวก เมอื่ ใดท่ีคิดในดา้ นบวกสารเอน็ โดรฟิ นกจ็ ะ หลงั่ ออกมาตามกลไกของความคดิ น้นั ซ่ึงเป็นธรรมดาตามกลไกของ ร่างกาย สารเคมีน้นั กจ็ ะไปทาํ ปฏกิ ิริยาใหเ้ กิดอารมณ์ดา้ นดีข้ึน ผทู้ ี่คิด ก็จะมีแตค่ วามสุขความอิ่มเอิบในจิต ความสงบเยน็ ในอารมณ์ และเมื่อ กระทาํ เช่นน้ีบ่อยคร้ังเขา้ จิตกจ็ ะบนั ทึกเป็นอตั โนมตั ิ คือเมอื่ มีอะไรมา กระทบไม่วา่ ดา้ นใดแนวความคิดกจ็ ะไปในทางเห็นอกเห็นใจ ใหอ้ ภยั

26 สงสาร และจดั การไปในสิ่งท่ีสมควรโดยมิไดม้ คี วามโกรธเคืองเป็น ตวั ช้ีนาํ บคุ คลคนน้ีกจ็ ะกลายเป็นผมู้ ีอารมณ์ดี มเี มตตาอยเู่ ป็นนิจ ดงั เราจะเห็นไดใ้ นผทู้ ่ีปฏบิ ตั ิจติ ในข้นั สูงจะมีอารมณ์เยอื กเยน็ สงบ มเี มตตา และพร้อมที่จะเป็นผใู้ ห้ บุคคลน้นั กเ็ ป็นผทู้ ี่มีแต่ ความสุข เพราะสารเคมกี ็จะหลงั่ ออกมาในดา้ นบวกอยา่ งเดยี ว ส่วนคนท่ีมแี ต่ความฉุนเฉียว โกรธง่าย วิตกกงั วล หดหู่เศร้า หมอง ไมม่ ีความเมตตา คดิ แต่จะเอารัดเอาเปรียบบคุ คลอน่ื ตลอดเวลา ความคิดเหล่าน้ีก็ไปกระตนุ้ สารเคมดี า้ นลบใหม้ นั หลง่ั ออกมาซ้าํ แลว้ ซ้าํ เลา่ เขาก็จะมีแตค่ วามทุกข์ ทุกข์ และทุกข์ ตลอดเวลาซ่ึงมีอยู่ จาํ นวนมากในโลกมนุษยย์ คุ น้ี ดงั คาํ วา่ สวรรคใ์ นอก นรกในใจ ท่ีธรรมะกล่าวไวม้ นั กเ็ กิดข้ึน ในปัจจุบนั นนั่ เอง เมื่อคุณคดิ ดี สารเคมดี า้ นบวกหลงั่ คุณกม็ คี วามสุข จิตใจสบาย ความสุขกเ็ กดิ ไดใ้ นปัจจุบนั เมือ่ คุณคิดร้าย คดิ อิจฉาริษยา พยาบาท สารเคมที ี่เป็นดา้ นลบกห็ ลง่ั ออกมา ทาํ ใหอ้ ารมณ์ร้อนรน ทุรนทุราย กระวนกระวาย ทกุ ขใ์ จก็เกิดไดใ้ นปัจจุบนั เช่นกนั ดงั น้นั หลกั ของพุทธศาสนาเป็นเช่นน้ี สอนใหเ้ ราทาํ “เหตุ” ท่ีดีเพอ่ื “ผล” ที่ออกมาก็ยอ่ มดีตามไปดว้ ย เพราะมนั เป็นกฎตายตวั ของธรรมชาติ ในหลกั ของกลไกตามธรรมชาติมนั ตอ้ งเป็น “เช่น น้นั เอง” อยแู่ ลว้ เพราะฉะน้นั ความสุข ความทุกข์ มนั ไม่ใช่เร่ืองใหญ่ มนั ก็เป็นเรื่องท่ีเราเลือกได้ เพยี งแต่เราจะมีความจริงใจทจี่ ะเลอื กมนั หรือไม่เท่าน้นั

27 จึงเป็นเพยี งการมาบอกข้นั พ้นื ฐานของผปู้ ฏบิ ตั ิ เพอ่ื เขา้ สู่ ความเป็นอยา่ งน้นั เอง ของธรรมชาติ และเป็นแนวทางท่ีจะเห็น ถกู ตอ้ งตามความเป็นจริงของธรรมชาติที่พสิ ูจน์ไดท้ างวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบนั หลายคนคงเคยไดย้ นิ ประโยคทีว่ า่ “กินขา้ วในถาดธรรมดา กบั กินขา้ วในถาดทองคาํ ถา้ มีความพอใจเท่ากนั กม็ ีความสุขเท่ากนั ” ซ่ึงในสมยั ก่อน เรากย็ งั เถียงอยใู่ นใจว่าจะสุขเท่ากนั ไดอ้ ยา่ งไร คนรวย ลน้ ฟ้ า กบั คนที่ทาํ มาหากินไปวนั ๆ มนั น่าจะมคี วามสุขต่างกนั แต่หาก ลองนาํ เร่ืองน้ีมาเทียบเคียง โดยบอกว่าคนที่มีเงินมากมายไปกินอาหาร ภตั ตาคารหรูหรา ม้ือละ 20,000 บาท เมือ่ มีความพอใจในอาหารม้ือ น้นั ความพอใจไปทาํ ใหส้ ารเคมีประเภทเอน็ โดรฟินหลง่ั ออกมา 2 cc เขาก็มคี วามสุขเท่าน้นั คนชาวบา้ นธรรมดา ลกู ซ้ือไก่ยา่ ง 5 ดาวมาฝาก ตวั ละ 80 บาท กินกนั ท้งั ครอบครัวอยา่ งอร่อย เพราะไมค่ ่อยไดก้ ิน มคี วามพอใจ ในอาหารม้อื น้นั มาก ทาํ ใหส้ ารเคมปี ระเภทเอน็ โดรฟินหลง่ั ออกมา 2 cc เท่ากนั เขากม็ คี วามสุขเท่ากบั เศรษฐีคนน้นั

28 เพราะความสุข ทุกข์ มนั ข้ึนอยกู่ บั สารเคมใี นร่างกายท่ีหลง่ั ออกมา ทาํ ใหเ้ กิดอารมณ์ความรู้สึกตามสารเคมนี ้นั ๆ ดงั น้นั ถา้ สารเคมีประเภทเอน็ โดรฟินหลง่ั ออกมาคนละ 2 cc เท่ากนั ท้งั สองคน ก็มคี วามสุขเท่ากนั เพราะความสุขมนั ไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั เงิน ความหรูหรา แต่มนั ข้ึนอยกู่ บั ความพอใจ ท่ีเป็นกลไกของการหลงั่ สารเคมีนนั่ เอง เราจึงเร่ิมเขา้ ใจกลไกของขนั ธห์ า้ กลไกของสารเคมี และมี มุมมองที่กวา้ งข้ึนและไมส่ งสยั วา่ ถา้ คนมีเงินกินอาหารอยา่ งหรูใน ภตั ตาคารม้อื ละสองหมน่ื แต่ถา้ สารเคมีแห่งความพอใจหลง่ั แค่ 1 cc เขาจะมีความสุขนอ้ ยกว่าชาวบา้ นธรรมดาที่ไดก้ นิ ไก่ยา่ งหา้ ดาว กบั ขา้ ว และพอใจกบั อาหารม้อื น้นั อยา่ งมาก สารเคมีพุง่ ถงึ 2 cc เขาก็ ยอ่ มมีความสุขกว่าอกี คนแน่นอน จึงเห็นไดว้ ่า มนั มกี ลไกของธรรมชาติท่ีมเี หตุและผล ตรงไปตรงมา ถา้ ไมม่ ีกลไกอยา่ งน้ี ถา้ ทุกอยา่ งองิ อยกู่ บั ทรัพยส์ ินเงิน ทอง คนรวยกต็ อ้ งสุขอยา่ งเดียวสิ คนจนกต็ อ้ งทกุ ขต์ ายเลยสิ แต่เพราะ มนั ไม่ไดเ้ ป็นเช่นน้นั เราจึงจะพอมองเห็นวา่ ความรวย ความจน ไม่ไดเ้ ป็นตวั ช้ีนาํ ใหเ้ กิดความสุข ความทุกข์ เราจึงเห็นคนรวยมากมาย ก็ยงั มคี วามทุกขอ์ ยู่ คนท่ีพอมีพอกนิ หรือคนที่รู้จกั พอ เขาก็มีความสุข ได้ ซ่ึงบางคนอาจจะสุขมากกวา่ คนรวยบางคนดว้ ยซ้าํ ไป คนรวยท่ีมี ความทกุ ขม์ ีมากมาย คนจนที่มคี วามสุข มีเยอะแยะ ดงั น้นั ความสุข ความสงบเยน็ ของจิต จึงเป็นสิ่งท่ีหาซ้ือไมไ่ ด้ ไมว่ ่าจะมีเงินมากมาย แค่ไหน ส่ิงน้ีตอ้ งทาํ เอาเอง

29 นี่คือความเท่าเทียมกนั ตามธรรมชาติ และยตุ ิธรรมท่ีสุด กค็ ือ การไขว่ควา้ หาความสุข ความสงบทางจิต และหาทางหลดุ พน้ จาก ความทุกข์ ที่ไมว่ ่ารวยหรือจนตอ้ งหาดว้ ยตนเองกนั ท้งั น้นั ซ่ึงจะเห็นไดจ้ ากพระอริยเจา้ ท้งั หลาย หรือผปู้ ฏิบตั ิจิตเพ่อื การ หลุดพน้ หรือผปู้ ฏบิ ตั ิธรรมส่วนมาก ยอ่ มไม่ไดเ้ ห็นวา่ ทรัพยส์ ินเงิน ทองเป็นสิ่งสาํ คญั ท่านไม่มีทาํ ไมท่านไมท่ ุกข์ ทาํ ไมท่านจึงกลบั มีแต่ ความสุข ความสงบ ดงั น้นั จึงตอ้ งมองใหเ้ ห็น มองใหท้ ะลใุ นกลไก ของธรรมชาติ วา่ ความสุขความทุกขม์ นั เกิดท่ีไหน มนั เกดิ ไดอ้ ยา่ งไร และควรใชว้ ธิ ีการใดในการจดั การกบั ความรู้สึก สุข ทุกข์ ท่ีเกิดข้นึ น้ี พอเรารู้กลไกเช่นน้ี เรากต็ อ้ งหลอกลอ่ ดว้ ยกศุ โลบายต่างๆ เพื่อใหจ้ ิตมแี ต่คิดดี มคี วามเมตตา กรุณาต่อผอู้ นื่ เป็นนิจ เพอ่ื ควบคุม ใหม้ แี ต่สารเคมดี า้ นบวกดา้ นเดียวเท่าน้นั ท่ีหลง่ั ออกมา เรากจ็ ะมแี ต่ ความสุขได้ และอาจมีมากกวา่ มนุษยท์ างโลกท่ีมากดว้ ยทรัพยส์ ินเสีย อีก ทาํ ใหน้ ึกถงึ บทความ จากหนงั สือธรรมะเลม่ หน่ึง ท่ีช่ือวา่ “ฝน ประปราย” ไดเ้ ขียนไว้ ความห่วงใยของ “ตวั ตน” บทสนทนาระหว่างท่านอภินนั โท กบั ท่านพลเตโช “ท่านครับ ท่านฐิตธมั โม พดู กบั ผมเหมือนข่ตู ะคอกไมร่ ู้ชงั น้าํ หนา้ อะไรผม อยา่ งน้ีไมม่ ีเมตตาน่ี?”

30 “ถา้ ท่านเกลียดน้าํ หนา้ คณุ ขาดเมตตา ท่านกเ็ ป็นทกุ ขข์ อง ท่านเองแหละ อยา่ ห่วงเลย” เรากต็ อ้ งมาเรียนรู้ขนั ธห์ า้ ใหถ้ อ่ งแทว้ า่ โดยความจริงแลว้ ความสุข ความทุกขน์ ้นั มนั ยงั ไมไ่ ดเ้ กิดข้ึนจริงในขณะน้นั แต่มนั มี กลไกอื่นๆมาร่วมดว้ ย ดงั ที่ยกตวั อยา่ งดา้ นบนน้นั ก็เป็นอีกเหตุผลหน่ึงที่เป็นกลไก ของธรรมชาติของการเกิดเวทนา คืออารมณ์ท่ีถกู ปรุงแต่งโดยสารเคมี ถา้ ลาํ พงั ตวั เวทนาของขนั ธห์ า้ มนั ไม่ไดร้ ู้สึกอะไรไปดว้ ยหรอก เพราะ มนั มหี นา้ ที่แค่ปรุงแต่งไปตามสารเคมีเท่าน้นั แต่เพราะมนั มคี ู่ดว้ ย คือ จิตท่ีมีปัญญา (มโนวญิ ญาณ) เป็นตวั ต่อเชื่อมกบั เวทนาอย.ู่ .. แต่ ระหวา่ งเวทนากบั ตวั จติ ทมี่ ปี ัญญา (มโนวญิ ญาณ) น้นั ความ จริงมนั ไมไ่ ดต้ ิดกนั ไม่ไดอ้ ยดู่ ว้ ยกนั และไม่ตอ้ งรับผดิ ชอบซ่ึงกนั และ กนั แต่เพราะว่ามี อุปาทาน คือความยดึ มน่ั วา่ เป็นตวั เราของเรา มาดกั รออยรู่ ะหวา่ งกลางน้นั คอยทีจ่ ะเช่ือมระหวา่ งอารมณ์ ความรู้สึก กบั ตวั จติ ที่มปี ัญญาน้นั ใหเ้ ขา้ มาติดกนั เป็นหน่ึงเดียวกนั เป็นกลุ่มเป็น กอ้ นเป็นตวั เป็นตน และความไมร่ ู้คืออวชิ ชา ที่มีอุปาทานคอยสร้าง ตวั ตนมารองรับอารมณ์น้นั ๆอยเู่ สมอ มนั จึงมีเรากาํ ลงั อารมณ์ดี เรา อารมณ์แจ่มใส เรากาํ ลงั หงุดหงิด อารมณ์เสีย เรากาํ ลงั ข่นุ มวั เรากาํ ลงั ร้อนอกร้อนใจ วติ กกงั วล ซ่ึงแทจ้ ริงมนั ไม่ไดม้ ตี วั ใครเป็นผทู้ ่ีกาํ ลงั เกิดอารมณ์น้นั เลย มนั เป็นแคก่ ลไกปรุงแต่งไปเรื่อยเท่าน้นั เอง

31 ความจริง อารมณ์มนั กส็ กั แต่วา่ อารมณ์ มนั กเ็ หมือนความคิด ถา้ เราเห็นว่ามนั กาํ ลงั คดิ อะไร เราก็มองมนั เฉยๆได้ อยากคิด คิดไป แต่ถา้ พอคิดกงั วลป๊ ุป แลว้ ตามความคิดปั๊ป อุปาทานกส็ ร้างตวั เรามา รองรับทนั ที มนั จึงมตี วั เรากาํ ลงั กงั วล กาํ ลงั ไม่สบายใจ กาํ ลงั กลมุ้ ใจ ซ่ึงแทท้ ่ีจริงมนั มที างใหเ้ ลอื ก วา่ จะเป็นแค่ผดู้ ู ดว้ ยรู้จริงๆ วา่ แกเป็นแค่ ความคดิ หรือจะเลือกวา่ มตี วั ตนของเราเป็นผทู้ ี่ตอ้ งกงั วลไปตาม ความคิดน้นั แต่ว่าเวทนา อารมณ์ความรู้สึกน้นั มนั ปล่อยวางยากกวา่ ความคดิ เพราะมนั จะมคี วามรู้สึกที่เหมือนเป็นตวั เรามากท่ีสุด วาง ความคดิ วา่ ยากแลว้ ปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกน่ียงิ่ ยากกวา่ ดงั น้นั กวา่ จะรู้จริงๆวา่ เวทนา หรืออารมณ์ความรู้สึกเหล่าน้ี มนั ปรุงแต่งเอง มนั สร้างอารมณ์ต่างๆข้ึนมาเองในขนั ธห์ า้ และมนั ไม่ จาํ เป็นตอ้ งมใี ครเป็นผรู้ องรับเวทนาเหล่าน้นั กต็ อ้ งค่อยๆแงะการยดึ ติดออกไปทีละนอ้ ย เพ่ือจะละอุปาทานขนั ธห์ า้ ทีละขนั ธน์ ้นั น่า เหน่ือยจริงๆ ดงั น้นั การรับรู้ทางเวทนา หรือทางอารมณน์ ้นั ก็เช่นกนั อารมณ์ที่เกิดสกั แต่วา่ รับรู้กไ็ ด้ เห็นวา่ ขณะน้ีอารมณ์ซึมเศร้ากาํ ลงั เกิด ข้ึนอยู่ ก็รู้ว่ามนั กาํ ลงั เกดิ ข้ึนอยู่ จะไปสนใจมนั ทาํ ไม ใหม้ องเห็น สภาวะอารมณ์ในขณะที่มนั เกิดอยนู่ ้นั ตามความเป็นจริง เราก็จะมองดู อารมณ์เหล่าน้นั เฉยๆได้ ไมไ่ ปหา้ ม ไมไ่ ปบงั คบั ใหม้ นั หาย เพราะเม่ือ

32 มนั เกิดข้ึนมา มองเห็น แลว้ เราก็จะมวี ิธีการจดั การกบั อารมณ์น้นั ๆได้ โดยไม่ตอ้ งทุกข์ เช่นของหาย นาฬกิ าขอ้ มอื ร่วงหายในตลาด ไปหาแลว้ กย็ งั ไม่ เจอ หากยงั มีความยดึ มนั่ ในนาฬกิ าเรือนน้นั อยู่ เม่อื กลบั มากต็ อ้ งมี ความรู้สึกเสียดายเป็นธรรมดา มอี ารมณ์ซึมเซา มีภาวะหดหู่ เศร้า หมอง ออ่ นอกออ่ นใจ เรากต็ อ้ งเขา้ ใจว่า มนั กต็ อ้ งเป็นอยา่ งน้ีแหละ เพราะมนั เสียดายของ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกกต็ อ้ งเป็นอยา่ งน้ี แหละ มนั เป็นกลไกของขนั ธห์ า้ ท่ีมนั ตอ้ งปรุงไปตามเหตปุ ัจจยั มนั ก็ จะเป็นแค่อารมณ์ที่เกิดข้ึนในขณะน้นั แต่มนั ไม่ใช่ความทุกข์ แต่ถา้ คนๆน้นั ไม่ยดึ มนั่ ในนาฬกิ าเรือนน้นั พอร่วงหาย กต็ ดั เลย ความอาลยั อาวรณ์ไมม่ ี อารมณ์ซึมเศร้า หดหู่กจ็ ะไมม่ ีข้ึนมา เพราะมนั ไม่ส่งต่อความคิดไปท่ีเวทนานน่ั เอง ตวั การสาํ คญั ของเร่ืองกค็ ือ อปุ าทาน ความยดึ มน่ั ถือมนั่ วา่ เป็นตวั เราของเรา ท่ีคอยเช่ือมเวทนา เขา้ ดว้ ยกนั กบั จติ ที่มปี ัญญา นนั่ เอง ดงั น้นั คู่น้ี จึงตอ้ งพิจารณาอยา่ งละเอยี ด ตอ้ งแยกใหม้ นั ออก จากกนั ใหม้ นั อยหู่ ่างๆกนั เพราะตวั จิตท่ีมีปัญญาน้นั มนั ไมไ่ ดต้ ิดกบั ขนั ธห์ า้ มนั อยขู่ องมนั ต่างหาก มนั เป็นผดู้ กู ารทาํ งานของขนั ธห์ า้ มนั จะไมท่ ุกขเ์ ลย ถา้ ไม่มีการเขา้ ไปรับเอาเวทนาเขา้ มารวมกนั อาจจะงง... ขออธิบายเพ่ิมอีกนิด

33 เวทนา ความรู้สึกสดช่ืน อิ่มเอิบ หรือกระวนกระวาย ซึมเศร้า หดหู่ หมน่ หมองน้นั มนั เป็ นภาวะท่ีกาลงั เกดิ อย่ใู นขันธ์ห้า ไม่ได้เป็ น ตวั ใคร ของใคร ส่วนจิตท่ีมปี ัญญาน้นั ก็มหี นา้ ท่ีแค่รับรู้อารมณ์ใน ขณะน้นั แค่น้นั เป็นผกู้ าํ ลงั ดูอารมณ์ท่กี าํ ลงั เกิดข้ึนในขณะน้นั ของ ขนั ธห์ า้ แต่ทีน้ี ระหวา่ งจิตท่ีมปี ัญญาซ่ึงทาํ หนา้ ที่ “ผดู้ ู” กบั เวทนา หรืออารมณ์ที่เกิดอยใู่ นขณะน้ีน้นั มตี วั อปุ าทานอยรู่ ะหวา่ งกลาง คอย ที่จะดึงใหต้ วั จติ ไปรับผดิ ชอบว่าอารมณ์หดหู่เศร้าหมองน้นั เป็นของ เรา คอยท่ีจะหลอกลอ่ ใหเ้ กิดอุปาทานว่ามตี วั เราของเรามารองรับ อารมณ์น้นั ๆ ทุกคร้ังท่ีเกิดอารมณ์ต่างๆข้ึน ถา้ ไม่ทนั อปุ าทาน กจ็ ะมี ตวั เราโผลข่ ้ึนมารองรับ เมื่อมตี วั เรา จึงมเี ราผมู้ คี วามสุข จึงมเี ราผมู้ ี ความทกุ ข์ เกิดข้ึนอยบู่ ่อยๆ ดงั ท่ีท่านพุทธทาสไดก้ ล่าวไวว้ า่ ตวั กู ตวั สู ท่ีเผลอเมอ่ื ไร เกิดข้ึนเมอ่ื น้นั นนั่ เอง หากมีสติรู้เท่าทนั ในความคิด ใน อารมณ์ ในขนั ธห์ า้ กจ็ ะไม่มสี ตั ว์ บุคคล ตวั ตน เรา เขา เกิดข้ึนมาเลย ดงั น้นั ถา้ มีสติรู้เท่าทนั อารมณ์ การที่จะดเู วทนาใหเ้ ห็นวา่ อารมณ์ก็สกั แต่ว่าอารมณ์ จะหดหู่เศร้าหมอง จะเบ่ือหน่าย จะร้อนรุ่มใจ จะเอิบอ่มิ สดใส กม็ องเห็นมนั ไปตามน้นั วธิ ีการดกู ต็ อ้ งทาํ เหมอื นดคู วามคิดปรุงแต่งน่ะแหละ ดูแบบ เดียวกนั เห็นว่ามนั คิดอะไร กงั วลอะไร แลว้ กาํ ลงั จะชวนไปทางไหน เม่ือดเู ห็นแลว้ ก็ไมจ่ าํ เป็นตอ้ งตกอกตกใจ มนั อยากวา่ ใคร คิดอกศุ ล

34 ใดๆ แยกเจตนาออกมาอยา่ ไปส่งเสริมมนั และอย่าไปอปุ าทานว่ามตี วั เราเป็ นผู้คดิ เวทนาก็เหมอื นกนั มนั กต็ อ้ งดูเฉยๆ เหมือนดคู วามคิดนน่ั แหละ อยา่ ไปใหน้ ้าํ หนกั วา่ มนั สาํ คญั กวา่ กนั มนั กาํ ลงั ร้อนรุ่ม กาํ ลงั วิตกกงั วล กาํ ลงั หดหู่เศร้าหมอง กาํ ลงั เบ่ือหน่าย กเ็ ห็นวา่ มนั กาํ ลงั เป็น อยา่ งน้นั อยตู่ ามจริง อย่กู บั อารมณ์น้ันๆได้โดยไม่ต้องไปทุกข์ด้วย เพราะเมือ่ เราเห็นว่ามนั เป็นอารมณ์เช่นน้นั มนั กส็ ักแต่ว่าเป็ นอารมณ์ ของขันธ์ มนั ไม่ได้เป็ นอารมณ์ของใคร ถา้ เราเห็นวา่ เวทนากาํ ลงั เร่าร้อนดว้ ยความโกรธ หดหู่เศร้า หมองดว้ ยความเสียใจ หรือแมก้ ระทงั่ สดชื่นแจ่มใสดว้ ยความสมหวงั เม่อื จิตท่ีมีปัญญาซ่ึงกาํ ลงั เป็นผดู้ อู ยนู่ ้นั ไดเ้ ห็นแลว้ ว่า มนั ก็แค่อารมณ์ ที่รุ่มร้อน มนั แค่อารมณ์ท่ีหดหู่ของขนั ธห์ า้ เท่าน้นั มนั ไม่ใช่อารมณ์ ของใคร หรือของเราเลย เมอื่ จิตไม่เขา้ ไปจบั ไมเ่ ขา้ ไปยอมรับวา่ เป็น อารมณ์ของเรา มีสติดูเห็นตามความเป็นจริง ความทกุ ขก์ จ็ ะเกิดข้นึ ไมไ่ ด้ เพราะไมม่ ใี ครเป็นผทู้ กุ ขน์ นั่ เอง แต่ไม่ใช่เห็นแลว้ อารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง จะดบั ลงในตอน น้นั มนั ไม่ดบั หรอก มนั กย็ งั คงมีอารมณ์น้นั อยู่ แตข่ ณะท่ีระทมดว้ ย ความเศร้าหมอง แต่จะไมไ่ ดม้ ีใครทุกขก์ บั อารมณ์น้นั จริงๆ แค่ มองเห็นแลว้ ชาํ เลอื งดูมนั แค่น้นั ไม่นานมนั กต็ อ้ งหายไปอยดู่ ี เพราะ มนั เกิดข้ึน ต้งั อยไู่ ม่นาน มนั กต็ อ้ งดบั ไป

35 แต่ถา้ ทาํ บ่อยๆ กจ็ ะรู้เท่าทนั อารมณ์มากข้ึนๆ พอเร่ิมเบ่ือ กจ็ ะ มองเห็นความเบ่ือ พอเร่ิมมีอารมณ์หงุดหงิด กจ็ ะมองเห็นความ หงุดหงิด พอเริ่มวติ กกงั วลเห่ียวแหง้ ใจ กจ็ ะมองเห็นอารมณ์ที่เศร้าซึม น้นั ทนั ที แลว้ จิตท่ีมีปัญญากจ็ ะเป็นผดู้ ทู ่ีดี คือไมไ่ ปยงุ่ กบั อารมณ์ ไม่ ไปบงั คบั ใหม้ นั หายเสียที ไม่ไปบงั คบั ใหม้ นั เลิกหดหู่เสียที หากมองเห็นอารมณ์ไดจ้ ริง จะไมเ่ ขา้ ไปรับผดิ ชอบใน ความรู้สึกน้นั ๆเลย และมนั อยไู่ มน่ าน มนั กจ็ ะเปลีย่ นของมนั เอง เมอ่ื เห็นเราไมส่ นใจมนั กเ็ ปล่ยี นใหม่ มนั เป็นกลไกของธรรมชาติเช่นกนั ดงั น้นั คู่สุดทา้ ยน้ี ก็คือเวทนา กบั จิตท่ีมปี ัญญา และหากเป็นผู้ ดอู ยา่ งเดียว กจ็ ะเห็นวา่ ท้งั ค่นู ้ีไมไ่ ดต้ ิดกนั มรี ะยะห่างกนั เมอื่ ต่างคน ต่างอยู่ อปุ าทานว่าเป็นตวั เราสุขทุกข์ กย็ อ่ มไม่มี ระวงั แต่ตวั อปุ าทานเท่าน้นั ท่ีมนั คอยแต่จะมาจบั ท้งั ค่เู ขา้ รวมกนั และอุปาทานวา่ ขนั ธห์ า้ เป็นตวั เราของเราข้ึนมาอีกเท่าน้นั แต่ถา้ ตวั เรา ของเรา โผล่ออกมารับว่าเป็นอารมณ์ของเรา ทุกขข์ องเราอีกเม่ือไร อยา่ ตกใจ ก็แค่ยอ้ นกลบั ไปทบทวนใหม่อกี คร้ัง แลว้ ค่อยๆแยกออกจากขนั ธห์ า้ กนั ใหม่ ท่ีกลา่ วมาท้งั หมดน้ี ส่วนมากจะอยใู่ นข่ายของอปุ าทานว่า เป็นความทุกขเ์ สียส่วนใหญ่ ซ่ึงความทุกขท์ ่ีเคยกลวั น้นั มนั ไมไ่ ดม้ ี จริง ไม่ไดม้ ตี วั ตนของความทกุ ขจ์ ริงๆ มีแต่อปุ าทานวา่ มตี วั เราเป็นผู้ ทุกขเ์ ท่าน้นั กว่าจะจบั ไดไ้ ล่ทนั ก็แทบแยเ่ หมอื นกนั แต่ถา้ ลงมอื ปฏิบตั ิ

36 จริง การแยกขนั ธห์ า้ ออกจากจิตท่ีมปี ัญญาน้นั ก็สามารถทาํ ไดจ้ ริงๆ เพราะมตี วั อยา่ งของกลมุ่ คนที่ทาํ ไดม้ าแลว้ นนั่ เอง สาํ หรับผทู้ ี่พบเจอกบั อารมณ์ความรู้สึกต่างๆท่ีหนกั หนา สาหสั มากมาย กล็ องพยายามแยกดู ซ่ึงเรียกวา่ การซอ้ นขนั ธ์ เพราะเรา ตอ้ งซอ้ นท้งั ขนั ธห์ า้ ใหเ้ ห็นวา่ มนั สกั แต่วา่ ร่างกาย สกั แต่วา่ เห็น สกั แต่ วา่ ไดย้ นิ สกั แต่ว่าความคดิ สกั แตว่ า่ อารมณ์เท่าน้นั ซ่ึงกค็ ือ การปฏบิ ตั ิ ในสติปัฏฐาน ๔ นน่ั เอง หรือท่านที่อ่านแลว้ รู้สึกว่าสามารถทาํ ความเขา้ ใจไดน้ ้นั ก็ ลองปฏบิ ตั ิดกู ็ไดน้ ะคะ ค่อยๆทาํ ไป ค่อยๆดูไป และค่อยๆแยกแต่ละ ขนั ธอ์ อกจากกนั ไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นวา่ ความจริงมนั ไม่ไดม้ ตี วั ตนของ ตนจริงๆ เป็นแค่กลไกของขนั ธห์ า้ จริงๆ ก็ขออนุโมทนาใหก้ บั ทุกๆท่านประสบความสาํ เร็จในการ ปฏิบตั ิจิต และมีความเจริญในธรรมยงิ่ ๆข้ึนไปค่ะ

37 การเวยี นว่ายตายเกดิ มีธรรมะในอกี มุมมองหน่ึง ที่ไดอ้ ธิบายใหร้ ับรู้ในเรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด ใหม้ องเห็นในเรื่องของการเกิดบ่อยๆ เกิดซ้าํ ๆ เวียนว่ายกนั อยอู่ ยา่ งน้นั และการท่ีเกิดมาแต่ละคร้ัง แต่ละชาติ ก็ยงั คิด วา่ เป็นของใหม่ เป็นตวั ตน ของตน ท่ีน่ายดึ ถือ น่าอยากไดใ้ คร่ดี ตะเกียกตะกายไขว่ควา้ โน่นนี่มาเป็นของเราตลอดเวลา จึงยงั ตอ้ งเวยี น ว่ายไปมาในวฏั สงสารอนั หาท่ีสิ้นสุดมไิ ด้ แต่ส่ิงหน่ึงท่ีผรู้ ู้ ผทู้ ี่เห็นความน่าอเนจอนาถในการเวยี นว่าย ตายเกิดแลว้ ท่านไดพ้ ยายามมาบอก มาแนะนาํ มาช้ีแนะแนวทางให้ เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ความน่ากลวั ของวฏั สงสาร หาก พจิ ารณาตามแลว้ ก็จะเกดิ การเบ่ือหน่าย เกิดการไมใ่ ยดี ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไมอ่ ยากท่จี ะยดึ มน่ั ถือมนั่ ในการที่จะตอ้ งมาวนเวียน เกดิ ซ้าํ แลว้ ซ้าํ เลา่ อีก ก็มีธรรมะในอีกมมุ มองหน่ึง ซ่ึงจะนาํ มาบอกกล่าว และเมอ่ื พจิ ารณาตามแลว้ กจ็ ะเห็นความน่าเบื่อหน่ายในการเกิดซ้าํ แลว้ ซ้าํ เลา่ เหล่าน้นั และคลายจากความยดึ มน่ั ถือมนั่ ไดใ้ นระดบั หน่ึง

38 ซ่ึงเป็นการช้ีใหเ้ ห็นความเป็นจริงตามธรรมชาติของ วฏั สงสารนนั่ เอง “เกิดบ่อยๆ เป็นทุกข”์ เกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ กจ็ ะมกี าร เปรียบเทียบคาํ น้ี ใชไ้ ดใ้ นท้งั 2 สถานการณ์ คือเกิดเป็นมนุษยต์ ามภพชาติ คือบ่อยๆซ้าํ ๆ ไม่รู้จบ ไมม่ ที ี่ ส้ินสุดน้นั กย็ อ่ มมีแต่ความทกุ ข์ และเกิดจากความคดิ ท่ีคิดเป็นทุกขใ์ น แต่ละขณะ คือไม่ว่าเกิดความคิด วติ กกงั วล ความข่นุ ขอ้ งหมองใจ บ่อยเท่าไร กท็ ุกขเ์ ท่าน้นั ก็จะกลา่ วในเรื่องแรกก่อน คือ เกิดบ่อยๆเป็นทุกข์ ตามการ เกิดในวฏั สงสาร ในภพชาติที่ไมม่ ที ี่ส้ินสุด การเกดิ ในหลายภพชาติน้นั มากมายนบั ไม่ถว้ น ไมว่ า่ เป็น มนุษย์ สตั ว์ เทวดา พรหม หรือในชาติภพอืน่ ๆมากมาย แต่ใหส้ มมตุ ิ ว่า เกิดเป็นมนุษยใ์ นทุกๆชาติ เพ่อื การเทียบเคียงกบั ในขณะน้ี จะไดม้ ี ความเขา้ ใจมากท่ีสุด ต้งั แต่เกิดมาในวนั แรก ก็จะมกี ารดิ้นรนแต่แรกเกิด มีพอ่ แม่ เล้ียงดู จนอายุ 3-4 ขวบ เขา้ โรงเรียน เล่าเรียนการจนอายุ 20 ปี จบ ออกมาไดง้ านทาํ แก่งแยง่ ชิงดีในตาํ แหน่งหนา้ ท่ี เรื่องลาภยศ สรรเสริญกนั ทาํ งานหาเงินอดออมไว้ และพบคนรัก ไดแ้ ต่งงานกนั

39 พอมลี กู ก็ตอ้ งเร่งทาํ งาน หาเงิน เกบ็ ออมเพ่ือท่ีจะใหล้ กู มกี ินมใี ช้ พอ อายุ 60 ปี ก็เกษียณอายุ ลกู ก็โตหมดแลว้ กค็ ิดวา่ เออ... ไดพ้ กั เสียที เพราะทาํ งานตะเกียกตะกายหากินมาตลอดเวลา 60 ปี แต่พออายุ 80 ปี ก็ตายเสียแลว้ .. ไดพ้ กั แค่ 20 ปี เท่าน้นั เอง ตายป๊ ุป สมมุติเกิดปั๊ป เป็นเดก็ ทารกใหม่ ก็เริ่มวงจรเดิม เกิด มาแลว้ 3 ขวบกเ็ ขา้ โรงเรียน เรียนไปจนอายุ 20 ปี จบออกมาทาํ งานหา เงินและพบคนรัก แต่งงาน มีลกู ทาํ มาหากินมาท้งั ชีวติ พออายุ 60 ปี ก็ เกษียณอายุ กค็ ิดว่า เออ.. ไดพ้ กั เสียที แต่อายุ 75 ปี ก็ตาย ไดพ้ กั แค่ 15 ปี กม็ าเกิดวงจรเดิม เป็นเดก็ ทารก เรียน ทาํ งานหาเงิน แต่งงานมี ครอบครัว ทาํ มาหากิน มีลกู พอลกู มงี านทาํ เราก็เกษียณอายุ 60 ปี พอดี เออ.. ไดพ้ กั เสียที แต่ 70 ปี ก็ตายแลว้ เพราะโรครุมเรา้ ไดพ้ กั แค่ 10 ปี เอง ก็มาเกิดวงจรเดิมอกี เป็นเดก็ ทารกใหม่ เริ่มตน้ เรียนใหม่ ทาํ มาหากินกนั ใหม่ แต่งงาน มลี กู แลว้ กเ็ กษียณ เออ.. ไดพ้ กั เสียที แต่พอ 85 ปี กต็ ายแลว้ เออ.. ชาติน้ีไดพ้ กั นานหน่อย 25 ปี

40 กเ็ กิดใหมอ่ ีก เรียนอกี ทาํ งานอกี มคี รอบครัวอีก หาเงินเล้ยี ง ลกู อีก อายุ 60 ปี จะไดพ้ กั สกั หน่อย กเ็ จ็บ กต็ ายอกี แลว้ แลว้ กต็ อ้ งวน มาเกิดเป็นเดก็ ใหม่อกี เรียนอกี ทาํ งานอกี เล้ียงลกู อกี เจ็บอกี ตายอกี อยา่ งน้ีไมม่ ีท่ีส้ินสุด ดงั น้นั ตอนน้ีแค่คดิ ว่า ตอ้ งเกิดมาเป็นเด็กใหม่อกี หรือ ตอ้ ง เรียนกนั ใหมอ่ กี หรือ แค่น้ีก็เบ่ือแลว้ ทุกขแ์ ลว้ เพราะตราบใด ยงั ตอ้ งเกิดมาเพ่อื ทาํ มาหากิน ยงั ตอ้ งเวยี นว่าย ตายเกิด เป็นความทกุ ขท์ ้งั ส้ิน น่ียงั กล่าวแค่การเกิด ดาํ รงชวี ติ ทาํ มาหากินแบบปกติ ยงั ไมไ่ ดร้ วมในแต่ละชาติที่ตอ้ งเผชิญกบั ความเจบ็ ป่ วย ความทกุ ข์ ทรมาน ความผดิ หวงั ความสมหวงั ความสุข ความทุกข์ ท่ปี นเปกนั ไป ในแต่ละขณะในแต่ละชาติดว้ ยนะ แคค่ ิดวา่ ตอ้ งเกิดอกี แลว้ เป็นเด็ก อีกแลว้ ตอ้ งตะเกียกตะกายอยา่ งเดิมซ้าํ ๆอกี แลว้ แค่น้ีกจ็ ะเห็นความน่า เบื่อหน่ายในวฏั สงสาร ความไม่อยากท่ีจะตอ้ งมาเกดิ ซ้าํ ๆแบบน้ีอกี แลว้ ยง่ิ หากเกิดมาแลว้ ไมพ่ บธรรมะ ท่ีจะนาํ พาใหพ้ น้ ทุกขไ์ ด้ กย็ งิ่ เสียเวลาในการเกิดแต่ละชาติเป็นอยา่ งยงิ่ ตอ้ งวนเวยี นอยา่ งน้ีไม่มีที่

41 ส้ินสุด น่ียงั ไม่นบั ในการแวะไปเกิดเป็นสตั วบ์ า้ ง ในภพอืน่ ๆบา้ ง ใน บางชาติ ตามวบิ ากกรรมที่สร้างในแต่ละชาตินะ ถา้ มองเห็น ถา้ พจิ ารณาตาม กจ็ ะเห็นความน่าเบ่ือหน่าย น่า อเนจอนาถในการเกิดบ่อยๆ เกิดซ้าํ ๆ เกิดแลว้ เกิดอีก เมื่อไรจะสิ้นสุด เสียที แต่เพราะความไมร่ ู้ การเกิดมาแต่ละชาติ กเ็ หมอื นรู้สึกว่าเป็น ของใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นตวั เราของเราชาติน้ี วนั น้ี จึงกอบโกย ทาํ มา หากิน สะสมเงินทอง เป็นร้อยลา้ นพนั ลา้ น ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ตอ้ งเวียนไปเกดิ เป็นเดก็ ใหม่ แลว้ ตะเกียกตะกายสะสมกนั ใหมอ่ ีกไม่รู้จบสิ้น กเ็ ป็นอกี มมุ มองหน่ึง ท่ีช้ีใหเ้ ห็นถงึ ความน่าเวทนา ของการเวียนวา่ ยตายเกิดในภพมนุษยน์ ้ี ซ่ึงมีอายสุ ้นั นกั แค่ 100 ปี ก็ ตายกนั แลว้ จะยงั ยดึ มน่ั ถอื มนั่ กนั อยทู่ าํ ไม? ปัจจบุ ัน กค็ อื ปัจจบุ นั ทุกอยา่ งไหลไปตลอดเวลา ดงั น้นั ปัจจุบนั จึงเป็นสิ่งท่ีมี อิทธิพลท่ีสุด ความคดิ ในปัจจุบนั จึงเป็นสิ่งที่ตอ้ งรู้เท่าทนั แลว้ วางลง เพราะเมือ่ วางได้ แลว้ เรากจ็ ะไดค้ วามว่างในปัจจุบนั

42 จะรอไปปลอ่ ยวาง ไปเห็นความว่างในอนาคตไม่ได้ เพราะ มนั จะไมม่ ีเกดิ ข้ึนจริง อยา่ งเช่น หากเขา้ ไปอยใู่ นความคดิ ทุกขไ์ ปกบั ความคิด ผา่ น ไปสกั 5 นาทีแลว้ เพ่ิงนึกได้ ก็ไม่เห็นในปัจจุบนั แลว้ เพราะปัจจุบนั ผา่ นไปแลว้ มนั เป็นอดีตไป 5 นาทีแลว้ จึงยงั ตอ้ งทุกขไ์ ปก่อน แลว้ ค่อยยอ้ นเอาอดีตมาเป็นบทเรียนในปัจจุบนั อยา่ ลืมว่า ปัจจุบนั กค็ ือปัจจุบนั อยทู่ ี่วา่ เราจะเห็นมนั หรือไม่ เท่าน้นั แมแ้ ต่การไปคดิ ถงึ อดีต แทจ้ ริงก็เป็นปัจจุบนั เพราะ เหตุการณ์ในอดีต เมอ่ื คิดวนั น้ี เด๋ียวน้ี มนั กก็ าํ ลงั ออกมาจากหวั เรา ออกมาจากสมองของเรา ออกมาเป็นความคดิ เราในปัจจุบนั น้ี ใน วนิ าทีน้ี ในเด๋ียวน้ี นนั่ คือปัจจุบนั ... ของการคิดถงึ อดีต อาจจะงง สาํ หรับหลายท่าน และหลายท่านเริ่มเขา้ ใจ วา่ มนั ซอ้ นกนั อยอู่ ยา่ งน้ี เมอ่ื เห็นความคิด ความรู้สึก อารมณ์ในปัจจุบนั อยตู่ ลอดเวลา ก็จะไม่เห็นว่ามตี วั ตน ของตน มีตวั เรา ของเราที่ไหน มนั จะไมร่ วมตวั กนั เป็นกลุ่มเป็นกอ้ น เพราะเห็นแคก่ ระแสของกลไกธรรมชาติที่มนั กาํ ลงั ไหลไปตามเหตุปัจจยั แต่ละขณะนน่ั เอง

43 สมมตุ ิวา่ เราอยสู่ บายๆ แต่พอเห็นดอกกุหลาบสีแดง ที่แมค่ า้ เดินผา่ นมาขาย ความคิดแวบ็ เขา้ มาทนั ทีเลยวา่ เมื่อก่อนเราเคยซ้ือ กหุ ลาบอยา่ งน้ีใหแ้ ฟนคนเก่าในวนั วาเลนไทน์ แต่เขากลบั ไปมีแฟน ใหมแ่ ลว้ ความคิดนอ้ ยใจ เสียใจ ดงั ที่เคยผา่ นมาเม่อื หลายปี ก่อน ก็ ยอ้ นกลบั มาได้ อารมณ์หดหู่ เศร้าหมองไปกบั ความคิดทีย่ อ้ นกลบั มา น้นั เหตุการณ์เกิดใน... อดีต แต่ความทุกขเ์ กิดใน.. ปัจจุบนั ... ความจริง ความคิดเราหา้ มมนั ไม่ได้ มนั จะยอ้ นไปขา้ งหลงั มนั จินตนาการไปขา้ งหนา้ ในอนาคตไดเ้ สมอ ตลอดเวลา เพยี งแค่มี วตั ถดุ ิบมากระทบ หรือเหตุปัจจยั เก่าบา้ ง ใหมบ่ า้ งมากระตุน้ เลก็ นอ้ ย มนั กไ็ ปแลว้ หา้ มไม่ไดแ้ ลว้ เพราะมนั ไม่ไดข้ ้ึนอยกู่ บั ใคร บงั คบั บญั ชาก็ไม่ได้ ไม่อยากคิดกไ็ ม่ได้ เพราะมนั คิดใหเ้ สร็จสรรพ แต่... ถา้ รู้จริงวา่ ต่อใหเ้ ป็นเร่ืองราวในอดีต แต่วา่ มนั กก็ าํ ลงั ใชป้ ัจจุบนั คิดอยู่ ใชส้ มองขณะน้ี ใชค้ วามคิดขณะน้ี ปรุงแต่งเรื่องเก่าอยใู่ น ขณะน้ี แต่เป็นปัจจุบนั ของเรื่องราวในอดีตขณะน้ี ปัจจุบนั จงึ จดั การได้ อดตี แก้ไขไม่ได้ เพราะผ่านมาแล้ว

44 ปัจจุบัน แก้ไขได้ ถ้ารู้เท่าทนั ในปัจจุบัน ว่ากาลงั คดิ พดู ทา อะไรอยู่ อนาคต แกไ้ ขได้ เพราะมนั ไม่มอี นาคตจริง อนาคตกค็ ือ ปัจจุบนั เพราะไปคดิ ถงึ อนาคต แต่ขณะคิดถึงอนาคต ก็ตอ้ งใช้ ความคดิ ในปัจจุบนั เป็นตวั คิด ดงั น้นั อนาคตจึงไม่มจี ริง มแี ต่ปัจจุบนั ท่ี กาํ ลงั คิดถงึ อนาคต เมอื่ ผา่ นไป 1 วินาที ความคิดที่คิดถงึ อนาคตก็เป็น อดีตไปแลว้ มนั ซอ้ นกนั อยอู่ ยา่ งน้ี เพียงแต่วา่ เราจะเขา้ ใจไดแ้ ค่ไหน เท่าน้นั ถา้ เขา้ ใจปัจจุบนั ปล่อยวางในปัจจุบนั เรากจ็ ะอยกู่ บั ปัจจุบนั ท่ี แมว้ ่ามนั คิดจะเอาเรื่องอดีต อนาคต มาคิดก็เร่ืองของมนั เพราะมนั ทาํ อะไรเราไมไ่ ด้ เพราะมนั ก็แค่คดิ ในหวั ของเรา ในความคิดของเรา ณ ตอนน้ี ณ เด๋ียวน้ี ณ ปัจจุบนั น้ี ทางธรรมะ พระปฏบิ ตั ิทานจึงสอน จึงบอกใหเ้ ราอยกู่ บั ปัจจุบนั อยา่ ฟ้ งุ ซ่านไปในอนาคต อยา่ ยอ้ นคิดไปในอดีตท่ีผา่ นมา เพราะมนั ไมม่ ีประโยชน์ใดๆ เห็นอดีต เห็นอนาคตไดจ้ ริง กต็ ่อเมอื่ เราเห็นปัจจุบนั เพราะอดีต อนาคต ท้งั หลายท้งั ปวง มนั รวมอยใู่ นปัจจุบนั ใน หวั ของเรา ในความคิดของเรา ณ วนิ าทีน้ีแลว้ ถา้ จะดบั กด็ บั ในขนั ธน์ ้ี ในความคิดน้ี ถา้ จะปล่อยวาง ก็ ปล่อยวางในขนั ธน์ ้ี ในความคิดน้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook