ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 36 ชนิดหนึ่ง แต่ถูกนำไปใช้กับ host อีกกลุ่มหรือสำยพันธุ์ อื่นที่ไม่เฉพำะเจำะจงกับเช้ือโรคน้ัน (Shapiro-Ilan et al., 2005) (3) ควำมรุนแรงของโรค (virulence) เป็นควำมสำมำรถของเชื้อจุลินทรีย์ท่ีทำให้แมลง ตำย ซึ่งระดับควำมรุนแรงของโรค สำมำรถวัดได้จำกค่ำ median lethal dose (LD50) หรือ median lethal time (LT50 ) (Shapiro-Ilan et al., 2005a) โดยที่ค่ำ LD50 หมำยถึง ปริมำณ (dose) เชื้อโรคที่ทำใหแ้ มลงตำยไปเป็นจำนวนครึ่งหน่ึง (50%) ของจำนวนแมลงทั้งหมด โดยที่ค่ำ LD50 ได้จำกผลกำรทดลองท่ีทดสอบให้แมลงได้รับเชื้อโรคในปริมำณท่ีแตกต่ำงกัน และวัดผลกำร ตำยของแมลงประมำณ 2-3 วัน แต่ไม่เกิน 2 สัปดำห์ ท้ังน้ีระยะเวลำในกำรวดั ผลข้นึ อยกู่ ับกลไกใน กำรออกฤทธ์ขิ องเช้ือจุลินทรยี น์ ้ัน ๆ ในขณะท่ีค่ำ LT50 หมำยถึง ระยะเวลำท่ีทำใหแ้ มลงตำยไปเป็น จำนวน 50% ของจำนวนแมลงท้ังหมด หลังจำกได้รับเชื้อจุลนิ ทรีย์ โดยเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้แมลง ตำยภำยในระยะเวลำอันสั้น ย่อมมีควำมรุนแรงมำกกว่ำเช้ือจุลินทรีย์ที่ทำให้แมลงตำยโดยใช้ ระยะเวลำที่นำนกว่ำ นอกจำกน้ีเช้ือจุลินทรีย์ที่สำมำรถเพิ่มจำนวนได้อย่ำงรวดเร็ว หลังจำกเข้ำสู่ ลำตัวแมลง ย่อมมีควำมรุนแรงมำกกว่ำเชื้อท่ีเจริญได้อย่ำงช้ำ ๆ (Shapiro-Ilan et al., 2003a; Bruck, 2004; Fisher et al., 2011) กำรผลติ สำรพิษ (toxin) หรือ สำรทุติยภมู ิอื่น ๆ (secondary metabolites) ของเชอื้ จุลินทรีย์ท่ีเข้ำทำลำยแมลง ก็สำมำรถเพม่ิ ควำมรุนแรงในกำรกำจัดแมลงได้ ดีขนึ้ โดยไปลดค่ำ LD50 และ LT50 ใหม้ ีค่ำต่ำลง สำรพิษที่เชอื้ สร้ำงขึ้นมำไปมีผลกระทบกบั แมลงไม่ ทำงใดก็ทำงหนึ่ง อย่ำงแรกสำรพิษนี้จะไป ทำให้แมลง เกิดอำกำรผิดปกติ และตำยโดยตรง หรือ สำรพิษไปมีผลตอ่ ระบบภูมคิ ุ้มกันของแมลง ทำให้แมลงอ่อนแอลง เมอื่ สภำพแวดล้อมไม่เหมำะสม ทำให้แมลงเกิดควำมอ่อนแอ เป็นผลทำให้เชื้ออ่ืน ๆ เข้ำทำลำยซ้ำเติม (Vey et al., 2001; Charnley, 2003) สำหรับสำรทุติยภูมิที่เช้ือโรคผลิตออกมำน้ัน ส่วนใหญ่เช้ือแบคทีเรียและเชื้อรำ จะเป็นเชื้อหลักท่ีสร้ำงสำรน้ีออกมำ สำรทุติยภูมิที่หลั่งออกมำน้ี จะหลั่งออกมำก่อน ก่อนที่เชื้อจะ เข้ำบุกรุกแมลง ช่วยให้เชื้อเข้ำทำลำยได้มีประสิทธิภำพดีย่ิงข้ึน (Schnepf et al., 1998; Vey et al., 2001; Bravo et al., 2007) เชอื้ แบคทีเรีย Bt เป็นเชื้อที่รู้จกั กันดีวำ่ ผลิตสำรพิษ ทัง้ exotoxin และ endotoxin ระหว่ำงขบวนกำรเข้ำทำลำยแมลงศัตรู (Schnepf et al., 1998) ส่วนเช้ือรำ สำเหตุโรคแมลง ก็ผลิตเอนไซม์ ระหว่ำงเข้ำทำลำยแมลงโดยไปทำให้ผ่ำนเข้ำผนังลำตัวแมลง เอนไซม์เหล่ำน้ีจะไปย่อยผนังลำตัวแมลงทำให้เช้ือรำแทงทะลุเส้นใยได้สะดวกมำกข้ึน เอนไซม์นี้ ได้แก่ chitinase, lipases และ protease (Silva et al., 2005; Boldo et al., 2009) กำรผลิต cuticle-degrading protease (Pr1) ในเช้ือ M. anisopliae เพ่ิมควำมรุนแรงของเช้ือในกำรเข้ำ ทำลำย tobacco hornworm, Manduca sexta (St. Leger et al., 1996) นอกจำกน้ี เช้ือ M. anisopliae และเช้ือรำอื่น ๆ ยังผลิตสำรทุติยภูมิท่ีมีชื่อว่ำ Dextruxins ซง่ึ สำรดังกล่ำวยังช่วยเพ่ิม อัตรำกำรตำยเมื่อเข้ำทำลำยแมลง (Schrank and Vainstein, 2010) สำยพั นธ์ุของ M. anisopliae ที่ผลิต Dextruxins ได้มำกกว่ำสำยพันธุ์อื่น ๆ เป็นสำยพันธุ์ท่ีพบว่ำมีควำมรุนแรงใน กำรทำลำยแมลงได้มีประสิทธภิ ำพสูงข้ึน (Sree and Padmaja, 2008)
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 37 (4) ควำมหนำแน่นของเช้ือโรค (pathogen density) เป็นปัจจัยท่ีมีควำมสำคัญมำก ที่สุดในกระบวนกำรที่ทำให้แมลงเกิดโรค ตำมทฤษฎีแล้วเชื้อโรคเพียงเซลล์เดียวควร จะมี ควำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยแมลงได้ แต่ในควำมเป็นจริงแล้วจะต้องมีปริมำณเชื้อที่ เหมำะสม จึงจะสำมำรถทำให้แมลงเป็นโรคได้ ทั้งนี้ควำมหนำแน่นของเชื้อโรค มี ควำมสัมพันธ์กับกำรแพร่กระจำยของเชื้อโรคไปยังแมลงตัวอ่ืน ๆ ในประชำกร โดยเช้ือโรคท่ีมี ควำมหนำแน่นมำก จะมโี อกำสแพร่กระจำยไปในประชำกรของแมลงได้สูง (Tanada and Fuxa, 1987; Onstad, 1993; D’Amico et al., 1996) ทำให้แมลงติดเชื้อได้ง่ำย และมีควำมรุนแรง มำกกว่ำ ทั้งน้ีในสภำพธรรมชำติควำมหนำแน่นของเชื้อโรคมักจะเพิ่มสูงขึ้นหลังจำกเกิดกำร ระบำดของโรค ทำให้มีกำรแพร่กระจำยของเช้ือโรคขยำยออกไปเป็นวงกวำ้ ง ดังปรำกฏกำรณ์ ท่ี พบในหนอนผีเส้ือที่ติดเช้ือไวรัส NPV (Fuxa, 2004) ในทำงตรงกันข้ำม หำกเช้ือโรคมีควำม หนำแน่นต่ำหรือมีปริมำณน้อย โอกำสที่เชื้อโรคน้ันจะแพร่กระจำยไป และมีชีวิตอยู่รอดใน สภำวะแวดล้อมกย็ ่อมตำ่ ตำมไปดว้ ย (Tanada and Kaya, 1993) (5) ควำมสำมำรถในกำรอยู่รอด (capacity to survive) โดยท่ัวไปเช้ือโรคของแมลง สำมำรถอำศัยอยู่ในตัวแมลง บนต้นพืช หรอื ในดนิ ดังน้นั สภำพแวดล้อม จึงมผี ลอยำ่ งมำกต่อกำร อยู่รอดของเชื้อ โดยเช้ือโรคมีกลไกกำรปรับตัว ให้สำมำรถอยู่รอดในสภำพแวดล้อมที่ไม่ เหมำะสมได้ เช่น ในสภำพทะเลทรำย เชื้อจุลินทรีย์ในธรรมชำติ มีควำมสำมำรถอยู่รอดได้ แตกต่ำงกัน กล่ำวคือ เช้อื ไวรัสสำมำรถอยู่ได้นำน 1 วัน เช้ือไมโครสปอริเดยี สำมำรถอยู่ได้ไม่เกิน 4 ช่ัวโมง สำหรับสปอร์ของเชื้อ Bacillus thuringiensis สำมำรถอยู่ได้นำน 3 วัน ในขณะท่ี - endotoxin ของเช้ือดังกล่ำวอยู่ได้นำนถึง 7 วนั สำหรับ conidia ของเช้อื รำ Nomuraea rileyi มีชีวิตอยู่ได้นำน 6 วัน ส่วนสภำพแวดล้อมท่ีมีควำมช้ืนต่ำน้ันมีผลกระทบต่อกำรอยู่รอดของเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรำ เชื้อไมโครสปอริเดีย และไส้เดือนฝอย ในขณะที่รังสีอัลตรำไวโอเลต ในแสงแดด ทำให้เชื้อโรคหลำยชนิดเสื่อมสภำพลง สำหรับสภำพแวดล้อมของดิน พบว่ำสมบัติ ทำงฟิสิกส์และเคมีของดินนั้นมีผลต่อกำรอยู่รอดของเชื้อ ซ่ึงในสภำพดินท่ีเหมำะสม สำมำรถทำ ให้สปอร์ของเชื้อ Bacillus popilliae ซึ่งเป็นสำเหตุของโรค milky disease ในหนอนของด้วง ปีกแข็ง สำมำรถมชี วี ิตอยใู่ นดนิ ไดน้ ำนถึง 2-7 ปี (Tanada and Kaya, 1993) (6) ควำมสำมำรถในกำรแพร่กระจำย (capacity to disperse) โดยปกติแล้วเช้ือโรคมี ข้อจำกัดในกำรแพร่กระจำยด้วยตัวเอง จงึ จำเป็นต้องอำศัยปัจจัยภำยนอก ได้แก่ ลม และน้ำฝน เพื่อช่วยให้เชื้อแพร่กระจำยจำกที่หน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึงได้ดียิ่งข้ึน ตัวอย่ำงเช่น ลมสำมำรถพัดพำให้ สปอร์ของเชื้อรำปลิวไปยังท่ีอื่น ๆ ได้ และเมื่อสปอร์ไปสัมผัสกับแมลงตัวใหม่ก็อำจทำให้แมลงติด เชือ้ ได้ หรือในกรณีของเช้ือไวรัส NPV ท่ปี ะปนอยู่กับฝนุ่ ผง สำมำรถถูกลมพัดพำไปเกำะกับใบพืช และแมลงมำกินใบไม้เหล่ำนั้น สำมำรถทำให้แมลงติดเชื้อโรคได้ สำหรับน้ำฝนมีส่วนสำคัญท่ี ช่วยกระจำยเชื้อ baculovirus ได้เป็นอย่ำงดี นอกจำกนี้พฤติกรรมบำงอย่ำงของแมลง มสี ่วน ช่วยให้กำรแพร่กระจำยของเช้ือโรคเกิดข้ึนได้ดีย่ิงข้ึน เช่น หนอนผีเส้ือ และหนอน sawfly เม่ือ
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 38 หนอนติดเชื้อไวรัส NPV จะมีพฤติกรรมเคล่ือนท่ีสวนทำงกับแรงโน้มถ่วงของโลก โดยปีนข้ึนไป บนส่วนยอดของต้นไม้แล้วใช้ขำเทียมเกำะกิ่งไม้ไว้ แล้วห้อยหัวลงมำ มีลักษณะคล้ำยรูปตัววี (V) หัวกลับ และเมื่อหนอนดังกล่ำวตำย ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจำยลงสู่ด้ำนล่ำง ทำนองเดียวกันกับ ตัก๊ แตนท่ีติดเช้ือ Entomophaga มักจะข้นึ ไปตำยอย่บู นยอดต้นพชื ซ่ึงพฤตกิ รรมดังกล่ำวช่วยให้ สปอร์ของเชื้อถูกลมพัดไปได้ไกลมำกยิ่งขึ้น อย่ำงไรก็ตำมยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยให้ กำรแพร่กระจำยเชื้อโรคในแมลงได้ดีข้ึน เช่น แมลงตัวเบียนทำให้เชื้อแพร่กระจำยจำกแมลงตัว ห นึ่ งไป ยั งแ ม ล งอี ก ตั ว ห น่ึ งได้ (Tanada and Kaya, 1993) ไส้ เดื อ น ฝ อ ย ใน ว ง ศ์ Steinernematidae และ Heterorhabditidae เป็นตัวอย่ำงที่ดีของกำรแพร่กระจำยด้วยตัว ของมันเอง ในดินที่มีสภำพอุดมสมบูรณ์มีควำมชื้นเพียงพอ ไส้เดือนฝอยสำมำรถเคลื่อนที่ไปหำ แมลงอำศัยได้ กำรเคลื่อนที่ไปหำเหยื่อของไส้เดือนฝอยจะมี 2 แบบด้วยกัน แบบแรกเรียกว่ำ ambushers คือ ไส้เดือนฝอยในกลุ่ม Steinernema carpocapsae และ S. scapterisci คือ เคลื่อนท่ีไปบนผิวดิน น่ังรอเหยื่อ เมื่อเหย่ือเข้ำมำใกล้จึงเข้ำทำลำย ส่วนอีกแบบหน่ึงเรียกว่ำ cruisers ไสเ้ ดอื นฝอยชนิดนี้มนี ิสยั เป็นนักล่ำเหย่อื เคลือ่ นท่ีอยู่ในระดบั ใตด้ ินออกหำเหย่ือโดยดัก จับสำรที่ระเหยออกมำจำกเหย่ือ เช่น ก๊ำซคำร์บอนไดออกไซด์ แล้วเข้ำตรงไปทำลำยแมลง ไส้เดือนฝอยท่ีออกหำกินโดยวิธีนี้พบในไส้เดือนฝอย Heterorhabditis bacteriophora, H. megidis และ S. glaseri นอกจำกน้ียังมีไส้เดือนฝอยกลุ่มที่เคลื่อนท่ีออกหำกินแบบอยู่ระหว่ำง ambushers และ cruisers ได้แก่ S. feltiae และ S. riobrave (Campbell and Gaugler, 1997; Lewis, 2002; Lewis et al., 2006) ประชำกรของแมลงอำศัย (host population) แมลงอำศัยเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีควำมสำคัญ ต่อกำรเกิดโรคระบำดในแมลง และปัจจัยที่มีผลกระทบต่อกำรเกิดโรคระบำดในประชำกรแมลง คือ ควำมอ่อนแอของแมลง ควำมหนำแน่นของแมลง และพฤติกรรมของแมลง (Tanada and Kaya, 1993) โดยมีรำยละเอียด ดังน้ี (1) ควำมออ่ นแอของแมลง (susceptiblity) ควำมออ่ นแอต่อเช้ือโรคของแมลงแต่ละ ชนิด มีควำมแตกต่ำงกัน โดยขน้ึ อยูก่ ับชนิด สำยพันธ์ุ กลุ่มประชำกรของแมลง เชน่ เชือ้ ไวรสั Granulosis virus (GV) สำมำรถเข้ำทำลำยหนอนของ Indian meal moth จำกกล่มุ ประชำกร แมลงในมลรฐั Georgia และใน California ของสหรัฐอเมริกำ มคี ่ำ LD50 แตกต่ำงกนั ประมำณ 7 เท่ำ เชน่ เดียวกันกบั ในผงึ้ (Apis mellifera) พบวำ่ มคี วำมอ่อนแอต่อเชื้อแบคทีเรยี Bacillus larvae ทเ่ี ป็นสำเหตขุ องโรค American foulbrood แตกต่ำงกนั โดยตวั อ่อนผงึ้ แต่ละชนดิ ท่ี ได้รบั เช้อื แบคทเี รยี ดงั กล่ำว มีอัตรำกำรตำยที่แตกตำ่ งกัน ทัง้ น้ีข้นึ อยู่กับควำมอ่อนแอและควำม แขง็ แรงของผนังลำไส้ทแ่ี ตกต่ำงกัน ทำใหส้ ปอร์ของเช้ือแบคทีเรยี สำมำรถหรือไมส่ ำมำรถแพร่เข้ำ ไปสูช่ ่องว่ำงภำยในลำตัวของผ้ึงได้
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 39 (2) ควำมหนำแน่นของแมลง (density) กำรระบำดของเช้ือจะมีควำมรุนแรงมำกหรือ นอ้ ยขึ้นอยู่กบั จำนวนควำมหนำแน่นของแมลงในประชำกร ถ้ำหำกจำนวนประชำกรแมลงมีควำม หนำแน่นสูง ทำให้โอกำสของกำรสัมผัสระหว่ำงแมลงที่เป็นโรคกับแมลงปกติมีมำกขึ้น (Andreadis, 1987; Watanabe, 1987; Onstad and Carruthers, 1990) นอกจำกนี้ในสภำพ ที่ประชำกรมีควำมหนำแน่น มักทำให้เกิดควำมเครียดซึ่งทำให้แมลงติดเช้ือได้ง่ำย อย่ำงไรก็ตำม กำรระบำดของโรค สำมำรถเกิดข้ึนได้ในกลุ่มประชำกรแมลงท่ีมีควำมหนำแน่นต่ำได้ ทั้งน้ีเช้ือ สำเหตตุ อ้ งมีปริมำณมำกพอ และมกี ำรกระจำยตวั เป็นอยำ่ งดี (3) พฤติกรรมของแมลง (behavior) พฤติกรรมของแมลงมีผลกระทบต่อกำรเกิดโรค ระบำดโดยมีควำมสัมพันธ์กับสภำพแวดล้อมและแหล่งที่อยู่อำศัย ดังตัวอย่ำงหนอนของแมลง บำงชนิดมักมีพฤติกรรมชอบไต่ข้ึนไปยังยอดไม้เพ่ือกินยอดอ่อน เมือ่ ติดเชื้อโรคจะเกำะอยู่บนยอด จนตำยและห้อยหัวลงมำ ซ่ึงฝนและลมสำมำรถพัดพำเอำเช้ือโรคแพร่กระจำยออกไปได้ไกลมำกข้ึน ดังท่ีได้กลำ่ วมำแล้วข้ำงต้น นอกจำกนี้แมลงท่ีเป็นสัตว์สังคม เช่น ปลวก มด และผ้งึ มีพฤติกรรม กำรทำควำมสะอำดรัง (house cleaning) กำรทำควำมสะอำดร่ำงกำย ซึ่งมีผลต่อกำร แพร่กระจำยของเช้ือโรคภำยในรัง (Siebeneicher et al., 1992; Oi and Pereira, 1993) ตัวอย่ำงเช่น ปลวก (Reticulitermes flavipes) มีพฤติกรรมสั่นลำตัวอย่ำงต่อเน่ือง ท่ีเรียกว่ำ grooming (Kramm et al., 1982) เพื่ อท ำควำมสะอำดร่ำงกำย ห ำกมีสป อร์ของเชื้อ M. anisopliae ติดมำกับปลวกตัวดังกล่ำว ก็จะทำให้เชื้อรำแพร่กระจำยไปสู่ปลวกตัวอ่ืน ๆ ได้ ง่ำยขึน้ (Yanagawa and Shimizu, 2007) กำรถ่ำยทอดเชื้อ (transmission) กำรถ่ำยทอดเช้ือ หมำยถึง กระบวนกำรที่เชื้อโรค (pathogen) หรือปรสิต (parasite) มีกำรเคล่ือนย้ำยจำกแมลงอำศัยที่ติดเชื้อเดิมไปยังแมลงอำศัยตัวใหม่ (Anderson and May, 1981; Andreadis, 1987; Onstad and Carruthers, 1990) เชื้อก่อ โรคในแมลงมีกำรพัฒนำกลไกท่ีซับซ้อนและหลำกหลำยเพื่อให้มีควำมสำมำรถในกำรมีชีวิตรอด ในระยะยำว และเพียงพอสำหรับกำรถ่ำยทอดเชื้อโรคไปยังแมลงอำศัยตัวใหม่ ควำมรู้พื้นฐำน ของวิธีกำรถ่ำยทอดเชือ้ โรคเป็นกุญแจสำคญั ในกำรทำใหเ้ กิดควำมเข้ำใจต่อกำรเปลย่ี นแปลงของ โรค และกำรเกิดกำรระบำดของเช้ือโรค (epizootics) ในส่วนของกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคพบมี 2 ช่องทำง คือ กระบวนกำรถ่ำยทอดเชื้อโรคทำงตรง (direct) จำกแมลงที่เป็นโรคหรือแมลงท่ี ตำยไปแล้วไปยังแมลงตัวใหม่ที่มีควำมอ่อนแอ แมลงท่ีได้รับกำรถ่ำยทอดเชื้อมำน้ันอำจเป็น ชนิดเดียวกันหรือต่ำงชนิดกันก็ได้ สำหรับกำรถ่ำยทอดเชื้อทำงอ้อม (indirect) นั้นจะอำศัยตัว นำพำเช้ือจำกท่ีหน่ึงไปยังอีกที่หนึ่ง เช่น ตัวเบียน หรือสัตว์อ่ืน ๆ รวมถึงกำรถ่ำยทอดเช้ือไปโดย อำศัยปัจจัยจำกสิ่งแวดล้อม เช่น ลม ฝน กระแสน้ำ นอกจำกนี้กำรถ่ำยทอดเชื้อยังถูกแบ่ง ออกเป็น 2 ลักษณะ ตำมรูปแบบของกำรถ่ำยทอดเชื้อ คือ กำรถ่ำยทอดเชื้อแบบแนวรำบ และ กำรถำ่ ยทอดเช้ือแบบแนวด่งิ (Tanada and Kaya, 1993) โดยมรี ำยละเอยี ด ดังนี้
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 40 (1) กำรถำ่ ยทอดเชอ้ื แบบแนวรำบ (horizontal transmission) หมำยถงึ กำรถำ่ ยทอด เชื้อจำกแมลงตัวหนึ่งไปยังแมลงอีกตัวหน่ึง หรือจำกแมลงตัวหนึ่งผ่ำนส่ิงแวดล้อมไปยังแมลงอีก ตัวหนึ่ง โดยที่เช้ือจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ สำมำรถเข้ำสู่ลำตัวของแมลงโดยผ่ำนทำงกำรกิน (oral transmission) ผนังลำตัว ช่องอำกำศ รวมถึงท่อขับถ่ำย (Canning, 1982) เช้ือรำสำมำรถ แพร่กระจำยเช้ือได้อย่ำงรวดเร็วไม่ว่ำจะเป็นกำรถ่ำยทอดจำกผู้ให้อำศัยต่อผู้ให้อำศัย หรือผู้ให้ อำศัยต่อสิ่งแวดล้อมต่อผู้ให้อำศัยใหม่ กำรถ่ำยทอดเชื้อโรคแบบ horizontal ถือเป็นปัจจัยทำง ชีวภำพที่มีควำมสำคัญต่อกำรดำรงอยู่ และกำรอยู่รอดในสภำพแวดล้อมในระยะยำวของเช้ือรำ M. acridum และ M. flavoviride (Thomas et al., 1995) นอกจำกนี้กำรถ่ำยทอดเช้ือโรค แบบ horizontal ท่ีมีกำรแพร่กระจำยเช้ือจำกผู้ให้อำศัยเดิมสู่ผู้ให้อำศัยใหม่ มีควำมสำคัญมำก ในกำรแพร่กระจำยและควำมสำมำรถในกำรมีชีวิตรอดของเชื้อรำ ซ่ึงพบระหว่ำงเช้ือรำ B. bassiana และ M. anisopliae กับแมลงวัน tsetse flies, Glossina morsitans (Kaaya and Okech, 1990) กับแมลงวันผลไม้ Mexican fruit fly, Anastrepha ludens (Toledo et al., 2007) กับแมลงสำบ German cockroach, Blatella germanica (Quesada-Moraga et al., 2004) และแมลงชนิดอื่น ๆ อีกตัวอย่ำงหน่ึงคือกำรแสดงควำมสำมำรถในกำรถ่ำยทอดเช้ือ โรคทั้งทำงตรงและทำงอ้อมของเช้ือ M. anisopliae ท่ีพบก่อให้เกิดกำรติดเชื้อกับไร (Psoroptes spp.) ท่ีเป็นตัวก่อโรคและรบกวนในสัตว์ปีกท่ีมีกระดูกสันหลังหลำยชนิดถึง 40% (Brooks and Wall, 2005) (2) กำรถำ่ ยทอดเช้อื แบบแนวดิ่ง (vertical transmission) เป็นกำรแพรเ่ ชื้อจำกพ่อแม่ ไปสู่ลูก หรือกำรถ่ำยทอดทำงพันธุกรรม (Fine, 1975; Andreadis, 1987) เช้ือจุลินทรีย์ที่ สำมำรถถ่ำยทอดจำกแม่สู่ลูก ได้แก่ เชื้อไวรัส เช้ือแบคทีเรีย และไมโครสปอริเดีย โดยรูปแบบ กำรถำ่ ยทอดเช้ือโรคจำกแมส่ ู่ลกู น้นั สำมำรถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 รปู แบบ คือ (2.1) transovum เป็นกำรติดเชื้อท่ีบริเวณผนังของเปลือกไข่ เมื่อตัวหนอนฟักออกมำ โอกำสท่ีติดเช้ือมีมำกกวำ่ 50% ในช่วงระยะนีห้ นอนยังไมส่ ำมำรถปรับตวั เข้ำกับสภำวะแวดล้อม ได้ จึงทำใหต้ ิดเชอ้ื ได้ง่ำย ซงึ่ เช้อื ที่จัดอยใู่ นประเภทนคี้ ือ เช้อื ไวรัสในวงศ์ Baculoviridae (2.2) transovarial คือกำรติดเช้ือภำยในรังไข่ของแมลง ทำให้ไข่ทุกใบมีเชื้ออยู่ภำยใน และหนอนที่ฟกั ออกมำทกุ ตัว มเี ชื้อเจริญอยภู่ ำยในลำตวั แล้ว เช่น เชื้อ Nosema bombycis ซึ่ง เป็นเช้ือสำเหตขุ องโรค pébrine ในหนอนไหม กำรถ่ำยทอดเชื้อโรคแบบ horizontal ของแบคทีเรียและไวรัส พบเริ่มต้นกำรถ่ำยทอดเชื้อผ่ำน ทำงผู้ให้อำศัยเดิมสู่สิ่งแวดล้อมไปสู่ผู้ให้อำศัยตัวใหม่ รปู แบบของกำรแพร่กระจำยของเช้ือแบคทีเรยี และ ไวรัสข้ำงต้นมีบทบำทท่ีสำคัญมำกในกำรกำหนดอัตรำกำรแพร่กระจำยของเช้ือโรค (Dwyer, 1992, 1994) Microsporidia เป็นกลุ่มเช้ือโรคทไี่ ด้รับกำรศึกษำกันอย่ำงแพรห่ ลำยเกี่ยวกับควำมสำมำรถในกำร ถ่ำยทอดเชื้อแบบ horizontal ภำยในผู้ให้อำศัยชนิดต่ำง ๆ แบบรุ่นต่อรุ่น ซ่ึงอัตรำกำรติดเชื้อจำกกำร
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 41 ถำ่ ยทอดแบบนี้ของ Microsporidia ขึ้นอยกู่ ับเปอร์เซ็นต์ของประชำกรท่ีติดเช้ือ ช่วงกำรเจริญเติบโตของ ผู้ให้อำศัย ควำมรุนแรง และแนวโน้มของ microsporidium ที่ติดมำจำกกำรถ่ำยทอดเช้ือแบบ vertical กำรศึกษำส่วนใหญ่เกี่ยวกับกำรเคลื่อนย้ำยของเชื้อโรคที่มีกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ horizontal ของเชื้อ N. pyrausta ไปยัง O. nubilalis พบมีรำยงำนกำรศกึ ษำน้อยมำก อีกท้ังพบว่ำเช้ือโรคน้ีไม่มีกำรถ่ำยทอด เชื้อโรคแบบ horizontal ในระยะที่ 1 ของกำรเจริญเติบโต (ไข่) ของ O. nubilalis (Siegel et al., 1988; Onstad and Maddox, 1989 Solter et al., 1990) Andreadis (1986) ชี้ให้เห็นว่ำกำร ถ่ำยทอดเช้ือแบบ horizontal มีมำกข้ึนเม่ือแมลงมีกำรพัฒนำอยู่ในระยะที่ 2 (ตัวหนอน) เน่ืองจำกใน ระยะน้แี มลงมคี วำมหนำแน่นของตัวอ่อนและกำรเคลอื่ นไหวของตัวออ่ นทำให้เชื้อเกดิ กำรกระจำยได้กว้ำง ขน้ึ กำรศึกษำของ Lewis (1978) แสดงให้เห็นวำ่ กำรเคล่ือนไหวของตัวอ่อนในระยะท่ี 2 (ตัวหนอน) มผี ล ตอ่ หรอื ช่วยในกำรถ่ำยทอดเชื้อโรคแบบ horizontal ของสปอรเ์ ช้ือโรค โดยจำกกำรทดลองพบวำ่ ในระยะ ตัวอ่อนของ N. pyrausta สำมำรถถ่ำยทอดเชื้อโรคจำกระยะตัวอ่อนวัยแรกไปสู่ระยะตัวอ่อนวัยท่ีสองได้ โดยเม่ือสปอร์ของเช้ือโรคถูกเกำะติดหรือฝำกไว้บนตัวอ่อนวัยแรก จะพบเข้ำก่อโรคในแมลงระยะตัวอ่อน วัยสองขณะกินพืชบนต้นหรือในบริเวณเดียวกัน (Lewis and Cossentine, 1986) นักวิจัยพบว่ำกำร ถ่ำยทอดเชื้อโรคแบบ vertical และ horizontal มีอิทธิพลต่อควำมรุนแรงของกำรติดเชื้อโรค N. pyrausta ในประชำกรของ O. nubilalis รวมไปถึงเปอร์เซ็นต์ของประชำกรที่ติดเชื้อ (Lewis et al., 2006) กำรศึกษำในสภำพแปลงใช้ระยะเวลำดำเนินกำรถึง 16 ปีในสองพื้นที่ศึกษำของเมือง Nebraska พบวำ่ กำรเพ่ิมขึ้นของเปอร์เซ็นต์กำรตดิ เช้ือ N. pyrausta ในประชำกรของ O. nubilalis เพ่ิมข้ึนอยู่เสมอ ตำมระยะเวลำและโครงสร้ำงของประชำกร O. nubilalis ท่ีเพิ่มขึ้น สรุปว่ำควำมหนำแน่นของแมลงมี ควำมเก่ยี วขอ้ งโดยปัจจัยพ้นื ฐำนสำหรบั กำรถ่ำยทอดเชอ้ื โรคแบบ horizontal (Hill and Gary, 1979) ไส้เดือนฝอยสำเหตุโรคในแมลงจะพบถ่ำยทอดเชื้อโรคเฉพำะแบบ horizontal ไส้เดือนฝอยเม่ือ เข้ำสู่ระยะ Infective juveniles (IJs) จะออกมำจำกตัวแมลงอำศัยเดิมเมื่อครบวงจรกำรก่อโรค เข้ำสู่ สภำพแวดล้อมซ่ึงส่วนใหญ่อำศัยในดิน และเร่ิมค้นหำแมลงอำศัยตัวใหม่ ในวงจรกำรก่อโรคของไส้เดือน ฝอยก่อให้เกิดกำรแพร่กระจำยในวงกว้ำงของเชื้อโรคจำกผู้ให้อำศัยเดิมสู่ผู้ให้อำศัยตัวใหม่ในสภำพแปลง ส่งผลให้ประชำกรของแมลงศัตรูลดลง ทั้งยังพบว่ำวงจรกำรเกิดโรคแบบน้ีช่วยให้กำรเข้ำทำลำยแมลง อำศัยมีประสิทธิภำพมำกขึ้น (Koppenhöfer, 2007) กำรเพิ่มประชำกรในไส้เดือนฝอยเป็นส่ิงที่มี ประโยชน์มำกในโปรแกรมกำรจัดกำรศัตรูพืช เนื่องจำกไม่เพียงแต่ช่วยเพ่ิมประสิทธิภำพในกำรควบคุม แมลง แต่ยังช่วยให้ไส้เดือนฝอยมีชีวิตรอดและถ่ำยทอดเชื้อโรคสู่แมลงรุ่นต่อไป ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกำร ก่อให้เกิดโรคของไส้เดือนฝอยยังคงไม่มีควำมชัดเจน ท่ีส่งผลทำให้มีจำนวนไส้เดือนฝอยอยู่ในระดับต่ำ (Shapiro-Ilan et al., 2006; Koppenhöfer, 2007) ปัจจัยส่วนใหญ่ท่ีมีอิทธิพลต่อควำมคงอยู่ กำรติด เชอื้ และกำรเคลือ่ นยำ้ ยของไสเ้ ดอื นฝอย คำดว่ำนำ่ จะมีบทบำทมำจำกกำรขยำยจำนวนในไส้เดอื นฝอย กำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ Vertical หรือจำกพ่อแม่สู่รุ่นลูกหลำน เป็นปัจจัยที่มีควำมสำคัญที่ ก่อให้เกิดกำรระบำดของโรคจำกเชื้อไวรัส และ protists ในบำงกรณีกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ Vertical น้ันเป็นวิธีกำรหลักท่ีเชื้อก่อโรคจำกไวรัสหรือเช้ือจุลินทรีย์จำเป็นต้องมี สำหรับกำรถ่ำยทอดเชื้อจำกผู้ให้
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 42 อำศัยเดิมไปยังผู้ให้อำศัยรุ่นใหม่ ในกรณีอื่น ๆ กำรถ่ำยทอดเชื้อโรคแบบ Vertical พบเพียงแค่ช่วยเพ่ิม กำรถ่ำยทอดเชื้อโรคแบบ horizontal โดยเฉพำะอย่ำงย่ิงเมื่อประชำกรของผู้ให้อำศัยมีปริมำณต่ำ กำร ถ่ำยทอดเชอ้ื โรคแบบ Vertical ส่วนใหญพ่ บเกิดข้นึ จำกเพศเมีย เนอื่ งจำกเช้ือโรคสำมำรถแพรก่ ระจำยบน พื้นผิวของไข่ (transovum transmission) หรือภำยในไข่ผ่ำนรังไข่ (transovarial transmission) และ เชือ้ โรคสำมำรถเขำ้ ส่ไู ข่เมื่อมีกำรตดิ เชื้อท่ีอวัยวะสืบพนั ธุ์เพศเมีย (รงั ไข่และตอ่ มเกื้อกลู เพศ) กำรศึกษำกลไกและผลกระทบของระบำดวิทยำ ในกำรถ่ำยทอดเชื้อ microsporidia แบบ vertical เป็นไปอย่ำงแพร่หลำย อย่ำงไรก็ตำมควำมสัมพันธ์ท่ีซับซ้อนระหว่ำงกำรถ่ำยทอดเช้ือแบบ Vertical และ horizontal ยังคงต้องศึกษำต่อ เน่ืองจำกกำรถ่ำยทอดเชื้อแบบ horizontal ในตัวอ่อน ของ O. nubilalis กับเชื้อ N. pyrausta จำกผลกำรศึกษำแสดงให้เห็นว่ำในช่วงแมลงวัยอ่อนระยะที่ 1 ระยะท่ี 2 หรือระยะท่ี 3 พบมีสปอร์ของเชื้อ microsporidian ในเนื้อเย่ือรังไข่ (ovarian tissue) ภำยหลังจำกที่แมลงได้รับหรือสัมผัสกับเช้ือ 7 วัน แต่กลับพบว่ำให้เชื้อกับแมลงระยะท่ี 4 หรือระยะที่ 5 พบไม่มีกำรติดเช้ือโรคนี้ใน ovarian tissue จนถึงระยะเข้ำสู่ดักแด้ (Sajap and Lewis, 1988) ควำม รุนแรงของกำรติดเชื้อจะพิจำรณำจำกกำรเข้ำทำลำยเซลล์สืบพันธุ์ และกำรลด oogenesis ในระหว่ำง กำรพัฒนำกำรของรังไข่ จำกผลกำรศึกษำข้ำงต้นสรุปผลเก่ียวกับกำรลดลงของแมลงออกเป็น 2 ทำง คือ เกิดจำกควำมอุดมสมบูรณ์ไข่ และเกิดจำกกำรที่เชื้อเข้ำสู่ไข่ (transovarial transmission) (Sajap and Lewis, 1988) ไวรัสที่กอ่ โรคในแมลงหลำยชนดิ มีกำรถำ่ ยทอดเช้อื โรคแบบ Vertical ในสภำพแวดล้อม กำรทีจ่ ะ เข้ำใจเก่ียวกับควำมสัมพันธ์รวมถึงกำรมีส่วนร่วมในกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ Vertical และเงื่อนไขกำร ก่อให้เกิดโรคของไวรัส ส่วนที่มีควำมสำคัญมำกท่ีสุดคือกำรเข้ำใจระบบนิเวศวิทยำ (Cory and Evans, 2007) เชื้อไวรัสที่มีกำรศึกษำและรำยงำนกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ Vertical ดีที่สุดพบในไวรัสกลุ่ม baculoviruses แม้ว่ำภำยในเชื้อไวรัสกลุ่มนี้จะมีลักษณะและบทบำทของกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคใน epizootiology แต่ยังไม่เปน็ ทีเ่ ข้ำใจกนั อย่ำงเด่นชัด (Cory and Meyers, 2003) โดยควำมผิดปกติที่เกิด จำกกำรได้รับเช้ือโรคในลูกหลำนรุ่นต่อ ๆ ไป อำจเป็นผลมำจำกกำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ transovum และ transovarial (Kukan, 1999) กำรถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ Vertical ของเชื้อไวรัส NPV พบว่ำเช้ือ ไวรัสจะมีกำรปรับตัวในแมลงอำศัยในระยะตัวเต็มวัยเพ่ือควำมสำเรจ็ ในกำรเคล่ือนย้ำยหรือแพร่กระจำย เชือ้ ในระยะไกลไปยงั สถำนท่ีแห่งใหม่ รวมไปถึงกำรกำ้ วขำ้ มอปุ สรรคทำงสภำพพ้นื ท่ีที่ขัดขวำงหรือยำกต่อ กำรเขำ้ ถึงแมลงอำศัยใหม่ บนต้นพืช (Fuxa, 2004) นอกจำกน้ีพบหลกั ฐำนที่ชัดเจนวำ่ มีกำรถ่ำยทอดเชื้อ โรคแบบ Vertical ของเชอ้ื ไวรัส NPV (Smirnoff, 1972, Olofsson, 1989) และเช้ือไวรัส cytoplasmic polyhedrosis viruses (cypoviruses) ในแมลงอันดับ Lepidoptera (Sikorowski et al., 1973) ท่ีได้ แสดงให้เห็นถึงควำมต่อเนื่องของกำรติดเช้ือในลำไส้ท่ีพบเกิดขึ้นในระยะตัวอ่อน ในกรณีน้ีเป็นกำร ถ่ำยทอดเช้ือโรคแบบ transovum คือมีกำรปนเป้ือนของเชื้อไวรัสบริเวณภำยนอกเปลือกไข่ ซึ่งเป็น ชอ่ งทำงท่เี ชอ้ื มีโอกำสเขำ้ ไปกอ่ โรคไดม้ ำกทีส่ ุด
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 43 ปัจจัยจำกส่ิงแวดล้อม มีควำมสำคัญเป็นอย่ำงมำกต่อกำรเกิดโรคระบำดในแมลง และมีผลต่อ กำรแพรร่ ะบำดและควำมรุนแรงของโรค รวมถงึ กำรอยู่รอดของเชอื้ โรคอีกดว้ ย ปัจจัยสง่ิ แวดล้อม ที่มผี ลต่อโรคระบำดในแมลง สำมำรถแบง่ ออกเปน็ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยท่เี กิดจำกสง่ิ ไม่มีชวี ิต และ ปัจจัยทเ่ี กิดจำกสง่ิ มชี วี ิต (Ignoffo,1992; Shapiro-Ilan et al., 2012) โดยมีรำยละเอียด ดังนี้ (1) ปัจจัยท่ีเกิดจำกสิ่งไม่มีชีวิต (abiotic factor) หรือปัจจัยทำงกำยภำพ (physical factor) ได้แก่ อณุ หภูมิ ควำมชื้น แสง รังสี และดนิ (Ignoffo,1992) ซ่ึงมีควำมสำคญั ต่อกำรแพร่ ระบำดของโรค และควำมอยู่รอดของเชื้อโรคในสภำพธรรมชำติ รังสีอัลตรำไวโอเลต สำมำรถ ทำลำยเชื้อจุลินทรีย์ได้หลำยชนิด (Fuxa, 1987) เช่น สปอร์ของเชื้อ B. thuringiensis เมื่อถูก รังสีอัลตรำไวโอเลต จะทำให้ควำมสำมำรถอยู่รอดในธรรมชำติลดลง (Myasnik et al., 2001) เช่นเดียวกันกับ conidia ของเชือ้ รำ Metarhizium และ Beauveria เมื่อถูกรังสีอัลตรำไวโอเลต ทำให้ควำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยแมลงลดลงและกำรมีชีวิตรอดลดต่ำลง (Braga et al., 2001) ในขณะที่อุณหภูมิ และควำมชื้นในอำกำศและควำมชื้นในดิน มีผลต่อควำมสำมำรถ ทนทำนของเชื้อและทำให้แมลงติดเชื้อแตกต่ำงกัน (Ebssa et al., 2004; Lacey et al., 2006) ในสภำพอุณหภูมิและควำมชื้นสูง เชื้อรำและแบคทีเรียสำมำรถเจริญได้อย่ำงรวดเร็ว ในทำงตรงกันข้ำมในสภำพดังกล่ำวน้ัน ทำให้ไส้เดือนฝอยไม่สำมำรถอยู่รอดได้ นอกจำกน้ี สภำพควำมเป็นกรดด่ำง (pH) มีผลต่อกำรอยู่รอดของเช้ือไมโครสปอรเิ ดีย N. algerae โดยคำ่ pH ที่เพมิ่ ขน้ึ มีผลยบั ย้งั กำรเจริญของเชือ้ N. algerae (2) ปัจจัยท่ีเกิดจำกส่ิงมีชีวิต (biotic factor) สิ่งแวดล้อมภำยในดิน ประกอบด้วย สิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนมำก ซ่ึงมีทั้งส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภำพ ส่งเสริมกำรแพร่กระจำย หรือ ขัดขวำงกำรเจริญของเชื้อโรคในแมลง เช่น รำกฝอยของต้นไม้มีสภำพท่ีเหมำะสมต่อกำรเจริญ ของเชื้อรำสำเหตุของโรคแมลง นอกจำกนี้ไส้เดือนดิน (earthworm) มีส่วนช่วยเพิ่มกำร แพร่กระจำยของไส้เดือนฝอย S. carpocapsae และ S. feltiae เช่นเดียวกันกับแมลงหำงดีด (collembolans) ซึ่งเป็นพำหะนำเช้ือรำสำเหตุของโรคแมลงแพร่กระจำยไปยังแมลงชนิดอื่น ๆ ในขณะเดียวกันแมลงหำงดีด และไร nematophagous เป็นศัตรูธรรมชำติของไส้เดือนฝอยใน สกุล Steinernema และ Heterorhabditis 4.3 ประโยชนข์ องระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง ทำให้ทรำบถึงธรรมชำติของโรคท่ีระบำดในระดับประชำกรแมลง รวมถึงทำให้ทรำบถึงสำเหตุ ของกำรระบำดของโรคในแมลง ขอ้ มูลทำงระบำดวทิ ยำ สำมำรถนำไปใช้พยำกรณ์แนวโน้มของกำรเกิดโรคของแมลงในอนำคต ควำมรู้ทำงระบำดวิทยำ สำมำรถนำไปใช้เป็นแนวทำงในกำรควบคุมแมลงโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์ (microbial control) เพอ่ื ลดควำมเสียหำยจำกแมลงศัตรูพืช
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 44 วิทยำกำรทำงระบำดวิทยำ สำมำรถนำไปใช้ในกำรป้องกันโรคในแมลงที่มีควำมสำคัญทำง เศรษฐกิจ (ไหม ผึ้ง และแมลงผสมเกสรอ่ืน ๆ) เพ่ือจำกัดกำรระบำดไม่ให้ลุกลำมไปเป็นวงกว้ำง รวมถงึ กำรตดิ ตำมเฝำ้ ระวงั กำรเกิดโรคอบุ ตั ซิ ำ้ 4.4 สรปุ กำรศึกษำกำรแพร่ระบำดของโรคแมลง มีแนวคิดมำจำกกำรศึกษำโรคของมนุษย์ และโรคในสัตว์ ประกอบด้วยกำรสังเกตและกำรบันทึกข้อมูลเก่ียวกับอำยุ อำกำรกำรเจบ็ ป่วย อัตรำกำรตำย สถำนที่เกิด โรค ท้ังในด้ำนพิกัดของพ้ืนที่ ควำมสูงจำกระดับน้ำทะเล สภำพภูมิอำกำศ อุณหภูมิ เพื่อใช้เป็นข้อมูล สำหรับกำรวิเครำะห์ถึงสำเหตุของกำรเกดิ ของโรค รวมถึงกำรพยำกรณ์กำรเกิดโรคในอนำคต หลักกำรพื้นฐำนของระบำดวิทยำ เป็นกำรค้นหำสำเหตุของกำรเกิดโรค กำรแพร่กระจำยของโรค ในระดับประชำกร โดยอำศัยกำรสังเกต บันทึก รวบรวม และวิเครำะห์ข้อมูล เพื่อนำไปใช้ควบคุมและ ป้องกันกำจัดโรค สำหรับกำรประยุกต์ใช้องค์ควำมรู้ทำงด้ำนระบำดวิทยำในทำงกีฏวิทยำสำมำรถแบ่ง ออกเป็น 2 แนวทำงคือ 1) กำรใช้ควำมรู้ทำงระบำดวิทยำเพ่ือเพิ่มกำรเกิดโรค สำหรับใช้ควบคุมหรือลด จำนวนประชำกรของแมลงศัตรูพืช 2) ใช้ควำมรู้ทำงระบำดวิทยำเพื่อลดกำรเกิดโรค หรือป้องกันกำรเกิด โรคในแมลงทมี่ ีควำมสำคัญทำงเศรษฐกจิ เชน่ ผึ้ง และไหม เปน็ ตน้ สำหรับปัจจัยสำคัญท่ีมีผลต่อกำรแพร่ระบำดของโรคในแมลง สำมำรถแบ่งออกได้เป็น 4 ปัจจัย ไดแ้ ก่ ประชำกรของเชอ้ื สำเหตุ ประชำกรของแมลง กำรแพรเ่ ชอ้ื และปจั จัยทำงส่งิ แวดล้อม 4.5 เอกสำรอ้ำงองิ Anderson, R.M. and R.M. May. 1981. The population dynamics of microparasites and their invertebrate hosts. Philos. Trans. R. Soc. Lond., 291, 451-524. Andreadis, T.G. 1986. Dissemination of Nosema pyausta, in feral populations of the European corn borer, Ostrinia nubilalis. J. Invertebr. Pathol., 48, 335-343. Andreadis, T.G. 1987. Transmission. In J.R. Fuxa and Y. Tanada (Eds.), Epizootiology of Insect Diseases pp. 159-176. New York : Wiley-Interscience. Boldo, J.T., A. Junges, K.B. Amaral, C.C. Staats, M.H. Vainstein and A. Schrank. 2009. Endochitinase CH12 of the biocontrol fungus Metarhizium anisopliae affects its virulence toward the cotton strainer bug Dysdercus peruvianus. Curr. Genet., 55, 551-560. Bourtzis, K. and T.A. Miller (Eds.). 2003. Insect Symbiosis. Boca Raton : CRC Press. Bourtzis, K. and T.A. Miller (Eds.). 2006. Insect Symbiosis, Vol. 2. Boca Raton : CRC Press. Bourtzis, K. and T.A. Miller (Eds.). 2009. Insect Symbiosis, Vol. 3. Boca Raton : CRC Press. Bravo, A., S.S. Gill and M. Soberón. 2007. Mode of action of Bacillus thuringiensis Cry and Cyt toxins and their potential for insect control. Toxicon., 49, 423-435.
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 45 Braga, G.U.L., S.D. Flint, C.D. Miller, A.J. Anderson and D.W. Roberts. 2001. Both solar UVA and UVB radiation impair conidial curability and delay germination in the entomopathogenic fungus Metarhizium anisopliae. Photochem. Photobiol. Sci. 74, 734-739. Brooks, A. and R. Wall. 2005. Horizontal transmission of fungal infection by Metarhizium anisopliae in parasitic Psoroptes mites (Acari : Psoroptidae). Biol. Control., 34, 58- 65. Bruck, D.J. 2004. Natural occurrence of entomopathogens in Pacific Northwest nursery soils and their virulence to the black vine weevil, Otiorhynchus sulcatus (F.) (Coleoptera : Curculionidae). Environ. Entomol. 33, 1335-1343. Dwyer, G. 1992. On the spatial spread of insect viruses : theory and experiment. Ecology. 73, 479-494. Dwyer, G. 1994. Density-dependence and spatial structure in the dynamics of insect pathogens. Am. Nat. 143, 533-562. D’Amico, V., J.S. Elkinton, G. Dwyer, J.P. Burand and J.P. Buonaccorsi. 1996. Virus transmission in gypsy moths is not a simple mass action process. Ecology. 77, 201-206. Campbell, J.F. and R. Gaugler. 1997. Inter-specific variation in entomopathogenic nematode foraging strategy : dichotomy or variation along a continuum? Fundam. Appl. Nematol. 20, 393-398. Canning, E.U. 1982. An evaluation of protozoal characteristics in relation to biological control of pests. Parasitology. 84, 119-149. Charnley, A.K. 2003. Fungal pathogens of insects : cuticle degrading enzymes and toxins. Adv. Bot. Res. 40, 241-321. Cory, J.S. and H.F. Evans. 2007. Viruses. In L.A. Lacey and H.K. Kaya (Eds.), Field Manual of Techniques in Invertebrate Pathology (2nded.). (pp. 149-174) Dordrecht : Springer. Cory, J.S. and J.H. Myers. 2003. The ecology and evolution of insect baculoviruses. Annu. Rev. Ecol. Evol. Syst. 34, 239-272. Ebssa, L., C. Borgemeister and H.M. Poehling. 2004. Effectiveness of different species/ strains of entomopathogenic nematodes for control of western flower thrips (Frankliniella occidentalis) at various concentrations, host densities and temperatures. Biol. Control. 29, 145-154.
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 46 Fine, P.E.M. 1975. Vectors and vertical transmission : an epidemiologic perspective. Ann. N.Y. Acad. Sci. 266, 173-194. Fisher, J.J., S.A. Rehner and D.J. Bruck. 2011. Diversity of rhizosphere associated entomopathogenic fungi of perennial herbs, shrubs and coniferous trees. J. Invertebr. Pathol. 106, 289-295. Fuxa, J.R. 1987. Ecological considerations for the use of entomopathogens in IPM. Annu. Rev. Entomol. 32, 225-251. Fuxa, J.R. 2004. Ecology of insect nucleopolyhedroviruses. Agric. Ecosyst. Environ. 103, 27-43. Hill, R.E. and W.J. Gary. 1979. Effects of the microsporidium, Nosemapyruausta, on field populations of European corn borers in Nebraska. Environ. Entomol. 8, 91-95. Ignoffo, C.M. 1992. Environmental factors affecting persistence of entomopathogens. Fla.Entomol. 75, 516-525. Kaaya, G.P. and L.A. Okech. 1990. Horizontal transmission of mycotic infection in adult tsetse flies. Glossina morsitans. Entomophaga. 35, 589-600. Koppenhöfer, A.M. 2007. Nematodes. In L.A. Lacey and H.K. Kaya (Eds.), Field Manual of Techniques in Invertebrate Pathology (2nd ed.). (pp. 249-264). Dordrecht : Springer. Kramm, K.R., D.F. West and P.G. Rockenback. 1982. Termite pathogens : transfer of the entomopathogen Metarhizium anisopliae between Reticulitermes sp. termites. J. Invertebr. Pathol. 40, 1-6. Kukan, B. 1999. Vertical transmission of nucleopolyhedrovirus in insects. J. Invertebr. Pathol. 74, 103-111. Lacey, L.A., S.P. Arthurs, T.R. Unruh, H. Headrick and R.J. Fritts. 2006. Entomopathogenic nematodes for control of codling moth (Lepidoptera : Tortricidae) in apple and pear orchards : effect of nematode species and seasonal temperatures, adjuvants, application equipment and post-application irrigation. Biol. Control. 37, 214-223. Lewis, E.E., J. Campbell, C. Griffin, H. Kaya and A. Peters. 2006. Behavioral ecology of entomopathogenic nematodes. Biol. Control. 38, 66-79. Lewis, E.E. 2002. Behavioural ecology. In R. Gaugler (Ed.), Entomopathogenic Nematology pp. 205-224. Wallingford: CABI. Lewis, L.C. and J.E. Cossentine. 1986. Season long intraplant epizootics of entomopathogens, Beauveria bassiana and Nosema pyrausta, in a corn agroecosystem. Entomophaga. 31, 363-369.
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 47 Lewis, L.C., D.V. Sumerford, L.A. Bing and R.D. Gunnarson. 2006. Dynamics of Nosema pyrausta in natural populations of the European corn borer. Ostrinia nubilalis : Biol Control. 51, 627-642. Lewis, L.C. 1978. Migration of larvae of Ostrinia nubilalis (Lepidoptera : Pyralidae) infected with Nosema pyrausta (Microsporida : Nosematidae) and subsequent dissemination of this microsporiduim. Can. Entomol. 110, 897-900. Myasnik, M., R. Manasherob, E. Ben-Dov, A. Zaritsky, Y. Margalith and Z. Barak. 2001. Comparative sensitivity to UV-B radiation of two Bacillus thuringiensis subspecies and other Bacillus sp. Curr. Microbiol. 43, 140-143. Oi, D.H. and R.M. Pereira. 1993. Ant behaviour and microbial pathogens (Hymenoptera : Formicidae). Fla. Entomol. 76, 63-74. Olofsson, E. 1989. Transmission of the nuclear polyhedrosis virus of the European pine sawfly from adult to offspring. J. Invertebr. Pathol. 54, 322-330. Onstad, D.W. and J.V. Maddox. 1989. Modeling the effects of the microsporidium, Nosema pyrausta, on the population dynamics of the insect. Ostrinia nubilalis. J. Invertebr. Pathol. 53, 410-421. Onstad, D.W. and R.I. Carruthers. 1990. Epizootiological models of insect diseases. Annu. Rev. Entomol. 35, 399-419. Onstad, D.W., J.R. Fuxa, R.A. Humber, J. Oestergaard, D.I. Shapiro-Ilan, V.V. Gouli, R.S. Anderson, T.G. Andreadis and L.A. Lacey. 2006. An Abridged Glossary of Terms Used in Invertebrate Pathology. http://www.sipweb.org/glossary. Society for Invertebrate Pathology. Onstad, D.W. 1993. Thresholds and density dependence : the roles of pathogen and insect densities in disease dynamics. Biol. Control. 3, 353-356. Quesada-Moraga, E., R. Santos-Quirós, P. Valverde-García and C. Santiago-Álvarez. 2004. Virulence, horizontal transmission and sublethal reproductive effects of Metarhizium anisopliae (anamorphic fungi) on the German cockroach (Blattodea : Blattellidae). J. Invertebr. Pathol. 87, 51-58. Sajap, A.S. and L.C. Lewis. 1988. Histopathology of transovarial transmission of Nosema pyrausta in the European corn borer, Ostrinia nubilalis. J. Invertebr. Pathol. 52, 147- 153.
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 48 Schnepf, E., N. Crickmore, J. Van Rie, D. Lereclus, J. Baum, J. Feitelson, D.R. Zeigler and D.H. Dean. 1998. Bacillus thuringiensis and its pesticidal crystal proteins. Microbiol. Mol. Biol. Rev. 62, 775-806. Schrank, A. and M.H. Vainstein. 2010. Metarhizium anisopliae enzymes and toxins. Toxicon. 56, 1267-1274. Shapiro-Ilan, D.I. and T.E. Cottrell. 2005. Susceptibility of lady beetles (Coleoptera : Coccinellidae) to entomopathogenic nematodes. J. Invertebr. Pathol. 89, 150-156. Shapiro-Ilan, D.I., D.J. Bruck and L.A. Lacey. 2012. Priciples of epizootiology and microbial control. pp. 29-72. In: F.E. Vega and H.K. Kaya (eds.). Insect Pathology. Elsevier, New York, USA. Shapiro-Ilan, D.I., G.H. Gouge, S.J. Piggott and J. Patterson Fife. 2006. Application technology and environmental considerations for use of entomopathogenic nematodes in biological control. Biol. Control. 38, 124-133. Siebeneicher, S.R., S.B. Vinson and C.M. Kenerley. 1992. Infection of the red imported fire ant by Beauveria bassiana through various routes of exposure. J. Invertebr. Pathol. 59, 280-285. Siegel, J.P., J.V. Maddox and W.G. Ruesink. 1988. Seasonal progress of Nosema pyrausta in the European corn borer. Ostrinia nubilalis. J. Invertebr. Pathol. 52, 130-136. Sikorowski, P.P., G.L. Andrews and J.R. Broome. 1973. Transovum transmission of a cytoplasmic polyhedrosis virus of Heliothis virescens (Lepidoptera : Noctuidae). J. Invertebr. Pathol. 21, 41-45. Silva, W.O.B., S. Mitidieri, A. Schrank and M. Vainstein. 2005. Productions and extraction of an extracellular lipase from the entomopathogenic fungus Metarhizium anisopliae. Process Biochem., 40, 321-326. Smirnoff, W.A. 1972. Promoting virus epizootics in populations of the swine jack pine sawfly by infected adults. BioScience. 22, 662-663. Solter, L.F., D.W. Onstad and J.V. Maddox. 1990. Timing of disease influenced processes in the life cycle of Ostrinia nubilalis infected with Nosema pyrausta. J. Invertebr. Pathol. 55, 337-341. Sree, K.S. and V. Padmaja. 2008. Destruxin from Metarhizium anisopliae induces oxidative stress effecting larval mortality of the polyphagous pest Spodoptera litura. J. Appl. Entomol. 132, 68-78.
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 49 St. Leger, R.J., L. Joshi, M.J. Bidochka and D.W. Roberts. 1996. Construction of an improved mycoinsecticide overexpressing a toxic protease. Proc. Natl. Acad. Sci. USA. 93, 6349-6354. Tanada, Y. and J.R. Fuxa. 1987. The pathogen population. In J.R. Fuxa and Y. Tanada (Eds.), Epizootiology of Insect Diseases (pp. 71-112). New York : Wiley-Interscience. Tanada, Y. and H.K. Kaya. 1993. Insect Pathology. Academic Press, New York, USA. Anderson, R.M. and R.M. May. 1981. The population dynamics of microparasites and their invertebrate hosts. Philos. Trans. R. Soc. Lond. 291, 451-524. Thomas, S.R. and J.S. Elkinton. 2004. Pathogenicity and virulence. J. Invertebr. Pathol. 85, 146-151. Thomas, M.B., S.N. Wood and C.J. Lomer. 1995. Biological control of locusts and grasshoppers using a fungal pathogen : the importance of secondary cycling. Proc. R. Soc. Lond. B. 259, 265-270. Toledo, J., S.E. Campos, S. Flores, P. Liedo, J.F. Barrera, A. Villaseñor and P. Montoya. 2007. Horizontal transmission of Beauveria bassiana in Anastrepha ludens (Diptera : Tephritidae) under laboratory and field cage conditions. J. Econ. Entomol. 100, 291-297. Vey, A., R.E. Hoagland and T.M. Butt. 2001. Toxic metabolites of fungal biocontrol agents. In T.M. Butt, C. Jackson and N. Magan (Eds.), Fungi as Biocontrol Agents (pp. 311- 334). New York : CABI. Watanabe, H. 1987. The host population. In J.R. Fuxa and Y. Tanada (Eds.), Epizootiology of Insect Diseases (pp. 71-112). New York : Wiley-Interscience. Yanagawa, A. and S. Shimizu. 2007. Resistance of the termite, Coptotermes formosanus Shiraki to Metarhizium anisopliae due to grooming. Bio Control. 52, 75-85.
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 50
บทท่ี 5 โรคแมลงทเ่ี กดิ จำกเชอื้ รำ (Insect Disease Caused by Fungi) ในภูมภิ ำคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ มีสภำพภูมิอำกำศเหมำะสมตอ่ กำรเจริญของเช้อื รำสำเหตุโรค แมลง โดยเชื้อรำสำเหตุของโรคแมลงหลำยชนิด สำมำรถเจริญได้อย่ำงรวดเร็ว บนผิวชั้นนอกของแมลง อำศัย และมีลักษณะอำกำรที่ปรำกฏเด่นชัด คือ ผนังลำตัวของแมลงจะถูกปกคลุมด้วยเส้นใย ของเช้ือรำ ทั้งนี้เชื้อรำท่ีเป็นสำเหตุของโรคแมลงมีจำนวนมำกกว่ำเช้ือสำเหตุโรคแมลงชนิดอ่ืน เช่น เช้ือ ไวรสั โพรโทซัว และไส้เดือนฝอย 5.1 ลกั ษณะโครงสรำ้ งของเชอ้ื รำ เชื้อรำที่เป็นสำเหตุของโรคแมลงมีลักษณะเป็นเส้นใยขนำดเล็ก เป็นท่อนสั้น ๆ เรียกว่ำ hyphal body เส้นใยที่รวมกันเป็นกลุ่มเรียกว่ำ ไมซีเลียม (mycelium) โดยเส้นใยของเชื้อรำ สำมำรถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ (1) เส้นใยชนิดที่มีผนังกั้น (septate hypha) สำมำรถเห็น นิวเคลียสและไซโทพลำซึมอยู่ภำยในช่องของเส้นใยที่มีผนังก้ันแต่ละส่วน (2) เส้นใยชนิดท่ีไม่มีผนังก้ัน (nonseptate hypha) นิวเคลียสและไซโทพลำซึมจะกระจำยอยู่ท่ัวไปภำยในเส้นใย (ภำพท่ี 5-1) นอกจำกนี้ยัง สำมำรถพบเซลล์สืบพันธุ์ (spores) บนเส้นใยของเชอ้ื รำอีกดว้ ย ทงั้ น้เี ชือ้ รำมีกำรสร้ำงสปอรอ์ ยู่ 2 รปู แบบ คอื (1) กำรสร้ำงสปอร์จำกกำรสืบพันธ์ุแบบไม่อำศัยเพศ สปอรท์ ี่ได้จะเรียกว่ำ conidia (2) กำรสรำ้ งสปอร์ จำกกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศ สปอร์ท่ีได้น้ันเรียกว่ำ zygospore (Tortora et al., 2002) เช่น เช้ือรำใน subdivision Ascomycotina สร้ำงสปอร์แบบอำศัยเพศ ที่เรียกว่ำ ascospore อยู่ในถุงหุ้มสปอร์ (ascus) ถุงหุ้มสปอร์นี้กระจำยอยู่บนกลุ่มเส้นใยซึ่งประสำนตัวกันอัดแน่นมีผนังหนำเรียกว่ำ ascocarp หรือฟรุตติงบอดี (fruiting body) มีรูปร่ำง 3 แบบ คือ ทรงกลมปิด (cleistothecium) รูปคนโทปำกเปิด (perithecium) และรูปถ้วยแชมเปญ (apothecium) (a) septate hypha Cell wall (b) nonseptate hypha Pore Nuclei Septum ภำพท่ี 5-1 รปู ร่ำงของไมซีเลียม (a) แบบ septate hypha และ (b) แบบ nonseptate hypha (Tortora et al., 2002)
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 52 5.2 กำรจำแนกเชื้อรำที่เปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลง เชื้อรำที่เป็นสำเหตุของโรคในแมลง สำมำรถแบ่งออกเป็น 6 subdivision คือ Mastigomycotina, Zygomycotina, Ascomycotina, Deuteromycotina, Mycelia sterilia และ Basidiomycotina ซ่ึง ประกอบดว้ ย 57 สกลุ (genus) รำยละเอียดแสดงดงั ตำรำงท่ี 5-1 ตำรำงท่ี 5-1 กำรจำแนกเช้อื รำสำเหตขุ องโรคแมลง (Tanada and Kaya, 1993) Subdivision Class Order Genera Mastigomycotina Chytridiomycetes Chytridiales Coelomycidium Myiophagus Chytridiomycetes Blastocladiales Coelomomyces Oomycetes Lagenidiales Lagenidium Oomycetes Saprolegniales Leptolegnia Couchia Zygomycotina Zygomycetes Mucorales Sporodiniella Zygomycetes Entomophthorales Conidiobolus Entomophaga Entomophthora Erynia Massospora Meristacrum Neozygites Ascomycotina Hemiascomycetes Endomycetales Blastodendrion Metschnikowia Mycoderma Saccharomyces
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 53 ตำรำงที่ 5-1 กำรจำแนกเช้อื รำสำเหตขุ องโรคแมลง (Tanada and Kaya, 1993) (ตอ่ ) Subdivision Class Order Genera Plectomycetes Ascosphaerales Ascosphaera Ascomycotina Pyrenomycetes Sphaeriales Cordyceps Torrubiella Nectria Hypocrella Calonectria Laboulbeniomycetes Laboulbeniales Filariomyces Hesperomyces Trenomyces Loculoascomycetes Myriangiales Myriangium Loculoascomycetes Pleosporales Podonectria Deuteromycotina Akanthomyces Aschersonia Aspergillus Beauveria Culicinomyces Engyodontium Fusarium Gibellula Hirsutella Hymenostilbe Metarhizium
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 54 ตำรำงท่ี 5-1 กำรจำแนกเช้อื รำสำเหตขุ องโรคแมลง (Tanada and Kaya, 1993) (ตอ่ ) Subdivision Class Order Genera Nomuraea Paecilomyces Paraisaria Deuteromycotina Pleurodesmospora Polycephalomyces Pseudogibellula Sorosporella Sporothrix Stilbella Tetranacrium Tilachlidium Tolypocladium Verticillium Mycelia sterilia Aegerita Basidiomycotina Phragmobasidiomycetes Septobasidiales Filobasidiella Septobasidium Uredinella วงจรชวี ติ วงจรชีวิตของเช้ือรำ เร่ิมต้นจำกเช้ือรำเข้ำสู่ลำตัวแมลง โดยกำรเจำะผ่ำนผนังลำตัวของแมลง เพ่ือเข้ำสู่ช่องว่ำงภำยในลำตัว หลังจำกน้ันเชื้อรำจะสร้ำงเส้นใยข้ึนเป็นจำนวนมำก และแพร่กระจำยไปยัง เน้ือเย่ือต่ำง ๆ เชื้อรำบำงชนิดสำมำรถสร้ำงสำรพิษออกมำได้ สำรพิษน้ีจะทำลำยระบบกำรทำงำนของ อวัยวะภำยในของแมลง ในขณะเดียวกันเชื้อรำจะมีกำรสร้ำงสปอร์ออกมำแบบทั้ง อำศัยเพศ และไม่อำศัยเพศ คือ conidia, zygospore หรือ ascospore ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับชนิดของเชื้อรำ หลังจำก
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 55 ทแี่ มลงตำย เส้นใยของเช้ือรำจะแทงออกมำจำกผนังลำตัวของแมลง และเจริญปกคลุมทั่วตัวแมลง พร้อม กันนั้นเชื้อรำจะปล่อยสปอร์แพร่กระจำยสู่สิ่งแวดล้อม และรอระยะเวลำกลับเข้ำมำเจริญ ในแมลง ตัวใหมอ่ ีกครงั้ หนง่ึ (Vega et al., 2012) 5.3 กลไกกำรเขำ้ ทำลำยของเชอ้ื รำในแมลง เชื้อรำเขำ้ สู่แมลงไดโ้ ดยผ่ำนทำงผนังลำตัว ท่อหำยใจ หรอื บำดแผลบนลำตัว เชือ้ รำบำงชนิดเขำ้ สู่ ลำตัวของแมลงผำ่ นทำงกำรกนิ อำหำร กลไกกำรเข้ำทำลำยของเชอ้ื รำ (ภำพท่ี 5-2) เร่ิมต้นจำกสปอร์หรือ โคนิเดียของเช้ือรำ เกำะเข้ำกับผนังลำตัวของแมลง สปอร์จะมตี ัวรับ (receptor) ที่สำมำรถจับกับโมเลกุล ของ glycoprotein ที่อยู่บนผนังลำตัวแมลงได้อย่ำงจำเพำะเจำะจง โดยสปอร์จะงอก germ tube เจำะ ผ่ำนผนังลำตัวของแมลง พร้อมกับปล่อยเอนไซม์จำพวก lipase, chitinase และ proteinase เพื่อย่อย สลำยช้ันไข (wax layer) และเน้ือเย่ือผิวช้ันนอก (epidermis) ทำให้ germ tube งอกผ่ำนผนังลำตัวเข้ำ สู่ช่องว่ำงภำยในลำตัวของแมลงได้ง่ำย หลังจำกน้ันเช้ือรำจะเจริญสร้ำงเส้นใยเป็นจำนวนมำกและ แพร่กระจำยไปยังอวัยวะอื่น ๆ (Vega et al., 2012) เชื้อรำบำงชนิดสำมำรถสร้ำงสำรพิษที่เป็นอันตรำยต่อ แมลงได้ ท้ังนี้ปัจจัยที่มีผลต่อกำรงอกของสปอร์ จะข้ึนอยู่กับอุณหภูมิ ควำมช้ืนในอำกำศ และควำมเข้มของ แสง เปน็ ต้น Germ tube Conidium Envelope Appressorium Epicuticle Exocuticle Endocuticle Cuticle Procuticle Penetrating hypha Epidermal cells In vivo blastospores Hemocoel or hyphal bodies ภำพท่ี 5-2 กลไกกำรเขำ้ ทำลำยแมลงของเช้ือรำ (Vega et al., 2012) ควำมรุนแรงของเช้ือรำในกำรเข้ำทำลำยแมลง ขึ้นอยูก่ ับปัจจัยหลำยชนิด ประกอบด้วย (1) ชนิด ของเช้ือรำ โดยเช้อื รำสำยพันธุ์ทมี่ ีควำมรนุ แรงสงู จะมคี วำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยแมลงไดด้ ีกว่ำเช้อื รำ สำยพันธ์ุที่มีควำมรุนแรงต่ำ นอกจำกน้ีเช้ือรำบำงชนิดยังสำมำรถเข้ำทำลำยแมลงได้หลำยชนิด เช่น เชื้อ รำขำว Beauveria bassiana และเชื้อรำเขียว Metarhizium anisopliae สำมำรถเข้ำทำลำยแมลงได้
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 56 ทั้งมวน แมลงวัน ด้วง ผีเสื้อ ตั๊กแตน เป็นต้น แต่เชื้อรำบำงชนิดสำมำรถเข้ำทำลำยแมลงได้เพียงชนิด เดียว (2) ระยะของแมลงที่มีควำมจำเพำะต่อกำรเข้ำทำลำยของเชื้อรำ เช่น เชื้อรำ Ascosphaera apis ซ่ึงเป็นสำเหตุของโรค chalkbrood สำมำรถเข้ำทำลำยผึ้งในระยะตัวอ่อนเท่ำนั้น แต่ไม่มีผลกับผ้ึง ตัวเต็มวัย (3) องค์ประกอบของสำรเคมีท่ีผนังลำตวั ของแมลง มีผลต่อควำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยของ เชื้อรำ โดยที่ช้ัน epicuticle ของผนังลำตัวในแมลงบำงชนิด สำมำรถสร้ำงกรดไขมัน (fatty acid) ขึ้นมำ ซึ่งช่วยป้องกันกำรแพร่ระบำดของเช้ือรำผ่ำนเข้ำสู่ผนังลำตัวได้ เช่น กรดไขมัน palmitoleic และ linoleic ที่อยู่บนผนังลำตัวของแมลงมีควำมเป็นพิษต่อ conidia ของเช้ือรำ Erynia variabilis ในทำง ตรงกันข้ำมน้ัน กรดไขมัน oleic เมื่ออยู่ร่วมกับ chitin และ chitosan จะไปกระตุ้นกำรงอก conidia ของเชอื้ รำได้ (Tanada and Kaya, 1993) 5.4 ลกั ษณะอำกำรทเี่ กดิ จำกเช้ือรำสำเหตโุ รคแมลง ลักษณะอำกำรของโรคแมลงท่ีเกิดจำกเช้ือรำ สำมำรถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ (1) ลักษณะอำกำรท่ีแสดงภำยนอก และ (2) ลักษณะอำกำรท่ีแสดงภำยใน โดยลักษณะอำกำรที่แสดงออก ภำยนอกน้ัน ประกอบด้วย ลำตัวของแมลงถูกปกคลุมด้วยเส้นใยของเชื้อรำ ลักษณะสีของลำตัวแมลง มีกำรเปลี่ยนแปลง ผนังลำตัวมีจุดสีดำ (necrotic) แมลงเคล่ือนไหวช้ำลง สูญเสียกำรทรงตัว ไม่ เคลื่อนไหว เกำะอยู่กับที่ (disorientation) ไม่กินอำหำร สำหรับลักษณะอำกำรท่ีแสดงออกภำยใน คือ เกิดอำกำรเกร็งของกล้ำมเน้ือ ชัก ระบบอวัยวะภำยในถูกทำลำย ทำให้แมลงอ่อนแอ และตำยในที่สุด ซึ่ง อำกำรดังกลำ่ วเกดิ จำกสำรพิษที่เชือ้ รำผลิตออกมำ (Tanada and Kaya, 1993) ปจั จยั ทำงดำ้ นสิง่ แวดล้อมทมี่ ผี ลต่อกำรเกดิ โรคในแมลง ปัจจัยทำงด้ำนส่ิงแวดล้อม มีควำมสำคัญต่อกำรเจริญของเชื้อรำเป็นอย่ำงมำก โดยเฉพำะอย่ำงย่ิง ควำมชื้น อุณหภูมิ และแสง (Tanada and Kaya, 1993; Vega et al., 2012) ซ่ึงปัจจัยดังกล่ำวมี ผลกระทบโดยตรงตอ่ กำรเข้ำทำลำยแมลงของเชื้อรำ รวมถึงกำรสร้ำงสปอร์ของเชอ้ื รำ อุณหภูมิ สำหรับอุณหภูมิท่ีเหมำะสมต่อกำรเจริญของเช้ือรำจะอยู่ในช่วงประมำณ 20-30 °C ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อรำ เช่น เชื้อรำใน subdivision Deuteromycotina สำมำรถเจริญได้ดีที่อุณหภูมิ 25 °C หำกสภำพอุณหภูมิไม่เหมำะสม เช้ือรำจะมีกำร สร้ำงผนังเซลล์ให้หนำมำกขึ้น ซ่ึงเรียกสปอร์ในสภำพดังกล่ำวว่ำ resting spores หรือ chlamydospores
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 57 ควำมช้ืน เป็นปัจจัยที่มีผลต่อกำรงอกของสปอร์เช้ือรำ โดยท่ัวไปเชื้อรำต้องกำรควำมช้ืน ทส่ี ูง สปอรข์ องเชื้อรำจึงจะงอกได้ดี เช้ือรำบำงชนิดตอ้ งกำรควำมชื้นสมั พัทธ์สงู ถึง 90% เช่น เช้ือรำ Beauveria bassiana ในขณะที่เชื้อรำ Metarhizium anisopliae ต้องกำรควำมชื้น สัมพทั ธท์ ต่ี ่ำกวำ่ แสง มีผลต่อกำรเข้ำทำลำยของเช้ือรำ โดยแสงมีควำมสัมพัทธ์กับอุณหภูมิและควำมชื้นใน อำกำศ นอกจำกน้ีรังสีอัลตรำไวโอเลต (ultraviolet) ในแสงแดดยังสำมำรถทำลำยสปอร์ ของเช้ือรำได้ 5.5 เชอื้ รำทเี่ ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลง เช้ือรำท่ีเป็นสำเหตุของโรคในแมลงมีเป็นจำนวนมำกมำยหลำยชนิด ในที่นี้จะกล่ำวถึง เชื้อรำที่สำคัญบำงชนิดที่ทำให้เกิดโรคในแมลง ได้แก่ เช้ือรำใน subdivision Mastigomycotina, Zygomycotina, Ascomycotina, Deuteromycotina, Mycelia sterilia และ Basiodiomycotina โดย กลุม่ เชอ้ื รำก่อโรคในแมลง และตัวอย่ำงแมลงอำศัยแสดงในตำรำงที่ 5-2 ตำรำงท่ี 5-2 ตวั อย่ำงเชื้อรำก่อโรคในแมลง และแมลงอำศัย (ดดั แปลงจำก Shah and Pell, 2003; Tanada and Kaya, 1993) Subdivision Genus Insect hosts Mastigomycotina Coelomomyces, Lagenidium Mosquitoes Zygomycotina Conidiobolus, Entomophaga, Aphids, flies, caterpillars Entomophthora, Erynia, Neozygites Ascomycotina Cordyceps, Hypocrella, Scale insects, butterflies and Torrubiella moths, beetles Deuteromycotina Aschersonia, Beauveria, Scale insects, whiteflies, Hirsutella, Metarhizium, aphids, grasshoppers and Nomuraea, Paecilomyces, locusts, butterflies and Tolypocladium, Verticillium moths, beetles Mycelia sterilia Aegerita Diaspine scales Basidiomycotina Filobasidiella, Septobasidium, Scale insects Uredinella
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 58 เชอ้ื รำทเี่ ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลงใน subdivision Mastigomycotina Chytridiomycetes เป็นเช้ือรำท่ีพบได้ทั่วไปท้ังในพืชและสัตว์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตที่อำศัยอยู่ในน้ำ เชื้อรำสำเหตุของโรคแมลงในชั้นนี้ ประกอบด้วย 2 อันดับ คือ (1) Chytridiales เป็นเช้ือรำ ท่ีไม่สร้ำงเส้นใย และสร้ำงเซลล์สืบพันธ์ุแบบไม่อำศัยเพศ ที่เรียกว่ำ sporangium ซ่ึง ภำยในบรรจุสปอร์ที่สำมำรถเคลื่อนท่ีได้ เรียกว่ำ zoospore เช้ือรำท่ีสำคัญในอันดับน้ี ได้แก่ Myiophagus ucrainicus สำมำรถเข้ำทำลำยเพลี้ยหอย และเพลย้ี แป้งได้ นอกจำกน้ียงั สำมำรถ เข้ำทำลำยตัวอ่อนด้วงและดักแด้ของแมลงในอันดับ Diptera โรคที่เกิดจำกเช้ือรำชนิดน้ีเรียกว่ำ chytridiosis (2) Blastocladiales เช้ือรำในอันดับน้ีสร้ำงเซลล์สืบพั นธุ์แบบไม่อำศัยเพศ (zoospore) สำหรบั เชื้อรำท่ีเป็นสำเหตุของโรคแมลง คอื เชื้อรำในวงศ์ Coelomomycetaceae และ Catenariaceae โดยเช้ือรำ Coelomomycetaceae แบ่งออก เป็น 2 สกุล คือ (1) เชื้อรำสกุล Coelomomyces ตัวอย่ำงเช้ือรำที่สำคัญในสกุลน้ี คือ เช้ือรำ Coelomomyces stegomyiae พบในยุง Aedes albopictus และแมลงที่อำศัยอยู่ในน้ำ (Aquatic arthropods) และ (2) เชื้อรำสกุล Coelomycidium ตัวอย่ำงเช้ือรำที่สำคัญในสกุลน้ี คือ เชื้อรำ Coelomycidium simulii สำมำรถก่อใหเ้ กิดโรคกบั black flies ได้ Oomycetes เป็นช้ันของเช้ือรำท่ีมีลักษณ ะเฉพำะคือ มี flagella 2 เส้น (biflagellate zoospore) เช้ือรำของชั้นนี้ท่ีก่อให้เกิดโรคในแมลง แบ่งออกเป็น 2 อันดับ คือ Lagenidiales และ Saprolegniales โดยที่เชื้อรำในอันดับ Lagenidiales สำมำรถเข้ำทำลำยสิ่งมีชีวิต ได้หลำยชนดิ เช่น สำหร่ำย เช้ือรำในนำ้ รวมถึงพืชและสัตว์ เช้ือรำท่ีสำคัญในอันดับนี้ ได้แก่ เชื้อรำ Lagenidium giganteum และ Lagenidium culicidum สำมำรถเข้ำทำลำยลูกน้ำยุง และเชื้อรำ Atkinsiella entomophaga สำมำรถเข้ำทำลำยไข่ของร้ินได้ สำหรับเชื้อรำในอันดับ Saprolegniales เป็นเชื้อรำที่มีกำรสืบพันธุ์แบบไม่อำศัยเพศ เส้นใยไม่มีผนังกั้น และ ทำให้เกิดโรคกับ สิ่งมีชีวิตท่ีอำศัยอยู่ในน้ำ เชื้อรำที่สำคัญ ในอันดับนี้ ได้แก่ เชื้อรำ Aphanomycopsis sexualis และ Couchia circumplexa สำมำรถเข้ำทำลำยไข่ของริ้น และ เชื้อรำ Leptolegnia chapmanii สำมำรถเข้ำทำลำยลูกน้ำยุง โดยเฉพำะอยำ่ งยิง่ ลูกน้ำยุงวยั 1 และ 2 มคี วำมอ่อนแอมำกท่สี ดุ เช้ือรำทเ่ี ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลงใน subdivision Zygomycotina Zygomycetes เป็นชั้นของเชื้อรำใน subdivision Zygomycotina เชื้อรำในช้ันนี้แบ่งออก เป็น 2 อันดับ คือ Mucorales และ Entomophthorales โดยท่ีเช้ือรำในอันดับ Mucorales สร้ำงเซลล์สืบพันธุ์แบบ sporangiospores ซ่ึงบรรจุอยู่ภำยใน sporangia เชื้อรำที่สำคัญใน อันดับน้ี ได้แก่ Sporodiniella umbellata สำมำรถเข้ำทำลำยแมลงในวงศ์ Membracidae และเช้ือรำ Mucor hiemalis ท่ีทำให้เกิดโรคกับตัวเต็มวัยของผึ้ง สำหรับเช้ือในอันดับ
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 59 Entomophthorales มีกำรสืบพันธุ์แบบอำศัยเพศและไม่อำศัยเพศ และสำมำรถทำให้เกิดโรคกับ แ ม ล งได้ ห ล ำย อั น ดั บ เช่ น Hemiptera, Diptera, Lepidoptera, Coleoptera, Orthoptera และ Hymenoptera (Tanada and Kaya, 1993) เชื้อรำที่สำคัญในอันดับน้ี ได้แก่ เชื้อรำ Erynia radicans ทำให้เกิดโรคกับเพล้ียกระโดดสีน้ำตำล (Nilaparvata lugens) เช้ือรำ Erynia bullata ส ำม ำรถเข้ำท ำล ำย ตั วเต็ ม วัย ของแ ม ล ง Sarcophaga aldrichi แ ล ะเชื้ อ รำ Massospora cicadina สำมำรถเข้ำทำลำยจักจั่น Okanagana rimosa และ Magicicada septendecim ได้ เช้ือรำทเ่ี ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลงใน subdivision Ascomycotina Hemiascomycetes หรือ Yeasts (Yeastlike form) เช้ือรำในช้ัน (class) นี้ สำมำรถเข้ำทำลำย แมลงได้หลำยชนิด เชื้อ Metschnikowia (syn. Monosporella) unicuspidata สำมำรถเข้ำ ทำลำยตัวอ่อนของ biting midge (Dasyhelea obscura) นอกจำกน้ียีสต์ Saccharomyces cerevisiae และ Saccharomyces ellipsoideus จะทำให้ผึ้งเกิดอำกำรเป็นบิด (dysentery) อย่ำงรุนแรง ในขณะท่ีเชื้อรำ Blastodendrion pseudococci สำมำรถเข้ำทำลำยระบบย่อย อำหำรและระบบกล้ำมเน้ือของเพล้ียแป้ง (Mealybugs) ส่วนเช้ือรำ Mycoderma ssp. จะเข้ำ ทำลำยเซลล์ไขมันของแมลงสำบเยอรมัน (Blattella germanica) โดยแมลงท่ีตำยจำกเชื้อรำ ดงั กลำ่ วจะมีลกั ษณะสคี ล้ำ และเหย่ี วย่น Plectomycetes เป็นเช้ือรำที่ทำให้เกิดโรค chalkbrood ในผึ้ง โดยเช้ือสำเหตุที่สำคัญคือ เช้ือ Ascosphaera apis ซ่ึงมีสปอร์อยู่ 2 รูปแบบ คือ (1) minor form สปอร์มีขนำดเล็ก ซ่ึงทำให้ เกิดกำรระบำดของโรค chalkbrood อย่ำงรุนแรง และ (2) major form สปอร์มีขนำดใหญ่ ทำให้ เกิดโรค chalkbrood มีควำมรนุ แรงต่ำ เชือ้ รำ A. apis จะเข้ำทำลำยตวั ออ่ นผ้งึ เท่ำน้ัน แต่ไม่พบ ในผึ้งตัวเต็มวัย ตัวอ่อนที่มีอำยุประมำณ 3-4 วัน จะเป็นช่วงที่มีควำมอ่อนแอต่อโรคสูง ปัจจุบันพบว่ำเช้ือ Arrhenosphaera cranei, Ascosphaera proliperda และ Ascosphaera aggregata สำมำรถทำใหเ้ กิดโรค chalkbrood ในผึ้งไดเ้ ช่นกนั Laboulbeniomycetes เป็นเชื้อรำที่เข้ำทำลำยแมลงได้สูง เชื้อรำในชั้นนี้จะสร้ำง ascocarp หรือ fruiting body ที่เรียกว่ำ perithecium ที่มีลักษณ ะรูปร่ำงคล้ำยคนโท ภำยในบรรจุ ascospore ซึ่งเป็นกำรสืบพันธ์ุแบบอำศัยเพศ และมีส่วนของ fruiting body ท่ีย่ืนออกจำกผนังลำตัวแมลง และเชื้อรำชนิดน้ีสำมำรถสร้ำง haustorium ซ่ึงมีลักษณะ เป็น branched rhizomycelium แพร่เข้ำสู่เซลล์ของแมลง เชื้อรำในช้ันน้ีสำมำรถเข้ำทำลำย แ ม ล ง ใน อั น ดั บ Coleoptera, Orthoptera, Blattodea, Dermaptera, Hymenoptera, Thysanoptera Hemiptera, Diptera, Isoptera และ Mallophaga เป็นต้น เชื้อรำในช้ัน
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 60 นี้ไม่สำมำรถเพำะเลี้ยงให้ครบวงจรชีวิตได้ (obligate pathogen) ตัวอย่ำงเชื้อรำในชั้น Laboulbeniomycetes ที่สำคัญ ได้แก่ เชื้อ Trenomyces histophthorus และ Filariomyces forficulae โดยเชอ้ื T. histophthorus จะแพร่ไปท่ีช่องว่ำงภำยในลำตัวแมลงและเข้ำไปทำลำย เซลล์ไขมัน และระบบกล้ำมเนื้อของเหำไก่ (chicken lice) ส่วนเช้ือ F. forficulae จะเข้ำ ทำลำยแมลงหำงหนีบ (Labidura riparia) ทำให้วงจรชีวิตของแมลงสั้นลงและมีผลต่อควำม สมบูรณเ์ พศของแมลง ทำให้มอี ัตรำกำรฟกั เปน็ ตัวออ่ นต่ำ Pyrenomycetes เป็นชั้นของเชื้อรำที่มีรูปร่ำงคล้ำยกระบอง มีสปอร์ (asci) เป็นรูป ทรงกระบอก ซ่ึงบรรจุอยู่ภำยใน ascocarp เชื้อรำในกลุ่มน้ีสำมำรถแบ่งออกเป็น 4 สกุล คือ Cordyceps, Podonectria, Hypocrella และ Torrubiella โดยเชื้อรำในสกุล Cordyceps มี ควำมสำคัญมำก ซ่ึงสำมำรถพบได้ในแมลงหลำยชนิด เช่น ต๊ักแตน (Orthoptera) ปลวก (Isoptera) ม ว น (Hemiptera) ผี เส้ื อ (Lepidoptera) ด้ ว ง (Coleoptera) ผ้ึ ง ต่ อ แ ต น (Hymenoptera) และแมลงวัน (Diptera) สำหรับเช้ือ Cordyceps spp. จะเข้ำทำลำยแมลง ทำให้แมลงตำยเกิดสีต่ำง ๆ ข้ึนอยู่กับชนิดของเชื้อรำ นอกจำกนี้ยังเข้ำทำลำยระบบประสำท ส่วนกลำงของแมลงด้วย ทำให้แมลงมีพฤติกรรมเปลยี่ นแปลงไป เช่น ไม่เคล่ือนท่ี หรือเคลื่อนไหว ผิดปกติ ดุรำ้ ย ไมก่ นิ อำหำร (Tanada and Kaya, 1993) เชอ้ื รำทเ่ี ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลง ใน subdivision Basiodiomycotina เชื้อรำ Basiodiomycotina มีกำรสร้ำงสปอร์จำนวน 4 สปอร์ ซึ่งบรรจุอยู่ภำยในอับสปอร์ ที่เรียกว่ำ basidium และห่อหุ้มด้วย fruiting body เรียกว่ำ basidiocarps เชื้อรำใน subdivision นี้ ที่ มีควำมสำคัญ ได้แก่ Septobasidium clelandii ซึ่งเข้ำท ำลำยเพลี้ยหอย (Harpographium corynelioides) และทำใหเ้ พลี้ยหอยเปน็ หมัน (Tanada and Kaya, 1993) เชอื้ รำทเี่ ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลง ใน subdivision Deuteromycotina สำหรับเชื้อรำใน subdivision Deuteromycotina สำมำรถเข้ำทำลำยแมลงได้หลำยชนิด และทำ ให้แมลงเป็นโรคอย่ำงรุนแรง จึงมีกำรนำมำประยุกต์ใช้ในกำรป้องกันกำจัดแมลงกันอย่ำงกว้ำงขวำง สำหรบั เชื้อรำทมี่ คี วำมสำคญั ใน subdivision Deuteromycotina ได้แก่ เชื้อรำในสกุล Beauveria หรือเรียกอีกชื่อว่ำ เช้ือรำขำว (white muscardine) ซ่ึงทำให้เกิดโรคในแมลงหลำย ชนิด ในสมัยโบรำณมีกำรค้นพบว่ำเชื้อรำขำว Beauveria bassiana (Botrytis bassiana) เป็น เช้ือโรคท่ีระบำดในหนอนไหม ซ่ึงทำให้หนอนไหมตำยเป็นจำนวนมำก เช้ือรำ Beauveria มี โครงสร้ำงเป็นเส้นใยท่ีเรียกวำ่ โคนิดิโอฟอร์ (conidiophore) โดยส่วนปลำยมี conidia เรียงต่อ กันคล้ำยพวงองุ่น เช้ือ Beauveria แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ (1) B. bassiana มี conidia เป็น
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 61 รูปทรงกลม และ (2) B. tenella มี conidia เป็นรูปคล้ำยไข่เช้ือ Beauveria จะเข้ำทำลำย อวัยวะภำยในของแมลง รวมถึงระบบกำรย่อยอำหำร อีกท้ังยังสำมำรถผลิตสำรพิษออกมำ ทำลำยแมลง โดยมีผลต่อระบบเลือดของแมลง ปัจจุบันพบว่ำมีเช้ือรำ Beauveria ที่สำมำรถเข้ำ ท ำลำยแมลงศั ตรูพื ชได้ห ลำยชนิ ด เช่น European corn borer (Ostrinia nubilalis), Japanese beetle (Popillia japonica), codling moth (Laspeyresia pomonella), Colorado potato beetle (Leptinotarsa decemlineata), Chinch bug (Blissus leucopterus), European cabbageworm (Pieris brassicae) แ ล ะ Cabbage fly (Delia radicum) เป็นต้น (Tanada and Kaya, 1993; Goettel et al., 2010) ภำพท่ี 5-3 แสดง ตัวอย่ำงลักษณะของแมลงท่ีถูกเชื้อรำ B. bassiana เขำ้ ทำลำย ภำพที่ 5-3 ลักษณะกำรเข้ำทำลำยแมลง Cabbage fly (Delia radicum) ของเช้ือรำ Beauveria bassiana (Goettel et al., 2010) Metarhizium หรอื เรียกอีกชื่อหน่ึงวำ่ เช้ือรำเขยี ว เนื่องจำก conidia ของเช้ือรำสกุลนี้มีสีเขียว เช้ือ รำดังกล่ำวถูกนำไปใช้ในกำรป้องกันกำจัดแมลงปีกแข็งอย่ำงแพร่หลำย เช้ือรำ Metarhizium ที่ สำคัญ ได้แก่ Metarhizium anisopliae ซ่ึงสำมำรถผลิตสำรพิษออกมำจำนวนหลำยชนิด ได้แก่ cyclodepsipeptides, destruxin A, B, C, D, E และ desmethyldestruxin B โดยที่สำรพิษ ในกลุ่ม destruxin มีควำมเป็นพิษสูงกับแมลงหลำยชนิด ซึ่งทำให้เกิดอำกำร titanic paralysis กบั หนอน Galleria mellonella ในขณะที่ในผีเสอ้ื และลูกน้ำยุง ทำให้เกิดกำรอักเสบท่ีผนังเซลล์ ของทำงเดนิ อำหำร และทำให้ mitochondria, endoplasmic reticulum มกี ำรทำงำนผิดปกติ นอกจำกนี้ยังกดกำรทำงำนของระบบภูมิคุ้มกันในแมลง เชอ้ื M. anisopliae สำมำรถเขำ้ ทำลำย แมลงหลำยชนิด เช่น หนอนของแมลงในอันดับ Lepidoptera, Diptera และ Coleoptera (Tanada and Kaya, 1993; Goettel et al., 2010) ภำพที่ 5-4 แสดงลักษณะของหนอนที่ถูก ทำลำยด้วยเชอ้ื รำ Metarhizium anisopliae
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 62 ภำพท่ี 5-4 ลกั ษณะของหนอน European wirewore (Agriotus obscures) ทถ่ี กู เชื้อรำ Metarhizium anisopliae เขำ้ ทำลำย (Goettel et al., 2010) Nomuraea เช้ือรำสกุลน้ีเมื่อเล้ียงบนอำหำรจะมีสีเขียวคล้ำย M. anisoplliae แต่รูปร่ำง สปอร์ (conidia) มีควำมแตกต่ำงกัน เช้ือรำที่สำคัญในสกุลนี้ ได้แก่ Nomuraea rileyi และ N. atypicola โดยเช้ือเหล่ำน้ีสำมำรถเข้ำทำลำยแมลงศัตรูพืชท่ีมีควำมสำคัญทำงเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ Heliothis zea, H. virescens และ Trichoplusia ni (Tanada and Kaya, 1993) Sorosporella หรือเชื้อรำแดง (red muscardine) แมลงท่ีถูกเช้ือรำแดงเข้ำทำลำย เม่ือแมลง ตำย จะมีลักษณะลำตัวหดส้ัน มีสีแดง และซำกแมลงที่ตำยจะยังคงอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น (pliable) และภำยในตัวแมลงจะพบเส้นใยอัดแน่นมีสีชมพู และมีลักษณะยืดหยุ่นคล้ำยเจลำติน ตัวอย่ำงเช้ือ รำ Sorosporella ท่ีสำคัญ คือ Sorosporella uvella ซ่ึงสำมำรถเข้ำทำลำยในหนอนผีเส้ือ Agrotis segetum และหนอน Heliothis spp. Verticillium ห รือ เรีย ก ว่ ำ white-halo มี ลั ก ษ ณ ะ เป็ น เส้ น ใย สี ข ำว ข้ึ น ป ก ค ลุ ม ทั่ ว ลำตัวแมลง เชื้อรำ Verticillium ที่สำคัญคือ Verticillium lecanii เข้ำทำลำยเพล้ียอ่อน (Macrosiphoniella sanborni) โดยสร้ำงสปอร์ภำยใน 4-6 วัน และแพร่กระจำยไปท่ัวลำตัว หำกได้รับเช้ือในปริมำณมำก จะทำให้แมลงตำยภำยใน 48 ชั่วโมง นอกจำกน้ีเส้นใยของเชื้อรำ V. lecanii ยังผลิตสำรพิษ cyclodepsipeptide และ bassianolide ซึ่งเป็นสำรชนิดเดียวกัน กบั ท่ีเชอ้ื รำ B. bassiana ผลติ ข้ึนมำ ในปัจจุบนั มกี ำรใช้เชอื้ นีใ้ นกำรควบคมุ แมลงศตั รพู ชื
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 63 Hirsutella แมลงท่ีถูกเชอ้ื รำสกุล Hirsutella เข้ำทำลำย จะมีลักษณะเป็นเส้นใยเบำบำงคลุมอยู่ ท่ซี ำกแมลง โดยเชือ้ รำ Hirsutella ทีส่ ำคัญ คอื Hirsutella lecaniicola หรอื เรียกวำ่ Cordyceps clavulata (เม่ือสืบพันธ์ุโดยไม่อำศัยเพศ) จะเข้ำทำลำยแมลง และไรชนิดต่ำง ๆ นอกจำกน้ียังมี เชื้อ Hirsutella thompsonii ซ่ึงเข้ำทำลำยไรสนิมในส้มได้ จึงมีกำรนำเช้ือชนิดน้ีไปใช้เพ่ือ ปอ้ งกนั กำจัดแมลง Aspergillus แมลงท่ีถูกเชื้อรำนี้เข้ำทำลำยจะมีลักษณะแตกต่ำงกัน ขึ้นอยู่กับสำรพิษท่ีเช้ือรำ ผลิตขึ้นมำ ยกตัวอย่ำงเช้ือ Aspergillus ที่สำคัญได้แก่ Aspergillus flavus สรำ้ งสำรพิษจำพวก Kojic acid และ aflatoxins สำมำรถทำลำยหนอนของแมลงหลำยชนิด สำรพิษเหล่ำนี้มีฤทธทิ์ ำ ให้แมลงเป็นหมัน (chemosterilants) หรือทำให้เกิดควำมผิดปกติในรุ่นลูก เช่น ลูกน้ำยุงลำย (Aedes aegypti) ตัวเต็มวัยของแมลงวันบ้ำน (Musca domestica) แมลงหว่ี (Drosophila melanogaster) และหนอนกระทู้ (Spodoptera littoralis) แต่เน่ืองจำก aflatoxins มีฤทธ์ิ เป็นสำรก่อมะเร็ง (carcinogens) และสร้ำงเน้ืองอกในตับของสัตว์มีชีวิตชั้นสูงรวมถึงมนุษย์ จึง ไม่ถูกนำไปใช้ในกำรป้องกันกำจัดแมลง นอกจำกน้ียังมีเช้ือ Aspergillus ochraceus ผลิต สำรพิษ destruxins, aspochracin และ ochratoxin A สำมำรถทำลำยหนอนไหม ทำให้เกิด อำกำร knockdown และทำให้แมลงตำยในที่สุด สำหรับเชื้อ Aspergillus fumigatus สำมำรถผลิต clavine alkaloids และ tumorgens เปน็ พิษต่อแมลงและสัตวม์ ีกระดูกสันหลัง Culicinomyces เป็นเชื้อรำที่อยู่ในชั้น Hyphomycetes เข้ำทำลำยแมลงผ่ำนทำงเดินอำหำร มำกกว่ำกำรเข้ำทำงผนังลำตัวแมลง โดยมีกำรสร้ำงสำรจำพวก mucopolysaccharide บนผนัง ของ conidia ทำให้เช้ือเกำะติดกับผนังลำไส้ของแมลงได้ดี เช้ือ Culicinomyces สำมำรถเข้ำ ทำลำยแมลงทอ่ี ำศยั อยใู่ นน้ำ เช่น ยุงชนิดต่ำง ๆ (Tanada and Kaya, 1993) Tolypochadium เช้ือรำนี้เข้ำทำลำยแมลงผ่ำนทำงท่ออำหำร และสร้ำงเส้นใยแผ่ขยำยไป ภำยในช่องว่ำงลำตัวของแมลง เชื้อรำชนิดนี้พิษสูงต่อลูกน้ำยุง โดย blastospores ของเช้ือรำ ทำใหเ้ กิดโรคกับลกู นำ้ ยุงได้ดีกว่ำ conidia เชือ้ รำทเ่ี ปน็ สำเหตขุ องโรคในแมลงใน subdivision Mycelia sterilia เช้ือรำ subdivision Mycelia sterilia เป็นเช้ือรำท่ีไม่พบกำรสร้ำง conidia แต่บำงตำรำได้จัด จำแนกเช้ือรำ Mycelia sterilia เป็นอันดับในช้ัน Hyphomycetes ของไฟลัม Deuteromycota (Boucias and Pendland, 1998) ตั วอ ย่ำงเชื้อ รำที่ สำคั ญ ใน subdivision นี้ คือเชื้อรำ Aegerita webberi สำมำรถเขำ้ ทำลำย diaspine scales
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 64 เช้ือรำท่ีเป็นสำเหตขุ องโรคในแมลง ใน subdivision Basiodiomycotina เชอ้ื รำ Basiodiomycotina มกี ำรสร้ำงสปอรจ์ ำนวน 4 สปอร์ บรรจุอยภู่ ำยในอับสปอรท์ ่ีเรยี กว่ำ basidium และห่ อหุ้ ม ด้วย fruiting body เรียกว่ำ basidiocarps เชื้อรำใน subdivision นี้ ท่ี มี ควำมส ำคัญ ได้ แก่ เชื้ อรำ Septobasidium clelandii ซึ่ งเข้ำท ำลำยเพล้ี ยหอย (Harpographium corynelioides) และทำใหเ้ พลยี้ หอยเป็นหมัน (Tanda and Kaya, 1993) 5.6 กำรใชเ้ ช้ือรำในกำรควบคุมกำจดั แมลง เช้ือรำสำเหตุโรคแมลง มีกำรค้นพบต้ังแต่ 2,000 ปีท่ีผ่ำนมำ เช้ือรำชนิดแรกที่มีกำรค้นพบ คือ เช้ือ Cordyceps (Ascomycotina) ซึ่งเข้ำทำลำยตัวหนอนของผีเส้ือ นอกจำกนี้ยังพบว่ำมีสมบัติทำงยำ ทำให้ในปัจจุบันมีกำรค้ำเช้ือ Cordyceps ในรำคำสูงมำก สำหรับเช้ือรำสำเหตุโรคแมลงอื่น ๆ ได้แก่ เชื้อ รำขำว พบในหนอนไหม โดยพบว่ำมีสมบัติทำงยำเช่นกัน ใช้สำหรับในกำรรักษำแผล ในปัจจุบันเชื้อรำที่ เป็นสำเหตุของโรคในแมลงได้ถูกนำไปใช้ในกำรควบคุมและกำจัดแมลงท่ีสร้ำงควำมเสียหำยทำงเศรษฐกิจ หลำยชนดิ (ตำรำงท่ี 5-3) กำรใช้เช้ือรำ Entomophthora maimaiga ในกำรกำจัด gypsy moth เช้ือรำ E. maimaiga สำมำรถเข้ำทำลำยหนอน gypsy moth เช้ือรำดังกล่ำวได้มีกำรนำไปใช้ในกำรควบคุมหนอนผีเส้ือ gypsy moth ในป่ำไม้ ซึ่งสำมำรถลดกำรระบำดของหนอนผีเสือ้ ดังกลำ่ วลงเป็นจำนวนมำก กำรใช้เชื้อรำ Zoophthora radicans ในกำรกำจัดเพล้ียอ่อน (Therioaphis trifolii) เพล้ียอ่อนเป็น ศัตรูสำคัญของพืชวงศ์ถั่วในทุ่งหญ้ำเลี้ยงสัตว์ มีรำยงำนกำรใช้เชื้อรำ Z. radicans ในกำรควบคุม เพล้ียอ่อนในประเทศอิสรำเอล และออสเตรเลีย โดยเชื้อสำมำรถแพร่กระจำยและทำลำยเพลี้ยอ่อน ไดด้ ี อกี ท้งั ยงั มีควำมทนทำนตอ่ สภำพแวดลอ้ มที่ไม่เหมำะสมอกี ด้วย กำรใช้เชื้อรำ Beauveria brongniartii ในกำรป้องกันกำจัดแมลงทรำย หรือแมลงนูน (cockchafers) โดยเฉพำะ European cockchafer (Melolontha melolontha) เป็นแมลงศัตรูสำคัญในทุ่งหญ้ำป่ำ ไม้ และสวนผลไม้ ตัวหนอนของด้วงกดั กนิ รำกและลำต้นของพืช จึงได้มีกำรแยกเชอ้ื B. brongniartii กว่ำ 300 ไอโซเลท (isolates) ในด้วงชนิดน้ีจำกแหล่งต่ำง ๆ เพื่อศึกษำลักษณะของเชื้อ และอัตรำ กำรเจริญเติบโต รวมถึงควำมรุนแรงของกำรก่อโรค ซ่ึงพบว่ำ blastospores ท่ีเพำะเล้ียงในอำหำร เลี้ยงเชื้อแบบเหลว สำมำรถนำไปขยำยจำนวนโดยใช้เมล็ดข้ำวบำร์เลย์ ซึ่งจะชักนำให้เกิดกำรสร้ำง เส้นใย จำกน้ันจึงทดสอบกำรใช้ blastospores ท่ีได้กับด้วงเพศเมีย ซึ่งสำมำรถใช้ควบคุมตัวเต็มวัย และหนอนของด้วงชนิดนใี้ หล้ ดจำนวนลงได้ (Shah and Pell, 2003)
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 65 กำรใช้เชื้อรำ Verticillium lecanii ในกำรป้องกันกำจัดเพล้ียอ่อน แมลงหวี่ขำวและเพลี้ยไฟ มีกำร พัฒนำเป็นผลิตภัณฑ์ของเชื้อรำ V. lecanii โดยบริษัท Koppert Biological System ประเทศ เนเธอร์แลนด์ จำนวน 2 ชนิด คือ Vertalec® ใช้ในกำรกำจัดเพล้ียอ่อน และ Mycotal® ใช้ในกำร กำจดั แมลงหว่ีขำวและเพลี้ยไฟ (Shah and Pell, 2003) กำรใช้เชื้อรำ Beauveria bassiana ในกำรป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช เชื้อรำ B. bassiana ได้ถูก พัฒนำเพื่อใช้เป็น mycoinsecticide โดยบริษัท Mycotech ประเทศสหรัฐอเมริกำ ในปี ค.ศ. 1980 และมีกำรศึกษำกำรใช้เชื้อรำดังกล่ำวในกำรกำจัดแมลงทั้งในห้องปฏิบัติกำร และในแปลงปลูก จนกระท่ังปี ค.ศ. 1999 ได้พัฒนำผลิตภัณฑ์ในรูปกำรค้ำหลำยชนิด เช่น Mycotrol® สำมำรถใช้ใน กำรควบคุมตั๊กแตน แมลงหว่ีขำว เพลี้ยไฟ เพล้ียอ่อน แล ะแมลงศัตรูพืชอ่ืนๆ ในขณะท่ี BotaniGard® ใช้ในกำรควบคุมแมลงสำหรับพืชท่ีปลูกในโรงเรือน และ Mycotrol ®O สำมำรถใช้ ควบคมุ แมลงในพืชท่ีปลูกแบบอนิ ทรีย์ได้ (Shah and Pell, 2003) กำรใช้เช้ือรำ Metarhizium anisopliae ในกำรป้องกันกำจัดต๊ักแตน ซึ่งตั๊กแตนเป็นแมลงศัตรู สำคัญของพืชปลูกและแปลงหญ้ำในหลำยประเทศ ปัจจุบันพบว่ำ M. anisopliae เป็นเชื้อรำที่มี ประสิทธิภำพในกำรก่อโรคกับตั๊กแตน locust และ grasshopper จึงได้มีกำรพัฒนำเป็นผลิตภัณฑ์ ป้องกันกำจัดต๊ักแตน ในเชิงกำรค้ำ ที่มีชื่อว่ำ Green Muscle® ซึ่งเป็น mycoinsecticide ที่ FAO ได้ให้กำรรับรองและแนะนำให้ใช้ในกำรป้องกันกำจัดต๊ักแตนท้ัง 2 ชนิดในประเทศแถบแอฟริกำ (Shah and Pell, 2003)
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 66 ตำรำงท่ี 5-3 ภำพรวมของเช้อื รำแมลง ท่ีพฒั นำเพอื่ ใช้กำจัดแมลงศัตรู Species names Targeted insects Produced in Selected references Aschersonia aleyrodis Hemiptera Russia Beauveria bassiana (Aleyrodidae) Fransen (1990), Meekers Africa, Asia, et al. (2002), Lacey et al. Beauveria brongniartii Acari, Coleoptera, Australia, Conidiobolus Diplopoda, Diptera, Europe, South (2008a, 2008b), McCoy et al. thromboides Hemiptera, & North Hirsutella thompsonii Hymenoptera, America (2009) Isaria fumosorosea Isoptera, de la Rosa et al. (2000), Lagenidium giganteum Lepidoptera, Wraight et al. (2000, 2007b), Orthoptera, Brownbridge et al. (2001, Siphonoptera, 2006), Chandler et al. Thysanoptera, (2005), Wekesa et al. (2005), Coleoptera Brownbridge et al. (2006), (Scarabaeidae) Labbé et al. (2009) Acari, Hemiptera, Europe, Zimmermann (1992), Keller Thysanoptera Colombia, (2000), Keller et al. (2003), Acari Reunion Island Dolci et al. (2006), Acari, Diptera, Coleoptera, Townsend et al. (2010) Hemiptera, Thysanoptera, Colombia, Papierok and Hajek (1997), Diptera (Culicidae) India, South Nielsen and Hajek (2005), Africa Hajek et al. (2012) India McCoy (1981), Chandler et al. (2000, 2005), McCoy et al. (2009) Belgium, Wraight et al. (2000, 2007a, Colombia, 2007b), Lacey et al. (2008a, Mexico, USA, 2008b, 2011), Zimmermann Venezuela (2008) USA Kerwin and Petersen (1997), Skovmand et al. (2007)
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 67 ตำรำงที่ 5-1 กำรจำแนกเช้ือรำสำเหตขุ องโรคแมลง (Tanada and Kaya, 1993) (ตอ่ ) Subdivision Class Order Genera Lecanicillium Hemiptera Brazil, Bird et al. (2004), Down longisporum Netherlands et al. (2009), Kim et al. (2009) Lecanicillium muscarium Acari, Hemiptera, Netherlands, Chandler et al. (2005), Thysanoptera Russia Cuthbertson and Walters (2005), Burges (2007), Goettel et al. (2008) Metarhizium anisopliae Acari, Blattoidea, Africa, Asia, de la Rosa et al. (2000), sensu lato Coleoptera, Diptera, Australia, Chandler et al. (2005), Hemiptera, Isoptera, Europe, South, Wekesa et al. (2005), Lepidoptera, Central & Jaronski and Jackson (2012), Orthoptera North America Lacey et al. (2011) Metarhizium acridum Orthoptera Australia, Lomer et al. (1999, 2001), South Africa, Thomas (2000) USA Nomuraea rileyi Lepidoptera Columbia, Moscardi and Sosa-Gomez India (2007), Thakre et al. (2011) ดัดแปลงจำก Faria and Wraight (2007). ควำมเป็นพิษของเช้ือรำต่อสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมชนิดต่ำง ๆ แตกต่ำงกันไป ควำมรุนแรงมักลดลง ด้วยกำรเพำะเลี้ยงซ้ำในอำหำรเทียม และมักจะสำมำรถทำให้เกิดควำมรุนแรงอีกคร้ังได้ ผ่ำนทำงแมลง อำศัย โรคท่ีเป็นพิษมักมีปริมำณของโปรตีนมีพิษ ทำให้เกิดกำรผลิตและกำรปลดปล่อยเอนไซม์ exoenzymes ไดอ้ ย่ำงมปี ระสทิ ธภิ ำพในระหว่ำงกำรเจำะทะลผุ นังลำตัว (Vey et al., 2001; Freimoser et al., 2005; Shah et al. , 2005; Qazi and Khachatourians, 2007; Zimmermann, 2007a, 2007b, 2008; Khan et al., 2012) นอกจำกน้ียังสำมำรถปรับปรุงควำมรุนแรงของเชื้อรำได้ด้วยกำร ควบคุมกำรถ่ำยทอดทำงพันธุกรรมโดยยีนที่เฉพำะเจำะจงจะถูกแทรกเข้ำไปในยีนของเชื้อรำ เพื่อส่งเสริม กำรแสดงออกของสำรพิษที่เพิ่มควำมรุนแรงของส่ิงมีชีวิต เช่นกำรแทรกยีนสำรพิษจำก scorpion เข้ำไป ใน M. anisopliae และ B. bassiana ในทั้งสองสำยพันธุ์ มีกำรแสดงควำมรุนแรงเพ่ิมขึ้นอย่ำงมำก
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 68 (Wang and St. Leger, 2007; Pava-Ripoll et al., 2008; St Leger et al., 2011) วิธีน้ีมีศักยภำพใน กำรปรับปรุงกำรฆ่ำแมลงและลดปริมำณของเช้ือที่จำเป็นในกำรควบคุมประชำกรศัตรูพืชนอกจำกนี้ยัง สำมำรถใช้ฟิวช่ันโปรโตพลำสต์เพื่อเพิ่มควำมรุนแรง ตัวอย่ำงเช่นฟิวช่ันโปรโตพลำสต์ถูกนำมำใช้กับสำย พันธต์ุ ่ำง ๆ ของ Lecanicillium เพื่อพฒั นำสำยพันธทุ์ ม่ี ีลกั ษณะพเิ ศษ ทเ่ี ปน็ พิษตอ่ เพลีย้ ออ่ น กำรเปล่ยี นรูปแบบของเช้อื รำ เคร่ืองมือทำงอณูพันธุศำสตร์หลำกหลำยชนิดช่วยเพิ่มควำมสำมำรถในกำรจำแนกประเภทของ เชื้อรำ เพ่ือช่วยในกำรตรวจสอบควำมสัมพันธ์ระหว่ำงวิวัฒนำกำร (สำยวิวัฒนำกำร) ระหว่ำงไอโซเล ท รวมทั้งกำรจับคู่ anamorphs และ teleomorphs (Driver et al., 2000; Rehner and Buckley, 2005; Hibbett et al., 2007; Bischoff et al., 2009; Blackwell, 2010) และอำจให้ข้อมูลเชิงลึกอันมี ค่ำทีช่ ่วยให้สำมำรถปรับปรงุ สำยพันธ์หุ รือคัดเลือกเชื้อท่ีมีลกั ษณะเฉพำะ นอกจำกนีย้ ังช่วยในกำรแยกเช้ือ รำในสิ่งแวดล้อม ท่ีมีควำมสัมพันธ์ทำงแหล่งที่อยู่กับตัวแมลงอำศัย ซ่ึงนำไปสู่กำรพัฒนำเป็นสำรกำจัด แมลงที่ไดจ้ ำกจลุ ินทรีย์ ควำมสำคญั ของกำรเลอื กสำยพนั ธุ์ของเช้ือรำที่เหมำะสม และกำรพิจำรณำปจั จัยอ่นื ๆ ตัวอย่ำงของเช้ือรำที่มีประสิทธิภำพดี ที่ได้กำรทดลองในห้องปฏิบัติกำรและแสดงให้เห็นถึง ศักยภำพที่ดี เมอ่ื นำมำทดสอบภำยในแปลง มักจะนำไปสู่กำรค้นหำ ใหม่และดีกว่ำ (Vega et al., 2012) กำรตรวจสอบปัจจัยพื้นฐำนที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภำพกำรทำงำนในสภำพแวดล้อม โดยไม่ลด ควำมสำคัญของกำรมองหำส่ิงมีชีวิตใหม่ ๆ กำรเนน้ กำรวิจยั เป็นสิง่ จำเป็นมำกยงิ่ ขึ้นเพื่อหำปัจจัยสำคญั ใน กำรเปลยี่ น \"ศักยภำพ\" ให้เป็นผลิตภัณฑ์ 'ที่ทำงำนได้' เช้ือที่แยกไดแ้ ต่ละชนดิ ต้องมีควำมสำมำรถทำงด้ำน นิเวศวิทยำในกำรทำงำนและคงอยู่ในส่ิงแวดล้อมของศัตรูพืชได้และกำรเลือกผู้สมัครจะต้องไม่ข้ึนอยู่กับ ประสิทธิภำพของระบบชีวภำพท่ีดีท่สี ุด กำรทดสอบทำงชีวภำพต้องดำเนินกำรภำยใต้สภำวะเลือกปฏิบัติ ท่ีพยำยำมทำซ้ำเงอื่ นไขทจี่ ะใช้เช้ือโรค ปัจจยั ด้ำนสิ่งแวดล้อม และแมลงท้ังหมดมีอิทธิพลต่อกิจกรรมของ เช้ือโรคดังนั้นกำรรวมตัวของพวกเขำเข้ำสู่โครงกำรทดสอบจะช่วยให้สำมำรถระบุไอโซเลทท่ีแข็งแกร่ง กอ่ นทจ่ี ะมีกิจกรรมกำรพฒั นำข้ันต่อไป เช้ือรำมีกำรพัฒนำควำมสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และสัตว์ที่อำศัยอยู่ในดินบำงชนิด ยังมีควำมแปรผัน ในระดับของกำรตอบสนองต่อกำรแยกเช้ือรำหรือข้นั ตอนกำรเจริญของเชื้อรำ เช่น ระยะทำง vegetative กับ conidia (Thompson and Brandenburg, 2005), และในบำงกรณีแมลงอำจถูกดึงดูดหรือขับ ออกไป โดยสำรระเหยจำกเชื้อรำหรือสำรเมแทบอไลต์ (Villani et al., 1994; Engler and Gold, 2004; Kepler and Bruck, 2006; Meyling and Pell, 2006; Rohles and Churchill, 2011) อำจเพ่ิมหรือ ยับยั้งกิจกรรม กำรตอบสนองพฤติกรรมดังกล่ำวควรได้รับกำรพิจำรณำเม่ือเลือกสำยพันธุ์ที่เหมำะสม
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 69 สำหรับกำรจัดกำรแมลงศัตรูพืชและชนิดของเช้ือท่ีใช้ในโปรแกรมกำรจัดกำรศัตรูพืช ในทำนองเดียวกัน ควำมสำมำรถในกำรจัดกำรกับพฤติกรรมแมลง อำจเป็นโอกำสใหม่ในกำรเพมิ่ ประสิทธิภำพของเชื้อโรคที่ จะนำมำใช้ในกำรควบคุมกำจัดแมลง (Roy et al., 2007) กำรพิจำรณำทำงนิเวศวิทยำ เชื้อรำกำจัดแมลง ถือว่ำเป็นองค์ประกอบหน่ึงในธรรมชำติ ของระบบนิเวศ หำกศึกษำเพื่อทำ ควำมเข้ำใจให้มำกข้ึน เก่ียวกับระบบนิเวศพ้ืนฐำนของสิ่งมีชีวิตเหล่ำนี้ในสภำพแวดล้อมทำงธรรมชำติ และกำรประยุกต์ใช้จะเป็นกำรเพ่ิมประโยชน์อย่ำงมำกในกำรพัฒนำวิธีกำรควบคุมทำงนิเวศวิทยำ (Wraight and Hajek, 2009; Vega et al., 2009; Roy et al., 2010a, 2010b) หำกไม่คำนึงถึงข้อมูล ของสภำพแวดล้อมในแปลงเพำะปลูก และกำรมีปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่ำงปัจจัยด้ำนส่ิงแวดล้อมและ ปจั จัยทำงชวี ภำพท่ีแตกต่ำงกันซ่ึงอำจทำใหเ้ กิดกำรสังเกตกำรณ์เก่ยี วกบั สำเหตุและผล ในทำนองเดยี วกัน กำรมีปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงปัจจัยทำงชีววิทยำ และ abiotic เช่นแสงแดดควำมช้ืนและกิจกรรมของ จุลินทรีย์ท่ีอำศัยอยู่บนใบพืช (phylloplane) มีผลต่อประสิทธิภำพ และควำมคงอยู่ของเชื้อรำท่ีใช้กับ ศตั รพู ืชทำงใบ (Jaronski, 2010) ในขณะที่กำรทดสอบในหลอดทดลอง หรือในห้องปฏิบตั ิกำรสำมำรถให้ ข้อมูลเชิงลึก ในกำรศึกษำกำรตอบสนองต่อเชื้อรำ ต่อปัจจัยต่ำง ๆ ท่ีเฉพำะเจำะจง กำรจะได้ข้อมูลท่ี เช่ือมโยงกับสภำพควำมเปน็ จริง ตอ้ งใช้กำรศกึ ษำอย่ำงต่อเนอื่ ง เพ่ือประเมินผลกระทบของกำรปฏบิ ตั ิทำง กำรเกษตร เกี่ยวกบั ควำมคงอยแู่ ละประสทิ ธิภำพโดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ ภำยใต้สภำพแปลงท่ใี ชเ้ พำะปลกู จริง โดยท่ัวไปแล้วเชื้อรำจะถกู พิจำรณำว่ำเป็นเชื้อ saprophytes ท่ีอ่อนแอในสภำพแวดล้อมของดิน ทม่ี ีกำรแข่งขัน ในกรณีท่ีไม่มีสัตว์ทีเ่ ป็นสัตว์หนำ้ ดินสำรเมแทบอลิซึมที่เกิดจำกเชื้อจลุ ินทรียใ์ นดินชนิดอ่ืน อำจส่งผลเสียต่อกำรงอกและกำรเจริญเติบโต หรือเป็นพิษโดยตรง ทำให้ลดกำรติดเช้ือ ดังน้ันกำรรอด ชีวิตและประสิทธิภำพ ควำมสำมำรถของเช้ือรำกำจัดแมลง จึงมีควำมเหมำะสมในดินท่ีผ่ำนกำรฆ่ำเชื้อ เพื่อทำลำยจุลินทรีย์ชนิดอื่น ที่อำจส่งผลกระทบกับเช้ือรำ แม้ในดินจะมี conidia จะติดเช้ือในแมลงที่ อ่อนแอ เช้ือรำ Metarhizium และ Beauveria จะเข้ำทำลำยผ่ำนทำงผนังลำตัวแมลง แสดงให้เห็นว่ำมี ปัจจัยอีกหลำยอย่ำงท่ีมำมีผลทำให้เกิดกำรยั้บย้ังกำรเจริญของเชื้อรำท่ีมีกำรเรียกโดยท่ัวไปว่ำ fungistasis (Keller, 2000; Milner et al., 2003; Bruck, 2005; Chandler and Davidson, 2005; Brownbridge, 2006; Jaronski, 2007; Jaronski and Jackson, 2008) จำกผลกำรทดลองท่ีกล่ำวมำ ข้ำงต้นแสดงให้เห็นว่ำ เช้ือรำยังต้องกำรองค์ประกอบอ่ืน ๆ เข้ำมำเสริม เพ่ือให้กำรงอกของ conidia เกดิ ขึ้นอย่ำงสมบูรณแ์ บบ Endophytes ถูกกำหนดเป็นจุลินทรีย์ท่ีอำศัยอยู่ในเน้ือเย่ือพืชที่ (Hyde and Soytong, 2008) โดยปกติแล้วแบคทีเรยี และเช้ือรำเหล่ำน้ีมีผลอย่ำงใดอย่ำงหน่ึงหรือไม่มีควำมสัมพันธ์ท่ีเป็นประโยชน์ ซึ่ง รวมถึงควำมสำมำรถในกำรให้ควำมต้ำนทำนต่อศัตรูพืชและโรคต่ำง ๆ ในธรรมชำติ (Backman and
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 70 Sikora, 2008) เม่ือเร็ว ๆ นี้ B. bassiana ได้รับกำรยอมรับว่ำเป็น endophyte ที่เกิดข้ึนตำมธรรมชำติ หรือนำไปใส่ในพันธุ์พืชท่ีหลำกหลำย (Vega et al., 2008; Parsa et al., 2013). ในหลำย ๆ กรณีกำร ต้ังรกรำกของเช้ือรำในเน้ือเย่ือของพืช โดยเชื้อรำได้มีบทบำทในกำรช่วยป้องกันแมลงเข้ำทำลำยหรือ ยับย้ังกำรพัฒนำของแมลงเช่น ช่วยป้องกันด้วงที่เข้ำทำลำยกล้วย Cosmopolites sordidus (Akello et al., 2007), หนอนเจำะลำต้น Sesamia calamistis (Cherry et al., 2004) และ cynaprid, Iraella luteipes (Queseda-Moraga et al., 2009) อำจเป็นผลมำจำกกำรผลิตสำรกำจัดแมลงข้ึนในพืช โดย กำรกระตุ้นกำรป้องกันของพืชท่ีเป็นตัวนำหรือจำกกำรให้ antibiosis เช้ือจุลินทรีย์บำงชนิดมีฤทธ์ิต้ำน เชื้อจุลินทรีย์ และสำมำรถป้องกันกำรติดเช้ือจำกเช้ือโรคในพืช (Ownley et al., 2004, 2010) รวมทั้ง เช้ื อ ไว รั ส mosaic yellow zucchini ใน curcurbits (Jaber and Salem, 2014) ใน ส่ ว น ข อ ง endophytes เชื้อรำอยู่ในสภำพแวดล้อมท่ีได้รับกำรป้องกันซึ่งพวกมันไม่ได้สมั ผสั กับปัจจัย abiotic และ biotic ที่สำมำรถจำกัดประสิทธิภำพเมื่อเชื้อรำถูกนำมำใช้กับใบไม้ หรือดิน และอำจมีกำรป้องกันสำย พันธุ์ที่ยังไม่แน่ชัด เช่น stem borers ซึ่งเป็นกำรยำกท่ีจะควบคุม (Brownbridge, 2006; Jaronski, 2007, 2010) สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีผลต่อระดับของเชื้อรำกำจัดแมลงท่ีอยู่ในดิน เช่น แมลงหำงหนีบ Collembola ไรและไส้เดือน มีส่วนทำให้ conidia เกิดกำรกระจำยตัวภำยในดิน และมีส่วนช่วยในเร่ือง ของกำรกำจัดแมลงภำยในดิน แมลงมคี วำมสำคัญต่อกำรอยู่รอดชีวิตระยะยำวของเชอ้ื รำ M. anisopliae หลำยชนิด กำรเข้ำถึงและกำรติดเช้ือของแมลงอำศัย เป็นควำมสำเร็จท่ีเชื้อรำบำงสำยพันธ์ุสำมำรถเพ่ิม จำนวนได้อย่ำงมำก ควำมชุกของเชื้อรำในช่วงเวลำดังกล่ำวอำจมีควำมสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกำรปรำกฏตัว ของแมลงที่อ่อนแอ ถึงแม้ว่ำจะมีปรำกฏกำรณ์ที่ทำให้เกิด endophytically หรือ epiphytically กำรใช้ สำรกำจัดแมลง มีผลต่อกำรลดลงของประชำกรเช้ือรำในดิน โดยกำรลดประสิทธิภำพของเชื้อและส่งผล เสียโดยตรง ตอ่ กำรอยรู่ อดของเช้ือรำ อย่ำงไรก็ตำมกำรศกึ ษำส่วนใหญ่ทเี่ กย่ี วกบั ผลกระทบของสำรกำจัด ศัตรูพืชท่ีเป็นสำรเคมีต่อควำมมีชีวิตของเช้ือรำได้ถูกนำมำทดสอบในห้องปฏิบัติกำร คล้ำยคลึงกับระบบ เกษตรท่ีเช้ือจะถูกสัมผัสกับสำรเคมีในระดับแตกต่ำงกัน น่ีเป็นงำนวิจัยท่ีอำจเป็นประโยชน์อย่ำงมำก ควำมรู้เกยี่ วกับกำรมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงบวกหรือลบอำจทำใหม้ ีกำรปรับแนวทำง IPM เพื่อสนับสนุนกำรใช้ เชือ้ รำในแมลง ในแง่ของกำรปอ้ งกันกำจัดแมลงศัตรูพืช กำรหลีกเลี่ยงกำรตอบสนองต่อ conidia ของ M. anisopliae และ B. bassiana สังเกตได้ใน จ้ิงหรีด ซึ่งอำจนำไปสู่ประสิทธิภำพกำรทำงำนท่ีไม่สม่ำเสมอของเช้ือรำเหล่ำนี้ในแปลง อย่ำงไรก็ตำมดู เหมือนวำ่ จะมคี วำมแปรปรวนในระดับกำรตอบสนองต่อเชื้อท่ีสำยพันธ์ุแตกต่ำงกนั แมลงอำจดึงดูดเช้ือรำ ได้ Engler and Gold (2004) พบว่ำปลวกที่ถูกสัมผัสกับเช้ือรำ M. anisopliae และตัวเมียของ P. japonica ชอบวำงไข่ในดินที่มีเส้นใยของเช้ือรำ เช่นเดียวกันกับ black vine weevil (BVW) Otiorhynchus sulcatus larvae ชอบกนิ อำหำรที่ผสมกับเชือ้ M. anisopliae กำรตอบสนองพฤตกิ รรม ดังกล่ำวควรได้รับกำรพิจำรณำในกำรเลือกสำยพันธ์ุท่ีเหมำะสมสำหรับกำรจัดกำรแมลงศัตรูพืชและอำจ เปน็ ประโยชนใ์ นกำรพัฒนำกลยทุ ธก์ ำรควบคมุ ทำงชวี ภำพที่มีประสิทธิภำพมำกขน้ึ
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 71 กำรช่วยให้เชื้อกระจำยไปยงั จุดหมำยโดยใชพ้ ำหะ แม้ว่ำระบบกำรผลิตแบบมวลรวมหรือกำรกำรผลิตเพื่อให้ได้สำรชีวภัณฑ์ ในปริมำณท่ีมำก เป็นสิ่งที่ต้องพิจำรณำ เพรำะขั้นตอนกระบวนกำรผลิตจะแตกต่ำงกับขบวนกำรผลิตของสำรเคมีกำจัด แมลง ซ่ึงเชื้อเหล่ำน้ีเป็นส่ิงมีชีวิต จึงมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนกว่ำ ทั้งในเรื่องข้อจำกัด ด้ำนส่ิงแวดล้อม โดยเฉพำะ แต่ต้องมีกำรตรวจสอบเพื่อใช้กลยุทธ์ในกำรใช้ประโยชน์อย่ำงมีประสิทธิภำพมำกขึ้น เพื่อให้ สำมำรถตรวจสอบจุลินทรีย์ได้อย่ำงเต็มประสิทธิภำพ รวมท้ังลดกำรปนเปื้อนจำกปริมำณเช้ืออื่น ๆ ที่จะ ก่อให้เกิดปัญหำในภำยหลัง เพ่ือให้เกิดกำรควบคุมที่มีประสิทธิภำพ เป็นท่ีน่ำพอใจ สำหรับผู้นำเอำไป ใช้งำน โดยเฉพำะเกษตรกร เน่ืองจำกมีข้อจำกัดทำงกำยภำพ และทำงด้ำนเศรษฐกิจกับปริมำณวัสดุที่ สำมำรถนำมำใช้ได้ บำงกรณีอำจต้องมีกำรใช้สำรกำจัดศัตรูพืชเช้ือรำซ้ำ ๆ ซ่ึงกำรฉีดพ่นธรรมดำท่ีไม่ เหมำะสมหรือมีประสิทธิภำพ กำรควบคุมแมลงที่คลุมเครือไม่สำมำรถทำได้โดยใช้สเปรย์ธรรมดำ ดังน้ัน เรำจึงต้องดูเทคนิคกำรใช้งำนท่ีมีประสิทธิภำพมำกกว่ำเดิม แต่ใช้วัสดุน้อยลง เช่นเดียวกับเกณฑ์กำร พัฒนำอ่ืน ๆ กำรพิจำรณำชีววิทยำของศัตรูพืชมีควำมสำคัญยง่ิ ต่อกำรคดิ ค้นเทคนิคใหม่ เพอ่ื นำมำพัฒนำ และปรับปรุงใหด้ ขี ้นึ Meligethes aeneus เป็นแมลงประเภทด้วงชนิดหน่ึงท่ีทำให้เกิดกำรระบำดในต้น rape seed ซ่ึงเป็นพืชท่ีใช้ผลิตน้ำมันในประเทศในแถบยุโรป และพืชตระกูลกระหล่ำท่ีสำคัญอ่ืน ๆ ในยุโรป ตวั เต็มวัยและตวั อ่อนกนิ อำหำรจำกเกสรพชื ในแปลงดังกล่ำวรวมถงึ ดอกไม้อ่ืน ๆ สง่ ผลต่อขบวนกำรสรำ้ ง เมล็ดของพืชและส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิต กำรกำจัดด้วงชนิดนี้เป็นเรื่องท่ียำกมำกที่จะกำจัดโดย กำรฉีดพ่นสำรโดยวิธีแบบปกติ ในสภำพแวดล้อมโดยทั่วไปในแปลงปลูก จะมีแมลงผสมเกสร โดยเฉพำะ ผ้งึ พันธ์ุ (Apis mellifera) ที่บินมำกินน้ำหวำนและเกสรจำกพืชเหล่ำน้ี เป็นอำหำร จึงได้ใช้ประโยชน์จำก ผึง้ โดยกำรนำผึ้งมำเป็นพำหะ เพื่อนำเอำ conidia ของเช้ือรำ M. anisopliae ไปสู่ดอก rape seed และ เม่ือด้วงบินมำตอมดอก rape seed ทำให้ conidia สัมผัสกับด้วง ส่งผลทำให้ด้วงตำยเป็นจำนวนมำก (Butt et al., 1998) นอกจำกน้ี ผ้ึงได้ถกู นำมำใช้เพื่อแพร่กระจำยเชื้อรำ B. bassiana ไปยังดอกคำโนลำ เพ่ือควบคุมมวน Lygus lineolaris (Al-mazra’awi et al., 2006a) และยังเป็นพำหะนำ conidia ของ เช้ือรำไปยังพืชท่ีสำคัญทำงกำรเกษตรอ่ืน ๆ มีกำรใช้ผึ้งห่ึง Bumble bee ซ่ึงเป็นแมลงผสมเกสรในพืชที่ ปลูกในโรงเรือน ซึ่งสำมำรถใช้เป็นตัวนำพำ conidia ของเชื้อรำ B. bassiana และเช้ือจุลินทรีย์ ชนิดอ่ืน ๆ เพ่ือควบคุมเพล้ียไฟ มวนและรำสีเทำในมะเขือเทศ และพริกหวำนในโรงเรือนกระจก (Al-mazra’awi et al., 2006a) ในทุกกรณี กำรท่ีให้เช้ือรำได้กระจำยโดยผ่ำนทำงแมลงพำหะ สำมำรถ กำหนดไปยงั จุดเป้ำหมำยไดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ คือไปยงั ส่วนของพชื ทเี่ กิดควำมเสียหำยจำกศัตรูพืชและ ใช้ปรมิ ำณของ conidia เพยี งเลก็ นอ้ ย เช้ือรำสำมำรถแพร่กระจำยสู่สภำพแวดล้อมของดินผ่ำนกำรเคลือบเมล็ดพันธุ์ เทคนิคนี้ได้ถูก นำมำใช้เพ่ือปกป้องเมล็ดพันธุ์และกำรพัฒนำต้นกล้ำจำกโรคที่เกิดจำกดินและแมลงในดิน ซึ่งมี ประสิทธิภำพคล้ำยกับสำรกำจัดเช้ือรำโรคพืช fungicide และสำรป้องกันกำจัดแมลง insecticide ด้วย
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 72 กำรพัฒนำพอลิเมอร์รูปแบบใหม่ ที่สำมำรถใช้เคลือบวสั ดุบนเมล็ดโดยไม่ใช้ควำมร้อนในกำรเคลือบเมล็ด ด้วยจุลนิ ทรีย์จึงถูกพัฒนำข้ึน เชน่ กำรเคลือบเมล็ดด้วยเช้ือรำ เช่น Trichoderma spp. ใน rhizosphere เพื่อป้องกันกำรสูญเสียจำกโรคท่ีเกิดทำงรำก หรือกำรใช้เชื้อรำ M. anisopliae ที่รำกของพืชในระยะต้น กล้ำ เพ่ือลดควำมเสียหำยท่ีเกดิ จำกแมลง กำรควบคุมทำงชวี ภำพเพอ่ื กำรอนุรกั ษ์ กำรใช้สำรชีวภัณฑ์เพื่อนำมำใช้กำจัดศัตรูพืช ทั้งในกำรใช้แบบ inoculative คือใช้แบบเป็นสำร ป้องกันกำจัดแมลงโดยทั่ว ๆ ไป หรือแบบ augmentative คือใช้แบบสม่ำเสมอ ให้เช้ือไปเพิ่มจำนวน และปรับตัวในแปลงปลูก กำรควบคุมแบบชีววิธี กำรอนุรักษ์จะข้ึนอยู่กับกำรปรับเปลี่ยนท่ีอยู่อำศัยหรือ เทคนิคกำรจัดกำรพืชเพื่อส่งเสริมผลกระทบของเช้ือในระบบนิเวศโดยเฉพำะกิจกรรมธรรมชำติของตัว ควบคุมชีวภำพภำยในระบบเพำะปลูก กำรใช้วิธีนี้ประสบควำมสำเร็จโดยอำศัยควำมเข้ำใจอย่ำงถ่องแท้ เกี่ยวกับชีววิทยำและระบบนิเวศวิทยำของศัตรูพืชและศัตรูธรรมชำติที่ซับซ้อนและในกรณีของเชื้อรำ เงอื่ นไขทีส่ ่งเสริมกำรพัฒนำกำรแพร่กระจำย ถึงแม้กำรควบคมุ แบบชวี วธิ จี ะไม่ไดร้ ับกำรพิจำรณำใหอ้ ยูใ่ น ช่วงแรก ๆ สำหรับเชื้อรำกำจัดแมลง แต่กลยุทธ์น้ีได้ถูกนำมำใช้อย่ำงประสบควำมสำเร็จในระดับสูงมำก ยกตัวอย่ำงเช่นระบบพยำกรณ์ได้รับกำรวำงแผนเพื่อแจ้งให้เกษตรกรทรำบเม่ือเง่ือนไขสนับสนุนกำร พัฒนำกำรแพร่กระจำยทำงธรรมชำติของ เช้ือรำ Neozyygites fresenii ในเพลี้ยอ่อนในฝ้ำยลดควำม จำเป็นในกำรใช้กลยุทธ์กำรลดผลกระทบอื่น ๆ ท่ีตำมมำด้วย (Steinkraus et al., 2002; Steinkraus, 2007a, 2007b) ทำให้มีโอกำสที่จะสร้ำงบรรทัดฐำนใหม่ ๆ เก่ียวกับกำรใช้ ศัตรูธรรมชำติเหล่ำนี้ กำร จัดกำรกับสภำพแวดล้อมเพ่ือเพ่ิมอัตรำกำรเกิดและประสิทธิภำพของเชื้อรำ และเช้ือรำท่ีนำมำใช้กำจัด แมลงศัตรูพืช เป็นสำรที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดลอ้ มและมีประสิทธภิ ำพในกำรจัดกำรศัตรูพืช เชอ้ื รำก่อโรคใน แมลงทำให้เกิดกำรติดเชื้อในแมลงมีผลต่อกำรลดแมลงศัตรูพืช และสำมำรถเป็นรำกฐำนของโครงกำร จัดกำรปลูกพืชแบบผสมผสำน (Meyling and Eilenberg, 2007; Pell, 2007; Pell et al., 2010) กำรยอมรับกำรใช้เช้ือรำควบคุมแมลงศัตรูพืชทำงกำรเกษตร ขึ้นอยู่กับกำรประสิทธิภำพใน กำรควบคุมแมลงศัตรู ของเช้ือน้ัน ๆ รวมไปถึงต้นทุนกำรผลิตของเกษตรกรหรือรำคำของสำรชีวภัณฑ์ ตอ้ งไม่สูงจนเกินไป ซ่ึงปัจจยั ท่กี ล่ำวมำน้ัน แนวทำงท่ีเป็นไปไดเ้ หลำ่ น้สี ำมำรถใช้ประโยชน์จำกจลุ ินทรยี ์ได้ สูงสุด และจำเป็นต้องใช้หลักกำรทำงนิเวศวิทยำมำประยุกต์ใช้เช่น ช่วงเวลำของกำรฉีดพ่น ท่ีจะทำให้ เช้ือจุลินทรีย์ได้เต็มประสิทธิภำพ มีหลำยประเด็นสำคัญที่เรำต้องดำเนินกำรต่อ เพื่อให้ได้ควำมรู้ใหม่ ๆ เพอื่ พฒั นำมำใช้ประโยชน์จำกเช้อื รำควบคุมแมลง ควำมเข้ำใจในรำยละเอียดของระบบนเิ วศของเชื้อรำใน มิติต่ำง ๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เข้ำใจถึงบทบำทของเช้ือรำในสภำพธรรมชำติ ซึ่งเป็นข้อจำกัดในกำร ควบคุมทำงชีวภำพ กำรผลิตในเชิงปริมำณ ให้ได้เชื้อรำท่ีเป็นสำรชีวภัณฑ์ จำนวนมำก กำรกำหนดสูตร formulation ในรูปของแข็ง เป็นผง หรือ เป็นแบบของเหลว เป็นลักษณะของ ของเหลวเข้มข้น หรือหัว เชอื้ เพ่ือนำไปแปรรปู ตอ่ และระบบกำรจัดสง่ ไปยังเกษตรกร ให้มีประสิทธภิ ำพมำกขึน้
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 73 กำรทดสอบสำรชวี ภัณฑใ์ นสภำพแปลงทดลอง ต้องศกึ ษำถึงปัจจัยท่ีมีผลตอ่ ประสิทธภิ ำพของเชื้อ รำ ท้ังปัจจัยทำง biotics เช่น สิ่งมีชีวิตทุกชนิดท่ีอยู่ในระบบนิเวศน้ัน ๆ และปัจจัยทำง abiotics เช่น สภำพแวดล้อม อุณหภูมิ ควำมช้ืนสัมพัทธ์ แสงแดด ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อประสทิ ธิภำพของเชื้อรำกำจัด แมลง กำรใช้เช้ือรำควบคุมแบบชีววิธี เหล่ำนี้ในพืชหรือสถำนท่ีบำงแห่ง และกำรลงทุนในกำรเพิ่ม ประสิทธิภำพในกำรใช้งำนเป็นสิ่งจำเป็น มีโอกำสที่ดีในกำรใช้เชื้อรำในรูปแบบคลำสสิกและวิธีกำร ควบคุมกำรอนุรักษ์ทำงชีวภำพท่ีสำมำรถปรับปรุงเสถียรภำพด้ำนส่ิงแวดล้อมประสิทธิภำพและควำม คุ้มค่ำ กำรใชเ้ ชอื้ รำปอ้ งกนั กำจดั แมลงในประเทศไทย กำรใช้เช้ือรำกำจัดแมลงศัตรูพืชในประเทศไทย เร่ิมต้นตั้งแต่ปี 2521 โดยนักวิชำกำรจำก กรม วิชำกำรเกษตร ได้นำเชื้อรำเขียวมำใช้ควบคุมด้วงแรดมะพร้ำว (มลิวัลย์, 2534) หลังจำกน้ันมีกำร ศึกษำวิจัยและพัฒนำมำอย่ำงต่อเนื่องในหน่วยงำนของรัฐ เช่น สถำบันกำรศึกษำ กรมวิชำกำรเกษตร กรมส่งเสริมกำรเกษตร ศูนย์วิจัยควบคุมศัตรูพืชโดยชีวินทรีย์แห่งชำติ ต่อมำในปี 2539 ศูนย์พันธุ วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภำพแห่งชำติ ได้จัดตั้งหน่วยเก็บรักษำจุลินทรีย์ ข้ึน มีชื่อเรียกว่ำ Biotec Culture Collection (BCC) เพื่อเก็บรวบรวมสำยพันธ์ุของเช้ือจุลินทรีย์ในประเทศไทย โดยมี เช้ือจุลินทรีย์มำกกว่ำ 43,000 สำยพันธ์ุ ในจำนวนนี้เป็นเช้ือรำที่แยกได้จำกแมลง ซึ่งมีสัดส่วนมำกท่ีสุด ของเช้อื จลุ นิ ทรียท์ ัง้ หมด ข้อมูลกำรศึกษำและวิจัยเชื้อรำในประเทศไทยท่ีสำคัญ ได้แก่ เชื้อรำ Beauveria bassiana, Metarhizium anisopliae, Paecilomyces lilacinus, Verticillium lecanii แ ล ะ Paecilomyces fumosoroseus ท้ังน้ีเชื้อรำ M. anisopliae และ B. bassiana มีกำรศึกษำและวิจัยกันอย่ำงแพร่หลำย โดยมีกำรเก็บรวบรวมเช้ือรำจำกแหล่งต่ำง ๆ ในประเทศไทย เพำะขยำยพันธ์ุรวมท้ังมีกำรทดสอบ ประสิทธิภำพเช้ือรำในกำรเข้ำทำลำยแมลง ดังตัวอย่ำงเช่น กำรศึกษำลักษณะทำงสัณฐำนวิทยำ และ พันธุกรรมของเชื้อรำสกุล Metarhizium (นฤมล และคณะ, 2552) กำรทดสอบประสิทธิภำพของเชื้อ รำเขียว M. anisopliae ในกำรเข้ำทำลำยหนอนด้วงหนวดยำวเจำะลำต้นอ้อย (วิวัฒน์ และคณะ, 2551 ก) หนอนด้วงแรดมะพร้ำว หนอนแมลงดำหนำม หนอนหัวดำ (เสำวนิตย์ และคณะ, 2553) แมลงวัน ผลไม้ (นริศ และคณะ, 2554) แมลงหว่ีขำว (สิริญำ และคณะ, 2554) หนอนกระทู้หอม (มณจันทร์ และ ศศิเทพ, 2549) เพลี้ยไฟ (ทิพยว์ ดี และคณะ, 2546) ปลวก (ณศิ , 2536) และยุงลำย (อิทธิเดช และคณะ, 2553) สำหรับเชื้อรำขำว B. bassiana มีกำรศึกษำกันอย่ำงแพร่หลำยเช่นเดียวกันกับเช้ือรำเขียว โดยมี กำรทดสอบประสิทธิภำพของเช้ือรำขำว B. bassiana ในกำรเข้ำทำลำยหนอนและตัวเตม็ วยั ของแมลงดำ หนำมมะพร้ำว ตัวเต็มวัยของมอดเจำะเมล็ดกำแฟ ปลวก (วิวัฒน์ และคณะ, 2551ข) เพลี้ยไฟ (ทิพย์วดี และ คณ ะ, 2546) และแมลงวันผลไม้ (นริศ และคณ ะ, 2554) สำหรับเช้ือรำ P. lilacinus และ P. fumosoroseus มีกำรศึกษำกำรเข้ำทำลำยหนอนกระทู้หอม (มณจันทร์ และศศิเทพ, 2549) และ เพลย้ี ไฟ (ทิพย์วดี และคณะ, 2546) สว่ นเชือ้ รำ V. lecanii มีกำรศึกษำเขำ้ ทำลำยเพลย้ี ไฟ (ทิพย์วดี และ
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 74 คณะ, 2546) ประสิทธิภำพกำรเข้ำทำลำยแมลงศัตรูพืชของเช้ือรำที่เป็นสำเหตุของโรคแมลงในประเทศ ไทย แสดงดงั ตำรำงท่ี 5-4 ตำรำงที่ 5-4 ประสิทธภิ ำพกำรเข้ำทำลำยแมลงศตั รูพชื ของเชื้อรำที่เป็นสำเหตุของโรคแมลง ในประเทศไทย เชอื้ รำ แมลงศตั รพู ชื เปอรเ์ ซน็ ต์กำรตำย คณะผวู้ จิ ยั (จำนวนวนั )* Metarhizium หนอนด้วงหนวดยำวเจำะ 70-100 (14 วัน) ววิ ัฒน์ และคณะ (2551ก) anisopliae ลำต้นออ้ ย M. anisopliae หนอนด้วงแรดมะพร้ำว 8-100 (14 วนั ) เสำวนิตย์ และคณะ (2553) M. anisopliae หนอนแมลงดำหนำม 91-100 (12 วัน) เสำวนติ ย์ และคณะ (2553) M. anisopliae หนอนหัวดำ 100 (10 วัน) เสำวนิตย์ และคณะ (2553) M. anisopliae แมลงวนั ผลไม้ 98 (5 วัน) นริศ และคณะ (2554) M. anisopliae แมลงหวี่ขำว 0-72 (7 วัน) สริ ิญำ และคณะ (2554) M. anisopliae หนอนกระทหู้ อม 36 (7 วนั ) มณจันทร์ และศศิเทพ (2549) M. anisopliae เพลย้ี ไฟ 0-20 (4 วัน) ทพิ ย์วดี และคณะ (2546) M. anisopliae ปลวก 50 (7 วนั ) ณิศ (2536) M. anisopliae ยงุ ลำย 28-81 (ไม่ระบ)ุ อิทธิเดช และคณะ (2553) Beauveria แมลงดำหนำมมะพรำ้ ว 75-82 (3-5 วนั ) ววิ ฒั น์ และคณะ (2551ข) bassiana B. bassiana มอดเจำะเมล็ดกำแฟ 77 (4-5 วนั ) วิวัฒน์ และคณะ (2551ข) B. bassiana ปลวก 87 (3-4 วัน) วิวัฒน์ และคณะ (2551ข) B. bassiana เพลยี้ ไฟ 0-70 (4 วนั ) ทพิ ยว์ ดี และคณะ (2546) B. bassiana แมลงวันผลไม้ 96 (5 วนั ) นริศ และคณะ (2554) Paecilomyces หนอนกระทหู้ อม 13 (7 วนั ) มณจันทร์ และศศิเทพ (2549) lilacinus Paecilomyces เพลย้ี ไฟ 80-90 (4 วัน) ทิพย์วดี และคณะ (2546) fumosoroseus Verticillium เพล้ียไฟ 10 (4 วนั ) ทิพยว์ ดี และคณะ (2546) lecanii * จำนวนวันท่แี สดงผลกำรตำยของแมลง จำกข้อมูลดังกล่ำวจะเห็นได้ว่ำควำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยแมลงของเช้ือรำมีควำมผันแปร ค่อนข้ำงสูง โดยเชื้อรำในแต่ละสกุล มีควำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยแมลงได้แตกต่ำงกัน นอกจำกน้ีเชื้อ
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 75 รำสกุลเดียวกันก็ยังมีควำมสำมำรถในกำรเข้ำทำลำยแมลงชนิดเดียวกันได้ไม่เท่ำกัน ทั้งนี้อำจขึ้นอยู่ กับปัจจัยต่ำง ๆ คือ (1) เชื้อรำมีแหล่งท่ีมำต่ำงกัน และเช้ือรำแต่ละไอโซเลทมีควำมจำเพำะต่อกำรเข้ำ ทำลำยแมลง (2) ปริมำณเชื้อที่ใช้ในแต่ละกำรศึกษำมีควำมเข้มข้นต่ำงกัน (3) ระยะเวลำท่ีเชื้อรำเข้ำ ทำลำยแมลง และ (4) ระยะของแมลงอำศัย มีผลต่อกำรเข้ำทำลำยของเช้ือรำ กล่ำวคือ หนอนวัยอ่อนมัก มีควำมอ่อนแอต่อเชื้อรำมำกกว่ำหนอนวัยแก่ ดังนั้นกำรใช้เชื้อรำเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช จึงควร ตระหนักถึงปัจจัยดังกล่ำวข้ำงต้น ซ่ึงมีผลต่อประสิทธิภำพกำรเข้ำทำลำยแมลงของเชื้อรำ นอกจำกนี้ยงั มีข้อจำกัดของกำรใช้เช้ือรำกำจัดแมลงท่ีควรคำนึงถึง เช้ือรำมีควำมจำเพำะสูงกับแมลงบำงชนิด จึงไม่ สำมำรถใช้ได้กับแมลงศัตรูพืชได้ทั่วไป เชื้อรำไม่สำมำรถฆ่ำแมลงได้ทันที เพรำะต้องกำรระยะเวลำใน กำรเข้ำทำลำย นอกจำกน้ีสภำพแวดล้อม (แสงแดด และควำมช้ืน) มีผลต่อประสิทธิภำพกำรเข้ำทำลำย แมลงของเชื้อรำเป็นอย่ำงมำก และปริมำณควำมเข้มข้นของเช้ือรำที่กำจัดแมลง ควรใช้ในระดับที่ เหมำะสม ต้องไม่มำกและน้อยเกินไป (มำลี, 2551) ปัจจุบันในประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์จำกเช้ือรำที่ใช้ กำจัดแมลงศตั รูพชื จำหนำ่ ยอย่ใู นทอ้ งตลำดเปน็ จำนวนมำก รำยละเอยี ดดงั ตำรำงท่ี 5-5 ตำรำงที่ 5-5 ตัวอย่ำงผลิตภณั ฑเ์ ชื้อรำท่ใี ช้กำจดั แมลงศตั รูพืช ทม่ี ีกำรจำหนำ่ ยในประเทศไทย* ชือ่ ผลติ ภณั ฑ์ บริษทั เช้อื รำ แมลงศตั รพู ชื เมทำซำน แอพพลำยเค็ม Metarhizium anisopliae ปอ้ งกันกำจัดแมลง เช่น เพล้ยี กระโดด (Metazan) สีน้ำตำล เพลยี้ จักจน่ั สีเขยี ว เพล้ียอ่อน หนอนดว้ ง ปลวก ดว้ ง ต๊กั แตน หมัด กระโดด และหนอนของผเี สื้อศตั รพู ชื บเู วริน แอพพลำยเค็ม Beauveria bassiana ปอ้ งกนั และกำจดั แมลง เชน่ เพลย้ี (Buverin) กระโดดสีนำ้ ตำลในนำข้ำว เพลย้ี แปง้ ใน มันสำปะหลงั แมลงหวข่ี ำว เพลย้ี อ่อน เพลีย้ ไฟ และชว่ ยควบคมุ ประชำกรของ ไรแดง ไลซินสั แอพพลำยเคม็ Paecilomyces lilacinus ป้องกนั กำจดั ไข่หอยเชอร่ี เพลีย้ แป้งใน (Laicinus) มนั สำปะหลัง และไขข่ องหนอนผเี สอ้ื เชน่ ไขข่ องหนอนใยผัก ไข่ของหนอน กระทหู้ อม ไข่ของหนอนเจำะสมอฝ้ำย ไรแดง ไสเ้ ดอื นฝอยรำกปม
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 76 ตำรำงท่ี 5-5 ตัวอยำ่ งผลิตภณั ฑเ์ ชื้อรำท่ีใช้กำจดั แมลงศัตรูพืช ทม่ี ีกำรจำหนำ่ ยในประเทศไทย* (ตอ่ ) ช่ือผลติ ภณั ฑ์ บริษทั เชอ้ื รำ แมลงศตั รพู ชื สไมลบ์ ูวำเรยี สไมลก์ รีน Beauveria bassiana, เพลี้ยกระโดดสนี ้ำตำล เพล้ียไฟ เพล้ีย จำกดั Metarhizium anisopliae จกั จั่น บ่วั เพลี้ยแปง้ และ Paecilomyces lilacinus สไมลไ์ อซำวำย สไมล์กรีน Beauveria, Metarhizium หนอนใยผกั หนอนกระทู้ หนอนเจำะ สตู ร 2 จำกดั และ Paecilomyces ผสม สมอฝ้ำย เพลยี้ ไฟ เพลยี้ แปง้ เพล้ยี อ่อน Bacillus thuringiensis เพลี้ยไก่แจ้ ฮำดี – เคลยี ร์ Hadi Metarhizium anisopliae ป้องกันกำจดั แมลงศัตรพู ชื จำพวกปำก (Hadi-Clear) Enterprise และ Beauveria bassiana ดดู เชน่ เพล้ียออ่ น เพลีย้ แปง้ เพล้ยี กระโดดสีนำ้ ตำล เพล้ยี จกั จนั่ ดว้ งหมดั ผกั ฯลฯ *เรยี บเรยี งจำกผลติ ภัณฑ์ท่มี ีจำหนำ่ ยในทอ้ งตลำด มีกำรทดลองท่ีเกี่ยวข้องกับเชื้อรำสำเหตุโรคแมลงในบริบทต่ำง ๆ เช่น Pittarate et al. 2017 ทดสอบผลกระทบของสำรกำจัดเช้ือรำโรคพืช 4 ชนิด ได้แก่ mancozeb, propineb, propiconazole และ difenoconazole ในสภำพห้องปฏิบัติกำร ที่ควำมเข้มข้น 2 ระดับ คือ ควำมเข้มข้นของสำรกำจัด เชื้อรำตำมอัตรำแนะนำและคร่ึงอัตรำแนะนำ เพื่อประเมินผลของสำรกำจัดเช้ือรำโรคพืชที่นิยมใช้กำจัด ศัตรูพืชในนำข้ำวโดยเฉพำะของประเทศไทย ต่อกำรงอกของสปอร์ กำรเจริญของเส้นใยและรวมไปถึงกำร ก่อโรคในเพล้ียกระโดดสีน้ำตำลของเช้ือรำ B. bassiana ซ่ึงจะได้เป็นแนวทำง สู่กำรนำไปประยุกต์ใช้ใน ควบคุมแมลงศัตรูข้ำว โดยเฉพำะเพล้ียกระโดดสีน้ำตำลแมลงศัตรูข้ำวอันดับหนึ่งของประเทศไทย และ ช่วยในกำรตัดสินใจในกำรเลือกใช้สำรกำจัดเช้ือรำในนำข้ำว ท่ีจะไปมีผลกระทบกับ เชื้อรำ B. bassiana (เช้ือรำก่อโรคในแมลง) เพื่อให้กำรควบคุมศัตรูแบบผสมผสำนได้ดำเนินไปอย่ำงเหมำะสมและมี ประสิทธิภำพ จำกผลกำรทดสอบพบว่ำสำร mancozeb สำมำรถยับยั้งกำรเจริญของเส้นใยเชื้อรำ ไอโซเลท I ได้สูงที่สุด โดยมีเปอร์เซ็นต์กำรยับยั้งเท่ำกับ 61% สำหรับสำร propineb สำมำรถยับย้ังกำร เจริญของเส้นใยเช้ือรำไอโซเลท D ได้สูงที่สุดโดยมีกำรยับยั้งเท่ำกับ 59 % ส่วนสำร propiconazole สำมำรถยับย้ังกำรเจริญของเส้นใยเชื้อรำไอโซเลท H, D, G, E, F, J และ O ได้สูงที่สุด โดยมีเปอร์เซ็นต์กำร ยับย้ังเท่ำกับ 100 และสำร difenoconazole สำมำรถยับยั้งกำรเจริญของเส้นใยเชื้อรำไอโซเลท M, F และ J ไดส้ งู ท่สี ุด โดยมีกำรยบั ยั้งเทำ่ กับ 100 % (ภำพที่ 5-5 และตำรำงท่ี 5-6)
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 77 ภำพที่ 5-5 ลักษณะกำรเจริญของโคโลนีเชื้อรำ Beauveria bassiana 10 ไอโซเลท บนอำหำรเลี้ยงเช้ือ MEA ผสม สำรกำจัด เชื้อรำ mancozeb, propineb, propiconazole และ difenoconazole เมื่อเปรียบเทียบ กับชุดควบคุม หลังจำกเลีย้ งเชือ้ เป็นเวลำ 21 วัน (Pittarate et al., 2018a) *M, N = ศูนย์สง่ เสรมิ เทคโนโลยกี ำรเกษตรดำ้ นอำรกั ขำพชื จ. เชยี งใหม่, H = 2637, D = BPH, G = 6081, E = 6241, I = 5335, F = BCC, J = 6988
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 78 ตำรำงที่ 5-6 เปอร์เซ็นต์กำรยับยั้งกำรเจริญของเส้นใยเช้ือรำ B. bassiana 10 ไอโซเลท บนอำหำรเลี้ยงเชื้อ MEA ผสมสำรกำจัดเชื้อรำ mancozeb, propineb, propiconazole และ difenoconazole ท่ี ควำมเขม้ ขน้ 2 ระดบั คอื ควำมเขม้ ข้นของสำรกำจัดเช้ือรำตำมอัตรำแนะนำและครึ่งอตั รำแนะนำ เมอื่ เปรยี บเทียบกับชดุ ควบคุมหลงั จำกเลย้ี งเชือ้ เปน็ เวลำ 21 วนั เช้ือรำ / เปอรเ์ ซน็ ตก์ ำรยบั ยง้ั กำรเจรญิ ของเสน้ ใยเชอื้ รำ B. bassiana1 ไอโซเลท* mancozeb propineb propiconazole difenoconazole 1 1/2 1 1/2 1 1/2 1 1/2 M 58.00ab2 56bc 52.67b 44.67cd 94.67bc 93.33c 100a 90.67efg N 51.00cd 11.00i 35.33efg 14.33j 95.00bc 90.67d 52.33h 32.33i H 34.00f 17.00h 44.67cd 30.33gh 100.00a 100.00a 96.67ab 93.67bcdef D 46.00e 45.00e 59.00a 45.67cd 100.00a 100.00a 95.67abc 95.00bcde G 34.00f 27.00g 37.00ef 22.67i 100.00a 100.00a 95.00bcde 90.33fg E 47.00de 48.00de 45.00cd 22.67i 100.00a 100.0a 95.33bcd 91.00defg I 61.00a 54.00bc 58.67a 49.67bc 97.00b 96.33b 97.00ab 93.33bcdef F 28.00g 23.00g 33.67fg 25.00hi 100.00a 100.00a 100.00a 87.33g J 47.00de 46.00e 45.00cd 37.67ef 100.00a 100.00a 100.00a 91.33cdefg O 56.00bc 55.00bc 49.33bc 41.00de 100.00a 95.00bc 96.00ab 87.67g F-test *** *** *** *** LSD0.05 4.80 5.72 2.45 4.41 CV (%) 6.85 8.47 1.52 3.00 *M, N = ศนู ยส์ ง่ เสรมิ เทคโนโลยกี ำรเกษตรด้ำนอำรกั ขำพืช จ. เชยี งใหม่, H = 2637, D = BPH, G = 6081, E = 6241, I = 5335, F = BCC, J = 6988 (H-J ได้รบั ควำมอนุเครำะห์จำก ผศ.ดร. มำลี ต้ังระเบยี บ) และ O = มลู นธิ โิ ครงกำรหลวง จ.เชียงใหม่ *** = significant at P < 0.001 1 = ควำมเข้มขน้ ของสำรฆำ่ เชือ้ รำตำมอตั รำแนะนำ และ1/2 = ควำมเขม้ ข้นของสำรฆ่ำเช้ือรำคร่งึ อตั รำแนะนำ 1ค่ำเฉลี่ยจำก 3 ซ้ำ 2ค่ำเฉลี่ยท่ตี ำมด้วยอักษรเดยี วกนั ใน column เดียวกันแสดงวำ่ ไม่มีควำมแตกต่ำงกนั อยำ่ งมีนยั สำคญั เปรียบเทยี บโดยวธิ ี Least Significant Difference ทีร่ ะดบั ควำมเชื่อมน่ั ที่ 95%
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 79 จำกกำรทดสอบควำมทนทำนต่อรังสียูวี ท่ีระยะเวลำเปิดรับแสงต่ำงกัน 4 ช่วงระยะเวลำ (1, 2, 3, และ 4 ชั่วโมง) ของโคนิเดียของเช้อื รำ B. bassiana ทีผ่ ่ำนกำรกระตุ้นด้วยคล่ืนแสงสตี ่ำง ๆ จำกหลอด LED และจำกชุดควบคมุ (ภำพท่ี 5-6) พบว่ำเม่ือโคนิเดียเชอื้ รำได้รบั รงั สียวู ี ท่ี 1 ช่วั โมงพบวำ่ มีเปอร์เซ็นต์ ควำมงอกของโคนิเดียเริ่มตั้งแต่ 29.33-97.67 เปอร์เซ็นต์ อีกท้ังพบเปอร์เซ็นต์ควำมงอกสูงกว่ำ 80 % จำกโคนิเดยี ของเช้ือรำท่ีผ่ำนกำรกระตุ้นด้วยคล่ืนแสงสีฟ้ำ หลอดฟลูออเรสเซนต์ และคลื่นแสงสีแดง โดย มเี ปอรเ์ ซ็นตค์ วำมงอกท่ี 84.33 96.08 และ 97.67 % ตำมลำดับ นอกจำกนนั้ เมอื่ โคนิเดยี เชือ้ รำไดร้ ับรังสี ยูวีนำน 2 ชั่วโมงพบว่ำมีเปอร์เซ็นต์ควำมงอกของโคนิเดียลดน้อยลง พบเร่ิมต้ังแต่ 5.75 -82.58 % โคนิเดียทผี่ ่ำนกำรกระตุ้นดว้ ยคลื่นแสงสเี ขยี ว คลนื่ แสงสีฟ้ำ หลอดฟลูออเรสเซนต์ และคลืน่ แสงสแี ดง พบ มีเปอร์เซ็นต์ควำมงอกหรือควำมทนทำนสูงกว่ำ 50 % โดยมีเปอร์เซ็นต์ควำมงอกที่ 54.17 62.50 62.58 และ 82.58 % ตำมลำดับ ทั้งยังพบวำ่ โคนเิ ดยี ที่ผำ่ นกำรกระตุ้นด้วยคล่ืนแสงสีแดงมคี วำมทนทำนต่อแสง ยวู ีสูงท่ีสุด (82.58 %) นอกจำกนเ้ี มือ่ โคนิเดยี เช้ือรำได้รับรงั สียูวี ที่ 3 ช่วั โมงพบวำ่ มีเปอรเ์ ซน็ ต์ควำมงอก ของโคนิเดียลดน้อยลง พบเร่ิมต้ังแต่ 0.25-62.00 % นอกจำกน้ีที่ช่วงกำรเปิดรับรังสียูวี 3 ชั่วโมง พบมี เพียงโคนิเดีย ที่ผ่ำนกำรกระตุ้นด้วยคล่ืนแสงสีแดงเท่ำนั้นที่มีเปอร์เซ็นต์ควำมงอกหรือควำมทนทำนต่อ แสงยวู ี เกินกว่ำ 50 % และสูงท่สี ุด (62.00 %) และเม่ือโคนเิ ดยี ของเชอื้ รำไดร้ บั รังสยี ูวี ที่ 4 ชั่วโมง พบว่ำ โคนิเดียในทุกกรรมวิธีมีเปอร์เซ็นต์ควำมงอก หรือควำมทนทำนต่ำกว่ำ 50 % แต่โคนิเดียที่ผ่ำนกำร กระตุ้นด้วยคล่ืนแสงสีแดงยังคงมีควำมงอกสงู ทส่ี ุด (34.14 %) จำกผลกำรทดลองแสดงให้เห็นว่ำคล่นื แสง ที่แตกต่ำงกันของหลอด LED มีส่วนชว่ ยกระตุ้น หรือเพิ่มควำมทนทำนต่อรังสียูวีของเช้อื รำ B. bassiana สอดคล้องกับงำนวิจัยของ Braga et al., 2001 ซ่ึงทดลองในเชื้อรำ M. anisopliae อีกท้ังยังพบว่ำ โคนิเดียที่ผ่ำนกำรกระตุ้นด้วยคล่ืนแสงสีแดงมีควำมทนทำนต่อแสงยูวีมำกกว่ำโคนิเดียของเช้ือรำใน กรรมวธิ ีอ่นื รวมไปถึงชดุ ควบคมุ ท่เี ลยี้ งในท่มี ืด (Pittarate et al., 2018a)
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 80 ภำพท่ี 5-6 อตั รำกำรงอกของโคนเิ ดียเชือ้ รำ B. bassiana ท่ผี ่ำนกำรกระตนุ้ ด้วยคลื่นแสงจำกหลอด LED ภำยหลังทำกำรเปิดรับคลื่นแสงจำกรังสียูวีในช่วงระยะเวลำต่ำง ๆ ที่อุณหภูมิ 28 องศำเซลเซียส (Pittarate et al., 2018a) กำรทดสอบกำรก่อโรคในเพล้ยี กระโดดสีนำ้ ตำลของเชอื้ รำ B. bassiana จำกกำรปลูกเช้ือรำ B. bassiana ไอโซเลท D และ ไอโซเลท J โดยกำรฉีดพ่นสำรแขวนลอย สปอร์ท่ีควำมเขม้ ข้น 108 สปอรต์ ่อมิลลิลติ ร ในแมลงวยั 3 ท่ีเลี้ยงบนตน้ ขำ้ ว เม่ือเวลำผำ่ นไป 3 วนั พบว่ำ แมลงท่ีถูกปลูกเชื้อท้ัง 2 ไอโซเลท แสดงอำกำรของโรค โดยเคลื่อนไหวช้ำลง เบ่ืออำหำร ผิวหนังมีสี น้ำตำลคล้ำ พบแมลงตำยเกำะอยู่บนตน้ ขำ้ วหรอื ลอยอยู่บนผิวน้ำ และอำจพบจุดสีดำหรือเส้นใยสีขำวบน ตัวแมลง แตแ่ มลงท่ีตำยบำงตวั แสดงอำกำรของโรคไมช่ ัดเจน จงึ ทำกำรนำแมลงที่ตำยในวันท่ี 3, 5, 7, 14 และ 21 วันหลังจำกปลูกเชื้อ มำบม่ เชอ้ื ใน plate ที่มีฝำปิดสนทิ ซ่ึงมีควำมช้ืนจำกสำลีชุบน้ำกลั่นท่ีนึ่งฆ่ำ เช้ือแล้ว (moist chamber) จำกนั้นบ่มไว้ท่ีอุณหภูมิห้องแล้วสังเกตอำกำร ซึ่งตรวจสอบภำยใต้กล้อง จุลทรรศน์แบบสเตอริโอ (stereo microscope) ปรำกฏว่ำ เม่ือสังเกตบริเวณผนังลำตัวแมลงสำมำรถ มองเห็นกลมุ่ เสน้ ใยสีขำว และอำจมีกล่มุ ของสปอรเ์ ป็นผงสขี ำว ปกคลุมบนตวั แมลง โดยพบว่ำเช้ือรำทั้ง 2 ไอโซเลท มีควำมสำมำรถในกำรก่อให้เกิดโรคกับแมลงได้ เม่ือเวลำผ่ำนไป 7 วัน หลังกำรปลูกเช้ือ พบ แมลงตำยสะสมเพิ่มมำกข้ึน และพบกำรตำยสะสมสูงสุด 100 % เม่ือเวลำผ่ำนไป 21 วัน สอดคล้องกับ
ระบำดวิทยำของโรคในแมลง 81 งำนทดลองของ Kaur et al. (2011) ท่ีพบว่ำเชื้อรำ B. bassiana ควำมเข้มข้นสูง (108 สปอร์ต่อ มลิ ลิลิตร) ทำใหห้ นอนกระทูผ้ ักมีเปอร์เซ็นต์กำรตำยมำกทส่ี ุด นอกจำกนั้นระยะเวลำหลังจำกกำรฉดี พ่นที่ นำนข้ึน ทำให้แมลงมีกำรตำยเพ่ิมข้ึน คล้ำยคลึงกับ กำรทดลองของ Nghiep et al. (2015) และกำร ทดลองของ เอกรัฐ (2555) โดยทำกำรศึกษำควำมเข้มข้นของเช้ือรำ B. bassiana ในกำรป้องกันกำจัด เพล้ียกระโดดสีน้ำตำล โดยใช้เช้ือรำ B. bassiana ที่ควำมเข้มข้น 106, 107 และ 108 สปอร์ต่อมิลลิลิตร พบว่ำเช้ือรำ B. bassiana ควำมเข้มข้น 108 สปอร์ต่อมิลลิลิตร ทำให้เพลี้ยกระโดด สีน้ำตำลมีอัตรำกำร ตำยมำกที่สุด ส่วนชุดควบคุมที่ฉีดพ่นน้ำกลั่นผสม Tween 0.1% ไม่พบกำรตำยของแมลง และอำกำร ของโรค เช่นเดยี วกบั ชุดควบคุมทไ่ี ม่ได้ฉดี พ่นสำรใด ๆ แมลงไมแ่ สดงอำกำรของโรค (ภำพที่ 5-7 ตำรำงท่ี 5-7) (a) (b) (c) (d) (e) (f) ภำพท่ี 5-7 อำกำรกำรติดเชื้อบนเพลี้ยกระโดดสีน้ำตำลหลังปลูกเช้ือ Beauveria bassiana ไอโซเลท D และ J นำน 7 วนั เปรียบเทียบกับชดุ ควบคมุ (Pittarate et al., 2017) (a) เชื้อรำไอโซเลท D (d) เชือ้ รำไอโซเลท J (b) ชุดควบคุม (น้ำกล่ัน+Tween 0.1%) (e) ชุดควบคมุ (นำ้ กล่ัน+Tween 0.1%) (c) ชุดควบคมุ (ไมป่ ลูกเชอื้ ) (f) ชดุ ควบคมุ (ไมป่ ลูกเช้อื )
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 82 ตำรำงที่ 5-7 เปอร์เซ็นตก์ ำรตดิ เช้อื ในเพลีย้ กระโดดสนี ้ำตำลของเชือ้ รำ B. bassiana ไอโซเลท D และ J ที่ควำมเข้มข้น 108 สปอร์ต่อมลิ ลิลิตร หลังกำรปลูกเชอื้ 3, 5, 7, 14 และ 21 วัน กรรมวธิ ใี นกำรทดลอง เปอรเ์ ซน็ ตก์ ำรตดิ เชอ้ื (วนั หลงั กำรปลกู เชอื้ ) 3 5 7 14 21 ไมฉ่ ีดพน่ (ควบคมุ ) 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 ฉดี พน่ น้ำกลน่ั ผสม Tween 0.1% (ควบคุม) 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 6.67 28.89 48.89 95.56 100.00 ฉดี พ่นน้ำกลนั่ ผสม Tween 0.1% + เชื้อรำ ไอโซเลท D 6.67 28.89 51.11 93.33 100.00 ฉดี พ่นนำ้ กลั่นผสม Tween 0.1% + เช้ือรำ ไอโซเลท J นอกจำกน้ีศึกษำควำมรุนแรงของโคนิเดียในอำกำศของเชื้อรำ B. bassiana ที่ผลิตภำยใต้หลอด ไดโอดเปล่งแสง ในกำรกอ่ โรคกับหมดั แมว Ctenocephalides felis หมัดสุนัขและหมัดแมวเป็นปรสิตภำยนอกของสัตว์เล้ียงท่ีมีควำมสำคัญ ตัวเต็มวัยท้ังสองเพศดูด กินเลือดของสัตว์เล้ียงพบแพร่กระจำยท่ัวโลก ในระยะตัวเต็มวัยอำศัยอยู่บนเหยื่อ (สัตว์เลี้ยง) วำงไข่บน พื้นดินและพัฒนำในระยะหนอน นอกตัวเหยอื่ หรือบริเวณแหล่งท่ีพักอำศัยของเหย่ือ บำงชนิดเป็นสำเหตุ ให้เกิดอำกำรแพ้และเปน็ พำหะนำโรคในสัตว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนมและนก กำรปอ้ งกันกำจดั ส่วนใหญ่ยังเนน้ กำร ใช้สำรเคมี โดยเฉพำะสำรเคมีกลุ่มดูดซึม สำรยับยั้งกำรเจริญเติบโต (IGRs) เพ่ือลดกำรระบำด กำร ป้องกันกำจัดหมัดโดยกำรใช้สำรเคมีสังเครำะห์ในปัจจุบันค่อนข้ำงท่ีจะเป็นอันตรำยอย่ำงมำกต่อ ส่ิงแวดล้อม สัตว์เลี้ยง รวมไปถึงคนเลี้ยง เช้ือรำก่อโรคในแมลงเป็นส่ิงมีชีวิตขนำดเล็กในธรรมชำติ มี ศักยภำพสูงในกำรเข้ำทำลำย ฆ่ำ ควบคุม และ ป้องกันกำรระบำดซ้ำของแมลงศัตรูหลำย ๆ ชนิด เช้ือรำ B. bassiana เป็นหนึ่งในเช้ือรำที่มีควำมสำคัญอย่ำงมำกในกำรควบคุมโดยชีววิธี รวมไปถึงวิธีแบบ ผสมผสำนและมีกำรผลิตเป็นชีวภัณฑ์ทำงกำรค้ำหลำกหลำยยี่ห้อ เน่ืองมำจำกเชื้อรำจะสร้ำงโคนิเดีย สำหรับแพร่กระจำย ส่งต่อเช้ือ และกำรเข้ำทำลำยแมลงศัตรูหลำยชนิดได้ดี กำรควบคุมศัตรูโดยวิธีนี้มี ควำมปลอดภัยต่อสิ่งแวดลอ้ ม สัตว์เล้ยี ง และมนุษย์
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 83 กำรศึกษำในระดับห้องปฏิบัติกำร ศึกษำเกี่ยวกับ ควำมรุนแรงของโคนิเดียของเชื้อรำ B. bassiana ที่ผลิตภำยใต้หลอดไดโอดเปล่งแสงควำมยำวคลื่นแสงสีต่ำงกัน (สแี ดง สีฟ้ำ สีม่วง สีเขียว สี เหลือง สีขำว) ในช่วงเวลำเปิดรับแสงแตกต่ำงกัน (12, 24, 36 และ 48 ชั่วโมง) เพื่อศึกษำควำมสำมำรถ ในกำรก่อโรคกับตัวเต็มวัยของหมัดแมว ทำกำรทดสอบโดยอำศัยกำรฟุ้งกระจำยของโคนิเดียในอำกำศ (ภำยในหลอดทดลอง) จำกกำรศึกษำพบว่ำเช้ือรำในทุกกรรมวิธีท่ีถูกกระตุ้นกำรสร้ำงโคนิเดียเป็นเวลำ 12 ชัว่ โมง ดว้ ยแสงสจี ำกหลอดไดโอดเปลง่ แสง พบว่ำเช้ือรำในทกุ กรรมวธิ ีทำใหแ้ มลงมีอตั รำกำรตำย 78- 100 % เมอื่ สมั ผัสกับเช้อื 24-36 ชว่ั โมง มำกไปกวำ่ นัน้ ในกรรมวธิ ที โี่ คนิเดียถูกกระต้นุ ด้วยแสงสีแดงทำให้ ตัวเต็มวยั ของหมัดมีอัตรำกำรตำยสะสม 100 เปอร์เซ็นต์ หลังจำกสมั ผัสโคนเิ ดียเช้อื รำ 36 ชัว่ โมง (ภำพที่ 5-8 และตำรำงที่ 5-8) ดังน้ันผลกำรทดลองในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ำ เชื้อรำ B. bassiana ที่สร้ำงโคนิเดีย ภำยใต้กำรกระตุ้นด้วยหลอดไดโอดเปล่งแสงมีประสิทธิภำพและศักยภำพในกำรใช้สำหรับควบ คุมหมัด แมวโดยชวี วิธี (Pittarate et al., 2018b) ภำพท่ี 5-8 ลักษณะกำรตำยของตัวเตม็ วัยหมัดแมว Ctenocephalides felis ทปี่ กคลมุ ดว้ ยเชอ้ื รำ (a) ชุดควบคุม (b) ตัวเต็มวัย หลังจำกฉีดพ่นเชื้อรำ B. bassiana isolate BCMU4 เป็น เวลำ 72 ชั่วโมง (c) ตัวเต็มวัย หลังจำกฉีดพ่นเชื้อรำ M. anisopliae เป็นเวลำ 72 ช่ัวโมง (Pittarate et al., 2018b)
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 84 ตำรำงท่ี 5-8 ประสิทธภิ ำพของเช้อื รำ B. bassiana isolate BCMU4 ภำยใต้หลอดไดโอดเปล่งแสง สตี ่ำง ๆ ในกำรควบคุมหมดั แมว Ctenocephalides felis Fungus conditions Adult mortality (%) 48 h 12 h 24 h 36 h B. bassiana + red 27a* 93a 100a 100 B. bassiana + blue 25a 87bc 93b 100 B. bassiana + purple 23a 89ab 91bc 100 B. bassiana + green 11bc 84cd 89cd 100 B. bassiana + yellow 13bc 80de 89cd 100 B. bassiana + white 10cd 83cd 87d 100 B. bassiana + fluorescent 15b 86bc 100a 100 B. bassiana + dark 6d 78e 86d 100 M. anisopliae 4849 25a 92a 100a 100 M. anisopliae 2MG 26a 92a 99a 100 Control group 0e 0f 0e 0 LSD (0.05%) 2.2361 2.0207 1.7795 - CV 23.44 4.44 3.61 - *ค่ำเฉลี่ยทต่ี ำมดว้ ยอกั ษรเดยี วกนั ใน column เดียวกันแสดงวำ่ ไม่มคี วำมแตกต่ำงกนั อยำ่ งมีนัยสำคัญเปรียบเทยี บโดยวิธี Least Significant Difference ทร่ี ะดบั ควำมเชือ่ ม่ันที่ 95% คำ่ เฉลี่ยจำก 5 ซำ้ กำรทดลองนที้ ดสอบทีอ่ ุณหภูมิ 27±1◦C และควำมชื้นสมั พทั ธ์ (RH) ≥ 80% 5.7 สรปุ เช้ือรำท่ีเป็นสำเหตุของโรคในแมลง ประกอบด้วย 6 subdivision คือ Mastigomycotina, Zygomycotina, Ascomycotina, Deuteromycotina, Mycelia sterilia แ ล ะ Basidiomycotina กลไกกำรเข้ำทำลำยแมลงของเช้ือรำ จะอำศัยกำรงอกของสปอร์ที่เรียกว่ำ germ tube เจำะผ่ำนผนัง ลำตัวของแมลง หลังจำกน้ันเช้ือรำจะสร้ำงเส้นใยและแพร่กระจำยไปยังอวัยวะภำยในของแมลง เช้ือรำ บำงชนิดสำมำรถสรำ้ งสำรพษิ ท่ีเป็นอันตรำยต่อแมลงได้ เม่ือแมลงตำยเสน้ ใยของเชื้อรำจะแทงออกมำจำก ผนังลำตัวของแมลง และเจริญปกคลุมทั่วตัวแมลง ซ่ึงเปน็ ลักษณะเด่นของแมลงที่ตำยด้วยสำเหตุจำกเชื้อ รำ เช้ือรำที่เป็นสำเหตุของโรคในแมลงมีท้ังส่วนที่มีประโยชน์และโทษ เช่น เช้ือรำ Cordyceps มีสมบัติ ทำงยำ ในขณะท่ีเชื้อรำ Ascosphaera apis เป็นสำเหตุของโรค chalkbrood ในผ้ึง เช้ือรำบำงชนิดถูก นำไปใช้ในกำรควบคุมและป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น เช้ือรำ Entomophthora maimaiga ใช้กำจัด
ระบำดวทิ ยำของโรคในแมลง 85 หนอน gypsy moth เช้ือรำ Beauveria brongniartii ใช้ป้องกันกำจัด White Grubs (Melolontha melolontha) เช้ื อ ร ำ Zoophthora radicans, Verticillium lecanii, Beauveria bassiana แ ล ะ Metarhizium anisopliae ใชป้ อ้ งกันกำจดั เพลีย้ ออ่ น เพล้ยี ไฟ แมลงหวข่ี ำว หรอื ตกั๊ แตน เปน็ ต้น มีกำรทดลองใช้ศักยภำพของเชื้อรำในบริบทต่ำง ๆ เช่นกำรทดสอบผลกระทบของสำรกำจัดเชื้อ รำโรคพืช 4 ชนิด ได้แก่ mancozeb, propineb, propiconazole และ difenoconazole ในสภำพ ห้องปฏิบัติกำร ที่ควำมเข้มข้น 2 ระดับ คือ ควำมเข้มข้นของสำรกำจัดเชื้อรำตำมอัตรำแนะนำและคร่ึง อัตรำแนะนำ เพื่อประเมินผลของสำรกำจัดเช้ือรำโรคพืชท่ีนิยมใช้กำจัดศัตรูพืชในนำข้ำวโดยเฉพำะของ ประเทศไทย ต่อกำรงอกของสปอร์ กำรเจริญของเสน้ ใยและรวมไปถงึ กำรกอ่ โรคในเพลี้ยกระโดดสีนำ้ ตำล ของเชื้อรำ B. bassiana ซึ่งจะได้เป็นแนวทำง สู่กำรนำไปประยุกต์ใช้ในควบคุมแมลงศัตรูขำ้ ว นอกจำกนี้ ศึกษำควำมรุนแรงของโคนิเดียในอำกำศของเชื้อรำ B. bassiana ท่ีผลิตภำยใต้หลอดไดโอดเปล่งแสง ใน กำรก่อโรคกับหมัดแมว Ctenocephalides felis โดยศึกษำเก่ียวกับควำมรุนแรงของโคนิเดียของเชื้อรำ B. bassiana ที่ผลิตภำยใต้หลอดไดโอดเปล่งแสงควำมยำวคล่ืนแสงสีต่ำงกัน (สีแดง สีฟ้ำ สีม่วง สีเขียว สเี หลือง สขี ำว) ในช่วงเวลำเปดิ รับแสงแตกต่ำงกัน (12, 24, 36 และ 48 ชั่วโมง) เพ่ือศึกษำควำมสำมำรถ ในกำรก่อโรคกับตัวเต็มวัยของหมัดแมว ทดสอบโดยอำศัยกำรฟุ้งกระจำยของโคนิเดียในอำกำศ (ภำยใน หลอดทดลอง) พบวำ่ เชอ้ื รำในทุกกรรมวธิ ีที่ถูกกระตุ้นกำรสร้ำงโคนิเดียเปน็ เวลำ 12 ชว่ั โมง ดว้ ยแสงสีจำก หลอดไดโอดเปล่งแสง พบวำ่ เช้อื รำในทุกกรรมวธิ ที ำใหแ้ มลงมอี ตั รำกำรตำย 78-100 % เมื่อสัมผัสกับเช้ือ 24-36 ชั่วโมง มำกไปกวำ่ น้ันในกรรมวิธที ี่โคนิเดียถกู กระตุ้นด้วยแสงสแี ดงทำให้ตัวเตม็ วัยของหมดั มีอัตรำ กำรตำยสะสม 100 เปอร์เซน็ ต์ หลังจำกสมั ผัสโคนิเดยี เชือ้ รำเปน็ เวลำ 36 ช่ัวโมง 5.8 เอกสำรอำ้ งอิง ณิศ กีร์ติบุตร. 2536. กำรควบคุมกำจัดปลวกทำลำยไม้โดยจุลินทรีย์. หน้ำ 634-639. ใน : กำรประชุม ท ำงวิช ำก ำรข อ งม ห ำวิท ย ำลัย เก ษ ต รศ ำส ต ร์ ค รั้งที่ 3 1 . 3 -6 กุม ภ ำพัน ธ์ 2 53 6 . มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร,์ กรุงเทพฯ. ทิพย์วดี อรรถธรรม กรรณกิ ำร์ สนี วลมำก และจีรภำ ปัญญำศิร.ิ 2546. เชื้อรำของแมลงและศักยภำพใน กำรใช้ควบคุมกำจัดเพล้ียไฟ. หน้ำ 704-717. ใน : กำรประชุมวิชำกำรอำรักขำพืชแห่งชำติ ครั้งที่ 6. 24-27 พฤศจิกำยน 2546. โรงแรมโซฟเิ ทล รำชำออคดิ , ขอนแก่น. นริศ ท้ำวจันทร์ อนุชิต ชินำจริยวงศ์ และวิวัฒน์ เสือสะอำด. 2554. ผลของเชื้อรำโรคแมลง Beauveria bassiana และ Metarhizium anisopliae ต่อพฤติกรรมกำรผสมพันธุ์ของแมลงวันผลไม้ Bactrocera papayae (Diptera: Tephritidae). ว. วิทย. กษ. 42 (พิเศษ), 339-342. นฤมล ต้ังธีระสุนันท์ สุพัตรำ โพธ์ิเอ่ียม เกษม สร้อยทอง พิมพ์พรรณ สมมำตย์ และเสำวนิตย์ โพธิ์พูนศักด์ิ. 2552. กำรศึกษำลักษณะทำงสัณฐำนวิทยำ และพันธุกรรมของเช้ือรำสกุล Metarhizium โดย อำศัยลำดับนิวคลีโอไทด์ของบริเวณ ITS. หน้ำ 396-403. ใน : กำรประชุมทำงวิชำกำรของ มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์ คร้ังท่ี 47. 17-20 มนี ำคม 2552. มหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์, กรุงเทพฯ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317