11.2 การประเมนิ ผลงาน ประเด็นการประเมนิ คำอธิบายระดับคณุ ภาพ / ระดบั คะแนน ชนิ้ งาน ดี (3 คะแนน) พอใช้ (2 คะแนน) ปรบั ปรงุ (1 คะแนน) 1.ความถูกต้องของ 1.สามารถสำรวจคน้ หา 1.สามารถสำรวจค้นหา 1.สามารถสำรวจคน้ หา เนอ้ื หา จำนวนสง่ิ ของต่าง ๆ จำนวนสิ่งของต่าง ๆ จำนวนสิ่งของตา่ ง ๆ จากแหล่งข้อมลู ปฐมภู จากแหล่งข้อมลู ปฐมภู จากแหลง่ ข้อมลู ปฐมภู 2.คุณภาพของผลงาน มไิ ดถ้ ูกต้องตามโจทย์ท่ี มิได้ถูกต้องตามโจทย์ที่ มิไดถ้ ูกต้องตามโจทย์ที่ และการนำเสนอข้อมูล ไดร้ ับ ได้รับ แตม่ ีข้อผิดพลาด ได้รบั แตม่ ีข้อผิดพลาด ในกระดาษ เลก็ น้อย 3.การนำเสนอข้อมลู หน้าช้นั เรยี น 2.แสดงออกถึงการ 2.แสดงออกถงึ การ 2.แสดงออกถงึ การ วางแผน การนำเสนอ วางแผน การนำเสนอ วางแผน การนำเสนอ ข้อมูลจากแหล่งข้อมลู ขอ้ มูลจากแหลง่ ข้อมลู ขอ้ มลู จากแหลง่ ข้อมูล ปฐมภูมเิ ปน็ อยา่ งดี ทำ ปฐมภมู ิเป็นอยา่ งดี ทำให้ ปฐมภมู เิ ป็นอย่างดี ทำ ใหเ้ ข้าใจงา่ ย และใช้ เข้าใจงา่ ย และใชอ้ ินโฟ ใหเ้ ข้าใจงา่ ย และใช้ อนิ โฟกราฟิก มี กราฟิก มีความสัมพันธ์ อนิ โฟกราฟกิ มี ความสมั พันธก์ ับโจทยท์ ่ี กับโจทยท์ ่ไี ด้รับแต่มี ความสมั พันธ์กับโจทย์ ไดร้ บั ขอ้ ผดิ พลาดในบางหวั ข้อ ท่ไี ด้รบั แต่มขี ้อผดิ พลาด 3.สามารถนำเสนอ 3.สามารถนำเสนอข้อมลู 3.นำเสนอข้อมูล ขอ้ มูลโดยใชช้ น้ิ งานมา โดยใช้ชนิ้ งานมานำเสนอ ชิน้ งานไม่ชดั เจน มี นำเสนอได้อยา่ งชดั เจน ไดอ้ ย่างชัดเจน ถูกต้อง มี การพดู ทีเ่ สยี งดัง และมี ถูกต้อง มกี ารพดู ทเี่ สยี ง การพูดที่เสียงดัง แต่มี บางหัวข้อท่ตี อบคำถาม ดัง ตอบคำถามได้ บางหัวขอ้ ทต่ี อบคำถาม ผิดพลาด ชัดเจน ผิดพลาด เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ 8-9 ดี 5-7 1-4 พอใช้ ปรบั ปรงุ
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๘ เวลา 8 ชว่ั โมง เรื่อง เสน้ ทางของนกั สำรวจ คาบท่ี ๒๗-๓๐ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 การจดั การข้อมลู สารสนเทศ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชีว้ ดั สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ข้นั ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแกป้ ญั หา ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รู้เท่าทันและมีจริยธรรม ตัวชี้วัด ม.1/3 รวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ ประมวลผล ประเมินผล นำเสนอข้อมูล และสารสนเทศ ตามวัตถปุ ระสงค์โดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ หรอื บริการบนอินเทอรเ์ นต็ ทห่ี ลากหลาย 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธบิ ายลักษณะของขอ้ มูลทตุ ิยภมู ิและสารสนเทศได้ (K) 2. นกั เรียนสามารถใชอ้ ินเทอร์เน็ตในการสบื ค้นขอ้ มูล ประมวลผล และนำเสนอข้อมูลได้ (P) 3. นักเรียนยกตัวอย่างการใช้ข้อมูลสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ หรืออินเทอร์เน็ตที่เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจำวนั (A) 3. สาระสำคญั การนำข้อมูลมาประมวลผล และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบการสำรวจ สังเกต บันทึกเอง หรือการนำเอาข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้แล้วจาก แหล่งที่มาที่แตกต่างกันมาประมวลผลและนำไปใช้ประโยชน์ อาจนำไปใช้เลยหรือนำไปปรับใช้ในรูปแบบ อินโฟกราฟิก กราฟ หรือแผนภมู ิ 4. สาระการเรียนรู้ 1. ข้อมลู ทุติยภูมิ 2. ลักษณะสารสนเทศท่ีดี 3. สารสนเทศ 5. รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน 1. วธิ ีการสอนโดยเน้นการเรียนร้แู บบใชเ้ กม (Games) 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแกป้ ัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซอ่ื สตั ย์ สจุ รติ ใฝ่เรียนรู้ 7. ทักษะ 4 Cs มุ่งม่นั ในการทำงาน ทักษะการคิดวจิ ารณญาณ (Critical Thinking) มจี ิตสาธารณะ ทกั ษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration Skill) ทักษะการสอ่ื สาร (Communication Skill) ทักษะความคิดสรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) 8. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ มีวนิ ัย อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง รักความเป็นไทย 9. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ชั่วโมงท่ี ๑ ขั้นนำ (10 นาท)ี 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายทบทวนความรู้ที่ได้เรียนจากชั่วโมงที่แล้ว (หัวข้อการทบทวนความรู้ : ความหมายของข้อมูลปฐมภูมิ วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล ลักษณะของสารสนเทศที่ ด)ี 2. ครูชักชวนนักเรียนพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลการสำรวจของบุคคลที่โด่งดังในอดีต (แนวทาง : 1.หลุยส์ อาร์เนอร์ บอยด์ ผู้หญิงคนแรกที่ได้เดินทางไปถึงขั้วโลกเหนือ 2.ยูรี กาการิน นาวา อากาศเอก ยูรี อะเลคเซเยวิช กาการิน ชาวโซเวียต เป็นนักบินอวกาศคนแรกของโลกที่สามารถเดินทาง กลับโลกอย่างปลอดภัย 3.ครสิ โตเฟอร์ โคลัมบสั เป็นนักทำแผนที่ นักสำรวจ นกั เดินเรือ และพ่อค้า เดินเรือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและทำใหช้ าวยุโรปรจู้ ักทวีปอเมริกาในซีกโลกตะวนั ตกเปน็ ผลสำเรจ็ ) ข้นั สอน (40 นาที) 1. ครใู ห้นักเรยี นเล่นเกม “แฟนพนั ธ์แทน้ กั สำรวจ” โดยกล่มุ ท่ีชนะได้คะแนนจากครเู พิ่ม (แนวทาง คือ ใช้เกมถามคำถามเกี่ยวกับการสำรวจ โดยมีตัวอย่างคำถามดังนี้ 1) ฟอสซิลของไดโนเสาร์ที่ถูกค้นพบ และมีอายุมากที่สุดในประเทศไทยคือสายพันธ์อะไร 2) แม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศคือแม่น้ำใด 3) จังหวัด ใดมีจำนวนวัดมากที่สุดในประเทศ 4) ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเคยมีกำแพงที่ยาวท่ีสดุ ในโลก 5) วัตถุโบราณที่มี ชื่อว่าสฟงิ เป็นสมบัตขิ องประเทศใด) 2. ครูให้แต่ละกลุ่มสุ่มจับสลากเพื่อรับหัวข้อภารกิจของนักสำรวจ หรือครูอาจเปิดโอกาสให้ นักเรียนกำหนดหัวข้อในการทำภารกิจและรูปแบบการนำเสนอหน้าชั้นเรียนหรือกำหนด หัวข้อด้วยตนเอง (แนวทาง : 1) นำเสนอเรอ่ื งเกาะในรปู แบบอินโฟกราฟิก 2) นำเสนอเรื่องช้างและในรูปแบบแผนภูมิวงกลม 3) นำเสนอประเทศที่มีขนาดใหญ่ในรูปแบบแผนภูมแิ ท่ง 4) นำเสนอเรื่องเรือในรูปแบบกราฟ 5) นำเสนอ เร่อื งมหาสมทุ รในรูปแบบแผนภูมิทสี่ นใจ)
3. ครใู ห้นกั เรียนใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตสบื ค้นข้อมูลทมี่ เี น้ือหาเกย่ี วข้องกบั หวั ข้อท่ีได้รับ จากน้นั นำข้อมูล ทศี่ กึ ษามาสรุปร่วมกนั และนำเสนอในรูปแบบทไ่ี ด้รับ (ใหน้ ักเรียนทำในชัว่ โมงเรียนและเตรยี มตวั นำเสนอใน ช่วั โมงถัดไปกลุ่มละไม่เกนิ 10 นาท)ี ช่วั โมงท่ี ๒ ข้นั สอน (50 นาท)ี 4. ครใู หน้ กั เรียนทบทวนหวั ข้อภารกจิ ท่ีไดร้ ับ 5. นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ นำเสนอผลงานบรเิ วณหน้าชัน้ เรยี น กล่มุ ละไม่เกิน 10 นาที 6. ครสู อบถามวิธกี ารสบื ค้นข้อมลู ของนักเรียน การเตรยี มตัวนำเสนอ ปญั หาทีพ่ บในการทำงาน และวธิ ีแก้ปัญหา ช่วั โมงท่ี ๓ ขั้นสอน (50 นาที) 7. ครูอธบิ ายกติกาหรือกำหนดข้อตกลงในการนำเสนองาน เชน่ ทกุ คนในกลุ่มต้องมสี ่วนร่วมใน การทำงานหรือการนำเสนองาน 8. ครใู หน้ ักเรียนนำเสนองาน 3 กลมุ่ โดยใช้เวลาในการนำเสนอไม่เกนิ กลุ่มละ 10 นาที 9. ครใู หน้ ักเรียนสรปุ ความรูท้ ี่นักเรยี นได้ฟังจากการนำเสนอของเพ่ือน 10. ครูให้นกั เรยี นสงั เกตและบอกประโยชน์ ขอ้ ดรี ปู แบบการนำเสนอข้อมูลจากกลมุ่ ของเพื่อน (แนวทาง : รูปแบบกราฟ รปู แบบแผนภูมิ แบบอนิ โฟกราฟิก) ช่ัวโมงที่ ๔ ขั้นสอน (40 นาที) 11. ครูให้นักเรียนร่วมกนั ทบทวนความรจู้ ากชัว่ โมงทีแ่ ล้ว 12. ครสู อบถามปัญหาทพ่ี บจากการทำงานของกลุ่มท่ียังไม่ได้นำเสนอ 13. ครูอธิบายกติกาหรือกำหนดขอ้ ตกลงในการนำเสนองาน เชน่ ทุกคนในกลมุ่ ตอ้ งมสี ว่ นรว่ มใน การทำงานหรือการนำเสนองาน 14. ครูให้นกั เรียนกลมุ่ ท่เี หลือ 2 กลมุ่ นำเสนองานโดยใชเ้ วลาในการนำเสนอไมเ่ กนิ กลมุ่ ละ 10 นาที 15. ใหเ้ พอื่ นในห้องชว่ ยกันโหวตว่างานของกลุ่มใคร มีความชัดเจน เขา้ ใจงา่ ย และสวยงาม ครใู ห้ รางวลั หรือชื่นชมนักเรียน 16. ครูกลา่ วสรุปลกั ษณะข้อดขี องการใชอ้ นิ โฟกราฟิกในการนำเสนอข้อมูลในเรื่องการเข้าใจงา่ ย ความสวยงาม และเชื่อมโยงเข้ากบั การนำไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจำวนั ขั้นสรปุ (10 นาที)
1. ครูให้นกั เรยี นร่วมกันบอกประโยชน์ และข้อดขี องการมีขอ้ มูลที่เรยี บเรียงไว้พรอ้ มสำหรบั การใช้ งานแล้วเช่นขอ้ มูลจากหนงั สอื อินเทอร์เน็ต และใหน้ ักเรยี นบอกความแตกตา่ งระหว่างการนำเสนอข้อมลู ดบิ แบบบทความกบั การใช้กราฟ แผนภมู ิ อินโฟกราฟิก 2. ครอู ธิบายลกั ษณะของข้อมลู ทุตยิ ภูมิเชอ่ื มโยงกับข้อมูลท่ีนักเรียนแตล่ ะกลุ่มไปสืบคน้ มา 3. ครสู รปุ ลักษณะ ประโยชน์ และข้อดีของสารสนเทศ ขอ้ มูลทตุ ิยภูมิ และการใช้อนิ โฟกราฟิกมา ใช้ในการนำเสนอ 4. ครูให้นกั เรยี นทำแบบฝกึ หัด เร่ือง ข้อมูลกบั สารสนเทศ หนา้ 35-41 ในแบบฝกึ หดั วิชา วทิ ยาการคำนวณ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่1ี 10. สือ่ แหล่งการเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.1 หน่วยการเรยี นรู้ ท่ี 3 เรื่อง การจัดการข้อมูลสารสนเทศ 2. แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.1 เรือ่ ง ข้อมูลกบั สารสนเทศ หนา้ 35-41 11. การวดั และการประเมินผล 11.1 การประเมนิ ระหว่างการจัดกิจกรรม จุดประสงค์ วธิ ีการประเมิน เคร่ืองมอื การ เกณฑก์ ารประเมิน ประเมิน 1.นกั เรียนสามารถบอก 1.การตอบคำถามใน 1.สามารถตอบคำถามใน ลักษณะของข้อมูลทุตยิ แบบฝึกหดั เรื่อง ข้อมูลกบั 1.แบบประเมิน แบบฝกึ หดั ได้ถูกต้อง ภูมแิ ละสารสนเทศได้ สารสนเทศ หนา้ 35-41 แบบฝึกหดั 60 % ขึน้ ไป (K) วชิ าวิทยาการคำนวณ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี1่ 2.แบบประเมนิ 2.นกั เรียนสามารถ 2.นกั เรียนสามารถใช้ 2.ประเมินการรปู แบบ และ การนำเสนองาน นำเสนอข้อมลู ตาม อนิ เทอรเ์ น็ตในการ ขอ้ มูลจากการนำเสนอ รูปแบบทกี่ ำหนดได้ 60 สบื คน้ ขอ้ มลู ประมวลผล % ข้ึนไป และนำเสนอข้อมูลได้ (P) 3.นักเรยี นยกตวั อยา่ ง 3.ยกตัวอยา่ งการใช้ข้อมลู 3.แบบประเมิน 3.นกั เรยี นยกตวั อยา่ ง การใช้ขอ้ มูลสารสนเทศ สารสนเทศ ซอฟแวร์ หรอื พฤติกรรม (หัวข้อ การใช้ข้อมูลสารสนเทศ ซอฟแวร์ หรือ อนิ เทอร์เน็ตทีเ่ กิดประโยชน์ การยกตัวอย่าง ซอฟแวร์ หรอื อนิ เทอร์เน็ตที่เกดิ ในชวี ิตประจำวนั การปรบั ใช้ในชีวติ อินเทอรเ์ น็ตทีเ่ กิด ประโยชนใ์ น จริง) ประโยชนใ์ น ชีวิตประจำวนั (A) ชวี ติ ประจำวนั
11.2 การประเมินผลงาน ประเด็นการ คำอธิบายระดบั คณุ ภาพ / ระดับคะแนน ประเมิน ชิ้นงาน ดี (3 คะแนน) พอใช้ (2 คะแนน) ปรบั ปรงุ (1 คะแนน) 1.ความถกู ต้อง 1.สามารถสำรวจคน้ หา 1.สามารถสำรวจคน้ หา 1.สามารถสำรวจค้นหา ของเน้ือหา จำนวนสิ่งของตา่ ง ๆ จาก จำนวนสิ่งของต่าง ๆ จาก จำนวนสง่ิ ของต่าง ๆ แหล่งขอ้ มูลปฐมภูมไิ ด้ถูกต้อง จากแหลง่ ข้อมลู ปฐมภู แหล่งขอ้ มูลปฐมภูมิได้ ตามโจทย์ท่ไี ด้รับ แต่มี มไิ ดถ้ ูกต้องตามโจทย์ที่ ถูกต้องตามโจทย์ท่ไี ดร้ บั ข้อผดิ พลาดเลก็ น้อย ไดร้ ับ แตม่ ีข้อผิดพลาด เป็นสว่ นใหญ่ 2.คณุ ภาพของ 2.ใช้อนิ เทอร์เน็ตในการ 2.ใชอ้ ินเทอร์เนต็ ในการ 2.ใช้อินเทอร์เน็ตในการ ผลงานและการ สืบคน้ ขอ้ มลู ประมวลผล นำเสนอข้อมูล และนำเสนอข้อมูล จาก สืบคน้ ข้อมูลประมวลผล และ สบื คน้ ขอ้ มูลประมวลผล ในกระดาษ แหล่งขอ้ มูลทุติยภูมเิ ปน็ นำเสนอข้อมลู จาก และนำเสนอขอ้ มลู จาก อย่างดี และเขา้ ใจงา่ ย ใชร้ ปู แบบการนำเสนอ แหล่งขอ้ มลู ทตุ ยิ ภูมเิ ปน็ อยา่ ง แหลง่ ข้อมูลทุตยิ ภูมเิ ป็น ข้อมูลหนา้ ช้นั เรียนที่มี ความสัมพันธ์กับโจทยท์ ี่ ดี และเข้าใจง่ายในบางหวั ข้อ อยา่ งดี และเขา้ ใจง่ายใน ไดร้ ับ ใช้รูปแบบการนำเสนอข้อมลู บางหัวข้อ หน้าชั้นเรยี นทม่ี ีความสมั พนั ธ์ ใช้รูปแบบการนำเสนอ กับโจทย์ทีไ่ ด้รบั ข้อมูลหนา้ ช้ันเรยี นที่ไม่ สมั พันธก์ บั โจทยท์ ี่ไดร้ บั 3.การนำเสนอ 3.สามารถนำเสนอข้อมลู 3.สามารถนำเสนอข้อมลู โดย นำเสนอข้อมูลชิ้นงานไม่ ขอ้ มลู หนา้ ช้ัน โดยใช้ชิ้นงานมานำเสนอ ใช้ช้ินงานมานำเสนอได้อยา่ ง ชดั เจน มกี ารพูดทเี่ สียง เรียน ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ถูกต้อง มี ชดั เจน ถกู ต้อง มกี ารพูดท่ี ดงั และมีบางหัวขอ้ ที่ การพดู ท่ีเสยี งดงั ตอบ เสียงดัง แตม่ บี างหวั ข้อท่ี ตอบคำถาม ผดิ พลาด คำถามได้ชดั เจน ผิดพลาด เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 8-9 ดี 5-7 1-4 พอใช้ ปรบั ปรุง
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๙ เวลา 6 ชวั่ โมง เร่ือง เธอคอื ใคร คาบท่ี ๓๑-๓๖ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 4 การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๑ 1. มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวช้ีวดั สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแกป้ ัญหา ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ร้เู ท่าทันและมจี รยิ ธรรม ตัวชี้วัด ม.1/4 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ใช้ส่ือและแหล่งข้อมูลตามข้อกำหนด และขอ้ ตกลง 2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. นกั เรยี นอธิบายลกั ษณะความปลอกภัยของเทคโนโลยีสารเสนทศได้ (K) 2. นกั เรยี นสามารถบอกวธิ กี ารใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัยได้ (P) 3. นกั เรยี นสามารถยกตวั อย่างการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณได้ (A) 3. สาระสำคัญ การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งมวี จิ ารณญาณ 4. สาระการเรยี นรู้ 1. การใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณ และความปลอดภัย 5. รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน 1. วธิ กี ารสอนโดยเน้นการเรยี นรู้แบบใชเ้ กม (Games) 2. วธิ ีการสอนโดยใช้แนวคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) 2.1 แนวคดิ เชงิ นามธรรม (Abstraction) 6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทกั ษะ 4 Cs ทกั ษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ทักษะการทำงานรว่ มกัน (Collaboration Skill)
ทกั ษะการส่ือสาร (Communication Skill) ซ่อื สตั ย์ สุจริต ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมน่ั ในการทำงาน 8. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ มจี ติ สาธารณะ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีวนิ ัย อย่อู ยา่ งพอเพียง รกั ความเปน็ ไทย 9. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ชั่วโมงท่ี ๑ ขน้ั นำ (10 นาท)ี 1. ครูแจกกระดาษเกมเพื่อนของฉัน และดำเนินกิจกรรมให้นักเรียนทำความรู้จักเพื่อนในห้องโดย การเขียนชอื่ เพอ่ื นลงไปในช่องท่ตี รงกบั ข้อมูลในแตล่ ะช่องทำกจิ กรรมภายใน 3 นาที 2. ครสู อบถามนักเรยี นวา่ จากกจิ กรรมทเี่ ลน่ ข้อมลู ที่พบมีความหลากหลายหรือไม่ ขั้นสอน (40 นาท)ี 1. ครูสอบถามเกีย่ วกบั ความหลากหลายของข้อมูลในชวี ิตประจำวนั และให้นักเรยี นยกตัวอย่าง ขอ้ มลู ที่พบในชวี ิตประจำวัน 2. ครูแจกใบกจิ กรรมชดุ โปรไฟล์ของฉัน จากน้ันนำนักเรียนทำกิจกรรรม ”โปรไฟล์ของฉัน” 3. ครสู อบถามนักเรียนว่าจากการทำกิจกรรมนักเรียนสังเกตเหน็ อะไรบ้างจากข้อมูลทัง้ หมด ครใู ห้ นกั เรยี นชว่ ยกันบอกประโยชน์ของข้อมูล 4. ครูสรุปประโยชนข์ องการใชข้ ้อมูลในชวี ติ ประจำวัน เช่น การคำนวณปรมิ าณอาหารที่ควรไดร้ ับ ต่อวนั จากน้ำหนักและสว่ นสูง การเลอื กซ้ือรองเท้า เส้ือผา้ ด้วยขนาดไซต์ ข้ันสอน (50 นาท)ี ช่ัวโมงที่ ๒ 5. ครใู หน้ ักเรยี นนั่งเป็นกล่มุ 3- 5 คนโดยคละความสามารถ 6. ครแู จกกระดาษชุดโปรไฟลข์ องฉันใหแ้ ต่ละกล่มุ 7. จากนนั้ ให้แต่ละกล่มุ รว่ มกันสร้างตัวตนสมมตขิ ้ึนมาและเขียนข้อมูลลงในใบกจิ กรรม 8. ครูอธบิ ายวธิ กี ารเลน่ กิจกรรม และเป็นคนดำเนินกจิ กรรมในชั้นเรยี น 9. ครูใหแ้ ต่ละกลุ่มสลบั บทบาทกันวเิ คราะหข์ ้อมูลของเปา้ หมาย เพ่อื ระบสุ ง่ิ ที่โจทย์ต้องการ เช่น ครบู อกวา่ ใหก้ ลุ่ม A ระบุชื่อ Facebook ของโปรไฟล์กลุ่มB ด้วยการเลอื กถามขอ้ มลู พืน้ ฐานจากกลุ่มBได้ เพยี ง 3 ชนดิ แตย่ กเวน้ ชนดิ ข้อมลู ท่คี รหู รือโจทยถ์ ามเชน่ ในตวั อย่างโจทย์ถามหาชอื่ Facebook กห็ า้ มถาม ชื่อเฟสบ๊คุ แต่ถามช่อื -นามสกุลจรงิ ได้ 10. ครูดำเนนิ กิจกรรมตามเวลาที่เหมาะสม
11. ครชู ้ีให้นกั เรียนเห็นวา่ การเปดิ เผยข้อมูลที่ไมค่ วรเผยกบั บุคคลอ่ืนอาจส่งผลทไี่ ม่พงึ ประสงค์อ่ืน ๆ ตามมา เช่น การตงั้ ชื่อเฟสบ๊คุ แบบบอกท่ีอยู่ไปด้วย “เก่ง บางพลัด” หากมีขโมยแอบแฝงในรายชื่อเพอื่ น บนเฟสบุค๊ และเหน็ เราไปเที่ยวต่างจงั หวัดหลายวันอาจเกิดการโจรกรรมได้ ข้นั สอน (50 นาที) ช่วั โมงท่ี ๓ 12. ครแู จกกระดาษเปลา่ ให้นกั เรยี นคนละ 10 แผ่นจากนน้ั ใหน้ ักเรยี นทุกคนเขียนข้อมลู ส่วนตัว (สำคัญ)ของตนเองลงไปแผ่นละ1ชนิดและถือไว้บนมอื (กระดาษชิ้นเล็ก) 13. ครใู หน้ ักเรยี นทุกคนบอกวา่ ข้อมูลท้ัง 10 แผน่ มคี วามสำคญั กบั นกั เรยี นหรือไม่ 14. ครูสัง่ ให้นกั เรยี นเลอื กข้อมูลท่ีคดิ ว่าสำคัญน้อยท่ีสดุ จำนวน 3 ชนิดออกมาจากน้นั วางลงบน โต๊ะ 15. ครูถามนกั เรียนวา่ ตอนน้ีข้อมลู ที่อย่บู นมือยงั มขี ้อมลู ทีไ่ มส่ ำคญั หรือไม่ 16. ครูสง่ั ให้นักเรยี นเลือกข้อมูลท่ีคดิ วา่ สำคัญน้อยท่ีสุดจำนวน 2 ชนิดออกมาจากนั้นวางลงบน โต๊ะ 17. ครถู ามนักเรียนอกี ครั้งวา่ ตอนน้ีเป็นข้อมลู ที่คิดวา่ ลบั ทีส่ ดุ หรอื ไม่ 18. ครูให้นักเรยี นวเิ คราะหข์ ้อมูลท่ีเหลือบนมือทัง้ หมด จากนน้ั ให้เลอื กข้อมลู ท่ีคิดว่าอยากเก็บเปน็ ความลับไมต่ ้องการเปดิ เผย หรอื เผยแพรต่ ่อบคุ คลอ่นื ท่ีไมร่ ู้จักไว้เพยี ง 3 ใบและทิ้งที่เหลือไว้บนโตะ๊ 19. ครูถามย้ำนกั เรยี นอีกคร้ังว่าข้อมลู นี้ไม่ตอ้ งการใหค้ นอื่นรู้ใช่หรือไม่ 20. ครูสง่ั ใหน้ ักเรียนนำข้อมูลท่ีมแี ลกกันกับเพ่ือนดา้ นขา้ ง จากนนั้ ครูสังเกตพฤติกรรมนักเรยี น 21. ครูถามนกั เรยี นว่าทำไมถงึ ไม่อยากแลกข้อมลู แล้วถ้าเพ่ือนทน่ี ่ังอย่ดู ้านข้างไม่ใช่คนทีเ่ รารจู้ กั คดิ วา่ ข้อมูลทใ่ี ห้ไปอาจะสง่ ผลไมด่ ตี ่อตัวเราหรอื ไม่ 22. ครูใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั บอกชนดิ ข้อมูลท่ีไม่ควรเปิดเผยต่อบุคคลอ่ืน ชัว่ โมงท่ี ๔ ขัน้ สอน (50 นาท)ี 23. ครใู หน้ ักเรยี นทบทวนกิจกรรมที่ทำจากชัว่ โมงท่ีแลว้ 24. ครเู ปิดข่าวการแฮคข้อมูลที่มผี ู้คนให้ความสนใจจากเว็บไซต์ทนี่ ่าเชอ่ื ถือ 25. ครชู วนนกั เรียนพูดคยุ เกี่ยวกบั เนื้อหา ความปลอดภัยของข้อมูลท่ีร่วั ไหล จากการโดนแฮค 26. ครตู ั้งคำถามวา่ นกั เรียนคดิ วา่ จะมวี ิธีการในการปอ้ งกนั เหตกุ ารณ์ QR Code สำหรบั แบบนี้อยา่ งไรหากนักเรยี นเป็นทีมงานในบริษทั ดังกล่าว เปดิ วดิ ีโอ 27. ครใู ห้นกั เรยี นน่งั เป็นกล่มุ ตามช่ัวโมงที่ผา่ นมา ในการปกป้องขอ้ มูลส่วนตวั ขลอิงงกตข์ นา่ เวอตงัวแอลยะ่าง 28. ครูต้ังโจทย์ให้แต่ละกลุ่มออกแบบวิธีการ แนวทาง การป้องกนั การถูกโจมตีจากแฮคเกอร์
ชัว่ โมงท่ี ๕ 29. ครูใหน้ ักเรยี นใชค้ อมพวิ เตอร์และอนิ เทอร์เน็ตในการทำงาน นกั เรียนเตรียมนำเสนอ ข้ันสอน (50 นาท)ี 30. ครใู หน้ ักเรียนทบทวนกิจกรรมที่ทำจากชัว่ โมงทีแ่ ล้ว 31. ครสู มุ่ นกั เรียนขึ้นมานำเสนอแนวทาง ในการปกป้องขอ้ มลู สว่ นตัวของตนเอง และการปอ้ งกนั การถกู โจมตจี ากแฮคเกอร์ 2-3 กล่มุ 32. ครูให้นักเรียนช่วยกันสรปุ แนวทางทเี่ พ่ือนนำเสนอหน้าช้นั เรยี น 33. ครใู ห้กลุ่มทีเ่ หลอื เตรยี มตวั นำเสนอในชั่วโมงถัดไป ขนั้ สอน (40 นาที) ช่ัวโมงท่ี ๖ 34. ครใู ห้นักเรียนร่วมกันทบทวนความรู้จากช่วั โมงทผ่ี ่านมา 35. ครูให้นกั เรยี นอีก 3 กลุ่มออกมานำเสนอแนวคดิ หน้าชน้ั เรยี น ขั้นสรปุ (10 นาท)ี 1. ครูใหน้ กั เรียนร่วมกันสรุปแนวทางการป้องกันข้อมลู สว่ นตัวของตนเองจากแนวทางทเี่ พื่อน นำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น 10. ส่ือแหลง่ การเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.1 หนว่ ยการเรียนรู้ ที่ 4 เรือ่ ง การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั 2. ใบงานที่ 4.1.1 เร่ือง โปรไฟล์ของฉนั 11. การวัดและการประเมินผล 11.1 การประเมนิ ระหว่างการจัดกจิ กรรม จดุ ประสงค์ วิธีการประเมิน เครือ่ งมอื การ เกณฑ์การประเมิน ประเมิน 1.นกั เรยี นอธบิ าย 1.ประเมินจากการ 1.สามารถตอบคำถามในใบงาน 1.แบบประเมนิ ได้ 60 % ข้ึนไป ลกั ษณะความปลอดภัย ตอบคำถามในใบงาน ใบงานที่ 4.1.1 2.นกั เรยี นสามารถออกแบบ ของเทคโนโลยี ที่ 4.1.1 2.แบบประเมิน วิธกี าร แนวทาง ในการปกป้อง การนำเสนองาน ขอ้ มูลส่วนตัวของตนเอง นำเสนอ สารสนเทศได้ (K) ขอ้ มูลวิธีการใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศอยา่ งปลอดภยั ได้ 60 2.นกั เรียนสามารถ 2.ประเมนิ จากการ % ขนึ้ ไป บอกวธิ ีการใช้ นำเสนองาน และ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ขอ้ มลู จากการ อยา่ งปลอดภยั ได้ (P) นำเสนอ
จุดประสงค์ วิธีการประเมิน เครือ่ งมือการ เกณฑ์การประเมิน ประเมนิ 3.นักเรยี นสามารถ 3.นกั เรยี นยกตัวอย่างการใช้ ยกตวั อยา่ งการใช้ 3.ยกตัวอยา่ งการใช้ 3.แบบประเมิน ข้อมูลสารสนเทศ ซอฟแวร์ หรือ เทคโนโลยสี ารสนเทศ อนิ เทอรเ์ นต็ ท่ีเกดิ ประโยนช์ใน อยา่ งมวี จิ ารณญาณได้ ขอ้ มลู สารสนเทศ พฤติกรรม ชีวติ ประจำวนั (A) ซอฟแวร์ หรอื อินเทอรเ์ นต็ ทเ่ี กดิ ประ โยนชใ์ น ชีวิตประจำวัน 11.2 การประเมนิ การนำเสนอผลงาน ประเดน็ การ แบบประเมนิ การนำเสนอ ประเมนิ ช้ินงาน คำอธิบายระดับคณุ ภาพ / ระดบั คะแนน ดี (3 คะแนน) พอใช้ (2 คะแนน) ปรบั ปรงุ (1 คะแนน) 1.ความถกู ต้อง 1.สามารถบอกวิธีการใช้ 1.สามารถบอกวิธีการใช้ 1.สามารถบอกวธิ ีการใช้ ของเนื้อหา เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่าง อยา่ งปลอดภยั พร้อม อยา่ งปลอดภัย พรอ้ ม ปลอดภัย ได้ ยกตวั อย่างประกอบและ ยกตวั อยา่ งประกอบ ได้ ให้เหตุผลสนับสนนุ ได้ 2.คณุ ภาพของ 2.สามารถออกแบบ 2.สามารถออกแบบวธิ ีการ 2.สามารถออกแบบวิธีการ ผลงานและการ วธิ ีการ แนวทาง ในการ แนวทาง ในการปกป้อง แนวทาง ในการปกป้อง นำเสนอข้อมลู ใน ปกป้องข้อมูลสว่ นตวั ของ ขอ้ มูลสว่ นตวั ของตนเอง ข้อมลู สว่ นตัวของตนเอง กระดาษ ตนเอง และนำเสนอ และนำเสนอข้อมลู และนำเสนอข้อมูลวธิ กี ารใช้ ข้อมูลวิธีการใช้ วธิ กี ารใช้เทคโนโลยี เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ ง เทคโนโลยสี ารสนเทศ สารสนเทศอย่างปลอดภัย ปลอดภัยได้ส่วนนอ้ ย อยา่ งปลอดภยั ได้ ได้บางสว่ น 3.การนำเสนอ 3.สามารถนำเสนอข้อมูล 3.สามารถนำเสนอข้อมลู 3.นำเสนอขอ้ มูลช้ินงานไม่ ขอ้ มูลหนา้ ชนั้ เรยี น โดยใชช้ นิ้ งานมานำเสนอ โดยใชช้ ิน้ งานมานำเสนอ ชัดเจน มกี ารพดู ทเี่ สียงดัง ไดอ้ ย่างชัดเจน ถูกต้อง มี ไดอ้ ย่างชดั เจน ถูกต้อง มี และมีบางหวั ข้อที่ตอบ การพูดทีเ่ สียงดงั ตอบ การพูดท่เี สยี งดัง แต่มบี าง คำถาม ผิดพลาด คำถามได้ชดั เจน หวั ข้อทีผ่ ิดพลาด
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 8-9 ดี 5-7 1-4 พอใช้ ปรบั ปรงุ
ชื่อ-สกุล ใบงานท่ี 4.1.1 ช่ือเลน่ เรอ่ื ง โปรไฟลข์ องฉัน สว่ นสูง-นำ้ หนัก ภูมิลำเนา วาดรปู หรือ ตดิ รปู ภาพ ที่อยู่ วันเดอื นปเี กดิ เช้ือชาติ สญั ชาติไทย ศาสนา สาขาจบการศกึ ษา อเี มลล์ อาชพี เงินเดอื น เลขบตั รเครดติ เลขบตั รประชาชน เบอร์โทร ภาพยนตท์ ช่ี อบ เพลงท่ีชอบ ความใฝ่ฝัน ไอดีไลน์ ชอ่ื Line ชื่อFacebook ช่ือTwitter ชื่อInstagram กิจกรรม ใหน้ ักเรยี นใช้วิเคราะหค์ วามเปน็ ไปของขอ้ มูลเพอื่ อนมุ านสงิ่ ทีโ่ จทยถ์ ามหา โดยใหเ้ ลอื กขอ้ มลู จากเปา้ หมายเพอ่ื ประกอบการวิเคราะห์ไดเ้ พยี ง 3 ชนดิ ยกเวน้ ขอ้ มลู ทโี่ จทยถ์ ามหา ตวั อยา่ ง ให้อนุมานช่อื Facebook ของเปา้ หมายโดยใช้ขอ้ มูล 3 อยา่ ง ดังน้ี 1) ช่อื -สกลุ 2 )ชือ่ twitter 3) ไอดีไลน์ 1) ชื่อFacebook 2) อาชีพ 3) สาขาท่ีจบการศึกษา 4) ท่ีอยู่ 5) ไอดไี ลน์ 6) ส่วนสงู -นำ้ หนัก 7) ชอื่ -สกุล 8) ภาพยนตร์ท่ีชอบ 9) ช่อื twitter
เพ่ือนของฉนั 1ชอบรอ้ งเพลง 2ชอบเทคโนโลยี 3นอนดกึ 4ตดิ เกมส์ 5สาวกDC Comic 8หล่อ 6เกิดเดือนน้ี 7มฝี าแฝด 12เป็นลกู คร่ึง 9โสด 16ชอบวทิ ยาศาสตร์ 13สายบฟุ เฟต์ 10เป็นลกู คนสดุ ท้อง 11ขับมอเตอรไ์ ซ 20คนสวย 17คดิ เลขเรว็ 14น่งั หลังห้อง 15สาวกMarvel 4ตดิ เกมส์ 1ชอบรอ้ งเพลง 8หลอ่ 5สาวกDC Comic 18มแี ฟนแต่บอกคนอนื่ ไม่มี 19หลบั ในหอ้ ง 12เปน็ ลูกคร่ึง 16ชอบวทิ ยาศาสตร์ 9โสด เพื่อนของฉัน 20คนสวย 13สายบุฟเฟต์ 17คดิ เลขเรว็ 2ชอบเทคโนโลยี 3นอนดกึ 6เกดิ เดอื นนี้ 7มีฝาแฝด 10เปน็ ลกู คนสดุ ท้อง 11ขับมอเตอรไ์ ซ 14นงั่ หลังห้อง 15สาวกMarvel 18มแี ฟนแตบ่ อกคนอืน่ ไมม่ ี 19หลบั ในหอ้ ง
ชนดิ ขอ้ มลู ประกอบการวิเคราะห์ 1. 2. 3. .................................................. .................................................... .................................................... ................................................... .................................................... .................................................... ................................................... .................................................... .................................................... .. . สงิ่ ทีโ่ จทยต์ อ้ งการทราบ.............................................................................................................. ............................................................................................................................. ....................... คาดหมายว่าคำตอบคือ........................................................................................................... ..... ............................................................................................................................. ........................ ใหเ้ ป้าหมายเฉลยคำตอบ คือ ............................................................................................. ................................................................................................... ................................................................................................... ................................................................................................... ช่ือ.......................................................................................................เลขท่.ี ......................ชัน้ .........................
แบบสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียน คำช้ีแจง : ครพู ิจารณาให้คะแนนนักเรยี นรายบคุ คลตามข้อคำถามที่กำหนดให้ในใบรายชอ่ื นกั เรยี น โดยใช้เกณฑ์ในการประเมิน ดงั น้ี 3 = มาก 2 = ปานกลาง 1 = น้อย พฤตกิ รรมทสี่ ังเกต ระดับคะแนน 1 32 1.แสวงหาขอ้ มลู จากแหลง่ เรียนร้ตู า่ ง ๆ 2.มคี วามต้ังใจ 3. .พยายามแสวงหาความรู้ 4.เขา้ ร่วมกจิ กรรมการเรียนรู้ 5.ยกตัวอย่างการใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์เพื่อ แกป้ ญั หาในชวี ติ ประจำวันได้ รวม (15) เกณฑก์ ารตัดสนิ คุณภาพ ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ 14-15 ดมี าก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ 1-7 ปรับปรุง
แผนการจดั การเรียนรู้ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๒
สารบญั หน้า เน้อื หา คำนำ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 แนวคดิ เชิงคำนวณ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 2 ตัวอยา่ งการแก้ปัญหาแนวคิดเชิงคำนวณ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3 การออกแบบข้ันตอนการทำงานของโปรแกรม แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 ตวั แปรในภาษาไพทอน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 รหสั ควบคุมรหสั รปู แบบข้อมูลและตวั ดำเนินการในภาษาไพทอน แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 6 การเขียนโปรแกรมดว้ ยภาษาไพทอน แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 7 การใชง้ านฟงั ก์ชั่นในโปรแกรมไพทอน แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8 โครงสร้างการทำงานแบบเรียงลำดับ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 9 โครงสร้างการทำงานแบบเลือกทำ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๐ องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑๑ หลกั การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑๒ เทคโนโลยีการสือ่ สาร แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๓ การประยุกตใ์ ชง้ านและการแก้ปัญหาเบื้องตน้ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑๔ การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑๕ การปฏิบัติตนเมื่อพบเน้ือหาท่ีไมเ่ หมาะสม แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑๖ ความรับผิดชอบต่อการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๗ ทรัพย์สนิ ทางปัญญา
สรุปหลกั สตู ร วทิ ยาศาสตร์ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ ได้กำหนดสาระการเรียนรู้ ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระท่ี 4 เทคโนโลยี มีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชวี วิทยา สาระ เคมี สาระฟิสิกส์ และสาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ องค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ ละระดับชัน้ ให้มคี วามต่อเน่ืองเชื่อมโยงกันตัง้ แต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สำหรบั กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้กำหนดตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลางที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเรียน เป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชวี ิต หรือศึกษาต่อในวิชาชพี ที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ ได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเนื้อหาในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ เรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะใน ศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหา อยา่ งเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใชข้ ้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานท่ีตรวจสอบได้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความ สอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการ เรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ตลอดจนการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ยัง ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และ ทัดเทยี มกบั นานาชาติ ซงึ่ สรปุ ได้ดงั แผนภาพ
ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางวทิ ยาศาสตร์ สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคิดเชงิ คำนวณในการแกป้ ญั หาท่ีพบในชีวิตจริงอยา่ งเปน็ ข้ันตอนและ เปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการ แก้ปัญหาได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รูเ้ ทา่ ทนั และมจี ริยธรรม ชั้น ตวั ชวี้ ดั ม.๒ ว 4.2 ม.๒/1 ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงนามธรรมเพื่อแก้ปัญหาหรืออธิบายการ ทำงานที่พบในชวี ิตจรงิ ว ๔.๒ ม.๒/๒ ออกแบบและเขยี นโปรแกรมทใ่ี ชต้ รรกะและฟงั ก์ช่นั ในการแกป้ ัญหา ว ๔.๒ ม.๒/๓ อธิบายหลักการและองค์ประกอบการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีการสอื่ สาร เพ่ือประยกุ ต์ใชง้ านหรอื แก้ปญั หาเบ้อื งต้น ว ๔.๒ ม.๒/๔ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั มคี วามรับผิดชอบ สรา้ งและแสดงสทิ ธิ ในการเผยแพร่ผลงาน
คำอธบิ ายรายวชิ า รายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒ เวลา 40 ชวั่ โมง/ปี ศึกษาการออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหา หรือการทำงานที่พบใน ชีวิตจริง การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่ใช้ตรรกะและฟังก์ชั่นในการแก้ปัญหา การเขียนโปรแกรม โดยใชซ้ อฟต์แวร์ Scratch, Python, Java และ C อภปิ รายองค์ประกอบและหลักการทำงานของระบบ คอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยีการสื่อสารเพ่ือประยุกตใ์ ช้งานหรือแกป้ ัญหาเบ้ืองตน้ ตลอดจนใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอยา่ งปลอดภยั มีความรบั ผิดชอบ สรา้ งและแสดงสิทธิในการเผยแพรผ่ ลงาน โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) และวัฐจักร การเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) เพื่อเน้นใหผ้ ู้เรยี นลงมอื ปฏิบตั ิ ฝึกทกั ษะ การคิด เผชิญสถานการณ์การแก้ปัญหา วางแผนการเรียนรู้ ตรวจสอบการเรียนรู้ และนำเสนอผ่านการ ทำกิจกรรมโครงงาน เพื่อให้เกิดทักษะความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการวิเคราะห์โจทย์ปัญหา จน สามารถนำเอาแนวคดิ เชงิ คำนวณมาประยกุ ตใ์ ช้ในการสรา้ งโครงงานได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ การนำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ ได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะความคิดเชิงคำนวณในการ แก้ปัญหาที่พบชีวติ จรงิ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย เพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสือ่ สารอย่างรเู้ ทา่ ทันและรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนนำความรคู้ วามเข้าใจในวชิ าวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ สังคมและการดำรงชวี ิต จนสามารถพัฒนากระบวนการคิดและ จินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและจัดการทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการ ตัดสินใจ และเป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์ ตวั ชว้ี ัด ว 4.2 ม.๒/1 ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงนามธรรมเพื่อแก้ปัญหาหรืออธิบายการ ทำงานท่ีพบในชวี ติ จริง ว ๔.๒ ม.๒/๒ ออกแบบและเขียนโปรแกรมทใี่ ชต้ รรกะและฟงั ก์ชน่ั ในการแกป้ ัญหา ว ๔.๒ ม.๒/๓ อธิบายหลักการและองค์ประกอบการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีการสอื่ สาร เพ่อื ประยกุ ต์ใช้งานหรือแก้ปญั หาเบือ้ งต้น ว ๔.๒ ม.๒/๔ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบ สร้างและแสดงสิทธิ ในการเผยแพร่ผลงาน รวม ๔ ตัวช้วี ัด
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๑ จำนวน ๔ ชว่ั โมง เรื่อง แนวคดิ เชิงคำนวณ คาบท่ี ๑ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 แนวคดิ เชิงคำนวณกบั การแกป้ ัญหา กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๒ 1. มาตรฐาน/ตวั ชี้วัด 1.1 ตวั ชีว้ ดั ว 4.2 ม.2/1 ออกแบบอลั กอรทิ มึ ท่ใี ชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณในการแก้ปัญหาหรือการทำงานทพี่ บในชีวติ จรงิ 2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของแนวคิดเชงิ คำนวณได้ (K) 2. อธบิ ายองคป์ ระกอบของแนวคดิ เชงิ คำนวณได้ (K) 3. เขยี นภาพการทำงานขององคป์ ระกอบแนวคดิ เชงิ คำนวณได้ (P) 4. สนใจใฝร่ ใู้ นการศึกษา (A) 3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ทอ้ งถ่ิน - แนวคดิ เชิงคำนวณ พิจารณาตามหลักสูตรของสถานศกึ ษา - การแกป้ ัญหาโดยใชแ้ นวคิดเชงิ คำนวณ 4. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด แนวคิดเชิงคำนวณ คือ แนวคิดในการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบ และเป็นกระบวนการที่มี ลำดับขน้ั ตอนชดั เจน โดยกระบวนการแก้ปญั หาดงั กลา่ วนี้เปน็ กระบวนการท่ีมนุษย์ และคอมพิวเตอร์ สามารถ เข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งแนวคิดเชิงคำนวณนี้เป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ เพราะ การเขียนโปรแกรมถ้าไม่ได้เกิดขึ้นจากแนวคิดเชิงคำนวณ จะทำให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำงานช้า ไม่ตรง ตามที่ต้องการ ดังนั้นจึงควรนำแนวคิดเชงิ คำนวณเขา้ มาใช้ในการแกป้ ัญหาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของการแก้ปัญหา ทมี่ ปี ระสิทธิภาพ 5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี นและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวนิ ัย รบั ผิดชอบ - ทกั ษะการสื่อสาร 2. ใฝเ่ รียนรู้ - ทกั ษะการแลกเปล่ยี นข้อมูล 3. มุ่งมนั่ ในการทำงาน 2. ความสามารถในการคิด - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการคดิ เชิงคำนวณ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา - ทักษะการแกป้ ญั หา 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ - ทักษะการสบื คน้ ข้อมลู 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ วิธกี ารสอนโดยเนน้ รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model) ชว่ั โมงที่ ๑ ขน้ั นำ ข้นั ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) 1. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 แนวคิดเชงิ คำนวณกับการแก้ปัญหา เพือ่ วัดความรเู้ ดมิ ของนักเรยี นก่อนเข้าสกู่ ิจกรรม 2. ครถู ามคำถามประจำหวั ข้อว่า“นักเรยี นคดิ ว่ามนษุ ยน์ ำแนวคิดเชิงคำนวณมาประยุกตใ์ ช้ ในชวี ติ ประจำวันได้อย่างไร” (แนวตอบ : สามารถนำแนวคิดเชงิ คำนวณมาประยุกต์ใช้ในดา้ นการแก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวัน ด้านการเรียน และด้านการทำงาน) ข้นั สอน ข้ันที่ 2 สำรวจค้นหา (Exploration) 1. นกั เรยี นศกึ ษาความหมายและองค์ประกอบของแนวคิดเชิงคำนวณ จากหนงั สือเรียน รายวชิ า พ้นื ฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรือ่ งแนวคดิ เชงิ คำนวณกับการ แกป้ ญั หา หรอื ศกึ ษาเพ่ิมเติมผา่ นทางอินเทอร์เนต็ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง ข้นั ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explanation) 2. ครูสุ่มนกั เรียน 3-4 คน ออกมาอธบิ ายความหมายและองค์ประกอบทั้ง 4 ข้อของแนวคดิ เชงิ คำนวณตามที่นักเรียนได้ศึกษา 3. จากน้ันครูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ เพ่อื ให้นักเรยี นเข้าใจมากยิง่ ข้ึนว่า “อาชพี บรุ ษุ ไปรษณียจ์ ะต้องนำ จดหมายหรอื พัสดจุ ัดส่งไปตามทอ่ี ยู่ทีไ่ ดร้ ะบุไว้แตเ่ น่อื งจากจดหมายหรอื พัสดทุ ต่ี ้องจัดส่งมจี ำนวนมาก ทำให้ บรุ ุษไปรษณีย์ต้องทำการจดั หมวดหมู่ตามบ้านเลขท่ี เพ่ือให้สะดวกตอ่ การหยบิ และรวดเร็วในการทำงาน ดงั นัน้ อาชพี บรุ ุษไปรษณียจ์ ึงเปน็ หนึ่งในหลายอาชพี ท่ีอาศยั แนวคดิ เชิงคำนวณมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ได้ งานออกมาอย่างมปี ระสิทธิภาพมากที่สุด” 4. ครูนำบตั รภาพ เรอ่ื ง องค์ประกอบแนวคดิ เชิงคำนวณให้นักเรยี นดูเพื่อให้นักเรียนไดเ้ ห็น ภาพการทำงานขององค์ประกอบแนวคิดเชิงคำนวณ พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบเพอื่ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจมากย่งิ ข้นึ ขัน้ ที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaboration) 5. ครซู ักถามนกั เรียนเพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจว่า“องคป์ ระกอบของแนวคดิ เชงิ คำนวณแบ่ง ออกเป็นกี่องค์ประกอบอะไรบา้ ง”
(แนวตอบ : องค์ประกอบของแนวคดิ เชงิ คำนวณแบ่งออกเปน็ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. แนวคดิ การแยกยอ่ ย 2. แนวคดิ การหารปู แบบ 3. แนวคิดเชงิ นามธรรม 4. แนวคิดการออกแบบขน้ั ตอนวธิ )ี 6. นกั เรียนทำใบงานที่ 1.1.1 เรอื่ ง องค์ประกอบของแนวคดิ เชิงคำนวณโดยเขยี นภาพการทำงาน ขององค์ประกอบแนวคิดเชงิ คำนวณจากสถานการณท์ ่ีกำหนดให้ Note วตั ถปุ ระสงคข์ องกิจกรรมเพ่อื ให้นกั เรยี น - มที ักษะการส่ือสารโดยการแลกเปล่ยี นความคิดเหน็ รว่ มกันภายในชั้นเรยี นผ่าน การคิดวเิ คราะห์ในการแก้ปัญหาท่ถี ูกต้องจากสถานการณ์ที่กำหนดให้ - มที ักษะการสบื ค้นข้อมูล โดยให้นักเรียนแตล่ ะคนสืบคน้ ข้อมูลจากทางอินเทอรเ์ นต็ เพื่อสบื เสาะหา ความรู้เพ่มิ เตมิ ภายใตห้ ัวข้อท่ีไดร้ บั มอบหมาย - มีทกั ษะการคดิ เชงิ คำนวณ โดยใหน้ ักเรียนพิจารณาจากสถานการณ์ท่ีกำหนดให้ และเขียนอธบิ ายออกมาผ่านแนวคดิ ในรูปแบบตา่ ง ๆ ของแนวคดิ เชิงคำนวณไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม ข้นั สรปุ ขัน้ ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluation) 1. ครูประเมนิ ผลงานนักเรียนจากการสังเกตการตอบคำถาม ความสนใจในการเรยี น และ การทำใบงาน 2. ครตู รวจสอบความถูกต้องของผลการทำใบงานที่ 1.1.1 3. นักเรียนและครูร่วมกนั สรปุ เก่ียวกับแนวคดิ เชงิ คำนวณวา่ “แนวคดิ เชิงคำนวณไม่ไดเ้ ป็น กระบวนการทางความคดิ เฉพาะนักวทิ ยาศาสตรห์ รอื นักพัฒนาซอฟตแ์ วร์คอมพวิ เตอร์ แต่สามารถนำมาประยุกตใ์ ช้ในการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ในชวี ิตได้” 7. การวัดและประเมินผล รายการวดั วิธวี ัด เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 7.1 การประเมินก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรียน ประเมนิ ตามสภาพจริง หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 ก่อนเรียน เรอ่ื ง แนวคิดเชิงคำนวณ กับการแก้ปญั หา 7.2 การประเมนิ ระหวา่ งการ - ใบงานท่ี 1.1.1 รอ้ ยละ 60 ผา่ น จดั กจิ กรรม เกณฑ์ 1) องค์ประกอบของ - ตรวจใบงานท่ี 1.1.1 แนวคิดเชิงคำนวณ
2) พฤติกรรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ 2 รายบุคคล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์ 3) คณุ ลกั ษณะอันพงึ - สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2 ประสงค์ ความรับผดิ ชอบ คุณลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์ ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ มนั่ อันพงึ ประสงค์ ในการทำงาน 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สือ่ การเรียนรู้ 1) หนงั สอื เรยี นรายวิชาพ้นื ฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง แนวคิดเชิงคำนวณกับการแก้ปัญหา 2) ใบงานท่ี 1.1.1 เร่อื ง องค์ประกอบของแนวคดิ เชงิ คำนวณ 3) บัตรภาพ เรื่อง องคป์ ระกอบแนวคดิ เชิงคำนวณ 4) เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ 8.2 แหล่งการเรยี นรู้ 1) หอ้ งคอมพวิ เตอร์ 2) อนิ เทอร์เนต็ Note วัตถุประสงค์ของกจิ กรรมเพื่อให้นกั เรียน - มที กั ษะการทำงานรว่ มกันโดยใช้กระบวนการกลุ่ม เพ่ือให้เกดิ การสื่อสารร่วมกนั ระหว่างนกั เรียนภายในกล่มุ เกิดความต้งั ใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม ด้วยความเสยี สละ - มีทักษะการคดิ วิเคราะห์สารอาหารตา่ งๆ ของอาหารและจำแนกสารอาหาร ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ต่อร่างกาย - มีทกั ษะในการแกป้ ัญหาท่เี กิดขน้ึ ขณะทำกจิ กรรมอยา่ งมีเหตผุ ล - ตระหนักถงึ การรบั ประทานอาหารต่างๆ ที่สง่ ผลตอ่ การดำรงชวี ิต
ใบงานที่ ๑.๑.๑ เรือ่ ง องคป์ ระกอบของแนวคดิ เชิงคำนวณ คำช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นเขียนภาพการทำงานตามแนวคดิ ตา่ งๆ ขององคป์ ระกอบแนวคดิ เชงิ คำนวณ เพอ่ื แก้ปัญหาจากสถานการณ์ทกี่ ำหนดให้ สถานการณ์ ให้นกั เรียนเขียนภาพการทำงาน ตามแนวคิดการแยกยอ่ ย (Decomposition) ณ หม่บู ้านแสนสขุ ผู้ใหญ่บ้านกำลังคดิ หาวธิ กี าร ประกาศครอบครัวตวั อยา่ ง ท่ีจะทำให้ชาวบ้านเข้าใจ โดยมีครอบครวั ตัวอย่างจำนวน 2 ครอบครัว ครอบครวั แรก คือ ครอบครัวของนายมง่ิ และนางแย้ม มลี กู สาว 1 คนชือ่ สร้อย สว่ นครอบครัวท่สี อง คือ ครอบครัวของนายขวญั และนางเรยี ม มลี ูกชายช่ือกล้า ให้นกั เรียนเขยี นภาพการทำงาน ตามแนวคิดการหารูปแบบ (Pattern Recognition) สถานการณ์ ครนู กกำลังคดิ หาวธิ กี ารทำสรุปจากการสำรวจงาน อดเิ รกของนักเรยี นจำนวน 100 คน โดยผลการสำรวจ มดี งั นี้ มนี กั เรียนทีช่ อบชมภาพยนตรอ์ ยู่ 28 คน ชอบฟังเพลง 46 คน ชอบเลน่ เกม 6 คน และชอบออก กำลังกาย 20 คน
สถานการณ์ ใหน้ ักเรยี นเขยี นภาพการทำงาน ตามแนวคดิ เชงิ นามธรรม (Abstraction) ครฟู ้าใสมอบหมายให้วีระแยกส่วนภาพวาดโดยตัดส่วน ที่เป็นรายละเอียดตา่ งๆ ออกไป ซ่งึ วรี ะไม่เข้าใจ และ ภาพวาดทีค่ รูฟา้ ใสมอบหมายให้วรี ะคือรปู ภาพ ดังตอ่ ไปนี้ สถานการณ์ ใหน้ ักเรยี นเขยี นภาพการทำงาน ตามแนวคิดการออกแบบขนั้ ตอนวธิ ี เขียวไมเ่ ข้าใจขนั้ ตอนการทอดไข่เจียวที่แดงอธบิ าย โดยข้นั ตอนการทอดไข่เจยี วที่แดงอธิบายมีดงั นี้ (Algorithm Design) ขน้ั แรกตอกไขใ่ ส่ชามและใสเ่ ครอ่ื งปรงุ รส ตีไข่ผสมให้ เข้ากัน ตั้งกระทะเทน้ำมนั นำไขล่ งในกระทะ จากนัน้ กลับดา้ นไขแ่ ละตรวจสอบว่าไข่สุกหรอื ไม่ ถา้ สุกแล้วให้ ตกั ใสจ่ านเสริ ์ฟ แต่ถ้ายังไมส่ กุ ใหท้ อดต่อจนกระทั่งสุก จึงคอ่ ยทำการตักใส่จานเพือ่ เสริ ฟ์
บัตรภาพ เร่ือง องคป์ ระกอบแนวคิดเชงิ คำนวณ ? แนวคิดการแยกยอ่ ย (Decomposition) แนวคิดการหารปู แบบ (Pattern Recognition)
แนวคิดเชงิ นามธรรม (Abstraction) แนวคิดการออกแบบข้นั ตอนวิธี (Algorithm Design)
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๒ จำนวน ๔ ชว่ั โมง เร่อื ง ตวั อย่างการแก้ปญั หาโดยใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณ คาบที่ ๒-๔ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 แนวคิดเชงิ คำนวณกับการแก้ปัญหา กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๒ 1. มาตรฐาน/ตวั ช้ีวดั 1.1 ตวั ชว้ี ดั ว 4.2 ป. 2/1 ออกแบบอลั กอริทมึ ท่ีใช้แนวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปัญหา หรือการทำงานท่ีพบ ในชวี ติ จรงิ 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บอกวิธกี ารแกป้ ัญหาการเขา้ แถวตามลำดับความสงู ของนกั เรยี นใหเ้ ร็วทส่ี ุดได้ (K) 2. บอกวธิ กี ารแกป้ ัญหาการจัดเรยี งเสือ้ ผา้ ให้หางา่ ยท่สี ุดได้ (K) 3. เขยี นวธิ ีการแกป้ ัญหาโดยใช้แนวคดิ เชงิ คำนวณได้ (P) 4. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาโดยใช้แนวคิดเชิงคำนวณ (A) 3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ - แนวคดิ เชิงคำนวณ พจิ ารณาตามหลักสตู รของสถานศกึ ษา - การแกป้ ัญหาโดยใช้แนวคิดเชงิ คำนวณ - ตวั อยา่ งปญั หา เชน่ การเข้าแถวตามลำดบั ความสูง ใหเ้ รว็ ทส่ี ดุ จัดเรียงเสอื้ ผ้าให้หาง่ายทสี่ ุด 4. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด แนวคดิ เชงิ คำนวณเปน็ กระบวนการทม่ี ลี ำดับข้นั ตอนชดั เจนถกู นำมาใชเ้ พ่ือแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวนั อย่างเป็นระบบ ไมว่ า่ จะเป็นปัญหาการเข้าแถวตามลำดบั ความสูงของนักเรียน หรือปญั หาการ จัดเรียงเสอ้ื ผา้ 5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี นิ ัย รับผดิ ชอบ - ทกั ษะการส่ือสาร 2. ใฝ่เรยี นรู้ - ทกั ษะการแลกเปล่ยี นข้อมลู 3. มุง่ มั่นในการทำงาน 2. ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคิดเชงิ คำนวณ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา - ทกั ษะการแกป้ ัญหา
สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - ทกั ษะการสงั เกต 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต - ทักษะการทำงานรว่ มกนั 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี - ทักษะการสบื ค้นข้อมูล 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ วธิ กี ารสอนโดยเนน้ การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน (problem- based learning) ขนั้ นำ ชั่วโมงท่ี ๑ ครูถามคำถามประจำหวั ข้อเพ่ือกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนว่า“แนวคิดเชิงคำนวณมีสว่ น ช่วยการเรยี งลำดับข้อมูลอยา่ งไร” (แนวตอบ : แนวคิดเชิงคำนวณเป็นการคิดอย่างมรี ะบบและเป็นกระบวนการท่ีมลี ำดบั ขั้นตอน ท่ีชัดเจน ทำให้การเรยี งลำดับข้อมูลมีความแม่นยำ ถกู ต้อง) ขน้ั สอน ขั้นที่ 1 กำหนดปญั หา 1. ครถู ามคำถามทา้ ทายความคดิ ของนักเรยี นวา่ “นักเรยี นสามารถเขยี นวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้ แนวคดิ เชงิ คำนวณไดห้ รือไม่” (แนวตอบ : นักเรยี นแสดงความคิดเหน็ โดยตอบตามประสบการณข์ องตนเอง) ข้ันที่ 2 ทำความเขา้ ใจปัญหา 2. นักเรยี นและครูรว่ มกันทบทวนความรู้เดิมท่ีไดเ้ รียนในชัว่ โมงทีแ่ ลว้ เกยี่ วกบั การแก้ปัญหาโดยใช้ องคป์ ระกอบของแนวคิดเชิงคำนวณจากหนงั สอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เรื่องแนวคิดเชิงคำนวณกับการแกป้ ัญหา ข้ันที่ 3 ดำเนนิ การศกึ ษาคน้ คว้า 3. นกั เรียนศกึ ษาตัวอยา่ งปญั หาการเข้าแถวตามลำดบั ความสูงของนักเรียนใหเ้ ร็วทส่ี ดุ จากหนงั สือ เรียน 4. นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน หรอื ตามความเหมาะสม จากน้ันให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม แกป้ ัญหาโดยใชอ้ งค์ประกอบของแนวคดิ เชงิ คำนวณทง้ั 4 ขอ้ รว่ มกัน 5. ครใู หน้ กั เรียนศึกษาความรู้เสริมจากเนอ้ื หาเพ่ือขยายความรูข้ องผู้เรยี น (Com Sci Focus) เร่อื ง การเรียงลำดับแบบเลือก
6. ครอู ธบิ ายเพิ่มเติมเกย่ี วกบั การเรียงลำดับแบบเลอื กว่า “การเรียงลำดบั แบบเลอื ก เป็นขั้นตอน การเรยี งลำดับอย่างงา่ ย โดยใชว้ ธิ กี ารเปรียบเทยี บ ซ่งึ จะพบเหน็ โดยมากในวิชาคณิตศาสตร์ในเรื่อง การ เรียงลำดบั จากมากไปหาน้อยหรือจากน้อยไปหามาก เปน็ ต้น” ชว่ั โมงที่ ๒ ข้นั สอน ขน้ั ที่ 3 ดำเนนิ การศกึ ษาค้นคว้า 7. นักเรยี นศกึ ษาตวั อยา่ งปญั หาการจัดเรียงเส้ือผ้าให้หาง่ายท่ีสุดโดยใช้องคป์ ระกอบของแนวคิด เชิงคำนวณตามลำดับการวเิ คราะหท์ ัง้ 4 ข้อ 8. ครสู มุ่ นักเรยี น 2-3 คน เพื่อสรุปการจัดเรียงเสือ้ ผา้ ใหห้ างา่ ยทีส่ ดุ ตามขั้นตอนการวิเคราะห์ โดยใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณ ชว่ั โมงที่ ๓ ขนั้ ท่ี 4 สงั เคราะห์ความรู้ 9. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนซักถามขอ้ สงสัย และครูให้ความรเู้ พ่ิมเตมิ ในส่วนนนั้ หรือให้นกั เรียน ศึกษาความรเู้ พิม่ เตมิ จากอินเทอรเ์ นต็ ท่ีเครื่องคอมพวิ เตอร์ของตนเอง 10. นักเรียนทำกิจกรรมทสี่ อดคล้องกบั เนื้อหา โดยการฝึกปฏบิ ัตเิ พอื่ พฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะ การเรียนรู้ (Com Sci Activity) โดยใหน้ กั เรยี นอธิบายการนำแนวคดิ เชงิ คำนวณมาใช้ แกป้ ญั หาของสถานการณ์ตามทีโ่ จทยก์ ำหนด ขน้ั ที่ 5 สรปุ และประเมินคา่ ของคำตอบ 11. นกั เรียนและครูรว่ มกันสรปุ เน้ือหาเพ่ือใหผ้ ู้เรยี นไดท้ บทวนสาระสำคญั ประจำหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 เร่อื ง แนวคดิ เชิงคำนวณกับการแกป้ ัญหา ข้ันท่ี 6 นำเสนอและประเมินผลงาน 12. ครูประเมินผลนกั เรียนจากการสงั เกตการตอบคำถาม สำรวจพฤติกรรมการทำงาน และ สมดุ ประจำตวั ของนกั เรียน Note วัตถปุ ระสงค์ของกิจกรรมเพ่อื ให้นักเรียน - มีทกั ษะการทำงานร่วมกนั โดยใช้กระบวนการกลมุ่ ในการทำกิจกรรมเพื่อเปิดโอกาสให้นกั เรยี น ได้สื่อสารและแลกเปลย่ี นข้อมูลรว่ มกันในการวิเคราะหก์ ารแก้ปัญหาโดยใชอ้ งคป์ ระกอบของแนวคิดเชงิ คำนวณ - มีทักษะการสังเกตจากการศึกษาตวั อย่างปัญหาการเขา้ แถวตามลำดบั ความสงู ของนักเรียนให้ เรว็ ท่สี ดุ และตวั อยา่ งปัญหาการจดั เรยี งเส้ือผา้ ใหห้ างา่ ยท่ีสดุ โดยใช้แนวคดิ เชิงคำนวณจากหนังสอื เรียน - มที ักษะการแก้ปญั หาจากสถานการณ์ท่ีกำหนดใหผ้ ่านการคิดเชิงคำนวณ - มีทักษะการสืบค้นข้อมูล โดยใหน้ กั เรยี นแต่ละคนสืบคน้ ข้อมูลจากทางอนิ เทอร์เนต็ เพื่อสบื เสาะหาความรเู้ พมิ่ เตมิ ภายใต้หวั ขอ้ ท่ีได้รบั มอบหมาย
ขนั้ สรุป 1. นกั เรียนตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเอง โดยพิจารณาข้อความวา่ ถูกหรือผดิ หากนกั เรียน พิจารณาไมถ่ ูกต้องใหน้ ักเรียนกลบั ไปทบทวนเน้ือหาตามหวั ขอ้ ท่ีกำหนดให้ 2. นกั เรยี นทำแบบฝึกหดั ประจำหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 โดยใหน้ กั เรยี นตอบคำถามใหถ้ ูกต้องและ บนั ทกึ ลงในสมดุ ประจำตัว พร้อมทำชน้ิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรอื่ ง การแกป้ ญั หาโดยใชแ้ นวคิดเชงิ คำนวณ เพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียนและนำมาส่งในชั่วโมงถัดไป 3. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรือ่ ง แนวคดิ เชงิ คำนวณกบั การ แกป้ ัญหา 7. การวดั และประเมนิ ผล รายการวดั วธิ วี ดั เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ 7.1 การประเมินระหว่างการ จัดกจิ กรรม 1) พฤติกรรมการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดบั คุณภาพ 2 รายบคุ คล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์ 2) พฤติกรรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ระดับคุณภาพ 2 กลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ 3) คุณลักษณะ - สงั เกตความมีวนิ ัย - แบบประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 อนั พึงประสงค์ ความรบั ผิดชอบ คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์ ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มั่น อนั พึงประสงค์ ในการทำงาน 7.2 การประเมนิ หลังเรียน 1) แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลังเรียน ประเมินตามสภาพจรงิ เร่ือง แนวคดิ เชิง หลังเรียน คำนวณกบั การแกป้ ัญหา 2) การประเมินชิ้นงาน - ตรวจชนิ้ งาน/ภาระงาน - แบบประเมินชิ้นงาน ระดับคุณภาพ 2 /ภาระงาน (รวบยอด) (รวบยอด) /ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์ เรือ่ ง การแก้ปญั หา โดยใช้แนวคดิ เชงิ คำนวณ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
8.1 ส่ือการเรียนรู้ 1) หนงั สอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 เร่ือง แนวคิดเชิงคำนวณก้ับการแก้ปัญหา 2) เคร่ืองคอมพิวเตอร์ 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หอ้ งคอมพิวเตอร์ 2) อนิ เทอร์เนต็ ช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรือ่ ง การแก้ปญั หาโดยใช้แนวคิดเชิงคำนวณ คำชีแ้ จง : ให้นกั เรยี นบอกวิธีการแกป้ ัญหาจากสถานการณ์ท่กี ำหนดให้ โดยใชแ้ นวคิดเชิงคำนวณ สถานการณท์ ่ี 1: คณุ ครฉู วีวรรณสงั่ ให้นายแดงจดั แถวเพื่อนรว่ มชน้ั ตามลำดับความสูง ปรากฏว่านายแดง จัดแถวไดช้ ้ามากทำให้เสียเวลาในการเรียน นักเรยี นมีวิธกี ารแกป้ ัญหาให้นายแดงอย่างไร วิธกี ารแก้ปญั หาโดยใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ....................................................................................................................................................................... ....... ............................................................................................................................ .................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................. ................. ....................................................................................
สถานการณท์ ่ี 2: ฟา้ ใสต้องการหาชดุ กระโปรงสีชมพูในตู้เส้ือผา้ แตป่ รากฏว่าฟ้าใสหาไม่เจอ จงึ ตอ้ งร้ือ เสื้อผา้ ออกมากองไว้ข้างนอกต้เู สอ้ื ผ้าทงั้ หมด นักเรยี นมวี ิธีการจดั เรยี งเสือ้ ผ้าใหฟ้ ้าใส อยา่ งไร เพอ่ื ใหฟ้ า้ ใสหาเสือ้ ผา้ ไดง้ า่ ยที่สดุ วธิ กี ารแกป้ ัญหาโดยใชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ....................................................................................................................................................................... ....... ............................................................................................................................ .................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................. ................. .................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................... ........................... ........................................................................................................ ...................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................................................... ..................................... ...................................................... ชอื่ ..........................................................................................................เลขที่.................ชน้ั ............................
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๓ จำนวน ๑๘ ชวั่ โมง เร่อื ง การออกแบบขัน้ ตอนการทำงานของโปรแกรม คาบท่ี ๕-๖ หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี ๒ การออกแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ 1. มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด 1.1 ตวั ชวี้ ดั ว 4.2 ป. 2/๒ ออกแบบและเขยี นโปรแกรมทใี่ ชต้ รรกะและฟงั ก์ช่นั ในการแกป้ ัญหา 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมายของการออกแบบข้ันตอนการทำงานแต่ละแบบได้ถูกต้อง (K) 2. ออกแบบขัน้ ตอนการทำงานโดยใช้ภาษาธรรมชาตไิ ดถ้ กู ต้อง (P) 3. ออกแบบขนั้ ตอนการทำงานโดยใช้รหสั จำลองไดถ้ ูกต้อง (P) 4. ออกแบบขั้นตอนการทำงานโดยใช้ผงั งานไดถ้ ูกต้อง (P) ๕. ใฝ่เรยี นรู้และนำไปใช้ชวี ิตประจำวันได้ 3. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียนและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี ินัย รบั ผดิ ชอบ - ทกั ษะการส่ือสาร 2. ใฝเ่ รยี นรู้ - ทกั ษะการแลกเปลี่ยนข้อมูล 3. มุ่งมนั่ ในการทำงาน 2. ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคดิ เชงิ คำนวณ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา - ทักษะการแกป้ ญั หา - ทักษะการสังเกต 4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ - ทักษะการทำงานร่วมกัน 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี - ทักษะการสบื ค้นข้อมลู ๔. กิจกรรมการเรยี นรู้ วธิ ีการสอนโดยเนน้ การจัดการเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
๕. การวดั และประเมนิ ผล ๑. ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน ๒. ตรวจใบงาน ๓. ประเมนิ ผลการนำเสนอผลงาน ๔. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล ๕. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุม่ ๖. สงั เกตคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ๖. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ ๖.1 สือ่ การเรียนรู้ 1) หนงั สือเรียนรายวิชาพนื้ ฐาน เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.2 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๒ 2) ใบงาน เรื่อง การออกแบบข้ันตอนการทำงานโดยใช้ภาษาธรรมชาติ ๓) ใบงาน เรื่อง การออกแบบข้นั ตอนการทำงานโดยใชภ้ าษารหัสจำลอง ๔) ใบงาน เรื่อง การออกแบบขน้ั ตอนการทำงานโดยใชผ้ ังงาน ๖.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หอ้ งคอมพวิ เตอร์ 2) อินเทอรเ์ น็ต
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ ๔ จำนวน ๑๘ ชวั่ โมง เรอ่ื ง ตัวแปรภาษาไพทอน คาบท่ี ๗-๘ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๒ การออกแบบข้นั ตอนการทำงานของโปรแกรม กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๒ 1. มาตรฐาน/ตัวช้ีวัด 1.1 ตัวชี้วดั ว 4.2 ม.2/2 ออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ใี ชต้ รรกะและฟงั ก์ชันในการแก้ปัญหา 2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมายของตวั แปรได้ถูกต้อง (K) 2. สามารถตง้ั ช่อื ตัวแปรตามกฎการต้งั ชือ่ ได้ถูกต้อง (P) 3. เห็นถงึ ประโยชน์และความสำคญั ของการเขยี นโปรแกรมโดยใช้ภาษาไพทอน (A) 3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรียนรทู้ ้องถน่ิ - ตวั ดำเนนิ การบลู นี พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศกึ ษา 4. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด การเขยี นโปรแกรมในภาษาไพทอนนน้ั จะตอ้ งใชต้ วั แปรมาช่วยในการเกบ็ ข้อมูลต่างๆ โดยตัวแปร เปรียบเสมอื นภาชนะทีใ่ ชเ้ ก็บขอ้ มลู และขอ้ มูลเหลา่ นั้นสามารถเปลย่ี นแปลงได้ตามความต้องการของผู้เขยี น 5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี นและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการคดิ 1. มวี นิ ยั รับผิดชอบ - ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ 2. ใฝ่เรยี นรู้ 2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3. มงุ่ ม่ันในการทำงาน - ทกั ษะการสังเกต 3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี - ทกั ษะการสบื ค้นข้อมูล 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ วธิ กี ารสอนโดยเน้นรปู แบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model) ชวั่ โมงท่ี ๑ ขนั้ นขำน้ั ท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement)
1. ครูทบทวนความรู้เดิมจากช่ัวโมงที่แล้วเกี่ยวกบั การออกแบบขน้ั ตอนการทำงานของโปรแกรม 2. ครูถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า“จากการออกแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมท่ี ได้เรยี นมาแลว้ นักเรยี นคิดว่าสามารถนำไปเขยี นในโปรแกรมอะไรบา้ งทนี่ กั เรยี นรจู้ ัก” (แนวตอบ : นักเรียนตอบตามประสบการณ์ของตนเอง โดยคำตอบขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น โปรแกรม Scratch โปรแกรม Python เปน็ ต้น) 3. ครูวาดรูปคอมพิวเตอร์ลงบนกระดานหน้าชั้นเรียน และถามคำถามประจำหวั ขอ้ กับนักเรยี นวา่ “ถ้าเปรียบคอมพิวเตอร์เป็นร่างกายมนุษย์ จะเปรียบหน่วยประมวลผลกลางกับอวัยวะใด ” (แนวตอบ : นกั เรียนตอบตามประสบการณข์ องตนเอง โดยคำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง คือ สมอง) 4. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียนว่า“การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในภาษาไพทอน เหมาะสำหรบั ผเู้ ร่ิมต้นเขยี นโปรแกรมไปจนถงึ การประยุกตใ์ ช้งานในระดับสงู เนือ่ งจากเปน็ ภาษาท่ีมีโครงสร้าง และไวยากรณ์ค่อนข้างง่าย ไม่ซับซอ้ น ทำใหง้ ่ายตอ่ การทำความเข้าใจ ดังนัน้ จึงต้องใช้หนว่ ยประมวลผลกลาง ในการคิดคำนวณคอ่ นขา้ งมากกว่าจะเขยี นโปรแกรมได้สำเร็จ” ขน้ั สอน ขั้นที่ 2 สำรวจคน้ หา (Exploration) 1. ครูถามนกั เรยี นว่า“ถ้านักเรยี นต้องการเขยี นโปรแกรมเพื่อคำนวณหาค่าข้อมูลต่าง ๆ นั้น นักเรียนรู้หรอื ไม่ว่าข้อมูลที่เรานำมาใช้ในการคำนวณ จะถูกเก็บไว้ที่ส่วนใดในโปรแกรม” (แนวตอบ : ข้อมูลที่ นำมาใช้ในโปรแกรมนน้ั จะถกู เก็บไวใ้ นตัวแปร) ๒. นักเรียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวแปรในภาษาไพทอนและการตัง้ ชื่อตัวแปรในภาษาไพทอนจาก หนงั สอื เรียนรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.2 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง การ ออกแบบขั้นตอนการทำงาน และการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Python หรือสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตที่เครื่อง คอมพวิ เตอรข์ องตนเอง ขัน้ ท่ี 3 อธิบายความรู้ (Explanation) 3. ครูอธิบายถึงการตั้งชื่อตัวแปรที่ดีในโปรแกรมภาษาไพทอน ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ Camel Case เป็นรูปแบบการตั้งชื่อที่มีการใช้ภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่สลับกันไป เช่น calculateGrade , computerScore เป็นต้น และแบบ Snake Case เป็นรูปแบบการตั้งชื่อตัวแปรที่แยกคำด้วยเครื่องหมายขีด เส้นใต้ (Underscore) “_” เชน่ calculate_grade, computer_score เปน็ ตน้ ช่วั โมงท่ี ๒ ขัน้ สอน ข้นั ที่ 3 อธิบายความรู้ (Explanation) 4. ครูอธิบายถึงวธิ กี ารสร้างและกำหนดค่าให้กบั ตัวแปรว่า “โปรแกรมภาษาไพทอนมีการสรา้ ง และกำหนดค่าให้กับตัวแปรที่แตกต่างจากโปรแกรมอื่น เน่ืองจากภาษาไพทอนเป็นภาษาประเภท Dynamically-typed Language หมายถึง ภาษาทมี่ กี ารสร้างตัวแปร โดยไมต่ ้องมีการกำหนดชนดิ ของตวั แปร ชนิดของตัวแปรจะถูกกำหนดดว้ ยข้อมูลท่ีเกบ็ ไว้ใน ตัวแปรโดยอตั โนมตั ิ ซึ่งจะต่างจากโปรแกรมอนื่ ที่จะตอ้ ง
กำหนดชนิดของตัวแปรก่อน จากน้ันจงึ จะทำการกำหนดค่าให้ตัวแปรได้ สำหรับรูปแบบการสร้างและ กำหนดคา่ ตวั แปร” ดังนี้ ชอื่ ตวั แปร = คา่ ท่ีเกบ็ ไวใ้ นตัวแปร หรอื นพิ จน์ หรือตัวแปรอ่นื ๆ 5. ครอู ธบิ ายถงึ ชนิดข้อมลู ของตัวแปร ซึง่ ประกอบดว้ ยข้อมูลทเี่ ป็นตวั เลขจำนวนเตม็ ตัวเลข จำนวนจรงิ และข้อมลู ทีเ่ ปน็ อักขระหรือข้อความท่ีมักจะถกู ใชง้ านบอ่ ยจากหนังสอื เรียน 6. ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั ชนิดขอ้ มลู ของตัวแปรว่า“ชนดิ ของข้อมลู พืน้ ฐานในภาษาไพทอน แบ่งออกเปน็ 5 ชนดิ ใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ number, string, list, tuple และ dictionary ซ่งึ เป็นตวั แปรท่ัว ๆ ไป แต่ ภาษาไพทอนยอมใหม้ ีตัวแปร list, tuple, dictionary ทผ่ี สมกันไดเ้ รียกว่าชนดิ complex” ขน้ั ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaboration) 7. ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นซักถามขอ้ สงสัย และครใู ห้ความร้เู พิม่ เตมิ ในส่วนน้ัน 8. ครูให้นกั เรียนทำใบงานที่ 2.2.1 เรอ่ื ง ตัวแปรในภาษาไพทอน โดยใหน้ ักเรียนตอบคำถาม ที่กำหนดให้โดยละเอียด Note วตั ถุประสงคข์ องกจิ กรรมเพื่อใหน้ กั เรยี น - มที กั ษะการสืบคน้ ข้อมูล โดยใหน้ กั เรียนแตล่ ะคนสบื ค้นข้อมูลจากอินเทอร์เนต็ เพื่อสืบเสาะหาความรตู้ ามหัวข้อที่ไดร้ บั มอบหมาย - มีทกั ษะการสงั เกต โดยให้นักเรยี นสังเกตเกีย่ วกบั การต้ังช่ือตวั แปรจากหนังสือเรยี น เพ่ือนำไปปรับใชใ้ นการเรียนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม - มที กั ษะการคดิ วิเคราะห์ โดยให้นกั เรยี นพจิ ารณาเน้ือหาจากการสืบค้นหรือศึกษา ข้อมลู จากแหล่งข้อมลู ตา่ ง ๆ เช่น หนังสือเรยี น อินเทอรเ์ น็ต เป็นตน้ ขัน้ สรุป ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบผล (Evaluation) 1. ครูประเมินผลนกั เรยี นจากการสงั เกตการตอบคำถาม และการทำใบงาน 2. ครตู รวจสอบความถูกต้องของผลการทำใบงานที่ 2.2.1 3. นักเรยี นและครูร่วมกันสรปุ เกี่ยวกับการใช้งานตัวแปรในโปรแกรมภาษาไพทอนว่า“ตวั แปรคือ สัญลักษณ์ในลักษณะคำภาษาองั กฤษที่ตง้ั ขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นการเก็บข้อมลู ต่าง ๆ ตามความต้องการของผ้เู ขยี น โดย ตง้ั ช่ือตัวแปรตามกฎของโปรแกรมภาษาไพทอน เชน่ ชือ่ ตวั แปรจะต้องประกอบด้วยตัวอักษร ตวั เลข หรือ เคร่อื งหมาย “_” ชอื่ ตวั แปรหา้ มมีอักขระพิเศษ เป็นตน้ ”
7. การวดั และประเมินผล วธิ ีวดั เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมิน รายการวัด - ตรวจใบงานที่ 2.2.1 - ใบงานที่ 2.2.1 รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 7.1 ประเมนิ ระหวา่ งการจัด กจิ กรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์ การเรียนรู้ 1) ตวั แปรในภาษาไพทอน - สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมิน ระดับคุณภาพ 2 2) พฤติกรรมการทำงาน ความรับผิดชอบ คณุ ลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์ ใฝเ่ รียนรู้ และม่งุ มั่น อนั พึงประสงค์ รายบคุ คล ในการทำงาน 3) คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 8. ส่อื /แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สือ่ การเรยี นรู้ 1) หนังสือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๒ เรอ่ื ง การออกแบบข้นั ตอนการทำงาน และการเขยี นโปรแกรมดว้ ยภาษา Python 2) ใบงานท่ี 2.2.1 เรือ่ ง ตวั แปรในภาษาไพทอน 3) เครอื่ งคอมพิวเตอร์ 8.2 แหลง่ การเรียนรู้ 1) หอ้ งคอมพิวเตอร์ 2) อนิ เทอรเ์ นต็
ใบงานที่ ๒.๒.๑ เร่อื ง ตวั แปรในภาษาไพทอน คำชแี้ จง : ใหน้ ักเรียนตอบคำถามท่กี ำหนดใหโ้ ดยละเอียด 1. ให้นกั เรยี นต้งั ช่ือตวั แปรเพ่ือใชเ้ ก็บขอ้ มูลตอ่ ไปนีล้ งในช่องตารางดา้ นขวา ให้ถูกตอ้ งตามกฎการตัง้ ช่ือตวั แปร ขอ้ มูล การตั้งช่อื ตัวแปร ชื่อนักเรยี น คะแนนสอบวิชาภาษาไทย ช่ือโรงเรยี น นำ้ หนกั ของนักเรียน เกรดวิชาภาษาองั กฤษ 2. ให้นกั เรยี นพิจารณาการตัง้ ช่ือตัวแปรต่อไปนวี้ า่ ถกู หรือผดิ จากน้นั ใหต้ อบลงในชอ่ งตารางดา้ นขวา การต้งั ช่ือตัวแปร การพิจารณา 1name score_computer student name price# surname name+lastname str midterm_thai_score final-social-score mySalary
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๕ เร่อื ง รหสั ควบคุมรหัสรปู แบบขอ้ มลู และตัวดำเนนิ การในภาษาไพทอน หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี ๒ การออกแบบขนั้ ตอนการทำงานของโปรแกรม จำนวน ๑๘ ชวั่ โมง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๒ คาบท่ี ๗-๘ 1. มาตรฐาน/ตัวช้ีวัด 1.1 ตวั ช้ีวัด ว 4.2 ป. 2/๒ ออกแบบและเขยี นโปรแกรมทใ่ี ช้ตรรกะและฟังกช์ ั่นในการแกป้ ญั หา 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธิบายความหมายของรหัสควบคมุ และรหสั รูปแบบข้อมลู ได้ถูกตอ้ ง (K) 2. อธิบายหนา้ ท่กี ารทำงานของตวั ดำเนินการแต่ละประเภทได้ถูกต้อง (K) 3. เขียนโปรแกรมโดยใช้รหัสควบคมุ และรหสั รูปแบบข้อมูลได้ถูกต้อง (P) 4. ใช้ตวั ดำเนนิ การประเภทต่าง ๆ มาชว่ ยในการคำนวณได้ (P) ๕. เหน็ ถึงประโยชนแ์ ละความสำคญั ของการเขยี นโปรแกรมโดยใช้ภาษาไพทอน (A) 3. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวนิ ัย รบั ผิดชอบ - ทักษะการสื่อสาร 2. ใฝเ่ รยี นรู้ - ทกั ษะการแลกเปลีย่ นข้อมูล 3. มุง่ ม่ันในการทำงาน 2. ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคิดเชงิ คำนวณ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา - ทกั ษะการแก้ปญั หา - ทักษะการสังเกต 4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต - ทักษะการทำงานรว่ มกัน 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี - ทักษะการสบื ค้นขอ้ มลู ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ วธิ ีการสอนโดยเนน้ การจัดการเรียนรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
๕. การวดั และประเมินผล ๑. ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ๒. ตรวจใบงาน ๓. ประเมนิ ผลการนำเสนอผลงาน ๔. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล ๕. สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่ ๖. สงั เกตคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๖. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้ ๖.1 สือ่ การเรยี นรู้ 1) หนงั สือเรยี นรายวชิ าพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ 2) ใบงาน เรื่อง รหัสควบคุมและรหัสรปู แบบข้อมูล ๓) ใบงาน เร่ือง ตัวดำเนินการ ๖.2 แหลง่ การเรียนรู้ 1) ห้องคอมพวิ เตอร์ 2) อินเทอรเ์ น็ต
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ ๖ จำนวน ๑๘ ชวั่ โมง เร่ือง การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน คาบท่ี ๙-๑๐ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ๒ การออกแบบข้นั ตอนการทำงานของโปรแกรม กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ 1. มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั 1.1 ตวั ชวี้ ดั ว 4.2 ป. 2/๒ ออกแบบและเขียนโปรแกรมทใ่ี ชต้ รรกะและฟงั ก์ช่ันในการแกป้ ัญหา 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธบิ ายข้ันตอนในการเขียนโปรแกรมได้ถูกต้อง (K) 2. เขยี นโปรแกรมโดยใช้ภาษาไพทอนไดถ้ ูกตอ้ ง (P) 3. เหน็ ถงึ ผลประโยชนแ์ ละความสำคัญของการเขยี นโปรแกรมโดยใชภ้ าษาไพทอน (A) สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวนิ ัย รับผดิ ชอบ - ทกั ษะการสื่อสาร 2. ใฝเ่ รยี นรู้ - ทกั ษะการแลกเปลีย่ นข้อมลู 3. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน 2. ความสามารถในการคิด - ทกั ษะการคิดเชิงคำนวณ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา - ทกั ษะการแก้ปัญหา - ทกั ษะการสงั เกต 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต - ทักษะการทำงานรว่ มกนั 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี - ทักษะการสบื คน้ ข้อมลู ๔. กิจกรรมการเรยี นรู้ วิธีการสอนโดยเน้นการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ๕. การวัดและประเมินผล ๑. ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น ๒. ตรวจใบงาน ๓. ประเมนิ ผลการนำเสนอผลงาน ๔. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล ๕. สงั เกตคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
๖. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ ๖.1 สื่อการเรยี นรู้ 1) หนังสอื เรยี นรายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๒ 2) ใบงาน เรื่อง การเขียนโปรแกรมดว้ ยภาษาไพทอน ๖.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หอ้ งคอมพวิ เตอร์ 2) อินเทอร์เนต็
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๗ จำนวน ๑๘ ชว่ั โมง เรอ่ื ง การใช้งานฟงั ก์ชนั่ ในโปรแกรมไพทอน คาบท่ี ๑๑-๑๔ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ การออกแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒ 1. มาตรฐาน/ตัวชี้วดั 1.1 ตัวชวี้ ดั ว 4.2 ป. 2/๒ ออกแบบและเขยี นโปรแกรมที่ใช้ตรรกะและฟังกช์ น่ั ในการแก้ปญั หา 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายการทำงานของฟงั ก์ชน่ั คำสงั่ แสดงผลทางหน้าจอไดถ้ ูกต้อง (K) 2. อธิบายการทำงานของฟงั ก์ชน่ั คำสั่งรบั ขอ้ มลู ทางแปน้ พิมพ์ได้ถูกต้อง (K) 3. เขยี นโปรแกรมโดยใช้ฟงั ก์ชั่นคำสั่งแสดงผลทางหนา้ จอได้ถูกต้อง (P) ๔. เขียนโปรแกรมโดยใชฟ้ ังก์ช่นั คำสัง่ รบั ขอ้ มลู ทางแปน้ พิมพ์ได้ถกู ต้อง (P) ๕. เห็นถงึ ผลประโยชนแ์ ละความสำคัญของการเขยี นโปรแกรมโดยใชภ้ าษาไพทอน (A) สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวินยั รบั ผิดชอบ - ทักษะการสื่อสาร 2. ใฝเ่ รยี นรู้ - ทกั ษะการแลกเปล่ยี นข้อมลู 3. มุง่ มนั่ ในการทำงาน 2. ความสามารถในการคิด - ทักษะการคดิ เชงิ คำนวณ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา - ทักษะการแกป้ ัญหา - ทกั ษะการสังเกต 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต - ทกั ษะการทำงานร่วมกัน 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี - ทักษะการสบื คน้ ข้อมูล ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการสอนโดยเน้นการจดั การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ๕. การวัดและประเมนิ ผล ๑. ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น ๒. ตรวจใบงาน ๓. สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล ๔. สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
๕. สงั เกตคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๖. สอื่ /แหลง่ การเรยี นรู้ ๖.1 ส่ือการเรยี นรู้ 1) หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ 2) ใบงาน เร่ือง การใช้งานฟังกช์ ่ันคำส่งั แสดงผลทางหน้าจอ ๓) ใบงาน เร่ือง การชร้ หสั รปู แบบข้อมูลรว่ มกับฟังก์ช่ัน print( ) ๔) ใบงาน เร่ือง การใช้งานฟังกช์ ่ันคำส่ังรับข้อมลู ทางแปน้ พิมพ์ ๖.2 แหล่งการเรยี นรู้ 1) ห้องคอมพวิ เตอร์ 2) อนิ เทอรเ์ น็ต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254