145 บทท่ี 8 ความนา จะเปน สาระสําคญั 1. การนับจํานวนผลลัพธทัง้ หมดทีเ่ กิดจากการกระทํา หรือการทดลองใดๆ ตองอาศัยกฎเกณฑการ นบั จงึ จะทาํ ใหง า ยและสะดวก รวดเรว็ 2. ความนาจะเปน คือ จํานวนที่แสดงใหทราบวาเหตุการณใดเหตุการณหนึ่ง มีโอกาสเกิดขึน้ มาก หรือนอยเพียงใด สิ่งที่จําเปนตองทราบทําความเขาใจ คือ - การทดลองสุม (Random Experiment) - แซมเปลสเปซ (Sample Space) - เหตุการณ (Event) 3. ความนาจะเปนของเหตุการณใดๆ เปนการเปรียบเทียบจํานวนสมาชิกของเหตุการณนัน้ ๆ กับ จํานวนสมาชิกของแซมเปลสเปซ ซึ่งเปนคาที่จะชวยในการพยากรณหรือการตัดสินใจได ผลการเรียนรทู ่ีคาดหวงั 1. หาจํานวนผลลัพธทีอ่ าจเกิดขึ้นของเหตุการณ โดยใชกฎเกณฑเบือ้ งตนเกี่ยวกับการนับและ แผนภาพตนไมอยา งงา ยได 2. อธิบายการทดลองสุม เหตุการณ ความนาจะเปนของเหตุการณและหาความนาจะเปนของ เหตกุ ารณทกี่ ําหนดใหได 3. นําความรูเกี่ยวกับความนาจะเปนไปใชในการคาดการณและชวยในการตัดสินใจ ขอบขา ยเน้ือหา เรื่องท่ี 1 กฎเบอ้ื งตนเก่ียวกับการนับและแผนภาพตน ไม เรื่องที่ 2 ความนาจะเปนของเหตุการณ เรื่องที่ 3 การนําความนาจะเปนไปใช
146 1. กฎเบื้องตน เกีย่ วกบั การนับและแผนภาพตน ไม ในชีวิตประจําวันของคนเรามีการกระทําหรือการทดลองหลายอยางที่สามารถมีวิธีการที่จะเกิด ผลลัพธไ ดหลายวธิ ี การหาจาํ นวนรปู แบบหรือจาํ นวนวธิ ที ี่อาจเกดิ ข้ึนไดจ ากการนบั ทั้งหมด โดยมีกฎ เบื้องตนเกี่ยวกับการนับจากการทํางานดังนี้ 1. 1. การทํางานทมี่ ี 2 อยา งหรือสองขนั้ ตอน ถางานอยางแรกมวี ธิ ที ําได n1 วิธี และในแตล ะวธิ ีทํางานอยา งแรกมีวธิ ที ี่จะทํางานอยางที่สองได n2 วธิ ี แลวจาํ นวนวธิ ที ี่ทาํ งานทงั้ สองอยางเทา กับ n1 n2 วธิ ี สามารถเขียนแผนผังการทํางานไดดังนี้ งานอยางที่ 1 งานอยางที่ 2 นบั ได n1 วธิ ี × n2 วธิ ี จํานวนวิธีทํางานทั้งสองอยาง = n1 × n2 วธิ ี เพื่อความเขาใจใหงายขึ้นสามารถแจกแจงผลการนับแตล ะวิธีไดโ ดยใช แผนภาพตน ไม ดงั ตวั อยา ง ตอ ไปนี้ ตวั อยางที่ 1 โยนเหรยี ญ 2 อันพรอ มกัน 1 คร้ัง เกดิ ผลลพั ธไ ดท้งั หมดกีว่ ธิ ี วธิ ีทาํ โยนเหรยี ญ 2 อันพรอมกนั 1 ครั้ง เปนการทํางาน 2 อยา ง เหรียญท่ี 1 เหรียญที่ 2 จัดได 2 × 2 งานอยางแรก การเกดิ ของเหรียญท่ี 1 เกดิ ได 2 วิธี คืออาจเกิดหัว (H ) หรอื อาจเกิดกอ ย (T ) กไ็ ด และในแตละวธิ ีท่เี กิดเหรยี ญท่ี 1 ยงั มีวิธเี กดิ เหรยี ญที่ 2 ไดอ ีก งานอยางที่ 2 การเกิดของเหรียญท่ี 2 เกดิ ได 2 วธิ ี คืออาจเกิดหวั (H) หรอื อาจเกดิ กอ ย (T ) ดงั น้นั การโยนเหรยี ญ 2 อนั พรอ มกัน 1 ครั้ง เกดิ ได = 2 ×2 = 4 วิธี
147 การโยนเหรยี ญ 2 อันพรอมกัน เปนการทํางานที่มี 2 อยา งหรอื 2 ข้ันตอน สามารถแสดง เหตุการณท ่ีเกดิ โดยใชแผนภาพตนไมไ ดด ังน้ี เหรยี ญท่ี 1 เหรียญท่ี 2 เหตุการณท ี่เกิดข้ึน นนั่ คือ โยนเหรยี ญ 2 เหรยี ญพรอมกนั 1 คร้ัง เกิดได 4 วธิ ี คือ HH, HT, TH, TT ตอบ ตวั อยา งที 2 ชายคนหน่ึงมเี ส้อื เชิ้ตตา งกนั 5 ตวั และกางเกงขายาวตา งกนั 3 ตวั วธิ ที ํา เราสามารถใชแ ผนภาพตนไมช ว ยในการหาวธิ ีทง้ั หมดท่ีเปน ไปไดแ สดงไดดังแผนภาพ ขา งลา งน้ี จากแผนภาพตน ไมจ ะพบวา การแตง กายของชายคนนท้ี ่ีแตกตา งกนั นบั ไดท งั้ หมด 15 วธิ ี
148 ตัวอยางท่ี 3 โยนลกู เตา 2 ลูกพรอ มกนั 1 ครง้ั เกดิ ไดทั้งหมดกวี่ ธิ ี วธิ ีทาํ โยนลูกเตา 2 ลกู พรอมกัน 1 ครั้ง เปนการทํางาน 2 อยา ง ลกู ที่ 1 ลูกท่ี 2 จัดได 6 × 6 งานอยางแรก การเกดิ ของลกู เตาลกู ที่ 1 ซ่ึงมี 6 หนา เกดิ ได 6 วธิ ี คอื อาจหงายหนา 1 , 2, 3 …., หรือ 6 ) ∴ โยนลูกเตา 2 ลกู พรอ มกัน 1 ครงั้ เกิดได = 6 ×6 = 36 วธิ ี สามารถแจกแจงผลลพั ธ ไดด งั นี้ ( 1 , 1) ( 1 , 2 ) (1 , 3 ) ( 1 , 4) ( 1 , 5) ( 1 , 6) ( 2 , 1) ( 2 , 2 ) (2 , 3 ) ( 2 , 4) ( 2 , 5) ( 2 , 6) ( 3 , 1) ( 3 , 2 ) (3 , 3 ) ( 3 , 4) ( 3 , 5) ( 3 , 6) ( 4 , 1) ( 4 , 2 ) (4 , 3 ) ( 4 , 4) ( 4 , 5) ( 4 , 6) ( 5 , 1) ( 5 , 2 ) (5 , 3 ) ( 5 , 4) ( 5 , 5) ( 5 , 6) ( 6 , 1) ( 6 , 2 ) (6 , 3 ) ( 6 , 4) ( 6 , 5) ( 6 , 6) ตอบ 36 วธิ ี 1. 2. การทํางานท่มี ี 3 อยางหรือสามข้ันตอน การนบั จะมแี นวคดิ ในทํานองเดียวกัน แตจํานวนขั้นตอนในการเขียนแผนภาพตนไม หรือ การหาผลคณู คารทีเซยี น จะมี 3 งานหรือ 3 ขั้นตอนทีต่ องทาํ ตอเนอื่ งกนั ดังตัวอยา งตอไปนี้ ตวั อยา งท่ี 4 บรษิ ัทรถยนตแหง หนึ่งผลิตตวั ถังรถยนตออกมา 2 แบบ มีเครื่องยนต 2 ขนาด และสี ตาง ๆ กนั 3 สี ถา ตอ งการแสดงรถยนตใ หค รบทกุ แบบ ทุกขนาด และทุกสี จะตองใชร ถยนตอ ยา ง นอยทส่ี ุดกคี่ ัน
วธิ ีท่ี 1 โดยใชแผนภาพตนไม (Tree Diagram ) จะไดผ ลดงั น้ี 149 การทํางานมี 3 ขัน้ คือ ผลงาน ข้ันท่ี 1 ขน้ั ที่ 2 ข้ันที่ 3 สี ตวั ถัง เคร่ือง ดงั นัน้ จะตองมีรถยนตแ สดงอยางนอย 12 คัน จึงจะครบทุกแบบทุกสีทุกขนาด วิธที ่ี 2 โดยใชผ ลคณู คารท ีเซียน ให A เปน เซตของตัวถงั รถยนต A = { ถ1 , ถ2 } B เปน เซตของเครอ่ื งยนต B = { ค1 , ค2 } C เปน เซตของสตี าง ๆ B = { ส1 , ส2 , ส3 } นาํ ตวั ถงั และเครื่องยนตม าประกอบกนั ไดดงั น้ี A × B = { (ถ1 , ค1) , (ถ1 , ค2) , (ถ2,ค4) , (ถ2 , ค2)} n(AxB) = n(A) x n(B) = 4 แบบ นาํ ตัวถึงกับเคร่ืองทีป่ ระกอบแลวมาทาสีตา ง ๆ ( A × B ) × C = { (ถ1 , ค1, ส1 ), (ถ1 , ค1, ส2 ), (ถ1 , ค1, ส3 ), (ถ1 , ค2, ส1 ), (ถ1 , ค2, ส2 ), (ถ1 , ค2, ส3 ), (ถ2 , ค1, ส1 ), (ถ2 , ค1, ส2 ), (ถ2 , ค1, ส3 ), (ถ2 , ค2, ส1 ), (ถ2 , ค2, ส2 ), (ถ2 , ค2, ส3 )} N ( A ×B× C ) = n(AxB) x n(C) = n(A) x n(B) x n(C) = 2 x 2 x 3 = 12 ดงั นน้ั ตองใชรถยนตแ สดงอยางนอย 12 คัน
150 เมอ่ื พิจารณาแผนภาพตนไมแ ละวิธกี ารของผลคูณคารทีเซียนแลว พบวา สามารถหาจํานวนวธิ ี หรือจํานวนรูปแบบในการทํางานไดเชนเดียวกัน จากหลักการของทั้งสองวิธี จึงสามารถนํามาสรางเปน กฎเบอ้ื งตนเกีย่ วกบั การหาจาํ นวนวิธใี นการทํางานอยา งใดอยางหนง่ึ ได โดยสรปุ เปนกฎไดด งั น้ี สรปุ ขั้นตอนในการใชกฎการนับแกโ จทยปญหา 1. พจิ ารณาวา งานหรือเหตกุ ารณทโ่ี จทยก ําหนดมาน้ันคอื อะไร จัดแบง ออกเปนกขี่ ั้นตอนที่ตอเน่ืองกนั 2. พิจารณาเงื่อนไขตาง ๆ ท่กี าํ หนดมาในแตล ะขัน้ ตอน บนั ทึกไว 3. หาจาํ นวนวิธที ี่สามารเลอื กทํางานไดใ นแตละขน้ั โดยตอ งเริ่มจากขั้นทมี่ ีเงือ่ นไขมากทสี่ ุดกอนแลว จึง พจิ ารณาขั้นอื่น ๆ ที่มเี ง่ือนไขรองลงมา ตามความสาํ คัญ 4. นําจาํ นวนวิธีทไ่ี ดใ นแตละข้ันตอนคณู กัน จะไดจ าํ นวนรปู แบบหรือจาํ นวนวธิ ที อ่ี าจเกิดข้ึนไดท งั้ หมด ตวั อยางท่ี 4 ในการเลอื กต้ังกรรมการชุดหน่ึงจะประกอบไปดว ย ประธาน รองประธาน เหรัญญิก และ เลขา โดยกรรมการแตละคนจะดาํ รงตําแหนงไดเพียงตาํ แหนงเดียวเทานนั้ ถา มผี สู มัครทงั้ หมด 6 คน เปนชาย 2 คน เปนหญิง 4 คน ผลการเลือกตั้งกรรมการชุดนีจ้ ะมีไดท ง้ั หมดกี่แบบตา งกนั โดยท่ี 1. ไมม เี ง่ือนไขเพ่ิมเติม 2. กําหนดใหประธานเปนชาย และเลขาตองเปนหญิง 3. กรรมการตองเปน หญิงลวน ๆ วิธีทํา มผี ูสมัคร 6 คน เปนชาย 2 คน เปนหญงิ 4 คน ใหเลอื กกรรมการ 4 ตาํ แหนง ประธาน รอง ประธาน เหรญั ญกิ เลขา 1) ไมมีเง่ือนไขเพ่มิ เตมิ แตละคนเปนไดต ําแหนงเดยี ว ตาํ แหนง ประธาน เลอื กได 6 วธิ ี ตาํ แหนง รองประธาน เลือกได 5 วธิ ี ตําแหนง เหรญั ญกิ เลอื กได 4 วธิ ี ตําแหนงเลขา เลอื กได 3 วธิ ี ดังน้นั จาํ นวนวิธีในการเลอื กกรรมการมี = 6 × 5 × 4 × 3 = 360 วธิ ี 2) กําหนดประธานเปนชาย และเลขาตองเปนหญิง ตาํ แหนง ประธานเปนชาย เลอื กได 2 วธิ ี ตาํ แหนง เลขาทีเ่ ปน หญิง เลือกได 4 วธิ ี ตาํ แหนง เหรญั ญกิ (คนท่ีเหลือ) เลอื กได 4 วธิ ี ตาํ แหนง รองประธาน เลอื กได 3 วธิ ี (คนท่เี หลอื สุดทาย ) ดงั น้ัน จํานวนวธิ ใี นการเลือกกรรมการมี = 2 × 4 × 3 × 4 = 96 วธิ ี
151 3) กรรมการตองเปน ผหู ญงิ ลว น ๆ ตาํ แหนง ประธานเปนชาย เลอื กได 2 วธิ ี ตาํ แหนง เลขาเปน หญงิ เลือกได 4 วธิ ี ตําแหนง รองประธาน เลือกได 4 วธิ ี ( เฉพาะหญงิ ท่ีเหลอื ) ตําแหนง เหรัญญกิ เลอื กได 3 วธิ ี ( เฉพาะหญงิ ท่ีเหลอื ) ดังนน้ั จํานวนวิธใี นการเลือกกรรมการมี = 2 × 4 × 3 × 4 = 96 วธิ ี0020 ตัวอยา งที่ 5 จากอักษรในคําวา “ PHYSIC” นํามาสรางคําใหมประกอบดวย 3 อกั ษร ตางกนั ( ไมสนใจความหมายของคําเหลานั้น) โดยท่ี 1. ไมม เี งื่อนไขเพิม่ เติม 2. ตองเปนพยัญชนะทั้งหมด วธิ ที าํ อักษรในคาํ วา PHYSIC เปน สระ 1 ตวั และพยญั ชนะ 5 ตวั รวมทั้งหมด 6 ตวั อกั ษร อักษรตัวท่ี 1 2 3 1. สรางคําประกอบดวย 3 ตวั อักษร สรางได = 6 × 5 × 4 = 120 วธิ ี 2. มีเง่ือนไขวา ตอ งเปนพยญั ชนะทัง้ หมด สรางได = 5 × 4 × 3 = 60 วธิ ี ตวั อยางที่ 6 หองประชุมแหงหนง่ึ มี 3 ประตู จงหาวธิ ใี นการเดนิ เขา - ออกหองประชุม โดยมีเงื่อนไขตางกัน ดงั น้ี 1. จาํ นวนวธิ ใี นการเดินเขา 2. จาํ นวนวธิ ใี นการเดินเขา - ออก 3. จาํ นวนวธิ ใี นการเดินเขา - ออก โดยไมซา้ํ ประตกู ัน 4. จาํ นวนวธิ ใี นการเดินเขา - ออก โดยใชประตูเดมิ วธิ ที ํา ประตูหองประชุมมี 3 ประตู หมายเลข 1 2 และ 3 การเดนิ เขา ออก 1. จาํ นวนวธิ เี ดนิ เขา หอ งประชุม = 3 วธิ ี 2. จาํ นวนวธิ กี ารเดิน เขา - ออก = 3 × 3 = 9 วธิ ี ( ใชประตูซ้ําได) 3. จาํ นวนวธิ กี ารเดินเขา - ออก โดยไมซ ํา้ ประตูกัน = 3 × 2 = 6 วธิ ี
152 4. จาํ นวนวธิ กี ารเดินเขา - ออก โดยใชป ระตูเดมิ = 3 × 1 = 3 วธิ ี ตัวอยางท่ี 7 ครมู ีหนงั สอื 5 เลมแตกตา งกนั ตองการแจกใหนกั เรียน 4 คน จงหาจาํ นวนวีธแี จกหนงั สอื โดยท่ี 1. ไมมีเงื่อนไขเพ่มิ เติม 2. ไมมใี ครไดห นงั สือเกิน 1 เลม วิธที ํา การแจกหนงั สือตอ งพจิ ารณาการแจกทลี ะเลม หนงั สอื เลมที่ 1 2 3 4 1. ไมมีเงอื่ นไข (แจกซ้ําได ) ดงั นน้ั แจกได = 5 × 5 × 5 × 5 = 625 วธิ ี 2. ไมม ใี ครไดเ กิน 1 เลม แปลวา ไมมใี ครไดซ ้ํา ไดแลวจะไมแ จกใหอ กี ดงั นน้ั จะมีวธิ ีแจกหนังสอื = 5 × 4 × 3 ×2 = 120 วธิ ี
153 แบบฝกหัดที่ 1 1. โยนเหรยี ญ 1 เหรยี ญ 3 ครั้ง จงหาจาํ นวนท่ีเหรียญจะข้ึนหนา ตางๆ โดยวิธเี ขียนแผนภูมติ นไม 2. ในการทดสอบวชิ าคณิตศาสตร ประกอบดวย โจทยแ บบปรนัย 4 ตัวเลือก จํานวน 5 ขอ โจทยแ ต ละขอ มคี ําตอบท่ถี กู ตองเพยี งหนง่ึ ตวั เลือกเทา นนั้ แลว จํานวนวิธกี ารตอบคําถามท่ีเปนไปไดท งั้ หมดมกี ่ีวิธี 3. มนี กั เรยี น 5 คน ยนื เขาแถวเพ่ือซอื้ อาหารกลางวันของรานหนึง่ จงหาวา จํานวนวิธีท่ยี ืนเขา แถวที่ แตกตา งกนั มีทงั้ หมดกีว่ ธิ ี 4. มีชาย 6 คน หญิง 5 คน ตองการจัดคแู ขงขันระหวางชาย 1 คน หญิง 1 คนในการแขงขันกีฬา แทนนสิ มีจํานวนทั้งหมดก่วี ิธี 5. เพ่อื น 3 คน นักกันไปรับประทานอาหารเย็นทีภ่ ตั ตาคารและ ซื้อของทห่ี า งสรรพสนิ คา โดยเลอื กที่ จะไป รบั ประทานอาหารและซอื้ ของ ซ่งึ มีภตั ตาคาร 5 แหง และมีหา งสรรพสินคา 4 แหง ทัง้ สามคนนจ้ี ะ มวี ธิ ี เลือกกระทําดังกลาวไดท ้ังหมดกี่วิธี 6. บริษัทแหงหนึ่งเปดรับสมัครพนักงานเขาทํางาน โดยพิจารณาจากเงื่อนไขคือ เพศชาย หญิงระดับอายุ มี 6 ระดับ และมีสาขาวิชาชีพ 10 ประเภท แลวบรษิ ัทน้จี ะมีวิธีการจาํ แนกผสู มัครไดท้ังหมดกวี่ ธิ ี 7. จากการสัมภาษณรับคนเขาทํางานจํานวน 8 คน จะมวี ิธจี ะคดั เลอื กไดพ นกั งานหนงึ่ คนจากผเู ขา สมั ภาษณ ทั้งหมด 8. จงเขยี นแผนภาพตนไมเพ่ือแสดงผลท่ีเกดิ ข้ึนจากการโยนเหรียญ 1 เหรยี ญ 4 ครั้ง จงหาจาํ นวนวธิ ีท่ี แตกตางกนั ในการโยนเหรยี ญครง้ั น้ี โดยที่ 1. ไมม หี นา หวั เลย 2. มหี นาหัวเพยี ง 1 ครั้ง 3. มหี นาทั้ง 2 ครั้ง 4. มีหนา หวั เพยี ง 3 ครั้ง 5. มหี นา หวั 4 ครั้ง
154 2. ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ ในชีวิตประจําวันมักพบกับการคาดคะเน หรือการประมาณเหตุการณ หรือโอกาส เพือ่ ใชในการ ตัดสินใจ โอกาสที่เหตุการณน้ัน จะเกิดไดมีมากนอยเพียงใด ขึ้นอยูกับอัตราสวนระหวางจํานวนสมาชิก ของเหตุการณน ้นั กับจาํ นวนครง้ั ของการทํางานผเู รยี นจึงตองทราบ และทําความเขาใจ กับคําเหลานี้ 1. การทดลองสุม (Random Experiment) คือ การทดลองทีไ่ มสามารถระบุผลลัพธไดอยางแนนอน แต บอกไดวา ผลลพั ธข องการทดลองน้นั มโี อกาสเกิดอะไรข้ึนไดบาง ตัวอยางที่ 1 การทดลองโยนลูกเตา 1 ลูก 1 ครั้ง แตมทีจ่ ะเกิดขึน้ ได คือ แตม 1, 2, 3, 4, 5 หรือ 6 ซึ่งไมสามารถบอกไดวาจะเปนแตมอะไรใน 6 แตมน้ี ดงั นนั้ ผลลพั ธท ั้งหมดที่จะเกิดข้ึนคือแตม 1, 2, 3, 4, 5, 6 ตวั อยางที่ 2 การหยิบลูกปงปอง 1 ลูก จากกลอ ง ซง่ึ มี 5 ลูก 5 สี ลูกปง ปองทห่ี ยิบไดอ าจจะเปน ลกู ปงปอง สขี าว ฟา แดง เขยี ว หรือสม ดังนนั้ ผลลัพธท ัง้ หมดที่จะเกิดขึ้นคอื ลูกปง ปองสีขาว ฟา แดง เขยี ว หรอื สม ตวั อยา งที่ 3 จงเขียนผลทีอ่ าจจะเกิดข้ึนไดทงั้ หมดในการโยนเหรียญบาท 1 เหรียญ และเหรยี ญหาสบิ สตางค 1 เหรยี ญ วิธีทํา ในการโยนเหรยี ญบาท 1 เหรยี ญ ผลที่อาจเกดิ ขนึ้ คือหัวหรือกอย ถาให H แทน หวั และ ให T แทน กอ ย ในการหาผลที่อาจเกิดขึ้นไดทั้งหมดจากการโยนเหรียญบาทและเหรียญหาสิบสตางคอยางละ 1 เหรยี ญ อาจใชแผนภาพชวยไดดงั นี้
155 ฉะนนั้ ถาเราใชคูอ นั ดับเขยี นผลทัง้ หมดท่ีอาจเกดิ ข้ึนไดโดยใหส มาชิกตวั หนง่ึ ของคอู ันดบั แทนผล ที่อาจเกิดขึ้นจากเหรียญบาท สมาชิกตัวท่สี องของคูอันดับแทนผลที่อาจเกิดข้นึ จากเหรียญหาสิบ สตางค จะได ผลทง้ั หมดท่อี าจจะเกดิ ขนึ้ ได คอื (H, H), (H, T), (T, H) และ (T, T) 2. แซมเปลสเปซ (Sample Space ) เปนเซตที่มีสมาชิกประกอบดวยสิ่งที่ตองการ ทั้งหมด จากการ ทดลองอยางใดอยางหนึ่ง ( บางครั้งเรียกวา Universal Set ) เขยี นแทนดว ย S เชน ตัวอยางที่ 4 ในการโยนลกู เตาถาตอ งการดวู า หนาอะไรจะขนึ้ มาจะได ผลลพั ธทีอ่ าจจะเกิดขนึ้ ไดคือ ลกู เตาข้ึนแตม 1 หรือ 2 หรือ 3 หรอื 4 หรอื 5 หรือ 6 ดังนัน้ แซมเปล สเปซทไ่ี ด คือ S = { 1, 2, 3, 4, 5, 6 } ตวั อยางท่ี 5 จากการทดลองสุมโดยการทดลองทอดลูกเตา 2 ลูก 1. จงหาแซมเปลสเปซของแตมของลูกเตาที่หงายขึ้น วธิ ที ํา 1. เนื่องจากโจทยสนใจแตมของลูกเตาที่หงายขึ้น ดังนั้นเราตองเขียนแตมของลูกเตาที่มีโอกาส ที่จะหงายขึ้นมาทั้งหมด และเพื่อความสะดวกให (a , b) แทนผลลัพธท ีอ่ าจจะเกิดขนึ้ โดยท่ี a แทนแตม ทห่ี งายข้ึนของลกู เตาลูกแรก b แทนแตมท่ีหงายข้ึนของลูกเตา ลกู ท่ีสอง ดังนั้นแซมเปลสเปซของการทดลองสุมคือ S = {(1,1),(1,2),(1,3),(1,4),(1,5),(1,6), (2,1),(2,2),(2,3),(2,4),(2,5),(2,6), (3,1),(3,2),(3,3),(3,4),(3,5),(3,6), (4,1),(4,2),(4,3),(4,4),(4,5),(4,6), (5,1),(5,2),(5,3),(5,4),(5,5),(5,6), (6,1),(6,2),(6,3),(6,4),(6,5),(6,6)}
156 3. เหตุการณ (event) คอื เซตทเี่ ปน สบั เซตของ Sample Space หรือเหตุการณที่เราสนใจ จากการทดลอง สุม ตวั อยางที่ 7 ในการโยนลูกเตา 1 ลกู 1 ครั้ง ถา ผลลัพธที่สนใจคอื จํานวนแตมท่ไี ด จะได S = {1, 2, 3, 4, 5, 6} ถา ให E1 เปนเหตุการณทไี่ ดแตมซึง่ หารดว ย 3 ลงตวั จะได E1 = {3, 6} E2 เปน เหตุการณท่ไี ดแ ตมมากกวา 2 จะได E2 = {3, 4, 5, 6} ตัวอยางท่ี 8 ถุงใบหนึ่งมีลูกบอลสีขาว 3 ลูก สแี ดง 2 ลกู หยิบลูกบอลออกจากถุง 2 ลกู จงหา 1. แซมเปลสเปซของสีของลูกบอล และเหตุการณท่จี ะไดลกู บอลสีขาว 2. แซมเปลสเปซของลูกบอลที่หยิบมาได และเหตุการณท ่ีจะไดลูกบอลเปนสีขาว 1 ลูก สแี ดง 1 ลูก วิธที ํา 1. เนอ่ื งจากเราสนใจเกีย่ วกบั สขี องลูกบอล และลูกบอลมอี ยูสองสีคือสีขาวและสีแดง ดงั นน้ั แซมเปลสเปซ S = {ขาว, แดง} สมมติให B เปน เหตกุ ารณท ี่จะไดล กู บอลสขี าว ดงั นั้น B = {ขาว} 2. เนอื่ งจากเราสนใจแซมเปล สเปซของลกู บอลแตล ะลกู ทถ่ี กู หยิบขึน้ มา ดงั นน้ั แซมเปล สเปซ S คือ S = {ข1ข2,ข1ข3,ข1ด1,ข1ด2,ข2ด3,ข2ด1,ข2ด2,ข3ด1,ข3ด2,ด1ด2} ให C เปนเหตกุ ารณท ีผ่ ลลพั ธเปน ลกู บอลสขี าว 1 ลูก และ สีแดง 1 ลกู ดังนน้ั เหตุการณ C คือ C = {ข1ด1,ข1ด2,ข2ด1,ข2ด2,ข3ด1,ข3ด2} หมายเหตุ ข แทน ขาว และ ด แทน แดง ตวั อยา งที่ 10 โยนเหรยี ญบาท 1 เหรยี ญ 2 ครงั้ จงหาผลลัพธของเหตุการณท ีจ่ ะออกหัวอยา งนอ ย 1 คร้งั การหาผลลัพธทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการโยนเหรียญบาท 1 เหรยี ญ 2 ครัง้ โดยใชแผนภาพตน ไม ดังนี้
157 ผลลัพธท ้ังหมดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทดลองสุม มี 4 แบบ คือ HH, HT, TH และ TT นั่นคอื ผลลพั ธข อง เหตกุ ารณท่ีจะออกหัวอยางนอย 1 คร้งั มี 3 แบบ คือ HH, HT และ TH 4. ความนา จะเปน ของเหตุการณ ความนาจะเปน ของเหตุการณ คือ จาํ นวนทแ่ี สดงใหทราบวาเหตกุ ารณใดเหตุการณห นึ่งมีโอกาส เกิดข้นึ มากหรือนอยเพยี งใด ความนาจะเปน ของเหตกุ ารณใด ๆ เทา กบั อัตราสวนของจาํ นวนเหตกุ ารณทเ่ี ราสนใจ (จะใหเ กดิ ข้นึ หรอื ไมเกดิ ขนึ้ ก็ได) ตอจํานวนผลลัพธทั้งหมดท่อี าจจะเกิดขนึ้ ได ซึง่ มสี ูตรในการคดิ คํานวณดงั นี้ จํานวนผลลพั ธข องเหตุการณท เี่ ราสนใจ ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ = จํานวนผลลพั ธท ัง้ หมดท ี่อาจจะเกดิ ข้นึ ได เมือ่ ผลท้ังหมดท่ีอาจจะเกิดขึ้นจากการทดลองสมุ แตละตัวมีโอกาสเกดิ ข้ึนไดเ ทา ๆ กัน กาํ หนดให E แทน เหตกุ ารณที่เราสนใจ P(E) แทน ความนาจะเปนของเหตุการณ n(E) แทน จํานวนสมาชิกของเหตุการณ n(S) แทน จํานวนสมาชิกของผลลพั ธท ง้ั หมดท่ีอาจจะเกิดขึน้ ได ดังนน้ั P( E ) = n(E) n(S ) ตวั อยางที่ 1 มีลูกปงปอง 4 ลูก เขียนหมายเลขกํากับไวดังนี้คือ 0, 1, 2, 3 ถา สมุ หยบิ มา 2 ลกู จงหาความ นาจะเปนที่จะไดผลรวมของตัวเลขมากกวา 3 วธิ ที ํา ให S เปน แซมเปล สเปซ S = {(0, 1),(0, 2),(0, 3),(1, 2),(1, 3),(2, 3) } จะได n(S) = 6 E เปนเหตุการณห รือสงิ่ ทโ่ี จทยอยากทราบ E = {(1, 3),(2, 3)} จะได n (E) = 2 n(E) n(S ) นน่ั คอื จากสูตรขางบนคือ p(E ) = แทนคา ได P(E) = 2 = 1 63 ความนาจะเปนที่จะไดผลรวมของตัวเลขมากกวา 3 เทา กับ 1 3
158 ขอสงั เกต 1. สมาชกิ ทกุ ตัวในเหตกุ ารณ E ตองเปนสมาชิกในอยูในแซมเปลสเปซ S ดังนน้ั 0 ≤ n(E)≤n(S) 2. ถา E เปนเหตกุ ารณใด ๆ ในแซมเปลสเปซ S จะไดว า 2.1 0≤P(E)≤1 2.2 ถา P(E)=1 หมายถงึ เหตกุ ารณน้ันตอ งเกิดขึ้นแนนอน ถา P(E)=0 หมายถึงเหตกุ ารณน้ันตองไมเ กดิ 2.3 ถา S เปนแซมเปลสเปซ จะไดว า P(S)=1
159 แบบฝกหัดที่ 2 1. จากการทดลองสุมตอไปนี้ จงเขียนแซมเปลสเปซและเหตุการณที่สนใจในการทดลองนั้นๆ (1) ไดห วั สองเหรยี ญจากการโยนเหรยี ญสองอนั หนง่ึ คร้งั (2) ไดผลรวมของแตมบนหนาลูกเตาทั้งสองเปน 2 หรือ 6 จากการโยนลูกเตาสองลูกหนึง่ ครัง้ (3) หยิบไดสลากหมายเลข 5 หรอื 6 หรือ 7 หรอื 8 จากสลาก 10 ใบซึ่งเขียนหมายเลข 1 ถงึ 10 กํากับไว (4) ไดนกั เรยี นทถ่ี นัดมือซายในหอ งเรยี นทีท่ านเรียนอยู (5) ไดสลากที่มีรางวัลจากการจับสลากที่ประกอบดวยสลากที่มีรางวัล 3 ใบ และไมมี รางวัล 7 ใบ (6) ไดคําตอบจากครอบครัว 3 ครอบครัววามีจักรเย็บผาใชทั้งสามครอบครัว (7) ไดลูกบอลสขี าว 2 ลูก สีดาํ 1 ลกู ในการหยบิ ลูกบอล 3 ลกู จากกลอ งซ่งึ บรรจุลูกบอลสี ขาว 3 ลูก และสีดาํ 2 ลูก (8) ไดแ ตม ทเ่ี หมอื นกันหรือไดแ ตม 2 จากลกู เตา ลกู ใดลูกหน่ึงในการทอดลกู เตา พรอมกัน สองลูก (9) ไดห วั และแตม ทม่ี ากกวา 4 จากการโยนเหรยี ญหนง่ึ เหรยี ญและทอดลกู เตา หนง่ึ ลกู หนึง่ คร้งั (10) ไดสีที่ชอบคือ สีฟาหรือสีชมพูจากการสอบถามนางสาวสุชาดาถึงสีของกระดาษ เช็ดหนาที่ชอบสองสีจากสีทั้งหมด 5 สี คือ ขาว ฟา ชมพู เขียว และเหลือง 1. ถา S = {0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 } Ε1 = { 0, 2, 4, 6, 8 } Ε2 = {1, 3 ,5 ,7 ,9 } Ε3 ={ 2, 3, 4, 5 } และ Ε4 = { 1, 6, 7 } จงหาสมาชิกของ S ท่อี ยใู นเหตกุ ารณตอไปนี้ (1) Ε1 Ε3 (2) Ε1 Ε2 (3) Ε′3 (4) (Ε′3 Ε4) Ε2 (5) (S Ε3 )′ (6) (Ε′1 Ε′2) Ε′3 2. จากเหตกุ ารณ Ε1 , Ε2 , Ε3 ในขอ 2 จงเขียนแผนภาพของเวนน – ออยเลอรแสดงเหตกุ ารณตอ ไปน้ี
160 (1) Ε1 Ε′2 (3) (Ε1 Ε3) Ε2 (2) (Ε1 Ε2)′ (4) (Ε′1 Ε′2) Ε′3 3. ในการสํารวจอายขุ องผูปว ยแผนกเดก็ (อายุไมเ กนิ 15 ป ) ของโรงพยาบาลแหงหนึ่ง ถา Ε1 เปนเหตุการณท่ีผปู วยมีอายุตง้ั แต 1 ถงึ 9 ป Ε2 เปนเหตกุ ารณท ี่ผูปว ยมีอายนุ อยกวา 5 ป และ Ε3 เปน เหตุการณท ่ผี ปู วยมีอายมุ ากกวา 9 ป จงหา (1) Ε1 Ε2 (3) (Ε1 Ε3 ) Ε2 (2) Ε1 Ε2 (4) Ε2 Ε3 4 ในการจับสลาก 1 ใบ จากสลาก 10 ใบ ซงึ่ มเี ลข 0 ถึง 9 กาํ กบั อยู ถา สนใจเลขท่เี ขยี นกํากบั ไวใ นสลากใบ ที่จบั ได โดยให Ε1 เปนเหตกุ ารณท ี่เลขท่เี ขยี นกํากบั ไวเ ปนจํานวนคู Ε2 เปน เหตกุ ารณท ี่เลขที่เขียนกํากับไวเปน จํานวนคี่ Ε3 เปน เหตุการณท ี่เลขท่เี ขยี นกํากับไวเปน จํานวนเฉพาะ Ε4 เปนเหตกุ ารณทเี่ ลขท่เี ขียนกาํ กบั ไวเปน จํานวนทีห่ ารดว ย 3 ลงตวั จงเขยี นเหตุการณต อไปนี้ในรปู Ε1 , Ε2 , Ε3 หรอื Ε4 พรอมท้ังแจกแจงสมาชิกเมื่อ (1) เลขท่ีเขยี นกํากับไวเปนจํานวนคหู รือค่ีหรือจํานวนเฉพาะ (2) เลขทเ่ี ขียนกาํ กบั ไวเปนจํานวนเฉพาะทหี่ ารดวย 3 ลงตวั (3) เลขทเี่ ขียนกํากบั ไวไ มเปน จาํ นวนค่ี และไมเปน จาํ นวนท่ีหารดว ย 3 ลงตวั (4) เลขทเ่ี ขยี นกํากับไวเปน จํานวนคทู เี่ ปน จาํ นวนเฉพาะ
161 4. การนาํ ความนาจะเปนไปใช การนําความนาจะเปนไปใช ตองการใหผูที่ศึกษาทราบวาเหตุการณตางๆนั้นมีโอกาสจะเกิดขึ้น มาก หรือนอ ยเพยี งใด เพื่อชวยในการประกอบการตดั สนิ ใจ เชน ตวั อยางที่ 1 ไพสาํ รบั หน่ึงมี 52 ใบ แบงเปน 2 สี 4 ชนดิ คือ สีแดง ไดแ กโ พแดงกบั ขา วหลามตัด สดี าํ ไดแก โพดํากบั ดอกจิก แตล ะชนดิ มี 13 ใบ จงหาความนาจะเปนที่หยิบมา 1 ใบแลว ไดโ พดาํ หรือสี แดง วิธที ํา S = ไพทั้งหมดมี 52 ใบ หยิบมาทีละ 1 ใบจะได 52 วธิ ี ดังน้นั n(S) = 52 E = ไพโพดํามี 13 ใบ และไพส แี ดงมี 26 ใบ ดังนน้ั n(E) = 13 + 26 = 39 n(E) จากสตู ร p(E) = n(S ) แทนคา ได P(E) = 39 = 3 52 4 ความนาจะเปนที่หยิบไพ 1 ใบแลว ไดโ พดาํ หรือสีแดง เทากบั 3 4 สรปุ ไดว า ไพ 1 ใบ แลว ไดไ พโพดํา หรือโพแดงมีโอกาสเกดิ ขน้ึ 75 % ถือวามโี อกาสเปน ไปไดสูง ตวั อยางท่ี 2 ในการหยิบสลาก 1 ใบจากสลาก 10 ใบ ซึง่ มีเลข 0 - 9 กาํ กบั อยู จงหาความนาจะเปนที่จะ หยบิ ไดเ ปน จาํ นวนเฉพาะสลากมีเลข 2 เลข 3 เลข 5 เลข 7 วิธที าํ S = สลากมี 10 ใบ หยิบมาทีละ 1 ใบ จงึ หยิบได 10 วธิ ี S = {0,1,2,3,4,5,6,7,8,9,} n(S)=10 E = สลากที่เปนจํานวนเฉพาะ E ={2,3,5,7,} n(E)=4 n(E) n(S ) จากสตู ร p(E) = แทนคา ได P(E) = 4 = 2 10 5 ความนาจะเปนที่จะหยิบไดเปนจํานวนจําเพาะ เทากับ 2 5 สรุปไดว า ความนาจะเปนที่จะหยิบไดเปนจํานวนจําเพาะ มโี อกาสเกดิ ข้ึน 40 % ถือวามโี อกาส เกดิ ขน้ึ นอย
162 ตวั อยา งที่ 3 ในการทอดลูกเตา 2 ลูก พรอมกัน 1 ครงั้ จงหาโอกาสที่ผลรวมของแตมเปน 13 วธิ ที ํา ลูกเตา 2 ลูกจะมีผลรวมสงู สุดคือ 6 + 6 = 12 โจทยตองการทราบผลรวมของแตมที่จะเปน 13 จงึ เปนเหตุการณท ี่เปนไปไมได โอกาสที่ผลรวมของแตมเปน 13 เทากับ 0 สรปุ ไดว า โอกาสที่จะทอดลูกเตา 2 ลกู แลว ผลรวมของแตมเปน 13 น้ัน ไมม ีโอกาสเกดิ ขนึ้ เลย
163 แบบฝกหัดที่ 3 1. ในการโยนลูกเตา 1 ลกู 1 ครง้ั จงหาความนาจะเปนของเหตุการณ และสรุปถงึ โอกาสท่จี ะเกิดขน้ึ วา มีมากหรือนอยเพียงใด 1) ไดแ ตม 4 2) ไดแตม คู 3) ไดแตมมากกวา 4 4) ไดแ ตม นอยกวา 7 5) ไดแ ตม มากกวา 0 6) ไดแตม มากกวา 6 หรือเปนแตม ค่ี 7) ไดแตมมากกวา 3 และเปนแตม ค่ี ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. ทอดลูกเตา 2 ลูกสองครั้ง ความนาจะเปนที่จะไดแตมรวมเปน 7 ในครง้ั แรกและไดแ ตม รวมเปน 10 ในครัง้ ท่ี 2 เทากับเทาใด ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 3. ชา งกอ สรา งกลมุ หนึ่งมี 10 คน ประกอบดวย ชา งปนู 6 คน และชางไม 4 คน ถาตอ งการเลือกชาง 7 คน จากกลมุ นี้ ความนาจะเปนท่จี ะไดช า งปนู 4 คน และชางไม 3 คน เทากับเทาใด ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 4. กลอ งใบหนง่ึ บรรจหุ ลอดไฟสแี ดง 6 หลอดซง่ึ เปน หลอดดี 4 หลอดและหลอดไฟสนี าํ้ เงนิ 4 หลอด ซ่ึงเปน หลอดดี 2 หลอด ในการสุมหยิบหลอดไฟครง้ั ละ 1 หลอด 2 ครัง้ แบบไมใสคืน ความนาจะ เปนทจ่ี ะไดห ลอดไฟสเี ดยี วกัน และเปน หลอดดที ัง้ สองครั้ง มคี า เทา กับเทา ใด ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 5. กลองใบหนึ่งมลี ูกบอลสแี ดง 3 ลกู และสีขาวจาํ นวนหนง่ึ โดยที่จาํ นวนวิธกี ารหยิบลูกบอล 2 ลกู เปน ลูกบอลสีเหมือนกนั เทากบั 9 ถา สมุ หยิบลกู บอลพรอ มพัน 2 ลกู แลว ความนา จะเปน ที่จะไดล กู บอลสีขาวทั้ง 2 ลูกเทากับเทาใด ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................
164 เฉลยแบบฝกหัด
165 เฉลย บทที่ 1 ระบบจํานวนจริง แบบฝกหดั ท่ี 1 1.จาํ นวนทก่ี าํ หนดใหต อไปนจ้ี าํ นวนใดเปน จาํ นวนนบั จํานวนเตม็ จาํ นวนตรรกยะ หรอื จาํ นวนอตรรก ยะ ขอ จาํ นวนจรงิ จาํ นวนนบั จาํ นวนเตม็ จาํ นวนตรรกยะ จาํ นวนอตรรกยะ 1 − 9,− 7 ,5 2 , 2,0,1 1 0, 1, -9 -9, − 7 , 5 2 ,0 ,1 2 23 3, 12 23 2 3 , 12 -13 2 5,−7 7 ,3,12, 5 − 7 7 ,3 ,12 , 5 34 34 3 2.01,0.666...,-13 , 2.01, 0.666, …,-13 4 2.3030030003..., 2.3030030003... 5 − π ,− 1 , 6 , 2 ,−7.5 25, 3 , 12 6 , -7, 5 −1, 6 , -7.5 −π, 2 33 2 3 33 2 25, -17, −12 , 6 25,−17,− 12 , 9,3,12, 1 π 25, -17, 3, 1π 52 12, 9 5 2 9 , 3, 12 3. จงพิจารณาวาขอความตอ ไปนีเ้ ปน จริงหรือเทจ็ 1) จรงิ 2) จรงิ 3) เทจ็ 4) จรงิ 5) จรงิ 6) เทจ็
166 แบบฝกหดั ท่ี 2 1. ใหผูเ รยี นเติมชองวางโดยใชสมบัติการเทากัน 9. ถา a = b แลว a +5 = b + 5 10. ถา a = b แลว -3a = -3b 11. ถา a + 4 = b + 4 แลว a = b 12. ถา a +1 = b +2 และ b + 2 = c - 5 แลว a +1 = c + 5 13. ถา x2 + 2x + 1 = (x + 1)2 แลว (x + 1)2 = x2 + 2x + 1 14. ถา x = 3 y แลว 2x = 3y 2 15. ถา x2 + 1 = 2x แลว (x −1)2 = x2 − 2x + 1 16. ถา ab = a + b แลว 1 (ab) = 1 (a + b) 22 2. กาํ หนดให a , b และ c เปนจํานวนจริงใดๆ จงบอกวาขอความในแตละขอตอไปนี้เปนจริงตามสมบัติใด 1) 3 + 5 = 5 + 3 สมบัติการสลับที่ของการบวก 2) (1+2)+3 = 1+(2+3) สมบัติการเปลี่ยนกลุมของการบวก 3) (-9)+5 = 5 +(-9) สมบัติการสลับที่ของการบวก 4) (8 × 9) เปนจาํ นวนจรงิ สมบัติปดของการคูณ 5) 5 × 3 = 15 = 3 × 5 สมบัติการสลับที่ของการคูณ 6) 2(a+b) = 2a +2b การแจกแจง 7) (a + b) + c = a+( b + c) สมบัติการเปลี่ยนกลุมของการบวก 8) 9a +2a = 11 a = 2a + 9a สมบัติการสลับที่ของการบวก 9) 4 × (5 + 6) = (4 × 5) + (4 × 6) การแจกแจง 10) c(a +b) = ac +bc การแจกแจง 3 . เซตท่กี ําหนดใหในแตล ะขอตอไปน้ี มีหรือไมมีสมบัติปดของการบวกหรือสมบัติปดของการคูณ 1) { 1 , 3 , 5 } มีสมบัติปดการบวก, การคูณ 2) { 0 } มีสมบัติปดการบวก 3) เซตของจาํ นวนจรงิ มี 4) เซตของจาํ นวนตรรกยะ มี 5) เซตของจาํ นวนทห่ี ารดว ย 3 ลงตวั มี
167 4. จงหาอินเวอรส การบวกของจาํ นวนในแตล ะขอ 1) อินเวอรสการบวกของ 8 คือ -8 2) อนิ เวอรส การบวกของ - 5 คอื 5 3) อนิ เวอรส การบวกของ - 0.567 คอื 0.567 4) อนิ เวอรส การคณู ของ 3 − 2 คอื 1 3− 2 5) อนิ เวอรส การคณู ของ 1 คือ 5 − 3 5− 3
168 เฉลยแบบฝกหัดที่ 3 1. ใหผเู รียนบอกสมบัตกิ ารไมเ ทากนั (เม่ือตวั แปรเปน จาํ นวนจรงิ ใดๆ) 9. ถา x < 3 แลว 2x <6 สมบตั ิการคูณดว ยจาํ นวนเทากบั ท่ีไมเทา กับศนู ย 10. ถา y>7 แลว -2y -14 สมบัตกิ ารคณู ดวยจํานวนเทา กบั ท่ไี มเ ทา กบั ศูนย 11. ถา x+1 > 6 แลว x+2 > 7 สมบตั กิ ารบวกดว ยจํานวนที่เทา กนั 12. ถา y+3 < 5 แลว y< 2 สมบัติการตัดออกสําหรับการบวก 13. ถา x< 7 และ 7< y แลว x<y สมบัติการถายทอด 14. ถา a > 0 แลว a+1 > 0 +1 สมบัติการบวกดวยจํานวนที่เทากัน 15. ถา b< 0 แลว b + (-2) < 0+(-2) สมบัติการบวกดวยจาํ นวนที่เทา กนั 16. ถา c> -2 แลว (-1)c < (-1)(-2) สมบัตกิ ารคณู ดวยจํานวนเทากนั ท่ีไมเทากับศูนย 2. จงใชเ สน จาํ นวนแสดงลกั ษณะของชว งของจํานวนจริงตอ ไปน้ี 1) (2,7) 2) [3,6] 3) [-1,5) 4) (-1,4] 5) (2, ∞ )
169 6) (- ∞ ,4) 7) (0,8) 8) [-5,4)
170 แบบฝก หดั ท่ี 4 เซตคําตอบคําตอบของอสมการ คือ { x | x ≤ -2 หรอื x ≥ 2} -3 < x < 3 เซตคําตอบคําตอบของอสมการ คือ { x | -3 < x <3} เซตคําตอบคําตอบของอสมการ คือ { x |1< x <7} − X ≤ −5 หรือ − X ≥ 1 X ≥ 5 หรอื X ≤ −1 เซตคําตอบคําตอบของอสมการ คือ {x|x ≥ 5 หรอื x ≤ -1} 5 – x < 0 หรอื 5 – x > 0 0 ≤ 5–x ≤ 0 -5 ≤ -x ≤ -5 -x < -5 -x > -5 5≥x≥5 x>5 x<5 -8 < 3x – 4 < 8 -1 ≤ 2x – 9 ≤ 1 - 8 +4 < 3x < 8 +4 -1 + 9 ≤ 2x ≤ 1 + 9 -4 < 3x < 12 8 ≤ 2x ≤ 10 −4 < x<4 3 4 ≤x ≤5 |2 – 4x < 0 หรอื 12 – 4x > 0 0 ≤ 6 – 3x ≤ 0 -4x < -12 หรอื – 4x > -12 -6 ≤ -3x ≤ -6 x > 3 หรอื x < 3 2 ≥x ≥ 0
171 เฉลย คณิต บทท่ี 2 เลขยกกาํ ลัง แบบฝก หัดที่ 1 1. จงบอกฐานและเลขชก้ี าํ ลงั ของเลขยกกาํ ลงั ตอ ไปนี้ 1) ฐานคือ 6 เลขชก้ี ําลังคือ 3 2) ฐานคือ 1.2 เลขช้ีกาํ ลงั คือ -5 3) ฐานคือ -5 เลขช้ีกําลังคือ 0 4) ฐานคือ 1 เลขชี้กําลังคอื 3 2 2. จงหาคา ของเลขยกกาํ ลังตอ ไปน้ี 1) - 1,024 2) 1 625 3) 1.728 4) 27 3. จงทาํ ใหอยูในรปู อยา งงายและเลขชก้ี ําลงั เปนจํานวนเต็ม 1. a8 2. 12 = 56 = 15,625 5 3. 2 20 3 4. (1.1)15 5. x10
172 แบบฝก หัดท่ี 2 1. จงหาคาของรากที่ n ของจํานวนจริงตอไปนี้ 1) 5 2) 8 3) -3 4) -5 5) 2 3 6) 2 7) 5 8) − 64 ≠ 8 ไมเ ปน จาํ นวนจรงิ 9) -2 10) 4 −16 ≠ 2 ไมเ ปน จาํ นวนจรงิ 2. จงเขยี นจาํ นวนตอ ไปน้ีใหอยูในรปู อยางาย โดยใชส มบตั ิของ รากที่ n 1) 52 = 5 2) 3 23 = 2 3) 3 (−2)3 = (-2) 4) 5 (−2)5 = (-2) 5) (−3)2 = (-3) 5) 4 (−2)4 = (-2) 6) 200 = 10 2 7) 75 = 5 3 8) 3 240 = 23 30 9) 45 = 3 5 10) 5 15 = 75 = 5 3 11) 3 81 ⋅ 3 32 = 63 12 12) 4 = 4 = 2 13) 5 = 35 9 93 3 82
173 1. จงทาํ จํานวนตอไปนใี้ หอ ยูในรปู อยางงาย แบบฝก หดั ท่ี 3 1) 2x 2 2) 4 3 50 + (6)(5) 3) 2 y 2 4) (-2) 15 2 + 30 5) 6 2 − 2 + 4 2 = 9 2 6) (3 5)( 10)+ (3 5)(2 5) = = 7) 3 8a3 = 2a 8) 33 2 × 3 4 = 33 8 = 6 แบบฝกหดั ท่ี 4 1. จงทําจํานวนตอไปนี้ใหอยูในรูปอยางงาย 1) 8x2 วิธที าํ 8x2 = 2×2×2×x×x = 2x 2 2) 3 = 3 3 − 27 3 (− 3)(− 3)(− 3) วิธที ํา 3 3 − 27 = 3 = -1 (− 3) 3) ( 2 + 8 + 18 + 32)2 วิธที ํา ( 2 + 8 + 18 + 32)2 ( )= 2 2+2 2 +3 2+4 2 = (10 )2 2 = (100)(2) = 200
174 4) 5 −32 + 26 3 27 3 (64) 2 5 −32 26 (− 2) + 64 วิธที ํา 3 27 + ( )= 3 3 3 82 2 (64) 2 = (− 2) + 64 3 (8)3 = (− 2) + 1 38 = −16 + 3 = −13 24 24 24 21 ( )2 5) 8 3 ⋅ 18 2 = 23 3 × 18 4 144 6 4 144 6 21 = 4×3 วิธีทํา 83 ⋅ 182 24 9 4 144 6 = 23 49 1 6) 3 −125 + 32 3 (−8)2 −1 (27) 2 1 วธิ ที ํา 3 −125 + 32 = (− 5) − 1 3 (−8)2 −1 49 (27) 2 = − 45 − 4 = − 49 = −113 − 36 36 36
175 เฉลยแบบฝกหัด บทที่ 3 แบบฝกหัดที่ 1 4. จงเขียนเซตตอไปนี้แบบแจกแจงสมาชิก 1) { สมุทรสาคร,สมุทรสงคราม,สพุ รรณบุรี,สรุ นิ ทร,สุราษฏรธานี,สมุทรปราการ,สงขลา,สระแกว, สระบรุ ี,สิงหบรุ ี} 2) { a,e,i,o,u } 3) { 100,101,…,999} 4) {2,4,6,8,10,12,14,16,18} 5) { -121,-122,-123,….} 6) { 6,7,8,9,10,11,12,13,14} 7) { φ } 5. จงบอกจํานวนสมาชิกของเซตตอไปนี้ 1) 1 2) 6 3) 24 4) 8 6. จงเขยี นเซตตอ ไปนแ้ี บบบอกเงอ่ื นไข 1) { x | x เปน จาํ นวนเตม็ คแู ละ 2 ≤ x ≤ 8 } 2) { x | x เปน จาํ นวนเตม็ บวก } 3) { x | x = x2 เปนจาํ นวนเตม็ ซงึ่ x = 1,2,3,… } 4. จงพจิ ารณาเซตตอไปน้ี เปนเซตวา งเรือเซตจาํ กดั หรือเซตอนนั ต 1) เซตจาํ กดั 2) เซตจาํ กดั 3) เซตอนนั ต 4) เซตวา ง 5) เซตวา ง 6) เซตวา ง 7) เซตจาํ กดั 8) เซตวา ง 9) เซตจาํ กดั 10) เซตอนนั ต
176 5. เซตตอไปน้ีเซตใดบา งทเ่ี ปน เซตที่เทากัน 1) A = B 2) D = E 3) F ≠ G 4) Q = H แบบฝกหัดที่ 2 1) ถา A = { 0,1,2,3,4,5}, และ B { 1,2,3,4 } จงหา 2). B ∪ A = { 0,1,2,3,4 ,5} 1) A ∪ B = { 0,1,2,3,4,5} 4). B ∩ A = { 1,2,3,4 } 3). A ∩ B = { 1,2,3,4 } 6). B – A = φ 5). A – B = {0,5} 2). กาํ หนดให U = { 1,2,3,..,10 } A = { 2,4,6,8,10 } B = { 1,3,5,7,9} C = { 3,4,5,6,7 } จงหา 9. A ∩ B = { φ } 10. B ∪ C = { 1,3,4,5,6,7,9} 11. B ∩ C = { 3,5,7} 12. A ∩ C = { 4,6} 13. C′ = { 1,2,8,9,10} 14. C′ ∩ A = { 2,8,10 } 15. C′ ∩ B = {1,9} 16. ( A = { 1,3,5,7,9}
177 แบบฝกหัดท่ี 3 1. จงแรเงาแผนภาพทกี่ ําหนดใหเพ่ือแสดงเซตตอไปน้ี 1) B′ 2) A ∩ B′ 3) A′ 4) A′ ∪ B
178 5) A′ ∪ B′ 2. จากแผนภาพท่ีกําหนดให จงหาคา 1. A′ ={ 6,7,8} 2. (A ∩ B)′= {1,2,3,6,7,8} 3. A′UB = { 4,5,6,7,8} 4. A′ ∩ B = { 6,7,8}
179 3. จากแผนภาพ 40-6 6 25-6 =34 =19 100-34-6-19 = กาํ หนดให U , A, B และ A∩B41เปนเซตที่มีจํานวนสมาชิก 100 ,40,25, และ 6 ตามลาํ ดบั จงเติม จํานวนสมาชิกของเซตตาง ๆ ลงในตารางตอไปนี้ เซต A-B B-A A∩B A′ B′ ( A ∪ B จํานวนสมาชิก 34 19 6 19 + 41 = 60 34 + 41 = 75 34 + 6 + 19 = 59 4. จากการสอบถามผูเรยี นชอบเลนกฬี า 75 คน พบวา ชอบเลนปงปอง 27 คน ชอบเลนแบตมินตนั 34 คน ชอบเลน ฟตุ บอล 42 คน ชอบทั้งฟุตบอลและปงปอง 14 คน ชอบทง้ั ฟตุ บอลและแบตมนิ ตัน 12 คน ชอบ ทั้งปงปองและแบดมินตัน 10 คน ชอบทั้งสามประเภท 7 คน จงหาวานักศึกษาที่ชอบเลนกีฬาประเภทเดียวมี ก่ีคน วธิ ีทาํ A = เลน ฟตุ บอล 42 คน B = เลน แบดมนิ ตนั 34 คน C = เลนปงปอง 27 คน ฟตุ บอล แบดมินตนั ปงปอง จาํ นวนนักศกึ ษาท่ชี อบเลนกีฬาประเภทเดยี ว = 23 + 17 + 12 = 52 คน
180 เฉลย บทท่ี 4 การใหเ หตผุ ล แบบฝก หัดที่ 1 12 จงเติมคําตอบลงในชองวางตอไปนี้ 6) 1, 4, 9, 16, 25 , 36 , 49 , 64, 81 , 100 7) 2, 7, 17, 32 , 52 , 77 , 107 8) 5, 10, 30, 120, 600 , 3,600 9) 36 = 444444444 45 = 555555555 81 = 999999999 10) 2 + 4 + 6 + 8 + 10 = 30 = 72 2 + 4 + 6 + 8 + 10 + 12 = 42 2 + 4 + 6 + 8 + 10 +12 + 14 = 56 2 + 4 + 6 + 8 + 10 +12 + 14 + 16
181 แบบฝกหัดท่ี 2 1. จงตรวจสอบผลที่ไดวาสมเหตุสมผลหรือไม 1) สมเหตุสมผล 2) สมเหตุสมผล 3) ไมส มเหตสุ มผล 4) ไมส มเหตุสมผล 5. ไมสมเหตสุ มผล แบบฝก หดั ท่ี 3 1. จงตรวจสอบผลทไี่ ดว า สมเหตสุ มผลหรือไม โดยใชแ ผนภาพเวนน – ออยเลอร 1) ฝนตก ไมอ อกนอกบา น แคทลียา จากเหตทุ ่ี 1 และ 2 สรปุ ไดวา สมเหตสุ มผล
182 2) คนขยนั เรยี น คนขยนั เรยี น สมชาย สมชาย คนขยันเรยี น สมชาย จากเหตทุ ี่ 1 และ 2 จะเหน็ ไดวา ผลทจ่ี ะเกิดข้นึ มไี ดห ลาย ผลดวยกัน สรุปไดวา ไมส มเหตุสมผล 3) จะเห็นไดว า จากเหตกุ ารณท้ัง 3 เหตุ ผลสรุปทไ่ี ดนน้ั สมเหตสุ มผล
183 4) จํานวนบวก จํานวนลบ จะเหน็ ไดว า จากเหตุที่ 1 และ 2 ผลท่ีไดนนั้ สมเหตสุ มผล 5. สัตว 2 ขา สตั ว 2 ขา จะเหน็ ไดว า จากเหตุที่ 1 และ 2 ผลที่จะเกดิ ขน้ึ มไี ดหลาย ผลดวยกัน สรปุ ไดว า ไมสมเหตสุ มผล
184 เฉลย บทท่ี 5 ตรีโกณมิติ แบบฝก หดั ที่ 1 1. จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉากที่กําหนดใหตอไปนี้ จงเขียนความสัมพันธของความยาวของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยใชทฤษฎีบทปทาโกรัส และหาความยาวของดานที่เหลือ (1) วธิ ที ํา a2 = 252 − 242 = 625 – 576 = 49 a=7 (2) วธิ ีทาํ c2 = 122 + 92 = 144 +81 = 225 a = 15
185 2. กาํ หนด ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก มี Cˆ = 900 และความยาวของดานทั้งสาม ดังรูป จงหา 1) sin A , cos A และ tan A 2) sin B , cos B และ tan B B sin A = 5 sin B = 12 13 13 cos A = 12 cos B = 5 13 13 tan A = 5 tan B = 12 12 5 3. จงหาวาอัตราสว นตรีโกณมติ ทิ ก่ี ําหนดใหตอไปนี้ เปน คา ไซน(sin) หรือโคไซน(cos) หรือแทนเจนต(tan) ของ มมุ ทก่ี าํ หนดให 1. sin A 2. 1 tan B 3. cos A 4. cos B
186 4. กาํ หนด ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยมีมุม C เปนมุมฉาก มีดาน AB = 10 และ AC = 8 จงหา 1 ) ความยาวดาน BC วธิ ที ํา AB2 = 102 − 82 A = 100 - 64 = 36 10 8 a=6 2) sin A = 6 Ba C 10 cos A = 8 10 tan A = 6 8 3) sin B = 8 10 cos B = 6 10 tan B = 8 6
187 5. กาํ หนดใหร ปู สามเหลย่ี ม ABC โดยมีมุม C เปนมุมฉาก และ a,b,c เปนความยาวดานตรงขามมุม A, มุม B และ มุม C ตามลําดับ (1) ถา cot A = 3 , a = 5 จงหาคา b,c B วธิ ที าํ cot A = AC = b c a C BC a A 3=b b 5 b=5 3 จากทฤษฏีบทปทาโกรัส AB2 = AC2 + BC2 c2 = b2 + a2 = ( 5 3 ) 2 +5 2 = 75 + 25 = 100 (2) ถา cos B = 3 และ a = 9 จงหาคา tan A 5 วิธีทํา cos a = a c 3a = 5c ∴c = a × 5 = 15 c จากทฤษฎีบทปทาโกรัส AB2 = AC2 + BC2 หรอื c2 = b2 + a2 152 = 62 + 92 b2 = 225 – 81 = 144 ∴b = 12 ดงั นนั้ tan A = a = 9 = 3 b 12 4
188 แบบฝก หดั ที่ 2 1. จงหาคาตอไปนี้ 1) sin 300 sin 600 − cos 300 cos 600 1 3 − 3 1 =0 2 2 2 2 ( ) ( )2) sin 600 2 + cos 600 2 3 2 + 1 2 = 3 + 1 = 4 =1 2 2 44 4 3) 1 − tan 450 1 −12 = 0 2. จงหาคาอัตราสวนตรีโกณมิตติ อ ไปน้จี ากตาราง 1) sin 200 = 0.342 2) sin 380 = 0.616 3) cos500 = 0.643 4) cos520 = 0.616 5) tan 770 = 4.331 6) tan 890 = 57.290 3. ให ABC เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก มีมุม C เปนมุมฉาก ดังรูป วธิ ีทํา AB2 = AC2 + BC2 = 52 + 122 = 25 + 144 = 169 AB = B cos B = 12 13 sin B = 5 13 tan B = 5 12 sec B = 13 12
189 cosec B = 13 5 cot B = 12 5 4. จงหาคา a, b หรอื c จากรูปสามเหลี่ยมตอไปนี้ (1) จาก cos 300 = 2 3 c 3=2 3 2c c= 2 3×2 =4 3 จาก sin 300 = a c 1=a 24 a = 1× 4 = 2 2 ดงั นน้ั a = 2 และ c = 4 (2)
190 จาก sin 450 = b 2 8 1 =b 28 8 b= =4 2 จาก tan 450 = b 2 a 1= 4 2 a a= 4 2 ดังนน้ั a = 4 2 และ b = 4 (3) จาก BCˆD มี BCˆD = 900 sin 450 = CD BD 1 = CD 232 CD = 32 =3 2 tan 450 = CD BC 1= 3 a a =3
191 จาก ABC มี ACˆB = 900 sin 600 = BC AB 3=3 2c c = 3×2 3 c=2 3 cos 600 = AC AB 1= b 2 23 b = 1× 2 3 2 b= 3 ดังนัน้ a = 3 , b = 3 และ c = 2 3
192 แบบฝก หัดท่ี 3 1. ตน ไมต น หนง่ึ ทอดเงายาว 20 เมตร แนวของเสนตรงที่ลากผานปลายของเงาตนไม และยอดตนไม ทํามุม 30 องศา กับเงาของตนไม จงหาความสูงของตนไม
193 2. วินัยตองการหาความสูงของเสาธงโรงเรียน จึงทํามุมขนาด 45 องศา เพอื่ ใชในการเล็งไปที่ยอดเสาธง ถา ในขณะที่เล็งนน้ั เขามองไปที่ยอดเสาธงไดพ อดี เม่ือกา วไปอยทู ี่จดุ ซงึ่ อยหู า งโคนเสาธง 16 เมตร วินัยมีความสูง 160 เซนติเมตร จงหาวาเสาธงสูงประมาณกี่เมตร
194 3. จุดพลขุ ้นึ ไปในแนวดิ่ง โดยกาํ หนดจดุ สังเกตการณบ นพ้นื ดนิ หา งจากตาํ แหนง ทีจ่ ดุ พลุ 1 กิโลเมตร ในขณะที่ มองเห็นพลุทํามุม 60 องศา กับพน้ื ดนิ พลขุ ึน้ ไปสงู เทาใด และอยูหางจากจุดสงั เกตการณเปน ระยะทางเทา ใด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227