Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Description: วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Search

Read the Text Version

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 101 หายใจเขา ยาว (นน้ั ) อุเบกขาก็ตงั้ ขึน้ ๑ ลมหายใจออกและลมหายใจเขายาว (ท่เี ปน ไป) โดยอาการ ๙ นี้นับเปนกาย สิง่ ที่เขาไป (ทาํ กายนน้ั เปนอารมณ) ต้งั อยู เปน ตัวสติ อนปุ ส นา (ความตามกาํ หนดดูกายใหรตู ามท่ีมันเปน) เปน ตัวญาณ กาย เปน ที่เขา ไปตั้งอยู (แหงสต)ิ มใิ ชต วั สติ สติ เปนท้งั ส่ิงทเี่ ขา ไปตัง้ อยู และเปนตัวระลึกดว ย พระโยคาวจรตามกาํ หนดดกู ายน้นั ดว ยสตนิ นั้ ดวยญาณน้นั แล เพราะเหตนุ นั้ จึงตรสั วา \"การตาม กาํ หนดดูกายในกาย เปน การบําเพ็ญสตปิ ฏ ฐาน\" ดังน๒ี้ นัยแมใ นรสั สบท (บทวาดวยลมหายใจส้ัน) ก็ดุจนัยน้ี แตน ี่ เปนความแปลกกัน คอื คําวา ทีฆ อสฺสาส อทฺธานสงฺขาเต (เปน ลมหายใจออกยา ในเพราะกาลทนี่ บั วาระยะยาว) ทท่ี านกลา วใน ทฆี บท (บทวาดว ยลมหายใจยาว) นนั้ ฉันใด ในรสั สบทนี้ คาํ น้นั กม็ า (เปน) วา รสฺส อสสฺ าส อิตตฺ รสงขฺ าเต อสฺสสติ (ระบาย ลมออกเปน ลมหายใจสน้ั ในเพราะกาลท่ีนบั วาระยะสนั้ ) ฉนั นั้น เพราะฉะนนั้ บัณฑติ พงึ ประกอบคาํ เขา โดยใชรัสสศัพท (แทน ทฆี ศพั ท) ไปจนถึงคาํ วา เตน วุจจฺ ติ กาเย กายานุปสฺสนา สต-ิ ปฏ านภาวนา (เพราะเหตุนั้นจงึ ตรัสวา การตามกําหนดดูกายในกาย ๑. มหาฎีกาวา ลางอาจารยวา \"เพราะลมหายใจละเอียดเขา โดยลําดับจนไมปรากฏวา มีหรอื ไมมี จิต (ซ่งึ ตามกาํ หนดดลู มนนั้ ) จึงไดผ ละคอื เลิกกําหนด\" แตส ว นมตขิ องทา นวา เม่อื ลม หายใจละเอยี ดหนักเขาดวยกาํ ลังภาวนา ปฏิภาคนมิ ติ เกดิ ขนึ้ แลว จิตจึงผละจากลมหายใจปกติ (มาอยทู ี่ปฏิภาคนิมติ ? ) อนง่ึ เมอ่ื ปฏิภาคนมิ ิตเกดิ ไดสมาธิแลว จติ กว็ างเฉยเพราะไมตองพยายาม ทจ่ี ะทําฌานใหเกดิ อกี จงึ วา อุเบกขาต้งั ข้ึน ๒. ปาฐะในฎกี าเรียงติดกันเปน----กายานปุ สฺสนาสติหฏ านภาวนา

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 102 เปน การบาํ เพญ็ สตปิ ฏฐาน) ฉะนเ้ี ถิด พระโยคาวจรน้ี เมอื่ รลู มหายใจออกและลมหายใจเขา ตามอาการ เหลานี้ ทงั้ โดยกาลระยะยาวและโดยกาลระยะส้ันอยูอยา งนี้ บัณฑิต พึงทราบวา เธอไดช อ่ื วา เมือ่ หายใจออกยาวก็รวู า เราหายใจออกยาว หรอื เม่ือหายใจเขายาวก็รูวาหายใจเขายาว เมอื่ หายใจออกสั้นกร็ วู า หายใจออกสั้น หรอื เม่ือหายใจเขาส้ันก็รวู าหายใจเขาสนั้ (ดงั ทก่ี ลาว ในบาล)ี กแ็ ลเม่ือภิกษนุ ้นั รูอยอู ยางน้ี ลม ๔ อยาง๑ คอื ลมหายใจออกยาวและส้นั แมลม หายใจเขาเลากอ็ ยา งนั้น ยอ มเปนไป (คอื รสู กึ ?) อยทู ่ีปลายจมูก๒ ของภิกษุนัน่ แล [แก สพฺพกายปฏิสเ วท]ี ขอวา \"เธอสําเหนยี กวา เราจักเปนผรู ูตลอดกายทัง้ หมดหายใจ ออก----หายใจเขา\" นนั้ คอื เธอใสใ จวา เราจกั ทาํ ตน กลาง ปลาย แหงกายคือลมหายใจทงั้ ส้ินใหเปนสง่ิ ท่เี รารู คอื ทํา (ลมหายใจน้นั ) ใหเ ปนสงิ่ ท่เี หน็ ชัดหายใจออก ใสใ จวา จกั ทาํ ตน กลางปลายแหงกายคือ ลมหายใจทงั้ ส้ินใหเปน สิ่งทเี่ รารู คอื ทาํ (ลมหายใจน้ัน) ใหเ ปน สง่ิ ท่ี เหน็ ชัดหายใจเขา เมือ่ ทาํ (ลมหายใจ) ใหเปนสงิ่ ท่ีตนรู คือทํา ๑. วณณฺ แปลวา อยาง ชนิด กไ็ ด ๒. ว ทน่ี าสกิ คเฺ คว นี้ มหาฎีกาทานวาเปน วา รัสสะใหไ ดค าถา และวา วา ศพั ทน ม้ี ีอรรถ เปนอนยิ ม เพราะฉะนนั้ จงึ รวมเอารมิ ฝปากบนเขาดว ย รูสกึ วา ทา นคิดมากไป แมจ ะเปน ว อวธารณะ แตน าสกิ คเฺ ค กค็ งมิไดห มายเอาตรงจะงอย จมูกเทานน้ั แตห มายถงึ บริเวณนน้ั ซึ่งมนั ก็ถงึ รมิ ฝปากบนดว ยอยเู อง ตางวา เปน วา อยางทาน วาแลว จะแปลอยางไร

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 103 (ลมหายใจ) ใหเ ปน สงิ่ ทเ่ี หน็ ชดั อยา งนนั้ กช็ อื่ วาเธอหายใจออกและ หายใจเขาดวยทงั้ จิตอนั ประกอบดว ยญาณ เพราะเหตนุ ้ัน จึงตรสั วา \"เธอสําเหนยี กวา เราจกั ----หายใจออก----หายใจเขา\" ดังน้ี จริงอยู สาํ หรับภกิ ษุลางรปู ตน ลมในกองลมหายใจออกก็ดี ใน กองลมหายใจเขาก็ดี ทแ่ี ลน (ออกเขา ) อยอู ยางละเอียด (นน้ั ) ชัด (แต) กลางลมและปลายลมไมช ดั เธอกอ็ าจกาํ หนดถือเอาได แตตนลม ยงุ ยากอยูใ นตอนกลางลมและปลายลม สําหรับลางรปู กลางลมชัด (แต) ตน และปลายไมชดั (เธอกอ็ าจกําหนดถือเอาได แตกลางลม ยงุ ยากอยใู นตอนตน และปลาย*) สาํ หรับลางรปู ปลาย ลมชดั (แต) ตน และกลางไมช ัด เธอกอ็ าจกําหนดลือเอาไดแตปลาย ลม ยงุ ยากอยูในตอนตนและกลาง สาํ หรับลางรูปชัดหมดทุกตอน เธอก็อาจกาํ หนดถอื เอาไดห มด ไมยงุ ยากเลยสกั ตอน พระผมู ีพระภาค เจาจะทรงแสดงความวา อนั พระโยคาวจรควรเปนเชน (รปู ที่ ๔) น้นั จงึ ตรสั (ขอน้ี) วา \"ภิกษสุ าํ เหนยี กวาเราจักเปนผูรตู ลอดกายทัง้ หมด หายใจออก----หายใจเขา\" ดังน้ี ในบทเหลานั้น บทวา สําเหนยี ก คอื เพยี รพยายาม (ทาํ มนสิการเพื่อร)ู อยางน้ัน อีกนยั หนงึ่ อรรถาธิบายในบทน้ี บณั ฑิต พึงทราบอยางนว้ี า ความสาํ รวมแหงภิกษุผูเปน อยางน้ัน (คือผูเจรญิ อานาปานสต)ิ อันใด ความสาํ รวมนี้จดั เปน อธิสีสลสกิ ขาในทน่ี ี้ ความ * ความทว่ี งเลบ็ ไวน น้ี าจะมี เพราะตน กม็ ีปลายก็มี แตปาฐะในฉบับวสิ ทุ ธมิ รรคไมม ี จึงเดิม และวงเลบ็ ไว

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 104 ต้งั จิตมนั่ แหงภิกษุผเู ปน อยา งนั้นอนั ใด คามตัง้ จิตมน่ั นี้จดั เปนอธจิ ิตต- สิกขาในทน่ี ี้ ความรูท ่วั ถงึ แหงภกิ ษุผเู ปน อยา งนน้ั อันใด ความรทู ั่วถงึ นีจ้ ัดเปนอธิปญญาสิกขาในทน่ี ้ี ภกิ ษสุ าํ หนียก คอื สอ งเสพ เจริญ ทาํ ใหม ากซง่ึ สกิ ขา ๓ ตามท่ีกลาวมานี้ในอารมณน ้ัน ดวยสตนิ น้ั ดวย มนสกิ ารนนั้ ดังนี้ ในจตุกกะท่ี ๑ นน้ั เพราะเหตุที่ในนยั แรก พระโยคาวจรพึง หายใจออกหายใจเขาอยางเดียวเทานน้ั และไมพึงทาํ กจิ อะไร ๆ อน่ื * แตว า ตอนีไ้ ปควรทาํ ความเพียรในอาการท้ังหลายมกี ารยงั ญาณใหเกดิ เปนตน เพราะเหตนุ ้ัน พึงทราบวา พระผมู ีพระภาคเจาตรสั พระบาลี โดยเปนวตั ตมานกาลวา ----อสฺสสามตี ิ ปชานาต-ิ ---ปสสฺ สามตี ิ ปชา- นาติ (----รูวา เราหายใจออก----รูวาเราหายใจเขา) ดงั นีใ้ นนยั แรก นน้ั แลว จงึ ทรงยกพระบาลเี ปนคาํ แสดงอนาคตกาล โดยนยั วา สพฺพ- กายปฏิสเวที อสสฺ สิสสฺ ามิ (----เราจักเปน ผูร ูตลอดกายทั้งหมด หายใจออก) ดงั นเ้ี ปน ตน เพอื่ จะทรงแสดงอาการมีการทาํ ญาณใหเ กดิ เปนตน อันควรทําตอ แตนัยแรกนี้ไป [แก ปสสฺ มฺภย กายสงฺขาร] ขอวา \"เธอสําเหนยี กวา เราจกั เปน ผูระงบั กายสังขาร หายใจ ออก----หายใจเขา\" นนั้ คือเธอใสใจวา เราจกั เปนผรู ะงับ คือทํากาย- สังขารที่หยาบใหค อย ๆ เบาลง ใหดับไปใหส งบไปหายใจเขา หายใจออก ความหยาบและละเอียดกด็ ี ความระงับก็ดี ในขอ นัน้ พงึ ทราบ * นยั แรกหมายถึงวตั ถหุ มายเลข ๑ และ ๒ ในจตกุ กะที่ ๑

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 105 ดงั นี้ ก็กายและจติ ของภิกษนุ ี้ ในกาลกอ นทย่ี ังมิไดกาํ หนดถือเอา (อานาปานสตกิ รรมฐานนัน้ ) เปน กายจติ ทยี่ ังมีความกระวนกระวาย (นับวา ) ยังหยาบ คร้นั ความหยาบแหง กายจิตยงั ไมส งบ แมล มหายใจ ออกและลมหายใจเขา กเ็ ปนลมหยาบ คือเปนไปแรงมาก จมูกไมพอ ยนื หายใจท้งั ออกท้ังเขาทางปาก ตอเมอ่ื ใด ท้งั กายท้งั จิตของเธอ ถกู กําหนดถอื เอา (เปน ท่ีตั้งกรรมฐาน) แลว๑ เม่ือน้ันมันกล็ ะเมียด เขา (จน) สงบไป ครนั้ กายจติ นัน้ สงบแลว ลมหายใจออกและเขา ก็เปนไปละเอยี ดลง (จน) ถึงซ่ึงอาการคอื ความท่ีตองวิจยั วามีอยหู รือ ไมม หี นอ อปุ มาเหมือนลมหายใจออกและเขาของคนทว่ี ่ิงลงมาจากภูเขา หรือปลงของหนกั มากลงจากศีรษะแลวยนื อยู ยอ มเปน ลมหยาบ จมูก ไมพ อ ยืนหายใจท้ังออกทงั้ เขาทางปากอยู ตอ เมอ่ื ใดเขาบรรเทา ความเหน่ือยนน้ั แลว ไดอ าบและด่มื น้ําแลว ทาํ (คอื ประทบั ) ผา เปยกไวต รงที่หวั ใจ๒ นอน (พัก) เสียที่รมอันเยน็ ท่ีนลี้ มหายใจออก เขาของเขานั้นก็ละเอยี ดลง (จน) ถงึ ซ่งึ อาการคือความทีต่ อ งวิจัยวามี อยูหรือไมม หี นอ๓\" ฉันใดกด็ ี กายและจติ ของภกิ ษุนี้ ในกาลกอน ทีย่ ังมิไดก ําหนดถือเอา (อานาปานสติกรรมฐานนั้น) ฯลฯ ถงึ ซึ่ง อาการคือ ความทต่ี อ งวจิ ัยวา มีอยูหรือไมมีอยหู นอ ก็ฉันนัน้ เหมือนกัน ๑. มหาฎกี าไขความวา กริ ยิ าที่นง่ั คูบลั ลงั กตั้งกายตรง เปน กายปรคิ หะ กริ ิยาทด่ี ํารงสติไวเ ฉพาะ หนา เปนจติ ตปริคหะ ๒. เพง่ิ ทราบนเี่ องวา การใชผาเปย กประทบั อก ชวยทาํ ใหห ายเหนือ่ ยได ๓. ทา นพรรณนาเพลินไปกระมัง การนอนพกั เชน นนั้ ลมหายใจจะละเอยี ดถึงตอ งวจิ ัยเทียวหรอื ถายิ่งหลับกรนฟู ๆ กย็ ิง่ ไมต อ งวจิ ยั เลย

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 106 ถามวา ขอนนั้ เปน เพราะเหตุอะไร ตอบวา เพราะเปนความจริง วา ในกาลกอ นที่ยังมไิ ดกําหนดถือเอา (พระกรมฐานนนั้ ) ความ คํานงึ ความรวมใจ ความใสใจ ความไตรต รอง วา เราจะระงับกาย- สงั ขารหยาบ ๆ หามแี กเ ธอไม ตอ ในกาลท่ีกําหนดถอื เอา (พระ กรรมฐาน) แลว จึงมี เพราะเหตนุ ั้น กายสังขารของเธอในกาลทีไ่ ด กาํ หนดถอื เอา (พระกรรมฐาน) แลว จงึ ละเอียดกวา (กายสงั ขาร ใน) กาลทย่ี งั มไิ ดกาํ หนดถือเอา (พระกรรมฐาน) เพราะฉะน้ัน พระโบราณาจารยทั้งหลายจงึ กลาวไววา เม่อื กายละจติ กระสับกระสา ย กายสังขารยอ ม เปนไปหยาบแล ครนั้ กายและจติ ไมก ระสบั กระสายแลว กายสงั ขารยอมเปน ไปละเอียด [ลมหยาบและละเอียดเปน ช้ัน ๆ] [นัยทางสมถะ] \"แมในช้ันกําหด กายสงั ขารกน็ ับวายังหยาบ ในชน้ั อปุ จาร แหง ปฐมฌานจึงละเอียด ในชนั้ อปุ จารปฐมฌานน้ันเลา ก็นับวา ยัง หยาบ ในชน้ั ตัวปฐมฌานจงึ ละเอียด ในชน้ั ปฐมฌานและชั้นอปุ จาร แหง ทตุ ิฌานกน็ ับวายงั หยาบ ในชนั้ ตวั ทุตยิ ฌานจึงละเอยี ด ในชั้น ทตุ ิยฌานและอุปจารแหงตตยิ ฌานก็นับวายังหยาบ ในชั้นตวั ตตยิ ฌาน จงึ ละเอยี ด ในชั้นตตยิ ฌานและอุปจารแหงจตุ ตถฌาน ก็นับวา ยัง หยาบ ตอ ชนั้ จตตุ ถฌานจงึ ละเอียดย่ิง (จน) ถงึ ซง่ึ ความไมเปนไป

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 107 ทีเดียว\" คาํ ทก่ี ลา วมานี้เปนมตขิ องพระทีฆภาณกะ (ผกู ลาวคัมภรี  ทฆี นิกาย) และพระสงั ยตุ ตภาณกะ (ผกู ลา วคมั ภีรส งั ยุตนกิ าย) กอ น ฝา ยพระมชั ฌมิ ภาณกะ (ผูกลา วคมั ภีรม ัชฌิมนิกาย) ทงั้ หลาย ประสงค เอาวาแมในอปุ จารแหงฌานชันสงู ๆ กล็ ะเอียดกวาตวั ฌานชนั้ ตา่ํ ๆ (โดยลาํ ดบั กนั ) เชนวา \"ในปฐมฌานก็ยงั หยาบ ในอุปจารแหง ทุตยิ ฌานจงึ ละเอยี ด\" ดังนี้ (เปน ตัวอยาง)* แตว า โดยมตขิ อง อาจารยท ง้ั หมดดว ยกัน คงไดความวา กายสงั ขารอันเปนไปในกาลท่ี ยังมิไดก าํ หนดถอื เอา (พระกรรมฐาน) ไประงบั ลงในกาลท่กี าํ หนด ถือเอา (พระกรรมฐาน) แลว กายสังขารอนั เปน ไปในกาลท่ี กําหนดถือเอา (พระกรรมฐาน) ก็ไประงับลงในอปุ จารแหงปฐมฌาน ฯลฯ กายสงั ขารอันเปนไปในอุปจรแหง จตุตถฌาน ก็ไประงบั ลงใน จตตุ ถฌาน\" ดงั นี้แล นเี่ ปน นยั ทางสมถะ เปน อนั ดบั แรก [นยั ทางวิปสนา] สวนในทางวปิ ส นา กายสังขารอนั เปนไปในตอนท่ยี ังมิได กาํ หนดก็ยงั หยาบ ในตอนทกี่ าํ หนดมหาภตู รปู เขาจึงละเอียดลง แม กายสังขารในตอนท่ีกําหนดมหาภูตรูปนนั้ ก็นับวา ยังหยาบอยู ตอ ตอนท่กี ําหนดอปุ าทารูปจึงละเอียดเขา กายสงั ขารในตอนทกี่ าํ หนด อุปาทารปู น้ันเลากน็ ับวา ยังหยาบอยู ถงึ ตอนท่กี ําหนดสกลรปู น้ัน * คือมติแรกทา นถอื วา ตัวฌานชนั้ ตาํ่ กับอุปจารชัน้ ตอไปน้นั เทา กนั สวนมตหิ ลังถอื วา อปุ จารฌาน ชั้นสงู ยอมสขุ ุมกวา ตวั ฌานช้นั ตํ่า ไมเทา กนั

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 108 เลา กน็ บั วา ยงั หยาบ ตอ ตอนทกี่ าํ หนดท้งั รปู ทงั้ อรูปจึงละเอียดเขา แม กายสงั ขารในตอนท่กี ําหนดทง้ั รปู ทั้งอรปู นนั้ ก็นบั วา ยังหยาบ ในตอนที่ กาํ หนดปจ จัย (ของนามรปู ) จงึ ละเอียดเขา การสังขารในตอนที่ กําหนดปจ จัยนั้นเลา กน็ ับวา ยังหยาบ ตอ ตอนทเี่ ห็นนามรูปพรอ มทั้ง ปจจยั จึงละเอยี ดเขา แมก ายสงั ขารในตอนทเี่ หน็ นามรูปพรอ มทั้งปจ จยั นน้ั กน็ บั วา ยังหยาบ ถึงตอนท่เี ปน วิปสนา อันมี (ไตร) ลกั ษณเ ปน อารมณ จงึ ละเอยี ดเขา ๑ ในทุรพลวปิ ส นา (วิปสนากาํ ลงั ออน) กน็ ับวา ยังหยาบ ในพลววิปสนา๒ (วิปสนากาํ ลงั กลา ) จึงละเอยี ดเขา ในวปิ ส นานัน้ ความระงับแหงกายสงั ขารอนั เปนไปในกาลตอน แรก ๆ ดวยกาลตอนหลงั ๆ (โดยลาํ ดบั ) บัณฑิตกพ็ งึ ทราบโดยนยั ท่กี ลาวมากอนนั้นเถดิ ๓ ความหยาบและละเอยี ดก็ดี ความระงับก็ดี (แหง กายสงั ขาร) ในขอ ปสฺสมฺภย กายสงขฺ าร อสฺสสสิ สฺ ามิ----ปสฺสสิสสฺ ามิ น้ี บณั ฑติ พึงทราบโดยประการดังกลาวมาฉะนี้เทอญ [อรรถาธบิ ายในปฏิสัมภทิ ามรรค] สวนในปฏสิ ัมภิทา ทานกลาวความแหงขอนี้ พรอ มทงั้ คําทวง ๑. ปาฐะในฉบับวสิ ุทธมิ รรคพมิ พครัง้ ที่ ๓ ลงหัวตาปคู น่ั ประโยคไวห ลงั โอฬารโิ ก ทกุ แหง น้นั คลาดเคล่อื นไป ทถี่ ูกควรลงคน่ั หลงั สขุ ุโม เพราะประโยคความสดุ ลงที่ สุขโุ ม ทกุ แหง ๒. มหาฎกี าวา ตอนพจิ ารณากลาปเปน ลกั ขณารมั มณกิ วิปสนา ตั้งแตน พิ พทิ านปุ สนาไป จดั เปน พลววปิ สนา หยอนกวา นน้ั เปน ทุรพลวปิ ส นา ๓. คือใหประกอบความเชน เดยี วกับทก่ี ลา วในสมถนยั เชนวา กายสงั ขารอนั เปนไปในตอนทยี่ ังมไิ ด กาํ หนด มาระงับลงในตอนกําหนดมหาภตู รปู กายสงั ขารอันเปน ไปในตอนกาํ หนดหมาภตู รูป มาระงับลงในตอนอุปาทารูป----ดังนีเ้ ปน ตน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 109 และคาํ เฉลยไวด ังนวี้ า \"ถามวา 'ภกิ ษสุ าํ เหนยี กวาเราจกั เปน ผูระงบั กายสงั ขารหายใจออก----หายใจเขา อยา งไร อะไรช่ือกายสงั ขาร' เฉลยวา 'ธรรมท้ังหลายทมี่ อี ยใู นกาย คือลมหายใจออกหายใจเขายาว อันเปนธรรมเนอื่ งดว ยกาย นีช้ ่อื กายสังขาร ภกิ ษทุ าํ กายสังขารทัง้ หลายนั้นใหร ํางบั คอื ใหดบั สงบลง สาํ เหนยี กไป ฯ ล ฯ (คือ) สาํ เหนียกวา เราจกั ระงบั กายสงั ขาร (หยาบ) ท่ีเปน เหตใุ หกายโยก โคลงโอนเอนสายสัน่ หวั่นไหวไปมาเสยี หายใจออก สําเหนยี กวา เราจักระงับกายสังขาร (หยาบ)--- หายใจเขา สาํ เหนียกวาเราจัก ระงับกายสังขารอนั สงบอันละเอยี ด ท่ีเปนเหตใุ หกายไมโ ยกไมโคลง ไมโ อนไมเ อนไมส า ยไมสน่ั ไมหวนั่ ไมไหว หายใจออก----หายใจเขา มคี ําทว ง (สอดเขามา) วา หากวา อยา งนน้ั ชอ่ื วา ปสฺสมภฺ ย กายสงขฺ าร อสฺสสสิ ฺสามีติ สิกฺขติ ปสสฺ มภย กายสงฺขาร ปสฺสสิสฺสามตี ิ สกิ ฺขติ ละก็ เม่อื เปน อยา งนน้ั (คอื แมก ายสังขารทลี่ ะเอียดย่งิ ก็ให ระงบั เสยี อกี เชน นนั้ ?) การทําวาตปุ ลัทธิ (ความกําหนดรูลม ?) ใหเกิดตอ ไปกไ็ มม ีละ การยังลมหายใจออกหายใจเขาใหเปนไปกไ็ มม ี (เพราะทงั้ หยาบทงั้ ละเอยี ดระงบั ไปหมดแลว ?) การเจริญอานาปานสติ ตอ ไปก็ไมมี (เพราะลมหายใจไมมี ?) การบาํ เพญ็ อานาปานสตสิ มาธิ ตอ ไปก็ไมมี (เพราะไมมีลมเปน อารมณ ?) และบณั ฑติ ทั้งหลาย กเ็ ปน อันไมไดเขาสมาบัตนิ น้ั ทง้ั ก็ไมไดออกจากสมาบัตนิ ัน้ ดวยละซิ ? มีคาํ เฉลยวา ถงึ วา อยา งนัน้ ชอ่ื วา ปสสฺ มฺภย กายสงขฺ าร อสสฺ สสิ สฺ ามีติ สกิ ขฺ ติ ปสฺสมฺภย กายสงฺขาร ปสสฺ สิสสฺ ามตี ิ สกิ ฺขติ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 110 เมื่อเปนเชน นนั้ (คอื เมอ่ื กายสงั ขารระงบั ไปอยางนั้น ?) การทํา วาตปุ ลทั ธิใหเกดิ ตอไปกย็ งั มีได การยังลมหายใจออกและลมหายใจ เขาใหเปน ไปกม็ ไี ด การเจรญิ อานาปานสตติ อ ไปก็มีได การบาํ เพญ็ อาหาปานสติสมาธติ อ ไปกม็ ีได และบณั ฑติ ทั้งหลายเขา สมาบัตนิ ้ันก็ได ออกจากสมาบตั ินั้นกไ็ ดอยู๑ ตามทก่ี ลาวมาน้ีมอี ุปมาอยา งไร ? อุปมา เหมอื นเมอ่ื กังสดาลถูกเคาะแลว เสียงหยาบยอ มเปนไปกอน จิต (ความ รสู กึ ของคน ?) กเ็ ปนไปได เพราะถือเอานมิ ิต๒ แหงเสียงหยาบไดง าย เพราะทํานมิ ิตแหง เสียงหยาบไวในใจไดงาย เพราะจดจาํ นิมิตแหง เสียงหยาบไดง า ย แมเ มอ่ื เสยี งหยาบดับแลว หลงั นั้นถดั ไปเสยี ง ละเอยี ดกย็ งั เปนไป จติ ก็ยงั เปนไปได เพราะยังถือเอานิมิตแหง เสยี ง ละเอียดไดด ี เพราะยังทาํ นิมิตแหง เสยี งละเอยี ดไวใ นใจไดด ี เพราะยงั จด จาํ นมิ ติ แหงเสยี งละเอยี ดไดด ี คร้ันเมื่อเสยี งละเอียดดับแลว เลา หลังนั้น ไป จิตกย็ ังเปนไปไดแมเ พราะมีนมิ ติ แหง เสียงละเอียดเปนอารมณ ฉันใด กด็ ี อุปไมยกฉ็ ันนน้ั ลมหายใจออกหายใจเขาท่ีหยาบยอมเปน ไปกอ น จิต กไ็ มส ายไป เพราะถอื เอานิมิตแหง ลมหายใจออกหายใจเขาท่ีหยาบไดง าย เพราะทํานมิ ิตแหง ลมหายใจออกหายใจเขาทหี่ ยาบไวใ นใจไดงาย เพราะ ๑. นัยมหาฎกี าอธบิ ายวา เพราะกายสังขารหยาบ ๆ ระงบั ไป แตทล่ี ะเอยี ด ๆ ยงั มีอยู เมอื่ ละเอียดถึงที่สดุ โดยลําดับแลว นมิ ิตเกิด กถ็ ือนิมิตน้ันเปน อารมณ เจรญิ อานาปานสติ และ อานาปานสติสมาธติ อ ไปได บาลปี ฏิสัมภทิ านที้ า นใชสํานวนลกึ เตม็ ที โดยเฉพาะประโยค อติ ิ กิร นั้นลับล้มี าก ไดอ าศยั นัยมหาฎกี าทา นจงึ ทราบวา ประโยค อติ ิ กริ ขา งหนา เปนประโยคโจทนา คอื คาํ ทวง สว น อติ ิ กริ หลัง เปนประโยคโสธนาคอื คาํ เฉลย จงึ พอจบั เคาแปลใหเ ปน ภาษาไดดังนนั้ ๒. นิมิตตตฺ  มหาฎกี าวาเปน ทุตยิ าวิภตั ใิ นอรรถแหงฉฏั ฐวี ิภตั ิ เทากบั นิมติ ฺตสสฺ หมายความวา เปนภาวาทสิ ัมพนั ธในบทหลงั ?

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 111 สงั เกตนมิ ิตแหงลมหายใจออกหายใจเขาทีห่ ยาบไดงา ย แมเมอื่ ลมหายใจ ออกหายใจเขาที่หยาบดับแลว หลังน้นั ลมหายใจออกหายใจเขาที่ ละเอยี ดก็ยังเปน ไป จิตกย็ งั ไมส า ยไปได เพราะยงั ถอื เอานมิ ติ แหงลม---- ละเอยี ดไดดี ยังทาํ นมิ ติ แหงลม----ละเอยี ดไวใ นใจไดด ี ยงั สงั เกตนิมติ แหง ลม----ละเอียดไดดี คร้ันเมอื่ ลมหายใจออกหายใจเขาท่ีละเอยี ดดับไป เลา หลงั นนั้ ไป จิตก็ยังไมสายไปได แมเพราะยังมีนมิ ติ แหงลม หายใจออกหายใจเขาทีล่ ะเอียดเปน อารมณ เมือ่ เปน ดงั น้ีจึงวา การทาํ วาตุปลัทธิใหเ กดิ ตอ ไปก็ยังมไี ด การยังลมหายใจออกหายใจเขา ใหเปน ไปกม็ ไี ด การเจริญอานาปานสตติ อไปก็มไี ด การบาํ เพ็ญอานาปานสติ- สมาธิตอ ไปกม็ ไี ด และบณั ฑิตทง้ั หลายเขาสมาบัตนิ นั้ กไ็ ด ออกจาก สมาบตั นิ น้ั ก็ไดอ ยู กองลมที่ระงบั กายสังขารหายใจออกหายใจเขานบั เปน กาย สง่ิ ท่เี ขาไป (ทาํ กายนนั้ เปนอารมณ) ตัง้ อยู เปน ตวั สติ อนปุ สนา (ความตามกําหนดดูกายใหรตู ามท่ีมันเปน) เปน ตัวญาณ กายเปนท่ี เขา ไปตงั้ อยู (แหงสต)ิ มิใชต วั สติ สตเิ ปนสง่ิ ที่เขาไปต้งั อยแู ละ เปน ตวั ระลกึ ดวย โยคาวจรภกิ ษุตามกาํ หนดดูกายน้นั ดวยสตนิ ั้น ดวย ญาณนั้น เพราะเหตนุ น้ั จงึ ตรัสวา การตามกาํ หนดดกู ายในกาย เปนการบาํ เพ็ญสตปิ ฏ ฐาน\" น่ีเปน คําพรรณนาบทตามลําดับแหง จตุกกะท่ี ๑ ท่ตี รัสไดเ ปน กายานุปส นา ในอานาปานสตนิ ้ี เปนอันดบั แรก

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 112 [วธิ ฝี ก หดั ทํา] ก็เพราะวาในจตุกกะท้ัง ๔ นนั้ จตกุ กะน้เี ทาน้นั ทีต่ รสั โดยเปน กรรมฐานสาํ หรบั อาทิกมั มิกะ (ผูเริ่มปฏบิ ัติ) สว นจตุกกะ ๓ นอกน้ี ตรัสโดยเปน เวทนานุปส นา จติ ตานุปส นา และธมั มานปุ ส นา สาํ หรับ ผูไดฌานในจตกุ กะแรกน้ีแลว เพราะเหตนุ ้นั อาทิกัมมกิ กุลบตุ รผใู คร จะเจรญิ กรรมฐานนแี้ ลว บรรลุพระอรหตั พรอมท้งั ปฏิสมั ภิทา ดว ย วิปสนาอนั มีอานาปานจตุตถฌานเปน ปทฏั ฐาน กพ็ ึงทาํ กิจทั้งปวงมกี าร ทําศลี ใหบรสิ ทุ ธ์เิ ปน อาทิ โดยนัยทกี่ ลา วมากอ นนั้นและ แลว จงึ เรยี น เอากรรมฐานอันมีสนธิ ๕* ในสาํ นบั ของอาจารยผูมปี ระการดงั กลา ว แลว เถดิ [ปญจสนธิ] น้ีสนธิ ๕ ในคาํ น้นั คอื อุคคหะ ปรปิ จุ ฉา อปุ ฏฐาน อปั ปนา ลกั ขณะ ในสนธิ ๕ นั้น การเรยี นเอา (แบบแผน) กรรมฐาน ชือ่ วา อุคคหะ การไตถ าม (ขอความ) กรรมฐาน ชื่อวา ปธิปจุ ฉา ความปรากฏแหง (นิมิต) กรรมฐาน ช่ือวา อปุ ฏ ฐาน ความแนวแน แหงกรรมฐาน ชือ่ วา อปั ปนา ความกําหนดกรรมฐานไว มีอธิบายวา จดจาํ สภาพแหง กรรมฐานไวว า กรรมฐานนม้ี ีลกั ษณะอยา งนี้ ชอื่ วา ลกั ษณะ พระโยคาวจร เม่อื เรียนเอากรรมฐานมีสนธิ ๕ ดงั นี้ ตวั เอง * ปจฺ สนฺธิก มหาฎีกาและใหแ ปลวา ปจฺ ปพฺพ - ๕ หมวด ๕ ขอ หรอื ปฺจภาค - ๕ สว น

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 113 เลา กไ็ มลําบาก ทงั้ ไมเ บยี ดเบียนอาจารยด ว ย เพราะฉะนัน้ อานาปาน- สติกรรมฐานนี้ พระโยคาวจรพึงใหอาจารยแสดงข้นึ ใหแต (คราวละ) นอย ใชเวลาสาธยายไปนาน ๆ เรียนเอากรรมฐานใหไ ดสนธิ ๕ อยาง นน้ั แลว อยใู นสํานักของอาจารยก็ได ในเสนาสนะอื่นมปี ระการดงั กลา วมากอ นก็ได ตัดปลโิ พธเลก็ นอ ยเสีย ทาํ ภัตกจิ บรรเทาความเมา อาหารแลว นั่งใหสบาย (คอื นัง่ ตามแบบ) ยังจิตใหร า เรงิ ดว ยระลกึ ถึง คุณพระรตั นตรยั ไมล ืมแมส กั บทเดียวแตท ่เี รยี นจากอาจารย มนสกิ าร ไปเทอญ [วิธีมนสกิ าร] นเ่ี ปน วิธมี นสกิ ารในอานาปานสตกิ รรมฐานนัน้ คือ ๑. คณนา นับ (ลม) ๒. อนพุ นฺธนา ติดตา (ลม) ๓. ผสุ นา ท่ี (ลม) กระทบ ๔. ปนา ตั้ง (จิต) มนั่ ๕. สลลฺ กฺขณา กาํ หนดไดช ัด ๖. ววิ ฏฏ นา หยดุ ๗. ปารสิ ทุ ธฺ ิ หมดจด และ ๘. เตส ปฏปิ สฺสนา ยอนดูววิ ฏฏนาและปารสิ ุทฺธนิ นั้ ในบทเหลา นนั้ บทวา คณนา กค็ ือนับ (ลม) น่นั เอง บทวา อนพุ นธฺ นา คอื ตาม (ลม) ไป บทวา ผสุ นา หมายถงึ ท่ี ๆ ลม

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 114 กระทบ บทวา ปนา หมายเอาอัปปนา บทวา สลลฺ กขฺ ณา ไดแกวิปสนา บทวา ววิ ฏฏนา ไดแ กมรรค บทวา ปารสิ ทุ ธฺ ิ ไดแ กผ ล และบทวา เตส ปฏิปสสฺ นา ก็คอื ปจจเวกขณ [คณนา-วิธนี บั ] ในวธิ ีเหลานั้น อาทิกัมมิกกุลบตุ รนค่ี วรมนสิการกรรมฐานน้ี ดวยวธิ ีนับกอ น ก็แลเมอื่ นบั ไมพึงหยุดได ๕ ไมพงึ นําไปเหนือ ๑๐ ไมพึงแสดงความ (นบั ) ขาดในระหวา ง เพราะเมอ่ื หยุดใต ๕ จติ - ตบุ าทจะดนิ้ รนอยใู นโอกาสอับแคบ ดงั ฝูงโคถกู กั้นไวในคอกแคบ ๆ ดิ้นอยูฉะน้นั เม่ือนําไปเหนอื ๑๐ เลา จติ ตบุ าทก็จะพะวงอยูใ นการ นับนน้ั เสยี (ไมพะวงถึงกรรมฐาน) เมอ่ื แสดงความ (นับ) ขาดใน ระหวา ง จติ จะหวั่นไป ดว ยคิดทอ) วากรรมฐานของเราจะถึงทีส่ ุด หรือไมห นอ ?* เพราะฉะนัน้ พึงนับเวนโทษเหลาน้ันเสีย [นบั ชา ] อนั อาทิกัมมิกะผจู ะนบั ควรนบั โดยวธิ ีนบั ชา คือนับอยางคนตวง ขา วเปลอื กกอน จริงอยู คนตวงขา วเปลอื กตักเต็มทะทานแลว รอ งวา '๑' เทลงไป ตักอีก เห็นมูลฝอยอะไร ๆ (ปนอยูในขา ว เกบ็ ) ท้งิ มนั ไปพลางก็ (เท) รองวา '๑.๑' ไป นัยในการรอ ยวา '๒.๒' * มหาฎีกาวา นับขาดนั้นคอื นบั ขา มเสยี ๑ เชน วา ๑. ๓. ๕. เขา ใจวานบั ขาม ๆ ขาด ๆ อยา งน้ัน หนกั เขาจติ จะเหนอื่ ย จึงเกดิ ทอใจขนึ้

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 115 เปนตน กด็ จุ นยั น๑ี้ ฉันใด แมอ าทกิ มั มกิ กลุ บตุ รน้ี ก็พงึ ถอื เอาลม อัสสาสะปส สาสะอันทป่ี รากฏ๒ กําหนดลมซึ่งเปน ไปอยเู ร่ือย ๆ นั่นแหละ นับเริม่ แตวา ๑.๑ จนถงึ ๑๐.๑๐ ฉนั นนั้ เหมือนกัน เมอ่ื เธอนบั อยอู ยางน้นั ลมอัสสาสะปส สาสะทอ่ี อกและเขา อยยู อมปรากฏ๓ [นับเรว็ ] ทีนี้ เธอพงึ ละวธิ นี ับชา คอื นบั อยา งคนตวงขาวเปลอื กนั้นเสยี แลว นับโดยวธิ ีนับเร็ว คอื นบั อยา งโคบาล จริงอยู โคบาลผูฉลาด พกกอนกรวด ถอื เชอื กและไมตะพด ไปสคู อก (โค) แตเ ชาตรู (เปด คอก) หวดโคหลายตวั เขาทห่ี ลงั แลว (ขน้ึ ) น่งั บนปลายเสาลมิ่ (คอย) นบั แมโคท่ีออกมา ๆ ถงึ ประตวู า ๑.๒---- (โดย) ซัดกรวด ลงที่ละเม็ด (เปน คะแนน) เร่อื ยไป ฝูงโคซง่ึ อยูกันอยางลาํ บากใน ท่แี คบมาตลอด ๓ ยามราตรี เมอ่ื อกก็เบยี ดเสียดกนั ออกเปนกลุม ๆ โดยเรว็ โคบาลนนั้ ก็นับเรว็ ๆ เหมอื นกนั วา ๓.๔.๕.----๑๐ (ฉันใด) แมเมอื่ อาทกิ ัมมิกกุลบตุ รน้นี ับอยูโดยนัยกอ น ลมอสั สาสะปส สาสะ ปรากฏแลวเดินเร็วถข่ี ้ึน ตอนั้น เธอทราบวาลมเดินถแ่ี ลว อยา พงึ ถือ เอาลมขา งในและขา งนอก ถอื เอาแตท ่ีมันมาถงึ ชอ ง (จมูก) เทานนั้ ๑. ทําไมชาวสหี ลจงึ ใชท ะนาน (นาฬี) ตวงขา วเปลือก และทาํ ไมคนตวงขา วจึงตอ งรองบอก คะแนนเปน ควู า ๑. ๑, ๒. ๒ ไมเ ขาใจอกี แหละ จะเปน รอง ๒ คน คอื คนตวงรอ งกอ น แลว คนรบั เอาไปเทรอ ยซ้ํากระมงั ? ๒. มหาฎีกาวา นี่หมายถงึ ผทู ีล่ มอสั สาสะหรอื ปสสาสะ ปรากฏแตอ ยา งเดียว ลมอยา งใดปรากฏ กอ นก็นับลมนนั้ ไป แตผ ใู ดลมปรากฏทง้ั ๒ คือทัง้ ออกทงั้ เขา ก็พงึ นบั ทั้ง ๒ ๓. มหาฎกี าวา ปรากฏเพราะจติ สายไปภายนอกไม ดวยอาํ นาจแหง การนับหนว งไว

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 116 นับเรว็ ๆ วา ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙ ๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖. ๗. ๘. ๙. ๑๐ ฉนั นนั้ เพราะวาในกรรมฐานทเ่ี นื่องดวยการนับ จติ จะมอี ารมณ เดยี วไดก็ดว ยกําลังแหงการนับเทานนั้ ดจุ ความหยุดของเรอื ในกระแส นาํ้ เช่ยี ว จะมไี ดก ด็ วยอาํ นาจการคํ้าไวด ว ยถอ ฉะน้ัน เมอ่ื เธอนบั เรว็ ๆ อยอู ยา งนัน้ กรรมฐานยอมปรากฏ เปนดังวาเปน ไปไมม ีชอ งวา ง๑ ครน้ั วาเธอทราบวา กรรมฐานเปนไปไมมีชอ งวาง กอ็ ยากําหนดลม ขางในและขางนอก พงึ นบั เร็ว ๆ โดยนัยท่กี ลาวมากอ นนนั่ เถิด เพราะ วาเมื่อสงจิตไปพรอ มกับลมทีเ่ ขาขางใน๒ จติ จะ (รสู ึก) เปน เหมือน ถกู ลมปะทะ และเหมือนเต็มไปดวยมันขนอยขู างใน เมื่อปลอ ยจติ ออกไปพรอมกับลมทอี่ อกขา งนอก จิตกจ็ ะแสส ายไปในอารมณตาง ๆ ภายนอกเสยี ตอเม่อื ตงั้ สติไวตรงโอกาสทล่ี มกระทบภาวนาไปนน่ั แล ภาวนาจึงจะสาํ เรจ็ ได เพราะเหตุนัน้ ขาพเจาจึงวา \"อยางกาํ หนดลม ๑. มหาฎีกาวา นิรันตรปวตั ิ (เปน ไปไมมชี อ งวาง) ก็คอื จิตตง้ั ม่ันอยกู บั ลม ไมสายมาสา ยไป นั่นเอง (?) ๒. วาตพฺภาหต เมทปูริต วยิ โหติ มหาฎกี าแกเปน ๒ อปุ มาวา วาเตน ต าน อพฺภาหต วิย เมเทน ปูรติ  วยิ จ โหติ ในที่นแี้ ปลตามฎีกา

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 117 ขา งในและขางนอก พึงนบั เรว็ ๆ โดยนยั ที่กลาวมากอนนน่ั เถิด\" ถามวา กล็ มนนั้ จะตองนับไปนานเทาไร ? ตอบวา พงึ นับไป จนกวาเวนนบั แลว สตกิ ย็ งั ตั้งแนอยูไดใน อารมณคืออัสสาสะปส สาสะ ดวยวา การนับก็ทําเพื่อตัดความตรกึ ท่ีซาน ไปภายนอกเสียแลว ตัง้ สตไิ วใ นอารมณค ืออสั สาสะปสสาสะใหไดน่ันแล [อนุพนฺธนา - วิธตี ิดตามลม] คร้ันมนสกิ ารโดยวิธนี บั อยางนแี้ ลว พงึ มนสกิ ารโดยวธิ ีตดิ ตาม (ตอ ไป) เลกิ นบั เสยี แลวใชส ติตามลมอสั สาสะปสสาสะไปมิใหขาดระยะ ชือ่ วา อนุพนฺธนา - ติดตาม กแ็ ลการตามไปนนั้ ไมพึงทําโดยวธิ ีตาม ไป (กําหนด) ตน (ลม) กลาง (ลม) และปลาย (ลม) เพราะ วาสาํ หรบั ลมที่ออกขางนอก กน็ าภีเปนตน หทยั เปนกลาง นาสกิ เปน ปลาย สาํ หรบั ลมเขาขางใน ก็ปลายนาสิกเปน ตน หทัยเปน กลาง นาภเี ปนปลาย ก็เม่อื อาทิกมั มิกะนนั้ ตามลมนน้ั ไป จติ อนั แกวงไปมา จะเปน (ไป) เพ่อื ความปวนปนและหวนั่ ไหวเปน แท ดังทา นกลา ว ไว (ในบาลปี ฏิสัมภทิ า) วา \"เมอื่ ภกิ ษุใชสติตามลมอัสสาสะไป ท้ังตน กลาง และปลาย (กเ็ ปน อนั ) มีจติ แกวงไปมาอยูภายใน ทั้งกายทั้ง จติ (ของเธอ) ยอ มจะปวนปน หว่ันไหวและวุนวายไป เม่อื ภกิ ษุ ใชสติตามลมปส สาสะไป ทัง้ ตน กลาง และปลาย (กเ็ ปนอนั ) มจี ติ แกวง ไปมาอยภู ายใน ทัง้ กายทั้งจติ (ของเธอ) ยอมจะปว นปน หวัน่

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 118 ไหวและวนุ วาย\" ดังนี้ เพราะเหตนุ ้ัน เมื่อจะมนสิการโดยวิธีอน-ุ พันธนา อยาพงึ มนสกิ ารโดย (ตามไปกําหนด) ตน กลาง ปลาย ทีแ่ ทมนสกิ ารโดยวธิ ผี สุ นาและปนาน่ันแล แทจ รงิ การมนสกิ ารโดยวธิ ีผุสนาและวธิ ีปนา หาไดม ีเปนสว น หนง่ึ ตางหาก ดงั มนสกิ ารโดยวธิ ีคณนาและอนุพนั ธนาไม แตว า ผทู ี่ นับ (ลม) อยูตรงที่ ๆ ลมกระทบ ๆ น่ันแหละ ชอ่ื วามนสิการโดย วธิ คี ณนาดวย โดยวิธีผุสนาดวย ผูท ่เี ลิกนบั แลว ตดิ ตามลมอสั สาสะ ปสสาสะนั้นไปดว ยสติ และต้งั จิตไวตามทางอัปปนา ในที่ ๆ ลมกระ- ทบ ๆ นัน่ แหละ ก็เรียกวา มนสิการโดยวิธอี นพุ นั ธนาดวย โดยวิธี ผสุ นาดว ย โดยวิธี ปนาดวย ความขอนน้ี นั้ บัณฑิตพงึ ทราบโดย อุปมาดว ยคนงอยและคนรักษาประตู ทก่ี ลา วไวใ นอรรถกถาทัง้ หลาย๑ และโดยอุปมาดว ยเล่อื ย ท่กี ลา วไวใ นปฏสิ มั ภทิ า ใน ๓ อปุ มานัน้ นี่เปนอปุ มาดวยคนงอย คอื คนงอยไกวชิงชา ใหแ มล ุกผุเ ลน ชงิ ชา กนั ๒ นง่ั อยูท โี่ คนเสาชงิ ชาน้นั แหละ ยอมเห็นปลาย ๒ ขาง ท้งั ตรงกลางดว ย๓ ของกระดานชิงชาอนั (แกวง) มาและไป อยโู ดยลาํ ดบั แตกม็ ิไดขวนขวายจุดปู ลายทง้ั ๒ ขาง และกลาง (ของ ๑. ถายอมรับวา พระพุทธโฆสแตง วสิ ุทธิมรรคนี้กอ นอรรถกถาอนื่ ๆ คาํ วา 'ในอรรถกถาทง้ั หลาย' น้ี กต็ อ งหมายถงึ อรรถกถาท้ังหลาย ท่ีปราชญช าวสหี ลแตง ไวก อน เชน มหาอรรถกถา (?) ๒. มหาฎีกาวา คาํ วา แมลกู (มาตปุ ุตตฺ าน) หมายถงึ ภรรยาและบตุ รของเขา ๓. มหาฎีกาวา ท่ีเหน็ วา ปลายกระดานทั้ง ๒ ขางนนั้ คอื เมอ่ื มนั แกวง มา เหน็ ปลายหนา เมอ่ื มันแกวงไป เหน็ ปลายหลัง เชน นีเ้ ราตอ งเขาใจวา ทา นหมายถงึ เขาไกวใหม นั แกวง ไปมาทางปลาย กระดาน อยา งชิงชา หนาโบสถพราหมณ กรุงเทพฯ ไมใ ชไ กวใหแกวง ทางหนากระดาน อยา งท่ี เหน็ ตามสนามเดก็ เลน

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 119 กระดานชิงชา) ฉนั ใดก็ดี ภกิ ษกุ ฉ็ ันน้นั เหมอื นกนั ยืนท่ีโคนเสา อนั เปนทผ่ี ูก (จิต คือปลายจมกู ) ดว ยอาํ นาจแหงสติ ไกวชิงชา คือ ลมอสั สาสะปสสาสะแลว นงั่ ลงทีน่ มิ ิตน้ันแหละดว ยสติ เม่ือตดิ ตามไป ดวยสติ ตง้ั จิตไว (ม่ัน) ตรงทล่ี มกระทบนนั้ นน่ั แหละ ยอ มเห็น ตน กลาง ปลาย ของลมอสั สาสะปสสาสะ ในที่ ๆ มนั มาและไปกระทบอยู โดยลําดับ แตไ มขวนขวายท่จี ะดูมัน น่เี ปนอปุ มาดวยคนงอย สว นความ (ตอ ไป) นเ้ี ปนอุปมาดวยคนรกั ษาประตู คอื คน รักษาประตูไม (เที่ยว) สอบสวนคน (ทอ่ี ยู) ในเหมือนและนอกเมอื ง วา ทา นเปน ใคร หรอื วาทา นมาแตไหน หรอื วา ทานจะไปไหน หรือ วาอะไรอยูในมือทาน เพราะวา คนเหลาน้นั มิใชเ ปน ภาระของเขา เขาจะสอบสวนแตค นท่ีมา ๆ ถึงประตูเขาเทานั้น ฉนั ใจกด็ ี ลมเขา ขา ในกด็ ี ลมออกขา งนอกกด็ ี ไมเปน ภาระของภกิ ษนุ ้ี ลมทม่ี า ๆ ถงึ ชอ ง (จมูก) เทานนั้ เปนภาระ ฉนั นั้นเหมือนกนั และ น่ีเปนอุปมาดว ย คนรกั ษาประตู สว นอปุ มาดว ยเลือ่ ย พึงทราบตั้งแตตนไป* ดงั นี้ กแ็ ละ คํา (ตอ ไป) นีท้ านกลา วไว (ในปฏสิ มั ภิทามรรค) วา นมิ ิต ลมอสั สาสะ ลมปสสาสะ มิไดเ ปนอารมณ ของจิตดวงเดียวกนั แตเมอ่ื ภกิ ษไุ มรธู รรม ๓ อยาง (น้ี) ภาวนาก็ไมสําเรจ็ นมิ ติ ลมอัสสาสะ ลม ปส สาสะมไิ ดเ ปนอารมณข องจติ ดวงเดียว แตเ มอ่ื * คอื ตัง้ แตความทเ่ี ปนอปุ ไมยไป

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 120 ภกิ ษุรูธรรม ๓ อยา ง (น้)ี ภาวนายอมสําเรจ็ ๑ มอี ธบิ ายอยางไร ? มอี ธิบายวา ธรรม ๓ อยา งน้ี มไิ ดเ ปน อารมณของจติ ดวงเดยี วกัน แตธ รรม ๓ นี้ จะเปนสิง่ ทพี่ ระโยคีไมรกู ็ หามไิ ด จติ เลาก็มไิ ดถึงซ่ึงความสา ยไป ปธาน (ความเพยี ร) เลา ก็ปรากฏ และพระโยคกี ็ยังประโยคใหส าํ เร็จบรรลุธรรมวเิ ศษได เปรียบ เหมอื น (ขอน) ไมท เ่ี ขาทอดไวท่ีพน้ื ดินราบ๒แลว บรุ ษุ พงึ ตดั มันดวย เล่อื ย บรุ ุษ (นัน้ ) ตัง้ สตไิ วตรงท่ฟี นเลอื่ ยกระทบไม หาใสใจฟน เล่อื ยทีม่ าหรือไปกต็ ามไม แตวา ฟน เรือ่ ยท่ีมาหรอื ไปกไ็ มใ ชเขาไมร ู ปธาน (คอื ความเพียรเล่ือยไม) เลากป็ รากฏอยู และขายังประโยค (คอื กิรยิ าเลอ่ื ยไม) ใหส ําเร็จ ไดรับประโยชนอนั เย่ียม ฉันใดกด็ ี อปุ - นพิ ันธนานมิ ิต๓ (ท่ีหมายสําหรบั ผกู จิต คือปลายจมูกหรอื รมิ ฝปากบน) กเ็ หมือน (ขอน) ไมทเ่ี ขาทอดไวทีพ่ ้ืนดินราบ ลมอัสสาสะปสสาสะ เหมือนฟน เลื่อย ภกิ ษุนง่ั ต้งั สติไวท ่ปี ลายจมูกหรือมขุ นมิ ิต๔ (ทห่ี มาย รมิ ฝป ากบน) ไมใ สใ จถงึ ลมอัสสาสะปส สาสะ ทมี่ าหรอื ไปก็ตาม แต ลมอัสสาสะปส สาสะทมี่ าก็ดไี ปกด็ ี จะเปน ส่งิ ทีเธอไมร ูก ห็ ามิได ปธาน- เลา ก็ปรากฏ และเธอยังประโยคใหสาํ เรจ็ บรรลุธรรมวเิ ศษได ก็ ๑. ท่ีวา ไมรูธ รรม ๓ อยา ง หมายความวา ไมไ ดท าํ ธรรม ๓ อยางน้ันใหเ ปนอารมณ รู ก็คอื ได ทาํ ใหเ ปน อารมณ ๒. ที่ทา นประกอบคําวา 'ราบ' ไวด ว ยน้ี กเ็ พราะวา ถา พ้ืนไมราบ ขอนไมก็กระโดกกระเดก เล่ือยยาก ๓. เปนอปุ นพิ นธฺ น...กม็ ี ๔. มหาฎกี าวา คนจมกู ยาว ใชปลายจมกู เปนทห่ี มาย คนจมูกสั้นใชร มิ ฝป ากบน ซึง่ เรียกวา มขุ นิมิต (เพราะคนจมกู สน้ั ลมถกู รมิ ฝป ากบนชดั ?)

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 121 เหมือนบรุ ุษ (นน้ั ) ตง้ั สติไวตรงท่ฟี นเล่อื ยกระทบไม ไมใสใจถึงฟน เลอ่ื ยมาหรอื ไป แตว า ฟน เล่ือยทมี่ าหรอื ไปก็มิใชเขาไมร ู ปธาน (คอื ความเพียรเลอ่ื ยไม) เลาก็ปรากฏอยู และเขายังประโยค (คอื กิรยิ าเล่ือยไม) ใหส ําเรจ็ กไ็ ดร ับประโยชนอ นั เยีย่ มฉะนนั้ พงึ ทราบอรรถาธิบายแหงคําวา ปธาน เปนตน ถามวา ปธาน เปนไฉน ? แกว า ทงั้ กายทงั้ จิตของภกิ ษผุ ูปรารภความเพยี ร เปน (กัมมนิยะ) ควรแกการ (ภาวนา ดวยความเพียรใด ความเพยี ร อนั เปนเหตุควรแกการแหงกายและจิต) น้ี เรยี กวา ปธาน๑ ถามวา ประโยคเปนไฉน ? แกว า อุปกเิ ลสทงั้ หลาย ภกิ ษผุ ู ปรารภความเพียรละได วิตกท้ังหลาย (ของเธอ) รํางบั ไป (ดว ย ภาวนานโุ ยคใด ภาวนานุโยคอนั เปน เหตลุ ะอปุ กเิ ลสราํ งับวิตก) นี้ เรยี กวา ประโยค๒ ถามวา ธรรมวเิ ศษเปนไฉน ? แกวา สงั โยชนท้ังหลาย ภกิ ษุ ผปู รารภความเพยี รละได อนุสัยทั้งหลายสดุ ส้นิ ไป (ดวยธรรมใด ธรรมอนั เปน เหตุละสงั โยชน เปน เหตุสิ้นอนสุ ัย) น้เี รียกวาธรรมวิเศษ ธรรม ๓ อยา งน้ี มไิ ดเปน อารมณข องจติ ดวงเดยี วกัน แตธ รรม ๓ อยางน้ี จะเปน ส่ิงท่ีพระโยคีไมร กู ห็ ามิได จิตเลา ก็มิไดถงึ ซงึ่ ความ สายไป ปธาน (ความเพียร) เลากป็ รากฏ และพระโยคนี ้นั กย็ ัง ๑. พูดอยางนี้ ทานเรยี กวา ผเลน เหตทุ สั สนะ (แสดงเหตุดว ยผล) ๒. มหาฎีกาวา อุปกิเลส ในท่ีน้ีหมายเอานีวรณ ละโดยวกิ ขัมภนปหาน วติ ก หมายถึงมจิ ฉาวติ ก มกี ามวติ กเปน ตน

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 122 ประโยคใหสําเรจ็ บรรลุธรรมวเิ ศษได ดวยประการฉะนี้ อานาปานสติ อนั ภกิ ษใุ ดลาํ เพญ็ ดีเตม็ ทแ่ี ลว ส่งั สม (ทาํ ใหช าํ่ ชอง) โดยลาํ ดับ ตามท่ี พระพทุ ธเจาทรงแสดงไว ภิกษนุ ้นั ยอมยัง โลกนใ้ี หสวาง ดุจดวงจันทรพน จากหมอก สองแสงอยฉู ะนั้น* แล น่เี ปน อปุ มาดวยเลอ่ื ย กก็ ารท่พี ระโยคไี มต องใสใจไปตามลมท่มี าและ ไปอยางเดยี วเทานั้น บัณฑติ พงึ ทราบวา เปนประโยชน (ทต่ี อ งการ) ในขอ น้ี สําหรับผูมนสิการกรรมฐานนล้ี างทาน นิมิตจะเกดิ และ ฐปนา กลาวคืออัปปนาอันประดับดว ยองคฌานที่เหลือ จะสาํ เรจ็ ไมชา เลย แตสาํ หรับลางทา น เมอื่ ความกระสับกระสา ยทางกายรํางับลงดวยอาํ นาจ ความดับไปแหง ลมอสั สาสะปส สาสะท่หี ยาบโดยลาํ ดับ จบั แตก าลที่ มนสกิ ารโดยวิธนี บั ทงั้ กายทง้ั จติ ยอมเบา สรีระเปนประหนงึ่ ถึงซึง่ อาการลอยอยใู นอากาศ เม่อื คนมกี ายกระสบั กระสา ย นง่ั บนเตียงหรอื ตัง่ ก็ตาม เตียงตัง่ ยอ มโยกยอ มลน่ั เคร่อื งลาดยอมยบั แตเม่อื คนมกี าย ไมกระสับกระสายนงั่ เตียงตง่ั กไ็ มโยกไมล ั่นเลย เครอ่ื งลาดก็ไมย บั เตยี งต่ังเปนดงั วายดั นนุ เพราะอะไร เพราะกายที่ไมก ระสบั กระสา ย ยอ มเบา ฉนั ใด เม่ือความกระสับกระสายทางกายรํางับลงดว ยอํานาจ ความดบั ไปแหงลมอัสสาสะปส สาสะท่หี ยาบโดยลําดับ จบั แตก าลที่ * ข. ป. ๓๑/๒๕๘

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 123 มนสกิ ารโดยวธิ นี บั ทั้งกายทง้ั จิตยอมเบา สรรี ะเปนประหนงึ่ ถึงซึง่ อาการลอยออยใู นอากาศ ฉนั น้ันเหมอื นกนั ครงั้ ลมอัสสาสะปสสาสะ หยาบดับไปแลว จติ ของพระโยคีนั้นกย็ งั มีนิมิตแหง ลมอสั สาสะ ปส สาสะละเอียดเปนอารมณเปนไปอยู แมนมิ ิตนน้ั ดงั จติ ดวงตอ ๆ ไปก็ยังมนี มิ ติ แหงลมท่ลี ะเอียดย่งิ กวาน้ันเปนอารมณตอ ไปอยูน่นั ถาม วา เปน ไปอยางไร ? เฉลยวา บณั ฑติ พึงทราบวา เปน เหมอื นบุรษุ เคาะกงั สดาลดวยแทน โลหะ เสียงอันดังพงึ เกิดข้ึนฉบั พลัน จติ ของเขา พึงมเี สยี งหยาบเปน อารมณเ ปนไป คร้ังเสยี งหยาบดบั แลว หลงั นั้นไป จติ ของเขาก็มีนมิ ติ แหงเสยี งละเอียดเปน อารมณ---- แมเมื่อนิมติ นนั้ ดับ จิตดวงตอ ๆ ไปของเขา ก็ยังมนี ิมิตแหง เสียงละเอียดยง่ิ กวาน้นั เปน อารมณตอ ไปได ฉะนัน้ จรงิ อยู แมพ ระสารีบุตรก็ไดก ลาวขอ น้ไี ว (ในปฏิสัมภทิ ามรรค) วา \"เมือ่ กงั ส (ดาล) ถูกเคาะแลว---- แม ฉันใด\" ดังนี้ เปน ตน ความพสิ ดาร บัณฑติ พึงกลา ว (ตามแนว ปฏสิ มั ภิทามรรคนั้น) เถดิ [ลกั ษณะท่ีตางจากกรรมฐานอ่ืน] กรรมฐานนี้ หาเปนอยางกรรมฐานอน่ื ๆ ซงึ่ (เม่ือเจริญไป) ยงิ่ ชดั แจงยงิ่ ขนึ้ ไม สวนกรรมฐานนี้ เม่ือเจริญย่งิ ขึน้ ไป (กลบั ) ถึงซ่งึ ความละเอยี ดลงจนถึง (ลม) ไมป รากฏไปเลย แตเ ม่อื กรรม- ฐาน (ลม) นัน้ ไมปรากฏไปอยางนั้น ภกิ ษุนั้นกอ็ ยา เพอลุกจากท่นี ง่ั สลัดจมั ขัณฑไปเสยี ถามวา จะพึงทาํ อยางไรเลา ? เฉลยวา อยา

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 124 พึงคิดวาจักไปถามอาจารย หรอื เขา ใจวา บดั น้ี กรรมฐานของเรา เส่ือมเสียแลว ลกุ ไปเสีย เพราะเม่อื เปลยี่ นอริ ิยาบถไป กรรมฐาน กก็ ลายเปนงานใหมไปใหมเ สียเทาน้ัน เพราะฉะนนั้ เธอน่งั อยูตามเดมิ นน่ั แหละ พงึ นาํ (ลม) มาจากตําแหนง (แหงท่ีมนั กระทบ) เถดิ [อบุ ายนาํ ลมคืน] (ตอ ไป) นี้ เปน อุบายนํา (ลมคืน) มา ในคํานน้ั ภิกษุ น้นั รภู าวะคือความไมปรากฏแหงกรรมฐานแลว พึงคดิ ดูเองดังนวี้ า \"อนั ลมอสั สาสะปสสาสะนมี้ อี ยทู ีไ่ หน ไมมที ีไ่ หน มีแกใ คร หรือ ไมม แี กใ คร\" ทีน้ี เม่อื เธอคิดดูไปอยางนัน้ กจ็ ะทราบไดว า \"ลม อัสสาสะปสสาสะน้ี ไมมอี ยูภายในทองของมารดา (๑) ไมม แี กพ วก คนที่ดําลงในนํา้ (๑) อยางเดยี วกัน คือไมมแี กพ วกคนทสี่ ลบ (๑) คนตายแลว (๑) ผูเขาจตุตถฌาน (๑) ผปู ระกอบดวยรปู ภพและ อรปู ภพ (๑) ผเู ขา นิโรธ (๑)\" ฉะนแี้ ลว พงึ ตักเตอื นตนดว ยตนเอง ดังนว้ี า \"นแ่ี นะ พอ บณั ฑิต ตวั เจา มใิ ชผ อู ยใู นทอ งของมารดา มิใชผ ดู าํ ลงในน้ํามิใชผ สู ลบ มใิ ชผ ตู ายแลว มใิ ชผูเ ขาจตตุ ถฌาน มิใชผ ปู ระกอบ ดวยรปู ภพและอรปู ภพ มใิ ชผ ูเขา นโิ รธ มใิ ชห รอื ลมอสั สาสะปสสาสะ ของขามอี ยแู ท แตเ จา ไมอาจกําหนดได เพราะความท่ีเจา เปนคนมี ปญญาออ นดอก\" ตอนน้ั เธอพงึ ตงั้ จติ ไวต ามท่ี ๆ ลมกระทบโดยปกติ ยังมนสิการใหเปนไปเถดิ กล็ มอัสสาสะปส สาสะน้ี สาํ หรบั คนจมูกยาว กระทบกระพุงจมกู เปนไป สําหรบั คนจมกู สนั้ กระทบริมฝปากบน เปนไป เพราะฉะน้นั เธอพึงตั้งทห่ี มายไววา ลมกระทบทต่ี รงนี้

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 125 แทจ รงิ พระผมู ีพระภาคเจา ทรงอาศยั อํานาจประโยชน (คือเหตุ) นแ้ี ล จงึ ตรัสไวว า \"ดูกรภิกษุทงั้ หลาย เราไมกลาวอานาปานสตภิ าวนา แกค นทห่ี ลงลมื สติไมม สี ัมปชญั ญะ*\" ดังน้ี อันกรรมฐานทุกอยา ง ยอ มสําเรจ็ แกผ มู สี ติสมั ปชัญญะเทานั้น ก็ จริงแล แตท วา กรรมฐานอืน่ จากนี้ เมือ่ ภกิ ษุมนสิการไป ๆ (ย่งิ ) เหน็ ชัด สวนอานาปานสติกรรมฐานนีห้ นกั การภาวนาก็หนัก เปน ภูมิมนสิการแหงพระพุทธ พระปจเจกพทุ ธ และพระพทุ ธบตุ รทง้ั หลาย ผเู ปน มหาบุรษุ เทานั้น ไมใชก ารนดิ หนอ ย และไมใชการที่สตั วเล็ก นอ ยจะสองเสพได มนสกิ ารไปดว ยประการใด ๆ ก็ยอมสงบและสขุ ุม ไปดวยประการนั้น ๆ เพราะเหตุนั้น ในกรรมฐานขอ นี้ จําปรารถนา สตแิ ละปญ ญาอนั กลา แขง็ เหมอื นในเวลาชุมผาเน้ือเกลี้ยง (ละเอยี ด) แมเขม็ กต็ องใชเขม็ เลก็ ท้ังปญ ญาอันสมั ปยุตดวยสตนิ ั้น ท่ีเปรียบดว ย ดายรอ ยหวงเข็มอันกลาแขง็ ฉนั นัน้ เหมือนกนั ก็แลภิกษุผูป ระกอบดว ยสติปญ ญานัน้ อยา พงึ แสวงหาลมอัสสาสะ ปส สาสะในท่อี น่ื จากที่ ๆ ลมกระทบตามปกติ เหมอื นชาวนาไถนา แลว ปลอ ยโคพลพิ ัท (โคงานตัวผ)ู ทาํ ใหมันบายหนาสทู ่ีหากนิ แลว พึงนั่งพักอยูในรม คร้ันแลว โคพลพิ ทั เหลานน้ั ของเขา ก็เขาดงไป (หากนิ ) โดยเรว็ ชาวนาผทู เี่ ปนคนฉลาด ใครจะจับมันมาเทียม (ไถ) * ม. อุ. ๑๔/๑๙๖

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 126 อกี จะไมต ามรอยมันเที่ยวดั้นดง (ไปจับ) แตเ ขาถือเชือกและปฏกั ตรงไปทาที่มันลง (น้าํ ) ทเี ดยี ว นงั่ หรอื นอน (คอย) อยู ทนี ้ีเขา เห็นโคเหลา นน้ั ท่ีมนั เท่ยี ว (หากนิ ) ตอนกลางวันแลว ลงสูทา นํ้า แช๑ และด่มื นาํ้ แลวขน้ึ มายนื อยู จึงผกู ดว ยเชือก ทิ่มดว ยปฏัก จงู มาเทียม (ไถ) ทาํ งานอีก ฉันใด ภกิ ษนุ ้ันก็ไมพ ึงแสวงหาลมอสั สาสะปสสาสะ น้นั ในที่อื่น จากท่ี ๆ ลมกระทบตามปกติ แตพึงถือเชอื กคอื สติ และ ปฏักคอื ปญ ญา ตัง้ จิตไว ณ ที่ ๆ ลมกระทบตามปกติ ลมนน้ั จะ ปรากฏไมน านเลย ดจุ โคทัง้ หลายปรากฏตัวทท่ี าลงนาํ้ ฉะนั้น แตน ัน้ เธอพึงผกู ไวดวยเชอื กคือสติ เทียมไวที่ตรงน้นั แหละ แทงดว ยปฏัก คือปญ ญา ประกอบกรรมฐานไวรํา่ ไปเถดิ เมอ่ื เธอประกอบไปอยางนั้น ไมชา นมิ ติ ๒ก็จะปรากฏ [นิมิตปรากฏตา ง ๆ กนั ] ก็แล อาจารยลางเหลา กลา ววา นมิ ิตน้นี ัน้ หาเปนเชน เดียวกนั แก พระโยคาวจรทง้ั ปวงไม แตวามนั ปรากฏแกล างทา นเปน เหมือนปุยนุน กม็ ี เหมือนปยุ ฝา ยกม็ ี เหมือนสายลมก็มี ทย่ี ังสขุ สัมผัสใหเกิด สวนความ (ตอไป) นี้ เปนวินิจฉยั ในอรรถกถาทั้งหลาย กน็ ิมติ นี้ สาํ หรบั ลางทาน ปรากฏเปนเหมอื นดวงดาว เหมือน เมด็ มณี และเหมอื นเม็ดไขม กุ กม็ ี ลางทาน ปรากฏเปนสิ่งมีสัมผัส ๑. โคเมอื งไทย ดูเหมือนไมใ ครช อบแชนาํ้ ๒. มหาฎีกาวา นิมติ นี้ คอื อคุ คหนมิ ิต หรือปฏภิ าคนมิ ติ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 127 หยาบ เหมอื นเม็ดฝา ยและเหมือนเสี้ยนไมแกนกม็ ี ลางทา นเหมอื น สายสงั วาลยาว เหมอื นพวงดอกไมแ ละเหมอื นเปลวควันก็มี ลางทาน เหมอื นใยแมลงมุมท่ีขงึ แลว เหมือนแผนเมฆ เหมือนดอกปทมุ เหมือนลอรถ เหมือนวงดวงจันทร และเหมือนวงดวงอาทติ ยก ็มี ก็แลกรรมฐานนน้ี ้ันกอ็ ยางเดยี วนน่ั แล (แตน ิมิต) ปรากฏตาง ๆ กัน๑ ก็เพราะความท่ีพระโยคาวจรมสี ญั ญาตา ง ๆ กนั เปรียบเหมอื นเมอ่ื ภิกษุ หลายรูปน่งั สาธยายพระสูตร (สตู รหนึ่ง) กันอยู ครนั้ ภิกษุรปู หนึ่ง กลาว (ถาม) ขึน้ วา สตู รนีป้ รากฏแกท า นท้งั หลายเปน เชนอะไร ภกิ ษุ รปู หนงึ่ กบ็ อกวา ปรากฏแกข าพเจา เปนเหมือนลาํ น้ําใหญท ่ีไหลลงจาก ภูเขา อีกรปู หนึง่ บอกวา สาํ หรับขาพเจา เหมอื นแนวปา อันหน่ึง (ซึง่ สะพรงั่ ดวยไมเปน แนวไป ?) รูปหน่ึงบอกวา สําหรบั ขา พเจา เหมอื นตนไมทเ่ี ตม็ ไปดวยพวงผล เพรียบพรอมไปดว ยกิง่ กา นมรี มเงา เยน็ อนั ทจี่ รงิ พระสตู รนนั้ กส็ ตู รเดยี วน่ันแหละ (แต) ปรากฏแกเธอ ท้งั หลายตาง ๆ กนั เพราะความทเ่ี ธอทัง้ หลายมีสัญญาตางกัน ฉะน้นั ๒ ๑. มหาฎกี าวา อุปมาท้งั หลาย มีเม็ดมณเี ปน ตน ไป ควรจะเปนปฏภิ าคนิมติ ๒. เร่ืองอุปมาดวยภิกษุหลายรูปสาธยายพระสูตรเดียวกนั ปรากฏความรูสกึ ตา ง ๆ กนั น้ีเขา ใจ ยากอยู มหาฎกี าทานจึงชว ยอธิบายเพ่มิ เตมิ ใหว า ท่พี ระสูตรปรากฏเหมือนสายน้าํ ใหญใหลลง จากภเู ขาน้นั หมายถึงสวดไดค ลอ ง เจอื้ ยไมขาดสาย ราวกะสายนํา้ ไหลพลั่ง ๆ ลงจากภเู ขา ที่วา เหมอื นแนวปา หมายถงึ พระสตู รนน้ั มีความงามดวยอรรถ และพยญั ชนะ เปนถอ งแถวไป แตตน จนจบ ราวกะหมูไมใ นปา ตน ฤดฝู น ผลติ อกออกใบงามสะพรงั่ เปนแนวเนื่องไปท้ังปา ทีว่ าเหมอื นไมออกผล. . . มีเงารม เยน็ หมายถึงพระสตู รนนั้ มีอนสุ นธิหลายตอนมนี ัยตา ง ๆ ละเอียด แสดงกรรมฐานหลายอยา งตางวธิ ี พอท่คี นผมุ คี วามประสงคจะอาศัยศกึ ษาเปน แนวทาง ปฏิบัติไดอ ยา งดี ราวกะตนไมม ผี ลดก. . . รม เงาเย็น เปน ทอ่ี าศัยของคนและสตั ว ท่ตี อ งการผล กเ็ ขา เกบ็ กนิ ทตี่ องการรมเงาก็เขา จบั เขา พกั

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 128 เพราะกรรมฐานน้ีเกดิ จากสญั ญา มีสญั ญาเปนเหตุ มสี ญั ญาเปนแดนเกิด เพราะฉะนั้น พึงทราบวา ยอมปรากฏไดตาง ๆ กนั เพราะมีสัญญาตางกนั [ยํา้ เร่อื งธรรม ๓ ขอ ] ก็ในกรรมฐานนี้ จิตที่มลี มอสั สาสะเปนอารมณ เปนจิตดวงหนึ่ง จิตทีม่ ีลมปส สาสะเปนอารมณ กเ็ ปน จติ ดวงหนึ่ง จติ ท่มี นี มิ ติ เปน อารมณ กเ็ ปนจติ ดวงหน่ึงแท อันธรรม ๓ ขอ นี้ ของผูใดไมม ี กรรมฐานของผนู ้นั ยอมไมถ งึ อปั ปนา ไมถ งึ อุปจารเลยทีเดยี ว* แตธ รรม ๓ ขอน้ขี องผูใดมีอยู กรรมฐานของผูน้ันแหละ ยอ มถึงอปุ จารดวย อปั ปนาดว ย จริงอยู คาํ น้ี ทานกลาวไว (ในปฏิสัมภทิ ามรรค) วา นมิ ติ ลมอสั สาสะ ลมปสสาสะ มไิ ดเปน อารมณข องจิตดวงเดียวกนั แตเ มอ่ื ภกิ ษุไมร ู ธรรม ๓ อยาง (น)้ี ภาวนาก็ไมส ําเร็จนิมติ ลมอัสสาสะ ลมปส สาสะ มิไดเ ปน อารมณ ของจิตดวงเดยี วกัน แตเ ม่ือภิกษุรูธรรม ๓ อยาง (น)้ี ภาวนายอ มสําเรจ็ * ปาฐะในวิสุทธมิ รรควา เนว อปฺปน น อุปจาร ปาปณุ าติ เรียงอปั ปนาไวก อนอปุ จาร ผิดลาํ ดับอยา งไรอยู ไมเ หน็ มคี วามจําเปนอยางไรเลยที่จะเรยี งอยางน้นั ปาฐะตอไปบรรทดั ลา งก็มี วา . . . อปุ จารฺจ อปปฺ นจ ปาปณุ าติ ถกู ลาํ ดบั ดี ตรงน้ีมหาฎีกาแกไ ววา \"น อุปจารนตฺ ิ อปุ าจารมฺป น ปาปุณาติ ปเคว อปฺปนนตฺ ิ อธิปหฺ าโย-คาํ วาไมถงึ อปุ จาร อธบิ ายวา แมอุปจาร ก็ยังไมถ ึง จะกลา วอะไรถงึ อปั ปนาเลา \" ดังน้ี นา จะเขา ใจวา ตรงนี้มแี ต น อปุ จาร สว น เนว อปปฺ น เกนิ ถา ตดั เนว อปปน ออก ความจะสนทิ ดกี วา

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 129 [นมิ ติ ปรากฏแลวทาํ อยา งไร] พระทฆี ภาณกาจารยทง้ั หลาย กลา วอยางนกี้ อนวา \"ก็เมื่อนมิ ติ ปรากฏแลวดังน้ี ภกิ ษนุ ัน้ พึงไปหาอาจารยแลวเรียนวา 'ขา แตทานผู เจรญิ อารมณรูปอยางน้ีปรากฏแกข า พเจา' ฝา ยอาจารยอยาเพ่ิงบอก วาน่นั คอื นิมิต หรือวา ไมใ ชน มิ ิต พงึ กลาววา \"มันยอมเปน อยา ง นั้นแหละ อาวุโส (สาํ หรบั ผปู ระกอบภาวนา)\" แลวกลาว (กําชับ) วา \"เธอจงมนสกิ ารอยางนัน้ บอ ย ๆ เขาเถดิ \" เพราะวา เมอื่ อาจารย บอกวา เปนนิมติ เขา เธอจะหยดุ พักเสีย ครัน้ บอกวา ไมใ ชน มิ ิต เธอกจ็ ะหมดหวังทอเสยี เพราะเหตนุ ้ัน จงึ ไมค วรบอกท้ัง ๒ อยา ง เปน แตกําชับในการมนสิการเทานน้ั ฝา ยพระมัชฌิมภาณกาจารยท ัง้ หลายกลาววา \"โยคาวจรภกิ ษุน้ัน เปน ผูที่อาจารยควรบอก (ตรง ๆ ) วา 'น่ี นมิ ติ ละ อาวโุ ส เธอจง มนสกิ ารกรรมฐานบอย ๆ เขาเถดิ สตั บรุ ษุ \"* ลําดบั นัน้ โยคาวจรภกิ ษนุ ั้นพึงต้ังจิตไวใ นนิมิตน้ันแหละ (ให * โดยนยั มหาฎกี า มตขิ องอาจารยทัง้ ๒ ฝา ย กม็ ที างเปน ไดดว ยกนั คือ มติของพระทฆี ภาณ- กาจารย ทวี่ า ถาบอกวา เปน นิมติ เขา เธอจะหยดุ พกั เสียนนั้ ก็อาจเปน ไดว า เมือ่ เธอรวู า ไดน ิมิตแลว กจ็ ะคดิ วา \"อนั นิมิตนย้ี ากทจ่ี ะทาํ ใหเกดิ ขน้ึ บดั นี้ นมิ ิตนนั้ เราก็ไดแลว เอาละ เราจะตองบรรลุ ธรรมวเิ ศษ เมอ่ื ใดก็เมือ่ นนั้ แหละ\" ดังนแ้ี ลว ก็จะหยอ นความเพยี รพักเสยี บาง ครัน้ บอกวา ไมใ ช นมิ ติ ก็จะคิดวา \"เราอตุ สาหบาํ เพ็ญภาวนามานานถึงเพยี งนแ้ี ลว แมแ ตนิมติ กไ็ มเ กดิ เราจะเปน คนอาภัพตอ ธรรมวเิ ศษเสยี ละกระมงั \" ดงั น้แี ลว กท็ อ เสยี สว นมตขิ องมชั ฌมิ ภาณกาจารยท ใ่ี หบอกตรง ๆ นัน้ กเ็ ปน ไดว า เมอื่ พระโยคาวจรปฏบิ ัตดิ วย ความม่นั ใจวา เธอจะตอ งพน จากชรามรณะไดดว ยปฏิปทาอันนี้ คร้นั ทราบแนวา นมิ ิตเกดิ แลว ทไี่ หน จะหยอ นเพียรเสยี มแี ตจ ะทาํ ความอตุ สาหะย่ิงข้นึ ไปเสยี อกี

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 130 มน่ั ) โดย (การตัง้ ภาวนาจติ ไวใ นปฏิภาคนมิ ิต ม)ี ประการดังกลา ว ภาวนาของเธอน้ี จําเดิมแต (เกิดปฏภิ าคนิมิตขึ้น) น้ไี ป จงึ เปน ภาวนาเนอื่ งดว ยวิธีฐปนา สมดังคาํ พระโบราณาจารยท ้งั หลายกลาว ไววา พระโยคาวจรผูมีปญ ญาตงั้ จติ ไวใน (ปฏภิ าค) นมิ ิต ยงั อาการตาง ๆ ในลมอัสสาสะ ปส สาสะ ใหห ายไป ยอมผูกจิตของตนไว (ใหเ ปน อัปปนา) ได๑ ตง้ั แตป รากฏนิมิตอยา งนน้ั ไป นวี รณท้ังหลายกเ็ ปน โทษทีเ่ ธอ ขมไดแน กเิ ลสทัง้ หลายระงบั เงียบไป สตมิ ัน่ คง จิตดํารงมั่นโดย อุปจารสมาธิเปนแท ลําดับตอไป นิมิตนั้น เธออยา พึงใสใ จโดยสี อยาพงึ กําหนด โดยลกั ษณะเลยทเี ดียว๒ แตว าพึงเปนผูเ วน อสัปปายะ ๗ มอี าวาส (ทเ่ี ปนอสัปปายะ) เปน ตน แลวเสพสัปปายะ ๗ มีอาวาส (ที่เปน ๑. นานาการ - อาการตาง ๆ หมายถึงที่เรียกวา 'จตฺตาโร วณณฺ า' คือ หายใจออกสน้ั - ยาว หายใจเขาสนั้ - ยาว เปนอาการ ๔ อยาง วภิ าวย ทา นแกเ ปน ๒ นยั ๆ แรก แปลวา 'ทําใหหายไป ' คือใหอ นั ตรธานไป หมายความ วา ตง้ั แตปฏภิ าคนิมติ เกดิ แลว พระโยคาวจรมไิ ดใ สใจถงึ ลม อาการเหลา น้ันจงึ เทากบั อนั ตรธานไป อกี นยั หนึง่ ลางทานแปล วิภาวย วา 'ทาํ ใหม ี - ใหปรากฏ' ถา แปลอยา งน้ตี อ งยกข้นึ แปล กอ น ปย ดังนี้ 'พระโยคีผมู ีปญญายงั อาการตา ง ๆ ในลมอสั สาสะปสสาสะใหปรากฏ คอื รลู ม เหลานัน้ โดยอาการตาง ๆ ---นิมติ ใดในลมน้นั เกดิ ข้นึ ตั้งจิตไวใ นนิมติ นน้ั ยอ มผูกจติ ของตนไวได คอื ทาํ ใหเปนอปั ปนาไดโ ดยลําดบั ' ในท่นี แี้ ปลตามนัยแรก ๒. ปจจฺ เวกขฺ ติ พฺพ น้ี ในมหาฎกี าเปน ลกฺขติ พฺพ ดูจะเขาทีกลา เพราะเขารปู กับ ลกฺขณโต สนิท

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 131 สปั ปายะ) เปนตน เหลานนั้ แหละ รกั ษาไวใ หด ี ดังพระขตั ตยิ - มเหสี รกั ษาพระครรภท เ่ี กิดแตพระเจาจักรพรรดิ และชาวนารักษาทอ ง ขาวสาลี และขา วเหนียวฉะน้นั ท่นี ้ี คร้ันเธอรกั ษานมิ ิตน้นั ไวอยา งนี้ แลว พงึ ทาํ ใหถ งึ ความเจริญงอกงามโดยวิธมี นสิการบอ ย ๆ ยงั อัปปนา- โกศล ๑๐ ประการใหถ งึ พรอม ประกอบความเพยี รใหส มํ่าเสมอไวเถิด เม่ือเธอพยายามอยูอยา งน้ัน จตกุ ฌานหรอื ปญ จาฌานจะเกิดข้ึนใน เพราะนมิ ิตน้ัน โดยลาํ ดับท่ีกลา วแลว ในปฐวีกสณิ นัน่ แล [วธิ ีเจรญิ วิปส นาตอ] [กาํ หนดนามรูป] กแ็ ล ภิกษุผูมีจตกุ ฌานหรอื ปญ จกฌานเกิดแลว อยางน้ี เปนผู ใครจะเจริญกรรมฐานโดยวิธสี ลั ลักขณา (คือวิปส นา) และวิวฏั ฏนา (คือมรรค) แลว บรรลุปาริสทุ ธิ (คือผล) ในอานาปานสติภาวนานี้ (ตอไป) ยอมทาํ ฌานนัน้ แลใหถ งึ ความเปนวสดี ว ยอาการ ๕ แคลว คลอ งแลว กาํ หนดนามรูปเริม่ ต้ังวปิ สนา ถามวา เรมิ่ ตงั้ อยางไร ? ตอบวา อนั โยคาวจรภิกษุนั้นออกจากสมาบตั แิ ลว ยอมเห็นไดวา กรชั กายและจติ ดว ย เปนสมทุ ัยแหง ลมอัสสาสะปสสาสะทั้งหลาย เปรยี บ เหมอื นเมอื่ เตา (สบู ) ของชางทอง ถูกชักสบู อยู ลมอาศยั สบู และ ความพยายามทีค่ วรแกการน้นั ของบุรษุ (ประกอบกัน) ยอ มเขา ออก ไดฉนั ใด ลมอสั สาสะปสสาสะก็อาศัยกายและจิต (ประกอบกัน)

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 132 เขาออกไดฉันน้ันเหมือนกันแล* ตอนั้นเธอยอมกาํ หนดลงไดวา ลม อสั สาสะปส สาสะและกายดวย เปน รปู จติ และธรรมทสี่ มั ปยุตกบั จิตนั้น ดว ย เปน อรปู นเี้ ปนความสังเขปในการกําหนดนามรูปน่นั สว นการ กําหนดนามรปู โดยพิสดารจักมีแจง ขางหนา ครงั้ กาํ หนดนามรปู ไดอ ยา งนีแ้ ลวก็หาปจ จัยของมนั ดู เม่อื หาดู เห็นมนั แลว กข็ ามความสงสยั ปรารภความเปนไปแหง นามรปู ในกาลทง้ั ๓ เสียได ผขู ามความสงสยั ไดแลว ยกขึน้ สไู ตรลกั ษณโ ดยพิจารณา เปนกลาป ละวิปสนูปกิเลส ๑๐ มีโอภาสเปน ตน อนั เกิดข้นึ ในสว น เบื้องตน แหงอุทยพั พยานุปสนาเสีย กําหนดเหน็ ปฏิปทาญาณอันพน จากอปุ กิเลสแลว วาเปน ทาง ละ (การพจิ ารณา) ขางเกดิ แลว ก็ถึง ภังคานปุ สนา (ดแู ตข า งดับ) แลว ก็เบอื่ หนายหายรัก ในสงั ขารท้งั ปวง ทปี่ รากฏโดยความเปนของนากลัว เพราะเห็นแตขา งดับหาระหวา งมไิ ด หลุดพน ไป ถงึ อรยิ มรรค ๔ ตามลาํ ดบั ต้ังอยใู นอรหัตผล ถึงท่สี ุด แหงปจจเวกขณญาณ ๑๙ ประเภท เปนอคั รทกั ขไิ ณยของโลกกับทัง้ เทวดา กแ็ ล การเจริญอานาปานสตสิ มาธแิ หงโยคาวจรภิกษนุ น้ั อัน จัดเอาคณนา (วธิ นี บั ) เปน เบอ้ื งตน มปี ฏปิ สนา (คือปจจเวกขณะ) เปนปริโยสาน กเ็ ปน อนั จบลงแตเพยี งนแี้ ล นเ้ี ปน พรรณนาจตกุ กะ ท่ี ๑ (จบ) โดยอาการท้งั ปวง สวนในจตกุ ะ ๓ นอกนี้ เพราะ ไมจัดวา มีนยั แหงการเจริญกรรมฐานอีกแผนกหน่ึง เพราะฉะนั้น * มหาฎีกาวา กรชั กาย เหมอื นตา จิต เหมอื นความพยายามของคน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 133 เนอื้ ความแหงจตกุ กะ ๓ น้นั บัณฑติ พงึ ทราบแตโดยนัยแหงการ พรรณนาอนุบท (บทยอ ย ?) เถิด [พรรณนาจตุกกะที่ ๒] ขอวา ปตปิ ฏสิ เ วที----น้ัน ความวา ภิกษุสาํ เหนียกวา 'เรา จักทําปต ใิ หเปน ส่งิ ท่ีตนรชู ดั คือทําใหปรากฏ หายใจออกหายใจเขา' ในขอนัน้ มอี รรถาธบิ ายวา ปติเปนสงิ่ ที่ภกิ ษุรชู ดั โดยอาการ ๒ คอื โดยอารมณ ๒ โดยอสมั โมหะ ๑ ถามวา ปต เิ ปนสิ่งท่ภี กิ ษุรชู ดั โดยอารมณอยางไร ? ตอบวา ภิกษเุ ขาฌาน ๒ ทีม่ ปี ต ิ (เปนองค) ๑ เพราะไดฌ าน (๒ นัน้ ) ปติก็เปน อันภกิ ษนุ ัน้ รูชดั ไดโ ดยอารมณ เพราะอารมณ (ของฌานนั้น) เปน สงิ่ ทีเ่ ธอรปู ระจกั ษอ ยูใ นขณะท่ี เธอเขา (ฌาน) อยู๒ (นน้ั ) ถามวา ปต เิ ปน สิง่ ท่ีภิกษรุ ูชัดโดยสัมโมหะอยางไร ? ตอบวา ครั้นเธอเขาฌาน ๒ ทม่ี ปี ติ (เปน องค) ออกแลว กพ็ จิ ารณาปต ิ อนั สมั ปยุตตดวยฌาน (นนั้ ) โดยความสนิ้ ไปเสื่อมไป ปต ิก็เปนอันเธอ รูชัดไดโดยอสัมโมหะ เพราะรแู จงลกั ษณะ๓ ในขณะที่เห็นดว ยวปิ ส นา- ๑. หมายถงึ เขา ปฐมฌานและทตุ ิยฌานโดยลาํ ดับ ๒. มหาฎีกาแสดงอปุ มาวา เหมือนคนเดินหาจับงู เมือ่ พบโพรงท่ีอาศยั ของมนั แลวกเ็ ทา กบั ไดพบ ตัวงู แลวเขากจ็ บั มนั ไดจ ริง เพราะการจับงดู วยอาํ นาจมนตน ั้นทําไดงา ย ๆ ฉนั ใด เมอื่ ภิกษไุ ดรู อารมณ (ฌาน) อนั เปนท่อี าศัยของปต แิ ลว ปตินน้ั กเ็ ปน อนั เธอรดู ว ยโดยแท เพราะกรที่จะ กําหนดจบั ปตนิ ้ันโดยลกั ษณะของมนั หรอื โดยสามญั ลกั ษณะ ทาํ ไดง าย ฉนั นน้ั ๓. มหาฎกี าวา หมายถงึ ลกั ษณะของปต เิ อง และสามญั ลักษณะ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 134 ปญ ญาอยู (นัน้ ) สมดวยคําทกี ลา วไวใ นปฏสิ มั ภทิ าวา \"เม่อื ภิกษุรู อยซู ึง่ ความมีอารมณเดยี ว ความไมส ายไปแหงจิต ดวยอาํ นาจความ หายใจออกยาง (เปนอารมณ).... สตยิ อ มต้ังมน่ั (อยูใ นอารมณน้ัน) ปตินัน้ ก็เปน สง่ิ ที่เธอรูไดชดั ดวยสตนิ ั้นดวยความรูนั้น เม่ือภิกษรุ ูอ ยซู ง่ึ ความมีอารมณเ ดยี ว ความไมส ายไปแหง จติ ดว ยอํานาจความหายใจ เขายาว (เปน อารมณ) ---- ดวยอํานาจความหายใจออกสั้น (เปน อารมณ)---- ดวยอํานาจความหายใจเขาสัน้ (เปนอารมณ)----ดว ยอาํ นาจ ความเปนผรู ูต ลอดกายท้ังหมดหายใจออกหายใจเขา (เปน อารมณ)---- ดวยอํานาจความเปนผรู ะงับกายสังขารหายใจออกหายใจเขา (เปน อารมณ) สตยิ อมตัง้ มนั่ (อยูในอารมณน น้ั ) ปต นิ นั้ เปน สิ่งที่เธอรู ไดช ัดดว ยสตนิ ัน้ ดวยความรูน้นั เมอ่ื ภกิ ษนุ กึ หนวง (ฌาน) อยู ปต ิ นัน้ ก็เปนสิง่ ท่ีเธอรชู ดั ได เมื่อภกิ ษรุ ูอ ยู- ---เห็นอยู----ปจ จเวกขณอ ยู---- อธิษฐานจติ อยู* ---- ตดั สนิ ใจดว ยศรทั ธาอยู---- ประคองความเพยี รอย-ู --- ยงั สติใหตั้งมั่นอยู---- ตง้ั จิตใหแ นว แนอย-ู --- รดู ว ยปญญาอย-ู --- รูย ่งิ ซ่งึ อภิญไญยธรรมอย-ู --- กาํ หนดรูซ่ึงปรญิ ไญยธรรมอยู---- ละซง่ึ ปหาตพั พ- ธรรมอย-ู --- เจริญภาเวตัพพธรรมอยู- --- ทาํ ใหแจง ซึ่งสัจฉกิ าตัพพธรรม อยู ปตินน้ั กเ็ ปนสงิ่ ทเี่ ธอรไู ดช ดั ปตินนั้ เปนส่ิงท่ีภกิ ษรุ ชู ัดดวย * คืออธิฐานฌานจติ วา จกั อยใู นฌานตลอดเวลาเทานนั้ เทาน้ี

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 135 ประการฉะน้\"ี ๑ แมบ ททีเ่ หลือ (คือ สุขปฏสิ เวที จิตตฺ สงฺขารปฏิสเ วท)ี กพ็ งึ ทราบโดยความตามนัยน้ีเถดิ แตน ีเ่ ปน ความแปลกกกนั นดิ หนอยใน บทเหลา นัน้ คอื สุขปฏสิ เ วทติ า (ความทีภ่ กิ ษุรชู ัดซง่ึ สขุ ) พงึ เขาใจ วาเน่ืองดว ยฌาน ๓ (ท่ีมีสขุ เปน องค) จติ ฺตสงฺขารปฏิสเวทติ า (ความทีภ่ ิกษุรูช ดั ซ่ึงจิตตสังขาร) พึงเขา ใจวา เนื่องดว ยฌานทั้ง ๔ (ซึง่ มเี วทนาเปน องคตลอด) ขนั ธ ๒ มเี วทนาเปนตน ชอ่ื จิตตสงั ขาร กใ็ นบทสขุ ปฏิสเวทนี ้นั ทานแกไวในปฏิสมั ภทิ าวา คําวา สขุ ไดแก สขุ ๒ คอื กายกิ สขุ ๑ เจตสกิ สุข ๑ ดงั นี้ เพือ่ แสดงวิปส นาภูม๒ิ ขอวา ปสสฺ มฺภย จติ ฺตสงฺขาร นั้น ความวา ระงบั คือดบ จตตสังขารที่หยาบ ๆ ความดบั จิตตสังขารนนั้ พงึ ทราบโดยนัยท่ี ๑. มหาฎีกาวา แบง เปน ๔ ตอน ๆ แรก ๔ อาการ และตอสอง ๕ อาการ (แตอาวชชฺ โต- นกึ หนว ง ถงึ จติ ตฺ  อธฏิ ิหโต - อธิษฐานจติ ) แสดงการรปู ตโิ ดยอารมณตอนส่ี (แตอ ภิเฺ ยฺย อภชิ านโต - รูย งิ่ ซ่งึ อภิญไญยธรรม ถงึ สจฉิ กิ าตพพฺ  สจฺฉกิ โรโต - ทาํ ใหแ จงซึ่งสัจฉิกาตพั พธรรม) แสดงการรปู ตโิ ดยอสัมโมหะ สวนตอนสาม (สทธฺ าย อธิมุจจฺ โต - ตัดสินใจดว ยสรทั ธา ถงึ ปฺ าย ปชานโต - รดู วยปญ ญา) แสดงการรปู ติทงั้ โดยอารมณท ้ังโดยอสมั โมหะ เม่ือวา โดย สงั เขป รูโดยอารมณ ก็ดว ยเปน สมถะ รโู ดยอสัมโมหะ กด็ วยเปนวปิ ส นา ปาฐะตอนส่ี ในวสิ ทุ ธมิ รรค เรยี งไวว า อภิเฺ ยฺย ปริฺเยยฺ  ปหาตพฺพ ภาเวตพฺพ สจฉฺ กิ าตพพฺ  สจฉฺ ิกโรโต เมื่อแปลจําตอ งเติม อภิชานโต ปรชิ านโต ปชหโต และภาวยโต ตามลําดบั ทานไมเรยี งไว ดว ยเหน็ วานกั เรยี นอาจเตมิ ไดเ องกระมัง แตใ นมหาฎกี าแกไ ว ดูเปน วา ของทา นเรยี งไวเสรจ็ เพราะทานยกมาเปน บทต้งั เชนวา อภิชานโตติ วปิ สฺสนาปฺาปพฺพงคฺ มาย มคคฺ ปฺ าย ชานโต-บทวารยู ิ่งคอื รูดว ยมรรคปญ ญาอนั มีวปิ ส สนาปญญาไปหนา ๒. มหาฎกี าวา สมเถ กายกิ สขุ าภาวโต เพราะในสมถะ ไมมกี ายกิ สขู

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 136 กลา วแลวใน (ตอนแก) กายสงั ขารโดยพสิ ดาร๑ อน่ึง ในบทเหลานน้ั ในบทปต ิ ทา นกลา วเวทนาโดยแงปต ิ ในบทสขุ กลาวเวทนา โดยรูปของมนั เอง ในบทจิตตสังขาร ๒ บท นับวา กลาวเวทนาที่ ประกอบกนั กับสัญญา เพราะบาลี (ในปฏสิ ัมภทิ ามรรค) วา \"สัญญาและเวทนาเปนเจตสิก ธรรม (๒) นั้นเนอ่ื งกบั จิต เปนจิตต- สงั ขาร\" ดังน้ีแล๒ บัณฑติ พึงทราบวา จตกุ กะนต้ี รสั โดยนัยแหง เวทนานุปสนา ดว ย ประการฉะน้ี [จตกุ กะที่ ๓] แม จติ ตฺ ปฏสิ เวทติ า (ความกาํ หนดรูจ ติ ) ในจตุกกะท่ี ๓ ก็พงึ ทราบวาเนือ่ งดวยฌานทง้ั ๔ ขอ ขอ วา อภปิ ปฺ โมทย จิตตฺ  น้นั ความวา ภิกษุสําเหนียกวาเราจักเปนผูยังจติ ใหบนั เทงิ ใหป ล้ืม ใหรา เรงิ ใหเ บกิ บาน หายใจออกหายใจเขา ความบันเทงิ ในขอนน้ั ยอ มมีดวยอาการ ๒ คอื ดว ยอํานาจสมาธิ ๑ ดวยอาํ นาจวปิ สนา ๑ ถามวา บันเทงิ อาํ นาจสมาธอิ ยา งไร ? แกว า ภกิ ษุเขาฌาน ๒ ท่ีมปี ติ (เปน องค) เธอยงั จิตใหบ นั เทิงใหปล้ืมดวยปติ อันเปนสมั - ๑. หมายความวา แกค วามนยั เดยี วกนั ตา งกนั แตท นี่ ่นั เปนกายสังขาร ทีน่ ี่เปน จติ ตสังขารเทานั้น ๒. อรรถาธบิ ายวา ใน ๓ บทน้ี แสดงเวทนาดวยกนั ทงั้ นน้ั ตางกนั ตรงทว่ี า บทปตแิ สดงสุขเวทนา ในแงปติ หมายความวา เวทนาน้สี ัมปยตุ กบั ปติ ไมใชเ วทนาลนุ ๆ และไมใชปติอสิ ระ สวนใน บทสุขนนั่ แหละแสดงเวทนาตรงตัว แตใ นบทจิตตสังขารแสดงเวทนาทีส่ มั ปยตุ กับสญั ญา

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 137 ปยุตธรรม ในขณะทเี่ ขา ฌานอยนู ้นั (อยางน้เี รยี กวา บนั เทงิ ดวย อํานาจสมาธิ) ถามวา บนั เทิงดว ยอํานาจวปิ สนาอยา งไร ? แกวา ภิกษุ ครนั้ เขาฌาน ๒ ทมี่ ปี ต ิ (เปนองค) ออกแลว พิจารณาปตอิ นั สัมปยุตกบั ฌาน โดยความส้ินไปเสอื่ มไป เธอทาํ ปต ิอนั สัมปยตุ กบั ฌาน ใหเ ปน อารมณ ยังจติ ใหบ ันเทิง ใหปลม้ื อยใู นขณะท่เี ห็นดวยวิปสนา อยู (น้นั ) อยา งนี้ ผปู ฏบิ ตั ิดังนีเ้ รียกวา \"สาํ เหนียกวา เราจกั เปน ผยู งั จติ ใชบ ันเทิง ยง่ิ หายใจออกหายใจเขา\" ขอ วา สมาทห จิตฺต น้นั ความวา ดาํ รงจิตใหเ สมอ คอื ตั้ง จิตใหเสมอ*ในอารมณ ดว ยอาํ นาจฌาน มปี ฐมฌานเปน อาทิ หรือ อน่งึ เมอ่ื ภิกษเุ ขาฌานเหลา นั้นออกแลว พิจารณาจิตอนั สมั ปยุตกับฌาน โดยความส้ินไปเสอ่ื มไปอยู ขณกิ จติ เตกัคคตา (ความมีอารมณเ ดยี ว แหงจติ อนั ต้ังอยชู วั่ ขณะหน่ึง) เกดิ ขึ้นเพราะความรแู จง (ไตร) ลกั ษณะ ในขณะแหง วิปสนา ภิกษุดาํ รงจิตใหเสมอ คือตั้งจติ ใหเสมอใน อารมณแ มด วยอํานาจขณิกจิตเตกัคคตาอันเกดิ ขน้ึ อยา งน้นั ก็ดี เรยี กวา \"สาํ เหนยี กวา 'เราจกั ตั้งจิตม่ันหายใจออกหายใจเขา \" ขอ วา วิโมจย จติ ฺต น้ัน ความวา ภิกษุเปล้ืองปลดจิตจาก นวี รณทั้งหลายดว ยปฐมฌาน เปลือ้ งปลดจิตจากวติ กวิจารดว ยทตุ ิยฌาน เปล้อื งปลดจิตจากปติดวยตตยิ ฌาน เปล้อื งปลดจติ จากสขุ ทุกขดว ย จตตุ ถฌาน หรอื อนึ่ง ภกิ ษุเขาฌานเหลานนั้ ออกแลว พจิ ารณาจิตท่ี * หมายความวา ตัง้ แนว เปน อัปปนา ไมห ดหูไมฟ ุงซา น ไมย บุ ไมฟ ู

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 138 สมั ปยุตกบั ฌานโดยความส้ินไปเส่ือมไป ในขณะแหงวปิ ส นา (นัน้ ) เธอเปล้อื งปลดจติ จากนิจจสัญญาดว ยอนจิ จานปุ สนา เปลื้องปลดจิตจาก สขุ สญั ญาดวยทกุ ขานปุ สนา---- จากอัตตสัญญญดว ยอนัตตานปุ ส นา---- จากนนั ทิดว ยนิพพทิ านุปสนา---- จากราคะดวยวิราคานุปสนา---- จาก สมทุ ัยดว ยนิโรธานุปส นา---- จากอาทาน (ความยึดถอื ) ดวยปฏินิส- สัคคานปุ สนา หายใจออกและหายใจเขา เพราะเหตุน้นั จึงเรยี กวา \"สาํ เหนียกวา เราจกั เปลือ้ งจิต หายใจออกหายใจเขา\" พงึ ทราบวา จตกุ กะนี้ ตรสั โดยเปน จติ ตานปุ สนา ดวยประการ ฉะน้นั [จตกุ กะท่ี ๔] [อนจิ ฺจานุปสฺสี] สว นในจตุกกะที่ ๔ มีพรรณนาวา ในขอ อนจิ ฺจานุปสฺสี นน้ั บณั ฑิตพึงทราบ อนิจฺจ (สิ่งที่ไมเ ทยี่ ง) พึงทราบอนจิ จตา (ความ ไมเท่ยี ง) พึงทราบอนิจจานุปส นา (การพิจารณาเหน็ วา ไมเ ทีย่ ง) พงึ ทราบอนิจจานปุ สสี (ผพู ิจารณาเหน็ วาไมเ ทีย่ ง) กอ น ใน ๔ บทนนั้ บทวา อนิจฺจ (ส่ิงท่ไี มเ ทย่ี ง) ไดแกปญจขันธ เพราะอะไร เพราะความทป่ี ญจขันธเ หลานั้นมคี วามเกดิ ข้ึนเสื่อมไป และเปน อน่ื ไป บทวา อนจิ จตา (ความไมเ ท่ียง) กไ็ ดแกความ เกิดขน้ึ เส่ือมไปและเปน อ่ืนไป หรอื ความท่ีมแี ลว ก็ไมม ี แหง ปญจ- ขนั ธเ หลา นั้นแหละ อรรถาธบิ ายวา อนิจจตา ก็คือความทป่ี ญจขันธ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 139 ทัง้ หลายเกิดมาแลว ไมต ้งั อยตู ามอาการ (ท่ีเกดิ มา) นัน้ สลายไป โดยขณภังคะ (คอื ดบั ไปทกุ ขณะ) ทีเดียว บทวา อนจิ จานปุ สนา คอื การพจิ ารณาเห็นวาไมเที่ยง ในขนั ธท ้งั หลายมรี ูปเปน อาทิ ดวย อาํ นาจแหงอนจิ จตา (ที่กลาวมา) นน้ั บทวา อนจิ จานปุ ส สี กไ็ ดแก พระโยคาวจรผปุ ระกอบดว ยการพิจารณาเหน็ นั้น เพราะฉะน้ัน ภิกษุผุ เปนอยางนั้นหายใจออกและหายใจเขาอยู พงึ ทราบวา ชอื่ วา สาํ เหนยี ก วา 'เราจักเปนผูพจิ ารณาเหน็ วาไมเทย่ี ง หายใจออกหายใจเขา' ในทีน่ ้ี [วริ าคานปุ สฺสี นโิ รธานปุ สสฺ ]ี สว นในบทวา วริ าคานุปสฺสี นี้ วริ าคะ (ความคลายไป) มี ๒ คือ ขยวริ าคะ (ความคลายโดยสน้ิ ไป) ๑ อัจจนั ตวิราคะ (ความ คลายสุดยอด) ๑ ในวิราคะ ๒ อยา งนัน้ ความสลายไปทกุ ขณะแหง สงั ขารทัง้ หลาย ชื่อขยวริ าคะ พระนิพพาน ชอ่ื อจั จันตวริ าคะ วิปส นาและมรรคอนั เปนไปโดยอนปุ ส นา ๒ อยางน้นั * ชอื่ วา วริ าคา- นปุ สสนา พระโยคาวจรเปน ผูประกอบดวยอนปุ ส นาทง้ั ๒ อยา งนัน้ หายใจออก และหายใจเขา อยู พึงทราบวา ชอื่ วา สาํ เหนยี กวา 'เราจกั เปน ผูพิจารณาเหน็ ความคลายไป หายใจออกหายใจเขา' นยั แมใ นบทวา นโิ รธานปุ สฺสี ก็ดุจนัยน้ี * มหาฎกี าและใหป ระกอบความวา ขยวริ าคานุปส า สําหรับวิปสนา อัจจันตวิราคานปุ สนา สาํ หรบั มรรค

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 140 [ปฏนิ สิ ฺสคคฺ านปุ สฺสี] แมใ นบทวา ปฏินสิ สฺ คคฺ านุปสฺสี น้ี ปฏนิ ิสสัคคะก็มี ๒ คอื ปริจจาคปฏินสิ สัคคะ (ปฏนิ สิ สคั คะ คอื สละเสีย) ๑ ปกขนั ทนปฏ-ิ นสิ สคั คะ (ปฏนิ ัสสคั คะ คือแลนเขาไป) ๑ อนปุ สนา คอื ปฏนิ สิ สคั คะ ชอ่ื ปฏินคิ สัคคานปุ สนา คาํ นี้เปนชือ่ แหง วิปสนาและมรรค แทจริง วิปสายอ มสละเสียซ่ึงกิเลสพรอมทงั้ ขันธ (คือวิบาก) และอภสิ ังขาร (คอื กรรม) ดวยอํานาจตทงั คปหาน และยอมและเขาไปในพระ นพิ พานอนั ตรงกนั ขา มกับกเิ ลสนนั้ โดยความที่นอมโนม ไปทางนัน้ เพราะเห็นโทษในสงั ขตธรรม เพราะเหตนุ ัน้ จึงเรียก (ปฏนิ สิ สัคคะ มี ๒ คอื ) ปฏนิ ิสสัคคะคอื สละเสยี ๑ ปฏินสิ สคั คะคือแลน เขา ไป ๑ สวนมรรคกส็ ละเสียซง่ึ กิเลสพรอ มทง้ั ธันธและอภิสงั ขารดวยอํานาจสมุจ- เฉทปหาน และแลนเขาไปในพระนพิ พาน โดยทาํ (พระนพิ พาน) ใหเ ปนอารมณ เพราะเหตนุ นั้ จงึ เรยี กวา (ปฏนิ สิ สัคคะมี ๒ คอื ) ปฏนิ ิสสคั คะคือสละเสีย ๑ ปฏนิ สิ สคั คะคือแลน เขาไป ๑ ดงั น้ี กว็ ิปสนาญาณและมรรคญาณท้ัง ๒ (นี)้ เรียกวา อนุปสนา เพราะ เหน็ (พระนพิ พาน) ภายหลังญาณกอ น ๆ* พระโยคาวจรภกิ ษุ เปน ผปุ ระกอบดว ยปฏินิสสัคคานุปสนาทงั้ ๒ อยา งนั้น หายใจออกและ หายใจเขา อยู พึงทราบวา ชือ่ วาสําเหนียกวา เราจกั เปนผูพิจารณา * มหาฎกี าสนบั สนนุ วา จรงิ แมม รรคญาณกเ็ ห็นพระนพิ พานภายหลงั โคตรภญู าณ น่ีคอื ทานใหแ ปล อนุ วา 'ภายหลัง' ทานอธิบายแบบน้ที ําใหก ระเทือนอนุปสนาท่ีอ่นื ๆ แลว ก็มี ปญหาวา ปฏนิ สิ สัคคานปุ ส สีเลา จะแปลอยา งไร

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 141 เห็นความสละทง้ิ หายใจออกหายใจเขา จตุกกะท่ี ๔ นี้ ตรสั โดยเปน วิปส นาลวน สว น ๓ จตกุ กะกอน ตรัสโดยเปนสมถะและวิปส นา (เจอื กัน) การเจรญิ อานาปานสติมวี ตั ถุ (ลกู ขอ ) ๑๖ โดยจัดเปน จตุกกะ (หมวดละ ๔ ) ๔ หมวด บณั ฑติ พึงทราบโดยนยั ทพี่ รรณนามาฉะน้ี และอานาปานสตนิ ี้ (ทภี่ กิ ษเุ จริญแลว) ตามวัตถุ ๑๖ อยา งน้ี ยอม มีผลใหญม อี านสิ งสมาก [อานสิ งสอ านาปานสต]ิ ในอานสิ งสแหงอานาปานสตนิ ้ัน มพี รรณนาวา ความที่อานา- ปานสตนิ ้ันมีนิสงสม าก บัณฑิตพึงทราบโดยเปน ธรรมทพ่ี ระผูมี พระภาคเจาทรงสรรเสรญิ มคี วามเปน ธรรมละเมียดเปน ตน ตาม พระพุทธพจนว า \"ภกิ ษุทง้ั หลาย แมอ านาปานสติสมาธินแ้ี ล บคุ คล ทาํ ใหม ที าํ ใหม ากแลว ยอ มเปน ธรรมละเมยี ดแทดวยประณตี แทดวย\"* ดงั น้ีเปน ตน บาง โดยความเปนธรรมสามารถในอันตดั เสียซ่ึงวิตก (มีกามวิตกเปน ตน ) บา ง จริงอยู อานาปานสตสิ มาธนิ ี้ เพราะเปน ธรรมละเมยี ด ประณีต และเปนธรรมเครอื่ งพักอยอู นั ละมุนละไมและ เปน สุข จึงตัดความพลา นไปมาแหงจิตดว ยอํานาจวติ กทง้ั หลายอนั เปน ตวั ทําอันตรายแกสมาธิเสยี ได แลว ทําจิตใหมงุ หนา ตออารมณคอื ลมหายใจออกหายใจเขาเทานั้น เพราะเหตุนน้ั พระผมู ีพระภาคเจาจึง * ส. มหาวาร. ๑๙/๔๐๗

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 142 ตรสั ไวว า \"อานาปานสติ ภิกษุพงึ บําเพญ็ เพือ่ ตัดเสยี ซ่งึ วิตก\"๑ ดงั น้ี อนึ่ง ความทีอ่ านาปานสตนิ น้ั มอี านสิ งสม าก บณั ฑติ พงึ ทราบโดย ความเปน มูลแหงการทาํ วิชชาและวมิ ตุ ใิ หบรบิ ูรณก ไ็ ด จริงอยู พระผูมี พระภาคเจากไ็ ดต รัสคาํ นี้ไววา \"ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย อานาปานสติ ภกิ ษุเจรญิ ทําใหม ากแลว ยอมยงั สติปฏฐาน ๔ ใหบริบูรณ สติ- ปฏฐาน ๔ ภกิ ษเุ จริญทําใหมากแลว ยอมยงั วชิ ชาและวมิ ตุ ิให บริบูรณ\"๒ ดงั น้ี อีกอยา งหนงึ่ ความท่ีอานาปานสตินั้นมีอานิสงสม าก พึงทราบ โดยทาํ ความรลู มอัสสาสะปส สาสะท่ีเปนจรมิ กะ (คอื ครง้ั สดุ ทาย) ก็ได สมคาํ ที่พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั (ในราหุโลวาทสูตร) วา \"ดกู รราหุล เม่ืออานาปานสติ อันภิกษเุ จริญแลว อยา งน้ี ทาํ ใหมากแลวอยา งนแี้ ล แมลมอสั สาสะปส สาสะอนั เปนจริมกะดบั ก็รู หาดบั ไมรไู ม\" ๓ ดงั นี้ ในลมเหลานั้น วาโดยความดับ มีจรมิ กะ ๓ คอื ภวจริมกะ (สุดดว ยอํานาจภาพ) ฌานจริมกะ (สดุ ดว ยอาํ นาจฌาน) จตุ -ิ จรมิ กะ (สุดโดยจุติ) วา ขา งภพ ลมอัสสาสะปส สาสะทง้ั หลายยอ ม เปน ไปในกามภพ หาเปน ไปในรูปภพและอรปู ภพไม เพราะฉะนนั้ ลมเหลา น้ัน จงึ ช่อื ภวจริมกะ (สุดดวยอํานาจภพ) วาขางฌาน ลม ๑. อง.ฺ นวก. ๒๓/๓๗๑ ๒. ม. อ. ๑๔/๑๙๓ ๓. ม. ม ๑๓/๑๔๒

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 143 อัสสาสะปสสาสะ ยอมเปน ไปในฌาน ๓ ขา งตน หาเปน ไปในฌานท่ี ๔ ไม เพราะฉะนน้ั ลมเหลา นั้นจงึ ชอื่ ฌานจรมิ กะ (สุดดวยอาํ นาจฌาน) สวนลมอสั สาสะปสสาสะเหลา ใดเกดิ ขนึ้ พรอ มกบั จติ ขณะที่ ๑๖ เบ้อื งหนา แตจตุ ิจติ ๑ แลวดบั พรอมกบั จตุ ิจติ ลมเหลาน้ี ชอ่ื จุตจิ ริมกะ (สดุ โดย จตุ )ิ ลมจุติจริมกะน้ี (แล) พระผมุ ีพระภาคเจา ทรงประสงคเอาวา เปน ลมคร้ังสดุ ทา ย ในพระสตู รน้ี ไดย นิ วา เพราะความทลี่ มหายใจออกหายใจเขา อนั ภกิ ษุกําหนด เปนอารมณดวยดแี ลว แมค วามเกดิ ขึ้นแหงลมเหลา นัน้ ก็ปรากฏแก ภกิ ษุผปู ระกอบกรรมฐานน้ี เมือ่ เธอนกึ หนวงถงึ ความเกิด (ของมนั ) ในขณะทจี่ ิตดวงที่ ๑๖ เกิดเบือ้ งหนา แตจตุ ิจติ แมค วามต้ังอยูแหงลม เหลา น้ัน ก็ปรากฏ เมื่อเธอนกึ หนวงถึงความตง้ั อยู (ของมนั ) (ของมนั ) แทจรงิ ภิกษุผเู จริญกรรมฐานอยางใดอยางหน่งึ นอกจาก กรรมฐานน้ีแลว ไดบรรลพุ ระอรหัต ยอมกาํ หนดระยะกาลแหง อายุ ไดบางไมไดบา ง แตภิกษุผูเจรญิ อานาปานสติมวี ัตถุ ๑๖ น้ีแลวได บรรลพุ ระอรหตั ยอ มกําหนดระยะกาลแหง อายไุ ดทัง้ น้นั ภิกษผุ ูเจริญอานาปานสติไดบรรลุพระอรหัตนนั้ ยอมรวู า 'บดั น้ี ๑. ทานวา อายขุ องรปู ธรรมนั้น เทากบั ๑๖ ขณะจิต เพราะฉะนน้ั จงึ วา อสั สาสะปส สาสะ (ซ่ึงเปนรปู ธรรม) เกิดพรอมกับจติ ขณะท่ี ๑๖ หลังจุติจติ ไป แตถ านบั จตุ ิดวยกเ็ ปน ๑๗ (?)

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 144 อายุสังขารของเราเปน ไปไดเพียงน้ี ไมเคยนีไ้ ป' ดงั นแี้ ลว ทาํ กจิ ทงั้ ปวงมกี ารชาํ ระรา งกายและการนุง หมเปน ตน ตามธรรมดาของตน น่ันแหละ (เรียบรอย) แลว กห็ ลบั ตา (ดับไป) ดงั พระตสิ สเถระ วัดโกฏิบรรพตวหิ าร ดังพระมหาติสสเถระ วัดมหากรญั ชนยิ วิหาร ดังพระปณ ฑปาติกตสิ สเถระในเทวปุตรฐั และดงั พระเถระสองพ่นี อ ง วัดจติ ตลบรรพวหิ าร ฉะนนั้ (ตอไป) นเี้ ปนคําแสดงเร่อื ง ๆ หนงึ่ ในเรอ่ื งแหง พระเถระ ทง้ั หลายนัน้ มเี ร่ืองเลา วา ทา นองคหนึ่ง แหงพระเถระสองพี่นอ ง (นัน้ ) ลงปาฏโิ มกขใ นวันอุโบสถปณุ ณมแี ลว มีหมภู ิกษุแวดลอมไปสูทีอ่ ยูของ ตน (ไป) ยนื ณ ที่จงกรม แลดู (ทอ งฟาและพื้นดินอนั สวา งดวย) แสงจันทร ใครค รวญดอู ายสุ ังขารของตนแลว กลาวกะหมภู ิกษุวา \"ทานทง้ั หลายเคยเห็นภิกษุผปู รินิพพานดวยอาการอยา งไรบา ง\" ใน ภกิ ษเุ หลา นั้น บางกว็ า เคยเห็นนัง่ ท่ีอาสานะน่งั เองปรินิพพาน บา งก็ วาเคยเห็นนั่นคบู ัลลงั กในอากาศปรินพิ พาน พระเถระจงึ วา \"บัดนี้ เราจกั แสดงภิกษุผูก าํ ลงั จงกรมน่นั เองปรนิ ิพพานใหท า นทง้ั หลาย (ด)ู \" วา แลวกท็ าํ รอยขดี ไวใ นทีจ่ กรม บอกวา \"เราเดินไปจากปลายท่ี จลกรมนี้ ถงึ ปลายท่จี งกรมอกี ขางหนง่ึ แลวกลับมา พอถึงรอยนจี้ กั ปรินพิ พาน\" ดังนี้แลว ลงสทู ีจ่ งกรมไปถงึ ปลายขา งนอกแลวกลบั มา ในขณะเทาขางหนึ่งเหยยี บรอย (ทข่ี ดี ไว) ก็ปรนิ พิ พานพอดี* * ทานนา จะเลา ตออกี สักนิดวา ปรนิ พิ พานแลว ก็คงยืนอยูทาน้ัน หรอื วาลมลงทา ไร

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 145 เพราะเหตุน้นั บณั ฑิตพึงเปน ผูไมประมาท ประกอบ อานาปานสติ อันมอี านสิ งสเ ปนอเนกดังกลาวมาฉะนี้ ทุกเมอ่ื เทอญ นเ่ี ปนกถามขุ โดยพสิ ดาร ในอานาปานสติ

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 146 [อุปสมานุสติ] สวนวา โยคาจรภิกษุผใู ครจ ะเจรญิ อปุ สมานสุ ติ ซ่ึงทานยกข้นึ แสดงไวในลําดบั แหง อานาปานสติ กพ็ ึงไปในท่ลี ับคน เรน อยูแลว ระลึกถงึ คุณทงั้ หลายแหงพระนพิ พาน ที่นบั วา เปนที่ระงับแหงทุกข ท้งั มวล โดยนยั พระบาลีอยา งนว้ี า \"ดกู รภิกษทุ ั้งหลาย ธรรมท้งั หลาย เปนสังขตะก็ดี อสังขตะกด็ ี มปี ระมาณเพยี งใด วิราคธรรม เรากลาว วาเปนเลิศแหงธรรมเหลา น้ัน วิราคธรรมน้ีคอื อะไร ? วิราคธรรมน้ี คือ ธรรมเปน ท่สี รา งเมา เปนท่กี ําจดั ความกระหาย เปน ทีถ่ อนอาลัย เปนท่ตี ดั วฏั ฏะ เปนทส่ี นิ้ ตณั หา เปน ทส่ี ํารอก (ตัณหา) เปน ที่ดบั (ตัณหา) คอื นพิ พาน (แดนออกไปแหง เครอื่ งรอยรัด คอื ตณั หา)\"* ดงั นี้ [แกอ รรถบาล]ี ในปาฐะเหลานน้ั คําวา 'มีประมาณเพียงใด' คอื มีประมาณ เทาใด คาํ วา 'ธรรมทงั้ หลาย' หมายเอาสภาวธรรม คําวา 'เปน สังขตะกด็ ี อสังขตะกด็ ี' นัน้ คอื อนั ปจจัยท้ังหลายประชุมทาํ ขน้ึ กด็ ี อนั ปจ จัยท้ังหลายมิไดประชมุ ทําขน้ึ กด็ ี คําวา 'วริ าคธรรม เรากลา ว วา เปน เลิศแหงธรรมเหลา นั้น' คอื วา วริ าคธรรม เรากลาววา เลศิ คอื ประเสรฐิ สูงสดุ แหง สงั ขตธรรม และอสังขตธรรมทัง้ หลายเหลา น้ัน * องฺ. จตกุ กฺ . ๒๑/๔๔. คาํ แปลบาลีนี้ แปลตายนัยวิสทุ ธิมรรค ท่ีทา นแกว ไวตอไปน้ี

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 147 ใชวา เพียงแตความไมมีระคะเทานั้น ชอ่ื วา วิราคธรรมในบาลนี น้ั กห็ าไม ท่ีแท อสงั ขตธรรม ท่ีไดน ามตา ง ๆ มนี ามวา มทนิมฺมทโน เปนอาทิ ตามบาลวี า ยททิ  มทนมิ มฺ ทโน ฯ เป ฯ นพิ พฺ าน นัน้ กพ็ ึงไดชือ่ วา วิราคธรรมดว ย แทจ รงิ วิราคธรรมน้ัน ทานเรียกวา มทนิมมฺ ทนะ เพราะความเมาท้ังหลายท้งั ปวงมีความเมาดวยอาํ นาจ มานะ และความเมาในความเปน ผชู าย เปนตน มาถึงวิราคธรรมน้นั เขา กส็ ราง คอื หายเมาไป และเรยี กวา ปปาสวินยะ เพราะความ กระหายในกามทงั้ หลายท้ังปวง มาถึงวิราคธรรมนนั้ เขา ก็ถึงซึ่งความ ปราศไป คือตกไป อนง่ึ เรียกวา อาลยสมุคฺฆาคะ เพราะอาลัย คอื ปญ จกามคุณ มาถงึ วิราคธรรมนัน้ เขา กถ็ ึงซึง่ ความถอนข้ึนหมด และเรยี กวา วฏฏจ ฺเฉทะ เพราะวัฏฏะอนั เปน ไปในภมู ิ ๓ มาถึง วิราคธรรมนั้นเขากข็ าด อน่งึ เรียกวา ตณหฺ กขฺ ยะ วิราคะ นโิ รธะ เพราะตัณหามาถึงวริ าคธรรมนั้นเขา ยอมถึงซง่ึ ความสิ้นไป สํารอกไป และดบั ไปโดยประการทง้ั ปวง อนึง่ เลา เรียกวา นิพฺพานะ เพราะ วิราคธรรมน้นั ออกไปคือสลดั ตดั ไปจากตณั หาอนั ไดโ วหารวา 'วานะ' เพราะรอ ยไวผูกไวเยบ็ ไวซงึ่ กําเนดิ ๔ คติ ๕ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ และ สตั ตาวาส ๙ เพอ่ื ความเปน สบื ๆ ไปและ อุปสมะ กลาวคือพระนิพพาน พระโยคาวจรพงึ ระลึกถงึ โดยอาํ นาจคุณทง้ั หลาย มีความเปนท่ีสรา งเมา เปน ตน เหลา นัน้ ดงั กลา วมาฉะนี้ หรือหนึง่ แมค ุณแหง อุปสมะอ่ืนใด ทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจาตรัสไวใ นสตู รตาง ๆ เชนสูตรวา \"ดกู รภกิ ษุ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 148 ทั้งหลาย เราจกั แสดงอสังขตธรรม (ธรรมอนั ปจจยั มไิ ดป ระชมุ ทําข้ึน) แกท า นท้งั หลายดวย เราจักแสดงสัจธรรม (ธรรมอนั จริงแท) ดว ย. . . ปารธรรม (ธรรมอนั เปนฝง นอก) ดวย. . . สทุ ทุ ทฺ สธรรม (ธรรมอนั เหน็ ยากนกั ) ดว ย. . . อชั ชรธรรม (ธรรมอันไมมชี รา) ดว ย. . . ธุวธรรม (ธรรมอันยงั่ ยืน) ดวย. . . นิปฺปปญ จธรรม (ธรรมอนั ไมม ี ส่ิงทที่ าํ ใหเ น่ินชา ) ดวย. . . อมตธรรม (ธรรมอันไมต าย) ดวย. . . สิวธรรม (ธรรมอันปลอดโปรง ) ดว ย. . . เขมธรรม )ธรรมอันพน ภัย) ดวย . . . อัพภตู ธรรม (ธรรมอันอศั จรรย) ดว ย. . . อนตี กิ - ธรรม (ธรรมอนั ไมม เี สนียด) ดวย. . . อพั ยาปชฌธรรม (ธรรม อันไมม คี วามเบยี ดเบียน) ดว ย. . . วสิ ุทธิธรรม (ธรรมคอื ความหมด จด) ดว ย. . . ทีปธรรม (ธรรมดจุ เกาะ) ดวย. . . ตามธรรม (ธรรมอนั เปน เครือ่ งตานทุกข) ดวย. . . เลณธรรม (ธรรมเปน ทล่ี ้ี ทกุ ข) ดว ยแกทานท้งั หลาย\" ดงั นี้เปน ตน พระโยคาวจรพึงระลกึ ถงึ โดยอาํ นาจคุณเหลานั้นกไ็ ดเหมอื นกนั [อานิสงสอ ุปสมานุสติ] เมอื่ เธอระลึกถงึ อุปสมะ โดยอาํ นาจคณุ มคี วามเปนที่สรางเมา เปน ตน อยา งนอี้ ยู ในสมัยน้นั จิต (ของเธอ) ไมถ กู ราคะกลมุ รุม. . . ไมถ ูกโทสะกลุมรุม. . . ไมถูกโมหะกลมุ รมุ เลย ในสมยั นนั้ จิตของเธอ เปน จิตดําเนินตรงมงุ ตอ อุปสมะแทแ ล องคฌ านทงั้ หลายยอมเกดิ ขึ้นแก เธอผขู มนิวรณไดแ ลวในขณะเดียวกนั โดยนัยทีก่ ลา วแลวในอนสุ ติ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 149 กอ น ๆ มพี ทุ ธานุสติเปนตน แตเ พราะความที่อุปสมคุณทั้งหลายเปน คณุ อนั ลึก หรือวา เพราะความที่จติ นอมไปในการระลกึ คณุ มีประการ ตา ง ๆ กนั ฌานนจ้ี งึ เปนฌานไมถงึ อัปปนา ถึงเพยี งอปุ จารเทา นัน้ ฌานนีน้ ้นั กไ็ ดเชื่อวา อุปสมานสุ ติ น่ันเอง เพราะเกิดขึ้นดว ยอํานาจ ความระลึกถึงคุณแหงอุปสมะ และแมอุปสมานุสตนิ ้ี กย็ อ มสาํ เรจ็ แก พระอริยสาวกเทานัน้ เชนดังฉอนสุ ติ (ทีก่ ลา วแลว ) ถึงเชนนนั้ แมปุถชุ นผูหนักในอุปสมะ ก็ควรใสใจดวย เพราะแมด วยอาํ นาจการ ฟง จิตกเ็ ล่อื มใสในอุปสมะได กแ็ ลภิกษผุ ูประกอบอปุ สมานสุ ติน้ัน ยอมหลบั เปน สขุ ต่ืนเปน สุข เปนผูมอี ินทรียส งบ มีใจสงบ ถงึ พรอ มดวยหิรโิ อตตัปปะ นาเล่อื มใส มอี ัชฌาสัยประณตี เปนท่ีเคารพและยกยอ งแหง สพรหมจารที ้ังหลาย อนง่ึ เมอ่ื ยังไมบรรลคุ ณุ ทส่ี งู ข้ึนไป ยอ มเปน ผมู สี ุคตเิ ปนทีไ่ ปในเบื้อง หนา เพราะเหตุนัน้ แล บณั ฑิตผูเ ห็นแจง พงึ เปนผูไม ประมาท เจรญิ ความระลกึ ในอริยอุสมะ อนั มี อานสิ งสเปน อเนก โดยนยั ดงั กลาวมาฉะน้เี ทอญ นเ้ี ปน กถามขุ โดยพสิ ดาร ในอปุ สมานุสติ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 150 บริเฉทท่ี ๘ ชื่ออนุสสติกมั มฐานนิเทส ในอธิการแหงสมาธิภาวนา ในปกรณว เิ ศษช่ือวิสทุ ธมิ รรค อนั ขา เจาทาํ เพ่อื ประโยชนแ กความปราโมชแหง สาธุชน ดัง่ นี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook