Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Description: วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Search

Read the Text Version

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 51 (หาก) ชกั เอาออกจากรา งกายจนสนิ้ (ปน เปนกอนเขา ) กจ็ ะได ประมาณเทาเมลด็ ในพทุ รา* แตต โจ โดยสีก็ขาวเทาน้นั กแ็ ล ความที่มนั ขาวนน้ั จะปรากฏเมอื่ ฉวีถลอก เพราะเหตุมีเปลวไฟลวกเอา และถกู เครอื่ งประหารเปนตน โดยสณั ฐานมันกม็ ีสณั ฐานเหมือนรา ง กายน่ันเอง นเ่ี ปน ความสงั เขปในขอวาโดยสณั ฐานนี้ [สัณฐานหนังตาง ๆ] สวนโดยความพสิ ดาร (พงึ ทราบ) ดังนี้ หนังนว้ิ เทา สณั ฐาน ดังรงั ไหม หนงั หลงั เทา สณั ฐานดังรองเทาหมุ หลงั เทา หนงั แขง สัณฐานดังใบตาลหอขาว หนงั ขา สัณฐานดังไถบรรจุขา วสารเตม็ หนังตะโพก สัณฐานดงั ผืนผา กรองอมุ น้ํา หนังหลัง สณั ฐานดัง หนงั หมุ โล หนงั ทอ ง สัณฐานดังหนังหมุ รางพิณ หนังอก โดยมาก มีสัณฐานส่เี หล่ียม หนงั แขนทัง้ สองขาง สณั ฐานดงั หนงั หมุ แลงธนู หนังหลังมือ สัณฐานดงั ฝกมดี หรือสณั ฐานดังถงุ โล หนังนิ้วมอื สณั ฐานดังฝกกญุ แจ หนงั คอ สัณฐานดังเสื้อปดคอ หนังหนา มี ชองใหญน อย สัณฐานดังรังตั๊กแตน หนังศีรษะ สัณฐานดกั ถลกบาตร วิธกี าํ หนดหนัง กแ็ ลพระโยคาวจรผูจะกําหนดเอาหนงั (เปนอารมณ) พงึ สง ญาณมงุ ข้นึ เบอ้ื งบน (แหง สรีระ) จบั แตร ิมฝปากบน กาํ หนดหนงั ท่หี ุม อยูรอบปากเขากอนเปนปฐม แตน ้ันจงึ กําหนดหนงั หุมกระดกู * พุทราพันธชุ มพูทวีป ไมใ ชพุทราพนั ธุไทย

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 52 หนา ผาก ตอ นนั้ จึงสงญาณเขา ไปโดยระหวางกระดูกศรี ษะและหนังหมุ ศีรษะ ดจุ สอดมือเขาไปโดยระหวา งแหงบาตรท่ีสวมถลกฉะนัน้ แลว และแยกความท่หี นงั เนือ่ งเปนอนั เดยี วกนั กบั กระดูกออก กาํ หนด (แต) หนังศรี ษะ ตอนัน้ กาํ หนดหนังคอ ตอนน้ั กาํ หนดหนงั มือขวาทง้ั โดย อนุโลมและโดยปฏิโลม๑ ครน้ั แลว กาํ หนดหนังมือซายโดยนยั นั้นเหมือน กัน ตอ น้นั กาํ หนดหนังหลัง คร้นั กําหนดหนังหลังนนั้ แลว จงึ กําหนดโดยนัยเดยี วกนั นน้ั แตน ้นั กาํ หนดหนังทองนอ ย หนังหนา เทา ซา ยโดยนัยเดยี วกนั นน้ั แตน้ันกําหนดหนงั ทองนอย หนังหนา ทอง หนังทรวงอกและหนังคอโดยลําดับไป ทีน้กี าํ หนดหนังใตคาง ถัดหนังคอ (ข้ึนมา) จนถึงรมิ ฝป ากลางเปน ที่สุดจึงเสรจ็ เม่ือพระ โยคาวจรกาํ หนดเอาหนังหยาบ ๆ ไดอ ยา งน้ี แมหนังทล่ี ะเอียดก็ยอ ม จะปรากฏ๒ โดยทศิ หนงั เกดิ ในทศิ ทั้ง ๒ โดยโอกาส มนั หมุ รางกายท้ัง สน้ิ อยู โดยตดั ตอน เบอื้ งลางกําหนดตดั ดว ยพ้นื ที่มนั ต้ังอยู เบ้อื งบน กาํ หนดตดั ดวยอากาศ นเี่ ปน (สภาคบริเฉท) ตัดตอนดวยสวนของ ตนแหง หนังน้ัน สวน (วสิ ภาคบริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวนที่ผดิ กบั ตน ก็เชนเดยี วกบั ผมน่นั แล ๑. มหาฎกี าวา กาํ หนดต้ังแตห วั ไหลล งไปทางหลังแขน เปน อนุโลม กาํ หนดแตข อมอื ขนึ้ มา ทางหนา แขน เปน ปฏิโลม ๒. มหาฎกี าวา ท่วี า ละเอยี ด คอื ละเอียดกวาหนังหยาบทกี่ ลา วมาแลว อกี นยั หนงึ่ หมายถงึ หนงั ท่ีกาํ หนดเห็นยาก เพราะถกู ตโจ (หนังหยาบ) ปดบังอยู เชน หนงั ในทีล่ บั ตาง ๆ มีหนงั ขางในปากเปน ตน ซงึ่ จะตอ งสงญาณเพิกตโจเขาไปดูมนั จึงจะปรากฏ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 53 [เนอ้ื ] คําวา มส  - เน้อื คือเนอื้ ๙๐๐ ชนิ้ เน้ือทั้งปวงน้นั โดยสแี ดง เชนดงั ดอกทองกวาว โดยสัณฐาน เนือ้ ปลีแขง สัณฐานดังขาวในหอ ใบตาล๑ เนอ้ื ขา สัณฐานดังลูกหนิ บด เน้ือสะโพก สัณฐานดังกอน เสา เน้ือหลงั สัณฐานดังแผนตาลงบ๒ เน้อื สขี างทง้ั สอง สัณฐาน ดังดินไลบ าง ๆ ตามทองฉางขาว๓ เน้อื นม สัณฐานดงั กอนดนิ ทีเ่ ขา ผกไวแ ลวมันคลอยลง เนอื้ แขนทัง้ สองขาง สณั ฐานดังหนตู ัวใหญ ถลกหนัง เขาตงั้ ไวทาํ เปน ๒ ชั้น๔ เมอ่ื พระโยคาวจรกาํ หนดเนือ้ หยาบ ๆ ไดอยา งน้ี๕/SUP> แมเนอื้ ทีล่ ะเอียดกย็ อ มจะปรากฏ โดยทศิ เนอื้ น้นั เกดิ ในทศิ ท้งั ๒ โดยโอกาส มันโอบอยตู ามกระดูก ๓๐๐ ทอ นกวา ๆ๖/SUP> ๑. ใบตาลน้ันแขง็ จะหอพบั อยางใบตองหรือใบบวั ไมไ ด คงจะตองเย็บเปน กลองรปู กระบอก ทานจึงนาํ มาเปรียบกบั เนอ้ื ปลแี ขง ๒. ตาลคุฬปฏล มหาฎีกาบอกไวว า เขาเอาเย่อื ตาลสุกมาไลบ าง ๆ บงท่ใี บตาลหรอื อะไรกไ็ ด ทแ่ี บน ๆ ผงึ่ แดดไวจนหมาดตดิ กนั แลวลอกเอาเปน แผน ๆ ดังนีท้ ว งทกี ็คลาย \"มะมว งแผน\" ของไทยเรา คอื มะมวงกวนแลว ไลแ ผผงึ่ แดด ลอกเอาเปน แผน ๆ เหมอื นกัน จะตา งกนั กท็ ี่ตาลแผนไมไดก วน แตม ะมวงแผน กวนกอ น เพราะทาํ เปนแผน จงึ เรียกวางบ ๓. ทา นใช กจุ ฉฺ ิ กต็ องแปลวาทอ ง แตวา ในภาษาไทยก็ดเู หมือนจะใชน ยั เดยี วกนั คอื บรรดา สิ่งทม่ี ีระวางบรรทกุ หรือบรรจุของเก็บของได กใ็ ชคาํ วาทองท้ังน้ัน เชน ทอ งพระคลงั ทอ งเรือ ทอ งคลอง ฯลฯ ๔. เนื้อแขนทอ นบนชัน้ ๑ ทอนลา งช้นั ๑ เชนนนั้ กระมงั ๕. ปาฐะในวสิ ุทธมิ รรคพิมพไวเ ปน เอก เขา ใจวา พิรธุ ทถ่ี กู เปน เอว มีทีเทยี บในตอน นฺหารู คอื เอว โอฬาริโกฬาริก ปริคฺคณฺหนตฺ สฺส. . . ทา เดยี วกัน ๖. ปาฐะวา นาธิกานิ ตีณี อฏสิ ตานิ จะตอ งบอกทาํ อะไรวา 'ไมเ กิน' คดิ ไมเ หน็ เหตุ แตว า นาธิกานิ น้ัน ฉบับพมา เปน วสี าธิกานิ เลยกลายเปน กระดกู ๓๒๐ ไป ได พบในปรมตั ถโชตกิ าอรรถกถาขุททกปาฐะ ตอนแกทวดงึ สาการ (หนา ๕๒) เปนสาธกิ านิ (อมิ านิ สาธิกานิ ตณี ิ อฏิสตานิ) ถาอยา งนี้กต็ อ งแปลวา 'กระดูก ๓๐๐ กวา ๆ' ปาฐะนีน้ าจะถกู กวา เพราะในตอนวาถึงกระดูกตอ ไป ทานใชศพั ท มตตฺ -ประมาณ-

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 54 โดยตดั ตอน เบ้ืองลา ง กาํ หนดตดั ดว ยพ้ืนทต่ี ง้ั อยูทโ่ี ครงกระดูก เบือ้ ง บน กําหนดตดั ดวยหนงั เบอ้ื งขวาง กําหนดตัดดวยเน้อื ดวยกัน นีเ้ ปน (สภาคบริเฉท) ตัดตอนดวยสว นของตนแหงเน้อื น้นั สว น (วสิ ภาค- ปริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวนทีผ่ ิดกบั ตน ก็เชน เดยี วกับผมนน่ั แล [เอน็ ] บทวา นฺหารู - เอน็ ท้ังหลาย คอื เอ็น ๙๐๐ เสน โดยสี เอน็ ทง้ั ปวงสีขาว โดยสณั ฐาน มสี ัณฐานตาง ๆ จรงิ อยู ในเอ็นเหลา นัน้ เอ็นใหญท รี่ ึงรดั สรรี ะจับแตสวนบนแหง คอหย่งั ลงไปทางขางหนา ๕ เสน ทางขางหลงั ก็ ๕ เสน ทางเขาขวาก็ ๕ เสน ทางขา งซา ย ก็ ๕ เสน แมทร่ี งึ รัดมือขวา ทางขางหนา มือก็ ๕ ทางขา งหลัง (มือ) ก็ ๕ ทรี่ งึ รัดมอื ซา ยกอ็ ยางนน้ั แมท ีร่ ึงรดั เทา ขวา ทาง ขางหนาเทาก็ ๕ ทางขางหลงั ก็ ๕ ทร่ี งึ รัดเทา ซายเลากอ็ ยางนั้น ดังนี้ แล เอ็นใหญ ๖๐ เสน อันไดชอ่ื วา สรีรธารกา (เอน็ ดาํ รงรา ง) รงึ รัดกายหยงั่ ลงไป (ตลอดรา ง) ซึ่งทานเรยี กวา กัณฑรา (เอน็ รากเงา ?) บาง* เอน็ เหลา นั้นท้งั ปวง มสี ณั ฐานดงั ตน คลา ออน สวนเอน็ อนื่ ๆ แผคลมุ ตาํ แหนง (แหง รางกาย) นั้น ๆ อยู ที่เล็กกวา (ตมิ ตฺตานิ อฏ ิสตาน)ิ ซง่ึ มหาฎกี าใหข อสงั เกตไวว า ดว ย มตตฺ ศพั ท สอวายังมีกระดูก อ่นื อกี ทม่ี ิไดน าํ มากลา วไวใ นทนี่ ้นั เชน กระดกู กน (อานิสทฏ)ิ เปน ตน ดังน้ี จึงแกเปน สาธกิ านิ แปลวา กวา ๆ * เย ในประโยค เย กณฺฑราติป วจุ จฺ นฺติ น้นั เปนสากังขคตขิ องประโยคขา งหนา หาใชเปนคู ย. ต. กับ เต ในประโยคขางหลงั ไม เพราะฉะนนั้ ควรถอนเครอ่ื งหมายหวั ตาปู หลัง โอตณิ ณฺ า มาไวห ลัง วุจฺจนฺติ รวมเปน ประโยคเดยี วกนั จึงจะถูก

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 55 เอน็ สรีรธารกานน้ั สัณฐานดงั เชือกดวย* ยงั มเี อน็ อน่ื ๆ เลก็ กวานน้ั สัณฐานดังเถากระพงั โหมนัน่ แหละ อนื่ (อีก) เลก็ กวา นน้ั สณั ฐาน ดังสายพิณใหญ อืน่ (อกี ) สัณฐานดังเสนดวยอวน ๆ เอ็นทห่ี ลังมือ และเทา สณั ฐานดังตีนนก เอ็นทศ่ี ีรษะ สณั ฐานดงั ขา ยคลุมศรี ษะ ทารก เอน็ ทห่ี ลัง สัณฐานดงั อวนเปย กท่เี ขาแผไวในแดด เอน็ อนั (แลน ) ไปตามองคาพยพใหญน อ ยน้นั ๆ ทเ่ี หลอื (จากท่ีกลา ว แลว) มีสัณฐานดังเสอ้ื รางแหทส่ี วมรา งกายไว โดยทศิ 'เอน็ เกิดใน ทิศทั้ง ๒ โดยโอกาส มนั ยดึ กระดูกในรางกายทั้งส้นิ อยู โดยตดั ตอน เบือ้ งลา ง กาํ หนดตัดดว ยพ้ืนทีม่ ันต้ังอยบู นกระดกู ๓๐๐ ทอน เบือ้ งบน กําหนดตัดดวยตาํ แหนง ทมี่ ันตัง้ จดเนือ้ และหนังอยู เบอ้ื งขวาง กําหนดตัดดวยเอ็นดว ยกัน นเี่ ปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสวน ของตนแหง เอน็ เหลา นนั้ สวน (วสิ ภาคปริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวน ที่ผิดกับตน กเ็ ชนเดยี วกบั ผมนัน่ แล [กระดกู ] คาํ วา อฏี - กระดูกท้ังหลาย คอื ยกเวน กระดกู ฟน ๓๒ ซ่ี เสีย ที่เหลอื เปน กระดกู ประมาณ ๓๐๐ ชิน้ ดังนี้ คือ กระดูกมือ ๖๔ กระดูกเทา ๖๔ กระดูกออนทตี่ ดิ เน้ืออยู ๖๔ กระดกู ซน เทา ๒ กระดกู ขอเทาขา งละ ๒ กระดกู แขง (ขางละ) ๒ กระดกู เขา (ขา งละ) ๑ กระดกู ขา (ขา งละ) ๑ กระดกู สะเอว ๒ กระดูกสันหลงั ๑๘ * เทียบดูกบั ประโยคหลงั ๆ แลว เหน็ วา อฺเ ปน . . . ิตา กับ ตโต สุขุมตรา สตุ ตฺ รชชฺ ุกสณฺานา นี้เปนประโยคเดยี วกนั จึงควรถอนเครื่องหมายหวั ตาปูหลัง ิตา เสยี

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 56 กระดกู ซี่โครง ๒๔ กระดูกหนา อก ๑๔ กระดกู (บัง) หวั ใจ ๑ กระดกู รากขวัญ ๒ กระดกู สะบัก ๒ กระดกู ตน แขน ๒ กระดูก ปลายแขนขา งละ ๒ กระดกู า นคอ ๗ กระดูกคาง ๒ กระดกู จมูก ๑ กระดกู เบา ตา ๒ กระดกู หู ๒ กระดกู หนา ผาก ๑ กระดูก กระหมอม ๑ กระดุกกะโหลกศรี ษะ ๙๑ กระดกู ท้งั ปวงนั้น โดยสี เปนสีขาว โดยสัณฐาน มีสณั ฐาน ตา ง ๆ จริงอยู ในกระดเู หลาน้ัน กระดกู นว้ิ เทา ขอปลาย มี สัณฐานดังเมล็ดบวั ๒ กระดกู ขอกลางถดั ขอ ปลายน้ันเขา มา สณั ฐาน ดังเม็ดขนนุ ๓ กระดกู ขอ โคน (ถัดขอกลางเขามา) สณั ฐานดัง บณั เฑาะว กระดูกหลงั เทา สัณฐานดังกองหัวคลา ทถ่ี กู บบุ ๔ กระดกู ซนเทา สัณฐานดังจาวตาลในลอนเดียว กระดุกขอเทา สัณฐานดงั ลูกสะบา (คู) ประกบกัน๕ กระดกู แขง ตรงท่ี ๆ ตัง้ ลงในกระดกู ขอเทา ๑. ระเบยี บแสดงจาํ นวนกระดูกนว้ี นุ อยู ทม่ี ีท้งั ๒ ขา ง บอกรวมเลยกม็ ี เชนกระดูกมอื ๖๔ กระดกู เทา ๖๘ กระดกู เชน ๒ บอกแยกขางไวก ม็ ี เชน กระดกุ ขอ เทา ขางละ ๒ กบ็ อกไวว า เอเกกสฺมึ ปาเท เทวฺ เทวฺ โคปผฺ กฏนี ิ ทีน้ีมที งั้ ๒ ขา ง แตไมมศี พั ทบอกแยกขา งกม็ ี เชน กระดูกแขง กระดกู เขา กระดูกขา ทานวาไวเฉย ๆ วา เทฺว ชงฺฆฏีนิ เอก ชนฺนกุ ฏ ิ เอก อูรฏุ ิ ก็ตองเตมิ 'ขา งละ' เอาเอง เพราะถาแปลไปตรง ๆ นอกจาก ไมไ ด ๓๐๐ แลว ยงั ไมตรงกับของจรงิ ดว ย ในปรมัตถโชตกิ าไมบอกจํานวน และใชศ ัพทแปลกไปกม็ ี เชน กระดกู สะบกั ใชวา ปฏฐ พิ าหกฏ ิ แตในวสิ ุทธิมรรคน้ีใชว า โกฏฏฏ ิ ๒. โบราณแปลกันมาเชน นัน้ ในปรมตั ถโชติกาเปน กกฺกฏพชี . . .อภธิ านปั ปทีปก าวา เมลด็ ตมู กา ๓. ในปรมตั ถโชติกาวา อปริปณุ ฺณปนสฏิ เม็ดขนนุ ทยี่ งั ไมเ ตม็ ๔. ในปรมตั ถโชติกาเปน โกฏติ กนทฺ ลป ชฺ ราสิ. . . ๕. ในปรมตั ถโชตกิ า มี เอกโต อยูหนา พนธฺ . . . ดังน้ี โคปฺผกฏ ีนิ เอกโต พนธฺ กฬี า คุฬกสณฺ านานิ

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 57 สัณฐานดังหนอเปง ที่ปอเปลอื ก กระดูกแขง ทอ นเลก็ สณั ฐานดังคัน ธนู* ทอ นใหญ สณั ฐานดงั หลังงูท่เี ห่ียว ๆ กระดูกเขา สัณฐานดงั ตอม นํ้าท่แี หวง ไปขางหน่ึง กระดกู แขงตรงทีต่ ัง้ จดในกระดกู เขา นั้น สณั ฐาน ดงั เขาโคปลายทู กระดูกขา สัณฐานดงั ดามพรา และดามขวานที่ถาก แตงหยาบ ๆ กระดกู ขาตรงทต่ี งั้ จดในกระดกู สะเอว สัณฐานดงั ลูกสะบา กระดกู สะเอวตรงทต่ี งั้ จดกบั กระดูกขาน้นั สณั ฐานดังผลมะงัว่ ใหญ ปลายปาด กระดกู สะเอว แมเปน ๒ ช้นิ แตมนั ติดกัน สณั ฐานดัง เตาชางหมอ (ถาแยกกันออก) แตล ะชน้ิ สณั ฐานดงั คีมชางทอง กระดกู ตะโพกทางปลาย สัณฐานดงั พังพานงูทเี่ ขาจบั ควาํ่ หนาลง มชี อง นอยใหญ ๗-๘ แหง กระดกู สนั หลังขา งใน สัณฐานดงั หวงแผน ตะกั่วท่วี างซอน ๆ กนั ไว ขา งนอก สัณฐานดังลูกประคํา ในระหวาง ๆ กระดูกสันหลังเหลานั้น มเี ดอื ยอยู ๒-๓ ซคี่ ลา ยฟน เลอ่ื ย ในกระดูก ซี่โครง ๒๔ ซี่ ซ่ที ไี่ มเ ตม็ (คอื สัน้ ) สัณฐานดังเคียวไมเตม็ เลม ซ่ี ทเ่ี ต็ม (คือยาวจดกัน) สณั ฐานดังเคียวเต็มเลม หมดดวยกันสณั ฐาน ดงั ปกกางของไกข าว กระดกู อก ๑๔ ชน้ิ สัณฐานดงั เรือนคานหาม ทีค่ ร่ําครา กระดกู ที่หัวใจ สัณฐานดังจวัก กระดกู รากขวญั สณั ฐาน ดังมีดโลหะเลม เล็ก ๆ กระดกู สะบัก สัณฐานดังจอบชาวสีหลทเ่ี ห้ยี น ไปขา งหนึ่ง กระดูก (ตน ) แขน สณั ฐานดังดา มแวน กระดูก ปลายแขน สัณฐานดังรากตาลคู กระดกู ขอ มือ สัณฐานดังหวงแผน ตะกัว่ ที่เขาเชื่อมใหตดิ กนั ตงั้ ไว กระดูกหลังมอื สณั ฐานดังกองหัว * มหาฎกี าวา หมายถึงคันธนเู ล็ก ๆ สําหรบั เดก็ เลน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 58 คลาทีถ่ กู บุบ กระดกู ขอโคนนว้ิ มอื สณั ฐานดังบณั เฑาะว กระดูก ขอกลางน้วิ สณั ฐานดังเมล็ดขนุนไมเต็มเม็ด กระดูกขอปลายนิ้ว สณั ฐานดังเมลด็ ตมุ กา กระดูกคอ ๗ ชิน้ สณั ฐานดังแวน หนอไมท ่ี คนใชไ มเ สยี บตั้งไว (เปนแวน ๆ) โดยลาํ ดับกนั กระดูกคางอนั ลาง สัณฐานดงั คมี เหล็กของพวกชา งโลหะ อนั บน สัณฐานดังเหล็ก สาํ หรบั ขูด กระดกู กระบอกตาและกระบอกจมูก สัณฐานดังเตาตาล ออนทค่ี วกั จาวออกแลว กระดกู หนา ผาก สัณฐานดงั เปลือกสังขท ่วี าง คว่าํ หนาไว กระดกู กกหู สณั ฐานดงั ฝกมีดโกนของชา งกัลบก กระดกู ในท่ี ๆ หนา ผากกบั กกหตู ดิ กนั เปนแผน อยตู อนบน สัณฐานดังทอ น ผา ทย่ี ูยแ่ี ละเตม็ ไปดวยเนยใส กระดกุ กระหมอ ม สณั ฐานดังกะโหลก มะพราวเบีย้ วที่ปาดหนา แลว กระดกู ศรี ษะ สัณฐานดังกะโหลก นํ้าเตาแกท่เี ขาเย็บตรึงเอาไว (ไมใหม นั แตกแยะออกจากกนั ?) โดยทศิ กระดกู เกดิ ในทิศทัง้ ๒ โดยโอกาส (วา) โดยไม แปลกกัน มนั ตั้งอยูท วั่ รางกาย แต (วา ) โดยแปลกกัน ในกระดกู ท้งั หลายน้นั กระดกู ศีรษะตั้งอยูบ นกระดกู คอ กระดกู คอตั้งอยูบน กระดูกสนั หลัง กระดูกสนั หลังตั้งอยูบนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอว ต้งั อยบู นกระดูกขา กระดกู ขาต้ังอยบู นกระดกู ขอเทา กระดูกขอ เทา ตงั้ อยูบนกระดกู หลังเทา โดยตัดตอน ขางใน กาํ หนดตดั ดว ยเยือ่ ใน กระดูก ขางบน กําหนดตัดดว ยเน้ือ ทีป่ ลายและโคน กาํ หนดตดั ดวย กระดกู ดวยกนั นีเ่ ปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสวนของ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 59 ตนแหงกระดูกเหลา นัน้ สวน (วสิ ภาคบริเฉท) ตัดตอนดวยสวนที่ ผิดกับตน ก็เชน เดียวกับผมนั่นแล [เยอื่ ในกระดูก] คําวา อฏ มิ ิ ชฺ - เยอ่ื ในกระดูก คอื เยอื่ อันอยเู ฉพาะภายในแหง กระดูกทั้งหลายนัน้ ๆ เยอ่ื ในกระดูกนนั้ โดยสี ขาว โดยสัณฐาน เย่ือ ทีอ่ ยูภายในกระดกู ทอนใหญ ๆ สัณฐานดงั ยอดหวายใหญทีเ่ ขาลนไฟ แลวสอดเขาไวใ นกระกอบไมไผ เยอื่ ทอ่ี ยูภ ายในกระดูกทอ นเลก็ ๆ สณั ฐานดังยอดหวายเล็กที่เขาลนไฟแลว สอดเขา ไวในปลองออ ๑ โดย ทิศ เกิดในทศิ ท้ัง ๒ โดยโอกาส ตงั้ อยภู ายในกระดกู โดยตัดตอน กาํ หนดตัดดวยพ้ืนขางในกระดูกท้ังหลาย นเี้ ปน (สภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหงเยอ่ื ในกระดูกน้นั สว น (วสิ ภาคบริเฉท) ตัดตอนดวยสวนท่ผี ิดกบั ตน กเ็ ชนเดยี วกบั ผมน่ันแล [ไต] คําวา วกกฺ  - ไต๒ ไดแ กก อ นเนอื้ ๒ กอน มขี ้วั เดียวกัน ไต น้ัน โดยสี แดงออ นดุจสีเม็ดทองหลางปา โดยสณั ฐาน มสี ัณฐานดัง ๑. ศพั ท ปกขฺ ติ ฺต และเสทิต ในบทสมาส ปกฺขิตฺต . . . สณฺ าน นน้ั ลกั ษณะเปน วิเสสนะ ทง้ั ๒ บท ทาํ ใหแ ปลฝดและฝน เพราะตองแปล เสทิต กอน ปกฺขติ ตฺ สูปาฐะในปรมัตถ- โชติกาไมได ทานเรยี งไวใหแ ปลงาย และไดความดี ดังนี้ มหนตฺ มหนฺตาน อฏนี  อพภฺ นฺตรคต เสเทตฺวา วฏเฏตวฺ า มหนเฺ ตสุ วสนฬกปพเฺ พสุ ปกฺขิตฺตมหาเวตตฺ งกฺ รู - สณฺ ุนน. . . เยื่อทอ่ี ยภู ายในกระดกู ทอนใหญ ๆ สณั ฐานดังหนอ หวายใหญท ีเ่ ขาลนไฟแลวบดิ สอด เขาไวใ นปลอ งไมไผแ ละไมอ อที่ใหญ. . . ๒. วกั กะ นี้ โบราณแปลวามา ม

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 60 ลูกสะบาคขู องเด็ก ๆ (สําหรับลอเลน) หรอื สณั ฐานดงั ผลมะมว งแฝด ตดิ อยใู นข้ัวเดยี วกนั โดยทิศ เกดิ ในทศิ เบื้องบน โดยโอกาส มนั เปน กอนเนอ้ื ทเี่ อ็นใหญซ ึ่งโคนเปนเสนเดียว (แลน ) ออกจากหลุมคอไป หนอ ยแตกเปน ๒ เสน รัดไว โอบเนอื้ หัวใจต้ังอยู* โดยตดั ตอน ไต กก็ ําหนดตดั ดวยสวนของไต น่ีเปน (สภาคบรเิ ฉท) ตัดตอนดว ยสอน ของตนแหงไตนัน้ สวน (วิสภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสอนที่ผดิ กับ ตน ก็เชน เดยี วกับผมน่ันแล [หวั ใจ] คําวา หทย - คือเนื้อหวั ใจ หัวใจนัน้ โดยสี แดงดงั สีหลัง กลีบปทุม โดยสณั ฐาน มสี ณั ฐานดังดอกปทมุ ตูมที่เขาปลิดกลีบ ชัน้ นอกออกแลวตง้ั ควํ่าลง ขางนอกเกลี้ยง ขา ในเปน (รัง) เชน ดงั ภายในบวบขม ของพวกคนมปี ญญาแยม หนอยหนึง่ ของพวก คนปญ ญาออ นคงตกู อยูนน่ั อน่ึง ขา งในหวั ใจนั้นมีหลมุ ขนาดจุเมล็ด ในบนุ นาคได เปน ทีข่ งั อยแู หง โลหิตประมาณกงึ่ ซองมอื ซ่ึงมโนธาตุ และมโนวญิ ญาณธาตุไดอาศยั เปนไป กแ็ ลโลหิตนน้ี ัน้ ของคนราค- จริตเปน สีแดง ของคนโทสจริตเปนสีดํา ของคนโมหจริตเปน สีเชน ดังน้าํ ลา งเนื้อ ของคนวิตกจรติ เปนสีดังเยอื่ ถ่ัวพู ของคนสทั ธาจรติ เปนสีดงั ดอกกรรณิการ ของคนปญ ญาจริตใสผ องไมหมองมัว ขาว บรสิ ทุ ธิ์ ปรากฏมีแสงดังแกว มณแี ททเี่ จยี ระไนแลว โดยทศิ เกดิ ในทศิ เบ้อื งบน โดยโอกาส ตั้งอยหู วา งกลางนมทง้ั ๒ ภายในรา งกาย * ในสรรี วิทยาวา ไตอยูท ีข่ า งกระดกู สันหลัง แถวบนั้ เอวทัง้ ๒ ขา ง

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 61 โดยตัดตอน หวั ใจกก็ ําหนดตัดดวยสว นของหัวใจ นเี่ ปน (สภาค- บริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวนของตนแหงหวั ใจนั้น สว น (วิสภาค- บริเฉท) ตัดตอนดวยสวนที่ผิดกบั ตน ก็เชนเดยี วกับผมนนั่ แล [ตบั ] คําวา ยกน - ตบั ไดแ กแ ผน เนอ้ื สองแฉก ตบั น้นั โดยสี แดง (แต) พน้ื เหลือง (จึง) ไมแดงจัด สีดังสีหลงั กลีบบวั แดง โดย สัณฐาน ทโี่ คนเปนแผน เดียว ท่ีปลายเปนสองแฉก สัณฐานดังใบทอง หลาง อนง่ึ ตับนน้ั ของพวกคนโง เปน แผนโตแผน เดียวเทานั้น ของคนมีปญ ญา เปนแผน ยอ ม ๆ ๒ หรอื ๓ แผน ก็มี โดยทศิ มนั เกิดในทศิ เบ้อื งบน โดยโอกาส ต้งั อยูหวางนมทั้งสองคอ นไปขา ขวา โดยตัดตอน ตับกก็ าํ หนดตัดดว ยสว นของตบั เอง น่ีเปน (สภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหง ตับนน้ั สวน (วิสภาคบรเิ ฉท) ตัดตอน ดวยสว นท่ผี ิดกับตน ก็เชน เดียวกบั ผมน่ันแล [พังผืด] คาํ วา กโิ ลมก-พังผืด ไดแกเ น้อื (เยอื่ ) สาํ หรบั หุม มี ๒ ประเภท โดยแยก เปนพงั ผดื ปกปด และพังผืดเปด เผย พงั ผืด ทัง้ ๒ อยางนัน้ โดยสี ขาวดังสผี า ทุกูลเกา* โดยสณั ฐาน มีสณั ฐาน ตามโอกาส (ทอ่ี ยู) ของตน โดยทศิ พงั ผืดประเภทปกปดเกิดใน * ผา ทกุ ลู เปน ผาอยา งดีชนดิ หนึ่ง ไมทราบวา ทาํ ดว ยอะไร ทา นจงึ มกั ใชศัพทว า 'ทุกลู พัสตร' มาเรอื่ ย ๆ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 62 ทศิ เบอ้ื งบน พงั ผืดอกี อยางเกิดในทศิ ทั้ง ๒ โดยโอกาส พงั ผืด ประเภทปกปด หุมหัวใจและไตอยู พังผืดประเภทเปดเผย ยึดเน้อื (กลา ม) ใตห นงั อยูท วั่ รางกาย โดยตดั ตอน เบื้องลา งกําหนดตัด ดว ยเน้ือ เบ้ืองบนกําหนดตดั ดวยหนัง เบ้ืองขวางกําหนดตดั ดวยสว น ของพังผืดเอง น่เี ปน (สภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนเอง พงั ผืดนั้น สวน (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสว นท่ผี ิดกับตน ก็เชนเดยี วกบั ผมน่ันแล [มา ม] คาํ วา ปห ก- มา ม๑ ไดแ กเน้อื สัณฐานเปนล้ินอยใู นทอ ง มาม น้นั โดยสี มีสีคราวออ นดจุ สดี อกคนทสิ อ๒ โดยสัณฐาน สณั ฐาน ดงั ลน้ิ ลกู โคดํา มีขวั้ ยาวประมาณ ๗ น้วิ โดยทศิ เกดิ ในทิศเบอื้ งบน โดยโอกาส มันตงั้ อยตู ดิ ขา งบนของพื้นทอ งทางซายหวั ใจ ซึ่งเมอ่ื มัน ออกมาขางนอก เพราะถูกทํารา ยดวยเครอื่ งประหาร สตั วท้งั หลาย กจ็ ะสน้ิ ชีวติ ๓ โดยตัดตอน มามกาํ หนดตัวดว ยสวนของมามเอง นีเ่ ปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหง มามนนั้ สว น (วสิ ภาค- บรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสวนทีผ่ ิดกับตน ก็เชนเดียวกบั ผมนน่ั แล ๑. ปห ก โบราณแปลวา ไต ๒. นีล แปลไดหลายอยา ง สดี าํ สขี าบ (นา้ํ เงินแก) สเี ขียวแก และสีคราออนก็ได ในท่นี ี้เปรยี บดว ยคนทิสอ ๆ น้นั วา สคี รามออ น ๓. อวยั วะขา งใน มอี นั เปน ออกมาขางนอก ก็เปนอาการรา ยแรงทัง้ นน้ั เหตุไร ทา นจงึ มา กลาวท่ตี รงมา มนแ่ี หง เดยี ว ? ศัพท ปหรณปฺปหาเรน นน้ั ถา แปลตรง ๆ วา ประหารดวย เครอ่ื งประหาร ก็ฟง ท่อื เตม็ ที จึงแปลเยือ้ งไปวาทํารา ยดวยเครอ่ื งประหาร

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 63 [ปอด] คําวา ปปผฺ าส-ปอด ไดแกเ น้ือปอดอันมเี น้ือยอ ย ๆ ๓๒ ชิน้ (ประกอบกันอยู) ปอดนั้น โดยสี แดงดังสีผลมะเดอ่ื ทส่ี ุกยังไมจ ดั โดยสัณฐาน มสี ณั ฐานดังชน้ิ ขนมหนา ๆ ท่ีเขาตดั ไมเ รียบ มนั เปน เนอื้ ท่ซี ดี เผอื ดเหมือนกอ นใบไมท คี่ นเคี้ยวแลว (จนจดื เหลอื เปนชาน) เพราะมันถกู ไอรอ นท่เี กดิ แตก รรมอันพลุงข้ึนมาทําเอา เพราะขางใน มันไมม ีสิ่งที่กนิ เขา ไปและส่งิ ทดี่ ื่มเขาไปเลย* โดยทศิ มนั เกดิ ในทิศ เบ้ืองบน โดยโอกาส มนั ปกหวั ใจและตบั หอยติดอยใู นระหวางนม ท้งั ๒ ในภายในรา งกาย โดยตัดตอน กก็ าํ หนดตัดดวยสว นของ ปอดเอง น่ีเปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหงปอดนั้น สว น (วิสภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนทผี่ ดิ กับตน กเ็ ชนเดียวกับผม น่นั แล [ไสใ หญ] คําวา อนตฺ - ไสใ หญ ไดแกลําไส ของผูชายยาวประมาณ * ความตอนนี้ ในปรมัตถโชตกิ าทานแยกเปนประโยคหนึง่ ดงั นี้ ตเทต อพฺภนฺตเร อสิตปต าทีน. . . นรี ส นโิ รช แตถ ึงอยา งไรกด็ ี ความทอ นนเี้ ปน ความแสดงลักษณะ ไมใ ชแ สดง สณั ฐาน จึงไมน า เรียบไวตรงน้ี นา จะเรยี บไวท อนตน อน่ึง ท่วี า เนอ้ื ปอดไมส ดใส เพราะถกู ไอรอ นเกดิ แตก รรมน้ัน อยา งไรอยู ทําไม กรรมจะไปทาํ แตปอดอยา งเดียวเลา ถา วาเปนกรรมแลวกน็ าจะเปนหมดทว่ั ทง้ั เนือ้ ตวั นั่นแหละ และที่วาปอดมนั ซดี เผอื ดเพราะภายในมนั ไมม ีขาวและนาํ้ นัน้ ก็อยา งไรอีก ธรรมดาสรางปอดไวท าํ หนา ท่ีอยา งอน่ื ไมใ ชห นา ทร่ี ับขาวนา้ํ แลว จะยกเร่ืองนนั้ มาอา งอยา งไรได

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 64 ๓๒ ศอก ของผหู ญิงยาวประมาณ ๒๘ ศอก ขดไปมา ๒๑ ทบ๑ ไสใหญนีน้ ้นั โดยสี ขาวดังสกี อ นกรวด (ขาว) หรือปูนขาว โดย สณั ฐาน มีสณั ฐานดังงูหัวขาดทค่ี นวางขนไวใ นรางเลือด โดยทิศ เกนิ ในทิศทั้ง ๒ โดยโอกาส ต้งั อยูภายในรางกาย มีปลายอยูที่คอ หอย (ขา ง ๑) และท่ที วารหนกั (ขาง ๑) เพราะขางบนมันติดอยทู ี่ คอหอย๒ และขา งลา งตดิ อยูทที่ วารหนกั โดยตดั ตอนกก็ ําหนดตดั ดวยสว นของไสใ หญเ อง น้ีเปน (สภาคบรเิ ฉท) ตัดตอนดว ยสว น ของตนแหงไสใหญน ั้น สว น (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสวนท่ี ผดิ กบั ตน ก็เชน เดยี วกบั ผมนั่นแล [ไสน อ ย] คาํ วา อนฺตคุณ-ไสนอย คือไสอ ันเปน สายพันอยูตามขนดไส ใหญ ไสน อ ยนน้ั โดยสี ขาวดงั สีรากจงกลนี โดยสัณฐาน ก็สัณฐาน ดังรากจงกลนีน่ันแหละ โดยทศิ เกิดในทิศทั้ง ๒ โดยโอกาส มันยดึ ขนดไสใหญใหเปนมัดอยูด วยกนั ดุจเชอื กยนตย ดึ แปน ยนตไว ในเวลาที่พวกชา งผทู าํ งานตาง ๆ มงี านขุดเจาะเปนตนชกั ยนต (มัน) อยใู นระหวา งแหง ขนดไสใหญ ๒๑ ทบ เหมอื นเชือก (เล็ก) ที่เย็บ ๑. ทานนา จะเผลอ ศพั ทท ่เี ปน วเิ สสนะ ๒ ขางตน คอื ทวตฺตสึ หตถฺ  กบั อฏีวสี ตหิ ตฺถ เปน นปุ . อีกศพั ทหนึ่งคือ โอภคคฺ า เปน อิต. เหน็ ไดวา . . . หตฺถ นน้ั มงุ ใหเ ปน วเิ สสนะ ของ อนตฺ  นา แกเ ปน . . . หตถฺ า จะไดมีลงิ คเ สมอกับบทลิงคัตถะ คือ อนตฺ วฏฏ ิ ๒. ถาอยา งนี้ ก็เปนอนั รวมกระเพาะอาหารเขา ดว ย

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 65 รอยไปตามหวางแหงขดเชือกสาํ หรบั เชด็ เทา ฉะน้ัน๑ โดยตัดตอน กก็ ําหนดตดั ดว ยสว นของไสน อ ยเอง นี้เปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอน ดวยสว นของตนแหงไสนอ ยนน้ั สว น (วิสภาคบริเฉท) ตดั ตอน ดวยสว นทผ่ี ิดกับตน ก็เชน เดียวกับผมนั่นแล [อาหารใหม] ส่งิ ที่มีอยูในอทุ ร ชอ่ื อทุ ริย - อาหารใหม หมายเอาส่ิงที่กิน ด่ืม เคีย้ ว ล้ิม เขา ไป๒ อุทรยิ ะนัน้ โดยสี มสี ดี ังสีอาหารท่กี ลนื เขา ไป โดยสณั ฐาน มสี ัณฐานดงั ขาวสารท่ีบรรจหุ ลวม ๆ ในผากรอง (ทท่ี ํา เปน ถุง) โดยทศิ เกดิ ในทิศเบื้องบน โดยโอกาส ต้งั อยูใ นอทุ ร [อุทร] อวยั วะท่หี มุ ไส (ปอ ง) คลายโปงผา ท่ีเกดิ ข้ึนตรงกลางผาเปยก นํ้าที่คนรวบ (ชาย) ท้งั ๒ ขา เขา ชอ่ื วา อทุ ร ขา งนอกเกลี้ยง ขา งในเปน ดังผา ซบั ระดูท่เี ปอ นแลว เขาหอเศษเนื้อไว แมน จะกลา ว ๑. ไดความตรงน้วี าขดเชอื กสําหรับเช็ดเทา นัน้ รูจักทาํ ใชกนั มานานแลว มหาฎกี าวาตรงน้ี ความตอนเดยี ว แตม ีอุปมาเปน ๒ ทอน ทอนหนา แสดงหนาท่ไี สน อ ย ทอ นหลงั อาการที่มนั อยูอ ยา งไร อนึ่ง ปาฐะวา----อนฺตรา ต สพิ ฺพิตฺวา----น้ันเขาใจวา คลาดเคลอ่ื น สอบปรมตั ถโชติกา แลว เปน ----อนตฺ รา สส ิพพฺ ติ ฺวา ไดแ ปลตามน้ี ๒. มหาฎกี าวา ของกิน เชน ขา ว เรยี กอสติ ะ ของดืม่ เชนปานะ เรยี ก ปต ะ ของแขง็ กรอบ ตอ งขบ เชนแปงทอดผลไม เรียกขาทติ ะ ของล้ิม เชนมะมวงสุก น้าํ ผง้ึ นา้ํ ออ ย เรยี ก สายติ ะ.

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 66 วา ขา งในอุทรนนั้ เปนดังขางในของผลขนุนละมดุ ๑ ดงั นก้ี ช็ อบ มนั เปนทท่ี ีห่ มูห นอน (ตวั พยาธ)ิ อันมีแตกตางกันถึง ๓๒ ตระกลู มี ชนิดตกั โกฏกะ (พยาธปิ ากขอ) ชนิดคณั ฑปุ ปาทกะ (พยาธติ ัวกลม) ชนดิ ตาลหรี กะ (พยาธิเสยี้ นตาล) ชนดิ สจู มิ ขุ กะ (พยาธิตัวจ๊ดี ) ชนิดปฏตนั ตุ (พยาธติ วั แบน) ชนิดสตุ ตกะ (พยาธเิ สนดาย) อยา ง น้เี ปนตน อาศยั อยูกันคลาคลาํ่ เปนกลุม ๆ ไป ซง่ึ เมือ่ ของกนิ มนี ํ้า และขา วเปน ตน ไมม ีอยู (ในอทุ ร) มนั ก็จะพลงุ พลา นกันใหระงมไป พากันตรงเขาเลน งานเนอื้ หัวใจ๒ และเมอื่ เวลาท่ีคนกลนื อาหารมีน้าํ และขา วเปนตนลงไป มนั จะพากนั ชปู ากตะลีตะลานเขาแยงอาหารที่คน กลนื ลงไปแรก ๆ ๒-๓ คํา อทุ รไรเลา เปน ดุจเรอื นคลอด วจั กุฏิ โรงพยาบาลและสสุ านของหนอนเหลาน้ัน ในอทุ รไรเลา ของกนิ มี นาํ้ และขา วเปน ตน มีประการตา ง ๆ ท่ีแหลกดว ยสากคือฟน คลกุ ๑. มส ----กลิ ิฏ ปาวารปปุ ฺผกสทิส ในปรมตั ถโชติกาเปนบทเดยี ววา มสกสมพฺ ุปลิเวฏ- ิตกลิ ฏิ  ปาวารปุปผฺ กสทสิ  และ กฏ ิตปนสตจสสฺ ในปรมตั ถโชตกิ า เปน----ผลสฺส ในท่ีน้ี แปลตามปาฐะปรมตั ถโชติกา ดว ยเหน็ วา แปลไดค วามดี ๒. วริ วนฺตา จะแปลวา 'รอง' ไปตรง ๆ กอ็ ยางไรอยู เพราะไมมีใครเคยไดย อนหนอน หรอื ตัวพยาธิรอง ถามันรอ งไดจรงิ กท็ จี ะตอ งมีทิพโสตจึงจะไดย นิ เทียบเรื่องเลน็ รอ ง ในอรรถกถาธรรมบท ที่วา พระพทุ ธเจาทรงไดยนิ ดวยพระทพิ โสต ในทนี่ ้ี จงึ เลยี่ งวา 'ระงม' วริ วนฺตา นี้ ไดพบในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวภิ ังค ตอนนิเทศแหง สติปฏฐานวภิ ังค เปน วจิ รนตฺ า-อลุ ลฺ งฆฺ ติ วฺ า วจิ รนตฺ า ถาเชน นี้กแ็ ปลวา 'เที่ยวพลงุ พลา นไป' ดจู ะแนบเนยี นกวา---- วิรวนฺตา กระมงั อภิหรนฺติ ในปรมตั ถโชติกาเปน----หนนตฺ ิ พวกหนอนหรือตัวพยาธิสวนมากอยูในลาํ ไส จงึ กินยาถายพยาธอิ อกมาได แลว อยา งไร มันจงึ จะเจาะลําไสออกไปแทะเนือ้ หวั ใจได ?

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 67 ดวยมอื คอื ลน้ิ เคลาดว ยนาํ้ ยอ ยคือเขฬะแลว ทนั ทนี น้ั มัน (กลาย) เปนของปราศจากความถงึ พรอ มแหงสี กลิน่ และรสเปน ตนไป ดู ประหน่ึงขาวลงดา ยของชา งหกู และรากสนุ ัข* (กลนื ) ลงไปแลว นํา้ ดี เสมหะและลม (ออกมา) กล้ัวเปน ไอขนึ้ ดว ยกําลังสันดาปแหงไฟ (ธาตุ) ในอุทร อากลู ไปดวยหมหู นอน ปลอ ยฟองและตอ มขึ้นขา งบน เรือ่ ย ถึงซึง่ ความเปนขยะ (ทจี่ ะตองทง้ิ ) เปนของเหม็นและนาเกลยี ด อยา งย่งิ ตง้ั อยู (ในอทุ ร) อปุ มาเหมือนเมอื่ ฝนเม็ดหนาตกลงมาใน หนา แลง ซากชนดิ ตา ง ๆ จับแตปส สาวะอุจจาระ ทอนหนัง ทอ น กระดูก ทอนเอ็น นํา้ ลาย นํ้ามูลและเลือด ทนี่ ํา้ (ฝน) พดั พามา ตกลงในแอง โสโครกขา งประตูหมบู า นพวกจัณฑาลแลว ประสมเขา กับนาํ้ โคลน (ในแอง ) ๒-๓ วนั ก็มหี มหู นอนเกิดแลว เปน ไอข้ึน ดวยกาํ ลังสันดาปแหงแสงแดด ปลอ ยฟองและตอมขน้ึ ขา งบนเร่ือย สเี ขียวคลํา้ เหมน็ จัดนา เกลียด ถงึ ซึ่งความเปนรูปไมน าเขาใกลไมนา ดู เลยตง้ั อยู จะกลาวไยถงึ ความเปน สิ่งนาดมหรอื นาลม้ิ เลา ฉะนั้น แม เพราะไดฟงเรอื่ งอทุ รไรเลา ความเปน สิ่งไมน าพอใจของกนิ ทัง้ หลาย * ขา วลงดา ย คือขาวตนขน ๆ สําหรับลงดา ยท่ีจะทอผา เมอื่ ขยาํ ดา ยไป สที ี่ยอ มดา ยไว ก็จะออก ทําใหข าวและนาํ้ ขน ๆ น้นั ดูนา เกลยี ดไป รากสุนัข แปลจากศพั ทส ุวานวมถุ แตใ นปรมัตถโชตกิ าและสมั โมหวโิ นทนี ตอนนเิ ทศ แหง ธาตวุ ภิ ังค มศี พั ทสุวานโทณิย เรียงไวขางหนา สวุ านวมถุ ถาเชน นี้ สวุ านวมถุ จะไมใช รากสุนัขเสียแลว เปน 'ขาวสนุ ขั ' กระมัง มนั จงึ อยใู น 'รางสุนขั ' แมเปน 'ขางสนุ ัข' ถาเปนอยางในพ้ืนบานเรานี้ กด็ นู าเกลยี ดจริง เพราะเปน เศษขา วปนเศษแกงกับสารพดั เขาเทลง ในรางสาํ หรบั ขนุ สนุ ขั ทานใชศ ัพทวมถุ เพราะมนั คลายรากกระมัง ?

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 68 มนี ํ้าและขา วเปนตน ก็เกิดได จะกลา วไยถึงความไมนาพอใจในของ กนิ อันเกิดขึ้น เพราะไดพิจารณาดดู วยปญ ญาจักษแุ ลว เลา อน่ึง ใน อทุ รไรเลา ของกนิ มีน้าํ และขา วเปนอาทิที่ตกลงไปแลว ยอมถึงความ จําแนกออกเปน ๕ สวน คือตวั สัตว (พยาธ)ิ กินเสียสวนหน่ึง ไฟ (ธาต)ุ ในอทุ รเผาไปเสียสวนหน่ึง สว นหนึง่ เปนปส สาวะ สว นหนง่ึ เปน อจุ จาระ สว นหนึง่ ถึงซ่ึงความเปน (โอชา) รสไปเพ่ิมพูนโกฏฐาส แหงรา งกายมเี ลอื ดและเนื้อเปน ตน โดยตัดตอน อทุ ริยะนน้ั กาํ หนดตัดดวยกระพงุ อทุ รและดว ยสว น ของอทุ รยิ ะเองดว ย น่ีเปน (สภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตน แหงอทุ ริยะน้ัน สวน (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสว นทผ่ี ดิ กับตน กเ็ ชน เดยี วกับผมนัน่ แล [อาหารเกา] คําวา กรีส-อาหารเกาน้ัน ไดแ กอ จุ จาระ กรสี น้นั โดยสี ก็มสี ดี ังอาหารที่กลืนเขาไปน่ันแหละโดยมาก โดยสัณฐาน มีสณั ฐาน ตามโอกาส (ที่อยขู องมัน) โดยทศิ เกิดในทศิ เบ้อื งลา ง โดย โอกาส มันต้ังอยูในปก กาสยะ (ที่พกั ของสกุ คอื กระเพาะอุจจาระ) อันปกกาสยะ (นั้น) เปน เหมอื นกระบอกไมไผนเ่ี อง สูง ประมาณ ๘ องคุลี อยทู ป่ี ลายไสใหญ ในระหวา งนาภีตอนลางกับโคน กระดูกสนั หลงั ซงึ่ เปน ท่ี ๆ ของกินมนี ้ําและขาวเปน ตนทุกชนดิ ท่ตี ก ลงไปในอามาสยะ (ทพี่ กั ของดบิ คือกระเพราะอาหาร) แลวเดอื ดเปน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 69 ฟองดว ยไฟ (ธาต)ุ ในอทุ ร สกุ ไป ๆ จนแหลกราวกะบดดวยหนิ บด แลว เล่อื นลงไปตามโพรงไสใหญ ไปตกทับถมกนั อยู คลายดนิ สเี หลือง ท่คี นขยบี้ รรจลุ งไปในกระบอกไมไผ อปุ มาเหมือนนา้ํ ฝนอันตกลง ในภาคพ้ืนขางบน ยอ มไหลลงมาทําใหภาคพื้นขางลางเตม็ แลวขงั อยู ฉะนน้ั โดยตัดตอน กรีสนนั้ กาํ หนดตดั ดว ยกระพงุ กระเพาะอุจจาระ และดวยสวนของอุจจาระเองดวย นเี่ ปน (สภาคบริเฉท) ตัดตอน ดวยสว นของตนแหง กรีสนน้ั สว น (วสิ ภาคบริเฉท) ตัดตอนสว น ท่ีผดิ กบั ตน กเ็ ชน เดยี วกับผมนน่ั แล [มนั ในสมอง] คาํ วา มตถฺ ลงุ ฺค-มนั ในสมอง คือกองเยอ่ื อันตงั้ อยภู ายใน กะโหลกศรี ษะ มันในสมองนนั้ โดยสี ขาวดงั สีดอกเหด็ แมจ ะ วา สดี งั นมสดท่ไี มส ดแลว แตย ังไมถ ึงเปนนมสม ดงั นี้กค็ วร โดย สณั ฐาน มีสณั ฐานตามโอกาส (ท่ีอยขู องมัน) โดยทิศ มนั เกดิ ใน ทิศเบอ้ื งบน โดยโอกาส มันอาศยั แนวประสาน ๔ แฉก ต้ังชมุ กนั อยภู ายในกะโหลกศรี ษะ คลา ยกอ นแปง ๔ กอน ที่คนวางชมุ กนั ไว ฉะนน้ั โดยตดั ตอน กําหนดตดั ดว ยพ้ืนภายในกะโหลกศรี ษะและดว ย สว นของมันสมองเองดวย นเี่ ปน (สภาคบรเิ ฉท) ตัดตอนดวยสวน ของตนแหง มนั สมองนนั้ สวน (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตัดตอนดว ย สว นทีผ่ ดิ กบั ตน ก็เชนเดยี วกับผมนน่ั แล

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 70 [นํา้ ด]ี คาํ วา ปตฺต-นํ้าดนี ั้น มีพรรณนาวา ดีมี ๒ คือ ดตี ิดท่ี (มีฝก ) ๑ ดีไมตดิ ท่ี (ไมมฝี ก ) ๑ ในดี ๒ อยา งนั้น ดตี ิดท่ี โดยท่ี มีสี (เขียว) ดังนํา้ มนั มะซางขน ๆ ดีไมต ิดท่ี มสี ี (เหลอื งหมน ?) ดังดอกพิกลุ แหง โดยสณั ฐาน ดที ัง้ ๒ อยาง มสี ณั ฐานตามโอกาส (ทอี่ ยขู องมนั ) โดยทศิ ดีติดที่เกิดในทศิ เบื้องบน ดอี ีกอยา งเกดิ ในทิศทงั้ ๒ โดยโอกาส ดีไมตดิ ท่ี ยกเวน แหง ที่พน จากเนอ้ื ของผม ขน ฟน เล็บ๑ และหนังที่กระดา งทแ่ี หงเสยี แลว (มัน) เอบิ อาบไปท่วั รา ง ที่เหลือตงั้ อยู ดุจหยาดนํา้ มนั (ทต่ี กลงไปบนน้ํา) อาบแผไปท่ัวนา้ํ ฉะนน้ั ซงึ่ เม่ือมนั กาํ เริบ (เปนโรคดีซา น) ดวงตาของสตั วท้งั หลาย จะเหลืองวิเวียนไป ตัวกจ็ ะอกั เสบเปนผ่นื คนั ดตี ดิ ที่ ขงั อยูใ นฝก นา้ํ ดี๒ ซ่งึ คลายกบั รงั บวบใหญ อยตู ิดเนอ้ื ต่ําในระหวา งหัวใจกับ ปอด ซ่ึงเมอื่ มันกําเรบิ (เปนดเี ดือด) สัตวทง้ั หลายจะเปนบาขึ้น จิตวิปลาสไป ละเลยหริ ิโอตตปั ปะ ทไ่ี มน า ทาํ ก็ทําได ท่ไี มน า พดู ก็พูด ได ทไี่ มน า คดิ ก็คดิ ไปได โดยตัดตอน กาํ หนดตดั ดว ยสวนของดีเอง น่ีเปน (สภาค- บริเฉท) ตัดตอนดว ยสวนของตนแหงดนี ้ัน สว น (วิสภาคบริเฉท) ตัดตอนดวยสว นที่ผดิ กบั ตน ก็เชนเดยี วกบั ผมน่นั แล ๑. เกสโลมทนฺตนขาน นา จะเรยี งลาํ ดับผดิ ในปรมตั ถโชติกาเปน เกสโลมนขทนตฺ าน ถูกลาํ ดับ ๒. เดย๋ี วนีม้ กั เรยี กกันวา ถงุ น้าํ ดี

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 71 [เสมหะ] คาํ วา เสมหฺ -คอื เสลด อันมีประมาณเต็มบาตรหนึ่ง*อยภู ายใน รา งกาย เสมหะนน้ั โดยสี ขาวดงั สนี า้ํ ใบแตงหนู โดยสณั ฐาน มีสัณฐานตามโอกาส (ทอี่ ยขู องมนั ) โดยทศิ เกิดในทิศเบ้อื งบน โดยโอกาส ต้งั อยูในกระพุงอุทร ซึง่ ในเวลาทกี่ ลืนอาหาร มีน้าํ และขาวเปนตน เม่อื น้ําและขาวเปนตนตกลงไป มันแยกออกจากกนั เปน ๒ สว นแลว หุมเขาตามเดิม เหมือนแหนในน้าํ เมือ่ ไมหรือ กระเบ้ืองตกลงไป มันจะแยกออกจากกนั เปน ๒ ขา ง แลวหมุ เขา ตามเดิมฉะน้ัน อนงึ่ เม่อื มนั มบี างไป อทุ รจะ (สง กล่นิ ออกมา) เปนกลิ่นซากสตั วนาเกลียดนกั ดจุ ผแี ตกและดุจฟองไกเ นามีกลิ่นเหม็น นาเกลยี ดฉะน้ัน และเพราะกลิ่นทีข่ นึ้ มาแตอุทรน้ัน แมล มเรอ แม ปากก็ (พลอย) เหมน็ เปน เชน กลน่ิ ซากสัตวเ นาไปดวย และคนผู (เรอเหม็นปากเหมน็ ) นน้ั จะถงึ กบั ถกู เขาไลเอาวา \"ไป แกสงกล่ิน เหมน็ \" แตม ันเพิ่มมากขึ้นจนหนาแลว ก็ปดกั้นกล่ินซากสตั วไ วแ ต ขางในกระพุงอทุ รอยไู ด ดจุ แผนกระดานปด วจั กุฏิฉะนน้ั โดยตัดตอน กําหนดตดั สวนของเสมหะเอง นี่เปน (สภาค- บริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหงเสมหะเอง สวน (วิสภาค- บริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนท่ีผดิ กับตน กเ็ ชนเดยี วกบั ผมนัน่ แล * ถาเปน บาตร ก็คงเปนบาตรยอ ม ๆ ในฉบับพมา เปน----ปตฺถ----ปตถะ เปน มาตราตวง แปลวา แลง คอื ประมาณกอบหน่ึง ๒ ปต ถะเปน ๑ นาฬี (คอื ทะนาน) เอาความวา มีสมหะอยู ในรา งกายประมาณกอบหนงึ่

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 72 [ปพุ โพ-นาํ้ เหลอื ง-หนอง] คาํ วา ปพุ โฺ พ มีอธบิ ายวา บุพโพนนั้ (โดยสปี กติ) มสี ี (เหลืองออ น) ดังสใี บไมเหลอื ง แตในรางคนตาย (กลาย) เปน มีสี (ขาวหมน ) ดังสนี า้ํ ขาวบูดขน ๆ ไป๑ โดยสัณฐาน มีสณั ฐานตาม โอกาส (ทอี่ ยูของมัน) โลยทศิ มนั เกิดทั้ง ๒ ทิศ โดยโอกาส ชื่อ วา โอกาสของบพุ โพ ซง่ึ เปน ท่ี ๆ มนั จะพึงขังอยเู ปนประจํา หามไี ม เปน แตใ นตําแหนง รา งกายแหงใด ๆ ทถี่ กู ตอ หนาม เครอ่ื งประหาร และเปลวไฟเปน ตน โดนเอา โลหติ หอ ไหมไป หรือวา ฝแ ละตอมเปน ตน เกิดข้นึ มันจึง (มา) อยูแหง น้ัน ๆ โดยตดั ตอน กําหนดตัด ดวยสว นของบพุ โพเอง นีเ่ ปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสวนของ ตนแหง บพุ โพน้ัน สว น (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสวนทีผ่ ดิ กบั ตน กเ็ ชน เดยี วกับผมนั่นแล [โลหติ - โลหิต] คําวา โลหติ  มอี ธิบายวา โลหติ มี ๒ คือสันนิจิตโลหิต (โลหิต ขงั ) ๑ สงั สรณโลหิต (โลหติ ไหลเวยี น) ๑ ในโลหิต ๒ อยางนัน้ สันนจิ ติ โลหิต โดยสี มสี ดี ังสนี ้ําคร่งั ขน ทแ่ี กไฟ สงั สรณโลหติ สีดงั นาํ้ ครัง่ ใส๒ โดยสณั ฐาน โลหิตท้ัง ๒ อยา งมีสณั ฐานตามโอกาส (ทอี่ ยู ของมนั ) โดยทศิ สนั นจิ ิตโลหิตเกดิ ในทศิ เบื้องบน โลหติ อีกอยา ง ๑. เพราะฉะนนั้ ปพุ ฺโพ จงึ แปลวา นํ้าเหลอื งบา ง นาํ้ หนองบาง ๒. สันนิจิตโลหติ จะตรงกบั ทเ่ี รียกวา โลหิตดาํ สว นสังสรณโลหติ จะตรงกบั โลหิตแดง กระมัง ?

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 73 เกดิ ทง้ั ๒ ทศิ โดยโอกาส สังสรณโลหติ เวนแหงที่พน จากเนื้อของ ผม ขน ฟน เล็บ และหนงั ท่ีกระดางท่ีแหงเสยี แลว (มนั ) แผไปท่ัว รา งกายที่มใี จครองท้ังส้ิน ตามสายขายเสน (เลอื ด) อยูเสมอ สนั น-ิ จิตโลหิต (ขงั อยู) เต็มสวนใตทตี่ ้ังของตับ มีประมาณเต็มบาตรหนึง่ ๑ คอย ๆ ซึมไปบนไต หัวใจ ตับ๒และปอด ทําไตหัวใจตบั และปอดให ชุมอยูเสมอ เพราะวาเมือ่ มนั ไมทําไตและหัวใจเปนตนใหชุม อยู สตั ว ทงั้ หลายจะเกดิ ระหายขึ้น โดยตดั ตอน กาํ หนดตดั ดวยสวนของโลหิต เอง น่ีเปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสวนของตนแหง โลหติ นัน้ สว น (วิสภาคบริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวนท่ีผดิ กบั ตน ก็เชนเดยี วกับผม นัน่ แล [เสโท-เหงอื่ ] คําวา เสโท-เหง่ือ ไดแ กอ าโปธาตุทไี่ หลออกตามชองใน รางกายมีชองขุมขนเปน เสโทนน้ั โดยสี สสี ีดงั สนี าํ้ มันงาใส โดย สณั ฐาน มีสัณฐานตามโอกาส (ท่อี ยขู องมนั ) โดยทศิ เกิดทงั้ ๒ ทศิ โดยโอกาส ชื่อวา โอกาสประจาํ ของเสโท ซงึ่ เปน ที่ ๆ มันจะพึงตงั้ อยู ทกุ เมอ่ื เหมอื นดงั (สันนจิ ติ ) โลหติ หามีไม ตอ เม่ือใด รางกายรอ น ๑. ก็คงจะบาตรยอ ม ๆ อกี นั่นแหละ ๒. เน่ืองจากนาจะมปี ญหาวาตบั (ยกนะ) นนั้ กว็ า มเี ลอื กขงั แชอยแู ลว ไฉนจงึ ยกมากกลาว ในตอนนี้อกี เลา มหาฎกี าจงึ ไขความไววา ๐ขอใหเ ขา ใจวา ตบั (ยกนะ) นน้ั ชุม ดว ยเลอื ด ที่ขงั อยูนน่ั แหละ นอกนน้ั ชมุ ดวยเลอื ดท่ซี ึมไป\"

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 74 ข้นึ ดวยเหตุตาง ๆ เชน รอ นไฟ รอนแดด และความผันแปรแหงฤดู เม่อื นั้นมันจึงไหลออกตามชอ งขุมผมและขนทงั้ ปวง ดุจกาํ สายบัวทพ่ี อ คนถอนขน้ึ จากนํา้ มเี งาและรากขาดไมเสมอกัน (นํ้าไหลออกไมเสมอ กัน) ฉะนัน้ ๑ เพราะฉะนั้น แมสันฐานของเสโทนนั้ กพ็ งึ เขาใจวาเปน ตามชองขมุ ผมและขนน่ันแล พระโยคผี จู ะกําหนดเอาเสโท (เปน อารมณ) เลา กพ็ ึงมนสกิ ารเสโท ตามที่มนั ขงั อยูในชอ งขุมผมและ ขนเหมอื นกัน โดยตัดตอน กาํ หนดตัดดว ยสว นของเสโทเอง นี่เปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหงเสโทนัน้ สว น (วสิ ภาค- บริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวนทผ่ี ิดกับตน ก็เชน เดียวกับผมนัน่ แล [เมโท-มันขน] คําวา เมโท-คอื มันขน๒ มันขนนน้ั โดยมี มสี ดี ังขมิ้นแตกหนอ (เหลอื งออ น ? ) โดยสณั ฐาน วาสาํ หรบั คนอวนกอ น มสี ณั ฐานดงั ผาทกุ ูลเกาสีขมิน้ ทแี่ ทรกไวใ นระหวางหนงั กับเนื้อ สาํ หรับคนผอม มี สณั ฐานดังผาทกุ ูลเกา สขี มน้ิ ทซ่ี อ นกนั ๒-๓ ชั้น แนบตดิ เนอื้ เหลา นี้ คือ เนอื้ แขง (นอง) เนื้อขาออน เนื้อหลงั ทต่ี ิดกระดูกสันหลงั เน้อื ชองทอง โดยทศิ มนั เกิดทงั้ ๒ ทิศ โดยโอกาส มนั แผไ ปทว่ั รา ง ของคนอว น ตดิ เน้อื ตาง ๆ เชนเน้ือนอ งของคนผอมอยู ซ่งึ แมถ ึงนบั ๑. คอื เหงอื่ ไหลออกจากทสี่ ูงคอื ศีรษะกม็ ี จากทีต่ า่ํ คอื เทา กม็ ี จากตวั ทว่ั ๆ ไปไมว า ท่ไี หนก็มี ดังกําสายบวั ทค่ี นรวบถอนข้นึ มา มนั ขาดไมเ สมอกนั พอยกขน้ึ พน นํา้ น้ําไหลลงจากท่ตี าง ๆ กัน ตามทม่ี นั ขาดสั้นบา งยาวบา งฉะน้นั ๒. ถนี สเิ นโห ในสัมโมหวโิ นทนี เปน ปตถฺ ินฺนสิเสโห

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 75 วาเปน มัน (แต) เพราะมนั เปน ของนาเกลยี ดนัก คนทงั้ หลายจึงไม ถือเอาใชเ ปนนาํ้ มันทา (ผม) ทศ่ี รี ษะ ไมถ ือเอาใชเ ปนน้ํามนั อยาง อืน่ ๆ มีเปนนาํ้ มันสําหรับ (นตั ถทุ าง) จมกู เปนตน โดยตดั ตอน เบอ้ื งลางกาํ หนดตัดดวยเนอ้ื เบ้ืองบนกําหนดตดั ดวยหนัง๑ เบอื้ งขวาง กําหนดตดั ดวยสว นของมันขนเอง นเี่ ปน (สภาคบริเฉท) ตัดตอน ดว ยสวนของตนแหงมันขนนัน้ สวน (วสิ ภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวย สวนท่ผี ดิ กับตน ก็เชนเดยี วกับผมนั่นแล [อสฺสุ - น้ําตา] คําวา อสสฺ ุ-นํ้าตา ไดแ กอ าโปธาตทุ ่ไี หลออกทางดวงตา นา้ํ ตา นน้ั โดยสี มีสดี งั สีนํ้ามันงาใส โดยสณั ฐาน มสี ณั ฐานตามโอกาส (ที่อยูของมนั ) โดยทศิ มนั เกดิ ในทศิ เบ้ือบน โดยโอกาส มัน อยใู นเบาตา แตว า มันมไิ ดข งั อยทู กุ เม่ือในบาตา ดังนํา้ ดขี ังอยใู นฝก น้าํ ดฉี ะนน้ั ดอก ตอ เมอ่ื ใด สตั วทั้งหลายเกดิ ความดีใจหวั เราะเสยี ใหญ เกิดความเสียใจรองไหครา่ํ ครวญ หรอื วากนิ อาหารแสลง (ตา) อยางน้ันเขา ไป๒ อน่ึง เมอื่ ใดดวงตาของสัตวเ หลานัน้ ถกู สง่ิ ทจี่ ะทาํ ใหน้าํ ตาไหล มีควนั ละออกและผงเปนตนกระทบเอากด็ ี เมอ่ื นนั้ มัน ๑. เพราะเนื้ออยูลา ง หนงั อยูบน สว นมนั ขน อยูกลาง ๒. ตถารปู ในทน่ี ม้ี ไิ ดเ พงขอ ความอะไรทีก่ ลาวมาแลว แตเ พงความทีม่ ุง หมายจะกลาวคอื น้ําตาไหล 'อยา งน้นั ' คอื อยางที่จะทําใหน า้ํ ตาไหล

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 76 จึงเกิดขน้ึ เพราะความดีใจ ความเสียใจ อาหารและฤดทู ีแ่ สลง๑ (ตา) เหลาน้นั (อยา งใดอยางหนึง่ ) แลวเออ อยูเ ต็มเบาตาบาง ไหลออก มาบา ง ก็พระโยคผี ูจ ะกําหนดเอาน้ําตา (เปน อารมณ) กพ็ งึ กาํ หนด เอาตามทมี่ นั เออ อยูเต็มเบาตานนั่ แหละ โดยตดั ตอน กําหนดตดั ดวย สวนของนํ้าตาเอง นีเ่ ปน (สภาคบริเฉท) ตัดตอนดว นสวนของตน แหง น้าํ ตานั้น สว น (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอนดวยสว นทผ่ี ดิ กบั คน ก็เชน เดยี วกับผมนั่นแล [วสา-มนั เหลว] คําวา วสา แปลวา มนั เหลว มนั เหลวน้นั โดยสี มสี ดี งั สนี า้ํ มัน มะพราว แมจะกลา ววา มีสีดังนํา้ มนั ท่รี าดลงไปในนาํ้ ขา วก็ควร โดย สัณฐาน มสี ณั ฐานดังหยาดน้าํ มนั ทซี่ านไปลอดควา งอยเู หนือนํ้าอันใส ในเวลาลาง๒ (มัน) โดยทศิ มนั เกิดในทิศทั้ง ๒ โดยโอกาส มนั อยู ในฝามือ หลงั มือ ฝาเทา หลังเทา ปลายจมกู หนา ผาก และจะงอยบา โดยมาก แตว า มันหาไดล ะลายอยูในโอกาสเหลา นี้ทุกเมื่อไม ตอเมือ่ ใดตาํ แหนง เหลาน้ันเกิดอบข้ึนเพราะรอนไฟ รอนแดด ผิดอากาศ ๑. ฤดู ไมไดพ ดู ถึงมากอน มาโผลแ ถมขึ้นอยา งไรอยู วสิ ภาคาหารนน้ั ขางตน เปนวสิ มาหาร แตในปรมัตถโชตกิ าร เปน โสมนสสฺ โทมนสสฺ วสิ มาหาราทหี ิ ตรงกบั ทีว่ า มาขางตน อยา งไรกด็ ี บทเหลา นว้ี าไวใ นประโยค ยทา แลว ไมน ากลา วซํา้ อกี ในประโยค ตทา พอขึ้นประโยค ตทา ก็นาจะกลาวผลเลยทเี ดียว ความถงึ จะสนิท ๒. นหฺ านกาเล ถาจะแปลวาในเวลา (คน) อาบน้ํา กม็ ีปญ หาวา นาํ้ มันอะไรในตวั เอง ไหลซา นออไปอยา งน้นั จึงคดิ วา นหฺ านศพั ทนีจ้ ะตอ งแปลวา 'ลาง' คือลางนา้ํ มันทีติดอะไรอยู กต็ าม นา้ํ มนั จงึ ซา นออกไปลอยอยา งน้ัน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 77 และธาตพุ กิ าร เมือ่ น้ัน มนั จงึ จะกระจายไปทางโนนทางน้ใี นทีเ่ หลา น้นั ดังหยาดนํ้ามันทซ่ี า นไปบนน้ําใสในเวลาลา ง (มนั ) ฉะนัน้ โดยตัดตอน กําหนดตัดดวยสวนของมนั เหลวเอง น่ีเปน (สภาคบรเิ ฉท) ตดั ตอน ดวยสวนของตนแหงมนั เหลวน้นั สว น (วสิ ภาคบรเิ ฉท) ตัดตอน ดวยสว นทผ่ี ิดกบั ตน กเ็ ชน เดียวกบั ผมนนั่ แล [เขโฬ - น้ําลาย] คําวา เขโฬ - นาํ้ ลาย คอื อาโปธาตทุ ป่ี ระสมข้ึนเปนฟองภายใน ปาก นา้ํ ลายน้ัน โดยสี ขาวดังสีฟองน้ํา โดยสณั ฐาน มสี ณั ฐาน ตามโอกาส (ท่อี ยูของมนั ) แมจ ะวา สัณฐานดังฟองนํ้าก็ได โดย ทิศ เกิดในทศิ เบอื้ งบน โดยโอกาส มนั ลงจากกระพุงแกมท้งั ๒ ขา ง มาอยูทีล่ ิน้ แตว ามันมิไดขงั อยูท่ีนัน่ ทกุ เมอื่ ดอก ตอเม่อื ใด สตั ว ทัง้ หลายเหน็ หรือนกึ ถงึ อาหารอยางนั้น (คืออยา งที่ชวนนาํ้ ลายออก) เขา ก็ดี วางอาหารมีรสรอน ขม เผด็ เคม็ เปรีย้ ว อะไร ๆ ลงไป ในปากกด็ ี หรอื วา เมอ่ื ใด หวั ใจของสตั วเหลา น้ันละเหย่ี ไปก็ดี ความ สะอิดสะเอยี นเกิดขน้ึ ในอะไร ๆ ก็ดี เมือ่ นนั้ นาํ้ ลายจึงเกดิ ขึ้นลงจาก กระพงุ แกม ทง้ั ๒ ขางมาอยูท ีล่ ิ้น อนึง่ น้ําลายนัน้ ทล่ี ้นิ ทางปลายมี นอ ย ทีล่ น้ิ ทางโคนมมี าก และมันไมร จู กั สิ้นไปเลย ดงั นํ้าในบอ ที่ขดุ ไวในหาดทราบไมร จู กั ส้ินฉะนนั้ สามารถจะยงั ขาวเมาหรอื ขาวสารหรอื ของขบเค้ยี ว (ท่ีดูดนํ้าลาย ?) อะไร ๆ อืน่ กต็ าม ทใี่ สเ ขา ไปในปาก ใหเปยกชมุ ได โดยตัดตอน กําหนดตัดดวยสว นของนา้ํ ลายเอง น่ี

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 78 เปน (สภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหงนํา้ ลายนัน้ สวน (วสิ ภาคบริเฉท) ตดั ตอนดว ยสวนทผ่ี ดิ กับตน ก็เชน เดยี วกบั ผมน่นั แล [สิงฺฆาณิกา - นํ้ามูก] คําวา สงิ ฆฺ าณกิ า - นา้ํ มูก ไดแกน า้ํ ไมส ะอาดท่ีไหลออกจากมัน ในสมอง นํา้ มกู น้ัน โดยสี มสี ีดงั เยือ่ ในเม็ดตาลออ น โดย สัณฐาน มสี ณั ฐานตามโอกาส (ท่ีอยขู องมัน) โดยทศิ เกิดในทศิ เบื้องบน โดยโอกาส มันอยูเต็มโพรงจมกู แตว า มันมิไดข ังอยูที่นนั่ ทกุ เมอ่ื ดอก โดยที่แท เมอ่ื ใด สตั วทง้ั หลายรองไหกด็ ี เปน ผมู คี วาม กําเรบิ แหง ธราตุ อันเกดิ ขน้ึ ดวยอาํ นาจอาหารแสลง และฤดสู ําแลงกด็ ี เม่ือน้ัน มนั ในสมองที่กลายเปนเสมหะเสยี จึงเลื่อนจากภายในศรี ษะ ลงมาตามชวงเพดานจนเตม็ โพรงจมูกอยูบ า ง ไหลออกมาบาง เปรยี บ เหมือนคนหอนมสมไวในใบปทมุ แลว พึงใชห นามแทงขางลาง ทนี ้ี นํา้ ใสแหงนมสม ก็จะพึงหยดออกทางชอ งนัน้ ตกไปขาวนอกฉะนนั้ ก็แลพระโยคีผจู ะกําหนดเอานํ้ามกู (เปน อารมณ) ก็พงึ กาํ หนดเอา ตามทม่ี นั เต็มโพรงจมกู อยนู ่ันแล โดยตดั ตอน กําหนดตัดดวยสวน ของนํ้ามูกเอง นเี่ ปน (สภาคบริเฉท) ตดั ตอนดวยสวนของตนแหง นา้ํ มูกนนั้ สว น (วสิ ภาคบริเฉท) ตัดตอนดวยสว นทผ่ี ดิ กบั ตน ก็ เชนเดยี วกบั ผมนน่ั แล [ลสกิ า - ไขขอ ] คาํ วา ลสิกา ไขขอ ไดแ กไขมกี ลิ่นสาง ภายในขอตอ ใน

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 79 รา งกาย ไขขอ นนั้ โดยสี มีสดี งั ยางดอกกรรณกิ าร โดยสณั ฐาน มสี ัณฐานตามโอกาส (ทอ่ี ยูของมัน) โดยทิศ เกิดในทิศทง้ั ๒ โดย โอกาส มันอยภู ายในขอ ตอ ๑๘๐ แหง คอยทําหนา ท่ีทาขอตอกระดูก ท้ังหลาย กแ็ ลไขขอนน้ั ของผูใดมีนอย เมอื่ ผูน นั้ ลุก นัง่ กา ว ถอย คู เหยยี ด กระดูกทั้งหลายจะลั่นดังกฏะกฏะ คลา ยคนเท่ยี วทํา เสยี งดีดมือไปฉะนัน้ เมือ่ เขาเดนิ ทางแมส กั ๑ โยชน ๒ โยชน วาโย- ธาตุจะกําเริบ ตวั จะระบม แตว า ของผใู ดมีมาก กระดกู ท้ังหลายของ ผนู น้ั จะไมล่ันดงั กฏะกฏะในเพราะความเคลอื่ นไหวมลี กุ น่ันเปน ตน เม่อื เขาเดนิ ทางแมไกล วาโยธาตกุ ไ็ มก าํ เริบ ตวั ก็ไมร ะบม โดยตัดตอน กําหนดตดั ดวยสวนของไขขอเอง นี่เปน (สภาค- บรเิ ฉท) ตดั ตอนดว ยสว นของตนแหงไขขอนั้น สวน (วิสภาคบร-ิ เฉท) ตดั ตอนดวยสว นท่ผี ดิ กบั ตน ก็เชนเดียวกบั ผมน่ันแล [มตุ ฺต - มตู ร] วินจิ ฉยั คําวา มตุ ตฺ  - มตู ร มูตรน้ัน โดยสี มีสีดงั นา้ํ ดา งถ่ัว มาส โดยสณั ฐาน มสี ณั ฐานดงั นํ้าอยูภายในหมอ นาํ้ ท่ีเขาต้ังควํา่ ปากไว โดยทิศ เกิดในทิศเบอ้ื งลา ง โดยโอกาส มนั อยภู ายในหัวไส กระเพราะเบา ทานเรยี กชื่อวาหัวไส ซ่งึ เปน ทท่ี ี่น้ํามูตรแตส รรี ะ (ซมึ ) เขาไป แตวาทางเขา ไปของมนั ไมปรากฏ ปรากฏแตท างออก เหมือน นาํ้ คราํ (ซมึ ) เขา ไปในหมอ เนือ้ หยาบไมมปี าก ที่เขาวาง (แช) ไว ในแอง น้ําครําได แตทางเขาไปของมันไมปรากฏฉะนัน้ อนงึ่ เมือ่

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 80 กระเพาะไรเลา เต็มดวยนํ้ามตู รแลว ความขวนขวายวา เราจะถา ย ปสสาวะ ยอมมีแกสตั วทงั้ หลาย โดยตัดตอน กาํ หนดตัดดวยดานใน ของกระเพาะเบา และดวยสว นของนาํ้ มตู รเอาดวย น่ีเปน (สภาคบริ- เฉท) ตัดตอนดว ยสว นของตนแหงนํ้ามูตรนั้น สว น (วิสภาคบรเิ ฉท) ตัดตอนดวยสว นทีผ่ ดิ กบั ตน ก็เชน เดยี วกบั ผมนน่ั แล [สรปู ] กแ็ ล เมือ่ พระโยคาวจรกาํ หนดโกฏฐาสท้ังหลาย มีผมเปน อาทิ โดยสี สัณฐาน ทศิ โอกาส และตดั ตอนอยา งนแ้ี ลว มนสกิ ารวาปฏิกลู ๆ โดยประการ ๕ ทางสี สณั ฐาน กลน่ิ ท่ีอาศัย และโอกาส โดยนยั (มนสิการโกศลวิธี) มโี ดยลําดบั โดยไมเ รง นกั เปนตนอยู ในท่สี ดุ แหง มนสิการตอนลว งเสียซึ่งบญั ญตั ิ พจิ ารณาดกู ายนอ้ี ยูวา 'อตถฺ ิ อมิ สฺมึ กาเย เกสา- ผมทงั้ หลายมีอยูใ นกายน้ี เปนอาทิ ธรรม ท้ังหลายทงั้ ปวงน้นั * ยอ มจะปรากฏดงั วาไมกอนไมหลงั กัน อุปมา เหมือนเม่ือบุรษุ ตาดีมองดูพวงมาลาท่รี อยดอกไม ๓๒ สไี วดว ยดา ยเสน เดียวกัน ดอกไมท้งั ปวง (ในพวงนน้ั ) ยอมจะปรากฏ ดังวา ไมกอน ไมห ลงั กันฉะน้ัน เพราะเหตนุ ั้น ขาพเจาจึงกลาวไวใ นตอนวาดวยมน- สกิ ารโกศลวา \"ก็เม่ือพระอาทกิ ัมมกิ ะมนสกิ าร (โดยอนุโลม เรมิ่ ) วา เกสา มนสกิ ารก็ดาํ เนินไปจนสุดจุโกฏฐาสปลาย คือ มุตฺต นี้ ทีเดียว\" ดงั น้ี กถ็ า วา พระโยคาวจรน้ัน จะนาํ (ปฏกิ ูล) มนสกิ าร ออกไปนอกตัวบางไซร ครน้ั โกฏฐาสทงั้ ปวงปรากฏชดั อยา งนน้ั แลว * มหาฎกี าวา ธรรมท้งั หลาย คอื โกฏฐาสทป่ี รากฏโดยอาการปฏกิ ูล

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 81 ทีนี้ สัตวห ลายมีมนุษยและดริ จั ฉานเปนตนทเ่ี ดินไปมาอยู ก็จะละ อาการของสัตวป รากฏแกเ ธอโดยเปน กองโกฏฐาสไปหมด อาหารมนี ้ํา และขาวเปน ตน ท่ีสัตวเหลา น้ันกลืนกนิ ลงไปเลา กป็ รากฏดจุ ของท่ี เขาใสลงไปในกองโกฏฐาส* (ไปส้นิ ) [นิมิตและอปั ปนา] ในลําดับนน้ั เมื่อเธอมนสิการเนือง ๆ วา 'ปฏิกูล ๆ' ตามมน- สกิ ารโกศลวธิ ตี อ ไปมวี ิธีปลอยลําดับเปน ตน อปั ปนาจะเกดิ ข้ึนโดย ลําดบั ในการเกดิ ข้ึนแกง อปั ปนานนั้ บัณฑิตพึงทราบวาความปรากฏ แหง โกฏฐาสมผี มเปนตนดว ยอาํ นาจแหงสี สัณฐาน ทิศ โอกาส และ ตัดตอน เปน อคุ คหนิมิต ความปรากฏ (แหงโกฏฐาสเหลานัน้ ) ดวยอาํ นาจแหง ความปฏกิ ูลโดยอาการท้ังปวง เปนปฏิภาคนมิ ิต เม่ือ สองเสพเจริญปฏิภาคนิมติ นัน้ ไป อปั ปนาจะเกดิ ข้นึ ดว ยอาํ นาจแหง ปฐมฌาน (คอื ไดเพียงปฐมฌาน) ดจุ อัปปนาในอสภุ กรรมฐาน โดยนัยท่กี ลา วแลว พระโยคาวจรใด มีโกฏฐานปรากฏแตอยางเดยี ว หรอื วา พระโยคาวจรใด ไดบ รรลอุ ปั ปนาในโกฏฐาสอยาหนงึ่ แลว ไมทําความเพียรในโกฏฐาสอนื่ ตอไปกด็ ี อปั ปนานัน้ ก็ยอ มเกิดข้ึนแก พระโยคาวจรนั้นแตด วงเดยี ว สวนพระโยคาวจรใดมีโกฏฐาสหลายอยาง ปรากฏ หรอื วา พระโยคาวจรใดไดบรรลฌุ านในโกฏฐาสอยางหนึ่งแลว ยังทาํ ความเพียร แมใ นโกฏฐาสอยางอ่ืนตอ ไปอกี กด็ ี ปฐมฌานหลาย * มหาฏีกาวา นเ่ี ปน ภาวนาพเิ ศษของพระโยคี คลา ยวิธีขยายกสณิ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 82 ดวงตามจํานวนโกฏฐาส ยอ มเกดิ แกพ ระโยคาวจรนัน้ ได ดุจปฐมฌาน หลายดวงเกิดแกพระมาลกเถระฉะนัน้ ไดย นิ วา ทา นผนู น้ั จับมือพระอภัยเถระผเู ปน ทฆี ภาณกาจารย (ผูบอกพระสูตรทีฆนกิ าย) กลาววา \"แนะอาวุโสอภยั แตน ีไ้ ป ทา น จงเรียนปญหาน้ีกอ นเถดิ \" แลว บอกวา \"พระเถระผูเฒา (รูปหนงึ่ ) เปนผูไดป ฐมฌาน ๓๒ ดวงในโกฏฐาส ๓๒ อยา ง ถา เขา กลางคนื ฌาน ๑ กลางวนั ฌาน ๑ ทานจะเชอ่ื มฌานนน้ั ไดโ ดยเวลากง่ึ เดอื น กวา ๆ แตถา เขาวนั ละฌาน ทา นจะเชื่อมไดโดยเวลาเดอื นกวา ๆ\" [เหตทุ ี่เรียกกายคตาสติ] ก็กรรมฐานนี้ แมว าสําเร็จดวยอํานาจปฐมฌาน (คอื ไดเพยี ง ปฐมฌานเหมือนอสภุ กรรมฐานทก่ี ลา วมาแลว ) แตเ พราะสําเร็จดว ย เร่ยี วแรงแหง สติ (อันเปน ไป) ในโกฏฐาสท้ังหลาย อันมลี กั ษณะ ตาง ๆ มสี ีและสัณฐานเปนตน จึงเรียกวา กายคตาสติ* (ไมเ รยี ก อสุภ ?) [อานิสงสเจรญิ กายคตาสติ] ก็แลภกิ ษุผปู ระกอบโดยสมควรซึง่ กายคตาสตนิ ี้แลว (๑) ยอ ม * ขอ สําคญั ทต่ี างกนั นน้ั คอื อสภุ พจิ ารณารางคนอนื่ ท่ตี ายแลว สว นกายคตาสติ พจิ ารณา รางของตนท่ยี งั เปนอยู

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 83 เปน ผูขม ไดทง้ั ความไมย ินดแี ละความยนิ ดี๑ อันความไมย ินดีหาขม เธอ ไดไม (แต) เธอขม เสยี ไดครอบงาํ เสียได ซงึ่ ความไมยินดีท่เี กดิ ขึ้น๒อยู (๒) เปนผขู ม ความกลัวภัยได อนั ความกลวั ภัยหาขม เธอไดไม (แต) เธอขม เสียไดค รอบงําเสียได ซง่ึ ความกลวั ภยั ท่เี กิดข้ึนอยู (๓) เปน ผู ทนตอ ความหนาวรอน ฯ ล ฯ (๔) เปน คนชนดิ ที่อดกลัน้ ตอ ทุกขเวทนา กลา. . . ขนาดจะครา ชีวิตได๓ (๕) ไดอาศัยสีตาง ๆ แหงโกฏฐาส ทง้ั หลามีผมเปนตน จะเปนผไู ดฌ านทั้ง ๔ ตลอดไปถงึ อภิญญา ๖ (ก็ได)๔ เพราะเหตนุ ้นั แล ภกิ ษุผมู ปี ญ ญาพงึ เปนผไู มประมาท บําเพ็ญกายคตาสตินี้อนั มอี านสิ งสเปนอเนกดงั กลา วมา ฉะนเี้ ทอญ นเี่ ปน กถามุขโดยพิสดาร ในกายคตสิ ติ ๑. มหาฎกี าวา \"อรติ คอื ไมย ินดใี นเสนาสนะสงดั และในกุศลธรรมอนั ยิ่ง สวนรติ ไดแ กย ินดใี นกามคณุ \" แตค าํ ทัง้ ๒ นก้ี ลา วเปน คกู นั นา จะมคี วามหมายท่ีตรงกนั ขา ม เพง รติ ทวี่ ายนิ ดใี นกามคณุ อรติ กน็ าจะหมายความตรงกันขาม คอื ไมยนิ ดใี นพรหมจรรย หรือเนกขัม ๒. บทตงั้ คือ อรติรตสิ โห มที ้ังอรติ และรติ แตต อนขยายความ กลาวแตอ รติ นาจะตกรตไิ ป ๓. ปาฐะทเี่ ปยยาลไวนี้ มรในจตุกกังคุตตระหนา ๑๕๘ ความเตม็ วา ขโม โหติ สตี สฺส อณุ ฺหสสฺ ชิฆจฺฉาย ปปาสาย ฑส มกสวาตาตปลริ สึ ปสมผฺ สสฺ าน ทุรุตฺตาน ทรุ าคตาน วจนปถาน อุปฺปนนฺ าน สารรี ิกาน เวทนาน ทกุ ขฺ าน ตพิ พฺ าน ขราน กฏกาน อสาตาน อมนาปาน ปาณหราน อธิวาสกชาติโก โหติ ๔. ทเี่ ปน ไดดังนี้ ดว ยอาศัยสี หมายความวา กลายเปนวณั ณกสิณไป

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 84 [อานาปานสต]ิ อานาปานสติกรรมฐานนน้ั ใด ท่พี ระผูมพี ระภาคเจาทรงสรร- เสรญิ ไวอ ยา งนี้วา \"ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย แมอานาปานสติสมาธิน้ีแล บคุ คลทาํ ใหมที ําใหม ากแลว ยอมเปนธรรมละเมยี ดแทด วย๑ ประณีต แทดวย เปน ธรรมเคร่ืองพกั อยอู ันละมนุ ละไมและเปนสุขดว ย ยงั ธรรม อันเปนบาปอกุศลท้ังหลาย ทเ่ี กิด ๆ ขนึ้ ใหห ายลับราํ งบั ไปโดยพลนั ดว ย๒ ดงั นแี้ ลวตรสั จาํ แนกใหเปนกรรมฐานมีวัตถุ (ลกู ขอ ) ๑๖ อยา งนี้วา \"ดูกรภิกษทุ ัง้ หลาย กอ็ านาปานสติสมาธิ บุคคลทาํ ใหมีอยา งไร ทาํ ใหม ากอยางไร จึงเปน ธรรมละเมียดแทด ว ย ประณตี แทดว ย เปน เครื่องพักอยูอันละมนุ ละไม และเปน สุขดวย ยงั ธรรมอนั เปน บาป อกศุ ลทงั้ หลายทเ่ี กิด ๆ ข้นึ ใหหายลับราํ งับไปโดยพลนั ดวย ? ดกู รภิกษุ ท้งั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี ไปสูปา หรือโคนไม หรอื เรือนวางกต็ าม นั่งคูบ ลั ลังก ตัง้ กายใหตรง ดาํ รงสตไิ วเ ฉพาะหนา เธอคงมสี ตหิ ายใจ ออก คงมีสติหายใจเขา (มีวัตถุ ๑๖ คอื ) ๑. เคยไดร ับอาจรยิ กะวา สนตฺ ะ ท่ีมาคูกบั ปณีตะ เชน ในทน่ี ้ี ใหแ ปลวา 'ละเอยี ด' แตด ูตอนทา นแก (หนา ๕๓) แลวไมมเี คาจะใหแปลอยา งนัน้ ได เพราะทานแกไ วว า สนโฺ ต วูปสนโฺ ต นิพฺพโุ ต อนั ชวนใหแ ปลวา \"สงบ คอื ราํ งับดับเยน็ \" แตอ าจรยิ กะที่ กลา วนน้ั ทานนาํ สืบกับมานาน จะทิง้ เสียทีเดยี ว ก็นาเสียดาย ในทีน่ จ้ี ึงคิดแปลใหมเ ปน ละเมยี ด ในที่หมายความวาเรียบราบ เรียบรอ ยหรือเรยี บสนทิ จะตีความวา สงบ ก็ได เชน ทะเลราบ ก็คือคล่ืนลมสงบ บา นเมอื งราบคาบ ก็คือโจรผรู ายสงบ จะตคี วาม วา ละเอยี ดกไ็ ด เพราะถา หยาบคายขรขุ ระ จะเรยี กวา ละเมียดกระไรได ๒. ส. มหาวาร. ๑๙/๔๐๗

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 85 [จตุกกะที่ ๑] (๑) เธอหายใจออกยาวอยู กร็ ูวา เราหายใจเขายาว หรือหายใจเขายาวอยู ก็รวู า เราหายใจเขายาว (๒) เธอหายใจออกยาวอยู ก็รวู าเราหายใจเขาสัน้ หรอื หายใจออกสั้นอยู ก็รวู า เราหายใจเขาสั้น (๓) เธอสําเหนียกวา เราจกั เปน ผรู ูตลอดกายทง้ั หมดหายใจ ออก สาํ เหนียกวา เราจกั เปนผูรตู ลอดกายทง้ั หมดหายใจเขา (๔) สําเหนยี กวา เราจักเปน ผูระงับกายสังขารหายใจออก สาํ เหนียกวา เราจัดเปนผูระงับกายสงั ขารหายใจเขา [จตกุ กะที่ ๒] (๕) สําเหนยี กวา เราจกั เปนผรู ูชัดซงึ่ ปตหิ ายใจออก สําเหนียก วา เราจกั เปนผูรชู ัดซง่ึ ปตหิ ายใจเขา (๖) สําเหนยี กวา เราจักเปนผูรูชัดซ่ึงสขุ หายใจออก สาํ เหนยี ก วา เราจักเปนผูรชู ัดซ่ึงสขุ หายใจเขา (๗) สาํ เหนียกวา เราจักเปนผรู ูชัดซ่งึ จติ ตสังขารหายใจออก สําเหนียกวา เราจกั เปนผูร ชู ัดซึ่งจติ ตสังขารหายใจเขา (๘) สําเหนยี กวา เราจักเปน ผูระงับจิตตสงั ขารหายใจออก สําเหนียกวา เราจักเปนผรู ะงบั จติ ตสังขารหายใจเขา [จตุกกะที่ ๓] (๙) สาํ เหนียกวา เราจกั เปน ผูก าํ หนดรจู ิตหายใจออก

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 86 สําเหนียกวา เราจักเปน ผูกาํ หนดรจู ติ หายใจเขา (๑๐) สาํ เหนียกวา เราจกั เปน ผูยงั จติ ใหบ นั เทิงยงิ่ หายใจออก สําเหนียกวา เราจกั เปนผูยังจติ ใหบนั เทิงยงิ่ หายใจเขา (๑๑) สาํ เหนียกวา เราจักตัง้ จติ มน่ั หายใจออก สาํ เหนียกวา เราจกั ตั้งจติ มั่นหายใจเขา (๑๒) สําเหนยี กวา เราจักเปลอ้ื งจติ หายใจออก สําเหนียกวา เราจักเปล้อื งจติ หายใจเขา [จตกุ กะที่ ๔] (๑๓) สาํ เหนยี กวา เราจกั เปนผพู จิ ารณาเห็นวาไมเ ทีย่ งหายใจ ออก สาํ เหนียกวา เราจักเปนผพู จิ ารณาเหน็ วาไมเทยี่ วหายใจเขา (๑๔) สําเหนยี กวา เราจกั เปน ผพู จิ ารณาเห็นความคลายไป หายใจออก สาํ เหนียกวา เราจักเปนผูพ จิ ารณาเห็นความคลายไป หายใจเขา (๑๕) สาํ เหนียกวา เราจกั เปนผูพิจารณาเห็นความดบั ไปหาย ใจออก สาํ เหนียกวา เราจกั เปนผูพิจารณาเหน็ ความดับไปหายใจเขา (๑๖) สาํ เหนยี กวา เราจักเปน ผูพจิ ารณาเหน็ ความสละทิ้ง หายใจออก สาํ เหนียกวา เราจักเปนผูพจิ ารณาเห็นความสละทิง้ หายใจเขา \"* ดังน้ี บดั น้ี นิเทศแหง การเจริญอานาปานสตกิ รรมฐานน้นั มาถงึ แลว โดยลําดบั แตเ พราะนิเทศน้ัน เมอื่ กลาวไปตามแนวคําบาลนี นั่ แล * ส. มหาวาร. ๑๙/๔๐๗

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 87 จึงจะบริบูรณอาการทั้งปวง เพราะเหตุนน้ั นิเทศในอานาปาน- สตกิ รรมฐานน้นั (ตอ ไป) นี้ จึงเปนนิเทศยึดคาํ บาลีเปน เบือ้ งหนา [ขยายความบาลีคําถาม] บัณฑติ พงึ ทราบนเิ ทศ (ขยายความ) แหงบาลีคําถามวา \"กถ ภาวิโต จ ภกิ ขฺ เว อานาปานสฺสตสิ มาธิ ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย ก็อานาปานสติสมาธิ บุคคลทาํ ใหมีอยา งไร\" เปนตน นกี้ อน คําวา 'กถ' เปนพระปุจฉาดว ยความเปนผูทรงใครจะตรสั การเจรญิ อานาปานสติสมาธิ ใหพิสดารโดยประการตาง ๆ คําตอไปวา 'ภาวิโต จ ภิกขฺ เว อานา- ปานสสฺ ติสมาธ'ิ เปน คําทรงชธ้ี รรมที่ไดต รสั ถามไว ดว ยความเปนผู ทรงใครจะตรสั ใหพ ิสดารโดยประการตาง ๆ แมใ นคําวา 'กถ พหุล-ี กโต ฯ เป ฯ วปู สเมติ' น้ันกน็ ัยนีเ้ หมอื นกัน ในบทเหลา น้ัน บทวา ภาวโิ ต-ทาํ ใหม ี น้นั คอื ทาํ ใหเ กิดข้นึ หรือเจริญขน้ึ บทวา อานาปานสสฺ ติสมาธิ แปลวา สมาธทิ ่ี สัมปยตุ กับสติ อันกาํ หนดเอาลมหายใจออกและลมหายใจเขา (เปน อารมณ) นยั หนึง่ สมาธใิ นอานาปานสติ ช่อื วา อานาปานสติสมาธิ บทวา พหุลกี โต-ทาํ ใหมาก คือทําบอย ๆ [แก สนโฺ ต ปณโี ต] สองบทวา สนโฺ ต เจว ปณีโต จ นั้น พงึ ประกอบวา สนโฺ ต เจว ปณีโต เจว-ละเมยี ดแทดว ย ประณีตแทดวย พงึ ทราบวา การ จาํ กัดความดวยเอวศัพท ยอมมีทั้ง ๒ บท ถามวา พระพุทธาธิบายมีอยู

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 88 อยางไร ? เฉลยวา พระพทุ ธาธบิ ายมอี ยวู า \"อันอานาปานสติสมาธนิ ี้ จะไดเ ปน ธรรมไมละเมยี ดหรือไมประณีตโดยปรยิ ายไร ๆ เหมอื นอยา ง อสภุ กรรมฐาน ซึ่งละเมยี ดและประณีตแตโดยปฏิเวธอยางเดยี ว แตไม ละเมยี ดไมป ระณตี ทางอารมณเลย เพราะมีอารมณหยาบ และมีสง่ิ ปฏกิ ูล เปนอารมณ (เชน นน้ั ) หามิได ทแ่ี ทเปน ธรรมชือ่ วา ละเมียด คือ เรยี บ ราบดบั เยน็ เพราะทงั้ ละเมียดโดยอารมณ เพราะทัง้ ละเมยี ดโดยองคท่ี นับวา ปฏิเวธ ช่ือวา ประณีต คอื ไมท ําใหเบ่อื เพราะทั้งประณีตโดย อารมณ เพราะท้ังประณีตโดยองค\" ดงั นี้ เพราะเหตนุ ัน้ จึงตรสั วา \"(อานาปานสตสิ มาธ)ิ เปนธรรมละเมยี ดแทด ว ย ประณีตแทดว ย\" [แก อเสจนโก] สว นในคาํ วา \"อเสจนโก จ สุโข จ วหิ าโร เปนธรรมเครอื่ ง พกั อยอู ันละมุนละไมและเปนสุขดว ย\" น้นั มอี รรถาธบิ ายวา เสจนะ (ความเปย ก) ไมม แี กอ านาปานสติสมาธนิ ้นั เหตุนัน้ อานาปานสต-ิ สมาธิน้ันจึงชือ่ วา อเสจนโก-ละมุนละไม (เหมือนขาวสวย) คอื ไมเ ปรอะ ไมป น แยกเปน หนึ่งไดจ ําเพาะตัว หมายความวา ความ ละเมียดในอานาปานสติสมาธิน้ี หามีโดยบรกิ รรมหรอื โดยอปุ จารกต็ าม ไม อานาปานสตสิ มาธิน้ี เปน ธรรมละเมียดดว ย ประณีตดวย โดย สภาวะของตนแท จําเดมิ แตอ าทสิ มันนาหาร (การเรม่ิ ตน ประมวลจติ เขาทํากรรมฐาน) ไป สว นอาจารยล างเหลา*กลา ววา บทวา * มหาฎกี าวา เกจิอาจารยท ่ีวา น้ี หมายถงึ อาจารยวดั อุตตรวหิ าร (วัดเหนอื ?) อยูทไ่ี หน ไมบ อก

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 89 'อเสจนโก' ความวา ไมต อ งเติมอะไร เปน (ดุจ) สิ่งมีรสดอี รอย โดยสภาพเอง บัณฑติ พงึ ทราบวา อานาปานสตสิ มาธนิ ้ี เปน อเสจนกะอยางนแี้ หละ จงึ เปน สุขวหิ ารดว ย เพราะเปน ไปเพ่ือได กายกสุขและเจตสกิ สุข ทกุ ขณะทถ่ี ึงอัปปนา๑ คาํ วา ท่ีเกดิ ๆ ข้ึน หมายความวาทย่ี งั มไิ ดขม ๆ ลง คําวา บาป คือช่วั คําวา ธรรมอันเปน อกศุ ล คือธรรมอนั เกิดแตความไมฉลาด คําวา ใหหายไปโดยพลนั หมายความวาใหล บั ไป คือขม ลงไดโดยทนั ที ทีเดียว คาํ วา ใหร ํางบั ไป คอื ใหส งบไปอยา งดี นัยหนง่ึ เธอถึง ความเจรญิ แหงอริยมรรคโดยลาํ ดบั ยอ มตัดขาดได อธิบายวา ใหส งบ ราบคาบไปได เพราะอานาปานสตสิ มาธิเปน นิพเพธภาคิยธรรม๒ กใ็ นพระบาลคี ําถามน้ี มคี วามสังเขป (ดงั ตอไป) นีว้ า ดกู ร ภิกษทุ ้งั หลาย อานาปานสติสมาธิ บุคคลทาํ ใหม ีดวยประการไร ดวย อาการไร ดว ยวิธไี ร ทําใหม ากดว ยประการไร... จงึ เปนธรรมละเมยี ด แทดว ย ฯลฯ ใหร าํ งบั ไปโดยพลันดว ย [ขยายความแหง บาลคี ําเฉลย] บัดนี้ พระผมู พี ระภาคเจา จะทรงยงั ความขอนัน้ ใหพ ิสดาร จงึ ๑. มหาฎกี าขยายความวา ทวี่ า ไดกายกิ สขุ ดวยนน้ั กโ็ ดยทีร่ า งกายของผูเขาฌาน ซาบซานดว ยประณีตรปู ที่เกดิ แตฌ าน จะรูส กึ เปน สขุ เมอ่ื ออกจากฌานแลว ๒. มหาฎกี าวา การบาํ เพ็ญฌานของศาสนกิ ชน สวนมากก็เปน นิพเพธภาคยิ ะ แตส ําหรบั พระพุทธเจาแลวเปน นิพเพธภาคยิ ะโดยสว นเดยี วแท เพราะพระสมั มาสัมพทุ ธเจา ทรงเจรญิ กรรมฐานนีเ้ องจงึ ไดท รงบรรลุพระสัมมาสมั โพธญิ าณ สว นบท อนุปพุ เฺ พน อริยมคคฺ วุฑฺฒปิ ปฺ ตฺโต ทา นอธิบายวา สมาธนิ ี้เปน บาทแหง อริยมรรค เจรญิ ไปโดยลาํ ดบั ยอ มเปนดจุ เขา ถงึ ความเปน อริยมรรค

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 90 ตรัสคําวา อธิ ภิกขฺ เว เปนตน [แก อธิ ศพั ท] ในคาํ เหลา นัน้ คาํ วา อิธ ภิกขฺ เว ภกิ ฺขุ แปลวา 'ดกู รภกิ ษุ ท้ังหลาย ภกิ ษใุ นศาสนานี้' เพราะอิธศัพทในพระบาลีน้นั น้ีเปนศัพท แสดงถงึ ศาสนา อันเปนทก่ี อ เกดิ แหงบคุ คลผูท ําอานาปานสติสมาธิ ทุกประการ๑ใหเกิดขนึ้ และปฏิเสธความเปน อยางนนั้ แหงศาสนาอน่ื สมพระพุทธพจนน ว้ี า \"ดูกรภิกษุทงั้ หลาย สมณะมีอยูในศาสนานี้ เทา นน้ั ฯลฯ วาทะ๒ (ลทั ธิ) อื่น ๆ วางเปลาจากสมณะทกุ จาํ พวก\" เพราะเหตุน้ัน ขา พเจาจึงแก (อธิ ภกิ ฺข)ุ วา อมิ สมฺ ึ สาสเน ภกิ ขฺ ุ -ภิกษุในศาสนาน้ี [เหตุทีต่ รสั อรฺ คโต ฯ เป ฯ นัยท่ี ๑] คําวา 'ไปสูปาหรือโคนไมห รอื เรือนวางก็ตาม' นเ้ี ปน คําแสดง ถงึ การกาํ หนดคอื เอาเสนาสนะ อันเหมาะแกการบําเพ็ญอานาปานสติ- สมาธแิ หงโยคาวจรภิกษนุ ้ัน เพราะจิตของภกิ ษนุ ้ี (เคย) เพนพา น ไปตามอารมณตา ง ๆ มีรปู ารมณเ ปน ตนมาเสียนาน ไมใครจะขึ้นสู ๑. มหาฎกี าวา คาํ วาทุกประการนี้หมายถงึ ๑๖ ประการนั่นเอง ๒. สมเณภิ อฺาหิ ในจตกุ กังคตุ ตระหนา ๓๒๓ อนั เปนทมี่ าแหง พระบาลีน้ี พมิ พไว เปน สมเณภิ อเฺ หิ แตจ ะเปน อยา งไหนก็ยากในการแปลท้งั นน้ั อฺ าหิ รปู เปน อติ ถลี งิ ค เปน วิเสสนะของ สมเณหิ ไมไ ด อฺ า แปลวา อรหัตผลได แตอ ฺา ในอรรถนไ้ี มเ คยมีรูปเปน พหวฺ จนะ จงึ เปนอนั ตกไป อเฺ หิ เปนวเิ สสนะของ สมเณภิ ได แตถ า แปลไปตรง ๆ วา 'เหลาอน่ื ' ความไมเ ปนภาษา-ลัทธิอ่ืนวางจากสมณะเหลา อืน่ - เชนน้ีจึงยักเยอื้ งแปลวา 'ทกุ จําพวก' คือจะเปน สมณะจาํ พวกที่ ๑ (โสดาบนั ) จาํ พวกที่ ๒ (สกทาคามี) จําพวกที่ ๓ (อนาคาม)ี จําพวกท่ี ๔ (อรหันต) ก็วา งทง้ั นน้ั

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 91 อารมณแ หง อานาปานสตสิ มาธไิ ด คอยแตจะเลน ไปนอกทาง เหมือน รถทเ่ี ทยี มดวยโคโกง แลน ออกนอกทางไปฉะนัน้ เพราะฉะน้ัน นายโคบาลใครจ ะฝกลุกโคโกงซง่ึ ดมื่ นาํ้ นมแมโคโกง* (หมอ) จนเติบ ใหญแ ลวพึงพราก (มัน) ไปเสียจากแม ฝง หลักใหญเขา ขางหนึง่ ผูก (มัน) ดว ยเชือกไวท ห่ี ลกั นั้น ทนี ี้เจา ลกู โคของเขาตวั นน้ั จะด้นิ ไป ด้ินมา (แต) ไมอาจหนีไปได (เหนื่อยเขาหมดพยศ) กจ็ ะพงึ หมอบองิ หรือนอนองิ หลักนนั้ อยนู ่ันเองฉันใดก็ดี แมภกิ ษนุ ้กี ็ฉันนั้น เหมอื นกนั ใครจะทรมานจติ รา ย อันเติบขึน้ ดวยการด่มื รสอารมณมี รูปารมณเ ปนตน มาเสยี นาน กพ็ งึ พราก (มนั ) เสยี จากอารมณมีรปู เปน อาทิ เขา ไปสูป า หรือโคนไมหรือเรือนวา งกต็ าม แลวผกู (มนั ) ไวท่ีหลักคอื ลมหายใจออกและลมหายใจเขานั้นดวยเชือกคอื สติ เมอ่ื ถูก ผูกไวอ ยา งน้ัน จิตของเธอนั้นแมจะด้ินรนไปมา ก็ไมไ ดอ ารมณทเี่ คย ชนิ มา (แต) ไมอ าจตัดเชือกคือสติหนไี ปได ก็ยอ มจะหมอบและ นอนองิ อารมณ (กรรมฐาน) นั้นเอง โดย (ถงึ ความเปน) อุปจาร และอปั ปนา เพราะเหตนุ ้ัน พระโบราณาจารยท ้ังหลาย จงึ กลาวไวว า คนจะฝก ลกู โดค พงึ ผกู (มัน) ไวท ี่หลักฉนั ใด พระโยคาวจรในศาสนานี้ กพ็ งึ ผกู จิตของตน ไวทอ่ี ารมณ (กรรมฐาน) ใหม นั่ ดวยสติ ฉนั นน้ั เถิด * มหาฎีกาอธบิ ายวา โคโกงนั้นคือโคฝกยาก สวนแมโ คโกง หมายเอาแมโคทขี่ ยักนา้ํ นมไว ในเตาได รีดกไ็ มย อมปลอ ยใหไหลออกหมด !

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 92 เสนาสนะ (ท่กี ลาวมา) นนั่ เปน ทีเ่ หมาะแกก ารภาวนาแหง พระโยคาวจรนั้นดวยประการฉะนี้ เหตุนน้ั ขาพเจาจึงกลาวไววา คาํ น้ี เปนคําแสดงถงึ การกําหนดถอื เอาเสนาสนะ อนั เหมาะแกก ารบําเพ็ญ อานาปานสตสิ มาธแิ หง โยคาวจรภกิ ษุนนั้ ดงั นี้ [เหตทุ ต่ี รสั อรฺ คโต ฯเปฯ นัยท่ี ๒] อีกนัยหนง่ึ เพราะเหตุที่อานาปานสตกิ รรมฐานอนั เปนยอดใน ประเภทกรรมฐาน เปนปทฏั ฐานแหงการบรรลุธรรมวิเศษและทิฏฐ- ธรรมสขุ วหิ าร ของพระพทุ ธเจา พระปจเจกพทุ ธ และพทุ ธสาวก ทั้งปวงน้ี มใิ ชเ ปน การงา ยที่จะไมสละแดนบา นอันอึงไปดว ยเสยี งตาง ๆ เชนเสียงผหู ญงิ เสียงผชู าย เสียงชา ง เสียงมา แลว บาํ เพ็ญข้ึนได เพราะฌานมีเสยี งเปน ขาศกึ แตใ นทม่ี ใิ ชแดนบา นคือในปา (ละก็) เปน การงา ยทพ่ี ระโยคาวจรจะถอื กรรมฐานน้ี ยงั อานาปานจตุตถฌาน ใหเ กดิ แลว ทาํ ฌานนั้นแหละใหเปนบาท พจิ ารณากองสังขารจนบรรลุ พระอรหตั อันเปน ผลสดุ ยอดได เพราะเหตุนน้ั พระผูม พี ระภาคเจา จะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแกพระโยคาวจรนน้ั จงึ ตรสั คาํ วา อรฺ คโต วา ดงั นีเ้ ปน อาทิ [เหตุท่ีตรสั อรฺคโต ฯ เป ฯ นยั ท่ี ๓] แทจ ริง พระผูม ีพระภาคเจาเปนดุจวตั ถุวิชาจารย (อาจารย ิวชิ าชท้ี ี)่ วตั ถวุ ชิ าจารยพ บภมู อิ ันควรจะสรา งเมืองเขา ตรวจดู

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 93 ตลอดแลว จงึ ชีบ้ อกวา \"ทา นท้ังหลายจงสรางเมอื งในทีน่ ีเ้ ถดิ \" ก็แลครนั้ เมอื งสาํ เรจ็ โดยสวัสดีแลว ยอ มไดร ับสกั การะใหญแตราชสกุล ฉนั ใด พระผูมพี ระภาคเจาน้นั กฉ็ นั น้นั เหมอื นกนั ทรงตรวจดู เสนาสนะอันเหมาะแกพ ระโยคาวจรแลว จึงทรงชบี้ อกวา \"กรรมฐาน ควรประกอบในสถานทนี่ ้ี\" แตน ้นั คร้นั พระอรหัตผล อันพระโยคี ผปู ระกอบกรรมฐาน ณ ทน่ี น้ั ไดบ รรลโุ ดยลําดบั แลว ยอ มทรงไดรับ สกั การะใหญ (โดยสรรเสริญพระคณุ ) วา \"พระผูพ ระเจานนั้ เปน พระสมั มาสัมพทุ ธะหนอ\" ดังนี้ สว นวาภิกษุ (โยคี) นที้ าน กลา ววา เปนดจุ เสือเหลอื ง พึงทราบอธิบายวา เหมอื นอยา งพญาเสือ เหลืองใหญอาศยั พงหญาหรอื ปา รกหรือดงเขาในปาซมุ อยู จึงจับสัตว ปา ทง้ั หลายมีกระบอื ปา กวาง และสกุ รปา เปน ตน ได ฉันใด ภกิ ษุ ผูประกอบกรรมฐานอยใู นเสนาสนะอันเหมาะท้ังหลาย มีปา เปนอาทิน้ี กย็ อมควา เอาโสดาปตติมรรค สกทาคามมิ รรค อนาคามิมรรค และอรหตั มรรค และอรยิ ผลตามลําดับได ฉันนน้ั เหมอื นกนั เพราะ เหตุนัน้ พระโบราณาจารยท ั้งหลายจึงกลา วไวว า อปุ มาดงั เสอื เหลอื งซมุ ตวั อยู จงึ จบั สตั วปาได ฉนั ใดก็ดี พระพุทธบุตรประกอบความเพียร บําเพ็ญวปิ ส สนาน้ีก็ฉนั นั้นแล (ตอง) เขาปา จงึ ควา เอาอดุ มผลได เพราะฉะน้ัน พระผูม พี ระภาคเจาเม่อื จะทรงแสดงเสนาสนะปาอนั เปน โยคภมิ (ท่ที าํ ความเพียร) แหงผมู ีความบากบั่นและความวอ งไว

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 94 (ในการภาวนา) แกโ ยคาวจรภิกษนุ ้ัน จงึ ตรสั คาํ วา อรฺ คโต วา เปนอาทิ [แกอ รรถบทตา ง ๆ แหง บาลีคําเฉลย] ในบทเหลา น้นั บทวา อรฺ คโต ความวา ในบรรดาปา อนั มีลักษณะท่ที า นกลาวไววา \"ช่ือวาปา คือที่นอกเสาอนิ ทขลี ออก ไปนัน่ จัดเปนปา ทั้งสิ้น\"๑ ดังนก้ี ็ดี วา \"เสนาสนะอนั มใี นทีป่ ระมาณ ๕๐๐ ชัว่ ธนู (แตแดนบาน) เปน อยางต่ํา ชอื่ วาเสนาสนะปา \"๒ ดังนกี้ ด็ ี ภิกษุไปสปู า อยางใดอยางหนึง่ อนั เปน ท่สี งัดเปนสุข บทวา รุกขฺ มลู คโต คอื ไปสทู ใี่ กลต น ไม๓ บทวา สุฺ าคารคโต หมายความวาไปสโู อกาสอันวา งคือสงัด และในบาลบี ทน้ี เวนทีเ่ ปน ปา และรุกขมลู เสยี แมไปสูเ สนาสนะทีเ่ หลืออกี ๗ อยาง๔ กค็ วรเรียกวา สุฺ าคารคโต ได๕ พระผูม พี ระภาคเจาครน้ั ทรงชเี้ สนาสนะอนั เหมาะแกการบําเพ็ญ ๑. ขุ. ป. ๓๑/๒๖๔ ๒. วิ. มหา. ๒/๑๔๖ ๓. หมายความวา คาํ วา รุกขมลู นน้ั มไิ ดจาํ กดั เอาทตี่ รงโคนไมเทา นั้น เพราะฉะนนั้ มหาฎกี า จึงชกั เอาคําอธิบายมากลาวไวว า \"ในเวลาเทย่ี ง เงาไมแ ผออกไปเทา ใด ในเวลาไมม ลี ม ใบไม หลนลงในทเี่ พียงใด ท่เี ทา นนเพยี งนัน้ เรียกวา รกุ ขมลู \" ๔. เสนาสนะทเ่ี หลอื อกี ๗ มหาฎีกาชกั เอามาบอกไวว า คือภเู ขา ๑ ซอกเขา ๑ ถา้ํ ในเขา ๑ ปา ชา ๑ ปา ตง ๑ ทแ่ี จง ๑ กองฟาง ๑ ๕. ถา อธบิ ายอยางนถี้ ูก สญุ ญาคาร ก็จะตองแปลวา 'ทวี่ า งจากเรือน' ไมใช 'เรอื นวาง' อยางท่ี เคยแปลกนั เคยอานพบท่ีไหนแหงหนง่ึ วา สุญญาคารนั้น ไดแ กเ รือนทีเ่ ขาปลูกไวต ามทางสําหรบั คนเดินทางพกั อาศยั เรียกวา สญุ ญาคาร เพราะไมม ีเจา ของ ไมมีผถู ือสิทธิครอบครอง เมื่อไมม ี ใครพกั ภกิ ษกุ ็ไปพกั ทาํ กรรมฐานได

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 95 อานาปานสติอนุกูลแกฤดทู งั้ ๓ และอนกุ ูแกธ าตแุ ละจรยิ าดวย อยางน้ี แลว ๑ จงทรงชี้อิรยิ าบถอนั สงบ ไมเ ปนไปขางหแู ละไมเ ปนขางฟุง แกพ ระโยคาวจรภิกษนุ ัน้ (ตอไป) จงึ ตรัสคําวา 'นัง่ '๒ ตอ นน้ั เม่อื จะทรงแสดงความมั่นคงแหงการนั่ง ความเปนไปสะดวกแหง ลม หายใจออกเขา และอบุ ายในการกาํ หนดถือเอาอารมณด ว ย๓ จงึ ตรสั คําวา 'คบู ัลลงั ก' เปน อาทิ ในบทเหลาน้นั บทวา บัลลงั ก ไดแกน ่ังคเู ขาเขาโดยรอบ บทวา คู คือขดเขา คาํ วา ตงั้ กายตรง คือต้ังสรรี ะสว นบทใหต รง ใหปลายกบั ปลายกระดกู สนั หลัง ๑๘ ขอ จดกนั เพราะเม่อื พระโยคาวจร นง่ั อยางน้ี หนังเนอื้ และเอ็นยอมไมข ด เม่ือเปนอยา งนัน้ เวทนา เหลาใดจะพึงเกิดขึ้นในขณะ ๆ เพราะความขดแหงหนังเนอ้ื และเอน็ นนั้ เปนปจจยั เวทนาเหลานั้นกจ็ ะไมเกดิ ขึ้นแกเ ธอ ครน้ั เวทนาเหลา นัน้ ไมเกิดข้นึ จิตก็จะมอี ารมณเ ปน หน่ึง กรรมฐานไมตก เขา ถึงความ ๑. มหาฎกี าชว ยขยายความวา อนุกลู แกฤ ดู คือปาอนกุ ลู ในฤดรู อ น รกุ ขมลู อนกุ ลู ในฤดหู นาว สญุ ญาคารอนุกลู ในฤดฝู น (นแี่ สดงวา สญุ ญาคาร เปน เรอื นมเี ครื่องมงุ บังกนั ฝนได) อนกุ ลู แกธ าตุ คือปา อนกุ ลู แกคนเสมหธาตุ (มีเสมหะมาก ?) รุกขมูลอนกุ ลู แกค นปต ตธาตุ (ตพี ิการ อาหารไมค อ ยยอย ?) สุญญาคารอนกุ ลู แกคนวาตธาตุ (มกั เปน ลมวงิ เวยี น ?) อนุกลู แกจ ริยา คอื ปา อนุกลู แกคนโมหจริต รุกขมลู อนกุ ูลแกคนโทสตริต สุญญาคารอนุกูล แกคนราคจริต ๒. มหาฎีกาชว ยอธบิ ายวา อิรยิ าบถนอนไปขางโกสชั ชะ ยนื และเดนิ ไปขา งอทุ ธจั จะ สว น อริ ิยาบถน่ังหาเปนอยางนน้ั ไม เพราะฉะนน้ั ทานจึงวา เปนอริ ยิ าบถสงบ ๓. มหาฎกี าชว ยไขความวา ทรงแสดงความมนั่ คงแหงการน่ังดว ยการคบู ลั ลังก ทรงแสดงความเปน ไปสะดอกแหง ลมหายใจ ดว ยการตง้ั กายสว นบนนนั้ ใหตรง ทรงแสดงอุบายในการกาํ หนดถือเอา อารมณดวยการดาํ รงสตไิ วเฉพาะหนา

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 96 เจรญิ งอกงามขน้ึ คําวา ดาํ รงสติไวเฉพาะหนา คือตง้ั สตใิ หมุงหนา ตอ กรรมฐาน อกี นัยหนงึ่ อรรถาธิบายในคาํ นี้พึงทราบโดยนยั ที่กลาวไวใน ปฏสิ ัมภทิ าอยา งนีว้ า \"ศพั ทวา ปริ มี ปรคิ ฺคห (ความกาํ หนดถอื เอา เปนอรรถ ศพั ทวา มขุ มี นิยฺยาน (ความออกไป) เปนอรรถ ศพั ทวา สติ มี อุปฏาน (ความเขา ไปตง้ั อยู ไมล มื เลือนป เปน อรรถ เหตนุ ้นั จึงตรัสวา ปรมิ ขุ  สร\"ี ดงั นี้กไ็ ด น่เี ปน อธิบาย สงั เขปในคํานนั้ คือ \"ทาํ สติใหมคี วามออก (จากปฏปิ ก ขธรรม) อนั กําหนดถอื เอาแลว\"๑ [สโตการี] คาํ วา \"เธอคงมีสติหายใจเขา\" เปนตน ความวา ภิกษุน้นั นง่ั อยา งนีแ้ ละต้งั สติไวมั่นอยา งน้ีแลว ไมล ะสตินนั้ อยู ชอ่ื วา คงมีสติ หายใจออก คงทส่ี ตหิ ายใจเขา๒ มีคําอธิบายวา เปนสโตการี (ผมู ี สตทิ ํา) บดั นี้ พระโยคาวจรเปนสโตการดี วยอาการเหลา ใด เพ่ือจะ ทรงแสดงอาการเหลา นั้น จงึ ตรัสคําวา ทีฆ วา อสสฺ นฺโต เปน อาทิ จริงอยู ในปฏสิ มั ภทิ าทา นก็กลาวคํา (ตอ ไป) นีไ้ วใ นวิภงั คแ หง ปาฐะวา 'โส สโตว อสสฺ สติ สโต ปสฺสติ' นั้นนั่นแหละวา \"โยคาวจรภิกษยุ อมเปนสโตการดี วยอาการ ๓๒ คือ (๑) เมื่อเธอรู ๑. มหาฎีกาชว ยใหค วามตรงนวี้ า ทําสติใหมีความไมห ลงลืมอันถอื เอาไดแ ลว คือวา สละความ หลงลมื ทงิ้ เสียแลว ๒. มหาฎกี าแนะใหประกอบ เอว ศพั ท ในสโตท้งั ๒ บท

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 97 ความมีอารมณเ ดียว ความไมสายไปมาแหงจติ ดวยอํานาจแหงการ หายใจออกยาวอยู สตยิ อมต้ังม่ัน (ในอารมณนั้น) เธอก็เปน สโตการี ดวยสตินน้ั ดวยความรูน ้ัน (๒) เมอ่ื เธอรคู วามมีอารมณเดยี ว ความ ไมสา ยไปมาแหง จติ ดวยอาํ นาจแหง การหายใจเขายาวอยู สตยิ อมตง้ั มัน่ (ในอารมณน ั้น) เธอก็เปนสโตการดี ว ยสตินั้นดวยความรูน้ัน ฯ เป ฯ (๓๑) เมอ่ื เธอรูความมอี ารมณเดยี ว ความไมส า ยไปมาแหงจติ ดวย อํานาจแหงความเปน ผูพิจารณาเห็นความสละละท้ิง หายใจออกอย-ู --- (๓๒) ----ดว ยอํานาจแหง ความเปน ผูพ ิจารณาเห็นความสละละท้งิ หายใจ เขา อยู สตยิ อมตง้ั มั่น (ในอารมณน้ัน) เธอกเ็ ปนสโตการดี วยสตินั้น ดว ยความรนู ้ัน\"๑ ดังน้ี [แกศ ัพท อัสสาสะปสสาสะ] ในปาฐะเหลานั้น ปาฐะวา ทฆี  วา อสฺสสนโฺ ต คือยงั อัสสาสะ ยาวใหเ ปนไป หรือ ในอรรถกถาพระวินัยกลาววา ลมออกขา งนอก ชอ่ื อสั สาสะ ลมเขา ขา งในชื่อปส สาสะ แตใ นอรรถกถาพระสตู รทงั้ หลายมากลับกัน (กบั คาํ อรรถกถาวนิ ยั ) ในลม ๒ อยา งนนั้ เวลาท่ี ครรภไสยกสตั วท้ังปวงออกจากทองมารดา ลมขา งในออกมาขา งนอก กอน ลมขา งนอกพาเอาธุลลี ะเอียดเขาขา งในทหี ลัง พอถงึ เพดานปาก ก็ดับ๒ พึงทราบเรอื่ งลมอัสสาสะและปส สาสะอยางน้กี อ น ๑. ข.ุ ป. ๓๑/๒๖๔ ๒. มหาฎกี าเสริมความวา \"เพราะอยางนเ้ี อง เขาจึงวาเด็กแรกคลอดมนั ไอออกมา\" คงหมาย ความวาเพราะไอออกมาปะทะเสยี ลมเขา ครงั้ แรกจึงตับแคเ พดานปาก เชน น้ันกระมงั

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 98 สว นความยาวและส้ันของลมทั้ง ๒ น้นั อนั ใด ความยาวและส้ัน นนั้ พึงทราบ (วาเปน ) ดวยอาํ นาจอทั ธานะ (คือระยะที่ และ ระยะกาล)๑ เหมอื นอยา งนา้ํ หรอื ทรายก็ดี ท่แี ผไปตลอดอัทธานะคอื ที่ (ยาวหรอื สน้ั ) เขากเ็ รียก (ลาํ ) นํ้ายาว (หาด) ทรายยาว (ลาํ ) นาํ้ สัน้ (หาด) ทราบสัน้ ฉันใด ลมหายใจออกและลมหายใจเขาทแ่ี ม เปน ของละเอียดย่ิงนัก (แตม นั เขาไป) ทาํ อทั ธานะ (คือที่) อัน ยาว ในรา งกายชางและในรางกายงู กลา วคอื ลําตัวของมนั ใหเ ต็มชา ๆ แลวออกชา ๆ เหมือนกนั เพราะฉะนน้ั เขาจงึ วาลมหายใจ (ของชาง และง)ู ยาว ลมนั้น (เขา ไป) ทําอทั ธานะ (คือที)่ อันสั้น กลาวคือลําตัวของสัตว (ตัวเล็กและตวั สน้ั ) มสี นุ ขั และกระตา ย เปน ตน ใหเ ต็มโดยเร็วแลว ออกเรว็ เหมอื นกัน เพราะฉะนน้ั เขาจึงวา ลมหายใจ (ของสัตวเ ลก็ ) สนั้ ๒ สวนในพวกมนุษย วา โดยอทั ธานะ คือกาล บางเหลากห็ ายใจออกและหายใจเขายาว ดังสัตว (ตวั ใหญและตวั ยาว) มีชา งและงเู ปน ตน บางเหลา ก็หายใจออกและ หายใจเขาสั้น ดงั สัตว (ตัวเล็กและตวั สนั้ ) มีสุนขั และกระตายเปน อาท๓ิ เพราะเหตนุ น้ั ลมหายใจของพวกมนษุ ยน้นั เม่ือออกกด็ ี เขา กด็ ี กินระยะเวลานาน ก็พงึ ทราบวา ยาว เม่อื ออกกด็ ี เขา ก็ดี กนิ ระยะเวลานิดหนอย กพ็ งึ ทราบวา ส้ัน โดยเนอื่ งดวยกาล ๑. มหาฎีกาวา อัทธานศพั ท บอก กาละ ก็ได เทสะ กไ็ ด ดงั ความอทุ าหรณตอไปน้ัน อัทธานะ หมายเอา เทสะ ท้งั นั้น สว นตอนวา ถึงความยาวสน้ั ของลมหายใจ หมายเอากาละ ๒. อธิบายอยา งน้กี ็ตองเขา ใจวาลมหายใจแลน เขาไปตลอดลาํ ตวั ไมใชเ ปน เร่อื งของปอด (?) ๓. ทานเปรยี บนากลัว !

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 99 [อานาปานสติเปนกายานุปสนาสตปิ ฏฐาน] ในการหายใจออกและเขายาวสั้นนน้ั ภกิ ษุ (โยคาวจร) นี้ เมอ่ื หายใจออกกด็ ี หายใจเขากด็ ยี าว ยอ มรวู าเราหายใจออกหายใจเขา ยาว ดวยอาการ ๙ และเมอ่ื เธอรูอ ยอู ยา งน้ัน พึงทราบวา สติปฏฐาน- ภาวนาสวนกายานปุ สนา ยอมสําเร็จโดยอาการอันหน่งึ ดงั ทานกลาว ไวใ นปฏสิ มั ภทิ าวา \"ถามวา ภิกษโุ ยคาวจรเม่ือหายใจออกยาวก็รวู า หายใจออกยาว๑ เมือ่ หายใจเขายาว กร็ ูวาเราหายใจเขายาว ดวย อาการอยา งไร\" แกวา \"(๑) ภิกษรุ ะบายลมออกเปน ลมหายใจออก ยาว ในเพราะกาลทีน่ ับวา ระยะยาว (๒) สดู ลมเขา เปน ลมหายใจ เขายาว ในเพราะกาลที่นบั วาระยะยาว (๓) ทัง้ ระบายลมออก ทง้ั สดู ลมเขา เปน ลมหายใจออกและลมหายใจเขา ยาว ในเพราะกาลท่นี บั วา ระยะยาว๒ เมื่อเธอทัง้ ระบายลมออกทัง้ สูดลมเขา เปน ลมหายใจออกและลม หายใจเขา ยาว ในเพราะกาลทน่ี ับวาระยะยาวอยู ฉันทะเกิดขึ้น (๔) ดวยอาํ นาจฉันทะ เธอระบายลมออก เปนลมหายใจออกยาว ใน เพราะกาลท่ีนับวา ระยะยาว เปนลมละเอยี ดกวา กอนนน้ั (๕) ดวย ๑. ตรงน้ปี าฐะตก ทีฆ ในระหวาง อสสฺ สนโต กับ อสสฺ สามตี ิ ๒. มหาฎกี าวา พระโยคาวจรลางรูปกําหนดลมหายใจออกไดชัด ลางรูปกก็ าํ หนดลมหายใจเขา ไดชดั ลางรูปก็กําหนดไดช ดั ทัง้ ๒ อยาง ทานจงึ แจกเปนอาการ ๓ และอาการนแี้ ล เมอ่ื ฉนั ทะ และปราโมชเกิด กแ็ จกออกไปดว ยอํานาจฉนั ทะ ๓ ดว ยอํานาจปราโมช ๓ จงึ เปน ๙ ดงั กลา ว ตอ ไปนั้น

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 100 อาํ นาจฉันทะ เธอสดู ลมเขา เปนลมหายใจเขายาว ในเพราะกาลทีน่ ับวา ระยะยาว เปนลมละเอยี ดกวากอ นนั้น (๖) ดวยอํานาจฉนั ทะ เธอ ท้งั ระบายลมออกทัง้ สูดลมเขา เปนลมหายใจออกและลมหายใจเขายาว ในเพราะกาลทีน่ ับวา ระยะยาว เปนลมละเอยี ดกวา กอ นน้ัน เมื่อเธอท้ังระบายลมออกทง้ั สดู ลมเขาเปน ลมหายใจออกและลม หายใจเขายาว ในเพราะกาลท่ีนับวาระยะยาว เปน ลมละเอียดกวา กอ น น้นั ดว ยอํานาจฉนั ทะอยู ปราโมชเกิดข้ึน (๗) ดว ยอาํ นาจปราโมช เธอระบายลมออก เปน ลมหายใจออกยาว ในเพราะกาลทนี่ ับวาระยะ ยาว เปนลมละเอียดยิง่ กวา น้นั ไปอีก (๘) ดว ยอาํ นาจปราโมช เธอ สูดลมเขา เปน ลมหายใจเขายาว ในเพราะกาลท่ีนบั วาระยะยาว เปน ลมละเอียดย่ิงกวานัน้ ไปอกี (๙) ดวยอาํ นาจปราโมช เธอท้งั ระบาย ลมออกทัง้ สดู ลมเขา เปน ลมหายใจออกและลมหายใจเขายาว ในเพราะ กาลทน่ี บั วา ระยะยาว เปนลมละเอียดย่งิ กวา นนั้ ไปอกี * เม่ือเธอท้ังระบายลมออกทั้งสูดลมเขา เปนลมหายใจออกและ หายใจเขายาว ในเพราะกาลทนี่ ับวา ระยะยาว เปนลมละเอียดยิง่ กวานนั้ ไปอีก ดว ยอาํ นาจปราโมชอยู จิตกผ็ ละจากกลมหายใจออกและลม * มหาฎกี าวา ฉนั ทะน้ไี ดแ กก ัตตุกามตาฉนั ทะ (ความพอใจอันมลี ักษณะใครจ ะทาํ ) เกดิ ขึ้น เพราะไดอสั สาทะในภาวนา สวนปราโมชไดแ กปต อิ อ น ๆ เกดิ เพราะอารมณกรรมฐานละเมยี ดเขา เพราะลมหายใจละเอยี ดยิ่งขนึ้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook