ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 200 ขอ วา จิตต้ังมน่ั เร็ว คอื จิตของผูมีเมตตาเปนวหิ ารธรรม ยอ ม เปนสมาธิไดเรว็ ทเี ดยี ว ความชกั ชา แหง สมาธจิ ิตนั้นหามไี ม* ขอ วา สีหนา ผองใส คอื ประการหนงึ่ หนา ของผมู ีเมตตาเปน วิหารธรรมนน้ั ยอมมีสีหนา ผองใส ดงั (หัว) ตาลสกุ ท่เี พิม่ หลุดจาก ขั้วฉะนน้ั ขอ วา ไมหลงทํากาลกิริยา ความวา ขึ้นช่ือวา สมั โมหมรณะ (ความหลงตาย) ของผูม ีเมตตาเปน วิหารธรรม ยอมไมม ี ทา นเปน ผู ไมห ลงเลยทาํ กาลกริ ยิ า ดังวาหลบั ไปฉะนน้ั ขอ วา เมอื่ ยังไมบ รรลคุ ุณอันยงิ่ กวา----นั้น ความวา ประการหนึง่ ผมู เี มตตาเปนวิหารธรรมน้นั เมอื่ ไมอ าจบรรลุพระอรหตั อันเปนคุณ ยิ่งกวา เมตตาสมาบตั ิ เคลือ่ นจากภพนี้แลว ยอมเขาถึงพรหมโลก ดงั วาหลับแลวต่ืนขึ้นฉะนนั้ น้ีเปน กถาอยางพสิ ดารในการเจริญเมตตา [กรณุ าพรหมวิหาร] สว นวา พระโยคาวจรผูใครจะเจริญกรณุ าพรหมวิหาร พงึ พิจารณาใหเปนโทษของความไมมกี รุณา และอนสิ งสของกรุณาแลว จึงเร่ิมเจริญกรณุ าพรหมวิหาร (ตอไป) ก็แลเมอ่ื จะเร่ิมเจริญกรุณา นน้ั ไมค วรเร่ิมในบคุ คลทีเ่ ปน โทษแกภ าวนา มบี คุ คลทีร่ กั เปนตน กอน * มหาฎกี าวา หมายถึงผูท่ฌี านเส่อื มไปเพราะอันตรายอะไร ๆ กต็ าม เมื่อจะทาํ สมาธอิ กี จติ ของเขาจะเปนสมาธิไดเร็ว เพราะพยาบาทนิวรณไ ดถ ูกกาํ จดั ไวเสยี ไกลแลว
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 201 เพราะบคุ คลท่ีรกั ก็ตง้ั อยใู นฐานแหงคนที่รักนั่นแหละ (หาเปน ทีต่ ั้งแหง กรุณาไม) บคุ คลผูเปน สหายทร่ี กั ย่ิงเลา กต็ ัง้ อยใู นฐานแหงสหายทีร่ ักยิง่ บุคคลกลาง ๆ กก็ ็ตัง้ อยูใ นฐานแหงคนกลาง ๆ บุคคลทีไ่ มร ักกต็ ้งั อยู ในฐานแหง คนไมรัก บคุ คลที่เปนศัตรูกันก็ต้ังอยใู นฐานแหงคนเปน ศตั รกู ันน่นั แหละ (ท้งั หมดนห้ี าเปน ที่ตัง้ แหงกรุณาไม) (สวน) บุคคล ผมู ีเพศเปนขาศึกกนั และบคุ คลทีท่ าํ กาลกิริยาแลว ก็ไมใ ชแ ดน (ที่จะ แผกรณุ าไป) เลยทเี ดียว แตเ พราะกลาวไวใ นวิภังคว า \"อนึง่ ภกิ ษมุ ี ใจสหรคตกับกรณุ าแผไ ปตลอดทศิ หนงึ่ อยอู ยา งไร ? (คือ) ภิกษุมีกรณุ า แผไ ปยงั สตั วท ้งั ปวง เหมอื นอยางท่ีเห็นบคุ คลผูหนง่ึ ซึง่ เปน คนยาก แคน เขญ็ ใจ* แลว พึงสงสารฉะน้ัน\" ดงั น้ี (เพราะฉะนน้ั ) กอ นอ่ืน หมด พระโยคาวจรไดพบใครสกั คนท่นี าสงสาร (คอื ) มรี ูปรางนา เกลยี ด ถงึ ซง่ึ ความลาํ บากเต็มประดา ยากแคน แสนเข็ญ เปนคน กําพรา (แถม) มอื และเทา กดุ นอนอยทู ่ศี าลาคนอนาถา วางกระเบ้อื ง (ขอทาน) ไวข า งหนา มีหมหู นอนออกจากมือและเทา ทําเสียงครวญ ครางอยู พึงยงั กรุณาใหเปน ไปวา \"สัตวผูนีถ้ งึ ซึ่งความทกุ ขยากหนอ ไฉนเลา หนอเขาจะพึงพนจากทกุ ขน ไี้ ด\" ดังนีเ้ ถดิ เมอื่ ไมไ ดค นทุคตะ (เชน ) นั้น (เปน อารมณ) แมบ ุคคลผมู ี ความสขุ แตมักทาํ บาป กพ็ งึ เจรญิ กรุณาได (โดย) เปรียบกบั โจรทเ่ี ขา * ทรุ เู ปต มหาฎีกาแกว า ไดแ กป ระพฤติชัว่ (กายทจุ จฺ ริตาทีหิ อเุ ปต) เหน็ วา ในท่นี ้ี ไมนาแกเ ชน นน้ั เพราะการแผกรณุ าแกค นทําชวั่ ทา นกลา วในตอนตอ ไป เห็นวา ทรุ เู ปต นกี้ ไ็ วพจนของ ทุคคฺ ต นัน่ เอง
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 202 จะฆากอ น ถามวา เปรียบอยางไร ? ตอบวา เปรยี บเหมอื นราชบรุ ุษ ทงั้ หลายมดั โจรท่ีจบั ไดพ รอ มทง้ั ของ (กลาง) โดยพระราชบญั ชาวา จงฆามันเสีย ใหประหาร (เฆ่ียน) ๑๐๐ ที ๆ ทกุ ทส่ี ่แี พรง นาํ ไปสู ตะแลงแกง คนทั้งหลาย (สงสารมัน) ใหของเค้ยี วบาง ของกินบาง ดอกไมของหอมเครอื่ งไลและ (หมาก) พลูบางแกม นั มันขบเค้ียวและ กนิ ของเหลา นั้นไป ดูราวกะเปน คนมีความสขุ พรัง่ พรอ มดวยโภคะก็ จรงิ อยู ถึงกระนั้น ใคร ๆ ก็มไิ ดส าํ คญั เห็นมนั วา 'โจรผนู ี้เปนผูมีความ สุข มโี ภคะมากหนอ' ดังน้เี ลย ทแ่ี ทค นเขากรณุ ามนั \"คนนาสงสาร ผนู ี้จักตายบัดเดี๋ยวน้ีละ เพราะมนั วางเทา ขางใด ๆ ลงไป (กา วเดนิ ) มันกใ็ กลความตายเขาไปทกุ ทีดว ยเทา ขา งนน้ั ๆ\" ดงั น้ี ฉันใดกด็ ี แม บุคคลผมู คี วามสุข (แตวามกั ทาํ บาป)๑ ภิกษุผูบําเพ็ญกรุณากรรมฐาน กพ็ งึ แผก รุณาไดอ ยา งน้วี า \"บุคคลผูนาสงสารน้ี ในกาลบดั นีเ้ ปนผูถึง ซง่ึ ความสุข จัดตรียม (สขุ วัตถุ) ไวอยางด๒ี บรโิ ภคโภคะ กจ็ ริงแล แตทวา เขาจะตอ งไดเสวยทกุ ขโ ทมนัสมใิ ชน อยในอบายทงั้ หลาย ในไม ชานี้ เพราะไมม กี ลั ยาณกรรมท่ีไดท าํ ไวด วยทวารท้งั ๓ แมแ ตท วาร เดียว\" ดงั นี้ ฉันนนั้ เหมือนกนั คร้นั กรุณาบุคคล (ผูม ีความสุข แตม ักทําบาป) นั้นไดอ ยา งน้แี ลว ตอนั้นไปจึงยังกรณุ าใหเปน ไปโดย ลําดบั คือ ในบคุ คลท่ีรกั กนั ตอนน้ั ในบคุ คลทเ่ี ปน กลาง ๆ กนั แต ๑. ตรงน้ีนา จะตก ปาปการี เพราะตอนน้ี กลาวถึงคนมคี วามสขุ แตมกั ทําบาป ดังกลาว ไวตน ประโยค จงึ เตมิ วงเลบ็ ไว ๒. สุสชฺชโิ ต มหาฎกี าแกวา สุขานภุ วเน สนนฺ ทโธ - แตงไวค รบในการเสวยความสขุ (?)
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 203 นั้น ในบุคคลทีเ่ ปนศัตรกู ัน โดยอุบาย (วิธ)ี เดยี วกนั น้ัน แตถ าปฏฆิ ะ (ความข้ึงเคยี ด) ในศตั รเู กดิ ข้นึ แกเธอ โดยนยั ทีก่ ลาวมาในกอ นนนั้ ไซร ปฏฆิ ะน้นั เธอก็พึงระงับเสีย ตามนยั ท่ีกลาวในเมตตาภาวนานน่ั เถดิ อน่งึ ในการแผก รุณาวิธีนี้ พระโยคาวจรไดพ บหรือไดย ินขา วบุคคลผู ท่แี มไ ดท าํ ความดีไว แตมาประสบความเส่ือม มคี วามเสื่อมญาติ เสือ่ ม เพราะเกิดโรค เส่ือมโภคทรัพยเ ปนตน อยางใดอยา งหน่ึงแลว กพ็ ึง เจริญกรณุ าไดทุกประการอยา งนี้วา \"บุคคลผูน ี้ แมไมม คี วามเสอ่ื ม เหลา นน้ั แตก็เปน ผูช่อื วามีทุกขอยนู ัน่ เอง เพราะยังไมลวงวฏั ฏทุกข----\" ดังน้แี ลว จงึ ทาํ สมี สมั เภท (รวมแดน) ในชนทง้ั ๔ คือ ในตนเอง ในบคุ คลที่รัก ในบคุ คลกลาง ๆ ในบุคคลทเี่ ปน ศตั รู ตามนยั ทก่ี ลาว แลว นน่ั แหละ แลว สองเสพเจริญกระทําใหมากซง่ึ นมิ ิตนนั้ ไป ก็ทาํ อปั ปนาใหเ จริญไดด วยอํานาจแหงฌาน ๓ (ในจตุกนัย) และฌาน ๔ (ในปญ จกนยั ) โดยนัยทกี่ ลาวแลวในเมตตาภาวนานน่ั แล สวนในอรรถกถาอังคุตร กลาวลาํ ดับ (อารมณของกรณุ าภาวนา) ไว (ดงั ) นวี้ า 'บคุ คลทีเ่ ปน ศตั รู พระโยคาวจรพึงเจริญกรณุ าใหก อน เพอ่ื น ทาํ จติ ใหออ นในบุคคลทเ่ี ปนศัตรูน้นั ไดแลว จงึ เจรญิ กรุณาใหค น ทุคตะ แตน นั้ ใหบ ุคคลท่ีรกั ตอนัน้ ใหตน' ดงั นี้ ลาํ ดบั ทก่ี ลา วใน อรรถกถาน้ี ไมสมกบั พระบาลี (ในวภิ ังค) ทีม่ คี ําวา ทุคคฺ ต ทุรเู ปต (ยากแคนแสนเขญ็ ) เปนตน เพราะเหตนุ ัน้ พระโยคาวจรพึงเรมิ่ ทํา ภาวนาในกรุณานีต้ ามนัยท่กี ลาวแลวนัน่ แหละ แลว ทาํ สมี สมั เภทยงั อปั ปนาใหเ จริญเถดิ เบอ้ื งหนาแตน ้ัน วกิ ุพพนา คือ กรณุ าภาวนาเปน
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 204 อโนธโิ สผรณาดวยอาการ ๕ เปนโอธิโสผรณาดว ยอาการ ๗ เปน ทิสาผรณาดวยอาการ ๑๐ นี้ และอานิสงสท ั้งหลายมขี อวา หลับเปน สขุ เปนตน บณั ฑติ พึงทราบโดยนัยท่ีกลา วแลว ในเมตตาภาวนานั่นเทอญ น้ีเปนกถาอยา งพิสดารในการเจรญิ กรณุ า [มุทติ าพรหมวิหาร] พระโยคาวจรผจู ะเร่ิมทํามุทิตาภาวนา ก็ไมค วรเรม่ิ ทําในบคุ คลท่ี เปนโทษแกภาวนา มบี ุคคลท่รี กั เปนตนกอน เพราะวา บคุ คลทร่ี กั หาเปน ปทฏั ฐานแหงมุทิตา ดว ยเพยี งแตความเปนที่รักเทา นัน้ ไม จะ กลาวไยถงึ บุคคลที่เปนกลาง ๆ และทเ่ี ปน ศตั รูเลา (สวน) บคุ คลท่ีมี เพศเปน ขาศึกกัน และบคุ คลทีท่ ํากาลกิรยิ าแลว กม็ ิใชแดน (ท่จี ะเจรญิ มุทติ า) เหมือนกนั แตบ คุ คลผูเปนสหายท่รี กั ย่ิง ซึง่ ในอรรถกถา เรียกวาสหายนักเลง พึงเปนปทฏั ฐานได* เพราะสหายนกั เลงน้ัน เปนคนบนั เทงิ เรงิ รืน่ แท (พบกันก็) หัวเราะกอ น แลวจึงพูดภายหลงั เพราะเหตุนั้น สหายนักเลงนนั้ พระโยคาวจรพึงแผม ทุ ติ าใหกอ นก็ได หรือมฉิ ะน้ัน ไดพบหรือไดย ินขาวบุคคลที่รักไดรบั ความสขุ ก็ดี มีสุขวตถุ จัดเตรยี มไวกด็ ี บนั เทงิ อยู พงึ ยงั มทุ ิตาใหเ กดิ ขึน้ วา \"สัตวผ นู บี้ ันเทิง หนอ โอ สาธุ ดีแท\" แทจ ริง ทานอาศัยอาํ นาจแหงความขอ นีแ้ หละ กลาวไวใ นวภิ ังคว า \"อนึง่ ภิกษุมีใจสหรคตกับมทุ ติ า แผไปตลอดทิศ * โย ที่ โย อฏกถาย น้นั เปน สากงั ขคติ ของประโยคหนา ไมใ ชเปน คู ย. ต. กบั ประโยคหลงั จึงควรยกหวั ตาปู ระหวาง ปทฏาน กับโย ออกเสยี จะไดไ มทาํ ใหเ ขว
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 205 หนึ่งอยูอ ยางไร คือ ภิกษุมีมทุ ติ าแผไ ปยงั สัตวท้ังหลายท้ังปวง เหมือน อยางเหน็ บคุ คลผูห น่ึง ซึง่ เปน ทรี่ กั ท่ีเจริญใจแลว พึงเปน ผบู ันเทิงใจ ฉะนัน้ *\" ดงั น้ี ถาแมส หายนักเลง หรือบุคคลที่รกั ของเธอน้ัน เปน ผูไดร บั ความ สุขมาแลว ในอดตี แตเ ด๋ียวนเ้ี ปน ทุคตะเข็ญใจไป กพ็ งึ ระลกึ ถงึ ภาวะท่ี เขาไดรับความสุขอันเปนอดีตนน่ั แหละ แลวถอื เอาอาการบันเทงิ ใจ (ในอดีต) ของเขานน่ั เอง ยังมุทติ าใหเ กิดขึ้นวา เขาผูน นั้ ในอดตี ไดเปน ผมู ีโภคะมากอยางนน้ั มบี รวิ ารมาอยา งนัน้ บันเทิงใจอยูเปน นิตยอ ยางน้ัน หรอื วา ถอื เอาอาการบันเทิงใจของเขาทีเ่ ปน อนาคตก็ได ยงั มุทติ าใหเกิดขึ้นวา ในอนาคตเขาจักไดส มบตั ิน้นั อกี แลว เทย่ี วไปดวย ยานวเิ ศษทั้งหลาย มคี อชา ง หลังมา และวอทองเปน ตน ครงั้ ยงั มทุ ติ าใหเกดิ ขน้ึ ในบคุ คลทีร่ กั ไดอ ยางนแ้ี ลว ทนี ีจ้ งึ ยงั มทุ ติ าใหเปนไปในคนกลาง ๆ ตอนน้ั ในคนเปนศตั รู ดังน้โี ดยลาํ ดบั แตถาปฏิฆะในคนที่เปนศัตรูเกิดขึน้ แกเ ธอโดยนยั ทก่ี ลาวในกอนนัน้ ไซร ก็พึงระงับมันเสียตามนยั ทก่ี ลาวในเมตตาภาวนาน้ัน แลว ทาํ สมี สัมเภท โดยความมีจิตเสมอในชนทั้ง ๔ คอื ในบคุ คล ๓ (ทีก่ ลาวแลว ) นี้ และในตนเองดวย จงึ ตองเสพเจริญกระทาํ ใหมาก ซึ่งนิมติ นั้นไป ก็จะพึงยังอัปปนาใหเจริญไดด ว ยอาํ นาจแหงฌาน ๓ (ในจตกุ นัย) และ ฌาน ๔ (ในปญจกนัย) โดยนัยทก่ี ลา วแลวในเมตตาภาวนานน้ั แล ตอ นั้นไป วกิ พุ พนา คอื มทุ ิตาภาวนาเปนอโนธโิ สผรณาดวยอาการ ๕ * อภิ. ว.ิ ๓๕/๓๗๓
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 206 เปน โอธิโสผรณาดว ยอาการ ๗ เปนทสิ าผรณาดวยอาการ ๑๐ น้ี และ อานสิ งสท้ังหลาย มีขอ วา หลบั เปน สขุ เปน อาทิ บัณฑติ พึงทราบตาม นัยท่กี ลา วแลว ในเมตตาภาวนานัน้ เทอญ นีเ้ ปน กถาอยางพสิ ดารในการเจริญมุทติ า อุเบกขาพรหมวหิ าร สว นพระโยคาวจารผใู ครจ ะเริ่มทาํ อเุ บกขาภาวนา ออกจากฌาน ที่ ๓ หรอื ท่ี ๔ อันคลอ งแคลว * ตามทเี่ ปน ตกิ ฌานหรือจตกุ ฌาน ทต่ี น ไดใ นภาวนา ๓ มเี มตตาภาวนาเปน ตนแลว เห็นโทษในภาวนา ๔ ขา ง ตน เพราะเปนภาวนาประกอบดวยมนสกิ ารอันเปนไปโดยความรักใน สัตว เนือ่ งดวยความนึกแผไ ปวา ขอสัตวท ัง้ ปวงจงเปน ผถู ึงซงึ่ ความ สุขเถดิ ดงั นี้เปน ตน ๑ เพราะเปนภาวนาทที่ อ งเที่ยวอยูใกลค วามยนิ รา ย (ปฏฆิ ะ) และความยินดี ๑ เพราะเปน ภาวนาท่ยี ังหยาบ เหตยุ ัง ประกอบดว ยโสมนสั ๑ และ (เหน็ ) อานิสงสใ นอุเบกขาโดยความเปน ธรรมละเมียดแลว บุคคลใดเปน กลาง ๆ อยโู ดยปกติของเธอพึงวางเฉย กะบคุ คลนัน้ ยังอเุ บกขาใหเ กิดขนึ้ ตอ นนั้ จึงยังอเุ บกขาใหเ กิดขึน้ ใน บุคคลประเภทอืน่ ๆ มบี คุ คลทร่ี กั เปน อาทิ สมคําท่ีกลาวไว (ในวภิ ังค) * บทตตยิ าวิเสสนะขา งหนา คือ ปฏิลทฺธตกิ จตุกฺกชฌฺ าเนน กลาวทั้งตกิ ฌาน และจตกุ - ฌาน แลว บทหลังจะมีกลาวแตตติยฌานอยา งไรได ที่ถกู ควรจะเปน ปคุณตตยิ จตุตถฺ ชฌฺ านา ในท่นี แ้ี ปลเพม่ิ ตามท่เี ห็นวาถกู สวนมหาฎกี าแก.... ตตยิ ชฌฺ านา เปน ตตยิ พฺรหมฺ วหิ ารชฌฺ านโต เห็นไมส ม เพราะไมม ีความตรงไหนสอ วาจะพดู ถงึ เฉพาะมุทิตาในทนี่ ีเ้ ลย
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 207 วา \"อน่ึง ภกิ ษุมใี จสหรคตกับอเุ บกขาแผไ ปตลอดทศิ หนงึ่ อยอู ยางไร คือ ภกิ ษุแผอ ุเบกขาไปยังสตั วท ง้ั ปวง เหมอื นอยางไดเ ห็นบุคคลผหู นง่ึ ซึ่งเปนทพี่ อใจก็มใิ ช ไมพ อใจกม็ ิใช แลว พึงวางเฉยอยฉู ะน้นั \"* ดังน้ี เพราะเหตุน้ัน พระโยคาวจรครัน้ ยงั อุเบกขาใหเกิดขึ้นได ในบุคคล กลาง ๆ โดยนยั ท่ีกลาวแลว ทนี ้ีจงึ ยงั อุเบกขาใหเกิดในบุคคลทร่ี ัก แต นนั้ ในสหายนักเลง ตอ นนั้ ในคนท่เี ปนศัตรูแล แลวทาํ สมี สมั เภทโดย (วางใจ) เปนกลางในบคุ คลทง้ั ปวงคือ ในบุคคล ๓ ตามท่ีกลา วมาน้ี และในตนเอง แลวเสพนิมติ นน้ั ใหย ่ิง เจริญนิมิตนัน้ ทํานิมิตนน้ั ใหม าก เมอื่ พระโยคาวจรทําไปอยางนนั้ จตตุ ถฌาน (หรอื ปญจมฌาน) จะ เกดิ ข้ึนตามนัยที่กลาวแลว ในปฐวกี สิณนน้ั แหละ มปี ญ หาวา \"กจ็ ตุตถฌาน (ทว่ี า) นี้ เกดิ แกพ ระโยคาวจรผู ไดตติยฌานท่เี กิดในกรรมฐานอ่นื มีปฐวกี สณิ เปนตนดวยหรอื ?\" ตอบวา \"หาเกดิ ไม\" ถามวา \"เพราะเหตุอะไร ?\" ตอบวา \"เพราะความทมี่ ีอารมณไ มสมกัน แตเกิดแกผ ไู ด ตติยฌานท่เี กิดในพรหมวหิ ารภาวนา มเี มตตาภาวนาเปน ตน เทานน้ั เพราะมอี ารมณสมกนั \" สว นวิกพุ พนา และความไดอ านิสงส ตอ แตน้นั ไป บัณฑิตพึง ทราบตามนัยทกี่ ลาวแลว ในเมตตาภาวนาน้นั เทอญ นี้เปนกถาอยางพสิ ดารในการเจริญอุเบกขา * อภ.ิ วิ. ๓๕/๓๗๔
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 208 ปกณิ ณกกถา บณั ฑิตไดร พู รหมวหิ าร อันพระพรหมอุตตมา- จารยตรัสไวเ หลานีด้ งั นแ้ี ลว พงึ ทราบ ปกณิ ณกกถาในพรหมวหิ ารทงั้ หลายน่ันอีกบาง ตอ ไปน้ี [วินจิ ฉัยโดยอรรถ] กใ็ นเมตตากรณุ ามุทติ าอเุ บกขานี้ บัณฑติ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั โดย อรรถกอน (ดังตอไปน)้ี ธรรมชาตใิ ดยอ มรกั หมายความวามเี ย่อื ใย เหตนุ น้ั ธรรมชาติ นัน้ จงึ ชื่อวาเมตตา (แปลวา ธรรมชาติผูร ัก) นัยหนง่ึ ธรรมชาตนิ น่ั มีอยใู นมติ ร หรอื วายอ มเปน ไปแกม ติ ร เหตนุ ัน้ ธรรมชาตินนั้ จงึ ชือ่ วา เมตตา (แปลวาธรรมชาติทีม่ ีอยใู นมิตร) ธรรมชาตใิ ด เมือ่ ความทกุ ขข องผูอ่ืนมอี ยู ยอ มทาํ ความหว่ันใจ แกส าธชุ นทงั้ หลาย* เหตนุ น้ั ธรรมชาตินั้นจึงชอื่ วา กรณุ า (แปลวา ธรรมชาตผิ ทู าํ ความหวั่นใจ) นัยหนงึ่ ธรรมชาตใิ ดยอ มซ้อื เอาเสีย คอื เบียนเอาเสยี ซง่ึ ความทกุ ขของผอู ่ืน หมายความวา ทาํ ทุกขของ ผูอ่ืนใหห ายไปเสีย เหตุน้นั ธรรมชาตนิ น้ั จึงชอ่ื วา กรณุ า (แปลวา ธรรมชาตผิ ซู ือ้ เอาทกุ ขของผอู ืน่ ) อีกนัยหนึง่ ธรรมชาตใิ ด อนั สาธุชน ยอมทําไป คือเหยียดออกโดยการแผไ ปในสัตวท ัง้ หลายผูไดรับทุกข * หมายความวา ผูท ี่รูจกั หวนั่ ใจ เมอื่ คนอน่ื ไดท กุ ข ก็มแี ตส าธชุ นเทานน้ั
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 209 เหตนุ นั้ ธรรมชาตินั้น จงึ ช่ือกรณุ า (แปลวา ธรรมชาติทเี่ ขาทําออกไป) สาธุชนท้ังหลาย ยอ มบนั เทงิ ตอบคุ คลผูเพียบพรอมไปดว ย สมบตั ินั้น ดว ยธรรมชาตนิ ั้น เหตนุ ้ัน ธรรมชาตนิ ั้นจึงช่ือวา มทุ ิตา (แปลวา ธรรมชาตเิ ปนเหตบุ นั เทงิ แหงสาธุชน) นยั หนึง่ ธรรมชาติ น้นั บันเทงิ ในตัวเอง เหตุน้นั จึงชือ่ มุทุตา (แปลวา ธรรมชาติ อันบันเทิง) อกี นยั หนึง่ คาํ วามุทิตาน้ัน ไดแกก ริ ิยาบันเทงิ เทา นัน้ เอง (นยั น้ี มทุ ิตา แปลวา ความบนั เทงิ ) ธรรมชาตใิ ดวางเฉย โดยละเสียซึ่งความขวนขวาย ในการ มนสิการมีมนสิการวา \"(สพเฺ พ สตตฺ า) อเวรา โหนฺต\"ุ เปน ตน และโดยเขาถงึ ความ (วางใจ) เปน กลางเสยี เหตุนน้ั ธรรมชาตนิ ั้น จึงชอื่ วา อเุ บกขา (แปลวา ธรรมชาตผิ ูวางเฉย) [วินิจฉัยโดยลกั ษณะเปนตน ] สว นวินจิ ฉัยโดยประการอน่ื มลี ักษณะเปนตน ในพรหมวหิ าร- ธรรม ๔ นน้ั พงึ ทราบ (ตอไปน)ี้ เมตตา มคี วามเปนไปโดยอาการ (คิด) เกอื้ กลู * (แกสตั ว ท้ังหลาย) เปน ลกั ษณะ มีอนั นําเอาประโย (คือเปนกิจ) มอี ันนําความอาฆาตออกไปเสียไดเ ปนเครอื่ งปรากฏ (คอื เปนผล ?) มีอันมองเห็นความทีส่ ัตวทั้งหลายเปนที่นาเจริญใจเปน เหตุใกล ความรํางบั ไปแหง พยาบาท (ดว ยอํานาจวิกขัมภนปหาน) เปนสมบัติ (คอื คามถกู ตอง) แหง เมตตานัน่ ความเกดิ ขนึ้ แหง * มหาฎกี าและใหแปลอกี นยั หนงึ่ วา มอี ันยังอาการเกอื้ กลู ใหเ ปน ไปเปนลกั ษณะ
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 210 สิเนหา (คือกลายเปนความรกั ดวยตณั หาไป) เปนวบิ ัติ (คือวิปริตไป) แหงเมตตานั่น๑ กรณุ า มคี วามเปน ไปโดยอาการ (คดิ ) เปลอ้ื งทกุ ข (ของ สตั วท ง้ั หลาย) เปน ลกั ษณะ มอี นั ทนไมไดต อความทุกขข องผูอนื่ เปน รส มคี วามไมเ บยี ดเบยี น (สัตว) เปนเครื่องปรากฏ มอี ันมอง เห็นความที่สตั วผ ูถกู ทุกขครอบงําทงั้ หลายเปนผอู นาถ เปน เหตใุ กล ความรํางบั ไปแหงวหิ ิงสา (ดว ยอาํ นาจวิกขัมภนปหาน) เปน สมบัติ แหง กรุณาน้ัน ความเกดิ ขน้ึ แหงความโศก (คอื กลายเปนโศกไป) เปนวิบัตแิ หงกรณุ านนั้ ๒ มุทิตา มคี วามบันเทิงใจ (ในสมบัติของผูอ น่ื ) เปนลกั ษณะ มคี วามไมหึงหวงเปนรส มอี ันกําจดั เสยี ไดซ ึง่ ความรษิ ยา (ใน สมบัติของผูอื่น) เปน เครอ่ื งปรากฏ มอี ันมองเห็นสมบัติแหง สัตว ทง้ั หลายเปนเหตุใกล ความราํ งับไปแหงอรติ (ดวยอาํ นาจวิกขัมภน- ปหาน) เปน สมบตั แิ หง มุทติ านั้น ความเกดิ ขนึ้ แหงความรืน่ เริง (คอื กลายเปนสนุกรนื่ เรงิ ดว ยกเิ ลสไป) เปน วิบตั แิ หง มทุ ติ าน้นั อุเบกขา มีความเปนไปโดยอาการเปน กลาง ในสัตวท ั้งหลาย เปนลักษณะ มีอันมองเห็นความเสมอกนั ในสตั วท ัง้ หลายเปนรส มีอันรํางบั ไปแหง ความยินรา ยและความยินดี เปน เครอ่ื งปรากฏ มี อันเหจ็ กมั มัสสกตา ทเี่ ปนไปโดยนัยวา สตั วท ้งั หลายมีกรรมเปนของ ๑. ทานวา ราคะมันลวงมาโดยหนาเมตตาได ๒. - ๓. ความโศกลวงมาโดยหนากรุณาได ความสนุกรน่ื เริงกล็ วงมาโดยหนา มทุ ิตาได
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 211 ตน สตั วเ หลาน้นั จกั เปนผถู ึงซ่งึ ความสุขก็ดี จกั พนจากทกุ ขก็ดี จักไมเ สอื่ มจากสมบตั ทิ ีไ่ ดร บั แลว ก็ดี ตามความพอใจของกรรม ดังน้ี เปนเหตุใกล ความรํางับไปแหง ความยินรา ยและความยินดี (ดวย อํานาจวิกขัมภนปหาน) เปน สมบตั แิ หงอุเบกขานั้น ความเกดิ ขน้ึ แหง อญาณุเบกขา (ความเฉยโดยโง) เปน คหสติ ะ (องิ กามคุณ) เปน วบิ ัตแิ หงอเุ บกขานั้น [ประโยชนของพรหมวหิ าร] กแ็ ลวิปสนาสขุ (ความสุขในวิปส นา) กด็ ี ภพสมบตั ิ (ความ ไดกาํ เนดิ ในรูปภพ ?) ก็ดี เปนประโยชนทว่ั ไป ความกําจดั ปฏิปกข- ธรรมมพี ยาบาทเปนตน ได เปน ประโยชนเฉพาะขอ แหงพรหมวิหาร ทั้ง ๔ นน่ั จริงอยู ในพรหมวหิ าร ๔ นน่ั เมตตามีการกําจัด พยาบาทไดเปนประโยชน ๓ ขอ นอกนี้ กม็ กี ารกําจัดวิหิงสา อรติ และราคะเปนประโยชน๑ (ตามลาํ ดบั ) สมคําพระสารบิ ุตรกลาวไวว า \"ดูกรอาวโุ ส สิ่งซง่ึ เปนทางออกไปแหงพยาบาท กค็ ือเมตตเจโต- วิมุติ สง่ิ ซ่งึ เปนทางออกไปแหงวเิ หสา ก็คือกรณุ าเจโตวิมุติ สงิ่ ซึง่ เปนทางออกไปแหงอรติ กค็ ือมทุ ิตาเจโตวมิ ุต ส่ิงซึ่งเปน ทางออกไป แหงราคะ กค็ ืออเุ บกขาเจโตวมิ ตุ \"ิ ๒ ดงั นี้ ๑. ปาฐะในฉบบั วสิ ุทธมิ รรคพิมพไ วเ ปน อหสึ า---- ปฏฆิ าตปฺปโยชนา คํา อหสึ า น้ันผดิ ทีถ่ กู เปน วหิ สึ า เพราะคาํ ท้งั ๓ คือ วิหสึ า อรติ ราคะ เปนฉัฏฐีกรรมในปฏฆิ าตะ ๒. ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๖๑
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 212 [ขาศึกใกลและไกลของพรหมวิหาร] อน่งึ ในพรหมวิหาร ๓ น่ัน แตล ะขอ มขี าศกึ ขอ ละ ๒ ๆ โดย เปน ขาศึกใกลแ ละขาศกึ ไกล ความพิสดารวา ราคะเปนขาศกึ ใกลข อง เมตตาพรหมวหิ าร เพราะความทเี่ มตตากบั ราคะมสี วนเสมอกนั โดย มองดแู ตสว นที่เปน คุณ ดจุ ขา ศึกของคนท่ีมนั เท่ียวอยูใกล ๆ มันยอม ไดชองโดยงา ย เพราะเหตุนนั้ เมตตา พระโยคาวจรตอ งรักษาใหด ี (ใหไ กล) จากราคะ (สว น) พยาบาทเปน ขาศกึ ไกล (ของเมตตา) เพราะเมตตากบั พยาบาทมี (สภาพ) สว นท่เี ปนของตนไมเหมือนกนั ดุจขาศกึ ของคนท่มี นั ซุมอยใู นปาดงมีภเู ขาเปนตน เพราะฉะน้ัน พระโยคาวจรจงึ ไมตอ งกลัวแตพยาบาทน้นั เจรญิ เมตตาไปเถดิ อนั ขอ ท่ีวาบุคคลจกั เจริญเมตตาดว ย ทาํ อาการโกรธไปดว ย นัน่ เปนอฐานะ (คอื เปน ไปไมไ ด) เคหสิตโทมนสั อันมา (ในบาลี) โดยนยั วา \"เมือ่ บคุ คล เหน็ ความไมไดซ ง่ึ รูปทง้ั หลายท่พี งึ รูทางจกั ษุ อนั นาปรารถนานา ใครนา เจริญใจนา รน่ื รมยใจ ประกอบไปดวยโลกามิส โดยความ (เสยี ใจวา ) ไมไ ดก ็ดี เมอ่ื ระลึกถึงรปู ารมณเห็นปานนั้นทไ่ี มเคยไดม ากอ น ทล่ี ว ง ไปแลว ทด่ี บั ไปแลว ทแ่ี ปรไปแลว ก็ดี โทมนสั เกิดขึน้ โทมนัสใด มีรปู อยางน้ี โทมนัสน้นั เรยี กวา เคหสติ โทมนัส (ความเสยี ใจอิง กามคุณ)\"* ดังนีเ้ ปนตน เปน ขา ศึกใกลของกรณุ าพรหมวหิ าร เพราะ กรุณากับเคหสิตโทมนสั มีสวนเสมอกัน โดยมองดูแตวิบัติ (คือสว น * ม. อ.ุ ๑๔/๔๐๓
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 213 เสยี ) (สวน) วิเหสา เปนขาศึกไกล (ของกรณุ า) เพราะมี (สภาพ) สวนท่ีเปนของตนไมเหมือนกนั เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรจึงไมตอง กลัวแตว ิเหสาน้นั เจริญกรณุ าไปเถิด อันขอทีว่ าบุคคลจักทาํ ความ กรณุ าดว ย จักเบยี ดเบยี น (สัตว) ดว ยเครอ่ื งประหารมฝี ามือเปนตน ดว ย นน่ั เปน อฐานะ (คือเปน ไปไมไ ด) เคหสติ โสมนัสอันมา (ในบาล)ี โดยนยั วา \"เมื่อบุคคลเห็น ความไดซ ึ่งรปู ทัง้ หลายทพ่ี ึงรทู างจักษุ อันนา ปรารถนานา ใครนา เจรญิ ใจนารื่นรมยใจ ประกอบไปดว ยโลกามิส โดยความ (ดใี จวา) ไดก ็ดี เมอื่ ระลกึ ถึงรปู ารมณเหน็ ปานน้นั ทเ่ี คยไดมากอ น ทล่ี ว งไปแลว ท่ดี ับไปแลว ทีแ่ ปรไปแลว ก็ดี โสมนสั เกดิ ขนึ้ โสมนัสใดมรี ปู อยางนี้ โสมนสั น้ัน เรยี กวาเคหสิตโสมนัส (ความดีใจองิ กามคุณ)\"๑ ดงั น้ี เปน ตน เปนขา ศกึ ใกลของมุทิตาพรหมวหิ าร เพราะมุทติ ากับเคหสิต- โสมนสั มสี ว นเสมอกนั โดยมองดูแตสมบัติ (คอื สวนได) สวน อรตเิ ปน ขาศึกไกล (ของมุทิตา) เพราะมี (สภาพ) สว นท่เี ปน ของตนไมเหมือนกนั เพระเหตนุ ั้น พระโยคาวจรจึงไมต อ งกลัวแต อรตินนั้ เจริญมุทติ าไปเถิด อันขอ ท่ีวา บคุ คลจักเปน ผูบันเทิงใจ (ในความไดดขี องผูอ่ืน) ดวยจกั หนา ยในเสนาสนะสงดั หรอื ในอธิกศุ ล- ธรรมท้ังหลาย๒ดว ย นั่นเปนอฐานะ (คอื เปนไปได) ๑. ม. อ.ุ ๑๔/๔๐๓ ๒. มหาฎกี าวา อธกิ ุศลธรรม ไดแ กสมถะวิปสนา
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 214 สวนเคหสติ อญาณเุ บกขา อนั มา (ในบาล)ี โดยนัยวา \"เพราะเหน็ รูปดว ยจักษุ อุเบกขา (ความรสู ึกเฉย) เกดิ ขึ้นแกบ ุถุชน ผโู งเขลา ผูเ ปนคนกเิ ลสหนา ยงั ไมเปนโอธิชินะ (ผูชนะแดน) ไมเปน วปิ ากชนิ ะ (ผูชนะวิบาก)๑ ไมเหน็ โทษ (ในความลมุ หลง ?) มไิ ดสดบั (อริยธรรม) อเุ บกขาใดมรี ูปอยา งน้ี อเุ บกขานั้นยอ ม ไมล ว งรปู ไปได๒ เพราะเหตนุ ้ัน อเุ บกขาน้นั จึงเรียกวา เคหสิตา (อิงกาม)\" ดงั นเ้ี ปนตน เปนขาศึกใกลข องอุเบกขาพรหมวหิ าร เพราะอุเบกขาพรหมวหิ ารกบั เคหสติ อญาณุเบกขา มีสวนเสมอกนั โดย ไมวิจารโทษและคณุ (เชน กนั ) ราคะและปฏิฆะ เปนขา ศึกไกล (ของอุเบกขา) เพราะมี (สภาพ) สวนทีเ่ ปนของตนไมเหมอื นกนั เพราะเหตนุ ้ัน พระโยคาวจรจึงไมตอ งกลัวแตร ะคะและปฏิฆะน้ัน ๑. อโนธิชนิ และ อวิปากชนิ เปน ศพั ทแ ปลก อโนธชิ นิ นัน้ ตามมหาฎกี าทานแบง แดนเปน ๒ คอื แดนกเิ ลสเรียก กเิ ลโสธิ แดนมรรค เรยี กวา มคฺโคธิ อโนธชิ นิ ทานใหอรรถาธิบายวา ยงั ไมช นะแดนกเิ ลสดว ยแดนมรรค ก็หมายความวา ยงั ตกอยใู น แดนกิเลสนั่นเอง อีกนยั หนง่ึ คาํ โอธิชนิ หมายเอาพระเสขะ เพราะทา นชนะกเิ ลสเปน แดน ๆ ขน้ึ ไปโดยลําดบั เพราะฉะนน้ั อโนธิชนิ กแ็ ปลวา ผยู งั มิไดเปน พระเสขะ ความกค็ ือยังเปน บถุ ุชนนัน่ เอง อวปิ ากชนิ ทานใหอรรถาธิบายวา ยังไมช นะวบิ ากท่ีอาํ นวยใหเ ปน ไปเกนิ กวา ภพ ที่ ๗ ก็แปลวา ยงั ไมไ ดเ ปนพระโสดาบนั ซงึ่ กไ็ ดความวา ยังเปนบถุ ุชนนัน่ แหละ อีกนยั หนง่ึ ทานวา วปิ ากชนิ หมายเอาพระอรหนั ต เพราะพระอรหนั ตชนะวบิ ากถงึ ทส่ี ดุ ไมป ฏิสนธิอีก เพราะฉะน้ัน อวปิ ากชิน ก็ไดแกย ังไมเ ปน พระอเสขะ นยั น้ีไมส มกับความในทนี่ ี้ เพราะ ในท่นี ี้พระบาลจี าํ กดั ความเฉพาะบุถชุ นทโี่ ง ๆ เทา นน้ั ท่วี า ยงั ไมเ ปน พระอเสขะ ความแลน ไปวา เปน พระเสขะแลว ก็ได ๒. มหาฎีกาขยายความวา ไมลว งกิเลสอนั มีรูปเปนอารมณไปได
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 215 เจริญอุเบกขาไปเถดิ อนั ขอท่วี า บุคคลจักอุเบกขาดวย จกั ยนิ ดแี ละ ยินรายไปดว ย นัน่ เปน อฐานะ (คอื เปนไปไมไ ด) [เบ้ืองตน ทามกลาง ท่ีสุด อารมณแ ละการขยายอารมณ แหงพรหมวหิ าร] อนง่ึ พรหมวหิ ารทกุ ขอ นัน่ มกี ตั ตุกามตาฉันทะ (ฉนั ทะคอื ความใครจ ะทาํ ) เปนเบื้องตน มีการขมนิวรณไดเปนตน เปนทา ม กลาง มอี ัปปนาเปน ที่สุด ดวยอาํ นาจบญั ญตั ธิ รรม จดั วา มีเอกสัตว เปนอารมณ หรอื วา (โดยสมมติธรรม ?) มอี เนกสัตวเ ปน อารมณ เมือ่ ถึงอปุ จารหรอื อัปปนาแลว การขยายอารมณจ ึงมไี ด ในการขยายอารมณนั้น บัณฑิตพงึ ทราบลาํ ดับการขยาย (ดงั ตอ ไป) นี้ เหมอื นอยา งชาวนาผูฉลาดกาํ หนดท่ี ทีจ่ ะพึงไถแลว จึง ไถไปฉนั ใด พระโยคาวจรก็ฉนั นัน้ ชนั้ แรกทเี ดียวพงึ กําหนดเอา เรือน*หลงั หนึง่ แลวเจรญิ เมตตาไปในสตั วท ั้งหลายในเรอื นนนั้ โดย นยั วา \"ขอสตั วทั้งหลายในเรือนน้ีจงเปนผูไมมเี วรเถดิ \" ดงั นเี้ ปน ตน ทาํ จติ ใหอ อน ควรแกการในภาวนา เฉพาะเรือนหลงั หนง่ึ นั้นแลว จึงกาํ หนด ๒ หลงั ตอนัน้ จงึ กาํ หนด ๓-๔-๕-๖-๗-๘-๘-๙-๑๐ หลงั (แลว) ถนนสายหนึ่ง ครึ่งหมบู าน หมูบ านหน่ึง ชนบท (จังหวดั ) หนง่ึ ราชอาณาจกั รหนงึ่ ทศิ หนง่ึ โดยนัยดังนี้ไปจนกระทัง่ จักรวาล หนึ่ง หรอื วา จะพึงเจรญิ เมตตาไปในสัตวทงั้ หลายในทน่ี ้ัน ๆ ยิ่งกวา น้ัน * อาวาสในทนี่ ้ี มิไดหมายถงึ วัด แตหมายถงึ ทอี่ ยขู องคนเปน หลัง ๆ เพราะตอไปมกี ลาวถงึ ถนนสายหนง่ึ หมบู า นหน่งึ กลาวใหญขนึ้ โดยลําดบั จงึ แปลเอาความวา 'เรอื น'
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 216 ไปอกี ก็ได พรหมวิหารท่ีเหลือมกี รณุ าเปนตน ก็พึงเจรญิ นัยเดยี วกัน น้นั แล นีเ้ ปน ลาํ ดบั แหง การขยายอารมณในพรหมวิหารภาวนานัน่ [อุเบกขาพรหมวหิ ารเปน ผลลพั ธแหง พรหมวหิ าร ๓ ขางตน ] อน่ึง อารูปเปนผลลัพธแ หง กสิณทงั้ หลาย เนวสัญญนาสัญญาย- ตนะเปน ผลลัพธแหง สมาธิท้ังหลาย ผลสมาบตั เิ ปนผลลัพธแ หงวปิ สนา นโิ รธสมาบัติเปน ผลลัพธแ หง สมถะวปิ สนาฉันใด อุเบกขาพรหมวหิ าร ในพรหมวิหารภาวนานี้ ก็เปนผลลัพธแ หง พรหมวหิ าร ๓ ขางตนฉนั นนั้ เพราะเหมอื นวายังมิไดต้ังเสา ยงั มิไดยกช่ือและจันทนั แลว กไ็ มอ าจ วางจัว่ และกลอนในอากาศไดฉันใด เวน ตติยฌานในพรหมวหิ าร ๓ ขางตนเสีย กไ็ มอาจทํา (อเุ บกขา) จตุตถฌานใหเ กดิ ไดฉนั นนั้ แล [เพาะเหตไุ รจงึ เรียกพรหมวิหาร เพราะอะไรจงึ มา ๔ ฯลฯ] ในทีน่ ปี้ ญหาพงึ มีวา ก็เพราะเหตอุ ะไร เมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขาน่นั ทานจึงเรียกพรหมวหิ าร ขอ ๑ เพราะอะไรจึงมี ๔ ขอ ๑ อะไรเปน ลาํ ดับแหง คุณชาตเหลา นั้น ขอ ๑ เหตไุ ฉน ในอภิธรรม ทานจงึ เรียกอปั ปมญั ญา ขอ ๑ ขา พเจา ขอเฉลย (ดงั ตอ ไปน้ี) ขอแรก ความเปน พรหมวิหาร ในคณุ ชาตมเี มตตาเปนอาทนิ ่นั พงึ ทราบ (วาเปน ) เพราะอรรถวาเปน ธรรมประเสริฐ และ เพราะความเปนธรรมหาโทษมิได แทจริง ธรรมเหลาน้ัน จดั วา เปน วหิ ารธรรมอันประเสริฐ เพราะภาวะทเ่ี ปน ความปฏิบัตชิ อบในสตั ว
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 217 ทัง้ หลาย๑ อนงึ่ พรหมทงั้ หลายเปนผูมีจติ หาโทษมิไดอ ย๒ู ฉนั ใด พระ โยคีท้ังหลายผปู ระกอบพรอมดวยธรรมเหลานนั้ กเ็ ปนผู (มจี ิต) เสมอดวยพรหมอยแู ทฉ นั นน้ั เพราะเหตนุ น้ั ธรรมเหลานัน้ ทานจึง เรยี กวา พรหมวหิ าร เพราะอรรถวาเปนธรรมประเสริฐประการ ๑ เพราะความเปนธรรมหาโทษมิไดประการ ๑ สวนคํา (ตอ ไป) น้ี เปนคาํ แกป ญหา (อกี ๓ ขอ ) มขี อ วา อนง่ึ เพราะอะไรจงึ มี ๔ เปน ตน ภาวนามีเมตตาเปนอาทิเปน ๔ เพราะอํานาจแหงกิจ มคี วามเปนทางแหงวสิ ุทธเิ ปน ตน สวนลําดบั แหง ภาวนาเหลาน้นั เปน เพราะอาํ นาจแหงอาการมคี วาม คดิ เก้ือกูลเปนตน อน่ึง เพราะเหตทุ ภ่ี าวนาเหลา นน้ั เปน ไปในอารมณ (คอื สตั ว) หาประมาณมไิ ด จึงชื่ออปั ปมญั ญา กเ็ พราะในภาวนา ๔ ประการนน้ั เมตตาเปนทางหมดจดแหง บุคคลผูมากดวยพยาบาท กรุณาเปน ทางหมดจดแหงบุคคลผูมาดว ย วเิ หสา มทุ ติ าเปนทางหมดจดแหงบุคคลผมู ากดวยอรติ อเุ บกขาเปน ทางหมดจดแหงบคุ คลผูมากดวยราคะ และเพราะเหตทุ กี่ ารมนสกิ าร ๑. มหาฎีกาวา กรรมฐานอื่น ๆ มแี ตปฏิบตั เิ พอ่ื ประโยชนต น สว นกรรมฐานนีเ้ ปน ปฏิบตั ิ เพื่อประโยชนผ อู ่นื โดยภาวนาวา ขอสัตวท ั้งปวงจงมีความสุขเถดิ ดังนีเ้ ปน ตน จงึ วา เปน ความปฏบิ ัตชิ อบในสัตวท งั้ หลาย ๒. มหาฎกี าวา ผจู ะไปเกิดเปน พรหมนนั้ บําเพ็ญฌาน จิตปราศจากนวิ รณแลว จงึ ไดไ ปเกดิ ในพรหมโลก แลวกเ็ ปน ผูที่มีจติ ปราศจากนวิ รณเ ชน นน้ั ไปจนตลอดอายุของพรหม เพราะเหตุนัน้ จึงวา พรหมท้งั หลายเปน ผูมีจติ หาโทษมิไดอ ยู
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 218 ไปในสัตวท ั้งหลาย ก็มอี ยู ๔ ทางเทาน้นั โดยเปน อาการ (คิด) หาประโยชนใ ห (คิด) บําบดั สิ่งท่ีมิใชป ระโยชน ยินดีในความไดด ี และความไมคิดคาํ นึงถงึ (คือเพิกเฉย) อนง่ึ เพราะอปุ มาเหมือน มารดา ในบตุ ร ๔ คน ท่ี (คน ๑) เปนเดก็ เลก็ (คน ๑) ปวย (คน ๑) เปน หนมุ และ (คน ๑ ออกเรือนไป) ประกอบการงาน สวนตัว ยอ มเปนผูปรารถนาความเจรญิ เติบโต เพือ่ บุตรคนเลก็ ปรารถนาบาํ บดั ไขเ พอ่ื บุตรท่ีปวย ปรารถนาความยง่ั ยนื แหงสมบตั ิ ความเปนหนมุ เพ่อื บุตรที่เปน หนมุ ไมขวนขวายไมวาในทางไร ๆ เพอื่ บตุ รท่ี (ออกเรือนไป) ประกอบการงานสว นตัวแลว ฉันใด แม พระโยคาวจรก็พึงเปนผูมีอปั ปมัญญาเปนวิหารธรรม ดวยอาํ นาจเจริญ ธรรม ๔ มีเมตตาในสัตวปวงเปน อาทิ ฉนั น้ัน เพราะเหตุน้ัน อัปปมญั ญา กเ็ ปน ๔ เพราะอาํ นาจแหงกิจมคี วามเปน ทางแหงวสิ ทุ ธิ เปนตน น้เี หมือนกัน อนึ่ง เพราะเหตุที่พระโยคาวจรผูใ ครจะเจรญิ อปั ปมญั ญาน่นั (ครบ) ทั้ง ๔ ทแี รกพึงปฏิบัติในสัตวท ้งั หมด โดยยงั อาหาร (คิด) เกื้อกลู ใหเปน ไป ภาวนาอันมีความเปนไปแหง อาการ (คดิ ) เกอื้ กูล เปนลักษณะนัน้ เองเปน เตตา แตน้ันไดพบก็ดี ไดย นิ ก็ดี ใครครวญเหน็ กด็ ี ซ่งึ ความทส่ี ตั วท ้ังหลายผปู รารถนาแตประโยชนเ กื้อกลอยางนีแ้ ลวยงั ถกู ทกุ ขครอบงํา พงึ ปฏิบัตโิ ดยยงั อาการ (คดิ ) บําบัดทกุ ขใหเปนไป ภาวนาอนั มีความเปน ไปแหง อาการ (คิด) บําบดั ทุกขเปน ลักษณะ นั้นเองเปน กรุณา ทีน้ี ไดเ ห็นความไดดีแหงสัตวเหลา น้นั ผปู รารถนา
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 219 ประโยชนและปรารถนาความปราศจากทกุ ขอยางนัน้ แลว พึงปฏิบตั ิโดย ยังใจใหบ ันเทิงในความไดดี (ของเขา) ภาวนาอันมีความบันเทิง ใจเปนลกั ษณะนั้นเองเปนมุทติ า สว นตอ น้นั ไปพึงปฏิบตั ิโดยอาการ เปน กลาง กลา วคอื ความวางเฉย เพราะความไมม ีกิจอันควรจะทาํ ภาวนาอันมีความเปน ไปแหง อาการเปน กลางเปน ลกั ษณะน้นั เองเปน อเุ บกขา เพราะฉะนั้น บัณฑิตพงึ ทราบวา กเ็ พราะอาํ นาจแหงอาการมี (คดิ ) เกอ้ื กลู เปน ตน นี้ ลาํ ดบั นี้ คอื เมตตา ตรสั เปน ขอ แรก แลวกรุณา แลวมุทติ า แลวอเุ บกขา จงึ เปนลาํ ดับของอัปปมัญญา ๔ นั้น๑ อนึ่ง เพราะเหตุที่เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขานน่ั ทุกขอ ยอ ม เปนไปในอารมณหาประมาณมไิ ด จรงิ อยู สัตวท ั้งหลายไมมีประมาณ เปน อารมณของภาวนาเหลานัน้ เพราะแมสําหรับเอกสตั ว (สัตวผเู ดยี ว) ภาวนาเหลานั้น ก็เปน ไปโดยอาํ นาจที่แผไ ปทัว่ (ทัง้ รา ง) มิไดถ อื เอา ประมาณอยา งน้วี า ภาวนามเี มตตาเปนอาทิ จะตอ งเจริญในท่ี (สว น หนึ่งของรางกาย) เทาน้ี๒ ดงั นี้แล เพราะเหตนุ ั้น ขาพเจาจงึ ไดกลาววา ภาวนามีเมตตาเปนอาทิเปน ๔ เพราะอํานาจแหง กจิ มคี วามเปนทางแหงวสิ ทุ ธเิ ปน ตน สว นลาํ ดบั แหง ๑. แปลอกี นยั วา เพราะเหตนุ ัน้ พึงทราบลําดบั ของอัปปมัญญาเหลา นน้ั ดงั นว้ี า พระผมู ี พระภาคเจา ตรสั เมตตากอน แลวจงึ ตรสั กรณุ า มทุ ติ า และอเุ บกขา ในลําดบั เพราะ อํานาจแหง อาการมอี นั นําเขา ไปซ่ึงประโยชนเก้ือกลู เปน ตนน้ี ๒. มหาฎีกาชว ยช้ีตวั อยา งวา เชน เจริญอทุ ธุมาตกอสุภ กใ็ หถือเอานิมติ ตรงท่ี ๆ ข้ึนมาก ๆ ท่ี ๆ ข้ึนไมม าก กไ็ มใ หถือเอา สว นอัปปมัญญาภาวนานี้ แมจ ะแผไปในสัตวผูเดยี ว ก็มไิ ด เจาะจงแผใ หอ วยั วะสว นไหน แผเ ปน สกลผรณา (คอื แผไ ปท่วั ทัง้ รา ง) จงึ นับเขา วาเปน อปั ปมญั ญาเชนกนั
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 220 ภาวนาเหลา น้ัน เปน เพราะอาํ นาจแหง อาการมคี วาม คิดเกอื้ กูลเปน ตน อนงึ่ เพราะเหตทุ ่ภี าวนาเหลา นนั้ เปนไปในอารมณ (คอื สัตว) หาประมาณมไิ ด จึงชอื่ อปั ปมัญญา [๓ พรหมวิหารขา งตนสาํ เร็จไดเ พียงตติยฌาน] กแ็ ลในภาวนาเหลา นัน้ ทแี่ มมีลกั ษณะเปนอันเดียวกนั โดยความ ทม่ี อี ารมณห าประมาณมิได (ดวยกนั ) อยางนี้ ภาวนา ๓ ขา งตนก็ เปนติกฌานิกา เปน ไปเพยี งในฌาน ๓ ในจตกุ นัย) และหรือเปนจตกุ - ฌานิกา (เปน ไปเพยี งในฌาน ๔ ในปญ จกนยั ป เทานั้น เพราะ เหตอุ ะไร เพราะพรากจากโสมนัสไมได ความพรากจากโสมนสั ไมไ ดมีแกภาวนาเหลานัน้ เพราะเหตุอะไร เพราะภาวนาเหลานั้น เปนทางออกไปแหง ปฏปิ ก ขธรรมมพี ยาบาทเปน ตน* ซ่งึ เกดิ จากโทมนัส สว นภาวนาขอสดุ ทายเปนอวเสสเอกฌานิกา (เปน ไปในฌานเดยี วท่ี เหลือ คือจตุตถฌาน ในจตุกนยั หรอื ปญจมฌาน ในปญ จกนัย) เพราะเหตอุ ะไร เพราะประกอบดว ยอเุ บกขาเวทนา แทจ ริง อเุ บกขาพรหมวหิ าร อันเปน ไปโดยอาการเปนกลางในสัตวท ั้งหลาย เวน อเุ บกขาเวทนาเสยี ยอ มเปนไปไมไดแล สวนบคุ คลใดพึงกลาวอยา งนว้ี า \"เพราะพระผูม พี ระภาคเจาตรสั * มหาฎีกาชว ยขยายความวา เมตตา กรุณา และมทุ ิตาเปน ทางออกไปแหงพยาบาท วหิ ึสา และอรติ อนั เกดิ แตโ ทมนสั หรือเจอื ดว ยโทมนัส เพราะฉะน้นั เม่อื พยาบาท วหิ สึ า และอรตอิ อกไปแลว โทมนสั ก็ระงับ กลบั เปนโสมนสั (?)
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 221 ไวใ นอัฏฐกนบิ าต (องั คุตรนกิ าย) โดยความไมแ ปลกกนั ในอปั ปมญั ญา ทง้ั ๔ วา 'ดกู รภิกษุ เมอ่ื น้ันเธอพงึ เจริญสมาธนิ ี้อนั มที ้ังวติ กทัง้ วิจาร บาง พึงเจรญิ สมาธนิ อี้ ันไมม ีวติ กมแี ตว ิจารบาง พงึ เจริญสมาธนิ ีอ้ ันไมม ี วติ กไมมีวิจารบาง พึงเจริญสมาธนิ ้ี อนั มีปติบา ง พึงเจริญสมาธิน้ีอนั ไมม ี ปติบาง พงึ เจรญิ สมาธนิ ี้ อนั ประกอบไปดว ยความสําราญ (คือสุข) บา ง พงึ เจรญิ สมาธิน้ี อันประกอบไปดว ยอุเบกขาบาง\"๑ ดงั น้ี เพราะเหตุ นั้นอัปปมัญญาทง้ั ๔ ก็เปน จตุกฌานิกา (เปนไปในฌานทงั้ ๔ ใน จตกุ นัย) หรอื เปน ปญจกฌานกิ า (เปนไปในฌานท้ัง ๕ ในปญ จกนัย เทา ๆ กัน) บคุ คลน้ัน เปนผอู ันภิกษุทงั้ หลายพงึ วากลา ววา \"ทานอยาพดู อยางนั้น เพราะเมอื่ เปนเชน นนั้ แมภ าวนาทั้งหลายมกี ายานุปสนา เปน ตน กจ็ ะพึงเปนจตกุ ฌานกิ าหรือปญจกฌานกิ า (ดว ยละซิ)๒ และในภาวนามีเวทนานปุ สนาเปน อาทิ แมแตปฐมฌานกไ็ มมี จะ กลา วอะไรถงึ ทตุ ิยฌานเปนตน เลา เพราะเหตุน้นั ทานอยาไดถ อื เอาแต เพยี งเงา (ของสมาธิ) ตามพยัญชนะแลวกลาวตพู ระผูมีพระภาคเจาเลย อันพระพุทธวจนะเปนคาํ ลกึ ซงึ้ พระพุทธวจนะนั้นทานควรเขาไปหา อาจารย (ตามอาจารยใ หอธิบายแลว) ถอื เอาโดยความหมาย กแ็ ล ความ (ตอ ไป) น้ี เปน ความหมายในพระพุทธจนะนนั้ \"นัยวา พระผูมีพระภาคเจาทรงตาํ หนภิ ิกษุ (รูปหนง่ึ ) ผซู ง่ึ กราบทูลขอพระ ๑. อง.ฺ อฏ ก. ๒๓/๑๑๐ ๒. ซ่งึ ความจริงไมเปน เพราะกายานุปสนาเปน ตนนน้ั ตรัสเปน ทางวปิ สนา
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 222 ธรรมเทศนาอยา งน้วี า \"ขา แตพ ระผูมพี ระภาคเจาผูเ จรญิ สาธุ ขอ พระผมู พี ระภาคเจาจงทรงแสดงธรรมแกขา พระองค โดยสงั เขปเถิด ขา พระองคไ ดฟงธรรมไรเลา จึงพึงเปนผหู ลีกออก (จากหมู) ไป ไม ประมาท ทําความเพียรเด็ดเดี่ยวอยผู ูเดียว\"๑ ดังน้ี วา \"ก็อยา งน้ีแหละ โมฆบุรษุ บางพวกในโลกน้ีเชญิ เรา (ใหแสดงธรรม) เทียว แตคร้นั เราแสดงธรรมแลวกย็ ังสาํ คญั เหน็ เราเปนผูท ี่พวกเขาจะพงึ ติดตาม (รบ กวน) อยนู นั่ เอง\" ดงั น้ี เพราะเหตทุ ี่ภกิ ษนุ ้นั แมฟ งธรรมครงั้ กอ น แลวกย็ งั อยทู น่ี น่ั เอง ไมปรารถนาจะ (ไป) ทาํ สมณธรรม (แต) เพราะภิกษุน้ันถงึ พรอ มดวยอุปนสิ ยั แหงพระอรหัต เพราะฉะนั้น เมื่อ จะทรงโอวาทเธอ จงึ ตรัสอีกวา \"ดูกรภิกษุ เพราะเหตนุ ้นั ในขอนเี้ ธอ พงึ สาํ เหนียกอยางนว้ี า 'จิตของเราจักเปนจติ หยดุ ต้ังมัน่ อยูภายใน และ ธรรมท้ังหลายอันเปน บาปอกุศลทเี่ กดิ ข้นึ แลว จะตอ งไมยึดจติ ตงั้ อยู' ดูกร ภกิ ษุเธอพึงสาํ เหนียกอยางนีแ้ ล\" ก็แลดมู ลู สมาธิ (สมาธิขั้นมูล) อาํ นาจ อันไดแ กอาการทีพ่ อเปน จติ เตกัคคตา๒ โดยอาํ นาจทจ่ี ิตหยุดอยภู ายในตน เปน อนั ตรัสแกภกิ ษุนั้นดว ยพระโอวาทขอ นี้ ตอนน้ั เพ่อื ท่จี ะทรงแสดง พระพทุ ธประสงควา ภกิ ษนุ ้นั ไมค วรถงึ ซึง่ ความพอใจดวยสมาธเิ พียงเทา นน้ั แลว ทํา (มูล) สมาธนิ ้ันใหเจริญดังตอไปน้ี จงึ ตรสั การเจริญ (สมาธิ ตอไป) โดยทางเมตตา แกภกิ ษุน้ันอยางนว้ี า \"ดูกรภกิ ษุ เม่ือใด จิตของเธอเปน จติ หยดุ ต้ังมั่นอยูในภายใน และธรรมท้ังหลายอันเปน ๑. อง.ฺ อฏก. ๒๓/๓๐๘ ๒. มหาฎีกาวา ไดแ กข ณกิ สมาธิ ทเ่ี รียกวา มูลสมาธิ กเ็ พราะเปน มลู แหงสมาธวิ เิ สส ตอ ๆ ไป
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 223 บาปอกุศลทเ่ี กดิ ข้ึนแลวไมย ดึ จิตตัง้ อยู เมอ่ื น้ันเธอพึงสําเหนยี กอยา งนี้วา 'เมตตาเจโตวมิ ตุ ิ จกั เปน ภาวนาอนั เราเจริญ ทําใหมาก ทาํ ใหเ ปน ดจุ ยาน ทาํ ใหเ ปนดุจของใช กอต้ังสง่ั สมทําใหส าํ เร็จอยางดี ' ดกู ร ภกิ ษุ เธอพงึ สาํ เหนียกอยางนแ้ี ล\" ดังน้ีแลวจงึ ตรัส (ตอ ไป) อีกวา \"ดกู รภกิ ษุ เมอื่ ใดแล (มลู ) สมาธินี้ เปน ธรรมอันเธอเจรญิ ทําให มากอยา งน้แี ลว เมือ่ นัน้ เธอพงึ เจรญิ สมาธินี้ อนั มีท้ังวิตก มีท้งั วิจาร บา ง ฯลฯ พงึ เจริญสมาธิน้ี อนั ประกอบไปดวยอเุ บกขาบา ง\" เนอ้ื ความแหงพระโอวาทนัน้ วา \"ดกู รภกิ ษุ เมอ่ื ใด มลู สมาธิ นเ้ี ปนธรรมอันเธอเจรญิ โดยทางเมตตาอยา งน้นั แลว เมอ่ื นั้นเธออยา เพ่ิงพอใจดวยสมาธิแตเพียงน้นั เม่อื จะยังมูลสมาธิน้ใี หลุถึงจตุกฌาน หรือปญจกฌานในอารมณอ นื่ ๆ* (ตอ ไป) พงึ เจริญ (สมาธนิ ี้) โดย นยั วา \"สวติ กฺกมฺป สวจิ าร - สมาธมิ ที ัง้ วติ ก มที ั้งวิจารบาง\" เปนตน อนง่ึ ครน้ั ตรัสอยางน้ีแลว จะทรงแสดงความวา 'ภิกษุพึงทาํ การเจรญิ สมาธิ แมท่มี ีพรหมวิหารทเ่ี หลือมกี รณุ าเปนตนเปนตัวนาํ โดย (ใหถ ึง) จตกุ ฌานหรือปญจกฌานในอารมณอนื่ ๆ ดวย' จึงตรสั แก ภิกษนุ ัน้ (ตอ ไป) อีกวา \"ดูกรภกิ ษุ เม่ือใดแล สมาธิน้ีเปน ธรรม อนั เธอเจริญทําใหม ากอยางนแี้ ลว เมอ่ื น้นั เธอพงึ สาํ เหนียกอยางนี้วา กรุณาเจโตวิมุติ จกั เปน ภาวนาอนั เราเจริญทาํ ใหมาก----\" ดังนเี้ ปน ตน คร้ันทรงแสดงการเจรญิ จตุกฌานหรือปญจกฌาน อันมีพรหมวิหาร ๔ มเี มตตาเปน ตัวนาํ อยางนี้แลว จะทรงแสดงสมาธิอนั มอี นุปสนา ๔ มี * มหาฎีกาวา อารมณอ นื่ ๆ มปี ฐวกี สิณเปน ตน
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 224 กายานุปส นาเปนตนเปน ตวั นํา จงึ ตรัส (ตอไป) อกี วา \"ดูกรภิกษุ เมื่อใดแล สมาธนิ ้เี ปน ธรรมอันเธอเจริญทําใหม ากอยางนแี้ ลว เม่อื น้นั เธอพึงสําเหนยี กอยางน้วี า 'เราจักเปนผูพจิ ารณาดูกายในกายอย\"ู ดงั นี้ เปน ตนแลว จงึ ทรงยังภิกษนุ ั้นใหถอื เอา (พระธรรม) เทศนาดว ย ยอดคือพระอรหตั วา \"ดูกรภกิ ษุ เมอื่ ใดแล สมาธินีเ้ ปนอันเธอเจริญ ทําใหเปนดแี ลวอยา งน้ี เมื่อนน้ั เธอจกั เดินไปทางใด ๆ ก็ดี เธอ ก็จักเดินเปน ผาสุกแท เธอจกั ยืนอยู ณ ทใี่ ด ๆ กด็ ี เธอกจ็ ักยืนเปน ผาสกุ เทยี ว เธอจักนงั่ ณ ทใ่ี ด ๆ ก็ดี เธอก็จกั นง่ั เปน ผาสกุ ทีเดียว เธอจักสาํ เร็จการนอน ณ ทีใ่ ด ๆ กด็ ี เธอกจ็ กั สําเร็จการนอนเปน ผาสกุ แล\" ดงั น้ี เพราะเหตุนนั้ ๑ อปั ปมัญญา ๓ มีเมตตาเปน ตน บัณฑติ พึงทราบ วา เปน ตกิ ฌานกิ าหรอื จตุกฌานกิ า (คอื เปน ไปในฌาน ๓ ขางตน ในจตุกนยั หรอื เปน ไปในฌาน ๔ ขา งตน ในปญจกนยั ) เทาน้ัน สว นอุเบกขา กพ็ ึงทราบวา เปนอวเสสเอกฌานิกา (เปนไปในฌาน เดยี วทเี่ หลือ คอื จตตุ ถฌานในจตุกนัย หรือปญ จมฌานในปญจก- นัย) เทา น้ัน และในอภิธรรม ทา นก็จําแนกไวอยางน้นั เหมอื นกันแล๒ [อปั ปมญั ญามอี านุภาพแปลกกนั ] บณั ฑติ พงึ ทราบวา อปั ปมญั ญา ๔ นน่ั แมต งั้ ไวเปน ๒ สวน ๑. คอื เพราะเหตุทพ่ี ระพุทธโอวาทใหบําเพญ็ สมาธทิ ่กี ลาวตอนตนนัน้ ตรัสหมายเอาสมาธิ ในอารมณอ นื่ มิใชอ ารมณแ หง อัปปมัญญา ๒. มหาฎีกาวา เชน ในอัปปมัญญาวภิ งั ค ในจติ ตุบาทกณั ฑเปน ตน
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 225 โดยเปนติกฌานหรอื จตุกฌานสว น ๑ เปน อวเสสเอกฌานสวน ๑ ดงั กลา วมานแ้ี ลว กด็ ี ยงั มอี านภุ าพวิเสสไมเ หมอื นกนั โดยภาวะมีความ เปน สุภปรมา (มีสภุ วิโมกขเปน อยา งยิ่ง) เปนตน จรงิ อยู ใน หลทิ ทฺ วสนสตู ร อปั ปมญั ญาเหลา น่ัน พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไวแปลก กนั โดยภาวะมีความเปน สุภปรมาเปนอาทิ ตรสั ไวอยางไร ? ตรสั ไวอยา งนี้วา \"ดูกรภกิ ษทุ ง้ั หลาย เรากลา วเมตตาเจโตวิมตุ ิวา มี สภุ วโิ มกขเ ปนอยา งยิง่ กลา วกรณุ าเจโตวมิ ุติวา มอี ากาสานัญจายตน- วิโมกขเปนอยา งยิง่ กลา วมุทติ าเจโตวิมตุ วิ า มวี ญั ญาณัญจายตนวิโมกข เปนอยา งยิ่ง กลาวอเุ บกขาเจโตวมิ ุติวา มอี ากิญจัญญายตนวโิ มกข เปนอยา งย่ิง\" ดังนี้ ถามวา ก็เพราะเหตุไฉน อปั ปมัญญาเหลานัน่ พระผูมพี ระภาคเจาจึงตรัสวา อยา งน้นั แกวา เพราะอปั ปมญั ญาเหลา นั่น เปนอุปนิสัยแหงวโิ มกขนน้ั ๆ แทจ ริง สตั วท้งั หลายยอมเปน ส่ิง ไมปฏิกลู (ไมพึงเกลียด) สําหรับพระโยคาวจรผูเปน เมตตาวิหารี ทนี ้ี เพราะคุนในสิง่ ไมปฏิกลู เม่อื พระโยคาวจรเมตตาวิหารนี นั้ นาํ จิต เขา ในวรรณกสณิ ทงั้ หลาย มีนลี กสณิ เปน ตน อันเปน สีบริสุทธิ์ไม ปฏิกูล จิต (ของเธอ) ยอมแลนไปในวรรณกสิณนน้ั โดยไมสูยากเลย เมตตาเปนอุปนิสัยแหง สุภวิโมกข โดยนยั ดังกลาวน้ี ไม (เปน อุปนิสยั แหงวิโมกข) ยง่ิ กวา (สภุ วิโมกข) นนั้ ไป เพราะเหตนุ นั้ เมตตา น้ัน จงึ ตรสั วาเปน สภุ ปรมา (มีสุภวโิ มกขเ ปน อยางยง่ิ ) สาํ หรับพระโยคาวจรผเู ปน กรณุ าวิหารี ผมู องเห็นความทุกขข อง
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 226 สตั ว ซ่ึงมรี ูป (รา งกาย) เปนเหตุ เชน ถกู หวดดว ยทอนไม๑ โทษ ในรปู (รา งกาย) กเ็ ปน อนั รชู ัด ทง้ั ทม่ี คี วามเปนไปแหง กรุณา ทนี ้ี เพราะความที่รูโทษในรปู ชัด เมื่อเธอเพิกกสณิ อยางใดอยา งหนึ่ง ใน บรรดากสิณมีปฐวีกสณิ เปนตน (เวน อากาสกสิณ) แลวนาํ จิตเขา ใน อากาศอนั เปนรูปนิสสรณะ (ท่ีจากไปแหง รูป คือวางจากรูป ?) จิต (ของเธอ) ยอ มแลนไปในอากาศนั้นโดยไมสูลําบากเลย กรณุ าเปน อุปนสิ ยั แหงอกาสานญั จายตนวโิ มกขโดยนยั ดังกลา วมานี้ ไม (เปน อปุ นิสยั แหง วิโมกข) ยิ่งกวา น้นั ไป เพราะเหตุนน้ั กรุณานน้ั จงึ ตรัส วา เปน อากาสานจฺ ารยตนปรมา (มอี ากาสานัญจายตนวโิ มกขเ ปน อยา งย่งิ ) สวนจิตของพระโยคาวจรมุทติ าวิหารี ผูพ ิจารณาเหน็ วิญญาณ (จติ ใจ ?) ของสัตวผ ูเกดิ ความบันเทิงใจ ดว ยเหตุแหงความบันเทงิ นน้ั ๆ อยู ยอ มเปน จติ คุนในการยึดถอื วิญญาณ๒ ทัง้ ทีม่ ีความเปน ไป แหง มทุ ติ า ทีนี้ เมื่อเธอกาวลวงอากาสานญั จารยตนะท่ไี ดบ รรลุโดย ลําดับแลว นําจิตเขาในวิญญาณ ซงึ่ ยังมนี ิมติ คอื อากาศเปน อารมณ จิต (ของเธอ) ยอ มแลน ไปในวิญญาณน้ันโดยไมยากเลย มทุ ติ า เปนอุปนิสัยแหง วญิ ญาณัญจายตนวิโมกขโ ดยนัยดังกลาวนี้ ไม (เปน ๑. ปาฐะเรยี งตดิ กนั วา ทณฑฺ าภิฆาตาทิรปู นิมติ ตฺ ทาํ ใหแ ปลยาก ถา แยกเปน ทณฑฺ าภิฆาตาทึ รูปนิมติ ตฺ กแ็ ปลไดความดดี งั ทีแ่ ปลไวน ้ี เพราะบททัง้ สองตางกเ็ ปนวิสสนะของบท สตฺตทกุ ฺข แมมหาฎีกา ลงทา ยกใ็ หค วามหมายวา \"ทณฺฑปฺปหาราทชิ ริต กรชรูปเหตกุ สตฺตาน อุปฺปชฺชนกทกุ ขฺ นฺติ อตโฺ ถ\" ๒. ปาฐะ เปน วิ ฺ าณคฺคหณปริวทิ ิต แตใ นมหาฎกี า เปน . . . ปริจิต เหน็ วาเขา ทกี วา เพราะจติ ร.ู . . ไมไดค วาม แตจติ คมุ . . . ไดค วาม
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 227 อปุ นิสัยแหงวโิ มกข) ยง่ิ ไปกวา นนั้ เพราะเหตนุ ้ัน มุทิตาน้นั จงึ ตรสั วา เปน วิ ฺาณฺจายตนปรมา (มีวญิ ญาณัญจายตนวโิ มกขเปนอยา งย่งิ ) สว นจิตของพระโยคาวจรอุเบกขาวิหารี เปนจิตยากทจี่ ะถือเอาส่ิง ทีไ่ มมี เพราะความที่เปน ผูเพกิ เฉยตอการถอื เอาประโยชนผ ูอน่ื มาความ สขุ ความทกุ ขเปนตน* เพราะไมมคี วามคาํ นึงวา 'ขอสตั วท ้ังหลาย จงเปนผถู ึงซ่ึงความสุขเถิด' หรอื วา 'ขอสัตวทั้งหลายจงพน จากทกุ ขเ ถดิ ' หรือวา 'ขอสัตวทง้ั หลายอยาไดพรากจากความสุขท่ีถึงพรอ มแลวเลย' ดงั น้กี ็ดี ทีน้ี เมอื่ เธอผมู ีจิตคุน ในความเพิกเฉยตอการถอื เอาประโยชน ผูอ ื่น และมจี ติ ยากทจ่ี ะถือเอาสิ่งทไ่ี มมีโดยปรมัตถ กาวลว งวิญญาณัญ- จายตนะทไ่ี ดบรรลโุ ดยลาํ ดับแลว นําจิตเขาไปในส่ิงทไี่ มมีโดยสภาวะ คอื ในความไมม ีแหง วิญญาณทเี่ ปนปรมตั ถ จิต (ของเธอ) ยอ มจะ แลนไปในความไมมแี หงวญิ ญาณนน้ั โดยไมสูย ากเลย อุเบกขาเปน อุปนิสัยแหงวโิ มกข) ยิ่งกวาน้ันไป เพราะเหตนุ ัน้ อุเบกขาน้นั จึง ตรัสวาเปน อากิ จฺ ฺ ายตนปรมา (มอี ากิญจญั ญายตนวโิ มกขเปน อยางย่ิง) [อปั ปมัญญาทาํ กัลยาณธรรมใหบริบรู ณ] บณั ฑิตไดท ราบอานุภาพของอัปปมญั ญาเหลา นัน้ โดยความเปน * ปาฐะ เปน สขุ ทุกฺขาทิปรมตฺถ . . . เขาใจวา คลาดเคล่ือน ท่ถี ูกเปน . . . ปรตฺถ เพราะ สุขทกุ ขฺ าทิ ทเ่ี ปน วิเสสนะ กบ็ ง อยวู า เปน ปรตั ถะ ไมใ ชเ รื่องปรมตั ถะ ความคิดคํานึง กส็ นับสนุนวาเปน เรอ่ื ง ปรตั ถะ ทั้งน้ัน แมบ ท ปรมตฺถคฺคาหโต บรรทดั ลางก็เชนเดียวกนั ในทนี่ แ้ี ปลตามท่ีเหน็ วา ถูก
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 228 สภุ ปรมาเปนอาทอิ ยา งนี้แลว ควรทราบตอ ไปอีกวา อปั ปมญั ญา ท้งั ปวงนัน่ เปน ภาวนาท่ีทาํ กัลยาณธรรมท้ังส้ิน มที างเปน ตน ใหบ ริบรู ณ แทจรงิ พระมหาสตั วท ้ังหลายผมู จี ติ เปนไปสมํ่าเสมอ โดยความเปนผมู ี อชั ฌาสัยในอนั ทําประโยชนเ ก้ือกลู ในสัตวท ั้งหลาย โดยความท่ีทนไมได ตอความทกุ ขข องสัตวท ั้งหลาย โดยความเปนผูปรารถนาความตง้ั อยู นานแหง สมบัตติ าง ๆ ของสัตว และโดยความท่ีไมต กเปน ฝกฝา ยใน สัตวท ง้ั ปวง ทรงบาํ เพ็ญบารมีทั้งหลายดว ยอาการอยางน้ี คอื (๑) ทรงใหทานอนั เปน เหตแุ หงความสุขแกสัตวทุกถวนหนา ไมทรงทาํ การ แบงแยกวา ควรใหแกผ ูนี้ ไมควรใหแกผ ูน้ี (๒) ทรงเวน การ ทํารา ยเขา (ไมแบงแยกวาควรทํารายผูน ี้ ไมควรทํารา ยผูน้ี) สมาทาน ศีล (อนั เปนเหตแุ หง ความสุขแกสัตวทกุ ถวนหนา ) (๓) ทรงเสพ เนกขมั มะ (อนั เปน เหตุแหงความสขุ แกสัตวทุกถวนหนาไมแ บง แยก) เพื่อทรงบาํ เพ็ญศีลใหบรบิ ูรณ (๔) ทรงชาํ ระปญ ญาใหผ องแผว เพื่อประโยชนแกค วามไมง มงาย ในสงิ่ ท่ีเปนประโยชน และมิใช ประโยชนข องสตั วท ้ังหลาย (ทกุ ถวนหนาไมแบงแยก) (๕) ทรงทาํ ความเพยี รเปนนจิ เพ่ือประโยชนสุขแกสัตวท งั้ หลาย (ทุกถวนหนา ไมแ บงแยก) (๖) อน่งึ แมท รงถึงความเปนวรี บรุ ษุ ดว ยอํานาจ ความเพียรอันยง่ิ ยวด กย็ ังทรงยอมอดโทษมีประการตา ง ๆ ใหแก สัตวท ้งั หลาย (ทุกถวนหนา ไมแ บงแยก) (๗) ไมท รงยงั ปฏญิ ญา ทท่ี าํ ไวว า 'ฉันจกั ใหสง่ิ นี้แกทาน จกั ทาํ สิง่ น้ีแกทาน' ดังนี้ ใหคลาดไป (๘) ทรงเปน ผูม ีความต้ังใจมนั่ ไมห ว่นั ไหว เพือ่ ประโยชนสขุ ของ
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 229 สัตวเ หลา น้ัน (ทกุ ถว นหนา ไมแบงแยก) (๙) ทรงเปนบุพการี ในสตั วเหลาน้ัน ดวยพระเมตตาอนั ไมหวนั่ ไหว (๑๐) แตไ มต รง หวัดการตอบแทน ดวยพระอเุ บกขา ดงั น้ี ตลอดจนทรงทาํ กลั ยาณธรรม ทกุ อยา ง อันตางโดยพลญาณ ๑๐ เวสารชั ญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ พทุ ธธรรม ๑๘ ใหบ ริบรู ณ อปั ปมญั ญาน้ันเปนภาวนาท่ีทํากัลยาณ- ธรรมท้ังปวงมีทานเปน ตนใหบ ริบรู ณอ ยา งน้แี ล บริเฉทท่ี ๙ ชอ่ื พรหมวหิ ารนเิ ทส ในอธกิ ารแหง สมาธภิ าวนา ในปกรณวิเศษชอื่ วิสุทธมิ รรค อนั ขา พเจา ทําเพ่ือประโยชนแ กค วามปราโมทยแ หง สาธุชน ดง่ั น้ี
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 230 อารปุ ปฺ นิเทส อากาสานญั จายตนะ กใ็ นอรปู กรรมฐาน ๔ ท่ที า นยกขึน้ แสดงไวในลาํ ดับแหงพรหม- วหิ าร พระโยคาวจรผใู ครจ ะเจริญอากาสานญั จายตนะ เปนอนั ดบั แรก (พิจารณา) เหน็ โทษในกรัชรูป (คือรา งกายสด ๆ) ทางโทษ (ภาย นอก) มกี ารท่ตี องถือไมพลอง (เพื่อประหารกนั ) เปน ตน น่นั ตาม บาลีวา \"ก็แล การถือไมพลอง ถอื ศสั ตรา และการทะเลาแกง แยง ทุมเพียงกนั ท้ังหลาย ปรากฏมอี ยูก็เพราะมีรูปเปน เหตุ แตวา โทษมกี าร ถอื ไมพ ลองเปนตนนนั้ ไมมีโดยประการทงั้ ปวงในอรูปภพ เธอพิจารณา เหน็ อยางนีแ้ ลว ยอ มเปน ผปู ฏิบตั ิเพอื่ ความหนายรูปทั้งหลาย เพอ่ื ความหายรักรปู ท้ังหลาย เพ่ือความดับไปแหงรปู ทง้ั หลายโดยแท\" ดงั น้ีก็ดี ทางความเจ็บปว ยตง้ั ๑,๐๐๐ อยาง มโี รคตาโรคหเู ปน ตนก็ดี แลว จึงยังจตตุ ถฌานใหเกดิ ขนึ้ ในกสิณ ๙ มีปฐวกี สณิ เปนตน อยา ง ในอยา งหนง่ึ เวนปริจฉนิ นากาสกสณิ เพอ่ื กาวลวงเสยี ซง่ึ กรชั รปู นนั้ อันท่ีจรงิ กรชั รูปก็เปน อารมณท ี่พระโยคาวจรน้นั กาวลวงเสียไดแลว ดว ยอาํ นาจรปู าวจรจตตุ ถฌาน แตเ พราะวาแมก สิณรูป (คอื นมิ ติ กสณิ ) กม็ สี ว นคลา ยกรชั รปู นน้ั อยนู ่นั เอง เพราะเหตนุ ัน้ เธอจึงใครจะกา ว ลวงกสณิ รปู นั้นเสียอกี ถามวา กา วลวงอยางไร ? ตอบวา เปรียบ เหมือนบุรษุ ผูกลวั งู ถูกงใู นปาไลเ อา ก็ (ว่ิง) หนโี ดยเร็ว (วง่ิ ไป)
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 231 เหน็ ใบตาลมีลายเปน รอย๑ (คดไปมา ?) หรอื เถาวลั ย หรอื เชอื ก หรือ รอยดินแตกระแหงกด็ ี (ผาด ๆ คลายงู) ในทีท่ ี่หนไี ปแลว กก็ ลวั กห็ วาด ไมอยากมองมนั เลยทเี ดียว ฉนั ใด อน่งึ เปรยี บเหมือนบุรุษ ผอู ยูในบา นเดียวกันกับคนที่เปนศตั รูกัน ผคู อยทําความพินาศให ถูก เขาขม เหงเอา ดว ยการกระทาํ ตา ง ๆ เชน ทาํ รา ยเอา (จะใหต าย) จับมดั (ทรมาน) หรือเผาเรอื นเอาเปนตน (ทนไมไหว) กไ็ ปอยู บา นอนื่ (ไป) เหน็ คนท่ีมรี ูปรา งเทา หรอื เสยี งเหมือน หรอื ทา ทาง คลา ยคลึงกับคนทเ่ี ปนศัตรใู นหมูบา นนั้นเขา กก็ ลวั กห็ วาด ไมอ ยาก มองเขาเลยทีเดยี วฉนั ใด (ตอ ไป) นีเ้ ปน การเทียบคาํ อุปมา ในขอ อปุ ไมยท่ีวา น้นั คือ เวลาท่ีภกิ ษพุ รง่ั พรอ มอยูด วยกรัชรปู โดยทํามันใหเ ปน อารมณ๒ เหมือน เวลาทบี่ รุ ุษ (๒ คน) นนั้ ถกู งู หรอื ศตั รเู ลนงานเอา เวลาที่ภิกษุ กาวลวงกรชั รูปเสยี ไดดวยอํานาจรปู าวจรจตุตถฌาน เหมือนการทีบ่ รุ ุษ (๒ คน) นนั้ (ว่งิ ) หนไี ปโดยเรว็ หรอื ไปอยบู านอ่ืนเสีย ความ ทีภ่ ิกษุกาํ หนดเห็นลงไปวา แมกสณิ รปู นกี้ ม็ ีสว นคลา ยกรชั รปู นัน้ อยูน่นั เอง ดงั น้ีแลว ใครจะกา วลวงกสิณรปู นั้นเสียอี เหมอื นความทีบ่ ุรษุ (๒ คน) นนั้ เหน็ สิ่งคลายงู เชน ใบตาลมีลายเปนรอย (คดไปมา) ๑. เลขาจติ ตฺ ตาลปณฺร มหาฎกี าวา ใบตาลมลี ายดว ยรอยท่ีคนเอาสตี า ง ๆ เชน สีดํา ขีดเขียน เขาไว นกึ ไมเ หน็ เหตเุ ลยวา ทําไมคนจึงไปทาํ จิตรกรรมใบตาลไวใ นปา จะเปนฝมือพวกโคบาล กระมงั ๒. มหาฎีกาวา ทํากรชั รูปใหเ ปน อารมณว า ตาของเรางาม รา งกายของเราแข็งแรง บรขิ าร ของเราดี
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 232 กด็ ี บรุ ษุ คลายศัตรูก็ดี ในท่ี ๆ (ว่ิง) หนไี ปก็ดี ในหมบู านอ่ืนกด็ ี แลวหวาดกลวั และไมอ ยากมองฉะน้ัน อนงึ่ แมอปุ มา (อ่นื อกี ) มีอปุ มาดว ยสนุ ขั ที่ถกู สุกร (ปา ) ขวิด และคนกลัวผีเปนตน กค็ วร (นํามา) กลาว ในความขอน้ีได* พระโยคาวจรนั้น หนา ยจากกสณิ รูปอนั เปนอารมณของจตุตถ- ฌานนนั้ อยา งน้แี ลว เปน ผูใครจะหลีกหนไี ป จงึ บําเพ็ญความเปน วสี ดวยอาการ ๕ ไดแลว ออกจากรปู าวจรจตตุ ถฌานอนั คลอ งแคลว แลว เห็นโทษในฌานนนั้ วา \"ฌานน้ีทํา (กสิณ) รปู ทเี ราหนา ยแลว ให เปน อารมณ\" บาง วา \"ฌานนี้มขี าศึกคือโสมนัสอยูใกล\" บา ง วา \"ฌานนห้ี ยาบวาสนั ตวิโมกข (วิโมกขอนั ละเอียด คืออรูปฌาน)\" บา ง กค็ วามมีองคหยาบ หามใี นอรปู านน้ันไม เพราะแมอรูปฌาน ท้งั หลาย ก็มอี งคสอง ดจุ รปู าวจรจตุตถฌานนัน้ ซ่งึ มอี งคส องนั่นเอง แล (คอื อเุ บกขา กับ เอกคั คตา) [เพิกกสณิ ] พระโยคาวจรนั้น ครัน้ เหน็ โทษในรปู าวจรจตุตถฌานนั้นอยา งนี้ แลว ตดั ความไยดี (ในฌานนัน้ ) เสีย ทาํ ในใจซึง่ อากาสานัญจายตนะ โดย (วา ) เปนธรรมละเอียด แผก สณิ ไปจนตลอดเขตจกั รวาล หรอื * มหาฎีกาชว ยเลาขยายความวา สุนขั ตวั หนงึ่ พอถกู สกุ รในปา ขวดิ เอาก็วง่ิ หนี ขณะทว่ี งิ่ หนี ไปเหน็ หมอขา วผาด ๆ สาํ คญั วาสุกรก็กลวั ว่ิงหนีตอ ไป คนกลัวผี ในเวลากลางคืนเดนิ ไปในท่ี ๆ ไมค ุน เหน็ ตน ตาลยอดดว นเขา สาํ คญั วา ผี ก็กลัวจนส้ินสติ
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 233 ตลอดทเี่ ทาท่ีตองการ ทําในใจซึง่ โอกาสท่ีกสณิ รปู นั้นแผไปถงึ วา 'อากาโส อากาโส๑ - อากาศ อากาศ' หรอื วา 'อนนโฺ ต อากาโส- อากาศเปนอนันตะ' ดงั นไ้ี ป ยอ มเพิกกสณิ ได๒ ก็แลเมื่อเพกิ หา ใชมวนเอาเหมือนมวนเสื่อลาํ แพนไม หาใชยกเอาเหมือนยกขนมจา กะทะไม เปน แตไมค ิดถึง ไมทําในในถึง ไมพ จิ ารณาถึง กสณิ นัน้ เสีย เทานั้น และเมือ่ ไมค ดิ ถงึ ไมทาํ ในใจถึง ไมพ จิ ารณาถงึ (กสิณ นั้น) ทําในใจแตโ อกาสที่กสิณรูปแผไ ปทาเดียววา 'อากาโส อากาโส -อากาศ อากาศ' ดงั น้ี ชอื่ วาเพิกกสิณ ขา งกสิณเลา เมอื่ ถกู เพกิ กไ็ มใ ชห ลดุ ขึ้น มิใชก ระจัดกระจายไป เปนแตอาศัยความไมทํา ในใจถึงกสิณรูปน้ี และทาํ ในใจแตว า 'อากาโส อากาโส- อากาศ อากาศ' กไ็ ดช ่อื วา ถกู เพกิ แลวเทานนั้ กสิณคุ ฆาฏมิ ากาสนมิ ิต (นิมิตคืออากาศตรงทกี่ สิณรปู เพิกไป) กป็ รากฏข้นึ คาํ วา กสิณคู ฺฆาฏมิ ากาล (อากาศตรงท่ีกสิณรูปเพิกไป) กด็ ี คําวา กสณิ ผฏุ โกาส (โอกาสเทาที่กสิณแผไป) กด็ ี คาํ วา กสณิ - ววิ ติ โฺ ตกาส (โอกาสท่วี างจากกสิณรูป) ก็ดี ท้ังหมดน้กี ็อันเดียวกนั นัน่ เอง ๑. ปาฐะเรยี งอากาโสไวบทเดียว ทถี่ ูกควรเปน ๒ บท ถดั ไปอีก ๔ บรรทดั ก็มเี ห็นเปน ตวั อยา งอยู ๒. กสณิ ทถ่ี กู เปน อวตุ ฺตกรรมในอคุ ฆฺ าเฏตขิ างหนา แตป าฐะเรียงไวชดิ อุคฆิ าเฏนโฺ ต ขา หลัง ชวนใหเ ขาใจผดิ ๓. ปาฐะในฉบบั วิสุทธิมรรคเปน กสิณุคฆฺ าฏิมากาสมตฺต เขาใจวา คลาดเคลอ่ื น เพราะบทน้ี เปน กตั ตาใน ปฺายติ และถดั ไป ๒ บรรทดั กม็ ี กสณิ ุคฆฺ าฏมิ ากาสนมิ ิตตฺ เปนพยานยนั อยู ในที่นแ้ี กและแปลตามที่เหน็ วาถูก
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 234 [อปุ จารและอัปปนา] พระโยคาวจรน้ัน นึกหนวงเอากสิณุคฆาฏมิ ากาสนมิ ิตน้ันแลว ๆ เลา ๆ วา 'อากาโส อากาโส - อากาศ อากาศ' ทําไปจนเปน นิมติ ทนี่ กึ เอามาได (ตักกาหตะ) ตรกึ เอามาได (วิตกั กาหตะ) เมอื่ เธอ นกึ หนว ง (นิมิตน้ัน) แลว ๆ เลา ๆ ทําไปจนเปน นมิ ติ ท่นี กึ เอามาได ตรึกเอามาไดอยางน้ันอยู นิวรณท ั้งหลายกร็ าํ งับ๑ สตติ งั้ มน่ั จิตเปน สมาธิชั้นอปุ จาร เธอสองเสพเจริญทาํ ใหมากซึ่งนิมติ นั้นใหบ อยเขา ๆ เม่อื เธอสองเสพ เจรญิ ทาํ ใหม ากบอ ยเขา ๆ อยา งนัน้ อยู๒ อากาสา- นัญจายตนจิตยอมแนบแนง ในอากาศ ดจุ ดงั รูปาวจรจิตแนบแนน ใน กสณิ มีปฐวีกสิณเปนตน ฉะนน้ั กแ็ มใ นอากาสานัญจายตนฌานน้ี ชวนะ ๓ หรือ ๔ ดวงในสวนเบอ้ื งตน ยงั เปนกามาวจรสมั ปยตุ ดว ย อเุ บกขาเวทนาอยู ชวนะดวงท่ี ๔ หรือที่ ๕ จึงเปนอรปู าวจร คํา พรรณนาทเ่ี หลอื มนี ัยดงั กลาวแลว ในปฐวกี สิณน่ันแล ๑. มหาฎีกาตงั้ ขอสงั เกตวา \"ไฉนทานจงึ มากลาวถงึ นิวรณ ในทน่ี ้ีอีก นิวรณทง้ั หลายราํ งับไปแลง แตใ นอปุ จารขณะแหงรปู าวจรปฐมฌาน ตง้ั แตน ั้นมนั กไ็ มเ กิดอีก มใิ ชห รือ ถามนั เกดิ ก็เสือ่ ม จากฌานละซิ สวนท่ีอาจารยบ างพวกกลา ววา \"นวิ รณละเอียดท่จี ะพึงละดวยอรปู ฌานมีอยู เหมอื นกนั ทท่ี า นกลาวถึงการละนวิ รณใ นทีน่ อี้ กี น้ัน กห็ มายถึงนวิ รณล ะเอยี ดนน้ั เอง\" นก้ี เ็ ปน แตม ตขิ องอาจารยเหลานน้ั เพราะในมหคั คตกุศลท้ังหลาย หามีการละเปน ชัน้ ๆ เหมอื นใน โลกุตตรกุศลไม. . . แตท ีจ่ รงิ คําวา นิวรณราํ งับ ในที่นที้ า นกลาวเปน โวหารพรรณนาสรรเสรญิ ไปอยา งนน้ั เอง กิเลสทล่ี ะแลว ในเบ้ืองต่าํ มากลาวการละอีกในเบ้อื งสงู กม็ กี ลาวในท่ีอ่ืนเหมอื นกนั . . . ทานแกน มุ นวลดีแท ถา เปน เรากว็ า \"ทานเผลอไปกระมงั \" ๒. ตรงนป้ี าฐะในฉบบั วสิ ุทธมิ รรคเปน ตสฺสว ปนุ ปฺปนุ อาวชฺชโต มนสกิ โรโต เหน็ วา คลาดเคลื่อน เพราะประโยคหนา เปน อาเสวติ ภาเวติ พหลุ ีกโรติ ประโยคหลงั นีก้ ต็ อ ง เปน อาเสวโต ภายโต พหลุ กี โรโต ไปตามกนั จึงจะถกู ในที่นแี้ กและแปลตามท่ีเหน็ วา ถูก
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 235 [ความแปลกในอากาสานัญจายตนะ] สว นความ (ตอไป) นี้ เปน ความแปลก (ในอากาสานัญจาย- ตนฌาน คือ) เมอื่ อรูปาวจรจติ เกิดขึ้นอยา งน้นั แลว ภกิ ษุน้ัน (เคย) เพงดวงกสณิ ดวยฌานจักษมุ ากอ นอยูแลว ครนั้ (กสณิ ) นมิ ิตนนั้ มาถูก การมนสกิ ารดวยบรกิ รรมวา \"อากาโส อากาโส\" นพ้ี รากออกไปโดย ฉับพลนั เสียแลว ก็คงเพงแตอ ากาศอยู เปรียบเหมอื นบรุ ุษผทู ีผ่ ูก (แตง) ชอ งตาง ๆ มชี อ งประตูเล็กของยาน (วอ) หรือชองปากหมอ เปนตน * อยา งใดอยางหน่งึ ดว ยทอ นผา สเี ขยี ว หรือสีอ่ืนมสี เี หลือง แดง ขาว เปน ตน อยา งใดอยา งหนงึ่ แลวเพงดูอยู ครนั้ ทอนผา (นนั้ ) ถูกกาํ ลงั ลมหรอื กําลังอะไร ๆ อนื่ พัดเอาไปเสยี แลว ก็คงยืนเพงมองแต อากาศอยฉู ะนั้น ก็แล ดว ยภาวนานุกรมเพยี งเทาน้ี ภกิ ษุนน้ั ไดช ื่อวา \"เพราะ กา วลวงรปู สัญญาโดยประการทัง้ ปวง เพราะตกไปแหงปฏฆิ สัญญาโดย ประการทง้ั ปวง เพราะไมทาํ ในใจถึงนานตั ตสัญญาโดยประการทงั้ ปวง ทาํ ในใจแตวา 'อนนโฺ ต อากาโส - อากาศเปน อนันตะ' เขาถงึ อากาสานญั จายตนะอย\"ู * มหาฎกี าแยกเปน ๓ คอื ยาน ปโตฬิ กมุ ภฺ ิ และบอกใหป ระกอบ มุข ทกุ บท เปน ยานมขุ ปโตพมิ ุข กมุ ภฺ ิมขุ และปโตฬิ ทานแกว า ขุททฺ กทฺวาร แตใ นทน่ี ีแ้ ปลตามรูปปาฐะในฉบบั วิสทุ ธมิ รรค ทีเ่ รยี งไวใ หเ หน็ วาเปน ๒ ศพั ทเทา นนั้ คอื ยานปปฺ โตฬิ ศพั ท ๑ กมุ ฺภมิ ุข ศพั ท ๑ ซ่งึ กแ็ ปลไดความดีอยแู ลว
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 236 [แกอรรถปาฐะในอากาสานญั จายตนะ] [แก สพพฺ โส] ในปาฐะเหลานน้ั บทวา 'สพพฺ โส - โดยประการทัง้ ปวง' คือ สพพฺ ากาเรน - โดยอาการท้งั ปวง๑ ความก็คือวา ทง้ั หมด หรือวาไม มสี ว นเหลือ [แก รปู สฺ าน] บทวา รปู สัญญา ไดแ กรปู าวจรฌานทกี่ ลาวโดยยกสญั ญาเปน สาํ คัญน่ันเอง และไดแกอารมณข องรูปาวจรฌานน้นั ดว ย จริงอยู แมร ปู าวจรฌานเรยี กวารปู (เฉย ๆ) ก็ได (ดงั ) ในบาลีวา รปู รปู านิ ปสสฺ ติ๒ (ผูไดรูปฌาน ยอ มเหน็ กสิณรปู ดวยฌานจักษ)ุ เปน ตน แมอารมณข องรปู าวจรนน้ั กเ็ รยี กวารปู (เฉย ๆ) ได (ดง) ในบาลวี า พหทิ ฺธา รูปานิ ปสฺสติ สวุ ณฺณทุพพฺ ณณฺ าน๓ิ (ผไู ด รปู ฌาน ยอมเหน็ กสณิ รูปทง้ั หลายในภายนอก อนั งามและทราม) เปน ตน เพราะเหตนุ น้ั ในท่ีนี้ คาํ วารูปสัญญา ทม่ี ีความไขวา รูเป สฺ า รปู สฺ า-สญั ญาในรปู (ฌาน) ชื่อวา รูปสญั ญา' ดัง น้นี นั้ พึงทราบวาเปน ชื่อแหง รปู าวจรฌาน ทกี่ ลา วโดยยกสัญญาเปน สาํ คญั และคํานนั้ ท่ีมีความไขวา 'รูป สฺ า อสสฺ าติ รูปสฺ ๑. เคยบอกแลววา ประการ กับ อาการ ทา นวาอนั เดยี วกนั คือ ประการ ในที่เชน น้ี มีความ หมายวา ชนิด อยา ง สวน อาการ มคี วามหมายวา สวน เชน เดยี วกบั ทวตั ตสึ าการ - ๓๒ อาการ ก็คอื ๓๒ สว น เพราะฉะนน้ั จะวา ทกุ ชนิด ทกุ อยา ง หรือทกุ สว น ก็ไดค วามเปนอนั เดยี วกนั ๒. ที. ปาฏิ. ๑๑/๓๒๘ ๓. ม. ม. ๑๓/๒๘
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 237 รูปเปน สัญญาแหง อารมณน ้ัน เหตนุ น้ั อารมณนน้ั จงึ ชอื่ รูปสัญญะ (มีรปู เปนสัญญา) อธบิ ายวา ฌานน้นั มีรปู เปน ชอื่ *' ดงั นี้ พงึ ทราบวา เปน คาํ เรียกอารมณของรูปาวจรณานนน้ั อนั ตา งโดยกสิณ (๙) มี ปฐวกี สณิ เปนอาทิ [แกส มติกฺกมา] บทวา เพราะกาวลว ง คอื เพราะหายรกั และเพราะดบั ถามวา คาํ อธบิ ายมีอยา งไร ? แกวา \"เพราะหายรกั และเพราะดับ คอื เหตุท่หี ายรกั และเหตทุ ี่ดับไป แหง รปู สัญญาทั้งหลาย ทไี่ ดแกฌ าน ๑๕ โดยจดั เปนกศุ ล วบิ าก และกริ ิยา (อยา งละ ๕ป เหลา นน้ั และรปู - สัญญาท้งั หลายทไี่ ดแ กอารมณ ๙ ตามจาํ นวนกสิณ มปี ฐวกี สิณเปนตน เหลานั้น โดยทุกสวน หรือไมมีสว นเหลอื จงึ เขา ถงึ อากาสานัญจายตนะ อยไู ด เพราะวาผูมรี ปู สัญญายังไมก าวลวงไปโดยประการท้งั ปวง ไม อาจเขา ถึงอากาสานัญจายตนะนัน้ อยูได\" เพราะเหตุท่ีการกา วลวง สญั ญายอมไมม ีแกผ ูย ังไมหายรักในอารมณ แตคร้นั สญั ญาท้งั หลายกาว ลว งไปแลว อารมณก เ็ ปนอันกา วลวงอารมณไว ในอากาสานัญจา- ยตนะนัน้ ตรัสแตการกา วลวงสัญญาไวในวิภังค อยา งน้วี า \"บรรดา สัญญาเหลา น้ัน รปู สญั ญาทัง้ หลายเปน อยางไร ? สญั ญา คอื ความจาํ ได ความหมายรอู ันใดแหงภิกษุผถู งึ พรอ ม หรอื เขาถึงซง่ึ รูปาวจรสมาบัติ * เทยี บกบั รุเป สฺ า รูปสฺาติ เอว. . . ทอ นหนา แลว ทา นหลงั คือ รูป สฺา. . . วตุ ตุ โหติ เอว. . . นําจะประกอบ อติ ิ ที่ โหติ ในทนี่ ้แี ปลตามทีเ่ ขา ใจนี้
ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 238 หรือมีรปู าวจรสมาบตั ิเปนเคร่ืองอยูเปนสุขในทฏิ ฐธรรม๑ก็ดี สัญญา เหลาน้ีเรยี กวา รปู สัญญา ภิกษนุ ้ันเปน ผกู า วลว ง คือลวงเลยไปอยางดี แลว ซ่งึ รูปสัญญาเหลา น้ี เพราะเหตุน้ัน จงึ วา \"เพราะกาวลวงรปู สัญญาโดยประการทง้ั ปวง๒\" ดงั น้ี แตเพราะ (อรูปาวจร) สมาบัตเิ หลา นน้ั พระโยคาวจรจะพงึ บรรลุไดด วยการกาวลว งอารมณ (ตามลําดับ) ไมเ หมอื นรปู าวจรฌาน มีปฐมฌานเปนตน ทพ่ี ึงบรรลุไดในอารมณอ นั เดียวเทาน้ัน เพราะ ฉะนัน้ การพรรณนาความนี้ พึงทราบวา ขาพเจาทําโดย (หมายถึง) การลวงอารมณดวย [แก ปฏฆิ สฺาน อตถฺ งคฺ มา] ขอ วา ปฏฆิ สฺ าน อตฺถงฺคมา (เพราะตกไปแหงปฏิฆ- สัญญา) มีพรรณนาความวา สัญญาอันเกิดขน้ึ พรอมเพราะการกระทบ กนั แหงวัตถุ มีจักษุเปน อาทิ กับอารมณมรี ปู เปนตน ชอื่ ปฏฆิ สญั ญษ คาํ นเ้ี ปน ชอ่ื แหง สญั ญา ๕ มีรปู สญั ญาเปน ตน ดังบาลีวา \"ในสญั ญา เหลานนั้ ปฏิฆสัญญาเปนไฉน ? คอื รูปสญั ญา สทั ทสญั ญา คนั ธ- สัญญา รสสญั ญา โผฏฐพั พสญั ญา สญั ญาเหลานเ้ี รียกวา ปฏฆิ - ๑. มหาฎีกาวา ศัพทท้ัง ๓ คอื สมาปนฺน อปุ ปนฺน และทิฏธมฺมสขุ วหิ าร ทานใชห มายตางกนั คือ สมาปนฺน (ถงึ พรอ ม คือเขา ) หมายทางกุศลสญั ญา อุปปนนฺ (เขา ถงึ คือเกดิ หมายทาง วปิ ากสญั ญา ทฏิ ธมฺมสขุ วหิ าร หมายทางกิรยิ สัญญา เพราะฌานเปน เครือ่ งพกั ผอนอยูส าํ ราญ ในอัตภาพปจ จบุ ันแหง พระอรหันตท งั้ หลาย หมายความวา พระอรหนั ตเขาฌานมิใชเพ่ือขมนวิ รณ หรอื เพอื่ ไปเกดิ เปนพรหมในภพหนา ทานเขา ฌานเพอื่ พักผอ นอยูสบายในอตั ภาพปจ จุบันนเ้ี ทา นนั้ ดจุ สามัญชนพกั ผอนหลับนอน เพอ่ื อยูเปน ผาสกุ ในแตล ะวนั ฉะนน้ั (?) ๒. อภิ. วิ. ๓๕/๓๕๓
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 239 สัญญา*\" ดงั นี้ เพราะตกไป คือ เพราะละไป เพราะไมเ กิดข้นึ อธบิ ายวา เพราะ ทาํ มใิ หเปนไปแหง ปฏิฆสัญญาเหลานัน้ ท้งั ๑๐ คือ ฝายกุศลวบิ าก ๕ ฝายอกุศลวิบาก ๕ โดยประการทั้งปวง สญั ญาเหลาน้นั ยอ มไมมแี มแ กพ ระโยคาวจรผบู รรลรุ ปู าวจรฌาน มปี ฐมฌานเปน ตน เพราะในสมัย (ทบี่ รรลฌุ าน) นั้น จติ ยอ มไม เปนไปทางทวารท้ัง ๕ กจ็ รงิ อยู ถึงเชน นนั้ การกลา วถงึ สญั ญาเหลานน้ั ในอากาสานัญจายตนกถาน้ี (อีก) บณั ฑติ พงึ ทราบวา เปนการ กลา วโดย (หมายจะ) สรรเสริญฌานนี้ เพอ่ื ยังอุตสาหะใหเกดิ (แกผ ู ปฏิบัต)ิ ในฌานน้ี ดจุ การกลาวถงึ สุขและทกุ ขอ ันละไดแ ลวในฌานอนื่ ในจตตุ ถฌาน (อีก) และดุจการกลาวถงึ สงั โยชนเ บอื้ งต่ํา ๓ มสี กั กาย- ทฏิ ฐิเปน ตน อันละไดใ นมรรคอ่ืนแลว ในตตยิ มรรค (อกี ) ฉะนั้น อีกนยั หนงึ่ สญั ญาเหลานั้น ไมมีแมแ กผ บู รรลรุ ปู าวจรฌานแลว กจ็ รงิ ถึงกระนั้น กม็ ิใชไมม เี พราะละได เพราะรูปาวจรภาวนา (การเจรญิ รูปาวจรฌาน) มไิ ดเ ปนไปเพอื่ สาํ รอกรูป อันความเปน ไปแหงสญั ญา เหลานัน้ ยังเน่อื งดว ยรูปอยู สว น (อรูปาวจร) ภาวนานเี้ ปน ไปเพือ่ สาํ รอกรปู (โดยตรง) เพราะเหตนุ นั้ จงึ ควรกลา วไวว า ปฏฆิ สัญญา เหลานน้ั ละไดแ ลวในอารูปท่ี ๑ น้ี และมใิ ชแ ตจะกลาวเทาน้นั แมจะ จํากดั ความลงไปอยา งน้นั เสยี ทเี ดียวก็ควร ก็เพราะปฏิฆสัญญาเหลา นน้ั ยังละไมไดในฌานกอ นแตน ้นี นั่ แล พระผูม พี ระภาคเจาจึงตรสั วา * อภิ. ว.ิ ๓๕/๓๕๓
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 240 เสียงเปนหนาม (คือเปน ขาศกึ ) สาํ หรบั ผูเ ขาปฐมฌาน* สวนใน อรปู ฌานน้ี ตรัสความท่ีอรปู สมาบตั ิทง้ั หลายเปนอาเนญชา (ไมหวั่น ไหว) และเปนสันตวิโมกข (วโิ มกขอ ยา งละเอียด) ดวย กเ็ พราะ ความทป่ี ฏิฆสัญญาเหลานัน้ ละไดแลว โดยแท จรงิ อยู ทา นอาฬาร- ดาบสกาลามโคตรเขา อรูปสมาบัติอยู หาเหน็ เกวียนประมาณ ๕๐๐ เลม ท่ีผานไปใกล ๆ ไม ทา นไมไดย ินเสียงมันดว ยซํา้ ไป แล [แก นานตฺตสฺาน อมนสกิ ารา] ขอ วา นานตฺตสฺาน อมนสิการา (เพราะไมทําในใจถงึ นานตั ตสัญญา) มีอรรถาธบิ ายวา (คําวา นานตฺตสฺาน) คือซงึ่ สัญญาท้งั หลายอันเปน ไปในโคจร (คอื อารมณ) อันเปนตา งกนั ๆกนั หรอื ซึ่งสญั ญาทัง้ หลายอันมสี ภาวะตาง ๆ กัน กเ็ พราะสญั ญาเหลา นั้น พระผมู พี ระภาคเจาตรสั จาํ แนกไวใ นวิภงั คอ ยางนี้วา \"ในสัญญาเหลา น้นั นานตั ตสญั ญา เปน ไฉน ? สญั ญา คอื ความจําไดหมายรูแหงพระ โยคาวจร ผปู ระกอบไปดว ยมโนธาตุ หรือพรอมไปดวยมโนวญิ ญาณ- ธาตุ แตไ มไดเ ขาสมาบัติ สัญญาเหลาน้เี รยี กวา นานัตตสญั ญา\" ดังน้ี สญั ญาอนั ประสงคเอาในทน่ี ้ี จงึ เปนสัญญาทีส่ ังเคราะหอยูดวย มโนธาตุ หรอื มโนวิญญาณธาตุ แหง พระโยคาวจรผูไมไดเ ขาสมาบตั ิ ยอ มเปน ไปในโคจร (คืออารมณ) อันเปน ตา ง ๆ คอื มสี ภาวะตา ง ๆ อนั แตกตา งกนั เปนหลายอยา ง มีรูปเสยี งเปน ตน อน่ึง เพราะแม สัญญาท้ัง ๔๔ อยางนี้ คอื สญั ญาเปนกามาวจรกุศล ๘ สัญญาเปน * องฺ. ทสก. ๒๔/๑๔๕
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 241 อกุศล ๑๒ สญั ญาเปนกามาวจรกุศลวบิ าก ๑๑ สญั ญาเปนอกุศลวบิ าก ๒ สัญญาเปน กามาวจรกิริยา ๑๑ เหลา นี้เปนตา ง ๆ กัน คือ มีสภาวะ ตางกนั ไมเ หมือนกนั และกนั เพราะเหตนุ น้ั จงึ เรยี กวา นานัตต- สญั ญา (ความในขอ นานตตฺ สฺาน อมนสกิ ารา นวี้ า) เพราะ ไมท ําในใจ คอื ไมน ึกหนว งเหน่ยี วเหลยี วแลถงึ นานตั ตสญั ญาเหลานน้ั โดยประการทง้ั ปวง มีคาํ อธิบายวา เพราะเหตทุ ี่พระโยคาวจรไมน ึกถึง ไมใ สใจ ไมพ ิจารณาถึง ซง่ึ นานตั ตสัญญาเหลา น้ันเสีย [ความหมายตา งแหง ปาฐะ] อนึ่ง บณั ฑิตพงึ ทราบวา เพราะเหตทุ ีในสญั ญา ๓ น้นั รูป- สญั ญาและปฏฆิ สญั ญาขา งตน ยอมไมม ีแมในภพทเ่ี กิดดวยฌานนีท้ เี ดยี ว จะกลาวไยถึงกาลที่เขาถึงฌานนอ้ี ยใู นภพนัน้ เลา เพราะฉะน้ัน พระ ผมู พี ระภาคเจา จึงตรัสความไมม ีทเี ดยี วแหง สัญญาเหลาน้นั ท้ังสองฝา ย ดวยคาํ วา 'เพราะกา วลวง (และวา) เพราะตกไป' สวนใน นานัตตสัญญา เพราะเหตุที่สญั ญา ๒๗ คอื สญั ญาเปนกามาวจรกศุ ล ๘ สญั ญาเปนกริ ยิ า ๙ สัญญาเปนอกุศล ๑๐ เหลาน้ี ยังมีอยใู นภพท่เี กดิ ดวยฌานนี้ เพราะฉะนั้น พงึ ทราบวา ตรัส (ใชค าํ ) วา 'เพราะไม ทาํ ในใจถึงนานัตตสญั ญาเหลาน้ัน' แทจริง แมในภพนน้ั พระโยคา- วจรเม่อื จะเขาถงึ ฌานน้อี ยู กเ็ ขา ถึงอยไู ดเพราะไมทาํ ในใจถึงนานตั ต- สัญญาเหลาน้นั น่นั เอง ดวยเมือ่ ยงั ทําในใจถงึ นานตั ตสญั ญาเหลานนั้ อยู กช็ ่ือวา เปนผูยังไมเ ขาฌาน แล
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 242 [ความหมายโดยสังเขป] แต (วา ) โดยสังเขป พงึ ทราบวา ในปาฐะเหลานัน้ ดว ย ปาฐะวา 'รปู สฺ าน สมติกฺกมา - เพราะกา วลวงรปู สญั ญาทง้ั หลาย' นี้ เปนอนั ตรสั การละรูปาวจรธรรมทง้ั หมด ดว ยปาฐะวา 'ปฏิฆ- สฺาน อตถฺ งฺคมา นานตฺตสฺาน อมนสกิ ารา - เพราะตกไปแหง ปฏิฆสญั ญาทั้งหลาย เพราะไมทาํ ในใจถึงนานัตตสญั ญาทัง้ หลาย' นี้ ตรสั การละและการไมทําในใจซึ่งจิตและเจตสิกอนั เปนกามาวจรทงั้ สนิ้ [แก อนนโฺ ต อากาโส] ในปาฐะวา \"อนนฺโต อากาโส - อากาศเปนอนันตะ\" นี้ มี วนิ ิจฉยั วา ท่สี ดุ ขางเกดิ กด็ ี ทสี่ ุดขางเสอื่ มก็ดี ของอากาศนนั้ ไม ปราก เหตุน้ัน อากาศน้ันจึงชอ่ื อนนั ตะ* (มีทสี่ ดุ ไมป รากฏ) กสณิ ุคฆาฏมิ ากาส (อากาศตรงท่กี สิณรูปเพิกไป) เรยี กวา อากาศ อน่ึง ความเปน อนนั ตะในอากาศน้นั พึงทราบ (วา เปน) ดว ยอาํ นาจ แหงมนสกิ ารก็ได เพราะเหตุน้ันแหละ ในวภิ งั คจ งึ วา \"ภกิ ษุต้ัง ดํารงจิตไวม ่ันในอากาศนั้น แผไปหาทสี่ ุดมิได เหตนุ ้ัน จงึ เรียกวา 'อนนโฺ ต อากาโส - อากาศเปนอนันตะ\" ดังนี้ [แก อากาสานจฺ ายตน. . .] สว นในปาฐะวา \"อากาสาจฺ ายตน อุปสมฺปชชฺ วหิ รต-ิ * มหาฎีกาวา สภาวธรรม กาํ หนดไดดว ยความเกดิ ขนึ้ และความเสื่อมไป เพราะไมม ีแลวมามขี ึ้น กไ็ ด มีแลว เสอื่ มหายไปกไ็ ด สว นอากาศ ทา นกลาววาเปน อนันตะ เหตไุ มม ีทั้งสองอยา ง เพราะไมใ ชสภาวธรรม
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 243 เขาถึงอากาสานญั จายตนะอยู\" นั้น มอี รรถวิเคราะหว า สิ่งที่ชอ่ื อนนั ตะ เพราะไมมีทส่ี ุด อากาศเปนอนนั ตะ จึงช่อื อากาสานันตะ อากาสานนั ตะนน่ั เอง เปนอากาสานัญจะ อากาสานญั จะนน้ั ชอ่ื วาเปน อายตนะ โดยอรรถวา เปน ทอ่ี าศยั อยูแหง ฌานนี้ พรอมท้ังสปั ยตุ - ธรรม ดังคาํ วา เทวายตนะ (คือ เทวสถาน) ของเทวดาทง้ั หลาย เหตนุ ้ัน ฌานน้นั จงึ ชอ่ื อากาสานญั จายตนะ (ฌานมีอากาศหาที่สุดมิได เปน ท่ีอาศัยอย*ู ) คาํ วา \"เขาถงึ ----อยู\" นัน้ ความวา บรรลุ อากาสานัญจายตนะนัน้ แลว คอื ทําอากาสานัญจายนะนั้นใหสาํ เร็จแลว แลอยูไปโดยอิรยิ าบถวิหาร (การผลดั เปลย่ี นอริ ิยาบถ) อันสมควรแก ฌานนน้ั นีเ้ ปน คําแกอยางพสิ ดาร ในอากาสานญั จายตนกรรมฐาน วิญญาณัญจายตนะ สวนพระโยคาวจรผูใครจ ะเจรญิ วญิ ญานญั จายตนะ (ตอไป) พึง เปนผูประพฤตวิ สภี าวะ (ทาํ ใหชํานชิ ํานาญ) ในอากาสานัญจายน- สมาบตั ิ โดยอาการ ๕ แลว (พิจารณาให) เห็นโทษในอากาสา- นญั จายตนะ วา \"สมาบตั นิ ี้ มีขา ศกึ คอื รปู าวจรฌานอยใู กล และยงั * ในทนี่ ี้ อายตนะ มคี วามหมายวา ท่ีอาศยั อยู มหาฎกี าวา แมจะหมายความวา เปน เหตุ เปนบอ เกดิ ทเ่ี กิด. . . อีกกไ็ ด
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 244 ไมละเอียดดังวิญญาณญั จายตนะ\" ดังนี้แลว ตัดความพอใจในอากาสา- นญั จายตนะนัน้ เสีย ใสใจถงึ วญิ ญาณัญจายตนะโดยวา เปน ธรรมละเอียด แลว นึกหนว งเอาความรูสกึ ท่เี ปน ไปแผอ ยทู ัว่ อากาศ (นิมิต) น้ัน มนสิการไปปจ จเวกขณไปเนือง ๆ วา 'วิฺาณ วิ ฺ าณ - วญิ ญาณ วญิ ญาณ' ทาํ จนเปนตักกาหตะ (นึกเอามาได) เปนวติ กั กาหตะ (ตรึกเอามาได) แตอยางมนสกิ าร (แตเ พียง) วา 'อนนตฺ อนนฺต - ไมม ที ี่สดุ ไมม ที ่สี ุด,* เม่ือเธอยงั จติ ใหทองไปในนมิ ิตนนั้ เนือง ๆ อยา งน้ัน นีวรณท ง้ั หลายจะรํางับลง สติจะต้งั มั่น จติ จะเปน สมาธิช้ันอุปจาร เธอสองเสพเจริญทําใหม าก ซึ่งนิมิตน้ันเนอื ง ๆ ไป เมอ่ื เธอทาํ ไปอยา งนั้น วญิ ญาณญั จายตนจิตยอมจะแนบแนน (เปน อปั ปนา) อยูในวญิ ญาณทแี่ ผอยูทวั่ อากาศ (นิมิต) ดุจอากาสา- นัญจายตนะ (จติ ) แนบแนน อยใุ นอากาศฉะนั้น สวนนัยแหง อปั ปนาในวิญญาณญั จายตนะน้ี บัณฑิตพงึ ทราบ ตามนยั ท่กี ลาวแลว (ในอากาสานัญจายตนะ) เถดิ กแ็ ละ ดว ยภาวนานุกรมเพียงเทานี้ พระโยคาวจรนน่ั เรยี กวา \"กา วลว งอากาสานญั จายตนะโดยประการทัง้ ปวงแลว ทาํ ในใจวา 'อนนฺต วิฺ าณ - วญิ ญาณเปนอนันตะ' เขาถึงวิญญาณัญจายตนะอยู\" * ปาฐะวา อนนฺต อนนตฺ นตฺ ิ ปน มนสิกาตพฺพ นน้ั คลาดเคลอ่ื น ทถ่ี ูกเปน. . .น มนสกิ าตพฺพ ถึงกระน้ัน ความตอนน้ีกร็ สู กึ วามีอะไรขาดไป มหาฎกี าทา นจึงชองเตมิ ใหไดค วามชดั วา อยา มนสกิ ารเพยี งวา อนนตฺ อนนฺต แตพ ึงมนสิการวา อนนฺต วิ ฺ าณ อนนตฺ วิ ฺาณ หรือ วิ ฺาณ วิฺ าณ เทา นั้นกไ็ ด
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 245 [แกอ รรถปาฐะในวิญญาณัญจายตนะ] ในปาฐะเหลานั้น คําวา 'โดยประการทั้งปวง' นี้ มีนยั อนั กลาว มาแลว สวนในคาํ 'กา วลว งอากาสานัญจายตนะ' นนั้ มอี ธบิ ายวา ตามนัยท่ีกลา วมากอ น แมฌานก็ชอ่ื วา อากาสานัญจายตนะ แมอารมณก ็ ช่ือ อากาสานัญจายตนะ จริงอยู แมอ ารมณก ช็ ่อื อากาสานญั จายตนะ เพราะอรรถวิเคราะหวา \"อากาสานัญจะ (อากาศหาทส่ี ุดมิได) ดว ย อากาสานญั จะน้นั ชอื่ วาเปนอายตนะ โดยอรรถวา เปนท่ีอาศยั อยู ดุจ (คําวา) เทวายตนะ (คืเทวสถาน) ของเทวดาท้ังหลาย เพราะอากาสานัญจะน้นั เปน อารมณแหง อารปู ฌานที่ ๑ ดว ย\" ดงั นี้ ตามนยั แรก อีกนยั หนง่ึ อารมณช ื่อวาอากาสานญั จายตนะ เพราะ อรรถวเิ คราะหวา \"อากาสานัญจะดว ย อากาสานัญจะนัน้ ชอ่ื วาเปน อายตนะ โดยอรรถวา เปนทกี่ ําเนดิ ดังคําวา 'แควน กมั โพชาเปน อายตนะ (คือถ่ินกาํ เนิด) ของมา ทัง้ หลาย' เพราะอากาสานัญจะนั้น เปน เหตุกําเนิด แหง ฌานนัน้ ดว ย\" ดงั น้ีกไ็ ด* เพราะเหตทุ ่ี วญิ ญานัญจายตนะนี้ พระโยคาวจรจําตอ งกาวลวงเสยี ทัง้ สองอยางน้นั คอื ทงั้ ฌานท้ังอารมณอ ยางน้นั โดยทํามใิ ห (อากาสานัญจายตนะนัน้ ) เปนไป และโดยไมท ําในใจ (ถงึ อากาสานญั จายตนะนัน้ ) เทาน้ัน จึง จะเขา ถงึ อยไู ด เพราะเหตุนนั้ คําวา 'กาวลว งอากาสานญั จายตนะ' นี้ พงึ ทราบวาทา นกลา วรวมเอาฌานและอารมณท ง้ั สองน้ันเขาดว ยกัน * รวมความวา อายตนะ มคี วาม ๒ นัย นยั หน่งึ วาเปฯ ทอ่ี าศัยอยู อีกนยั หนึ่งวาเปน ทเ่ี กดิ
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 246 คาํ อนนตฺ วิ ฺ าณ มอี ธิบายวา มนสกิ ารเอาความรูสึกท่ี เปนไปแผอ ยูทั่วอากาศ (นิมติ ) นน้ั อยา งนี้วา 'อนนโฺ ต อากาโส- อากาศเปน อนนั ตะ' ดงั นัน้ น่ันแหละมาวา 'อนนตฺ วิ ฺ าณ- วิญญาณเปนอนันตะ'* ดงั นี้ อีกนยั หนึง่ วญิ ญาณนน้ั เปน อนันตะ ดว ยอํานาจมนสิการ จริงอยู พระโยคาวจรน้ัน เมือ่ มนสิการถงึ วญิ ญาณ ซง่ึ มอี ากาศเปนท่ียดึ หนวงอยนู ้นั โดยไมม สี วนเหลือ กเ็ ทา กบั มนสิการวา (วญิ ญาณ) ไมมีท่ีสุด แมค าํ ใดท่ีกลา วในวิภงั ควา \"อนนฺต วิ ฺ า- ณนฺติ ตฺเว อากาส วิ ฺาเณน ฯ เป ฯ เตน วุจจฺ ติ อนนตฺ วิ ฺาณ\" ดงั น้ี บทวา 'วิฺาเณน' ในคาํ นน้ั บณั ฑติ พึงทราบวา เปน ตตยิ าวภิ ัตใิ นอรรถแหงทุติยาวิภัติ เพราะพระอรรถกถาจารยทงั้ หลาย พรรณนาความแหงบทน้ันไปนยั นนั้ (ซง่ึ ) มีอรรถาธบิ าย (ใหแปล วิ ฺาเณน วา ซง่ึ วิญญาณ) วา พระโยคาวจรแผ (วญิ ญาณ) ไป คือทาํ ในใจซึ่งวิญญาณท่ีสัมผัสอากาศ (นมิ ิต) นนั้ น่ันแหละ หาทีส่ ดุ มไิ ด สว นในคําวา 'เขาถึงวญิ ญาณัญจายตนะอยู' นนั้ มอี รรถวเิ คราะห วา ทีส่ ดุ แหง วิญญาณนั้นไมม ี เหตุนนั้ วญิ ญาณนัน้ จึงชอื่ อนนั ตะ อนันตะน่งั เองเปน อานัญจะ ทา นไมกลา ววเิ คราะหวา วิญญาณเปน อานญั จะ ชือ่ วา วิญญาณานัญจะ (แต) กลาววา 'วิญญาณญั จะ' ไปเสีย นแี่ หละเปนรุฬหศิ พั ท (ศัพทง อก ในอรรถน้ี วญิ ญาณญั จะ * หมายความวา วิญญาณน้ี กค็ ือความรสู กึ ท่ีแผอยทู ีอ่ ากาศนมิ ิตนนั้ เอง ถึงตอนน้ี เพกิ อากาศนมิ ติ เสีย ใสใจแตค วามรูสกึ ท่แี ผอยูนัน้ เพราะอากาศเปนอนนั ตะ วญิ ญาณทแี่ ผอ ยกู ็พลอยเรยี ก อนันตะ ไปดว ย
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 247 นนั้ ชือ่ วา เปน อายตนะ โดยอรรถวา เปน ทีอ่ าศัยอยแู หง ฌานนั้น พรอ มทั้งสัมปยุตธรรม ดจุ คําวาเทวายตนะของเทวดาทง้ั หลาย เพราะ เหตุนนั้ ฌานน้ันจึงชื่อ วญิ ญาณญั จายตนะ (ฌานมวี ิญญาณหาที่สดุ มไิ ดเ ปน ทอ่ี าศัยอย)ู คาํ ท่เี หลอื มอี รรถเชนทก่ี ลา วมากอนน้นั แล นี้เปน คาํ แกอ ยา งพิสดาร ในวิญญาณัญจายตนกรรมฐาน
ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 248 อากญิ จญั ญายตนะ สว นพระโยคาวจรผูใครจะเจรญิ อากญิ จัญญายตนะ พึงเปน ผู ประพฤติวสีภาวะ (ทําใหน ชิ าํ นาญ) ในวิญญาณญั จายตนสมาบตั ิ โดยอาการ ๕ แลว (พจิ ารณาให) เหน็ โทษในวญิ ญาณญั จายตนะ วา \"สมาบัตนิ ีม้ ีขาศกึ คอื อากาสานัญจายตนะอยูใ กล และไมละเอียดดงั อากิญจัญญายตนะ\" ดังนแ้ี ลว ตัดความพอใจในวิญญาณญั จายตนะ นน้ั เสยี ใสใจถงึ อากญิ จัญญายตนะ โดยวาเปนธรรมละเอียดแลว ทําใน ใจถึงความไมมี ความเปลา วา ง อาการทว่ี างเปลา ไปแหงความรูส กึ ใน อากาสานัญจายตนะ ที่เปนอารมณแ หงวิญญาณัญจายตนะนั้นน่นั แหละ ถามวา พงึ ทาํ ในใจอยางไร ? เฉลยวา อยาใสใ จถึงความรูสึกอันน้ัน นกึ หนว งทําในใจกาํ หนดใจอยูแตวา 'นตถฺ ิ นตฺถิ - ไมม ี ไมม 'ี หรอื วา 'สุ ฺ สุ ฺ - เปลา เปลา ' หรอื วา 'ววิ ติ ตฺ ววิ ิตฺต - วา ง วา ง' ดังน้ีแลว ๆ เลา ๆ ทําจนเปนตกั กาหตะวิตักกาหตะ เม่อื เธอยงั จติ ให ทอ งไปในนิมติ น้นั เนือง ๆ อยา งน้นั นวี รณท ง้ั หลายจะระงับ สติจะต้ัง มั่น จิตจะเปนสมาธิชน้ั อปุ จาร เธอสอ งเสพเจริญกระทาํ ใหม ากซึ่งนมิ ติ นัน้ เนือง ๆ ไป เม่อื เธอทําไปอยา งนัน้ อากญิ จัญญายตนจติ ยอมจะ แนบแนน (เปนอัปปนา) อยใู นความเปลา ความวาง หรอื ความไมมี แหงมหัคคตวญิ ญาณ (ความรสู กึ ในฌาน ?) ทีแ่ ผเปน ไปอยูท่วั อากาศ (นิมิต) นัน้ น่นั แหละ ดงั วิญญาณัญจายตนะ (จติ ) แนบแนนอยใู น มหัคคตวิญญาณทแี่ ผอยูท่อี ากาศ (นมิ ิต) ฉะนั้น
ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 249 สว นนัยแหง อปั ปนาแมในอากญิ จัญญายตนะน้ี บณั ฑิตกพ็ ึงทราบ ตามนัยทีก่ ลาวแลว (ในอากาสานญั จายตนะ) เถดิ แตน ีเ่ ปน ความ แปลกกนั คือ เมอ่ื อัปปนาจติ นนั้ เกิดข้ึนแลว (โยคาวจร) ภิกษุนน้ั เห็นความรูส ึกท่ีเปน ไปอยใู นอากาศดวยนัยนต าวิญญาณัญจายตนฌานอยู กอนแลว ครัน้ ความรสู กึ นัน้ มาหายไป เพราะมนสิการดว ยบริกรรมวา 'ไมม ี ไมม 'ี เปน ตน เสียแลว ก็เห็นแตค วามไมมี กลาวคือความ ปราศไปแหงความรูสึกนน้ั อยเู ทา นน้ั เอง๑ เปรียบเหมอื นบุรษุ (ผูห่ึง) เห็นภิกษสุ งฆผูป ระชมุ กนั ดวยกรณยี ะลางอยางอยูในสถานทีป่ ระชุมมโี รง กลม๒ เปน ตน แลว ไปไหน ๆ เสีย ตอ เม่อื เสรจ็ กิจประชมุ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ลกุ เลิกไปแลว จงึ มายนื ที่ประตมู องดูสถานทน่ี ั้นอีก กเ็ หน็ แตค วาม เปลา เทาน้ัน เห็นแตค วามวางเทา นน้ั ความคิดทํานองน้ยี อมไมม แี ก เขาวา \"ตายจริง ภิกษุ (มาก) ตั้งเทา น้ัน มรณภาพ (หมด) หรือวา ตา งองคตางไป (หมด)\" โดยที่แทเขาเหน็ แตความไมมี โดยอาการ วา ท่นี ว่ี างเปลา เทา นัน้ ฉะนนั้ กแ็ ล ดว ยภาวนานุกรมเพียงเทานี้ พระโยคาวจรน้นั เรียกวา \"กา วลวงวิญญาณญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวงแลว ทําในใจวา 'นตถฺ ิ กิฺจิ - ไมมีสักหนอย' เขาถึงอากิญจญิ ญายตนะอยู\" ๑. หมายความวา เหน็ เหมอื นกนั แตไ มใ ชเ หน็ สง่ิ อนั ใด เห็นแตความไมม ี (?) ๒. มณฺฑลมาล หนงั สือเกาเปน มณฺฑปสาลา กม็ ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266