Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Description: วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Search

Read the Text Version

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 250 [แกอรรถปาฐะในอากิญจิญญายตนะ] แมใ นทน่ี ี้ บทวา 'สพพฺ โส - โดยประการทงั้ ปวง' น้ีก็มีนัย ดงั กลาวแลวนนั่ แล อนึ่ง ในบท 'วิญญาณัญจายตนะ' นั้นเลา ก็หมาย เอาท้ังฌานทั้งอารมณ เปน วิญญาณญั จายตนะ โดยนัยทกี่ ลาวมากอน เหมือนกนั จรงิ อยู แมอ ารมณก ช็ อื่ วิญญาณัญจายตนะ เพราะอรรถ วิเคราะหวา \"วิญญาณัญจะ (วญิ ญาณหาทีส่ ุดมิได) ดวย วิญญาณญั จะ น้ัน ชอ่ื วา เปนอายตนะ โดยอรรถวาเปน ท่อี าศยั อยู ดจุ (คําวา) 'เทวายตนะ ของเทวดาท้ังหลาย' เพราะวิญญาณัญจะนั้นเปนอารมณ ของอรปู ฌานท่ี ๒ ดวย\" ดังน้ีตามนัยแรกน้นั แล อกี นัยหนง่ึ อารมณ ชือ่ วญิ ญาณญั จายตนะ เพราะอรรถวเิ คราะหวา \"วญิ ญาณญั จะดวย วิญญาณญั จะนนั้ ชื่อวา เปนอายตนะ โดยอรรถวาเปนทีก่ ําเนิด ดังคาํ วา 'แควน กมั โพชาเปนอายตนะ (คือถนิ่ กาํ เนดิ ) ของมา ท้ังหลาย' เปน ตน เพราะวิญญาณญั จะน้นั เปน เหตุกาํ เนิดแหง ฌานนั้นเหมอื นกนั ดว ย\" ดังนีก้ ็ได เพราะเหตุทีอ่ ากญิ จัญญายตนะนี้ พระโยคาวจรจาํ ตองกา ว ลว งเสียท้ังสองอยางนั้น คอื ทัง้ ฌานทั้งอารมณอ ยางนั้น โดยทาํ มิให (วิญญาณัญจายตนะนั้น) เปน ไป และโดยไมทาํ ในใจ (ถงึ วิญญา- ณัญจายตนะนน้ั ) เทาน้นั จึงจะเขา ถึงอยไู ด เพราะเหตนุ นั้ คาํ วา 'กาวลวงวิญญาณญั จายตนะ' นี้ พึงทราบวาทา นกลา วรวมเอฌานและ อารมณทงั้ สองนน้ั เขาดวยกัน คําวา 'นตฺถิ กิ จฺ ิ - ไมม สี กั หนอ ย' นน้ั มอี ธบิ ายวา (กเ็ ทา กับ) มนสิการอยางนี้วา 'นตฺถิ นตถฺ ิ - ไมม ี ไมม ี ' 'สุ ฺ  สุฺ-

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 251 เปลา เปลา ' 'วิวติ ตฺ  วิวติ ฺต - วาง วา ง' ดงั นี้ (นนั่ เอง) แมค ํา ใดทกี่ ลาวไวในวิภังค วา \"คาํ วา นตฺถิ กิ จฺ ิ คือทาํ วญิ ญาณนั้นแล ไมใหมี ใหป ราศไป ใหอ นั ตรธานไป (จน) เหน็ วาไมมีอะไร ๆ เพราะฉะนัน้ จงึ เรยี กวา นตถฺ ิ กิจฺ \"ิ ดังนี้ คํานั้นราวกะกลา วการ พิจารณาโดยความเส่ือมส้ินไปก็จรงิ แกท ีแ่ ท ความหมายของคาํ นน้ั ก็ พึงเห็นอยางท่วี านั้นแหละ เพราะเม่ือพระโยคาวจรไมน กึ ถงึ ไมใ สใ จถึง ไมกาํ หนดใจถึงวญิ ญาณนนั้ เสยี ใสใ จแตค วามไมมี ความเปลา ความ วา ง ของมันอยางเดยี วเทานั้น จงึ จะเรียกไดวา ทาํ ไมใ หม ี ใหป ราศไป ใหอ ันตรธานไป มใิ ชโดยอยา งอืน่ แล สว นในคาํ วา 'เขาถึงอากญิ จญั ญายตนะอยู' นน้ั มีอรรถ วเิ คราะหวา \"นอ ยหน่ึงแหงวญิ ญาณนนั้ ไมม ี\" เพราะเหตนุ ้นั วญิ ญาณ น้ันจึงชื่อวา อกญิ จนะ มอี ธิบายวา ส่ิงทีเ่ หลอื อยูแ หงวญิ ญาณน้ัน โดย ทีส่ ดุ แมแตเ พียงความดับกไ็ มม ี ความเปน อกญิ จนะ ช่ือวา อากิญ- จญั ญะ คําน้ีเปนคําเรียกความปราศไปแหงวญิ ญาณ (ความรสู ึกที่มีอยู) ในอากาสานัญจายตนะ (นนั่ เอง) อากญิ จญั ญะนนั้ ช่อื วา เปน อายตนะ โดยอรรถวาเปน ที่อาศยั อยูแหงฌานนั้น ดังคาํ วา เทวายตนะของเทวดา ทงั้ หลาย เพราะเหตนุ ้ัน ฌานน้ันจึงช่ือ อากิญจัญญายตนะ (ฌานมี ความไมมวี ิญญาณสกั หนอยเปน ที่อาศัยอย)ู คําท่เี หลือกม็ อี รรถเชนที่ กลา วมากอ นน้ันแล น้ีเปนคาํ แกอยา งพสิ ดาร ในอากญิ จัญญายตนกรรมฐาน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 252 เนวสัญญานาสัญญายตนะ สว นพระโยคาวจรภิกษผุ ปู รารถนาจะเจริญเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ตอไป) พึงเปนผูประพฤติวสีภาวะ (ทาํ ใหชาํ นชิ าํ นาญ) ในอากญิ - จญั ญายตนสมาบตั ิโดยอาการ ๕ แลว (พจิ ารณาให) เห็นโทษใน อากิญจัญญายตนะอยางนี้วา \"สมาบัตินมี้ ขี า ศกึ คือวญิ ญาณัญจายตนะอยู ใกล และยงั ไมล ะเอียดดังเนวสญั ญานาสัญญายตนะ หรือ (เหน็ โทษ) วา สัญญาเปนดุจโรค สญั ญาเปนดจุ ผี สัญญาเปน ดุจลูกศร ธรรมชาต นั่นละเอยี ด ธรรมชาตนิ น่ั ประณีต ธรรมชาตนน่ั คืออะไร ธรรมชาต นัน่ กค็ ือเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ\" และ (เหน็ ) อานสิ งสในคุณทส่ี ูง ข้นึ ไป (คืออารูปท่ี ๔) แลว ตัดความพอใจใจอากญิ จญั ญายตนะเสยี ใสใ จถงึ เนวสญั ญานาสัญญายตนะ โดยวา เปน ธรรมละเอยี ด นกึ หนว ง เอาอากิญจญั ญายตนสมาบัติ ที่ทําความไมมเี ปนอารมณเ ปนไปอยนู ัน่ แหละ มามนสิการไปปจจเวกขณไปเนือง ๆ วา สนฺตา สนตฺ า ละเอียด ละเอียด' ทาํ จนเปนตักกาหตะ วิตักกาหตะ เมื่อเธอยังจติ ใหทองไป ในนิมิตน้ันเนือง ๆ อยา งนน้ั นีวรณท ้ังหลายจะระงับ สตจิ ะตั้งมั่น จติ เปนสมาธิช้นั อุปจาร เธอสองเสพเจรญิ ทาํ ใหม ากซงึ่ นิมติ นน้ั เนือง ๆ ไป เมอื่ เธอทําไปอยา งนนั้ เนวสญั ญานาสญั ญายตนจติ ยอ มจะแนบแนน (เปน อปั ปนา) อยูในขนั ธท ั้ง ๔ กลา วคอื อากิญจญั ญายตนสมาบัติ ดจุ อากญิ จญั ญายตน (จิต) แนบแนน อยูใ นความปราศไปแหง วิญญาณ ฉะนน้ั สว นนัยแหง อปั ปนาในขอ นี้ กพ็ งึ ทราบโดยนัยท่ีกลา วแลว น่นั เถิด

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 253 กแ็ ลดวยภาวนานกุ รมเพียงเทาน้ี โยคาวจรภิกษุน้นั เรียกวา \"กา วลวงอากิญจญั ญายตนะโดยประการทั้งปวงแลว เขา ถึงเนวสญั ญา- นาสญั ญายตนะอย\"ู แกอ รรถปาฐะในเนวสญั ญานาสัญญายตนะ แมใ นทนี่ ี้ บทวา 'สพฺพโส - โดยประการทงั้ ปวง' น้ีกม็ ีนยั ดงั กลา วแลวนนั่ แล ในคําวา 'กาวลวงอากิญจญั ญายตนะ' น้นั เลา ก็ หมายเอาทัง้ ฌานท้ังอารมณเปน อากิญจัญญายตนะ โดยนัยทกี่ ลาวมา กอนเหมือนกัน จรงิ อยู แมอารมณก ็ชอ่ื อากิญจญั ญายตนะ เพราะ อรรถวเิ คราะหวา \"อากญิ จะ* (วิญญาณไมม สี ักนอย) ดว ย อากญิ จะ นั้น ชอื่ วาเปนอายตนะ โดยอรรถวา เปนทอ่ี าศัยอยู ดจุ (คาํ วา ) เทวายตนะ ของเทวดาทั้งหลาย เพราะอากิญจะนั้นเปน อารมณของ อรปู ฌานที่ ๓ ดว ย\" ดังน้ี ตามนยั แรกนน่ั แล อกี นยั หน่ึง อารมณชื่อ อากิญจัญญายตนะ เพราะอรรถวิเคราะหว า \"อากิญจะดว ย อากิญจะ นั้นชอ่ื วาเปนอายตนะ โดยอรรถวา เปน ทีก่ ําเนิด ดงั คาํ วา \"แควน กมั โพชาเปนอายตนะ (คือถิน่ กาํ เนดิ ) ของมาทั้งหลาย' เปน ตน เพราะอากญิ จะนน้ั เปนเหตกุ าํ เนิดแหง ฌานน้นั เหมอื นกนั ดวย\" ดังน้ี กไ็ ด เพราะเหตทุ ีเ่ นวสญั ญานาสัญญายตนะน้ี พระโยคาวจรจําตองกาว ลวงเสยี ท้งั สองอยา งน้นั คือท้งั ฌานท้ังอารมณอ ยางน้ัน โดยทํามิให (อากิญจัญญายตนะนน้ั ) เปนไปและโดยไมทําในใจถงึ (อากิญจญั ญา- ยตนะ) เสียเทา นั้น จึงจะเขาถงึ อยูได เพราะเหตนุ ั้น คําวา \"กา ว * นาจะใช อากิ ฺจฺ เพราะเปน ศพั ทม นี ิปผนั รปู สวนอากิจฺ ไมมนี ปิ ผนั รปู

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 254 ลวงอากญิ จัญญายตนะ\" นี้ พงึ ทราบวาทา นกลาวรวมเอาฌานและ อารมณท ั้งสองนน่ั เขาดว ยกัน สว นในบทวา 'เนวสญั ญานาสัญญายตนะ' น้ันมอี รรถาธบิ ายวา ฌานน้ันเรียกวา เนวสัญญานาสญั ญายตนะ เพราะความมีแหงสัญญาใด สัญญานนั้ ยอ มมแี กพ ระโยคาวจร ผปู ฏบิ ัติอยา งใด ในวิภังคจ ะแสดง ความปฏบิ ตั ิของพระโดยคาวจรน้ันกอน จงึ ยกข้ึน (เปนปุคคลาธิฏฐาน) วา 'เนวสญั ญีนาสญั ญี' แลวกลาว (อธบิ าย) วา พระโยคาวจรทาํ ในใจซ่งึ อากิญจญั ญายตนะน้ันนน่ั แล โดยวา เปน ธรรมละเอยี ด ทําจน เปน สงั ขาราวเสสสมาบตั ิ (สมาบัติมีเพียงเศษสังขารเปน อารมณ ?) เพราะเหตนุ ั้น จงึ เรียกวา \"เนวสญั ญนี าสัญญ\"ี ดงั นี้ ในคําเหลา น้ัน คาํ วา \"ทําในใจโดยวา เปน ธรรมละเอียด\" น้ัน คอื ทาํ ในใจซึ่งอากิญ- จัญญายตนะน้ันวา เปน สมาบัตลิ ะเอียด เพราะความที่มีอารมณละเอียด (โดยนยั ) ดงั น้ีวา 'สมาบัตินีล้ ะเอียดจริงหนอ ดูเถดิ สมาบัติไรเลา จกั ทําแมค วามไมมี (แหง วิญญาณ) ใหเ ปน อารมณต ้ังอยูได' หากมีคําทวงวา \"พระโยคาวจร (มัว) ทาํ ในใจ (ซึ่งอากญิ - จัญญายตนะ) โดยวา เปน ธรรมละเอยี ด (อยูเชน นนั้ ) ความกา วลวง จะมไี ดอ ยางไร\"* พงึ เฉลยวา \"(ความกา วลว งมีได) เพราะความที่ พระโยคาวจรมิไดเปน ผปู รารถนาจะเขา (อากิญจัญญายตนะน้นั ) จริง อยเู ธอทําในใจซ่งึ อากิญจัญญายตนะนัน้ โดยวาเปน ธรรมละเอียด (เชน * มหาฎกี าชว ยเสริมความวา เมือ่ ทาํ ในใจเชนนัน้ ความเหน็ โทษกไ็ มม ี เมอ่ื ไมม เี ห็นโทษจะกา ว ลว งไดอ ยางหร

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 255 น้นั ) กจ็ รงิ อยู ถงึ กระน้ัน ความคดิ คาํ นึง ความรวมใจ ความใสใน วาเราจักนกึ หนวง เราจักเขา เราจกั ยง้ั อยู เราจกั ออก เราจกั ปจ จเวกขณ ถึงสมาบัติน่ัน\" นี้ ก็หามีแกเธอไม ถามวา เพราะเหตไุ ฉน ? ตอบวา เพราะความทเ่ี นวสัญญานาสญั ญายตนะละเอียดกวา ประณีตกวา อากิญ- จญั ญายตนะ เหมือนอยางวา พระราชาประทับคอชา งตวั ประเสริญ เสดจ็ ไปในถนนในพระนครดว ยราชานภุ าพอนั ยิง่ ใหญอยู (ตางวา ) ทอด พระเนตรเห็นพวกชางฝมือมีชางงาเปน ตน ซ่ึงนุง ผาผืนหนึ่งไวม ัน่ โพก ศีรษะดว ยผาผนื หนึง่ มตี วั เปอ นดว ยผงทั้งหลายมผี งงาเปนตน ทําการ ผีมือตา ง ๆ มที นั ตวกิ ตั ิ (ประดษิ ฐง าเปนรปู ตา ง ๆ) เปนตน กพ็ อ พระหฤทัยในความฉลาดของพวกเขาดวยรับสง่ั วา \"เออแนะ เจาพวก อาจารยน ีฉ่ ลาดนะ ดรู ึ ทาํ การฝมอื ถึงเชนนก้ี ไ็ ด\" ดังนี้ แตจ ะทรงดําริ วา \"เออ เราละสมบัตไิ ปเปน ชา งฝม ือเชน นัน้ เถดิ นะ\" อยางนี้ หามี แกพระองคไม เพราะเหตุไร เพราะสริ ริ าชสมบตั มิ คี ณุ ใหญก วา พระ- องคก เ็ สด็จลวงเลยพวกชา งฝมือไปเสียเทาน้ันเองฉนั ใด อันพระโยคา- วจรน้ัน ก็ฉนั นั้นเหมอื นกัน ทําในใจถึงสมาบัตินั้นโดยวา เปน ธรรม ละเอยี ดกจ็ รงิ แล แตทวาความคิดคาํ นึง ความรวมใจ ความใสใจวา \"เราจักนกึ หนว ง เราจกั เขา เราจกั ย้งั อยู เราจักออก เราจกั ปจ จเวกขณ ถงึ สมาบตั ิน้ัน\" นี้ ไมมแี กเ ธอเลย เธอเม่อื ทาํ ในใจถึงสมาบัติน้ัน โดย วาเปน ธรรมละเอียดโดยนัยทีก่ ลาวมากอ นน้นั แล กจ็ ะบรรลถุ งึ สญั ญา อันถึงอัปปนาทล่ี ะเอียดยิ่งนัน้ ซงึ่ เปน สัญญาทีเ่ ปน เหตใุ หไดช ่อื วา เปน เนวสัญญนี าสัญญี ชือ่ วาทําจนเปน สังขาราวเสสมาบัติ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 256 คําวาสังขาราวเสสสมาบัติ ก็คืออารูปสมาบัตทิ ่ี ๔ อันมสี งั ขารถงึ ซง่ึ ความละเอียดทส่ี ดุ [คาํ วา เนวสัญญานาสญั ญายตนะประสงคเอาอะไร] บดั น้ี เพื่อจะแสดงส่งิ ที่เรยี กวา เนวสญั ญานาสัญญายตนะ ดว ย อาํ นาจแหงสัญญาที่พระโยคาวจรไดบ รรลุแลว อยางนัน้ โดยความหมาย (ในวิภงั ค) จึงกลา วไวว า \"คาํ วา เนวสัญญานาสญั ญายตนะ หมาย ถึงธรรมคือจติ และเจตสิ ิก ของบุคคลผูเ ขาถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌาน) หรอื ผเู ขาถึง (คือเกิดใน) เนวสัญญานาสญั ญายตนะ (ภพ) ผูม เี นวสัญญานาสญั ญายตนะ (ฌาน) เปน ธรรมเคร่ืองอยูเปน สุขใน ทฏิ ฐธรรมกไ็ ด\"* ดงั น้ี ในบุคคล ๓ น้นั ธรรมคอื จิตและเจตสกิ ของ บคุ คลผเู ขา (เนวสญั ญานาสัญญายตนะ) ทานประสงคเอาในท่ีนี้ [ความหมายแหงคาํ ] สวนความหมายแหงคาํ ในคําวา เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ นนั่ พงึ ทราบ (ดังตอ ไปนี)้ ฌานน้ันพรอ มท้งั สัมปยตุ ธรรมชอ่ื วา มีสญั ญาก็มใิ ช ไมมีสญั ญากม็ ิใชโ ดยแท เพราะไมม ีสัญญาหยาบ แตว า มสี ญั ญาละเอียด เหตนุ น้ั ฌานน้ันจึงชอ่ื วาเนวสญั ญานาสญั ญะ (ฌานมีสัญญาก็มิใชไมม ี สญั ญาก็มใิ ช) เนวสยั ญานาสัญญะ (ฌาน) ดว ย เนวสญั ญานาสัญญะ (ฌาน) น้ัน ชอ่ื วาเปนอายตนะ เพราะนบั เนอ่ื งอยูในมนายตนะ และ ธัมมายตนะดวย เหตุนน้ั จงึ ช่ือเนวสัญญานาสัญญายตนะ (อายตนะ * ศพั ททงั้ ๓ คอื สมาปนนฺ อุปปนฺน ทิฏธมมฺ สขุ วิหาร มคี วามหมายตา งกนั ไดก ลา วไว แลวในเชิงอรรถ ๑ หนา ๒๓๘

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 257 คอื ฌานมีสัญญากม็ ใิ ชไมมีสญั ญากม็ ิใช) อกี อรรถวกิ ปั หน่ึง น้ีสัญญาใด ในอารปู ที่ ๔ น้ี สญั ญานน้ั นับวา เปนสัญญากม็ ใิ ชแท เพราะไมส ามารถ จะทําสัญญากิจ (หนาที่สัญญา) ทชี่ ดั แจงได จดั วาไมเปน สญั ญาก็มใิ ช เพราะเปนส่ิงท่มี อี ยูโดยความเปน เศษสงั ขารทีล่ ะเอียด เพราะเหตุน้นั สัญญานน้ั จึงช่อื เนวสญั ญานาสญั ญา (สญั ญาที่นับวาเปน สญั ญากม็ ใิ ช ไมเ ปน สัญญาก็มใิ ช) เนวสญั ญานาสญั ญาดวย เนวสัญญานาสัญญานั้น เปนอายตนะ โดยอรรถวา เปนทอ่ี าศัยอยแู หงธรรมท่ีเหลอื (คอื สัมปยตุ - ธรรม) ดว ย เหตุนัน้ จึงชื่อ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ กแ็ ลในอารูปท่ี ๔ น้ี สญั ญาแตเ พียงอยางเดียวเปนเชนนนั้ กห็ า มไิ ด ทแ่ี ท แมเ วทนากเ็ ปน เนวเวทนานาเวทนา- เปนเวทนาก็มใิ ช ไมเปน เวทนาก็มิใช แมจ ติ กเ็ ปน เนวจิตตฺ นาจติ ฺต- เปนจิตกม็ ใิ ช ไมเปน จติ ก็มิใช แมผ ัสสะกเ็ ปน เนวผสฺโสนาผสโฺ ส - เปน ผัสสะกม็ ิใช ไมเ ปน ผสั สะก็มใิ ช ในสมั ปยตุ ธรรมที่เหลอื ทง้ั หลายกน็ ยั น้ี เพราะ (พระธรรม) เทศนาน้ี บณั ฑติ พึงทราบวา พระผมู พี ระภาคเจาทรงทํา โดย (ยก) สญั ญาเปนประธาน อน่งึ ความขอน้ีบัณฑิตพึงทําให กระจา งดว ยอุปมาท้ังหลาย เริ่มแตเร่อื งน้ํามันทาบาตรไป (ดังนี้) เลากนั วา สามเณรทาบาตรดวยนาํ้ มนั แลวตงั้ (เกบ็ ) ไว ถึงเวลา ด่ืมยาคู พระเถระเรียกเธอใหน าํ บาตรมา เธอเรียนวา \"ในบาตร มนี ้ํามนั ขอรบั \" ทนี ้ันครง้ั พระเถระบอกวา \"นํามาเถดิ สามเณร เราจักเตมิ กะโหลกน้าํ มันไว\" กเ็ รยี นวา \"ไมมดี อกของรบั น้ํามนั \"

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 258 ในคาํ ของสามเณรน้ัน คําวา 'นาํ้ มันม'ี กใ็ ช โดยมุงถงึ ความ (ท่ีนา้ํ มัน) ไมค วร (ปน) กบั ยาคู เพราะมัน (มีติด) อยูขา งใน (บาตร) คําวา 'ไมมี' ก็ใช โดย (มุง ถงึ ) การจะใชงานตา ง ๆ มี เตมิ กะโหลกนํา้ มนั เปน ตนฉนั ใด แมส ญั ญานน้ั กฉ็ ันนน้ั จดั วา เปนสัญญา กม็ ิใชแท เพราะไมส ามารถจะทาํ สญั ญากิจท่ีชัดแจง ได ไมเ ปนสญั ญา ก็มใิ ช เพราะเปน ส่งิ ทม่ี ีอยูโ ดยความเปน เศษสังขารทลี่ ะเอยี ด ถามวา \"ก็สัญญากจิ ในคาํ นั้น คอื อะไร ? \" แกวา \"สญั ญา- กจิ ก็คอื การจําอารมณไ ดอยา งหน่ึง การเขาถึงความเปน วสิ ยั (คอื อารมณ) แหง วิปส นาแลวยังนพิ พิทาใหเกดิ ไดอยางหนึ่ง อันสญั ญานั่น แมก จิ คือการจํา (อารมณ) ก็มอิ าจทําใหชัดได ดงั ธาตุไฟในน้ํารอ น มอิ าจทํากจิ คือการเผาไหไดฉะนน้ั แมก ารเขาถงึ ความเปน วิสัยแหง วิปสนาแลว ยังนพิ พิทาใหเ กิด ดงั สัญญาในสมาบตั ทิ ีเ่ หลอื กม็ อิ าจทาํ ได เพราะวา ภิกษุผมู ิไดท าํ อภินเิ วส (คอื วิปสนา) ใน (นาม) ขันธ อ่ืน ๆ มาเลย อนั จะสามารถท่ีจะพิจารณา (แต) เนวสัญญานาสัญ- ญายตนขนั ธแลวถงึ นิพพิทาได หามีไม เออ จะมีกแ็ ตทา นสารีบุตร หรือทา นผมู ีปญญามากเปนปกตวิ ปิ ส สก (พจิ ารณาเหน็ แจงอยูโดยปกติ) ปานทานสารบี ุตรนน่ั แหละจึงจะอาจ (พจิ ารณาเนวสญั ญานาสญั ญายตน- ขันธท ําใหถึงนิพพิทาได ) (แต) แมทา นสารบี ตุ รน้ันก็อาจ (ทาํ ได) แตโ ดยพิจารณาเปนกลาป (คอื เปนกลุมเปน หมวด) เทา น้ัน หาอาจ (ทาํ ) โดยพจิ ารณา (แยกสัมปยตุ ) ธรรม (มีผสั สะเปน ตน ) ออกเปน บทยอย ๆ ไม ดว ยทานเหน็ อยูวา 'อันธรรมเหลา นกี้ เ็ ปน อยางน้ัน คือ

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 259 (จะวา ) ไมม ี ก็มอี ยู (จะวา ) มี ก็บอกไมไ ด (คอื ไมช ัด)' ดังนี้* สมาบัตินีถ้ ึงซึง่ ความละเอียด ดว ยประการฉะน้ี อนงึ่ ความขอ นี้ บัณฑิตพึงทําใหก ระจา ง ดวยอปุ มาดว ย นํา้ ในทาง (เดนิ ) ฉันเดยี วกนั กับอุปมาดว ยนาํ้ มันทาบาตรกไ็ ด สามเณรผูเดนิ ไปขางหนาพระเถระ (องคหนึง่ ) ซง่ึ เดนิ อยูในทาง เห็นนํา้ หนอยหนึ่ง (ในทาง) จงึ เรยี นวา \"นาํ้ ขอรับ โปรดถอด รองเทา \" ทนี น้ั ครั้นพระเถระบอกวา \"สามเณร ถา นํามี กจ็ งนาํ ผาอาบมา เราจกั อาบน้ํา\" จึงเรียนวา \"(น้าํ ) ไมม ีดอก ขอรบั \" ในคาํ ของสามเณรนนั้ คําวา 'น้าํ ม'ี ก็ใช โดยมุงถึง (มนั ม)ี พอเปย กรองเทา คําวา '(น้าํ ) ไมม ี' กใ็ ช โดยมงุ ถงึ (มนั ไมมี พอจะ) อาบฉนั ใด แมสญั ญานัน้ ก็ฉนั น้นั จดั วาเปน สญั ญากม็ ิใช แท เพราะไมส ามารถทาํ สญั ญากจิ ใหชัดได นับวา ไมเ ปนสญั ญากม็ ใิ ช เพราะเปน ส่ิงทมี่ ีอยโู ดยความเปนเศษสงั ขารท่ลี ะเอยี ด และความขอ น้ีจะควรทําใหกระจา งเพยี งดวยอปุ มา (๒ ขอ ทกี่ ลาว แลว ) น้ีเทา นนั้ หามไิ ด บัณฑิตพึงทําใหก ระจาง แมด ว ยอุปมาอนื่ ๆ ที่สม * ปาฐะในฉบบั วสิ ทุ ธมิ รรคทอนน้ี ต้ังแต อปจ อายสฺมา สารีปตุ ฺโต ถงึ โน อนุปท- ธมมฺ ปวสิ ฺสนาวเสน บทพยญั ชนะไมส มบรู ณพอจะแปลใหไดค วามดี จงึ ตกเติมแปลไปดงั น้ี เหน็ วา ตามที่แปลนี้ ไดความตรงตามทที่ า นประสงคเ ปนแน และไมผ ดิ ธมั มะดวย ตามทแ่ี ปลน้ี แยก อปจ อายสมฺ า สารีปุตโฺ ต เปน ประโยค ๑ ปกติวปิ สฺสโก สกกฺ ุเณยฺย ประโยค ๑ ในประโยคนี้ ปน เตมิ วา เปน วา ปน หุตฺวา ปฏเิ วทนตฺ ิ น่ตี ก น. แน เพราะความบังคบั อยู จึงเติม น. เขาเปน หุตวฺ า น ปฏเิ วเทนตฺ ิ (มีก็บอกไมได) จงึ ไดความ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 260 กนั อกี กไ็ ด* คาํ วา 'อปุ สมฺปชฺช วหิ รติ-เขาถึง . . . อย'ู น้ี มนี ัยอนั กลาว มาแลว นั่นแล นีเ่ ปนกถาอยางพิสดาร ในเนวสญั ญานาสัญญายตนกรรมฐาน ปกณิ ณกกถา พระนาถะเจา ผมู ีพระรปู ไมม ีใครเทยี มถงึ ตรัส อารูป ๔ ประการอนั ใจใดไว บณั ฑิตไดทราบอารปู ๔ นั้นอยา งนี้แลว ควรเขา ใจปกณิ ณกกถาในอารูป นัน้ อกี บาง อารปู เลอ่ื นชั้นโดยลว งอารมณ มใิ ชล ว งองค กอ็ ารูปสมาบตั ิท้งั หลาย- เหลานแี้ มเปน ๔ โดยการกา วลว งอารมณ (แต) นักปราชญท ั้งหลายหาตอ งการความกา วลวงองคแหง สมาบัติเหลาน้นั ไม * มหาฎกี าตดิ อุปมาไดข อหน่ึงวา พราหมณผ หู น่ึง เหน็ ชายคนหนงึ่ ถอื ภาชนะดนิ นาชอบใจ ยืนอยู จงึ ออกปากขอภาชนะน้นั ชายคนนน้ั มงุ ถึงวาภาชนะนน้ั เปอนสุรา ซ่งึ เปนของไมค วร แกพราหมณ จงึ บอกวา ถวายไมไ ด ในภาชนะนมี้ ีสรุ า ขณะนนั้ มีชายผูหนึ่งยืนอยใู กล ๆ พราหมณจ ึงวา ถา มีกข็ อใหคนนด้ี มื่ บา ง ทนี ้ี เจาของภาชนะมงุ ถึงวา สรุ านนั้ ไมมีพอจะดืม่ ได จงึ บอกวาสุราไมมี

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 261 จรงิ อยู อารปู สมาบตั เิ หลานี้ พงึ ทราบวาแมเ ปน ๔ โดยการลว ง อารมณท ุกประการ คอื ในสมาบตั ิ ๔ น้ัน สมาบัตทิ ่ี ๑ เปนโดยการ กา วลวงรปู นมิ ิต ที่ ๒ โดยกาวลวงอากาศ ที่ ๓ โดยกา วลวงวญิ ญาณ ทเ่ี ปนไปอยูใ นอากาศ ที่ ๔ โดยกาวลว งความปราศไปแหงวญิ ญาณท่ี เปนไปอยใู นอากาศ แตบ ัณฑิตทง้ั หลายไมตอ งการความกา วลวงองค แหง สมาบตั ิเหลา นน้ั เพราะความกาวลวงองคใ นสมาบตั เิ หลา น้ันหามี ดงั ในรปู าวรสมาบตั ิท้ังหลายไม ดวยในสมาบัติเหลาน้นั ทุกขอ มอี งค ฌานอยู ๒ องคเ ทานน้ั คือ อเุ บกขา จติ เตกัคคตา [อารูปประณีตกวา กนั เพราะองคประณตี เขาโดยลําดบั ] แมเมอ่ื เปน เชนน้ัน ในอารปู สมาบตั ิน้ี สมาบัตขิ อหลงั ๆ กย็ อม ประณีตดีกวา (ขอ หนา ๆ) บัณฑิตพงึ ทราบ (เรอื่ ง) พน้ื ปราสาทและผา เปนอปุ มาในความ ทป่ี ระณตี ดกี วากนั นัน้ เหมือนอยา งวา ในพน้ื ช้นั ลางแหงปราสาท ๔ ชน้ั เบญจกามคณุ อันประณตี โดยอํานาจเครอ่ื งบาํ เรอมีการฟอ นรํา ขบั รอง และบรรเลง ดนตรี เคร่อื งหอม และพวงดอกไมหอม โภชนะ ทน่ี อนและเครอื่ ง นงุ หม (ราวกะเปนของ) ทพิ ยเ ปน ตน ตา งวาเปนส่งิ จัดไวครบ (แต) ในชัน้ ที่ ๒ เบญจกามคุณ (จดั ไว) ประณตี กวา ช้ันลา งนนั้ ในช้ัน ท่ี ๓ ประณตี กวา นนั้ (ไปอกี ) ในชนั้ ที่ ๔ ประณตี กวาเพอ่ื นหมด ในความอปุ มานนั้ พ้ืนทัง้ ๔ นน้ั กเ็ ปนพืน้ ปราสาท (ดวยกนั ) นน่ั เอง

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 262 ความแปลกกนั โดยความเปน พืน้ ปราสาท แหงพน้ื ทง้ั ๔ น้ัน หามไี ม กจ็ ริงอยู ถงึ กระน้นั พืน้ ช้นั บน ๆ กย็ อ มประณีตกวา ชน้ั ลาง ๆ โดย มีความสมบูรณแ หงเบญจกามคุณแปลกกนั ฉนั ใด อน่งึ ผา (เนอื้ บาง นาํ้ หนกั เบา) ชนิดจตุปละ (หนกั ๔ ปละ) และชนดิ ติปละ (หนัก ๓ ปละ) ทวปิ ละ (หนกั ๒ ปละ) เอกปละ (หนกั ปละเดียว (อนั ประณตี ดวยอํานาจ) แหงดาย (๔ ชนดิ คอื ) หยาบ ละเอียด ละเอยี ดกวา และละเอยี ดที่สดุ ทหี่ ญิงคนหน่ึงปน ไว* ตางวาเปนผามีขนาดเทากนั ท้งั โดยยาวและโดยกวาง ในความอุปมานน้ั ผา ทง้ั ๔ ชนิดนั้นมีขนาด เทากนั ทั้งโดยยาวและโดยกวา ง ความแปลกกนั โดยขนาดแหงผา เหลา นน้ั หามไี ม กจ็ รงิ แล แตท วา ผาชนิดหลงั ๆ กย็ อมประณีตกวา ชนิด หนา ๆ โดยความมสี มั ผัสน่ิม เนื้อละเอียด และความมีราคาแพงฉันใด แมในอารปู สมาบตั ทิ ั้ง ๔ ก็มอี งค ๒ คือ อุเบกขา จติ ตกัคคตา น้ี เทา นนั้ โดยแท ถงึ อยา งนั้น บณั ฑิตกพ็ ึงทราบเถดิ วา ในสมาบตั นิ ้ี สมาบัติขอ หลงั ๆ ยอมประณตี ดกี วา โดยความประณตี และประณีตกวา กันแหง องคเ หลานัน้ ดว ยความวิเศษ (กวา กัน) แหง ภาวนา ฉันน้นั เหมือนกัน อันอารูปสมาบัตเิ หลาน้ัน ประณีตและประณีตไปโดยลําดับ ดว ยประการฉะน้ี [อารูป ๔ อุปมาดว ยบรุ ษุ ๔ คน] บรุ ุษผหู นงึ่ เกาะอยูท ม่ี ณฑป (อนั ต้งั อยู) ในที่ * ปละ (อานปะละ) เปน ช่ือมาตราน้ําหนัก วาประมาณ ๘ ออนซ เคยเห็นผา ซึง่ คล่ีออก แลว หมนอนได แตเมือ่ รวบเขาไดกําเดยี ว จะเปน ผา ชนดิ น้นั กระมงั ?

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 263 ไมส ะอาด คนหนึ่ง (มา) อาศยั (เกาะ) บุรษุ ผนู ั้น คนหนง่ึ (มา) ไมอ าศัย (เกาะ) ผูนน้ั (ยืนอยู) ขา งนอก และอีกคนหนงึ่ (มา) อาศยั (อิง) คนทย่ี นื อยูขางนอกนน้ั ยืนอยู อารปู สมาบตั ิ ทง้ั ๔ นักปราชญพ ึงทราบโดยความเปนธรรมชาติ เสมอกบั บุรษุ ๔ คนนัน่ โดยลําดับเถิด (ตอ ไป) นี้ เปนคาํ ประกอบความในอุปมานนั้ เรอ่ื งมีวา มมี ณฑป หลงั หนึง่ (อย)ู ในทไี่ มสะอาด คราวน้นั บุรุษผหู น่งึ มา (ทน่ี ั่น) เกลียด ท่ีไมส ะอาดนั้น จงึ โหนมณฑปน้นั ดวยมอื (ท้ังสองขาง) เกาะอยทู ่ี มณฑปนน้ั ราวกะถกู แขวนไว คร้นั แลว อีกคนหน่ึงมาอาศัย (เกาะ) บุรษุ ผูเกาะมณฑปน้นั แลวคนหนึ่งมาถึง คดิ วา \"บรุ ษุ ผูมีเกาะ มณฑป และผูท ่อี าศัย (เกาะ) บรุ ุษนั้นกด็ ี ท้งั สองนี้ทาลําบาก และ การตกเหวมณฑปจะตองมีแกเ ขาทั้งสองเปนแมน มัน้ เอาเถิด เราอยู ขา งนอกนลี่ ะ\" ดงั นแ้ี ลว เขาไมอาศยั (เกาะ) คนทอ่ี าศยั (เกาะ) บรุ ุษคนแรกน้นั คงยืนอยูขา งนอกนั้นเอง แลว อีกคนหน่งึ มา สําคญั (เหน็ ) คนทค่ี ิด (เห็น) ความไมป ลอดภัยแหงบุรุษผเู กาะมณฑปและ คนทอี่ าศัย (เกาะ) บุรษุ นั้นดว ย แลว ยนื อยูขางนอกน่ันแหละ (วา ) ทาดี จึงอาศัย (องิ ) คนที่ยืนขา งนอกน้นั อยู กสิณคุ ฆาฏิมากาส (อากาศตรงท่กี สิณเพกิ ) บณั ฑิตพึงเหน็ เหมือนมณฑป (อย)ู ในท่ไี มสะอาด ในคําอปุ มาน้ัน อากาสานญั จา- ยตนะ อันมอี ากาศเปน อารมณ เพราะเกลียดรูปนิมิต พงึ เหน็ เหมือน

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 264 บรุ ุษที่เกาะมณฑป (โหนอยู) เพราะเกลียดท่ไี มส ะอาด วญิ ญา- ณัญจายตนะอนั ปรารภอากาสานัญจายตนะที่มีอากาศเปนอารมณเ ปน ไป พึงเหน็ เหมอื นคนทอี่ าศยั (เกาะ) บุรษุ ผูเกาะมณฑป อากิญจญั ญา- ยตนะอนั ไมทาํ อากาสานัญจายตนะใหเปนอารมณ มีความไมม ีวญิ ญาณ นั้นเปน อารมณ พึงเห็นเหมอื นคนท่ีคิด (เห็น) ความไมป ลอดภยั แหง คนทัง้ สองนั้น จึงไมอาศัย (เกาะ) บรุ ษุ ผเู กาะมณฑปน้นั ยืนอยู เสยี ขา งนอก เนวสัญญานาสญั ญายตนะ อนั ปรารภอากญิ จัญญาย- ตนะ ซึ่งตัง้ อยู ณ ท่ีขางนอก ที่ไดแกความไมมีแหง วิญญาณเปน ไป พึงเหน็ เหมือนผทู ีส่ ําคญั (เห็น) คนท่คี ดิ (เหน็ ) ความไมปลอดภัย แหงบรุ ุษผเู กาะมณฑป และคนผอู าศัย (เกาะ) บรุ ุษน้นั แลวยืนอยู เสยี ขางนอกนนั่ แหละวา เปนผมู ที า ดี จงึ อาศัย (องิ ) คนผูนั้นยืนอยู ฉะน้นั อนั เนวสญั ญานาสัญญายตนะน้ีเม่อื เปนไปอยา งนัน้ จาํ ตองทาํ อากญิ จัญญายตนะนนั้ ใหเปน อารมณ เพราะไมม อี ารมณอ นื่ ดจุ ดัง (ประชา) ชน จาํ ตองอาศยั พระราชาผูแมม ีความไมมีปรากฏ อยเู ปนไป เพราะการเลี้ยงชีพเปนเหตุฉะนั้น ขยายความวา เนวสัญญานาสญั ญายตนะน้ี จําตอ งทาํ อากิญจัญญายตนะ นนั้ แมท ่มี ีโทษอันเห็นอยูแลววา 'สมาบตั นิ ้ี มีขาศกึ คือวญิ ญาณญั จาย- ตนะอยูใกล' ดงั น้ี ใหเ ปน อารมณ เพราะไมมีอารมณอ ่ืน เปรยี บ เหมอื นอะไร ? เปรยี บเหมือน (ประชา) ชนจาํ ตอ งอาศยั พระราชาผแู มม ี ความไมด ปี รากฏอยเู ปน (อย)ู ไป เพราะการเลี้ยงชพี เปน เหตุฉะน้นั

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 265 อธบิ ายวา (ประชา) ชนเม่อื ไมไดก ารเลี้ยงชีพในประเทศอน่ื กจ็ ําตอ ง อาศัยพระราชาสกั องคหนึง่ ผไู มทรงสํารวม (ในศลี ) มคี วามประพฤติ ทางกายวาจาใจหยาบคาย แมมคี วามไมดีทใ่ี คร ๆ เห็นกนั วาพระราชานี้ เปนผมู ีความประพฤตหิ ยาบคาย ดงั น้ีเปน (อย)ู ไป เพราะการเลี้ยงชพี เปนเหตุฉนั ใด เนวสญั ญนาสัญญายตนะนเ้ี มือ่ ไมไ ดอารมณอ่นื ก็จาํ ตอง ทําอากิญจญั ญายตนะนั้นแมม ีโทษอันเห็นอยแู ลว ใหเ ปนอารมณฉ นั นน้ั เหมอื นกัน กแ็ ลเนวสญั ญานาสัญญายตนะนี้ เม่ือทาํ อยางน้นั กย็ อ มเกาะ (อากญิ จญั ญายตนะ) ฌานนน้ั เปน ไป (เพราะไมมีอะไรจะเกาะ) เหมือนอยาง คนขนึ้ บนั ไดยาว (ถงึ ข้ันบนแลว ) ก็ยอ มยึดหวั (แม) บนั ได (เพราะไมมีอะไรจะยึด) และ เหมอื นคนขน้ึ เขา (ดนิ ปนหิน) สุดแลว ก็ยดึ ยอดมนั (เพราะไมมอี ะไรจะยึด) หรอื เหมอื น คนขน้ึ เขา (โขดหิน) สดุ แลวก็ยนั เขา ของตน (เพราะไมม ีอะไรจะยึดยัน) ฉะนนั้ แล ปรเิ ฉทที่ ๑๐ ชื่ออารุปปนเิ ทส ในอธกิ ารแหง สมาธิภาวนา ในปกรณวิเศษชอ่ื วิสทุ ธิมรรค อันขา พเจาทําเพ่ือประโยชนแกค วามปราโมทยแ หง สาธุชน ด่ังน้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook