Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี 2540-2550 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560

เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี 2540-2550 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560

Published by flowerz_uk, 2019-12-24 01:37:32

Description: เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี 2540-2550 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560

Search

Read the Text Version

๙๘ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู ังคับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผูจ้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ นายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๐๒ วรรคสาม ภายในสิบหา้ วนั นับแต่ แตง่ ต้งั เป็นนายกรฐั มนตรีตามมาตรา ๑๗๒ วรรคสาม ใหป้ ระธานสภา วนั ท่ีพน้ กาหนดเวลาดังกลา่ ว ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนาความ ผ้แู ทนราษฎรนาความขึ้นกราบบังคมทูลภายในสบิ ห้าวันนับแต่วนั ท่พี ้น ข้นึ กราบบังคมทลู เพื่อทรงมพี ระบรมราชโองการแต่งต้ังบุคคลซึ่งไดร้ บั กาหนดเวลาดังกลา่ วเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแตง่ ต้ังบคุ คลซึ่ง คะแนนเสยี งสูงสุดเป็นนายกรฐั มนตรี ได้รับคะแนนเสยี งสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี มาตรา ๒๐๖ รัฐมนตรีต้องมีคณุ สมบตั ิและไมม่ ลี ักษณะ มาตรา ๑๗๔ รฐั มนตรตี ้องมคี ณุ สมบตั แิ ละไม่มลี กั ษณะ มาตรา ๑๖๐ รฐั มนตรีตอ้ ง ตอ้ งหา้ ม ดังต่อไปน้ี ตอ้ งห้าม ดังตอ่ ไปน้ี (๑) มสี ญั ชาตไิ ทยโดยการเกิด (๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด (๑) มสี ญั ชาติไทยโดยการเกิด (๒) มีอายุไมต่ า่ กวา่ สามสบิ หา้ ปี (๒) มอี ายุไมต่ า่ กว่าสามสบิ หา้ ปบี รบิ ูรณ์ (๒) มีอายไุ มต่ ่ากว่าสามสบิ ห้าปีบรบิ รู ณ์ (๓) สาเร็จการศึกษาไมต่ ่ากวา่ ปรญิ ญาตรีหรือเทียบเท่า (๓) สาเรจ็ การศึกษาไมต่ ่ากวา่ ปรญิ ญาตรีหรือเทยี บเท่า (๓) สาเรจ็ การศกึ ษาไมต่ ่ากว่าปรญิ ญาตรหี รอื เทยี บเทา่ (๔) มคี วามซอ่ื สัตยส์ จุ รติ เป็นท่ปี ระจักษ์ (๔) ไม่มลี กั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐๙ (๑) (๒) (๓) (๔) (๖) (๔) ไมม่ ีลกั ษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๐๒ (๑) (๒) (๓) (๔) (๖) (๕) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝา่ ฝนื หรอื ไม่ปฏบิ ตั ติ าม (๗) (๑๒) (๑๓) หรือ (๑๔) (๗) (๘) (๙) (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรอื (๑๔) มาตรฐานทางจริยธรรมอยา่ งรา้ ยแรง (๕) ไม่เคยต้องคาพิพากษาให้จาคกุ ตัง้ แต่สองปีข้นึ ไป โดยไดพ้ ้น (๕) ไม่เคยตอ้ งคาพิพากษาใหจ้ าคุกโดยได้พน้ โทษมายงั ไมถ่ ึงหา้ ปี (๖) ไม่มลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๙๘ โทษมายังไม่ถงึ ห้าปีก่อนได้รบั แต่งตั้ง เว้นแต่ในความผดิ อนั ได้กระทา กอ่ นได้รับแต่งต้ัง เว้นแตใ่ นความผดิ อันไดก้ ระทาโดยประมาทหรือ (๗) ไม่เป็นผู้ต้องคาพิพากษาใหจ้ าคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถงึ โดยประมาท ความผดิ ลหโุ ทษ ท่ีสดุ หรือมกี ารรอการลงโทษ เว้นแตใ่ นความผดิ อันไดก้ ระทาโดย (๖) ไมเ่ ปน็ สมาชกิ วุฒสิ ภา หรือเคยเป็นสมาชิกวฒุ สิ ภาซงึ่ (๖) ไมเ่ ปน็ สมาชิกวฒุ ิสภา หรือเคยเปน็ สมาชกิ วฒุ สิ ภาซ่ึง ประมาท ความผดิ ลหุโทษ หรอื ความผดิ ฐานหม่นิ ประมาท สมาชิกภาพสิ้นสดุ ลงมาแล้วยงั ไมเ่ กินหนึ่งปนี บั ถงึ วันท่ีไดร้ ับแต่งต้ัง สมาชกิ ภาพส้นิ สดุ ลงมาแลว้ ยังไมเ่ กนิ สองปนี บั ถงึ วนั ทไ่ี ด้รับแตง่ ตงั้ (๘) ไมเ่ ปน็ ผเู้ คยพน้ จากตาแหน่งเพราะเหตุกระทาการอันเปน็ เปน็ รัฐมนตรี เวน้ แตส่ มาชกิ ภาพสนิ้ สุดลงตามมาตรา ๑๓๓ (๑) เป็นรัฐมนตรี การตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๘๖ หรอื มาตรา ๑๘๗ มาแล้วยงั ไม่ถึงสอง มาตรา ๒๐๗ รฐั มนตรจี ะเปนขาราชการซงึ่ มีตาแหนงหรือ ปนี ับถงึ วนั แต่งตัง้ เงนิ เดอื นประจานอกจากขาราชการการเมืองมิได้ มาตรา ๒๐๔ นายกรัฐมนตรีและรฐั มนตรจี ะเป็นสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรหรอื สมาชิกวุฒสิ ภาในขณะเดยี วกนั มไิ ด้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรซ่ึงไดร้ ับแต่งตั้งเป็นนายกรฐั มนตรหี รอื รัฐมนตรีใหพ้ น้ จากตาแหน่งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในวันถัดจาก วนั ท่ีครบสามสบิ วนั นับแต่วนั ทม่ี พี ระบรมราชโองการแตง่ ตั้ง มาตรา ๒๐๕ ก่อนเข้ารบั หน้าท่ี รฐั มนตรตี ้องถวายสตั ย์ มาตรา ๑๗๕ ตรงกับมาตรา ๒๐๕ ของรฐั ธรรมนญู แห่ง มาตรา ๑๖๑ ก่อนเข้ารบั หนา้ ท่ี รัฐมนตรตี อ้ งถวายสตั ย์ ปฏญิ าณตอ่ พระมหากษัตรยิ ด์ ้วยถอ้ ยคา ดังตอ่ ไปนี้ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ปฏญิ าณตอ่ พระมหากษตั รยิ ด์ ว้ ยถอ้ ยคา ดังต่อไปนี้ “ขา้ พระพุทธเจ้า (ชือ่ ผปู้ ฏิญาณ) ขอถวายสตั ยป์ ฏิญาณว่า “ขา้ พระพทุ ธเจา้ (ชอ่ื ผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสตั ย์ปฏญิ าณว่า ขา้ พระพทุ ธเจ้าจะจงรักภกั ดตี ่อพระมหากษัตรยิ ์ และจะปฏิบตั หิ น้าที่ ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดตี ่อพระมหากษตั รยิ ์ และจะปฏิบัติ ดว้ ยความซื่อสตั ยส์ จุ รติ เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทัง้ หน้าทดี่ ้วยความซ่ือสัตยส์ จุ รติ เพือ่ ประโยชนข์ องประเทศและ

๙๙ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคบั บัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผูจ้ ดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ จะรกั ษาไว้และปฏิบตั ติ ามซ่งึ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยทุก ประชาชน ท้งั จะรักษาไวแ้ ละปฏบิ ตั ติ ามซึง่ รัฐธรรมนูญแหง่ ประการ” ราชอาณาจกั รไทยทุกประการ” ในกรณที ่โี ปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมให้คณะรัฐมนตรีปฏบิ ตั ิ หน้าทีไ่ ปพลางก่อนทีจ่ ะถวายสตั ยป์ ฏญิ าณ ให้คณะรฐั มนตรีนน้ั ดาเนนิ การตามมาตรา ๑๖๒ วรรคสองได้ ในกรณีเชน่ นี้ ให้ คณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๘ (๑) พน้ จากการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่นี ับแต่ วนั ทโ่ี ปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มดงั กล่าว มาตรา ๒๑๑ คณะรัฐมนตรที ่ีจะเข้าบริหารราชการแผ่นดนิ มาตรา ๑๗๖ คณะรฐั มนตรีท่ีจะเข้าบรหิ ารราชการแผ่นดิน มาตรา ๑๖๒ คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินตอ้ ง ต้องแถลงนโยบายตอ่ รัฐสภาโดยไม่มีการลงมติความไวว้ างใจ ท้งั นี้ ตอ้ งแถลงนโยบายตอ่ รัฐสภาและชี้แจงการดาเนินการตามแนวนโยบาย แถลงนโยบายต่อรฐั สภาซึ่งต้องสอดคลอ้ งกับหน้าทข่ี องรัฐ แนวนโยบาย ภายในสิบหา้ วนั นับแต่วนั เข้ารับหนา้ ที่ พืน้ ฐานแห่งรฐั ตามมาตรา ๗๕ โดยไม่มกี ารลงมตคิ วามไว้วางใจ ทัง้ น้ี แห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชแ้ี จงแหล่งท่มี าของรายไดท้ ี่จะ ก่อนแถลงนโยบายตอ่ รัฐสภาตามวรรคหนึง่ หากมกี รณีทสี่ าคัญ ภายในสบิ ห้าวนั นับแตว่ นั เข้ารับหนา้ ท่ี และเม่ือแถลงนโยบายตอ่ นามาใช้จา่ ยในการดาเนินนโยบาย โดยไม่มกี ารลงมตคิ วามไวว้ างใจ และจาเป็นเร่งด่วนซงึ่ หากปล่อยใหเ้ น่นิ ช้าไปจะกระทบตอ่ ประโยชน์ รัฐสภาแลว้ ตอ้ งจัดทาแผนการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ เพือ่ กาหนด ทง้ั นี้ ภายในสบิ หา้ วนั นับแต่วนั เข้ารับหน้าท่ี สาคญั ของแผ่นดนิ คณะรฐั มนตรที เ่ี ข้ารบั หนา้ ทจี่ ะดาเนนิ การไปพลาง แนวทางการปฏิบัติราชการแตล่ ะปตี ามมาตรา ๗๖ ก่อนแถลงนโยบายต่อรฐั สภาตามวรรคหน่งึ หากมกี รณีท่ี ก่อนเพยี งเทา่ ที่จาเปน็ ก็ได้ ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหน่ึง หากมีกรณที ่ีสาคัญ สาคญั และจาเป็นเร่งด่วนซงึ่ หากปลอ่ ยใหเ้ น่ินช้าไปจะกระทบต่อ และจาเปน็ เร่งดว่ นซ่งึ หากปล่อยให้เนนิ่ ชา้ ไปจะกระทบต่อประโยชน์ ประโยชนส์ าคญั ของแผน่ ดนิ คณะรัฐมนตรีทเี่ ขา้ รบั หนา้ ท่ีจะ สาคญั ของแผน่ ดนิ คณะรัฐมนตรที ่ีเขา้ รบั หนา้ ท่ีจะดาเนินการไปพลาง ดาเนินการไปพลางก่อนเพียงเทา่ ทีจ่ าเปน็ ก็ได้ ก่อนเพยี งเทา่ ทจ่ี าเปน็ ก็ได้ มาตรา ๒๑๐ รัฐมนตรีย่อมมสี ทิ ธเิ ข้าประชุมและแถลง มาตรา ๑๗๗ รฐั มนตรียอ่ มมสี ทิ ธเิ ข้าประชุมและแถลง มาตรา ๑๖๓ รัฐมนตรียอ่ มมสี ิทธเิ ข้าประชุมและแถลง ข้อเท็จจรงิ หรือแสดงความคดิ เห็นในท่ีประชุมสภา แตไ่ มม่ สี ทิ ธอิ อก ข้อเท็จจรงิ หรือแสดงความคดิ เห็นในที่ประชุมสภา และในกรณที ่สี ภา ขอ้ เทจ็ จริงหรอื แสดงความคดิ เหน็ ในท่ปี ระชุมสภาแตไ่ มม่ สี ิทธอิ อก เสยี งลงคะแนน ในกรณที ส่ี ภาผ้แู ทนราษฎรหรือวฒุ ิสภามีมติให้เข้า ผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามีมติใหเ้ ข้าประชุมในเรื่องใด รัฐมนตรีต้องเข้า เสยี งลงคะแนน เวน้ แตเ่ ปน็ การออกเสียงลงคะแนนในสภา ประชมุ ในเรอื่ งใด รฐั มนตรตี อ้ งเขา้ รว่ มประชุม รว่ มประชุม และใหน้ าเอกสิทธิ์ที่บัญญตั ไิ ว้ในมาตรา ๑๓๐ มาใช้บังคบั ผ้แู ทนราษฎรในกรณีท่ีรฐั มนตรีผนู้ นั้ เปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เอกสิทธิ์ท่ีบัญญตั ิไว้ในมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๕๘ ให้ โดยอนโุ ลม ด้วย และใหน้ าเอกสิทธ์ทิ บี่ ญั ญตั ิไว้ในมาตรา ๑๒๔ มาใช้บังคับโดย นามาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารฐั มนตรผี ใู้ ดเปน็ อนุโลม สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรในขณะเดยี วกันด้วย หา้ มมิให้รฐั มนตรผี ู้นน้ั ออกเสียงลงคะแนนในเรอื่ งทเี่ กี่ยวกบั การดารงตาแหน่ง การปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ี หรือการมสี ่วนไดเ้ สยี ในเรอื่ งน้ัน มาตรา ๒๑๒ ในการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ รัฐมนตรีต้อง มาตรา ๑๗๘ ในการบริหารราชการแผน่ ดนิ รฐั มนตรตี อ้ ง มาตรา ๑๖๔ ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรฐั มนตรี ดาเนินการตามบทบญั ญตั ิแหง่ รัฐธรรมนญู กฎหมาย และนโยบายทไ่ี ด้ ดาเนินการตามบทบญั ญตั แิ ห่งรฐั ธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายท่ไี ด้ ตอ้ งดาเนนิ การตามบทบญั ญัตแิ ห่งรัฐธรรมนญู กฎหมาย และ แถลงไว้ตามมาตรา ๒๑๑ และตอ้ งรับผดิ ชอบต่อสภาผ้แู ทนราษฎรใน แถลงไวต้ ามมาตรา ๑๗๖ และต้องรับผิดชอบต่อสภาผ้แู ทนราษฎรใน

๑๐๐ นาถะ ดวงวิชยั ผูบ้ งั คับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ หน้าที่ของตน รวมท้ังต้องรบั ผดิ ชอบร่วมกันตอ่ รัฐสภาในนโยบาย หนา้ ทีข่ องตน รวมทั้งต้องรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ต่อรัฐสภาในนโยบายทั่วไป นโยบายท่ไี ดแ้ ถลงไวต้ อ่ รัฐสภา และต้องปฏิบตั ติ ามหลักเกณฑ์ ทัว่ ไปของคณะรัฐมนตรี ของคณะรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ด้วย มาตรา ๒๑๓ ในกรณที ีม่ ปี ัญหาสาคญั เกยี่ วกบั การบรหิ ารราชการ มาตรา ๑๗๙ ตรงกับมาตรา ๒๑๓ ของรฐั ธรรมนูญแหง่ (๑) ปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีและใชอ้ านาจดว้ ยความซื่อสตั ย์ สจุ รติ เสยี สละ เปิดเผย และมคี วามรอบคอบและระมดั ระวังในการดาเนนิ แผ่นดนิ ทคี่ ณะรัฐมนตรเี ห็นสมควรจะฟงั ความคดิ เหน็ ของสมาชิกสภา ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กิจการตา่ ง ๆ เพ่ือประโยชนส์ งู สุดของประเทศและประชาชน สว่ นรวม ผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ ิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจง้ ไปยงั ประธานรฐั สภา (๒) รกั ษาวินัยในกิจการทีเ่ กย่ี วกบั เงนิ แผน่ ดนิ ตามกฎหมายว่า ขอให้มีการเปดิ อภปิ รายทว่ั ไปในทป่ี ระชมุ รว่ มกันของรฐั สภากไ็ ด้ ในกรณี ดว้ ยวนิ ัยการเงนิ การคลังของรฐั อยา่ งเคร่งครัด เช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมตใิ นปญั หาที่อภปิ รายมไิ ด้ (๓) ยึดถอื และปฏบิ ัตติ ามหลกั การบริหารกิจการบ้านเมืองทดี่ ี (๔) สร้างเสรมิ ใหท้ กุ ภาคสว่ นในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเปน็ มาตรา ๒๑๔ ในกรณีทค่ี ณะรฐั มนตรเี หน็ วา่ กจิ การในเรื่องใด มาตรา ๑๖๕ ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ยอ่ มมสี ทิ ธอิ อกเสยี ง ธรรม ผาสกุ และสามัคคปี รองดองกนั รัฐมนตรตี ้องรบั ผดิ ชอบตอ่ สภาผแู้ ทนราษฎรในเรอ่ื งท่ีอยู่ใน อาจกระทบถงึ ประโยชนไ์ ดเ้ สยี ของประเทศชาติหรือประชาชน ประชามติ หนา้ ท่แี ละอานาจของตน รวมทั้งตอ้ งรบั ผดิ ชอบร่วมกนั ต่อรัฐสภาใน การกาหนดนโยบายและการดาเนนิ การตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีโดยความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรีอาจปรกึ ษา การจดั ใหม้ กี ารออกเสยี งประชามตใิ ห้กระทาได้ในเหตุ มาตรา ๑๖๕ ตรงกับมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพื่อประกาศในราช ดงั ต่อไปนี้ มาตรา ๑๖๖ ในกรณที ่มี เี หตุอันสมควร คณะรฐั มนตรีจะ ขอให้มกี ารออกเสียงประชามติในเร่ืองใดอันมิใช่เรื่องทข่ี ดั หรือแย้งต่อ รฐั ธรรมนูญหรือเรอ่ื งทเ่ี ก่ยี วกับตัวบุคคลหรอื คณะบุคคลใดได้ ทง้ั นี้ ตามทีก่ ฎหมายบัญญัติ กิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียงประชามตไิ ด้ (๑) ในกรณที ค่ี ณะรฐั มนตรเี ห็นวา่ กิจการในเร่อื งใดอาจ การออกเสยี งประชามตติ อ้ งเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการขอ กระทบถงึ ประโยชน์ไดเ้ สยี ของประเทศชาตหิ รือประชาชน ปรึกษาความเหน็ ของประชาชนวา่ จะเห็นชอบหรือไมเ่ หน็ ชอบกิจการ นายกรัฐมนตรโี ดยความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรอี าจปรกึ ษา สาคัญในเรอื่ งใดเรื่องหน่ึงตามวรรคหนึง่ ซ่ึงมใิ ชเ่ รือ่ งท่ขี ัดหรือแย้งตอ่ ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรและประธานวุฒสิ ภาเพอ่ื ประกาศในราช รฐั ธรรมนูญน้ี การออกเสียงประชามติท่เี กีย่ วกับตัวบคุ คลใดบุคคล กจิ จานเุ บกษาใหม้ กี ารออกเสยี งประชามตไิ ด้ หน่งึ หรือคณะบคุ คลใดคณะบคุ คลหนงึ่ โดยเฉพาะ จะกระทามิได้ (๒) ในกรณีท่ีมีกฎหมายบญั ญตั ิใหม้ กี ารออกเสยี งประชามติ

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๐๑ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา ประกาศตามวรรคหนึง่ ตอ้ งกาหนดวนั ให้ประชาชนออกเสียง รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ประชามตซิ ึ่งจะต้องไมก่ ่อนเกา้ สิบวันแต่ไมช่ ้ากวา่ หนง่ึ รอ้ ยยสี่ บิ วันนบั รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ แตว่ นั ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวนั ออกเสยี งประชามตติ อ้ ง การออกเสยี งประชามตติ าม (๑) หรือ (๒) อาจจดั ให้เป็นการออก กาหนดเป็นวันเดยี วกนั ทว่ั ราชอาณาจักร เสียงเพ่ือมขี ้อยุตโิ ดยเสียงขา้ งมากของผมู้ สี ิทธิออกเสยี งประชามติใน ปัญหาท่ีจดั ใหม้ ีการออกเสียงประชามติ หรอื เปน็ การออกเสียงเพ่ือให้ ในระหวา่ งทป่ี ระกาศตามวรรคหนง่ึ มีผลใช้บังคบั รัฐต้อง คาปรึกษาแก่คณะรฐั มนตรีกไ็ ด้ เว้นแต่จะมกี ฎหมายบัญญตั ไิ ว้เป็นการ ดาเนินการใหบ้ คุ คลฝ่ายทเี่ หน็ ชอบและไม่เห็นชอบกบั กจิ การนนั้ เฉพาะ แสดงความคดิ เหน็ ของตนไดโ้ ดยเทา่ เทยี มกัน การออกเสยี งประชามตติ ้องเปน็ การใหอ้ อกเสียงเหน็ ชอบ บคุ คลผมู้ ีสิทธเิ ลือกต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรย่อมมสี ิทธอิ อก หรือไมเ่ หน็ ชอบในกิจการตามที่จดั ให้มีการออกเสยี งประชามติ และ เสยี งประชามติ การจัดการออกเสียงประชามติในเรอ่ื งทีข่ ดั หรอื แย้งต่อรัฐธรรมนญู หรอื เก่ยี วกับตัวบุคคลหรอื คณะบคุ คล จะกระทามไิ ด้ ในการออกเสียงประชามติ หากผลปรากฏวา่ มผี มู้ าใชส้ ทิ ธอิ อก เสยี งประชามติเปน็ จานวนไม่มากกว่าหนึง่ ในห้าของจานวนผมู้ ีสทิ ธิ กอ่ นการออกเสียงประชามติ รฐั ตอ้ งดาเนินการใหข้ ้อมลู อย่าง ออกเสียงประชามติ ให้ถือวา่ ประชาชนโดยเสยี งข้างมากไมเ่ ห็นชอบ เพยี งพอ และให้บคุ คลฝ่ายท่เี ห็นชอบและไมเ่ ห็นชอบกับกิจการนั้น ดว้ ยกบั เร่อื งทขี่ อปรกึ ษาน้นั แตถ่ า้ มีผูม้ าใชส้ ิทธอิ อกเสียงประชามติ มโี อกาสแสดงความคดิ เห็นของตนไดอ้ ยา่ งเทา่ เทยี มกัน มากกวา่ หนึ่งในห้าของจานวนผูม้ ีสทิ ธิออกเสียงประชามตแิ ละปรากฏ วา่ ผู้ออกเสยี งประชามตโิ ดยเสียงขา้ งมากใหค้ วามเห็นชอบ ใหถ้ อื ว่า หลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการออกเสยี งประชามติใหเ้ ปน็ ไปตาม ประชาชนโดยเสยี งข้างมากเหน็ ชอบดว้ ยกบั เรอ่ื งทข่ี อปรึกษานนั้ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซง่ึ อย่างน้อยต้องกาหนดรายละเอียดเกีย่ วกบั วธิ ีการออกเสียงประชามติ การออกเสยี งประชามตติ ามมาตราน้ีให้มผี ลเปน็ เพยี งการให้ ระยะเวลาในการดาเนนิ การ และจานวนเสียงประชามติ เพ่ือมีข้อยตุ ิ คาปรกึ ษาแก่คณะรัฐมนตรใี นเรอื่ งนั้น มาตรา ๑๘๐ รัฐมนตรีท้ังคณะพน้ จากตาแหน่ง เมื่อ มาตรา ๑๖๗ รฐั มนตรีท้งั คณะพน้ จากตาแหน่ง เม่ือ หลกั เกณฑ์และวิธกี ารออกเสียงประชามตใิ ห้เปน็ ไปตาม (๑) ความเป็นรฐั มนตรขี องนายกรฐั มนตรสี นิ้ สดุ ลงตามมาตรา (๑) ความเปน็ รฐั มนตรีของนายกรฐั มนตรสี น้ิ สดุ ลงตามมาตรา กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการออกเสียงประชามติ ๑๘๒ ๑๗๐ (๒) อายสุ ภาผแู้ ทนราษฎรสน้ิ สดุ ลงหรอื มีการยุบสภาผูแ้ ทน (๒) อายสุ ภาผแู้ ทนราษฎรสนิ้ สดุ ลงหรอื มีการยุบสภาผแู้ ทน มาตรา ๒๑๕ รฐั มนตรีทง้ั คณะพน้ จากตาแหนง่ เม่อื ราษฎร ราษฎร (๑) ความเปน็ รัฐมนตรขี องนายกรฐั มนตรสี น้ิ สดุ ลงตามมาตรา (๓) คณะรฐั มนตรลี าออก (๓) คณะรัฐมนตรลี าออก ๒๑๖ ในกรณที ี่ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีส้ินสดุ ลงตาม (๔) พ้นจากตาแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ (๒) อายุสภาผู้แทนราษฎรสนิ้ สดุ ลงหรือมีการยุบสภาผแู้ ทน มาตรา ๑๘๒ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๗) หรอื (๘) ให้ดาเนินการตาม ราษฎร มาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๓ โดยอนุโลม (๓) คณะรฐั มนตรีลาออก คณะรฐั มนตรที ีพ่ น้ จากตาแหน่ง ตอ้ งอยใู่ นตาแหน่งเพอ่ื ปฏบิ ัติ หน้าท่ีต่อไปจนกว่าคณะรฐั มนตรที ่ตี ้ังข้ึนใหม่จะเขา้ รับหน้าที่ แตใ่ น กรณีพน้ จากตาแหน่งตาม (๒) จะใช้อานาจแต่งตั้งหรอื ยา้ ยข้าราชการ

๑๐๒ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บงั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ซึ่งมตี าแหนง่ หรือเงนิ เดือนประจา หรอื พนักงานของหน่วยงานของรฐั หรือรัฐวสิ าหกจิ หรือใหบ้ ุคคลดงั กล่าวพ้นจากตาแหน่ง มไิ ด้ เว้นแต่จะ เม่อื รฐั มนตรที งั้ คณะพน้ จากตาแหนง่ ตาม (๑) (๓) หรอื (๔) ให้ ไดร้ ับความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการการเลือกตัง้ ดาเนนิ การเพอ่ื ให้มีคณะรัฐมนตรีขน้ึ ใหม่ตามมาตรา ๑๕๘ และ มาตรา ๑๕๙ มใิ หน้ าบทบัญญตั มิ าตรา ๑๑๘ (๗) และวรรคสอง และมาตรา ๒๐๔ มาใชบ้ ังคับกบั คณะรัฐมนตรที ่ีพ้นจากตาแหน่งและอยู่ใน มาตรา ๑๖๘ ให้คณะรฐั มนตรีท่ีพน้ จากตาแหนง่ อยปู่ ฏบิ ตั ิ ระหวา่ งท่ีปฏิบัตหิ นา้ ทีต่ ามวรรคสอง หน้าที่ต่อไป ภายใตเ้ งอ่ื นไข ดงั ตอ่ ไปนี้ ในกรณีทค่ี วามเป็นรัฐมนตรขี องนายกรฐั มนตรีสน้ิ สดุ ลงตาม (๑) ในกรณพี ้นจากตาแหนง่ ตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) หรอื มาตรา ๒๑๖ (๑) (๒) (๓) (๔) (๖) หรอื (๘) ใหด้ าเนินการตามมาตรา (๓) ให้อยู่ปฏิบตั ิหน้าทตี่ อ่ ไปจนกวา่ คณะรฐั มนตรีทีต่ ั้งขึน้ ใหมจ่ ะเข้า ๒๐๒ และมาตรา ๒๐๓ โดยอนโุ ลม รบั หนา้ ที่ เวน้ แต่ในกรณีทีน่ ายกรฐั มนตรพี น้ จากตาแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) เพราะเหตขุ าดคณุ สมบตั ิหรือมลี กั ษณะต้องหา้ มตาม มาตรา ๑๘๑ คณะรัฐมนตรที ่ีพ้นจากตาแหน่ง ตอ้ งอย่ใู น มาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๖๐ (๔) หรือ (๕) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ ตาแหนง่ เพือ่ ปฏบิ ัตหิ นา้ ทต่ี อ่ ไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตง้ั ขนึ้ ใหม่จะ ปฏบิ ัตหิ น้าท่ีตอ่ ไปมไิ ด้ เข้ารับหนา้ ท่ี แตใ่ นกรณพี น้ จากตาแหนง่ ตามมาตรา ๑๘๐ (๒) (๒) ในกรณพี ้นจากตาแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๔) คณะรัฐมนตรี ทพ่ี น้ จากตาแหน่งจะอยู่ปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ตี ่อไปมไิ ด้ ในกรณที ่ีคณะรัฐมนตรีอยูป่ ฏบิ ัตหิ นา้ ทีต่ อ่ ไปมไิ ด้ตาม (๒) หรอื คณะรัฐมนตรีทอี่ ยู่ปฏบิ ตั ิหน้าท่ตี อ่ ไปลาออกทั้งคณะ และเป็นกรณีที่ ไมอ่ าจดาเนนิ การตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ไดไ้ มว่ า่ ดว้ ย เหตใุ ด หรือยงั ดาเนนิ การตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ไม่แลว้ เสรจ็ ให้ปลดั กระทรวงปฏบิ ัติหน้าท่ีแทนรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงนั้น ๆ เฉพาะเทา่ ทีจ่ าเปน็ ไปพลางก่อน โดยใหป้ ลดั กระทรวงคัดเลือก กนั เองให้คนหนึง่ ปฏบิ ตั หิ น้าทแี่ ทนนายกรฐั มนตรี มาตรา ๑๖๙ คณะรฐั มนตรีทพี่ ้นจากตาแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๒) และตอ้ งปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ตอ่ ไปตามมาตรา ๑๖๘ ต้องปฏิบตั ิ หนา้ ท่ตี ามเงอื่ นไข ดงั ตอ่ ไปน้ี

๑๐๓ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๖ ความเปน็ รฐั มนตรสี ้ินสดุ ลงเฉพาะตัว เมอ่ื คณะรัฐมนตรแี ละรัฐมนตรีจะปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ไดเ้ ท่าท่จี าเป็น ภายใต้ (๑) ไม่กระทาการอนั มผี ลเป็นการอนมุ ตั ิงานหรือโครงการ (๑) ตาย (๒) ลาออก เง่อื นไขท่ีกาหนด ดงั ต่อไปนี้ หรือมผี ลเป็นการสรา้ งความผูกพันตอ่ คณะรัฐมนตรชี ดุ ตอ่ ไป เวน้ แต่ (๓) ขาดคุณสมบัติหรอื มลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๒๐๖ (๔) ต้องคาพิพากษาใหจ้ าคุก (๑) ไมก่ ระทาการอันเปน็ การใชอ้ านาจแตง่ ตงั้ หรือโยกยา้ ย ทก่ี าหนดไว้แลว้ ในงบประมาณรายจ่ายประจาปี (๕) สภาผูแ้ ทนราษฎรมมี ติไม่ไวว้ างใจตามมาตรา ๑๘๕ หรอื มาตรา ๑๘๖ ข้าราชการซงึ่ มีตาแหนง่ หรอื เงนิ เดอื นประจา หรือพนกั งานของ (๒) ไม่แตง่ ตง้ั หรอื โยกยา้ ยขา้ ราชการซึง่ มีตาแหน่งหรือ (๖) กระทาการอันต้องหา้ มตามมาตรา ๒๐๘ หรือมาตรา ๒๐๙ (๗) มีพระบรมราชโองการตามมาตรา ๒๑๗ หน่วยงานของรฐั รัฐวิสาหกจิ หรอื กจิ การท่ีรัฐถือหุ้นใหญ่ หรอื ให้ เงนิ เดอื นประจา หรอื พนกั งานของหนว่ ยงานของรัฐ รัฐวิสาหกจิ (๘) วุฒิสภามีมตติ ามมาตรา ๓๐๗ ใหถ้ อดถอนออกจากตาแหน่ง ใหน้ าบทบัญญตั ิมาตรา ๙๖ และมาตรา ๙๗ มาใช้บังคับกับการ บุคคลดงั กลา่ วพน้ จากการปฏบิ ตั หิ นา้ ทห่ี รือพน้ จากตาแหน่ง หรอื ให้ หรอื กิจการทรี่ ฐั ถอื หุ้นใหญ่ หรอื ใหบ้ คุ คลดงั กล่าวพน้ จากการปฏิบตั ิ สิน้ สดุ ของความเปน็ รัฐมนตรตี าม (๒) (๓) (๔) หรือ (๖) ผู้อ่ืนมาปฏิบตั หิ นา้ ทแี่ ทน เวน้ แตจ่ ะไดร้ ับความเหน็ ชอบจากคณะ หนา้ ทีห่ รอื พ้นจากตาแหนง่ หรอื ใหผ้ ูอ้ น่ื มาปฏิบัติหนา้ ท่แี ทน เว้นแต่ กรรมการการเลือกตง้ั ก่อน จะไดร้ ับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งกอ่ น (๒)ไม่กระทาการอนั มีผลเปน็ การอนุมัตใิ หใ้ ชจ้ า่ ยงบประมาณ (๓) ไม่กระทาการอันมผี ลเปน็ การอนุมัติใหใ้ ช้จา่ ยงบประมาณ สารองจ่ายเพ่ือกรณีฉุกเฉนิ หรือจาเปน็ เวน้ แต่จะไดร้ ับความเห็นชอบ สารองจา่ ยเพื่อกรณีฉกุ เฉนิ หรือจาเปน็ เวน้ แต่จะไดร้ บั ความเห็นชอบ จากคณะกรรมการการเลอื กตั้งกอ่ น จากคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ก่อน (๓) ไมก่ ระทาการอันมีผลเป็นการอนมุ ตั งิ านหรือโครงการ หรือมี (๔) ไมใ่ ช้ทรพั ยากรของรฐั หรอื บคุ ลากรของรัฐเพ่ือกระทาการ ผลเป็นการสรา้ งความผกู พันต่อคณะรัฐมนตรีชดุ ตอ่ ไป ใดอันอาจมีผลตอ่ การเลือกต้ัง และไม่กระทาการอนั เปน็ การฝ่าฝนื (๔) ไมใ่ ชท้ รพั ยากรของรัฐหรอื บุคลากรของรัฐเพือ่ กระทาการ ขอ้ หา้ มตามระเบยี บท่คี ณะกรรมการการเลือกต้ังกาหนด ใดซงึ่ จะมผี ลต่อการเลอื กต้ัง และไม่กระทาการอนั เป็นการฝ่าฝืนขอ้ หา้ มตามระเบยี บทคี่ ณะกรรมการการเลอื กต้ังกาหนด มาตรา ๑๘๒ ความเปน็ รัฐมนตรีสน้ิ สุดลงเฉพาะตัว เมอื่ มาตรา ๑๗๐ ความเป็นรัฐมนตรสี ิ้นสุดลงเฉพาะตวั เม่ือ (๑) ตาย (๑) ตาย (๒) ลาออก (๒) ลาออก (๓) ต้องคาพพิ ากษาให้จาคุก แม้คดีนน้ั จะยงั ไม่ถึงที่สุดหรือมี (๓) สภาผู้แทนราษฎรมมี ตไิ มไ่ วว้ างใจ การรอการลงโทษ เว้นแตเ่ ป็นกรณที ีค่ ดียังไมถ่ งึ ทสี่ ุดหรือมีการรอ (๔) ขาดคณุ สมบตั ิหรือมลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๖๐ การลงโทษในความผดิ อันไดก้ ระทาโดยประมาท ความผิดลหโุ ทษ หรอื (๕) กระทาการอนั เปน็ การตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๘๖ หรือ ความผดิ ฐานหม่นิ ประมาท มาตรา ๑๘๗ (๔) สภาผแู้ ทนราษฎรมมี ตไิ มไ่ วว้ างใจตามมาตรา ๑๕๘ หรอื (๖) มีพระบรมราชโองการให้พน้ จากความเป็นรฐั มนตรีตาม มาตรา ๑๕๙ มาตรา ๑๗๑ (๕) ขาดคณุ สมบตั ิหรือมีลักษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๗๔ นอกจากเหตทุ ่ที าให้ความเปน็ รฐั มนตรีส้ินสดุ ลงเฉพาะตวั ตาม (๖) มพี ระบรมราชโองการให้พ้นจากความเปน็ รัฐมนตรีตาม วรรคหนึง่ แลว้ ความเปน็ รฐั มนตรขี องนายกรฐั มนตรสี น้ิ สดุ ลงเมื่อ มาตรา ๑๘๓ ครบกาหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ดว้ ย

รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๐๔ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา มาตรา ๒๑๗ พระมหากษตั รยิ ท์ รงไวซ้ งึ่ พระราชอานาจในการ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ใหร้ ฐั มนตรพี ้นจากความเปน็ รฐั มนตรตี ามทนี่ ายกรฐั มนตรีถวาย รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ คาแนะนา (๗) กระทาการอนั ตอ้ งห้ามตามมาตรา ๒๖๗ มาตรา ๒๖๘ หรอื มาตรา ๒๖๙ ใหน้ าความในมาตรา ๘๒ มาใช้บงั คับแก่การสิ้นสุดของความ มาตรา ๒๑๘ ในกรณีเพอื่ ประโยชนใ์ นอนั ทจ่ี ะรกั ษาความ เปน็ รฐั มนตรีตาม (๒) (๔) หรอื (๕) หรอื วรรคสอง โดยอนุโลม เพ่อื ปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมน่ั คงในทาง (๘) วฒุ สิ ภามมี ติตามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนออกจาก ประโยชนแ์ หง่ การนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอานาจสง่ เร่อื ง เศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพบิ ตั ิสาธารณะ พระมหากษตั ริย์ ตาแหน่ง ใหศ้ าลรฐั ธรรมนญู วินจิ ฉัยไดด้ ้วย จะทรงตราพระราชกาหนดให้ใช้บังคับดงั เช่นพระราชบัญญัติกไ็ ด้ นอกจากเหตุทท่ี าให้ความเปน็ รัฐมนตรีสนิ้ สุดลงเฉพาะตัวตาม มาตรา ๑๗๑ ตรงกบั มาตรา ๑๘๓ ของรัฐธรรมนญู แห่ง การตราพระราชกาหนดตามวรรคหน่ึง ใหก้ ระทาไดเ้ ฉพาะเม่อื วรรคหนงึ่ แลว้ ความเปน็ รัฐมนตรขี องนายกรัฐมนตรสี น้ิ สดุ ลงเมือ่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ คณะรัฐมนตรเี หน็ ว่าเปน็ กรณฉี ุกเฉนิ ท่ีมคี วามจาเปน็ รีบด่วนอนั มิ ครบกาหนดเวลาตามมาตรา ๑๗๑ วรรคสี่ ด้วย อาจจะหลีกเลี่ยงได้ มาตรา ๑๗๒ ในกรณเี พ่อื ประโยชน์ในอันท่ีจะรกั ษาความ ให้นาบทบัญญัตมิ าตรา ๙๑ และมาตรา ๙๒ มาใช้บังคับกับการ ปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมนั่ คงในทาง ในการประชุมรัฐสภาคราวตอ่ ไป ให้คณะรัฐมนตรเี สนอพระราช สิ้นสุดของความเป็นรฐั มนตรตี าม (๒) (๓) (๕) หรอื (๗) หรือวรรคสอง เศรษฐกจิ ของประเทศ หรือป้องปดั ภัยพบิ ัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์ กาหนดน้นั ตอ่ รฐั สภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักชา้ ถา้ อยู่นอกสมยั ประชมุ โดยใหค้ ณะกรรมการการเลือกตัง้ เป็นผู้สง่ เรอ่ื งให้ศาลรัฐธรรมนญู จะทรงตราพระราชกาหนดให้ใชบ้ งั คบั ดังเช่นพระราชบญั ญตั ิกไ็ ด้ และการรอการเปิดสมัยประชมุ สามัญจะเปน็ การชกั ชา้ คณะรัฐมนตรี วินจิ ฉยั ได้ด้วย ตอ้ งดาเนินการใหม้ ีการเรียกประชมุ รฐั สภาสมัยวิสามัญเพือ่ พิจารณา การตราพระราชกาหนดตามวรรคหนึง่ ให้กระทาไดเ้ ฉพาะเมอื่ อนุมตั หิ รอื ไม่อนุมตั พิ ระราชกาหนดโดยเร็ว ถา้ สภาผแู้ ทนราษฎรไม่ มาตรา ๑๘๓ ตรงกับมาตรา ๒๑๗ ของรัฐธรรมนูญแหง่ คณะรฐั มนตรเี หน็ วา่ เป็นกรณฉี ุกเฉินทีม่ ีความจาเป็นรบี ดว่ นอันมิ อนุมตั ิ หรือสภาผ้แู ทนราษฎรอนุมตั แิ ตว่ ุฒิสภาไม่อนุมตั ิและสภา ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ อาจจะหลกี เลี่ยงได้ ผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมตั ดิ ว้ ยคะแนนเสยี งไมม่ ากกวา่ ก่ึงหนงึ่ ของ จานวนสมาชกิ ท้งั หมดเท่าท่ีมีอยูข่ องสภาผแู้ ทน มาตรา ๑๘๔ ตรงกับมาตรา ๒๑๘ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ในการประชุมรฐั สภาคราวตอ่ ไป ใหค้ ณะรัฐมนตรีเสนอพระ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ราชกาหนดน้นั ต่อรัฐสภาเพ่ือพิจารณาโดยไม่ชกั ช้า ถ้าอยูน่ อกสมัย ประชุมและการรอการเปดิ สมัยประชมุ สามญั จะเปน็ การชกั ชา้ คณะรัฐมนตรตี อ้ งดาเนนิ การใหม้ กี ารเรยี กประชุมรัฐสภาสมัย วิสามญั เพอื่ พิจารณาอนมุ ัตหิ รอื ไมอ่ นุมตั ิพระราชกาหนดโดยเร็ว ถา้ สภาผู้แทนราษฎรไมอ่ นมุ ตั ิ หรอื สภาผู้แทนราษฎรอนุมตั ิแตว่ ฒุ สิ ภา ไม่อนมุ ัตแิ ละสภาผูแ้ ทนราษฎรยืนยนั การอนมุ ตั ดิ ว้ ยคะแนนเสียงไม่ มากกว่ากง่ึ หนึ่งของจานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเท่าทีม่ ีอยขู่ องสภาผแู้ ทน

๑๐๕ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ งั คับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ราษฎร ใหพ้ ระราชกาหนดนั้นตกไป แตท่ ้งั นไี้ ม่กระทบกระเทอื น ราษฎร ให้พระราชกาหนดนั้นตกไป แตท่ ้ังนีไ้ ม่กระทบตอ่ กจิ การทไ่ี ด้ กิจการทไี่ ดเ้ ป็นไปในระหว่างทใี่ ช้พระราชกาหนดนน้ั เป็นไปในระหวา่ งทีใ่ ช้พระราชกาหนดน้ัน หากพระราชกาหนดตามวรรคหนงึ่ มผี ลเปน็ การแกไ้ ขเพม่ิ เติม หากพระราชกาหนดตามวรรคหนึ่งมีผลเปน็ การแก้ไขเพิม่ เติม หรอื ยกเลิกบทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายใด และพระราชกาหนดนน้ั ตอ้ งตก หรอื ยกเลิกบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายใด และพระราชกาหนดนั้นตอ้ งตก ไปตามวรรคสาม ให้บทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายที่มอี ยู่ก่อนการแก้ไข ไปตามวรรคสาม ใหบ้ ทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายทมี่ ีอยู่กอ่ นการแกไ้ ข เพ่มิ เตมิ หรอื ยกเลิก มผี ลใชบ้ ังคบั ต่อไปนับแตว่ นั ที่การไม่อนมุ ตั ิพระ เพม่ิ เตมิ หรอื ยกเลิก มผี ลใชบ้ ังคบั ตอ่ ไปนบั แต่วนั ที่การไม่อนุมตั พิ ระ ราชกาหนดน้นั มผี ล ราชกาหนดนั้นมีผล ถ้าสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัตพิ ระราชกาหนดนั้น ถา้ สภาผู้แทนราษฎรและวฒุ ิสภาอนุมตั ิพระราชกาหนดน้ัน หรือถ้าวฒุ สิ ภาไมอ่ นมุ ตั แิ ละสภาผแู้ ทนราษฎรยนื ยันการอนุมตั ิดว้ ย หรือถ้าวุฒิสภาไมอ่ นุมตั ิและสภาผแู้ ทนราษฎรยืนยนั การอนุมตั ิดว้ ย คะแนนเสยี งมากกวา่ กึง่ หนึ่งของจานวนสมาชกิ ท้ังหมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ อง คะแนนเสยี งมากกว่ากึง่ หนงึ่ ของจานวนสมาชกิ ท้ังหมดเทา่ ทมี่ อี ยู่ สภาผู้แทนราษฎร ให้พระราชกาหนดนัน้ มผี ลใชบ้ ังคับเป็น ของสภาผู้แทนราษฎร ใหพ้ ระราชกาหนดนน้ั มผี ลใช้บังคับเปน็ พระราชบญั ญตั ิตอ่ ไป พระราชบัญญัตติ อ่ ไป การอนมุ ัติหรือไม่อนมุ ตั พิ ระราชกาหนด ให้นายกรัฐมนตรี การอนุมัตหิ รอื ไม่อนมุ ตั ิพระราชกาหนด ให้นายกรัฐมนตรี ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ในกรณไี มอ่ นุมัติ ใหม้ ผี ลตัง้ แต่วนั ถดั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ในกรณไี ม่อนมุ ัติ ใหม้ ผี ลตงั้ แต่วนั ถัด จากวนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา การพิจารณาพระราชกาหนดของสภาผู้แทนราษฎรและของ การพจิ ารณาพระราชกาหนดของสภาผแู้ ทนราษฎรและของ วฒุ สิ ภาในกรณียนื ยนั การอนุมัติพระราชกาหนด จะต้องกระทาใน วุฒสิ ภา และการยนื ยนั การอนมุ ตั พิ ระราชกาหนด จะต้องกระทาใน โอกาสแรกท่ีมกี ารประชมุ สภานน้ั ๆ โอกาสแรกท่มี กี ารประชุมสภานน้ั ๆ มาตรา ๒๑๙ ก่อนทส่ี ภาผู้แทนราษฎรหรอื วุฒสิ ภาจะได้อนุมตั ิ มาตรา ๑๘๕ ก่อนทสี่ ภาผแู้ ทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้อนมุ ตั ิ มาตรา ๑๗๓ กอ่ นทสี่ ภาผ้แู ทนราษฎรหรอื วฒุ ิสภาจะไดอ้ นมุ ตั ิ พระราชกาหนดใดตามมาตรา ๒๑๘ วรรคสาม สมาชิกสภาผแู้ ทน พระราชกาหนดใดตามมาตรา ๑๘๔ วรรคสาม สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร พระราชกาหนดใด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ สิ ภา ราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ สิ ภาจานวนไมน่ ้อยกวา่ หนง่ึ ในห้าของจานวน หรือสมาชิกวุฒสิ ภาจานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในห้าของจานวนสมาชกิ จานวนไม่น้อยกวา่ หน่งึ ในห้าของจานวนสมาชิกทั้งหมดเทา่ ทม่ี ีอยู่ สมาชกิ ท้งั หมดเทา่ ทม่ี ีอยูข่ องแตล่ ะสภา มีสิทธเิ ข้าชือ่ เสนอความเหน็ ท้ังหมดเท่าท่มี ีอย่ขู องแต่ละสภา มีสิทธเิ ขา้ ช่ือเสนอความเห็นตอ่ ของแต่ละสภา มีสิทธเิ ขา้ ชือ่ เสนอความเห็นตอ่ ประธานแห่งสภาท่ีตน ต่อประธานแห่งสภาท่ตี นเป็นสมาชิกวา่ พระราชกาหนดนนั้ ไมเ่ ป็นไป ประธานแห่งสภาท่ีตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกาหนดนนั้ ไม่เป็นไปตาม เปน็ สมาชิก วา่ พระราชกาหนดน้นั ไมเ่ ป็นไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรค ตามมาตรา ๒๑๘ วรรคหน่งึ และให้ประธานแห่งสภาท่ีไดร้ ับ มาตรา ๑๘๔ วรรคหนึง่ หรือวรรคสอง และให้ประธานแหง่ สภาน้นั สง่ หน่งึ และให้ประธานแห่งสภานัน้ สง่ ความเหน็ ไปยังศาลรฐั ธรรมนญู ความเหน็ ดังกล่าว ส่งความเหน็ นน้ั ไปยังศาลรฐั ธรรมนญู เพื่อวนิ ิจฉยั ความเหน็ ไปยงั ศาลรัฐธรรมนูญภายในสามวันนบั แต่วันที่ได้รับ ภายในสามวันนับแต่วันทไี่ ด้รบั ความเห็นเพ่ือวนิ ิจฉยั และให้รอการ เม่ือศาลรัฐธรรมนญู วนิ จิ ฉยั แล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคาวินิจฉัยนน้ั ความเหน็ เพื่อวินจิ ฉัย เมอ่ื ศาลรัฐธรรมนญู วินิจฉยั แลว้ ใหศ้ าล พิจารณาพระราชกาหนดนนั้ ไว้กอ่ นจนกว่าจะได้รับแจ้งคาวนิ ิจฉยั ไปยงั ประธานแห่งสภาทสี่ ่งความเห็นน้นั มา รัฐธรรมนูญแจง้ คาวินิจฉัยนัน้ ไปยงั ประธานแหง่ สภาท่สี ่งความเห็น ของศาลรัฐธรรมนูญ เมอ่ื ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื ประธานวุฒิสภาไดร้ บั นั้นมา ความเหน็ ของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ สิ ภาตามวรรค

๑๐๖ นาถะ ดวงวชิ ัย ผ้บู งั คับบัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ หนึ่งแลว้ ใหร้ อการพจิ ารณาพระราชกาหนดนน้ั ไวก้ ่อนจนกว่าจะไดร้ บั เมือ่ ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรหรอื ประธานวุฒสิ ภาไดร้ บั ให้ศาลรฐั ธรรมนญู มคี าวินจิ ฉยั ภายในหกสิบวนั นบั แตว่ นั ทีไ่ ด้รบั แจ้งคาวนิ ิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ตามวรรคหนง่ึ ความเห็นของสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ ิสภาตามวรรค เรือ่ ง และให้ศาลรัฐธรรมนญู แจ้งคาวนิ จิ ฉัยน้นั ไปยงั ประธานแหง่ สภาท่ี ในกรณีทีศ่ าลรฐั ธรรมนูญวนิ จิ ฉยั วา่ พระราชกาหนดใดไมเ่ ปน็ ไป หนึ่งแลว้ ใหร้ อการพิจารณาพระราชกาหนดน้นั ไว้ก่อนจนกวา่ จะ สง่ ความเหน็ น้ันมา ตามมาตรา ๒๑๘ วรรคหน่ึง ให้พระราชกาหนดน้นั ไม่มผี ลบงั คับมาแต่ต้น ไดร้ ับแจง้ คาวินจิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู ตามวรรคหน่ึง ในกรณที ี่ศาลรัฐธรรมนูญวนิ จิ ฉยั วา่ พระราชกาหนดใดไม่ คาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนญู ว่าพระราชกาหนดใดไม่เป็นไป ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินจิ ฉยั วา่ พระราชกาหนดใดไม่ เปน็ ไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนงึ่ ใหพ้ ระราชกาหนดนัน้ ไมม่ ผี ลใช้ ตามมาตรา ๒๑๘ วรรคหนง่ึ ต้องมีคะแนนเสียงไม่นอ้ ยกวา่ สองในสาม เปน็ ไปตามมาตรา ๑๘๔ วรรคหนงึ่ หรอื วรรคสอง ใหพ้ ระราชกาหนด บังคบั มาแตต่ น้ ของจานวนตุลาการศาลรัฐธรรมนญู ทั้งหมด นัน้ ไม่มผี ลบังคับมาแตต่ ้น คาวนิ จิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู วา่ พระราชกาหนดใดไม่เป็นไป คาวนิ จิ ฉยั ของศาลรฐั ธรรมนญู วา่ พระราชกาหนดใดไมเ่ ปน็ ไปตาม ตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนงึ่ ต้องมีคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกว่าสองใน มาตรา ๑๘๔ วรรคหน่ึงหรอื วรรคสอง ตอ้ งมคี ะแนนเสยี งไมน่ ้อยกวา่ สอง สามของจานวนตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ทั้งหมดเท่าทีม่ อี ยู่ ในสามของจานวนตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ท้ังหมด มาตรา ๒๒๐ ในระหวา่ งสมัยประชุม ถา้ มีความจาเปน็ ตอ้ งมี มาตรา ๑๘๖ ในระหวา่ งสมยั ประชมุ ถ้ามคี วามจาเปน็ ตอ้ งมี มาตรา ๑๗๔ ในกรณที มี่ คี วามจาเป็นตอ้ งมีกฎหมายเก่ยี ว กฎหมายเก่ียวดว้ ยภาษอี ากรหรอื เงินตราซ่ึงจะต้องได้รับการพจิ ารณา กฎหมายเก่ียวดว้ ยภาษอี ากรหรอื เงินตราซง่ึ จะต้องไดร้ ับการพจิ ารณาโดย ดว้ ยภาษอี ากรหรือเงนิ ตราซงึ่ จะตอ้ งได้รบั การพจิ ารณาโดยดว่ นและ โดยด่วนและลับเพือ่ รักษาประโยชนข์ องแผน่ ดิน พระมหากษตั ริยจ์ ะ ด่วนและลับเพอ่ื รักษาประโยชน์ของแผ่นดนิ พระมหากษัตรยิ จ์ ะทรงตรา ลับเพ่อื รักษาประโยชน์ของแผ่นดนิ พระมหากษตั ริย์จะทรงตราพระ ทรงตราพระราชกาหนดใหใ้ ช้บงั คบั ดังเชน่ พระราชบัญญัติกไ็ ด้ พระราชกาหนดให้ใชบ้ ังคับดงั เชน่ พระราชบญั ญตั ิกไ็ ด้ ราชกาหนดให้ใชบ้ ังคับดังเช่นพระราชบัญญตั กิ ็ได้ พระราชกาหนดทีไ่ ดต้ ราข้ึนตามวรรคหนึ่ง จะตอ้ งนาเสนอตอ่ พระราชกาหนดท่ไี ดต้ ราขึ้นตามวรรคหน่ึง จะตอ้ งนาเสนอตอ่ ใหน้ าความในมาตรา ๑๗๒ วรรคสาม วรรคส่ี วรรคหา้ วรรค สภาผแู้ ทนราษฎรภายในสามวนั นบั แตว่ ันถดั จากวันประกาศในราช สภาผ้แู ทนราษฎรภายในสามวนั นบั แต่วันถัดจากวันประกาศในราช หก และวรรคเจด็ มาใช้บังคบั แก่พระราชกาหนดที่ไดต้ ราขนึ้ ตาม กจิ จานเุ บกษา และให้นาบทบัญญตั มิ าตรา ๒๑๘ มาใชบ้ งั คับโดย กจิ จานเุ บกษา และใหน้ าบทบัญญตั มิ าตรา ๑๘๔ มาใช้บงั คบั โดย วรรคหนง่ึ โดยอนุโลม แต่ถา้ เป็นการตราข้นึ ในระหวา่ งสมยั ประชมุ อนโุ ลม อนุโลม จะตอ้ งนาเสนอตอ่ สภาผู้แทนราษฎรภายในสามวันนบั แต่วนั ถัดจาก วันประกาศในราชกิจจานเุ บกษา มาตรา ๒๒๑ พระมหากษตั รยิ ์ทรงไวซ้ ่ึงพระราชอานาจในการ มาตรา ๑๘๗ ตรงกับมาตรา ๒๒๑ ของรัฐธรรมนูญแหง่ มาตรา ๑๗๕ ตรงกับมาตรา ๑๘๗ ของรฐั ธรรมนญู แห่ง ตราพระราชกฤษฎกี าโดยไมข่ ดั ต่อกฎหมาย ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๒๒ พระมหากษัตริยท์ รงไว้ซึ่งพระราชอานาจในการ มาตรา ๑๘๘ ตรงกบั มาตรา ๒๒๒ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ มาตรา ๑๗๖ พระมหากษตั รยิ ์ทรงไว้ซึ่งพระราชอานาจใน ประกาศใชแ้ ละเลิกใช้กฎอยั การศกึ ตามลักษณะและวธิ ีการตาม ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ การประกาศใช้และเลิกใชก้ ฎอัยการศึก กฎหมายวา่ ดว้ ยกฎอยั การศึก ในกรณีท่ีมคี วามจาเป็นต้องประกาศใชก้ ฎอัยการศึกเฉพาะ ในกรณีทีม่ คี วามจาเป็นตอ้ งประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ เฉพาะแห่ง แห่งเปน็ การรบี ดว่ น เจา้ หน้าทฝี่ ่ายทหารย่อมกระทาได้ตามกฎหมาย เป็นการรีบด่วน เจา้ หนา้ ทฝี่ า่ ยทหารย่อมกระทาไดต้ ามกฎหมายว่า วา่ ด้วยกฎอัยการศึก ด้วยกฎอัยการศึก

๑๐๗ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ งั คับบญั ชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒๓ พระมหากษตั ริย์ทรงไวซ้ งึ่ พระราชอานาจใน มาตรา ๑๘๙ พระมหากษัตริย์ทรงไวซ้ ึ่งพระราชอานาจใน มาตรา ๑๗๗ พระมหากษตั ริย์ทรงไวซ้ ่ึงพระราชอานาจใน การประกาศสงครามเมอ่ื ไดร้ ับความเหน็ ชอบจากรัฐสภา การประกาศสงครามเมื่อไดร้ บั ความเหน็ ชอบของรัฐสภา การประกาศสงครามเมื่อไดร้ บั ความเห็นชอบของรฐั สภา มตใิ ห้ความเห็นชอบของรฐั สภาตอ้ งมีคะแนนเสียงไมน่ ้อยกวา่ สองในสามของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเท่าทม่ี อี ยู่ของท้งั สองสภา มตใิ หค้ วามเหน็ ชอบของรัฐสภาตอ้ งมคี ะแนนเสยี งไมน่ อ้ ย มติให้ความเห็นชอบของรฐั สภาตอ้ งมีคะแนนเสียงไมน่ อ้ ยกวา่ ในระหว่างทอ่ี ายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสดุ ลงหรือสภา กว่าสองในสามของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเท่าที่มีอย่ขู องทงั้ สองสภา สองในสามของจานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเท่าทม่ี ีอยขู่ องทัง้ สองสภา ผแู้ ทนราษฎรถกู ยบุ ให้วุฒิสภาทาหนา้ ท่ีรัฐสภาในการให้ความ เหน็ ชอบตามวรรคหน่งึ และการลงมติต้องมคี ะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกวา่ ในระหว่างท่อี ายุสภาผูแ้ ทนราษฎรส้นิ สุดลงหรอื สภาผ้แู ทน สองในสามของจานวนสมาชิกวฒุ สิ ภาท้ังหมดเทา่ ที่มอี ยู่ ราษฎรถูกยบุ ให้วฒุ ิสภาทาหน้าทร่ี ฐั สภาในการใหค้ วามเห็นชอบตาม มาตรา ๒๒๔ พระมหากษัตรยิ ์ทรงไวซ้ ่ึงพระราชอานาจในการ ทาหนงั สอื สัญญาสันติภาพ สญั ญาสงบศึก และสัญญาอน่ื กับนานา วรรคหน่ึง และการลงมติต้องมคี ะแนนเสยี งไม่น้อยกวา่ สองในสามของ ประเทศหรือกบั องค์การระหว่างประเทศ จานวนสมาชกิ วุฒสิ ภาท้ังหมดเท่าท่ีมีอยู่ หนงั สือสญั ญาใดมีบทเปลยี่ นแปลงอาณาเขตไทยหรือเขต อานาจแห่งรัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญตั เิ พอื่ ใหก้ ารเปน็ ไปตาม มาตรา ๑๙๐ พระมหากษตั ริยท์ รงไว้ซง่ึ พระราชอานาจใน มาตรา ๑๗๘ พระมหากษัตรยิ ์ทรงไวซ้ ่ึงพระราชอานาจใน สัญญา ต้องไดร้ บั ความเหน็ ชอบของรฐั สภา การทาหนังสือสญั ญาสันตภิ าพ สญั ญาสงบศึก และสัญญาอื่น กบั การทาหนังสอื สญั ญาสนั ตภิ าพ สญั ญาสงบศกึ และสญั ญาอ่ืนกบั นานาประเทศหรอื กบั องคก์ ารระหวา่ งประเทศ นานาประเทศหรือกบั องค์การระหว่างประเทศ หนงั สือสญั ญาใดมบี ทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพ้ืนที่ หนังสอื สัญญาใดมบี ทเปล่ยี นแปลงอาณาเขตไทย หรอื เขต นอกอาณาเขตซึง่ ประเทศไทยมสี ิทธิอธิปไตยหรอื มเี ขตอานาจตาม พน้ื ทน่ี อกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมสี ิทธอิ ธปิ ไตยหรือมเี ขตอานาจ หนงั สอื สญั ญาหรือตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ หรอื จะต้องออก ตามหนังสอื สญั ญาหรือตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ หรอื จะต้อง พระราชบัญญตั ิเพ่ือใหก้ ารเป็นไปตามหนังสอื สัญญา หรอื มีผลกระทบ ออกพระราชบญั ญตั ิเพือ่ ใหก้ ารเปน็ ไปตามหนงั สอื สญั ญา และ ตอ่ ความมัน่ คงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอยา่ งกว้างขวาง หรือ หนังสอื สญั ญาอน่ื ทอี่ าจมผี ลกระทบต่อความม่ันคงทางเศรษฐกจิ มีผลผูกพนั ดา้ นการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอยา่ งมี สงั คม หรอื การค้าหรอื การลงทนุ ของประเทศอยา่ งกว้างขวาง ต้อง นัยสาคญั ตอ้ งไดร้ บั ความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะตอ้ ง ได้รับความเหน็ ชอบของรัฐสภา ในการนี้ รฐั สภาต้องพจิ ารณาให้ พิจารณาใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในหกสิบวันนบั แต่วันทไี่ ดร้ บั เร่ืองดังกลา่ ว แล้วเสร็จภายในหกสบิ วันนบั แตว่ นั ทีไ่ ด้รบั เรื่อง หากรฐั สภาพจิ ารณา กอ่ นการดาเนินการเพ่ือทาหนงั สอื สัญญากับนานาประเทศ ไมแ่ ล้วเสร็จภายในกาหนดเวลาดังกลา่ ว ให้ถอื ว่ารฐั สภาให้ความ หรอื องคก์ ารระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีตอ้ งให้ เหน็ ชอบ ข้อมลู และจัดให้มกี ารรบั ฟังความคิดเหน็ ของประชาชน และต้อง หนังสอื สญั ญาอน่ื ท่ีอาจมผี ลกระทบต่อความมนั่ คงทาง ชแ้ี จงต่อรัฐสภาเกยี่ วกบั หนังสอื สญั ญานัน้ ในการน้ี ใหค้ ณะรฐั มนตรี เศรษฐกจิ สังคม หรือการคา้ หรอื การลงทุนของประเทศอย่าง เสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพอื่ ขอความเห็นชอบด้วย กว้างขวางตามวรรคสอง ไดแ้ ก่ หนังสอื สญั ญาเกี่ยวกบั การคา้ เสรี เมอ่ื ลงนามในหนังสอื สญั ญาตามวรรคสองแล้ว กอ่ นท่ีจะแสดง เขตศลุ กากรรว่ ม หรอื การใหใ้ ช้ทรพั ยากรธรรมชาติ หรอื ทาให้ประเทศ เจตนาให้มผี ลผกู พนั คณะรฐั มนตรีต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถงึ ต้องสญู เสียสิทธิในทรพั ยากรธรรมชาตทิ ง้ั หมดหรือบางส่วน หรือ รายละเอยี ดของหนังสือสัญญานนั้ และในกรณีท่ีการปฏิบัติตาม หนงั สอื สญั ญาอืน่ ตามที่กฎหมายบญั ญัติ หนังสือสญั ญาดังกลา่ วก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนหรอื ผปู้ ระกอบการขนาดกลางและขนาดยอ่ ม คณะรฐั มนตรตี ้อง

รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๐๘ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ งั คบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผ้จู ดั ทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ดาเนนิ การแก้ไขหรอื เยยี วยาผไู้ ดร้ บั ผลกระทบน้ันอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเปน็ ธรรม ใหม้ กี ฎหมายกาหนดวิธกี ารที่ประชาชนจะเข้ามามสี ว่ นรว่ มใน การแสดงความคิดเห็นและไดร้ ับการเยยี วยาท่จี าเปน็ อนั เกดิ จาก ให้มีกฎหมายวา่ ดว้ ยการกาหนดประเภท กรอบการเจรจา ผลกระทบของการทาหนังสอื สญั ญาตามวรรคสามดว้ ย ข้ันตอนและวธิ กี ารจดั ทาหนงั สอื สญั ญาท่ีมผี ลกระทบตอ่ ความมน่ั คง ทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมผี ล เมอื่ มปี ัญหาว่าหนงั สอื สัญญาใดเปน็ กรณตี ามวรรคสองหรอื วรรค ผูกพนั ด้านการค้า การลงทนุ หรอื งบประมาณของประเทศอยา่ งมี สามหรือไม่ คณะรัฐมนตรจี ะขอให้ศาลรัฐธรรมนญู วนิ ิจฉัยกไ็ ด้ ทง้ั น้ี นยั สาคญั รวมท้งั การแกไ้ ขหรือเยยี วยาผไู้ ดร้ บั ผลกระทบจากการ ศาลรฐั ธรรมนญู ต้องวนิ จิ ฉัยใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในสามสบิ วันนับแตว่ นั ท่ี ปฏบิ ัตติ ามหนงั สือสญั ญาดังกล่าว โดยคานึงถึงความเปน็ ธรรม ได้รับคาขอ ระหวา่ งผู้ทไี่ ดป้ ระโยชนก์ บั ผทู้ ี่ไดร้ บั ผลกระทบจากการปฏบิ ตั ติ าม หนังสอื สญั ญาน้ันและประชาชนทัว่ ไป ในกรณีที่มีปญั หาตามวรรคสอง ให้เปน็ อานาจของศาล รัฐธรรมนูญทจ่ี ะวินิจฉยั ชขี้ าด โดยให้นาบทบญั ญตั ติ ามมาตรา ๑๕๔ (๑) มาใช้บังคับกบั การเสนอเรอื่ งตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู โดยอนุโลม (มาตรา ๑๙๐ แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทย แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบับท่ี ๒) พทุ ธศักราช ๒๕๕๔) มาตรา ๒๒๕ พระมหากษัตรยิ ท์ รงไว้ซ่งึ พระราชอานาจในการ มาตรา ๑๙๑ ตรงกับมาตรา ๒๒๕ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ มาตรา ๑๗๙ ตรงกบั มาตรา ๑๙๑ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ พระราชทานอภัยโทษ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๒๗ พระมหากษตั รยิ ท์ รงแต่งตั้งข้าราชการฝา่ ยทหาร มาตรา ๑๙๓ ตรงกับมาตรา ๒๒๗ ของรฐั ธรรมนญู แห่ง มาตรา ๑๘๐ พระมหากษตั ริย์ทรงแตง่ ต้งั ขา้ ราชการฝา่ ย ทหารและฝา่ ยพลเรือน ตาแหนง่ ปลัดกระทรวง อธิบดี และเทยี บเท่า และฝา่ ยพลเรอื น ตาแหนง่ ปลดั กระทรวง อธบิ ดี และเทียบเท่า และ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ และทรงให้พ้นจากตาแหนง่ เว้นแต่กรณที พี่ น้ จากตาแหน่งเพราะ ความตาย เกษยี ณอายุ หรอื พน้ จากราชการเพราะถูกลงโทษ ทรงให้พ้นจากตาแหน่ง เว้นแต่กรณที ่พี น้ จากตาแหน่งเพราะความตาย มาตรา ๒๒๘ ขา้ ราชการซ่งึ มีตาแหน่งหรือเงนิ เดอื นประจา มาตรา ๑๙๔ ขา้ ราชการและพนกั งานของรฐั ซึง่ มตี าแหนง่ มาตรา ๑๘๑ ข้าราชการและพนักงานของรัฐซึง่ มีตาแหน่ง และมใิ ช่ข้าราชการการเมอื ง จะเปน็ ขา้ ราชการการเมืองหรือผดู้ ารง ตาแหน่งทางการเมืองอืน่ มิได้ หรือเงินเดอื นประจาและมิใช่ข้าราชการการเมือง จะเป็นขา้ ราชการ หรอื เงินเดอื นประจาและมิใชข่ า้ ราชการการเมอื ง จะเปน็ ข้าราชการ การเมืองหรือผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื งอื่นมไิ ด้ การเมืองหรือผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งอนื่ มิได้

๑๐๙ นาถะ ดวงวิชัย ผู้บังคับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๓๑ บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรม มาตรา ๑๙๕ บทกฎหมาย พระราชหตั ถเลขา และพระบรมราช มาตรา ๑๘๒ บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรม ราชโองการ อันเกี่ยวกับราชการแผน่ ดนิ ตอ้ งมีรฐั มนตรีลงนามรบั โองการอันเก่ียวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระ ราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผน่ ดนิ ตอ้ งมีรฐั มนตรลี งนามรับ สนองพระบรมราชโองการ เวน้ แตท่ ีม่ บี ญั ญัตไิ วเ้ ปน็ อยา่ งอนื่ ใน บรมราชโองการ เว้นแต่ที่มบี ัญญัตไิ ว้เป็นอย่างอ่ืนในรฐั ธรรมนูญนี้ สนองพระบรมราชโองการ เวน้ แตท่ มี่ ีบัญญตั ไิ ว้เป็นอยา่ งอน่ื ใน รฐั ธรรมนญู นี้ บทกฎหมายทีท่ รงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ หรือถอื เสมอื นหน่งึ รัฐธรรมนญู มาตรา ๒๓๒ บทกฎหมายทท่ี รงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ หรอื ถือ วา่ ได้ทรงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ ให้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เสมอื นหนงึ่ วา่ ได้ทรงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ ใหป้ ระกาศในราชกจิ จา โดยพลัน นเุ บกษาโดยพลัน มาตรา ๒๒๙ เงนิ ประจาตาแหนง่ และประโยชนต์ อบแทน มาตรา ๑๙๖ เงินประจาตาแหน่งและประโยชนต์ อบแทนอยา่ งอน่ื มาตรา ๑๘๓ เงินประจาตาแหนง่ และประโยชน์ตอบแทนอย่าง อยา่ งอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ประธานและ อนื่ ขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ประธาน ประธานและรองประธานวุฒสิ ภา ผู้นาฝา่ ยค้านในสภาผู้แทนราษฎร รองประธานวฒุ สิ ภา ผูน้ าฝ่ายค้านในสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทน และรองประธานวฒุ สิ ภา ผนู้ าฝา่ ยค้านในสภาผ้แู ทนราษฎร สมาชิก สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร และสมาชกิ วฒุ ิสภา ให้กาหนดโดยพระราช ราษฎร และสมาชิกวฒุ สิ ภา ใหก้ าหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซงึ่ ต้อง สภาผูแ้ ทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ใหก้ าหนดโดยพระราชกฤษฎีกา กฤษฎีกา กาหนดใหจ้ ่ายไดไ้ มก่ อ่ นวนั เขา้ รับหน้าที่ บาเหนจ็ บานาญหรอื ประโยชน์ตอบแทนอยา่ งอ่นื ของ บาเหน็จบานาญหรอื ประโยชน์ตอบแทนอยา่ งอืน่ ขององคมนตรี บาเหนจ็ บานาญหรือประโยชนต์ อบแทนอย่างอ่ืนขององคมนตรี องคมนตรซี ึ่งพ้นจากตาแหนง่ ให้กาหนดโดยพระราชกฤษฎกี า ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธาน ซึ่งพ้นจากตาแหน่ง ให้กาหนดโดยพระราชกฤษฎกี า วฒุ ิสภา นายกรฐั มนตรี รัฐมนตรี ผูน้ าฝ่ายค้านในสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซง่ึ พน้ จากตาแหน่ง ให้ กาหนดโดยพระราชกฤษฎีกา สว่ นท่ี ๒ หมวด ๙ การกระทาที่เป็นการขัดกนั แห่งผลประโยชน์ การขดั กันแหง่ ผลประโยชน์ มาตรา ๑๑๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้อง มาตรา ๒๖๕ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวฒุ สิ ภา มาตรา ๑๘๔ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วุฒสิ ภา (๑) ไม่ดารงตาแหนง่ หรอื หนา้ ท่ีใดในหน่วยราชการ หน่วยงาน ต้อง ต้อง ของรฐั หรอื รฐั วิสาหกจิ หรือตาแหนง่ สมาชิกสภาท้องถ่ิน ผู้บริหาร (๑) ไมด่ ารงตาแหน่งหรือหน้าท่ีใดในหน่วยราชการ หน่วยงาน (๑) ไมด่ ารงตาแหน่งหรือหน้าท่ใี ดในหน่วยราชการ หนว่ ยงาน ท้องถิน่ หรอื พนักงานสว่ นทอ้ งถิน่ ท้ังนี้ นอกจากข้าราชการการเมอื ง ของรัฐ หรือรัฐวสิ าหกิจ หรือตาแหน่งสมาชกิ สภาทอ้ งถิ่น ผู้บรหิ าร ของรฐั หรอื รัฐวิสาหกิจ หรอื ตาแหน่งสมาชกิ สภาทอ้ งถ่ินหรอื อ่นื ซ่งึ มิใชร่ ฐั มนตรี ทอ้ งถ่นิ หรือข้าราชการส่วนท้องถ่ิน ผู้บรหิ ารท้องถ่ิน (๒) ไม่รับสมั ปทานจากรฐั หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั (๒) ไมร่ ับหรือแทรกแซงหรอื ก้าวกา่ ยการเข้ารบั สมั ปทานจาก (๒) ไม่รับหรือแทรกแซงหรือก้าวกา่ ยการเข้ารบั สมั ปทานจาก หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สญั ญากับรฐั หน่วยราชการ หน่วยงาน รฐั หนว่ ยราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรือรัฐวสิ าหกจิ หรอื เขา้ เป็น รฐั หนว่ ยราชการ หน่วยงานของรฐั หรอื รฐั วสิ าหกจิ หรอื เข้าเป็น ของรฐั หรอื รัฐวสิ าหกิจ อันมลี ักษณะเปน็ การผกู ขาดตดั ตอน หรอื เปน็ ค่สู ญั ญากบั รัฐ หนว่ ยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกจิ คู่สญั ญากบั รฐั หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรือรฐั วสิ าหกิจอนั มี หนุ้ ส่วนหรือผูถ้ ือหุ้นในห้างหนุ้ สว่ นหรอื บรษิ ัทที่รบั สัมปทานหรอื เข้า อันมีลกั ษณะเป็นการผูกขาดตดั ตอน หรือเป็นหุน้ ส่วนหรือผถู้ อื ห้นุ ใน ลักษณะเป็นการผกู ขาดตัดตอน หรือเป็นห้นุ สว่ นหรอื ผถู้ ือห้นุ ในห้าง เป็นค่สู ญั ญาในลักษณะดงั กลา่ ว

รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๑๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคบั บญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา (๓) ไม่รับเงินหรอื ประโยชนใ์ ด ๆ จากหน่วยราชการ หนว่ ยงาน รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา ของรัฐ หรอื รัฐวิสาหกจิ เปน็ พเิ ศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ หรือรฐั วสิ าหกจิ ปฏิบตั ิกบั บคุ คลอนื่ ๆ ในธุรกจิ การ ห้างหุ้นส่วนหรอื บรษิ ัทท่ีรบั สมั ปทานหรือเขา้ เปน็ คสู่ ัญญาในลักษณะ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ งานตามปกติ ดงั กล่าว ทง้ั น้ี ไมว่ ่าโดยทางตรงหรอื ทางอ้อม หุ้นส่วนหรือบรษิ ัทท่ีรับสมั ปทานหรือเข้าเปน็ คสู่ ัญญาในลักษณะ บทบญั ญัตมิ าตรานมี้ ิให้ใชบ้ งั คับในกรณที สี่ มาชกิ สภาผู้แทน (๓) ไมร่ บั เงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหนว่ ยราชการ หน่วยงาน ดงั กลา่ ว ท้ังนี้ ไมว่ ่าโดยทางตรงหรอื ทางออ้ ม ราษฎรรับเบ้ียหวัด บาเหนจ็ บานาญ เงนิ ปีพระบรมวงศานวุ งศ์ หรอื ของรฐั หรอื รัฐวสิ าหกิจ เป็นพิเศษนอกเหนือไปจากทีห่ น่วยราชการ เงินอ่ืนใดในลกั ษณะเดียวกัน และมใิ หใ้ ชบ้ งั คับในกรณที ส่ี มาชกิ สภา หน่วยงานของรัฐ หรือรฐั วิสาหกิจ ปฏิบัติต่อบุคคลอ่นื ๆ ในธุรกจิ การ (๓) ไมร่ บั เงนิ หรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงาน ผู้แทนราษฎรรบั หรอื ดารงตาแหนง่ กรรมาธกิ ารของรฐั สภา สภา งานตามปกติ ของรัฐ หรอื รฐั วิสาหกิจเปน็ พเิ ศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ ผู้แทนราษฎร หรอื วฒุ ิสภา หรอื กรรมการท่ีไดร้ บั แตง่ ตง้ั ในฐานะเปน็ หนว่ ยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกจิ ปฏิบัตติ ่อบคุ คลอ่นื ๆ ในธรุ กจิ ผู้ทรงคณุ วุฒติ ามบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมาย หรือกรรมการท่ไี ด้รบั (๔) ไมก่ ระทาการอนั เป็นการต้องหา้ มตามมาตรา ๔๘ การงานปกติ แต่งตัง้ ในการบรหิ ารราชการแผ่นดิน ในกรณที ่ดี ารงตาแหน่ง บทบัญญตั มิ าตรานี้มิใหใ้ ชบ้ งั คับในกรณีทสี่ มาชิกสภาผูแ้ ทน ขา้ ราชการการเมอื งอน่ื ซ่ึงมใิ ช่รฐั มนตรี ราษฎรหรือสมาชิกวุฒสิ ภารบั เบี้ยหวดั บาเหนจ็ บานาญ เงินปีพระบรม (๔) ไม่กระทาการใด ๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อนั เปน็ วงศานุวงศ์ หรือเงินอน่ื ใดในลกั ษณะเดยี วกัน และมิให้ใช้บงั คบั ในกรณีที่ การขัดขวางหรือแทรกแซง การใชส้ ิทธหิ รือเสรภี าพของหนงั สือพมิ พ์ มาตรา ๑๒๘ ใหนาบทบญั ญัติมาตรา ๑๑๐ และมาตรา ๑๑๑ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ ิสภารับหรอื ดารงตาแหนง่ หรือส่อื มวลชนโดยมชิ อบ มาใช้บงั คบั กับการกระทาอนั ตองหามของสมาชิกวุฒสิ ภาดวย โดย กรรมาธิการของรฐั สภา สภาผ้แู ทนราษฎร หรือวุฒสิ ภา หรือกรรมการท่ี อนุโลม ไดร้ ับแต่งตั้งในการบรหิ ารราชการแผน่ ดิน มาตรานม้ี ใิ ห้ใช้บังคบั ในกรณีทีส่ มาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหรือ ใหน้ าความใน (๒) (๓) และ (๔) มาใชบ้ งั คับกบั คสู่ มรสและ สมาชิกวฒุ ิสภารับเบย้ี หวดั บาเหนจ็ บานาญ เงนิ ปีพระบรมวงศานุ มาตรา ๑๑๑ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรตอ้ งไม่ใช้สถานะหรอื บุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภา และบคุ คลอนื่ วงศ์ หรอื เงนิ อืน่ ใดในลกั ษณะเดียวกัน และมใิ ห้ใชบ้ งั คับในกรณที ่ี ตาแหน่งการเปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปกา้ วก่ายหรือ ซ่งึ มิใช่คสู่ มรสและบุตรของสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรหรือสมาชิก สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภารบั หรอื ดารงตาแหน่ง แทรกแซงการบรรจุ แต่งตง้ั ย้าย โอน เล่อื นตาแหนง่ และเลือ่ นข้นั วฒุ สิ ภานนั้ ทด่ี าเนินการในลกั ษณะผู้ถูกใช้ ผรู้ ่วมดาเนนิ การ หรือผู้ กรรมาธิการของรัฐสภา สภาผูแ้ ทนราษฎร หรือวุฒสิ ภา หรือ เงนิ เดอื นของข้าราชการซ่ึงมีตาแหนง่ หรือเงนิ เดือนประจาและมใิ ช่ ไดร้ ับมอบหมายจากสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ สิ ภาให้ กรรมการท่ไี ดร้ ับแต่งตง้ั ในการบรหิ ารราชการแผ่นดินทเี่ กย่ี วกบั ข้าราชการการเมือง พนกั งาน หรือลกู จ้างของหนว่ ยงานของรฐั กระทาการตามมาตรานดี้ ว้ ย กิจการของสภา หรอื กรรมการตามทมี่ ีกฎหมายบัญญตั ไิ วเ้ ป็นการเฉพาะ รฐั วสิ าหกจิ หรอื ราชการส่วนท้องถ่ิน หรือใหบ้ คุ คลดังกล่าวพน้ จาก ตาแหน่ง มาตรา ๒๖๖ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวุฒสิ ภาต้องไม่ ใหน้ า (๒) และ (๓) มาบงั คบั ใช้แกค่ ่สู มรสและบุตรของ ใชส้ ถานะหรือตาแหน่งการเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชิก สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ สิ ภา และบคุ คลอื่นซง่ึ มใิ ชค่ ู่ วุฒิสภาเข้าไปก้าวกา่ ยหรือแทรกแซงเพอ่ื ประโยชนข์ องตนเอง ของผ้อู ื่น สมรสและบตุ รของสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภานัน้ หรอื ของพรรคการเมือง ไม่วา่ โดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเร่อื งดงั ต่อไปนี้ ที่ดาเนนิ การในลักษณะผู้ถูกใช้ ผ้รู ว่ มดาเนนิ การ หรอื ผไู้ ดร้ บั มอบหมายจากสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ สิ ภาให้ (๑) การปฏิบตั ริ าชการหรอื การดาเนนิ งานในหนา้ ท่ีประจาของ กระทาการตามมาตรานด้ี ้วย ข้าราชการ พนกั งาน หรอื ลูกจา้ งของหนว่ ยราชการ หน่วยงานของ รฐั รัฐวิสาหกจิ กิจการทรี่ ัฐถือหุน้ ใหญ่ หรือราชการส่วนทอ้ งถิ่น มาตรา ๑๘๕ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภา ตอ้ งไม่ใช้สถานะหรือตาแหนง่ การเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒสิ ภากระทาการใด ๆ อนั มีลกั ษณะทเี่ ป็นการกา้ วก่ายหรือ แทรกแซงเพ่ือประโยชนข์ องตนเอง ของผู้อนื่ หรอื ของพรรค การเมอื ง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเร่อื งดงั ตอ่ ไปน้ี

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๑๑ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคบั บัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา มาตรา ๑๒๘ ใหนาบทบญั ญตั มิ าตรา ๑๑๐ และมาตรา ๑๑๑ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จดั ทา มาใช้บังคบั กับการกระทาอนั ตองหามของสมาชิกวุฒสิ ภาดวย โดย อนุโลม (๒) การบรรจุ แต่งตง้ั โยกย้าย โอน เลื่อนตาแหน่ง และเลอื่ น รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ เงินเดือนของข้าราชการซง่ึ มีตาแหน่งหรอื เงนิ เดือนประจาและมใิ ช่ มาตรา ๒๐๘ รฐั มนตรจี ะดารงตาแหน่งหรอื กระทาการใด ขา้ ราชการการเมอื ง พนกั งาน หรือลกู จ้างของหน่วยราชการ หน่วยงาน (๑) การปฏบิ ตั ิราชการหรือการดาเนนิ งานในหนา้ ทป่ี ระจา ตามทบ่ี ัญญตั ิในมาตรา ๑๑๐ มไิ ด้ เวน้ แต่ตาแหน่งท่ีต้องดารงตาม ของรฐั รฐั วสิ าหกจิ กจิ การทร่ี ัฐถอื หนุ้ ใหญ่ หรอื ราชการส่วนทอ้ งถน่ิ หรอื ของข้าราชการ พนกั งานหรอื ลูกจา้ งของหน่วยราชการ หนว่ ยงาน บทบัญญัติแหง่ กฎหมาย และจะดารงตาแหนง่ ใดในหา้ งหุ้นสว่ น ของรัฐ รฐั วิสาหกิจ กจิ การทรี่ ัฐถือหุ้นใหญ่ หรอื ราชการสว่ นท้องถนิ่ บรษิ ัท หรอื องค์การท่ีดาเนนิ ธรุ กิจโดยมงุ่ หาผลกาไรหรือรายไดม้ า (๓) การให้ข้าราชการซึง่ มตี าแหนง่ หรือเงินเดือนประจาและ แบง่ ปนั กัน หรอื เป็นลกู จา้ งของบคุ คลใดกม็ ไิ ดด้ ้วย มิใชข่ ้าราชการการเมอื ง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ (๒) กระทาการในลักษณะทที่ าใหต้ นมสี ว่ นร่วมในการใช้ หน่วยงานของรัฐ รฐั วิสาหกจิ กจิ การท่รี ฐั ถือหนุ้ ใหญ่ หรือราชการ จ่ายเงินงบประมาณหรอื ให้ความเห็นชอบในการจัดทาโครงการใด ๆ มาตรา ๒๐๙ รัฐมนตรตี ้องไมเ่ ปน็ หนุ้ สว่ นหรอื ผ้ถู อื หนุ้ ในหา้ ง สว่ นทอ้ งถิ่น พ้นจากตาแหน่ง ของหน่วยงานของรฐั เวน้ แต่เป็นการดาเนินการในกจิ การของรัฐสภา ห้นุ ส่วนหรือบรษิ ทั หรือไมค่ งไว้ซึ่งความเปน็ หนุ้ สว่ นหรือผถู้ ือหนุ้ ใน ห้างหุ้นสว่ นหรอื บรษิ ัทตอ่ ไป ทั้งนี้ ตามจานวนทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ ใน มาตรา ๒๖๗ ใหน้ าบทบัญญตั มิ าตรา ๒๖๕ มาใชบ้ ังคบั กับ (๓) การบรรจุ แต่งตัง้ โยกย้าย โอน เล่อื นตาแหน่ง เล่อื น กรณที รี่ ัฐมนตรผี ้ใู ดประสงค์จะได้รบั ประโยชนจ์ ากกรณดี ังกล่าวตอ่ ไป นายกรัฐมนตรแี ละรฐั มนตรดี ว้ ย เวน้ แตเ่ ปน็ การดารงตาแหนง่ หรือ เงินเดือนหรอื การให้พ้นจากตาแหน่งของข้าราชการซงึ่ มีตาแหนง่ ใหร้ ัฐมนตรีผนู้ ้นั แจ้งให้ประธานกรรมการป้องกนั และปราบปรามการ ดาเนินการตามบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมาย และจะดารงตาแหน่งใดใน หรอื เงนิ เดอื นประจาและมิใชข่ ้าราชการการเมือง พนักงาน หรือ ทุจริตแหง่ ชาตทิ ราบภายในสามสบิ วันนับแต่วันท่ีไดร้ ับแตง่ ตงั้ และให้ หา้ งหนุ้ สว่ น บริษทั หรอื องคก์ ารทดี่ าเนนิ ธุรกจิ โดยมงุ่ หาผลกาไร ลกู จ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวสิ าหกจิ กิจการทร่ี ฐั หรือรายไดม้ าแบง่ ปันกนั หรือเป็นลูกจา้ งของบคุ คลใดกม็ ไิ ดด้ ้วย ถอื หุน้ ใหญ่ หรือราชการสว่ นท้องถน่ิ มาตรา ๒๖๘ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะกระทาการใดท่ี มาตรา ๑๘๖ ให้นาความในมาตรา ๑๘๔ มาใชบ้ ังคบั แก่ บญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา ๒๖๖ มิได้ เวน้ แตเ่ ปน็ การกระทาตามอานาจ รัฐมนตรดี ้วยโดยอนุโลม เวน้ แต่กรณดี งั ตอ่ ไปนี้ หนา้ ทใี่ นการบริหารราชการตามนโยบายทไ่ี ดแ้ ถลงต่อรฐั สภาหรอื ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ (๑) การดารงตาแหนง่ หรอื การดาเนนิ การทกี่ ฎหมายบญั ญัติให้ เปน็ หนา้ ทห่ี รืออานาจของรฐั มนตรี มาตรา ๒๖๙ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องไม่เปน็ หุ้นสว่ น หรอื ผ้ถู อื หนุ้ ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไมค่ งไว้ซ่ึงความเป็นหุน้ ส่วน (๒) การกระทาตามหนา้ ท่แี ละอานาจในการบรหิ ารราชการ หรอื ผถู้ ือหนุ้ ในหา้ งหุ้นสว่ นหรือบริษัทต่อไป ทั้งนี้ ตามจานวนท่ี แผน่ ดนิ หรอื ตามนโยบายทไ่ี ด้แถลงตอ่ รฐั สภา หรือตามทีก่ ฎหมาย กฎหมายบัญญตั ิ ในกรณที ีน่ ายกรฐั มนตรีหรือรฐั มนตรผี ้ใู ดประสงค์จะ บัญญตั ิ ได้รับประโยชน์จากกรณีดงั กลา่ วตอ่ ไป ใหน้ ายกรัฐมนตรหี รือรัฐมนตรผี ู้ นน้ั แจ้งให้ประธานกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ นอกจากกรณตี ามวรรคหน่งึ รฐั มนตรตี อ้ งไมใ่ ชส้ ถานะหรอื ตาแหนง่ กระทาการใด ไมว่ ่าโดยทางตรงหรือทางออ้ ม อนั เปน็ การ กา้ วก่ายหรือแทรกแซงการปฏบิ ัตหิ น้าทีข่ องเจา้ หน้าท่ีของรัฐเพื่อ ประโยชน์ของตนเอง ของผ้อู ืน่ หรอื ของพรรคการเมอื งโดยมชิ อบ ตามทีก่ าหนดในมาตรฐานทางจริยธรรม มาตรา ๑๘๗ รัฐมนตรตี อ้ งไมเ่ ปน็ หุ้นส่วนหรอื ผู้ถือหนุ้ ในหา้ ง หุ้นส่วนหรอื บริษทั หรือไมค่ งไว้ซงึ่ ความเปน็ หุน้ สว่ นหรอื ผถู้ อื หุน้ ใน ห้างหนุ้ สว่ นหรือบรษิ ทั ตอ่ ไปตามจานวนทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ และตอ้ ง ไมเ่ ป็นลกู จา้ งของบุคคลใด ในกรณที ร่ี ฐั มนตรผี ู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชนจ์ ากกรณตี าม วรรคหนึ่งตอ่ ไป ใหแ้ จ้งประธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม

๑๑๒ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคับบัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผูจ้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ รัฐมนตรีผ้นู น้ั โอนห้นุ ในหา้ งหุ้นส่วนหรือบรษิ ัทดังกล่าวให้นติ บิ คุ คลซง่ึ ทราบภายในสามสบิ วนั นับแตว่ ันท่ีได้รบั แต่งตั้ง และให้นายกรัฐมนตรี การทุจรติ แห่งชาตทิ ราบภายในสามสบิ วนั นับแต่วันทไี่ ดร้ ับแตง่ ต้ัง จัดการทรัพยส์ นิ เพือ่ ประโยชนข์ องผอู้ น่ื ท้งั นี้ ตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ หรือรัฐมนตรีผนู้ ้ันโอนหุ้นในหา้ งหุน้ ส่วนหรือบรษิ ัทดังกล่าวใหน้ ิตบิ คุ คล และใหโ้ อนหุ้นในห้างหุน้ ส่วนหรอื บรษิ ัทดงั กลา่ ว ใหแ้ กน่ ิตบิ คุ คลซง่ึ หา้ มมใิ ห้รฐั มนตรผี ู้นั้นกระทาการใดอันมลี ักษณะเปน็ การเขา้ ไป ซึง่ จัดการทรพั ยส์ ินเพื่อประโยชน์ของผู้อน่ื ท้ังน้ี ตามที่กฎหมายบัญญัติ จดั การทรพั ยส์ ินเพอื่ ประโยชนข์ องผอู้ ืน่ ทงั้ นี้ ตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ บรหิ ารหรือจดั การใด ๆ เกย่ี วกับหนุ้ หรอื กิจการของหา้ งหนุ้ ส่วนหรอื นายกรฐั มนตรแี ละรัฐมนตรจี ะกระทาการใดอันมลี ักษณะเปน็ รฐั มนตรีจะเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งกบั การบรหิ ารจดั การหนุ้ หรอื บริษทั ดังกล่าว การเข้าไปบรหิ ารหรือจดั การใด ๆ เกย่ี วกับหนุ้ หรือกจิ การของห้าง กจิ การของหา้ งหุ้นสว่ นหรอื บริษัทตามวรรคสองไมว่ า่ ในทางใด ๆ มิได้ ห้นุ ส่วนหรอื บรษิ ัทตามวรรคหนึ่ง มไิ ด้ มาตรานเี้ ฉพาะในส่วนท่เี กย่ี วกบั ความเปน็ หุน้ ส่วนหรือผู้ถอื หนุ้ บทบัญญตั มิ าตราน้ใี ห้นามาใช้บังคบั กับคู่สมรสและบตุ รที่ยัง ใหใ้ ชบ้ งั คับแกค่ สู่ มรสและบตุ รท่ยี งั ไมบ่ รรลนุ ิตภิ าวะของรฐั มนตรี ไม่บรรลนุ ติ ภิ าวะของนายกรฐั มนตรแี ละรฐั มนตรดี ้วย และให้นา และการถือห้นุ ของรัฐมนตรีทีอ่ ยใู่ นความครอบครองหรอื ดแู ลของ บทบัญญัตมิ าตรา ๒๕๙ วรรคสาม มาใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม บคุ คลอื่นไมว่ ่าโดยทางใด ๆ ดว้ ย ส่วนท่ี ๓ ไม่มกี ารแก้ไข การถอดถอนจากตาแหนง่ มาตรา ๓๐๓ ผู้ดารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี มาตรา ๒๗๐ ผดู้ ารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชกิ วฒุ สิ ภา ประธานศาลฎีกา ประธาน ผแู้ ทนราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา ประธานศาลฎกี า ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนญู ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสดุ ผู้ใดมี ประธานศาลปกครองสูงสดุ หรอื อยั การสงู สุด ผ้ใู ดมพี ฤติการณร์ า่ รวย พฤตกิ ารณร์ า่ รวยผิดปกติ ส่อไปในทางทจุ ริตตอ่ หน้าที่ สอ่ ว่ากระทา ผดิ ปกติ สอ่ ไปในทางทจุ รติ ต่อหนา้ ท่ี ส่อวา่ กระทาผิดต่อตาแหนง่ หน้าที่ ผดิ ตอ่ ตาแหน่งหนา้ ทรี่ าชการ ส่อวา่ กระทาผดิ ตอ่ ตาแหน่งหน้าทีใ่ น ราชการ สอ่ ว่ากระทาผดิ ต่อตาแหน่งหนา้ ทใี่ นการยุตธิ รรม ส่อว่าจงใจใช้ การยุตธิ รรม หรือสอ่ วา่ จงใจใชอ้ านาจหนา้ ที่ขัดต่อบทบญั ญัติแห่ง อานาจหนา้ ทข่ี ัดต่อบทบัญญัตแิ ห่งรฐั ธรรมนญู หรอื กฎหมาย หรือฝา่ ฝืน รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย วฒุ ิสภามอี านาจถอดถอนผู้นน้ั ออกจาก หรอื ไมป่ ฏบิ ัตติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอานาจ ตาแหน่งได้ ถอดถอนผู้นนั้ ออกจากตาแหน่งได้ บทบัญญัตวิ รรคหนง่ึ ใหใ้ ชบ้ งั คับกบั ผู้ดารงตาแหนง่ ดงั ต่อไปนี้ บทบัญญตั วิ รรคหน่งึ ให้ใชบ้ ังคับกับผู้ดารงตาแหน่งดังต่อไปนี้ ดว้ ย คือ ดว้ ย คือ (๑) กรรมการการเลอื กตัง้ ผตู้ รวจการแผ่นดินของรัฐสภา ตลุ า (๑) ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู กรรมการการเลอื กตั้ง ผตู้ รวจการ การศาลรัฐธรรมนญู และกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน แผ่นดิน และกรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ (๒) ผู้พพิ ากษาหรือตลุ าการ พนักงานอยั การ หรือผดู้ ารง (๒) ผ้พู พิ ากษาหรอื ตลุ าการ พนกั งานอัยการ หรือผดู้ ารง ตาแหนง่ ระดับสูง ทั้งน้ี ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการ ตาแหนง่ ระดับสงู ท้ังนี้ ตามพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่า ปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ มาตรา ๓๐๔ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ อ้ ยกว่าหนึ่ง มาตรา ๒๗๑ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกว่าหน่ึง ในสี่ของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเท่าท่มี ีอยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร หรอื ในสข่ี องจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าท่ีมอี ยู่ของสภาผแู้ ทนราษฎรมีสทิ ธิ ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั จานวนไม่น้อยกวา่ ห้าหม่ืนคน มสี ิทธิเขา้ ชอื่ เขา้ ช่ือรอ้ งขอตอ่ ประธานวุฒิสภาเพ่ือให้วฒุ ิสภามีมติตามมาตรา ๒๗๔

๑๑๓ นาถะ ดวงวชิ ัย ผูบ้ ังคับบญั ชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ รอ้ งขอตอ่ ประธานวุฒิสภาเพือ่ ใหว้ ฒุ ิสภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ให้ ให้ถอดถอนบคุ คลตามมาตรา ๒๗๐ ออกจากตาแหน่งได้ คารอ้ งขอ ถอดถอนบุคคลตามมาตรา ๓๐๓ ออกจากตาแหน่งได้ คาร้องขอ ดังกล่าวต้องระบพุ ฤตกิ ารณท์ กี่ ล่าวหาวา่ ผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวกระทา ดังกล่าวต้องระบุพฤติการณ์ทกี่ ลา่ วหาว่าผดู้ ารงตาแหน่งดังกลา่ ว ความผดิ เป็นข้อ ๆ ใหช้ ัดเจน กระทาความผดิ เปน็ ขอ้ ๆ ให้ชัดเจน สมาชิกวุฒสิ ภาจานวนไม่น้อยกว่าหนงึ่ ในส่ขี องจานวนสมาชิก สมาชิกวุฒิสภาจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หนึ่งในสข่ี องจานวนสมาชิก ทงั้ หมดเท่าท่ีมีอย่ขู องวฒุ สิ ภา มีสทิ ธเิ ขา้ ช่ือร้องขอต่อประธานวุฒสิ ภา ทั้งหมดเทา่ ทีม่ ีอยขู่ องวฒุ ิสภา มสี ทิ ธิเข้าช่ือร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพือ่ ใหว้ ุฒสิ ภามมี ติตามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนสมาชิกวฒุ ิสภาออก เพือ่ ให้วฒุ สิ ภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ให้ถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาออก จากตาแหน่งได้ จากตาแหนง่ ได้ ประชาชนผมู้ สี ทิ ธิเลอื กตั้งจานวนไมน่ ้อยกวา่ สองหมนื่ คนมีสทิ ธิ หลักเกณฑ์ วธิ ีการ และเง่อื นไขในการทีป่ ระชาชนจะเข้าชอื่ รอ้ ง เข้าชื่อร้องขอใหถ้ อดถอนบคุ คลตามมาตรา ๒๗๐ ออกจากตาแหน่งได้ ขอตามวรรคหนง่ึ ให้เปน็ ไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ย ตามมาตรา ๑๖๔ การปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต มาตรา ๓๐๕ เมื่อได้รบั คาร้องขอตามมาตรา ๓๐๔ แลว้ ให้ มาตรา ๒๗๒ เม่ือไดร้ บั คาร้องขอตามมาตรา ๒๗๑ แลว้ ให้ ประธานวฒุ สิ ภาสง่ เรอื่ งใหค้ ณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการ ประธานวฒุ สิ ภาสง่ เรือ่ งใหค้ ณะกรรมการป้องกนั และปราบปราม ทุจรติ แหง่ ชาตดิ าเนนิ การไตส่ วนโดยเรว็ การทุจรติ แหง่ ชาตดิ าเนินการไต่สวนใหแ้ ลว้ เสรจ็ โดยเร็ว เมือ่ ไตส่ วนเสร็จแลว้ ใหค้ ณะกรรมการป้องกันและปราบปราม เม่ือไตส่ วนเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ ริตแหง่ ชาติทารายงานเสนอต่อวุฒสิ ภา โดยในรายงานดังกลา่ ว การทจุ รติ แห่งชาติทารายงานเสนอตอ่ วฒุ ิสภา โดยในรายงาน ต้องระบใุ หช้ ัดเจนว่าข้อกล่าวหาตามคาร้องขอข้อใดมีมลู หรือไม่ ดังกลา่ วต้องระบุใหช้ ัดเจนวา่ ขอ้ กล่าวหาตามคารอ้ งขอขอ้ ใดมีมลู เพยี งใด พร้อมทงั้ ระบเุ หตุแหง่ การนัน้ หรอื ไม่ เพยี งใด มีพยานหลกั ฐานทค่ี วรเชื่อไดอ้ ยา่ งไร พรอ้ มท้งั ระบุ ในกรณีท่ีคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ข้อยุติว่าจะให้ดาเนนิ การอย่างไรดว้ ย แห่งชาติเหน็ วา่ ข้อกล่าวหาตามคาร้องขอข้อใดเป็นเรื่องสาคญั จะแยก ในกรณีทค่ี ณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ ทารายงานเฉพาะขอ้ นน้ั ส่งไปใหว้ ฒุ สิ ภาพจิ ารณาไปก่อนกไ็ ด้ แห่งชาตเิ หน็ ว่าขอ้ กลา่ วหาตามคารอ้ งขอข้อใดเปน็ เรือ่ งสาคญั จะ ถา้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติมี แยกทารายงานเฉพาะขอ้ นั้นสง่ ไปให้ประธานวฒุ ิสภาตามวรรคหนง่ึ มติวา่ ข้อกลา่ วหาใดมมี ลู นับแตว่ ันดงั กล่าว ผูด้ ารงตาแหน่งที่ถกู เพื่อให้พิจารณาไปกอ่ นก็ได้ กลา่ วหาจะปฏบิ ตั หิ น้าท่ีตอ่ ไปมิไดจ้ นกวา่ วฒุ ิสภาจะมมี ติ และให้ ถา้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตมิ มี ติ ประธานกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติส่ง ด้วยคะแนนเสยี งไม่นอ้ ยกว่ากึ่งหน่ึงของจานวนกรรมการทั้งหมดเทา่ ท่ีมี รายงานและเอกสารที่มีอยพู่ รอ้ มทง้ั ความเห็นไปยงั ประธานวฒุ สิ ภา อยู่ วา่ ข้อกลา่ วหาใดมีมลู นบั แตว่ นั ดังกลา่ วผู้ดารงตาแหน่งท่ีถกู เพือ่ ดาเนินการตามมาตรา ๓๐๖ และอยั การสูงสดุ เพือ่ ดาเนินการฟอ้ ง กลา่ วหาจะปฏบิ ัตหิ น้าทต่ี ่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ และให้ คดตี อ่ ศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งต่อไป ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตสิ ง่ รายงาน และเอกสารท่มี อี ย่พู รอ้ มทั้งความเห็นไปยังประธานวฒุ ิสภาเพ่ือ

๑๑๔ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู งั คบั บญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ แตถ่ ้าคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตเิ ห็นว่า ดาเนนิ การตามมาตรา ๒๗๓ และอัยการสูงสุด เพื่อดาเนินการฟ้องคดี ข้อกลา่ วหาใดไม่มีมลู ใหข้ ้อกลา่ วหาข้อนน้ั เปน็ อนั ตกไป ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองต่อไป แต่ถา้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตเิ หน็ ว่าข้อ ในกรณที ี่อยั การสูงสุดเหน็ ว่ารายงาน เอกสาร และความเหน็ ท่ี กลา่ วหาใดไมม่ มี ลู ใหข้ ้อกลา่ วหาข้อน้ันเป็นอนั ตกไป คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาตสิ ง่ ใหต้ าม วรรคสยี่ ังไมส่ มบรู ณ์พอทจี่ ะดาเนนิ คดีได้ ให้อัยการสูงสุดแจง้ ให้ ในกรณที อี่ ยั การสงู สดุ เหน็ ว่ารายงาน เอกสาร และความเหน็ ที่ คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาตทิ ราบเพือ่ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติส่งให้ตามวรรค ดาเนินการต่อไป โดยใหร้ ะบขุ อ้ ท่ไี มส่ มบรู ณน์ น้ั ใหค้ รบถว้ นในคราว ส่ียังไมส่ มบูรณ์พอท่ีจะดาเนินคดีได้ ให้อยั การสูงสุดแจ้งให้ เดยี วกนั ในกรณีนี้ ให้คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปราบการ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตทิ ราบเพ่ือ ทุจรติ แห่งชาตแิ ละอัยการสูงสดุ ตั้งคณะทางานขน้ึ คณะหนง่ึ โดยมี ดาเนนิ การตอ่ ไป โดยใหร้ ะบขุ ้อทีไ่ ม่สมบรู ณ์น้นั ให้ครบถ้วนในคราว ผู้แทนจากแตล่ ะฝ่ายจานวนฝ่ายละเท่ากนั เพื่อดาเนินการรวบรวม เดียวกนั ในกรณีนี้ ให้คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปราบการทุจรติ พยานหลักฐานใหส้ มบรู ณ์ แล้วส่งให้อยั การสูงสดุ เพอื่ ฟ้องคดีตอ่ ไป ใน แห่งชาตแิ ละอยั การสูงสุดต้ังคณะทางานขึ้นคณะหนึ่ง โดยมีผแู้ ทนจาก กรณที คี่ ณะทางานดังกลา่ วไมอ่ าจหาข้อยตุ ิเก่ียวกับการดาเนินการ แต่ละฝา่ ยจานวนเท่ากัน เพือ่ ดาเนินการรวบรวมพยานหลกั ฐานให้ ฟอ้ งคดีได้ ให้คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต สมบูรณ์ แลว้ ส่งให้อยั การสงู สดุ เพื่อฟอ้ งคดีต่อไป ในกรณที ี่คณะทางาน แห่งชาติมอี านาจดาเนินการฟอ้ งคดเี องหรือแตง่ ตงั้ ทนายความใหฟ้ อ้ ง ดงั กลา่ วไม่อาจหาข้อยุติเกยี่ วกับการดาเนินการฟ้องคดไี ด้ ให้ คดีแทน ก็ได้ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติมอี านาจ ดาเนนิ การฟ้องคดเี องหรอื แต่งต้ังทนายความใหฟ้ ้องคดีแทนกไ็ ด้ มาตรา ๓๐๖ เม่ือไดร้ ับรายงานตามมาตรา ๓๐๕ แลว้ ให้ ประธานวุฒสิ ภาจดั ใหม้ กี ารประชมุ วุฒิสภาเพือ่ พิจารณากรณดี ังกล่าว มาตรา ๒๗๓ เมอ่ื ไดร้ ับรายงานตามมาตรา ๒๗๒ แลว้ ให้ โดยเร็ว ประธานวุฒิสภาจดั ใหม้ กี ารประชมุ วุฒิสภาเพื่อพิจารณากรณี ดังกล่าวโดยเร็ว ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตสิ ง่ รายงานใหน้ อกสมยั ประชมุ ใหป้ ระธานวุฒสิ ภาแจง้ ให้ ในกรณที ค่ี ณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ประธานรฐั สภาทราบเพอื่ นาความกราบบังคมทูลเพ่ือมพี ระบรมราช แหง่ ชาติส่งรายงานให้นอกสมยั ประชมุ ให้ประธานวุฒิสภาแจ้งให้ โองการเรยี กประชมุ รัฐสภาเป็นการประชมุ สมยั วสิ ามญั และให้ ประธานรัฐสภาทราบเพอ่ื นาความกราบบังคมทลู เพื่อมีพระบรมราช ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โองการเรยี กประชุมรฐั สภาเป็นการประชมุ สมัยวสิ ามญั และให้ ประธานรฐั สภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ มาตรา ๓๐๗ สมาชิกวฒุ ิสภามีอสิ ระในการออกเสยี ง ลงคะแนนซึ่งตอ้ งกระทาโดยวิธลี งคะแนนลบั มติท่ใี หถ้ อดถอนผูใ้ ด มาตรา ๒๗๔ ตรงกับมาตรา ๓๐๗ ของรฐั ธรรมนญู แห่ง ออกจากตาแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในหา้ ของ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ จานวนสมาชิกทง้ั หมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องวุฒสิ ภา

๑๑๕ นาถะ ดวงวิชยั ผูบ้ ังคบั บญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ผู้ใดถกู ถอดถอนออกจากตาแหน่งใหผ้ ู้นั้นพน้ จากตาแหน่งหรอื ให้ออกจากราชการนบั แต่วันทีว่ ฒุ สิ ภามมี ตใิ ห้ถอดถอน และให้ตัด สทิ ธผิ ู้นน้ั ในการดารงตาแหนง่ ใดในทางการเมืองหรือในการรับ ราชการเป็นเวลาห้าปี มตขิ องวุฒิสภาตามมาตราน้ีใหเ้ ปน็ ท่สี ุด และจะมีการรอ้ งขอให้ ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตเุ ดยี วกันอีกมิได้ แต่ไม่ กระทบกระเทือนการพจิ ารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารง ตาแหน่งทางการเมือง หมวด ๘ หมวด ๑๐ ไมม่ กี ารแก้ไข ศาล ศาล สว่ นท่ี ๑ ไมม่ ีการแกไ้ ข ไม่มกี ารแกไ้ ข บททัว่ ไป มาตรา ๒๓๓ การพจิ ารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอานาจของ มาตรา ๑๙๗ วรรคหน่งึ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดเี ป็น มาตรา ๑๘๘ การพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดีเปน็ อานาจของ ศาลซงึ่ ตอ้ งดาเนินการตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระ อานาจของศาลซ่ึงต้องดาเนินการให้เปน็ ไปโดยยุติธรรม ตามรฐั ธรรมนูญ ศาล ซง่ึ ตอ้ งดาเนนิ การใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธย ปรมาภไิ ธยพระมหากษตั รยิ ์ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภไิ ธยพระมหากษตั รยิ ์ พระมหากษตั รยิ ์ มาตรา ๒๔๙ ผู้พิพากษาและตุลาการมอี สิ ระในการพิจารณา วรรคสอง ผพู้ ิพากษาและตุลาการมอี ิสระในการพจิ ารณา ผพู้ ิพากษาและตุลาการย่อมมีอสิ ระในการพิจารณาพิพากษา พิพากษาอรรถคดีใหเ้ ป็นไปตามรฐั ธรรมนญู และกฎหมาย พิพากษาอรรถคดีใหเ้ ป็นไปโดยถกู ต้อง รวดเรว็ และเป็นธรรม ตาม อรรถคดตี ามรฐั ธรรมนูญและกฎหมาย ใหเ้ ป็นไปโดยรวดเรว็ เปน็ การพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดขี องผู้พพิ ากษาและตลุ าการไม่ รัฐธรรมนูญและกฎหมาย ธรรม และปราศจากอคติทงั้ ปวง อยภู่ ายใต้การบงั คับบญั ชาตามลาดบั ชั้น วรรคสี่ ผู้พพิ ากษาและตุลาการจะเปน็ ขา้ ราชการการเมืองหรือ การจ่ายสานวนคดีใหผ้ ู้พิพากษาและตลุ าการ ใหเ้ ปน็ ไปตาม ผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองมไิ ด้ หลกั เกณฑ์ท่กี ฎหมายบัญญตั ิ การเรยี กคนื สานวนคดหี รือการโอนสานวนคดี จะกระทามไิ ด้ เว้นแต่เปน็ กรณที จ่ี ะกระทบกระเทอื นตอ่ ความยตุ ธิ รรมในการ พิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี การโยกยา้ ยผู้พพิ ากษาและตลุ าการโดยไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอม จากผู้พิพากษาและตุลาการนั้น จะกระทามไิ ด้ เวน้ แตเ่ ป็นการโยกยา้ ย ตามวาระตามท่กี ฎหมายบัญญัติ เปน็ การเลอ่ื นตาแหน่งใหส้ งู ข้นึ เปน็ กรณที อี่ ยใู่ นระหว่างถูกดาเนนิ การทางวินยั หรือตกเป็นจาเลยใน คดอี าญา

๑๑๖ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ งั คบั บญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผูจ้ ัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๐ ผูพ้ พิ ากษาและตุลาการจะเปน็ ข้าราชการ การเมืองหรอื ผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองมไิ ด้ มาตรา ๒๓๔ บรรดาศาลทงั้ หลายจะตง้ั ขนึ้ ได้กแ็ ตโ่ ดย มาตรา ๑๙๘ บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้กแ็ ต่โดย มาตรา ๑๘๙ บรรดาศาลท้งั หลายจะต้ังขึ้นได้แต่โดย พระราชบัญญตั ิ พระราชบัญญัติ พระราชบญั ญัติ การตั้งศาลขึ้นใหม่เพ่อื พิจารณาพพิ ากษาคดีใดคดหี นึ่งหรอื คดที ี่ การตั้งศาลขน้ึ ใหมเ่ พื่อพจิ ารณาพพิ ากษาคดีใดคดหี นงึ่ หรอื คดี การตงั้ ศาลข้ึนใหมห่ รือกาหนดวธิ พี ิจารณาเพื่อพจิ ารณา มีขอ้ หาฐานใดฐานหนง่ึ โดยเฉพาะแทนศาลที่มีอยูต่ ามกฎหมายสาหรบั ที่มีข้อหาฐานใดฐานหนึง่ โดยเฉพาะแทนศาลทม่ี ีอยตู่ ามกฎหมาย พพิ ากษาคดีใดคดีหนงึ่ หรือทม่ี ขี อ้ หาฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะแทน พิจารณาพพิ ากษาคดีนน้ั จะกระทามไิ ด้ สาหรับพิจารณาพพิ ากษาคดีน้นั จะกระทามไิ ด้ ศาลทมี่ ตี ามกฎหมายสาหรบั พจิ ารณาพิพากษาคดนี น้ั ๆ จะกระทา มาตรา ๒๓๕ การบัญญตั ิกฎหมายใหม้ ผี ลเปน็ การ การบญั ญัตกิ ฎหมายใหม้ ผี ลเป็นการเปลยี่ นแปลงหรอื แก้ไข มไิ ด้ เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายวา่ ด้วยธรรมนูญศาลหรือวิธี เพมิ่ เติมกฎหมายวา่ ดว้ ยธรรมนญู ศาลหรือวิธพี ิจารณาเพอ่ื ใช้แก่คดใี ด พจิ ารณาเพ่อื ใชแ้ กค่ ดใี ดคดีหน่งึ โดยเฉพาะ จะกระทามไิ ด้ คดีหน่ึงโดยเฉพาะ จะกระทามไิ ด้ มาตรา ๒๓๖ การน่ังพจิ ารณาคดีของศาลตองมีผูพิพากษาหรือ ตลุ าการครบองคคณะ และผพู ิพากษาหรอื ตลุ าการซงึ่ มิไดน่งั พจิ ารณา คดใี ด จะทาคาพพิ ากษาหรอื คาวนิ ิจฉัยคดนี ้ันมไิ ด เวนแตมเี หตสุ ดุ วิสัย หรือมเี หตุจาเปนอ่ืนอันมิอาจกาวลวงได ทง้ั น้ี ตามทกี่ ฎหมายบัญญัติ มาตรา ๒๕๑ พระมหากษัตรยิ ท์ รงแต่งต้งั ผ้พู ิพากษาและตลุ า มาตรา ๒๐๐ ตรงกบั มาตรา ๒๕๑ ของรัฐธรรมนญู แหง่ มาตรา ๑๙๐ พระมหากษตั รยิ ์ทรงแตง่ ต้งั และใหผ้ ูพ้ พิ ากษา การ และทรงให้พน้ จากตาแหน่ง เวน้ แต่กรณที ี่พน้ จากตาแหนง่ เพราะ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ และตลุ าการพน้ จากตาแหน่ง แตใ่ นกรณที ีพ่ น้ จากตาแหน่งเพราะ ความตาย ความตาย เกษยี ณอายุ ตามวาระ หรอื พน้ จากราชการเพราะถกู การแตง่ ต้งั และการใหผ้ ูพ้ ิพากษาและตลุ าการในศาลอน่ื ลงโทษ ให้นาความกราบบงั คมทูลเพอ่ื ทรงทราบ นอกจากศาลรฐั ธรรมนญู ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร พ้นจากตาแหนง่ ตลอดจนอานาจพพิ ากษาคดีและวิธีพิจารณาของ ศาลดังกลา่ ว ให้เปน็ ไปตามกฎหมายวา่ ด้วยการจัดตงั้ ศาลน้ัน มาตรา ๒๕๒ ก่อนเขา้ รบั หน้าท่ี ผู้พิพากษาและตุลาการต้อง มาตรา ๒๐๑ ตรงกบั มาตรา ๒๕๒ ของรฐั ธรรมนญู แห่ง มาตรา ๑๙๑ ตรงกบั มาตรา ๒๐๑ ของรัฐธรรมนญู แห่ง ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตรยิ ์ด้วยถ้อยคา ดังตอ่ ไปน้ี ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ “ขา้ พระพทุ ธเจ้า (ชอ่ื ผูป้ ฏญิ าณ) ขอถวายสตั ย์ปฏญิ าณวา่ ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภกั ดตี ่อพระมหากษตั รยิ ์ และจะปฏิบตั ิหน้าท่ี ในพระปรมาภไิ ธยด้วยความซ่อื สัตย์สจุ รติ โดยปราศจากอคติท้ังปวง เพอ่ื ใหเ้ กิดความยตุ ิธรรมแก่ประชาชน และความสงบสขุ แหง่ ราชอาณาจกั ร ทั้งจะรักษาไวแ้ ละปฏบิ ตั ิตามซ่งึ การปกครองระบอบประชาธิปไตย

๑๑๗ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคับบัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผ้จู ัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ อันมพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ ตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ไทยและกฎหมายทกุ ประการ” มาตรา ๒๔๘ ในกรณีทมี่ ปี ญั หาเกีย่ วกบั อานาจหนา้ ท่รี ะหวา่ ง มาตรา ๑๙๙ ตรงกบั มาตรา ๒๔๘ ของรัฐธรรมนญู แหง่ มาตรา ๑๙๒ ในกรณีทีม่ ปี ญั หาเกยี่ วกบั หนา้ ทีแ่ ละอานาจ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร หรือศาลอน่ื ใหพ้ ิจารณา ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ระหวา่ งศาลยตุ ธิ รรม ศาลปกครอง หรอื ศาลทหาร ให้พิจารณา วินจิ ฉัยชีข้ าดโดยคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งประกอบดว้ ยประธาน วินจิ ฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการซ่งึ ประกอบด้วยประธานศาลฎกี า ศาลฎกี าเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสดุ ประธานศาลอนื่ และ เปน็ ประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุด หวั หน้าสานักตลุ าการ ผู้ทรงคณุ วุฒิอ่นื อีกไมเ่ กินส่ีคนตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ เปน็ กรรมการ ทหาร และผทู้ รงคณุ วุฒอิ ่ืนอกี ไมเ่ กนิ สค่ี นตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ เปน็ หลกั เกณฑ์การเสนอปญั หาตามวรรคหนง่ึ ให้เป็นไปตามที่ กรรมการ กฎหมายบญั ญตั ิ หลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารชข้ี าดปญั หาเก่ยี วกับหน้าทแ่ี ละอานาจ ระหวา่ งศาลตามวรรคหนึ่ง ใหเ้ ป็นไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๗๐ ศาลรฐั ธรรมนูญมีหนว่ ยธรุ การของศาล มาตรา ๒๑๗ ศาลรัฐธรรมนญู มหี น่วยธรุ การของศาล มาตรา ๑๙๓ ให้แต่ละศาล ยกเวน้ ศาลทหาร มีหน่วยงานท่ี รัฐธรรมนูญท่เี ป็นอสิ ระ โดยมเี ลขาธกิ ารสานักงานศาลรฐั ธรรมนญู เป็น รฐั ธรรมนญู ท่ีเปน็ อสิ ระ โดยมเี ลขาธกิ ารสานกั งานศาลรัฐธรรมนญู รบั ผิดชอบงานธุรการทมี่ คี วามเปน็ อิสระในการบรหิ ารงานบุคคล ผ้บู งั คับบัญชาข้นึ ตรงตอ่ ประธานศาลรัฐธรรมนญู เป็นผู้บงั คับบัญชาข้นึ ตรงต่อประธานศาลรฐั ธรรมนญู การงบประมาณ และการดาเนนิ การอนื่ โดยใหม้ หี ัวหน้าหนว่ ยงาน การแต่งต้งั เลขาธกิ ารสานกั งานศาลรฐั ธรรมนญู ต้องไดร้ ับ การแตง่ ต้ังเลขาธิการสานักงานศาลรฐั ธรรมนญู ตอ้ งมาจาก คนหนง่ึ เปน็ ผบู้ งั คบั บัญชาขน้ึ ตรงตอ่ ประธานของแตล่ ะศาล ทง้ั นี้ ความเหน็ ชอบของคณะตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู การเสนอของประธานศาลรฐั ธรรมนูญและได้รับความเหน็ ชอบของ ตามทกี่ ฎหมายบญั ญัติ สานักงานศาลรฐั ธรรมนญู มีอิสระในการบรหิ ารงานบุคคล คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนญู ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ ใหศ้ าลยุติธรรมและศาลปกครองมรี ะบบเงินเดือนและ การงบประมาณ และการดาเนนิ การอ่นื ทัง้ น้ี ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ สานกั งานศาลรัฐธรรมนูญมีอสิ ระในการบริหารงานบุคคล คา่ ตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสมตามท่กี ฎหมาย มาตรา ๒๗๕ ศาลยุตธิ รรมมหี นว่ ยธุรการของศาลยุติธรรมที่ การงบประมาณ และการดาเนินการอ่นื ทงั้ น้ี ตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ บัญญัติ เป็นอิสระ โดยมเี ลขาธกิ ารสานกั งานศาลยตุ ธิ รรมเป็นผู้บังคบั บัญชา มาตรา ๒๒๒ ศาลยตุ ิธรรมมีหน่วยธรุ การของศาลยตุ ธิ รรมท่ี ขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา เป็นอสิ ระ โดยมเี ลขาธกิ ารสานักงานศาลยตุ ิธรรมเป็นผู้บงั คับบัญชา การแตง่ ตงั้ เลขาธกิ ารสานกั งานศาลยุติธรรม ตอ้ งไดร้ บั ความ ขนึ้ ตรงต่อประธานศาลฎกี า เหน็ ชอบของคณะกรรมการตลุ าการศาลยุตธิ รรม การแตง่ ต้งั เลขาธกิ ารสานักงานศาลยุตธิ รรม ตอ้ งมาจากการ สานกั งานศาลยตุ ิธรรมมีอสิ ระในการบริหารงานบุคคล เสนอของประธานศาลฎกี าและไดร้ ับความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ การงบประมาณ และการดาเนินการอนื่ ท้งั นี้ ตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ ตลุ าการศาลยุตธิ รรมตามที่กฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๘๐ ศาลปกครองมหี น่วยธรุ การของศาลปกครองท่ี สานกั งานศาลยุติธรรมมอี สิ ระในการบริหารงานบุคคล เป็นอิสระ โดยมีเลขาธกิ ารสานักงานศาลปกครองเปน็ ผ้บู ังคับบญั ชา การงบประมาณ และการดาเนินการอ่ืน ท้งั น้ี ตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ ขน้ึ ตรงตอ่ ประธานศาลปกครองสูงสดุ มาตรา ๒๒๗ ศาลปกครองมหี นว่ ยธรุ การของศาลปกครองทเ่ี ปน็ อิสระ โดยมเี ลขาธกิ ารสานกั งานศาลปกครองเป็นผบู้ งั คบั บัญชาขนึ้ ตรงตอ่ ประธานศาลปกครองสูงสดุ

รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๑๘ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผูจ้ ดั ทา การแตง่ ตงั้ เลขาธิการสานักงานศาลปกครอง ต้องไดร้ ับความ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เหน็ ชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ บญั ญัติ การแตง่ ตง้ั เลขาธกิ ารสานักงานศาลปกครอง ต้องมาจากการ เสนอของประธานศาลปกครองสงู สุดและได้รับความเห็นชอบของ ส่วนท่ี ๒ สานักงานศาลปกครองมอี สิ ระในการบริหารงานบุคคล คณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ ศาลยุติธรรม การงบประมาณ และการดาเนินการอื่น ท้งั น้ี ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ สานักงานศาลปกครองมีอสิ ระในการบริหารงานบคุ คล สว่ นท่ี ๓ การงบประมาณ และการดาเนนิ การอ่นื ทงั้ น้ี ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ศาลยุตธิ รรม ไมม่ ีการแกไ้ ข มาตรา ๒๗๑ ศาลยตุ ิธรรมมีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดีท้ัง มาตรา ๒๑๘ ตรงกบั มาตรา ๒๗๑ ของรฐั ธรรมนูญแหง่ มาตรา ๑๙๔ ศาลยตุ ธิ รรมมอี านาจพิจารณาพิพากษาคดที ้ัง ปวง เว้นแต่คดที ่ีรัฐธรรมนญู นี้หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอานาจของ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ปวง เว้นแตค่ ดีทร่ี ฐั ธรรมนญู หรือกฎหมายบญั ญตั ใิ หอ้ ย่ใู นอานาจ ศาลอื่น ของศาลอ่ืน มาตรา ๒๑๙ วรรคหนง่ึ ศาลยตุ ิธรรมมสี ามชนั้ คือ ศาล มาตรา ๒๗๒ วรรคหนง่ึ ศาลยตุ ิธรรมมสี ามชน้ั คอื ศาล ชนั้ ตน้ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎกี า เว้นแต่ทม่ี บี ัญญัตไิ ว้เปน็ อยา่ งอนื่ การจดั ตงั้ วธิ ีพิจารณาคดี และการดาเนนิ งานของศาล ชัน้ ต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎกี า เวน้ แต่ทม่ี บี ัญญตั ไิ ว้เป็นอย่างอ่ืนใน ในรัฐธรรมนญู นห้ี รอื ตามกฎหมายอ่ืน ยุตธิ รรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนน้ั รฐั ธรรมนูญน้หี รอื ตามกฎหมายอืน่ วรรคสอง ศาลฎีกามีอานาจพิจารณาพิพากษาคดที ่รี ฐั ธรรมนญู หรือกฎหมายบัญญตั ใิ หเ้ สนอต่อศาลฎกี าไดโ้ ดยตรง และคดีท่อี ุทธรณ์ หรือฎกี าคาพพิ ากษาหรือคาสง่ั ของศาลชนั้ ตน้ หรือศาลอทุ ธรณ์ตามที่ กฎหมายบญั ญตั ิ เว้นแต่เปน็ กรณที ีศ่ าลฎีกาเห็นวา่ ข้อกฎหมายหรือ ขอ้ เท็จจริงทีอ่ ุทธรณห์ รอื ฎีกานน้ั จะไมเ่ ปน็ สาระอนั ควรแก่การ พจิ ารณา ศาลฎกี ามอี านาจไมร่ บั คดีไวพ้ ิจารณาพิพากษาได้ ท้ังน้ี ตามระเบียบทที่ ่ีประชุมใหญ่ศาลฎกี ากาหนด วรรคสาม ให้ศาลฎีกามีอานาจพจิ ารณาและวนิ จิ ฉยั คดที ่ี เกยี่ วกับการเลือกต้งั และการเพิกถอนสทิ ธิเลอื กต้ังในการเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและการไดม้ าซงึ่ สมาชิกวฒุ สิ ภา และให้ศาล อุทธรณม์ ีอานาจพจิ ารณาและวินิจฉยั คดีทเี่ กยี่ วกับการเลือกต้งั และการ เพกิ ถอนสทิ ธเิ ลือกตั้งในการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาท้องถ่นิ และผบู้ รหิ าร ทอ้ งถน่ิ ท้ังน้ี วธิ ีพจิ ารณาและวนิ จิ ฉยั คดใี หเ้ ปน็ ไปตามระเบียบท่ที ี่ ประชมุ ใหญศ่ าลฎีกากาหนด โดยตอ้ งใชร้ ะบบไตส่ วนและเปน็ ไปโดย รวดเร็ว

๑๑๙ นาถะ ดวงวิชัย ผู้บังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗๒ วรรคสอง ใหม้ แี ผนกคดอี าญาของผดู้ ารง มาตรา ๒๑๙ วรรคสี่ ใหม้ ีแผนกคดีอาญาของผูด้ ารงตาแหน่ง มาตรา ๑๙๕ ใหม้ ีแผนกคดีอาญาของผ้ดู ารงตาแหนง่ ทาง ตาแหน่งทางการเมอื งในศาลฎีกา โดยองค์คณะผ้พู พิ ากษา ทางการเมอื งในศาลฎีกา โดยองคค์ ณะผพู้ ิพากษาประกอบดว้ ยผู้ การเมอื งในศาลฎีกา โดยองคค์ ณะผ้พู ิพากษาประกอบดว้ ยผู้พิพากษา ประกอบดว้ ยผู้พิพากษาในศาลฎกี าซง่ึ ดารงตาแหน่งไม่ตา่ กวา่ ผู้ พิพากษาในศาลฎกี าซึ่งดารงตาแหนง่ ไมต่ า่ กว่าผพู้ ิพากษาศาลฎกี าหรือ ในศาลฎกี าซงึ่ ดารงตาแหนง่ ไมต่ ่ากว่าผพู้ ิพากษาศาลฎกี าหรอื ผู้ พิพากษาศาลฎกี า จานวนเกา้ คน ซ่งึ ไดร้ ับเลือกโดยที่ประชมุ ใหญศ่ าล ผู้พพิ ากษาอาวุโสซึ่งเคยดารงตาแหน่งไมต่ ่ากวา่ ผพู้ ิพากษาศาลฎกี า พพิ ากษาอาวโุ สซง่ึ เคยดารงตาแหน่งไมต่ า่ กวา่ ผูพ้ พิ ากษาศาลฎีกา ซ่งึ ฎีกาโดยวิธลี งคะแนนลบั และใหเ้ ลือกเปน็ รายคดี จานวนเกา้ คน ซึ่งได้รับเลือกโดยท่ปี ระชมุ ใหญ่ศาลฎีกาโดยวธิ ลี งคะแนน ได้รับคดั เลอื กโดยท่ีประชุมใหญศ่ าลฎีกา จานวนไม่น้อยกว่าห้าคน วรรคสาม อานาจหน้าที่ของศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผู้ ลบั และใหเ้ ลอื กเปน็ รายคดี แต่ไมเ่ กนิ เก้าคนตามทบี่ ญั ญตั ไิ วใ้ นพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื งและวธิ พี ิจารณาคดอี าญาของผดู้ ารง วรรคหา้ อานาจหนา้ ทขี่ องศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผ้ดู ารง ว่าดว้ ยวิธีพิจารณาคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมือง โดยให้ ตาแหน่งทางการเมือง ใหเ้ ป็นไปตามที่บัญญตั ไิ วใ้ นรัฐธรรมนญู น้ีและ ตาแหน่งทางการเมอื งและวิธพี จิ ารณาคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทาง เลือกเป็นรายคดี ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยวิธีพจิ ารณาคดอี าญาของผู้ การเมอื ง ให้เป็นไปตามทบ่ี ญั ญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญนแี้ ละในพระราชบญั ญตั ิ ศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งมี ดารงตาแหนง่ ทางการเมือง ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยวธิ ีพจิ ารณาคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทาง อานาจพิจารณาพพิ ากษาคดตี ามทบี่ ัญญตั ไิ ว้ในรฐั ธรรมนูญ มาตรา ๓๑๐ วรรคสอง ให้นาบทบญั ญัตมิ าตรา ๒๖๕ มาใช้ การเมือง วิธีพจิ ารณาคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง ให้ บังคับกบั การปฏิบัตหิ นา้ ท่ีของศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผดู้ ารง มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง วธิ ีพิจารณาคดีของศาลฎกี าแผนก เป็นไปตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ พี ิจารณา ตาแหน่งทางการเมอื งด้วยโดยอนโุ ลม คดีอาญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื งให้เปน็ ไปตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ น คดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง มาตรา ๓๑๑ การพพิ ากษาคดีใหถ้ ือเสียงข้างมาก โดยผู้ พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ ีพจิ ารณาคดีอาญาของผู้ คาพพิ ากษาของศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผ้ดู ารงตาแหนง่ พิพากษาซง่ึ เป็นองค์คณะทุกคนตอ้ งทาความเหน็ ในการวินิจฉยั คดีเปน็ ดารงตาแหนง่ ทางการเมือง และให้นาบทบัญญตั มิ าตรา ๒๑๓ มาใชบ้ งั คับ ทางการเมือง ใหอ้ ทุ ธรณต์ ่อทีป่ ระชุมใหญศ่ าลฎีกาไดภ้ ายในสามสบิ หนงั สือพรอ้ มทง้ั ตอ้ งแถลงดว้ ยวาจาตอ่ ที่ประชุมก่อนการลงมติ กับการปฏิบัตหิ นา้ ทีข่ องศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทาง วนั นบั แต่วันทศ่ี าลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทาง ความเห็นในการวนิ จิ ฉยั คดีอย่างนอ้ ยตอ้ งประกอบดว้ ย การเมอื งดว้ ยโดยอนโุ ลม การเมืองมคี าพพิ ากษา (๑) ช่อื ผถู้ ูกกล่าวหา มาตรา ๒๗๘ การพิพากษาคดใี หถ้ อื เสียงข้างมาก โดยผู้ การวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณข์ องทป่ี ระชุมใหญ่ศาลฎีกาตามวรรคสี่ ให้ (๒) เร่อื งที่ถูกกล่าวหา พพิ ากษาซ่งึ เปน็ องคค์ ณะทกุ คนตอ้ งทาความเห็นในการวินิจฉัยคดี ดาเนนิ การโดยองค์คณะของศาลฎกี าซึ่งประกอบด้วยผู้พพิ ากษาใน (๓) ขอ้ กลา่ วหาและสรุปขอ้ เทจ็ จรงิ ทไ่ี ดจ้ ากการพจิ ารณา เปน็ หนงั สือพรอ้ มท้งั ตอ้ งแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชมุ ก่อนการลงมติ ศาลฎีกาซึ่งดารงตาแหน่งไมต่ า่ กวา่ ผูพ้ พิ ากษาหัวหน้าคณะในศาล (๔) เหตผุ ลในการวินิจฉยั ทั้งในปญั หาขอ้ เท็จจริงและข้อ คาส่ังและคาพิพากษาของศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารง ฎกี าหรอื ผพู้ พิ ากษาอาวโุ สซง่ึ เคยดารงตาแหน่งไมต่ ่ากวา่ ผพู้ พิ ากษา กฎหมาย ตาแหนง่ ทางการเมืองใหเ้ ปดิ เผยและเป็นทส่ี ดุ เวน้ แตเ่ ป็นกรณีตามวรรค หัวหน้าคณะในศาลฎกี าซึง่ ไมเ่ คยพจิ ารณาคดนี ั้นมาก่อน และได้รบั (๕) บทบัญญัติของกฎหมายท่ียกขนึ้ อ้างอิง สาม คดั เลือกโดยท่ีประชุมใหญศ่ าลฎกี า จานวนเก้าคน โดยใหเ้ ลือกเป็น (๖) คาวินิจฉัยคดี รวมท้งั การดาเนนิ การเกีย่ วกบั ทรพั ยส์ นิ ที่ ในกรณที ผี่ ตู้ ้องคาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผู้ รายคดี และเมือ่ องคค์ ณะของศาลฎกี าดงั กล่าวได้วินิจฉยั แล้วใหถ้ อื เกย่ี วขอ้ ง ถา้ มี ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื งมีพยานหลักฐานใหม่ ซง่ึ อาจทาให้ วา่ คาวินจิ ฉัยนน้ั เปน็ คาวนิ จิ ฉัยของที่ประชุมใหญศ่ าลฎกี า คาสั่งและคาพิพากษาของศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารง ข้อเท็จจรงิ เปล่ียนแปลงไปในสาระสาคญั อาจย่ืนอทุ ธรณต์ อ่ ที่ ในกรณีที่ศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทาง ตาแหนง่ ทางการเมอื งใหเ้ ปิดเผยและเปน็ ทส่ี ดุ ประชุมใหญศ่ าลฎกี าภายในสามสบิ วนั นบั แต่วันทีม่ คี าพิพากษาของ การเมืองมคี าพพิ ากษาใหผ้ ู้ใดพน้ จากตาแหนง่ หรือคาพพิ ากษาน้ันมี ศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองได้ ผลใหผ้ ู้ใดพน้ จากตาแหนง่ ไมว่ ่าจะมีการอุทธรณต์ ามวรรคส่ีหรือไม่

๑๒๐ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผ้จู ดั ทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ หลักเกณฑก์ ารยน่ื อุทธรณ์และการพจิ ารณาวินิจฉัยของที่ประชุม ใหผ้ นู้ น้ั พ้นจากตาแหน่งตงั้ แต่วนั ทศ่ี าลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ ใหญ่ศาลฎีกา ให้เป็นไปตามระเบยี บท่ีที่ประชมุ ใหญศ่ าลฎีกากาหนด ดารงตาแหน่งทางการเมอื งมีคาพพิ ากษา หลักเกณฑ์และวิธกี ารอุทธรณต์ ามวรรคสี่ และการพิจารณา วินจิ ฉัยอุทธรณต์ ามวรรคหา้ ให้เปน็ ไปตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบ รฐั ธรรมนญู ว่าด้วยวธิ ีพิจารณาคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมือง มาตรา ๒๔๙ วรรคห้า การโยกยา้ ยผู้พพิ ากษาและตลุ าการ มาตรา ๑๙๗ วรรคสาม การโยกยา้ ยผูพ้ ิพากษาและตลุ าการ มาตรา ๑๙๖ การบรหิ ารงานบคุ คลเก่ียวกับผู้พพิ ากษาศาล โดยไม่ได้รบั ความยนิ ยอมจากผูพ้ พิ ากษาและตลุ าการน้นั จะกระทา โดยไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอมจากผพู้ พิ ากษาและตลุ าการนนั้ จะกระทา ยุติธรรมตอ้ งมคี วามเป็นอิสระ และดาเนนิ การโดยคณะกรรมการ มิได้ เวน้ แตเ่ ปน็ การโยกยา้ ยตามวาระตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ เปน็ การ มิได้ เว้นแตเ่ ปน็ การโยกย้ายตามวาระตามทกี่ ฎหมายบญั ญัติ เป็น ตุลาการศาลยตุ ธิ รรม ซึง่ ประกอบด้วยประธานศาลฎกี าเปน็ ประธาน เลอ่ื นตาแหน่งใหส้ งู ขนึ้ เป็นกรณีทอี่ ยูใ่ นระหว่างถกู ดาเนินการทาง การเล่อื นตาแหนง่ ใหส้ งู ขน้ึ เป็นกรณที ่อี ยูใ่ นระหวา่ งถกู ดาเนินการ และกรรมการผ้ทู รงคณุ วฒุ ิซง่ึ เป็นขา้ ราชการตลุ าการในแตล่ ะช้ันศาล วินยั หรอื ตกเป็นจาเลยในคดอี าญา ทางวินยั หรอื ตกเป็นจาเลยในคดีอาญา เป็นกรณที ี่กระทบกระเทือน และผทู้ รงคณุ วฒุ ิซึ่งไม่เปน็ หรือเคยเปน็ ข้าราชการตลุ าการ บรรดาที่ มาตรา ๒๕๓ เงนิ เดอื น เงนิ ประจาตาแหนง่ และประโยชน์ ตอ่ ความยุตธิ รรมในการพจิ ารณาพิพากษาคดี หรือมเี หตสุ ดุ วิสยั หรอื เหตุ ได้รบั เลอื กจากข้าราชการตลุ าการไมเ่ กินสองคน ทง้ั นี้ ตามท่ี ตอบแทนอืน่ ของผู้พิพากษาและตลุ าการ ให้เป็นไปตามที่กฎหมาย จาเปน็ อืน่ อันไมอ่ าจกา้ วลว่ งได้ ท้ังนี้ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ กฎหมายบญั ญตั ิ บัญญัติ ทง้ั นี้ จะนาระบบบญั ชีเงนิ เดอื นหรอื เงินประจาตาแหนง่ ของ มาตรา ๒๐๒ เงินเดือน เงินประจาตาแหน่ง และประโยชนต์ อบ ข้าราชการพลเรอื นมาใชบ้ ังคบั มไิ ด้ แทนอน่ื ของผู้พิพากษาและตลุ าการ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ทั้งนี้ บทบญั ญัตวิ รรคหนง่ึ ใหน้ ามาใชบ้ งั คับกับกรรมการการเลือกต้งั จะนาระบบบัญชเี งินเดือนหรอื เงนิ ประจาตาแหนง่ ของขา้ ราชการพลเรอื น ผู้ตรวจการแผ่นดนิ ของรัฐสภา กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการ มาใชบ้ ังคบั มไิ ด้ ทุจรติ แหง่ ชาติ และกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดิน ด้วย โดยอนุโลม ให้นาความในวรรคหน่งึ มาใชบ้ งั คบั กบั กรรมการการเลือกตงั้ มาตรา ๒๕๔ บุคคลจะดารงตาแหน่งกรรมการในคณะกรรมการ ผูต้ รวจการแผน่ ดนิ กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ ตลุ าการศาลยุตธิ รรม กรรมการในคณะกรรมการตลุ าการศาลปกครอง และกรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ ดว้ ยโดยอนโุ ลม หรอื กรรมการในคณะกรรมการตลุ าการของศาลอืน่ ตามกฎหมายว่า มาตรา ๒๐๓ ตรงกับความในมาตรา ๒๕๔ ของรัฐธรรมนูญแห่ง ด้วยการนัน้ ในเวลาเดียวกนั มไิ ด้ ทง้ั น้ี ไม่วา่ จะเปน็ กรรมการโดย ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ตาแหนง่ หรอื กรรมการผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ มาตรา ๒๒๐ การแต่งต้งั และการใหผ้ ูพ้ ิพากษาในศาลยุตธิ รรมพ้น มาตรา ๒๗๓ การแต่งตั้งและการใหผ้ ้พู พิ ากษาในศาลยตุ ิธรรม จากตาแหนง่ ต้องไดร้ ับความเห็นชอบของคณะกรรมการตลุ าการศาล พ้นจากตาแหน่ง ต้องไดร้ บั ความเห็นชอบของคณะกรรมการตลุ าการ ยุตธิ รรมก่อน แลว้ จงึ นาความกราบบงั คมทลู ศาลยุตธิ รรมก่อน แลว้ จงึ นาความกราบบังคมทลู การเลื่อนตาแหน่ง การเลอ่ื นเงินเดอื น และการลงโทษผู้ การเลื่อนตาแหน่ง การเลือ่ นเงินเดือน และการลงโทษผู้พิพากษา พพิ ากษาในศาลยตุ ิธรรม ตอ้ งได้รบั ความเห็นชอบของคณะกรรมการ ในศาลยุตธิ รรม ตอ้ งไดร้ ับความเหน็ ชอบของคณะกรรมการตลุ าการ ตลุ าการศาลยุตธิ รรม ในการนใี้ หค้ ณะกรรมการตลุ าการศาลยตุ ิธรรม ศาลยตุ ิธรรม ในการน้ีใหค้ ณะกรรมการตลุ าการศาลยุติธรรมแตง่ ต้ัง แตง่ ต้ังคณะอนุกรรมการขึ้นชน้ั ศาลละหนึ่งคณะ เพ่อื เสนอความ คิดเหน็ ในเรอ่ื งดังกล่าวเพอ่ื ประกอบการพิจารณา

๑๒๑ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คับบญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ คณะอนุกรรมการขึ้นชั้นศาลละหนึ่งคณะ เพื่อเสนอความคดิ เหน็ ใน การให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการตลุ าการศาลยตุ ธิ รรม เรื่องดังกลา่ วเพอ่ื ประกอบการพิจารณา ตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง ต้องคานงึ ถึงความรู้ความสามารถและ พฤติกรรมทางจรยิ ธรรมของบุคคลดังกลา่ วด้วย เป็นสาคญั มาตรา ๒๗๔ คณะกรรมการตลุ าการศาลยุติธรรมประกอบด้วย บคุ คลดังต่อไปน้ี มาตรา ๒๒๑ คณะกรรมการตลุ าการศาลยุติธรรมประกอบด้วย บคุ คลดังต่อไปนี้ (๑) ประธานศาลฎกี าเปน็ ประธานกรรมการ (๒) กรรมการผู้ทรงคุณวฒุ ใิ นแตล่ ะชน้ั ศาล ชั้นศาลละสคี่ น (๑) ประธานศาลฎกี าเป็นประธานกรรมการ รวมเปน็ สบิ สองคน ซง่ึ เป็นข้าราชการตุลาการในแตล่ ะช้นั ศาล และ (๒) กรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นแต่ละชั้นศาล ได้แก่ ศาลฎีกาหก ได้รับเลือกจากข้าราชการตุลาการในทุกช้นั ศาล คน ศาลอุทธรณส์ คี่ น และศาลชัน้ ต้นสองคน ซึง่ เป็นขา้ ราชการ (๓) กรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ิจานวนสองคน ซ่ึงไม่เปน็ หรอื เคย ตุลาการในแต่ละชนั้ ศาล และไดร้ ับเลอื กจากขา้ ราชการตุลาการใน เปน็ ข้าราชการตุลาการ และไดร้ บั เลอื กจากวุฒิสภา แตล่ ะชนั้ ศาล คุณสมบตั ิ ลักษณะตอ้ งห้าม และวธิ กี ารเลอื กกรรมการ (๓) กรรมการผู้ทรงคณุ วฒุ ิจานวนสองคน ซ่ึงไม่เปน็ ข้าราชการ ผู้ทรงคุณวฒุ ิ ให้เปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ ตุลาการ และไดร้ ับเลือกจากวฒุ ิสภา คณุ สมบัติ ลักษณะตอ้ งหา้ ม และวธิ ีการเลือกกรรมการ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ใหเ้ ป็นไปตามท่กี ฎหมายบัญญัติ ในกรณที ไี่ ม่มีกรรมการผ้ทู รงคณุ วฒุ ิตามวรรคหนง่ึ (๓) หรือมี แต่ไม่ครบสองคน ถ้าคณะกรรมการตลุ าการศาลยตุ ธิ รรมจานวนไม่ นอ้ ยกวา่ เจ็ดคนเห็นวา่ มีเร่อื งเรง่ ดว่ นท่ตี ้องให้ความเห็นชอบ ให้ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจานวนดงั กล่าวเปน็ องคป์ ระกอบ และองคป์ ระชมุ พจิ ารณาเรื่องเรง่ ด่วนน้ันได้ มาตรา ๓๐๖ ในวาระเร่มิ แรก ใหผ้ ้พู ิพากษาในศาลฎกี าทเี่ คย ดารงตาแหน่งไม่ต่ากวา่ ผพู้ ิพากษาศาลฎีกาซงึ่ มีอายคุ รบหกสิบปี บรบิ รู ณใ์ นปงี บประมาณ ๒๕๕๐ สามารถปฏบิ ัตหิ น้าทผี่ ้พู พิ ากษา อาวโุ สในศาลฎกี าตามมาตรา ๒๑๙ ได้ ทั้งน้ี จนกวา่ จะมกี ารปรับปรุง กฎหมายเก่ยี วกับการกาหนดหลักเกณฑ์การปฏบิ ัติหนา้ ทข่ี องผู้ พิพากษาอาวโุ ส ภายในหน่ึงปีนบั แต่วันประกาศใช้รฐั ธรรมนูญนใี้ หต้ รา กฎหมายกาหนดหลกั เกณฑ์ให้ผู้พพิ ากษาศาลยุตธิ รรมดารงตาแหน่ง ไดจ้ นถึงอายุครบเจ็ดสิบปี และผ้พู พิ ากษาศาลยุตธิ รรมซ่งึ มอี ายุครบ หกสบิ ปีบริบรู ณ์ขน้ึ ไปในปีงบประมาณใดซง่ึ ได้ปฏิบตั หิ นา้ ทีม่ าแลว้ ไม่

๑๒๒ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บงั คับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ส่วนท่ี ๔ นอ้ ยกว่าย่สี บิ ปีและผา่ นการประเมินสมรรถภาพในการปฏบิ ตั หิ น้าที่ ศาลปกครอง มาตรา ๒๗๖ ศาลปกครองมอี านาจพิจารณาพิพากษาคดที ี่ สามารถขอไปดารงตาแหน่งผพู้ พิ ากษาอาวุโสในศาลซง่ึ ไมส่ งู กว่า เป็นข้อพพิ าทระหวา่ งหนว่ ยราชการ หน่วยงานของรัฐ รฐั วสิ าหกจิ หรือราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ หรือเจา้ หนา้ ทีข่ องรัฐท่อี ยใู่ นบงั คบั บญั ชา ขณะดารงตาแหน่งได้ หรอื ในกากับดูแลของรัฐบาลกบั เอกชน หรอื ระหว่างหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั รัฐวสิ าหกิจ หรือราชการส่วนทอ้ งถน่ิ หรือเจ้าหนา้ ที่ กฎหมายที่จะตราข้นึ ตามวรรคหนงึ่ และวรรคสอง จะตอ้ งมี ของรฐั ท่ีอยูใ่ นบงั คบั บญั ชาหรอื ในกากบั ดแู ลของรฐั บาลดว้ ยกัน ซึง่ เปน็ ข้อพิพาทอันเนอ่ื งมาจากการกระทาหรือการละเวน้ การกระทาที่ บทบญั ญตั ิให้ผูท้ ี่จะมอี ายุครบหกสิบปบี ริบรู ณข์ ้นึ ไปในปีงบประมาณใด หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐั วิสาหกิจ หรือราชการส่วนทอ้ งถน่ิ หรอื เจา้ หน้าทขี่ องรฐั นนั้ ต้องปฏิบตั ิตามกฎหมาย หรือเนอ่ื งจากการ ในระยะสบิ ปีแรกนับแต่วนั ที่กฎหมายดงั กลา่ วมผี ลใชบ้ ังคบั ทยอย กระทาหรือการละเว้นการกระทาทหี่ นว่ ยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐั วสิ าหกจิ หรอื ราชการส่วนทอ้ งถน่ิ หรอื เจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐนนั้ ต้อง พน้ จากตาแหน่งที่ดารงอยู่เปน็ ลาดับในแต่ละปตี ่อเนื่องกันไปและ รับผดิ ชอบในการปฏิบตั ิหน้าท่ีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ตามทีก่ ฎหมายบัญญัติ ใหม้ ีศาลปกครองสูงสดุ และศาลปกครองชน้ั ต้น และจะมศี าล สามารถขอไปดารงตาแหนง่ ผ้พู พิ ากษาอาวโุ สตอ่ ไปได้ ปกครองชัน้ อทุ ธรณ์ด้วยกไ็ ด้ ให้นาบทบัญญตั ใิ นวรรคสอง และวรรคสาม ไปใชก้ บั พนกั งาน อยั การดว้ ย โดยอนุโลม ไม่มกี ารแกไ้ ข ส่วนที่ ๓ ศาลปกครอง มาตรา ๒๒๓ ศาลปกครองมีอานาจพจิ ารณาพิพากษาคดพี พิ าท มาตรา ๑๙๗ ศาลปกครองมอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดี ระหวา่ งหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั รฐั วสิ าหกจิ องค์กรปกครองสว่ น ปกครองอันเน่ืองมาจากการใชอ้ านาจทางปกครองตามกฎหมายหรอื ท้องถ่นิ หรือองคก์ รตามรัฐธรรมนญู หรือเจา้ หนา้ ท่ขี องรัฐกบั เอกชน หรือ เนอ่ื งมาจากการดาเนินกจิ การทางปกครอง ท้ังนี้ ตามทก่ี ฎหมาย ระหวา่ งหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐั วสิ าหกจิ องค์กรปกครองส่วน บญั ญัติ ท้องถิน่ หรือองค์กรตามรัฐธรรมนญู หรอื เจา้ หน้าที่ของรัฐดว้ ยกัน อัน ให้มศี าลปกครองสงู สุดและศาลปกครองชน้ั ตน้ เน่ืองมาจากการใชอ้ านาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเน่ืองมาจากการ อานาจศาลปกครองตามวรรคหนึง่ ไมร่ วมถึงการวนิ จิ ฉัยชข้ี าด ดาเนนิ กจิ การทางปกครองของหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐั วสิ าหกจิ ขององค์กรอิสระซึ่งเปน็ การใช้อานาจโดยตรงตามรฐั ธรรมนญู ของ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น หรือองคก์ รตามรัฐธรรมนญู หรอื เจา้ หน้าท่ี องคก์ รอสิ ระน้ัน ๆ ของรัฐ ทง้ั น้ี ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ รวมทง้ั มีอานาจพิจารณาพิพากษา การจัดต้งั วธิ ีพจิ ารณาคดี และการดาเนินงานของศาลปกครอง เรอ่ื งทร่ี ัฐธรรมนญู หรือกฎหมายบญั ญัตใิ ห้อยูใ่ นอานาจของศาล ให้เป็นไปตามกฎหมายวา่ ด้วยการน้นั ปกครอง อานาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่งไมร่ วมถงึ การวนิ ิจฉยั ช้ีขาดของ องค์กรตามรฐั ธรรมนญู ซง่ึ เป็นการใชอ้ านาจโดยตรงตามรฐั ธรรมนญู ของ องค์กรตามรฐั ธรรมนูญนน้ั ให้มศี าลปกครองสูงสดุ และศาลปกครองช้นั ต้น และจะมศี าล ปกครองชนั้ อทุ ธรณ์ด้วยกไ็ ด้

๑๒๓ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ ังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๓ เงินเดือน เงินประจาตาแหนง่ และประโยชน์ มาตรา ๒๐๒ เงนิ เดอื น เงนิ ประจาตาแหนง่ และประโยชนต์ อบ มาตรา ๑๙๘ การบริหารงานบุคคลเกย่ี วกบั ตุลาการศาล ตอบแทนอืน่ ของผพู้ ิพากษาและตลุ าการ ใหเ้ ป็นไปตามท่ีกฎหมาย แทนอ่นื ของผพู้ พิ ากษาและตลุ าการ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ ท้ังนี้ ปกครองต้องมีความเปน็ อสิ ระ และดาเนินการโดยคณะกรรมการ บญั ญตั ิ ทั้งนี้ จะนาระบบบญั ชีเงนิ เดือนหรอื เงินประจาตาแหน่งของ จะนาระบบบัญชเี งนิ เดอื นหรอื เงินประจาตาแหนง่ ของข้าราชการพลเรือน ตลุ าการศาลปกครองซ่งึ ประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสดุ ข้าราชการพลเรอื นมาใช้บงั คับ มิได้ มาใช้บังคบั มไิ ด้ เปน็ ประธาน และกรรมการผทู้ รงคณุ วุฒิซึ่งเป็นตลุ าการในศาล บทบัญญัตวิ รรคหน่ึงใหน้ ามาใชบ้ ังคบั กับกรรมการการเลือกตงั้ ใหน้ าความในวรรคหนง่ึ มาใชบ้ ังคับกบั กรรมการการเลือกต้งั ปกครอง และผทู้ รงคณุ วุฒซิ ึง่ ไม่เปน็ หรือเคยเป็นตุลาการในศาล ผตู้ รวจการแผ่นดนิ ของรฐั สภา กรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการ ผ้ตู รวจการแผน่ ดนิ กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ ปกครองไมเ่ กนิ สองคน บรรดาที่ได้รบั เลอื กจากขา้ ราชการตลุ าการ ทจุ รติ แห่งชาติ และกรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ ด้วย โดยอนุโลม และกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ดว้ ยโดยอนโุ ลม ศาลปกครอง ทัง้ นี้ ตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๕๔ บคุ คลจะดารงตาแหน่งกรรมการในคณะกรรมการ มาตรา ๒๐๓ ตรงกบั ความในมาตรา ๒๕๔ ของรฐั ธรรมนูญ ตุลาการศาลยุติธรรม กรรมการในคณะกรรมการตลุ าการศาลปกครอง แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ หรือกรรมการในคณะกรรมการตลุ าการของศาลอื่นตามกฎหมายวา่ มาตรา ๒๒๔ การแต่งตง้ั และการให้ตุลาการในศาลปกครอง ด้วยการนั้น ในเวลาเดยี วกนั มิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมการโดย พน้ จากตาแหน่ง ต้องไดร้ บั ความเห็นชอบของคณะกรรมการตลุ าการ ตาแหนง่ หรือกรรมการผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ศาลปกครองตามท่ีกฎหมายบญั ญตั กิ อ่ น แลว้ จงึ นาความกราบบังคมทลู มาตรา ๒๗๗ การแต่งตง้ั และการให้ตลุ าการในศาลปกครอง ผู้ทรงคณุ วฒุ สิ าขานติ ศิ าสตร์และผู้ทรงคณุ วฒุ ิในการบรหิ าร พน้ จากตาแหน่ง ต้องไดร้ บั ความเหน็ ชอบของคณะกรรมการตลุ าการ ราชการแผน่ ดนิ อาจไดร้ บั แต่งตัง้ ใหเ้ ปน็ ตุลาการในศาลปกครองสูงสดุ ได้ ศาลปกครองตามที่กฎหมายบัญญตั กิ อ่ น แลว้ จึงนาความกราบบังคมทูล การแตง่ ตั้งให้บุคคลดังกลา่ วเป็นตลุ าการในศาลปกครองสงู สดุ ใหแ้ ต่งต้งั ไม่ ผ้ทู รงคุณวุฒสิ าขานติ ิศาสตร์และผทู้ รงคณุ วฒุ ิในการบรหิ าร นอ้ ยกว่าหนึ่งในสามของจานวนตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ทง้ั หมด และ ราชการแผน่ ดนิ อาจไดร้ บั แต่งตงั้ ใหเ้ ป็นตุลาการในศาลปกครองสูงสดุ ต้องไดร้ บั ความเหน็ ชอบของคณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองตามที่ ได้ การแตง่ ตง้ั ใหบ้ ุคคลดังกลา่ วเปน็ ตลุ าการในศาลปกครองสงู สดุ ให้ กฎหมายบญั ญตั แิ ละไดร้ บั ความเห็นชอบจากวุฒสิ ภากอ่ น แลว้ จึงนาความ แต่งตัง้ ไมน่ ้อยกวา่ หน่ึงในสามของจานวนตลุ าการในศาลปกครอง กราบบังคมทลู สูงสดุ ทง้ั หมด และต้องไดร้ บั ความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการ การเลื่อนตาแหนง่ การเลื่อนเงินเดอื น และการลงโทษ ศาลปกครองตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิและไดร้ บั ความเห็นชอบจาก ตุลาการในศาลปกครอง ต้องไดร้ ับความเห็นชอบของคณะกรรมการ วุฒิสภาก่อน แลว้ จงึ นาความกราบบังคมทลู ตุลาการศาลปกครองตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ การเล่ือนตาแหนง่ การเล่อื นเงินเดอื น และการลงโทษตลุ าการ ตลุ าการศาลปกครองในช้ันศาลใดจะมีจานวนเท่าใด ใหเ้ ป็นไป ในศาลปกครอง ต้องไดร้ บั ความเหน็ ชอบของคณะกรรมการตลุ าการ ตามท่คี ณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองกาหนด ศาลปกครองตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๒๕ ตรงกบั ความในมาตรา ๒๗๘ ของรัฐธรรมนญู มาตรา ๒๗๘ การแตง่ ตง้ั ตุลาการในศาลปกครองใหด้ ารง แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ตาแหน่งประธานศาลปกครองสูงสดุ น้ัน เมือ่ ได้รับความเห็นชอบของ มาตรา ๒๒๖ คณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองประกอบด้วย คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองและวฒุ สิ ภาแล้ว ใหน้ ายกรัฐมนตรี บุคคล ดงั ต่อไปน้ี นาความกราบบังคมทลู เพ่ือทรงแตง่ ต้ังต่อไป (๑) ประธานศาลปกครองสูงสดุ เปน็ ประธานกรรมการ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๒๔ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคับบัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา มาตรา ๒๗๙ คณะกรรมการตลุ าการศาลปกครอง รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบดว้ ยบคุ คล ดังต่อไปนี้ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (๒) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจานวนเก้าคนซึ่งเปน็ ตลุ าการใน (๑) ประธานศาลปกครองสูงสดุ เปน็ ประธานกรรมการ ศาลปกครองและไดร้ ับเลือกจากตลุ าการในศาลปกครองดว้ ยกันเอง สว่ นท่ี ๔ (๒) กรรมการผทู้ รงคุณวุฒิจานวนเก้าคนซึง่ เปน็ ตลุ าการในศาล ศาลทหาร ปกครองและไดร้ ับเลือกจากตลุ าการในศาลปกครองดว้ ยกันเอง (๓) กรรมการผู้ทรงคณุ วฒุ ซิ ง่ึ ได้รบั เลือกจากวฒุ สิ ภาสองคน มาตรา ๑๙๙ ศาลทหารมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา (๓) กรรมการผทู้ รงคุณวฒุ ซิ ึง่ ไดร้ บั เลอื กจากวฒุ ิสภาสองคน และจากคณะรฐั มนตรอี ีกหนงึ่ คน ทผ่ี ู้กระทาความผดิ เปน็ บคุ คลซึ่งอยใู่ นอานาจศาลทหารและคดีอน่ื และจากคณะรัฐมนตรอี กี หนง่ึ คน ทั้งน้ี ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ คณุ สมบตั ิ ลักษณะต้องห้าม และวธิ ีการเลือกกรรมการ คณุ สมบัติ ลกั ษณะต้องหา้ ม และวธิ กี ารเลือกกรรมการ การจดั ตง้ั วธิ ีพิจารณาคดี และการดาเนินงานของศาลทหาร ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ตลอดจนการแต่งตง้ั และการใหต้ ุลาการศาลทหารพน้ จากตาแหน่ง ใหเ้ ปน็ ไปตามที่กฎหมายบัญญตั ิ สว่ นที่ ๕ ในกรณีทไ่ี มม่ ีกรรมการผู้ทรงคณุ วฒุ ิตามวรรคหน่ึง (๓) หรือมี หมวด ๑๑ ศาลทหาร แตไ่ มค่ รบสามคน ถา้ คณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองจานวนไม่ ศาลรฐั ธรรมนูญ มาตรา ๒๘๑ ศาลทหารมอี านาจพิจารณาพพิ ากษาคดอี าญา น้อยกว่าหกคนเห็นว่าเป็นเรอ่ื งเร่งดว่ นท่ตี ้องให้ความเห็นชอบ ให้ มาตรา ๒๐๐ ศาลรฐั ธรรมนญู ประกอบดว้ ยตลุ าการศาล ทหารและคดอี น่ื ตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองจานวนดังกล่าวเป็นองคป์ ระกอบ รฐั ธรรมนญู จานวนเก้าคนซึ่งพระมหากษัตรยิ ์ทรงแต่งต้ังจากบคุ คล การแต่งต้งั และการใหต้ ลุ าการศาลทหารพน้ จากตาแหน่ง ให้ และองค์ประชมุ พิจารณาเร่ืองเรง่ ดว่ นนั้นได้ ดงั ต่อไปน้ี เป็นไปตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ (๑) ผู้พพิ ากษาในศาลฎีกาซึ่งดารงตาแหนง่ ไม่ตา่ กวา่ ผู้พิพากษา ไมม่ กี ารแกไ้ ข หวั หนา้ คณะในศาลฎีกามาแล้วไมน่ ้อยกว่าสามปี ซง่ึ ไดร้ ับคดั เลอื ก ส่วนที่ ๒ โดยท่ปี ระชุมใหญ่ศาลฎีกา จานวนสามคน ศาลรฐั ธรรมนูญ มาตรา ๒๒๘ ศาลทหารมีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดีอาญา มาตรา ๒๕๕ วรรคหน่ึง ศาลรฐั ธรรมนูญประกอบดว้ ยประธาน ซึ่งผู้กระทาผิดเปน็ บุคคลที่อยใู่ นอานาจศาลทหารและคดีอนื่ ทงั้ น้ี ศาลรัฐธรรมนูญคนหน่ึงและตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู อ่นื อกี สบิ สคี่ น ซ่ึง ตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ พระมหากษตั รยิ ์ทรงแตง่ ต้ังตามคาแนะนาของวุฒสิ ภาจากบุคคล ดงั ต่อไปน้ี การแตง่ ตัง้ และการใหต้ ลุ าการศาลทหารพ้นจากตาแหนง่ ให้ (๑) ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซ่ึงดารงตาแหน่งไมต่ า่ กว่าผู้พพิ ากษา เปน็ ไปตามทกี่ ฎหมายบัญญัติ ศาลฎีกา ซึง่ ได้รับเลือกโดยที่ประชมุ ใหญ่ศาลฎกี าโดยวธิ ีลงคะแนนลับ จานวนห้าคน ไม่มีการแก้ไข มาตรา ๒๐๔ วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนญู ประกอบดว้ ย ประธานศาลรฐั ธรรมนญู คนหนงึ่ และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญอื่นอีก แปดคน ซ่งึ พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตั้งตามคาแนะนาของวฒุ ิสภา จากบคุ คลดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ผพู้ ิพากษาในศาลฎกี าซึง่ ดารงตาแหนง่ ไมต่ ่ากวา่ ผ้พู พิ ากษา ศาลฎกี า ซงึ่ ไดร้ บั เลอื กโดยท่ปี ระชุมใหญ่ศาลฎกี าโดยวธิ ีลงคะแนน ลับ จานวนสามคน

๑๒๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คบั บัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผูจ้ ดั ทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (๒) ตุลาการในศาลปกครองสงู สดุ ซ่ึงได้รบั เลอื กโดยทีป่ ระชมุ ใหญ่ (๒) ตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ซง่ึ ได้รับเลอื กโดยท่ปี ระชมุ (๒) ตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ซง่ึ ดารงตาแหน่งไมต่ ่ากว่า ศาลปกครองสูงสดุ โดยวิธลี งคะแนนลับ จานวนสองคน ใหญต่ ลุ าการในศาลปกครองสงู สดุ โดยวธิ ีลงคะแนนลบั จานวนสองคน ตุลาการศาลปกครองสูงสดุ มาแล้วไมน่ ้อยกวา่ ห้าปี ซง่ึ ได้รับคดั เลอื ก (๓) ผูท้ รงคุณวฒุ ิสาขานติ ิศาสตร์ ซึ่งไดร้ บั เลอื กตามมาตรา ๒๕๗ จานวนห้าคน (๓) ผู้ทรงคณุ วุฒสิ าขานติ ศิ าสตร์ซง่ึ มคี วามรคู้ วามเช่ยี วชาญ โดยที่ประชมุ ใหญต่ ลุ าการในศาลปกครองสงู สดุ จานวนสองคน (๔) ผู้ทรงคุณวฒุ สิ าขารฐั ศาสตร์ ซึ่งได้รบั เลอื กตามมาตรา ๒๕๗ ทางดา้ นนติ ิศาสตรอ์ ยา่ งแท้จรงิ และไดร้ ับเลอื กตามมาตรา ๒๐๖ (๓) ผู้ทรงคุณวุฒสิ าขานติ ิศาสตร์ซงึ่ ได้รบั การสรรหาจากผู้ จานวนสามคน จานวนสองคน ดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งศาสตราจารยข์ องมหาวิทยาลยั มาตรา ๒๕๖ ผูท้ รงคณุ วุฒิตามมาตรา ๒๕๕ (๓) และ (๔) ตอ้ งมีคุณสมบตั แิ ละไม่มลี ักษณะตอ้ งห้าม ดงั ตอ่ ไปน้ี (๔) ผู้ทรงคุณวฒุ สิ าขารัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ หรอื ในประเทศไทยมาแลว้ เป็นเวลาไมน่ อ้ ยกวา่ หา้ ปี และยงั มผี ลงานทาง (๑) มสี ัญชาติไทยโดยการเกิด สังคมศาสตร์อน่ื ซึง่ มคี วามรคู้ วามเชีย่ วชาญทางดา้ นการบริหาร วชิ าการเป็นท่ีประจกั ษ์ จานวนหนงึ่ คน (๒) มอี ายไุ มต่ า่ กวา่ สส่ี บิ หา้ ปีบริบรู ณ์ ราชการแผน่ ดินอยา่ งแทจ้ ริงและได้รบั เลอื กตามมาตรา ๒๐๖ (๔) ผู้ทรงคุณวฒุ สิ าขารฐั ศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ซ่ึง จานวนสองคน ไดร้ ับการสรรหาจากผดู้ ารงตาแหนง่ หรอื เคยดารงตาแหนง่ วรรคสอง ในกรณีทีไ่ ม่มีผู้พพิ ากษาในศาลฎีกาหรอื ตลุ าการ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่ ในศาลปกครองสงู สดุ ไดร้ บั เลอื กตาม (๑) หรอื (๒) ใหท้ ี่ประชมุ ใหญ่ น้อยกว่าหา้ ปี และยังมผี ลงานทางวชิ าการเป็นทปี่ ระจักษ์ จานวน ศาลฎีกาหรอื ท่ีประชมุ ใหญ่ตลุ าการในศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่ หนึง่ คน กรณี เลือกบุคคลอื่นซง่ึ มคี ุณสมบตั แิ ละไม่มลี ักษณะตอ้ งหา้ มตาม (๕) ผทู้ รงคุณวุฒซิ ่ึงได้รบั การสรรหาจากผรู้ ับหรือเคยรับ มาตรา ๒๐๕ และมีความรคู้ วามเชยี่ วชาญทางดา้ นนิตศิ าสตรท์ ่ี ราชการในตาแหน่งไม่ต่ากวา่ อธบิ ดีหรอื หวั หนา้ สว่ นราชการที่ เหมาะสมจะปฏิบตั หิ น้าทเ่ี ปน็ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ใหเ้ ปน็ ตลุ า เทียบเทา่ หรอื ตาแหนง่ ไมต่ า่ กวา่ รองอยั การสงู สดุ มาแล้วไม่นอ้ ยกว่า การศาลรฐั ธรรมนูญตาม (๑) หรือ (๒) แล้วแต่กรณี ห้าปี จานวนสองคน ในกรณีไม่อาจเลอื กผู้พิพากษาหัวหนา้ คณะในศาลฎีกาตาม (๑) ที่ประชมุ ใหญศ่ าลฎกี าจะเลอื กบคุ คลจากผู้ซึง่ เคยดารงตาแหน่ง ไมต่ า่ กวา่ ผ้พู ิพากษาในศาลฎีกามาแล้วไมน่ ้อยกว่าสามปีก็ได้ การนับระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้นบั ถงึ วันทไ่ี ด้รบั การ คัดเลือกหรือวนั สมคั รเข้ารบั การสรรหา แล้วแต่กรณี ในกรณจี าเปน็ อันไม่อาจหลกี เลยี่ งได้ คณะกรรมการสรรหาจะประกาศลด ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองลงกไ็ ด้ แตจ่ ะลดลงเหลือนอ้ ย กวา่ สองปีมไิ ด้ มาตรา ๒๐๕ ผูท้ รงคุณวฒุ ติ ามมาตรา ๒๐๔ (๓) และ (๔) ตอ้ งมี มาตรา ๒๐๑ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญตอ้ งมคี ณุ สมบัติ คณุ สมบตั แิ ละไม่มีลักษณะตอ้ งห้าม ดงั ต่อไปนี้ ดังต่อไปนดี้ ้วย (๑) มสี ญั ชาตไิ ทยโดยการเกดิ (๑) มสี ญั ชาติไทยโดยการเกดิ (๒) มอี ายไุ มต่ า่ กว่าสส่ี ิบหา้ ปบี ริบรู ณ์ (๒) มีอายไุ มต่ า่ กว่าสสี่ ิบหา้ ปี แตไ่ ม่ถึงหกสิบแปดปใี นวันท่ี ไดร้ บั การคดั เลอื กหรอื วนั สมคั รเขา้ รบั การสรรหา

๑๒๖ นาถะ ดวงวชิ ัย ผ้บู ังคับบัญชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (๓) เคยเป็นรัฐมนตรี กรรมการการเลอื กตั้ง ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ (๓) เคยเปน็ รัฐมนตรี ตุลาการพระธรรมนญู ในศาลทหารสงู สดุ (๓) สาเร็จการศกึ ษาไมต่ ่ากวา่ ปรญิ ญาตรหี รอื เทยี บเทา่ ของรฐั สภา กรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ กรรมการป้องกันและ กรรมการการเลอื กตัง้ ผูต้ รวจการแผน่ ดนิ กรรมการปอ้ งกันและ (๔) มีความซ่ือสัตยส์ ุจรติ เป็นท่ปี ระจักษ์ ปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ หรอื กรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ หรอื ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน หรือ (๕) มีสุขภาพทส่ี ามารถปฏิบตั หิ น้าทไ่ี ดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ เคยรบั ราชการในตาแหน่งไม่ตา่ กว่ารองอัยการสูงสุด อธบิ ดีหรือ กรรมการสทิ ธิมนุษยชนแหง่ ชาติ หรือเคยรบั ราชการในตาแหน่งไม่ต่า เทยี บเท่า หรอื ดารงตาแหน่งไมต่ ่ากว่าศาสตราจารย์ กว่ารองอัยการสงู สุด อธิบดีหรือผู้ดารงตาแหน่งทางบรหิ ารในหน่วย ราชการที่มอี านาจบรหิ ารเทียบเท่าอธิบดี หรือดารงตาแหน่งไมต่ า่ กวา่ ศาสตราจารย์ หรือเคยเปน็ ทนายความที่ประกอบวิชาชีพอยา่ งสมา่ เสมอ และต่อเนื่องไมน่ ้อยกว่าสามสบิ ปนี บั ถึงวันทีไ่ ดร้ บั การเสนอช่ือ มาตรา ๒๕๖ ผู้ทรงคุณวุฒติ ามมาตรา ๒๕๕ (๓) และ (๔) มาตรา ๒๐๕ ผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ๒๐๔ (๓) และ (๔) ต้องมี มาตรา ๒๐๒ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ต้องไมม่ ีลักษณะ ตอ้ งมีคณุ สมบัตแิ ละไมม่ ลี ักษณะตอ้ งหา้ ม ดังต่อไปนี้ คณุ สมบตั แิ ละไม่มลี ักษณะต้องห้าม ดงั ตอ่ ไปน้ี ต้องหา้ ม ดงั ตอ่ ไปน้ี (๔) ไมม่ ลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๐๖ หรือมาตรา ๑๐๙ (๔) ไมม่ ลี ักษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๑๐๐ หรือมาตรา ๑๐๒ (๑) (๑) เปน็ หรอื เคยเป็นตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญหรือผู้ดารง (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) (๗) (๑๓) หรอื (๑๔) (๒) (๔) (๕) (๖) (๗) (๑๓) หรือ (๑๔) ตาแหนง่ ในองค์กรอสิ ระใด (๕) ไมเ่ ปน็ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร สมาชกิ วุฒิสภา (๕) ไม่เปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ วฒุ สิ ภา (๒) ลกั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) ขา้ ราชการการเมือง สมาชกิ สภาทอ้ งถิ่น หรอื ผบู้ รหิ ารท้องถ่นิ ข้าราชการการเมอื ง สมาชกิ สภาทอ้ งถิ่น หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถิ่น (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๗) หรอื (๑๘) (๖) ไม่เปน็ หรือเคยเป็นสมาชิกหรอื ผดู้ ารงตาแหนง่ อน่ื ของ (๖) ไมเ่ ปน็ หรือเคยเปน็ สมาชกิ หรือผดู้ ารงตาแหน่งอื่นของพรรค (๓) เคยไดร้ ับโทษจาคกุ โดยคาพพิ ากษาถงึ ท่ีสดุ ให้จาคกุ เวน้ พรรคการเมอื ง ในระยะสามปกี ่อนดารงตาแหนง่ การเมือง ในระยะสามปีก่อนดารงตาแหน่ง แตใ่ นความผดิ อันได้กระทาโดยประมาทหรือความผดิ ลหโุ ทษ (๗) ไมเ่ ปน็ กรรมการการเลอื กตัง้ ผตู้ รวจการแผ่นดินของ (๗) ไม่เป็นกรรมการการเลือกต้งั ผู้ตรวจการแผน่ ดิน กรรมการ (๔) เป็นหรอื เคยเปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ วุฒิสภา รัฐสภา กรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลปกครอง ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการการเมือง หรอื สมาชกิ สภาท้องถิน่ หรือผู้บรหิ ารทอ้ งถน่ิ ใน กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ หรอื กรรมการ หรือกรรมการสิทธมิ นุษยชนแห่งชาติ ระยะสิบปกี ่อนเขา้ รับการคดั เลอื กหรอื สรรหา ตรวจเงนิ แผน่ ดิน มาตรา ๒๐๗ วรรคหนึง่ ประธานศาลรฐั ธรรมนญู และตุลาการ (๕) เป็นหรือเคยเปน็ สมาชิกหรอื ผดู้ ารงตาแหนง่ อืน่ ของพรรค มาตรา ๒๕๘ วรรคหนง่ึ ประธานศาลรฐั ธรรมนญู และตลุ า ศาลรัฐธรรมนญู ตอ้ ง การเมืองในระยะสิบปีกอ่ นเขา้ รบั การคดั เลือกหรอื สรรหา การศาลรฐั ธรรมนญู ตอ้ ง (๑) ไมเ่ ป็นขา้ ราชการซึ่งมตี าแหนง่ หรอื เงนิ เดอื นประจา (๖) เปน็ ข้าราชการซง่ึ มตี าแหน่งหรือเงนิ เดอื นประจา (๑) ไมเ่ ปน็ ขา้ ราชการซ่ึงมตี าแหนง่ หรอื เงนิ เดือนประจา (๒) ไมเ่ ปน็ พนักงานหรือลกู จ้างของหน่วยงานของรัฐ รฐั วิสาหกิจ (๗) เป็นพนกั งานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกจิ (๒) ไม่เป็นพนักงานหรือลกู จ้างของหน่วยงานของรัฐ หรือราชการสว่ นท้องถิ่น หรือไมเ่ ป็นกรรมการหรือทป่ี รึกษาของ หรอื ราชการส่วนทอ้ งถ่ิน หรอื กรรมการหรอื ที่ปรึกษาของหน่วยงาน รัฐวสิ าหกิจ หรือราชการส่วนทอ้ งถ่นิ หรือไมเ่ ปน็ กรรมการหรอื ท่ี รัฐวิสาหกิจหรือของหน่วยงานของรัฐ ของรฐั หรือรฐั วิสาหกจิ ปรกึ ษาของรัฐวิสาหกจิ หรอื ของหน่วยงานของรัฐ (๓) ไมด่ ารงตาแหนง่ ใดในหา้ งหนุ้ ส่วน บริษทั หรอื องค์การที่ (๘) เป็นผู้ดารงตาแหน่งใดในห้างหนุ้ สว่ นบรษิ ทั หรอื องคก์ รท่ี (๓) ไมด่ ารงตาแหนง่ ใดในห้างห้นุ ส่วน บริษทั หรือองค์การท่ี ดาเนินธรุ กิจโดยม่งุ หาผลกาไรหรือรายไดม้ าแบง่ ปนั กัน หรือเปน็ ดาเนินธรุ กิจโดยมงุ่ หาผลกาไรหรอื รายได้มาแบง่ ปันกัน หรือเป็น ดาเนินธุรกิจโดยมงุ่ หาผลกาไรหรอื รายได้มาแบง่ ปนั กัน หรอื เป็น ลกู จา้ งของบุคคลใด ลูกจ้างของบคุ คลใด ลกู จา้ งของบุคคลใด (๔) ไม่ประกอบวิชาชพี อสิ ระอื่นใด (๙) เปน็ ผู้ประกอบวิชาชีพอสิ ระ

๑๒๗ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ (๔) ไม่ประกอบวชิ าชีพอสิ ระอน่ื ใด (๑๐) มีพฤตกิ ารณ์อนั เปน็ การฝ่าฝนื หรือไม่ปฏบิ ัตติ าม มาตรา ๒๕๗ วรรคหนง่ึ การสรรหาและการเลือกตงั้ ตลุ าการศาล มาตรฐานทางจริยธรรมอยา่ งรา้ ยแรง รัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๒๕๕ (๓) และ (๔) ใหด้ าเนินการดังน้ี มาตรา ๒๐๖ วรรคหนง่ึ การสรรหาและการเลอื กตลุ าการศาล มาตรา ๒๐๓ เม่อื มกี รณที จ่ี ะตอ้ งสรรหาผสู้ มควรไดร้ ับการ (๑) ให้มคี ณะกรรมการสรรหาตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู คณะหนึ่ง ประกอบดว้ ย ประธานศาลฎีกา คณบดีคณะนติ ศิ าสตรห์ รือเทียบเทา่ ของ รฐั ธรรมนญู ตามมาตรา ๒๐๔ (๓) และ (๔) ให้ดาเนนิ การดงั ต่อไปน้ี แตง่ ต้ังเป็นตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ให้เป็นหน้าทแ่ี ละอานาจของ สถาบนั อดุ มศกึ ษาของรฐั ทกุ แหง่ ซึง่ เลอื กกนั เองใหเ้ หลอื ส่ีคน คณบดคี ณะ รัฐศาสตร์หรอื เทยี บเท่าของสถาบนั อดุ มศกึ ษาของรฐั ทกุ แห่งซ่ึงเลือก (๑) ให้มีคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะหน่ึง คณะกรรมการสรรหา ซึง่ ประกอบดว้ ย กันเองใหเ้ หลือสี่คน ผแู้ ทนพรรคการเมืองทกุ พรรคท่ีมสี มาชกิ เปน็ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร พรรคละหน่ึงคน ซง่ึ เลอื กกันเองใหเ้ หลือสี่คน ประกอบด้วยประธานศาลฎกี า ประธานศาลปกครองสงู สดุ ประธานสภา (๑) ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ เป็นกรรมการ คณะกรรมการดังกล่าวมีหนา้ ทสี่ รรหาและจดั ทาบญั ชี รายช่อื ผ้ทู รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ๒๕๕ (๓) จานวนสิบคน และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ผู้แทนราษฎร ผู้นาฝ่ายคา้ นในสภาผู้แทนราษฎร และประธานองคก์ ร (๒) ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร และผนู้ าฝา่ ยคา้ นในสภาผู้แทน ตามมาตรา ๒๕๕ (๔) จานวนหกคน เสนอตอ่ ประธานวุฒสิ ภา โดยตอ้ ง เสนอพร้อมความยนิ ยอมของผไู้ ด้รับการเสนอชื่อนนั้ ทงั้ น้ี ภายในสามสิบ อสิ ระตามรัฐธรรมนูญซ่ึงเลือกกันเองใหเ้ หลือหนึ่งคน เป็นกรรมการ ทา ราษฎร เป็นกรรมการ วนั นบั แตว่ นั ท่ีมีเหตุทาให้ตอ้ งมกี ารเลอื กบคุ คลใหด้ ารงตาแหนง่ ดงั กล่าว มติในการเสนอช่อื ดังกลา่ วตอ้ งมคี ะแนนเสียงไม่นอ้ ยกวา่ สามในส่ขี อง หน้าท่สี รรหาและคดั เลือกผ้ทู รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ๒๐๔ (๓) และ (๔) (๓) ประธานศาลปกครองสูงสุด เปน็ กรรมการ จานวนกรรมการทง้ั หมดเทา่ ท่ีมอี ยู่ ใหแ้ ล้วเสร็จภายในสามสบิ วันนับแต่วนั ทีม่ ีเหตุทาใหต้ อ้ งมีการเลือก (๔) บคุ คลซงึ่ องค์กรอสิ ระแตง่ ตัง้ จากผ้มู ีคณุ สมบตั ติ ามมาตรา บคุ คลใหด้ ารงตาแหน่งดงั กลา่ ว แลว้ ให้เสนอรายช่ือผไู้ ด้รับเลือกพร้อม ๒๐๑ และไมม่ ีลกั ษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๒๐๒ และไม่เคยปฏิบตั ิ ความยินยอมของผูน้ ้ันต่อประธานวุฒิสภา มติในการคัดเลือกดังกล่าว หน้าท่ีใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนญู หรอื องค์กรอิสระ องคก์ รละหนึ่งคน ต้องลงคะแนนโดยเปดิ เผยและต้องมีคะแนนไม่นอ้ ยกวา่ สองในสามของ เป็นกรรมการ จานวนกรรมการท้ังหมดเท่าท่ีมอี ยู่ ในกรณที ี่ไม่มีกรรมการในตาแหน่ง ในกรณที ไี่ มม่ ีผดู้ ารงตาแหนง่ กรรมการสรรหาตาม (๒) หรือ ใด หรือมีแต่ไมส่ ามารถปฏิบัตหิ นา้ ท่ไี ด้ ถ้ากรรมการท่ีเหลืออยนู่ ้ันมี กรรมการสรรหาตาม (๔) มีไม่ครบไม่วา่ ด้วยเหตใุ ด ให้คณะกรรมการ จานวนไมน่ ้อยกว่ากง่ึ หน่ึง ใหค้ ณะกรรมการสรรหาตลุ าการศาล สรรหาประกอบดว้ ยกรรมการสรรหาเทา่ ทีม่ อี ยู่ รฐั ธรรมนญู ประกอบดว้ ยกรรมการที่เหลอื อยู่ ทั้งนี้ ให้นาบทบัญญัตใิ น ใหส้ านักงานเลขาธกิ ารวุฒิสภาปฏบิ ัติหน้าทเ่ี ปน็ หนว่ ยธรุ การ มาตรา ๑๑๓ วรรคสองมาใช้บังคบั โดยอนโุ ลม ของคณะกรรมการสรรหา วรรคสอง ในกรณที ี่ไม่อาจสรรหาผู้ทรงคุณวฒุ ติ าม (๑) ได้ ใหค้ ณะกรรมการสรรหาดาเนินการสรรหาผ้สู มควรไดร้ ับการ ภายในเวลาทก่ี าหนด ไมว่ ่าดว้ ยเหตุใด ๆ ใหท้ ปี่ ระชมุ ใหญ่ศาลฎีกา แต่งตั้งเป็นตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และ แตง่ ตัง้ ผู้พิพากษาในศาลฎกี าซง่ึ ดารงตาแหนง่ ไมต่ า่ กว่าผู้พพิ ากษาศาล เง่ือนไขที่บัญญัตไิ ว้ในพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยวิธี ฎีกาจานวนสามคน และให้ท่ีประชุมใหญต่ ุลาการในศาลปกครองสูงสุด พจิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนญู แตง่ ตั้งตลุ าการในศาลปกครองสูงสุดจานวนสองคน เป็นกรรมการสรร ในกรณีที่มีปัญหาเกีย่ วกับคณุ สมบตั ิของผ้สู มัคร ผไู้ ดร้ ับการ หาเพื่อดาเนนิ การตาม (๑) แทน คดั เลอื กหรอื ไดร้ บั การสรรหา ใหเ้ ปน็ หน้าที่และอานาจของ คณะกรรมการสรรหาเป็นผ้วู นิ จิ ฉยั คาวนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการ สรรหาใหเ้ ปน็ ท่สี ดุ ในการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาปรกึ ษาหารอื เพอื่ คัด สรรใหไ้ ด้บุคคลซ่ึงมคี วามรับผิดชอบสงู มีความกลา้ หาญในการ ปฏิบัตหิ นา้ ท่ี และมพี ฤติกรรมทางจรยิ ธรรมเป็นตวั อยา่ งท่ีดีของ

๑๒๘ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ สังคม โดยนอกจากการประกาศรบั สมคั รแลว้ ให้คณะกรรมการ สรรหา ดาเนนิ การสรรหาจากบุคคลทมี่ ีความเหมาะสมทว่ั ไปได้ดว้ ย แตต่ อ้ งไดร้ ับความยินยอมของบคุ คลน้ัน มาตรา ๒๕๗ วรรคหนงึ่ การสรรหาและการเลอื กตงั้ ตลุ าการศาล มาตรา ๒๐๖ วรรคหนึ่ง การสรรหาและการเลือกตลุ าการ มาตรา ๒๐๔ ผไู้ ดร้ บั การคัดเลือกหรือสรรหาเพอื่ แต่งต้งั ให้ รัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๒๕๕ (๓) และ (๔) ใหด้ าเนินการดังนี้ ศาลรัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๒๐๔ (๓) และ (๔) ให้ดาเนินการ ดารงตาแหน่งตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญต้องไดร้ บั ความเหน็ ชอบจาก (๒) ให้ประธานวุฒสิ ภาเรียกประชมุ วุฒิสภาเพ่ือมมี ตเิ ลอื กบคุ คลผู้ ดงั ต่อไปน้ี วฒุ สิ ภาดว้ ยคะแนนเสยี งไมน่ ้อยกวา่ กง่ึ หนึ่งของจานวนสมาชิก ไดร้ บั การเสนอชื่อในบญั ชีตาม (๑) ซงึ่ ต้องกระทาโดยวิธลี งคะแนนลบั ใน (๒) ให้ประธานวฒุ สิ ภาเรียกประชุมวุฒสิ ภาเพื่อมีมติให้ความ ทง้ั หมดเทา่ ท่ีมอี ยูข่ องวฒุ ิสภา การนี้ ให้หา้ คนแรกในบญั ชรี ายชอื่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ๒๕๕ (๓) และ เหน็ ชอบบุคคลผไู้ ดร้ ับการคดั เลือกตาม (๑) ภายในสามสิบวันนับแต่ ในกรณีท่ีวุฒสิ ภาไมใ่ หค้ วามเหน็ ชอบผไู้ ดร้ บั การสรรหาหรอื สามคนแรกในบญั ชรี ายชือ่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ๒๕๕ (๔) ซึง่ ได้รบั วนั ทไ่ี ดร้ ับรายช่ือ การลงมติให้ใช้วิธีลงคะแนนลบั ในกรณีทวี่ ฒุ ิสภาให้ คดั เลอื กรายใด ให้ดาเนนิ การสรรหาหรอื คดั เลอื กบุคคลใหม่แทนผู้ คะแนนสงู สดุ และมคี ะแนนมากกวา่ กึง่ หนึ่งของจานวนสมาชิกท้ังหมดเทา่ ท่ี ความเห็นชอบ ให้ประธานวุฒสิ ภานาความกราบบังคมทูลเพ่ือทรง นัน้ แล้วเสนอต่อวุฒสิ ภาเพือ่ ให้ความเหน็ ชอบตอ่ ไป มีอยขู่ องวุฒสิ ภา เป็นผไู้ ดร้ ับเลอื กเปน็ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู แต่ถา้ แตง่ ตัง้ ต่อไป ในกรณีทว่ี ุฒสิ ภาไมเ่ ห็นชอบในรายชอ่ื ใด ไม่ว่าท้งั หมด เมอ่ื ผไู้ ดร้ บั การสรรหาหรือคดั เลือกไดร้ บั ความเห็นชอบจาก จานวนผไู้ ดร้ บั เลอื กดังกลา่ วจากบญั ชรี ายช่ือผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา หรือบางสว่ น ใหส้ ่งรายชื่อนั้นกลบั ไปยงั คณะกรรมการสรรหาตุลาการ วุฒิสภาแล้ว ให้เลอื กกนั เองให้คนหนงึ่ เป็นประธานศาลรฐั ธรรมนญู ๒๕๕ (๓) มไี ม่ครบหา้ คน หรอื จากบญั ชีรายชอื่ ผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามมาตรา ศาลรัฐธรรมนูญพร้อมดว้ ยเหตผุ ลเพื่อให้ดาเนินการสรรหาใหม่ หาก แลว้ แจง้ ผลให้ประธานวุฒสิ ภาทราบ ๒๕๕ (๔) มไี ม่ครบสามคน ใหน้ ารายชือ่ ผไู้ มไ่ ด้รบั เลอื กในคราวแรกในบญั ชี คณะกรรมการสรรหาตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญไม่เห็นดว้ ยกับวฒุ สิ ภา ให้ประธานวฒุ สิ ภานาความกราบบงั คมทูลเพอ่ื ทรงแต่งต้งั นัน้ มาใหส้ มาชิกวฒุ สิ ภาออกเสยี งลงคะแนนเลอื กอกี ครง้ั หนงึ่ ตอ่ เนอ่ื งกนั และมีมติยืนยันตามมตเิ ดิมดว้ ยคะแนนเอกฉันท์ ให้ส่งรายชอื่ น้ันให้ ประธานศาลรัฐธรรมนญู และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู และเปน็ ผลู้ ง ไป และในกรณีน้ี ใหผ้ ไู้ ดร้ ับคะแนนสูงสดุ เรยี งลงไปตามลาดบั จนครบ ประธานวุฒิสภานาความกราบบังคมทลู เพื่อทรงแต่งต้งั ตอ่ ไป แต่ถ้ามติ นามรับสนองพระบรมราชโองการ จานวน เปน็ ผไู้ ด้รับเลือกใหเ้ ป็นตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ถา้ มผี ไู้ ด้รบั ทย่ี ืนยนั ตามมติเดิมไมเ่ ปน็ เอกฉันท์ ใหเ้ ริม่ กระบวนการสรรหาใหม่ ซ่ึง คะแนนเท่ากันในลาดบั ใดอนั เปน็ เหตใุ ห้มผี ู้ได้รบั เลอื กเกินหา้ คนหรือสาม ตอ้ งดาเนินการให้แลว้ เสร็จภายในสามสบิ วันนบั แต่วนั ทีม่ เี หตุให้ต้อง คน แล้วแต่กรณี ใหป้ ระธานวุฒสิ ภาจบั สลากวา่ ผ้ใู ดเป็นผไู้ ด้รับเลอื ก ดาเนินการดังกลา่ ว วรรคสอง ให้นาบทบญั ญตั ิมาตรา ๒๕๕ วรรคสองและวรรคสาม มาตรา ๒๐๔ วรรคสาม ใหผ้ ไู้ ด้รบั เลอื กตามวรรคหน่ึง ประชุม มาใช้บังคบั และเลอื กกนั เองให้คนหน่ึงเปน็ ประธานศาลรฐั ธรรมนูญ แลว้ แจ้งผลให้ มาตรา ๒๕๕ วรรคสอง ใหผ้ ไู้ ดร้ บั เลือกตามวรรคหนง่ึ ประชุมและ ประธานวุฒิสภาทราบ เลือกกนั เองใหค้ นหน่ึงเปน็ ประธานศาลรฐั ธรรมนญู แลว้ แจ้งผลใหป้ ระธาน วรรคสี่ ใหป้ ระธานวุฒสิ ภาเปน็ ผลู้ งนามรับสนองพระบรม วุฒิสภาทราบ ราชโองการแตง่ ตั้งประธานศาลรัฐธรรมนญู และตุลาการศาล วรรคสาม ใหป้ ระธานวุฒสิ ภาเป็นผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราช รฐั ธรรมนูญ โองการแต่งตัง้ ประธานศาลรัฐธรรมนญู และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู มาตรา ๒๕๘ วรรคสอง ในกรณที ท่ี ีป่ ระชมุ ใหญ่ศาลฎีกา มาตรา ๒๐๗ วรรคสอง ในกรณที ี่ทปี่ ระชุมใหญศ่ าลฎกี าหรือ มาตรา ๒๐๕ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวฒุ ิสภาใหเ้ ปน็ ตุลา ท่ีประชุมใหญศ่ าลปกครองสงู สดุ หรือวุฒิสภา แลว้ แต่กรณี เลือกบคุ คล ที่ประชุมใหญ่ตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ เลือกบุคคล หรอื วฒุ สิ ภาให้ การศาลรัฐธรรมนญู โดยที่ยงั มไิ ดพ้ ้นจากตาแหนง่ ตามมาตรา ๒๐๒ ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) โดยไดร้ ับความยินยอมของบคุ คลนน้ั ผไู้ ดร้ บั ความเห็นชอบบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) โดยได้รบั ความยนิ ยอม (๖) (๗) หรือ (๘) หรือยังประกอบวชิ าชีพตาม (๙) อยู่ ต้องแสดง

๑๒๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผูบ้ ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ เลือกจะเรม่ิ ปฏิบตั หิ นา้ ทไี่ ด้ต่อเมอื่ ตนไดล้ าออกจากการเปน็ บคุ คลตาม (๑) ของบคุ คลนนั้ ผไู้ ด้รบั เลอื กจะเรมิ่ ปฏบิ ัตหิ นา้ ทไี่ ดต้ ่อเมอื่ ตนไดล้ าออก หลกั ฐานวา่ ไดล้ าออกหรอื เลกิ ประกอบวิชาชีพตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๒) หรอื (๓) หรือแสดงหลกั ฐานใหเ้ ป็นทเี่ ชื่อไดว้ ่าตนไดเ้ ลกิ ประกอบ จากการเปน็ บคุ คลตาม (๑) (๒) หรอื (๓) หรอื แสดงหลกั ฐานใหเ้ ป็นทเ่ี ชื่อ (๗) (๘) หรือ (๙) แล้ว ตอ่ ประธานวฒุ ิสภาภายในเวลาที่ประธาน วิชาชีพอสิ ระดงั กล่าวแลว้ ซึง่ ต้องกระทาภายในสบิ หา้ วนั นับแต่วันทไ่ี ดร้ บั ไดว้ า่ ตนไดเ้ ลกิ ประกอบวิชาชีพอสิ ระดงั กลา่ วแลว้ ซง่ึ ตอ้ งกระทาภายใน วฒุ ิสภากาหนด ซ่งึ ตอ้ งเปน็ เวลากอ่ นที่ประธานวฒุ สิ ภาจะนาความ เลือก แต่ถา้ ผูน้ น้ั มไิ ดล้ าออกหรอื เลิกประกอบวชิ าชีพอสิ ระภายในเวลาท่ี สิบหา้ วันนบั แตว่ นั ทไ่ี ดร้ ับเลอื กหรือไดร้ ับความเห็นชอบ แต่ถ้าผ้นู ัน้ มไิ ด้ กราบบงั คมทูลตามมาตรา ๒๐๔ วรรคสี่ ในกรณีทไ่ี ม่แสดงหลักฐาน กาหนด ให้ถือวา่ ผนู้ นั้ มไิ ดเ้ คยรบั เลือกใหเ้ ปน็ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู และ ลาออกหรือเลกิ ประกอบวชิ าชพี อสิ ระภายในเวลาท่กี าหนด ให้ถือว่าผู้นนั้ ภายในกาหนดเวลาดงั กล่าว ใหถ้ อื ว่าผู้น้นั สละสิทธิ และใหด้ าเนนิ การ ให้นาบทบญั ญัตมิ าตรา ๒๖๑ มาใชบ้ ังคับ มิได้เคยรับเลอื กหรือไดร้ บั ความเห็นชอบใหเ้ ปน็ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู คดั เลือกหรอื สรรหาใหม่ และให้นาบทบญั ญัตมิ าตรา ๒๐๔ และมาตรา ๒๐๖ แลว้ แตก่ รณี มาใชบ้ ังคบั มาตรา ๒๐๖ ในการพจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบตามมาตรา ๒๐๔ ถ้ามผี ้ไู ดร้ ับความเห็นชอบจากวฒุ ิสภาจานวนไมน่ ้อยกวา่ เจ็ด คน ให้ผ้ไู ดร้ ับความเหน็ ชอบเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาล รฐั ธรรมนูญแลว้ แจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบโดยไมต่ ้องรอใหม้ ผี ู้ ไดร้ บั ความเห็นชอบครบเกา้ คน และเมอ่ื โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม แต่งตั้งแลว้ ให้ศาลรฐั ธรรมนญู ดาเนินการตามหนา้ ท่แี ละอานาจ ตอ่ ไปพลางกอ่ นได้ โดยในระหวา่ งน้นั ให้ถอื ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู เทา่ ทมี่ อี ยู่ มาตรา ๒๕๙ วรรคหนึ่ง ประธานศาลรัฐธรรมนญู และ มาตรา ๒๐๘ วรรคหนึง่ และวรรคสาม ตรงกับความใน มาตรา ๒๐๗ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู มีวาระการดารงตาแหน่ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมวี าระการดารงตาแหนง่ เกา้ ปนี บั แต่วนั ท่ี มาตรา ๒๕๙ วรรคหนึง่ และวรรคสาม ของรัฐธรรมนญู แห่ง เจ็ดปนี บั แต่วนั ทพี่ ระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตั้ง และให้ดารงตาแหนง่ ได้ พระมหากษตั ริย์ทรงแตง่ ต้งั และใหด้ ารงตาแหน่งไดเ้ พียงวาระเดยี ว ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ เพียงวาระเดยี ว วรรคสาม ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู เปน็ เจ้าพนักงานในการยตุ ิธรรมตามกฎหมาย มาตรา ๒๕๙ วรรคสอง ประธานศาลรฐั ธรรมนูญและตุลาการ มาตรา ๒๐๘ วรรคสอง ตรงกบั ความในมาตรา ๒๕๙ วรรค มาตรา ๒๐๘ นอกจากการพน้ จากตาแหน่งตามวาระ ศาลรฐั ธรรมนญู ซ่ึงพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ให้ปฏิบตั ิหน้าท่ีตอ่ ไป สอง ของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญพ้นจากตาแหนง่ เม่อื จนกว่าประธานศาลรฐั ธรรมนญู และตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญซึ่งได้รบั มาตรา ๒๐๙ วรรคหนงึ่ นอกจากการพ้นจากตาแหนง่ ตามวาระ (๑) ขาดคณุ สมบตั ิตามมาตรา ๒๐๑ หรือมลี ักษณะต้องห้าม แต่งต้ังใหม่จะเขา้ รับหน้าที่ ประธานศาลรัฐธรรมนญู และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู พ้นจากตาแหน่ง ตามมาตรา ๒๐๒ มาตรา ๒๖๐ วรรคหนึง่ นอกจากการพน้ จากตาแหน่งตามวาระ เมอื่ (๒) ตาย ประธานศาลรฐั ธรรมนญู และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญพ้นจากตาแหนง่ (๑) ตาย (๓) ลาออก เมอ่ื (๒) มีอายุครบเจ็ดสบิ ปีบรบิ รู ณ์ (๔) มอี ายุครบเจ็ดสบิ หา้ ปี (๑) ตาย (๓) ลาออก

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๓๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู ังคับบัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา (๒) มอี ายุครบเจด็ สบิ ปบี รบิ รู ณ์ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผ้จู ดั ทา (๓) ลาออก (๔) ขาดคณุ สมบตั หิ รือมลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๒๕๖ (๔) ขาดคุณสมบตั ิหรือมลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๒๐๕ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (๕) กระทาการอันเป็นการฝ่าฝนื มาตรา ๒๕๘ (๕) กระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๒๐๗ (๖) วฒุ ิสภามมี ติตามมาตรา ๓๐๗ ให้ถอดถอนออกจาก (๖) วฒุ ิสภามมี ตติ ามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนออกจาก (๕) ศาลรัฐธรรมนญู มมี ติให้พน้ จากตาแหน่งด้วยคะแนนเสยี ง ตาแหน่ง ตาแหน่ง ไม่น้อยกวา่ สามในสีข่ องตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ท้ังหมดเท่าทมี่ อี ยู่ (๗) ตอ้ งคาพพิ ากษาให้จาคุก (๗) ตอ้ งคาพิพากษาให้จาคกุ แมค้ ดีนั้นจะยงั ไม่ถึงทส่ี ุดหรือมี เพราะเหตฝุ า่ ฝนื หรอื ไม่ปฏิบัตติ ามมาตรฐานทางจรยิ ธรรมของตลุ าการ มาตรา ๒๖๑ ในกรณีทปี่ ระธานศาลรฐั ธรรมนญู และตลุ าการ การรอการลงโทษ เวน้ แตเ่ ปน็ กรณที ค่ี ดียังไมถ่ ึงทส่ี ุดหรือมีการรอการ ศาลรัฐธรรมนญู ศาลรฐั ธรรมนญู พ้นจากตาแหน่งตามวาระพรอ้ มกนั ทง้ั หมด ใหเ้ ริ่ม ลงโทษในความผดิ อันได้กระทาโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือ ดาเนนิ การตามมาตรา ๒๕๕ และมาตรา ๒๕๗ ภายในสามสิบวันนบั ความผดิ ฐานหมิน่ ประมาท (๖) พ้นจากตาแหนง่ เพราะเหตุตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม แตว่ ันที่พน้ จากตาแหนง่ มาตรา ๒๑๐ ในกรณที ่ปี ระธานศาลรฐั ธรรมนญู และตลุ าการศาล ประธานศาลรัฐธรรมนญู ซงึ่ ลาออกจากตาแหนง่ ให้พน้ จาก ในกรณีทีป่ ระธานศาลรฐั ธรรมนูญหรือตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู รัฐธรรมนญู พน้ จากตาแหนง่ ตามวาระพร้อมกันทั้งหมด ใหเ้ ร่มิ ตาแหนง่ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ดว้ ย พ้นจากตาแหน่งนอกจากกรณตี ามวรรคหน่ึง ให้ดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้ ดาเนินการตามมาตรา ๒๐๔ และมาตรา ๒๐๖ ภายในสามสบิ วนั นับแต่ ในกรณที ่ีตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู พ้นจากตาแหนง่ ตามวาระ (๑) ในกรณที ีเ่ ป็นตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ซง่ึ ไดร้ ับเลอื กโดยท่ี วันทีพ่ น้ จากตาแหน่ง ใหต้ ลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ทพ่ี น้ จากตาแหนง่ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทีต่ อ่ ไป ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้นามาตรา ๒๕๕ (๑) มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม ในกรณที ปี่ ระธานศาลรัฐธรรมนญู หรอื ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู จนกวา่ จะมกี ารแต่งตัง้ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ใหม่แทน ทงั้ น้ี ใหด้ าเนินการเลอื กให้แล้วเสรจ็ ภายในสามสิบวนั นบั แตว่ ันท่ีพน้ พ้นจากตาแหน่งนอกจากกรณตี ามวรรคหนึ่ง ให้ดาเนนิ การ ในกรณที ี่มปี ญั หาวา่ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ผใู้ ดพ้นจาก จากตาแหน่ง ดงั ตอ่ ไปน้ี ตาแหน่งตาม (๑) หรอื (๓) หรอื ไม่ ใหเ้ ปน็ หนา้ ท่ีและอานาจของ (๒) ในกรณีทเ่ี ปน็ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ซง่ึ ไดร้ ับเลอื กโดย (๑) ในกรณที ี่เปน็ ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู ซ่ึงไดร้ บั เลอื กโดย คณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ เปน็ ผวู้ ินิจฉัย คาวนิ ิจฉัยของ ท่ีประชมุ ใหญ่ศาลปกครองสูงสดุ ให้นามาตรา ๒๕๕ (๒) มาใช้บังคับ ท่ปี ระชุมใหญ่ศาลฎีกา ใหด้ าเนนิ การตามมาตรา ๒๐๔ ใหแ้ ลว้ เสร็จ คณะกรรมการสรรหาใหเ้ ปน็ ท่ีสดุ โดยอนุโลม ทงั้ นี้ ใหด้ าเนนิ การเลอื กใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในสามสิบวนั นบั ภายในสามสิบวนั นบั แต่วันทพ่ี ้นจากตาแหนง่ การร้องขอ ผู้มสี ทิ ธริ อ้ งขอ การพจิ ารณา และการวินิจฉยั ตาม แต่วนั ท่ีพ้นจากตาแหนง่ (๒) ในกรณีทเี่ ปน็ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ซงึ่ ไดร้ บั เลือกโดย วรรคสี่ ใหเ้ ปน็ ไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการทบ่ี ญั ญัตไิ ว้ในพระราช (๓) ในกรณที ี่เป็นตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ตามมาตรา ๒๕๕ (๓) ท่ีประชุมใหญ่ตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ให้ดาเนินการตาม บญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยวิธพี ิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู หรือ (๔) ใหน้ ามาตรา ๒๕๗ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม ในกรณีนี้ ให้ มาตรา ๒๐๔ ให้แลว้ เสรจ็ ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ ันทพ่ี ้นจาก เสนอชอื่ ผูส้ มควรเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนญู ผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา ตาแหนง่ ๒๕๕ (๓) หรอื (๔) เปน็ จานวนสองเท่าของผูซ้ ่งึ พ้นจากตาแหนง่ ต่อ (๓) ในกรณที ่เี ปน็ ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู ตามมาตรา ๒๐๔ (๓) ประธานวฒุ สิ ภา และให้วุฒิสภามมี ตเิ ลือก ทัง้ น้ี ให้ดาเนนิ การเลือกให้ หรอื (๔) ใหด้ าเนนิ การตามมาตรา ๒๐๖ ให้แล้วเสร็จภายในสามสบิ แล้วเสรจ็ ภายในสามสิบวันนบั แตว่ นั ทพ่ี ้นจากตาแหนง่ วนั นบั แตว่ ันทพี่ ้นจากตาแหน่ง ในกรณที ่ีตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู พน้ จากตาแหน่งไมว่ า่ ทง้ั หมด หรอื บางส่วนนอกสมยั ประชุมของรัฐสภา ให้ดาเนนิ การตามมาตรา ๒๐๖ ภายในสามสบิ วนั นบั แต่วันเปดิ สมยั ประชุมของรัฐสภา

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๓๑ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา ในกรณที ่ตี ลุ าการศาลรัฐธรรมนญู พ้นจากตาแหน่งไม่ว่าทง้ั หมด รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ หรือบางสว่ นในระหว่างทอี่ ยู่นอกสมยั ประชมุ ของรัฐสภา ใหด้ าเนินการ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ตามมาตรา ๒๕๗ ภายในสามสิบวนั นับแต่วันเปิดสมัยประชุมของ ในกรณีท่ีประธานศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตาแหนง่ ให้นา รัฐสภา บทบญั ญัตมิ าตรา ๒๐๔ วรรคสาม มาใช้บังคับ มาตรา ๒๐๙ ในระหว่างที่ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญพน้ จาก ตาแหนง่ กอ่ นวาระ และยงั ไม่มกี ารแตง่ ตั้งตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ในกรณีท่ปี ระธานศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตาแหน่ง ให้นา มาตรา ๒๐๙ วรรคสอง เม่อื มกี รณีตามวรรคหน่ึง ให้ตลุ าการ แทนตาแหนง่ ท่ีว่าง ใหต้ ุลาการศาลรฐั ธรรมนญู เท่าทเี่ หลอื อย่ปู ฏิบตั ิ บทบัญญัตมิ าตรา ๒๕๕ วรรคสอง มาใช้บังคับ ศาลรัฐธรรมนูญทเ่ี หลอื อยู่ปฏิบตั ิหนา้ ทีต่ อ่ ไปได้ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๒๑๖ หน้าที่ตอ่ ไปได้ มาตรา ๒๖๐ วรรคสอง เมอื่ มกี รณตี ามวรรคหนงึ่ ให้ตลุ าการ มาตรา ๒๑๓ ในการปฏิบัติหน้าท่ี ศาลรฐั ธรรมนูญมีอานาจ บทบญั ญัตติ ามวรรคหนง่ึ มใิ ห้ใชบ้ งั คบั กรณมี ตี ลุ าการศาล ศาลรัฐธรรมนญู ทเี่ หลอื อย่ปู ฏิบตั ิหน้าทีต่ อ่ ไปไดภ้ ายใต้บังคับมาตรา เรยี กเอกสารหรือหลกั ฐานทเ่ี ก่ียวข้องจากบคุ คลใด หรอื เรยี กบุคคล รัฐธรรมนญู เหลอื อยไู่ ม่ถงึ เจด็ คน ๒๖๗ ใดมาใหถ้ อ้ ยคา ตลอดจนขอใหพ้ นกั งานสอบสวน หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั รัฐวสิ าหกิจ หรอื ราชการส่วนท้องถ่ิน ดาเนินการ มาตรา ๒๑๐ ศาลรฐั ธรรมนญู มีหน้าท่ีและอานาจ ดงั ต่อไปน้ี มาตรา ๒๖๕ ในการปฏบิ ัติหนา้ ท่ี ศาลรัฐธรรมนูญมีอานาจ ใดเพือ่ ประโยชน์แหง่ การพจิ ารณาได้ (๑) พิจารณาวินจิ ฉยั ความชอบด้วยรฐั ธรรมนูญของกฎหมาย เรยี กเอกสารหรอื หลกั ฐานทเ่ี กยี่ วข้องจากบคุ คลใด หรอื เรยี กบุคคลใด หรอื รา่ งกฎหมาย มาให้ถ้อยคา ตลอดจนขอใหศ้ าล พนักงานสอบสวน หน่วยราชการ ศาลรฐั ธรรมนูญมอี านาจแตง่ ตงั้ บุคคลหรือคณะบุคคลเพื่อปฏิบัติ (๒) พจิ ารณาวินจิ ฉยั ปัญหาเก่ยี วกบั หนา้ ท่แี ละอานาจของสภา หน่วยงานของรัฐ รฐั วิสาหกจิ หรือราชการสว่ นทอ้ งถิน่ ดาเนนิ การใด หนา้ ที่ตามที่มอบหมาย ผแู้ ทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรฐั มนตรี หรือองคก์ รอิสระ เพอื่ ประโยชนแ์ ห่งการพิจารณาได้ (๓) หนา้ ทีแ่ ละอานาจอนื่ ตามทีบ่ ญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู มาตรา ๒๑๔ ในกรณีทมี่ ีความขดั แยง้ เกย่ี วกับอานาจหนา้ ที่ การยืน่ คารอ้ งและเง่อื นไขการย่นื คาร้อง การพจิ ารณาวินิจฉยั ศาลรฐั ธรรมนญู มีอานาจแตง่ ตั้งบคุ คลหรอื คณะบคุ คลเพื่อ ระหว่างรฐั สภา คณะรัฐมนตรี หรือองค์กรตามรัฐธรรมนญู ท่ีมิใช่ศาล การทาคาวินิจฉัย และการดาเนนิ งานของศาลรฐั ธรรมนญู นอกจาก ปฏิบัตหิ น้าท่ีตามที่มอบหมาย ตงั้ แต่สององคก์ รขึน้ ไป ใหป้ ระธานรัฐสภา นายกรฐั มนตรี หรอื ท่ีบญั ญัตไิ วใ้ นรัฐธรรมนูญแลว้ ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญตั ิ องค์กรนน้ั เสนอเรอื่ งพร้อมความเหน็ ตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู เพอ่ื ประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยวธิ ีพิจารณาของศาลรฐั ธรรมนญู มาตรา ๒๖๖ ในกรณีทีม่ ีปญั หาเกีย่ วกับอานาจหนา้ ท่ขี อง พิจารณาวินิจฉยั ให้นาความในมาตรา ๑๘๘ มาตรา ๑๙๐ มาตรา ๑๙๑ และ องคก์ รต่าง ๆ ตามรฐั ธรรมนญู ใหอ้ งค์กรนั้นหรอื ประธานรัฐสภา มาตรา ๑๙๓ มาใชบ้ งั คับแกศ่ าลรฐั ธรรมนญู ด้วยโดยอนุโลม เสนอเรอ่ื งพร้อมความเห็นตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู เพ่ือพจิ ารณาวินิจฉยั มาตรา ๒๑๕ ในกรณีที่ศาลรฐั ธรรมนญู เห็นวา่ เร่อื งใดหรือ ประเด็นใดที่ไดม้ กี ารเสนอให้ศาลรฐั ธรรมนญู พจิ ารณา เปน็ เร่ืองหรือ ประเดน็ ทีศ่ าลรฐั ธรรมนญู ไดเ้ คยพจิ ารณาวนิ จิ ฉัยแล้ว ศาล รฐั ธรรมนูญจะไมร่ ับเรื่องหรอื ประเด็นดงั กล่าวไว้พจิ ารณากไ็ ด้

๑๓๒ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๖๗ องคค์ ณะของตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญในการนง่ั มาตรา ๒๑๖ องค์คณะของตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญในการน่งั มาตรา ๒๑๑ องค์คณะของตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ในการนงั่ พิจารณาและในการทาคาวินิจฉัย ต้องประกอบด้วยตุลาการศาล พจิ ารณาและในการทาคาวินิจฉยั ต้องประกอบดว้ ยตลุ าการศาล พิจารณาและในการทาคาวนิ จิ ฉยั ตอ้ งประกอบด้วยตลุ าการศาล รัฐธรรมนูญไมน่ อ้ ยกวา่ เก้าคน คาวินิจฉัยของศาลรฐั ธรรมนูญให้ถอื เสยี ง รัฐธรรมนญู ไม่นอ้ ยกวา่ ห้าคน คาวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนญู ให้ถอื รฐั ธรรมนญู ไม่น้อยกว่าเจด็ คน ข้างมาก เว้นแต่จะมีบัญญตั เิ ปน็ อยา่ งอ่นื ในรัฐธรรมนูญนี้ เสยี งข้างมาก เวน้ แตจ่ ะมบี ญั ญตั ิเป็นอยา่ งอนื่ ในรฐั ธรรมนญู น้ี คาวนิ จิ ฉยั ของศาลรฐั ธรรมนญู ใหถ้ อื เสียงขา้ งมาก เว้นแต่ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเปน็ องค์คณะทกุ คนจะต้องทาคา ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญซงึ่ เปน็ องคค์ ณะทกุ คนจะตอ้ งทา รัฐธรรมนูญจะบญั ญตั ไิ วเ้ ป็นอย่างอ่นื วนิ ิจฉัยในส่วนของตนพรอ้ มแถลงด้วยวาจาต่อท่ีประชมุ ก่อนการลงมติ ความเห็นในการวนิ จิ ฉยั ในสว่ นของตนพร้อมแถลงด้วยวาจาตอ่ ท่ี เมอ่ื ศาลรัฐธรรมนญู รบั เร่อื งใดไว้พจิ ารณาแลว้ ตลุ าการศาล คาวนิ ิจฉยั ของศาลรฐั ธรรมนูญและคาวนิ ิจฉยั ของตลุ าการศาล ประชมุ กอ่ นการลงมติ รฐั ธรรมนูญผใู้ ดจะปฏิเสธไม่วนิ ิจฉยั โดยอา้ งวา่ เรื่องนัน้ ไม่อยูใ่ น รฐั ธรรมนญู ทกุ คน ใหป้ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษา คาวนิ ิจฉยั ของศาลรฐั ธรรมนญู และความเหน็ ในการวนิ จิ ฉัยของ อานาจของศาลรัฐธรรมนญู มไิ ด้ คาวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยา่ งน้อยต้องประกอบด้วยความ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทกุ คน ให้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา คาวินจิ ฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ให้เปน็ เด็ดขาด มผี ลผูกพัน เปน็ มาหรือคากลา่ วหา สรปุ ข้อเท็จจรงิ ท่ีไดม้ าจากการพิจารณา เหตุผล คาวินจิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนญู อยา่ งนอ้ ยต้องประกอบดว้ ย รัฐสภา คณะรฐั มนตรี ศาล องคก์ รอสิ ระ และหน่วยงานของรัฐ ในการวนิ ิจฉยั ในปัญหาข้อเท็จจรงิ และขอ้ กฎหมาย และบทบัญญตั ขิ อง ความเป็นมาหรอื คากลา่ วหา สรุปข้อเทจ็ จรงิ ที่ได้มาจากการ รัฐธรรมนญู และกฎหมายทย่ี กข้ึนอ้างอิง พิจารณา เหตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยในปัญหาขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมาย มาตรา ๒๖๘ คาวินิจฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู ให้เปน็ เด็ดขาด มี และบทบัญญัติของรัฐธรรมนญู และกฎหมายท่ยี กขึน้ อา้ งอิง ผลผูกพันรฐั สภา คณะรฐั มนตรี ศาล และองค์กรอนื่ ของรฐั คาวินจิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู ใหเ้ ป็นเด็ดขาด มีผลผกู พัน มาตรา ๒๖๙ วิธีพจิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนญู ให้เป็นไปตามท่ี รฐั สภา คณะรฐั มนตรี ศาล และองคก์ รอน่ื ของรฐั ศาลรัฐธรรมนญู กาหนด ซึ่งต้องกระทาโดยมตเิ อกฉนั ท์ของคณะตุลาการ วิธีพิจารณาของศาลรฐั ธรรมนูญใหเ้ ป็นไปตามพระราชบัญญตั ิ ศาลรฐั ธรรมนูญ และใหป้ ระกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยวธิ ีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ วธิ ีพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนญู ตามวรรคหนึง่ อยา่ งน้อยต้องมี หลกั ประกันขัน้ พ้ืนฐานเร่อื งการพิจารณาคดีโดยเปดิ เผย การให้โอกาส คู่กรณีแสดงความเหน็ ของตนก่อนการวินจิ ฉยั คดี การใหส้ ทิ ธคิ ูก่ รณขี อ ตรวจดูเอกสารท่ีเก่ยี วกบั ตน การเปิดโอกาสใหม้ กี ารคดั คา้ นตลุ าการศาล รัฐธรรมนูญ และการให้เหตุผลประกอบคาวนิ ิจฉยั หรอื คาส่งั ของศาล รฐั ธรรมนญู ด้วย มาตรา ๒๖๔ ในการทศ่ี าลจะใชบ้ ทบัญญตั ิแหง่ กฎหมายบงั คับแก่ มาตรา ๒๑๑ ในการท่ีศาลจะใชบ้ ทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายบงั คบั มาตรา ๒๑๒ ในการทศ่ี าลจะใชบ้ ทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมาย คดีใด ถา้ ศาลเห็นเองหรอื คคู่ วามโตแ้ ย้งว่าบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายน้ันตอ้ ง แกค่ ดใี ด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโตแ้ ยง้ พร้อมด้วยเหตุผลวา่ บังคับแก่คดใี ด ถา้ ศาลเหน็ เองหรอื คู่ความโตแ้ ย้งพรอ้ มดว้ ยเหตผุ ลวา่ ดว้ ยบทบญั ญตั มิ าตรา ๖ และยงั ไมม่ คี าวนิ จิ ฉยั ของศาลรฐั ธรรมนญู ในสว่ น บทบญั ญัติแห่งกฎหมายน้ันต้องดว้ ยบทบัญญตั มิ าตรา ๖ และยงั ไมม่ ี บทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายนนั้ ตอ้ งดว้ ยมาตรา ๕ และยังไมม่ ีคาวินิจฉัย ที่เก่ียวกบั บทบญั ญตั นิ น้ั ให้ศาลรอการพจิ ารณาพิพากษาคดไี วช้ ัว่ คราว คาวนิ จิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู ในสว่ นท่เี ก่ียวกับบทบัญญตั นิ ัน้ ให้ ของศาลรัฐธรรมนญู ในส่วนท่ีเกี่ยวกบั บทบญั ญตั นิ น้ั ให้ศาลส่ง และส่งความเหน็ เชน่ วา่ น้ันตามทางการเพ่ือศาลรฐั ธรรมนญู จะได้พจิ ารณา ศาลส่งความเห็นเชน่ ว่านัน้ ตามทางการเพอื่ ศาลรฐั ธรรมนญู จะได้ ความเหน็ เช่นว่าน้ันตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญเพ่ือวนิ ิจฉยั ในระหวา่ งนั้น ให้ วนิ จิ ฉยั พจิ ารณาวินิจฉยั ในระหวา่ งนนั้ ให้ศาลดาเนนิ การพิจารณาต่อไปได้

๑๓๓ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในกรณีทศี่ าลรฐั ธรรมนญู เห็นว่าคาโตแ้ ยง้ ของคู่ความตามวรรคหน่งึ แต่ให้รอการพิพากษาคดไี วช้ ่วั คราว จนกว่าจะมีคาวินิจฉัยของศาล ศาลดาเนินการพิจารณาตอ่ ไปได้ แตใ่ ห้รอการพิพากษาคดไี ว้ชวั่ คราว ไมเ่ ป็นสาระอนั ควรได้รบั การวินจิ ฉัย ศาลรฐั ธรรมนญู จะไมร่ ับเรือ่ งดังกลา่ ว รฐั ธรรมนญู จนกวา่ จะมคี าวนิ ิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู ไวพ้ จิ ารณากไ็ ด้ ในกรณที ่ีศาลรัฐธรรมนญู เห็นวา่ คาโตแ้ ย้งของค่คู วามตาม ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนญู เห็นวา่ คาโตแ้ ย้งของคู่ความตาม คาวินจิ ฉยั ของศาลรฐั ธรรมนญู ใหใ้ ชไ้ ดใ้ นคดีทง้ั ปวง แตไ่ มก่ ระทบ วรรคหน่งึ ไม่เป็นสาระอนั ควรไดร้ บั การวนิ ิจฉัย ศาลรัฐธรรมนญู จะไม่ วรรคหน่ึง ไมเ่ ป็นสาระอนั ควรไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั ศาลรฐั ธรรมนญู จะ กระเทอื นถึงคาพพิ ากษาของศาลอันถึงทีส่ ดุ แล้ว รับเรือ่ งดงั กลา่ วไว้พจิ ารณากไ็ ด้ ไมร่ บั เรือ่ งดงั กลา่ วไว้พจิ ารณากไ็ ด้ คาวินิจฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู ให้ใชไ้ ดใ้ นคดที ง้ั ปวง แต่ไม่กระทบ คาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนญู ใหใ้ ช้ไดใ้ นคดที ง้ั ปวง แต่ไม่ กระเทอื นถึงคาพิพากษาของศาลอนั ถึงท่ีสดุ แล้ว กระทบตอ่ คาพพิ ากษาของศาลอันถงึ ทสี่ ุดแลว้ เว้นแต่ในคดีอาญาให้ ถือว่าผซู้ ง่ึ เคยถกู ศาลพิพากษาว่ากระทาความผดิ ตามบทบัญญตั แิ ห่ง กฎหมายทศ่ี าลรัฐธรรมนญู วนิ จิ ฉัยว่าไมช่ อบดว้ ยมาตรา ๕ น้นั เปน็ ผู้ ไมเ่ คยกระทาความผดิ ดงั กล่าว หรอื ถ้าผู้นนั้ ยงั รับโทษอย่กู ใ็ ห้ปล่อยตัว ไป แต่ท้งั นไ้ี ม่ก่อให้เกดิ สิทธิทีจ่ ะเรยี กรอ้ งค่าชดเชยหรือคา่ เสยี หายใด ๆ มาตรา ๒๑๒ บคุ คลซึ่งถกู ละเมิดสทิ ธิหรือเสรภี าพที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๓ บุคคลซงึ่ ถูกละเมดิ สทิ ธหิ รอื เสรภี าพที่ นี้รบั รองไว้มีสทิ ธยิ ่นื คารอ้ งต่อศาลรฐั ธรรมนญู เพอ่ื มีคาวินิจฉัยวา่ รฐั ธรรมนูญคมุ้ ครองไว้ มสี ทิ ธยิ ืน่ คาร้องต่อศาลรัฐธรรมนญู เพอื่ มคี า บทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายขัดหรือแย้งต่อรฐั ธรรมนญู ได้ วินจิ ฉัยวา่ การกระทาน้นั ขดั หรือแย้งตอ่ รฐั ธรรมนญู ทงั้ น้ี ตาม การใชส้ ทิ ธติ ามวรรคหนงึ่ ต้องเป็นกรณีทไี่ ม่อาจใชส้ ทิ ธิโดย หลกั เกณฑ์ วิธีการ และเงอื่ นไขทบ่ี ัญญัตไิ วใ้ นพระราชบญั ญตั ิ วธิ ีการอืน่ ไดแ้ ลว้ ทัง้ น้ี ตามที่บัญญัตไิ ว้ในพระราชบัญญตั ิประกอบ ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยวธิ พี จิ ารณาของศาลรัฐธรรมนญู รัฐธรรมนูญว่าดว้ ยวิธีพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนญู มาตรา ๒๑๔ ในกรณที ต่ี ลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ตอ้ งหยดุ ปฏิบัติหน้าท่ตี ามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม และมีตลุ าการศาล รัฐธรรมนญู เหลอื อย่ไู มถ่ งึ เจด็ คน ให้ประธานศาลฎกี าและประธาน ศาลปกครองสงู สดุ ร่วมกันแตง่ ตงั้ บคุ คลซง่ึ มีคณุ สมบัตแิ ละไม่มี ลกั ษณะต้องหา้ มเชน่ เดยี วกบั ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญทาหนา้ ทเี่ ป็น ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญเปน็ การชว่ั คราวให้ครบเกา้ คน โดยใหผ้ ูซ้ งึ่ ไดร้ ับแต่งต้งั ทาหนา้ ท่ีในฐานะตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ไดจ้ นกวา่ ตลุ า การศาลรัฐธรรมนญู ทต่ี นทาหน้าทแี่ ทนจะปฏบิ ัติหนา้ ที่ได้ หรอื จนกว่า จะมีการแตง่ ตงั้ ผดู้ ารงตาแหนง่ แทน

๑๓๔ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ งั คบั บัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๓๗ กรรมการการเลอื กตง้ั ต้องมีคณุ สมบตั ิและไมม่ ี หมวด ๑๑ หมวด ๑๒ ลกั ษณะตอ้ งหา้ ม ดงั ตอ่ ไปนี้ องคก์ รตามรัฐธรรมนญู องค์กรอิสระ (๑) มสี ัญชาตไิ ทยโดยการเกิด (๒) มอี ายไุ มต่ ่ากวา่ สส่ี ิบปีบริบูรณใ์ นวันเสนอช่อื ส่วนท่ี ๑ สว่ นท่ี ๑ (๓) สาเรจ็ การศึกษาไมต่ า่ กวา่ ปรญิ ญาตรีหรอื เทียบเทา่ (๔) ไมม่ ลี กั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐๖ หรือมาตรา ๑๐๙ องคก์ รอสิ ระตามรัฐธรรมนญู บททั่วไป (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) (๗) (๑๓) หรอื (๑๔) (๕) ไม่เป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา มาตรา ๒๑๕ องค์กรอสิ ระเปน็ องคก์ รที่จัดต้ังขน้ึ ใหม้ ีความ ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาทอ้ งถิ่น หรอื ผู้บรหิ ารทอ้ งถิ่น (๖) ไม่เปน็ หรือเคยเป็นสมาชิกหรอื ผ้ดู ารงตาแหน่งอื่นของ อิสระในการปฏิบัตหิ นา้ ท่ีใหเ้ ปน็ ไปตามรฐั ธรรมนญู และกฎหมาย พรรคการเมอื งในระยะหา้ ปีก่อนดารงตาแหน่ง (๗) ไม่เป็นผู้ตรวจการแผ่นดนิ ของรฐั สภา กรรมการสทิ ธิ การปฏบิ ตั หิ น้าที่และการใชอ้ านาจขององค์กรอสิ ระตอ้ ง มนษุ ยชนแหง่ ชาติ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ตลุ าการศาลปกครอง กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรอื กรรมการ เปน็ ไปโดยสจุ รติ เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคตทิ งั้ ปวงใน ตรวจเงินแผน่ ดิน มาตรา ๑๓๙ กรรมการการเลอื กตงั้ ต้อง การใช้ดุลพินิจ (๑) ไมเ่ ป็นขา้ ราชการซ่ึงมตี าแหนง่ หรอื เงนิ เดอื นประจา (๒) ไมเ่ ป็นพนกั งานหรือลกู จ้างของหน่วยงานของรฐั มาตรา ๒๓๐ กรรมการการเลือกตัง้ ตอ้ งมีคุณสมบตั แิ ละไมม่ ี มาตรา ๒๑๖ นอกจากคุณสมบัตแิ ละลกั ษณะต้องหา้ มตามท่ี รฐั วิสาหกิจ หรอื ของราชการสว่ นทอ้ งถ่ิน ลกั ษณะต้องห้าม ดังต่อไปน้ี บัญญัตไิ วเ้ ปน็ การเฉพาะในสว่ นที่ว่าดว้ ยองคก์ รอิสระแตล่ ะองค์กร (๑) มีอายุไม่ต่ากวา่ สี่สบิ ปีบริบรู ณ์ แลว้ ผู้ดารงตาแหนง่ ในองคก์ รอสิ ระต้องมีคุณสมบตั แิ ละไมม่ ลี กั ษณะ (๒) สาเร็จการศกึ ษาไมต่ ่ากวา่ ปรญิ ญาตรหี รือเทยี บเท่า ต้องห้ามทั่วไปดังตอ่ ไปนีด้ ้วย (๓) มคี ุณสมบตั แิ ละไมม่ ลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๒๐๕ (๑) มอี ายุไมต่ า่ กวา่ สี่สบิ ห้าปี แต่ไมเ่ กนิ เจด็ สบิ ปี (๑) (๔) (๕) และ (๖) (๒) มคี ุณสมบตั ิตามมาตรา ๒๐๑ (๑) (๓) (๔) และ (๕) (๔) ไม่เปน็ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญ ผตู้ รวจการแผน่ ดิน (๓) ไม่มลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๒๐๒ กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ กรรมการตรวจ เงนิ แผน่ ดนิ หรอื กรรมการสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาติ ใหน้ าบทบญั ญตั มิ าตรา ๒๐๗ มาใชบ้ งั คบั กบั กรรมการการ เลือกตั้งดว้ ยโดยอนโุ ลม มาตรา ๒๔๒ วรรคสี่ คณุ สมบัตแิ ละลักษณะตอ้ งหา้ มของ ผูต้ รวจการแผ่นดนิ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่า ด้วยผตู้ รวจการแผ่นดิน มาตรา ๒๔๖ วรรคสอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจรติ แหง่ ชาติตอ้ งเป็นผู้ซ่ึงมีความซอ่ื สัตยส์ ุจรติ เปน็ ทปี่ ระจกั ษ์และมี คุณสมบัตแิ ละไม่มลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๒๐๕ โดยเคยเป็น รฐั มนตรี กรรมการการเลอื กตัง้ ผู้ตรวจการแผน่ ดิน กรรมการสทิ ธิ มนษุ ยชนแหง่ ชาติ หรือกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน หรือเคยรับราชการ ในตาแหน่งไมต่ า่ กวา่ อธิบดหี รือผดู้ ารงตาแหนง่ ทางบรหิ ารในหนว่ ย

๑๓๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คบั บัญชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (๓) ไมด่ ารงตาแหน่งใดในหา้ งหุ้นส่วน บริษทั หรอื องคก์ ารที่ ราชการทม่ี อี านาจบริหารเทยี บเท่าอธบิ ดี หรือดารงตาแหน่งไมต่ า่ กวา่ ดาเนินธุรกจิ โดยมุง่ หาผลกาไรหรอื รายได้มาแบง่ ปนั กัน หรือเปน็ ศาสตราจารย์ ผ้แู ทนองคก์ ารพฒั นาเอกชน หรอื ผปู้ ระกอบวิชาชพี ทม่ี ี ลูกจ้างของบคุ คลใด องค์กรวิชาชพี ตามกฎหมายมาเป็นเวลาไมน่ ้อยกวา่ สามสิบปี ซงึ่ องค์การ (๔) ไมป่ ระกอบวิชาชีพอิสระอนื่ ใด พัฒนาเอกชนหรอื องค์กรวิชาชีพน้ันให้การรบั รองและเสนอชื่อเข้าสู่ ในกรณที ีว่ ุฒิสภาเลือกบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรอื (๔) โดย กระบวนการสรรหา ไดร้ บั ความยนิ ยอมของผนู้ นั้ ผู้ได้รบั เลือกจะเรมิ่ ปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีไดต้ อ่ เมอ่ื มาตรา ๒๕๒ วรรคหก คณุ สมบัติ ลักษณะต้องห้าม และการ ผ้นู ้ันไดล้ าออกจากตาแหน่งตาม (๑) (๒) หรือ (๓) หรอื แสดงให้เปน็ ท่ี พ้นจากตาแหนง่ ของกรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ และผวู้ ่าการตรวจ เช่ือได้ว่าตนได้เลกิ ประกอบวิชาชพี อิสระดงั กลา่ วแลว้ ซึ่งต้องกระทา เงินแผ่นดิน รวมทง้ั อานาจหนา้ ท่ขี องคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดิน ภายในสิบห้าวนั นบั แต่วนั ทไ่ี ดร้ ับเลอื ก แตถ่ า้ ผนู้ น้ั มไิ ดล้ าออกหรอื เลกิ ผู้วา่ การตรวจเงินแผน่ ดนิ และสานกั งานการตรวจเงินแผน่ ดิน ให้ ประกอบวิชาชีพอสิ ระภายในเวลาที่กาหนด ให้ถือวา่ ผ้นู น้ั ไมเ่ คยไดร้ บั เปน็ ไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการตรวจเงนิ เลือกใหเ้ ป็นกรรมการการเลือกต้งั และให้นาบทบญั ญตั ิมาตรา ๑๓๘ แผน่ ดนิ มาใช้บังคบั โดยอนุโลม มาตรา ๒๕๖ วรรคสาม คณุ สมบตั ิ ลักษณะต้องห้าม การ มาตรา ๑๙๖ วรรคสาม คณุ สมบัติ ลกั ษณะต้องห้าม การ ถอดถอน และการกาหนดค่าตอบแทนกรรมการสิทธมิ นษุ ยชน สรรหา และการเลอื กผตู้ รวจการแผ่นดินของรฐั สภา ใหเ้ ปน็ ไปตาม แหง่ ชาติ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ของรัฐสภา มาตรา ๒๙๗ วรรคสอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทจุ รติ แห่งชาตติ ้องเปน็ ผู้ซึ่งมคี วามซ่อื สตั ยส์ ุจรติ เป็นที่ประจักษ์ มี คุณสมบัตแิ ละไม่มลี ักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๕๖ มาตรา ๓๑๒ วรรคเจด็ คุณสมบตั ิ ลักษณะต้องห้าม การ สรรหาและการเลือก และการพ้นจากตาแหนง่ ของกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ และผวู้ ่าการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ รวมท้งั อานาจหนา้ ท่ีของ คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ผวู้ า่ การตรวจเงินแผน่ ดิน และ สานักงานการตรวจเงินแผน่ ดิน ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการตรวจเงินแผน่ ดิน มาตรา ๑๙๙ วรรคสาม คณุ สมบัติ ลักษณะต้องหา้ ม การ สรรหา การเลือก การถอดถอน และการกาหนดค่าตอบแทนกรรมการ สิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ

๑๓๖ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๓๖ วรรคสอง ให้ประธานวฒุ สิ ภาลงนามรบั สนอง มาตรา ๒๒๙ วรรคสอง ตรงกับความในมาตรา ๑๓๖ วรรค มาตรา ๒๑๗ เมอ่ื มกี รณที จี่ ะต้องสรรหาผสู้ มควรไดร้ บั การ พระบรมราชโองการแตง่ ต้งั ประธานกรรมการและกรรมการตามวรรค สอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ แต่งตั้งเป็นผูด้ ารงตาแหน่งในองคก์ รอิสระนอกจากคณะกรรมการ หนึง่ มาตรา ๒๓๐ วรรคสอง ใหน้ าบทบญั ญัตมิ าตรา ๒๐๗ มาใช้ สิทธมิ นุษยชนแหง่ ชาติ ใหเ้ ป็นหนา้ ท่แี ละอานาจของคณะกรรมการ มาตรา ๑๓๘ การสรรหาและการเลอื กประธานกรรมการและ บงั คบั กับกรรมการการเลือกตงั้ ดว้ ยโดยอนุโลม สรรหาตามมาตรา ๒๐๓ ทีจ่ ะดาเนนิ การสรรหา เวน้ แตก่ รรมการ กรรมการการเลือกตั้ง ให้ดาเนนิ การดังน้ี มาตรา ๒๓๑ การสรรหาและการเลอื กประธานกรรมการและ สรรหาตามมาตรา ๒๐๓ (๔) ใหป้ ระกอบดว้ ยบคุ คลซึ่งแตง่ ต้ังโดย (๑) ให้มีคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลอื กตงั้ จานวนสิบ กรรมการการเลือกต้ัง ใหด้ าเนินการดังน้ี ศาลรัฐธรรมนญู และองคก์ รอิสระท่ีมิใชอ่ งคก์ รอสิ ระทต่ี อ้ งมีการ คน ซ่งึ ประกอบด้วยประธานศาลรฐั ธรรมนญู ประธานศาลปกครอง (๑) ใหม้ ีคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งจานวนเจด็ สรรหา สงู สุด อธกิ ารบดขี องสถาบนั อุดมศึกษาของรฐั ที่เปน็ นิติบคุ คลทกุ แหง่ คน ซึง่ ประกอบดว้ ย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรฐั ธรรมนญู ให้นาความในมาตรา ๒๐๓ มาตรา ๒๐๔ มาตรา ๒๐๕ และมาตรา ซง่ึ เลอื กกนั เองให้เหลือสคี่ น ผแู้ ทนพรรคการเมอื งทกุ พรรคท่มี สี มาชกิ ประธานศาลปกครองสงู สดุ ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎร ผนู้ าฝา่ ยคา้ นใน ๒๐๖ มาใชบ้ งั คับแก่การสรรหาตามวรรคหนงึ่ โดยอนโุ ลม เปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรพรรคละหนึง่ คน ซ่ึงเลือกกนั เองให้เหลอื สภาผแู้ ทนราษฎร บคุ คลซึ่งทีป่ ระชุมใหญศ่ าลฎีกาคดั เลือกจานวนหนึ่ง สีค่ น ทาหนา้ ท่พี ิจารณาสรรหาผมู้ คี ณุ สมบัติตามมาตรา ๑๓๗ ซึ่ง คน และบุคคลซ่งึ ทปี่ ระชมุ ใหญต่ ุลาการในศาลปกครองสงู สุดคัดเลอื ก สมควรเป็นกรรมการการเลือกตัง้ จานวนหา้ คน เสนอตอ่ ประธาน จานวนหนึ่งคน เป็นกรรมการ ทาหน้าท่ีสรรหาผมู้ ีคณุ สมบตั ติ ามมาตรา วฒุ ิสภา โดยตอ้ งเสนอพรอ้ มความยนิ ยอมของผไู้ ดร้ ับการเสนอช่อื นน้ั ๒๓๐ ซงึ่ สมควรเป็นกรรมการการเลอื กตั้ง จานวนสามคน เสนอต่อ มตใิ นการเสนอชื่อดังกลา่ วต้องมคี ะแนนเสียงไม่น้อยกวา่ สามในสีข่ อง ประธานวฒุ สิ ภา โดยต้องเสนอพร้อมความยินยอมของผไู้ ด้รบั การเสนอ จานวนกรรมการสรรหาทั้งหมดเทา่ ท่มี ีอยู่ ช่อื นั้น มตใิ นการสรรหาดังกล่าวต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองใน (๒) ใหท้ ปี่ ระชุมใหญศ่ าลฎีกาพิจารณาสรรหาผสู้ มควรเป็น สามของจานวนกรรมการท้ังหมดเท่าท่มี ีอยู่ ในกรณีท่ีไมม่ ีกรรมการใน กรรมการการเลอื กตงั้ จานวนหา้ คน เสนอต่อประธานวุฒสิ ภา โดยตอ้ ง ตาแหน่งใด หรือมีแตไ่ ม่สามารถปฏิบัติหนา้ ทไี่ ด้ ถา้ กรรมการทีเ่ หลืออยู่ เสนอพรอ้ มความยนิ ยอมของผไู้ ดร้ บั การเสนอช่อื นนั้ นัน้ มีจานวนไม่นอ้ ยกว่ากึ่งหนึง่ ให้คณะกรรมการสรรหากรรมการการ (๓) การเสนอชอื่ ตาม (๑) และ (๒) ให้กระทาภายในสามสบิ วัน เลือกตั้งประกอบดว้ ยกรรมการท่ีเหลอื อยู่ ทั้งน้ี ให้นาบทบัญญตั ใิ น นับแตว่ ันทม่ี เี หตทุ ท่ี าใหต้ ้องมกี ารเลอื กบุคคลใหด้ ารงตาแหนง่ ดงั กล่าว มาตรา ๑๑๓ วรรคสอง มาใช้บังคบั โดยอนโุ ลม ในกรณที ่ีคณะกรรมการสรรหาตาม (๑) ไมอ่ าจเสนอชอ่ื ไดภ้ ายในเวลา บคุ คลซงึ่ ท่ีประชุมใหญ่ศาลฎีกาและทปี่ ระชมุ ใหญต่ ลุ าการใน ท่ีกาหนด หรือไม่อาจเสนอช่ือได้ครบจานวนภายในเวลาทีก่ าหนด ให้ ศาลปกครองสงู สดุ เลอื กตามวรรคหนึง่ ต้องมใิ ชผ่ ้พู ิพากษาหรอื ตุลาการ ท่ีประชุมใหญศ่ าลฎีกาพจิ ารณาเสนอชอ่ื แทนจนครบจานวนภายในสบิ และตอ้ งไม่เปน็ กรรมการสรรหาผดู้ ารงตาแหนง่ ในองค์กรตาม หา้ วันนบั แตว่ ันทคี่ รบกาหนดต้องเสนอชื่อตาม (๑) รัฐธรรมนญู อ่ืนในขณะเดียวกัน (๔) ใหป้ ระธานวฒุ สิ ภาเรียกประชมุ วุฒิสภาเพือ่ มมี ตเิ ลือกผู้ (๒) ให้ท่ปี ระชมุ ใหญศ่ าลฎกี าพจิ ารณาสรรหาผมู้ คี ณุ สมบตั ิ ได้รับการเสนอชอ่ื ตาม (๑) (๒) และ (๓) ซ่ึงตอ้ งกระทาโดยวิธี ตามมาตรา ๒๓๐ ซ่งึ สมควรเป็นกรรมการการเลอื กต้ังจานวนสอง ลงคะแนนลบั ในการนี้ ใหห้ า้ คนแรกซง่ึ ไดร้ บั คะแนนสงู สุดและมี คน เสนอต่อประธานวฒุ สิ ภา โดยต้องเสนอพร้อมความยินยอมของผนู้ ัน้ คะแนนมากกว่าก่ึงหนง่ึ ของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเท่าทีม่ อี ยขู่ อง (๓) การสรรหาตาม (๑) และ (๒) ให้กระทาภายในสามสิบวนั วุฒิสภา เป็นผู้ได้รับเลอื กเป็นกรรมการการเลือกตัง้ แต่ถ้าจานวนผู้ นบั แต่วนั ทม่ี ีเหตุทีท่ าใหต้ ้องมีการเลือกบุคคลใหด้ ารงตาแหน่งดงั กลา่ ว

๑๓๗ นาถะ ดวงวิชยั ผ้บู ังคบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ไดร้ ับเลือกดังกลา่ วมไี ม่ครบห้าคน ให้นารายช่ือผู้ไม่ได้รับเลือกในคราว ในกรณีทมี่ ีเหตุที่ทาให้ไมอ่ าจดาเนินการสรรหาไดภ้ ายในเวลาที่กาหนด แรกนั้นมาให้สมาชกิ วฒุ สิ ภาออกเสียงลงคะแนนเลอื กอีกครั้งหน่งึ หรอื ไมอ่ าจสรรหาได้ครบจานวนภายในเวลาท่กี าหนดตาม (๑) ให้ท่ี ตอ่ เนือ่ งกันไป และในกรณนี ี้ ให้ถอื ว่าผไู้ ดร้ บั คะแนนเสียงสงู สดุ เรียงลง ประชุมใหญศ่ าลฎกี าพจิ ารณาสรรหาแทนจนครบจานวนภายในสิบห้า ไปตามลาดบั จนครบหา้ คน เปน็ ผไู้ ดร้ บั เลือกให้เปน็ กรรมการการ วันนบั แต่วนั ทค่ี รบกาหนดตาม (๑) เลอื กต้ัง ในคร้ังน้ีถา้ มผี ไู้ ดค้ ะแนนเสยี งเท่ากันในลาดับใดอันเป็นเหตุให้ (๔) ใหป้ ระธานวฒุ ิสภาเรยี กประชมุ วฒุ ิสภาเพื่อมมี ติใหค้ วาม มผี ้ไู ด้รบั เลือกเกินหา้ คน ใหป้ ระธานวุฒิสภาจับสลากว่าผใู้ ด เป็นผู้ เห็นชอบผไู้ ดร้ ับการสรรหาตาม (๑) (๒) หรือ (๓) ซ่งึ ต้องกระทาโดยวธิ ี ได้รบั เลือก ลงคะแนนลับ (๕) ให้ผไู้ ดร้ บั เลอื กตาม (๔) ประชมุ และเลือกกนั เองใหค้ นหนง่ึ (๕) ในกรณีที่วุฒิสภาใหค้ วามเหน็ ชอบให้ดาเนนิ การตาม (๖) แต่ เป็นประธานกรรมการการเลอื กต้งั และแจง้ ผลใหป้ ระธานวฒุ ิสภา ถา้ วฒุ ิสภาไม่เห็นชอบในรายชื่อใด ไมว่ า่ ทัง้ หมดหรอื บางส่วน ใหส้ ง่ ทราบ และให้ประธานวฒุ ิสภานาความกราบบังคมทลู เพื่อทรงแต่งตงั้ รายชื่อนน้ั กลบั ไปยังคณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกต้ังหรือท่ี ตอ่ ไป ประชมุ ใหญ่ศาลฎีกา แลว้ แต่กรณี เพ่ือให้ดาเนินการสรรหาใหม่ หาก มาตรา ๑๔๓ ในกรณที ่ีกรรมการการเลือกตงั้ พ้นจากตาแหนง่ คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลอื กตงั้ หรือทีป่ ระชมุ ใหญศ่ าลฎกี า ตามวาระพร้อมกันทั้งหมด ให้ดาเนินการตามมาตรา ๑๓๘ ภายในส่ี ไม่เหน็ ด้วยกับวุฒสิ ภา และมีมติยนื ยนั ตามมตเิ ดมิ ด้วยคะแนนเอกฉันท์ สบิ ห้าวันนับแต่วนั ที่มกี ารพน้ จากตาแหน่ง หรอื ดว้ ยคะแนนไม่น้อยกว่าสองในสามของที่ประชมุ ใหญ่ศาลฎกี า ในกรณีทกี่ รรมการการเลอื กตัง้ พน้ จากตาแหนง่ เพราะเหตอุ นื่ แลว้ แต่กรณี ใหด้ าเนินการต่อไปตาม (๖) แต่ถ้ามติที่ยืนยันตามมติเดิม นอกจากถึงคราวออกตามวาระ ใหน้ ามาตรา ๑๓๘ มาใช้บังคับกบั การ ไม่เป็นเอกฉนั ท์หรอื ไมไ่ ดค้ ะแนนตามท่กี าหนด ให้เร่มิ กระบวนการสรร สรรหาและการเลอื กกรรมการการเลือกตง้ั แทนตาแหน่งทีว่ ่างนนั้ โดย หาใหม่ ซ่ึงตอ้ งดาเนินการให้แล้วเสรจ็ ภายในสามสบิ วันนับแต่วันทมี่ ี อนโุ ลม ในกรณนี ี้ ใหเ้ สนอชือ่ ผสู้ มควรเปน็ กรรมการการเลือกตัง้ ต่อ เหตุใหต้ อ้ งดาเนินการดังกล่าว ประธานวุฒิสภา เปน็ จานวนสองเท่าของผ้ซู ึ่งพน้ จากตาแหน่ง และให้ (๖) ให้ผู้ได้รบั ความเหน็ ชอบตาม (๔) หรอื (๕) ประชมุ และเลือก วฒุ สิ ภามมี ตเิ ลอื ก ท้ังน้ี ให้ดาเนินการให้แลว้ เสรจ็ ภายในสีส่ บิ ห้าวนั กันเองให้คนหนึ่งเปน็ ประธานกรรมการการเลอื กตงั้ และแจ้งผลให้ นับแตว่ ันท่มี กี ารพ้นจากตาแหน่ง และใหผ้ ไู้ ดร้ ับเลอื กอยใู่ นตาแหน่ง ประธานวุฒสิ ภาทราบ และให้ประธานวุฒิสภานาความกราบบงั คมทลู เพียงเท่าวาระทเ่ี หลืออยูข่ องผซู้ ึง่ ตนแทน เพอ่ื ทรงแตง่ ต้ังตอ่ ไป มาตรา ๑๙๖ วรรคสอง ให้ประธานวฒุ สิ ภาลงนามรบั สนอง มาตรา ๒๓๔ ในกรณีทีก่ รรมการการเลอื กต้ังพน้ จากตาแหน่ง พระบรมราชโองการแตง่ ต้ังผตู้ รวจการแผ่นดินของรัฐสภา ตามวาระพร้อมกนั ท้ังคณะ ใหด้ าเนินการสรรหาตามมาตรา ๒๓๑ มาตรา ๒๙๗ วรรคสาม การสรรหาและการเลือกกรรมการ ภายในเก้าสบิ วันนบั แตว่ นั ที่พ้นจากตาแหน่ง ป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ ให้นาบทบัญญตั มิ าตรา ในกรณีทก่ี รรมการการเลอื กตงั้ พ้นจากตาแหนง่ เพราะเหตุอื่น ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๘ มาใช้บังคับโดยอนโุ ลม ท้ังน้ี โดยให้มี คณะ นอกจากถึงคราวออกตามวาระ ให้ดาเนินการสรรหาตามมาตรา ๒๓๑ กรรมการสรรหากรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ ให้แล้วเสรจ็ ภายในหกสิบวนั นับแต่วันทมี่ เี หตุดังกล่าว และให้ผูไ้ ดร้ ับ จานวนสิบหา้ คน ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาล ความเห็นชอบอยใู่ นตาแหน่งเพียงเท่าวาระทเี่ หลอื อย่ขู องผซู้ ึง่ ตนแทน

๑๓๘ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ รัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานกรรมการการ มาตรา ๒๔๒ วรรคสอง ให้ผูไ้ ด้รับเลอื กเปน็ ผู้ตรวจการ เลือกตง้ั ประธานกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ประธานกรรมการสทิ ธิ แผน่ ดินประชุมและเลือกกันเองให้คนหนงึ่ เป็นประธานผู้ตรวจการ มนษุ ยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผน่ ดินของรัฐสภา ซึ่งเลอื กกนั เองให้ แผน่ ดนิ แลว้ แจ้งผลให้ประธานวฒุ สิ ภาทราบ เหลือหนง่ึ คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของพรรคการเมอื งท่สี มาชิกใน วรรคสาม ใหป้ ระธานวุฒิสภาเป็นผูล้ งนามรบั สนองพระบรม สังกดั ดารงตาแหนง่ รฐั มนตรี ซึ่งเลอื กกนั เองใหเ้ หลือหนึง่ คน ราชโองการแต่งต้งั ประธานผู้ตรวจการแผน่ ดนิ และผตู้ รวจการแผ่นดนิ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรของพรรคการเมืองที่สมาชกิ ในสังกัดมไิ ด้ มาตรา ๒๔๓ การสรรหาและการเลอื กผู้ตรวจการแผ่นดนิ ใหน้ า ดารงตาแหน่งรัฐมนตรซี ง่ึ เลือกกนั เองใหเ้ หลอื หนง่ึ คน และอธกิ ารบดี บทบัญญัตมิ าตรา ๒๐๖ และมาตรา ๒๐๗ มาใชบ้ งั คับโดยอนโุ ลม โดย ของสถาบนั อุดมศึกษาของรฐั ทเ่ี ปน็ นิตบิ คุ คลทุกแหง่ ซึ่งเลือกกนั เองให้ ให้มคี ณะกรรมการสรรหาจานวนเจ็ดคนประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา เหลือหกคน เปน็ กรรมการ ประธานศาลรฐั ธรรมนญู ประธานศาลปกครองสงู สุด ประธานสภา วรรคหา้ ใหป้ ระธานวฒุ สิ ภาลงนามรบั สนองพระบรมราช ผ้แู ทนราษฎร ผูน้ าฝ่ายคา้ นในสภาผู้แทนราษฎร บุคคลซึ่งทีป่ ระชมุ ใหญ่ โองการแตง่ ตั้งประธานกรรมการและกรรมการปอ้ งกันและ ศาลฎกี าคัดเลือกจานวนหนึ่งคน และบุคคลซงึ่ ที่ประชมุ ใหญต่ ลุ าการใน ปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ ศาลปกครองสงู สดุ คดั เลอื กจานวนหนึง่ คน และให้นาบทบญั ญตั ิมาตรา ๒๓๑ (๑) วรรคสอง มาใชบ้ ังคับด้วยโดยอนโุ ลม (วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า แก้ไขเพ่มิ เติมโดยรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๔๖ วรรคสาม การสรรหาและการเลอื กกรรมการ แหง่ ราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบบั ท่ี ๑) พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๘) ป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ ใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๒๐๔ วรรคสามและวรรคส่ี มาตรา ๒๐๖ และมาตรา ๒๐๗ มาใช้ มาตรา ๓๑๒ วรรคห้า ใหป้ ระธานวฒุ สิ ภาลงนามรับสนอง บังคับโดยอนโุ ลม โดยใหม้ คี ณะกรรมการสรรหาจานวนหา้ คน พระบรมราชโองการแตง่ ตง้ั ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงิน ประกอบดว้ ยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนญู ประธาน แผน่ ดนิ และผูว้ ่าการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรและผนู้ าฝา่ ยคา้ นใน วรรคเจด็ คณุ สมบัติ ลกั ษณะตอ้ งห้าม การสรรหาและการ สภาผแู้ ทนราษฎร เลือก และการพ้นจากตาแหน่งของกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและ วรรคสี่ ให้ประธานวุฒิสภาเปน็ ผลู้ งนามรับสนองพระบรม ผ้วู า่ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ รวมทั้งอานาจหน้าทีข่ องคณะกรรมการ ราชโองการแตง่ ต้งั ประธานกรรมการและกรรมการปอ้ งกนั และ ตรวจเงนิ แผ่นดนิ ผู้วา่ การตรวจเงนิ แผ่นดิน และสานักงานการตรวจ ปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ เงินแผน่ ดิน ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการ มาตรา ๒๕๒ วรคสาม การสรรหาและการเลือกกรรมการ ตรวจเงนิ แผ่นดิน ตรวจเงินแผน่ ดินและผู้วา่ การตรวจเงนิ แผน่ ดิน ใหน้ าบทบัญญตั ิ มาตรา ๑๙๙ วรรคสอง ใหป้ ระธานวฒุ สิ ภาลงนามรบั สนอง มาตรา ๒๐๔ วรรคสามและวรรคสี่ มาตรา ๒๐๖ และมาตรา ๒๐๗ พระบรมราชโองการแต่งตงั้ ประธานกรรมการและกรรมการสิทธิ มาใชบ้ งั คับโดยอนโุ ลม เวน้ แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา มนุษยชนแหง่ ชาติ ให้เปน็ ไปตามมาตรา ๒๔๓

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๓๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผูบ้ งั คับบญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา วรรคสาม คณุ สมบตั ิ ลักษณะตอ้ งหา้ ม การสรรหา การเลือก รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ การถอดถอน และการกาหนดคา่ ตอบแทนกรรมการสทิ ธมิ นุษยชน รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ แหง่ ชาติ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่กี ฎหมายบัญญัติ วรรคสี่ ใหป้ ระธานวุฒสิ ภาเป็นผลู้ งนามรับสนองพระบรม ราชโองการแตง่ ตัง้ ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ มาตรา ๒๑๘ นอกจากการพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ผดู้ ารง มาตรา ๑๔๑ นอกจากการพน้ จากตาแหนง่ ตามวาระ กรรมการ และผู้วา่ การตรวจเงินแผ่นดนิ ตาแหน่งในองคก์ รอสิ ระพน้ จากตาแหน่งเมื่อ การเลอื กตัง้ พ้นจากตาแหนง่ เม่ือ มาตรา ๒๕๖ วรรคสอง ใหป้ ระธานวฒุ สิ ภาเป็นผ้ลู งนามรับ (๑) ตาย (๑) ตาย สนองพระบรมราชโองการแตง่ ตง้ั ประธานกรรมการและกรรมการ (๒) ลาออก (๒) ลาออก สทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ (๓) ขาดคณุ สมบตั ิหรือมลี ักษณะตอ้ งหา้ มท่ัวไปตามมาตรา (๓) ขาดคณุ สมบตั หิ รือมีลักษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๓๗ หรอื ๒๑๖ หรอื ขาดคุณสมบตั ิหรอื มลี กั ษณะตอ้ งห้ามเฉพาะตามมาตรา มาตรา ๑๓๙ วรรคห้า ให้นาบทบญั ญัติมาตรา ๒๐๔ วรรคสาม มาตรา ๒๒๒ มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๓๒ มาตรา ๒๓๘ หรอื ตามมาตรา (๔) ได้รับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถงึ ทีส่ ดุ ให้จาคุก เว้นแต่ใน ๒๐๖ มาตรา ๒๐๗ และมาตรา ๒๐๙ (๒) มาใชบ้ งั คับโดยอนโุ ลม ๒๔๖ วรรคสอง และตามกฎหมายทต่ี ราขึน้ ตามมาตรา ๒๔๖ วรรคส่ี ความผดิ อันได้กระทาโดยประมาทหรอื ความผิดลหุโทษ เว้นแตอ่ งค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาใหเ้ ป็นไปตามมาตรา แล้วแต่กรณี (๕) วุฒิสภามมี ติตามมาตรา ๓๐๗ ใหถ้ อดถอนออกจากตาแหน่ง ๒๔๓ ให้นาความในมาตรา ๒๐๘ วรรคสอง วรรคสาม วรรคส่ี และ เม่ือมีกรณีตามวรรคหนง่ึ ใหค้ ณะกรรมการการเลอื กต้งั เทา่ ที่ วรรคหา้ และมาตรา ๒๐๙ มาใชบ้ งั คบั แก่การพ้นจากตาแหน่งของผู้ เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าทีต่ ่อไปได้ มาตรา ๒๓๒ วรรคสาม ให้นาบทบัญญัตมิ าตรา ๒๐๙ (๑) (๒) ดารงตาแหนง่ ในองค์กรอสิ ระโดยอนุโลม มาตรา ๑๔๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชกิ วฒุ สิ ภา หรือ (๓) (๕) (๖) (๗) และการขาดคณุ สมบตั ิและมีลักษณะต้องหา้ มตาม ในกรณีท่ีผดู้ ารงตาแหนง่ ในองคก์ รอสิ ระต้องหยดุ ปฏิบตั ิหนา้ ท่ี สมาชิกของท้ังสองสภารวมกัน มจี านวนไมน่ อ้ ยกวา่ หนึ่งในสิบของ มาตรา ๒๓๐ มาใชบ้ งั คบั กับการพ้นจากตาแหน่งของกรรมการการ ตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม ถ้ามจี านวนเหลอื อยไู่ ม่ถงึ กึ่งหนงึ่ ให้นา จานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าทมี่ ีอยู่ของท้งั สองสภา มีสิทธเิ ขา้ ชื่อร้องขอต่อ เลือกต้งั ด้วยโดยอนุโลม ความในมาตรา ๒๑๔ มาใชบ้ งั คับโดยอนุโลม ประธานรัฐสภาวา่ กรรมการการเลอื กต้งั คนใดคนหน่ึงขาดคุณสมบัติหรอื มีลักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๓๗ หรอื กระทาการอันต้องหา้ มตาม มาตรา ๒๓๓ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา หรือ มาตรา ๑๓๙ และใหป้ ระธานรัฐสภาสง่ คาร้องนน้ั ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ สมาชกิ ของทั้งสองสภารวมกัน มีจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หน่ึงในสิบของ เพอื่ วินิจฉยั ว่ากรรมการการเลือกตง้ั ผ้นู ัน้ พน้ จากตาแหน่งหรือไม่ จานวนสมาชิกทั้งหมดเทา่ ทมี่ ีอยูข่ องท้ังสองสภา มีสทิ ธเิ ข้าช่ือรอ้ งขอต่อ ประธานรัฐสภาวา่ กรรมการการเลอื กตง้ั คนใดคนหนึ่งขาดคณุ สมบตั หิ รอื มลี ักษณะตอ้ งห้าม หรือกระทาการอันตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๒๓๐ และ ใหป้ ระธานรัฐสภาสง่ คาร้องนั้นไปยงั ศาลรัฐธรรมนูญภายในสามวันนบั แตว่ ันทไ่ี ดร้ บั คารอ้ ง เพ่ือให้ศาลรัฐธรรมนูญวินจิ ฉยั เมือ่ ศาลรัฐธรรมนญู มคี าวนิ ิจฉัยแล้ว ให้ศาลรฐั ธรรมนญู แจง้ คาวนิ จิ ฉยั ไปยงั ประธานรฐั สภาและประธานกรรมการการเลือกตัง้ ให้นาบทบัญญัติมาตรา ๙๒ มาใช้บังคับกับการพน้ จากตาแหน่ง ของกรรมการการเลอื กตง้ั ดว้ ยโดยอนโุ ลม มาตรา ๒๔๗ วรรคสาม การพ้นจากตาแหน่ง การสรรหา และการเลือกกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ แทนตาแหนง่ ท่วี า่ ง ให้นาบทบญั ญตั มิ าตรา ๒๐๙ และมาตรา ๒๑๐ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม

๑๔๐ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ งั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ เมื่อศาลรฐั ธรรมนูญมคี าวนิ ิจฉัยแล้ว ให้ศาลรฐั ธรรมนญู แจ้งคา มาตรา ๒๕๒ วรรคหก คุณสมบตั ิ ลกั ษณะตอ้ งหา้ ม และการ วนิ ิจฉยั ไปยังประธานรัฐสภาและประธานกรรมการการเลอื กต้ัง พน้ จากตาแหน่งของกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดินและผู้วา่ การตรวจ ใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๙๗ มาใชบ้ ังคบั กับการพ้นจากตาแหน่ง เงนิ แผ่นดนิ รวมทั้งอานาจหนา้ ที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน ของกรรมการการเลือกตง้ั ด้วย โดยอนุโลม ผูว้ า่ การตรวจเงินแผน่ ดนิ และสานกั งานการตรวจเงินแผ่นดนิ ให้ มาตรา ๒๙๘ วรรคสาม การพน้ จากตาแหน่ง การสรรหาและ เป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการตรวจเงิน การเลือกกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาตแิ ทน แผ่นดิน ตาแหน่งท่ีว่าง ให้นาบทบญั ญัติมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ มาใช้ บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๓๑๒ วรรคเจ็ด คณุ สมบตั ิ ลกั ษณะตอ้ งหา้ ม การสรรหา และการเลอื ก และการพ้นจากตาแหนง่ ของกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ และผวู้ ่าการตรวจเงินแผน่ ดิน รวมท้งั อานาจหนา้ ที่ของคณะกรรมการ ตรวจเงินแผ่นดนิ ผวู้ า่ การตรวจเงินแผน่ ดนิ และสานกั งานการตรวจเงิน แผน่ ดิน ให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการตรวจเงิน แผน่ ดนิ หมวด ๑๓ จรยิ ธรรมของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง และเจ้าหนา้ ที่ของรฐั มาตรา ๒๗๙ วรรคหน่งึ มาตรฐานทางจรยิ ธรรมของผดู้ ารง มาตรา ๒๑๙ ให้ศาลรัฐธรรมนญู และองค์กรอสิ ระร่วมกัน ตาแหนง่ ทางการเมือง ข้าราชการ หรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั แต่ละประเภท กาหนดมาตรฐานทางจรยิ ธรรมขนึ้ ใชบ้ งั คับแก่ตลุ าการศาล ให้เป็นไปตามประมวลจรยิ ธรรมทกี่ าหนดข้ึน รฐั ธรรมนญู และผดู้ ารงตาแหนง่ ในองคก์ รอิสระ รวมท้งั ผวู้ ่าการตรวจ วรรคสอง มาตรฐานทางจรยิ ธรรมตามวรรคหน่งึ จะตอ้ งมี เงินแผน่ ดนิ และหัวหนา้ หน่วยงานธรุ การของศาลรัฐธรรมนญู และ กลไกและระบบในการดาเนินงานเพือ่ ให้การบังคับใชเ้ ปน็ ไปอย่างมี องคก์ รอิสระ และเม่อื ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วใหใ้ ชบ้ ังคับ ประสิทธภิ าพ รวมท้งั กาหนดขั้นตอนการลงโทษตามความรา้ ยแรง ได้ ทง้ั นี้ มาตรฐานทางจรยิ ธรรมดังกลา่ วต้องครอบคลมุ ถึงการ แห่งการกระทา รกั ษาเกียรตภิ มู แิ ละผลประโยชนข์ องชาติ และต้องระบุใหช้ ดั แจง้ วรรคสี่ การพจิ ารณา สรรหา กลน่ั กรอง หรอื แต่งต้งั บุคคลใด ด้วยวา่ การฝา่ ฝืนหรือไมป่ ฏบิ ตั ิตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมี เข้าสู่ตาแหน่งทีม่ สี ว่ นเกยี่ วข้องในการใชอ้ านาจรัฐ รวมทัง้ การ ลกั ษณะร้ายแรง โยกยา้ ย การเลอื่ นตาแหน่ง การเลอ่ื นเงนิ เดอื น และการลงโทษ ในการจดั ทามาตรฐานทางจรยิ ธรรมตามวรรคหนึ่ง ใหร้ ับฟัง บุคคลนัน้ จะตอ้ งเป็นไปตามระบบคณุ ธรรมและคานึงถึงพฤตกิ รรม ความคดิ เห็นของสภาผแู้ ทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรฐั มนตรี ทางจรยิ ธรรมของบคุ คลดังกลา่ วดว้ ย ประกอบดว้ ย และเมอ่ื ประกาศใช้บังคับแลว้ ใหใ้ ช้บงั คับแกส่ มาชิก

๑๔๑ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ ังคบั บัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผ้จู ดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สภาผ้แู ทนราษฎร สมาชกิ วุฒสิ ภา และคณะรัฐมนตรดี ้วย แตไ่ มห่ า้ ม สภาผ้แู ทนราษฎร วฒุ สิ ภา หรือคณะรฐั มนตรีทจ่ี ะกาหนดจริยธรรม เพม่ิ ขนึ้ ให้เหมาะสมกับการปฏบิ ตั หิ น้าท่ขี องตน แต่ต้องไม่ขัดหรอื แย้งกบั มาตรฐานทางจรยิ ธรรมตามวรรคหน่ึง และใหป้ ระกาศในราช กิจจานเุ บกษา มาตรา ๓๐๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ มาตรา ๒๓๕ วรรคสาม ใหม้ สี านกั งานคณะกรรมการการ มาตรา ๒๒๐ ใหอ้ งค์กรอิสระแตล่ ะแห่ง นอกจาก ทุจริตแหง่ ชาตมิ หี นว่ ยธุรการของคณะกรรมการป้องกันและ เลือกตัง้ เป็นหนว่ ยงานทเ่ี ปน็ อสิ ระในการบรหิ ารงานบคุ คล คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ มหี น่วยงานทร่ี ับผิดชอบงานธุรการ ปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติทเ่ี ปน็ อิสระ โดยมเี ลขาธกิ าร การงบประมาณ และการดาเนนิ การอน่ื ทั้งนี้ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ดาเนนิ การ และอานวยความสะดวก เพื่อใหอ้ งค์กรอสิ ระบรรลุ คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาตเิ ปน็ มาตรา ๒๔๒ วรรคหก ให้มสี านักงานผู้ตรวจการแผน่ ดนิ เป็น ภารกิจและหน้าทตี่ ามท่กี าหนดไวใ้ นรัฐธรรมนญู กฎหมาย และ ผบู้ ังคบั บญั ชาข้ึนตรงต่อประธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการ หนว่ ยงานทีเ่ ปน็ อิสระในการบรหิ ารงานบคุ คล การงบประมาณ และ เปน็ ไปตามมติหรอื แนวทางทอ่ี งค์กรอิสระกาหนด โดยให้มหี ัวหน้า ทจุ ริตแห่งชาติ การดาเนินการอ่ืน ท้ังนี้ ตามที่กฎหมายบญั ญัติ หน่วยงานคนหนงึ่ ซึ่งแตง่ ตัง้ โดยความเห็นชอบขององค์กรอสิ ระแต่ละ การแตง่ ตงั้ เลขาธกิ ารคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม มาตรา ๒๕๑ คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ องค์กรเปน็ ผ้รู บั ผิดชอบการบรหิ ารงานของหนว่ ยงานนั้น รับผดิ ชอบ การทุจรติ แห่งชาติ ต้องได้รบั ความเหน็ ชอบของคณะกรรมการปอ้ งกนั แหง่ ชาตมิ หี นว่ ยธรุ การของคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการ ขนึ้ ตรงต่อองคก์ รอิสระ ท้ังนี้ ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตแิ ละวุฒสิ ภา ทจุ ริตแห่งชาติทีเ่ ป็นอสิ ระ โดยมีเลขาธกิ ารคณะกรรมการป้องกันและ สานกั งานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเปน็ ผบู้ ังคบั บัญชาขน้ึ ตรงต่อประธาน แห่งชาติมีอสิ ระในการบรหิ ารงานบุคคล การงบประมาณ และการ กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ ดาเนนิ การอนื่ ท้ังนี้ ตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ การแตง่ ตัง้ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแหง่ ชาติ ต้องไดร้ ับความเหน็ ชอบของคณะกรรมการปอ้ งกนั และ ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติและวุฒิสภา ใหม้ ีสานกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติเปน็ หน่วยงานท่ีเปน็ อสิ ระในการบริหารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดาเนนิ การอน่ื ท้ังนี้ ตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๕๔ คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดินมหี น่วยธุรการ ของคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ทีเ่ ป็นอสิ ระ โดยมผี วู้ า่ การตรวจ เงินแผน่ ดนิ เปน็ ผู้บังคบั บัญชาขึ้นตรงตอ่ ประธานกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดิน ให้มีสานกั งานการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ เปน็ หน่วยงานท่ีเป็นอิสระใน การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดาเนินการอน่ื ทั้งน้ี ตามที่กฎหมายบัญญัติ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๔๒ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ ังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา สว่ นที่ ๔ คณะกรรมการการเลอื กต้งั มาตรา ๒๕๖ วรรคหก ให้มสี านกั งานคณะกรรมการสทิ ธิ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๓๖ วรรคหนึง่ คณะกรรมการการเลือกต้ัง มนุษยชนแห่งชาตเิ ป็นหน่วยงานท่เี ปน็ อสิ ระในการบรหิ ารงานบุคคล ประกอบดว้ ย ประธานกรรมการคนหนึง่ และกรรมการอ่ืนอกี ส่ีคน ซึ่ง การงบประมาณ และการดาเนนิ การอ่นื ทั้งน้ี ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๒๑ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ให้องค์กรอสิ ระร่วมมอื พระมหากษัตรยิ ์ทรงแต่งตง้ั ตามคาแนะนาของวุฒสิ ภา จากผซู้ งึ่ มคี วาม และช่วยเหลือกนั เพอ่ื ให้บรรลเุ ปา้ หมายในการปฏบิ ตั ิหน้าทขี่ องแต่ เป็นกลางทางการเมอื งและมีความซ่ือสตั ยส์ ุจรติ เปน็ ท่ปี ระจักษ์ ๑. คณะกรรมการการเลือกต้งั ละองค์กร และถา้ องคก์ รอสิ ระใดเห็นวา่ มีผู้กระทาการอันไม่ชอบ มาตรา ๒๒๙ วรรคหน่งึ ตรงกับความในมาตรา ๑๓๖ วรรค ดว้ ยกฎหมายแต่อย่ใู นหน้าท่แี ละอานาจขององค์กรอสิ ระอืน่ ใหแ้ จ้ง มาตรา ๑๔๐ กรรมการการเลือกตงั้ มีวาระการดารงตาแหน่ง หนึง่ ของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ องค์กรอิสระน้ันทราบเพ่อื ดาเนนิ การตามหนา้ ท่แี ละอานาจตอ่ ไป เจ็ดปนี บั แตว่ นั ท่ีพระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตั้ง และให้ดารงตาแหน่งได้ เพียงวาระเดยี ว มาตรา ๒๓๒ วรรคหนง่ึ กรรมการการเลอื กต้งั มีวาระการ ส่วนที่ ๒ ดารงตาแหน่งเจ็ดปนี บั แตว่ ันท่ีพระมหากษตั รยิ ์ทรงแต่งตั้ง และให้ คณะกรรมการการเลือกต้งั ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดยี ว มาตรา ๒๒๒ คณะกรรมการการเลอื กต้ังประกอบด้วย กรรมการจานวนเจด็ คนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคาแนะนา ของวฒุ สิ ภา จากบคุ คลดงั ต่อไปนี้ (๑) ผมู้ ีความร้คู วามเชย่ี วชาญในสาขาวชิ าการตา่ ง ๆ ทจ่ี ะยัง ประโยชน์แกก่ ารบริหารและจดั การการเลือกตั้งให้เปน็ ไปโดยสจุ รติ และเท่ยี งธรรม และมคี วามซอ่ื สตั ย์สจุ รติ เปน็ ท่ปี ระจักษ์ ซ่งึ ไดร้ ับการ สรรหาจากคณะกรรมการสรรหา จานวนห้าคน (๒) ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ดา้ น กฎหมาย มคี วามซือ่ สตั ยส์ จุ รติ เปน็ ทีป่ ระจักษ์ และเคยดารงตาแหนง่ ไม่ตา่ กวา่ อธบิ ดีผู้พพิ ากษา หรอื ตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธบิ ดีอยั การ มาแล้วเปน็ เวลาไมน่ อ้ ยกว่าหา้ ปี ซงึ่ ได้รับการคดั เลือกจากที่ประชมุ ใหญ่ศาลฎกี า จานวนสองคน ผซู้ ่งึ จะได้รบั การสรรหาเปน็ กรรมการการเลอื กตั้งตาม (๑) ต้องมีคณุ สมบัตติ ามมาตรา ๒๓๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) หรือ เป็นผทู้ างานหรอื เคยทางานในภาคประชาสงั คมมาแล้วเปน็ เวลาไม่ น้อยกวา่ ยี่สบิ ปี ทัง้ น้ี ตามทีค่ ณะกรรมการสรรหาประกาศกาหนด มาตรา ๒๒๓ กรรมการการเลอื กตั้งมีวาระการดารงตาแหน่ง เจด็ ปีนับแต่วันที่พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ตัง้ และใหด้ ารงตาแหนง่ ได้ เพยี งวาระเดียว

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๔๓ นาถะ ดวงวิชัย ผ้บู ังคบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา กรรมการการเลอื กตัง้ ซ่ึงพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ต้องอย่ใู น รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา ตาแหน่งเพือ่ ปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ต่อไปจนกว่ากรรมการการเลือกตัง้ ซึ่งไดร้ ับ แต่งตัง้ ใหม่จะเข้ารบั หน้าท่ี วรรคสอง กรรมการการเลอื กตงั้ ซงึ่ พ้นจากตาแหนง่ ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ วาระ ตอ้ งอยใู่ นตาแหนง่ เพือ่ ปฏิบตั ิหน้าทตี่ อ่ ไปจนกวา่ กรรมการการ มาตรา ๑๔๔ วรรคหน่ึง คณะกรรมการการเลือกต้ังเป็นผู้ เลือกตง้ั ซง่ึ ได้รับแต่งต้ังใหมจ่ ะเขา้ รบั หนา้ ที่ ในระหว่างท่กี รรมการการเลอื กตงั้ พน้ จากตาแหน่งกอ่ นวาระ ควบคุมและดาเนนิ การจดั หรือจดั ใหม้ ีการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทน และยังไม่มกี ารแต่งต้งั กรรมการการเลอื กตง้ั แทนตาแหน่งทวี่ ่าง ให้ ราษฎร สมาชกิ วฒุ สิ ภา สมาชกิ สภาทอ้ งถิ่น และผ้บู ริหารท้องถ่นิ มาตรา ๒๓๕ วรรคหนงึ่ คณะกรรมการการเลอื กตัง้ เป็นผู้ คณะกรรมการการเลือกต้ังเทา่ ทเ่ี หลืออย่ปู ฏิบตั หิ นา้ ทีต่ อ่ ไปได้ แต่ถา้ รวมทง้ั การออกเสยี งประชามติ ให้เปน็ ไปโดยสจุ รติ และเที่ยงธรรม ควบคุมและดาเนินการจดั หรือจดั ใหม้ ีการเลือกต้งั หรือการสรรหา มกี รรมการการเลือกตัง้ เหลืออยไู่ มถ่ ึงส่ีคนใหก้ ระทาไดแ้ ตเ่ ฉพาะการ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร สมาชกิ วฒุ ิสภา สมาชกิ สภาท้องถิ่น และ ทจี่ าเปน็ อันไม่อาจหลกี เลย่ี งได้ มาตรา ๑๔๕ คณะกรรมการการเลือกต้ังมอี านาจหน้าท่ี ผู้บรหิ ารท้องถิ่น แลว้ แตก่ รณี รวมท้ังการออกเสยี งประชามติ ให้ ดังตอ่ ไปนี้ เปน็ ไปโดยสจุ ริตและเทย่ี งธรรม มาตรา ๒๒๔ ให้คณะกรรมการการเลอื กตงั้ มีหน้าที่และ อานาจ ดังตอ่ ไปนี้ (๑) ออกประกาศกาหนดการทั้งหลายอนั จาเป็นแกก่ ารปฏบิ ตั ิ มาตรา ๒๓๖ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอานาจหนา้ ท่ี ตามกฎหมายตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง ดงั ต่อไปน้ี (๑) จดั หรอื ดาเนินการใหม้ กี ารจดั การเลือกตัง้ สมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎร การเลือกสมาชกิ วุฒิสภา การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภา (๒) มคี าส่งั ใหข้ า้ ราชการ พนกั งาน หรอื ลกู จา้ งของหน่วย (๑) ออกประกาศหรอื วางระเบยี บกาหนดการทั้งหลายอนั ทอ้ งถิ่นและผูบ้ ริหารท้องถิ่น และการออกเสยี งประชามติ ราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรอื ราชการสว่ นทอ้ งถิ่น หรอื จาเป็นแก่การปฏบิ ตั ิตามกฎหมายตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสอง เจ้าหนา้ ท่ีอื่นของรฐั ปฏบิ ตั กิ ารทัง้ หลายอันจาเป็นตามกฎหมายตาม รวมท้ังวางระเบยี บเกี่ยวกบั การหาเสยี งเลือกตงั้ และการดาเนนิ การ (๒) ควบคมุ ดแู ลการเลือกตงั้ และการเลอื กตาม (๑) ให้เป็นไป มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง ใด ๆ ของพรรคการเมือง ผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ และผู้มสี ิทธิเลือกต้งั โดยสุจรติ และเที่ยงธรรม และควบคุมดแู ลการออกเสยี งประชามติให้ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ไปโดยสจุ รติ และเทย่ี งธรรม และกาหนดหลักเกณฑ์การ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เพ่ือการน้ี ใหม้ อี านาจสืบสวนหรือไต่ (๓) สบื สวนสอบสวนเพื่อหาขอ้ เทจ็ จรงิ และวินิจฉยั ชข้ี าดปญั หา ดาเนนิ การของรัฐในการสนับสนุนให้การเลอื กต้งั มีความเสมอภาค สวนไดต้ ามทจ่ี าเป็นหรือท่ีเหน็ สมควร หรอื ข้อโตแ้ ย้งทีเ่ กดิ ข้ึนตามกฎหมายตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง และมโี อกาสทดั เทียมกนั ในการหาเสยี งเลือกตงั้ (๓) เมื่อผลการสืบสวนหรือไตส่ วนตาม (๒) หรือเมือ่ พบเหน็ (๔) ส่งั ใหม้ กี ารเลือกตงั้ ใหมห่ รือออกเสียงประชามตใิ หม่ใน (๒) วางระเบยี บเกี่ยวกับข้อห้ามในการปฏิบัตหิ น้าที่ของ การกระทาทมี่ เี หตอุ นั ควรสงสยั ว่าการเลอื กต้งั หรอื การเลอื กตาม (๑) หน่วยเลือกตง้ั ใดหน่วยเลอื กต้ังหนงึ่ หรอื ทุกหน่วยเลือกต้งั เมอื่ มี คณะรฐั มนตรแี ละรฐั มนตรีขณะอย่ใู นตาแหน่งเพอื่ ปฏิบัตหิ นา้ ที่ตาม มิไดเ้ ป็นไปโดยสจุ รติ หรอื เที่ยงธรรม หรือการออกเสยี งประชามติ หลกั ฐานอันควรเชือ่ ได้ว่าการเลือกตง้ั หรอื การออกเสยี งประชามติใน มาตรา ๑๘๑ โดยคานงึ ถงึ การรกั ษาประโยชนข์ องรฐั และคานึงถึง เปน็ ไปโดยมชิ อบดว้ ยกฎหมาย ให้มีอานาจสัง่ ระงับ ยับย้ัง แกไ้ ข หน่วยเลือกตัง้ นน้ั ๆ มไิ ดเ้ ปน็ ไปโดยสจุ รติ และเที่ยงธรรม ความสุจรติ เท่ียงธรรม ความเสมอภาค และโอกาสทัดเทียมกนั ใน เปลีย่ นแปลง หรอื ยกเลิกการเลอื กต้งั หรือการเลือก หรอื การออก การเลือกตั้ง เสยี งประชามติ และส่งั ให้ดาเนนิ การเลือกต้งั เลอื ก หรอื ออกเสียง (๕) ประกาศผลการเลือกตัง้ และการออกเสียงประชามติ ประชามติใหมใ่ นหน่วยเลือกตั้งบางหน่วย หรือทกุ หน่วย (๖) ดาเนนิ การอน่ื ตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ (๓) กาหนดมาตรการและการควบคมุ การบรจิ าคเงนิ ให้แก่ ในการปฏิบัตหิ นา้ ท่ี คณะกรรมการการเลือกต้งั มอี านาจเรียก พรรคการเมอื ง การสนบั สนุนทางการเงินโดยรฐั การใช้จา่ ยเงนิ ของ (๔) สงั่ ระงับการใช้สิทธสิ มคั รรับเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั รรบั เอกสารหรือหลักฐานท่เี ก่ยี วข้องจากบคุ คลใด หรือเรียกบคุ คลใดมาให้ พรรคการเมอื งและผสู้ มัครรบั เลือกต้งั รวมทง้ั การตรวจสอบบญั ชี เลอื กตัง้ หรือผสู้ มัครรับเลอื กตาม (๑) ไว้เปน็ การชัว่ คราวเปน็ ถ้อยคา ตลอดจนขอใหศ้ าล พนักงานอยั การ พนกั งานสอบสวน หน่วย ทางการเงนิ ของพรรคการเมอื งโดยเปิดเผย และการควบคมุ การ ระยะเวลาไมเ่ กินหน่งึ ปี เมอื่ มหี ลักฐานอันควรเช่ือไดว้ ่าผูน้ ้ันกระทา ราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวสิ าหกิจ หรือราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ จา่ ยเงนิ หรือรบั เงนิ เพ่ือประโยชนใ์ นการลงคะแนนเลอื กต้ัง การหรอื รเู้ ห็นกบั การกระทาของบุคคลอน่ื ท่มี ีลกั ษณะเป็นการทจุ ริต หรอื ทาใหก้ ารเลอื กตงั้ หรอื การเลอื กมิไดเ้ ป็นไปโดยสุจรติ หรอื เทยี่ ง ธรรม (๕) ดูแลการดาเนนิ งานของพรรคการเมอื งใหเ้ ป็นไปตาม กฎหมาย

๑๔๔ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ ังคบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ดาเนินการเพอื่ ประโยชนแ์ ห่งการปฏิบตั ิหน้าท่ี การสบื สวน สอบสวน (๔) มีคาสั่งใหข้ ้าราชการ พนกั งาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ (๖) หน้าท่ีและอานาจอนื่ ตามรัฐธรรมนญู หรอื กฎหมาย หรือวนิ จิ ฉยั ชีข้ าด หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวสิ าหกจิ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหนา้ ที่ ในการสบื สวนหรือไต่สวนตาม (๒) คณะกรรมการการเลอื กตั้ง คณะกรรมการการเลอื กต้งั มีอานาจแต่งตัง้ บคุ คล คณะบุคคล อ่ืนของรฐั ปฏิบตั กิ ารทั้งหลายอันจาเปน็ ตามกฎหมายตามมาตรา ๒๓๕ จะมอบหมายให้กรรมการการเลอื กตัง้ แตล่ ะคนดาเนนิ การ หรือ หรอื ผูแ้ ทนองค์การเอกชน เพ่อื ปฏบิ ตั หิ น้าท่ตี ามทม่ี อบหมาย วรรคสอง มอบหมายให้คณะบุคคลดาเนินการภายใตก้ ารกากับของกรรมการ มาตรา ๑๔๖ ข้าราชการ พนกั งาน หรือลูกจา้ งของหน่วย (๕) สบื สวนสอบสวนเพ่ือหาขอ้ เทจ็ จรงิ และวนิ จิ ฉัยช้ีขาด การเลอื กตง้ั ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารที่คณะกรรมการการเลือกตง้ั ราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวิสาหกจิ หรอื ราชการส่วนท้องถนิ่ หรือ ปญั หาหรอื ข้อโตแ้ ยง้ ทเ่ี กิดขน้ึ ตามกฎหมายตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสอง กาหนดก็ได้ เจา้ หนา้ ท่ีอืน่ ของรัฐ มีหนา้ ทตี่ ้องปฏบิ ัติตามคาส่งั ของคณะกรรมการ (๖) สงั่ ให้มกี ารเลือกตั้งใหมห่ รือออกเสียงประชามตใิ หม่ใน การใช้อานาจตาม (๓) ใหก้ รรมการการเลอื กตัง้ แตล่ ะคนซง่ึ การเลือกตั้งที่สั่งการตามมาตรา ๑๔๕ หน่วยเลอื กตัง้ ใดหนว่ ยเลือกตั้งหนง่ึ หรือทกุ หน่วยเลอื กตง้ั เมอื่ มี พบเห็นการกระทาความผิดมอี านาจกระทาได้สาหรบั หนว่ ยเลือกตงั้ มาตรา ๑๔๗ คณะกรรมการการเลอื กตง้ั ตอ้ งดาเนนิ การ หลกั ฐานอันควรเช่อื ไดว้ ่าการเลอื กตงั้ หรือการออกเสยี งประชามติใน หรอื เขตเลือกตั้งท่พี บเห็นการกระทาความผดิ ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ์ สบื สวนสอบสวนเพื่อหาขอ้ เทจ็ จรงิ โดยพลันเมื่อมกี รณใี ดกรณหี นึง่ หนว่ ยเลือกตั้งนน้ั ๆ มไิ ดเ้ ป็นไปโดยสุจรติ และเทย่ี งธรรม วิธีการ และเงอ่ื นไขที่คณะกรรมการการเลอื กต้งั กาหนด ดงั ต่อไปนี้ (๗) ประกาศผลการเลอื กต้ัง ผลการสรรหา และผลการออก (๑) ผู้มสี ทิ ธิเลอื กตงั้ ผสู้ มคั รรับเลอื กต้งั หรอื พรรคการเมืองซึ่ง เสียงประชามติ มีสมาชกิ สมัครรับเลือกต้งั ในเขตเลอื กตัง้ ใดเขตเลอื กตั้งหนึง่ คดั คา้ นวา่ (๘) สง่ เสรมิ และสนับสนนุ หรอื ประสานงานกบั หน่วยราชการ การเลอื กต้งั ในเขตเลือกตัง้ นนั้ เป็นไปโดยไมถ่ ูกต้องหรอื ไมช่ อบดว้ ย หนว่ ยงานของรัฐ รัฐวิสาหกจิ หรือราชการสว่ นท้องถิ่น หรอื สนับสนุน กฎหมาย องค์การเอกชน ในการใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนเกย่ี วกบั การปกครอง (๓) ปรากฏหลกั ฐานอันควรเชื่อไดว้ า่ การออกเสยี งประชามติ ระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริม มไิ ดเ้ ปน็ ไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือผู้มสี ทิ ธเิ ลอื กตัง้ คดั ค้านวา่ การ การมีสว่ นรว่ มทางการเมืองของประชาชน ออกเสียงประชามติในหนว่ ยเลือกตั้งใดเปน็ ไปโดยไม่ถูกตอ้ งหรอื ไม่ (๙) ดาเนินการอ่ืนตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ชอบดว้ ยกฎหมาย ในการปฏิบัตหิ นา้ ที่ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ มอี านาจเรยี ก เม่ือดาเนินการตามวรรคหนึ่งเสรจ็ แลว้ คณะกรรมการการ เอกสารหรอื หลกั ฐานทเ่ี ก่ียวข้องจากบคุ คลใด หรอื เรียกบคุ คลใดมาให้ เลือกตัง้ ต้องพิจารณาวนิ จิ ฉยั สงั่ การโดยพลัน ถ้อยคา ตลอดจนขอให้พนักงานอยั การ พนักงานสอบสวน หนว่ ย มาตรา ๑๑๓ เพ่ือให้การเลือกต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ราชการ หนว่ ยงานของรฐั รัฐวิสาหกิจ หรือราชการสว่ นท้องถนิ่ เป็นไปด้วยความสจุ รติ และเท่ียงธรรม ใหร้ ัฐสนับสนุนการเลือกต้ัง ดาเนนิ การเพอ่ื ประโยชนแ์ หง่ การปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ การสบื สวน สอบสวน หรอื สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรในเรอื่ งดงั ตอ่ ไปน้ี วินจิ ฉยั ช้ีขาด (๑) จดั ที่ปดิ ประกาศและทีต่ ดิ แผ่นป้ายเก่ยี วกับการเลอื กต้ังใน คณะกรรมการการเลอื กตง้ั มอี านาจแต่งต้ังบุคคล คณะบุคคล สาธารณสถานซง่ึ เป็นของรัฐ หรือผูแ้ ทนองคก์ ารเอกชน เพ่ือปฏบิ ัติหนา้ ท่ีตามทม่ี อบหมาย (๒) พมิ พแ์ ละจดั สง่ เอกสารเกย่ี วกับการเลอื กตง้ั ไปใหผ้ มู้ ีสทิ ธิ มาตรา ๒๓๘ คณะกรรมการการเลือกตงั้ ตอ้ งดาเนินการ ออกเสียงเลอื กตงั้ สบื สวนสอบสวนเพ่อื หาข้อเทจ็ จรงิ โดยพลันเมอ่ื มีกรณีใดกรณหี นง่ึ (๓) จัดหาสถานท่หี าเสยี งเลอื กต้งั ให้แก่ผ้สู มคั รรบั เลอื กตงั้ ดงั ต่อไปนี้

๑๔๕ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บงั คบั บญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (๔) จัดสรรเวลาออกอากาศทางวทิ ยกุ ระจายเสียงและวทิ ยุ (๑) ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ผู้สมคั รรับเลอื กต้ัง หรือพรรคการเมอื ง โทรทศั นใ์ หแ้ ก่พรรคการเมอื ง ซึ่งมีสมาชิกสมคั รรบั เลอื กตง้ั ในเขตเลือกตงั้ ใดเขตเลอื กต้ังหน่ึง (๕) กจิ การอนื่ ทีค่ ณะกรรมการการเลือกตงั้ ประกาศกาหนด คดั คา้ นวา่ การเลือกตัง้ ในเขตเลือกตง้ั นน้ั เป็นไปโดยไมถ่ ูกตอ้ งหรอื ไม่ การดาเนนิ การตาม (๑) (๔) และ (๕) โดยผู้สมคั รรบั เลือกต้งั ชอบดว้ ยกฎหมาย พรรคการเมอื ง หรือบุคคลอื่นนอกจากรฐั จะกระทามไิ ด้ (๒) ผเู้ ข้ารบั การสรรหา หรือสมาชกิ ขององค์กรตามมาตรา หลกั เกณฑ์ เงอ่ื นไข และวิธกี ารดาเนินการตามมาตรานี้ ให้ ๑๑๔ วรรคหน่ึง คัดค้านวา่ การสรรหาสมาชิกวุฒิสภาน้นั เปน็ ไปโดย เปน็ ไปตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลอื กตั้งสมาชิก ไมถ่ ูกต้องหรอื ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ซง่ึ ต้องให้โอกาสโดยเทา่ เทียมกัน (๔) ปรากฏหลกั ฐานอนั ควรเชือ่ ไดว้ า่ การออกเสียงประชามติ มาตรา ๑๒๙ ภายใตบงั คบั บทบัญญัติแหงรฐั ธรรมนญู น้หี ลัก มิไดเ้ ปน็ ไปโดยชอบดว้ ยกฎหมาย หรือผูม้ สี ิทธเิ ลือกต้ังคดั คา้ นวา่ การ เกณฑและวธิ กี ารเลอื กตง้ั สมาชกิ วฒุ ิสภาใหเปนไปตามกฎหมาย ออกเสียงประชามติในหน่วยเลอื กต้ังใดเปน็ ไปโดยไมถ่ กู ตอ้ งหรอื ไม่ ประกอบรฐั ธรรมนญู วาดวยการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผแู ทนราษฎรและ ชอบด้วยกฎหมาย สมาชกิ วุฒสิ ภา เม่ือดาเนนิ การตามวรรคหนึ่งเสร็จแลว้ คณะกรรมการการ เพือ่ ประโยชนในการแนะนาผสู มัครรบั เลอื กตงั้ โดยเทาเทียมกนั เลอื กต้งั ตอ้ งพจิ ารณาวินิจฉยั สั่งการโดยพลัน ใหรัฐดาเนินการดงั ตอไปนี้ (๑) จดั ใหมีการปดประกาศและตดิ แผนปายเกี่ยวกบั การ เลือกตัง้ และผสู มคั รรับเลอื กตัง้ (๒) พมิ พและจดั สงเอกสารเกยี่ วกบั การเลอื กต้ังและผสู มคั รรับ เลอื กตงั้ ไปใหผมู สี ิทธอิ อกเสยี งเลือกตั้ง (๓) จดั หาสถานท่ี และจดั สรรเวลาออกอากาศทางวทิ ยกุ ระจาย เสยี งและวทิ ยโุ ทรทศั นเพือ่ แนะนาผสู มคั รรับเลอื กตงั้ (๔) กจิ การอื่นทีค่ ณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประกาศกาหนด หลกั เกณฑและวธิ ีการดาเนนิ การตามวรรคสอง ใหเปนไปตาม กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผแู ทน ราษฎรและสมาชกิ วุฒิสภา การแนะนาผสู มคั รรบั เลือกตัง้ โดยผสู มคั รรับเลอื กตง้ั เองหรอื บุคคลอ่ืนจะกระทาไดเฉพาะเทาท่ีมบี ญั ญตั ไิ วในกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนญู วาดวยการเลอื กตัง้ สมาชิกสภาผแู ทนราษฎรและสมาชิก วุฒิสภาเทาน้ัน

๑๔๖ นาถะ ดวงวิชยั ผ้บู ังคบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง ประธานกรรมการการเลือกตั้งเปน็ ผรู้ กั ษา มาตรา ๒๓๕ วรรคสอง ประธานกรรมการการเลือกต้ังเป็น การตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลือกต้งั สมาชกิ สภา ผรู้ กั ษาการตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการเลอื กตั้ง ผู้แทนราษฎรและสมาชิกวฒุ สิ ภา กฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วย สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรและการไดม้ าซง่ึ สมาชิกวฒุ ิสภา พระราช พรรคการเมอื ง กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการออกเสยี ง บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยพรรคการเมือง พระราชบญั ญตั ิ ประชามติ และกฎหมายวา่ ดว้ ยการเลือกต้งั สมาชิกสภาทอ้ งถน่ิ หรือ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลอื กต้ัง พระราชบญั ญตั ิ ผู้บรหิ ารทอ้ งถิ่น และเป็นนายทะเบยี นพรรคการเมือง ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการออกเสยี งประชามติ และกฎหมายวา่ ดว้ ย การเลอื กตัง้ สมาชิกสภาท้องถ่นิ หรือผบู้ รหิ ารท้องถิน่ และเป็นนาย ทะเบียนพรรคการเมอื ง มาตรา ๒๓๗ ผ้สู มัครรบั เลือกตั้งผใู้ ดกระทาการ กอ่ หรอื สนับสนุนใหผ้ ู้อื่นกระทาการอันเปน็ การฝ่าฝืนพระราชบัญญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ การไดม้ าซึ่งสมาชกิ วฒุ สิ ภา หรือระเบยี บหรอื ประกาศของ คณะกรรมการการเลือกต้งั ซง่ึ มผี ลทาให้การเลอื กตงั้ มไิ ด้เปน็ ไปโดย สจุ รติ และเทีย่ งธรรม ให้เพิกถอนสทิ ธเิ ลือกตั้งของบคุ คลดงั กลา่ ว ตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและการไดม้ าซ่งึ สมาชิกวุฒิสภา ถา้ การกระทาของบคุ คลตามวรรคหน่ึง ปรากฏหลักฐานอัน ควรเชื่อไดว้ ่าหวั หน้าพรรคการเมอื งหรอื กรรมการบรหิ ารของพรรค การเมืองผู้ใด มสี ่วนรเู้ ห็น หรือปลอ่ ยปละละเลย หรอื ทราบถึงการ กระทานัน้ แล้ว มไิ ดย้ บั ยัง้ หรือแกไ้ ขเพือ่ ใหก้ ารเลอื กตงั้ เป็นไปโดย สุจรติ และเทีย่ งธรรม ให้ถือวา่ พรรคการเมอื งนั้นกระทาการเพือ่ ให้ ไดม้ าซ่ึงอานาจในการปกครองประเทศโดยวธิ กี ารซึง่ มไิ ด้เป็นไปตาม วิถีทางทีบ่ ัญญัติไวใ้ นรฐั ธรรมนญู นต้ี ามมาตรา ๖๘ และในกรณที ศี่ าล รัฐธรรมนญู มคี าสงั่ ใหย้ ุบพรรคการเมอื งน้นั ใหเ้ พิกถอนสทิ ธิเลือกตั้ง ของหวั หน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมอื ง ดงั กลา่ วมีกาหนดเวลาหา้ ปีนบั แตว่ นั ท่ีมีคาสง่ั ใหย้ ุบพรรคการเมือง

๑๔๗ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บงั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๔๗ วรรคหนงึ่ คณะกรรมการการเลือกตงั้ ต้อง มาตรา ๒๓๘ วรรคหนงึ่ คณะกรรมการการเลือกตงั้ ต้อง มาตรา ๒๒๕ กอ่ นประกาศผลการเลือกต้ังหรือการเลือก ถ้า ดาเนนิ การสบื สวนสอบสวนเพ่อื หาขอ้ เทจ็ จรงิ โดยพลนั เมอื่ มีกรณใี ดกรณี ดาเนนิ การสืบสวนสอบสวนเพอ่ื หาขอ้ เท็จจริงโดยพลนั เม่ือมกี รณใี ด มีหลักฐานอันควรเชอื่ ไดว้ ่าการเลอื กต้งั หรอื การเลอื กน้ันมไิ ดเ้ ป็นไป หนึ่ง ดงั ตอ่ ไปนี้ กรณีหน่งึ ดงั ตอ่ ไปน้ี โดยสุจรติ หรอื เที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการการเลือกต้ังมีอานาจสัง่ (๒) ปรากฏหลกั ฐานอนั ควรเช่ือไดว้ ่ากอ่ นได้รบั เลือกต้ัง สมาชกิ สภา (๓) ปรากฏหลกั ฐานอันควรเชื่อไดว้ ่า ก่อนไดร้ ับเลือกต้ังหรือสรร ให้มกี ารเลอื กตั้งหรอื การเลือกใหมใ่ นหน่วยเลือกต้ังหรอื เขตเลือกตัง้ ผู้แทนราษฎร สมาชกิ วุฒสิ ภา สมาชิกสภาท้องถนิ่ หรือผบู้ รหิ ารทอ้ งถ่นิ หา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา สมาชกิ สภาทอ้ งถิ่น หรอื น้ัน ถา้ ผู้กระทาการนั้นเป็นผสู้ มคั รรับเลอื กตง้ั หรอื ผสู้ มัครรับเลอื ก ผใู้ ดได้กระทาการใด ๆ โดยไมส่ ุจรติ เพอื่ ใหต้ นเองไดร้ บั เลอื กตงั้ หรอื ได้รบั ผู้บริหารท้องถ่นิ ผใู้ ดได้กระทาการใด ๆ โดยไมส่ ุจริตเพอื่ ใหต้ นเองไดร้ บั แลว้ แตก่ รณี หรือรู้เห็นกับการกระทาของบุคคลอนื่ ใหค้ ณะกรรมการ เลือกตง้ั มาโดยไมส่ ุจรติ โดยผลของการท่บี คุ คลหรอื พรรคการเมอื งใดได้ เลือกตงั้ หรือสรรหา หรือได้รับเลือกตง้ั หรอื สรรหามาโดยไมส่ ุจริตโดยผล การเลอื กต้งั ส่งั ระงับสิทธสิ มคั รรับเลือกต้ังของผูน้ ้ันไว้เปน็ การชวั่ คราว กระทาลงไป ท้ังน้ี อนั เปน็ การฝ่าฝืนกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ย ของการทบ่ี ุคคลหรอื พรรคการเมอื งใดไดก้ ระทาลงไปโดยฝา่ ฝืน ตามมาตรา ๒๒๔ (๔) การเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวฒุ ิสภา กฎหมาย หลกั เกณฑต์ ามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ คาส่งั ตามวรรคหนึง่ ใหเ้ ปน็ ทสี่ ุด ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมือง หรอื กฎหมายวา่ ดว้ ยการ เลือกตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เลอื กตัง้ สมาชิกสภาทอ้ งถ่นิ หรอื ผบู้ รหิ ารท้องถ่นิ พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยพรรคการเมือง หรือ กฎหมายว่าดว้ ยการเลือกตั้งสมาชิกสภาทอ้ งถ่ินหรอื ผู้บรหิ ารท้องถิ่น มาตรา ๒๓๙ วรรคหนึ่ง ในกรณที ีค่ ณะกรรมการการ เลือกต้ังวินจิ ฉยั ใหม้ ีการเลอื กต้ังใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกต้ังก่อน การประกาศผลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิก วุฒิสภา ให้คาวนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการการเลอื กตง้ั เปน็ ท่ีสดุ มาตรา ๒๓๙ วรรคสอง ในกรณที ป่ี ระกาศผลการเลอื กตงั้ แลว้ มาตรา ๒๒๖ เม่ือมกี ารดาเนินการตามมาตรา ๒๒๕ หรอื ถา้ คณะกรรมการการเลือกต้ังเหน็ ว่าควรให้มกี ารเลอื กตั้งใหมห่ รือเพิก ภายหลังการประกาศผลการเลือกต้งั หรอื การเลอื กแลว้ มหี ลักฐาน ถอนสิทธเิ ลอื กตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชิกวุฒสิ ภาผู้ใด ให้ อนั ควรเช่ือได้วา่ ผ้สู มัครรับเลอื กตงั้ หรอื ผ้สู มัครรบั เลือกผ้ใู ดกระทา ย่นื คารอ้ งต่อศาลฎีกาเพ่ือวินิจฉัย เมอ่ื ศาลฎีกาได้รับคารอ้ งของคณะ การทุจรติ ในการเลือกตงั้ หรอื การเลือกหรอื รเู้ หน็ กับการกระทาของ กรรมการการเลือกต้ังแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชิก บุคคลอ่นื ใหค้ ณะกรรมการการเลอื กต้ังยน่ื คาร้องตอ่ ศาลฎีกาเพือ่ ส่งั วฒุ ิสภาผนู้ น้ั จะปฏิบัตหิ น้าทตี่ ่อไปไม่ได้ จนกว่าศาลฎีกาจะมคี าส่ังยก เพิกถอนสิทธสิ มคั รรับเลอื กตั้ง หรอื เพกิ ถอนสทิ ธเิ ลือกตั้งของผ้นู ้นั คาร้อง ในกรณีที่ศาลฎีกามคี าสั่งใหม้ ีการเลือกต้ังใหมใ่ นเขตเลือกตั้งใด การพิจารณาของศาลฎกี าตามวรรคหน่ึง ใหน้ าสานวนการ หรือเพกิ ถอนสทิ ธิเลอื กต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภา สืบสวนหรอื ไตส่ วนของคณะกรรมการการเลอื กตง้ั เปน็ หลกั ในการ ผูใ้ ด ใหส้ มาชิกภาพของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ สิ ภาใน พจิ ารณา และเพือ่ ประโยชนแ์ ห่งความยตุ ิธรรม ให้ศาลมีอานาจส่งั ไต่ เขตเลอื กต้ังนั้นสนิ้ สดุ ลง สวนข้อเทจ็ จรงิ และพยานหลกั ฐานเพม่ิ เตมิ ได้ วรรคสาม ในกรณีที่บคุ คลตามวรรคสองปฏิบตั หิ นา้ ทีต่ อ่ ไป ในกรณที ีศ่ าลฎกี าพิพากษาว่าบุคคลตามวรรคหนึ่งกระทา ไม่ได้ มิให้นบั บคุ คลดงั กล่าวเขา้ ในจานวนรวมของสมาชกิ เทา่ ทม่ี อี ยู่ ความผดิ ตามทถ่ี กู ร้อง ให้ศาลฎีกาสง่ั เพกิ ถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของสภาผแู้ ทนราษฎรหรือวฒุ ิสภา แลว้ แต่กรณี หรือเพกิ ถอนสทิ ธิเลอื กต้งั ของผู้นนั้ เป็นเวลาสบิ ปี ทง้ั น้ี ตาม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook