๔๗ นาถะ ดวงวชิ ัย ผูบ้ ังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มาตรา ๑๐๒ วรรคสอง การคานวณเกณฑ์จานวนราษฎรตอ่ มาตรา ๙๔ วรรคสอง การคานวณเกณฑจ์ านวนราษฎรต่อ มาตรา ๘๖ การกาหนดจานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรท่ี สมาชกิ หนึ่งคน ใหค้ านวณจากจานวนราษฎรท้งั ประเทศตามหลักฐาน สมาชิกหน่งึ คน ใหค้ านวณจากจานวนราษฎรท้ังประเทศตามหลกั ฐาน แตล่ ะจงั หวดั จะพงึ มีและการแบง่ เขตเลอื กต้ัง ใหด้ าเนินการตาม การทะเบยี นราษฎรทป่ี ระกาศในปีสดุ ทา้ ยกอ่ นปีท่ีมกี ารเลอื กตั้ง เฉลย่ี การทะเบียนราษฎรท่ีประกาศในปสี ดุ ทา้ ยก่อนปที ่มี ีการเลอื กต้ัง วิธกี าร ดังต่อไปน้ี ด้วยจานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรสรี่ อ้ ยคน เฉลีย่ ด้วยจานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรสามร้อยเจด็ สิบห้าคน (๑) ให้ใช้จานวนราษฎรทงั้ ประเทศตามหลักฐานการทะเบียน วรรคสาม จานวนสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรที่แตล่ ะจังหวดั จะ วรรคสาม จานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรท่แี ตล่ ะจังหวัดจะพึง ราษฎรทป่ี ระกาศในปสี ุดท้ายก่อนปีท่มี กี ารเลือกต้ัง เฉลย่ี ด้วย พงึ มี ให้นาจานวนราษฎรต่อสมาชกิ หน่งึ คนท่ีคานวณไดต้ ามวรรคสอง มี ใหน้ าจานวนราษฎรตอ่ สมาชิกหนงึ่ คนท่คี านวณไดต้ ามวรรคสอง จานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรสามรอ้ ยหา้ สบิ คน จานวนท่ไี ด้รบั ให้ มาเฉลยี่ จานวนราษฎรในจงั หวัดนน้ั จังหวัดใดมีราษฎรไมถ่ งึ เกณฑ์ มาเฉลย่ี จานวนราษฎรในจงั หวดั นน้ั จงั หวัดใดมรี าษฎรไมถ่ ึงเกณฑ์ ถือวา่ เป็นจานวนราษฎรตอ่ สมาชกิ หนงึ่ คน จานวนราษฎรต่อสมาชกิ หน่ึงคนตามวรรคสอง ให้มสี มาชกิ สภาผู้แทน จานวนราษฎรตอ่ สมาชกิ หนึ่งคนตามวรรคสอง ให้มสี มาชกิ สภา (๒) จังหวดั ใดมีราษฎรไมถ่ งึ เกณฑจ์ านวนราษฎรตอ่ สมาชิก ราษฎรในจงั หวัดนน้ั ไดห้ นง่ึ คน จงั หวัดใดมรี าษฎรเกินเกณฑจ์ านวน ผแู้ ทนราษฎรในจงั หวัดนั้นได้หนงึ่ คน จังหวัดใดมีราษฎรเกนิ เกณฑ์ หนึง่ คนตาม (๑) ให้มสี มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรในจงั หวดั นั้นไดห้ น่งึ ราษฎรตอ่ สมาชกิ หน่งึ คน ใหม้ ีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวดั นน้ั จานวนราษฎรตอ่ สมาชกิ หน่งึ คน ใหม้ ีสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรใน คน โดยใหถ้ ือเขตจงั หวดั เปน็ เขตเลือกต้ัง เพมิ่ ขึน้ อกี หนง่ึ คนทกุ จานวนราษฎรที่ถึงเกณฑจ์ านวนราษฎรตอ่ จังหวดั นนั้ เพ่มิ ข้นึ อกี หน่งึ คนทุกจานวนราษฎรที่ถงึ เกณฑ์จานวน (๓) จังหวดั ใดมรี าษฎรเกนิ จานวนราษฎรต่อสมาชกิ หนึ่งคน ให้ สมาชิกหนึง่ คน ราษฎรตอ่ สมาชกิ หนึ่งคน มีสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจังหวดั นั้นเพ่ิมขึน้ อีกหน่ึงคนทุกจานวน วรรคสี่ เม่อื ไดจ้ านวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรของแตล่ ะ วรรคสี่ เมื่อได้จานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรของแต่ละ ราษฎรท่ถี ึงเกณฑจ์ านวนราษฎรตอ่ สมาชิกหนึ่งคน จังหวัดตามวรรคสามแล้ว ถ้าจานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรยังไม่ จงั หวดั ตามวรรคสามแลว้ ถ้าจานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรยังไมค่ รบ (๔) เมอ่ื ไดจ้ านวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรของแตล่ ะจงั หวดั ครบสรี่ อ้ ยคน จงั หวดั ใดมเี ศษท่ีเหลอื จากการคานวณตามวรรคสาม สามร้อยเจ็ดสบิ ห้าคน จงั หวัดใดมเี ศษที่เหลือจากการคานวณตาม ตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถา้ จานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ มากท่สี ุด ให้จงั หวัดนนั้ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพม่ิ ขนึ้ อกี หนึ่งคน วรรคสามมากท่สี ดุ ให้จังหวัดน้ันมสี มาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก ครบสามรอ้ ยห้าสบิ คน จังหวดั ใดมเี ศษท่เี หลือจากการคานวณตาม และให้เพิม่ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรตามวิธีการดงั กล่าวแก่จังหวัดทมี่ ี หนึง่ คน และใหเ้ พิม่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรตามวธิ กี ารดงั กลา่ วแก่ (๓) มากทีส่ ุด ใหจ้ งั หวัดนน้ั มีสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเพิม่ ขึน้ อกี เศษท่เี หลือจากการคานวณตามวรรคสามในลาดับรองลงมาตามลาดบั จังหวัดทีม่ เี ศษทเี่ หลอื จากการคานวณตามวรรคสามในลาดับรองลงมา หน่งึ คน และใหเ้ พิม่ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรตามวิธกี ารดังกล่าวแก่ จนครบจานวนส่รี อ้ ยคน ตามลาดับจนครบจานวนสามร้อยเจด็ สบิ ห้าคน จงั หวดั ทม่ี ีเศษที่เหลือจากการคานวณนัน้ ในลาดบั รองลงมา มาตรา ๑๐๓ จงั หวดั ใดมีการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร วรรคห้า จงั หวดั ใดมีการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรได้ ตามลาดบั จนครบจานวนสามร้อยหา้ สิบคน ได้ไมเ่ กนิ หน่งึ คน ให้ถอื เขตจงั หวดั เปน็ เขตเลอื กตงั้ และจังหวดั ใดมี ไม่เกนิ หน่งึ คน ใหถ้ อื เขตจังหวัดเปน็ เขตเลือกต้ัง และจงั หวดั ใดมีการ (๕) จังหวัดใดมีการเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรไดเ้ กิน การเลือกต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรไดเ้ กินหนง่ึ คน ให้แบ่งเขต เลอื กต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไดเ้ กินหนงึ่ คน ให้แบ่งเขตจงั หวัด หนึง่ คน ให้แบง่ เขตจังหวัดออกเปน็ เขตเลอื กต้งั เท่าจานวน จังหวัดออกเปน็ เขตเลือกตัง้ มจี านวนเทา่ จานวนสมาชกิ สภาผู้แทน ออกเปน็ เขตเลอื กตั้งมีจานวนเท่าจานวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรท่ี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรท่ีพึงมี โดยต้องแบง่ พ้นื ท่ขี องเขตเลอื ก ราษฎรที่พึงมี โดยจัดให้แตล่ ะเขตเลอื กตัง้ มีจานวนสมาชิกสภาผ้แู ทน พึงมี โดยจดั ใหแ้ ต่ละเขตเลือกต้งั มจี านวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ต้ังแต่ละเขตให้ตดิ ตอ่ กนั และต้องจัดให้มจี านวนราษฎรในแตล่ ะเขต ราษฎรหน่ึงคน หนึง่ คน และในกรณีท่ีจงั หวดั ใดมกี ารแบ่งเขตเลือกต้ังมากกวา่ หน่ึง ใกล้เคยี งกนั เขต ต้องแบ่งพ้ืนท่ขี องเขตเลือกต้ังแต่ละเขตให้ตดิ ต่อกนั และตอ้ งให้ จานวนราษฎรในแตล่ ะเขตใกลเ้ คยี งกนั
๔๘ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ ังคับบญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จังหวัดใดมีการแบง่ เขตเลอื กต้ังมากกวา่ หน่ึงเขต ตอ้ งแบง่ พื้นท่ี (มาตรา ๙๔ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ โดยรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั ร มาตรา ๘๗ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรแบบ ของเขตเลือกตง้ั แตล่ ะเขตให้ติดตอ่ กัน และต้องให้จานวนราษฎรในแต่ ไทย แกไ้ ขเพิม่ เตมิ (ฉบบั ที่ ๑) พุทธศกั ราช ๒๕๕๔) แบง่ เขตเลอื กตง้ั ตอ้ งเป็นผซู้ ึง่ พรรคการเมืองท่ีตนเปน็ สมาชกิ สง่ สมัคร รบั เลือกตงั้ และจะสมคั รรับเลอื กตัง้ เกินหน่งึ เขตมไิ ด้ ละเขตใกล้เคียงกนั เมือ่ มีการสมัครรบั เลือกต้ังแลว้ ผสู้ มคั รรับเลือกต้ังหรือพรรค มาตรา ๑๐๘ พรรคการเมืองทีส่ ่งสมาชิกเขา้ เปน็ ผู้สมัครรับ มาตรา ๑๐๓ พรรคการเมอื งทสี่ ่งสมาชกิ เข้าเปน็ ผ้สู มัครรับ การเมืองจะถอนการสมคั รรบั เลอื กตัง้ หรอื เปลย่ี นแปลงผสู้ มคั รรบั เลือกต้งั ไดเ้ ฉพาะกรณผี สู้ มัครรบั เลือกตงั้ ตายหรือขาดคณุ สมบัติหรอื เลือกต้งั ในการเลอื กตงั้ แบบแบง่ เขตเลอื กตั้งในเขตเลือกตั้งใด จะส่ง เลอื กตงั้ ในการเลอื กต้ังในเขตเลือกตัง้ ใด ต้องสง่ สมาชิกเขา้ สมคั รรับ มลี ักษณะตอ้ งห้าม และต้องกระทากอ่ นปิดการรบั สมคั รรับเลือกตั้ง ไดค้ นเดยี วในเขตเลือกตัง้ น้ัน เลอื กตง้ั ให้ครบจานวนสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรทีจ่ ะพึงมีได้ในเขต มาตรา ๘๘ ในการเลือกตัง้ ท่วั ไป ใหพ้ รรคการเมอื งท่สี ง่ ผู้สมคั รรับเลอื กตั้ง แจง้ รายช่ือบคุ คลซ่ึงพรรคการเมืองนัน้ มมี ติว่าจะ เลอื กตั้งนนั้ และจะส่งเกินจานวนดังกลา่ วมิได้ เสนอใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรเพ่ือพิจารณาให้ความเหน็ ชอบแต่งตั้งเปน็ นายกรัฐมนตรีไม่เกนิ สามรายชื่อตอ่ คณะกรรมการการเลือกต้ังก่อน เมื่อพรรคการเมอื งใดส่งสมาชิกเขา้ สมัครรบั เลือกต้ังครบจานวน ปดิ การรับสมคั รรับเลือกตั้ง และใหค้ ณะกรรมการการเลือกต้งั ประกาศรายช่ือบคุ คลดังกลา่ วใหป้ ระชาชนทราบ และใหน้ าความใน ตามวรรคหนึ่งแลว้ แมภ้ ายหลงั จะมีจานวนลดลงจนไม่ครบจานวน ไม่ มาตรา ๘๗ วรรคสอง มาใชบ้ งั คับโดยอนุโลม ว่าดว้ ยเหตุใด ให้ถือวา่ พรรคการเมืองน้ันส่งสมาชิกเขา้ สมคั รรบั พรรคการเมอื งจะไม่เสนอรายชอ่ื บคุ คลตามวรรคหนึง่ ก็ได้ มาตรา ๘๙ การเสนอชอ่ื บุคคลตามมาตรา ๘๘ ต้องเปน็ ไป เลอื กตงั้ ครบจานวนแล้ว ตามหลักเกณฑ์ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ต้องมีหนงั สือยินยอมของบุคคลซ่งึ ไดร้ ับการเสนอชือ่ โดยมี เมื่อพรรคการเมืองใดส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตงั้ แลว้ พรรค รายละเอยี ดตามทคี่ ณะกรรมการการเลือกตัง้ กาหนด (๒) ผไู้ ด้รับการเสนอชื่อตอ้ งเปน็ ผมู้ ีคุณสมบตั ิและไมม่ ลี กั ษณะ การเมอื งน้นั หรือผสู้ มคั รรบั เลือกตั้งของพรรคการเมืองนน้ั จะถอนการ ต้องหา้ มท่ีจะเป็นรฐั มนตรีตามมาตรา ๑๖๐ และไม่เคยทาหนังสือ ยนิ ยอมตาม (๑) ให้พรรคการเมืองอน่ื ในการเลอื กตงั้ คราวนนั้ สมคั รรบั เลอื กตั้งหรอื เปลยี่ นแปลงผสู้ มคั รรับเลอื กตงั้ มไิ ด้
๔๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ ังคับบญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ การเสนอชอ่ื บคุ คลใดท่ีมไิ ด้เป็นไปตามวรรคหนง่ึ ให้ถือวา่ ไม่มี การเสนอชือ่ บุคคลน้ัน มาตรา ๙๙ วรรคหนึง่ การเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มาตรา ๙๕ การเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชี แบบบญั ชรี ายช่ือ ใหผ้ มู้ สี ิทธิเลอื กตง้ั มสี ทิ ธิออกเสยี งลงคะแนนเลอื ก รายชอ่ื ให้ผมู้ สี ิทธเิ ลือกตง้ั มสี ทิ ธอิ อกเสียงลงคะแนนเลอื กบญั ชี บญั ชีรายชอ่ื ผสู้ มคั รรบั เลอื กต้งั ที่พรรคการเมืองจัดทาข้ึน โดยให้เลอื ก รายชื่อผสู้ มคั รรับเลือกตัง้ ทีพ่ รรคการเมืองจัดทาข้ึน โดยให้ผมู้ ีสิทธิ บัญชีรายชือ่ ใดบญั ชีรายชอ่ื หนงึ่ เพียงบัญชเี ดียว และให้ถือเขตประเทศ เลือกต้งั มสี ทิ ธอิ อกเสยี งลงคะแนนเลอื กบัญชีรายช่อื ใดบัญชีรายช่อื เปน็ เขตเลือกต้งั หน่ึงเพียงบัญชีเดยี ว และใหถ้ ือเขตประเทศเป็นเขตเลอื กต้งั มาตรา ๑๐๔ วรรคหนึง่ ในการเลอื กตง้ั ทั่วไป ให้ผ้มู สี ทิ ธิ เลือกตั้งมสี ิทธิออกเสยี งลงคะแนนเลอื กบญั ชรี ายชื่อผสู้ มคั รรับเลอื กต้งั (มาตรา ๙๕ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ทีพ่ รรคการเมืองจัดทาขึ้นเพียงบญั ชเี ดยี ว และมสี ทิ ธิออกเสยี ง ไทย แก้ไขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๔) ลงคะแนนเลอื กผสู้ มคั รรบั เลือกต้งั แบบแบ่งเขตเลือกตัง้ ในเขตเลือกตง้ั นั้นได้หนึ่งคน มาตรา ๙๙ วรรคสอง บัญชีรายชือ่ ผสู้ มัครรบั เลือกต้งั ตาม มาตรา ๙๖ บัญชีรายชอื่ ผ้สู มัครรบั เลอื กต้งั ตามมาตรา ๙๕ ให้ มาตรา ๙๐ พรรคการเมืองใดส่งผูส้ มคั รรับเลอื กตั้งแบบแบง่ วรรคหนง่ึ ให้พรรคการเมืองจัดทาขึน้ พรรคการเมืองละหน่ึงบัญชี ไม่ พรรคการเมืองจดั ทาขน้ึ พรรคการเมืองละหนง่ึ บญั ชี ไม่เกนิ บญั ชลี ะ เขตเลือกตัง้ แลว้ ให้มสี ิทธสิ ง่ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตัง้ แบบบัญชีรายช่ือได้ เกินบัญชีละหนงึ่ ร้อยคน และใหย้ นื่ ตอ่ คณะกรรมการการเลอื กตง้ั ก่อน หนงึ่ ร้อยย่ีสบิ หา้ คน และให้ย่ืนตอ่ คณะกรรมการการเลอื กตั้งก่อนวัน การสง่ ผสู้ มัครรบั เลอื กต้ังแบบบญั ชรี ายชื่อ ใหพ้ รรคการเมอื ง วันเปดิ สมคั รรบั เลอื กตัง้ สมาชกิ ซง่ึ มาจากการเลือกตงั้ แบบแบง่ เขต เปดิ สมคั รรบั เลือกต้ังสมาชิกซ่งึ มาจากการเลอื กต้ังแบบแบง่ เขต จัดทาบัญชีรายชอื่ พรรคละหน่งึ บญั ชี โดยผสู้ มัครรับเลือกตงั้ ของแต่ เลือกต้งั เลือกตงั้ ละพรรคตอ้ งไมซ่ ้ากัน และไมซ่ า้ กบั รายชื่อผสู้ มัครรับเลอื กต้งั แบบ วรรคสาม รายชอ่ื ของบุคคลในบญั ชรี ายชอ่ื ตามวรรคหน่ึง บญั ชีรายชื่อผสู้ มัครรบั เลอื กต้งั ของพรรคการเมืองใดท่ีไดย้ ื่นไว้ แบง่ เขตเลอื กตง้ั โดยส่งบญั ชีรายชอ่ื ดงั กลา่ วใหค้ ณะกรรมการการ จะต้อง แลว้ ถ้าปรากฏวา่ กอ่ นหรอื ในวันเลอื กต้งั มีเหตุไม่ว่าด้วยประการใดท่ี เลอื กต้งั กอ่ นปิดการรบั สมคั รรบั เลือกต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบ (๑) ประกอบดว้ ยรายชอ่ื ผสู้ มัครรบั เลือกตง้ั จากภูมภิ าคต่าง ๆ มผี ลทาให้บญั ชรี ายช่อื ของพรรคการเมืองนน้ั มีจานวนผู้สมคั รรับ แบ่งเขตเลอื กตัง้ อย่างเปน็ ธรรม เลอื กต้งั แบบบัญชรี ายช่อื ไมค่ รบตามจานวนทีพ่ รรคการเมืองนัน้ ได้ การจดั ทาบญั ชรี ายชอ่ื ตามวรรคสอง ตอ้ งให้สมาชกิ ของพรรค (๒) ไม่ซา้ กับรายชือ่ ในบัญชีท่พี รรคการเมอื งอนื่ จัดทาขึ้น และ ย่นื ไว้ ใหถ้ ือวา่ บัญชีรายชอื่ ของพรรคการเมืองนัน้ มีจานวนผสู้ มคั รรับ การเมอื งมสี ่วนร่วมในการพจิ ารณาดว้ ย โดยตอ้ งคานึงถงึ ผู้สมคั รรับ ไม่ซ้ากับรายชอ่ื ของผูส้ มคั รรับเลอื กตั้งแบบแบ่งเขตเลอื กตั้งตาม เลอื กตง้ั แบบบญั ชรี ายช่อื เท่าท่ีมอี ยู่ และในกรณีนใี้ ห้ถอื วา่ สภา เลอื กตั้งจากภมู ิภาคต่าง ๆ และความเทา่ เทยี มกนั ระหว่างชายและ มาตรา ๑๐๒ และ ผู้แทนราษฎรประกอบดว้ ยสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรเท่าทีม่ อี ยู่ หญงิ (๓) จัดทารายช่ือเรียงตามลาดับหมายเลข มาตรา ๙๗ การจดั ทาบญั ชผี ูร้ บั สมคั รรับเลอื กตัง้ ของพรรค การเมืองสาหรบั การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชี รายชือ่ ให้ดาเนินการดงั ต่อไปนี้ (๑) บัญชรี ายชือ่ ผสู้ มัครรบั เลอื กตงั้ ตอ้ งประกอบดว้ ยรายชอื่ ผูส้ มคั รรับเลอื กตงั้ จากภมู ภิ าคตา่ ง ๆ อยา่ งเปน็ ธรรม และตอ้ ง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๕๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู งั คบั บัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ คานึงถึงโอกาส สดั สว่ นที่เหมาะสมและความเท่าเทียมกนั ระหว่างหญงิ และชาย (๒) รายชอ่ื ในบญั ชตี อ้ งไมซ่ า้ กบั บญั ชีรายชือ่ ทีพ่ รรคการเมอื ง อืน่ จดั ทาขึน้ และไมซ่ ้ากับรายชอื่ ของผู้สมัครรบั เลอื กตัง้ แบบแบง่ เขต เลือกต้งั ตามมาตรา ๙๔ และ (๓) จดั ทารายชื่อเรียงตามลาดบั หมายเลข (มาตรา ๙๖ และมาตรา ๙๗ แก้ไขเพมิ่ เติมโดยรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย แก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ท่ี ๑) พุทธศกั ราช ๒๕๕๔) มาตรา ๑๐๐ บัญชีรายช่ือของพรรคการเมืองใดได้คะแนน มาตรา ๙๘ การคานวณสดั สว่ นผสู้ มคั รรับเลือกตั้งตามบัญชี มาตรา ๙๑ การคานวณหาสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบัญชรี ายช่ือ เสียงน้อยกว่ารอ้ ยละหา้ ของจานวนคะแนนเสยี งรวมทง้ั ประเทศ ให้ถอื รายชื่อของแตล่ ะพรรคการเมอื งทีจ่ ะไดร้ บั เลือกตัง้ ใหน้ าคะแนนท่ี ของแต่ละพรรคการเมืองใหด้ าเนนิ การตามหลกั เกณฑ์ ดังต่อไปน้ี ว่าไม่มผี ้ใู ดในบัญชีน้นั ไดร้ บั เลือกตงั้ และมใิ หน้ าคะแนนเสียงดังกล่าว แต่ละพรรคการเมืองไดร้ บั การเลอื กต้ังมารวมกนั ทัง้ ประเทศแล้ว (๑) นาคะแนนรวมท้ังประเทศทีพ่ รรคการเมืองทกุ พรรคทสี่ ง่ มารวมคานวณเพ่อื หาสัดส่วนจานวนสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรตาม คานวณเพอ่ื แบ่งจานวนผทู้ จ่ี ะไดร้ บั เลือกของแต่ละพรรคการเมอื ง ผ้สู มคั รรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชอ่ื ไดร้ ับจากการเลอื กตง้ั แบบแบง่ วรรคสอง เปน็ สดั ส่วนที่สัมพันธก์ ันโดยตรงกบั จานวนคะแนนรวมข้างต้น โดย เขตเลือกตง้ั หารด้วยหา้ ร้อยอันเปน็ จานวนสมาชิกทง้ั หมดของสภา วธิ ีคานวณสดั สว่ นคะแนนเสยี งทบ่ี ัญชีรายชอื่ ของพรรคการเมอื ง ให้ผู้สมคั รรบั เลอื กตั้งซ่ึงมรี ายชอ่ื ในบญั ชรี ายชื่อของแต่ละพรรค ผแู้ ทนราษฎร แตล่ ะพรรคได้รบั อนั จะถือว่าบุคคลซ่ึงมีรายชอื่ อยใู่ นบญั ชีของพรรค การเมืองไดร้ บั เลอื กตามเกณฑ์คะแนนทคี่ านวณได้เรยี งตามลาดบั (๒) นาผลลพั ธ์ตาม (๑) ไปหารจานวนคะแนนรวมทง้ั ประเทศ การเมืองน้นั ได้รบั เลือกต้ังตามสดั สว่ นทค่ี านวณได้ ให้เปน็ ไปตาม หมายเลขในบัญชีรายช่ือของพรรคการเมืองนั้น ทัง้ นี้ ตามหลักเกณฑ์ ของพรรคการเมืองแตล่ ะพรรคทไี่ ดร้ ับจากการเลอื กต้ังสมาชกิ สภา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขทกี่ าหนดในกฎหมายประกอบ และวิธกี ารที่บญั ญัตไิ ว้ในพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วย ผู้แทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั ทุกเขต จานวนที่ไดร้ ับให้ถือเป็น รัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรและสมาชกิ การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและการไดม้ าซ่งึ สมาชกิ จานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรที่พรรคการเมอื งนนั้ จะพงึ มไี ด้ วุฒสิ ภา วฒุ ิสภา (๓) นาจานวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทพ่ี รรคการเมอื งจะพึง ใหถ้ อื วา่ ผู้สมคั รรบั เลือกตง้ั ซง่ึ มรี ายชื่ออย่ใู นบญั ชีรายช่ือของแต่ ให้นาบทบญั ญัตมิ าตรา ๙๔ วรรคหก มาใชบ้ ังคับกบั การนับ มีไดต้ าม (๒) ลบดว้ ยจานวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขต ละพรรคการเมอื ง ไดร้ บั เลือกตง้ั เรยี งตามลาดบั จากหมายเลขต้นบญั ชี คะแนนการเลอื กตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายช่อื ดว้ ย เลอื กตั้งทั้งหมดทพ่ี รรคการเมืองนน้ั ไดร้ ับเลอื กต้งั ในทกุ เขตเลอื กตง้ั ลงไปตามจานวนสดั สว่ นสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรท่ีคานวณได้สาหรบั โดยอนโุ ลม ท้งั นี้ คณะกรรมการการเลอื กต้งั อาจกาหนดใหม้ ีการ ผลลพั ธค์ อื จานวนสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทีพ่ รรค บัญชรี ายชือ่ นัน้ รวมผลการนับคะแนนเบอ้ื งต้นทจ่ี งั หวดั กอ่ นกไ็ ด้ การเมืองน้นั จะไดร้ บั มาตรา ๑๐๔ วรรคห้า การนับคะแนนและการประกาศ (๔) ถ้าพรรคการเมอื งใดมีผไู้ ดร้ ับเลอื กตัง้ เป็นสมาชกิ สภาผ้แู ทน คะแนนที่บญั ชีรายชอ่ื แตล่ ะบญั ชีไดร้ บั ในแตล่ ะเขตเลือกตงั้ ตามมาตรา (มาตรา ๙๘ แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร ราษฎรแบบแบ่งเขตเลอื กต้ังเท่ากบั หรือสงู กว่าจานวนสมาชิกสภา ๑๐๓ ให้นาบทบญั ญัติวรรคสม่ี าใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ไทย แก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบบั ท่ี ๑) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔) ผแู้ ทนราษฎรท่ีพรรคการเมอื งนั้นจะพงึ มีไดต้ าม (๒) ให้พรรค การเมืองน้นั มสี มาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจานวนทไี่ ด้รับจากการ
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๕๑ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ ังคับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผจู้ ัดทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ เลอื กตงั้ แบบแบง่ เขตเลือกตง้ั และไม่มสี ทิ ธิไดร้ ับการจัดสรรสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรแบบบัญชรี ายชอื่ และให้นาจานวนสมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎรแบบบัญชีรายชอ่ื ทั้งหมดไปจัดสรรใหแ้ กพ่ รรคการเมอื ง ทีม่ ีจานวนสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั ตา่ กวา่ จานวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรท่พี รรคการเมืองน้ันจะพงึ มไี ด้ตาม (๒) ตามอัตราสว่ น แตต่ อ้ งไมม่ ผี ลให้พรรคการเมอื งใดดังกลา่ วมี สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเกินจานวนท่จี ะพึงมไี ดต้ าม (๒) (๕) เม่ือไดจ้ านวนผไู้ ดร้ ับเลอื กตง้ั แบบบญั ชรี ายช่อื ของแต่ละ พรรคการเมืองแลว้ ให้ผสู้ มัครรับเลอื กต้งั ตามลาดบั หมายเลขใน บัญชีรายช่อื สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชื่อของพรรค การเมืองนัน้ เป็นผไู้ ดร้ ับเลือกตั้งเปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในกรณที ผ่ี สู้ มัครรบั เลือกตั้งผใู้ ดตายภายหลังวนั ปดิ รับสมคั รรับ เลือกตัง้ แตก่ อ่ นเวลาปดิ การลงคะแนนในวันเลอื กต้งั ใหน้ าคะแนนท่ี มผี ลู้ งคะแนนใหม้ าคานวณตาม (๑) และ (๒) ด้วย การนับคะแนน หลักเกณฑ์และวิธีการคานวณ การคิดอตั ราส่วน และการประกาศผลการเลือกต้งั ให้เป็นไปตามพระราชบัญญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มาตรา ๙๒ เขตเลอื กต้ังทไ่ี มม่ ีผสู้ มคั รรับเลือกต้ังรายใดไดร้ บั คะแนนเสยี งเลอื กตงั้ มากกว่าคะแนนเสยี งที่ไมเ่ ลือกผู้ใดเป็น สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรในเขตเลอื กต้ังนัน้ ให้จัดให้มีการเลอื กตง้ั ใหม่ และมิให้นบั คะแนนท่ผี สู้ มัครรับเลอื กต้ังแต่ละคนได้รับไปใช้ใน การคานวณตามมาตรา ๙๑ ในกรณีเช่นน้ี ให้คณะกรรมการการ เลอื กตง้ั ดาเนินการให้มกี ารรบั สมคั รผสู้ มคั รรับเลอื กตั้งใหม่ โดย ผูส้ มคั รรบั เลือกตั้งเดิมทกุ รายไม่มสี ทิ ธิสมัครรับเลอื กตัง้ ในการ เลือกตัง้ ท่ีจะจดั ขนึ้ ใหม่นน้ั มาตรา ๙๓ ในการเลอื กตัง้ ท่ัวไป ถา้ ต้องมีการเลือกตงั้ แบบ แบง่ เขตเลอื กต้ังใหม่ในบางเขตหรอื บางหนว่ ยเลือกตงั้ ก่อนประกาศ ผลการเลือกตง้ั หรอื การเลือกต้งั ยงั ไม่แลว้ เสรจ็ หรือยังไม่มกี าร ประกาศผลการเลอื กตง้ั ครบทกุ เขตเลือกตง้ั ไมว่ ่าด้วยเหตใุ ด การ
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๕๒ นาถะ ดวงวิชัย ผ้บู งั คบั บญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๐๕ บุคคลผ้มู คี ณุ สมบตั ิดงั ตอ่ ไปน้ี เปน็ ผ้มู ีสิทธเิ ลอื กตง้ั ผจู้ ัดทา (๑) มสี ัญชาตไิ ทย แต่บุคคลผ้มู ีสญั ชาติไทยโดยการแปลงสญั ชาติ มาตรา ๙๙ บุคคลผมู้ คี ุณสมบัติดงั ต่อไปน้ี เป็นผมู้ ีสทิ ธเิ ลือกตั้ง ตอ้ งได้สญั ชาติไทยมาแลว้ ไม่น้อยกว่าหา้ ปี (๑) มีสัญชาตไิ ทย แต่บคุ คลผมู้ ีสญั ชาติไทยโดยการแปลงสญั ชาติ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ (๒) มีอายุไม่ต่ากว่าสิบแปดปีบรบิ รู ณ์ในวนั ที่ ๑ มกราคมของปที มี่ ี ตอ้ งไดส้ ัญชาตไิ ทยมาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปี การเลอื กต้งั และ (๒) มีอายไุ มต่ ่ากว่าสิบแปดปบี รบิ รู ณ์ในวนั ที่ ๑ มกราคมของปี คานวณจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แตล่ ะพรรคการเมืองพงึ มี (๓) มีช่ืออยู่ในทะเบียนบา้ นในเขตเลอื กตัง้ มาแลว้ เป็นเวลาไม่นอ้ ย ท่มี ีการเลอื กตงั้ และ และจานวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรแบบบัญชรี ายช่ือทแ่ี ตล่ ะพรรค กวา่ เก้าสบิ วนั นับถึงวันเลอื กตั้ง (๓) มีชื่ออย่ใู นทะเบียนบ้านในเขตเลือกตง้ั มาแลว้ เป็นเวลาไม่ การเมอื งพึงไดร้ ับ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขท่ี ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตั้งซ่ึงอยนู่ อกเขตเลือกตง้ั ตามมาตรา ๑๐๓ ท่ีตนมชี ่ือ น้อยกว่าเก้าสบิ วนั นับถึงวันเลอื กตงั้ บัญญตั ไิ ว้ในพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลอื กตง้ั อยู่ในทะเบยี นบ้าน หรือมชี ่ืออยูใ่ นทะเบียนบ้านในเขตเลือกต้ังเป็นเวลา ผู้มีสิทธเิ ลือกต้ังซ่งึ อยู่นอกเขตเลอื กต้ังทตี่ นมีช่ืออยใู่ นทะเบียน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร น้อยกวา่ เก้าสบิ วันนับถงึ วันเลือกตั้ง หรือมถี ่ินที่อยู่นอกราชอาณาจักร บ้าน หรือมชี ื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลอื กตงั้ เป็นเวลาน้อยกว่าเก้า ย่อมมีสทิ ธิออกเสยี งลงคะแนนเลือกตัง้ ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ์ วธิ ีการ และ สิบวนั นับถึงวันเลือกต้ัง หรือมีถิน่ ท่ีอยู่นอกราชอาณาจกั ร ย่อมมีสิทธิ ในกรณีท่ผี ลการคานวณตามวรรคหน่งึ ทาให้จานวนสมาชิก ออกเสยี งลงคะแนนเลือกต้ัง ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงอ่ื นไขที่ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบัญชรี ายชอื่ ของพรรคการเมอื งใดลดลง ให้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอื่ ของพรรคการเมอื งนน้ั ใน ลาดบั ทา้ ยตามลาดับพน้ จากตาแหนง่ มาตรา ๙๔ ภายในหนง่ึ ปหี ลงั จากวันเลือกตง้ั อนั เปน็ การ เลอื กตงั้ ทวั่ ไป ถ้าตอ้ งมีการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรแบบ แบง่ เขตเลอื กต้งั ในเขตเลอื กตง้ั ใดขนึ้ ใหม่ เพราะเหตุท่ีการเลือกต้งั ใน เขตเลือกตัง้ น้ันมิไดเ้ ปน็ ไปโดยสจุ รติ และเทย่ี งธรรม ให้นาความใน มาตรา ๙๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม การเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแทนตาแหนง่ ทวี่ า่ งไมว่ ่า ดว้ ยเหตใุ ดภายหลงั พ้นเวลาหนึ่งปนี ับแตว่ ันเลือกตงั้ ท่วั ไป มิให้มี ผลกระทบกบั การคานวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่แี ตล่ ะพรรค การเมืองจะพึงมตี ามมาตรา ๙๑ มาตรา ๙๕ บคุ คลผมู้ คี ณุ สมบัติดงั ตอ่ ไปนี้ เปน็ ผมู้ ีสิทธิ เลอื กต้ัง (๑) มีสัญชาตไิ ทย แต่บุคคลผูม้ สี ัญชาตไิ ทยโดยการแปลง สญั ชาติ ตอ้ งได้สญั ชาตไิ ทยมาแลว้ ไมน่ ้อยกว่าหา้ ปี (๒) มีอายไุ มต่ า่ กว่าสิบแปดปใี นวนั เลือกตั้ง (๓) มชี ่ืออยใู่ นทะเบียนบา้ นในเขตเลอื กตั้งมาแลว้ เปน็ เวลาไม่ น้อยกว่าเก้าสบิ วนั นบั ถงึ วันเลือกตงั้ ผูม้ สี ิทธเิ ลอื กตั้งซ่งึ อยู่นอกเขตเลอื กตั้งท่ีตนมีชื่ออยู่ในทะเบยี น บ้าน หรือมชี ื่ออยใู่ นทะเบยี นบ้านในเขตเลอื กตง้ั เปน็ เวลาน้อยกวา่ เก้าสิบวนั นับถงึ วนั เลอื กตั้ง หรือมีถนิ่ ท่ีอยู่นอกราชอาณาจักร จะขอ ลงทะเบียนเพอ่ื ออกเสยี งลงคะแนนเลอื กตง้ั นอกเขตเลอื กตั้ง ณ
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๕๓ นาถะ ดวงวชิ ัย ผ้บู งั คบั บัญชากลุม่ งานประธานรัฐสภา เงื่อนไขท่ีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาบัญญัติ บญั ญตั ไิ ว้ในพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลอื กตั้ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๐๖ บคุ คลผู้มีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนใี้ นวนั เลือกตง้ั เป็น สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและการได้มาซึง่ สมาชิกวฒุ สิ ภา บคุ คลต้องหา้ มมิให้ใช้สทิ ธิเลอื กตั้ง คอื สถานที่ และตามวนั เวลา วธิ ีการ และเงื่อนไขทบี่ ญั ญตั ไิ ว้ในพระราช มาตรา ๑๐๐ บุคคลผมู้ ลี ักษณะดงั ตอ่ ไปนีใ้ นวนั เลือกตง้ั เปน็ บัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน (๑) วกิ ลจรติ หรอื จติ ฟนั่ เฟอื นไมส่ มประกอบ บุคคลต้องหา้ มมิใหใ้ ช้สทิ ธิเลอื กต้ัง ราษฎรกไ็ ด้ (๒) เป็นภกิ ษุ สามเณร นักพรต หรือนกั บวช (๓) ตอ้ งคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคาสงั่ ทีช่ อบด้วย (๑) เป็นภิกษุ สามเณร นกั พรต หรือนกั บวช ผมู้ สี ทิ ธิเลอื กตัง้ ซึง่ ไมไ่ ปใช้สทิ ธิเลอื กต้ังโดยมไิ ดแ้ จ้งเหตอุ ัน กฎหมาย (๒) อยใู่ นระหวา่ งถูกเพกิ ถอนสทิ ธเิ ลอื กต้งั สมควรตามพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลอื กต้ัง (๔) อยใู่ นระหวา่ งถูกเพกิ ถอนสิทธเิ ลือกตงั้ (๓) ต้องคุมขังอย่โู ดยหมายของศาลหรอื โดยคาสั่งท่ีชอบดว้ ย สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร อาจถกู จากดั สทิ ธิบางประการตามท่ี กฎหมาย กฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๑๐๗ บุคคลผูม้ ีคณุ สมบตั ดิ งั ต่อไปน้ี เปน็ ผมู้ ีสิทธสิ มคั ร (๔) วิกลจริต หรอื จิตฟ่ันเฟือนไมส่ มประกอบ รบั เลือกตั้งเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มาตรา ๙๖ บุคคลผมู้ ีลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ีในวนั เลอื กต้ัง เปน็ มาตรา ๑๐๑ บุคคลผมู้ ีคณุ สมบตั ดิ งั ต่อไปน้ี เปน็ ผู้มสี ทิ ธิ บคุ คลตอ้ งหา้ มมิใหใ้ ชส้ ทิ ธเิ ลอื กตัง้ (๑) มสี ญั ชาติไทยโดยการเกิด สมัครรบั เลอื กต้ังเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๒) มีอายไุ มต่ ่ากว่ายสี่ บิ ห้าปบี ริบรู ณใ์ นวันเลือกตงั้ (๑) เป็นภกิ ษุ สามเณร นกั พรต หรือนกั บวช (๓) สาเรจ็ การศึกษาไมต่ ่ากว่าปรญิ ญาตรีหรือเทียบเท่า เวน้ แต่ (๑) มสี ญั ชาติไทยโดยการเกิด (๒) อยู่ในระหว่างถกู เพกิ ถอนสิทธเิ ลือกตงั้ ไม่ว่าคดีน้ันจะถงึ เคยเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชกิ วุฒิสภา (๒) มีอายุไมต่ ่ากวา่ ย่สี บิ หา้ ปบี รบิ ูรณ์ในวันเลอื กตัง้ ท่ีสดุ แล้วหรือไม่ (๔) เป็นสมาชกิ พรรคการเมืองใดพรรคการเมอื งหนึ่งแต่เพยี ง (๓) เปน็ สมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหน่ึงแต่เพียง (๓) ตอ้ งคมุ ขงั อยู่โดยหมายของศาลหรอื โดยคาสงั่ ทช่ี อบด้วย พรรคเดยี วนับถึงวันสมคั รรบั เลอื กตัง้ เปน็ เวลาติดตอ่ กนั ไม่น้อยกว่า พรรคเดียวเปน็ เวลาติดตอ่ กันไม่นอ้ ยกว่าเก้าสบิ วนั นับถึงวันเลือกตงั้ กฎหมาย เก้าสิบวนั เว้นแต่ในกรณที ่มี ีการเลอื กตัง้ ทั่วไปเพราะเหตุยบุ สภา ตอ้ งเป็นสมาชิก (๔) วิกลจริตหรือจติ ฟ่นั เฟอื นไมส่ มประกอบ (๕) ผู้สมคั รรบั เลอื กต้ังแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั ต้องมลี กั ษณะอยา่ ง พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดยี วเป็นเวลา ใดอยา่ งหนงึ่ ดังตอ่ ไปน้ี ด้วย คอื ตดิ ตอ่ กนั ไมน่ ้อยกว่าสามสบิ วนั นบั ถงึ วันเลอื กตั้ง มาตรา ๙๗ บุคคลผมู้ คี ณุ สมบตั ิดงั ตอ่ ไปน้ี เปน็ ผมู้ ีสทิ ธสิ มัคร (๔) ผสู้ มคั รรบั เลอื กตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตัง้ ตอ้ งมลี ักษณะอยา่ ง รบั เลือกตง้ั เป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (ก) มีช่ืออยใู่ นทะเบียนบ้านในจงั หวดั ท่ีสมัครรับเลอื กต้ัง ใดอย่างหนึ่งดงั ตอ่ ไปน้ดี ้วย มาแลว้ เป็นเวลาตดิ ตอ่ กนั ไม่นอ้ ยกวา่ หน่ึงปีนับถงึ วนั สมคั รรบั เลอื กตง้ั (๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกดิ (ก) มชี ่ืออยใู่ นทะเบยี นบ้านในจงั หวดั ทสี่ มคั รรบั เลอื กตง้ั (๒) มอี ายุไมต่ า่ กวา่ ยสี่ บิ ห้าปีนับถงึ วนั เลอื กตงั้ มาแลว้ เป็นเวลาติดตอ่ กนั ไม่น้อยกว่าหา้ ปีนบั ถึงวันสมัครรบั เลอื กตง้ั (๓) เปน็ สมาชกิ พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียง พรรคการเมืองเดยี ว เป็นเวลาติดตอ่ กนั ไมน่ อ้ ยกว่าเก้าสิบวันนบั ถงึ (ข) เปน็ บุคคลซ่ึงเกดิ ในจงั หวัดทส่ี มคั รรับเลือกต้ัง วนั เลอื กตัง้ เวน้ แตใ่ นกรณที ม่ี ีการเลอื กตั้งทัว่ ไปเพราะเหตยุ ุบสภา ระยะเวลาเก้าสิบวนั ดงั กลา่ วให้ลดลงเหลอื สามสบิ วัน (๔) ผูส้ มคั รรับเลอื กตง้ั แบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ต้องมลี ักษณะ อย่างใดอย่างหนงึ่ ดังต่อไปนี้ด้วย (ก) มชี ื่ออย่ใู นทะเบยี นบ้านในจงั หวัดท่สี มคั รรบั เลือกตัง้ มาแล้วเป็นเวลาตดิ ตอ่ กันไม่น้อยกวา่ ห้าปนี ับถึงวนั สมัครรับเลอื กตง้ั (ข) เป็นบคุ คลซงึ่ เกดิ ในจังหวดั ทส่ี มัครรับเลอื กต้งั
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๕๔ นาถะ ดวงวิชยั ผูบ้ งั คับบัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา (ข) เคยเป็นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจังหวัดทส่ี มคั รรบั รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ เลือกตง้ั หรือเคยเป็นสมาชกิ สภาท้องถ่นิ หรอื ผบู้ รหิ ารท้องถ่นิ ใน รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ จังหวัดนน้ั (ค) เคยศกึ ษาในสถานศกึ ษาท่ตี ั้งอยใู่ นจังหวดั ท่ีสมคั รรับ เลือกต้งั เปน็ เวลาตดิ ตอ่ กันไม่นอ้ ยกว่าห้าปีการศึกษา (ค) เคยศึกษาในสถานศึกษาทตี่ ้ังอย่ใู นจังหวดั ทีส่ มัครรบั (ค) เป็นบคุ คลซึ่งเกิดในจังหวดั ทสี่ มัครรบั เลอื กตง้ั เลือกตง้ั เปน็ เวลาตดิ ต่อกนั ไม่นอ้ ยกวา่ หา้ ปีการศกึ ษา (ง) เคยศกึ ษาในสถานศึกษาที่ตัง้ อย่ใู นจังหวัดทสี่ มัครรบั (ง) เคยรับราชการหรือเคยมีช่ืออย่ใู นทะเบียนบ้านในจังหวดั เลือกตง้ั เปน็ เวลาตดิ ตอ่ กนั ไม่นอ้ ยกว่าสองปีการศกึ ษา ที่สมคั รรับเลอื กตั้งเปน็ เวลาตดิ ต่อกันไม่นอ้ ยกว่าหา้ ปี (ง) เคยรับราชการหรือปฏิบตั หิ น้าทใ่ี นหนว่ ยงานของรัฐ (จ) เคยรบั ราชการหรือเคยมีชอ่ื อยใู่ นทะเบียนบา้ นใน หรอื เคยมชี อ่ื อยใู่ นทะเบียนบา้ นในจังหวดั ทีส่ มคั รรบั เลือกต้งั แล้วแต่ จงั หวัดท่ีสมคั รรับเลอื กตัง้ เป็นเวลาติดตอ่ กันไม่นอ้ ยกวา่ สองปี (๕) ยกเลิก กรณี เป็นเวลาติดตอ่ กนั ไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปี (๖) คุณสมบัติอนื่ ตามท่บี ญั ญตั ิไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรและการไดม้ า ซึ่งสมาชิกวฒุ สิ ภา มาตรา ๑๐๙ บุคคลผู้มลี ักษณะดงั ต่อไปน้ี เปน็ บคุ คลตอ้ งหา้ ม (มาตรา ๑๐๑ (๕) ยกเลกิ โดยรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั ร มาตรา ๙๘ บุคคลผูม้ ีลักษณะดงั ต่อไปนี้ เป็นบุคคลตอ้ งหา้ มมิ มิใหใ้ ช้สทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ ไทย แกไ้ ขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๑) พทุ ธศักราช ๒๕๕๔) ใหใ้ ช้สิทธิสมคั รรบั เลอื กตง้ั เป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๑) ตดิ ยาเสพตดิ ให้โทษ มาตรา ๔๘ ผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการ (๑) ติดยาเสพตดิ ให้โทษ (๒) เป็นบุคคลล้มละลายซ่ึงศาลยงั ไม่สงั่ ใหพ้ น้ จากคดี หรือถอื หุ้นในกิจการหนังสือพมิ พ์ วิทยกุ ระจายเสยี ง วิทยุโทรทศั น์ หรือ (๒) เปน็ บุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทจุ ริต (๓) เป็นบคุ คลผ้มู ลี ักษณะต้องห้ามมใิ หใ้ ชส้ ิทธิเลือกต้ังสมาชกิ โทรคมนาคม มิได้ ไม่วา่ ในนามของตนเองหรือใหผ้ อู้ น่ื เป็นเจ้าของ (๓) เป็นเจา้ ของหรอื ผู้ถอื หุ้นในกิจการหนังสอื พิมพ์หรือ สภาแทนราษฎรตามมาตรา ๑๐๖ (๑) (๒) หรอื (๔) กจิ การหรือถือหนุ้ แทน หรือจะดาเนินการโดยวธิ ีการอ่ืนไม่วา่ โดย สอ่ื มวลชนใด ๆ (๔) ตอ้ งคาพพิ ากษาให้จาคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ทางตรงหรอื ทางอ้อมทสี่ ามารถบริหารกจิ การดังกล่าวได้ในทานอง (๔) เปน็ บุคคลผมู้ ลี กั ษณะตอ้ งหา้ มมใิ ห้ใชส้ ทิ ธิเลือกตง้ั ตามมาตรา (๕) เคยตอ้ งคาพพิ ากษาให้จาคกุ ตง้ั แต่สองปีข้ึนไปโดยไดพ้ ้น เดยี วกบั การเป็นเจ้าของกิจการหรอื ถอื หนุ้ ในกิจการดังกล่าว ๙๖ (๑) (๒) หรือ (๔) โทษมายังไมถ่ งึ ห้าปีในวันเลอื กตั้ง เวน้ แต่ในความผดิ อันได้กระทาโดย (๕) อย่รู ะหว่างถูกระงบั การใช้สิทธิสมัครรบั เลอื กตง้ั เปน็ การ ประมาท มาตรา ๑๐๒ บคุ คลผมู้ ลี กั ษณะดงั ต่อไปนี้ เปน็ บุคคล ช่ัวคราว หรอื ถกู เพิกถอนสิทธิสมคั รรบั เลอื กตั้ง (๖) เคยถกู ไลอ่ อก ปลดออก หรอื ใหอ้ อกจากราชการ หนว่ ยงาน ตอ้ งหา้ มมิให้ใชส้ ทิ ธสิ มคั รรบั เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๖) ตอ้ งคาพิพากษาให้จาคุกและถูกคุมขังอยโู่ ดยหมายของศาล ของรัฐ หรอื รัฐวิสาหกิจ เพราะทุจรติ ตอ่ หนา้ ที่ หรอื ถือว่ากระทาการ (๗) เคยไดร้ บั โทษจาคกุ โดยไดพ้ น้ โทษมายังไม่ถึงสิบปีนบั ถึงวนั ทจุ ริตและประพฤตมิ ิชอบในวงราชการ (๑) ติดยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ เลอื กตง้ั เว้นแตใ่ นความผดิ อันไดก้ ระทาโดยประมาทหรือความผดิ (๗) เคยต้องคาพิพากษาหรือคาส่งั ของศาลใหท้ รัพย์สนิ ตกเปน็ (๒) เปน็ บคุ คลลม้ ละลายหรือเคยเปน็ บคุ คลลม้ ละลายทุจรติ ลหุโทษ ของแผน่ ดิน เพราะร่ารวยผดิ ปกตหิ รอื มที รัพยส์ นิ เพิม่ ขึน้ ผดิ ปกติ (๓) เป็นบุคคลผ้มู ลี กั ษณะต้องหา้ มมิใหใ้ ช้สิทธิเลือกต้งั สมาชกิ (๘) เคยถูกสงั่ ใหพ้ ้นจากราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรอื (๘) เป็นข้าราชการซง่ึ มตี าแหน่งหรือเงินเดอื นประจานอกจาก สภาแทนราษฎรตามมาตรา ๑๐๐ (๑) (๒) หรือ (๔) รฐั วสิ าหกจิ เพราะทจุ รติ ตอ่ หนา้ ที่ หรือถือวา่ กระทาการทจุ ริตหรอื ขา้ ราชการการเมอื ง (๔) ต้องคาพิพากษาให้จาคุกและถูกคุมขงั อยูโ่ ดยหมายของศาล ประพฤติมิชอบในวงราชการ (๙) เป็นสมาชิกสภาทอ้ งถ่ินหรือผบู้ ริหารทอ้ งถน่ิ (๕) เคยตอ้ งคาพพิ ากษาให้จาคุกโดยไดพ้ ้นโทษมายงั ไมถ่ งึ หา้ ปี ในวันเลอื กตง้ั เวน้ แตใ่ นความผิดอนั ไดก้ ระทาโดยประมาทหรือ ความผิดลหโุ ทษ
รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๕๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคบั บัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา (๑๐) เปน็ สมาชกิ วุฒสิ ภา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา (๑๑) เปน็ พนกั งานหรือลูกจา้ งของหน่วยงานของรฐั หรอื รัฐวิสาหกิจ หรอื ของราชการสว่ นท้องถ่ิน หรือเป็นเจ้าหนา้ ท่อี น่ื ของรัฐ (๖) เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรอื ให้ออกจากราชการ หน่วยงาน รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (๑๒) เป็นกรรมการการเลอื กต้ัง ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ของรฐั สภา ของรฐั หรือรฐั วสิ าหกิจ เพราะทุจริตตอ่ หน้าท่ี หรือถอื ว่ากระทาการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแหง่ ชาติ ทจุ ริตและประพฤติมชิ อบในวงราชการ (๙) เคยตอ้ งคาพิพากษาหรอื คาส่งั ของศาลอันถงึ ที่สุดให้ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญ ตลุ าการศาลปกครอง กรรมการปอ้ งกนั และ ทรัพย์สินตกเปน็ ของแผน่ ดินเพราะรา่ รวยผดิ ปกติ หรอื เคยต้องคา ปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ หรอื กรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ (๗) เคยตอ้ งคาพิพากษาหรือคาส่งั ของศาลให้ทรัพยส์ นิ ตกเป็น พพิ ากษาอนั ถึงทส่ี ุดใหล้ งโทษจาคกุ เพราะกระทาความผิดตาม (๑๓) อยู่ในระหวา่ งตอ้ งหา้ มมิให้ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง ของแผน่ ดิน เพราะรา่ รวยผดิ ปกตหิ รือมีทรัพยส์ ินเพิ่มขึน้ ผดิ ปกติ กฎหมายวา่ ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ตามมาตรา ๒๙๕ (๑๔) เคยถูกวฒุ สิ ภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ใหถ้ อดถอนออก (๘) เปน็ ข้าราชการซึ่งมตี าแหนง่ หรือเงนิ เดือนประจานอกจาก (๑๐) เคยต้องคาพิพากษาอนั ถึงที่สดุ ว่ากระทาความผดิ ต่อ จากตาแหนง่ และยังไมพ่ น้ กาหนดหา้ ปนี ับแต่วันทีว่ ฒุ ิสภามีมตจิ นถงึ ข้าราชการการเมือง ตาแหน่งหนา้ ท่ีราชการ หรือตอ่ ตาแหน่งหน้าท่ีในการยตุ ิธรรม หรอื วันเลอื กตงั้ กระทาความผิดตามกฎหมายว่าดว้ ยความผดิ ของพนักงานใน (๙) เปน็ สมาชิกสภาท้องถน่ิ หรือผบู้ ริหารทอ้ งถนิ่ องคก์ ารหรือหนว่ ยงานของรฐั หรอื ความผดิ เกี่ยวกับทรพั ยท์ ่กี ระทา (๑๐) เป็นสมาชิกวฒุ สิ ภาหรอื เคยเปน็ สมาชิกวุฒสิ ภาและ โดยทุจรติ ตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าดว้ ย สมาชกิ ภาพสิ้นสดุ ลงแล้วยงั ไม่เกินสองปี การกู้ยืมเงินที่เปน็ การฉอ้ โกงประชาชน กฎหมายวา่ ดว้ ยยาเสพตดิ ใน (๑๑) เปน็ พนักงานหรือลกู จา้ งของหนว่ ยราชการ หน่วยงาน ความผดิ ฐานเป็นผผู้ ลติ นาเข้า ส่งออก หรือผคู้ า้ กฎหมายวา่ ดว้ ย ของรฐั หรือรัฐวิสาหกิจ หรอื เปน็ เจ้าหนา้ ทอ่ี ืน่ ของรัฐ การพนนั ในความผดิ ฐานเป็นเจา้ มอื หรือเจ้าสานกั กฎหมายว่าดว้ ย (๑๒) เป็นตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู กรรมการการเลือกตัง้ การป้องกนั และปราบปรามการค้ามนษุ ย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการ ผตู้ รวจการแผ่นดนิ กรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ ปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงินในความผดิ ฐานฟอกเงิน กรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ หรือกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ (๑๓) อยใู่ นระหว่างต้องห้ามมใิ หด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมือง (๑๑) เคยต้องคาพิพากษาอนั ถึงที่สดุ ว่ากระทาการอนั เปน็ การ ตามมาตรา ๒๖๓ ทุจรติ ในการเลือกต้งั (๑๔) เคยถูกวฒุ สิ ภามมี ตติ ามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนออก จากตาแหน่ง (๑๒) เป็นข้าราชการซงึ่ มตี าแหนง่ หรือเงินเดอื นประจา นอกจากขา้ ราชการการเมือง (๑๓) เป็นสมาชิกสภาทอ้ งถิน่ หรือผูบ้ ริหารทอ้ งถ่นิ (๑๔) เปน็ สมาชิกวฒุ ิสภาหรอื เคยเปน็ สมาชกิ วุฒสิ ภาและ สมาชิกภาพส้ินสดุ ลงยงั ไมเ่ กินสองปี (๑๕) เป็นพนกั งานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หนว่ ยงาน ของรฐั หรอื รฐั วสิ าหกิจหรือเปน็ เจา้ หน้าทีอ่ ืน่ ของรัฐ (๑๖) เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนญู หรือผูด้ ารงตาแหนง่ ใน องคก์ รอิสระ (๑๗) อยูใ่ นระหว่างตอ้ งหา้ มมิให้ดารงตาแหน่งทางการเมอื ง (๑๘) เคยพน้ จากตาแหน่งเพราะเหตตุ ามมาตรา ๑๔๔ หรอื มาตรา ๒๓๕ วรรคสาม
๕๖ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ งั คับบัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๑๔ อายขุ องสภาผู้แทนราษฎรมกี าหนดคราวละสีป่ ี มาตรา ๑๐๔ อายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรมกี าหนดคราวละสี่ปี มาตรา ๙๙ ตรงกับบทบญั ญัติในมาตรา ๑๐๔ ของ นบั แตว่ นั เลือกต้ัง นบั แต่วันเลือกตง้ั รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ในระหวา่ งอายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎร จะมีการควบรวมพรรค การเมืองทม่ี ีสมาชิกเปน็ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรมไิ ด้ มาตรา ๑๑๗ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเรม่ิ มาตรา ๑๐๕ ตรงกับบทบญั ญตั ิในมาตรา ๑๑๗ ของ มาตรา ๑๐๐ ตรงกับบทบัญญตั ิในมาตรา ๑๐๕ ของ ตัง้ แต่วันเลือกตงั้ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๑๘ สมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรสน้ิ สดุ มาตรา ๑๐๖ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร มาตรา ๑๐๑ สมาชิกภาพของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ลง เมื่อ สนิ้ สุดลง เม่อื สิ้นสุดลง เม่ือ (๑) ถึงคราวออกตามอายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎร หรือมีการยบุ (๑) ถงึ คราวออกตามอายขุ องสภาผู้แทนราษฎร หรอื มีการยบุ (๑) ถงึ คราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือมีการยุบ สภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎร สภาผูแ้ ทนราษฎร (๒) ตาย (๒) ตาย (๒) ตาย (๓) ลาออก (๓) ลาออก (๓) ลาออก (๔) ขาดคณุ สมบตั ิตามมาตรา ๑๐๗ (๔) ขาดคุณสมบตั ิตามมาตรา ๑๐๑ (๔) พน้ จากตาแหนง่ ตามมาตรา ๙๓ (๕) มลี ักษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๑๐๙ (๑) (๒) (๓) (๕) (๖) (๕) มลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๐๒ (๕) ขาดคุณสมบตั ติ ามมาตรา ๙๗ (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรือ (๑๔) (๖) กระทาการอันต้องหา้ มตามมาตรา ๒๖๕ หรอื มาตรา ๒๖๖ (๖) มลี ักษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๙๘ (๖) กระทาการอนั ตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๑๐ หรอื มาตรา ๑๑๑ (๗) ลาออกจากพรรคการเมอื งที่ตนเปน็ สมาชิก หรอื พรรคการเมือง (๗) กระทาการอันเปน็ การตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๘๔ หรอื (๗) ได้รับแตง่ ต้งั เป็นนายกรฐั มนตรีหรือรัฐมนตรี ทีต่ นเปน็ สมาชกิ มีมติดว้ ยคะแนนเสียงไม่นอ้ ยกวา่ สามในสี่ของทป่ี ระชุม มาตรา ๑๘๕ (๘) ลาออกจากพรรคการเมอื งทตี่ นเป็นสมาชิก หรอื พรรค ร่วมของคณะกรรมการบรหิ ารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผแู้ ทน (๘) ลาออกจากพรรคการเมืองทีต่ นเปน็ สมาชิก การเมืองที่ตนเปน็ สมาชิกมมี ตดิ ว้ ยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกว่าสามในสี่ ราษฎรทสี่ งั กดั พรรคการเมืองนน้ั ใหพ้ ้นจากการเปน็ สมาชกิ ของพรรค (๙) พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมอื งทตี่ นเปน็ ของท่ีประชุมรว่ มของคณะกรรมการบรหิ ารของพรรคการเมอื งและ การเมืองทต่ี นเปน็ สมาชกิ ในกรณีเชน่ นี้ ใหถ้ ือวา่ สนิ้ สุดสมาชิกภาพนบั แต่ สมาชิกตามมติของพรรคการเมอื งน้นั ด้วยคะแนนเสยี งไม่น้อยกว่า สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรทส่ี งั กัดพรรคการเมืองนน้ั ให้พน้ จากการเปน็ วันทลี่ าออกหรือพรรคการเมืองมมี ติ เว้นแตส่ มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรผ้นู น้ั สามในสขี่ องท่ีประชมุ ร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรค สมาชกิ ของพรรคการเมอื งทตี่ นเปน็ สมาชิก ในกรณเี ช่นนี้ ใหถ้ อื ว่า ได้อทุ ธรณต์ ่อศาลรฐั ธรรมนญู ภายในสามสบิ วันนบั แตว่ ันที่พรรคการเมือง การเมืองและสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรท่สี ังกัดพรรคการเมืองนัน้ ใน ส้นิ สดุ สมาชกิ ภาพนบั แตว่ ันท่ีลาออกหรอื พรรคการเมอื งมมี ติ เว้นแต่ มีมติ คดั ค้านวา่ มติดังกลา่ วมลี กั ษณะตามมาตรา ๖๕ วรรคสาม ถ้าศาล กรณีเชน่ น้ี ถ้าสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรผนู้ ัน้ มิได้เข้าเปน็ สมาชกิ ของ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรผนู้ ้ันไดอ้ ทุ ธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน รฐั ธรรมนญู วินจิ ฉยั ว่ามติดงั กล่าวมไิ ด้มีลักษณะตามมาตรา ๖๕ วรรคสาม พรรคการเมอื งอน่ื ภายในสามสิบวนั นบั แต่วนั ทพี่ รรคการเมืองมมี ติ สามสิบวนั นบั แตว่ ันที่พรรคการเมอื งมีมตคิ ดั คา้ นวา่ มตดิ ังกลา่ วมี ให้ถอื ว่าสมาชกิ ภาพสนิ้ สุดลงนับแตว่ นั ทศ่ี าลรัฐธรรมนญู วนิ จิ ฉัย แต่ถา้ ให้ถือว่าสน้ิ สดุ สมาชิกภาพนบั แต่วนั ที่พ้นสามสิบวนั ดงั กล่าว ลกั ษณะตามมาตรา ๔๗ วรรคสาม ถ้าศาลรฐั ธรรมนญู วนิ ิจฉัยวา่ มติ ศาลรฐั ธรรมนูญวนิ จิ ฉัยว่ามตดิ ังกล่าวมลี กั ษณะตามมาตรา ๖๕ วรรคสาม (๑๐) ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมอื ง แต่ในกรณที ่ี ดังกล่าวมิได้มลี กั ษณะตามมาตรา ๔๗ วรรคสาม ให้ถือวา่ สมาชกิ ภาพ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรผู้นน้ั อาจเขา้ เป็นสมาชิกของพรรคการเมอื งอนื่ ได้ ขาดจากการเปน็ สมาชิกของพรรคการเมอื งเพราะมีคาส่ังยบุ พรรค สิ้นสดุ ลงนับแตว่ นั ท่ศี าลรัฐธรรมนญู วินิจฉยั แตถ่ า้ ศาลรัฐธรรมนญู ภายในสามสบิ วันนบั แต่วนั ทีศ่ าลรัฐธรรมนญู วนิ จิ ฉัย การเมอื งท่ีสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรผนู้ ัน้ เป็นสมาชกิ และสมาชกิ วินิจฉยั ว่ามตดิ ังกล่าวมลี ักษณะตามมาตรา ๔๗ วรรคสาม สมาชิกสภา สภาผ้แู ทนราษฎรไมอ่ าจเขา้ เปน็ สมาชกิ ของพรรคการเมอื งอนื่ ได้
๕๗ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บงั คบั บัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ผแู้ ทนราษฎรผ้นู น้ั อาจเขา้ เปน็ สมาชกิ ของพรรคการเมืองอื่นไดภ้ ายใน (๘) ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมอื งในกรณีทศ่ี าล ภายในหกสบิ วันนบั แต่วันท่ีมีคาสง่ั ยุบพรรคการเมอื ง ในกรณเี ช่นนี้ สามสบิ วันนบั แต่วนั ที่ศาลรฐั ธรรมนญู วนิ จิ ฉัย รัฐธรรมนูญมคี าสั่งยุบพรรคการเมอื งทีส่ มาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้น้นั ให้ถอื ว่าส้ินสดุ สมาชกิ ภาพนบั แตว่ นั ถัดจากวันทคี่ รบกาหนดหกสบิ (๙) ขาดจากการเปน็ สมาชิกของพรรคการเมืองในกรณที ี่ศาล เปน็ สมาชิก และไมอ่ าจเขา้ เป็นสมาชิกของพรรคการเมอื งอื่นได้ วนั น้นั รัฐธรรมนญู มีคาส่ังยบุ พรรคการเมอื งท่ีสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรผู้น้ัน ภายในหกสบิ วันนับแต่วนั ท่ีศาลรัฐธรรมนญู มคี าส่ัง ในกรณีเช่นนใ้ี ห้ (๑๑) พ้นจากตาแหน่งเพราะเหตตุ ามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา เปน็ สมาชกิ และไมอ่ าจเขา้ เปน็ สมาชกิ ของพรรคการเมืองอ่ืนได้ ถือวา่ ส้นิ สดุ สมาชิกภาพนับแตว่ นั ถัดจากวันที่ครบกาหนดหกสบิ วันนนั้ ๒๓๕ วรรคสาม ภายในหกสิบวันนบั แต่วนั ที่ศาลรฐั ธรรมนญู มีคาส่ัง ในกรณีเชน่ นี้ใหถ้ อื (๙) วุฒิสภามมี ติตามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนออกจาก (๑๒) ขาดประชุมเกนิ จานวนหนึง่ ในสีข่ องจานวนวันประชุมใน ว่าสิน้ สดุ สมาชิกภาพนบั แตว่ ันถัดจากวนั ท่ีครบกาหนดหกสบิ วนั นัน้ ตาแหน่ง หรือศาลรฐั ธรรมนูญมีคาวินิจฉยั ให้พน้ จากสมาชิกภาพตาม สมยั ประชุมทีม่ กี าหนดเวลาไมน่ อ้ ยกว่าหนง่ึ รอ้ ยยี่สบิ วนั โดยไมไ่ ดร้ บั (๑๐) วุฒิสภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ให้ถอดถอนออกจาก มาตรา ๙๑ หรือศาลฎีกามคี าส่ังตามมาตรา ๒๓๙ วรรคสอง ในกรณี อนญุ าตจากประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ตาแหนง่ หรอื ศาลรัฐธรรมนญู มีคาวินจิ ฉัยให้พน้ จากสมาชิกภาพตาม เชน่ นี้ ให้ถือว่าสิน้ สุดสมาชิกภาพนบั แต่วนั ท่วี ฒุ สิ ภามมี ตหิ รอื ศาลมี (๑๓) ตอ้ งคาพพิ ากษาถงึ ทีส่ ดุ ใหจ้ าคุก แม้จะมีการรอการ มาตรา ๙๖ ในกรณเี ช่นนี้ ให้ถือวา่ สน้ิ สุดสมาชกิ ภาพนับแต่วนั ที่ คาวินิจฉัยหรอื คาสงั่ แลว้ แตก่ รณี ลงโทษ เวน้ แตเ่ ปน็ การรอการลงโทษในความผดิ อนั ได้กระทาโดย วฒุ สิ ภามมี ตหิ รอื ศาลรฐั ธรรมนญู มีคาวินิจฉัย แล้วแตก่ รณี (๑๐) ขาดประชมุ เกนิ จานวนหนงึ่ ในส่ีของจานวนวันประชุมใน ประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผดิ ฐานหมิน่ ประมาท (๑๑) ขาดประชมุ เกินจานวนหนง่ึ ในส่ขี องจานวนวนั ประชมุ ใน สมยั ประชมุ ท่ีมกี าหนดเวลาไม่นอ้ ยกว่าหนง่ึ รอ้ ยยีส่ บิ วันโดยไมไ่ ดร้ ับ สมยั ประชุมที่มีกาหนดเวลาไม่นอ้ ยกว่าหน่ึงรอ้ ยยี่สบิ วนั โดยไมไ่ ดร้ บั อนุญาตจากประธานสภาผ้แู ทนราษฎร อนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร (๑๑) ต้องคาพิพากษาถงึ ทีส่ ุดใหจ้ าคกุ แมจ้ ะมีการรอการ (๑๒) ถกู จาคกุ โดยคาพิพากษาถึงท่สี ดุ ใหจ้ าคกุ เวน้ แตใ่ น ลงโทษ เวน้ แตเ่ ปน็ การรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทาโดย ความผดิ อันได้กระทาโดยประมาทหรือความผดิ ลหโุ ทษ ประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิน่ ประมาท การส้นิ สุดสมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรตาม (๗) ให้ มีผลในวันถัดจากวันท่คี รบสามสิบวันนับแตว่ ันทีม่ พี ระบรมราช โองการแตง่ ตงั้ มาตรา ๑๑๕ เมอ่ื อายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรสิน้ สดุ ลง พระมหา มาตรา ๑๐๗ ตรงกบั บทบญั ญัตใิ นมาตรา ๑๑๕ ของ มาตรา ๑๐๒ เม่ืออายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรสิน้ สดุ ลง กษตั ริยจ์ ะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาใหม้ กี ารเลือกตัง้ สมาชิกสภาผู้แทน รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ พระมหากษตั รยิ ์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎกี าใหม้ ีการเลอื กต้งั ราษฎรใหม่เป็นการเลอื กตั้งทั่วไป ซงึ่ ตอ้ งกาหนดวันเลอื กต้ังภายในสสี่ ิบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เปน็ การเลือกตั้งทว่ั ไป ภายในสี่สบิ หา้ หา้ วันนบั แต่วนั ท่ีอายขุ องสภาผู้แทนราษฎรส้ินสดุ ลง และวันเลอื กต้ังน้ัน วันนับแตว่ ันทสี่ ภาผู้แทนราษฎรสนิ้ อายุ ตอ้ งกาหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การเลือกตง้ั ตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นวนั เดยี วกนั ทั่วราชอาณาจกั ร ตามที่คณะกรรมการการเลอื กตัง้ ประกาศกาหนดในราชกจิ จานเุ บกษา มาตรา ๑๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึง่ พระราชอานาจทจี่ ะ มาตรา ๑๐๘ พระมหากษตั รยิ ์ทรงไว้ซึง่ พระราชอานาจท่จี ะ มาตรา ๑๐๓ พระมหากษตั ริยท์ รงไว้ซ่ึงพระราชอานาจทจ่ี ะ ยุบสภาผู้แทนราษฎรเพือ่ ให้มกี ารเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร ยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรเพ่อื ให้มีการเลือกต้งั สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร ยุบสภาผแู้ ทนราษฎรเพื่อใหม้ ีการเลอื กตัง้ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร ใหม่ ใหม่ ใหม่เป็นการเลือกตั้งท่วั ไป
๕๘ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ ังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ การยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรใหก้ ระทาโดยพระราชกฤษฎกี า ซง่ึ การยุบสภาผ้แู ทนราษฎรใหก้ ระทาโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่ง การยุบสภาผ้แู ทนราษฎรใหก้ ระทาโดยพระราชกฤษฎีกา และ ตอ้ งกาหนดวนั เลอื กต้งั สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตง้ั ตอ้ งกาหนดวันเลือกตงั้ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรใหมเ่ ป็นการเลอื กตงั้ ใหก้ ระทาไดเ้ พียงครงั้ เดยี วในเหตกุ ารณเ์ ดยี วกนั ทั่วไปภายในหกสิบวัน และวนั เลือกต้ังนัน้ ต้องกาหนดเป็นวนั เดยี วกนั ท่วั ไปภายในระยะเวลาไมน่ ้อยกว่าส่ีสิบห้าวนั แต่ไม่เกนิ หกสิบวันนบั ภายในหา้ วันนับแตว่ นั ที่พระราชกฤษฎกี าตามวรรคหน่งึ ใช้ ทว่ั ราชอาณาจกั ร แตว่ นั ยบุ สภาผแู้ ทนราษฎร และวนั เลอื กตง้ั นนั้ ตอ้ งกาหนดเป็นวัน บงั คับ ใหค้ ณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศกาหนดวันเลือกต้งั การยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรจะกระทาได้เพยี งคร้งั เดยี วในเหตกุ ารณ์ เดยี วกันทัว่ ราชอาณาจักร ทวั่ ไปในราชกจิ จานุเบกษา ซ่ึงตอ้ งไม่น้อยกว่าสสี่ ิบหา้ วันแตไ่ มเ่ กิน เดยี วกนั การยุบสภาผแู้ ทนราษฎรจะกระทาไดเ้ พยี งคร้ังเดยี วในเหตกุ ารณ์ หกสิบวันนบั แต่วันทพี่ ระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บงั คับ วันเลอื กต้งั เดยี วกนั น้นั ตอ้ งกาหนดเปน็ วันเดยี วกนั ท่ัวราชอาณาจกั ร มาตรา ๑๐๔ ในกรณที ่ีมีเหตจุ าเป็นอนั มอิ าจหลกี เลย่ี งได้ เป็นเหตุใหไ้ มส่ ามารถจดั การเลือกตงั้ ตามวันที่คณะกรรมการการ เลือกตงั้ ประกาศกาหนดตามมาตรา ๑๐๒ หรอื มาตรา ๑๐๓ คณะกรรมการการเลือกตงั้ จะกาหนดวันเลอื กตงั้ ใหมก่ ไ็ ด้ แตต่ อ้ งจัด ให้มกี ารเลือกตัง้ ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ ันท่ีเหตดุ ังกล่าวส้นิ สุดลง แตเ่ พ่ือประโยชนใ์ นการนับอายตุ ามมาตรา ๙๕ (๒) และมาตรา ๙๗ (๒) ให้นับถงึ วนั เลอื กต้ังท่กี าหนดไวต้ ามมาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๑๙ เมอ่ื ตาแหนง่ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรวา่ งลง มาตรา ๑๐๙ เมือ่ ตาแหน่งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรวา่ งลง มาตรา ๑๐๕ เม่ือตาแหนง่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรว่างลง เพราะเหตุอื่นใดนอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผูแ้ ทนราษฎร เพราะเหตุอนื่ ใดนอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผแู้ ทนราษฎร เพราะเหตอุ นื่ ใดนอกจากถงึ คราวออกตามอายขุ องสภาผู้แทนราษฎร หรือเม่อื มีการยุบสภาผูแ้ ทนราษฎร ใหด้ าเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี หรือเมอ่ื มีการยบุ สภาผู้แทนราษฎร ใหด้ าเนินการดังตอ่ ไปนี้ หรอื เมื่อมีการยุบสภาผแู้ ทนราษฎร ใหด้ าเนินการ ดังตอ่ ไปนี้ (๑) ในกรณีท่ีตาแหน่งทีว่ ่างเป็นตาแหน่งสมาชิกสภาผแู้ ทน (๑) ในกรณที ่เี ป็นตาแหน่งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรท่ีมาจาก (๑) ในกรณที เ่ี ปน็ ตาแหน่งสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรทมี่ าจาก ราษฎรในบญั ชีรายช่อื ทพ่ี รรคการเมืองใดจดั ทาข้ึนตามมาตรา ๙๙ ให้ การเลอื กตั้งแบบแบ่งเขตเลอื กตงั้ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน การเลือกตงั้ แบบแบ่งเขตเลอื กตั้ง ให้ดาเนินการตราพระราช ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศในราชกิจจานเุ บกษาภายในเจด็ วนั ราษฎรข้ึนแทนตาแหน่งทวี่ ่างภายในสส่ี ิบห้าวันนับแต่วนั ที่ตาแหนง่ กฤษฎกี าเพื่อจดั ให้มีการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรขึ้นแทน นับแต่วนั ทตี่ าแหนง่ น้นั วา่ งลง ให้ผมู้ ชี ่ืออยู่ในบญั ชีรายชือ่ ของพรรค น้นั วา่ ง เวน้ แต่อายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรจะเหลอื ไม่ถงึ หน่ึงรอ้ ยแปด ตาแหนง่ ท่วี า่ ง เวน้ แต่อายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรจะเหลืออยไู่ ม่ถึง การเมืองนั้นในลาดับถดั ไปเลอื่ นขน้ึ มาเป็นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแทน สิบวนั หนึง่ ร้อยแปดสิบวัน และใหน้ าความในมาตรา ๑๐๒ มาใชบ้ งั คับโดย (๒) ในกรณที ี่ตาแหนง่ ทีว่ ่างเปน็ ตาแหนง่ สมาชกิ สภาผูแ้ ทน (๒) ในกรณที เี่ ป็นตาแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่มี าจากการ อนุโลม ราษฎรที่มาจากการเลอื กตงั้ แบบแบ่งเขตเลือกตั้งตามมาตรา ๑๐๒ ให้ เลอื กตง้ั แบบบญั ชรี ายช่ือ ใหป้ ระธานสภาผแู้ ทนราษฎรประกาศให้ผมู้ ี (๒) ในกรณีที่เปน็ ตาแหน่งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชี มกี ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรขนึ้ แทนภายในสี่สิบหา้ วันนบั ช่อื อยใู่ นลาดบั ถัดไปในบัญชรี ายช่ือของพรรคการเมืองน้ันเลอ่ื นขึ้นมา รายชื่อ ใหป้ ระธานสภาผูแ้ ทนราษฎรประกาศให้ผมู้ ีช่ืออยู่ในลาดับ แตว่ ันทีต่ าแหนง่ นน้ั วา่ ง เว้นแต่อายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรจะเหลอื ไม่ เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหน่งทว่ี ่าง โดยตอ้ งประกาศใน ถดั ไปในบญั ชีรายชื่อของพรรคการเมอื งนั้นเลอื่ นขน้ึ มาเป็นสมาชิก ถงึ หนึง่ ร้อยแปดสิบวนั ราชกิจจานุเบกษาภายในเจด็ วนั นับแตว่ นั ที่ตาแหน่งน้ันว่างลง เวน้ แตไ่ ม่ สภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหนง่ ทวี่ า่ ง โดยตอ้ งประกาศในราชกจิ จา นุเบกษาภายในเจด็ วนั นบั แต่วนั ทตี่ าแหนง่ น้ันวา่ งลง หากไมม่ ีรายชอื่
๕๙ นาถะ ดวงวิชยั ผูบ้ งั คับบัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผเู้ ขา้ มาแทนตาม (๑) มีรายชือ่ เหลอื อยใู่ นบัญชีท่ีจะเลื่อนขึ้นมาแทนตาแหน่งทีว่ า่ ง ให้สมาชกิ เหลอื อยใู่ นบัญชที ่จี ะเล่ือนขึ้นมาแทนตาแหน่งท่ีว่าง ให้สมาชกิ สภา ใหเ้ ร่ิมต้ังแตว่ ันถดั จากวันท่ีผเู้ ขา้ มาแทนน้ันไดร้ ับการประกาศช่ือ สว่ น สภาผู้แทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชื่อประกอบดว้ ยสมาชิกเท่าท่ีมีอยู่ ผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชีรายชอื่ ประกอบดว้ ยสมาชกิ เทา่ ท่มี ีอยู่ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรผ้เู ขา้ มาแทนตาม (๒) ใหเ้ รม่ิ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรผู้เขา้ มาแทนตาม สมาชิกภาพของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรผ้เู ขา้ มาแทนตาม ตง้ั แตว่ ันเลอื กต้ังแทนตาแหน่งทว่ี า่ ง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรผ้เู ขา้ มา (๑) ใหเ้ ริ่มนับแตว่ ันเลือกตั้งแทนตาแหนง่ ทว่ี ่าง สว่ นสมาชิกภาพ (๑) ใหเ้ ริ่มนับแตว่ นั เลอื กตั้งแทนตาแหนง่ ทว่ี ่าง สว่ นสมาชิกภาพของ แทนน้นั ให้อยู่ในตาแหน่งไดเ้ พยี งเทา่ อายุของสภาผูแ้ ทนราษฎรที่ ของสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรผเู้ ขา้ มาแทนตาม (๒) ใหเ้ รมิ่ นบั แตว่ ัน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรผู้เขา้ มาแทนตาม (๒) ให้เร่ิมนับแตว่ นั ถดั เหลอื อยู่ ถัดจากวนั ประกาศชื่อในราชกิจจานุเบกษา และใหส้ มาชกิ สภา จากวันประกาศช่อื ในราชกิจจานเุ บกษา และใหส้ มาชิกสภาผแู้ ทน ผู้แทนราษฎรผเู้ ข้ามาแทนตาแหนง่ ท่ีวา่ งนน้ั อยใู่ นตาแหน่งไดเ้ พียง ราษฎรผเู้ ขา้ มาแทนตาแหน่งทว่ี ่างนน้ั อย่ใู นตาแหนง่ ได้เพยี งเทา่ อายุ เท่าอายขุ องสภาผู้แทนราษฎรท่ีเหลอื อยู่ ของสภาผแู้ ทนราษฎรทีเ่ หลืออยู่ การคานวณสดั ส่วนคะแนนของพรรคการเมอื งสาหรับสมาชิก (มาตรา ๑๐๙ (๒) แก้ไขเพ่ิมเตมิ โดยรัฐธรรมนญู แหง่ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอื่ เม่ือมีการเลอื กต้ังแทนตาแหนง่ ที่ ราชอาณาจักรไทย แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๑) พุทธศกั ราช ๒๕๕๔) ว่าง ให้เป็นไปตามมาตรา ๙๔ มาตรา ๑๒๐ ภายหลังท่คี ณะรัฐมนตรีเขา้ บรหิ ารราชการ มาตรา ๑๑๐ ภายหลงั ทค่ี ณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการ มาตรา ๑๐๖ ภายหลงั ทค่ี ณะรัฐมนตรีเขา้ บรหิ ารราชการ แผ่นดนิ แล้ว พระมหากษตั ริยจ์ ะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรผู้ แผน่ ดนิ แลว้ พระมหากษตั ริยจ์ ะทรงแต่งตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แผ่นดนิ แล้ว พระมหากษตั รยิ จ์ ะทรงแต่งต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร เป็นหวั หน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรทส่ี มาชกิ ในสังกดั ของ ผูเ้ ปน็ หวั หนา้ พรรคการเมอื งในสภาผูแ้ ทนราษฎรที่สมาชกิ ในสงั กัด ผ้เู ป็นหวั หนา้ พรรคการเมอื งในสภาผ้แู ทนราษฎรที่มจี านวนสมาชิก พรรคตนมไิ ดด้ ารงตาแหนง่ รัฐมนตรี และมจี านวนมากท่ีสดุ ในบรรดา ของพรรคตนมไิ ด้ดารงตาแหนง่ รฐั มนตรี และมีจานวนมากทส่ี ดุ ใน มากทสี่ ดุ และสมาชกิ มิได้ดารงตาแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภา พรรคการเมอื งท่ีสมาชิกในสังกดั มไิ ดด้ ารงตาแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่นอ้ ย บรรดาพรรคการเมืองท่สี มาชกิ ในสังกดั มไิ ด้ดารงตาแหนง่ รัฐมนตรี ผ้แู ทนราษฎร หรือรองประธานสภาผ้แู ทนราษฎร เปน็ ผู้นาฝา่ ยค้าน กวา่ หนึ่งในหา้ ของจานวนสมาชกิ ท้งั หมดเท่าที่มอี ยู่ของสภาผูแ้ ทน แต่ไมน่ ้อยกว่าหนง่ึ ในหา้ ของจานวนสมาชกิ ทั้งหมดเทา่ ทม่ี ีอยขู่ องสภา ในสภาผูแ้ ทนราษฎร ราษฎรในขณะแต่งต้ัง เป็นผนู้ าฝา่ ยคา้ นในสภาผ้แู ทนราษฎร ผ้แู ทนราษฎรในขณะแตง่ ต้ัง เปน็ ผนู้ าฝา่ ยคา้ นในสภาผูแ้ ทนราษฎร ในกรณีทีพ่ รรคการเมอื งตามวรรคหน่งึ มสี มาชิกเทา่ กนั ให้ใช้ ในกรณที ีไ่ มม่ พี รรคการเมืองใดในสภาผูแ้ ทนราษฎรมลี กั ษณะท่ี ในกรณีที่ไม่มพี รรคการเมอื งใดในสภาผู้แทนราษฎรมลี กั ษณะท่ี วธิ จี ับสลาก กาหนดไว้ตามวรรคหน่ึง ใหส้ มาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรผเู้ ปน็ หวั หนา้ กาหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง ใหส้ มาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรผู้เปน็ หัวหน้าพรรค ให้ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรเป็นผลู้ งนามรับสนองพระบรม พรรคการเมอื งซ่งึ ไดร้ ับเสยี งสนับสนุนขา้ งมากจากสมาชกิ สภาผูแ้ ทน การเมอื งซึ่งไดร้ ับเสยี งสนับสนุนขา้ งมากจากสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรใน ราชโองการแตง่ ตั้งผนู้ าฝา่ ยค้านในสภาผแู้ ทนราษฎร ราษฎรในพรรคการเมอื งที่สมาชกิ ในสงั กัดของพรรคนั้น มิไดด้ ารง พรรคการเมืองทีส่ มาชิกในสงั กัดของพรรคน้นั มิได้ดารงตาแหน่ง ผู้นาฝา่ ยค้านในสภาผูแ้ ทนราษฎรย่อมพน้ จากตาแหนง่ เมอื่ ตาแหนง่ รฐั มนตรี เปน็ ผ้นู าฝ่ายคา้ นในสภาผู้แทนราษฎร ในกรณีทมี่ ี รัฐมนตรี เป็นผนู้ าฝ่ายค้านในสภาผ้แู ทนราษฎร ในกรณที ่มี ีเสียง ขาดคุณสมบตั ิตามวรรคหนึ่ง หรอื เม่ือมเี หตุตามมาตรา ๑๑๘ (๑) เสียงสนับสนนุ เท่ากนั ใหใ้ ช้วธิ ีจับสลาก สนบั สนุนเท่ากัน ใหใ้ ช้วิธจี ับสลาก (๒) (๓) หรอื (๔) ในกรณเี ช่นนี้ พระมหากษตั รยิ จ์ ะไดท้ รงแต่งตั้ง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเปน็ ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราช ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรบั สนองพระบรม ผู้นาฝา่ ยค้านในสภาผแู้ ทนราษฎรแทนตาแหน่งท่ีวา่ ง โองการ แตง่ ต้ังผู้นาฝา่ ยคา้ นในสภาผู้แทนราษฎร ราชโองการแตง่ ต้ังผูน้ าฝ่ายค้านในสภาผูแ้ ทนราษฎร ผนู้ าฝา่ ยคา้ นในสภาผู้แทนราษฎรยอ่ มพน้ จากตาแหนง่ เม่อื ขาด ผู้นาฝา่ ยค้านในสภาผแู้ ทนราษฎรยอ่ มพ้นจากตาแหน่งเม่ือขาด คณุ สมบัตดิ ังกลา่ วในวรรคหน่ึงหรอื วรรคสอง และใหน้ าบทบญั ญตั ิ คุณสมบตั ดิ ังกลา่ วในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง และให้นาบทบัญญัติ มาตรา ๑๒๔ วรรคส่ี มาใช้บังคับโดยอนโุ ลม ในกรณีเช่นนี้พระมหา
๖๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕๒ มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม ในกรณเี ชน่ นพี้ ระมหากษตั รยิ จ์ ะ กษัตรยิ ์จะได้ทรงแต่งตั้งผู้นาฝา่ ยค้านในสภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหน่ง ไดท้ รงแต่งตง้ั ผู้นาฝ่ายคา้ นในสภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหนง่ ทว่ี ่าง ท่วี า่ ง สว่ นที่ ๓ ไม่มกี ารแก้ไข ไมม่ กี ารแกไ้ ข วฒุ ิสภา มาตรา ๑๒๑ วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซง่ึ ราษฎรเลือกต้งั มาตรา ๑๑๑ วุฒสิ ภาประกอบด้วยสมาชกิ จานวนรวมหน่ึงร้อย มาตรา ๑๐๗ วฒุ สิ ภาประกอบดว้ ยสมาชกิ จานวนสองรอ้ ย จานวนสองร้อยคน หา้ สิบคน ซ่ึงมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวดั ละหน่งึ คน คน ซึ่งมาจากการเลือกกนั เองของบุคคลซึง่ มีความรู้ ความเชย่ี วชาญ ในกรณที ่ตี าแหน่งสมาชิกวุฒิสภาว่างลงไมว่ า่ ดว้ ยเหตุใด ๆ และ และมาจากการสรรหาเท่ากบั จานวนรวมข้างต้นหกั ดว้ ยจานวนสมาชิก ประสบการณ์ อาชพี ลกั ษณะ หรอื ประโยชนร์ ว่ มกัน หรือทางาน ยงั มไิ ดม้ ีการเลือกตง้ั สมาชิกวฒุ สิ ภาข้ึนแทนตาแหน่งท่วี า่ ง ให้วฒุ ิสภา วฒุ สิ ภาทม่ี าจากการเลือกตั้ง หรอื เคยทางานดา้ นตา่ ง ๆ ท่ีหลากหลายของสงั คม โดยในการ ประกอบดว้ ยสมาชกิ วุฒสิ ภาเท่าท่ีมอี ยู่ ในกรณีทมี่ กี ารเพ่ิมหรือลดจงั หวดั ในระหวา่ งวาระของสมาชิก แบง่ กลุม่ ต้องแบ่งในลกั ษณะทท่ี าใหป้ ระชาชนซง่ึ มสี ิทธสิ มัครรับ มาตรา ๑๒๒ การเลอื กตัง้ สมาชิกวฒุ ิสภา ให้ใชเ้ ขตจังหวัดเปน็ วุฒสิ ภาทม่ี าจากการเลอื กต้งั ให้วุฒสิ ภาประกอบด้วยสมาชกิ เท่าทม่ี อี ยู่ เลือกทกุ คนสามารถอยู่ในกลมุ่ ใดกลมุ่ หน่ึงได้ เขตเลือกต้ัง ในกรณที ี่ตาแหน่งสมาชกิ วุฒิสภาว่างลงไม่วา่ ด้วยเหตใุ ด ๆ และ การแบง่ กล่มุ จานวนกลุ่ม และคณุ สมบัติของบุคคลในแตล่ ะ การคานวณเกณฑ์จานวนสมาชิกวุฒิสภาที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี ยงั มไิ ดม้ กี ารเลอื กตั้งหรอื สรรหาข้ึนแทนตาแหน่งที่วา่ ง แลว้ แต่กรณี ให้ กลมุ่ การสมัครและรบั สมัคร หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกกนั เอง การ ใหค้ านวณตามวิธีทบี่ ญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง วรรคสาม และ วฒุ ิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาเทา่ ท่มี ีอยู่ ไดร้ บั เลือก จานวนสมาชกิ วฒุ ิสภาทจี่ ะพงึ มจี ากแต่ละกลมุ่ การขึ้น วรรคสี่ โดยอนโุ ลม ในกรณีท่มี ีเหตุการณ์ใด ๆ ทาใหส้ มาชิกวฒุ สิ ภาไมค่ รบจานวน บัญชสี ารอง การเลอื่ นบคุ คลจากบญั ชีสารองขึน้ ดารงตาแหนง่ แทน มาตรา ๑๒๓ ผมู้ ีสทิ ธเิ ลือกตัง้ สมาชกิ วุฒิสภา มีสิทธิออกเสียง ตามวรรคหน่ึง แตม่ ีจานวนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละเกา้ สบิ หา้ ของจานวน และมาตรการอ่นื ใดท่ีจาเปน็ เพอื่ ให้การเลือกกนั เองเป็นไปโดยสุจรติ ลงคะแนนเลอื กตั้งผูส้ มัครรับเลอื กตั้งในเขตเลือกตงั้ นั้นไดห้ น่ึงคน สมาชิกวุฒสิ ภาท้ังหมด ใหถ้ อื วา่ วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชกิ จานวน และเท่ยี งธรรม ให้เปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญวา่ การเลอื กต้งั ใหใ้ ชว้ ิธอี อกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ ดงั กล่าว แตต่ ้องมกี ารเลือกต้งั หรอื การสรรหาใหไ้ ดส้ มาชิกวฒุ สิ ภา ดว้ ยการไดม้ าซึ่งสมาชิกวุฒสิ ภา และเพื่อประโยชนใ์ นการดาเนินการ ในกรณที ่จี ังหวดั ใดมีสมาชิกวุฒสิ ภาไดม้ ากกวา่ หนึ่งคน ให้ผู้สมคั ร ครบจานวนตามวรรคหน่ึงภายในหน่งึ รอ้ ยแปดสิบวนั นบั แตว่ ันที่มี ใหก้ ารเลอื กดงั กล่าวเป็นไปโดยสุจรติ และเท่ยี งธรรม จะกาหนดมิให้ รบั เลือกตงั้ ทไ่ี ด้คะแนนสูงสุดเรียงตามลาดบั จนครบจานวนสมาชิก เหตุการณด์ ังกล่าว และใหส้ มาชกิ วุฒิสภาทเ่ี ขา้ มานนั้ อย่ใู นตาแหน่ง ผูส้ มคั รในแตล่ ะกล่มุ เลือกบคุ คลในกล่มุ เดยี วกัน หรือจะกาหนดใหม้ ี วุฒสิ ภาทีจ่ ะพึงมีได้ในจังหวัดน้นั เปน็ ผไู้ ดร้ ับเลือกตัง้ เปน็ สมาชิกวุฒิสภา เพียงเท่าอายขุ องวุฒสิ ภาท่เี หลืออยู่ การคดั กรองผู้สมคั รรบั เลอื กด้วยวธิ กี ารอ่นื ใดท่ีผสู้ มคั รรับเลือกมสี ่วน มาตรา ๑๓๔ เมือ่ ตาแหน่งสมาชิกวุฒิสภาวา่ งลงเพราะเหตอุ ่นื ใด มาตรา ๑๑๒ การเลอื กตั้งสมาชกิ วฒุ ิสภาในแตล่ ะจังหวดั ให้ รว่ มในการคัดกรองก็ได้ นอกจากถึงคราวออกตามอายุของวุฒสิ ภา ให้มีการเลือกต้ังสมาชิก ใชเ้ ขตจังหวัดเป็นเขตเลอื กตั้ง และใหม้ ีสมาชิกวุฒสิ ภาจงั หวดั ละหนงึ่ การดาเนนิ การตามวรรคสอง ใหด้ าเนินการตง้ั แตร่ ะดบั อาเภอ วุฒิสภาขน้ึ แทนภายในส่ีสบิ ห้าวนั นับแตว่ ันทีต่ าแหน่งนัน้ ว่างลง เว้นแต่ คน โดยให้ผมู้ สี ิทธเิ ลอื กตง้ั ออกเสยี งลงคะแนนเลือกตง้ั ผสู้ มัครรับ ระดบั จังหวดั และระดบั ประเทศ เพอ่ื ให้สมาชกิ วุฒิสภาเป็นผ้แู ทน อายขุ องวุฒสิ ภาจะเหลือไมถ่ ึงหนง่ึ รอ้ ยแปดสิบวัน เลือกตงั้ ได้หน่ึงเสยี งและใหใ้ ชว้ ิธอี อกเสยี งลงคะแนนโดยตรงและลบั ปวงชนชาวไทยในระดบั ประเทศ สมาชิกวฒุ สิ ภาผูเ้ ขา้ มาแทนนน้ั ใหอ้ ยูใ่ นตาแหน่งไดเ้ พยี งเท่าอายุ เพ่อื ประโยชน์ในการเลือกตั้งสมาชกิ วฒุ ิสภา ให้ผสู้ มคั รรับ ในกรณีทีต่ าแหน่งสมาชกิ วุฒสิ ภามจี านวนไมค่ รบตามวรรค ของวุฒสิ ภาทีเ่ หลืออยู่ เลอื กตงั้ สามารถหาเสียงเลอื กตั้งได้ก็แต่เฉพาะท่เี กี่ยวกบั การปฏบิ ัตงิ าน หนึ่ง ไม่วา่ เพราะเหตตุ าแหนง่ วา่ งลง หรือดว้ ยเหตอุ ่นื ใดอนั มิใช่ ในหนา้ ทข่ี องวฒุ ิสภา เพราะเหตุถงึ คราวออกตามอายุของวฒุ สิ ภา และไมม่ รี ายชือ่ บคุ คลท่ี หลกั เกณฑ์ วิธกี าร และเง่อื นไขในการเลือกต้งั และการหา สารองไว้เหลืออยู่ ให้วฒุ สิ ภาประกอบดว้ ยสมาชกิ วฒุ ิสภาเทา่ ทีม่ ีอยู่ เสียงเลอื กตง้ั ของสมาชิกวฒุ ิสภา ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญตั ิ แตใ่ นกรณีที่มสี มาชิกวฒุ ิสภาเหลืออยู่ไม่ถึงก่ึงหนึ่งของจานวนสมาชิก
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๖๑ นาถะ ดวงวิชัย ผู้บงั คับบัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา มาตรา ๑๒๔ ใหนาบทบญั ญตั ิมาตรา ๑๐๕ และมาตรา ๑๐๖ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาใชบังคบั กบั คุณสมบัตแิ ละลกั ษณะตองหามของผมู สี ิทธเิ ลือกตัง้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สมาชิกวุฒสิ ภาดวย โดยอนุโลม ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและ การไดม้ าซ่งึ สมาชกิ วุฒสิ ภา วุฒสิ ภาทง้ั หมดและอายขุ องวฒุ ิสภาเหลอื อยเู่ กนิ หนึ่งปี ใหด้ าเนนิ การ เลอื กสมาชกิ วุฒิสภาขึ้นแทนภายในหกสบิ วันนับแต่วนั ทว่ี ฒุ ิสภามี มาตรา ๑๒๐ เม่ือตาแหนง่ สมาชิกวุฒสิ ภาวา่ งลงเพราะเหตุ สมาชกิ เหลอื อยู่ไมถ่ งึ กง่ึ หนึ่ง ในกรณเี ชน่ วา่ นี้ ให้ผไู้ ดร้ ับเลอื ก ตามมาตรา ๑๑๙ ใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๑๑๒ มาตรา ๑๑๓ ดังกล่าวอยูใ่ นตาแหนง่ ได้เพยี งเทา่ อายขุ องวฒุ สิ ภาทเี่ หลอื อยู่ มาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๘ มาใช้บังคับกบั การเลือกตง้ั หรอื การ สรรหาสมาชกิ วฒุ สิ ภาในกรณีดังกล่าว และใหส้ มาชิกวฒุ ิสภาผเู้ ข้า การเลอื กสมาชกิ วุฒิสภาใหต้ ราเปน็ พระราชกฤษฎกี า และ มาแทนตาแหน่งท่ีว่างลงน้ัน อยูใ่ นตาแหนง่ ไดเ้ พียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ ภายในหา้ วนั นับแตว่ ันที่พระราชกฤษฎกี ามผี ลใช้บังคับ ให้ ของผูซ้ งึ่ ตนแทน เวน้ แตว่ าระของสมาชิกวุฒสิ ภาที่ว่างลงจะเหลอื ไม่ถงึ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ กาหนดวนั เร่ิมดาเนนิ การเพือ่ เลือกไม่ช้า หนง่ึ ร้อยแปดสิบวนั จะไมด่ าเนินการเลอื กตั้งหรอื การสรรหากไ็ ด้ กว่าสามสิบวันนบั แตว่ ันที่พระราชกฤษฎกี าดังกลา่ วมผี ลใช้บงั คับ การกาหนดดงั กล่าวให้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา และใหน้ าความ ในมาตรา ๑๐๔ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม มาตรา ๑๑๓ ให้มคี ณะกรรมการสรรหาสมาชกิ วฒุ ิสภาคณะหนึ่ง ประกอบดว้ ยประธานศาลรัฐธรรมนญู ประธานกรรมการการเลือกตงั้ ประธานผตู้ รวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทจุ ริตแหง่ ชาติ ประธานกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดิน ผพู้ ิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดารงตาแหนง่ ไมต่ า่ กว่าผูพ้ ิพากษาศาลฎกี าท่ีทปี่ ระชมุ ใหญ่ศาลฎีกา มอบหมายจานวนหน่งึ คนและตุลาการในศาลปกครองสูงสดุ ทท่ี ี่ประชมุ ใหญ่ตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ มอบหมายจานวนหนึ่งคน เป็นกรรมการ ทาหน้าท่ีสรรหาบคุ คลตามมาตรา ๑๑๔ ให้แลว้ เสร็จภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ ันทไ่ี ด้รบั บญั ชีรายชอ่ื จากคณะกรรมการการเลือกต้ัง แล้วแจ้งผลการ สรรหาให้คณะกรรมการการเลือกต้งั ประกาศผลผไู้ ดร้ บั การสรรหาเปน็ สมาชกิ วุฒิสภา ใหก้ รรมการตามวรรคหนึ่งเลอื กกันเองให้กรรมการผู้หน่ึงเปน็ ประธานกรรมการ ในกรณีทไ่ี ม่มีกรรมการในตาแหน่งใด หรอื มแี ต่ไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิ หน้าที่ได้ ถ้ากรรมการท่ีเหลืออยนู่ ้นั มีจานวนไม่น้อยกวา่ ก่ึงหนง่ึ ให้ คณะกรรมการสรรหาสมาชกิ วุฒิสภาประกอบด้วยกรรมการที่เหลอื อยู่
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๖๒ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ งั คบั บัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา มาตรา ๑๒๕ บคุ คลผู้มคี ณุ สมบตั ดิ ังตอ่ ไปนี้ เป็นผมู้ ีสิทธสิ มัคร รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รับเลือกตัง้ เป็นสมาชกิ วฒุ สิ ภา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๑๔ ให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒสิ ภาดาเนินการ (๑) มีสัญชาตไิ ทยโดยการเกิด สรรหาบุคคลที่มคี วามเหมาะสมจากผไู้ ด้รบั การเสนอช่ือจากองค์กร มาตรา ๑๐๘ สมาชิกวฒุ สิ ภาตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิและไม่มี (๒) มีอายไุ มต่ ่ากวา่ ส่ีสบิ ปบี รบิ ูรณใ์ นวนั เลือกต้ัง ตา่ ง ๆ ในภาควิชาการ ภาครฐั ภาคเอกชน ภาควิชาชพี และภาคอน่ื ที่ ลักษณะตอ้ งห้าม ดงั ต่อไปน้ี (๓) สาเรจ็ การศึกษาไมต่ า่ กวา่ ปรญิ ญาตรีหรอื เทียบเทา่ เปน็ ประโยชนใ์ นการปฏิบตั กิ ารตามอานาจหน้าท่ีของวุฒสิ ภาเป็น (๔) มลี ักษณะอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตามมาตรา ๑๐๗ (๕) สมาชกิ วฒุ ิสภาเทา่ จานวนท่จี ะพึงมีตามทีก่ าหนดในมาตรา ๑๑๑ ก. คณุ สมบัติ มาตรา ๑๒๖ บคุ คลผมู้ ลี ักษณะดงั ตอ่ ไปนี้ เปน็ บคุ คลต้องหา้ มมิ วรรคหน่ึง (๑) มีสญั ชาติไทยโดยการเกดิ ให้ใช้สทิ ธสิ มคั รรบั เลือกตั้งเปน็ สมาชิกวฒุ ิสภา (๒) มีอายไุ มต่ ่ากวา่ สสี่ ิบปใี นวันสมคั รรบั เลือก (๑) เป็นสมาชิกหรอื ผ้ดู ารงตาแหนง่ อื่นของพรรคการเมอื ง ในการสรรหาบุคคลตามวรรคหน่ึง ให้คานึงถึงความรู้ ความ (๓) มคี วามรู้ ความเชย่ี วชาญ และประสบการณ์ หรือ (๒) เปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือเคยเปน็ สมาชกิ สภา เช่ียวชาญ หรอื ประสบการณท์ จี่ ะเป็นประโยชน์ในการปฏบิ ัติงานของ ผูแ้ ทนราษฎรและพน้ จากการเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรมาแลว้ ยงั วุฒสิ ภาเปน็ สาคัญ และให้คานึงถงึ องค์ประกอบจากบคุ คลทม่ี คี วามรู้ ทางานในดา้ นทสี่ มัคร ไมน่ ้อยกว่าสิบปี หรอื เป็นผูม้ ลี กั ษณะตาม ไมเ่ กินหนง่ึ ปนี บั ถงึ วันสมคั รรบั เลือกตั้ง ความสามารถในด้านตา่ ง ๆ ที่แตกต่างกัน โอกาสและความเท่าเทยี มกัน หลกั เกณฑแ์ ละเง่ือนไขทีบ่ ัญญัตไิ วใ้ นพระราชบญั ญัตปิ ระกอบ (๓) เป็นหรือเคยเป็นสมาชกิ วุฒสิ ภาตามบทบญั ญตั ิแหง่ ทางเพศ สดั สว่ นของบุคคลในแตล่ ะภาคตามวรรคหนึ่งท่ีใกลเ้ คยี งกัน รัฐธรรมนญู ว่าด้วยการได้มาซ่ึงสมาชกิ วฒุ สิ ภา รัฐธรรมนูญน้ีในอายุของวุฒิสภาคราวกอ่ นการสมคั รรบั เลอื กตงั้ รวมท้ังการใหโ้ อกาสกับผดู้ อ้ ยโอกาสทางสังคมด้วย (๔) เกดิ มีชื่ออยใู่ นทะเบยี นบา้ น ทางาน หรือมคี วาม หลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเงอื่ นไขในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา เก่ยี วพนั กับพน้ื ท่ที สี่ มคั รตามหลกั เกณฑแ์ ละเงอื่ นไขทบี่ ญั ญตั ไิ ว้ใน ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการ พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการไดม้ าซง่ึ สมาชิกวฒุ ิสภา เลอื กตั้งสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรและการไดม้ าซึง่ สมาชิกวุฒสิ ภา ข. ลกั ษณะต้องหา้ ม มาตรา ๑๑๕ บคุ คลผู้มีคุณสมบัตแิ ละไมม่ ลี กั ษณะต้องหา้ ม ดงั ตอ่ ไปนี้เป็นผมู้ สี ิทธสิ มัครรับเลอื กตั้งหรือได้รับการเสนอชอ่ื เพ่ือเขา้ รบั การสรรหาเป็นสมาชิกวุฒสิ ภา (๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกดิ (๒) มอี ายุไมต่ า่ กวา่ ส่สี ิบปบี ริบรู ณใ์ นวันสมคั รรบั เลือกต้ังหรอื วันที่ไดร้ ับการเสนอชือ่ (๓) สาเรจ็ การศึกษาไมต่ า่ กวา่ ปรญิ ญาตรหี รือเทยี บเท่า (๔) ผสู้ มัครรบั เลอื กตงั้ เปน็ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลอื กตง้ั ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึง ดงั ต่อไปนด้ี ว้ ย (ก) มีชือ่ อยูใ่ นทะเบียนบ้านในจงั หวัดที่สมัครรบั เลือกต้งั มาแลว้ เปน็ เวลาตดิ ต่อกันไมน่ ้อยกวา่ หา้ ปีนบั ถึงวนั สมัครรับเลอื กตัง้ (ข) เป็นบคุ คลซ่งึ เกดิ ในจงั หวดั ทสี่ มคั รรบั เลอื กต้ัง (ค) เคยศึกษาในสถานศึกษาท่ีตงั้ อยใู่ นจงั หวดั ทส่ี มคั รรับ เลือกต้งั เป็นเวลาตดิ ต่อกนั ไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าปกี ารศกึ ษา
รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๖๓ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา (๔) เปน็ บคุ คลต้องห้ามมใิ ห้ใชส้ ทิ ธสิ มัครรับเลอื กต้งั ตามมาตรา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จดั ทา ๑๐๙ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรือ (๑๔) (ง) เคยรบั ราชการหรือเคยมีช่ืออยูใ่ นทะเบียนบ้านในจังหวดั รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๒๖ บคุ คลผูมีลกั ษณะดงั ตอไปนีเ้ ปนบุคคลตองหาม ท่สี มคั รรับเลือกต้ังเป็นเวลาตดิ ตอ่ กันไม่น้อยกว่าหา้ ปี มิใหใชสิทธิสมัครรบั เลือกตงั้ เปนสมาชิกวุฒิสภา (๑) เปน็ บคุ คลตอ้ งห้ามมิใหใ้ ชส้ ทิ ธสิ มัครรับเลอื กต้งั ตาม (๕) ไมเ่ ปน็ บุพการี ค่สู มรส หรือบตุ รของผ้ดู ารงตาแหน่ง มาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๕) (๑) เปนสมาชิกหรอื ผดู ารงตาแหนงอื่นของพรรคการเมือง สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรือผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง (๑๖) (๑๗) หรอื (๑๘) (๒) เปนสมาชิกสภาผแู ทนราษฎร หรอื เคยเปนสมาชิกสภาผู แทนราษฎรและพนจากการเปนสมาชกิ สภาผแู ทนราษฎรมาแลวยงั ไม (๖) ไม่เป็นสมาชิกหรอื ผูด้ ารงตาแหนง่ ใดในพรรคการเมือง (๒) เปน็ ขา้ ราชการ เกนิ หนงึ่ ปนบั ถงึ วันสมัครรับเลือกตั้ง หรือเคยเปน็ สมาชิกหรือเคยดารงตาแหนง่ และพน้ จากการเป็น (๓) เป็นหรอื เคยเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เว้นแตไ่ ด้พ้น (๓) เปนหรือเคยเปนสมาชกิ วุฒสิ ภาตามบทบญั ญตั แิ หงรฐั สมาชิกหรือการดารงตาแหน่งใด ๆ ในพรรคการเมืองมาแล้วยงั ไม่ จากการเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรมาแลว้ ไม่นอ้ ยกว่าห้าปีนับถงึ วนั ธรรมนญู นีใ้ นอายขุ องวฒุ สิ ภาคราวกอนการสมคั รรับเลอื กตั้ง เกนิ ห้าปนี ับถึงวนั สมคั รรบั เลือกต้งั หรอื วันท่ไี ดร้ บั การเสนอชือ่ สมัครรบั เลือก (๔) เปนบคุ คลตองหามมใิ หใชสิทธสิ มคั รรบั เลอื กต้งั ตามมาตรา (๔) เปน็ สมาชิกพรรคการเมอื ง ๑๐๙ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรอื (๗) ไม่เป็นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื เคยเปน็ สมาชกิ สภา (๕) เปน็ หรอื เคยเปน็ ผดู้ ารงตาแหนง่ ใดในพรรคการเมือง (๑๔) ผแู้ ทนราษฎรและพน้ จากการเปน็ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรมาแล้วไม่ เว้นแตไ่ ดพ้ น้ จากการดารงตาแหนง่ ในพรรคการเมืองมาแล้วไมน่ อ้ ย มาตรา ๑๒๗ วรรคหน่ึง สมาชิกวฒุ สิ ภาจะเป็นรัฐมนตรหี รือ เกินห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลอื กตั้งหรอื วนั ท่ไี ดร้ บั การเสนอชอ่ื กวา่ ห้าปนี ับถึงวนั สมัครรับเลือก ขา้ ราชการการเมอื งอื่นมไิ ด้ (๖) เป็นหรอื เคยเป็นรัฐมนตรี เว้นแตไ่ ด้พน้ จากการเปน็ (๘) เป็นบุคคลตอ้ งหา้ มมิใหใ้ ช้สทิ ธสิ มคั รรับเลอื กตง้ั ตามมาตรา รฐั มนตรมี าแล้วไมน่ ้อยกวา่ หา้ ปีนบั ถงึ วันสมัครรบั เลอื ก มาตรา ๑๓๐ อายขุ องวุฒิสภามีกาหนดคราวละหกปนี ับแต่วัน ๑๐๒ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรอื (๑๔) (๗) เป็นหรอื เคยเปน็ สมาชกิ สภาทอ้ งถิน่ หรอื ผูบ้ ริหาร เลือกต้งั ทอ้ งถิน่ เว้นแตไ่ ด้พน้ จากการเป็นสมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรือผู้บรหิ าร (๙) ไม่เป็นรัฐมนตรหี รอื ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งอน่ื ซงึ่ มิใช่ ท้องถิ่นมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าหา้ ปนี บั ถงึ วนั สมัครรบั เลอื ก มาตรา ๑๓๒ สมาชกิ ภาพของสมาชิกวุฒสิ ภาเรม่ิ ตัง้ แต่วัน สมาชิกสภาท้องถนิ่ หรอื ผ้บู ริหารท้องถิ่น หรอื เคยเป็นแตพ่ ้นจากตาแหน่ง (๘) เป็นบพุ การี คู่สมรส หรอื บุตรของผู้ดารงตาแหน่ง เลือกตง้ั ดังกล่าวมาแล้วยังไมเ่ กินหา้ ปี สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา ขา้ ราชการการเมอื ง สมาชิกสภาท้องถน่ิ หรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ผสู้ มัครรบั เลอื กเป็นสมาชิก มาตรา ๑๑๖ วรรคหน่ึง สมาชิกวุฒิสภาจะเป็นรัฐมนตรี ผูด้ ารง วุฒสิ ภาในคราวเดยี วกนั หรือผู้ดารงตาแหนง่ ในศาลรัฐธรรมนญู หรือ ตาแหน่งทางการเมอื งอืน่ หรือผดู้ ารงตาแหน่งในองค์กรอิสระตาม ในองค์กรอสิ ระ รัฐธรรมนูญ มไิ ด้ (๙) เคยดารงตาแหนง่ สมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนญู นี้ มาตรา ๑๑๗ สมาชิกภาพของสมาชกิ วุฒสิ ภาทม่ี าจากการเลือกตง้ั มาตรา ๑๐๙ อายุของวุฒสิ ภามีกาหนดคราวละหา้ ปนี ับแต่ เริม่ ตง้ั แตว่ นั ทีม่ กี ารเลอื กต้งั สมาชกิ วฒุ สิ ภา และสมาชกิ ภาพของสมาชิก วนั ประกาศผลการเลอื ก วฒุ ิสภาทมี่ าจากการสรรหาเรม่ิ ตง้ั แตว่ นั ทคี่ ณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศผลการสรรหา สมาชกิ ภาพของสมาชกิ วุฒสิ ภาเรม่ิ ตั้งแตว่ นั ที่คณะกรรมการ การเลอื กตงั้ ประกาศผลการเลอื ก สมาชิกภาพของสมาชิกวฒุ สิ ภามีกาหนดคราวละหกปนี บั แต่ วนั เลอื กต้ัง หรอื วนั ทีค่ ณะกรรมการการเลือกตัง้ ประกาศผลการ เมือ่ อายุของวุฒสิ ภาสน้ิ สดุ ลง ให้สมาชกิ วฒุ ิสภาอยใู่ นตาแหนง่ เพอ่ื ปฏิบตั หิ นา้ ทีต่ ่อไปจนกวา่ จะมสี มาชิกวฒุ สิ ภาขึน้ ใหม่
๖๔ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บังคบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผ้จู ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๓๑ เมอื่ อายขุ องวฒุ สิ ภาสิ้นสดุ ลง พระมหากษตั ริย์ สรรหา แลว้ แต่กรณี โดยสมาชกิ วฒุ สิ ภาจะดารงตาแหน่งตดิ ตอ่ กัน จะไดท้ รงตราพระราชกฤษฎีกาใหม้ ีการเลือกต้งั สมาชกิ วฒุ สิ ภาใหม่ เปน็ การเลอื กต้ังท่วั ไป ซ่ึงตอ้ งกาหนดวนั เลือกตั้งภายในสามสิบวนั นบั เกินหนึ่งวาระไมไ่ ด้ แต่วันทอี่ ายขุ องวฒุ ิสภาสิ้นสดุ ลง และวนั เลอื กตง้ั ต้องกาหนดเป็นวัน เดยี วกนั ทั่วราชอาณาจักร ใหส้ มาชกิ วฒุ สิ ภาซ่งึ สิ้นสุดสมาชกิ ภาพตามวาระ อยูใ่ น เพ่อื ประโยชนใ์ นการดาเนินการตามมาตรา ๑๖๘ ใหส้ มาชกิ ตาแหนง่ เพอื่ ปฏบิ ัตหิ น้าทีต่ ่อไปจนกวา่ จะมีสมาชกิ วฒุ ิสภาข้นึ ใหม่ วฒุ สิ ภาท่ีดารงตาแหน่งอยใู่ นวันท่อี ายุของวฒุ ิสภาสนิ้ สุดลงตามวรรค หน่งึ ทาหนา้ ที่ต่อไปจนกว่าสมาชิกวุฒสิ ภาทไี่ ดร้ ับเลอื กต้ังใหม่จะเขา้ มาตรา ๑๑๘ เม่ือวาระของสมาชิกวุฒิสภาซ่ึงมาจากการเลอื กตงั้ มาตรา ๑๑๐ เมื่ออายขุ องวุฒิสภาสนิ้ สดุ ลง ให้มีการเลือก รับหนา้ ท่ี สนิ้ สุดลง พระมหากษตั ริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาใหม้ กี าร สมาชิกวฒุ ิสภาใหม่ตามมาตรา ๑๐๗ วรรคห้า มาตรา ๑๓๓ สมาชกิ ภาพของสมาชิกวุฒิสภาส้ินสุดลง เม่ือ (๑) ถงึ คราวออกตามอายขุ องวฒุ สิ ภา เลือกตงั้ สมาชิกวุฒสิ ภาซ่ึงมาจากการเลอื กต้ังใหมเ่ ป็นการเลอื กต้ังทั่วไป (๒) ตาย (๓) ลาออก ซึง่ ต้องกาหนดวันเลือกต้ังภายในสามสบิ วันนับแต่วันท่ีวาระของสมาชิก (๔) ขาดคณุ สมบตั ติ ามมาตรา ๑๒๕ (๕) มีลกั ษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๑๒๖ วุฒสิ ภาซ่ึงมาจากการเลอื กตง้ั ส้นิ สดุ ลง และวันเลอื กต้ังนั้นต้องกาหนด (๖) มลี กั ษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๑๒๗ (๗) กระทาการอันต้องห้ามตามมาตรา ๑๒๘ เป็นวนั เดยี วกนั ท่ัวราชอาณาจักร (๘) วุฒิสภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ใหถ้ อดถอนออกจาก ตาแหนง่ หรือศาลรฐั ธรรมนญู มีคาวินจิ ฉัยให้พน้ จากสมาชิกภาพตาม เม่อื วาระของสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมาจากการสรรหาส้นิ สดุ ลง ให้ มาตรา ๙๖ ในกรณเี ชน่ น้ี ใหถ้ ือว่าสน้ิ สุดสมาชิกภาพนับแตว่ ันท่ี วุฒสิ ภามมี ตหิ รอื ศาลรัฐธรรมนญู มคี าวนิ ิจฉัย แล้วแต่กรณี คณะกรรมการการเลือกต้งั ประกาศกาหนดวันเรมิ่ การสรรหาและ ระยะเวลาการสรรหาสมาชกิ วฒุ ิสภา ซึง่ ตอ้ งทาการสรรหาให้แล้ว เสร็จภายในหกสิบวันนับแตว่ นั ที่วาระของสมาชกิ วฒุ ิสภาทีม่ าจาก การสรรหาส้ินสดุ ลง มาตรา ๑๑๙ สมาชิกภาพของสมาชกิ วุฒิสภาสิ้นสุดลง เม่ือ มาตรา ๑๑๑ สมาชิกภาพของสมาชกิ วุฒสิ ภาส้ินสุดลง เมอ่ื (๑) ถงึ คราวออกตามวาระ (๑) ถงึ คราวออกตามอายขุ องวฒุ สิ ภา (๒) ตาย (๒) ตาย (๓) ลาออก (๓) ลาออก (๔) ขาดคุณสมบตั หิ รอื มลี กั ษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๑๕ (๔) ขาดคณุ สมบตั ิหรือมลี ักษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๐๘ (๕) กระทาการอันต้องหา้ มตามมาตรา ๑๑๖ มาตรา ๒๖๕ (๕) ขาดประชมุ เกนิ จานวนหนง่ึ ในส่ีของจานวนวนั ประชมุ ใน หรือมาตรา ๒๖๖ สมยั ประชมุ ท่มี กี าหนดเวลาไมน่ อ้ ยกว่าหนง่ึ ร้อยยสี่ บิ วนั โดยไมไ่ ดร้ บั (๖) วฒุ ิสภามมี ตติ ามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนออกจากตาแหน่ง อนญุ าตจากประธานวฒุ ิสภา หรอื ศาลรฐั ธรรมนญู มคี าวินิจฉยั ให้พน้ จากสมาชกิ ภาพตามมาตรา ๙๑ (๖) ต้องคาพิพากษาถงึ ทสี่ ุดให้จาคุก แมจ้ ะมีการรอการลงโทษ หรอื ศาลฎีกามคี าสงั่ ตามมาตรา ๒๓๙ วรรคสอง หรอื มาตรา ๒๔๐ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทาโดยประมาท วรรคสาม ในกรณีเชน่ นี้ ใหถ้ ือวา่ ส้นิ สุดสมาชกิ ภาพนับแต่วันท่ีวุฒิสภามี ความผดิ ลหโุ ทษ หรอื ความผดิ ฐานหมนิ่ ประมาท มตหิ รือศาลมีคาวนิ จิ ฉัยหรอื มคี าส่งั แล้วแตก่ รณี (๗) กระทาการอนั เปน็ การฝ่าฝนื มาตรา ๑๑๓ หรือกระทาการ อนั ต้องหา้ มตามมาตรา ๑๘๔ หรอื มาตรา ๑๘๕
๖๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ (๙) ขาดประชมุ เกินจานวนหนึง่ ในสขี่ องจานวนวันประชมุ ใน (๗) ขาดประชุมเกินจานวนหน่ึงในส่ขี องจานวนวันประชุมในสมัย (๘) พ้นจากตาแหนง่ เพราะเหตตุ ามมาตรา ๑๔๔ หรอื มาตรา สมยั ประชมุ ท่มี กี าหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนงึ่ ร้อยยส่ี บิ วนั โดยไมไ่ ดร้ บั ประชุมที่มกี าหนดเวลาไมน่ ้อยกวา่ หน่ึงร้อยยี่สบิ วัน โดยไม่ไดร้ บั ๒๓๕ วรรคสาม อนุญาตจากประธานวฒุ สิ ภา อนุญาตจากประธานวฒุ ิสภา (๑๐) ถกู จาคกุ โดยคาพพิ ากษาถึงท่ีสดุ ใหจ้ าคุก เวน้ แต่ใน (๘) ตอ้ งคาพิพากษาถงึ ท่ีสุดให้จาคกุ แม้จะมีการรอการ ความผดิ อนั ได้กระทาโดยประมาทหรอื ความผดิ ลหโุ ทษ ลงโทษ เวน้ แต่เปน็ การรอการลงโทษในความผดิ อันไดก้ ระทาโดย ประมาท ความผิดลหุโทษ หรอื ความผิดฐานหม่ินประมาท มาตรา ๑๒๗ วรรคสอง บุคคลผเู้ คยดารงตาแหนง่ สมาชกิ มาตรา ๑๑๖ วรรคสอง บคุ คลผเู้ คยดารงตาแหนง่ สมาชกิ มาตรา ๑๑๒ บคุ คลผเู้ คยดารงตาแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและ วุฒสิ ภาและสมาชกิ ภาพสิน้ สุดลงมาแล้วยงั ไมเ่ กนิ หนึ่งปี เว้นแต่ วุฒสิ ภาและสมาชิกภาพสิน้ สุดลงมาแลว้ ยงั ไมเ่ กนิ สองปี จะเป็น สมาชกิ ภาพส้นิ สดุ ลงมาแลว้ ยงั ไมเ่ กินสองปี จะเปน็ รฐั มนตรหี รอื ผู้ สมาชกิ ภาพส้นิ สดุ ลงตามมาตรา ๑๓๓ (๑) จะเป็นรฐั มนตรีหรือ รฐั มนตรี หรอื ผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง มไิ ด้ ดารงตาแหน่งทางการเมอื งมิได้ เวน้ แต่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ขา้ ราชการการเมอื งอืน่ มไิ ด้ ผูบ้ ริหารทอ้ งถน่ิ มาตรา ๑๑๓ สมาชกิ วุฒิสภาตอ้ งไม่ฝกั ใฝห่ รอื ยอมตนอยู่ใต้ อาณตั ิของพรรคการเมอื งใด ๆ มาตรา ๑๓๕ ในการพจิ ารณาเลอื ก แตง่ ตั้ง ให้คาแนะนา หรือให้ มาตรา ๑๒๑ ในการที่วฒุ ิสภาจะพจิ ารณาใหบ้ ุคคลดารง ความเห็นชอบ ใหบ้ คุ คลดารงตาแหนง่ ใดตามมาตรา ๑๓๘ มาตรา ๑๔๓ ตาแหน่งใดตามบทบญั ญตั แิ หง่ รฐั ธรรมนญู นี้ ใหว้ ฒุ สิ ภาแต่งตงั้ มาตรา ๑๙๖ มาตรา ๑๙๙ มาตรา ๒๕๗ มาตรา ๒๖๑ มาตรา ๒๗๔ (๓) คณะกรรมาธกิ ารขน้ึ คณะหนึ่ง ทาหน้าทต่ี รวจสอบประวัติ ความ มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๘ มาตรา ๒๗๙ (๓) มาตรา ๒๙๗ มาตรา ๓๐๒ ประพฤติ และพฤตกิ รรมทางจริยธรรมของบคุ คลผไู้ ดร้ ับการเสนอช่ือ และมาตรา ๓๑๒ ให้วฒุ สิ ภาแต่งตงั้ คณะกรรมาธกิ ารขน้ึ คณะหนึ่ง ทา ใหด้ ารงตาแหน่งนัน้ รวมท้งั รวบรวมขอ้ เท็จจรงิ และพยานหลกั ฐาน หนา้ ทต่ี รวจสอบประวตั ิและความประพฤติของบคุ คลผ้ไู ดร้ บั การเสนอ อนั จาเป็น แล้วรายงานต่อวุฒสิ ภาเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณาตอ่ ไป ช่อื ใหด้ ารงตาแหน่งนน้ั รวมท้ังรวบรวมขอ้ เทจ็ จริงและพยานหลักฐาน การดาเนินการของคณะกรรมาธิการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตาม อันจาเปน็ แล้วรายงานต่อวฒุ ิสภาเพอ่ื ประกอบการพิจารณาต่อไป วิธีการที่กาหนดในข้อบังคับการประชุมวฒุ ิสภา การดาเนินการของคณะกรรมาธกิ ารตามวรรคหน่งึ ใหเ้ ป็นไปตาม วธิ ีการท่กี าหนดในข้อบังคับการประชมุ วุฒิสภา ส่วนท่ี ๕ สว่ นท่ี ๔ ไม่มกี ารแกไ้ ข บททีใ่ ชแ้ ก่สภาท้งั สอง บททใี่ ช้แกส่ ภาท้ังสอง มาตรา ๑๔๙ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา มาตรา ๑๒๒ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวฒุ ิสภา มาตรา ๑๑๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวฒุ ิสภา ยอ่ มเปน็ ผูแ้ ทนปวงชนชาวไทย และต้องปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ดว้ ยความ ย่อมเปน็ ผู้แทนปวงชนชาวไทยโดยไมอ่ ยู่ในความผูกมัดแหง่ อาณตั ิ ยอ่ มเปน็ ผู้แทนปวงชนชาวไทย ไมอ่ ยใู่ นความผูกมดั แหง่ อาณตั ิ ซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ เพอื่ ประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย มอบหมาย หรอื ความครอบงาใด ๆ และต้องปฏิบัตหิ น้าทดี่ ว้ ยความ มอบหมาย หรือความครอบงาใด ๆ และตอ้ งปฏบิ ัติหนา้ ทดี่ ว้ ยความ ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ เพอ่ื ประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย โดย ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ เพอ่ื ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุก ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๖๖ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ งั คับบญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา มาตรา ๑๕๐ กอ่ นเข้ารบั หนา้ ที่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ สมาชกิ วุฒิสภาตอ้ งปฏญิ าณตนในท่ปี ระชมุ แห่งสภาท่ีตนเป็นสมาชิก รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ด้วยถ้อยคาดงั ตอ่ ไปนี้ มาตรา ๑๖๒ วรรคสอง สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรมอี สิ ระ จากมติพรรคการเมอื งในการต้ังกระท้ถู าม การอภิปราย และการลง มาตรา ๑๑๕ ก่อนเขา้ รบั หนา้ ท่ี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร “ขา้ พเจา้ (ชอ่ื ผ้ปู ฏญิ าณ) ขอปฏญิ าณว่า ขา้ พเจา้ จะปฏบิ ตั ิ มติในการอภิปรายไมไ่ ว้วางใจ และสมาชกิ วุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชมุ แห่งสภาทตี่ นเป็น หนา้ ที่ด้วยความซื่อสัตยส์ ุจริต เพือ่ ประโยชนส์ ว่ นรวมของปวงชนชาว สมาชิกด้วยถอ้ ยคา ดังตอ่ ไปนี้ ไทย ท้ังจะรักษาไว้และปฏบิ ตั ติ ามซงึ่ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร มาตรา ๑๒๓ ก่อนเขา้ รบั หน้าท่ี สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ไทยทุกประการ” และสมาชิกวุฒสิ ภาต้องปฏิญาณตนในทปี่ ระชุมแหง่ สภาทต่ี นเปน็ “ขา้ พเจ้า (ชอ่ื ผปู้ ฏญิ าณ) ขอปฏญิ าณว่า ข้าพเจา้ จะปฏิบตั ิ สมาชิกดว้ ยถอ้ ยคาดังตอ่ ไปน้ี หนา้ ทีด่ ้วยความซื่อสัตยส์ จุ ริต เพื่อประโยชนข์ องประเทศและประชาชน มาตรา ๑๕๑ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒสิ ภาแตล่ ะสภา มปี ระธาน ท้งั จะรกั ษาไว้และปฏิบตั ิตามซง่ึ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย สภาคนหนึง่ และรองประธานคนหน่ึงหรือสองคน ซง่ึ พระมหากษตั รยิ ์ทรง “ข้าพเจา้ (ชอื่ ผู้ปฏิญาณ) ขอปฏญิ าณว่า ข้าพเจา้ จะปฏิบตั ิ ทกุ ประการ” แต่งตง้ั จากสมาชกิ แหง่ สภาน้ัน ๆ ตามมติของสภา หน้าที่ดว้ ยความซ่อื สตั ย์สจุ รติ เพื่อประโยชนข์ องประเทศและประชาชน ทงั้ จะรักษาไวแ้ ละปฏบิ ตั ติ ามซ่งึ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย มาตรา ๑๑๖ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒิสภาแตล่ ะสภา มี มาตรา ๑๕๒ วรรคหนึง่ ประธานและรองประธานสภา ทกุ ประการ” ประธานสภาคนหนง่ึ และรองประธานคนหน่งึ หรือสองคน ซ่งึ ผู้แทนราษฎรดารงตาแหนง่ จนส้นิ อายุของสภาหรอื มกี ารยุบสภา พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั จากสมาชกิ แห่งสภานั้น ๆ ตามมตขิ องสภา มาตรา ๑๒๔ วรรคหนงึ่ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒสิ ภาแต่ละ วรรคสอง ประธานและรองประธานวฒุ สิ ภาดารงตาแหนง่ สภา มปี ระธานสภาคนหนง่ึ และรองประธานคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่ง ในระหวา่ งการดารงตาแหนง่ ประธานและรองประธานสภา จนถงึ วนั ก่อนวันเลือกประธานและรองประธานวฒุ สิ ภาใหม่ พระมหากษตั รยิ ์ทรงแตง่ ตัง้ จากสมาชกิ แห่งสภาน้นั ๆ ตามมติของสภา ผแู้ ทนราษฎรจะเป็นกรรมการบรหิ ารหรือดารงตาแหนง่ ใดในพรรค การเมอื งขณะเดยี วกนั มไิ ด้ มาตรา ๑๕๒ วรรคสาม ประธานและรองประธานสภาผู้แทน วรรคหา้ ในระหวา่ งการดารงตาแหนง่ ประธานและรอง ราษฎร และประธานและรองประธานวุฒสิ ภา ย่อมพน้ จากตาแหนง่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเปน็ กรรมการบรหิ ารหรือดารงตาแหน่ง มาตรา ๑๑๗ ประธานและรองประธานสภาผ้แู ทนราษฎร ก่อนวาระตามวรรคหนง่ึ หรือวรรคสอง แล้วแตก่ รณี เมื่อ ใดในพรรคการเมืองขณะเดยี วกนั มไิ ด้ ดารงตาแหน่งจนสิ้นอายขุ องสภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื มกี ารยุบสภา ผูแ้ ทนราษฎร (๑) ขาดจากสมาชกิ ภาพแหง่ สภาทตี่ นเปน็ สมาชกิ มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง ประธานและรองประธานสภา (๒) ลาออกจากตาแหน่ง ผู้แทนราษฎรดารงตาแหน่งจนสน้ิ อายุของสภาหรือมกี ารยุบสภา ประธานและรองประธานวุฒสิ ภาดารงตาแหน่งจนถึงวนั สนิ้ อายขุ องวุฒิสภา เวน้ แตใ่ นระหว่างเวลาตามมาตรา ๑๐๙ วรรคสาม วรรคสาม ประธานและรองประธานวฒุ สิ ภาดารงตาแหน่ง ใหป้ ระธานและรองประธานวฒุ ิสภายงั คงอยู่ในตาแหน่งเพือ่ ปฏิบตั ิ จนถงึ วนั กอ่ นวนั เลอื กประธานและรองประธานวุฒสิ ภาใหม่ หนา้ ท่ตี อ่ ไป มาตรา ๑๒๔ วรรคสี่ ประธานและรองประธานสภาผู้แทน มาตรา ๑๑๘ ประธานและรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ราษฎร และประธานและรองประธานวฒุ ิสภา ย่อมพ้นจากตาแหน่ง และประธานและรองประธานวุฒิสภา ยอ่ มพน้ จากตาแหนง่ กอ่ น กอ่ นวาระตามวรรคสองหรือวรรคสาม แลว้ แต่กรณี เมอื่ วาระตามมาตรา ๑๑๗ เมอ่ื (๑) ขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาที่ตนเปน็ สมาชกิ (๑) ขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาท่ตี นเปน็ สมาชิก (๒) ลาออกจากตาแหน่ง (๒) ลาออกจากตาแหนง่
๖๗ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คบั บญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (๓) ดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรี รฐั มนตรี หรือขา้ ราชการ (๓) ดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรี รัฐมนตรี หรือขา้ ราชการ (๓) ดารงตาแหนง่ นายกรัฐมนตรี รฐั มนตรี หรือข้าราชการ การเมอื งอืน่ การเมอื งอน่ื การเมอื งอนื่ (๔) ต้องคาพิพากษาใหจ้ าคุก (๔) ตอ้ งคาพิพากษาใหจ้ าคุก แมค้ ดีนั้นจะยังไม่ถงึ ทส่ี ุดหรือมี (๔) ต้องคาพิพากษาให้จาคกุ แมค้ ดนี ้นั จะยงั ไม่ถึงท่สี ดุ หรอื มี การรอการลงโทษ เวน้ แต่เปน็ กรณีทคี่ ดยี งั ไมถ่ งึ ท่ีสุดหรือมีการรอการ การรอการลงโทษ เว้นแต่เปน็ กรณีท่คี ดียังไม่ถึงท่สี ุดหรือมีการรอ ลงโทษในความผิดอนั ไดก้ ระทาโดยประมาท ความผดิ ลหุโทษ หรือ การลงโทษในความผดิ อนั ได้กระทาโดยประมาท ความผดิ ลหโุ ทษ ความผดิ ฐานหมิ่นประมาท หรอื ความผิดฐานหม่นิ ประมาท มาตรา ๑๕๓ ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรและประธานวุฒิสภา มาตรา ๑๒๕ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธาน มาตรา ๑๑๙ ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรและประธานวฒุ ิสภา มอี านาจหนา้ ที่ดาเนนิ กิจการของสภาน้ัน ๆ ให้เป็นไปตามข้อบงั คับ วฒุ สิ ภามอี านาจหน้าทด่ี าเนินกิจการของสภานั้น ๆ ให้เปน็ ไปตาม มหี นา้ ท่ีและอานาจดาเนินกจิ การของสภานั้น ๆ ใหเ้ ป็นไปตาม รองประธานมีอานาจหนา้ ท่ีตามทปี่ ระธานมอบหมายและปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ ขอ้ บงั คบั รองประธานมอี านาจหนา้ ทตี่ ามท่ีประธานมอบหมายและ ข้อบงั คบั รองประธานสภามหี นา้ ทีแ่ ละอานาจตามทปี่ ระธานสภา แทนประธานเมื่อประธานไม่อยหู่ รอื ไม่สามารถปฏบิ ัตหิ นา้ ทไ่ี ด้ ปฏิบตั ิหนา้ ทแ่ี ทนประธานเมอ่ื ประธานไมอ่ ย่หู รือไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิ มอบหมาย และปฏบิ ตั หิ นา้ ทแ่ี ทนประธานสภาเมื่อประธานสภาไม่ ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ประธานวฒุ ิสภา และผู้ทาหนา้ ท่ี หน้าทไ่ี ด้ อยหู่ รือไมส่ ามารถปฏบิ ตั หิ น้าท่ีได้ แทน ตอ้ งวางตนเปน็ กลางในการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร ประธานวฒุ สิ ภา และผู้ทาหน้าที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวฒุ ิสภา และผูท้ าหน้าท่ี มาตรา ๑๕๔ เม่อื ประธานและรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร แทน ต้องวางตนเปน็ กลางในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี แทน ตอ้ งวางตนเป็นกลางในการปฏิบัตหิ น้าท่ี หรอื ประธานและรองประธานวฒุ สิ ภาไม่อย่ใู นที่ประชุม ใหส้ มาชิกแห่ง เม่ือประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธาน เมอ่ื ประธานและรองประธานสภาผ้แู ทนราษฎรหรือประธาน สภานัน้ ๆ เลอื กต้ังกนั ขึน้ เองเป็นประธานในคราวประชุมนั้น และรองประธานวฒุ ิสภาไมอ่ ยู่ในที่ประชมุ ใหส้ มาชิกแห่งสภาน้ัน ๆ และรองประธานวุฒสิ ภาไม่อยใู่ นท่ปี ระชุม ให้สมาชิกแหง่ สภานนั้ ๆ เลอื กกนั เองให้สมาชิกคนหนึ่งเป็นประธานในคราวประชุมน้นั เลือกกนั เองใหส้ มาชิกคนหน่ึงเป็นประธานในคราวประชุมนนั้ มาตรา ๑๕๕ การประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎรและการประชมุ มาตรา ๑๒๖ การประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎรและการประชุม มาตรา ๑๒๐ การประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎรและการประชุม วุฒสิ ภาต้องมสี มาชิกมาประชุมไมน่ ้อยกวา่ ก่งึ หนงึ่ ของจานวนสมาชกิ วฒุ ิสภาต้องมสี มาชกิ มาประชมุ ไมน่ ้อยกวา่ กง่ึ หนง่ึ ของจานวนสมาชกิ วุฒสิ ภาตอ้ งมสี มาชิกมาประชมุ ไมน่ อ้ ยกว่ากึ่งหนง่ึ ของจานวนสมาชิก ทั้งหมดเทา่ ที่มีอยขู่ องแตล่ ะสภาจงึ จะเปน็ องค์ประชมุ เวน้ แตใ่ นกรณี ทง้ั หมดเท่าท่ีมีอย่ขู องแตล่ ะสภา จงึ จะเป็นองคป์ ระชุม เวน้ แต่ใน ท้ังหมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องแตล่ ะสภา จงึ จะเป็นองคป์ ระชมุ เว้นแต่ใน การพิจารณาระเบียบวาระกระทูถ้ ามตามมาตรา ๑๘๓ และมาตรา กรณกี ารพจิ ารณาระเบียบวาระกระทถู้ ามตามมาตรา ๑๕๖ และ กรณีการพิจารณาระเบยี บวาระกระทู้ สภาผ้แู ทนราษฎรหรือวฒุ สิ ภา ๑๘๔ สภาผู้แทนราษฎรและวฒุ สิ ภาจะกาหนดเรอื่ งองคป์ ระชมุ ไว้ใน มาตรา ๑๕๗ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒสิ ภาจะกาหนดเร่ืององค์ จะกาหนดองค์ประชุมไวใ้ นข้อบังคบั เป็นอยา่ งอื่นกไ็ ด้ ข้อบงั คับเป็นอย่างอนื่ ก็ได้ ประชุมไวใ้ นข้อบังคับเป็นอยา่ งอ่ืนกไ็ ด้ การลงมตวิ นิ จิ ฉยั ข้อปรึกษาให้ถือเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ มาตรา ๑๕๖ การลงมตวิ นิ ิจฉัยขอ้ ปรกึ ษาใหถ้ อื เอาเสยี งข้าง การลงมติวนิ จิ ฉัยขอ้ ปรกึ ษาใหถ้ อื เอาเสียงขา้ งมากเปน็ เว้นแต่ท่มี ีบัญญตั ไิ วเ้ ปน็ อยา่ งอ่ืนในรฐั ธรรมนญู มากเปน็ ประมาณ เวน้ แตท่ ่มี ีบญั ญตั ิไว้เป็นอย่างอน่ื ในรฐั ธรรมนญู น้ี ประมาณ เวน้ แต่ท่มี ีบัญญตั ิไว้เปน็ อยา่ งอ่นื ในรัฐธรรมนญู น้ี สมาชกิ คนหน่ึงย่อมมเี สยี งหนง่ึ ในการออกเสียงลงคะแนน ถ้ามี สมาชกิ คนหนงึ่ ยอ่ มมเี สยี งหนงึ่ ในการออกเสียงลงคะแนน ถา้ มี สมาชกิ คนหนง่ึ ย่อมมเี สยี งหนง่ึ ในการออกเสียงลงคะแนน ถ้ามี คะแนนเสยี งเท่ากันใหป้ ระธานในทป่ี ระชุมออกเสยี งเพม่ิ ขึน้ อกี เสียง คะแนนเสยี งเท่ากนั ให้ประธานในที่ประชุมออกเสยี งเพม่ิ ขนึ้ อกี เสียง คะแนนเสยี งเทา่ กัน ให้ประธานในที่ประชมุ ออกเสียงเพมิ่ ขนึ้ อกี เสยี ง หนึ่งเป็นเสียงช้ขี าด หน่ึงเป็นเสยี งชข้ี าด หนงึ่ เป็นเสียงชี้ขาด รายงานการประชุมและบันทกึ การออกเสยี งลงคะแนนของ ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ประธานรฐั สภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธาน สมาชิกแตล่ ะคน ตอ้ งเปดิ เผยใหป้ ระชาชนทราบได้ทั่วไป เว้นแต่ ต้องจดั ใหม้ กี ารบนั ทึกการออกเสยี งลงคะแนนของสมาชิกแต่ละคน วุฒสิ ภา ตอ้ งจัดใหม้ กี ารบนั ทึกการออกเสยี งลงคะแนนของสมาชิก กรณีการประชุมลบั หรือการออกเสียงลงคะแนนเปน็ การลับ
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๖๘ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา และเปดิ เผยบนั ทกึ ดงั กล่าวไว้ในทที่ ีป่ ระชาชนอาจเขา้ ไปตรวจสอบได้ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เวน้ แต่กรณีการออกเสียงลงคะแนนเป็นการลบั รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ แต่ละคน และเปดิ เผยบนั ทึกดังกลา่ วไวใ้ นทที่ ป่ี ระชาชนอาจเขา้ ไป การออกเสียงลงคะแนนเลอื กหรอื ให้ความเหน็ ชอบให้บคุ คล ตรวจสอบได้ เว้นแต่กรณกี ารออกเสียงลงคะแนนเปน็ การลับ การออกเสียงลงคะแนนเลือกหรือใหค้ วามเห็นชอบให้บคุ คล ดารงตาแหนง่ ใด ใหก้ ระทาเป็นการลบั เว้นแต่ทมี่ ีบัญญัติไวเ้ ป็นอย่าง ดารงตาแหนง่ ใด ให้กระทาเป็นการลับ เวน้ แตท่ มี่ บี ญั ญตั ิไวเ้ ป็นอย่าง อ่ืนในรฐั ธรรมนญู นี้ และสมาชกิ ยอ่ มมีอิสระและไม่ถูกผกู พันโดยมติ การออกเสยี งลงคะแนนเลอื กหรอื ใหค้ วามเหน็ ชอบใหบ้ คุ คลดารง อืน่ ในรัฐธรรมนญู ของพรรคการเมืองหรอื อาณัติอนื่ ใด ตาแหน่งใด ให้กระทาเป็นการลบั เวน้ แตท่ ีม่ ีบญั ญัตไิ ว้เป็นอย่างอ่นื ใน รัฐธรรมนญู น้ี และสมาชิกย่อมมีอสิ ระและไม่ถกู ผกู พนั โดยมตขิ องพรรค มาตรา ๑๒๑ ภายในสบิ ห้าวนั นบั แต่วนั ประกาศผลการ มาตรา ๑๕๙ ภายในสามสบิ วันนบั แตว่ นั เลือกตั้งสมาชิกสภา การเมอื งหรืออาณตั ิอ่นื ใด เลือกตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรอนั เป็นการเลอื กตั้งท่วั ไป ใหม้ กี าร ผ้แู ทนราษฎร ให้มกี ารเรียกประชมุ รฐั สภาเพ่อื ใหส้ มาชิกไดม้ าประชมุ เรียกประชุมรฐั สภาเพ่ือใหส้ มาชิกไดม้ าประชุมเปน็ ครง้ั แรก ครงั้ แรก มาตรา ๑๒๗ ภายในสามสบิ วันนบั แตว่ นั เลอื กต้ังสมาชิกสภา ผ้แู ทนราษฎร ให้มกี ารเรยี กประชมุ รัฐสภาเพ่อื ให้สมาชกิ ไดม้ า ในปหี นง่ึ ใหม้ สี มยั ประชมุ สามญั ของรฐั สภาสองสมัย ๆ หน่ึงให้ ในปีหนึง่ ให้มสี มยั ประชมุ สามญั ท่ัวไป และสมยั ประชุมสามญั ประชมุ คร้ังแรก มกี าหนดเวลาหน่ึงร้อยยสี่ ิบวนั แตพ่ ระมหากษตั ริยจ์ ะโปรดเกลา้ นติ ิบญั ญตั ิ โปรดกระหมอ่ มใหข้ ยายเวลาออกไปกไ็ ด้ ในปหี นึ่งให้มสี มัยประชุมสามญั ทั่วไป และสมยั ประชุมสามญั วันประชุมครงั้ แรกตามวรรคหนึ่ง ใหถ้ ือเปน็ วนั เริม่ สมัยประชมุ นติ ิบญั ญตั ิ การปดิ สมยั ประชุมสามญั ประจาปกี อ่ นครบกาหนดเวลาหนึ่ง สามญั ท่วั ไป ส่วนวันเรม่ิ สมัยประชมุ สามญั นิตบิ ญั ญตั ใิ หส้ ภาผูแ้ ทน รอ้ ยย่สี ิบวนั จะกระทาได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของรัฐสภา ราษฎรเป็นผู้กาหนด ในกรณที ี่การเรมิ่ ประชมุ ครงั้ แรกตามวรรคหนงึ่ มี วนั ประชุมครัง้ แรกตามวรรคหน่งึ ให้ถอื เป็นวันเรมิ่ สมยั ประชมุ เวลาจนถึงสนิ้ ปีปฏทิ นิ ไม่ถงึ หน่ึงรอ้ ยห้าสบิ วนั จะไม่มกี ารประชมุ สมยั สามญั ท่ัวไป สว่ นวนั เริม่ สมัยประชมุ สามัญนติ บิ ญั ญตั ิใหส้ ภาผู้แทน วันประชุมครงั้ แรกตามวรรคหนง่ึ ให้ถอื เปน็ วนั เรม่ิ สมยั ประชุม สามญั นติ บิ ัญญัตสิ าหรบั ปีนัน้ ก็ได้ ราษฎรเปน็ ผูก้ าหนด ในกรณที ่ีการเรม่ิ ประชุมคร้ังแรกตามวรรคหนึ่งมเี วลา สามญั ประจาปคี รั้งที่หน่งึ ส่วนวนั เริ่มสมัยประชุมสามัญประจาปคี รงั้ จนถึงสน้ิ ปปี ฏิทนิ ไมถ่ งึ หน่งึ รอ้ ยห้าสบิ วนั จะไม่มกี ารประชมุ สมยั สามัญ ทส่ี อง ให้เปน็ ไปตามทส่ี ภาผู้แทนราษฎรกาหนด แตใ่ นกรณีท่กี าร ในสมยั ประชมุ สามญั นติ ิบัญญัติ ใหร้ ัฐสภาดาเนนิ การประชมุ ได้ นติ บิ ัญญัติสาหรบั ปีน้ันก็ได้ ประชมุ คร้ังแรกตามวรรคหน่ึงมีเวลาจนถงึ ส้นิ ปปี ฏิทินไมเ่ พยี ง เฉพาะกรณที ีบ่ ัญญตั ิไวใ้ นหมวด ๒ หรือการพจิ ารณาร่างพระราช พอทจ่ี ะจัดให้มกี ารประชมุ สมยั ประชุมสามญั ประจาปีคร้ังที่สอง จะ บัญญัตหิ รอื ร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ การอนุมตั ิพระ ในสมัยประชุมสามัญนิตบิ ญั ญัติ ให้รัฐสภาดาเนนิ การประชมุ ได้ ไมม่ กี ารประชุมสมยั สามัญประจาปีครัง้ ท่ีสองสาหรับปนี ้ันก็ได้ ราชกาหนด การให้ความเหน็ ชอบในการประกาศสงคราม การให้ เฉพาะกรณีที่บัญญตั ิไวใ้ นหมวด ๒ หรือการพจิ ารณาร่างพระราช ความเห็นชอบหนังสือสญั ญา การเลอื กหรอื การให้ความเหน็ ชอบให้ บญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบญั ญตั ิ การอนุมัติพระ บุคคลดารงตาแหน่ง การถอดถอนบุคคลออกจากตาแหน่ง การตงั้ ราชกาหนด การใหค้ วามเห็นชอบในการประกาศสงคราม การรับฟัง กระทู้ถาม และการแกไ้ ขเพิ่มเติมรฐั ธรรมนญู เว้นแต่รัฐสภาจะมมี ติให้ คาชแี้ จงและการให้ความเหน็ ชอบหนงั สือสัญญา การเลอื กหรอื การให้ พจิ ารณาเรื่องอืน่ ใดด้วยคะแนนเสยี งเกนิ กึ่งหนึง่ ของจานวนสมาชกิ ความเหน็ ชอบให้บคุ คลดารงตาแหน่ง การถอดถอนบุคคลออกจาก ทง้ั หมดเทา่ ที่มีอยขู่ องทั้งสองสภา ตาแหน่ง การตั้งกระทู้ถาม และการแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ รฐั ธรรมนูญ เวน้ แต่ รัฐสภาจะมมี ติใหพ้ จิ ารณาเรื่องอ่ืนใดดว้ ยคะแนนเสยี งมากกว่าก่ึงหนึ่ง มาตรา ๑๖๐ สมัยประชุมสามญั ของรฐั สภาสมัยหนึ่ง ๆ ใหม้ ี ของจานวนสมาชกิ ทั้งหมดเทา่ ท่มี อี ยูข่ องท้ังสองสภา กาหนดเวลาหน่ึงรอ้ ยยสี่ บิ วัน แต่พระมหากษตั ริยจ์ ะโปรดเกลา้ โปรด กระหม่อมใหข้ ยายเวลาออกไปกไ็ ด้ สมยั ประชมุ สามญั ของรฐั สภาสมยั หนึง่ ๆ ใหม้ กี าหนดเวลา หนึง่ ร้อยยีส่ ิบวัน แต่พระมหากษัตรยิ จ์ ะโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมให้ ขยายเวลาออกไปกไ็ ด้
๖๙ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคับบัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ การปิดสมัยประชุมสามัญก่อนครบกาหนดเวลาหน่ึงรอ้ ยยสี่ บิ วัน การปดิ สมัยประชุมสมยั สามญั กอ่ นครบกาหนดเวลาหนง่ึ ร้อย จะกระทาได้แตโ่ ดยความเห็นชอบของรัฐสภา ยีส่ ิบวนั จะกระทาได้แต่โดยความเห็นชอบของรัฐสภา มาตรา ๑๖๑ พระมหากษัตริยท์ รงเรียกประชมุ รัฐสภา ทรง มาตรา ๑๒๘ พระมหากษตั ริยท์ รงเรยี กประชมุ รฐั สภา ทรง มาตรา ๑๒๒ พระมหากษตั ริย์ทรงเรยี กประชมุ รฐั สภา ทรง เปิดและทรงปดิ ประชมุ เปิดและทรงปดิ ประชมุ เปิดและทรงปดิ ประชมุ พระมหากษตั ริยจ์ ะเสดจ็ พระราชดาเนนิ มาทรงทารฐั พิธเี ปดิ พระมหากษัตริย์จะเสดจ็ พระราชดาเนนิ มาทรงทารัฐพธิ เี ปดิ พระมหากษตั ริย์จะเสด็จพระราชดาเนินมาทรงทารัฐพธิ ีเปดิ ประชมุ สมัยประชุมสามญั ท่ัวไปครงั้ แรกตาม มาตรา ๑๕๙ วรรคหน่งึ ประชุมสมัยประชุมสามญั ทั่วไปคร้งั แรกตามมาตรา ๑๒๗ วรรคหนึง่ ประชุมสมยั ประชมุ สามญั ประจาปคี ร้ังแรกดว้ ยพระองค์เอง หรือจะ ด้วยพระองค์เอง หรอื จะโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มให้พระรชั ทายาท ด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มให้พระรชั ทายาทซ่ึง โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มใหพ้ ระรัชทายาทซงึ่ ทรงบรรลุนติ ภิ าวะ ซ่งึ บรรลนุ ิติภาวะแล้ว หรือผใู้ ดผหู้ นงึ่ เปน็ ผแู้ ทนพระองค์ มาทารัฐพธิ ีก็ได้ บรรลนุ ติ ิภาวะแลว้ หรือผู้ใดผหู้ นง่ึ เป็นผแู้ ทนพระองค์ มาทารัฐพิธกี ็ได้ แล้ว หรือผู้ใดผู้หนง่ึ เปน็ ผู้แทนพระองค์ มาทารัฐพิธกี ไ็ ด้ มาตรา ๑๖๒ เมื่อมคี วามจาเป็นเพ่ือประโยชนแ์ หง่ รัฐ เมื่อมคี วามจาเปน็ เพ่ือประโยชน์แหง่ รฐั พระมหากษตั ริยจ์ ะ เม่ือมคี วามจาเปน็ เพอื่ ประโยชน์แหง่ รัฐ พระมหากษตั ริยจ์ ะ พระมหากษตั รยิ ์จะทรงเรยี กประชมุ รัฐสภาเปน็ การประชมุ สมยั ทรงเรยี กประชุมรฐั สภาเป็นการประชุมสมยั วสิ ามญั กไ็ ด้ ทรงเรยี กประชุมรฐั สภาเป็นการประชมุ สมัยวสิ ามญั กไ็ ด้ วิสามญั กไ็ ด้ ภายใต้บังคบั มาตรา ๑๒๙ การเรียกประชุม การขยายเวลา ภายใตบ้ งั คับมาตรา ๑๒๓ และมาตรา ๑๒๖ การเรียกประชมุ มาตรา ๑๖๔ ภายใต้บังคบั มาตรา ๑๖๓ การเรียกประชุม การ ประชมุ และการปดิ ประชุมรัฐสภา ใหก้ ระทาโดยพระราชกฤษฎีกา การขยายเวลาประชุม และการปดิ ประชุมรฐั สภา ใหก้ ระทาโดยพระ ขยายเวลาประชมุ และการปดิ ประชุมรฐั สภา ให้กระทาโดยพระราช ราชกฤษฎีกา กฤษฎีกา มาตรา ๑๖๓ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้ง มาตรา ๑๒๙ ตรงกับความในมาตรา ๑๖๓ ของรฐั ธรรมนญู มาตรา ๑๒๓ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชิกวุฒสิ ภา สองสภารวมกนั หรอื สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มจี านวนไมน่ อ้ ยกว่า แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ท้ังสองสภารวมกัน หรอื สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร มจี านวนไม่นอ้ ย หนง่ึ ในสามของจานวนสมาชกิ ท้งั หมดเทา่ ท่มี ีอยู่ของทัง้ สองสภา มี กวา่ หนึง่ ในสามของจานวนสมาชิกท้งั หมดเทา่ ท่มี อี ยู่ของท้ังสองสภา สทิ ธิเขา้ ชื่อร้องขอใหน้ าความกราบบังคมทูลเพอ่ื มพี ระบรมราช มีสทิ ธิเขา้ ชอ่ื ร้องขอต่อประธานรฐั สภาใหน้ าความกราบบงั คมทูลเพอื่ โองการประกาศเรยี กประชุมรฐั สภาเป็นการประชุมสมยั วสิ ามญั ได้ มีพระบรมราชโองการประกาศเรยี กประชุมรฐั สภาเปน็ การประชุม คาร้องขอดงั กลา่ วในวรรคหนงึ่ ให้ย่ืนตอ่ ประธานรัฐสภา สมยั วสิ ามญั ได้ ให้ประธานรฐั สภานาความกราบบงั คมทูลและลงนามรบั สนอง ใหป้ ระธานรัฐสภานาความกราบบงั คมทูลและลงนามรบั สนอง พระบรมราชโองการ พระบรมราชโองการ มาตรา ๑๕๗ ในทปี่ ระชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร ทปี่ ระชุมวฒุ สิ ภา หรอื มาตรา ๑๓๐ ในท่ปี ระชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร ทปี่ ระชมุ วุฒิสภา มาตรา ๑๒๔ ในท่ีประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎร ท่ปี ระชุม ทีป่ ระชมุ รว่ มกนั ของรฐั สภา สมาชิกผใู้ ดจะกลา่ วถ้อยคาใดในทางแถลง หรือทป่ี ระชมุ รว่ มกันของรฐั สภา สมาชิกผใู้ ดจะกลา่ วถอ้ ยคาใด วฒุ สิ ภา หรอื ทปี่ ระชุมรว่ มกันของรฐั สภา สมาชิกผู้ใดจะกลา่ วถ้อยคา ขอ้ เทจ็ จรงิ แสดงความ คดิ เหน็ หรอื ออกเสยี งลงคะแนน ยอ่ มเปน็ เอกสทิ ธ์ิ ในทางแถลงขอ้ เทจ็ จริง แสดงความคดิ เหน็ หรอื ออกเสยี งลงคะแนน ใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเหน็ หรือออกเสียง โดยเดด็ ขาด ผู้ใดจะนาไปเปน็ เหตุฟอ้ งร้องวา่ กลา่ วสมาชกิ ผู้น้นั ในทางใด ยอ่ มเป็นเอกสทิ ธโิ์ ดยเดด็ ขาด ผู้ใดจะนาไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากลา่ ว ลงคะแนน ยอ่ มเป็นเอกสิทธ์โิ ดยเด็ดขาด ผใู้ ดจะนาไปเป็นเหตุ มิได้ สมาชิกผ้นู ั้นในทางใดมไิ ด้ ฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผนู้ น้ั ในทางใด ๆ มไิ ด้ เอกสิทธิ์ตามวรรคหน่ึงไมค่ ุ้มครองสมาชกิ ผู้กลา่ วถอ้ ยคาในการ เอกสทิ ธิต์ ามวรรคหน่งึ ไมค่ มุ้ ครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคาในการ เอกสทิ ธติ์ ามวรรคหนึ่งไมค่ ุ้มครองสมาชิกผู้กลา่ วถ้อยคาในการ ประชมุ ทมี่ กี ารถ่ายทอดทางวทิ ยุกระจายเสียงหรอื วทิ ยุโทรทศั น์ หาก ประชมุ ท่มี ีการถา่ ยทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทศั น์ หาก ประชมุ ทม่ี ีการถา่ ยทอดทางวทิ ยกุ ระจายเสยี งหรือวทิ ยุโทรทัศน์หรือ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๗๐ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ถอ้ ยคาที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบรเิ วณรฐั สภา และการกล่าว รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา ถอ้ ยคานน้ั มีลกั ษณะเปน็ ความผดิ ทางอาญาหรือละเมดิ สทิ ธิในทางแพง่ ตอ่ บุคคลอ่นื ซงึ่ มิใชร่ ฐั มนตรหี รอื สมาชิกแห่งสภานน้ั ถอ้ ยคาท่ีกลา่ วในทีป่ ระชมุ ไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกลา่ ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ถอ้ ยคานั้นมีลกั ษณะเป็นความผดิ ทางอาญาหรือละเมิดสทิ ธิในทางแพ่ง ในกรณตี ามวรรคสอง ถา้ สมาชกิ กลา่ วถอ้ ยคาใดท่ีอาจเป็นเหตุให้ ตอ่ บคุ คลอ่ืนซ่ึงมิใชร่ ฐั มนตรีหรือสมาชิกแหง่ สภาน้นั ทางอน่ื ใด หากถ้อยคาทกี่ ลา่ วในทป่ี ระชุมไปปรากฏนอกบริเวณ บุคคลอน่ื ซ่งึ มใิ ชร่ ฐั มนตรหี รือสมาชกิ แห่งสภานั้นได้รับความเสยี หาย ให้ รฐั สภา และการกลา่ วถอ้ ยคาน้นั มลี ักษณะเปน็ ความผิดทางอาญา ประธานแหง่ สภานนั้ จดั ใหม้ กี ารโฆษณาคาชี้แจงตามทบี่ คุ คลนนั้ ร้องขอ ในกรณตี ามวรรคสอง ถ้าสมาชิกกล่าวถอ้ ยคาใดทอี่ าจเป็นเหตุ หรือละเมิดสทิ ธิในทางแพ่งต่อบคุ คลอื่นซงึ่ มิใช่รฐั มนตรีหรือสมาชกิ ตามวิธกี ารและภายในระยะเวลาที่กาหนดในขอ้ บงั คับการประชมุ ของสภา ให้บุคคลอื่นซ่ึงมิใช่รฐั มนตรหี รอื สมาชิกแห่งสภานน้ั ได้รบั ความ แห่งสภานั้น นัน้ ทง้ั น้ี โดยไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบคุ คลในการฟ้องคดีตอ่ ศาล เสียหาย ให้ประธานแห่งสภาน้ันจดั ใหม้ ีการโฆษณาคาช้ีแจงตามท่ี บคุ คลนั้นรอ้ งขอตามวธิ ีการและภายในระยะเวลาทีก่ าหนดใน ในกรณตี ามวรรคสอง ถา้ สมาชิกกลา่ วถอ้ ยคาใดทีอ่ าจเป็นเหตุ มาตรา ๑๕๘ เอกสทิ ธทิ์ ีบ่ ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา ๑๕๗ ยอ่ มคุ้มครองไป ข้อบงั คับการประชมุ ของสภานน้ั ท้งั นี้ โดยไมก่ ระทบกระเทอื นถึง ให้บุคคลอ่ืนซ่งึ มใิ ชร่ ัฐมนตรหี รือสมาชกิ แห่งสภานั้นไดร้ บั ความ ถงึ ผูพ้ มิ พ์และผโู้ ฆษณารายงานการประชมุ ตามข้อบงั คบั ของสภา สิทธขิ องบุคคลในการฟอ้ งคดีตอ่ ศาล เสยี หาย ใหป้ ระธานแห่งสภานั้นจดั ใหม้ กี ารโฆษณาคาชแ้ี จงตามที่ ผู้แทนราษฎร วุฒสิ ภา หรอื รฐั สภา แล้วแตก่ รณี และคมุ้ ครองไปถงึ บุคคล บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลาท่กี าหนดใน ซง่ึ ประธานในท่ปี ระชมุ อนญุ าตให้แถลงข้อเทจ็ จรงิ หรือแสดงความคดิ เหน็ เอกสิทธ์ทิ ีบ่ ญั ญัตไิ วใ้ นมาตรานี้ ยอ่ มคมุ้ ครองไปถึงผพู้ มิ พ์และผู้ ขอ้ บงั คับการประชมุ ของสภานั้น ท้งั นี้ โดยไมก่ ระทบตอ่ สทิ ธขิ อง ในทปี่ ระชมุ ตลอดจนผดู้ าเนนิ การถ่ายทอดการประชมุ สภาทาง โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคบั ของสภาผูแ้ ทนราษฎร วุฒิสภา บคุ คลในการฟ้องคดตี อ่ ศาล วิทยกุ ระจายเสยี งหรอื วทิ ยโุ ทรทศั นท์ ี่ไดร้ ับอนญุ าตจากประธานแหง่ สภา หรือรฐั สภา แลว้ แต่กรณี และคมุ้ ครองไปถึงบุคคลซ่ึงประธานในท่ี นนั้ ด้วย โดยอนโุ ลม ประชุมอนุญาตใหแ้ ถลงข้อเทจ็ จริง หรอื แสดงความคดิ เห็นในที่ประชมุ เอกสทิ ธ์ทิ ่ีบญั ญตั ไิ วใ้ นมาตราน้ี ยอ่ มคุ้มครองไปถึงผพู้ ิมพแ์ ละ ตลอดจนผูด้ าเนินการถ่ายทอดการประชมุ สภาทางวิทยกุ ระจายเสียง ผู้โฆษณารายงานการประชมุ ตามขอ้ บังคบั ของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา ๑๖๕ ในระหว่างสมยั ประชมุ ห้ามมิให้จบั คมุ ขงั หรือ หรอื วิทยุโทรทศั น์ทไ่ี ด้รบั อนญุ าตจากประธานแห่งสภานั้นดว้ ยโดย วฒุ ิสภา หรือรัฐสภา แลว้ แต่กรณี และคมุ้ ครองไปถงึ บคุ คลซงึ่ หมายเรียกตัวสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชิกวุฒิสภา ไปทาการ อนุโลม ประธานในท่ีประชมุ อนญุ าตใหแ้ ถลงข้อเท็จจริง หรอื แสดงความ สอบสวนในฐานะทสี่ มาชิกผนู้ นั้ เปน็ ผูต้ อ้ งหาในคดอี าญา เวน้ แต่ใน คิดเห็นในท่ีประชุม ตลอดจนผู้ดาเนินการถ่ายทอดการประชมุ สภา กรณีทไี่ ดร้ บั อนญุ าตจากสภาทผี่ ้นู น้ั เป็นสมาชิก หรือในกรณีทีจ่ ับ มาตรา ๑๓๑ ในระหว่างสมัยประชุม หา้ มมิให้จับ คุมขัง หรอื ทางวทิ ยุกระจายเสยี งหรือวทิ ยโุ ทรทศั น์หรือทางอ่นื ใดซ่งึ ไดร้ ับ ในขณะกระทาความผดิ หมายเรยี กตัวสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ ิสภา ไปทาการ อนญุ าตจากประธานแห่งสภาน้นั ดว้ ยโดยอนโุ ลม สอบสวนในฐานะทีส่ มาชิกผู้นน้ั เปน็ ผูต้ อ้ งหาในคดอี าญา เว้นแต่ในกรณี ในกรณที ม่ี กี ารจบั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒสิ ภา ทีไ่ ดร้ ับอนญุ าตจากสภาทผี่ ู้น้ันเป็นสมาชกิ หรอื ในกรณที ี่จับในขณะ มาตรา ๑๒๕ ในระหวา่ งสมัยประชุม ห้ามมใิ หจ้ ับ คมุ ขงั หรอื ในขณะกระทาความผดิ ใหร้ ายงานไปยงั ประธานแห่งสภาทผ่ี นู้ ้นั เปน็ กระทาความผดิ หมายเรียกตัวสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒิสภาไปทาการ สมาชิกโดยพลัน และประธานแห่งสภาทผ่ี ูน้ ั้นเปน็ สมาชิกอาจสง่ั ให้ สอบสวนในฐานะทสี่ มาชกิ ผนู้ ั้นเปน็ ผู้ต้องหาในคดอี าญา เวน้ แตจ่ ะ ปล่อยผูถ้ ูกจบั ได้ ในกรณีทม่ี ีการจับสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภา ได้รับอนญุ าตจากสภาทผี่ ู้น้นั เป็นสมาชกิ หรอื เป็นการจบั ในขณะ ในขณะกระทาความผดิ ให้รายงานไปยงั ประธานแห่งสภาทผ่ี ูน้ ั้นเปน็ กระทาความผิด มาตรา ๑๖๖ ในกรณที ีม่ ีการฟ้องสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ โดยพลัน และประธานแหง่ สภาที่ผู้น้ันเป็นสมาชิกอาจส่ังให้ หรือสมาชิกวฒุ ิสภาในคดีอาญา ไมว่ า่ จะได้ฟอ้ งนอกหรือในสมยั ปลอ่ ยผู้ถกู จบั ได้ ในกรณที ีม่ ีการจับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชิกวุฒสิ ภา ประชมุ ศาลจะพิจารณาคดีน้นั ในระหวา่ งสมัยประชมุ มไิ ด้ เว้นแตจ่ ะ ในขณะกระทาความผดิ ใหร้ ายงานไปยงั ประธานแหง่ สภาทผ่ี ู้นน้ั เปน็ ในกรณที ม่ี กี ารฟ้องสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา สมาชกิ โดยพลนั และเพื่อประโยชน์ในการประชุมสภา ประธานแหง่ ในคดอี าญา ไม่ว่าจะไดฟ้ ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดี สภาทผี่ ูน้ นั้ เป็นสมาชกิ อาจส่ังให้ปล่อยผ้ถู กู จับเพ่ือใหม้ าประชมุ สภาได้ นัน้ ในระหว่างสมยั ประชุมมไิ ด้ เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั อนญุ าตจากสภาท่ผี ู้นน้ั ถ้าสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ ิสภาถูกคมุ ขงั ใน ระหว่างสอบสวนหรือพจิ ารณาอยกู่ อ่ นสมัยประชุม เมื่อถงึ สมัย ประชมุ พนกั งานสอบสวนหรือศาล แลว้ แตก่ รณี ต้องสั่งปล่อยทนั ที
๗๑ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ งั คบั บญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ไดร้ ับอนญุ าตจากสภาทผ่ี ูน้ ั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นคดีอนั เกย่ี วกบั เปน็ สมาชิก หรือเปน็ คดอี นั เกี่ยวกบั พระราชบัญญัตปิ ระกอบ ถา้ ประธานแห่งสภาทผี่ นู้ ้นั เป็นสมาชิกได้รอ้ งขอ โดยศาลจะสง่ั ใหม้ ี กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผูแ้ ทน รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรและการไดม้ า ประกนั หรือมีประกันและหลักประกันดว้ ยหรอื ไม่กไ็ ด้ ราษฎรและสมาชกิ วุฒสิ ภา กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วย ซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ย ในกรณที มี่ กี ารฟ้องสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชิก คณะกรรมการการเลอื กตัง้ หรือกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกต้งั หรือพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่า วฒุ สิ ภาในคดีอาญา ไม่วา่ จะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชมุ ศาลจะ พรรคการเมือง แต่การพจิ ารณาคดีตอ้ งไม่เป็นการขัดขวางต่อการท่ี ดว้ ยพรรคการเมอื ง แตก่ ารพิจารณาคดตี อ้ งไมเ่ ปน็ การขดั ขวางตอ่ การท่ี พจิ ารณาคดีน้นั ในระหว่างสมยั ประชุมก็ได้ แตต่ อ้ งไมเ่ ป็นการ สมาชิกผนู้ ั้นจะมาประชุมสภา สมาชิกผู้นน้ั จะมาประชุมสภา ขัดขวางตอ่ การที่สมาชกิ ผ้นู ั้นจะมาประชมุ สภา การพิจารณาพพิ ากษาคดที ศี่ าลไดก้ ระทาก่อนมีคาอ้างว่าจาเลย การพจิ ารณาพพิ ากษาคดีท่ศี าลไดก้ ระทาก่อนมีคาอ้างว่า เปน็ สมาชกิ ของสภาใดสภาหนงึ่ ยอ่ มเป็นอนั ใชไ้ ด้ จาเลยเป็นสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่งย่อมเป็นอันใช้ได้ มาตรา ๑๖๗ ถ้าสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒสิ ภา ถา้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ สิ ภาถูกคุมขังใน ถกู คุมขงั ในระหวา่ งสอบสวนหรอื พิจารณาอยู่กอ่ นสมัยประชมุ เม่ือถึง ระหวา่ งสอบสวนหรอื พิจารณาอยกู่ อ่ นสมัยประชมุ เมือ่ ถึงสมยั สมยั ประชมุ พนกั งานสอบสวนหรอื ศาล แล้วแตก่ รณี ตอ้ งส่งั ปล่อย ประชมุ พนักงานสอบสวนหรอื ศาล แลว้ แตก่ รณี ต้องสง่ั ปลอ่ ยทนั ทีถ้า ทันทถี า้ ประธานแห่งสภาทีผ่ ูน้ ้ันเปน็ สมาชกิ ไดร้ อ้ งขอ ประธานแห่งสภาทีผ่ ู้นัน้ เปน็ สมาชิกไดร้ ้องขอ คาสงั่ ปล่อยตามวรรคหนง่ึ ใหม้ ผี ลบังคับต้งั แตว่ นั ส่ังปลอ่ ยจนถงึ คาสั่งปลอ่ ยใหม้ ผี ลบังคบั ต้ังแต่วันสั่งปล่อยจนถงึ วนั สดุ ท้าย วันสุดทา้ ยแห่งสมยั ประชมุ แหง่ สมยั ประชุม มาตรา ๑๖๘ ในระหวา่ งท่ีอายขุ องสภาผูแ้ ทนราษฎรสนิ้ สดุ ลง มาตรา ๑๓๒ ในระหวา่ งทอี่ ายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรสน้ิ สดุ ลงหรอื มาตรา ๑๒๖ ในระหวา่ งทไ่ี มม่ สี ภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าดว้ ย หรือสภาผู้แทนราษฎรถกู ยุบ จะมกี ารประชุมวฒุ สิ ภามไิ ด้ เว้นแตเ่ ปน็ สภาผู้แทนราษฎรถกู ยบุ จะมกี ารประชมุ วฒุ ิสภามไิ ด้ เว้นแต่เป็นกรณี เหตุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ สภาผูแ้ ทนราษฎรถูกยุบ หรือเหตอุ ่ืน กรณดี ังตอ่ ไปน้ี ดงั ตอ่ ไปน้ี ใด จะมีการประชุมวุฒสิ ภามไิ ด้ เวน้ แต่ (๑) การประชุมทใ่ี ห้วฒุ สิ ภาทาหนา้ ท่รี ัฐสภาตามมาตรา ๑๙ (๑) การประชุมที่ให้วุฒสิ ภาทาหน้าท่ีรัฐสภาตามมาตรา ๑๙ (๑) มกี รณที ร่ี ฐั สภาต้องดาเนินการตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ และมาตรา ๒๒๓ โดยถือคะแนน มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ และมาตรา ๑๘๙ โดยถอื คะแนน มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ หรอื มาตรา ๑๗๗ เสยี งจากจานวนสมาชกิ ของวุฒสิ ภา เสยี งจากจานวนสมาชกิ ของวฒุ ิสภา (๒) มีกรณีท่วี ุฒสิ ภาต้องประชุมเพอื่ ทาหนา้ ท่ีพจิ ารณาให้ (๒) การประชุมทีใ่ ห้วฒุ สิ ภาทาหนา้ ท่ีเลอื ก แต่งตง้ั ใหค้ าแนะนา (๒) การประชมุ ท่ใี หว้ ุฒสิ ภาทาหนา้ ท่ีพิจารณาให้บุคคลดารง บคุ คลดารงตาแหนง่ ใดตามบทบัญญตั ิแห่งรัฐธรรมนญู หรอื ให้ความเห็นชอบ ให้บุคคลดารงตาแหน่งใดตามมาตรา ๑๓๘ ตาแหนง่ ใดตามบทบญั ญัติแหง่ รฐั ธรรมนญู นี้ เมื่อมกี รณตี ามวรรคหนง่ึ ใหว้ ฒุ ิสภาดาเนนิ การประชมุ ได้ โดย มาตรา ๑๔๓ มาตรา ๑๙๖ มาตรา ๑๙๙ มาตรา ๒๕๗ มาตรา ๒๖๑ (๓) การประชุมที่ให้วฒุ สิ ภาทาหนา้ ทพ่ี ิจารณาและมีมตใิ ห้ ใหป้ ระธานวฒุ สิ ภานาความกราบบังคมทลู เพื่อมพี ระบรมราช มาตรา ๒๗๔ (๓) มาตรา ๒๗๗ มาตรา ๒๗๘ มาตรา ๒๗๙ (๓) ถอดถอนบคุ คลออกจากตาแหนง่ โองการประกาศเรยี กประชมุ รัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวสิ ามญั มาตรา ๒๙๗ มาตรา ๓๐๒ และมาตรา ๓๑๒ และใหป้ ระธานวุฒิสภาเปน็ ผ้ลู งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ (๓) การประชุมท่ใี ห้วฒุ สิ ภาทาหนา้ ที่พจิ ารณาและมีมติให้ถอด ในกรณีตาม (๑) ให้วุฒิสภาทาหนา้ ทีร่ ัฐสภา แต่การใหค้ วาม ถอนบุคคลออกจากตาแหน่ง เหน็ ชอบตามมาตรา ๑๗๗ ตอ้ งมคี ะแนนเสียงไมน่ อ้ ยกว่าสองในสาม ของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเทา่ ทมี่ อี ย่ขู องวฒุ สิ ภา
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๗๒ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคับบัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา มาตรา ๑๘๘ การประชมุ สภาผู้แทนราษฎร การประชุม รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา วฒุ ิสภา และการประชุมรว่ มกนั ของรฐั สภา ย่อมเปน็ การเปดิ เผยตาม ลักษณะทก่ี าหนดไวใ้ นขอ้ บงั คับการประชุมแตล่ ะสภา แตถ่ า้ มาตรา ๑๓๓ ตรงกบั ความในมาตรา ๑๘๘ ของรัฐธรรมนญู รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ คณะรฐั มนตรี หรือสมาชิกของแตล่ ะสภา หรอื สมาชกิ ของท้ังสองสภา แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รวมกัน มีจานวนไมน่ ้อยกว่าหนง่ึ ในสีข่ องจานวนสมาชิกทงั้ หมดเทา่ ที่ มาตรา ๑๒๗ การประชมุ สภาผูแ้ ทนราษฎร การประชุม มอี ยูข่ องแตล่ ะสภา หรอื จานวนสมาชิกของทัง้ สองสภาเทา่ ท่มี อี ยู่ มาตรา ๑๓๔ สภาผูแ้ ทนราษฎรและวฒุ สิ ภามอี านาจตราขอ้ บงั คบั วุฒิสภา และการประชุมรว่ มกนั ของรัฐสภา ยอ่ มเป็นการเปิดเผย รวมกัน แล้วแต่กรณี รอ้ งขอใหป้ ระชมุ ลับ ก็ใหป้ ระชุมลับ การประชมุ เกย่ี วกบั การเลอื กและการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ของประธานสภา รอง ตามลกั ษณะท่กี าหนดไว้ในข้อบังคบั การประชมุ แตล่ ะสภา แตถ่ า้ ประธานสภา เรือ่ งหรือกจิ การอันเป็นอานาจหนา้ ที่ของคณะกรรมาธิการ คณะรฐั มนตรี หรอื สมาชกิ ของแตล่ ะสภา หรือสมาชกิ ของทั้งสอง มาตรา ๑๙๑ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒิสภา มอี านาจตรา สามญั แตล่ ะชดุ การปฏิบัตหิ นา้ ทแ่ี ละองคป์ ระชมุ ของคณะกรรมาธกิ าร สภารวมกัน มีจานวนไม่น้อยกวา่ หนง่ึ ในสข่ี องจานวนสมาชกิ ท้งั หมด ขอ้ บงั คบั การประชุมเกย่ี วกับการเลือกและการปฏิบตั หิ นา้ ทีข่ อง วธิ กี ารประชุม การเสนอและพจิ ารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบ เท่าท่ีมอี ยู่ของแตล่ ะสภา หรอื จานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ที่มีอยขู่ อง ประธานสภา รองประธานสภา เรอื่ งหรอื กจิ การอันเป็นอานาจหน้าที่ รฐั ธรรมนญู และร่างพระราชบญั ญัติ การเสนอญตั ติ การปรกึ ษา การ ท้งั สองสภา แล้วแต่กรณี ร้องขอให้ประชมุ ลับ ก็ให้ประชุมลับ ของคณะกรรมาธิการสามญั แตล่ ะชุด การปฏบิ ตั ิหนา้ ทีแ่ ละองค์ อภปิ ราย การลงมติ การบนั ทกึ การลงมติ การเปดิ เผยการลงมติ การตั้ง ประชมุ ของคณะกรรมาธกิ าร วิธกี ารประชมุ การเสนอและพจิ ารณา กระท้ถู าม การเปดิ อภปิ รายท่วั ไป การรกั ษาระเบยี บและความเรยี บรอ้ ย มาตรา ๑๒๘ สภาผูแ้ ทนราษฎรและวฒุ สิ ภามีอานาจตรา รา่ งพระราชบญั ญัตแิ ละรา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู การ และการอืน่ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง รวมทงั้ มอี านาจตราขอ้ บงั คับเกยี่ วกับประมวล ขอ้ บงั คบั การประชุมเกย่ี วกับการเลอื กและการปฏบิ ตั หิ น้าท่ีของ เสนอญตั ติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบนั ทึกการลงมติ จรยิ ธรรมของสมาชกิ และกรรมาธกิ าร และกจิ การอ่นื เพื่อดาเนินการตาม ประธานสภา รองประธานสภา เรอื่ งหรือกิจการอันเปน็ หน้าท่ีและ การเปดิ เผยการลงมติ การตัง้ กระทถู้ าม การเปดิ อภปิ รายท่ัวไป การ บทบญั ญตั ิแห่งรฐั ธรรมนญู น้ี อานาจของคณะกรรมาธกิ ารสามญั แต่ละชุด การปฏิบตั หิ น้าทแี่ ละ รักษาระเบียบและความเรยี บร้อย ประมวลจรยิ ธรรมของสมาชิกและ องคป์ ระชุมของคณะกรรมาธกิ าร วิธกี ารประชุม การเสนอและ กรรมาธิการ และกจิ การอื่นเพ่อื ดาเนนิ การตามบทบญั ญัตแิ ห่ง มาตรา ๑๕๒ การพิจารณาร่างพระราชบญั ญัตทิ ี่ประธานสภา พิจารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู และรา่ งพระราช รัฐธรรมนญู น้ี ผแู้ ทนราษฎรวินิจฉยั วา่ มสี าระสาคญั เก่ียวกับเดก็ เยาวชน สตรี ผู้สงู อายุ บัญญัติ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ หรอื ผพู้ กิ ารหรือทพุ พลภาพ หากสภาผแู้ ทนราษฎรมไิ ดพ้ จิ ารณาโดย การบนั ทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การต้งั กระทู้ถาม มาตรา ๑๙๐ การพิจารณารา่ งพระราชบญั ญตั ทิ ป่ี ระธานสภา กรรมาธกิ ารเต็มสภา ให้สภาผ้แู ทนราษฎรตง้ั คณะกรรมาธิการวสิ ามญั ข้นึ การเปดิ อภิปรายทวั่ ไป การรักษาระเบยี บและความเรียบร้อย และ ผูแ้ ทนราษฎรวินิจฉยั ว่ามสี าระสาคญั เกยี่ วกับเดก็ สตรี และคนชรา ประกอบด้วยผูแ้ ทนองคก์ ารเอกชนเกยี่ วกบั บุคคลประเภทน้ันมีจานวนไม่ การอืน่ ที่เกยี่ วขอ้ ง รวมท้ังมีอานาจตราขอ้ บังคบั เกยี่ วกับประมวล หรือผ้พู ิการหรอื ทุพพลภาพ หากสภาผ้แู ทนราษฎรมิไดพ้ จิ ารณาโดย นอ้ ยกว่าหนึง่ ในสามของจานวนกรรมาธิการทง้ั หมด ทั้งนี้ โดยมสี ดั สว่ น จรยิ ธรรมของสมาชิกและกรรมาธกิ าร และกิจการอื่นเพื่อดาเนินการ กรรมาธิการเตม็ สภา ให้สภาผู้แทนราษฎรตัง้ คณะกรรมาธิการวสิ ามญั หญิงและชายทีใ่ กลเ้ คยี งกนั ตามบทบัญญตั ิแห่งรัฐธรรมนญู ขนึ้ ประกอบดว้ ยผู้แทนองคก์ ารเอกชนเกย่ี วกับบุคคลประเภทนัน้ มี จานวนไม่นอ้ ยกวา่ หนึ่งในสามของจานวนกรรมาธกิ ารทง้ั หมด ในขอ้ บังคับตามวรรคหนึ่งในสว่ นทเี่ กยี่ วกับการต้งั กรรมาธกิ าร วิสามญั เพื่อพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญัตทิ ี่ประธานสภาผู้แทนราษฎร วนิ จิ ฉัยวา่ มสี าระสาคญั เก่ยี วกบั เดก็ เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรอื คน พิการหรือทุพพลภาพ ตอ้ งกาหนดใหบ้ ุคคลประเภทดงั กลา่ วหรอื ผแู้ ทนองคก์ รเอกชนทท่ี างานเกยี่ วกบั บคุ คลประเภทนัน้ โดยตรง ร่วม เปน็ กรรมาธกิ ารวสิ ามัญดว้ ยไมน่ ้อยกว่าหนงึ่ ในสามของจานวน กรรมาธกิ ารวสิ ามัญท้ังหมด และในส่วนท่เี ก่ียวกับการพิจารณารา่ ง พระราชบัญญัตทิ ผ่ี มู้ สี ทิ ธเิ ลือกตง้ั เข้าชือ่ เสนอ ตอ้ งกาหนดใหผ้ ูแ้ ทน ของผมู้ ีสิทธิเลอื กตงั้ ซง่ึ เข้าชือ่ เสนอร่างพระราชบญั ญัตดิ งั กล่าวร่วม
๗๓ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ งั คับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ เป็นกรรมาธิการวสิ ามญั ด้วยไมน่ อ้ ยกว่าหน่ึงในสามของจานวน กรรมาธิการวิสามัญทง้ั หมด มาตรา ๑๘๙ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒสิ ภา มีอานาจเลือก มาตรา ๑๓๕ สภาผแู้ ทนราษฎรและวฒุ สิ ภามอี านาจเลือก มาตรา ๑๒๙ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒิสภามอี านาจเลือก สมาชิกของแต่ละสภาต้ังเปน็ คณะกรรมาธิการสามัญ และมีอานาจ สมาชกิ ของแตล่ ะสภาต้งั เป็นคณะกรรมาธกิ ารสามญั และมีอานาจเลอื ก สมาชิกของแต่ละสภาตงั้ เปน็ คณะกรรมาธิการสามญั และมีอานาจ เลือกบคุ คลผเู้ ปน็ สมาชิกหรือมไิ ด้เปน็ สมาชิก ต้งั เปน็ คณะกรรมาธิการ บุคคลผเู้ ปน็ สมาชิกหรือมไิ ดเ้ ปน็ สมาชกิ ต้งั เปน็ คณะกรรมาธิการ เลือกบคุ คลผู้เป็นสมาชิกหรอื มิได้เป็นสมาชกิ ตัง้ เปน็ คณะกรรมาธิการ วิสามัญ เพอื่ กระทากิจการ พิจารณาสอบสวน หรอื ศึกษาเรอื่ งใด ๆ วิสามญั เพื่อกระทากิจการ พิจารณาสอบสวน หรือศกึ ษาเรอ่ื งใด ๆ อนั วสิ ามัญ หรือคณะกรรมาธกิ ารรว่ มกันตามมาตรา ๑๓๗ เพือ่ กระทา อนั อยู่ในอานาจหน้าทีข่ องสภา แลว้ รายงานตอ่ สภา มตติ ้งั คณะ อยู่ในอานาจหนา้ ท่ีของสภา แลว้ รายงานต่อสภา มติต้งั คณะกรรมาธิการ กจิ การ พิจารณาสอบหาขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ศกึ ษาเรอ่ื งใด ๆ และ กรรมาธกิ ารวิสามญั ดงั กล่าวตอ้ งระบกุ ิจการหรือเรอ่ื งให้ชดั เจนและไม่ วสิ ามญั ดังกลา่ วตอ้ งระบกุ จิ การหรอื เรือ่ งให้ชัดเจนและไมซ่ ้าหรอื รายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาทีส่ ภากาหนด ซา้ หรอื ซ้อนกนั ซอ้ นกนั การกระทากจิ การ การสอบหาข้อเท็จจริง หรือการศกึ ษาตาม คณะกรรมาธิการตามวรรคหนึ่งยอ่ มมอี านาจออกคาสงั่ เรียก คณะกรรมาธกิ ารตามวรรคหนงึ่ มอี านาจออกคาสั่งเรียก วรรคหนึ่ง ตอ้ งเป็นเรื่องทอ่ี ยใู่ นหน้าทีแ่ ละอานาจของสภา และ เอกสารจากบุคคลใด หรอื เรียกบคุ คลใด มาแถลงข้อเทจ็ จรงิ หรอื เอกสารจากบุคคลใด หรือเรยี กบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจรงิ หรอื หนา้ ที่และอานาจตามที่ระบุไวใ้ นการต้งั คณะกรรมาธิการกด็ ี ในการ แสดงความเห็นในกิจการทกี่ ระทาหรอื ในเรื่องทพ่ี ิจารณาสอบสวนหรอื แสดงความเหน็ ในกจิ การทีก่ ระทาหรือในเรื่องทพี่ ิจารณาสอบสวน ดาเนนิ การของคณะกรรมาธกิ ารกด็ ี ต้องไมเ่ ป็นเรื่องซา้ ซ้อนกนั ใน ศกึ ษาอยนู่ ้นั ได้ หรือศกึ ษาอยูน่ ัน้ ได้ และใหค้ าส่ังเรยี กดังกล่าวมผี ลบังคับตามท่ี กรณีทก่ี ารกระทากจิ การ การสอบหาข้อเทจ็ จรงิ หรอื การศึกษาใน ในกรณีที่บุคคลตามวรรคสองเปน็ ขา้ ราชการ พนักงาน หรือ กฎหมายบญั ญตั ิ แตค่ าส่งั เรยี กเชน่ วา่ นัน้ มิให้ใชบ้ งั คบั กับผพู้ พิ ากษา เรอ่ื งใดมีความเกี่ยวขอ้ งกัน ใหเ้ ปน็ หนา้ ทีข่ องประธานสภาที่จะตอ้ ง ลูกจา้ งของหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐั วสิ าหกิจ หรอื ราชการ หรือตลุ าการทีป่ ฏบิ ตั ิตามอานาจหนา้ ทใี่ นกระบวนวิธพี จิ ารณา ดาเนนิ การใหค้ ณะกรรมาธิการทเี่ กย่ี วข้องทกุ ชุดรว่ มกันดาเนินการ สว่ นท้องถ่นิ ใหป้ ระธานคณะกรรมาธกิ ารแจง้ ให้รัฐมนตรซี ่ึงบังคบั พิพากษาอรรถคดีหรอื การบรหิ ารงานบุคคลของแต่ละศาล และมิให้ ในการสอบหาขอ้ เทจ็ จริง คณะกรรมาธิการจะมอบอานาจหรือ บัญชาหรอื กากับดูแลหน่วยงานทบี่ คุ คลน้ันสงั กดั ทราบและมีคาสั่งให้ ใช้บังคบั กับผ้ตู รวจการแผน่ ดินหรอื กรรมการในองคก์ รอสิ ระตาม มอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทาการแทนมไิ ด้ บุคคลนัน้ ดาเนนิ การตามวรรคสอง เว้นแตเ่ ปน็ กรณที เ่ี ก่ยี วกบั ความ รฐั ธรรมนูญทีป่ ฏิบตั ติ ามอานาจหน้าท่ีโดยตรงในแต่ละองค์กรตาม คณะกรรมาธกิ ารตามวรรคหนงึ่ มอี านาจเรยี กเอกสารจาก ปลอดภยั หรอื ประโยชนส์ าคัญของแผ่นดิน ใหถ้ อื ว่าเป็นเหตยุ กเว้นการ รฐั ธรรมนูญตามบทบญั ญัติในรัฐธรรมนญู หรอื ตามพระราชบญั ญตั ิ บคุ คลใด หรอื เรยี กบุคคลใดมาแถลงขอ้ เท็จจริงหรือแสดงความเห็น ปฏิบตั ิตามวรรคสอง ประกอบรัฐธรรมนญู แล้วแตก่ รณี ในกจิ การทีก่ ระทาหรือในเรือ่ งท่ีพจิ ารณาสอบหาขอ้ เท็จจริงหรอื เอกสิทธทิ์ ีบ่ ัญญตั ไิ ว้ในมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๕๘ นน้ั ให้ ในกรณีที่บคุ คลตามวรรคสองเปน็ ขา้ ราชการ พนักงาน หรอื ศกึ ษาอย่นู นั้ ได้ แต่การเรียกเชน่ วา่ นน้ั มิใหใ้ ชบ้ ังคับแกผ่ ู้พิพากษาหรือ คุ้มครองถงึ บคุ คลผูก้ ระทาหนา้ ที่ตามมาตรานด้ี ้วย ลูกจา้ งของหน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รัฐวิสาหกจิ หรือราชการ ตลุ าการทปี่ ฏิบัตติ ามหนา้ ทห่ี รอื ใช้อานาจในกระบวนวธิ ีพิจารณา กรรมาธกิ ารสามัญซ่ึงตั้งจากผู้ซ่งึ เปน็ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ส่วนท้องถิ่น ให้ประธานคณะกรรมาธกิ ารแจ้งใหร้ ฐั มนตรีซ่งึ บงั คบั พพิ ากษาอรรถคดี หรือการบริหารงานบุคคลของแตล่ ะศาล และมใิ ห้ ท้งั หมด ต้องมจี านวนตามหรอื ใกลเ้ คยี งกบั อตั ราสว่ นของจานวน บัญชาหรอื กากบั ดแู ลหน่วยงานทบี่ ุคคลน้ันสังกดั ทราบและมีคาส่งั ให้ ใชบ้ งั คับแก่ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนท่ีเก่ยี วกบั การ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของแตล่ ะพรรคการเมอื งหรือกลุ่มพรรค บคุ คลนนั้ ดาเนนิ การตามวรรคสอง เวน้ แต่เป็นกรณีทเ่ี กีย่ วกับความ ปฏบิ ตั ิตามหนา้ ที่และอานาจโดยตรงในแตล่ ะองค์กรตามบทบญั ญตั ิ การเมอื งที่มอี ยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ปลอดภัยหรือประโยชนส์ าคญั ของแผน่ ดิน ให้ถอื วา่ เป็นเหตุยกเว้น ในรฐั ธรรมนญู หรือตามพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่ ในระหว่างท่ยี งั ไม่มีข้อบงั คับการประชุมสภาผแู้ ทนราษฎรตาม การปฏบิ ัตติ ามวรรคสอง กรณี มาตรา ๑๙๑ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเปน็ ผกู้ าหนดอัตราสว่ น เอกสิทธิ์ทบี่ ัญญตั ิไว้ในมาตรา ๑๓๐ นั้น ให้คุ้มครองถงึ บคุ คล ให้เป็นหนา้ ทข่ี องรัฐมนตรที ร่ี ับผดิ ชอบในกจิ การที่คณะ ตามวรรคหา้ ผู้กระทาหนา้ ท่ีตามมาตราน้ดี ว้ ย กรรมาธกิ ารสอบหาขอ้ เท็จจรงิ หรอื ศกึ ษา ท่ีจะต้องสงั่ การให้
๗๔ นาถะ ดวงวิชยั ผ้บู งั คบั บัญชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๕ วรรคสอง คณะกรรมาธิการร่วมกนั อาจเรียก กรรมาธกิ ารสามญั ซึง่ ต้งั จากผูซ้ ่งึ เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เจ้าหน้าท่ขี องรัฐในสงั กัดหรอื ในกากบั ให้ขอ้ เท็จจรงิ ส่งเอกสาร เอกสารจากบุคคลใด หรอื เรยี กบุคคลใดมาแถลงขอ้ เทจ็ จรงิ หรือแสดง ความคดิ เห็นในการพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั หิ รอื รา่ งพระราช ท้งั หมด ตอ้ งมีจานวนตามหรอื ใกลเ้ คียงกบั อัตราสว่ นของจานวน หรือแสดงความเห็นตามทคี่ ณะกรรมาธกิ ารเรียก บัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ได้ และเอกสิทธ์ทิ บี่ ัญญตั ไิ วใ้ นมาตรา ๑๕๗ และมาตรา ๑๕๘ นน้ั ใหค้ ุ้มครองถงึ บคุ คลผ้กู ระทาหนา้ ท่ีตาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแตล่ ะพรรคการเมอื งหรอื กลุ่มพรรค ใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒิสภาเปดิ เผยบันทึกการประชุม มาตรานด้ี ว้ ย การเมอื งทมี่ ีอยูใ่ นสภาผแู้ ทนราษฎร รายงานการดาเนนิ การ รายงานการสอบหาขอ้ เท็จจริง หรือรายงาน ในระหว่างทย่ี งั ไมม่ ขี อ้ บงั คับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรตาม การศกึ ษา แลว้ แต่กรณี ของคณะกรรมาธกิ ารใหป้ ระชาชนทราบ มาตรา ๑๓๔ ใหป้ ระธานสภาผ้แู ทนราษฎรเป็นผู้กาหนดอตั ราส่วนตาม เว้นแต่สภาผแู้ ทนราษฎรหรือวฒุ สิ ภา แลว้ แต่กรณี มมี ตมิ ใิ หเ้ ปิดเผย วรรคห้า เอกสิทธทิ์ ่บี ญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา ๑๒๔ ให้ค้มุ ครองถงึ บุคคล มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง คณะกรรมาธิการร่วมกนั อาจเรยี ก ผกู้ ระทาหนา้ ท่ีและผู้ปฏบิ ตั ติ ามคาเรยี กตามมาตรานด้ี ้วย เอกสารจากบุคคลใด หรอื เรยี กบคุ คลใดมาแถลงขอ้ เทจ็ จริงหรือแสดง กรรมาธกิ ารสามญั ซ่ึงตง้ั จากผซู้ ึง่ เปน็ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร ความคดิ เห็นในการพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัติได้ และเอกสทิ ธทิ์ ี่ ทง้ั หมด ต้องมจี านวนตามหรอื ใกลเ้ คยี งกบั อตั ราสว่ นของจานวนสมาชิก บญั ญตั ไิ วใ้ นมาตรา ๑๓๐ น้ัน ใหค้ มุ้ ครองถงึ บคุ คลผู้กระทาหนา้ ที่ สภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองท่ีมีอยู่ในสภาผ้แู ทนราษฎร ตามมาตรานดี้ ้วย ในระหว่างทย่ี งั ไมม่ ีข้อบังคบั การประชมุ สภาผแู้ ทนราษฎรตาม มาตรา ๑๒๘ ใหป้ ระธานสภาผแู้ ทนราษฎรเปน็ ผกู้ าหนดอตั ราส่วน ตามวรรคแปด สว่ นที่ ๖ การตราพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู มาตรา ๑๓๘ ให้มพี ระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู มาตรา ๑๓๐ ใหม้ ีพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ดงั ต่อไปนี้ ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) พระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการเลือกตั้ง (๑) พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลอื กตั้ง สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและการได้มาซง่ึ สมาชกิ วฒุ สิ ภา สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๒) พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยคณะกรรมการ (๒) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยการไดม้ าซ่ึง การเลือกตัง้ สมาชกิ วุฒิสภา (๓) พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยพรรค (๓) พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการ การเมอื ง การเลือกตง้ั (๔) พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการออกเสียง (๔) พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยพรรคการเมอื ง ประชามติ (๕) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผตู้ รวจการ (๕) พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ พี ิจารณา แผน่ ดนิ ของศาลรัฐธรรมนูญ (๖) พระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกัน และปราบปรามการทจุ รติ
๗๕ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ งั คบั บัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (๖) พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ พี ิจารณา (๗) พระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการตรวจเงนิ คดอี าญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมือง แผ่นดนิ (๗) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยผตู้ รวจการ (๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยวธิ พี ิจารณา แผน่ ดิน ของศาลรฐั ธรรมนญู (๘) พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการปอ้ งกัน (๙) พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ พี จิ ารณา และปราบปรามการทจุ รติ คดีอาญาของผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง (๙) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการตรวจเงิน (๑๐) พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ย แผ่นดนิ คณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา ๑๓๙ รา่ งพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญจะ มาตรา ๑๓๑ รา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญจะ เสนอได้ก็แต่โดย เสนอไดก้ แ็ ตโ่ ดย (๑) คณะรฐั มนตรี (๑) คณะรฐั มนตรี โดยขอ้ เสนอแนะของศาลฎีกา ศาล (๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ หนงึ่ ในสิบ รัฐธรรมนญู หรือองคก์ รอสิ ระทเ่ี กยี่ วข้อง ของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเท่าทม่ี อี ยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรอื (๒) สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจานวนไม่น้อยกวา่ หนง่ึ ในสิบ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรและสมาชิกวฒุ สิ ภา มจี านวนไม่นอ้ ยกว่า ของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าที่มอี ยขู่ องสภาผูแ้ ทนราษฎร หน่ึงในสิบของจานวนสมาชกิ ทัง้ หมดเทา่ ทมี่ อี ยู่ของทั้งสองสภา หรือ (๓) ศาลรัฐธรรมนญู ศาลฎีกา หรอื องค์กรอสิ ระตาม รัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานศาลและประธานองคก์ รน้ันเป็นผ้รู กั ษาการ ตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญน้นั มาตรา ๑๔๐ การพิจารณาร่างพระราชบญั ญัติประกอบ มาตรา ๑๓๒ ร่างพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญของสภาผูแ้ ทนราษฎรและวฒุ ิสภาให้กระทาเปน็ สาม นอกจากทบ่ี ัญญตั ไิ วด้ ังต่อไปน้ี ให้กระทาเชน่ เดียวกับพระราชบัญญตั ิ วาระ ดังตอ่ ไปนี้ (๑) การเสนอร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ให้เสนอ (๑) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระทหี่ นึง่ ข้ันรบั หลักการ และ ตอ่ รัฐสภา และใหร้ ฐั สภาประชมุ รว่ มกนั เพ่อื พิจารณารา่ งพระราช ในวาระท่ีสองขน้ั พจิ ารณาเรียงลาดบั มาตรา ให้ถอื เสยี งขา้ งมากของ บัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ให้แลว้ เสรจ็ ภายในเวลาหน่ึงรอ้ ยแปดสบิ แต่ละสภา วนั โดยการออกเสยี งลงคะแนนในวาระทส่ี าม ต้องมีคะแนนเสยี ง (๒) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระท่สี าม ตอ้ งมคี ะแนนเสียง เห็นชอบดว้ ยมากกวา่ กึง่ หน่ึงของจานวนสมาชิกทั้งหมดเทา่ ทมี่ อี ยู่ เหน็ ชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นพระราชบัญญัติประกอบ ของรฐั สภา ถ้าท่ปี ระชุมร่วมกันของรฐั สภาพจิ ารณาไม่แล้วเสรจ็ รฐั ธรรมนญู มากกวา่ กึ่งหน่ึงของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเท่าทมี่ อี ยู่ของ ภายในกาหนดเวลาดังกล่าว ใหถ้ อื ว่ารฐั สภาให้ความเห็นชอบตาม แต่ละสภา ร่างท่เี สนอตามมาตรา ๑๓๑
๗๖ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๖๙ วรรคหนึ่ง ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๑๗๐ รา่ ง ใหน้ าบทบญั ญัติในหมวด ๖ สว่ นที่ ๗ การตราพระราชบญั ญตั ิ (๒) ภายในสบิ หา้ วันนบั แตว่ ันท่ีรัฐสภาให้ความเหน็ ชอบรา่ ง พระราชบญั ญตั หิ รอื ร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญจะเสนอ ไดก้ แ็ ตโ่ ดยสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหรอื คณะรัฐมนตรี แตร่ า่ ง มาใชบ้ งั คบั กับการพิจารณารา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ ใหร้ ัฐสภาส่งร่างพระราชบญั ญัติ ดว้ ยโดยอนุโลม ประกอบรัฐธรรมนญู น้ันไปยังศาลฎกี า ศาลรฐั ธรรมนูญ หรือองค์กร มาตรา ๑๔๑ เม่ือรฐั สภาใหค้ วามเหน็ ชอบกับร่างพระราชบญั ญตั ิ อสิ ระทีเ่ ก่ียวขอ้ ง เพื่อให้ความเห็น ในกรณที ศี่ าลฎกี า ศาลรัฐธรรมนญู ประกอบรฐั ธรรมนญู แล้ว ก่อนนาขนึ้ ทลู เกล้าทลู กระหมอ่ มถวายเพื่อ หรอื องคก์ รอสิ ระที่เกีย่ วข้อง ไมม่ ขี ้อทักทว้ งภายในสิบวนั นับแตว่ นั ที่ ทรงลงพระปรมาภิไธย ใหส้ ่งศาลรัฐธรรมนญู พจิ ารณาความชอบดว้ ย ได้รบั ร่างดังกล่าว ใหร้ ฐั สภาดาเนนิ การต่อไป รัฐธรรมนูญซง่ึ ตอ้ งกระทาให้แล้วเสร็จภายในสามสบิ วันนบั แต่วนั ท่ี (๓) ในกรณีทศ่ี าลฎกี า ศาลรัฐธรรมนญู หรือองค์กรอสิ ระที่ ไดร้ บั เรือ่ ง เกีย่ วขอ้ ง เห็นว่าร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ทร่ี ัฐสภาให้ คาวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนญู ทวี่ นิ จิ ฉัยว่าร่างพระราชบญั ญัติ ความเหน็ ชอบมขี ้อความใดขดั หรอื แย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรอื ทาใหไ้ ม่ ประกอบรฐั ธรรมนญู ใดมขี อ้ ความขดั หรอื แยง้ ต่อรฐั ธรรมนญู ให้ สามารถปฏิบัตหิ น้าท่ีใหถ้ กู ต้องตามบทบญั ญตั ขิ องรฐั ธรรมนญู ได้ ให้ ขอ้ ความทีข่ ัดหรอื แย้งนัน้ เปน็ อันตกไป ในกรณีท่วี นิ ิจฉัยวา่ ข้อความ เสนอความเหน็ ไปยงั รฐั สภา และใหร้ ัฐสภาประชมุ ร่วมกันเพือ่ ดังกลา่ วเป็นสาระสาคญั หรือร่างพระราชบญั ญัติประกอบ พจิ ารณาใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายในสามสบิ วนั นับแต่วนั ท่ไี ดร้ บั ความเห็น รฐั ธรรมนญู ตราขึ้นโดยไม่ถูกตอ้ งตามบทบัญญตั แิ หง่ รฐั ธรรมนญู ให้ ดงั กล่าว ในการน้ี ใหร้ ัฐสภามีอานาจแกไ้ ขเพ่มิ เติมตามขอ้ เสนอของ รา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู น้ันเป็นอันตกไป ศาลฎกี า ศาลรัฐธรรมนญู หรือองค์กรอิสระ ตามทเี่ หน็ สมควรได้ ในกรณที ่คี าวินจิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลทาให้ขอ้ ความทีข่ ัด และเมอื่ ดาเนินการเสรจ็ แล้ว ให้รฐั สภาดาเนินการตอ่ ไป หรอื แย้งต่อรัฐธรรมนญู เปน็ อนั ตกไปตามวรรคสอง ให้สง่ รา่ ง พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญนนั้ กลบั คนื สภาผู้แทนราษฎรและ วฒุ ิสภาเพ่ือพจิ ารณาตามลาดบั ในกรณีเชน่ ว่าน้ี ให้สภาผ้แู ทนราษฎร หรือวุฒิสภาพิจารณาแกไ้ ขเพม่ิ เติมเพ่อื มิให้ขดั หรือแย้งต่อรฐั ธรรมนญู ได้ โดยมติในการแกไ้ ขเพิ่มเติมให้ใช้คะแนนเสียงมากกว่าก่ึงหนึ่งของ จานวนสมาชิกท้ังหมดเทา่ ทมี่ ีอย่ขู องแต่ละสภา แลว้ ให้นายกรัฐมนตรี ดาเนนิ การตามมาตรา ๙๐ และมาตรา ๑๕๐ หรอื มาตรา ๑๕๑ แลว้ แต่ กรณี ตอ่ ไป สว่ นที่ ๗ การตราพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๔๒ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๑๓๙ ร่างพระราชบญั ญตั ิ มาตรา ๑๓๓ รา่ งพระราชบัญญตั ิใหเ้ สนอตอ่ สภาผู้แทน จะเสนอไดก้ ็แตโ่ ดย ราษฎรกอ่ น และจะเสนอได้ก็แตโ่ ดย (๑) คณะรฐั มนตรี (๑) คณะรฐั มนตรี (๒) สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกว่ายสี่ บิ คน (๒) สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจานวนไม่นอ้ ยกวา่ ยส่ี บิ คน
๗๗ นาถะ ดวงวิชยั ผ้บู ังคับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ พระราชบญั ญตั เิ กีย่ วด้วยการเงิน สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจะเสนอได้ (๓) ศาลหรอื องคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายที่ (๓) ผู้มสี ิทธิเลอื กตัง้ จานวนไมน่ อ้ ยกว่าหน่งึ หมนื่ คนเขา้ ช่อื กต็ ่อเมอ่ื มีคารับรองของนายกรัฐมนตรี เก่ียวกับการจดั องคก์ รและกฎหมายท่ีประธานศาลและประธาน เสนอกฎหมายตามหมวด ๓ สทิ ธแิ ละเสรภี าพของปวงชนชาวไทย วรรคสอง การเสนอร่างพระราชบญั ญัติหรอื รา่ งพระราชบัญญัติ องค์กรน้นั เป็นผูร้ กั ษาการ หรือ หรือหมวด ๕ หนา้ ทีข่ องรัฐ ทง้ั นี้ ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการเข้าชือ่ ประกอบรัฐธรรมนญู ของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร จะกระทาไดเ้ มอื่ (๔) ผ้มู สี ิทธิเลอื กตั้งจานวนไมน่ ้อยกวา่ หนึ่งหมื่นคนเข้าช่ือเสนอ เสนอกฎหมาย พรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรผนู้ น้ั สังกัด มมี ติใหเ้ สนอได้ กฎหมายตามมาตรา ๑๖๓ ในกรณที ร่ี ่างพระราชบญั ญัตซิ ึ่งมผี เู้ สนอตาม (๒) หรอื (๓) เปน็ และตอ้ งมสี มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรไมน่ ้อยกวา่ ย่สี บิ คนรับรอง ในกรณีทีร่ า่ งพระราชบญั ญตั ซิ ึง่ มผี เู้ สนอตาม (๒) (๓) หรือ (๔) รา่ งพระราชบญั ญตั เิ กี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอไดก้ ต็ ่อเม่ือมีคารับรอง มาตรา ๑๗๒ ร่างพระราชบญั ญตั ิและร่างพระราชบัญญตั ิ เป็นร่างพระราชบญั ญตั เิ กีย่ วดว้ ยการเงินจะเสนอได้ก็ตอ่ เมือ่ มคี า ของนายกรฐั มนตรี ประกอบรัฐธรรมนญู ให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน รบั รองของนายกรัฐมนตรี มาตรา ๑๗๐ ผมู้ ีสิทธเิ ลือกตัง้ ไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าหมน่ื คน มสี ิทธิ ในกรณที ป่ี ระชาชนได้เสนอรา่ งพระราชบญั ญัติใดตาม (๔) เข้าช่ือร้องขอต่อประธานรฐั สภาเพอื่ ใหร้ ัฐสภาพจิ ารณากฎหมาย แลว้ หากบุคคลตาม (๑) หรอื (๒) ไดเ้ สนอรา่ งพระราชบญั ญตั ิทมี่ ี ตามทก่ี าหนดในหมวด ๓ และหมวด ๕ แห่งรฐั ธรรมนญู น้ี หลกั การเดยี วกับร่างพระราชบญั ญตั นิ ้นั อีก ให้นาบทบัญญตั ิมาตรา คารอ้ งขอตามวรรคหน่งึ ตอ้ งจัดทารา่ งพระราชบญั ญตั เิ สนอมา ๑๖๓ วรรคสี่ มาใชบ้ ังคบั กบั การพจิ ารณาร่างพระราชบัญญัตนิ ั้นด้วย ดว้ ย รา่ งพระราชบัญญตั ิใหเ้ สนอตอ่ สภาผแู้ ทนราษฎรก่อน หลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารเขา้ ชอื่ รวมทัง้ การตรวจสอบ ให้เปน็ ไป ในการเสนอรา่ งพระราชบญั ญตั ติ ามวรรคหนึง่ ตอ้ งมบี นั ทึก ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ วเิ คราะหส์ รปุ สาระสาคัญของรา่ งพระราชบัญญตั เิ สนอมาพรอ้ มกบั รา่ งพระราชบญั ญตั ดิ ว้ ย ร่างพระราชบญั ญตั ทิ เี่ สนอตอ่ รัฐสภาต้องเปิดเผยใหป้ ระชาชน ทราบและให้ประชาชนสามารถเขา้ ถึงข้อมูลรายละเอียดของรา่ ง พระราชบญั ญตั ินัน้ ได้โดยสะดวก หมวด ๗ การมสี ่วนรว่ มทางการเมืองโดยตรงของประชาชน มาตรา ๑๖๓ ประชาชนผมู้ สี ิทธเิ ลอื กตง้ั ไมน่ ้อยกว่าหนึ่งหมน่ื คน มีสทิ ธิเขา้ ชอื่ ร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพอื่ ให้รฐั สภาพจิ ารณา รา่ งพระราชบญั ญัติตามทก่ี าหนดในหมวด ๓ และหมวด ๕ แหง่ รัฐธรรมนญู นี้ คาร้องขอตามวรรคหน่งึ ตอ้ งจดั ทารา่ งพระราชบญั ญตั เิ สนอมา ดว้ ย
๗๘ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ งั คับบัญชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการเข้าช่ือ รวมท้ังการตรวจสอบรายชื่อ ให้ เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ในการพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั ิตามวรรคหนึ่ง สภาผูแ้ ทน ราษฎรและวุฒสิ ภาตอ้ งให้ผ้แู ทนของประชาชนผ้มู สี ิทธเิ ลือกต้ังที่ เข้าชอื่ เสนอรา่ งพระราชบญั ญตั ินน้ั ชแ้ี จงหลักการของรา่ งพระราชบญั ญตั ิ และคณะกรรมาธิการวิสามัญเพอ่ื พิจารณารา่ งพระราชบัญญตั ิ ดังกลา่ วจะตอ้ งประกอบด้วยผแู้ ทนของประชาชนผู้มีสทิ ธเิ ลอื กตัง้ ที่ เขา้ ช่อื เสนอร่างพระราชบญั ญัตินนั้ จานวนไมน่ ้อยกว่าหน่งึ ในสาม ของจานวนกรรมาธิการทัง้ หมดดว้ ย มาตรา ๓๐๔ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกวา่ หนง่ึ มาตรา ๑๖๔ ประชาชนผู้มสี ิทธิเลอื กต้ังจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ สอง ในส่ขี องจานวนสมาชิกท้ังหมดเทา่ ท่ีมีอยขู่ องสภาผูแ้ ทนราษฎร หรอื หมนื่ คน มสี ทิ ธเิ ข้าช่ือรอ้ งขอตอ่ ประธานวฒุ สิ ภาเพื่อให้วุฒิสภามมี ติ ประชาชนผ้มู สี ิทธิเลือกตัง้ จานวนไมน่ อ้ ยกว่าห้าหมื่นคน มสี ิทธเิ ข้าชอ่ื ตามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา ๒๗๐ ออกจาก ร้องขอต่อประธานวฒุ สิ ภาเพอื่ ใหว้ ฒุ ิสภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ให้ ตาแหนง่ ได้ ถอดถอนบคุ คลตามมาตรา ๓๐๓ ออกจากตาแหนง่ ได้ คารอ้ งขอ คาร้องขอตามวรรคหน่ึงตอ้ งระบพุ ฤตกิ ารณ์ท่กี ลา่ วหาว่าผู้ดารง ดงั กลา่ วต้องระบพุ ฤติการณท์ ่ีกลา่ วหาว่าผู้ดารงตาแหนง่ ดังกลา่ ว ตาแหนง่ ดงั กลา่ วกระทาความผดิ เป็นขอ้ ๆ ให้ชดั เจน กระทาความผิดเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจน หลกั เกณฑว์ ธิ ีการ และเงื่อนไขในการท่ปี ระชาชนจะเขา้ ช่ือร้อง สมาชิกวุฒิสภาจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ หน่ึงในสีข่ องจานวนสมาชิก ขอตามวรรคหนง่ึ ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญ ทง้ั หมดเท่าท่ีมอี ยขู่ องวุฒสิ ภา มสี ทิ ธเิ ข้าช่อื รอ้ งขอต่อประธานวุฒิสภา ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ เพ่อื ใหว้ ฒุ สิ ภามมี ตติ ามมาตรา ๓๐๗ ให้ถอดถอนสมาชกิ วฒุ สิ ภาออก จากตาแหนง่ ได้ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงอ่ื นไขในการทปี่ ระชาชนจะเขา้ ช่อื ร้อง ขอตามวรรคหนึง่ ให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต มาตรา ๑๖๙ วรรคสาม รา่ งพระราชบัญญตั ิเก่ียวดว้ ยการเงิน มาตรา ๑๔๓ รา่ งพระราชบญั ญตั ิเกยี่ วด้วยการเงิน หมายความ มาตรา ๑๓๔ รา่ งพระราชบญั ญตั ิเกีย่ วด้วยการเงิน หมายความ หมายความถงึ รา่ งพระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยเรื่องใดเร่อื งหนง่ึ ต่อไปน้ี ถึงร่างพระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยเรื่องใดเรื่องหน่ึง ตอ่ ไปนี้ ถงึ รา่ งพระราชบัญญตั ิวา่ ด้วยเร่ืองใดเรือ่ งหน่งึ ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) การตง้ั ข้นึ ยกเลกิ ลด เปล่ียนแปลง แกไ้ ข ผ่อน หรือวาง (๑) การต้ังขึน้ ยกเลิก ลด เปลย่ี นแปลง แก้ไข ผอ่ น หรือวาง (๑) การตั้งข้ึน ยกเลิก ลด เปล่ียนแปลง แก้ไข ผ่อน หรอื วาง ระเบียบการบงั คบั อันเกี่ยวกบั ภาษหี รอื อากร ระเบยี บการบังคบั อันเกีย่ วกับภาษหี รืออากร ระเบียบการบงั คบั อนั เกี่ยวกบั ภาษหี รืออากร (๒) การจดั สรร รบั รกั ษา หรือจา่ ยเงนิ แผน่ ดนิ หรอื การโอน (๒) การจัดสรร รบั รกั ษา หรอื จ่ายเงินแผน่ ดิน หรือการโอน (๒) การจัดสรร รับ รกั ษา หรือจ่ายเงนิ แผ่นดนิ หรือการโอน งบประมาณรายจา่ ยของแผ่นดิน งบประมาณรายจา่ ยของแผน่ ดนิ งบประมาณรายจ่ายของแผน่ ดนิ
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๗๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผูบ้ ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา (๓) การกูเ้ งนิ การค้าประกัน หรือการใชเ้ งินกู้ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ (๔) เงินตรา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ วรรคส่ี ในกรณที ่เี ป็นทส่ี งสยั วา่ รา่ งพระราชบญั ญัตหิ รอื ร่าง (๓) การกูเ้ งนิ การคา้ ประกัน การใช้เงนิ กู้ หรอื การดาเนินการ พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญใดเป็นรา่ งพระราชบญั ญตั เิ กยี่ ว ที่ผกู พนั ทรพั ย์สนิ ของรฐั (๓) การกู้เงนิ การค้าประกนั การใชเ้ งนิ กู้ หรอื การดาเนนิ การ ด้วยการเงินทจี่ ะต้องมคี ารับรองของนายกรัฐมนตรหี รอื ไม่ ใหเ้ ป็น ทผี่ กู พนั ทรัพย์สินของรัฐ อานาจของท่ปี ระชุมร่วมกันของประธานสภาผ้แู ทนราษฎรและ (๔) เงนิ ตรา ประธานคณะกรรมาธิการสามญั ของสภาผู้แทนราษฎรทกุ คณะ เปน็ ผู้ ในกรณที ีเ่ ปน็ ทสี่ งสัยว่าร่างพระราชบญั ญตั ิใดเปน็ ร่างพระราช (๔) เงินตรา วินจิ ฉัย บญั ญัตเิ ก่ียวด้วยการเงินทจี่ ะต้องมคี ารบั รองของนายกรฐั มนตรี ในกรณีที่เป็นท่ีสงสัยว่าร่างพระราชบัญญัตใิ ดเปน็ ร่าง วรรคห้า ให้ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรจดั ใหม้ ีการประชุม หรอื ไม่ ให้เป็นอานาจของท่ีประชมุ รว่ มกนั ของประธานสภาผู้แทน พระราชบญั ญตั เิ กยี่ วด้วยการเงิน ให้เปน็ อานาจของทป่ี ระชุมร่วมกัน ร่วมกนั เพ่อื พิจารณากรณีตามวรรคสี่ภายในสิบหา้ วันนับแตว่ ันท่ีมี ราษฎรและประธานคณะกรรมาธกิ ารสามญั ของสภาผู้แทนราษฎร ของประธานสภาผ้แู ทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธกิ ารสามญั กรณีดังกล่าว ทุกคณะ เปน็ ผู้วนิ ิจฉัย ของสภาผู้แทนราษฎรทกุ คณะเป็นผู้วนิ จิ ฉัย วรรคหก มตขิ องท่ีประชมุ ร่วมกนั ตามวรรคสี่ให้ใชเ้ สยี งขา้ งมาก ให้ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรจัดให้มีการประชมุ ร่วมกันเพอ่ื ใหป้ ระธานสภาผูแ้ ทนราษฎรจัดใหม้ ีการประชมุ ร่วมกันเพ่ือ เปน็ ประมาณ ถา้ คะแนนเสียงเทา่ กนั ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณากรณตี ามวรรคสอง ภายในสิบหา้ วันนับแต่วนั ท่ีมีกรณี พจิ ารณากรณตี ามวรรคสอง ภายในสิบหา้ วนั นับแต่วันที่มีกรณี ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสยี งหนง่ึ เปน็ เสยี งชข้ี าด ดงั กลา่ ว ดังกลา่ ว มติของทป่ี ระชมุ ร่วมกันตามวรรคสอง ใหใ้ ชเ้ สียงข้างมากเปน็ มติของทป่ี ระชมุ ร่วมกนั ตามวรรคสอง ใหใ้ ช้เสยี งขา้ งมากเปน็ มาตรา ๑๗๑ ร่างพระราชบญั ญตั ิหรอื รา่ งพระราชบญั ญัติ ประมาณ ถา้ คะแนนเสยี งเท่ากันใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรออก ประมาณ ถา้ คะแนนเสียงเท่ากนั ใหป้ ระธานสภาผูแ้ ทนราษฎรออก ประกอบรฐั ธรรมนญู ใดทีส่ มาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเป็นผเู้ สนอและใน เสียงเพ่มิ ข้นึ อกี เสียงหน่งึ เป็นเสียงชีข้ าด เสยี งเพ่มิ ข้นึ อีกเสียงหนง่ึ เป็นเสยี งชข้ี าด ข้ันรับหลักการไมเ่ ปน็ ร่างพระราชบญั ญัตเิ กย่ี วด้วยการเงิน แตส่ ภา มาตรา ๑๔๔ รา่ งพระราชบญั ญตั ิใดทส่ี มาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผ้แู ทนราษฎรไดแ้ ก้ไขเพมิ่ เตมิ และประธานสภาผแู้ ทนราษฎรเหน็ วา่ เปน็ ผเู้ สนอและในขนั้ รบั หลักการไมเ่ ปน็ รา่ งพระราชบัญญัตเิ ก่ยี วด้วย มาตรา ๑๓๕ รา่ งพระราชบัญญตั ิใดท่ีสมาชกิ สภาผแู้ ทน การแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ น้ันทาใหม้ ลี กั ษณะเปน็ ร่างพระราชบัญญตั ิเก่ียวดว้ ย การเงนิ แตส่ ภาผ้แู ทนราษฎรได้แกไ้ ขเพมิ่ เติม และประธานสภา ราษฎรหรอื ผมู้ ีสิทธิเลือกต้งั เป็นผูเ้ สนอและในช้นั รับหลกั การไมเ่ ป็น การเงิน ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรสัง่ ระงับการพิจารณาไว้ก่อน ผแู้ ทนราษฎรเหน็ ว่าการแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ นัน้ ทาให้มลี กั ษณะเป็นรา่ ง ร่างพระราชบญั ญัตเิ ก่ียวด้วยการเงนิ แต่สภาผแู้ ทนราษฎรได้แกไ้ ข และภายในสิบหา้ วันนับแต่วนั ที่มกี รณีดงั กลา่ ว ใหป้ ระธานสภา พระราชบญั ญัตเิ ก่ยี วด้วยการเงนิ ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรสั่งระงับ เพม่ิ เตมิ และประธานสภาผ้แู ทนราษฎรเหน็ เองหรือมสี มาชิกสภา ผูแ้ ทนราษฎรสง่ รา่ งพระราชบญั ญตั ิหรอื ร่างพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ การพิจารณาไว้ก่อน และภายในสิบหา้ วนั นบั แต่วนั ที่มีกรณีดงั กลา่ ว ผู้แทนราษฎรทกั ทว้ งต่อประธานสภาผแู้ ทนราษฎรว่าการแกไ้ ข รัฐธรรมนญู น้นั ไปให้ท่ีประชุมรว่ มกนั ของประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรส่งรา่ งพระราชบญั ญตั นิ ั้นไปใหท้ ี่ประชุม เพ่มิ เตมิ น้นั ทาใหม้ ลี กั ษณะเปน็ รา่ งพระราชบญั ญตั ิเกย่ี วดว้ ยการเงนิ ให้ และประธานคณะกรรมาธกิ ารสามัญของสภาผูแ้ ทนราษฎรทกุ คณะ ร่วมกนั ของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธกิ ารสามญั ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรสัง่ ระงับการพิจารณาไว้ก่อน เพือ่ เป็นผู้วินจิ ฉัย ถ้าทปี่ ระชุมรว่ มกันวนิ ิจฉยั ว่าการแกไ้ ขเพิ่มเติมน้ันทาให้ ของสภาผู้แทนราษฎรทกุ คณะเป็นผวู้ ินิจฉยั ดาเนินการตอ่ ไปตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคส่ี ร่างพระราชบญั ญัตหิ รือรา่ งพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู น้ันมี ในกรณีท่ีท่ปี ระชมุ รว่ มกันตามวรรคหนง่ึ วนิ ิจฉยั วา่ การแก้ไข ลักษณะเป็นร่างพระราชบญั ญัตเิ กยี่ วด้วยการเงิน ใหป้ ระธานสภา เพิ่มเตมิ นั้น ทาใหร้ ่างพระราชบญั ญัตินั้นมีลกั ษณะเป็นรา่ งพระราช ในกรณที ีท่ ี่ประชุมรว่ มกนั ตามวรรคหนง่ึ วนิ ิจฉัยวา่ การแกไ้ ข ผู้แทนราษฎรส่งรา่ งพระราชบญั ญตั หิ รอื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบ บัญญตั เิ กี่ยวดว้ ยการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งรา่ งพระราช เพ่มิ เตมิ ทาใหร้ า่ งพระราชบญั ญตั ินน้ั มลี ักษณะเป็นรา่ งพระราชบญั ญตั ิ รัฐธรรมนญู น้นั ไปใหน้ ายกรฐั มนตรรี บั รอง ในกรณที น่ี ายกรัฐมนตรี บญั ญตั ินัน้ ไปให้นายกรฐั มนตรีรับรอง ในกรณที นี่ ายกรัฐมนตรไี ม่ให้คา เก่ียวด้วยการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรสง่ รา่ งพระราชบญั ญตั ิ รับรอง ให้สภาผู้แทนราษฎรดาเนินการแกไ้ ขเพอื่ มใิ ห้รา่ งพระราชบญั ญตั ิ นนั้ ไปใหน้ ายกรัฐมนตรรี บั รอง ถา้ นายกรฐั มนตรีไมใ่ ห้คารับรอง ให้ น้นั เป็นร่างพระราชบญั ญตั เิ กยี่ วดว้ ยการเงนิ สภาผู้แทนราษฎรดาเนนิ การแก้ไขเพื่อมใิ หร้ า่ งพระราชบญั ญตั ินั้นเป็น ร่างพระราชบญั ญตั เิ กีย่ วด้วยการเงนิ
๘๐ นาถะ ดวงวชิ ัย ผูบ้ งั คับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ไม่ให้คารบั รอง ให้สภาผ้แู ทนราษฎรดาเนนิ การแกไ้ ขเพือ่ มใิ หร้ า่ ง พระราชบัญญัติหรือรา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู นน้ั เปน็ ร่างพระราชบญั ญตั เิ ก่ยี วด้วยการเงนิ มาตรา ๑๗๓ ร่างพระราชบัญญตั ิทีค่ ณะรัฐมนตรรี ะบไุ วใ้ น มาตรา ๑๔๕ รา่ งพระราชบญั ญตั ิทคี่ ณะรัฐมนตรีระบไุ วใ้ นนโยบาย นโยบายท่แี ถลงตอ่ รฐั สภาตามมาตรา ๒๑๑ ว่าจาเปน็ ต่อการบรหิ าร ที่แถลงต่อรฐั สภาตามมาตรา ๑๗๖ ว่าจาเป็นตอ่ การบริหารราชการ ราชการแผน่ ดิน หรอื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ใดหาก แผ่นดิน หากสภาผแู้ ทนราษฎรมมี ตไิ ม่ใหค้ วามเหน็ ชอบ และคะแนนเสยี ง สภาผูแ้ ทนราษฎรมมี ติไม่ใหค้ วามเห็นชอบ และคะแนนเสยี งทีไ่ ม่ให้ ทไี่ ม่ให้ความเหน็ ชอบไม่ถึงกง่ึ หน่ึงของจานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ความเห็นชอบไม่ถงึ กึง่ หนึ่งของจานวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ทงั้ หมดเทา่ ทีม่ อี ยู่ คณะรฐั มนตรอี าจขอใหร้ ัฐสภาประชุมร่วมกันเพอื่ มมี ติ ท้งั หมดเทา่ ทมี่ ีอยู่ คณะรัฐมนตรีอาจขอให้รัฐสภาประชมุ ร่วมกนั เพอ่ื มี อีกครั้งหนง่ึ หากรัฐสภามมี ตใิ หค้ วามเหน็ ชอบให้ตั้งบคุ คลซึง่ เป็นหรือมไิ ด้ มตอิ ีกครั้งหนง่ึ หากรัฐสภามมี ตใิ หค้ วามเห็นชอบ ใหต้ ัง้ บคุ คลซง่ึ เปน็ เปน็ สมาชกิ ของแต่ละสภามีจานวนเท่ากันตามทคี่ ณะรัฐมนตรเี สนอ หรอื มไิ ดเ้ ป็นสมาชิกของแตล่ ะสภามจี านวนเท่ากันตามทีค่ ณะรัฐมนตรี ประกอบกนั เป็นคณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั ของรัฐสภาเพ่อื พจิ ารณารา่ ง เสนอ ประกอบกนั เป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันของรฐั สภาเพอ่ื พระราชบญั ญัตินน้ั และให้คณะกรรมาธิการร่วมกนั ของรฐั สภารายงาน พจิ ารณาร่างพระราชบัญญตั หิ รือรา่ งพระราชบัญญตั ิประกอบ และเสนอรา่ งพระราชบญั ญตั ิท่ไี ดพ้ จิ ารณาแล้วต่อรฐั สภา ถ้ารฐั สภามมี ติ รฐั ธรรมนูญนัน้ และใหค้ ณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภารายงาน เห็นชอบดว้ ยรา่ งพระราชบญั ญตั นิ ้ัน ใหด้ าเนินการตอ่ ไปตามมาตรา ๑๕๐ และเสนอรา่ งพระราชบัญญัตหิ รือรา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ ถ้ารฐั สภามีมตไิ มใ่ หค้ วามเห็นชอบ ให้รา่ งพระราชบัญญตั ินัน้ เป็นอันตกไป รฐั ธรรมนญู ท่ีได้พจิ ารณาแล้วตอ่ รฐั สภา ถ้ารัฐสภามีมตเิ ห็นชอบด้วย ร่างพระราชบญั ญัตหิ รือร่างพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู นน้ั ให้ดาเนินการตอ่ ไปตามมาตรา ๙๓ ถ้ารัฐสภามมี ตไิ ม่ให้ความเห็นชอบ ใหร้ ่างพระราชบญั ญัตหิ รือรา่ งพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู นั้น เปน็ อันตกไป มาตรา ๑๗๔ ภายใตบ้ งั คับมาตรา ๑๘๐ เมอื่ สภาผแู้ ทนราษฎร มาตรา ๑๔๖ ภายใตบ้ งั คับมาตรา ๑๖๘ เมอ่ื สภาผ้แู ทนราษฎร มาตรา ๑๓๖ เมอื่ สภาผู้แทนราษฎรไดพ้ จิ ารณารา่ งพระราช ไดพ้ จิ ารณารา่ งพระราชบัญญตั หิ รอื รา่ งพระราชบัญญัติประกอบ ได้พจิ ารณาร่างพระราชบัญญัตทิ เ่ี สนอตามมาตรา ๑๔๒ และลงมติ บญั ญัติและลงมตเิ ห็นชอบแลว้ ใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรเสนอรา่ ง รัฐธรรมนญู ท่เี สนอตามมาตรา ๑๗๒ และลงมตเิ หน็ ชอบแลว้ ให้สภา เห็นชอบแล้ว ให้สภาผู้แทนราษฎรเสนอรา่ งพระราชบัญญตั ิน้นั ต่อ พระราชบญั ญตั ิน้ันต่อวฒุ สิ ภา วุฒสิ ภาต้องพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัติ ผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบญั ญตั ิหรอื รา่ งพระราชบญั ญัติ วุฒิสภา วฒุ สิ ภาต้องพิจารณาร่างพระราชบญั ญัติทีเ่ สนอมานนั้ ให้เสร็จ ทเี่ สนอมาน้ันให้เสร็จภายในหกสิบวัน แต่ถ้าร่างพระราชบญั ญตั ินั้น ประกอบรัฐธรรมนญู น้ันต่อวุฒสิ ภา วุฒสิ ภาต้องพจิ ารณาร่าง ภายในหกสบิ วนั แต่ถ้าร่างพระราชบญั ญัตินนั้ เป็นรา่ งพระราชบัญญัติ เป็นร่างพระราชบญั ญตั ิเกี่ยวด้วยการเงนิ ตอ้ งพิจารณาให้เสร็จ พระราชบัญญัติหรอื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญทีเ่ สนอ เกยี่ วดว้ ยการเงิน ต้องพิจารณาใหเ้ สรจ็ ภายในสามสบิ วัน ทัง้ น้ี เว้นแต่ ภายในสามสิบวัน ทั้งน้ี เว้นแตว่ ุฒสิ ภาจะได้ลงมตใิ หข้ ยายเวลา มานัน้ ใหเ้ สร็จภายในหกสบิ วนั แตถ่ ้ารา่ งพระราชบญั ญัตหิ รือรา่ ง วฒุ ิสภาจะไดล้ งมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณพี ิเศษซงึ่ ต้องไมเ่ กิน ออกไปเปน็ กรณีพเิ ศษซึง่ ต้องไมเ่ กนิ สามสบิ วัน กาหนดวันดังกลา่ วให้ พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญนน้ั เปน็ รา่ งพระราชบัญญตั เิ ก่ียว สามสิบวัน กาหนดวันดงั กลา่ วให้หมายถึงวนั ในสมัยประชุม และให้เรม่ิ หมายถงึ วนั ในสมัยประชมุ และใหเ้ รมิ่ นบั แตว่ นั ทร่ี า่ งพระราชบญั ญตั ิ ดว้ ยการเงิน ตอ้ งพิจารณาให้เสรจ็ ภายในสามสบิ วัน ทั้งนี้ เว้นแต่ นับแตว่ นั ท่ีรา่ งพระราชบญั ญัตนิ ัน้ มาถึงวุฒสิ ภา น้นั มาถึงวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๘๑ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคับบัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผ้จู ดั ทา วุฒิสภาจะไดล้ งมติให้ขยายเวลาออกไปเปน็ กรณพี เิ ศษซง่ึ ตอ้ งไม่เกิน รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ สามสิบวัน กาหนดวันดังกลา่ วให้หมายถงึ วันในสมยั ประชมุ และให้ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ เริ่มนับแตว่ นั ทีร่ า่ งพระราชบญั ญตั หิ รือรา่ งพระราชบญั ญัติประกอบ ระยะเวลาดงั กล่าวในวรรคหน่ึง ไม่ใหน้ ับรวมระยะเวลาท่อี ยู่ รัฐธรรมนญู น้นั มาถึงวุฒสิ ภา ในระหว่างการพจิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนญู ตามมาตรา ๑๔๙ ระยะเวลาในวรรคหนง่ึ ไมใ่ หน้ บั รวมระยะเวลาทอ่ี ยใู่ นระหวา่ ง การพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๑๓๙ ระยะเวลาดังกล่าวในวรรคหนงึ่ ไมใ่ ห้นบั รวมระยะเวลาที่อยู่ใน ถ้าวฒุ ิสภาพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัตไิ ม่เสรจ็ ภายใน ระหว่างการพจิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนญู ตามมาตรา ๑๗๗ กาหนดเวลาที่กลา่ วในวรรคหน่ึง ให้ถือวา่ วฒุ ิสภาได้ใหค้ วาม ถา้ วฒุ ิสภาพิจารณารา่ งพระราชบญั ญัตไิ ม่เสรจ็ ภายใน เห็นชอบในรา่ งพระราชบัญญตั นิ ้ัน กาหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ใหถ้ อื ว่าวฒุ ิสภาไดใ้ หค้ วามเห็นชอบใน ถา้ วฒุ สิ ภาพิจารณาร่างพระราชบญั ญตั หิ รอื ร่างพระราชบญั ญัติ ร่างพระราชบญั ญัตนิ น้ั ประกอบรฐั ธรรมนญู ไม่เสร็จภายในกาหนดเวลาทีก่ ล่าวในวรรคหน่ึง ในกรณที ่ีสภาผู้แทนราษฎรเสนอรา่ งพระราชบัญญตั เิ กยี่ วดว้ ย ใหถ้ อื ว่าวฒุ ิสภาได้ใหค้ วามเห็นชอบในร่างพระราชบญั ญตั ิหรือร่าง การเงนิ ไปยังวฒุ ิสภา ให้ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรแจ้งไปด้วยวา่ ร่าง ในกรณีทส่ี ภาผแู้ ทนราษฎรเสนอรา่ งพระราชบญั ญัติเกย่ี วด้วย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู น้นั พระราชบัญญัตทิ เ่ี สนอไปนัน้ เปน็ รา่ งพระราชบญั ญตั ิเกย่ี วดว้ ย การเงินไปยังวฒุ ิสภา ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งใหว้ ฒุ ิสภา การเงนิ คาแจง้ ของประธานสภาผแู้ ทนราษฎรใหถ้ อื เป็นเด็ดขาด ทราบและใหถ้ อื เป็นเดด็ ขาด หากมไิ ดแ้ จ้ง ให้ถือว่าร่างพระราชบญั ญัติ ในกรณที สี่ ภาผูแ้ ทนราษฎรเสนอรา่ งพระราชบญั ญตั เิ กยี่ วดว้ ย นัน้ ไมเ่ ปน็ รา่ งพระราชบญั ญตั เิ กย่ี วด้วยการเงิน การเงนิ ไปยงั วุฒิสภา ให้ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรแจ้งไปดว้ ยวา่ รา่ ง ในกรณที ปี่ ระธานสภาผแู้ ทนราษฎรมไิ ดแ้ จ้งไปวา่ ร่างพระราช พระราชบัญญตั ิหรือร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญทเ่ี สนอ บญั ญตั ใิ ดเป็นร่างพระราชบญั ญตั ิเกย่ี วด้วยการเงิน ให้ถือว่าร่างพระราช มาตรา ๑๓๗ เมอ่ื วุฒิสภาได้พจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั ิ ไปน้นั เป็นรา่ งพระราชบญั ญตั เิ ก่ยี วด้วยการเงิน คาแจง้ ของประธาน บัญญตั ินน้ั ไมเ่ ป็นรา่ งพระราชบญั ญตั ิเก่ยี วด้วยการเงิน เสรจ็ แล้ว สภาผูแ้ ทนราษฎรให้ถอื เป็นเดด็ ขาด มาตรา ๑๔๗ วรรคหนงึ่ ภายใตบ้ งั คบั มาตรา ๑๖๘ เมือ่ (๑) ถ้าเหน็ ชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ดาเนนิ การตอ่ ไป ในกรณที ี่ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรมไิ ด้แจง้ ไปวา่ ร่างพระราช วุฒสิ ภาไดพ้ จิ ารณาร่างพระราชบญั ญัตเิ สรจ็ แลว้ ตามมาตรา ๘๑ บัญญัตหิ รอื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญใดเป็นร่าง พระราชบญั ญตั เิ ก่ียวด้วยการเงิน ใหถ้ อื ว่ารา่ งพระราชบญั ญัตหิ รอื รา่ ง (๑) ถา้ เห็นชอบดว้ ยกับสภาผ้แู ทนราษฎร ใหด้ าเนนิ การต่อไป (๒) ถ้าไม่เหน็ ชอบดว้ ยกับสภาผแู้ ทนราษฎร ให้ยบั ย้งั ร่าง พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญน้ันไมเ่ ปน็ ร่างพระราชบัญญตั ิ ตามมาตรา ๑๕๐ พระราชบัญญตั นิ นั้ ไวก้ อ่ น และส่งร่างพระราชบญั ญตั ินัน้ คนื ไปยัง เกีย่ วดว้ ยการเงิน สภาผู้แทนราษฎร (๒) ถ้าไมเ่ ห็นชอบด้วยกบั สภาผ้แู ทนราษฎร ให้ยบั ยงั้ รา่ ง มาตรา ๑๗๕ วรรคหน่งึ ภายใต้บงั คับมาตรา ๑๘๐ เม่อื พระราชบญั ญัตนิ ัน้ ไว้ก่อน และส่งร่างพระราชบญั ญตั ินัน้ คนื ไปยังสภา (๓) ถ้าแก้ไขเพิม่ เตมิ ใหส้ ง่ รา่ งพระราชบัญญัตติ ามทแ่ี กไ้ ข วุฒสิ ภาไดพ้ ิจารณารา่ งพระราชบัญญัตหิ รือร่างพระราชบัญญตั ิ ผู้แทนราษฎร เพ่มิ เตมิ น้นั ไปยงั สภาผูแ้ ทนราษฎร ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเหน็ ชอบ ประกอบรฐั ธรรมนญู เสรจ็ แลว้ (๓) ถ้าแก้ไขเพ่ิมเติม ให้สง่ ร่างพระราชบัญญตั ติ ามท่ีแกไ้ ข (๑) ถา้ เหน็ ชอบดว้ ยกบั สภาผู้แทนราษฎร ให้ดาเนนิ การตอ่ ไป เพ่ิมเติมน้ันไปยังสภาผูแ้ ทนราษฎร ถา้ สภาผ้แู ทนราษฎรเห็นชอบดว้ ย ตามมาตรา ๙๓ (๒) ถา้ ไม่เห็นชอบด้วยกบั สภาผแู้ ทนราษฎร ใหย้ ับยงั้ ร่าง พระราชบญั ญัติหรอื ร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญน้นั ไว้ กอ่ น และส่งรา่ งพระราชบัญญัติหรอื ร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบ รฐั ธรรมนญู นนั้ คืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร
๘๒ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บงั คับบัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผูจ้ ัดทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (๓) ถ้าแก้ไขเพิ่มเตมิ ใหส้ ง่ รา่ งพระราชบัญญตั หิ รือรา่ งพระราช กับการแก้ไขเพิ่มเติม ใหด้ าเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา ๑๕๐ ถ้าเป็นกรณี ดว้ ยกบั การแกไ้ ขเพ่ิมเติม ใหด้ าเนนิ การต่อไปตามมาตรา ๘๑ ถา้ เปน็ บัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ตามทแ่ี กไ้ ขเพมิ่ เติมนนั้ ไปยังสภาผูแ้ ทน อนื่ ให้แต่ละสภาตัง้ บุคคลซ่งึ เป็นหรือมิได้เปน็ สมาชิกแห่งสภาน้ัน ๆ มี กรณอี ่ืน ให้แตล่ ะสภาต้ังบุคคลซึ่งเป็นหรอื มิได้เปน็ สมาชิกแหง่ สภา ราษฎร ถ้าสภาผูแ้ ทนราษฎรเหน็ ชอบด้วยกับการแกไ้ ขเพ่ิมเติม ให้ จานวนเทา่ กนั ตามทสี่ ภาผู้แทนราษฎรกาหนด ประกอบเป็น นัน้ ๆ มีจานวนเทา่ กนั ตามทส่ี ภาผแู้ ทนราษฎรกาหนด ประกอบเป็น ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๓ ถา้ เปน็ กรณอี นื่ ให้แตล่ ะสภาตั้ง คณะกรรมาธกิ ารร่วมกนั เพอื่ พจิ ารณารา่ งน้ัน และให้คณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการร่วมกันเพ่อื พิจารณาร่างพระราชบัญญัตนิ ัน้ และให้ บุคคลซึ่งเป็นหรอื มไิ ดเ้ ป็นสมาชิกแห่งสภาน้ัน ๆ มจี านวนเทา่ กนั รว่ มกันรายงานและเสนอร่างพระราชบญั ญตั ทิ ่ีคณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั ได้ คณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั รายงานและเสนอรา่ งพระราชบัญญตั ิท่ี ตามทส่ี ภาผู้แทนราษฎรกาหนด ประกอบเปน็ คณะกรรมาธิการ พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง ถา้ สภาท้งั สองตา่ งเหน็ ชอบดว้ ยร่าง คณะกรรมาธกิ ารร่วมกนั ได้พิจารณาแล้วตอ่ สภาทงั้ สอง ถา้ สภาท้งั รว่ มกนั เพ่อื พิจารณารา่ งพระราชบญั ญตั หิ รอื ร่างพระราชบัญญัติ พระราชบญั ญตั ทิ คี่ ณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั ไดพ้ ิจารณาแล้ว ให้ดาเนินการ สองตา่ งเหน็ ชอบดว้ ยกบั รา่ งพระราชบัญญัตทิ ี่คณะกรรมาธิการ ประกอบรัฐธรรมนญู นั้น และใหค้ ณะกรรมาธกิ ารร่วมกันรายงานและ ตอ่ ไปตามมาตรา ๑๕๐ ถา้ สภาใดสภาหน่ึงไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้ยับยั้ง รว่ มกนั ไดพ้ จิ ารณาแล้ว ใหด้ าเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑ ถา้ สภา เสนอรา่ งพระราชบัญญัติหรือรา่ งพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญ รา่ งพระราชบญั ญัตินั้นไว้กอ่ น ใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย ไม่ว่าอกี สภาหนึ่งจะได้พิจารณารา่ ง ท่ีคณะกรรมาธิการรว่ มกันได้พิจารณาแลว้ ตอ่ สภาทั้งสอง ถา้ สภาทัง้ วรรคสาม การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมกนั ต้องมี พระราชบัญญัติน้นั แล้วหรอื ไม่ ใหย้ ับย้ังร่างพระราชบัญญตั นิ น้ั ไว้กอ่ น สองต่างเหน็ ชอบด้วยร่างพระราชบญั ญัตหิ รือรา่ งพระราชบญั ญัติ กรรมาธิการของสภาทัง้ สองมาประชุมไม่นอ้ ยกว่ากงึ่ หน่งึ ของจานวน การประชมุ คณะกรรมาธิการรว่ มกนั ต้องมกี รรมาธิการของ ประกอบรัฐธรรมนญู ทค่ี ณะกรรมาธกิ ารร่วมกนั ไดพ้ ิจารณาแล้ว ให้ กรรมาธกิ ารทง้ั หมดจึงจะเป็นองคป์ ระชุม และให้นาบทบญั ญตั ิ สภาทง้ั สองมาประชุมไม่น้อยกวา่ กงึ่ หนึ่งของจานวนกรรมาธิการ ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๓ ถา้ สภาใดสภาหน่งึ ไม่เหน็ ชอบด้วย ก็ มาตรา ๑๓๗ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ท้ังหมดจงึ จะเป็นองค์ประชมุ และใหน้ าความในมาตรา ๑๕๗ มาใช้ ให้ยบั ย้งั รา่ งพระราชบัญญตั ิหรอื รา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบ วรรคส่ี ถา้ วฒุ ิสภาไม่ส่งรา่ งพระราชบญั ญัติคนื ไปยังสภา บงั คบั โดยอนุโลม รฐั ธรรมนญู นั้นไวก้ ่อน ผแู้ ทนราษฎรภายในกาหนดเวลาตามมาตรา ๑๔๖ ให้ถือว่าวุฒิสภา ถา้ วุฒิสภาไมส่ ง่ ร่างพระราชบญั ญตั คิ นื ไปยังสภาผ้แู ทนราษฎร วรรคสาม การประชุมคณะกรรมาธิการรว่ มกันตอ้ งมกี รรมาธกิ าร ได้ใหค้ วามเหน็ ชอบในร่างพระราชบัญญัตนิ ั้น และให้ดาเนินการ ภายในกาหนดเวลาตามมาตรา ๑๓๖ ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความ ของสภาทัง้ สองมาประชุมไม่น้อยกว่าก่ึงหนงึ่ ของจานวนกรรมาธกิ าร ตามมาตรา ๑๕๐ ตอ่ ไป เหน็ ชอบในร่างพระราชบัญญตั นิ น้ั และให้ดาเนินการตามมาตรา ๘๑ ทง้ั หมดจงึ จะเป็นองคป์ ระชุม และใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๑๙๔ มาใช้ ต่อไป บังคับโดยอนุโลม มาตรา ๑๗๖ รา่ งพระราชบัญญตั ิหรอื รา่ งพระราชบัญญัติ มาตรา ๑๔๘ ร่างพระราชบญั ญตั ทิ ่ีตอ้ งยบั ยัง้ ไวต้ ามมาตรา มาตรา ๑๓๘ สภาผแู้ ทนราษฎรจะยกร่างพระราชบญั ญตั ิที่ ประกอบรัฐธรรมนญู ทีต่ ้องยบั ยั้งไว้ตามมาตรา ๑๗๕ นน้ั สภาผู้แทน ๑๔๗ น้นั สภาผ้แู ทนราษฎรจะยกข้นึ พจิ ารณาใหมไ่ ดต้ อ่ เมื่อเวลา ต้องยบั ยั้งไว้ตามมาตรา ๑๓๗ ขึน้ พจิ ารณาใหมไ่ ดเ้ ม่ือพน้ หน่ึงรอ้ ย ราษฎรจะยกข้นึ พิจารณาใหมไ่ ด้ตอ่ เมอื่ เวลาหนงึ่ รอ้ ยแปดสิบวันได้ลว่ ง หน่งึ ร้อยแปดสบิ วันไดล้ ว่ งพ้นไปนบั แต่วันที่วฒุ ิสภาสง่ รา่ งพระราช แปดสบิ วนั นบั แต่ พ้นไปนับแตว่ ันท่วี ุฒิสภาส่งร่างพระราชบญั ญตั หิ รือรา่ งพระราชบัญญัติ บญั ญัตนิ ั้นคืนไปยงั สภาผูแ้ ทนราษฎร สาหรับกรณกี ารยบั ย้งั ตาม (๑) วนั ทวี่ ุฒิสภาสง่ รา่ งพระราชบญั ญัตินน้ั คืนไปยังสภาผูแ้ ทน ประกอบรัฐธรรมนญู น้ันคืนไปยังสภาผแู้ ทนราษฎร สาหรับกรณีการ มาตรา ๑๔๗ (๒) และนับแต่วันทส่ี ภาใดสภาหนึ่งไมเ่ ห็นชอบด้วย ราษฎร สาหรบั กรณกี ารยบั ยัง้ ตามมาตรา ๑๓๗ (๒) ยบั ย้งั ตามมาตรา ๑๗๕ (๒) และนบั แตว่ ันท่ีสภาใดสภาหนงึ่ ไม่ สาหรบั กรณีการยบั ยัง้ ตามมาตรา ๑๔๗ (๓) ในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าสภา (๒) วันท่ีสภาใดสภาหน่ึงไมเ่ หน็ ชอบด้วย สาหรบั กรณีการ เหน็ ชอบด้วย สาหรับกรณกี ารยบั ย้งั ตามมาตรา ๑๗๕ (๓) ในกรณเี ชน่ ผู้แทนราษฎรลงมติยนื ยันร่างเดมิ หรอื ร่างทคี่ ณะกรรมาธกิ ารร่วมกนั ยบั ยั้งตามมาตรา ๑๓๗ (๓) วา่ น้ี ถ้าสภาผแู้ ทนราษฎรลงมตยิ ืนยนั ร่างเดมิ หรอื ร่างทคี่ ณะกรรมาธกิ าร พจิ ารณาดว้ ยคะแนนเสยี งมากกว่ากงึ่ หนึ่งของจานวนสมาชิกทง้ั หมด ในกรณีตามวรรคหน่ึง ถา้ สภาผูแ้ ทนราษฎรลงมตยิ นื ยันร่างที่ รว่ มกนั พจิ ารณาดว้ ยคะแนนเสยี งมากกวา่ ก่ึงหนง่ึ ของจานวนสมาชิก เทา่ ท่มี อี ยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎรแลว้ ให้ถือว่ารา่ งพระราชบญั ญตั นิ นั้ ผ่านการพิจารณาจากสภาผแู้ ทนราษฎรหรือรา่ งทค่ี ณะกรรมาธกิ าร ทง้ั หมดเทา่ ทีม่ อี ยูข่ องสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ใหถ้ ือวา่ รา่ งพระราช ร่วมกันพจิ ารณาด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากง่ึ หนึง่ ของจานวนสมาชิก
๘๓ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ บัญญัตหิ รอื ร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญนั้นเปน็ อันไดร้ ับ เปน็ อันไดร้ บั ความเห็นชอบของรัฐสภา และให้ดาเนนิ การต่อไปตาม ทั้งหมดเทา่ ที่มีอยู่ของสภาผแู้ ทนราษฎรแล้ว ให้ถอื วา่ ร่างพระราช ความเห็นชอบของรัฐสภา และใหด้ าเนินการตอ่ ไปตามมาตรา ๙๓ มาตรา ๑๕๐ บญั ญัตนิ ้ันเปน็ อันไดร้ บั ความเห็นชอบของรัฐสภา และใหด้ าเนินการ ถา้ รา่ งพระราชบญั ญัตหิ รือรา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ ถ้าร่างพระราชบญั ญัตทิ ตี่ ้องยับยง้ั ไว้เปน็ ร่างพระราชบัญญัติ ต่อไปตามมาตรา ๘๑ รฐั ธรรมนูญท่ตี อ้ งยับยง้ั ไวเ้ ปน็ รา่ งพระราชบัญญตั เิ กี่ยวดว้ ยการเงนิ เก่ียวด้วยการเงิน สภาผแู้ ทนราษฎรอาจยกร่างพระราชบญั ญตั นิ ัน้ ภายใตบ้ ังคบั มาตรา ๑๔๓ วรรคส่ี ระยะเวลาหนึง่ รอ้ ยแปดสบิ สภาผแู้ ทนราษฎรอาจยกร่างพระราชบัญญตั หิ รอื ร่างพระราชบญั ญัติ ข้ึนพิจารณาใหมไ่ ด้ทันที ในกรณเี ช่นว่าน้ี ถา้ สภาผูแ้ ทนราษฎรลงมติ วนั ตามวรรคหน่งึ ใหล้ ดเหลอื สบิ วนั ในกรณีร่างพระราชบญั ญัตทิ ต่ี อ้ ง ประกอบรฐั ธรรมนญู น้นั ข้ึนพจิ ารณาใหมไ่ ด้ทันที ในกรณเี ช่นว่านี้ ถา้ ยนื ยันรา่ งเดมิ หรอื รา่ งท่ีคณะกรรมาธิการรว่ มกันพจิ ารณาดว้ ย ยับยัง้ ไว้น้ันเปน็ รา่ งพระราชบญั ญตั ิเก่ยี วดว้ ยการเงิน สภาผู้แทนราษฎรลงมติยนื ยนั ร่างเดิมหรือร่างที่คณะกรรมาธกิ าร คะแนนเสยี งมากกวา่ กึง่ หน่ึงของจานวนสมาชกิ ทั้งหมดเท่าทม่ี อี ยู่ ร่วมกนั พจิ ารณาดว้ ยคะแนนเสียงมากกว่ากึง่ หน่งึ ของจานวนสมาชกิ ของสภาผูแ้ ทนราษฎรแลว้ ให้ถอื ร่างพระราชบัญญัตนิ ั้นเปน็ อันไดร้ ับ ท้ังหมดเทา่ ทม่ี อี ยู่ของสภาผูแ้ ทนราษฎรแลว้ ใหถ้ อื รา่ งพระราชบัญญตั ิ ความเหน็ ชอบของรัฐสภา และใหด้ าเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา ๑๕๐ หรือรา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู นั้นเปน็ อันได้รับความ เหน็ ชอบของรฐั สภา และใหด้ าเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๓ มาตรา ๑๗๗ ในระหวา่ งทมี่ ีการยับย้งั ร่างพระราชบัญญตั หิ รือ มาตรา ๑๔๙ ในระหว่างทม่ี กี ารยับยงั้ ร่างพระราชบญั ญัตใิ ดตาม มาตรา ๑๓๙ ในระหวา่ งทมี่ กี ารยับยงั้ รา่ งพระราชบญั ญัติใด ร่างพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญใดตามมาตรา ๑๗๕ มาตรา ๑๔๗ คณะรฐั มนตรีหรือสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรจะเสนอร่าง ตามมาตรา ๑๓๗ คณะรัฐมนตรหี รอื สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจะเสนอ คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจะเสนอรา่ งพระราชบัญญัติ พระราชบัญญตั ิท่มี หี ลักการอย่างเดียวกันหรอื คลา้ ยกันกับหลกั การของ รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ มี่ หี ลกั การอยา่ งเดียวกันหรอื คล้ายกันกบั หรือรา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ทม่ี ีหลักการอยา่ ง รา่ งพระราชบัญญตั ทิ ี่ตอ้ งยับยั้งไวม้ ิได้ หลกั การของรา่ งพระราชบัญญัติทต่ี ้องยบั ย้งั ไว้มิได้ เดยี วกันหรือคล้ายกนั กบั หลกั การของร่างพระราชบัญญัตหิ รอื ร่าง ในกรณที สี่ ภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื วฒุ สิ ภาเหน็ วา่ รา่ งพระราชบัญญัติ ในกรณที ส่ี ภาผแู้ ทนราษฎรหรอื วุฒิสภาเหน็ วา่ รา่ งพระราชบญั ญัติ พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญทีต่ ้องยับยงั้ ไวม้ ไิ ด้ ทเ่ี สนอหรือส่งให้พิจารณาน้นั เป็นรา่ งพระราชบัญญัติทีม่ ีหลกั การอยา่ ง ท่เี สนอหรือส่งให้พิจารณานน้ั เปน็ ร่างพระราชบญั ญตั ทิ มี่ ีหลกั การ ในกรณที ส่ี ภาผูแ้ ทนราษฎรหรอื วุฒิสภา เหน็ วา่ รา่ งพระราชบญั ญตั ิ เดียวกันหรือคล้ายกันกบั หลักการของรา่ งพระราชบญั ญตั ิท่ีตอ้ งยับยง้ั อยา่ งเดยี วกันหรอื คล้ายกันกบั หลกั การของรา่ งพระราชบญั ญตั ิทตี่ ้อง หรอื รา่ งพระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ทีเ่ สนอหรือสง่ ให้ ไว้ ให้ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรหรอื ประธานวฒุ ิสภาสง่ ร่างพระราช ยบั ยัง้ ไว้ ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรหรอื ประธานวฒุ ิสภาสง่ รา่ ง พิจารณาน้ัน เป็นรา่ งพระราชบญั ญัติหรอื รา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ บญั ญตั ดิ งั กลา่ วใหศ้ าลรฐั ธรรมนูญวินจิ ฉัย ถา้ ศาลรัฐธรรมนูญวนิ ิจฉัยว่า พระราชบญั ญตั ดิ ังกลา่ วใหศ้ าลรัฐธรรมนญู วนิ ิจฉยั ถ้าศาล รัฐธรรมนญู ที่มหี ลักการอยา่ งเดยี วกนั หรอื คลา้ ยกนั กับหลักการของ เปน็ ร่างพระราชบญั ญตั ิทม่ี ีหลักการอยา่ งเดยี วกันหรือคลา้ ยกนั กับ รัฐธรรมนญู วนิ จิ ฉัยวา่ เป็นร่างพระราชบญั ญตั ิที่มหี ลกั การอยา่ ง รา่ งพระราชบญั ญัตหิ รอื ร่างพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ที่ตอ้ ง หลกั การของร่างพระราชบัญญัตทิ ่ตี ้องยับย้ังไว้ ให้รา่ งพระราชบัญญตั ิ เดียวกนั หรือคล้ายกนั กับหลกั การของรา่ งพระราชบัญญตั ทิ ต่ี ้อง ยับย้งั ไว้ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาส่งรา่ ง นน้ั เปน็ อันตกไป ยบั ย้ังไว้ ใหร้ ่างพระราชบญั ญตั ิน้นั เป็นอันตกไป พระราชบญั ญัตหิ รือรา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ ว ให้ศาลรฐั ธรรมนญู วินิจฉัย ถา้ ศาลรฐั ธรรมนูญวนิ ิจฉยั วา่ เปน็ รา่ ง พระราชบญั ญตั ิหรือร่างพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ทีม่ ี หลกั การอยา่ งเดยี วกันหรือคล้ายกนั กบั หลักการของร่างพระราช บัญญัตหิ รือรา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญท่ีตอ้ งยับย้ังไว้ ให้
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๘๔ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ งั คับบัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผูจ้ ดั ทา รา่ งพระราชบญั ญัตหิ รอื รา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู นนั้ เปน็ อนั ตกไป รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๘๑ การจ่ายเงินแผน่ ดนิ จะกระทาได้ก็เฉพาะที่ได้ มาตรา ๑๖๙ การจ่ายเงนิ แผ่นดนิ จะกระทาได้ก็เฉพาะท่ไี ด้ มาตรา ๑๔๐ การจ่ายเงนิ แผ่นดนิ จะกระทาไดเ้ ฉพาะท่ไี ด้ อนุญาตไวใ้ นกฎหมายวา่ ดว้ ยงบประมาณรายจา่ ย กฎหมายว่าด้วย วิธกี ารงบประมาณ กฎหมายเกย่ี วดว้ ยการโอนงบประมาณ หรอื อนุญาตไวใ้ นกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วย อนญุ าตไว้ในกฎหมายวา่ ด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายวา่ ด้วย กฎหมายว่าด้วยเงนิ คงคลัง เวน้ แตใ่ นกรณีจาเป็นรบี ด่วนจะจ่ายไป ก่อนก็ได้ แต่ต้องเปน็ ไปตามหลักเกณฑ์และวิธกี ารทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ วิธกี ารงบประมาณ กฎหมายเกยี่ วด้วยการโอนงบประมาณ หรือ วิธกี ารงบประมาณ หรอื กฎหมายเกี่ยวดว้ ยการโอนงบประมาณ ในกรณีเช่นวา่ นี้ต้องต้ังงบประมาณรายจ่ายชดใชใ้ นพระราชบญั ญตั ิ โอนงบประมาณรายจา่ ย พระราชบญั ญัตงิ บประมาณรายจ่ายเพ่มิ เตมิ กฎหมายว่าดว้ ยเงินคงคลงั เวน้ แตใ่ นกรณีจาเปน็ เร่งดว่ นรัฐบาลจะ กฎหมายว่าดว้ ยเงินคงคลัง หรือกฎหมายวา่ ด้วยวนิ ยั การเงินการคลงั หรอื พระราชบญั ญตั งิ บประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณถดั ไป หรือเว้นแต่เป็นกรณตี ามมาตรา ๒๓๐ วรรคสอง จ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่กี ฎหมาย ของรฐั เว้นแตใ่ นกรณีจาเปน็ รบี ดว่ นจะจ่ายไปกอ่ นก็ได้ แตต่ ้อง บัญญัติ ในกรณีเช่นว่านีต้ อ้ งตัง้ งบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใชเ้ งนิ คง เปน็ ไปตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ในกรณีเชน่ ว่านี้ คลงั ในพระราชบญั ญตั โิ อนเงินงบประมาณรายจ่าย พระราชบัญญัติ ต้องตงั้ งบประมาณรายจ่ายชดใช้ในพระราชบัญญตั โิ อนงบประมาณ งบประมาณรายจ่ายเพม่ิ เตมิ หรอื พระราชบญั ญัตงิ บประมาณ รายจ่ายหรือพระราชบญั ญตั ิงบประมาณรายจา่ ยเพม่ิ เติม หรอื รายจา่ ยประจาปงี บประมาณถดั ไป ทงั้ นี้ ใหก้ าหนดแหล่งทมี่ าของ พระราชบญั ญตั ิงบประมาณรายจา่ ยประจาปงี บประมาณถดั ไป รายได้เพ่ือชดใช้รายจา่ ยทไ่ี ดใ้ ช้เงนิ คงคลงั จ่ายไปก่อนแลว้ ด้วย ในระหวา่ งเวลาท่ปี ระเทศอยใู่ นภาวะสงครามหรอื การรบ คณะรัฐมนตรีมีอานาจโอนหรอื นารายจ่ายทีก่ าหนดไวส้ าหรบั หน่วย ราชการหรอื รฐั วิสาหกจิ ใดไปใช้ในรายการท่ีแตกตา่ งจากทก่ี าหนดไว้ ในพระราชบัญญัตงิ บประมาณรายจ่ายประจาปไี ดท้ นั ที และให้ รายงานรัฐสภาทราบโดยไม่ชักชา้ ในกรณที มี่ กี ารโอนหรือนารายจ่ายตามงบประมาณทีก่ าหนดไว้ใน รายการใดไปใชใ้ นรายการอนื่ ของหนว่ ยราชการหรือรฐั วสิ าหกจิ ใหร้ ัฐบาล รายงานรัฐสภาเพ่ือทราบทุกหกเดอื น มาตรา ๑๗๐ เงินรายไดข้ องหนว่ ยงานของรฐั ใดท่ีไม่ต้องนาสง่ เปน็ รายไดแ้ ผ่นดนิ ใหห้ นว่ ยงานของรัฐนนั้ ทารายงานการรับและการใช้ จ่ายเงนิ ดังกลา่ ว เสนอตอ่ คณะรฐั มนตรเี มอ่ื ส้นิ ปงี บประมาณทกุ ปี และให้ คณะรฐั มนตรที ารายงานเสนอตอ่ สภาผูแ้ ทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป การใช้จ่ายเงินรายไดต้ ามวรรคหนง่ึ ต้องอยูภ่ ายใตก้ รอบวนิ ยั การเงนิ การคลังตามหมวดนี้ด้วย
๘๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๙ งบประมาณรายจา่ ยของแผ่นดนิ ใหท้ าเปน็ หมวด ๘ พระราชบญั ญัติ ถา้ พระราชบญั ญตั งิ บประมาณรายจา่ ยประจาปี งบประมาณออกไมท่ นั ปีงบประมาณใหม่ ให้ใชก้ ฎหมายวา่ ด้วย การเงิน การคลัง และงบประมาณ งบประมาณรายจ่ายในปงี บประมาณปกี อ่ นนั้นไปพลางก่อน มาตรา ๑๖๖ ตรงกบั ความในมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนญู มาตรา ๑๔๑ งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดนิ ใหท้ าเปน็ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติ ถา้ พระราชบัญญตั ิงบประมาณรายจ่ายประจาปี มาตรา ๑๖๘ วรรคแปด รฐั ตอ้ งจดั สรรงบประมาณให้ งบประมาณออกไม่ทนั ปีงบประมาณใหม่ ให้ใช้กฎหมายว่าด้วย เพยี งพอกับการบริหารงานโดยอสิ ระของรัฐสภา ศาลรัฐธรรมนูญ งบประมาณรายจ่ายในปงี บประมาณปกี อ่ นนัน้ ไปพลางก่อน ศาลยตุ ิธรรม ศาลปกครองและองคก์ รตามรัฐธรรมนูญ รัฐตอ้ งจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกบั การปฏิบัตหิ นา้ ทโ่ี ดย วรรคเก้า ในการพจิ ารณางบประมาณรายจ่ายของรัฐสภา อิสระของรัฐสภา ศาล องค์กรอสิ ระ และองคก์ รอัยการ ทั้งนี้ ตาม ศาล และองค์กรตามวรรคแปด หากหน่วยงานนนั้ เหน็ ว่างบประมาณ หลกั เกณฑท์ ่บี ญั ญัตไิ ว้ในกฎหมายว่าด้วยวินยั การเงนิ การคลังของรฐั รายจ่ายทไี่ ดร้ บั การจดั สรรใหน้ ั้นไมเ่ พียงพอ ให้สามารถเสนอคาขอ ในกรณที เี่ ห็นว่างบประมาณทไี่ ดร้ บั จดั สรรอาจไม่เพียงพอตอ่ การ แปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการไดโ้ ดยตรง ปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ รฐั สภา ศาล องคก์ รอสิ ระ หรอื องคก์ รอัยการจะยื่นคา ขอแปรญตั ตติ ่อคณะกรรมาธกิ ารโดยตรงกไ็ ด้ มาตรา ๑๖๗ ในการนาเสนอร่างพระราชบัญญตั ิงบประมาณ มาตรา ๑๔๒ ในการเสนอรา่ งพระราชบญั ญัตงิ บประมาณ รายจ่ายประจาปีงบประมาณ ต้องมีเอกสารประกอบซงึ่ รวมถงึ รายจ่ายประจาปงี บประมาณ ต้องแสดงแหลง่ ท่ีมาและประมาณการ ประมาณการรายรบั และวตั ถปุ ระสงค์ กจิ กรรม แผนงาน โครงการ รายได้ ผลสมั ฤทธ์หิ รือประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ ับจากการจา่ ยเงิน ในแตล่ ะรายการของการใชจ้ ่ายงบประมาณใหช้ ดั เจน รวมทัง้ ต้อง และความสอดคลอ้ งกับยุทธศาสตรช์ าติ และแผนพัฒนาตา่ ง ๆ ทง้ั นี้ แสดงฐานะการเงนิ การคลังของประเทศเกีย่ วกับภาพรวมของภาวะ ตามหลักเกณฑ์ท่ีบัญญตั ิไวใ้ นกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงนิ การคลัง เศรษฐกิจทเ่ี กดิ จากการใช้จ่ายและการจดั หารายได้ ประโยชนแ์ ละ ของรัฐ การขาดรายได้จากการยกเวน้ ภาษเี ฉพาะรายในรูปแบบตา่ ง ๆ ความ จาเป็นในการต้ังงบประมาณผูกพนั ขา้ มปี ภาระหนแี้ ละการกอ่ หน้ี ของรฐั และฐานะการเงินของรัฐวสิ าหกิจ ในปีที่ขออนมุ ตั ิงบประมาณ น้นั และปีงบประมาณท่ีผา่ นมาเพื่อใชป้ ระกอบการพิจารณาด้วย หากรายจา่ ยใดไมส่ ามารถจดั สรรงบประมาณให้แก่หนว่ ยราชการ รัฐวสิ าหกจิ หรอื หนว่ ยงานอื่นใดของรฐั ได้โดยตรง ให้จัดไว้ในรายการ รายจ่ายงบกลาง โดยตอ้ งแสดงเหตผุ ลและความจาเปน็ ในการ กาหนดงบประมาณรายจา่ ยงบกลางน้ันดว้ ย ให้มกี ฎหมายการเงินการคลังของรัฐเพ่ือกาหนดกรอบวินยั การเงนิ การคลงั ซึ่งรวมถึงหลกั เกณฑเ์ กยี่ วกบั การวางแผนการเงนิ ระยะ ปานกลาง การจัดหารายได้ การกาหนดแนวทางในการจดั ทา
รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๘๖ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บังคับบญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดนิ การบริหารการเงนิ และทรพั ยส์ ิน การ บัญชี กองทุนสาธารณะ การกอ่ หน้ีหรอื การดาเนนิ การท่ผี กู พัน ทรพั ย์สินหรอื ภาระทางการเงินของรัฐ หลกั เกณฑก์ ารกาหนดวงเงนิ สารองจ่ายเพือ่ กรณฉี ุกเฉินหรือจาเปน็ และการอืน่ ที่เก่ียวข้อง ซ่ึง จะตอ้ งใชเ้ ป็นกรอบในการจดั หารายได้ กากับการใชจ้ ่ายเงินตาม หลักการรกั ษาเสถยี รภาพ พัฒนาทางเศรษฐกิจอยา่ งยั่งยนื และความ เป็นธรรมในสังคม มาตรา ๑๘๐ วรรคหน่ึง รา่ งพระราชบัญญตั งิ บประมาณ มาตรา ๑๖๘ วรรคหนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ มาตรา ๑๔๓ ร่างพระราชบัญญตั ิงบประมาณรายจ่าย รายจา่ ยประจาปงี บประมาณ รา่ งพระราชบัญญตั ิงบประมาณรายจา่ ย รายจ่ายประจาปีงบประมาณ ร่างพระราชบญั ญตั ิงบประมาณรายจ่าย ประจาปีงบประมาณ ร่างพระราชบญั ญัตงิ บประมาณรายจา่ ย เพิม่ เตมิ และร่างพระราชบญั ญตั โิ อนงบประมาณรายจา่ ย สภา เพิม่ เติม และรา่ งพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สภา เพ่ิมเตมิ และร่างพระราชบัญญตั โิ อนงบประมาณรายจ่าย สภา ผ้แู ทนราษฎรจะตอ้ งพิจารณาให้เสร็จภายในหนง่ึ รอ้ ยหา้ วนั นับแตว่ นั ที่ ผูแ้ ทนราษฎรจะต้องวิเคราะหแ์ ละพิจารณาใหแ้ ลว้ เสร็จภายในหน่ึงรอ้ ย ผแู้ ทนราษฎรจะตอ้ งพจิ ารณาใหแ้ ลว้ เสร็จภายในหน่งึ รอ้ ยหา้ วันนบั ร่างพระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วมาถึงสภาผูแ้ ทนราษฎร หา้ วนั นับแตว่ นั ทร่ี ่างพระราชบญั ญตั ิดงั กลา่ วมาถงึ สภาผ้แู ทนราษฎร แต่วนั ท่ีร่างพระราชบญั ญตั ิดงั กลา่ วมาถงึ สภาผแู้ ทนราษฎร วรรคสอง ถา้ สภาผแู้ ทนราษฎรพจิ ารณารา่ งพระราชบัญญัตนิ ้นั วรรคสอง ถ้าสภาผูแ้ ทนราษฎรพจิ ารณารา่ งพระราชบัญญตั ินน้ั ถ้าสภาผูแ้ ทนราษฎรพจิ ารณาร่างพระราชบัญญตั นิ ัน้ ไม่แลว้ ไมเ่ สรจ็ ภายในกาหนดเวลาทก่ี ลา่ วในวรรคหนงึ่ ให้ถือว่าสภาผู้แทน ไมแ่ ลว้ เสรจ็ ภายในกาหนดเวลาท่ีกล่าวในวรรคหน่งึ ให้ถือวา่ สภาผแู้ ทน เสรจ็ ภายในกาหนดเวลาตามวรรคหนงึ่ ใหถ้ อื ว่าสภาผู้แทนราษฎร ราษฎรได้ใหค้ วามเห็นชอบในรา่ งพระราชบญั ญัติน้นั และให้เสนอรา่ ง ราษฎรได้ใหค้ วามเห็นชอบในรา่ งพระราชบญั ญัติน้นั และใหเ้ สนอรา่ ง เหน็ ชอบกบั ร่างพระราชบญั ญตั ินนั้ และใหเ้ สนอรา่ งพระราชบญั ญตั ิ พระราชบัญญัตดิ งั กล่าวตอ่ วุฒสิ ภา พระราชบญั ญัตดิ ังกลา่ วต่อวุฒสิ ภา ดงั กลา่ วต่อวฒุ ิสภาเพอ่ื พจิ ารณา วรรคสาม ในการพจิ ารณาของวฒุ สิ ภา วุฒิสภาจะต้องใหค้ วาม วรรคสาม ในการพิจารณาของวุฒสิ ภา วุฒสิ ภาจะต้องให้ ในการพจิ ารณาของวฒุ สิ ภา วุฒสิ ภาจะตอ้ งใหค้ วามเห็นชอบ เหน็ ชอบหรือไม่ให้ความเหน็ ชอบภายในย่สี ิบวนั นับแต่วันที่ร่าง ความเหน็ ชอบหรอื ไม่ใหค้ วามเหน็ ชอบภายในยี่สบิ วนั นบั แต่วันทรี่ า่ ง หรือไม่ใหค้ วามเหน็ ชอบภายในยี่สบิ วนั นบั แต่วันท่รี ่างพระราชบัญญตั ิ พระราชบญั ญัตินั้นมาถงึ วุฒสิ ภา โดยจะแกไ้ ขเพิ่มเติมใด ๆ มไิ ด้ ถ้า พระราชบัญญตั ิน้ันมาถงึ วฒุ สิ ภา โดยจะแกไ้ ขเพมิ่ เติมใด ๆ มิได้ ถ้า นั้นมาถงึ วุฒสิ ภา โดยจะแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ใด ๆ มิได้ ถา้ พ้นกาหนดเวลา พน้ กาหนดเวลาดงั กล่าวให้ถือว่าวฒุ สิ ภาไดใ้ ห้ความเหน็ ชอบในร่าง พน้ กาหนดเวลาดงั กล่าวใหถ้ อื ว่าวฒุ ิสภาได้ให้ความเห็นชอบในรา่ ง ดงั กลา่ ว ให้ถือวา่ วฒุ ิสภาเห็นชอบกบั ร่างพระราชบญั ญตั นิ ้นั ในกรณี พระราชบัญญตั ินั้น ในกรณเี ชน่ นีแ้ ละในกรณที ่วี ุฒสิ ภาใหค้ วาม พระราชบัญญัตินัน้ ในกรณีเช่นน้ีและในกรณีท่วี ุฒิสภาใหค้ วาม เช่นนแ้ี ละในกรณที วี่ ุฒิสภาใหค้ วามเหน็ ชอบ ใหด้ าเนนิ การต่อไปตาม เห็นชอบ ให้ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๓ เหน็ ชอบ ให้ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๕๐ มาตรา ๘๑ วรรคส่ี ถา้ รา่ งพระราชบัญญตั ิดงั กลา่ ววุฒิสภาไมเ่ ห็นชอบด้วย วรรคส่ี ถ้ารา่ งพระราชบญั ญัติดงั กลา่ ววุฒสิ ภาไม่เห็นชอบด้วย ถ้าวุฒิสภาไมเ่ ห็นชอบดว้ ยกบั ร่างพระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าว ให้ ให้นาบทบญั ญตั มิ าตรา ๑๗๖ วรรคสอง มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม ให้นาบทบญั ญัติมาตรา ๑๔๘ วรรคสอง มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม นาความในมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม โดยให้ สภาผ้แู ทนราษฎรยกขึ้นพิจารณาใหมไ่ ดท้ ันที ระยะเวลาตามวรรคหน่งึ และวรรคสาม มใิ ห้นับรวมระยะเวลา ทศ่ี าลรฐั ธรรมนญู พิจารณาตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสาม
๘๗ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคับบัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๘๐ วรรคหา้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญตั ิ มาตรา ๑๖๘ วรรคหา้ ในการพิจารณาร่างพระราชบญั ญตั ิ มาตรา ๑๔๔ ในการพิจารณารา่ งพระราชบัญญตั งิ บประมาณ งบประมาณรายจา่ ยประจาปงี บประมาณ ร่างพระราชบญั ญตั ิ งบประมาณรายจ่ายประจาปงี บประมาณ ร่างพระราชบญั ญตั ิงบประมาณ รายจ่ายประจาปีงบประมาณ รา่ งพระราชบัญญัตงิ บประมาณ งบประมาณรายจา่ ยเพมิ่ เตมิ และรา่ งพระราชบญั ญัตโิ อนงบประมาณ รายจา่ ยเพ่มิ เตมิ และรา่ งพระราชบญั ญัติโอนงบประมาณรายจา่ ย รายจา่ ยเพม่ิ เติม และร่างพระราชบญั ญตั โิ อนงบประมาณรายจา่ ย รายจา่ ย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญตั ตเิ พิม่ เตมิ รายการหรือ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจะแปรญตั ตเิ พม่ิ เตมิ รายการหรือจานวนใน สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรจะแปรญัตตเิ ปลี่ยนแปลงหรอื แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ จานวนในรายการมไิ ด้ แต่อาจแปรญตั ติได้ในทางลดหรือตัดทอน รายการมิได้ แต่อาจแปรญตั ตใิ นทางลดหรือตัดทอนรายจา่ ยซงึ่ มิใช่ รายการหรือจานวนในรายการมไิ ด้ แตอ่ าจแปรญตั ติในทางลดหรือ รายจ่ายซง่ึ มิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ดงั ต่อไปนี้ รายจา่ ยตามขอ้ ผูกพนั อย่างใดอย่างหนึง่ ดังตอ่ ไปน้ี ตัดทอนรายจา่ ยซง่ึ มใิ ช่รายจา่ ยตามข้อผกู พนั อย่างใดอย่างหนง่ึ (๑) เงินสง่ ใชต้ ้นเงินกู้ (๑) เงินสง่ ใชต้ น้ เงินกู้ ดงั ต่อไปนี้ (๒) ดอกเบีย้ เงนิ กู้ (๒) ดอกเบี้ยเงนิ กู้ (๑) เงินสง่ ใชต้ น้ เงนิ กู้ (๓) เงนิ ทีก่ าหนดใหจ้ ่ายตามกฎหมาย (๓) เงินท่กี าหนดให้จ่ายตามกฎหมาย (๒) ดอกเบย้ี เงนิ กู้ วรรคหก ในการพิจารณาของสภาผแู้ ทนราษฎรหรือของ วรรคหก ในการพจิ ารณาของสภาผแู้ ทนราษฎร วฒุ ิสภา (๓) เงินทก่ี าหนดใหจ้ ่ายตามกฎหมาย คณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญตั ติ หรอื การกระทาด้วย หรอื ของคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญตั ติ หรอื การกระทา ในการพจิ ารณาของสภาผ้แู ทนราษฎร วฒุ สิ ภา หรอื ประการใด ๆ ที่มผี ลใหส้ มาชกิ สภาผู้แทนราษฎร สมาชกิ วุฒิสภา ดว้ ยประการใด ๆ ท่มี ผี ลใหส้ มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา คณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญตั ติ หรอื การกระทาด้วย หรือกรรมาธกิ าร มสี ว่ นไม่วา่ โดยตรงหรอื โดยอ้อมในการใช้ หรอื กรรมาธกิ าร มสี ่วนไมว่ า่ โดยทางตรงหรือทางออ้ มในการใช้ ประการใด ๆ ทมี่ ีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา งบประมาณรายจา่ ย จะกระทามไิ ด้ งบประมาณรายจ่าย จะกระทามไิ ด้ หรอื กรรมาธกิ ารมสี ่วนไม่วา่ โดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้ วรรคเจด็ ในกรณที ส่ี มาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชกิ วรรคเจ็ด ในกรณที สี่ มาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา งบประมาณรายจา่ ย จะกระทามไิ ด้ วุฒิสภา มีจานวนไม่นอ้ ยกว่าหน่งึ ในสิบของจานวนสมาชิกทง้ั หมด มจี านวนไมน่ อ้ ยกว่าหนงึ่ ในสบิ ของจานวนสมาชิกท้งั หมดเท่าทมี่ อี ยขู่ อง ในกรณที ี่สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหรือสมาชกิ วุฒสิ ภา มี เท่าทม่ี อี ยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามกี ารกระทาฝา่ ฝืนบทบัญญตั ติ าม แตล่ ะสภา เห็นวา่ มีการกระทาฝา่ ฝนื บทบัญญตั ติ ามวรรคหก ใหเ้ สนอ จานวนไม่น้อยกวา่ หนงึ่ ในสบิ ของจานวนสมาชิกทงั้ หมดเท่าทมี่ ีอยู่ วรรคหก ใหเ้ สนอความเหน็ ตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู เพ่ือพิจารณา และศาล ความเหน็ ต่อศาลรัฐธรรมนญู เพอื่ พจิ ารณา และศาลรฐั ธรรมนญู ตอ้ ง ของแต่ละสภา เห็นว่ามกี ารกระทาท่ีฝ่าฝืนบทบญั ญตั ติ ามวรรคสอง รัฐธรรมนญู ตอ้ งพิจารณาวนิ ิจฉยั ภายในเจ็ดวนั นับแต่วนั ทไี่ ด้รบั พจิ ารณาวินิจฉยั ภายในเจด็ วนั นับแตว่ ันท่ีได้รบั ความเหน็ ดังกล่าว ในกรณี ใหเ้ สนอความเหน็ ตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญเพือ่ พิจารณา และศาล ความเห็นดงั กล่าว ในกรณีที่ศาลรฐั ธรรมนญู วินจิ ฉัยวา่ มีการกระทาฝ่า ทีศ่ าลรัฐธรรมนูญวินจิ ฉยั ว่ามีการกระทาฝ่าฝืนบทบญั ญัตติ ามวรรคหก ให้ รฐั ธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉยั ใหแ้ ลว้ เสร็จภายในสบิ หา้ วันนบั แต่ ฝืนบทบญั ญตั ติ ามวรรคหก ให้การเสนอการแปรญตั ติ หรอื การกระทา การเสนอ การแปรญตั ติหรือการกระทาดงั กล่าวสิ้นผลไป วนั ทไ่ี ดร้ ับความเห็นดังกลา่ ว ในกรณที ี่ศาลรฐั ธรรมนญู วนิ จิ ฉยั วา่ มี ดังกล่าวสิ้นผลไป การกระทาทฝ่ี า่ ฝืนบทบญั ญตั ิตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปร ญัตติ หรอื การกระทาดงั กล่าวเปน็ อันส้ินผล ถ้าผกู้ ระทาการดงั กล่าว เป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒสิ ภา ใหผ้ ูก้ ระทาการนนั้ สิน้ สุดสมาชิกภาพนบั แตว่ นั ทีศ่ าลรัฐธรรมนญู มีคาวินจิ ฉัย และให้ เพกิ ถอนสทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตั้งของผู้น้นั แตใ่ นกรณที ค่ี ณะรัฐมนตรี เป็นผู้กระทาการหรืออนุมัตใิ หก้ ระทาการ หรือรู้วา่ มีการกระทา ดงั กล่าวแล้วแตม่ ไิ ดส้ ง่ั ยับยงั้ ใหค้ ณะรัฐมนตรีพน้ จากตาแหนง่ ท้ัง คณะนบั แต่วันท่ศี าลรัฐธรรมนูญมคี าวนิ จิ ฉยั และใหเ้ พิกถอนสทิ ธิ
รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๘๘ นาถะ ดวงวิชัย ผู้บงั คับบัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา มาตรา ๙๓ ร่างพระราชบัญญตั หิ รอื ร่างพระราชบัญญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนญู ท่ไี ดร้ บั ความเหน็ ชอบของรัฐสภาแลว้ ให้ มาตรา ๑๕๐ รา่ งพระราชบัญญตั ิท่ีไดร้ บั ความเห็นชอบของ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ นายกรฐั มนตรีนาข้นึ ทูลเกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายภายในยสี่ บิ วนั นับแต่ รัฐสภาแล้ว ให้นายกรฐั มนตรนี าข้ึนทลู เกล้าทลู กระหม่อมถวายภายใน วนั ที่ไดร้ บั ร่างพระราชบญั ญตั หิ รอื รา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ ย่ีสบิ วันนบั แต่วนั ที่ได้รับร่างพระราชบัญญตั ินัน้ จากรัฐสภา เพอื่ สมคั รรับเลอื กตงั้ ของรัฐมนตรีทีพ่ น้ จากตาแหน่งนัน้ เว้นแตจ่ ะพสิ จู น์ รัฐธรรมนญู นน้ั จากรัฐสภา เพือ่ พระมหากษัตริยท์ รงลงพระปรมาภไิ ธย พระมหากษตั รยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธย และเมื่อประกาศในราชกิจจา ไดว้ า่ ตนมไิ ดอ้ ยใู่ นทปี่ ระชุมในขณะทม่ี ีมติ และให้ผกู้ ระทาการ และเม่อื ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแล้ว ให้ใช้บงั คับเป็นกฎหมายได้ นุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ดังกล่าวตอ้ งรบั ผดิ ชดใชเ้ งินน้ันคนื พรอ้ มดว้ ยดอกเบ้ีย มาตรา ๙๔ ร่างพระราชบญั ญตั ิหรือรา่ งพระราชบัญญตั ิ มาตรา ๑๕๑ ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริยไ์ มท่ รง เจ้าหน้าท่ีของรฐั ผู้ใดจดั ทาโครงการหรอื อนุมตั หิ รอื จดั สรรเงิน ประกอบรฐั ธรรมนญู ใดพระมหากษตั รยิ ไ์ ม่ทรงเหน็ ชอบด้วยและ เหน็ ชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรฐั สภา หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวัน งบประมาณโดยรวู้ ่ามีการดาเนนิ การอนั เปน็ การฝา่ ฝนื บทบัญญตั ิ พระราชทานคนื มายังรัฐสภา หรือเม่อื พน้ เกา้ สบิ วนั แลว้ มไิ ด้ แล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรกึ ษารา่ งพระราชบัญญตั ิ ตามวรรคหน่งึ หรอื วรรคสอง ถา้ ไดบ้ ันทึกขอ้ โต้แย้งไวเ้ ปน็ หนังสอื พระราชทานคนื มา รัฐสภาจะตอ้ งปรึกษารา่ งพระราชบญั ญตั ิหรอื ร่าง นน้ั ใหม่ ถา้ รัฐสภามีมตยิ นื ยนั ตามเดิมดว้ ยคะแนนเสยี งไม่น้อยกว่าสอง หรือมหี นงั สือแจ้งให้คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนญู นน้ั ใหม่ ถา้ รัฐสภามมี ตยิ นื ยนั ในสามของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าทม่ี ีอยขู่ องท้ังสองสภาแลว้ ให้ แหง่ ชาตทิ ราบ ให้พน้ จากความรบั ผดิ ตามเดมิ ด้วยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกวา่ สองในสามของจานวนสมาชกิ นายกรฐั มนตรนี ารา่ งพระราชบัญญัตินนั้ ขนึ้ ทลู เกล้าทูลกระหมอ่ มถวาย การเรยี กเงนิ คนื ตามวรรคสามหรอื วรรคส่ี ใหก้ ระทาไดภ้ ายใน ยีส่ ิบปนี ับแตว่ ันทม่ี กี ารจดั สรรงบประมาณนน้ั ในกรณีทค่ี ณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต แหง่ ชาติไดร้ บั แจง้ ตามวรรคส่ี ให้คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตดิ าเนนิ การสอบสวนเป็นทางลับโดย พลัน หากเหน็ วา่ กรณมี มี ูล ใหเ้ สนอความเหน็ ต่อศาลรฐั ธรรมนญู เพื่อ ดาเนนิ การตอ่ ไปตามวรรคสาม และไมว่ ่ากรณจี ะเป็นประการใด คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตแิ ละศาล รัฐธรรมนญู หรือบคุ คลใดจะเปดิ เผยข้อมลู เก่ยี วกับผู้แจง้ มไิ ด้ มาตรา ๑๔๕ ร่างพระราชบัญญตั ทิ ่ไี ดร้ ับความเห็นชอบของ รัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรรี อไวห้ ้าวนั นับแต่วันทีไ่ ดร้ บั รา่ ง พระราชบญั ญัตินน้ั จากรัฐสภา ถ้าไมม่ กี รณตี อ้ งดาเนินการตาม มาตรา ๑๔๘ ให้นาขึน้ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายภายในยสี่ บิ วนั นบั แต่วันพน้ กาหนดเวลาดังกลา่ ว มาตรา ๑๔๖ ร่างพระราชบญั ญตั ใิ ด พระมหากษตั รยิ ไ์ ม่ทรง เห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายงั รัฐสภา หรือเมอ่ื พ้นเก้าสบิ วัน แลว้ มไิ ดพ้ ระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบญั ญตั ิ นน้ั ใหม่ ถ้ารัฐสภามมี ตยิ นื ยนั ตามเดมิ ด้วยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกวา่ สองในสามของจานวนสมาชิกทงั้ หมดเท่าท่มี อี ยขู่ องทงั้ สองสภาแลว้ ใหน้ ายกรฐั มนตรนี ารา่ งพระราชบญั ญตั ินั้นข้นึ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ ม
๘๙ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ท้ังหมดเทา่ ทีม่ ีอยู่ของท้งั สองสภาแลว้ ให้นายกรัฐมนตรีนารา่ ง อีกคร้ังหนึ่ง เมื่อพระมหากษตั ริยม์ ไิ ด้ทรงลงพระปรมาภไิ ธย ถวายอีกคร้งั หนง่ึ เมื่อพระมหากษตั รยิ ์มไิ ดท้ รงลงพระปรมาภไิ ธย พระราชบญั ญัตหิ รือร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญนนั้ ขึ้น ทูลเกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายอกี ครงั้ หนง่ึ เมอื่ พระมหากษตั ริย์มไิ ดท้ รง พระราชทานคืนมาภายในสามสบิ วนั ใหน้ ายกรัฐมนตรีนาพระราชบญั ญตั ิ พระราชทานคืนมาภายในสามสิบวนั ใหน้ ายกรัฐมนตรนี าพระราช ลงพระปรมาภไิ ธยพระราชทานคืนมาภายในสามสบิ วัน ให้นายก รัฐมนตรีนาพระราชบญั ญตั ิหรือพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู น้นั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาใช้บงั คบั เป็นกฎหมายไดเ้ สมือนหน่ึงว่า บัญญัติน้นั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาใช้บังคบั เปน็ กฎหมายได้ นน้ั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาใชบ้ ังคับเป็นกฎหมายไดเ้ สมอื นหนง่ึ ว่าพระมหากษตั รยิ ไ์ ดท้ รงลงพระปรมาภไิ ธยแล้ว พระมหากษัตรยิ ์ได้ทรงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ เสมอื นหน่ึงวา่ พระมหากษตั รยิ ไ์ ดท้ รงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ มาตรา ๑๗๘ ในกรณที ีอ่ ายุของสภาผู้แทนราษฎรสน้ิ อายลุ ง มาตรา ๑๕๓ ในกรณีท่ีอายขุ องสภาผูแ้ ทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือ มาตรา ๑๔๗ ในกรณที อ่ี ายขุ องสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสดุ ลง หรือมกี ารยุบสภาผูแ้ ทนราษฎร ร่างรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ หรือ มกี ารยบุ สภาผแู้ ทนราษฎร รา่ งรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ หรือบรรดาร่าง หรือมกี ารยุบสภาผ้แู ทนราษฎร รา่ งรฐั ธรรมนญู แก้ไขเพมิ่ เตมิ หรือ บรรดาร่างพระราชบญั ญัตหิ รือร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบ พระราชบญั ญัติทพ่ี ระมหากษัตรยิ ์ไมท่ รงเห็นชอบดว้ ย หรอื เม่ือพ้นเก้า รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ รี่ ฐั สภายงั มไิ ดใ้ ห้ความเห็นชอบ หรือทร่ี ฐั สภาให้ รฐั ธรรมนญู ทพี่ ระมหากษัตรยิ ไ์ ม่ทรงเหน็ ชอบดว้ ย หรือเมื่อพน้ เก้าสบิ สิบวันแลว้ มิได้พระราชทานคนื มา ใหเ้ ปน็ อนั ตกไป ความเห็นชอบแลว้ แตพ่ ระมหากษตั ริยไ์ มท่ รงเห็นชอบดว้ ยหรือเมือ่ วันแล้วมไิ ดพ้ ระราชทานคืนมา ใหเ้ ปน็ อนั ตกไป ในกรณที ่ีอายุของสภาผแู้ ทนราษฎรสิน้ สดุ ลงหรอื มีการยบุ สภา พน้ เก้าสิบวนั แล้วมไิ ดพ้ ระราชทานคนื มา ใหเ้ ป็นอนั ตกไป ในกรณีทอ่ี ายุของสภาผู้แทนราษฎรสิน้ สดุ ลงหรือมกี ารยบุ สภา ผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรอันเป็น บรรดาร่างรัฐธรรมนญู แก้ไขเพม่ิ เตมิ หรอื รา่ งพระราชบัญญัติที่ ผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรอันเป็น การเลือกตงั้ ทวั่ ไป รัฐสภา สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื วุฒิสภา แล้วแตก่ รณี จะ รฐั สภายงั มิได้ให้ความเห็นชอบทตี่ กไปตามวรรคหน่ึง ถา้ คณะรฐั มนตรี การเลอื กตั้งทว่ั ไป รฐั สภา สภาผู้แทนราษฎร หรอื วุฒิสภา แลว้ แต่ พิจารณารา่ งรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ หรือรา่ งพระราชบัญญตั ิท่ีรฐั สภา ที่ต้งั ข้นึ ใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทวั่ ไปรอ้ งขอต่อรัฐสภาเพื่อให้ กรณี จะพจิ ารณาร่างรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพิ่มเตมิ หรอื ร่างพระราช ยงั มิไดใ้ หค้ วามเหน็ ชอบตอ่ ไปได้ ถา้ คณะรฐั มนตรีทตี่ ้ังขน้ึ ใหมภ่ ายหลงั การ รฐั สภา สภาผูแ้ ทนราษฎร หรือวุฒสิ ภา แลว้ แต่กรณี พิจารณาต่อไป บญั ญัตหิ รอื รา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ทร่ี ฐั สภายังมิไดใ้ ห้ เลอื กตง้ั ทัว่ ไปรอ้ งขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรฐั สภาครงั้ แรก ถ้ารัฐสภาเหน็ ชอบดว้ ยกใ็ หร้ ัฐสภา สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื วุฒิสภา ความเหน็ ชอบตอ่ ไปได้ ถา้ คณะรฐั มนตรีท่ตี ั้งขึ้นใหมภ่ ายหลงั การ หลังการเลอื กตง้ั ทวั่ ไป และรัฐสภามมี ตเิ ห็นชอบด้วย แตถ่ ้าคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี พจิ ารณาต่อไปได้ แตค่ ณะรฐั มนตรตี อ้ งรอ้ งขอภายใน เลือกตั้งท่วั ไปรอ้ งขอภายในหกสบิ วันนบั แต่วันเรยี กประชมุ รฐั สภาคร้ัง มิไดร้ ้องขอภายในกาหนดเวลาดงั กลา่ ว ใหร้ า่ งรัฐธรรมนญู แก้ไข หกสบิ วันนบั แตว่ ันเรียกประชุมรัฐสภาครัง้ แรกภายหลังการเลือกตง้ั แรกหลงั การเลอื กต้งั ท่ัวไป และรัฐสภามมี ติเห็นชอบดว้ ย แตถ่ า้ เพม่ิ เติม หรอื รา่ งพระราชบญั ญตั ิน้ันเป็นอันตกไป ท่ัวไป คณะรฐั มนตรมี ไิ ดร้ อ้ งขอภายในกาหนดเวลาดังกลา่ ว ใหร้ า่ ง การพิจารณารา่ งรัฐธรรมนูญแกไ้ ขเพิม่ เตมิ หรอื รา่ งพระราช รฐั ธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รา่ งพระราชบญั ญตั ิ หรอื ร่างพระราช บัญญัตติ ่อไปตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามข้อบังคบั การประชมุ สภา บญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนูญนั้นเปน็ อันตกไป ผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรอื รัฐสภา แล้วแตก่ รณี การพจิ ารณาร่างรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ร่างพระราชบัญญตั ิ หรือรา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ต่อไปตามวรรคสอง ให้ เป็นไปตามท่กี าหนดในข้อบงั คบั การประชมุ รฐั สภา
รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๙๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคบั บัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา มาตรา ๒๖๒ ร่างพระราชบัญญตั ิหรือรา่ งพระราชบัญญัติ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ประกอบรัฐธรรมนญู ใดทีร่ ัฐสภาให้ความเหน็ ชอบแลว้ ก่อนที่ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ นายกรฐั มนตรจี ะนาร่างพระราชบญั ญัตหิ รอื ร่างพระราชบญั ญัติ ส่วนที่ ๘ ประกอบรฐั ธรรมนญู น้นั ขึ้นทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมถวายเพือ่ การควบคมุ การตรากฎหมายที่ขดั หรอื แยง้ ต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๘ กอ่ นท่ีนายกรัฐมนตรีจะนาร่างพระราชบญั ญตั ิ พระมหากษตั ริยท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยตามมาตรา ๙๓ หรอื รา่ ง มาตรา ๑๕๔ รา่ งพระราชบญั ญตั ิใดท่รี ัฐสภาใหค้ วาม ใดขึ้นทลู เกลา้ ทลู กระหม่อมถวายเพ่อื พระมหากษตั ริย์ทรงลงพระ พระราชบญั ญัติหรอื รา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดที่ เห็นชอบแลว้ ก่อนทนี่ ายกรฐั มนตรจี ะนาขึน้ ทูลเกลา้ ทลู กระหม่อม ปรมาภไิ ธยตามมาตรา ๘๑ รัฐสภาลงมตยิ นื ยนั ตามมาตรา ๙๔ ก่อนทน่ี ายกรัฐมนตรีจะนาร่าง ถวายเพ่อื พระมหากษตั ริยท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยตามมาตรา ๑๕๐ พระราชบัญญัติหรอื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู น้ันขน้ึ หรอื รา่ งพระราชบัญญตั ิใดทร่ี ฐั สภาลงมติยนื ยนั ตามมาตรา ๑๕๑ (๑) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา หรือสมาชกิ ทูลเกล้าทลู กระหม่อมถวายอีกครงั้ หนง่ึ กอ่ นท่นี ายกรัฐมนตรจี ะนารา่ งพระราชบัญญตั ิน้นั ข้นึ ทูลเกลา้ ของทั้งสองสภารวมกันมจี านวนไมน่ ้อยกว่าหนง่ึ ในสบิ ของจานวน ทลู กระหมอ่ มถวายอกี คร้งั หนึง่ สมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ทม่ี ีอย่ขู องท้งั สองสภา เห็นว่ารา่ งพระราชบญั ญัติ (๑) หากสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา หรอื สมาชิก (๑) หากสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรอื สมาชิก ดังกล่าวมขี อ้ ความขดั หรอื แยง้ ตอ่ รฐั ธรรมนญู หรือตราขึ้นโดยไม่ ของทง้ั สองสภารวมกัน มีจานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในสิบของจานวน ของท้ังสองสภารวมกัน มีจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจานวน ถกู ตอ้ งตามบทบญั ญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญ ใหเ้ สนอความเห็นตอ่ สมาชกิ ทัง้ หมดเทา่ ทม่ี ีอยขู่ องทั้งสองสภา เหน็ ว่าร่างพระราชบญั ญตั ิ สมาชกิ ท้งั หมดเท่าท่ีมีอยู่ของท้ังสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญตั ิ ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรฐั สภา ดังกล่าวมีข้อความขดั หรือแยง้ ตอ่ รฐั ธรรมนญู นี้ หรอื ตราขึ้นโดยไม่ ดงั กลา่ วมขี ้อความขดั หรอื แย้งตอ่ รฐั ธรรมนญู น้ี หรือตราขึ้นโดยไม่ แล้วแตก่ รณี แลว้ ให้ประธานแหง่ สภาท่ไี ดร้ ับความเหน็ ดงั กลา่ วส่ง ถกู ต้องตามบทบญั ญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู นี้ ใหเ้ สนอความเหน็ ต่อ ถกู ตอ้ งตามบทบญั ญตั ิแห่งรฐั ธรรมนูญนี้ ให้เสนอความเห็นตอ่ ความเห็นน้ันไปยงั ศาลรัฐธรรมนญู เพ่ือวนิ ิจฉัย และแจง้ ใหน้ ายก ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวฒุ สิ ภา หรอื ประธานรัฐสภา ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ประธานวฒุ สิ ภา หรือประธานรฐั สภา รฐั มนตรที ราบโดยไม่ชักชา้ แลว้ แต่กรณี แลว้ ใหป้ ระธานแหง่ สภาท่ไี ดร้ บั ความเหน็ ดงั กลา่ ว สง่ แล้วแตก่ รณี แลว้ ให้ประธานแห่งสภาท่ไี ด้รับความเห็นดังกลา่ วส่ง ความเหน็ น้นั ไปยังศาลรฐั ธรรมนญู เพื่อวนิ จิ ฉัย และแจ้งให้นายก ความเห็นนั้นไปยงั ศาลรฐั ธรรมนูญเพอ่ื วนิ จิ ฉัย และแจง้ ให้นายก (๒) หากนายกรัฐมนตรเี ห็นวา่ รา่ งพระราชบัญญัตดิ งั กลา่ วมี รฐั มนตรีทราบโดยไม่ชักชา้ รัฐมนตรีทราบโดยไม่ชกั ช้า ขอ้ ความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนญู หรอื ตราข้นึ โดยไม่ถกู ตอ้ งตาม (๒) หากนายกรฐั มนตรเี หน็ ว่ารา่ งพระราชบัญญัตดิ งั กลา่ วมี บทบัญญัตแิ หง่ รัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเหน็ เชน่ ว่านนั้ ไปยังศาล (๒) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา หรือสมาชกิ ข้อความขัดหรอื แยง้ ตอ่ รฐั ธรรมนญู นี้ หรอื ตราขึน้ โดยไมถ่ ูกตอ้ งตาม รัฐธรรมนูญเพ่อื วนิ จิ ฉัย และแจง้ ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรและ ของทงั้ สองสภารวมกนั มีจานวนไมน่ ้อยกว่ายส่ี บิ คน เหน็ ว่ารา่ ง บทบญั ญัตแิ หง่ รฐั ธรรมนูญนี้ ให้สง่ ความเห็นเช่นวา่ นั้นไปยังศาล ประธานวุฒสิ ภาทราบโดยไมช่ ักชา้ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วมขี ้อความขัดหรือแย้งต่อ รฐั ธรรมนญู เพือ่ วินจิ ฉัย และแจ้งให้ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรและ รัฐธรรมนญู น้ี หรือตราข้ึนโดยไม่ถูกต้องตามบทบญั ญตั ิแห่งรฐั ธรรมนูญ ประธานวฒุ สิ ภาทราบโดยไมช่ กั ช้า ในระหว่างการพจิ ารณาวินิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนญู นายก น้ี ใหเ้ สนอความเหน็ ตอ่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวฒุ ิสภา ในระหวา่ งที่ศาลรฐั ธรรมนูญพิจารณาวนิ ิจฉยั ใหน้ ายกรฐั มนตรี รัฐมนตรีจะนาร่างพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าวขนึ้ ทูลเกลา้ ทลู กระหมอ่ ม หรือประธานรฐั สภา แลว้ แต่กรณี แลว้ ให้ประธานแหง่ สภาทไ่ี ดร้ บั ระงบั การดาเนินการเพ่ือประกาศใช้รา่ งพระราชบญั ญตั ดิ งั กล่าวไว้ ถวายเพ่ือพระมหากษตั รยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยมไิ ด้ ความเห็นดงั กล่าว สง่ ความเหน็ นน้ั ไปยงั ศาลรัฐธรรมนญู เพอื่ วนิ ิจฉัย จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมคี าวินจิ ฉัย และแจง้ ให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชกั ชา้ ถ้าศาลรฐั ธรรมนญู วินิจฉัยวา่ รา่ งพระราชบญั ญัตินั้นมีขอ้ ความ ถา้ ศาลรัฐธรรมนญู วนิ จิ ฉัยว่าร่างพระราชบญั ญัตินนั้ มขี ้อความ ขัดหรอื แยง้ ต่อรฐั ธรรมนญู นี้ หรือตราข้นึ โดยไมถ่ ูกตอ้ งตาม ขดั หรือแยง้ ต่อรัฐธรรมนญู หรอื ตราขึน้ โดยไม่ถูกตอ้ งตามบทบญั ญตั ิ บทบัญญัตแิ หง่ รัฐธรรมนูญนี้ และข้อความดงั กล่าวเปน็ สาระสาคัญ แห่งรัฐธรรมนญู และขอ้ ความดังกล่าวเปน็ สาระสาคญั ให้รา่ ง ให้รา่ งพระราชบญั ญัตินนั้ เปน็ อันตกไป พระราชบัญญตั ิน้นั เป็นอันตกไป ถ้าศาลรฐั ธรรมนญู วินจิ ฉัยวา่ ร่างพระราชบญั ญัตินั้นมีขอ้ ความ ขัดหรือแย้งตอ่ รฐั ธรรมนญู แต่มิใชก่ รณตี ามวรรคสาม ใหข้ อ้ ความท่ี
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๙๑ นาถะ ดวงวิชัย ผ้บู ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผ้จู ัดทา (๓) หากนายกรัฐมนตรเี หน็ ว่าร่างพระราชบัญญตั หิ รือรา่ ง รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ดงั กล่าวมีขอ้ ความขดั หรอื แย้งต่อ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ รฐั ธรรมนญู นี้ หรือตราข้ึนโดยไม่ถูกตอ้ งตามบทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญ ถา้ ศาลรฐั ธรรมนูญวนิ จิ ฉัยวา่ รา่ งพระราชบัญญัตนิ ั้นมีขอ้ ความขัด นี้ ใหส้ ง่ ความเหน็ เชน่ ว่าน้ันไปยงั ศาลรัฐธรรมนญู เพอื่ วนิ จิ ฉยั และแจง้ หรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนูญนแี้ ต่มิใชก่ รณีตามวรรคสาม ให้ข้อความท่ีขดั หรอื ขดั หรือแยง้ ตอ่ รฐั ธรรมนญู น้ันเปน็ อนั ตกไป และให้นายกรฐั มนตรี ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักชา้ แย้งนัน้ เปน็ อันตกไป และให้นายกรฐั มนตรดี าเนนิ การตามมาตรา ๑๕๐ ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑ หรือมาตรา ๑๕๑ แล้วแตก่ รณี ต่อไป ในระหวา่ งท่ีศาลรัฐธรรมนูญพจิ ารณาวินจิ ฉยั ให้นายกรฐั มนตรี ระงบั การดาเนินการเพอื่ ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัตหิ รอื รา่ ง พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญดงั กล่าวไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคาวินจิ ฉยั ถา้ ศาลรฐั ธรรมนญู วินจิ ฉยั วา่ ร่างพระราชบญั ญัตหิ รอื รา่ ง พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู นั้นมีขอ้ ความขดั หรือแยง้ ต่อ รัฐธรรมนญู น้ี หรอื ตราขึ้นโดยไม่ถกู ตอ้ งตามบทบญั ญตั ิแห่ง รฐั ธรรมนญู นี้ และข้อความดงั กลา่ วเป็นสาระสาคญั ของรา่ ง พระราชบัญญตั ิหรือรา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู น้ัน ให้ ร่างพระราชบญั ญัตหิ รือรา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู น้ัน เปน็ อันตกไป ถา้ ศาลรัฐธรรมนญู วนิ ิจฉัยวา่ รา่ งพระราชบญั ญัตหิ รอื รา่ ง พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญนั้นมีขอ้ ความขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนญู นีแ้ ตม่ ใิ ชก่ รณตี ามวรรคสาม ใหข้ ้อความทีข่ ดั หรือแยง้ นน้ั เปน็ อันตกไป และใหน้ ายกรฐั มนตรดี าเนินการตามมาตรา ๙๓ หรอื มาตรา ๙๔ แลว้ แตก่ รณี ตอ่ ไป มาตรา ๒๖๓ บทบัญญัติมาตรา ๒๖๒ (๒) ให้นามาใชบ้ ังคับ มาตรา ๑๕๕ บทบญั ญตั มิ าตรา ๑๕๔ ให้นามาใช้บังคับกบั มาตรา ๑๔๙ ให้นาความในมาตรา ๑๔๘ มาใช้บงั คบั แก่รา่ ง ข้อบงั คบั การประชุมสภาผแู้ ทนราษฎร รา่ งข้อบังคับการประชุม กับรา่ งขอ้ บังคบั การประชุมสภาผแู้ ทนราษฎร รา่ งข้อบงั คับการประชมุ รา่ งขอ้ บงั คบั การประชุมสภาผูแ้ ทนราษฎร ร่างข้อบงั คบั การประชมุ วุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมรฐั สภาท่สี ภาผูแ้ ทนราษฎร วฒุ สิ ภา หรอื รัฐสภา แลว้ แต่กรณี ให้ความเหน็ ชอบแลว้ ก่อนนาไป วุฒิสภา และร่างข้อบงั คับการประชุมรฐั สภา ทส่ี ภาผ้แู ทนราษฎร วฒุ ิสภา และร่างข้อบังคับการประชมุ รัฐสภา ทีส่ ภาผู้แทนราษฎร ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาด้วยโดยอนโุ ลม วฒุ สิ ภา หรือรัฐสภา แลว้ แต่กรณี ใหค้ วามเหน็ ชอบแลว้ แต่ยงั มไิ ด้ วฒุ สิ ภา หรือรัฐสภา แลว้ แต่กรณี ให้ความเหน็ ชอบแลว้ แต่ยังมไิ ด้ ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ดว้ ยโดยอนโุ ลม ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาด้วยโดยอนุโลม
๙๒ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๘๒ สภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒิสภามีอานาจควบคุม ส่วนที่ ๙ การบรหิ ารราชการแผ่นดินโดยบทบญั ญตั ิแหง่ รัฐธรรมนูญนี้ การควบคุมการบรหิ ารราชการแผน่ ดิน มาตรา ๑๘๓ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ สิ ภาทุก มาตรา ๑๕๖ ตรงกับมาตรา ๑๘๓ ของรัฐธรรมนญู แหง่ มาตรา ๑๕๐ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ ิสภามี คนมีสิทธิตงั้ กระทู้ถามรัฐมนตรใี นเรื่องใดเก่ียวกับงานในหนา้ ท่ีได้ แต่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ สทิ ธิตงั้ กระทูถ้ ามรัฐมนตรีในเรือ่ งใดเกย่ี วกบั งานในหน้าทีโ่ ดยจะถาม รัฐมนตรยี อ่ มมสี ิทธิทจี่ ะไมต่ อบเมอ่ื คณะรฐั มนตรีเห็นว่าเรอื่ งนัน้ ยังไม่ควร มาตรา ๑๕๗ ตรงกับมาตรา ๑๘๔ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ เปน็ หนังสอื หรอื ดว้ ยวาจากไ็ ด้ ตามขอ้ บงั คบั การประชุมแหง่ สภา เปดิ เผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สาคัญของแผน่ ดิน ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ นัน้ ๆ ซ่ึงอยา่ งนอ้ ยต้องกาหนดให้มกี ารตงั้ กระทถู้ ามดว้ ยวาจาโดยไม่ มาตรา ๑๘๔ การบริหารราชการแผ่นดินเร่อื งใดที่เป็นปญั หา มาตรา ๑๖๒ วรรคหนึ่ง ในกรณที ่ีมีการประชมุ สภาผู้แทน ตอ้ งแจง้ ลว่ งหนา้ ไว้ด้วย สาคัญท่ีอย่ใู นความสนใจของประชาชน เป็นเรอ่ื งท่ีกระทบถึงประโยชน์ ราษฎรหรอื วุฒิสภาเพ่ือตงั้ กระทูถ้ ามในเรือ่ งใดเก่ยี วกบั งานในหน้าท่ี รัฐมนตรยี อ่ มมสี ิทธทิ จ่ี ะไมต่ อบกระทู้เม่อื คณะรัฐมนตรเี หน็ วา่ ของประเทศชาติหรือประชาชน หรือทเี่ ป็นเรอื่ งเร่งด่วน สมาชกิ สภา หรอื การอภปิ รายไมไ่ วว้ างใจนายกรัฐมนตรหี รอื รัฐมนตรีผู้ใด ใหเ้ ปน็ เรอ่ื งน้นั ยังไมค่ วรเปดิ เผยเพราะเกย่ี วกบั ความปลอดภยั หรอื ผู้แทนราษฎรอาจแจ้งเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรต่อประธานสภาผแู้ ทนราษฎร หนา้ ทขี่ องนายกรฐั มนตรหี รือรฐั มนตรีผ้นู ้นั ต้องเข้าร่วมประชมุ สภา ประโยชนส์ าคัญของแผน่ ดนิ ก่อนเริม่ ประชุมในวันนั้นวา่ จะถามนายกรฐั มนตรีหรือรฐั มนตรี ผูแ้ ทนราษฎรหรอื วฒุ สิ ภาเพื่อชแ้ี จงหรอื ตอบกระทถู้ ามในเรือ่ งนนั้ ผูร้ บั ผดิ ชอบในการบรหิ ารราชการแผ่นดินเรอื่ งนั้นโดยไมต่ อ้ งระบุคาถาม ด้วยตนเอง เว้นแต่มเี หตุจาเปน็ อนั มิอาจหลีกเลี่ยงได้ทาใหไ้ ม่อาจ และให้ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรบรรจุเรอ่ื งดังกลา่ วไว้ในวาระการประชุม เข้าชแ้ี จงหรือตอบกระทู้ แต่ตอ้ งแจ้งใหป้ ระธานสภาผ้แู ทนราษฎร วันนัน้ หรอื ประธานวุฒสิ ภาทราบกอ่ นหรอื ในวันประชมุ สภาในเร่ือง การถามและการตอบกระทตู้ ามวรรคหนึง่ ให้กระทาไดส้ ัปดาห์ ดังกล่าว ละหน่งึ ครง้ั และใหส้ มาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรผู้น้นั ต้ังกระทู้ถามดว้ ย วาจาเรือ่ งการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ น้ันไดเ้ รอ่ื งละไมเ่ กินสามครง้ั ทงั้ นี้ ตามขอ้ บงั คบั การประชุมสภาผูแ้ ทนราษฎร มาตรา ๑๘๕ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกว่าสอง มาตรา ๑๕๘ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจานวนไมน่ อ้ ยกว่าหนง่ึ ใน มาตรา ๑๕๑ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจานวนไม่น้อยกวา่ ในห้าของจานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเทา่ ทม่ี อี ยู่ของสภาผแู้ ทนราษฎร มี หา้ ของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเท่าที่มอี ยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร มีสทิ ธิ หนงึ่ ในห้าของจานวนสมาชกิ ท้ังหมดเท่าทีม่ ีอยู่ของสภาผูแ้ ทนราษฎร สิทธิเขา้ ช่อื เสนอญตั ติขอเปดิ อภิปรายทว่ั ไปเพื่อลงมตไิ มไ่ ว้วางใจ เข้าชอื่ เสนอญตั ติขอเปิดอภิปรายท่วั ไปเพอ่ื ลงมตไิ มไ่ วว้ างใจนายกรฐั มนตรี มสี ิทธเิ ข้าชอื่ เสนอญตั ติขอเปดิ อภปิ รายทั่วไปเพ่อื ลงมตไิ มไ่ ว้วางใจ นายกรฐั มนตรี ญตั ติดงั กลา่ วต้องเสนอชอื่ ผสู้ มควรดารงตาแหนง่ ญตั ตดิ งั กลา่ วต้องเสนอชอื่ ผู้สมควรดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรีคนต่อไป รัฐมนตรเี ปน็ รายบุคคลหรอื ทงั้ คณะ นายกรฐั มนตรคี นตอ่ ไปซง่ึ เปน็ บคุ คลตามมาตรา ๒๐๑ วรรคสอง ดว้ ย ซึ่งเปน็ บุคคลตามมาตรา ๑๗๑ วรรคสอง ดว้ ย และเมื่อได้มกี ารเสนอญตั ติ เม่ือไดม้ ีการเสนอญตั ตติ ามวรรคหนง่ึ แล้ว จะมกี ารยุบสภา และเม่อื ไดม้ กี ารเสนอญตั ติแล้ว จะมีการยบุ สภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้น แลว้ จะมกี ารยบุ สภาผู้แทนราษฎรมไิ ด้ เว้นแตจ่ ะมกี ารถอนญตั ตหิ รือการ ผแู้ ทนราษฎรมไิ ด้ เว้นแตจ่ ะมีการถอนญตั ตหิ รือการลงมตินน้ั ไมไ่ ด้ แตจ่ ะมกี ารถอนญตั ติหรอื การลงมตนิ น้ั ไม่ได้คะแนนเสยี งตามวรรคสาม ลงมตินนั้ ไมไ่ ด้คะแนนเสยี งตามวรรคสาม คะแนนเสยี งตามวรรคส่ี การเสนอญตั ติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามวรรคหนงึ่ ถ้าเป็นเร่ือง การเสนอญัตตขิ อเปดิ อภิปรายทั่วไปตามวรรคหนง่ึ ถา้ เปน็ เมอ่ื การอภิปรายท่ัวไปส้นิ สดุ ลง โดยมิใชด่ ว้ ยมตใิ ห้ผ่าน ทเ่ี กยี่ วกบั พฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีท่มี พี ฤตกิ ารณ์รา่ รวยผดิ ปกติ เร่อื งทเ่ี กยี่ วกับพฤตกิ รรมของนายกรัฐมนตรที ีม่ พี ฤติการณร์ า่ รวย ระเบยี บวาระเปิดอภิปรายนั้นไป ใหส้ ภาผู้แทนราษฎรลงมตไิ ว้วางใจ ส่อไปในทางทจุ รติ ตอ่ หนา้ ท่ีราชการ หรือจงใจฝ่าฝืนบทบญั ญัติแห่ง ผดิ ปกติ ส่อไปในทางทจุ ริตตอ่ หนา้ ทีร่ าชการ หรอื จงใจฝา่ ฝนื หรือไมไ่ ว้วางใจ การลงมติในกรณีเช่นวา่ นมี้ ิให้กระทาในวนั เดยี วกับ รัฐธรรมนญู หรอื กฎหมาย จะเสนอโดยไมม่ กี ารยน่ื คาร้องขอตาม บทบัญญัติแหง่ รฐั ธรรมนญู หรอื กฎหมาย จะเสนอโดยไม่มีการยื่นคา วันทก่ี ารอภิปรายสิน้ สดุ ลง
๙๓ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ งั คบั บัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓๐๔ ก่อน มิได้ และเมอ่ื ได้มีการยน่ื คารอ้ งขอตามมาตรา รอ้ งขอตามมาตรา ๒๗๑ ก่อนมิได้ และเมอ่ื ได้มกี ารยน่ื คาร้องขอตาม มติไม่ไว้วางใจตอ้ งมคี ะแนนเสยี งมากกว่ากึ่งหนง่ึ ของจานวน ๓๐๔ แลว้ ให้ดาเนนิ การตอ่ ไปได้โดยไมต่ ้องรอผลการดาเนนิ การตาม มาตรา ๒๗๑ แล้ว ให้ดาเนนิ การตอ่ ไปไดโ้ ดยไมต่ อ้ งรอผลการ สมาชิกท้งั หมดเทา่ ทมี่ ีอยู่ของสภาผ้แู ทนราษฎร มาตรา ๓๐๕ ดาเนินการตามมาตรา ๒๗๒ รัฐมนตรคี นใดพน้ จากตาแหนง่ เดมิ แต่ยงั คงเป็นรฐั มนตรใี น เมือ่ การอภิปรายท่วั ไปส้นิ สุดลงโดยมิใช่ด้วยมติใหผ้ า่ นระเบียบ เมอ่ื การอภปิ รายท่ัวไปสิ้นสุดลงโดยมิใชด่ ้วยมตใิ หผ้ า่ นระเบยี บ ตาแหน่งอ่ืนภายหลงั จากวนั ทสี่ มาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชือ่ ตาม วาระเปดิ อภิปรายน้ันไป ใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรลงมตไิ วว้ างใจหรอื ไม่ วาระเปดิ อภิปรายนน้ั ไปใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรลงมตไิ วว้ างใจหรอื ไม่ วรรคหนง่ึ หรือพน้ จากตาแหนง่ เดมิ ไมเ่ กินเกา้ สิบวนั ก่อนวนั ท่ี ไวว้ างใจ การลงมตใิ นกรณเี ชน่ ว่านี้ มใิ หก้ ระทาในวนั เดียวกับวันทีก่ าร ไว้วางใจ การลงมติในกรณเี ชน่ วา่ น้ีมิใหก้ ระทาในวนั เดยี วกบั วันท่ีการ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรเขา้ ชื่อตามวรรคหนึ่ง แต่ยังคงเป็นรัฐมนตรี อภปิ รายสิ้นสดุ มตไิ มไ่ วว้ างใจตอ้ งมีคะแนนเสียงมากกวา่ กึ่งหนึ่งของ อภิปรายสน้ิ สดุ มติไมไ่ ว้วางใจต้องมีคะแนนเสยี งมากกว่ากง่ึ หน่ึงของ ในตาแหน่งอื่น ให้รัฐมนตรีคนนน้ั ยังคงตอ้ งถูกอภิปรายเพือ่ ลงมติไม่ จานวนสมาชิกท้งั หมดเทา่ ทีม่ อี ยขู่ องสภาผ้แู ทนราษฎร จานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเท่าท่ีมอี ยูข่ องสภาผ้แู ทนราษฎร ไว้วางใจต่อไป ในกรณีทมี่ ตไิ มไ่ ว้วางใจมคี ะแนนเสียงไมม่ ากกวา่ กึ่งหนึ่งของ ในกรณที มี่ ตไิ มไ่ ว้วางใจมคี ะแนนเสยี งไมม่ ากกวา่ กึ่งหนงึ่ ของ จานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเท่าท่มี อี ยู่ของสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ สภา จานวนสมาชกิ ทั้งหมดเทา่ ทม่ี ีอยขู่ องสภาผูแ้ ทนราษฎร สมาชกิ สภา ผ้แู ทนราษฎรซ่งึ เขา้ ชื่อเสนอญัตตขิ อเปิดอภิปรายนน้ั เป็นอันหมดสทิ ธิ ผู้แทนราษฎรซ่ึงเข้าช่ือเสนอญตั ตขิ อเปดิ อภิปรายน้นั เป็นอนั หมด ท่จี ะเขา้ ชื่อเสนอญตั ตขิ อเปดิ อภิปรายทว่ั ไปเพอ่ื ลงมตไิ มไ่ ว้วางใจ สิทธิทจ่ี ะเขา้ ชื่อเสนอญตั ติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมตไิ มไ่ วว้ างใจ นายกรัฐมนตรีอีกตลอดสมัยประชมุ น้ัน นายกรัฐมนตรีอกี ตลอดสมยั ประชมุ นนั้ ในกรณีที่มตไิ มไ่ ว้วางใจมคี ะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหน่ึงของ ในกรณที มี่ ตไิ มไ่ ว้วางใจมคี ะแนนเสียงมากกว่าก่งึ หน่งึ ของ จานวนสมาชิกทง้ั หมดเท่าทมี่ ีอยู่ของสภาผ้แู ทนราษฎร ให้ประธาน จานวนสมาชกิ ท้งั หมดเท่าทมี่ ีอยู่ของสภาผูแ้ ทนราษฎร ใหป้ ระธาน สภาผูแ้ ทนราษฎรนาช่ือผทู้ ีไ่ ดร้ บั การเสนอชอ่ื ตามวรรคหนึ่งกราบ สภาผูแ้ ทนราษฎรนาช่อื ผู้ที่ไดร้ บั การเสนอชอ่ื ตามวรรคหนึ่งกราบ บงั คมทูลเพือ่ ทรงแต่งต้งั ตอ่ ไป และมใิ ห้นามาตรา ๒๐๒ มาใชบ้ งั คบั บังคมทลู เพอื่ ทรงแต่งต้ังตอ่ ไป และมิให้นามาตรา ๑๗๒ มาใช้บงั คับ มาตรา ๑๘๖ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกวา่ หนึ่ง มาตรา ๑๕๙ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกว่า ในหา้ ของจานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเทา่ ทม่ี ีอยู่ของสภาผ้แู ทนราษฎร มี หน่งึ ในหกของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเทา่ ท่ีมีอยู่ของสภาผ้แู ทน สิทธเิ ขา้ ช่อื เสนอญตั ติขอเปดิ อภปิ รายท่ัวไปเพ่ือลงมตไิ มไ่ ว้วางใจ ราษฎร มีสทิ ธิเข้าช่ือเสนอญตั ติขอเปิดอภปิ รายทัว่ ไปเพอ่ื ลงมตไิ ม่ รัฐมนตรีเปน็ รายบุคคล ไวว้ างใจรัฐมนตรเี ปน็ รายบุคคล และใหน้ าบทบญั ญตั มิ าตรา ๑๕๘ ใหน้ าบทบญั ญัตมิ าตรา ๑๘๕ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคส่ี มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม มาใช้บงั คับโดยอนุโลม รัฐมนตรคี นใดพ้นจากตาแหน่งเดมิ แตย่ งั คงเป็นรัฐมนตรใี น ตาแหน่งอน่ื ภายหลงั จากวนั ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขา้ ช่ือตาม วรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรคี นนัน้ ยังคงตอ้ งถูกอภปิ รายเพื่อลงมตไิ ม่ ไวว้ างใจตามวรรคหนึง่ ต่อไป ใหน้ าความในวรรคสองมาใชบ้ งั คบั กับรฐั มนตรีผซู้ ึ่งพน้ จาก ตาแหนง่ เดิมไมเ่ กนิ เก้าสิบวนั กอ่ นวันที่สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร
๙๔ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ เข้าชอื่ ตามวรรคหนึง่ แต่ยงั คงเป็นรฐั มนตรีในตาแหน่งอน่ื ดว้ ยโดย อนโุ ลม มาตรา ๑๖๐ ในกรณที ่ีสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรทม่ี ไิ ด้อยใู่ น พรรคการเมอื งที่สมาชิกในสงั กัดของพรรคนน้ั ดารงตาแหน่งรัฐมนตรมี ี จานวนไม่ถงึ เกณฑท์ จี่ ะเสนอญตั ตขิ อเปิดอภปิ รายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๘ หรอื มาตรา ๑๕๙ ให้สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรจานวนมากกว่า กงึ่ หนึง่ ของจานวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรดังกลา่ วทงั้ หมดเท่าท่ีมีอยู่ มีสิทธิเข้าช่ือเสนอญตั ตขิ อเปิดอภิปรายทว่ั ไปเพ่ือลงมตไิ ม่ไว้วางใจ นายกรฐั มนตรหี รอื รัฐมนตรีเป็นรายบคุ คลตามมาตรา ๑๕๘ หรือ มาตรา ๑๕๙ ได้ เม่อื คณะรฐั มนตรไี ด้บริหารราชการแผน่ ดนิ มาเกิน กว่าสองปแี ล้ว มาตรา ๑๕๒ สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ หน่งึ ในสบิ ของจานวนสมาชิกท้ังหมดเทา่ ท่ีมอี ยู่ของสภาผ้แู ทนราษฎร จะเข้าช่ือกันเพ่ือเสนอญตั ติขอเปดิ อภปิ รายท่ัวไปเพ่ือซักถาม ข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปญั หาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไมม่ ีการลงมตกิ ไ็ ด้ มาตรา ๑๘๗ สมาชกิ วุฒิสภาจานวนไมน่ ้อยกว่าสามในหา้ ของ มาตรา ๑๖๑ สมาชิกวุฒสิ ภาจานวนไมน่ ้อยกวา่ หนึ่งในสามของ มาตรา ๑๕๓ สมาชกิ วฒุ ิสภาจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หนึ่งในสาม จานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ท่มี ีอยขู่ องวุฒสิ ภา มีสิทธเิ ขา้ ชือ่ ขอเปดิ จานวนสมาชกิ ทั้งหมดเทา่ ท่ีมอี ยู่ของวฒุ สิ ภา มสี ิทธเิ ข้าช่ือขอเปดิ ของจานวนสมาชิกทงั้ หมดเท่าทีม่ อี ยู่ของวฒุ สิ ภา มสี ทิ ธเิ ข้าช่ือขอ อภิปรายทว่ั ไปในวฒุ สิ ภาเพื่อใหค้ ณะรัฐมนตรแี ถลงข้อเทจ็ จรงิ หรือ อภิปรายทั่วไปในวุฒสิ ภาเพือ่ ใหค้ ณะรฐั มนตรแี ถลงข้อเท็จจริงหรอื เปดิ อภปิ รายท่ัวไปในวุฒสิ ภาเพอ่ื ให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจรงิ ชีแ้ จงปญั หาสาคัญเกี่ยวกบั การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ โดยไมม่ ีการลงมติ ช้แี จงปญั หาสาคญั เกี่ยวกับการบริหารราชการแผน่ ดินโดยไม่มีการลงมติ หรือชแี้ จงปัญหาสาคญั เกยี่ วกบั การบรหิ ารราชการแผ่นดินโดยไมม่ ี การขอเปิดอภปิ รายทัว่ ไปตามมาตราน้ี จะกระทาได้ครัง้ เดยี วใน การขอเปดิ อภปิ รายทั่วไปตามมาตรานี้ จะกระทาไดค้ รั้งเดยี ว การลงมติ สมัยประชุมหน่งึ ในสมยั ประชุมหนงึ่ มาตรา ๑๕๔ การเสนอญัตตขิ อเปิดอภปิ รายทัว่ ไปตามมาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๒ หรอื มาตรา ๑๕๓ แล้วแต่กรณี ให้กระทาไดป้ ลี ะ หนึง่ ครงั้ ความในวรรคหนง่ึ ไมใ่ ชบ้ ังคับแก่การเปิดอภิปรายท่ัวไปตาม มาตรา ๑๕๑ ทส่ี ้นิ สดุ ลงดว้ ยมติใหผ้ ่านระเบยี บวาระเปิดอภปิ รายนน้ั ไป มาตรา ๑๕๕ ในกรณที ่มี ปี ญั หาสาคญั เกย่ี วกบั ความมน่ั คง ปลอดภยั หรือเศรษฐกจิ ของประเทศ สมควรท่ีจะปรึกษาหารอื ร่วมกนั ระหว่างรฐั สภาและคณะรฐั มนตรี ผูน้ าฝ่ายค้านในสภา
๙๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู งั คบั บญั ชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ผู้แทนราษฎรจะแจง้ ไปยังประธานรัฐสภาขอให้มกี ารเปดิ อภปิ ราย ท่ัวไปในทป่ี ระชุมรัฐสภากไ็ ด้ ในกรณนี ้ี ประธานรัฐสภาต้อง ดาเนินการใหม้ กี ารประชมุ ภายในสบิ หา้ วนั นับแตว่ นั ทไ่ี ด้รบั การแจ้ง แต่รฐั สภาจะลงมตใิ นปญั หาที่อภปิ รายมไิ ด้ การประชุมตามวรรคหนง่ึ ใหป้ ระชมุ ลบั และคณะรัฐมนตรมี ี หน้าท่ตี ้องเขา้ รว่ มประชุมดว้ ย มาตรา ๑๙๒ สาระสาคญั ท่ตี อ้ งมใี นกฎหมายประกอบ รฐั ธรรมนญู เรื่องตา่ ง ๆ ตามทีบ่ ญั ญัติไวใ้ นบทเฉพาะกาล ใหเ้ ป็น สาระสาคญั ทต่ี อ้ งมใี นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู เร่อื งนน้ั ๆ ตาม รัฐธรรมนญู นี้ สว่ นท่ี ๖ ส่วนที่ ๕ ไม่มีการแกไ้ ข การประชมุ รว่ มกนั ของรฐั สภา การประชมุ รว่ มกันของรัฐสภา มาตรา ๑๙๓ ในกรณีตอ่ ไปนี้ ใหร้ ัฐสภาประชุมร่วมกนั มาตรา ๑๓๖ ในกรณีต่อไปน้ี ใหร้ ฐั สภาประชุมร่วมกัน มาตรา ๑๕๖ ในกรณตี ่อไปน้ี ให้รฐั สภาประชุมร่วมกัน (๑) การให้ความเหน็ ชอบในการแต่งตั้งผสู้ าเร็จราชการแทน (๑) การให้ความเหน็ ชอบในการแตง่ ตั้งผู้สาเร็จราชการแทน (๑) การใหค้ วามเห็นชอบในการแต่งต้ังผู้สาเร็จราชการแทน พระองคต์ ามมาตรา ๑๙ พระองคต์ ามมาตรา ๑๙ พระองค์ตามมาตรา ๑๗ (๒) การปฏญิ าณตนของผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ตอ่ รฐั สภา (๒) การปฏญิ าณตนของผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ตอ่ (๒) การปฏญิ าณตนของผูส้ าเร็จราชการแทนพระองค์ตอ่ ตามมาตรา ๒๑ รฐั สภาตามมาตรา ๒๑ รฐั สภาตามมาตรา ๑๙ (๓) การรบั ทราบการแกไ้ ขเพิม่ เติมกฎมณเฑียรบาลวา่ ดว้ ยการ (๓) การรับทราบการแกไ้ ขเพิ่มเตมิ กฎมณเฑยี รบาลว่าดว้ ยการ (๓) การรับทราบการแกไ้ ขเพิ่มเตมิ กฎมณเฑยี รบาลวา่ ดว้ ยการ สืบราชสันตตวิ งศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ มาตรา ๒๒ สบื ราชสันตติวงศ์ พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๗ มาตรา ๒๒ สบื ราชสนั ตตวิ งศ์ พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๗ ตามมาตรา ๒๐ (๔) การรบั ทราบหรือให้ความเหน็ ชอบในการสืบราชสมบัติตาม (๔) การรบั ทราบหรอื ให้ความเหน็ ชอบในการสืบราชสมบตั ิ (๔) การรบั ทราบหรือใหค้ วามเหน็ ชอบในการสบื ราชสมบัติ มาตรา ๒๓ ตามมาตรา ๒๓ ตามมาตรา ๒๑ (๕) การปรกึ ษารา่ งพระราชบญั ญตั ิหรือรา่ งพระราชบญั ญัติ (๕) การมีมติให้รฐั สภาพจิ ารณาเรอื่ งอนื่ ในสมยั ประชมุ สามญั (๕) การใหค้ วามเหน็ ชอบในการปิดสมัยประชมุ ตามมาตรา ๑๒๑ ประกอบรัฐธรรมนญู ใหมม่ าตรา ๙๔ นิตบิ ัญญตั ิไดต้ ามมาตรา ๑๒๗ (๖) การเปดิ ประชมุ รฐั สภาตามมาตรา ๑๒๒ (๖) การมีมตใิ ห้รฐั สภาพจิ ารณาเรอ่ื งอืน่ ในสมยั ประชุมสามญั นติ ิ (๖) การให้ความเห็นชอบในการปดิ สมัยประชุมตามมาตรา ๑๒๗ (๗) การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ตาม บญั ญตั ไิ ดต้ ามมาตรา ๑๕๙ (๗) การเปิดประชุมรฐั สภาตามมาตรา ๑๒๘ มาตรา ๑๓๒ (๗) การให้ความเหน็ ชอบในการปิดสมัยประชมุ ตามมาตรา ๑๖๐ (๘) การตราขอ้ บังคับการประชมุ รฐั สภาตามมาตรา ๑๓๗ (๘) การปรึกษาร่างพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญหรือ (๘) การเปิดประชุมรัฐสภาตามมาตรา ๑๖๑ (๙) การให้ความเห็นชอบให้พจิ ารณารา่ งพระราชบัญญัติ รา่ งพระราชบญั ญัติใหมต่ ามมาตรา ๑๔๖ (๙) การใหค้ วามเหน็ ชอบใหพ้ ิจารณาร่างพระราช ประกอบรฐั ธรรมนญู หรอื ร่างพระราชบญั ญตั ติ ามมาตรา ๑๔๕ (๙) การพิจารณาให้ความเหน็ ชอบตามมาตรา ๑๔๗ บัญญตั หิ รอื รา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญตามมาตรา ๑๗๓ (๑๐) การเปดิ อภิปรายท่ัวไปตามมาตรา ๑๕๕ และมาตรา ๑๖๕
๙๗ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ ังคบั บัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผ้จู ดั ทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๗ หมวด ๙ หมวด ๘ คณะรฐั มนตรี คณะรฐั มนตรี คณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๐๑ พระมหากษตั ริย์ทรงแต่งตัง้ นายกรัฐมนตรคี น มาตรา ๑๗๑ พระมหากษัตริย์ทรงแตง่ ตงั้ นายกรัฐมนตรีคนหนงึ่ มาตรา ๑๕๘ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตงั้ นายกรฐั มนตรีและ หน่ึงและรัฐมนตรีอนื่ อีกไม่เกนิ สามสิบห้าคนประกอบเปน็ คณะรัฐมนตรี และรฐั มนตรอี ื่นอกี ไมเ่ กินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรฐั มนตรี มี รฐั มนตรอี ่ืนอกี ไม่เกินสามสบิ ห้าคน ประกอบเปน็ คณะรฐั มนตรี มี มีหน้าทบ่ี รหิ ารราชการแผ่นดนิ หน้าที่บรหิ ารราชการแผน่ ดินตามหลกั ความรบั ผิดชอบร่วมกนั หน้าทบ่ี ริหารราชการแผ่นดนิ ตามหลักความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั นายกรัฐมนตรีต้องแตง่ ต้ังจากสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรอื ผู้ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรซง่ึ ได้รบั นายกรัฐมนตรีตอ้ งแต่งตง้ั จากบุคคลซึง่ สภาผ้แู ทนราษฎรให้ เคยเป็นสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรแตพ่ น้ จากสมาชกิ ภาพตามมาตรา แตง่ ตง้ั ตามมาตรา ๑๗๒ ความเหน็ ชอบตามมาตรา ๑๕๙ ๑๑๘ (๗) ในอายขุ องสภาผแู้ ทนราษฎรชดุ เดียวกัน ใหป้ ระธานสภาผแู้ ทนราษฎรเปน็ ผู้ลงนามรับสนองพระบรม ใหป้ ระธานสภาผูแ้ ทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราช ให้ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรเป็นผูล้ งนามรับสนองพระบรม ราชโองการแต่งตง้ั นายกรฐั มนตรี โองการแตง่ ตง้ั นายกรัฐมนตรี ราชโองการแต่งตัง้ นายกรฐั มนตรี นายกรัฐมนตรจี ะดารงตาแหนง่ ติดตอ่ กันเกนิ กวา่ แปดปมี ไิ ด้ นายกรฐั มนตรีจะดารงตาแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมไิ ด้ ทง้ั นี้ ไมว่ า่ จะเปน็ การดารงตาแหนง่ ติดต่อกนั หรือไม่ แตม่ ใิ ห้นบั รวม ระยะเวลาในระหวา่ งทีอ่ ยู่ปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ตอ่ ไปหลงั พ้นจากตาแหนง่ มาตรา ๒๐๒ ใหส้ ภาผูแ้ ทนราษฎรพจิ ารณาใหค้ วามเหน็ ชอบบุคคล มาตรา ๑๗๒ ใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรพจิ ารณาให้ความเหน็ ชอบ มาตรา ๑๕๙ ให้สภาผแู้ ทนราษฎรพจิ ารณาให้ความเห็นชอบ ซ่งึ สมควรได้รับแต่งตง้ั เปน็ นายกรฐั มนตรใี ห้แล้วเสรจ็ ภายในสามสบิ วันนบั บุคคลซงึ่ สมควรไดร้ บั แต่งต้งั เป็นนายกรฐั มนตรีให้แลว้ เสรจ็ ภายใน บคุ คลซง่ึ สมควรไดร้ ับแต่งต้ังเปน็ นายกรฐั มนตรจี ากบคุ คลซ่ึงมี แต่วนั ทม่ี กี ารเรยี กประชมุ รฐั สภาเปน็ ครัง้ แรกตามมาตรา ๑๕๙ สามสิบวนั นับแตว่ นั ทม่ี กี ารเรียกประชมุ รฐั สภาเป็นคร้ังแรกตามมาตรา คุณสมบัติและไมม่ ลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเปน็ ผ้มู ีชอื่ การเสนอชอ่ื บุคคลซ่งึ สมควรได้รบั แต่งต้งั เปน็ นายกรฐั มนตรตี าม ๑๒๗ อยู่ในบัญชีรายช่ือทพ่ี รรคการเมอื งแจ้งไวต้ ามมาตรา ๘๘ เฉพาะจาก วรรคหน่ึง ต้องมสี มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรไม่นอ้ ยกวา่ หนึ่งในหา้ ของจานวน การเสนอช่ือบุคคลซง่ึ สมควรได้รบั แตง่ ตัง้ เปน็ นายกรฐั มนตรี บัญชีรายชอ่ื ของพรรคการเมอื งท่ีมีสมาชกิ ไดร้ ับเลอื กเป็นสมาชิก สมาชกิ ทัง้ หมดเทา่ ที่มอี ยู่ของสภาผแู้ ทนราษฎรรับรอง ตามวรรคหน่ึง ต้องมีสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรไมน่ อ้ ยกว่าหนง่ึ ในห้า สภาผแู้ ทนราษฎรไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละหา้ ของจานวนสมาชิกทงั้ หมด มติของสภาผูแ้ ทนราษฎรทเ่ี ห็นชอบดว้ ยในการแตง่ ตงั้ บคุ คลใดให้ ของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าทมี่ อี ยูข่ องสภาผ้แู ทนราษฎรรบั รอง เท่าทมี่ ีอยู่ของสภาผ้แู ทนราษฎร เป็นนายกรฐั มนตรี ตอ้ งมีคะแนนเสยี งมากกวา่ ก่ึงหนึ่งของจานวนสมาชกิ มติของสภาผแู้ ทนราษฎรที่เหน็ ชอบดว้ ยในการแตง่ ต้ังบุคคล การเสนอชื่อตามวรรคหนง่ึ ต้องมีสมาชิกรับรองไมน่ ้อยกวา่ ทั้งหมดเทา่ ทีม่ ีอยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร การลงมตใิ นกรณเี ชน่ วา่ น้ีให้ ใดใหเ้ ปน็ นายกรฐั มนตรี ต้องมคี ะแนนเสียงมากกว่ากึง่ หน่งึ ของ หนงึ่ ในสิบของจานวนสมาชิกทั้งหมดเทา่ ท่มี ีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร กระทาโดยการลงคะแนนโดยเปดิ เผย จานวนสมาชกิ ท้ังหมดเทา่ ทีม่ อี ยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การลงมติใน มตขิ องสภาผแู้ ทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตงั้ บคุ คลใดใหเ้ ป็น กรณเี ช่นว่านีใ้ ห้กระทาโดยการลงคะแนนโดยเปดิ เผย นายกรฐั มนตรี ต้องกระทาโดยการลงคะแนนโดยเปดิ เผย และมี คะแนนเสยี งมากกว่ากง่ึ หนึง่ ของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเทา่ ทมี่ อี ยู่ ของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา ๒๐๓ ในกรณที ่พี น้ กาหนดสามสิบวันนับแต่วนั ที่มกี าร มาตรา ๑๗๓ ในกรณที ่พี ้นกาหนดสามสบิ วนั นับแต่วันท่มี ีการ เรยี กประชมุ รัฐสภาเพอ่ื ให้สมาชิกไดม้ าประชุมเปน็ ครั้งแรกแลว้ ไม่ เรียกประชมุ รฐั สภาเพ่อื ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็น ปรากฏวา่ มีบคุ คลใดไดร้ ับคะแนนเสยี งเหน็ ชอบให้ไดร้ ับแต่งตัง้ เปน็ คร้งั แรกแล้ว ไมป่ รากฏว่ามีบุคคลใดได้รับคะแนนเสยี งเหน็ ชอบให้ไดร้ ับ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222