Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี 2540-2550 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560

เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี 2540-2550 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560

Published by flowerz_uk, 2019-12-24 01:37:32

Description: เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี 2540-2550 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560

Search

Read the Text Version

๑๔๘ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ วรรคส่ี ให้นาความในวรรคหนง่ึ วรรคสอง และวรรคสาม มา พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลือกตง้ั สมาชิกสภา ใชบ้ งั คบั กบั การเลือกต้งั สมาชกิ สภาท้องถ่ินและผบู้ รหิ ารท้องถ่ินดว้ ย ผแู้ ทนราษฎรหรือพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ยการ โดยอนโุ ลม โดยการยื่นคารอ้ งต่อศาลตามวรรคสองใหย้ นื่ ต่อศาล ไดม้ าซ่ึงสมาชกิ วุฒสิ ภา แล้วแต่กรณี อุทธรณ์ และให้คาสัง่ ของศาลอทุ ธรณ์เป็นทส่ี ุด เมอื่ ศาลฎกี ามคี าสง่ั รบั คาร้องไวพ้ จิ ารณาแลว้ ถา้ ผู้ถกู กล่าวหา เปน็ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ ิสภา ใหผ้ ู้นน้ั หยดุ ปฏิบตั ิ หน้าทจี่ นกวา่ ศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นน้ั มิได้กระทาความผดิ และ เมื่อศาลฎกี ามคี าพิพากษาว่าผูน้ น้ั กระทาความผดิ ใหส้ มาชิกภาพ ของสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วฒุ สิ ภาผ้นู ้ันสนิ้ สดุ ลงนับ แต่วนั ท่ีหยดุ ปฏิบตั หิ นา้ ท่ี มิให้นับสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒิสภาซง่ึ หยดุ ปฏิบัติหน้าทีต่ ามวรรคส่ี เป็นจานวนสมาชิกทงั้ หมดเทา่ ทีม่ ีอยขู่ อง สภาผู้แทนราษฎรหรอื วุฒสิ ภา แลว้ แต่กรณี ใหน้ ามาตรานีใ้ ปใช้บังคบั แกก่ ารเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผ้บู รหิ ารทอ้ งถ่นิ ดว้ ยโดยอนโุ ลม แต่ให้อานาจของศาลฎีกาเป็น อานาจของศาลอุทธรณ์ และใหค้ าส่งั หรอื คาพิพากษาของศาล อุทธรณ์เป็นที่สดุ การพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลฎีกาหรอื ศาลอทุ ธรณ์ตาม มาตราน้ี ใหเ้ ป็นไปตามระเบียบของท่ีประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซ่ึง ตอ้ งกาหนดใหใ้ ชร้ ะบบไตส่ วนและให้ดาเนินการไดโ้ ดยรวดเร็ว มาตรา ๒๔๐ ในกรณที ี่มกี ารคดั คา้ นว่าการสรรหาสมาชกิ วฒุ สิ ภาผใู้ ดเปน็ ไปโดยไม่ถกู ต้องหรอื ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย หรอื ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อไดว้ ่ากอ่ นได้รับการสรรหา สมาชิก วฒุ สิ ภาผใู้ ดกระทาการตามมาตรา ๒๓๘ ใหค้ ณะกรรมการการ เลอื กตั้งดาเนินการสืบสวนสอบสวนโดยพลนั เม่อื คณะกรรมการการเลอื กตั้งไดว้ ินจิ ฉยั ส่ังการเป็นอยา่ งใด แลว้ ให้เสนอต่อศาลฎีกาเพอื่ พจิ ารณาวนิ ิจฉยั โดยพลัน และให้นา ความในมาตรา ๒๓๙ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บงั คบั กบั การท่ี สมาชกิ วฒุ ิสภาผนู้ ั้นไมอ่ าจปฏบิ ตั หิ น้าท่ตี อ่ ไปได้ โดยอนโุ ลม

๑๔๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บงั คบั บัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผูจ้ ัดทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ในกรณที ศี่ าลฎกี ามคี าสงั่ ใหเ้ พิกถอนการสรรหาหรือเพิกถอน สทิ ธเิ ลือกตง้ั สมาชกิ วุฒิสภาผู้ใด ใหส้ มาชิกภาพของสมาชิกวุฒสิ ภาผู้ นั้นสน้ิ สุดลงนบั แตว่ นั ที่ศาลฎกี ามคี าส่งั และใหด้ าเนินการสรรหา สมาชิกวฒุ สิ ภาใหม่แทนตาแหน่งที่ว่าง ในการดาเนนิ การตามวรรคหนง่ึ หรอื วรรคสองประธานกรรมการ การเลอื กตัง้ จะร่วมดาเนนิ การหรอื วนิ ิจฉยั สง่ั การมไิ ด้ และใหค้ ณะ กรรมการการเลอื กตง้ั มีองคป์ ระกอบเทา่ ทม่ี อี ยู่ การคัดค้านและการพจิ ารณาของคณะกรรมการการเลอื กต้ัง ใหเ้ ป็นไปตามทีบ่ ญั ญตั ิไวใ้ นพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและการไดม้ าซ่งึ สมาชิกวฒุ สิ ภา มาตรา ๑๔๘ ในระหว่างทีพ่ ระราชกฤษฎกี าใหม้ ีการเลือกตง้ั มาตรา ๒๔๑ ในระหวา่ งที่พระราชกฤษฎกี าให้มีการเลอื กต้ัง มาตรา ๒๒๗ ในระหวา่ งท่ีพระราชกฤษฎกี าใหม้ ีการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรหรอื สมาชิกวุฒสิ ภา หรอื ประกาศใหม้ ีการออก สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ สิ ภา ประกาศใหม้ กี ารสรรหา สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื การเลอื กสมาชกิ วฒุ ิสภา หรือเมอ่ื เสยี งประชามติ มีผลใชบ้ งั คบั หา้ มมใิ ห้จบั คมุ ขงั หรอื หมายเรยี กตวั สมาชกิ วุฒสิ ภา หรอื ประกาศให้มีการออกเสียงประชามติ มีผลใชบ้ ังคับ ประกาศให้มีการออกเสยี งประชามติ มผี ลใชบ้ งั คับ หา้ มมใิ ห้จับ คมุ กรรมการการเลือกตัง้ ไปทาการสอบสวน เวน้ แต่ในกรณที ไี่ ดร้ บั อนญุ าตจาก ห้ามมิใหจ้ ับ คมุ ขงั หรือหมายเรยี กตวั กรรมการการเลอื กตง้ั ไปทาการ ขงั หรือหมายเรยี กตวั กรรมการการเลือกตงั้ ไปสอบสวน เวน้ แตไ่ ด้รบั คณะกรรมการการเลอื กตั้ง หรอื ในกรณที ่ีจบั ในขณะกระทาความผิด สอบสวน เวน้ แต่ในกรณที ี่ไดร้ บั อนุญาตจากคณะกรรมการการเลอื กตง้ั อนญุ าตจากคณะกรรมการการเลอื กตัง้ หรอื ในกรณีทจ่ี บั ในขณะ ในกรณที ี่มกี ารจับกรรมการการเลอื กต้งั ในขณะกระทาความผดิ หรอื ในกรณีทีจ่ บั ในขณะกระทาความผดิ กระทาความผิด หรือจบั หรอื คมุ ขังกรรมการการเลอื กต้ังในกรณีอืน่ ใหร้ ายงานไปยัง ในกรณีทมี่ กี ารจบั กรรมการการเลือกต้ังในขณะกระทาความผดิ ในกรณีที่มีการจบั กรรมการการเลอื กตั้งในขณะกระทา ประธานกรรมการการเลือกตง้ั โดยดว่ น และประธานกรรมการการเลือกตั้ง หรอื จับ หรอื คุมขังกรรมการการเลือกตง้ั ในกรณอี ่นื ใหร้ ายงานไปยงั ความผิด หรือจบั หรอื คมุ ขงั กรรมการการเลือกต้งั ในกรณีอืน่ ให้ อาจสั่งให้ปลอ่ ยผถู้ กู จบั ได้ ประธานกรรมการการเลือกตง้ั โดยด่วน และประธานกรรมการการ รายงานตอ่ ประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยด่วน และให้ประธาน เลือกตงั้ อาจสงั่ ให้ปล่อยผู้ถกู จับได้ แตถ่ ้าประธานกรรมการการเลอื กต้ัง กรรมการการเลอื กต้ังมอี านาจสงั่ ให้ปลอ่ ยผถู้ กู จบั ได้ แต่ถา้ ประธาน เป็นผูถ้ กู จบั หรือคุมขัง ใหเ้ ปน็ อานาจของคณะกรรมการการเลอื กต้ัง กรรมการการเลือกตงั้ เป็นผ้ถู กู จบั หรอื คุมขงั ให้เปน็ อานาจของ เทา่ ทม่ี อี ยู่เป็นผูด้ าเนนิ การ คณะกรรมการการเลอื กตั้งเทา่ ทมี่ อี ย่เู ปน็ ผูด้ าเนนิ การ ส่วนท่ี ๗ ๒. ผูต้ รวจการแผน่ ดนิ สว่ นท่ี ๓ ผ้ตู รวจการแผน่ ดินของรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดิน มาตรา ๑๙๖ วรรคหน่งึ ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ของรัฐสภามี มาตรา ๒๔๒ วรรคหน่ึง ผตู้ รวจการแผน่ ดินมจี านวนสามคน ซึ่ง มาตรา ๒๒๘ ผูต้ รวจการแผ่นดินมจี านวนสามคนซึ่ง จานวนไมเ่ กนิ สามคน ซง่ึ พระมหากษตั รยิ ท์ รงแต่งต้ังตามคาแนะนา พระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตัง้ ตามคาแนะนาของวฒุ ิสภา จากผ้ซู ่งึ เป็นท่ี พระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ต้งั ตามคาแนะนาของวฒุ ิสภา จากผู้ซึ่ง ของวฒุ สิ ภา จากผู้ซึง่ เป็นทีย่ อมรบั นบั ถือของประชาชน มคี วามรอบรู้ ยอมรบั นับถอื ของประชาชน มคี วามรอบรู้และมีประสบการณใ์ นการ ได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา และมปี ระสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดิน วิสาหกิจ หรือ

๑๕๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ กจิ กรรมอันเปน็ ประโยชนร์ ว่ มกันของสาธารณะ และมคี วามซอื่ สัตย์ บรหิ ารราชการแผน่ ดิน วสิ าหกจิ หรือกิจกรรมอันเปน็ ประโยชนร์ ว่ มกัน ผู้ซ่งึ ไดร้ ับการสรรหาต้องเปน็ ผ้มู คี วามซอ่ื สตั ย์สจุ รติ เป็นท่ี สุจรติ เป็นทีป่ ระจกั ษ์ ของสาธารณะ และมีความซือ่ สัตย์สจุ ริตเปน็ ที่ประจกั ษ์ ประจกั ษ์ และมคี วามรู้ ความเชย่ี วชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับ วรรคสาม คุณสมบตั ิ ลักษณะตอ้ งห้าม การสรรหา และการ วรรคสอง ให้ผูไ้ ด้รับเลือกเป็นผตู้ รวจการแผ่นดินประชมุ และ การบริหารราชการแผน่ ดนิ ไมต่ า่ กวา่ อธิบดีหรือหัวหนา้ ส่วนราชการ เลอื กผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ของรัฐสภา ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายประกอบ เลือกกันเองใหค้ นหน่งึ เป็นประธานผตู้ รวจการแผ่นดินแล้วแจง้ ผลให้ ที่เทยี บเท่าหรอื หวั หน้าหน่วยงานของรฐั ท่ีเทียบไดไ้ มต่ ่ากวา่ กรม รฐั ธรรมนญู ว่าด้วยผตู้ รวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานวฒุ สิ ภาทราบ ตามทคี่ ณะกรรมการสรรหาประกาศกาหนด โดยตอ้ งดารงตาแหนง่ วรรคสี่ คุณสมบตั ิและลักษณะตอ้ งหา้ มของผตู้ รวจการแผน่ ดนิ ดงั กลา่ วเปน็ เวลาไม่นอ้ ยกว่าหา้ ปี จานวนสองคน และเปน็ ผูม้ ี ใหเ้ ป็นไปตามพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยผูต้ รวจการ ประสบการณ์ในการดาเนินกิจการอันเป็นสาธารณะมาแล้วไม่น้อย แผน่ ดนิ กวา่ ยสี่ ิบปี จานวนหนง่ึ คน มาตรา ๑๙๖ วรรคส่ี ผูต้ รวจการแผ่นดินของรัฐสภามีวาระ มาตรา ๒๔๒ วรรคห้า ผู้ตรวจการแผ่นดินมีวาระการดารง มาตรา ๒๒๙ ผ้ตู รวจการแผ่นดินมีวาระการดารงตาแหนง่ การดารงตาแหน่งหกปนี บั แตว่ นั ทพ่ี ระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั และให้ ตาแหนง่ หกปนี บั แต่วันทพ่ี ระมหากษัตริยท์ รงแต่งตงั้ และใหด้ ารง เจ็ดปนี ับแต่วนั ที่พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั และให้ดารงตาแหนง่ ได้ ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว ตาแหน่งไดเ้ พียงวาระเดยี ว เพยี งวาระเดียว มาตรา ๑๙๗ ผู้ตรวจการแผน่ ดินของรัฐสภามีอานาจหน้าท่ี มาตรา ๒๔๔ ผตู้ รวจการแผน่ ดินมีอานาจหนา้ ท่ี ดังต่อไปนี้ มาตรา ๒๓๐ ผตู้ รวจการแผ่นดนิ มหี นา้ ทีแ่ ละอานาจ ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเทจ็ จรงิ ตามคาร้องเรยี นในกรณี ดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเทจ็ จริงตามคารอ้ งเรยี นใน (ก) การไม่ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย หรอื ปฏิบัตนิ อกเหนอื (๑) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรฐั ทเี่ กีย่ วขอ้ งเพอื่ ให้มกี าร กรณี อานาจหนา้ ทต่ี ามกฎหมายของขา้ ราชการ พนักงาน หรอื ลกู จา้ งของ ปรบั ปรงุ กฎหมาย กฎ ขอ้ บงั คบั ระเบยี บ หรอื คาส่งั หรอื ขั้นตอน (ก) การไมป่ ฏบิ ตั ิตามกฎหมาย หรอื ปฏิบัตินอกเหนืออานาจ หน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั หรอื รฐั วิสาหกจิ หรอื ราชการสว่ น การปฏิบตั ิงานใด ๆ บรรดาท่กี อ่ ให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่เปน็ ธรรม หน้าทีต่ ามกฎหมายของข้าราชการ พนกั งาน หรือลูกจา้ งของหน่วย ท้องถ่ิน แก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไมจ่ าเป็นหรอื เกิน ราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรือรัฐวิสาหกจิ หรอื ราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ (ข) การปฏบิ ตั หิ รอื ละเลยไม่ปฏบิ ตั ิหนา้ ทขี่ องขา้ ราชการ สมควรแกเ่ หตุ (ข) การปฏบิ ตั ิหรือละเลยไม่ปฏิบตั ิหนา้ ทข่ี องขา้ ราชการ พนกั งาน หรือลกู จา้ งของหน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรือ (๒) แสวงหาขอ้ เทจ็ จริงเมื่อเหน็ วา่ มีผู้ไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น พนักงาน หรือลกู จ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั หรือ รฐั วิสาหกจิ หรือราชการสว่ นท้องถิ่น ทก่ี ่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ หรอื ไมเ่ ป็นธรรมอันเนือ่ งมาจากการไม่ปฏิบัตติ ามกฎหมายหรอื รฐั วิสาหกิจ หรอื ราชการส่วนทอ้ งถ่ิน ทก่ี ่อให้เกดิ ความเสยี หายแก่ ผ้รู อ้ งเรยี นหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไมว่ า่ การน้นั จะชอบหรือไม่ ปฏิบตั นิ อกเหนือหน้าท่ีและอานาจตามกฎหมายของหนว่ ยงานของ ผรู้ อ้ งเรยี นหรอื ประชาชนโดยไมเ่ ปน็ ธรรม ไม่วา่ การน้ันจะชอบหรือไม่ ชอบด้วยอานาจหน้าท่กี ต็ าม รัฐหรือเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เพอ่ื เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐท่ี ชอบด้วยอานาจหนา้ ทีก่ ต็ าม (ค) การตรวจสอบการละเลยการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่หรอื การ เกย่ี วข้องใหข้ จดั หรอื ระงบั ความเดอื ดร้อนหรือความไมเ่ ปน็ ธรรมนน้ั (ค) กรณอี น่ื ตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ ปฏิบตั หิ น้าท่โี ดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมายขององค์กรตามรฐั ธรรมนูญ (๓) เสนอตอ่ คณะรฐั มนตรใี หท้ ราบถึงการทห่ี นว่ ยงานของรัฐ (๒) จัดทารายงานพร้อมทง้ั เสนอความเหน็ และขอ้ เสนอแนะตอ่ และองค์กรในกระบวนการยตุ ธิ รรม ท้ังน้ี ไมร่ วมถงึ การพิจารณา ยงั มไิ ด้ปฏบิ ัติใหถ้ ูกตอ้ งครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าทข่ี องรฐั รัฐสภา พิพากษาอรรถคดขี องศาล ในกรณีทห่ี น่วยงานของรัฐทเี่ ก่ยี วขอ้ งไม่ดาเนินการตาม (ง) กรณีอื่นตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ ขอ้ เสนอแนะของผตู้ รวจการแผ่นดนิ ตาม (๑) หรือ (๒) โดยไมม่ ี เหตุผลอนั สมควร ให้ผตู้ รวจการแผน่ ดินแจง้ ใหค้ ณะรัฐมนตรีทราบ เพอ่ื พิจารณาสัง่ การตามท่ีเหน็ สมควรตอ่ ไป

๑๕๑ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คับบญั ชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (๒) ดาเนินการเกย่ี วกับจริยธรรมของผดู้ ารงตาแหน่งทาง ในการดาเนินการตาม (๑) หรอื (๒) หากเปน็ กรณที ีเ่ กี่ยวกับ การเมืองและเจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั ตามมาตรา ๒๗๙ วรรคสาม และ การละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชน ใหผ้ ตู้ รวจการแผ่นดินส่งเร่ืองให้ มาตรา ๒๘๐ คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติดาเนินการต่อไป (๓) ติดตาม ประเมนิ ผล และจัดทาข้อเสนอแนะในการปฏิบตั ิ ตามรฐั ธรรมนญู รวมตลอดถึงขอ้ พจิ ารณาเพอ่ื แก้ไขเพม่ิ เติม รัฐธรรมนญู ในกรณที เ่ี หน็ วา่ จาเป็น (๔) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบตั ิหน้าที่พรอ้ ม ข้อสังเกตต่อคณะรฐั มนตรี สภาผแู้ ทนราษฎร และวุฒสิ ภา ทุกปี ท้ังนี้ ให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกจิ จานเุ บกษาและเปดิ เผย ตอ่ สาธารณะดว้ ย การใช้อานาจหนา้ ท่ตี าม (๑) (ก) (ข) และ (ค) ให้ผูต้ รวจการ แผน่ ดนิ ดาเนนิ การเมื่อมีการร้องเรยี น เว้นแตเ่ ป็นกรณีทีผ่ ตู้ รวจการ แผ่นดินเห็นว่าการกระทาดังกล่าวมผี ลกระทบตอ่ ความเสียหายของ ประชาชนส่วนรวมหรือเพื่อคุม้ ครองประโยชนส์ าธารณะ ผู้ตรวจการ แผ่นดนิ อาจพจิ ารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้ มาตรา ๑๙๘ ในกรณีทผ่ี ูต้ รวจการแผ่นดินของรฐั สภาเห็นวา่ มาตรา ๒๔๕ ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ อาจเสนอเรือ่ งต่อศาล มาตรา ๒๓๑ ในการปฏิบตั หิ นา้ ทตี่ ามมาตรา ๒๓๐ บทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมาย กฎ ขอ้ บงั คับ หรอื การกระทาใดของบคุ คลใด รัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองไดเ้ มอ่ื เหน็ ว่ามกี รณีดังตอ่ ไปน้ี ผตู้ รวจการแผน่ ดนิ อาจเสนอเร่ืองตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู หรือศาล ตามมาตรา ๑๙๗ (๑) มีปญั หาเก่ียวกบั ความชอบดว้ ยรฐั ธรรมนญู ให้ (๑) บทบัญญตั แิ หง่ กฎหมายใดมีปญั หาเกี่ยวกบั ความชอบด้วย ปกครองได้เมือ่ เหน็ วา่ มกี รณี ดงั ตอ่ ไปนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดนิ ของรัฐสภาเสนอเรือ่ งพร้อมความเห็นต่อศาล รัฐธรรมนญู ให้เสนอเร่อื งพร้อมดว้ ยความเหน็ ตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญ และ (๑) บทบัญญตั ิแห่งกฎหมายใดมีปญั หาเกย่ี วกบั ความชอบดว้ ย รัฐธรรมนญู หรือศาลปกครองเพอื่ พจิ ารณาวนิ ิจฉยั ท้ังน้ี ตาม ใหศ้ าลรฐั ธรรมนูญพิจารณาวินิจฉยั โดยไมช่ ักช้า ท้ังน้ี ตาม รัฐธรรมนูญ ใหเ้ สนอเร่ืองพรอ้ มดว้ ยความเหน็ ตอ่ ศาลรฐั ธรรมนูญ หลักเกณฑ์วา่ ด้วยวธิ ีพิจารณาของศาลรฐั ธรรมนญู หรอื กฎหมายว่า พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยวธิ ีพิจารณาของศาล และให้ศาลรัฐธรรมนญู พิจารณาวนิ จิ ฉยั โดยไมช่ ักช้า ทง้ั น้ี ตาม ด้วยวิธพี ิจารณาของศาลปกครอง แลว้ แตก่ รณี รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยวธิ ีพจิ ารณาของศาล ให้ศาลรัฐธรรมนญู หรอื ศาลปกครอง แลว้ แตก่ รณี พจิ ารณา (๒) กฎ คาสง่ั หรอื การกระทาอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา รฐั ธรรมนญู วินิจฉัยเร่ืองที่ผู้ตรวจการแผ่นดนิ ของรัฐสภาเสนอตามวรรคหนึง่ โดยไม่ ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเก่ยี วกับความชอบด้วยรฐั ธรรมนูญหรือกฎหมาย (๒) กฎ คาสง่ั หรือการกระทาอ่นื ใดของหนว่ ยงานของรัฐหรอื ชกั ช้า ให้เสนอเรอื่ งพรอ้ มดว้ ยความเห็นต่อศาลปกครอง และใหศ้ าลปกครอง เจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐมีปัญหาเกยี่ วกับความชอบด้วยรฐั ธรรมนญู หรอื พจิ ารณาวนิ ิจฉยั โดยไม่ชักช้า ทงั้ น้ี ตามพระราชบัญญตั วิ า่ ดว้ ยการ กฎหมาย ให้เสนอเรือ่ งพร้อมดว้ ยความเหน็ ต่อศาลปกครอง และให้ จดั ต้งั ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดปี กครอง ศาลปกครองพจิ ารณาวินิจฉยั โดยไม่ชกั ช้า ทัง้ น้ี ตามกฎหมายว่า ดว้ ยการจดั ตัง้ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๕๒ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา ส่วนท่ี ๒ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ๓. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ สว่ นท่ี ๔ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ มาตรา ๒๙๗ วรรคหน่งึ คณะกรรมการปอ้ งกันและ มาตรา ๒๔๖ วรรคหนงึ่ คณะกรรมการป้องกันและ มาตรา ๒๓๒ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต ปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ ประกอบดว้ ยประธานกรรมการคน ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ ประกอบด้วยประธานกรรมการคน แหง่ ชาติ ประกอบดว้ ยกรรมการจานวนเกา้ คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ หนงึ่ และกรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ อิ ่ืนอีกแปดคน ซ่ึงพระมหากษตั รยิ ์ทรง หนง่ึ และกรรมการอื่นอีกแปดคน ซึง่ พระมหากษตั รยิ ท์ รงแต่งตง้ั ตาม ทรงแตง่ ต้ังตามคาแนะนาของวฒุ สิ ภา จากผซู้ ึ่งไดร้ ับการสรรหาโดย แตง่ ต้งั ตามคาแนะนาของวฒุ ิสภา คาแนะนาของวฒุ ิสภา คณะกรรมการสรรหา วรรคสอง กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ วรรคสอง กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ ผู้ซ่งึ ไดร้ ับการสรรหาตอ้ งเป็นผมู้ คี วามซอ่ื สัตยส์ จุ รติ เป็นท่ี แห่งชาติตอ้ งเป็นผ้ซู ่ึงมคี วามซอ่ื สตั ย์สุจรติ เปน็ ท่ปี ระจกั ษ์ มีคณุ สมบตั ิ ตอ้ งเป็นผูซ้ ึ่งมีความซื่อสตั ย์สจุ รติ เปน็ ท่ปี ระจักษแ์ ละมคี ุณสมบตั ิและไม่ ประจกั ษ์ มีความรู้ ความเชยี่ วชาญ และประสบการณด์ ้านกฎหมาย และไม่มลี ักษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๒๕๖ มลี กั ษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๕ โดยเคยเป็นรฐั มนตรี กรรมการการ บัญชี เศรษฐศาสตร์ การบรหิ ารราชการแผ่นดนิ หรอื การอืน่ ใดอัน เลือกตงั้ ผตู้ รวจการแผน่ ดิน กรรมการสิทธมิ นุษยชนแห่งชาติ หรือ เปน็ ประโยชน์ตอ่ การป้องกันและปราบปรามการทุจรติ และต้องมี กรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ หรือเคยรับราชการในตาแหน่งไมต่ า่ กว่า คุณสมบัตอิ ยา่ งหนึ่งอย่างใด ดังตอ่ ไปน้ีดว้ ย อธบิ ดีหรือผูด้ ารงตาแหน่งทางบรหิ ารในหน่วยราชการที่มอี านาจบริหาร เทยี บเท่าอธิบดี หรือดารงตาแหน่งไม่ตา่ กว่าศาสตราจารย์ ผ้แู ทน (๑) รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งไม่ตา่ กวา่ อธบิ ดี องค์การพัฒนาเอกชน หรอื ผู้ประกอบวชิ าชีพท่ีมีองคก์ รวชิ าชีพตาม ผ้พู ิพากษา อธิบดีศาลปกครองช้นั ตน้ ตุลาการพระธรรมนูญหวั หนา้ กฎหมายมาเป็นเวลาไมน่ ้อยกว่าสามสบิ ปี ซึ่งองคก์ ารพัฒนาเอกชนหรือ ศาลทหารกลาง หรอื อธิบดีอยั การมาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปี องค์กรวิชาชพี น้ันให้การรบั รองและเสนอชื่อเขา้ สู่กระบวนการสรรหา (๒) รับราชการหรอื เคยรบั ราชการในตาแหนง่ ไม่ตา่ กวา่ อธิบดี วรรคหา้ ให้มีกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ หรือหวั หน้าสว่ นราชการที่เทียบเทา่ มาแล้วไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปี ประจาจงั หวดั โดยคณุ สมบัติ กระบวนการสรรหา และอานาจหนา้ ท่ี ใหเ้ ป็นไปตามทบ่ี ญั ญัตไิ วใ้ นพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่า (๓) เปน็ หรอื เคยเป็นผูด้ ารงตาแหนง่ ผ้บู ริหารสงู สดุ ของ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต รฐั วิสาหกจิ หรอื หน่วยงานอนื่ ของรัฐท่ไี ม่เปน็ สว่ นราชการหรอื รฐั วิสาหกจิ มาแล้วไม่น้อยกว่าหา้ ปี (๔) ดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งศาสตราจารยข์ อง มหาวทิ ยาลยั ในประเทศไทยมาแลว้ ไม่น้อยกวา่ ห้าปี และยงั มผี ลงาน ทางวชิ าการเป็นทปี่ ระจักษ์ (๕) เปน็ หรอื เคยเปน็ ผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ทม่ี กี ฎหมายรบั รองการ ประกอบวชิ าชีพ โดยประกอบวิชาชพี อยา่ งสมา่ เสมอและต่อเน่อื งมา เป็นเวลาไม่น้อยกว่ายส่ี ิบปนี ับถึงวนั ที่ได้รบั การเสนอชอื่ และไดร้ ับ การรับรองการประกอบวชิ าชพี จากองค์กรวิชาชพี น้ัน (๖) เปน็ ผู้มีความรคู้ วามชานาญและประสบการณท์ างด้าน การบรหิ าร การเงิน การคลงั การบัญชี หรือการบรหิ ารกิจการ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๕๓ นาถะ ดวงวชิ ัย ผ้บู ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา มาตรา ๒๙๘ วรรคหน่งึ กรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผูจ้ ัดทา การทจุ ริตแห่งชาติมวี าระการดารงตาแหน่งเก้าปนี ับแต่วนั ที่ พระมหากษตั ริย์ทรงแตง่ ตงั้ และให้ดารงตาแหนง่ ไดเ้ พยี งวาระเดยี ว มาตรา ๒๔๗ วรรคหน่ึง กรรมการปอ้ งกนั และปราบปราม รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ การทจุ รติ แหง่ ชาติมวี าระการดารงตาแหนง่ เกา้ ปีนบั แตว่ นั ท่ี วรรคสอง กรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต พระมหากษตั รยิ ท์ รงแต่งต้ัง และให้ดารงตาแหน่งได้เพยี งวาระเดียว วิสาหกจิ ในระดบั ไม่ตา่ กว่าผู้บรหิ ารระดับสูงของบริษัทมหาชนจากดั แหง่ ชาติซ่ึงพ้นจากตาแหนง่ ตามวาระ ตอ้ งปฏิบตั หิ น้าท่ีต่อไปจนกวา่ มาแลว้ ไม่นอ้ ยกว่าสบิ ปี กรรมการซง่ึ ไดร้ ับแต่งตงั้ ใหมจ่ ะเขา้ รับหน้าที่ วรรคสอง กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต แหง่ ชาติซึ่งพ้นจากตาแหนง่ ตามวาระ ตอ้ งปฏบิ ัตหิ นา้ ทตี่ อ่ ไปจนกวา่ (๗) เคยเปน็ ผ้ดู ารงตาแหนง่ ตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรอื (๖) มาตรา ๓๐๑ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการ กรรมการซ่งึ ไดร้ บั แตง่ ตัง้ ใหมจ่ ะเขา้ รบั หนา้ ที่ รวมกันไมน่ ้อยกว่าสบิ ปี ทจุ ริตแห่งชาติมีอานาจหน้าท่ี ดังตอ่ ไปน้ี มาตรา ๒๕๐ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการ การนับระยะเวลาตามวรรคสอง ใหน้ ับถึงวันทไ่ี ดร้ ับการเสนอ (๑) ไตส่ วนขอ้ เท็จจริงและสรปุ สานวนพรอ้ มทั้งทาความเห็น ทจุ รติ แห่งชาติมอี านาจหน้าท่ี ดังตอ่ ไปน้ี ชอ่ื หรอื วนั สมคั รเขา้ รบั การสรรหา แลว้ แตก่ รณี เสนอตอ่ วฒุ ิสภาตามมาตรา ๓๐๕ (๑) ไต่สวนขอ้ เท็จจริงและสรปุ สานวนพรอ้ มท้ังทาความเห็น มาตรา ๒๓๓ กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต (๒) ไตส่ วนข้อเท็จจริงและสรปุ สานวนพรอ้ มทั้งทาความเหน็ เกี่ยวกับการถอดถอนออกจากตาแหนง่ เสนอต่อวฒุ ิสภาตามมาตรา แหง่ ชาติมวี าระการดารงตาแหนง่ เจ็ดปนี ับแต่วนั ทีพ่ ระมหากษตั รยิ ์ สง่ ไปยังศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื งตาม ๒๗๒ และมาตรา ๒๗๙ วรรคสาม ทรงแต่งตัง้ และให้ดารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดียว มาตรา ๓๐๘ (๒) ไตส่ วนขอ้ เท็จจรงิ และสรุปสานวนพรอ้ มทงั้ ทาความเหน็ ในระหวา่ งทก่ี รรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ (๓) ไตส่ วนและวินจิ ฉยั ว่าเจ้าหน้าท่ขี องรฐั รา่ รวยผดิ ปกติ เกย่ี วกบั การดาเนนิ คดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองสง่ ไป พน้ จากตาแหน่งก่อนวาระ และยังไมม่ ีการแต่งตั้งกรรมการแทน กระทาความผดิ ฐานทจุ ริตตอ่ หนา้ ที่ หรือกระทาความผิดต่อตาแหนง่ ยงั ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองตาม ตาแหน่งที่ว่าง ใหก้ รรมการเท่าที่เหลอื อย่ปู ฏิบตั หิ น้าท่ีตอ่ ไปได้ เว้น หนา้ ท่รี าชการ หรอื ความผดิ ตอ่ ตาแหน่งหนา้ ท่ใี นการยตุ ิธรรม เพอื่ มาตรา ๒๗๕ แต่จะมีกรรมการเหลืออยไู่ ม่ถึงหา้ คน ดาเนินการตอ่ ไปตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต (๓) ไตส่ วนและวินิจฉัยว่าเจ้าหนา้ ที่ของรัฐต้ังแตผ่ บู้ ริหาร มาตรา ๒๓๔ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการ ระดบั สงู หรือข้าราชการซึ่งดารงตาแหนง่ ตั้งแต่ผอู้ านวยการกองหรือ ทจุ รติ แห่งชาตมิ ีหนา้ ท่ีและอานาจ ดงั ตอ่ ไปนี้ (๔) ตรวจสอบความถกู ต้องและความมอี ยู่จริง รวมท้ังความ เทยี บเท่าข้นึ ไปร่ารวยผิดปกติ กระทาความผดิ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือ เปลย่ี นแปลงของทรพั ยส์ ินและหนสี้ ินของผู้ดารงตาแหนง่ ตามมาตรา กระทาความผิดตอ่ ตาแหน่งหน้าท่ีราชการ หรือความผดิ ต่อตาแหน่ง (๑) ไตส่ วนและมคี วามเห็นกรณมี กี ารกล่าวหาวา่ ผ้ดู ารง ๒๙๑ และมาตรา ๒๙๖ ตามบญั ชแี ละเอกสารประกอบท่ไี ดย้ นื่ ไว้ หน้าท่ีในการยตุ ธิ รรม รวมทั้งดาเนินการกบั เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐหรือ ตาแหนง่ ทางการเมอื ง ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ผู้ดารงตาแหนง่ ใน ขา้ ราชการในระดับตา่ กว่าท่รี ่วมกระทาความผิดกบั ผู้ดารงตาแหน่ง องคก์ รอิสระ หรือผวู้ า่ การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ผู้ใดมพี ฤตกิ ารณร์ า่ รวย ดงั กล่าวหรือกับผ้ดู ารงตาแหน่งทางการเมอื ง หรือทก่ี ระทาความผดิ ใน ผดิ ปกติ ทุจริตตอ่ หน้าที่ หรือจงใจปฏบิ ตั หิ น้าท่หี รือใชอ้ านาจขดั ต่อ บทบญั ญตั ิแห่งรัฐธรรมนูญหรอื กฎหมาย หรอื ฝ่าฝนื หรือไมป่ ฏิบตั ิ ตามมาตรฐานทางจรยิ ธรรมอย่างร้ายแรง เพือ่ ดาเนนิ การตอ่ ไปตาม รัฐธรรมนญู หรอื ตามพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการ ป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ (๒) ไตส่ วนและวนิ จิ ฉยั ว่าเจา้ หน้าทข่ี องรฐั รา่ รวยผดิ ปกติ กระทาความผดิ ฐานทุจริตตอ่ หนา้ ที่ หรอื กระทาความผิดต่อตาแหนง่ หน้าที่ราชการ หรอื ความผดิ ต่อตาแหนง่ หน้าทใี่ นการยตุ ธิ รรม เพอ่ื ดาเนนิ การตอ่ ไปตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการ ป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๕๔ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู งั คบั บัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา (๕) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏบิ ตั หิ น้าท่พี รอ้ ม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผจู้ ัดทา ขอ้ สงั เกตตอ่ คณะรัฐมนตรี สภาผแู้ ทนราษฎร และวุฒิสภา ทุกปี และ นารายงานน้นั ออกพิมพ์เผยแพรต่ อ่ ไป ลกั ษณะทคี่ ณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ เห็นสมควรดาเนินการดว้ ย ทัง้ นี้ ตามพระราชบัญญัตปิ ระกอบ (๖) ดาเนินการอ่ืนตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ รฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต (๓) กาหนดใหผ้ ดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง ตุลาการศาล ให้นาบทบัญญัตมิ าตรา ๑๔๖ และมาตรา ๒๖๕ มาใชบ้ ังคับกับ รัฐธรรมนญู ผดู้ ารงตาแหน่งในองค์กรอสิ ระ ผูว้ ่าการตรวจเงิน การปฏบิ ัตหิ นา้ ทข่ี องคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ (๔) ตรวจสอบความถูกตอ้ งและความมีอยจู่ ริง รวมทัง้ ความ แผ่นดิน และเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั ยน่ื บญั ชที รัพยส์ ินและหนส้ี ินของตน คู่ แห่งชาตดิ ว้ ย โดยอนโุ ลม เปลย่ี นแปลงของทรพั ยส์ ินและหนสี้ ินของผู้ดารงตาแหน่งตามมาตรา สมรส และบตุ รทย่ี งั ไม่บรรลุนิติภาวะ รวมท้งั ตรวจสอบและเปิดเผย ๒๕๙ และมาตรา ๒๖๔ ตามบญั ชีและเอกสารประกอบทไ่ี ด้ย่ืนไว้ ท้งั นี้ ผลการตรวจสอบทรพั ยส์ ินและหนสี้ ินของบคุ คลดงั กลา่ ว ทัง้ นี้ ตาม หมวด ๑๐ ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทค่ี ณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปราม พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการป้องกันและ การตรวจสอบการใชอ้ านาจรัฐ การทจุ รติ แห่งชาตกิ าหนด ปราบปรามการทจุ ริต ส่วนที่ ๑ (๕) กากบั ดูแลคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของผดู้ ารงตาแหน่งทาง (๔) หนา้ ท่ีและอานาจอน่ื ที่บญั ญตั ไิ ว้ในรฐั ธรรมนูญหรอื การแสดงบัญชรี ายการทรัพยส์ นิ และหนส้ี ิน การเมือง กฎหมาย มาตรา ๒๙๑ ผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื งดังต่อไปน้ี มหี น้าท่ี (๖) รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่พรอ้ ม ในการปฏบิ ตั ิหนา้ ทีต่ าม (๑) (๒) และ (๓) ให้เป็นหน้าทขี่ อง ย่นื บัญชีแสดงรายการทรัพยส์ นิ และหนีส้ ินของตน คสู่ มรส และบตุ รที่ ขอ้ สงั เกตต่อคณะรฐั มนตรี สภาผแู้ ทนราษฎร และวุฒิสภา ทกุ ปี คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติท่จี ะตอ้ งจดั ยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ิภาวะ ต่อคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการ ทัง้ นี้ ให้ประกาศรายงานดงั กลา่ วในราชกิจจานุเบกษาและเปดิ เผย ใหม้ มี าตรการหรือแนวทางที่จะทาให้การปฏบิ ตั ิหนา้ ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ ทุจรติ แห่งชาติ ทุกคร้ังที่เข้ารับตาแหนง่ หรอื พ้นจากตาแหนง่ ต่อสาธารณะด้วย เกิดความรวดเรว็ สุจริต และเท่ียงธรรม ในกรณจี าเป็นจะมอบหมาย ให้หนว่ ยงานของรฐั ท่ีมหี นา้ ทแี่ ละอานาจเกยี่ วข้องกับการป้องกัน (๑) นายกรัฐมนตรี (๗) ดาเนินการอน่ื ตามทีก่ ฎหมายบญั ญัติ และปราบปรามการทจุ ริตดาเนินการแทนในเร่ืองที่มิใช่เป็นความผิด (๒) รฐั มนตรี ใหน้ าบทบัญญตั มิ าตรา ๒๑๓ มาใช้บังคับกับการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี รา้ ยแรง หรอื ทเ่ี ป็นการกระทาของเจ้าหนา้ ที่ของรฐั บางระดบั หรอื (๓) สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติด้วยโดย กาหนดใหพ้ นักงานเจา้ หนา้ ที่ของหนว่ ยธุรการของคณะกรรมการ (๔) สมาชิกวุฒิสภา อนโุ ลม ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติเป็นผ้ดู าเนินการสอบสวน (๕) ขา้ ราชการการเมอื งอ่นื ประธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ หรือไตส่ วนเบ้ืองตน้ ตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเง่อื นไขทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ (๖) ผู้บริหารทอ้ งถน่ิ และสมาชกิ สภาท้องถิ่นตามท่ีกฎหมาย และกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาตเิ ปน็ เจ้า ในพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และ บญั ญัติ พนกั งานในการยตุ ิธรรมตามกฎหมาย ปราบปรามการทุจริตกไ็ ด้ บญั ชตี ามวรรคหน่งึ ให้ยืน่ พรอ้ มเอกสารประกอบซ่ึงเป็นสาเนา หลักฐานที่พสิ จู นค์ วามมีอยู่จริงของทรพั ยส์ นิ และหนส้ี นิ ดงั กล่าว หมวด ๑๒ รวมทั้งสาเนาแบบแสดงรายการภาษเี งนิ ได้บุคคลธรรมดาในรอบปี การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ สว่ นท่ี ๑ การตรวจสอบทรัพย์สิน

๑๕๕ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ ังคับบญั ชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผ้จู ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ภาษที ี่ผา่ นมา โดยผูย้ ่นื จะตอ้ งลงลายมือชือ่ รับรองความถูกต้องกากบั มาตรา ๒๕๙ ผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งดงั ตอ่ ไปน้ี มี ไว้ในบญั ชีและสาเนาหลกั ฐานทยี่ น่ื ไว้ทกุ หน้าดว้ ย หนา้ ทีย่ น่ื บัญชแี สดงรายการทรพั ยส์ นิ และหนี้สินของตน คสู่ มรส มาตรา ๒๙๒ บญั ชแี สดงรายการทรัพย์สินและหนส้ี ินตาม และบตุ รทยี่ ังไม่บรรลุนิตภิ าวะต่อคณะกรรมการป้องกนั และ มาตรา ๒๙๑ ใหแ้ สดงรายการทรพั ยส์ ินและหนีส้ ินทีม่ ีอย่จู ริงในวันที่ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทุกครั้งทีเ่ ข้ารบั ตาแหน่งหรอื พ้นจาก ยื่นบญั ชดี งั กลา่ ว และตอ้ งย่นื ภายในกาหนดเวลาดังต่อไปนี้ ตาแหน่ง (๑) ในกรณีทเ่ี ป็นการเขา้ รับตาแหนง่ ใหย้ น่ื ภายในสามสบิ วนั (๑) นายกรัฐมนตรี นับแตว่ นั เขา้ รบั ตาแหน่ง (๒) รฐั มนตรี (๒) ในกรณีที่เป็นการพ้นจากตาแหน่ง ใหย้ ื่นภายในสามสบิ วนั (๓) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นบั แต่วันพ้นจากตาแหน่ง (๔) สมาชิกวุฒสิ ภา (๓) ในกรณีทบ่ี ุคคลตามมาตรา ๒๙๑ ซ่ึงไดย้ ื่นบญั ชีไวแ้ ลว้ ตาย (๕) ข้าราชการการเมอื งอืน่ ในระหวา่ งดารงตาแหน่งหรอื กอ่ นยนื่ บัญชหี ลงั จากพน้ จากตาแหน่ง (๖) ผู้บรหิ ารทอ้ งถิน่ และสมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ ตามท่กี ฎหมาย ใหท้ ายาทหรือผ้จู ดั การมรดก ยน่ื บัญชีแสดงรายการทรพั ยส์ ินและ บญั ญัติ หนส้ี ินท่มี ีอยู่ในวนั ท่ผี ู้ดารงตาแหนง่ นน้ั ตาย ภายในเกา้ สิบวนั นบั แต่ บัญชีตามวรรคหนง่ึ ให้ย่ืนพรอ้ มเอกสารประกอบซง่ึ เป็นสาเนา วนั ท่ีผู้ดารงตาแหน่งตาย หลักฐานท่ีพสิ ูจนค์ วามมีอยูจ่ รงิ ของทรัพยส์ ินและหนี้สนิ ดังกล่าว ผดู้ ารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี รฐั มนตรี ผบู้ ริหารท้องถ่ิน รวมท้งั สาเนาแบบแสดงรายการภาษเี งินไดบ้ ุคคลธรรมดาในรอบปี สมาชกิ สภาทอ้ งถ่ิน หรือผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งซง่ึ พน้ จาก ภาษที ผี่ ่านมา ตาแหนง่ นอกจากต้องยนื่ บัญชีตาม (๒) แลว้ ให้มหี นา้ ทีย่ ื่นบญั ชีแสดง การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหน้ีสนิ ตามวรรคหน่ึง รายการทรัพย์สินและหนสี้ ินอกี ครง้ั หนง่ึ ภายในสามสิบวันนับแตว่ นั ท่ี และวรรคสอง ใหร้ วมถึงทรัพย์สินของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งที่ พน้ จากตาแหน่งดงั กลา่ วมาแล้วเปน็ เวลาหนึ่งปีดว้ ย มอบหมายใหอ้ ยใู่ นความครอบครองหรอื ดแู ลของบคุ คลอื่นไม่ว่าโดย มาตรา ๒๙๓ เมื่อไดร้ ับบัญชีแสดงรายการทรพั ยส์ ินและ ทางตรงหรือทางอ้อมด้วย หน้ีสนิ และเอกสารประกอบแล้ว ให้ประธานกรรมการป้องกันและ มาตรา ๒๖๐ บญั ชีแสดงรายการทรพั ยส์ ินและหน้ีสนิ ตาม ปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติหรอื กรรมการป้องกนั และปราบปราม มาตรา ๒๕๙ ใหแ้ สดงรายการทรัพยส์ นิ และหนสี้ นิ ทีม่ ีอย่จู ริงในวันที่เขา้ การทุจรติ แห่งชาตซิ งึ่ ประธานกรรมการป้องกนั และปราบปรามการ รบั ตาแหน่งหรือวันท่ีพ้นจากตาแหน่ง แล้วแตก่ รณี และต้องยื่นภายใน ทจุ รติ แหง่ ชาตมิ อบหมาย ลงลายมือชอื่ กากับไวใ้ นบัญชที ุกหนา้ กาหนดเวลาดังตอ่ ไปน้ี บัญชแี ละเอกสารประกอบตามวรรคหน่งึ ของนายกรัฐมนตรี (๑) ในกรณที ีเ่ ปน็ การเข้ารบั ตาแหน่ง ให้ยืน่ ภายในสามสบิ วัน และรัฐมนตรีใหเ้ ปดิ เผยใหส้ าธารณชนทราบโดยเร็วแต่ต้องไมเ่ กนิ นับแตว่ ันเข้ารบั ตาแหนง่ สามสิบวนั นับแตว่ นั ท่คี รบกาหนดต้องย่นื บัญชีดงั กลา่ ว บัญชีของผู้ (๒) ในกรณที ีเ่ ปน็ การพ้นจากตาแหน่ง ให้ยนื่ ภายในสามสิบ ดารงตาแหนง่ อ่นื ห้ามมใิ ห้เปดิ เผยแกผ่ ูใ้ ด เวน้ แตก่ ารเปดิ เผยดังกลา่ ว วันนับแตว่ นั พ้นจากตาแหนง่

๑๕๖ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บังคับบัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ จะเป็นประโยชน์ต่อการพจิ ารณาพิพากษาคดหี รอื การวินจิ ฉยั ชข้ี าด (๓) ในกรณที ี่บุคคลตามมาตรา ๒๕๙ ซง่ึ ได้ยนื่ บญั ชีไวแ้ ล้ว และได้รบั การรอ้ งขอจากศาลหรือคณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดิน ตายในระหวา่ งดารงตาแหน่งหรือก่อนยน่ื บัญชีหลังจากพน้ จาก ให้ประธานกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ ตาแหน่ง ให้ทายาทหรอื ผจู้ ัดการมรดก ยน่ื บัญชีแสดงรายการ จัดใหม้ ีการประชุมคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ ทรพั ยส์ นิ และหนสี้ นิ ท่ีมีอยู่ในวนั ที่ผู้ดารงตาแหนง่ นัน้ ตาย ภายในเกา้ แหง่ ชาตเิ พอ่ื ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความมีอยจู่ รงิ ของทรพั ยส์ นิ สิบวันนบั แต่วนั ท่ีผดู้ ารงตาแหน่งตาย และหนสี้ ินดังกลา่ วโดยเรว็ ผดู้ ารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรี รฐั มนตรี ผบู้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ สมาชกิ มาตรา ๒๙๔ ในกรณีที่มกี ารยนื่ บัญชีเพราะเหตทุ ผ่ี ้ดู ารง สภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผูด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง ซ่งึ พน้ จากตาแหน่ง ตาแหน่งทางการเมืองผใู้ ดพน้ จากตาแหน่งหรือตาย ใหค้ ณะกรรมการ นอกจากตอ้ งยื่นบญั ชตี าม (๒) แลว้ ให้มีหน้าทยี่ ่ืนบญั ชีแสดงรายการ ป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติทาการตรวจสอบความ ทรัพยส์ ินและหนส้ี ินทม่ี อี ยจู่ ริงในวนั ครบหนึ่งปนี บั แต่วันที่พน้ จาก เปลยี่ นแปลงของทรัพยส์ ินและหนส้ี ินของผู้ดารงตาแหนง่ นั้น แลว้ ตาแหน่งดงั กลา่ วอกี คร้งั หน่งึ โดยใหย้ น่ื ภายในสามสบิ วนั นบั แต่วันทพี่ ้น จัดทารายงานผลการตรวจสอบ รายงานดังกลา่ วใหป้ ระกาศในราช จากตาแหน่งมาแลว้ เป็นเวลาหนึง่ ปีดว้ ย กิจจานเุ บกษา มาตรา ๒๖๑ บัญชีแสดงรายการทรพั ย์สนิ และหน้ีสนิ และ ในกรณีทป่ี รากฏวา่ ผดู้ ารงตาแหนง่ ตามวรรคหน่งึ ผูใ้ ดมี เอกสารประกอบของนายกรฐั มนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร ทรพั ย์สนิ เพ่มิ ขน้ึ ผิดปกติ ใหป้ ระธานกรรมการปอ้ งกันและปราบปราม และสมาชิกวุฒสิ ภา ใหเ้ ปดิ เผยใหส้ าธารณชนทราบโดยเรว็ แตต่ ้องไมเ่ กนิ การทุจรติ แหง่ ชาติส่งเอกสารทงั้ หมดทม่ี อี ยพู่ ร้อมทั้งรายงานผลการ สามสิบวนั นบั แตว่ นั ท่คี รบกาหนดตอ้ งยน่ื บญั ชดี ังกลา่ ว บญั ชขี องผู้ดารง ตรวจสอบไปยงั อัยการสูงสดุ เพือ่ ดาเนนิ คดตี ่อศาลฎกี าแผนกคดอี าญา ตาแหน่งอ่นื จะเปดิ เผยไดต้ อ่ เมอ่ื การเปิดเผยดงั กลา่ วจะเปน็ ประโยชน์ต่อ ของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งใหท้ รัพย์สินท่เี พ่มิ ข้ึนผิดปกตนิ นั้ ตก การพจิ ารณาพิพากษาคดหี รือการวนิ ิจฉยั ชขี้ าด และไดร้ บั การรอ้ งขอจาก เป็นของแผ่นดนิ ตอ่ ไป ศาลหรอื ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี หรือคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดิน ให้นาบทบัญญตั มิ าตรา ๓๐๕ วรรคหา้ มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม ให้ประธานกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตเิ พ่ือตรวจสอบความถูกตอ้ งและความมีอยูจ่ ริงของทรัพย์สนิ และหน้ีสนิ ดงั กลา่ วโดยเร็ว มาตรา ๒๖๒ ในกรณที ม่ี กี ารย่นื บัญชเี พราะเหตทุ ่ผี ดู้ ารง ตาแหน่งทางการเมืองผูใ้ ดพ้นจากตาแหน่งหรือตาย ใหค้ ณะกรรมการ ปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทาการตรวจสอบความ เปลีย่ นแปลงของทรัพย์สนิ และหน้ีสินของผ้ดู ารงตาแหนง่ นั้น แล้วจดั ทา รายงานผลการตรวจสอบ รายงานดังกล่าวให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษา

รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๕๗ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผ้จู ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ในกรณที ี่ปรากฏวา่ ผดู้ ารงตาแหนง่ ตามวรรคหนงึ่ ผ้ใู ดมี ทรัพย์สินเพ่ิมข้นึ ผิดปกติ ให้ประธานกรรมการปอ้ งกันและ ปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตสิ ่งเอกสารท้งั หมดทมี่ อี ยูพ่ รอ้ มทั้ง รายงานผลการตรวจสอบไปยังอยั การสงู สดุ เพื่อดาเนนิ คดตี อ่ ศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองให้ทรัพย์สนิ ท่ี เพม่ิ ขน้ึ ผิดปกตินนั้ ตกเป็นของแผน่ ดินต่อไป และให้นาบทบัญญตั ิ มาตรา ๒๗๒ วรรคห้า มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม มาตรา ๒๗๙ วรรคสาม การฝา่ ฝนื หรือไม่ปฏิบัตติ ามมาตรฐาน ทางจรยิ ธรรมตามวรรคหน่ึง ให้ถือว่าเปน็ การกระทาผิดทางวินัย ใน กรณที ่ผี ู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื งฝา่ ฝนื หรือไม่ปฏบิ ัตติ าม ให้ ผูต้ รวจการแผ่นดนิ รายงานต่อรฐั สภา คณะรัฐมนตรี หรือสภาทอ้ งถิ่นท่ี เกย่ี วข้อง แล้วแตก่ รณี และหากเป็นการกระทาผิดร้ายแรงใหส้ ่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตพิ ิจารณา ดาเนนิ การ โดยใหถ้ อื เป็นเหตทุ จี่ ะถูกถอดถอนจากตาแหนง่ ตาม มาตรา ๒๗๐ มาตรา ๒๘๐ เพ่ือประโยชน์ในการดาเนนิ การตามหมวดนี้ ให้ ผู้ตรวจการแผน่ ดินมีอานาจหน้าทีเ่ สนอแนะหรือใหค้ าแนะนาในการ จดั ทาหรอื ปรบั ปรุงประมวลจริยธรรมตามมาตรา ๒๗๙ วรรคหน่ึง และ ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และเจ้าหน้าท่ีของ รฐั มจี ิตสานกึ ในด้านจริยธรรม รวมทงั้ มีหนา้ ทรี่ ายงานการกระทาท่มี ี การฝา่ ฝืนประมวลจริยธรรมเพื่อให้ผู้ท่ีรบั ผิดชอบในการบังคบั การให้ เป็นไปตามประมวลจริยธรรมดาเนินการบังคบั ให้เป็นไปตามประมวล จริยธรรมตามมาตรา ๒๗๙ วรรคสาม ในกรณที ก่ี ารฝ่าฝืนหรอื ไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรฐานทางจรยิ ธรรม มลี ักษณะร้ายแรงหรือมเี หตุอนั ควรเชือ่ ไดว้ า่ การดาเนินการของ ผรู้ ับผดิ ชอบจะไม่เปน็ ไปด้วยความเปน็ ธรรม ผูต้ รวจการแผ่นดนิ จะ ไต่สวนและเปิดเผยผลการไตส่ วนตอ่ สาธารณะกไ็ ด้

รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๕๘ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา มาตรา ๒๙๕ ผูด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยนื่ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผูจ้ ัดทา บัญชีแสดงรายการทรพั ยส์ ินและหนสี้ นิ และเอกสารประกอบตามที่ กาหนดไวใ้ นรัฐธรรมนญู นี้ หรือจงใจยนื่ บัญชีแสดงรายการทรัพย์สนิ มาตรา ๒๖๓ ผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองผใู้ ดจงใจไมย่ น่ื รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ และหนส้ี นิ และเอกสารประกอบดว้ ยข้อความอนั เป็นเท็จ หรอื ปกปดิ บญั ชแี สดงรายการทรพั ย์สนิ และหนีส้ นิ และเอกสารประกอบตามท่ี ขอ้ เท็จจริงท่คี วรแจ้งใหท้ ราบ ให้ผนู้ น้ั พน้ จากตาแหนง่ นบั แต่วันท่คี รบ กาหนดไวใ้ นรฐั ธรรมนญู นี้ หรอื จงใจยื่นบญั ชแี สดงรายการทรพั ยส์ ิน มาตรา ๒๓๕ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๒๓๖ ในกรณีทมี่ เี หตอุ นั กาหนดต้องย่ืนตามมาตรา ๒๙๒ หรือนับแตว่ นั ท่ีตรวจพบว่ามกี าร และหนสี้ ินและเอกสารประกอบดว้ ยข้อความอนั เปน็ เทจ็ หรือปกปิด ควรสงสยั หรอื มีการกล่าวหาวา่ ผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งเฉพาะที่ กระทาดงั กลา่ ว แล้วแต่กรณี และผู้นนั้ ตอ้ งหา้ มมิใหด้ ารงตาแหน่งทาง ข้อเทจ็ จรงิ ทคี่ วรแจง้ ให้ทราบ ให้คณะกรรมการปอ้ งกันและ บญั ญัตไิ วใ้ นพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกัน การเมืองใด ๆ เป็นเวลาหา้ ปนี ับแต่วันท่ีพน้ จากตาแหน่ง ปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติเสนอเร่อื งใหศ้ าลฎกี าแผนกคดีอาญา และปราบปรามการทุจรติ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ผดู้ ารงตาแหนง่ ของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองวินจิ ฉยั ตอ่ ไป ในองคก์ รอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ผู้ใดมีพฤตกิ ารณต์ าม เมอื่ มีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการป้องกันและ มาตรา ๒๓๔ (๑) ใหค้ ณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตเิ สนอเรื่องใหศ้ าลรฐั ธรรมนญู วินจิ ฉัยช้ี ถ้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมือง ทจุ ริตแห่งชาติไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ และหากมมี ตดิ ้วยคะแนนเสยี งไม่ ขาดต่อไป และเม่ือศาลรัฐธรรมนญู วินิจฉัยชี้ขาดแลว้ ให้นาบทบญั ญตั ิ วนิ จิ ฉยั ว่าผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองผู้ใดกระทาความผดิ ตามวรรค น้อยกว่ากง่ึ หนึง่ ของกรรมการท้งั หมดเทา่ ทมี่ อี ยเู่ หน็ วา่ ผูน้ ั้นมี มาตรา ๙๗ มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม หน่งึ ให้ผูน้ ้ันพ้นจากตาแหน่งในวันที่ศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผู้ดารง พฤติการณ์หรอื กระทาความผิดตามท่ีไตส่ วน ให้ดาเนนิ การ ตาแหน่งทางการเมืองวนิ ิจฉยั โดยใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๙๒ มาใช้ ดังตอ่ ไปนี้ มาตรา ๒๙๖ บทบญั ญตั ิมาตรา ๒๙๑ มาตรา ๒๙๒ มาตรา บงั คบั โดยอนโุ ลม และผนู้ ้นั ต้องหา้ มมิใหด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองหรือ ๒๙๓ วรรคหนง่ึ และวรรคสาม และมาตรา ๒๙๕ วรรคหน่งึ ใหใ้ ช้ ดารงตาแหนง่ ใดในพรรคการเมอื งเปน็ เวลาห้าปนี ับแตว่ นั ท่ีศาลฎีกา (๑) ถ้าเป็นกรณฝี า่ ฝนื หรอื ไม่ปฏบิ ตั ิตามมาตรฐานทาง บังคบั กบั เจ้าหน้าท่ีอื่นของรฐั ตามที่บัญญตั ไิ วใ้ นกฎหมายประกอบ แผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งวนิ ิจฉัยด้วย จริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรอื่ งต่อศาลฎกี าเพ่อื วนิ จิ ฉยั ท้ังนี้ รฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ ด้วยโดย ให้นาความในมาตรา ๒๒๖ วรรคเจด็ มาใชบ้ ังคบั แก่การพิจารณา อนุโลม มาตรา ๒๖๔ บทบัญญัตมิ าตรา ๒๕๙ มาตรา ๒๖๐ มาตรา พิพากษาของศาลฎีกาโดยอนโุ ลม ๒๖๑ วรรคสอง และมาตรา ๒๖๓ วรรคหน่งึ ให้ใชบ้ ังคบั กับเจ้าหน้าที่ ส่วนท่ี ๔ ของรฐั ตามท่ีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ (๒) กรณีอน่ื นอกจาก (๑) ให้ส่งสานวนการไตส่ วนไปยังอยั การ การดาเนินคดีอาญากับผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง กาหนดด้วยโดยอนุโลม สูงสุดเพอื่ ดาเนินการฟอ้ งคดีตอ่ ศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผูด้ ารง ตาแหนง่ ทางการเมอื ง หรือดาเนนิ การอน่ื ตามพระราชบญั ญัติ มาตรา ๓๐๘ ในกรณีทนี่ ายกรัฐมนตรี รฐั มนตรี สมาชิกสภา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตอิ าจ ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต ผู้แทนราษฎร สมาชกิ วุฒสิ ภา หรอื ข้าราชการการเมอื งอ่ืน ถกู เปิดเผยบญั ชีแสดงรายการทรพั ยส์ นิ และหนส้ี ินและเอกสารประกอบ กลา่ วหาว่าร่ารวยผดิ ปกติ กระทาความผดิ ตอ่ ตาแหน่งหนา้ ทร่ี าชการ ทีม่ ีการยน่ื ไว้แกผ่ มู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ได้ ถา้ เป็นประโยชน์ในการดาเนนิ คดี การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จริงและมีมตติ ามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ตามประมวลกฎหมายอาญา หรอื กระทาความผดิ ตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ที่ หรอื การวินิจฉัยการกระทาความผดิ ตามทีบ่ ญั ญัติไวใ้ นพระราชบัญญตั ิ ปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติตอ้ งดาเนนิ การให้แลว้ หรอื ทุจรติ ต่อหน้าท่ีตามกฎหมายอน่ื ใหศ้ าลฎกี าแผนกคดอี าญาของผู้ ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ เสร็จภายในระยะเวลาทีก่ าหนดไวใ้ นพระราชบัญญัติประกอบ ดารงตาแหนง่ ทางการเมือง มีอานาจพิจารณาพพิ ากษา รัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต ส่วนท่ี ๔ บทบัญญัติวรรคหนงึ่ ให้ใช้บงั คบั กับกรณที บ่ี คุ คลดังกลา่ วหรอื การดาเนนิ คดอี าญากบั ผ้ดู ารงตาแหนง่ ทางการเมือง เม่ือศาลฎีกาหรือศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผ้ดู ารงตาแหนง่ บุคคลอน่ื เป็นตวั การ ผูใ้ ช้ หรอื ผสู้ นับสนนุ ดว้ ย ทางการเมืองประทับรบั ฟอ้ ง ใหผ้ ถู้ ูกกล่าวหาหยดุ ปฏิบัตหิ น้าท่ี มาตรา ๒๗๕ ในกรณีทีน่ ายกรฐั มนตรี รฐั มนตรี สมาชิกสภา จนกว่าจะมีคาพิพากษา เว้นแต่ศาลฎีกาหรอื ศาลฎกี าแผนกคดีอาญา ผแู้ ทนราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา หรือข้าราชการการเมอื งอ่ืน ถูกกล่าวหา ของผูด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองจะมคี าส่งั เป็นอย่างอนื่ ในกรณที ี่ ศาลฎกี าหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทาง การเมืองมคี าพพิ ากษาวา่ ผู้ถกู กล่าวหามีพฤตกิ ารณ์หรือกระทา ความผดิ ตามท่ถี ูกกลา่ วหา แลว้ แตก่ รณี ให้ผตู้ อ้ งคาพพิ ากษานั้นพน้

๑๕๙ นาถะ ดวงวิชัย ผู้บงั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓๐๙ ผู้เสียหายจากการกระทาตามมาตรา ๓๐๘ มี วา่ ร่ารวยผดิ ปกติ กระทาความผดิ ตอ่ ตาแหน่งหน้าท่ีราชการตาม จากตาแหนง่ นบั แต่วนั หยดุ ปฏิบตั หิ น้าท่ี และใหเ้ พกิ ถอนสทิ ธสิ มคั ร สทิ ธิยน่ื คาร้องต่อคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาตเิ พื่อใหด้ าเนนิ การตามมาตรา ๓๐๑ (๒) ไดต้ ามกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทาความผิดตอ่ ตาแหน่งหน้าทหี่ รอื รับเลอื กต้ังของผนู้ น้ั และจะเพิกถอนสทิ ธิเลอื กต้ังมีกาหนดเวลาไม่ ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต ทุจรติ ตอ่ หนา้ ทต่ี ามกฎหมายอื่น ให้ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารง เกนิ สิบปีดว้ ยหรือไมก่ ไ็ ด้ ใหน้ าบทบญั ญตั มิ าตรา ๓๐๕ วรรคหน่ึง วรรคสี่ และวรรคหา้ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ตาแหน่งทางการเมอื ง มอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษา ผู้ใดถูกเพิกถอนสทิ ธสิ มัครรบั เลอื กต้งั ไม่ว่าในกรณีใด ผู้นั้นไมม่ ี มาตรา ๓๑๐ วรรคหน่งึ ในการพิจารณาคดี ให้ศาลฎกี า บทบญั ญัตวิ รรคหนงึ่ ให้ใช้บังคับกบั กรณที บ่ี คุ คลดงั กลา่ วหรือ สทิ ธสิ มคั รรบั เลอื กตั้งหรอื สมคั รรบั เลือกเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทน แผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองยดึ สานวนของ คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาตเิ ป็นหลกั ใน บคุ คลอ่ืนเปน็ ตัวการ ผู้ใช้ หรือผูส้ นบั สนนุ รวมทง้ั ผใู้ ห้ ผู้ขอให้ หรอื ราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา สมาชิกสภาทอ้ งถิ่นหรอื ผบู้ รหิ ารทอ้ งถ่ิน การพิจารณา และอาจไต่สวนหาขอ้ เทจ็ จรงิ และพยานหลกั ฐาน เพ่ิมเตมิ ไดต้ ามทเ่ี หน็ สมควร รับวา่ จะให้ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชนอ์ นื่ ใดแกบ่ คุ คลตามวรรคหนึง่ ตลอดไป และไมม่ ีสิทธดิ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองใด ๆ วรรคสาม บทบญั ญัติว่าดว้ ยความคุ้มกันของสมาชกิ สภา เพ่ือจงู ใจให้กระทาการ ไม่กระทาการ หรอื ประวิงการกระทาอนั มิ ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทาง ผู้แทนราษฎรและสมาชิกวฒุ ิสภาตามมาตรา ๑๖๖ และมาตรา ๑๖๗ มิให้นามาใช้บงั คับกบั การพจิ ารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ชอบด้วยหนา้ ทด่ี ว้ ย การเมอื งพพิ ากษาวา่ ผ้ถู ูกกลา่ วหามีความผดิ ฐานร่ารวยผิดปกตหิ รอื ของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมอื ง การยื่นคารอ้ งต่อคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการ ทจุ รติ ต่อหนา้ ที่ ให้รบิ ทรัพยส์ นิ ทผี่ นู้ ้ันไดม้ าจากการกระทาความผิด ทจุ รติ แหง่ ชาติเพื่อใหด้ าเนินการตามมาตรา ๒๕๐ (๒) ใหเ้ ป็นไปตาม รวมทั้งบรรดาทรัพยส์ นิ หรอื ประโยชน์อนื่ ใดทไี่ ด้มาแทนทรพั ยส์ ินนนั้ พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการป้องกันและปราบปราม ตกเปน็ ของแผ่นดนิ การทจุ ริต การพจิ ารณาของศาลฎกี าและศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผู้ ในกรณที ่ีผู้ถกู กล่าวหาตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ดารงตาแหน่ง ดารงตาแหน่งทางการเมอื ง ใหน้ าสานวนการไต่สวนของคณะกรรมการ นายกรฐั มนตรี รัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธาน ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติเปน็ หลักในการพิจารณา วฒุ ิสภา ผ้เู สียหายจากการกระทาดงั กลา่ วจะยื่นคาร้องตอ่ คณะ และเพอื่ ประโยชนแ์ ห่งความยุตธิ รรม ใหศ้ าลมีอานาจไต่สวน กรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติเพื่อใหด้ าเนินการ ข้อเท็จจรงิ และพยานหลักฐานเพ่มิ เติมได้ ตามมาตรา ๒๕๐ (๒) หรือจะย่ืนคาร้องตอ่ ที่ประชุมใหญศ่ าลฎกี าเพือ่ ใหน้ ามาตรานม้ี าใชบ้ งั คับแก่กรณที บ่ี ุคคลตามมาตรา ๒๓๔ ขอให้ต้งั ผ้ไู ต่สวนอิสระตามมาตรา ๒๗๖ กไ็ ด้ แตถ่ ้าผูเ้ สียหายไดย้ น่ื คา (๓) จงใจไมย่ ื่นบญั ชแี สดงรายการทรัพย์สินและหนส้ี ิน หรอื จงใจยื่น รอ้ งตอ่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติแล้ว บญั ชแี สดงรายการทรัพย์สนิ หรือหนี้สนิ อนั เป็นเทจ็ หรอื ปกปดิ ผเู้ สยี หายจะยืน่ คาร้องต่อทป่ี ระชมุ ใหญศ่ าลฎกี าไดต้ อ่ เม่อื คณะ ขอ้ เทจ็ จริงที่ควรแจง้ ใหท้ ราบ และมีพฤตกิ ารณ์อันควรเชื่อได้วา่ มี กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาตไิ ม่รบั ดาเนินการไต่ เจตนาไมแ่ สดงทม่ี าแห่งทรพั ยส์ นิ หรือหน้สี ินน้นั ดว้ ยโดยอนโุ ลม สวน ดาเนนิ การล่าชา้ เกินสมควร หรือดาเนนิ การไต่สวนแล้วเห็นว่าไม่มี มลู ความผดิ ตามข้อกลา่ วหา ในกรณีทคี่ ณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ เหน็ ว่ามเี หตุอันควรสงสยั วา่ มกี รณตี ามวรรคสี่ และคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตมิ มี ตใิ หด้ าเนนิ การตามมาตรา ๒๕๐ (๒) ด้วยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกว่ากง่ึ หนึ่งของจานวนกรรมการท้งั หมดเทา่ ท่มี ี อยู่ ใหค้ ณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติดาเนนิ การ

๑๖๐ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ งั คบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ตามมาตรา ๒๕๐ (๒) โดยเรว็ ในกรณนี ้ี ผเู้ สยี หายจะยน่ื คารอ้ งตอ่ ท่ี ประชมุ ใหญศ่ าลฎกี าตามวรรคสี่ มไิ ด้ ใหน้ าบทบัญญตั มิ าตรา ๒๗๒ วรรคหน่งึ วรรคส่ี และวรรคห้า มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม มาตรา ๒๗๗ วรรคหนง่ึ ในการพิจารณาคดี ใหศ้ าลฎีกา แผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื งยึดสานวนของ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ หรอื ของผู้ ไตส่ วนอสิ ระ แล้วแตก่ รณี เปน็ หลกั ในการพิจารณา และอาจไตส่ วน หาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพม่ิ เตมิ ได้ตามทเี่ หน็ สมควร วรรคสาม บทบญั ญัตวิ ่าดว้ ยความคุม้ กันของสมาชิกสภาผแู้ ทน ราษฎรและสมาชกิ วฒุ สิ ภาตามมาตรา ๑๓๑ มิใหน้ ามาใช้บังคับกับการ พจิ ารณาคดีของศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทาง การเมอื ง มาตรา ๒๙๙ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ มาตรา ๒๔๘ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกว่า มาตรา ๒๓๖ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา หรอื หนึ่งในสี่ของจานวนสมาชิกท้ังหมดเท่าทมี่ อี ยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มี หนึง่ ในสขี่ องจานวนสมาชิกทง้ั หมดเทา่ ที่มีอยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชิกของทั้งสองสภา จานวนไมน่ ้อยกว่าหนึง่ ในห้าของจานวน สทิ ธิเข้าชือ่ รอ้ งขอต่อประธานวุฒสิ ภาว่ากรรมการป้องกันและ หรือประชาชนผมู้ ีสทิ ธิเลอื กตั้งไมน่ อ้ ยกวา่ สองหมน่ื คน มสี ิทธเิ ขา้ ชื่อ สมาชกิ ทัง้ หมดเท่าทมี่ ีอยู่ของทั้งสองสภา หรือประชาชนผูม้ สี ทิ ธิ ปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาตผิ ู้ใดกระทาการขาดความเทย่ี งธรรม จง รอ้ งขอต่อประธานวฒุ สิ ภาวา่ กรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการ เลือกตัง้ จานวนไมน่ ้อยกวา่ สองหมนื่ คน มสี ทิ ธเิ ข้าช่ือกลา่ วหาวา่ ใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรอื กฎหมาย หรอื มพี ฤตกิ ารณ์ท่ีเป็นการเสอ่ื ม ทุจรติ แห่งชาติผูใ้ ดกระทาการขาดความเที่ยงธรรม จงใจฝ่าฝนื กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติผ้ใู ดกระทาการ เสียแก่เกยี รตศิ ักด์ิของการดารงตาแหนง่ อย่างร้ายแรง และขอให้ รฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมาย หรือมพี ฤติการณ์ทเ่ี ปน็ การเสอื่ มเสยี แก่ ตามมาตรา ๒๓๔ (๑) โดยย่ืนต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐาน วุฒสิ ภามมี ติให้พน้ จากตาแหน่งได้ เกียรติศกั ด์ิของการดารงตาแหนง่ อยา่ งร้ายแรง เพอื่ ใหว้ ฒุ สิ ภามีมติ ตามสมควร หากประธานรัฐสภาเห็นวา่ มเี หตอุ นั ควรสงสยั วา่ มีการ มตขิ องวฒุ ิสภาให้กรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ ใหพ้ น้ จากตาแหน่ง กระทาตามท่ถี ูกกลา่ วหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรอ่ื งไปยังประธาน แห่งชาตพิ ้นจากตาแหน่งตามวรรคหนึ่ง ตอ้ งมคี ะแนนเสยี งไม่นอ้ ยกวา่ มตขิ องวฒุ ิสภาใหก้ รรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต ศาลฎกี าเพ่อื ตัง้ คณะผไู้ ตส่ วนอิสระจากผูซ้ ึ่งมคี วามเปน็ กลางทางการ สามในสี่ของจานวนสมาชิกทัง้ หมดเทา่ ทีม่ ีอย่ขู องวุฒสิ ภา แหง่ ชาติพ้นจากตาแหนง่ ตามวรรคหนงึ่ ตอ้ งมคี ะแนนเสยี งไมน่ ้อยกว่า เมอื งและมีความซื่อสัตย์สจุ รติ เป็นที่ประจกั ษ์ เพ่ือไต่สวนหาข้อเทจ็ จริง มาตรา ๓๐๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ สิ ภา หรือ สามในสี่ของจานวนสมาชกิ ท้ังหมดเทา่ ทม่ี อี ยูข่ องวฒุ ิสภา คุณสมบตั ิ ลักษณะต้องหา้ ม หนา้ ที่และอานาจ วธิ กี ารไตส่ วน สมาชกิ ของท้งั สองสภา มีจานวนไมน่ ้อยกว่าหนง่ึ ในสี่ของจานวน มาตรา ๒๔๙ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร สมาชิกวุฒสิ ภา หรือ ระยะเวลาการไต่สวน และการดาเนินการอืน่ ทีจ่ าเปน็ ของคณะผไู้ ต่ สมาชิกท้งั หมดเท่าทม่ี อี ย่ขู องท้งั สองสภา มสี ิทธเิ ข้าชือ่ รอ้ งขอต่อศาล สมาชกิ ของทั้งสองสภา มจี านวนไม่น้อยกวา่ หน่ึงในหา้ ของจานวน สวนอสิ ระ ให้เปน็ ไปตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ ฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองว่ากรรมการ สมาชิกทงั้ หมดเท่าทม่ี ีอยู่ของท้ังสองสภา มสี ิทธิเข้าชื่อร้องขอตอ่ ศาล ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาตผิ ใู้ ดร่ารวยผดิ ปกติ กระทา ฎีกาแผนกคดีอาญาของผูด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื งว่า กรรมการ ปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาตผิ ู้ใดร่ารวยผิดปกติ กระทา

๑๖๑ นาถะ ดวงวิชยั ผูบ้ ังคับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ความผดิ ฐานทุจริตต่อหน้าท่ี หรอื กระทาความผิดตอ่ ตาแหน่งหน้าที่ ความผิดฐานทุจรติ ตอ่ หน้าที่ หรอื กระทาความผิดตอ่ ตาแหน่งหน้าที่ ราชการ ราชการ คารอ้ งขอตามวรรคหน่ึงตอ้ งระบุพฤตกิ ารณ์ที่กลา่ วหาวา่ ผดู้ ารง คารอ้ งขอตามวรรคหน่งึ ตอ้ งระบพุ ฤตกิ ารณท์ ี่กล่าวหาว่าผู้ ตาแหนง่ ดังกล่าวกระทาการตามวรรคหนึง่ เปน็ ข้อ ๆ ให้ชดั เจน และ ดารงตาแหน่งดงั กล่าวกระทาการตามวรรคหนงึ่ เป็นขอ้ ๆ ให้ชดั เจน ใหย้ น่ื ต่อประธานวุฒสิ ภา เม่ือประธานวุฒิสภาได้รบั คารอ้ งแล้วใหส้ ่ง และใหย้ ่ืนตอ่ ประธานวฒุ สิ ภา เมอ่ื ประธานวุฒิสภาไดร้ บั คาร้องแลว้ คารอ้ งดงั กล่าวไปยงั ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทาง ใหส้ ่งคาร้องดงั กล่าวไปยังศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผู้ดารง การเมอื งเพอื่ พจิ ารณาพพิ ากษา ตาแหน่งทางการเมืองเพือ่ พจิ ารณาพพิ ากษา กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติผู้ถูก กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติผถู้ กู กล่าวหา จะปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ใี นระหวา่ งนน้ั มไิ ด้ จนกว่าจะมีคาพพิ ากษา กลา่ วหา จะปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ใี นระหวา่ งน้ันมไิ ด้ จนกว่าจะมคี าพพิ ากษา ของศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งให้ยกคา ของศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองให้ยก ร้องดงั กล่าว คารอ้ งดงั กล่าว ในกรณที ก่ี รรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติไม่ อาจปฏิบตั หิ นา้ ทไ่ี ดต้ ามวรรคสาม และมีกรรมการปอ้ งกันและปราบปราม การทจุ รติ แห่งชาตเิ หลืออยนู่ อ้ ยกวา่ ก่งึ หนึง่ ของจานวนกรรมการปอ้ งกัน และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตทิ ง้ั หมด ใหป้ ระธานศาลฎกี าและ ประธานศาลปกครองสงู สดุ ร่วมกันแตง่ ตั้งบคุ คลซึ่งมีคณุ สมบัตแิ ละไมม่ ี ลกั ษณะต้องห้ามเชน่ เดยี วกับกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติเปน็ การชว่ั คราว โดยใหผ้ ้ทู ไี่ ด้รับแตง่ ตง้ั อยู่ในตาแหน่งไดจ้ นกว่า กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตทิ ี่ตนดารงตาแหน่ง แทนจะปฏิบตั หิ น้าทไี่ ด้ หรอื จนกวา่ จะมีคาพพิ ากษาของศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื งว่าผูน้ นั้ กระทาความผดิ มาตรา ๒๗๖ วรรคหน่งึ ในกรณที ่ีที่ประชมุ ใหญศ่ าลฎีกาเห็น ควรดาเนินการตามคารอ้ งทย่ี ่นื ตามมาตรา ๒๗๕ วรรคส่ี ใหท้ ี่ประชุม ใหญศ่ าลฎีกาพจิ ารณาแต่งตั้งผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเปน็ กลาง ทางการเมอื งและมคี วามซ่ือสตั ย์สจุ ริตเปน็ ทปี่ ระจกั ษ์ หรอื จะส่งเรอ่ื งให้ คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติดาเนินการไต่ สวนตามมาตรา ๒๕๐ (๒) แทนการแต่งตง้ั ผู้ไตส่ วนอสิ ระ กไ็ ด้

๑๖๒ นาถะ ดวงวิชัย ผ้บู ังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๑ วรรคสอง คณุ สมบตั ิ อานาจหนา้ ที่ วธิ ีการไตส่ วน และการ การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ มาตรา ๓๑๒ วรรคหนง่ึ การตรวจเงินแผน่ ดนิ ใหก้ ระทาโดย ดาเนินการอ่นื ทจี่ าเป็นของผู้ไตส่ วนอสิ ระ ให้เปน็ ไปตามทก่ี ฎหมาย คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ และผูว้ า่ การตรวจเงินแผน่ ดนิ ทเ่ี ปน็ อสิ ระ และเป็นกลาง บญั ญตั ิ วรรคสอง คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ประกอบดว้ ย ประธาน กรรมการคนหนงึ่ และกรรมการอืน่ อกี เก้าคน ซ่ึงพระมหากษตั รยิ ท์ รง มาตรา ๒๗๖ วรรคสาม เมอื่ ผ้ไู ตส่ วนอสิ ระได้ดาเนินการไต่ มาตรา ๒๓๗ เมอื่ ดาเนินการไตส่ วนแลว้ เสร็จ ใหค้ ณะผไู้ ต่ แต่งต้งั ตามคาแนะนาของวฒุ สิ ภา จากผมู้ คี วามชานาญและประสบการณ์ ด้านการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ การบญั ชี การตรวจสอบภายใน การเงนิ การคลงั สวนหาข้อเทจ็ จรงิ และสรปุ สานวนพรอ้ มทาความเหน็ แลว้ ถา้ เห็นว่าข้อ สวนอสิ ระดาเนนิ การ ดงั ตอ่ ไปน้ี และดา้ นอ่นื วรรคแปด การกาหนดคณุ สมบตั แิ ละวิธีการเลอื กบคุ คลซ่งึ จะ กลา่ วหามมี ลู ใหส้ ่งรายงานและเอกสารท่ีมอี ยู่พรอ้ มทง้ั ความเหน็ ไปยัง (๑) ถา้ เห็นวา่ ขอ้ กลา่ วหาไมม่ มี ูลใหส้ ั่งยุตเิ ร่ือง และให้คาสงั่ ไดร้ ับการแต่งตงั้ เปน็ กรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ และผู้วา่ การตรวจเงิน แผน่ ดิน จะตอ้ งเป็นไปเพื่อใหไ้ ด้บคุ คลท่ีมีคณุ สมบตั เิ หมาะสมและมีความ ประธานวฒุ สิ ภาเพอื่ ดาเนินการตามมาตรา ๒๗๓ และส่งสานวนและ ดงั กลา่ วเป็นทสี่ ดุ ความเห็นไปยังอัยการสงู สดุ เพ่ือยน่ื ฟ้องคดีตอ่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ (๒) ถ้าเห็นวา่ ผถู้ กู กลา่ วหาฝา่ ฝนื หรือไม่ปฏบิ ตั ิตามมาตรฐาน ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองตอ่ ไป และใหน้ าบทบญั ญัตมิ าตรา ๒๗๒ ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเร่ืองต่อศาลฎกี าเพ่ือวนิ ิจฉัย วรรคห้า มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม โดยให้นาความในมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคหก มา ใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม (๓) ถ้าเหน็ ว่าผถู้ กู กลา่ วหามีพฤตกิ ารณต์ ามทถี่ กู กลา่ วหา และ มิใช่กรณตี าม (๒) ใหส้ ง่ สานวนการไตส่ วนไปยงั อยั การสูงสดุ เพือ่ ดาเนนิ การฟอ้ งคดตี อ่ ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผ้ดู ารงตาแหน่งทาง การเมือง และใหน้ าความในมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคส่ี และ วรรคหา้ มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม ๔. คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ส่วนที่ ๕ คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ มาตรา ๒๕๒ วรรคหนงึ่ การตรวจเงินแผ่นดนิ ใหก้ ระทาโดย มาตรา ๒๓๘ คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดินประกอบดว้ ย คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดินท่ีเปน็ อิสระและเป็นกลาง กรรมการจานวนเจด็ คน ซง่ึ พระมหากษตั ริย์ทรงแต่งตั้งตาม วรรคสอง คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ประกอบด้วย คาแนะนาของวุฒสิ ภา จากผูซ้ ึง่ ไดร้ บั การสรรหาโดยคณะกรรมการ ประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอ่ืนอกี หกคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ สรรหา ทรงแต่งตั้งจากผ้มู ีความชานาญและประสบการณ์ดา้ นการตรวจเงิน ผซู้ ง่ึ ไดร้ ับการสรรหาตอ้ งเป็นผู้มคี วามซอื่ สัตยส์ ุจรติ เป็นที่ แผ่นดิน การบญั ชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และด้านอ่ืน ประจกั ษ์ มคี วามรู้ ความเชย่ี วชาญ และประสบการณ์เก่ยี วกับการ วรรคเจด็ การกาหนดคณุ สมบัติและวธิ กี ารเลือกบคุ คลซ่ึงจะ ตรวจเงินแผ่นดนิ กฎหมาย การบญั ชี การตรวจสอบภายใน การเงนิ ไดร้ บั การแตง่ ตั้งเป็นกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดินและผวู้ ่าการตรวจเงิน การคลงั และด้านอืน่ ท่ีเปน็ ประโยชน์ตอ่ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ ทั้งน้ี แผน่ ดนิ จะตอ้ งเปน็ ไปเพื่อให้ไดบ้ คุ คลท่ีมีคณุ สมบัตเิ หมาะสม ความ เปน็ เวลาไมน่ อ้ ยกวา่ สิบปี ซ่อื สตั ย์สุจริตเปน็ ทปี่ ระจกั ษ์ และเพ่ือให้ได้หลักประกันความเป็นอสิ ระ ในการปฏิบัติหนา้ ทข่ี องบคุ คลดังกล่าว

๑๖๓ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ ังคับบัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ และเพ่ือใหไ้ ด้หลกั ประกนั ความเป็นอสิ ระในการปฏิบตั ิ หน้าท่ขี องบคุ คลดงั กล่าว มาตรา ๓๑๒ วรรคหก กรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ มีวาระการดารง มาตรา ๒๕๒ วรรคหา้ กรรมการตรวจเงินแผ่นดินมวี าระการ มาตรา ๒๓๙ กรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีวาระการดารง ตาแหน่งคราวละหกปีนบั แต่วันทพ่ี ระมหากษัตรยิ ์ทรงแตง่ ตง้ั และใหด้ ารง ดารงตาแหนง่ หกปนี บั แต่วนั ทีพ่ ระมหากษัตรยิ ท์ รงแตง่ ตั้ง และให้ ตาแหนง่ เจด็ ปีนบั แต่วนั ทพ่ี ระมหากษตั ริย์ทรงแตง่ ตง้ั และใหด้ ารง ตาแหน่งไดเ้ พยี งวาระเดยี ว ดารงตาแหนง่ ไดเ้ พียงวาระเดยี ว ตาแหนง่ ไดเ้ พียงวาระเดยี ว มาตรา ๒๕๓ วรรคหน่ึง คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ มี มาตรา ๒๔๐ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมหี น้าท่ีและ อานาจหน้าทก่ี าหนดหลักเกณฑม์ าตรฐานเกย่ี วกบั การตรวจเงิน อานาจ ดังตอ่ ไปนี้ แผ่นดนิ ให้คาปรึกษา แนะนา และเสนอแนะใหม้ ีการแกไ้ ข (๑) วางนโยบายการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ขอ้ บกพรอ่ งเกยี่ วกับการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ และมีอานาจแต่งตั้ง (๒) กาหนดหลกั เกณฑม์ าตรฐานเกยี่ วกบั การตรวจเงนิ แผน่ ดิน คณะกรรมการวินยั ทางการเงินและการคลังท่เี ปน็ อิสระเพอ่ื ทาหน้าที่ (๓) กากบั การตรวจเงนิ แผน่ ดินใหเ้ ป็นไปตาม (๑) และ (๒) วินจิ ฉัยการดาเนนิ การทเ่ี กีย่ วกับวินัยทางการเงิน การคลัง และ และกฎหมายวา่ ด้วยวนิ ยั การเงนิ การคลงั ของรัฐ การงบประมาณ และให้คดีที่พิพาทเกีย่ วกับคาวนิ ิจฉยั ของ (๔) ให้คาปรึกษา แนะนา หรือเสนอแนะเก่ียวกับการใช้ คณะกรรมการวินัยทางการเงินและการคลงั ในเร่อื งดังกล่าวเปน็ คดีที่ จา่ ยเงินแผ่นดนิ ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวนิ ยั การเงินการคลัง อยู่ในอานาจของศาลปกครอง ของรฐั รวมทั้งการใหค้ าแนะนาแกห่ นว่ ยงานของรฐั ในการแก้ไข ข้อบกพรอ่ งเก่ยี วกบั การใช้จา่ ยเงินแผ่นดิน (๕) สง่ั ลงโทษทางปกครองกรณมี กี ารกระทาผิดกฎหมายว่า ดว้ ยวนิ ัยการเงินการคลงั ของรฐั การดาเนนิ การตามวรรคหนึง่ ให้เป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการตรวจเงินแผ่นดนิ ผู้ถกู ส่ังลงโทษตาม (๕) อาจอทุ ธรณต์ ่อศาลปกครองสูงสดุ ได้ ภายในเกา้ สิบวนั นบั แต่วนั ทีไ่ ด้รบั คาสง่ั ในการพจิ ารณาของศาล ปกครองสงู สดุ ต้องคานึงถึงนโยบายการตรวจเงินแผ่นดนิ และ หลักเกณฑม์ าตรฐานเกีย่ วกับการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ตาม (๑) และ (๒) ประกอบด้วย มาตรา ๓๑๒ วรรคเจด็ คณุ สมบตั ิ ลกั ษณะต้องห้าม การสรรหา มาตรา ๒๕๒ วรรคสาม การสรรหาและการเลอื กกรรมการ มาตรา ๒๔๑ ใหม้ ีผู้ว่าการตรวจเงนิ แผน่ ดินคนหนึ่งซง่ึ และการเลอื ก และการพ้นจากตาแหนง่ ของกรรมการตรวจเงินแผน่ ดินและ ตรวจเงนิ แผ่นดนิ และผวู้ า่ การตรวจเงินแผน่ ดิน ใหน้ าบทบัญญตั ิ พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตง้ั ตามคาแนะนาของวุฒิสภาโดยไดร้ ับการ ผ้วู า่ การตรวจเงนิ แผน่ ดิน รวมทง้ั อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงิน มาตรา ๒๐๔ วรรคสามและวรรคส่ี มาตรา ๒๐๖ และมาตรา ๒๐๗ เสนอช่อื จากคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดิน แผ่นดิน ผู้ว่าการตรวจเงนิ แผน่ ดิน และสานกั งานการตรวจเงินแผน่ ดิน ให้ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม เวน้ แต่องคป์ ระกอบของคณะกรรมการสรรหา ผูว้ า่ การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ต้องมีคณุ สมบตั แิ ละไม่มลี กั ษณะ เป็นไปตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ให้เปน็ ไปตามมาตรา ๒๔๓ ตอ้ งหา้ มเช่นเดียวกับกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

๑๖๔ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บงั คบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ วรรคแปด การกาหนดคณุ สมบตั ิและวธิ ีการเลือกบุคคลซึ่งจะไดร้ ับ วรรคหก คุณสมบตั ิ ลักษณะต้องห้าม และการพ้นจาก ผูไ้ ดร้ บั การเสนอชื่อเพอื่ แตง่ ตั้งเปน็ ผู้ว่าการตรวจเงนิ แผน่ ดิน การแตง่ ตง้ั เปน็ กรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดินและผู้วา่ การตรวจเงินแผน่ ดิน ตาแหน่งของกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผวู้ ่าการตรวจเงนิ ตอ้ งไดร้ บั ความเห็นชอบจากวฒุ สิ ภาดว้ ยคะแนนเสยี งไม่น้อยกวา่ จะต้องเปน็ ไปเพ่ือใหไ้ ดบ้ คุ คลทีม่ คี ุณสมบัตเิ หมาะสมและมีความซ่ือสตั ย์ แผน่ ดิน รวมทั้งอานาจหนา้ ที่ของคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ กงึ่ หนงึ่ ของสมาชกิ วฒุ ิสภาทั้งหมดเทา่ ทีม่ ีอยู่ และให้นาความใน สุจรติ และเพอ่ื ใหไ้ ดห้ ลกั ประกนั ความเปน็ อสิ ระในการปฏิบัตหิ น้าทข่ี อง ผู้วา่ การตรวจเงินแผ่นดิน และสานกั งานการตรวจเงินแผน่ ดิน ให้ มาตรา ๒๐๔ วรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคสี่ และมาตรา ๒๐๕ มา บคุ คลดงั กลา่ ว เป็นไปตามพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการตรวจเงนิ ใชบ้ ังคับแก่การแตง่ ตั้งผวู้ า่ การตรวจเงินแผ่นดินดว้ ยโดยอนุโลม แผ่นดิน การสรรหา การคัดเลือก และการเสนอช่อื ผูว้ า่ การตรวจเงิน วรรคเจ็ด การกาหนดคณุ สมบัติและวิธีการเลือกบคุ คลซง่ึ จะ แผน่ ดินให้เปน็ ไปตามพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ย ไดร้ บั การแต่งต้ังเป็นกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดินและผู้ว่าการตรวจเงิน การตรวจเงินแผ่นดนิ แผ่นดิน จะตอ้ งเป็นไปเพื่อใหไ้ ด้บคุ คลทมี่ คี ุณสมบตั ิเหมาะสม ความ ซือ่ สตั ย์สุจริตเปน็ ทป่ี ระจักษ์ และเพื่อให้ไดห้ ลกั ประกันความเป็นอสิ ระ ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทขี่ องบุคคลดังกล่าว มาตรา ๒๕๓ วรรคสอง ใหผ้ ู้วา่ การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ มี มาตรา ๒๔๒ ใหผ้ วู้ ่าการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ปฏบิ ตั ิหน้าท่ีโดย อานาจหน้าทเ่ี กีย่ วกับการตรวจเงินแผ่นดนิ ท่เี ปน็ อสิ ระและเปน็ กลาง เที่ยงธรรม เป็นกลาง และปราศจากอคติทั้งปวงในการใชด้ ุลพินิจ โดยมหี นา้ ท่ีและอานาจดังต่อไปนี้ (๑) ตรวจเงนิ แผ่นดนิ ตามนโยบายการตรวจเงินแผน่ ดินและ หลักเกณฑ์มาตรฐานเกยี่ วกับการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ท่คี ณะกรรมการ ตรวจเงนิ แผ่นดนิ กาหนด และตามกฎหมายว่าดว้ ยวนิ ัยการเงนิ การ คลงั ของรัฐ (๒) ตรวจผลสมั ฤทธ์แิ ละประสทิ ธภิ าพในการใช้จา่ ยเงนิ ของ หน่วยงานของรัฐ (๓) มอบหมายให้เจา้ หนา้ ทด่ี าเนนิ การตาม (๑) และ (๒) (๔) กากบั และรบั ผดิ ชอบในการปฏิบัติหน้าท่ีของเจา้ หน้าที่ ตาม (๓) มาตรา ๓๑๒ วรรคเจด็ คณุ สมบัติ ลกั ษณะตอ้ งหา้ ม การสรรหา มาตรา ๒๕๒ วรรคหก คณุ สมบัติ ลกั ษณะต้องห้าม และการ มาตรา ๒๔๓ ใหผ้ วู้ า่ การตรวจเงนิ แผ่นดินมีความเปน็ อสิ ระ และการเลอื ก และการพน้ จากตาแหน่งของกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ และ พ้นจากตาแหน่งของกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดินและผวู้ า่ การตรวจ ในการปฏิบัติหนา้ ที่ โดยรับผดิ ชอบต่อคณะกรรมการตรวจเงนิ ผวู้ ่าการตรวจเงินแผน่ ดิน รวมทั้งอานาจหนา้ ท่ีของคณะกรรมการตรวจเงนิ เงนิ แผน่ ดนิ รวมทั้งอานาจหนา้ ทขี่ องคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ แผน่ ดิน และเป็นผบู้ ังคบั บัญชาสูงสดุ ของหนว่ ยธุรการของ แผน่ ดนิ ผวู้ ่าการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ และสานักงานการตรวจเงินแผน่ ดิน ให้ ผวู้ ่าการตรวจเงนิ แผน่ ดิน และสานกั งานการตรวจเงินแผน่ ดิน ให้ คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ เป็นไปตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการตรวจเงนิ แผน่ ดิน เปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการตรวจเงิน แผ่นดนิ

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๖๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบัญชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๔ วรรคหน่งึ คณะกรรมการตรวจเงินแผน่ ดินมี หน่วยธรุ การของคณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดินท่เี ป็นอสิ ระ โดยมี วาระการดารงตาแหน่ง การพ้นจากตาแหน่ง และการปฏบิ ตั ิ ผู้วา่ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ เปน็ ผู้บังคบั บัญชาข้ึนตรงต่อประธาน หน้าท่ขี องผู้ว่าการตรวจเงินแผน่ ดนิ ใหเ้ ป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิ กรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการตรวจเงินแผน่ ดนิ มาตรา ๒๔๔ ในกรณที ่มี ีหลักฐานอนั ควรเชื่อไดว้ า่ การใช้ จ่ายเงินแผน่ ดินมพี ฤติการณอ์ ันเปน็ การทจุ ริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติ หน้าทห่ี รอื ใชอ้ านาจขัดตอ่ บทบญั ญตั ิแหง่ รัฐธรรมนญู หรอื กฎหมาย หรืออาจทาใหก้ ารเลอื กตั้งมไิ ดเ้ ปน็ ไปโดยสจุ รติ หรอื เทยี่ งธรรม และ เป็นกรณที ผ่ี ู้ว่าการตรวจเงนิ แผ่นดนิ ไม่มอี านาจจะดาเนินการใดได้ ใหผ้ ้วู า่ การตรวจเงินแผ่นดนิ แจ้งคณะกรรมการปอ้ งกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลอื กตั้ง หรอื หนว่ ยงานอืน่ ทเ่ี กยี่ วข้อง แล้วแต่กรณี เพอื่ ทราบและดาเนนิ การตาม หน้าที่และอานาจต่อไป ในการดาเนินการของคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปราม การทจุ รติ แห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตง้ั หรอื หนว่ ยงานอื่น ตามทไี่ ด้รบั แจ้งตามวรรคหนง่ึ ใหถ้ ือว่าเอกสารและหลักฐานท่ีผ้วู ่า การตรวจเงนิ แผน่ ดินตรวจสอบหรอื จดั ทาขน้ึ เป็นสว่ นหน่งึ ของ สานวนการสอบสวนของคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการ ทุจริตแหง่ ชาติ คณะกรรมการการเลือกตัง้ หรอื ของหน่วยงานอนื่ นนั้ แล้วแต่กรณี มาตรา ๒๔๕ เพื่อประโยชน์ในการระงบั หรือยับย้ังความ เสียหายทอ่ี าจเกิดข้นึ แกก่ ารเงนิ การคลงั ของรัฐ ให้ผวู้ ่าการตรวจเงนิ แผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบการกระทาทไ่ี ม่เปน็ ไปตามกฎหมาย ว่าด้วยวินัยการเงนิ การคลังของรฐั และอาจก่อให้เกดิ ความเสยี หาย แกก่ ารเงินการคลังของรฐั อย่างร้ายแรง ตอ่ คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดินเพอ่ื พิจารณา ในกรณที คี่ ณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ เหน็ พ้องดว้ ยกบั ผล การตรวจสอบดังกลา่ ว ใหป้ รึกษาหารือรว่ มกับคณะกรรมการการ เลือกต้งั และคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๖๖ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผจู้ ดั ทา สว่ นท่ี ๘ คณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาติ ๒. คณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ แหง่ ชาติ หากทป่ี ระชุมรว่ มเหน็ พอ้ งกับผลการตรวจสอบนนั้ ให้ รว่ มกันมีหนงั สือแจ้งสภาผ้แู ทนราษฎร วฒุ ิสภา และคณะรฐั มนตรี เพอ่ื ทราบโดยไมช่ กั ช้า และใหเ้ ปิดเผยผลการตรวจสอบดงั กลา่ วตอ่ ประชาชนเพื่อทราบดว้ ย สว่ นที่ ๖ คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแห่งชาติ มาตรา ๑๙๙ วรรคหนึง่ คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ มาตรา ๒๕๖ วรรคหนง่ึ คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาติ มาตรา ๒๔๖ คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ ประกอบดว้ ยประธานกรรมการคนหนง่ึ และกรรมการอ่ืนอกี สิบคน ซงึ่ ประกอบดว้ ย ประธานกรรมการคนหนึง่ และกรรมการอน่ื อกี หกคน ซ่งึ ประกอบดว้ ยกรรมการจานวนเจด็ คน ซึง่ พระมหากษตั รยิ ์ทรงแต่งต้ัง พระมหากษตั รยิ ์ทรงแตง่ ตงั้ ตามคาแนะนาของวฒุ สิ ภา จากผู้ซงึ่ มี พระมหากษตั ริย์ทรงแต่งตงั้ ตามคาแนะนาของวฒุ สิ ภา จากผู้ซง่ึ มคี วามรู้ ตามคาแนะนาของวฒุ สิ ภาจากผู้ซง่ึ ไดร้ ับการสรรหา ความรหู้ รือประสบการณด์ า้ นการคมุ้ ครองสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน หรอื ประสบการณด์ ้านการคมุ้ ครองสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนเปน็ ที่ เป็นท่ปี ระจักษ์ ท้ังนี้ โดยต้องคานงึ ถงึ การมสี ว่ นรว่ มของผู้แทนจาก ประจกั ษ์ ท้ังน้ี โดยต้องคานงึ ถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองคก์ าร ผู้ซงึ่ ไดร้ บั การสรรหาต้องมคี วามรแู้ ละประสบการณ์ดา้ นการ องคก์ ารเอกชนด้านสทิ ธิมนษุ ยชนดว้ ย เอกชนดา้ นสิทธิมนุษยชนด้วย คมุ้ ครองสทิ ธิและเสรภี าพของประชาชน เปน็ กลางทางการเมอื ง และมีความซือ่ สตั ยส์ จุ รติ เป็นทป่ี ระจักษ์ วรรคสาม คณุ สมบัติ ลกั ษณะต้องหา้ ม การสรรหา การเลือก วรรคสาม คุณสมบตั ิ ลกั ษณะต้องหา้ ม การถอดถอน และ การถอดถอน และการกาหนดคา่ ตอบแทนกรรมการสทิ ธิมนุษยชน การกาหนดค่าตอบแทนกรรมการสิทธมิ นุษยชนแหง่ ชาติ ให้เป็นไป กรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาตมิ วี าระการดารงตาแหนง่ เจ็ด แห่งชาติ ใหเ้ ป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ ปีนบั แต่วันท่ีพระมหากษตั ริย์ทรงแต่งตง้ั และใหด้ ารงตาแหน่งได้ เพยี งวาระเดียว วรรคสี่ กรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาตมิ วี าระการดารง วรรคส่ี กรรมการสิทธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติมีวาระการดารง ตาแหน่งหกปีนบั แต่วันท่พี ระมหากษัตรยิ ท์ รงแต่งตัง้ และให้ดารง ตาแหนง่ หกปนี ับแตว่ นั ท่พี ระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตั้ง และให้ดารง คุณสมบัติ ลกั ษณะต้องห้าม การสรรหา และการพ้นจาก ตาแหน่งไดเ้ พียงวาระเดยี ว ตาแหนง่ ไดเ้ พียงวาระเดยี ว ตาแหนง่ ของคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ ใหเ้ ป็นไปตาม พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยคณะกรรมการสทิ ธิ วรรคห้า ใหน้ าบทบัญญัติมาตรา ๒๐๔ วรรคสาม มาตรา มนุษยชนแห่งชาติ ทั้งนี้ บทบญั ญตั ิเกยี่ วกบั การสรรหาต้อง ๒๐๖ มาตรา ๒๐๗ และมาตรา ๒๐๙ (๒) มาใช้บงั คับโดยอนุโลม กาหนดให้ผ้แู ทนองคก์ รเอกชนด้านสิทธมิ นุษยชนมีส่วนร่วมในการ เวน้ แตอ่ งคป์ ระกอบของคณะกรรมการสรรหาใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรา สรรหาด้วย ๒๔๓ มาตรา ๒๐๐ คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาติมีอานาจ มาตรา ๒๕๗ คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาตมิ ีอานาจ มาตรา ๒๔๗ คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาติมีหนา้ ท่ี หน้าที่ ดังตอ่ ไปนี้ หนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปนี้ และอานาจ ดงั ต่อไปนี้ (๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทาหรือการละเลยการ (๑) ตรวจสอบและรายงานการกระทาหรอื การละเลยการกระทา (๑) ตรวจสอบและรายงานขอ้ เทจ็ จริงท่ีถกู ตอ้ งเกี่ยวกับการ กระทาอนั เป็นการละเมดิ สิทธมิ นษุ ยชน หรอื อันไม่เป็นไปตาม อนั เปน็ การละเมดิ สทิ ธิมนษุ ยชน หรอื ไมเ่ ปน็ ไปตามพันธกรณรี ะหว่าง ละเมิดสทิ ธมิ นษุ ยชนทุกกรณโี ดยไม่ลา่ ช้า และเสนอแนะมาตรการ พันธกรณรี ะหว่างประเทศเกี่ยวกบั สิทธิมนุษยชนทีป่ ระเทศไทยเป็น ประเทศเกี่ยวกบั สทิ ธมิ นษุ ยชนทปี่ ระเทศไทยเปน็ ภาคี และเสนอ หรอื แนวทางท่เี หมาะสมในการปอ้ งกนั หรือแกไ้ ขการละเมดิ สทิ ธิ

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๖๗ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ งั คบั บัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ภาคี และเสนอมาตรการการแกไ้ ขทเ่ี หมาะสมตอ่ บุคคลหรอื หน่วยงาน รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ผจู้ ดั ทา ที่กระทาหรอื ละเลยการกระทาดังกล่าวเพอ่ื ดาเนินการ ในกรณีที่ ปรากฏว่าไมม่ กี ารดาเนนิ การตามท่เี สนอ ใหร้ ายงานตอ่ รฐั สภาเพ่อื มาตรการการแกไ้ ขทเ่ี หมาะสมต่อบคุ คลหรือหนว่ ยงานท่ีกระทาหรอื รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ ดาเนินการต่อไป ละเลยการกระทาดังกลา่ วเพ่อื ดาเนนิ การ ในกรณีท่ีปรากฏว่าไมม่ กี าร ดาเนนิ การตามทเ่ี สนอ ให้รายงานตอ่ รฐั สภาเพ่ือดาเนนิ การตอ่ ไป มนุษยชน รวมท้ังการเยียวยาผไู้ ดร้ บั ความเสยี หายจากการละเมดิ (๒) เสนอแนะนโยบายและขอ้ เสนอในการปรับปรุงกฎหมาย สิทธมิ นษุ ยชน ต่อหนว่ ยงานของรฐั หรอื เอกชนท่ีเก่ยี วขอ้ ง กฎ หรอื ขอ้ บังคับ ตอ่ รฐั สภาและคณะรัฐมนตรเี พ่อื สง่ เสรมิ และ (๒) เสนอเร่อื งพรอ้ มดว้ ยความเห็นตอ่ ศาลรฐั ธรรมนูญ ในกรณที ี่ คุม้ ครองสิทธมิ นษุ ยชน เหน็ ชอบตามทมี่ ผี รู้ ้องเรยี นวา่ บทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายใดกระทบตอ่ สทิ ธิ (๒) จดั ทารายงานผลการประเมินสถานการณ์ดา้ นสิทธิ มนุษยชนและมปี ญั หาเกย่ี วกบั ความชอบด้วยรฐั ธรรมนญู ทง้ั นี้ ตาม มนษุ ยชนของประเทศเสนอต่อรฐั สภาและคณะรฐั มนตรี และ (๓) ส่งเสรมิ การศึกษา การวจิ ัย และการเผยแพรค่ วามรดู้ ้าน พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยวิธพี ิจารณาของศาล เผยแพรต่ ่อประชาชน สิทธิมนษุ ยชน รัฐธรรมนญู (๓) เสนอแนะมาตรการหรอื แนวทางในการส่งเสริมและ (๔) สง่ เสรมิ ความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วย (๓) เสนอเรื่องพรอ้ มดว้ ยความเหน็ ตอ่ ศาลปกครอง ในกรณที ่ี คุ้มครองสิทธิมนษุ ยชนต่อรัฐสภา คณะรฐั มนตรี และหน่วยงานที่ ราชการ องค์การเอกชน และองคก์ ารอ่ืนในดา้ นสทิ ธมิ นุษยชน เหน็ ชอบตามที่มผี รู้ ้องเรยี นวา่ กฎ คาส่งั หรอื การกระทาอืน่ ใดในทาง เกย่ี วข้อง รวมตลอดทัง้ การแก้ไขปรบั ปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ปกครองกระทบตอ่ สิทธมิ นษุ ยชนและมปี ญั หาเกย่ี วกบั ความชอบดว้ ย หรือคาสั่งใด ๆ เพื่อใหส้ อดคลอ้ งกับหลักสิทธิมนษุ ยชน (๕) จัดทารายงานประจาปเี พอื่ ประเมนิ สถานการณด์ ้านสิทธิ รฐั ธรรมนญู หรือกฎหมาย ทง้ั นี้ ตามพระราชบญั ญัตจิ ดั ต้งั ศาลปกครอง มนุษยชน ภายในประเทศและเสนอต่อรฐั สภา และวิธพี จิ ารณาคดีปกครอง (๔) ชแ้ี จงและรายงานขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ีถูกตอ้ งโดยไมช่ กั ชา้ ในกรณี ท่ีมีการรายงานสถานการณ์เกยี่ วกับสิทธิมนษุ ยชนในประเทศไทย (๖) อานาจหน้าท่ีอน่ื ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ (๔) ฟอ้ งคดตี ่อศาลยตุ ธิ รรมแทนผเู้ สยี หาย เมื่อไดร้ ับการรอ้ งขอ โดยไม่ถกู ตอ้ งหรอื ไม่เป็นธรรม ในการปฏิบตั ิหนาที่ คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหงชาตติ อง จากผเู้ สียหายและเปน็ กรณีท่เี ห็นสมควรเพอ่ื แกไ้ ขปญั หาการละเมดิ คานึงถึงผลประโยชนสวนรวมของชาตแิ ละประชาชนประกอบดวย สทิ ธมิ นุษยชนเป็นส่วนรวม ท้ังนี้ ตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ (๕) สร้างเสริมทกุ ภาคสว่ นของสังคมให้ตระหนักถึงความสาคญั คณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติมอี านาจเรยี กเอกสาร ของสิทธมิ นุษยชน หรอื หลักฐานที่เกยี่ วขอ้ งจากบุคคลใด หรอื เรยี กบคุ คลใดมาใหถ้ อ้ ยคา (๕) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรบั ปรุงกฎหมาย รวมทั้งมีอานาจอ่ืนเพ่ือประโยชนใ์ นการปฏบิ ตั หิ น้าท่ี ทั้งนี้ ตามที่ และกฎตอ่ รฐั สภาหรอื คณะรฐั มนตรเี พอ่ื ส่งเสรมิ และคมุ้ ครองสิทธิ (๖) หน้าทแ่ี ละอานาจอื่นตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ กฎหมายบญั ญตั ิ มนุษยชน เมื่อรบั ทราบรายงานตาม (๑) และ (๒) หรอื ขอ้ เสนอแนะตาม (๓) ใหค้ ณะรฐั มนตรดี าเนนิ การปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามความเหมาะสม (๖) ส่งเสริมการศกึ ษา การวจิ ยั และการเผยแพรค่ วามรดู้ ้านสิทธิ โดยเร็ว กรณใี ดไมอ่ าจดาเนนิ การไดห้ รือตอ้ งใช้เวลาในการ มนษุ ยชน ดาเนนิ การ ให้แจง้ เหตุผลให้คณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาติ ทราบโดยไมช่ ักช้า (๗) สง่ เสรมิ ความร่วมมอื และการประสานงานระหว่างหนว่ ย ในการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ คณะกรรมการสิทธมิ นุษยชนแหง่ ชาติต้อง ราชการ องคก์ ารเอกชน และองคก์ ารอนื่ ในดา้ นสทิ ธิมนุษยชน คานึงถงึ ความผาสุกของประชาชนชาวไทยและผลประโยชนส์ ่วนรวม ของชาตเิ ป็นสาคัญดว้ ย (๘) จัดทารายงานประจาปเี พือ่ ประเมนิ สถานการณ์ดา้ นสทิ ธิ มนุษยชนภายในประเทศและเสนอตอ่ รัฐสภา (๙) อานาจหนา้ ท่ีอ่ืนตามที่กฎหมายบัญญตั ิ ในการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาตติ ้อง คานึงถึงผลประโยชนส์ ว่ นรวมของชาตแิ ละประชาชนประกอบดว้ ย

๑๖๘ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ ังคบั บัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติมีอานาจเรยี กเอกสาร หรือหลักฐานทีเ่ กยี่ วขอ้ งจากบุคคลใด หรือเรยี กบุคคลใดมาให้ ถอ้ ยคา รวมทง้ั มีอานาจอน่ื เพอื่ ประโยชน์ในการปฏบิ ตั ิหน้าที่ ทง้ั นี้ ตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ ๓. สภาทปี่ รึกษาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ มาตรา ๘๙ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการดาเนนิ การตามหมวดน้ี ใหร้ ฐั มาตรา ๒๕๘ สภาทีป่ รึกษาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาตมิ ี จดั ใหม้ ีสภาทีป่ รกึ ษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีหนา้ ที่ให้ หน้าทใ่ี หค้ าปรึกษาและขอ้ เสนอแนะต่อคณะรฐั มนตรีในปญั หา คาปรกึ ษาและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรใี นปัญหาต่าง ๆ ที่ ต่าง ๆ ที่เกยี่ วกบั เศรษฐกจิ และสังคม รวมถงึ กฎหมายทีเ่ กย่ี วข้อง เกยี่ วกบั เศรษฐกจิ และสังคม แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติและแผนอนื่ ตามท่ี แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาตแิ ละแผนอื่นตามท่ี กฎหมายบญั ญตั ิตอ้ งใหส้ ภาที่ปรึกษาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ กฎหมายบญั ญตั ิ ต้องใหส้ ภาท่ีปรกึ ษาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติให้ ใหค้ วามเหน็ ก่อนพจิ ารณาประกาศใช้ ความเหน็ กอ่ นพิจารณาประกาศใช้ องค์ประกอบ ทม่ี า อานาจหนา้ ที่ และการดาเนนิ งานของสภาท่ี องคป์ ระกอบ ทมี่ า อานาจหนา้ ท่ี และการดาเนินงานของสภา ปรกึ ษาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ ทป่ี รึกษาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ให้เป็นไปตามท่ีกฎหมาย ใหม้ ีสานกั งานสภาที่ปรกึ ษาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาตเิ ป็น บญั ญตั ิ หนว่ ยงานท่เี ปน็ อิสระในการบรหิ ารงานบคุ คล การงบประมาณ และ การดาเนนิ การอื่น ทง้ั น้ี ตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ

๙๖ นาถะ ดวงวชิ ยั ผบู้ งั คบั บัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผ้จู ัดทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (๑๐) การให้ความเห็นชอบให้พจิ ารณาร่างรัฐธรรมนญู แกไ้ ข (๑๐) การปรกึ ษารา่ งพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู หรอื (๑๑) การตราขอ้ บงั คบั การประชมุ รฐั สภาตามมาตรา ๑๕๗ เพม่ิ เตมิ รา่ งพระราชบญั ญตั หิ รือรา่ งพระราชบญั ญตั ิประกอบ ร่างพระราชบญั ญตั ใิ หม่ตามมาตรา ๑๕๑ (๑๒) การแถลงนโยบายตามมาตรา ๑๖๒ รัฐธรรมนูญตอ่ ไปตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง (๑๑) การใหค้ วามเหน็ ชอบใหพ้ จิ ารณาร่างรัฐธรรมนูญแกไ้ ข (๑๓) การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงครามตามมาตรา (๑๑) การตราข้อบงั คบั การประชมุ รัฐสภาตามมาตรา ๑๙๔ เพม่ิ เตมิ ร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู หรอื ร่าง ๑๗๗ (๑๒) การแถลงนโยบายตามมาตรา ๒๑๑ พระราชบัญญัตติ ่อไปตามมาตรา ๑๕๓ วรรคสอง (๑๔) การรบั ฟงั คาช้ีแจงและการให้ความเห็นชอบหนงั สือ (๑๓) การเปิดอภิปรายท่ัวไปตามมาตรา ๒๑๓ (๑๒) การแถลงนโยบายตามมาตรา ๑๗๖ สญั ญาตามมาตรา ๑๗๘ (๑๔) การใหค้ วามเห็นชอบในการประกาศสงครามตามมาตรา (๑๓) การเปิดอภิปรายทว่ั ไปตามมาตรา ๑๗๙ (๑๕) การแกไ้ ขเพม่ิ เติมรฐั ธรรมนญู ตามมาตรา ๒๕๖ ๒๒๓ (๑๔) การใหค้ วามเหน็ ชอบในการประกาศสงครามตามมาตรา (๑๖) กรณีอืน่ ตามท่บี ญั ญตั ิไว้ในรฐั ธรรมนญู (๑๕) การใหค้ วามเห็นชอบหนงั สอื สัญญาตามมาตรา ๒๒๔ ๑๘๙ (๑๖) การแกไ้ ขเพิม่ เตมิ รัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๓๑๓ (๑๕) การรับฟังคาชแ้ี จงและการใหค้ วามเห็นชอบหนงั สอื สัญญาตามมาตรา ๑๙๐ (๑๖) การแก้ไขเพิม่ เติมรัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๒๙๑ มาตรา ๑๙๔ ในการประชุมรว่ มกันของรัฐสภาใหใ้ ช้ขอ้ บงั คับ มาตรา ๑๓๗ ในการประชมุ ร่วมกนั ของรัฐสภาใหใ้ ช้ขอ้ บงั คบั มาตรา ๑๕๗ ในการประชุมรว่ มกนั ของรฐั สภาใหใ้ ช้ข้อบังคบั การประชมุ รฐั สภา ในระหวา่ งที่ยงั ไม่มีขอ้ บังคบั การประชมุ รัฐสภา ให้ การประชมุ รัฐสภา ในระหว่างที่ยังไมม่ ีขอ้ บงั คับการประชมุ รัฐสภา การประชุมรัฐสภา ในระหวา่ งที่ยงั ไมม่ ีข้อบังคบั การประชมุ รฐั สภา ใช้ข้อบงั คับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางกอ่ น ใหใ้ ช้ขอ้ บงั คับการประชุมสภาผูแ้ ทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางก่อน ให้ใช้ขอ้ บังคับการประชมุ สภาผู้แทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางกอ่ น มาตรา ๑๙๕ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ใหน้ าบททีใ่ ช้ ในการประชมุ ร่วมกันของรัฐสภา ให้นาบททใ่ี ชแ้ ก่สภาทั้งสอง ในการประชุมรว่ มกนั ของรฐั สภา ใหน้ าบททีใ่ ชแ้ กส่ ภาท้งั สอง แกส่ ภาทั้งสองมาใช้บังคบั โดยอนโุ ลม เว้นแตใ่ นเร่อื งการตง้ั มาใช้บังคับโดยอนุโลม เวน้ แตใ่ นเรอ่ื งการตั้งคณะกรรมาธกิ าร มาใช้บังคบั โดยอนุโลม เวน้ แต่ในเรื่องการตง้ั คณะกรรมาธกิ าร คณะกรรมาธิการ กรรมาธิการซ่งึ ตั้งจากผ้ซู ึ่งเป็นสมาชกิ ของแตล่ ะสภา กรรมาธกิ ารซึง่ ต้ังจากผซู้ ง่ึ เปน็ สมาชกิ ของแตล่ ะสภาจะตอ้ งมีจานวน กรรมาธกิ ารซึ่งตั้งจากผ้ซู ง่ึ เป็นสมาชิกของแตล่ ะสภาจะตอ้ งมจี านวน จะตอ้ งมจี านวนตามหรอื ใกลเ้ คียงกับอตั ราส่วนของจานวนสมาชิกของ ตามหรอื ใกลเ้ คยี งกบั อัตราส่วนของจานวนสมาชกิ ของแตล่ ะสภา ตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจานวนสมาชิกของแต่ละสภา แต่ละสภา

๑๖๙ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บงั คับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ สว่ นท่ี ๒ หมวด ๑๓ องค์กรอ่ืนตามรฐั ธรรมนูญ องคก์ รอยั การ มาตรา ๒๔๘ องค์กรอัยการมีหนา้ ทแ่ี ละอานาจตามท่ีบัญญัติ ๑. องค์กรอัยการ ไว้ในรฐั ธรรมนูญและกฎหมาย พนักงานอัยการมอี สิ ระในการพิจารณาส่งั คดีและการปฏบิ ตั ิ มาตรา ๒๕๕ พนกั งานอยั การมีอานาจหน้าทีต่ ามทบ่ี ญั ญตั ิ หนา้ ทีใ่ หเ้ ปน็ ไปโดยรวดเรว็ เทย่ี งธรรม และปราศจากอคตทิ ง้ั ปวง ในรัฐธรรมนญู น้แี ละตามกฎหมายว่าดว้ ยอานาจและหน้าที่ของ และไม่ใหถ้ อื วา่ เป็นคาสั่งทางปกครอง พนกั งานอัยการและกฎหมายอน่ื การบรหิ ารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดาเนินการอ่ืน ขององคก์ รอยั การใหม้ ีความเป็นอสิ ระ โดยให้มรี ะบบเงนิ เดอื นและ พนกั งานอัยการมอี สิ ระในการพิจารณาสั่งคดแี ละการปฏิบัติ ค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสม และการบรหิ ารงาน หน้าท่ใี หเ้ ปน็ ไปโดยเทย่ี งธรรม บคุ คลเกย่ี วกับพนักงานอยั การ ต้องดาเนนิ การโดยคณะกรรมการ อยั การซ่งึ อย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการซงึ่ ต้องไม่ การแต่งตงั้ และการให้อัยการสูงสดุ พน้ จากตาแหนง่ ต้องเปน็ ไป เปน็ พนกั งานอัยการ และผู้ทรงคณุ วฒุ ิบรรดาท่ไี ด้รบั เลือกจาก ตามมตขิ องคณะกรรมการอยั การ และไดร้ บั ความเห็นชอบจากวฒุ สิ ภา พนกั งานอยั การ ผู้ทรงคุณวุฒดิ งั กล่าวอยา่ งนอ้ ยต้องมีบุคคลซ่ึงไม่ เป็นหรือเคยเปน็ พนกั งานอยั การมากอ่ นสองคน ท้งั น้ี ตามท่ี ให้ประธานวุฒสิ ภาเป็นผูล้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ กฎหมายบญั ญตั ิ แต่งตง้ั อยั การสูงสดุ กฎหมายตามวรรคสาม ตอ้ งมมี าตรการป้องกันมใิ ห้พนกั งาน อยั การกระทาการหรอื ดารงตาแหนง่ ใดอันอาจมผี ลใหก้ ารสั่งคดหี รือ องคก์ รอัยการมหี นว่ ยธรุ การทเ่ี ปน็ อสิ ระในการบรหิ ารงานบคุ คล การปฏิบตั หิ น้าทไ่ี มเ่ ป็นไปตามวรรคสอง หรืออาจทาใหม้ ีการขดั กนั การงบประมาณ และการดาเนินการอน่ื โดยมอี ยั การสูงสดุ เปน็ แห่งผลประโยชน์ ท้งั น้ี มาตรการดังกล่าวต้องกาหนดให้ชดั แจง้ และ ผูบ้ งั คบั บญั ชา ทงั้ น้ี ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ ใชเ้ ป็นการทว่ั ไป โดยจะมอบอานาจให้มีการพจิ ารณาเปน็ กรณี ๆ ไป มิได้ พนกั งานอยั การต้องไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกจิ หรอื กิจการ อื่นของรฐั ในทานองเดียวกัน เว้นแตจ่ ะได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ อัยการ ทั้งตอ้ งไมป่ ระกอบอาชีพหรือวิชาชีพ หรอื กระทากิจการใดอัน เปน็ การกระทบกระเทอื นถึงการปฏิบตั ิหน้าที่ หรือเสื่อมเสียเกียรติศกั ดิ์ แหง่ ตาแหน่งหน้าที่ราชการ และตอ้ งไม่เป็นกรรมการ ผูจ้ ดั การ หรอื ท่ี ปรกึ ษากฎหมาย หรือดารงตาแหน่งอ่ืนใดทม่ี ลี กั ษณะงานคลา้ ยคลึงกัน น้นั ในหา้ งหนุ้ สว่ นบรษิ ทั ใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๒๐๒ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม หมวด ๙ หมวด ๑๔ ไมม่ ีการแกไ้ ข การปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ การปกครองส่วนท้องถนิ่

๑๗๐ นาถะ ดวงวิชยั ผ้บู ังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผู้จดั ทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๘๒ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๑ รฐั จะตอ้ งใหค้ วามเปน็ มาตรา ๒๘๑ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๑ รัฐจะต้องใหค้ วามเป็น มาตรา ๒๔๙ ภายใต้บงั คบั มาตรา ๑ ใหม้ กี ารจดั การ อิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของ อสิ ระแกอ่ งค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินตามหลกั แหง่ การปกครองตนเอง ปกครองสว่ นท้องถิ่นตามหลกั แห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ ประชาชนในท้องถิ่น ตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และสง่ เสริมให้องค์กร ของประชาชนในทอ้ งถ่ิน ท้ังนี้ ตามวธิ กี ารและรูปแบบองคก์ ร มาตรา ๒๘๓ ท้องถิ่นใดมีลักษณะทีจ่ ะปกครองตนเองได้ ย่อมมี ปกครองสว่ นท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลกั ในการจัดทาบรกิ ารสาธารณะ ปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ทก่ี ฎหมายบญั ญัติ สิทธไิ ดร้ บั จัดตั้งเปน็ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมาย และมสี ว่ นร่วมในการตัดสินใจแกไ้ ขปญั หาในพื้นที่ การจัดต้ังองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ในรปู แบบใดให้คานงึ ถึง บัญญัติ ท้องถ่ินใดมีลักษณะทจี่ ะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจดั ต้ัง เจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิน่ และความสามารถในการ การกากับดแู ลองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ต้องทาเทา่ ทีจ่ าเป็น เปน็ องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ ทัง้ น้ี ตามที่กฎหมายบัญญตั ิ ปกครองตนเองในด้านรายได้ จานวนและความหนาแน่นของ ตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ แต่ตอ้ งเป็นไปเพอื่ การคุ้มครองประโยชน์ของ ประชากร และพืน้ ที่ทตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบ ประกอบกัน ประชาชนในท้องถ่ินหรอื ประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม ทั้งน้ี จะ กระทบถึงสาระสาคญั แหง่ หลกั การปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของ ประชาชนในท้องถิ่นหรอื นอกเหนือจากทก่ี ฎหมายบัญญตั ไิ ว้ มิได้ มาตรา ๒๘๔ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ทั้งหลายยอ่ มมี มาตรา ๒๘๒ การกากับดูแลองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ ตอ้ งทา มาตรา ๒๕๐ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินมีหนา้ ที่และอานาจ ความเปน็ อิสระในการกาหนดนโยบาย การปกครอง การบริหาร การ เทา่ ทีจ่ าเปน็ และมหี ลักเกณฑ์ วิธีการ และเงือ่ นไขท่ชี ดั เจนสอดคลอ้ งและ ดูแลและจัดทาบริการสาธารณะและกจิ กรรมสาธารณะเพือ่ บริหารงานบคุ คล การเงนิ และการคลัง และมีอานาจหนา้ ทขี่ องตนเอง เหมาะสมกบั รปู แบบขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ทัง้ นี้ ตามที่ ประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามหลกั การพัฒนาอย่างย่ังยนื โดยเฉพาะ กฎหมายบญั ญตั ิ โดยต้องเป็นไปเพื่อการคมุ้ ครองประโยชน์ของประชาชน รวมท้งั สง่ เสริมและสนบั สนนุ การจดั การศึกษาให้แกป่ ระชาชนใน การกาหนดอานาจและหนา้ ทร่ี ะหว่างรฐั กับองค์กรปกครอง ในทอ้ งถ่ินหรือประโยชน์ของประเทศเปน็ ส่วนรวม และจะกระทบถงึ ทอ้ งถ่นิ ทั้งน้ี ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ ส่วนท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ด้วยกันเอง ให้ สาระสาคญั แห่งหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของ การจัดทาบริการสาธารณะและกจิ กรรมสาธารณะใดทส่ี มควร เปน็ ไปตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ โดยคานงึ ถงึ การกระจายอานาจเพิ่มขน้ึ ประชาชนในทอ้ งถ่ิน หรอื นอกเหนอื จากที่กฎหมายบญั ญัตไิ วม้ ไิ ด้ ให้เปน็ หน้าท่แี ละอานาจโดยเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ใหแ้ ก่ทอ้ งถิน่ เปน็ สาคัญ ในการกากบั ดูแลตามวรรคหนึ่ง ให้มกี ารกาหนดมาตรฐานกลาง แต่ละรูปแบบ หรอื ใหอ้ งคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินเปน็ หน่วยงานหลกั เพอ่ื พัฒนาการกระจายอานาจเพมิ่ ขึ้นใหแ้ กท่ ้องถ่นิ อย่าง เพอื่ เป็นแนวทางให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นเลือกไปปฏบิ ตั ิได้เอง ในการดาเนินการใด ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ซิ ่งึ ตอ้ ง ตอ่ เนอื่ ง ให้มีกฎหมายกาหนดแผนและขน้ั ตอนการกระจายอานาจ ซึง่ โดยคานึงถงึ ความเหมาะสมและความแตกตา่ งในระดับของการพฒั นา สอดคล้องกบั รายได้ขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ตามวรรคสี่ และ อย่างน้อยตอ้ งมีสาระสาคัญ ดังตอ่ ไปน้ี และประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในแต่ละ กฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยตอ้ งมีบทบญั ญตั ิเกย่ี วกับกลไกและขนั้ ตอน (๑) การกาหนดอานาจและหน้าทใ่ี นการจัดระบบการบรกิ าร รูปแบบโดยไมก่ ระทบต่อความสามารถในการตัดสินใจดาเนนิ งานตาม ในการกระจายหน้าท่แี ละอานาจ ตลอดจนงบประมาณและบุคลากร สาธารณะระหวา่ งรัฐกบั องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ และระหว่าง ความต้องการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมท้ังจัดให้มีกลไกการ ที่เกี่ยวกบั หนา้ ทแ่ี ละอานาจดงั กล่าวของส่วนราชการให้แก่ท้องถน่ิ ดว้ ย องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ ด้วยกันเอง ตรวจสอบการดาเนินงานโดยประชาชนเปน็ หลัก ในการจดั ทาบริการสาธารณะหรือกจิ กรรมสาธารณะใดท่ีเปน็ (๒) การจดั สรรสดั ส่วนภาษีและอากรระหวา่ งรฐั กับองคก์ ร มาตรา ๒๘๓ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นยอ่ มมอี านาจหน้าท่ี หน้าทแี่ ละอานาจขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ถา้ การรว่ ม ปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ โดยคานึงถึงภาระหนา้ ท่ีของรฐั กับองค์กร โดยทัว่ ไปในการดแู ลและจัดทาบริการสาธารณะเพ่ือประโยชนข์ อง ดาเนนิ การกับเอกชนหรอื หน่วยงานของรัฐ หรอื การมอบหมายให้ ปกครองสว่ นท้องถ่ินและระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินดว้ ยกนั ประชาชนในท้องถน่ิ และย่อมมีความเปน็ อสิ ระในการกาหนดนโยบาย เอกชนหรือหน่วยงานของรัฐดาเนนิ การ จะเปน็ ประโยชน์แก่ เองเป็นสาคญั การบรหิ าร การจัดบรกิ ารสาธารณะ การบรหิ ารงานบุคคล การเงิน ประชาชนในท้องถนิ่ มากกวา่ การทอี่ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ จะ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๗๑ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคบั บัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา (๓) การจัดให้มคี ณะกรรมการขนึ้ คณะหนึง่ ทาหน้าทตี่ าม (๑) รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จดั ทา และ (๒) ประกอบดว้ ยผูแ้ ทนของหน่วยราชการที่เกีย่ วข้อง ผู้แทนของ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ และผทู้ รงคุณวฒุ ซิ ่งึ มีคณุ สมบัติตามท่ี และการคลงั และมอี านาจหน้าทข่ี องตนเองโดยเฉพาะ โดยต้อง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ กฎหมายบญั ญตั ิ โดยมจี านวนเทา่ กัน คานงึ ถึงความสอดคล้องกับการพัฒนาของจังหวดั และประเทศเป็น ส่วนรวมด้วย ดาเนินการเอง องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นจะรว่ มหรอื มอบหมายให้ ในกรณีทม่ี กี ารกาหนดอานาจและหนา้ ท่ีและการจัดสรรภาษี เอกชนหรอื หน่วยงานของรฐั ดาเนนิ การนน้ั กไ็ ด้ และอากรตาม (๑) และ (๒) ใหแ้ กอ่ งค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินใดแล้ว องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นย่อมได้รบั การส่งเสรมิ และสนับสนุน คณะกรรมการตาม (๓) จะตอ้ งนาเรือ่ งดังกลา่ วมาพิจารณาทบทวน ให้มีความเขม้ แข็งในการบรหิ ารงานได้โดยอิสระและตอบสนองต่อความ รัฐต้องดาเนนิ การให้องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ มรี ายได้ของ ใหม่ทุกระยะเวลาไมเ่ กนิ หา้ ปีนบั แต่วันที่มกี ารกาหนดอานาจและ ตอ้ งการของประชาชนในทอ้ งถิน่ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ สามารถ ตนเองโดยจดั ระบบภาษีหรอื การจดั สรรภาษีท่เี หมาะสม รวมทงั้ หนา้ ท่หี รือวันที่มีการจดั สรรภาษีและอากร แลว้ แต่กรณี เพอื่ พิจารณา พฒั นาระบบการคลังท้องถ่นิ ใหจ้ ดั บริการสาธารณะไดโ้ ดยครบถ้วนตาม ส่งเสริมและพฒั นาการหารายได้ขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ถงึ ความเหมาะสมของการกาหนดอานาจและหนา้ ท่ี และการจดั สรร อานาจหนา้ ที่ จัดต้ังหรอื ร่วมกันจดั ตงั้ องคก์ ารเพ่ือการจัดทาบรกิ าร ทงั้ น้ี เพ่อื ให้สามารถดาเนินการตามวรรคหนึง่ ไดอ้ ยา่ งเพยี งพอ ใน ภาษีและอากรท่ีได้กระทาไปแลว้ ทั้งนี้ ต้องคานึงถงึ การกระจาย สาธารณะตามอานาจหนา้ ท่ี เพื่อใหเ้ กิดความคุ้มค่าเปน็ ประโยชน์ และ ระหวา่ งทยี่ ังไมอ่ าจดาเนนิ การได้ ใหร้ ัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อ อานาจเพ่มิ ขน้ึ ให้แกท่ ้องถ่นิ เป็นสาคญั ใหบ้ ริการประชาชนอยา่ งท่ัวถึง สนบั สนนุ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ ไปพลางกอ่ น การดาเนนิ การตามวรรคสี่ เม่ือไดร้ บั ความเหน็ ชอบจาก ใหม้ ีกฎหมายกาหนดแผนและขนั้ ตอนการกระจายอานาจ เพอ่ื กฎหมายตามวรรคหน่งึ และกฎหมายที่เก่ยี วกับการบรหิ าร คณะรฐั มนตรีและรายงานรัฐสภาแลว้ ให้มีผลใช้บังคับได้ กาหนดการแบง่ อานาจหน้าทแ่ี ละจดั สรรรายไดร้ ะหวา่ งราชการสว่ นกลาง ราชการสว่ นท้องถ่ินตอ้ งใหอ้ งคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ มีอสิ ระในการ และราชการส่วนภมู ิภาคกบั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ และระหวา่ ง บริหาร การจดั ทาบริการสาธารณะ การสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การ มาตรา ๒๘๙ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นย่อมมีหนา้ ที่ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินดว้ ยกันเอง โดยคานงึ ถึงการกระจายอานาจ จัดการศึกษา การเงนิ และการคลงั และการกากบั ดแู ลองค์กร บารงุ รักษาศลิ ปะ จารตี ประเพณี ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น หรือวฒั นธรรม เพิ่มขึน้ ตามระดับความสามารถขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถิน่ แตล่ ะ ปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นซึ่งตอ้ งทาเพียงเท่าทีจ่ าเปน็ เพอื่ การคมุ้ ครอง อนั ดขี องท้องถิน่ รูปแบบ รวมท้งั กาหนดระบบตรวจสอบและประเมนิ ผล โดยมี ประโยชน์ของประชาชนในทอ้ งถิน่ หรอื ประโยชน์ของประเทศเป็น คณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนหน่วยราชการทเ่ี กี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กร สว่ นรวม การปอ้ งกนั การทจุ รติ และการใชจ้ า่ ยเงินอย่างมี องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ย่อมมสี ทิ ธิที่จะจัดการศกึ ษาอบรม ปกครองสว่ นท้องถิน่ และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ โดยมจี านวนเท่ากัน เป็น ประสทิ ธภิ าพ โดยคานงึ ถึงความเหมาะสมและความแตกตา่ งของ และการฝึกอาชีพตามความเหมาะสมและความตอ้ งการภายในทอ้ งถิน่ ผดู้ าเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินแต่ละรปู แบบ และตอ้ งมบี ทบญั ญตั ิ นั้น และเข้าไปมสี ่วนร่วมในการจดั การศกึ ษาอบรมของรัฐ แต่ตอ้ งไม่ เก่ยี วกับการป้องกันการขดั กันแหง่ ผลประโยชน์ และการปอ้ งกนั การ ขดั ตอ่ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๘๑ ทงั้ น้ี ตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ ใหม้ ีกฎหมายรายได้ท้องถนิ่ เพื่อกาหนดอานาจหนา้ ทีใ่ นการ ก้าวก่ายการปฏิบตั หิ น้าทีข่ องข้าราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ ดว้ ย จัดเก็บภาษีและรายไดอ้ ่ืนขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยมี การจดั การศกึ ษาอบรมภายในทอ้ งถิน่ ตามวรรคสอง องค์กร หลกั เกณฑ์ทเี่ หมาะสมตามลกั ษณะของภาษีแต่ละชนดิ การจดั สรร ปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินตอ้ งคานึงถึงการบารงุ รกั ษาศลิ ปะ จารตี ประเพณี ทรพั ยากรในภาครัฐ การมรี ายไดท้ ี่เพยี งพอกบั รายจา่ ยตามอานาจ ภูมิปญั ญาท้องถิ่น และวฒั นธรรมอันดขี องท้องถน่ิ ด้วย หน้าท่ขี ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท้ังนี้ โดยคานึงถึงระดับขั้นการ พัฒนาทางเศรษฐกิจของท้องถิ่น สถานะทางการคลังขององค์กร มาตรา ๒๙๐ เพื่อส่งเสริมและรกั ษาคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม ปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน และความยั่งยืนทางการคลังของรฐั องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ ยอ่ มมอี านาจหนา้ ท่ตี ามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ ในกรณีทมี่ ีการกาหนดอานาจหนา้ ทแี่ ละการจดั สรรรายได้ กฎหมายตามวรรคหน่งึ อยา่ งนอ้ ยตอ้ งมีสาระสาคัญดงั ตอ่ ไปน้ี ใหแ้ กอ่ งค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ แลว้ คณะกรรมการตามวรรคสาม (๑) การจดั การ การบารุงรักษา และการใชป้ ระโยชนจ์ าก จะต้องนาเร่อื งดงั กลา่ วมาพจิ ารณาทบทวนใหม่ทกุ ระยะเวลาไมเ่ กิน ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมท่อี ยใู่ นเขตพนื้ ที่

๑๗๒ นาถะ ดวงวชิ ัย ผ้บู ังคับบญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (๒) การเข้าไปมีสว่ นในการบารุงรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ห้าปี เพอื่ พจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมของการกาหนดอานาจหน้าที่ สง่ิ แวดล้อมที่อยู่นอกเขตพืน้ ที่ เฉพาะในกรณีท่อี าจมผี ลกระทบตอ่ การ และการจัดสรรรายได้ทีไ่ ด้กระทาไปแลว้ ท้ังนี้ ตอ้ งคานงึ ถึงการ ดารงชีวิตของประชาชนในพ้นื ท่ีของตน กระจายอานาจเพม่ิ ขน้ึ ให้แก่องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นเป็นสาคัญ (๓) การมสี ว่ นร่วมในการพจิ ารณาเพื่อรเิ รม่ิ โครงการหรือ การดาเนนิ การตามวรรคหา้ เม่ือได้รับความเห็นชอบจาก กจิ กรรมใดนอกเขตพ้นื ท่ซี งึ่ อาจมผี ลกระทบต่อคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม คณะรัฐมนตรแี ละรายงานรัฐสภาแล้ว ใหม้ ีผลบังคบั ได้ หรือสุขภาพอนามัยของประชาชนในพน้ื ท่ี มาตรา ๒๘๙ องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ยอ่ มมีอานาจ หน้าทบี่ ารุงรักษาศลิ ปะ จารตี ประเพณี ภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ และ วฒั นธรรมอนั ดขี องท้องถน่ิ องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ ย่อมมสี ิทธทิ ่ีจะจดั การศกึ ษา อบรม และการฝกึ อาชพี ตามความเหมาะสมและความต้องการ ภายในทอ้ งถ่นิ นัน้ และเข้าไปมีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษาอบรม ของรัฐ โดยคานงึ ถึงความสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานและระบบ การศกึ ษาของชาติ การจดั การศกึ ษาอบรมภายในทอ้ งถิ่นตามวรรคสอง องคก์ ร ปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นตอ้ งคานึงถึงการบารุงรกั ษาศิลปะ จารตี ประเพณี ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน และวัฒนธรรมอันดีของท้องถ่นิ ด้วย มาตรา ๒๙๐ องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ินย่อมมอี านาจหนา้ ท่ี สง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อมตามที่กฎหมายบัญญตั ิ กฎหมายตามวรรคหน่ึงอย่างน้อยต้องมีสาระสาคัญดังตอ่ ไปน้ี (๑) การจดั การ การบารงุ รกั ษา และการใช้ประโยชน์จาก ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมท่อี ยใู่ นเขตพน้ื ที่ (๒) การเข้าไปมสี ่วนร่วมในการบารงุ รกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ มทอ่ี ยู่นอกเขตพนื้ ที่ เฉพาะในกรณีทอี่ าจมผี ลกระทบต่อ การดารงชวี ติ ของประชาชนในพ้ืนที่ของตน (๓) การมีสว่ นร่วมในการพจิ ารณาเพ่อื รเิ ริม่ โครงการหรอื กิจกรรม ใดนอกเขตพน้ื ทซ่ี ่ึงอาจมผี ลกระทบตอ่ คณุ ภาพสงิ่ แวดล้อมหรือสุขภาพ อนามยั ของประชาชนในพื้นท่ี (๔) การมีสว่ นรว่ มของชุมชนท้องถ่ิน

๑๗๓ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คับบัญชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๘๘ การแต่งต้ังและการให้พนักงานและลูกจา้ งของ มาตรา ๒๘๘ การแตง่ ต้ังและการใหข้ ้าราชการและลกู จ้างของ มาตรา ๒๕๑ การบรหิ ารงานบุคคลขององค์กรปกครองสว่ น องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นพน้ จากตาแหน่ง ต้องเปน็ ไปตามความ ตอ้ งการและความเหมาะสมของแต่ละทอ้ งถ่ินและตอ้ งไดร้ บั ความ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินพน้ จากตาแหน่ง ตอ้ งเปน็ ไปตามความ ทอ้ งถิ่นให้เป็นไปตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ ซ่งึ ต้องใชร้ ะบบคณุ ธรรม เหน็ ชอบจากคณะกรรมการพนกั งานสว่ นทอ้ งถ่ินก่อน ท้งั น้ี ตามท่ี กฎหมายบญั ญตั ิ เหมาะสมและความจาเปน็ ของแตล่ ะทอ้ งถน่ิ โดยการบรหิ ารงานบุคคล และตอ้ งคานงึ ถงึ ความเหมาะสมและความจาเปน็ ของแต่ละทอ้ งถน่ิ คณะกรรมการพนักงานสว่ นทอ้ งถ่ินตามวรรคหนึง่ จะต้อง ขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นตอ้ งมีมาตรฐานสอดคลอ้ งกัน และอาจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ แต่ละรปู แบบ การจดั ให้มมี าตรฐาน ประกอบดว้ ยผู้แทนของหน่วยราชการที่เก่ียวขอ้ ง ผแู้ ทนขององค์กร ปกครองส่วนท้องถน่ิ และผูท้ รงคณุ วฒุ ซิ งึ่ มคี ณุ สมบตั ติ ามที่กฎหมาย ไดร้ บั การพัฒนารว่ มกนั หรือสับเปลี่ยนบคุ ลากรระหว่างองค์กรปกครอง ทส่ี อดคลอ้ งกัน เพอ่ื ใหส้ ามารถพฒั นาร่วมกันหรอื การสับเปลยี่ น บญั ญัติ โดยมจี านวนเทา่ กนั สว่ นทอ้ งถิ่นดว้ ยกันได้ รวมทง้ั ต้องได้รบั ความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการ บุคลากรระหวา่ งองค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ ดว้ ยกันได้ การโยกย้าย การเล่อื นตาแหน่ง การเล่อื นเงนิ เดอื น และการ ลงโทษพนักงานและลูกจ้างขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ใหเ้ ปน็ ไป ขา้ ราชการส่วนท้องถน่ิ ซึ่งเป็นองค์กรกลางบริหารงานบุคคลท้องถ่ินก่อน ตามทกี่ ฎหมายบัญญัติ ท้ังนี้ ตามที่กฎหมายบญั ญัติ มาตรา ๒๘๕ องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ ต้องมสี ภาท้องถน่ิ และคณะผูบ้ ริหารท้องถ่นิ หรอื ผูบ้ รหิ ารทอ้ งถนิ่ ในการบรหิ ารงานบคุ คลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ตอ้ งมี สมาชิกสภาทอ้ งถิ่นตอ้ งมาจากการเลอื กต้ัง องค์กรพิทักษ์ระบบคณุ ธรรมของขา้ ราชการสว่ นทอ้ งถิน่ เพอื่ สรา้ งระบบ คณะผู้บรหิ ารท้องถิ่นหรือผบู้ ริหารทอ้ งถนิ่ ให้มาจากการ เลอื กต้งั โดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเหน็ ชอบของสภา คุ้มครองคณุ ธรรมและจริยธรรมในการบรหิ ารงานบุคคล ทงั้ น้ี ตามท่ี ทอ้ งถ่นิ การเลือกต้งั สมาชิกสภาทอ้ งถ่นิ และคณะผูบ้ รหิ ารทอ้ งถ่ินหรือ กฎหมายบัญญัติ ผู้บรหิ ารท้องถ่ินที่มาจากการเลอื กตงั้ โดยตรงของประชาชน ใหใ้ ช้วิธี ออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลบั คณะกรรมการข้าราชการสว่ นท้องถ่ินตามวรรคหนึ่งจะต้อง ประกอบด้วย ผู้แทนของหนว่ ยราชการทเ่ี กย่ี วข้อง ผูแ้ ทนขององค์กร ปกครองสว่ นท้องถ่ิน ผ้แู ทนขา้ ราชการส่วนท้องถิ่นและผู้ทรงคุณวฒุ ิ โดยมจี านวนเทา่ กัน ท้ังนี้ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ การโยกย้าย การเลื่อนตาแหน่ง การเลอ่ื นเงินเดอื น และการ ลงโทษข้าราชการและลูกจ้างขององค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ให้ เป็นไปตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ มาตรา ๒๘๔ องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ินต้องมีสภาทอ้ งถิน่ มาตรา ๒๕๒ สมาชกิ สภาท้องถน่ิ ต้องมาจากการเลอื กต้ัง และคณะผบู้ ริหารทอ้ งถ่นิ หรือผ้บู ริหารทอ้ งถนิ่ ผบู้ ริหารทอ้ งถิ่นให้มาจากการเลอื กต้ังหรือมาจากความ สมาชกิ สภาท้องถ่ินต้องมาจากการเลือกตั้ง เหน็ ชอบของสภาท้องถน่ิ หรอื ในกรณอี งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ คณะผบู้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ หรอื ผู้บรหิ ารทอ้ งถิน่ ใหม้ าจากการ รปู แบบพเิ ศษ จะให้มาโดยวธิ ีอืน่ ก็ได้ แตต่ ้องคานงึ ถงึ การมสี ่วนรว่ ม เลอื กตง้ั โดยตรงของประชาชน หรอื มาจากความเหน็ ชอบของสภา ของประชาชนด้วย ท้งั นี้ ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ ทอ้ งถิ่น คณุ สมบัตขิ องผู้มสี ิทธิเลอื กตง้ั และผมู้ ีสิทธสิ มคั รรับเลือกต้ัง การเลอื กตัง้ สมาชิกสภาท้องถ่ินและคณะผ้บู ริหารท้องถ่ินหรอื และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกต้ังสมาชกิ สภาทอ้ งถ่ินและผบู้ ริหาร ผู้บรหิ ารทอ้ งถ่นิ ท่ีมาจากการเลือกต้ังโดยตรงของประชาชน ใหใ้ ช้วิธี ท้องถ่ิน ใหเ้ ป็นไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ซิ ่งึ ตอ้ งคานงึ ถงึ เจตนารมณ์ ออกเสยี งลงคะแนนโดยตรงและลบั ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางทีบ่ ัญญัตไิ ว้ใน รฐั ธรรมนูญดว้ ย

๑๗๔ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบัญชากล่มุ งานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สมาชิกสภาท้องถิน่ คณะผบู้ รหิ ารท้องถน่ิ หรือผู้บรหิ ารทอ้ งถ่นิ สมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผบู้ รหิ ารท้องถนิ่ หรือผู้บริหาร มีวาระการดารงตาแหนง่ คราวละสป่ี ี ทอ้ งถิ่น มวี าระการดารงตาแหนง่ คราวละสปี่ ี คณะผูบ้ รหิ ารทอ้ งถิ่นหรอื ผู้บรหิ ารทอ้ งถิ่นจะเป็นข้าราชการซึ่ง คณะผบู้ ริหารท้องถิ่นหรอื ผ้บู ริหารท้องถ่นิ จะเป็นข้าราชการซึ่งมี มีตาแหนง่ หรือเงินเดอื นประจา พนกั งานหรือลูกจ้างของหน่วยงาน ตาแหน่งหรือเงินเดือนประจา พนักงานหรอื ลูกจา้ งของหน่วยราชการ ของรฐั หรอื รฐั วิสาหกิจ หรือของราชการสว่ นท้องถ่นิ มไิ ด้ หน่วยงานของรัฐ หรอื รฐั วิสาหกิจ หรอื ของราชการส่วนท้องถ่นิ และจะ คณุ สมบัติของผู้มสี ิทธเิ ลอื กตั้งและผมู้ สี ิทธสิ มคั รรบั เลอื กตั้ง มผี ลประโยชน์ขดั กนั กับการดารงตาแหน่งตามท่ีกฎหมายบญั ญัติมิได้ หลักเกณฑ์และวธิ ีการเลือกต้งั สมาชกิ สภาท้องถ่นิ คณะผบู้ รหิ าร คุณสมบัติของผมู้ สี ทิ ธิเลอื กต้ังและผูม้ ีสิทธสิ มัครรบั เลือกต้ัง ทอ้ งถน่ิ และผบู้ ริหารท้องถนิ่ ใหเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ หลกั เกณฑ์และวธิ กี ารเลอื กต้งั สมาชกิ สภาทอ้ งถ่ิน คณะผู้บรหิ าร ในกรณที ี่มีการยบุ สภาทอ้ งถิ่น หรอื ในกรณีท่สี มาชิกสภา ทอ้ งถิ่นและผบู้ ริหารทอ้ งถิ่น ใหเ้ ปน็ ไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ท้องถิ่นพ้นจากตาแหน่งท้งั คณะตามมาตรา ๒๘๖ และต้องมีการ ในกรณีทคี่ ณะผู้บรหิ ารท้องถ่ินตอ้ งพ้นจากตาแหนง่ ท้งั คณะ แตง่ ต้ังคณะผ้บู รหิ ารทอ้ งถิ่นหรือผบู้ รหิ ารท้องถ่นิ เป็นการชัว่ คราว มใิ ห้ หรอื ผูบ้ ริหารท้องถน่ิ พน้ จากตาแหนง่ และจาเป็นตอ้ งมกี ารแต่งต้ัง นาบทบัญญัติวรรคสอง วรรคสาม และวรรคหก มาใชบ้ ังคับ ท้งั นี้ คณะผบู้ ริหารท้องถน่ิ หรือผูบ้ ริหารทอ้ งถิน่ เป็นการช่วั คราว มิใหน้ า ตามท่กี ฎหมายบัญญัติ บทบญั ญัตวิ รรคสาม และวรรคหก มาใช้บงั คบั ทั้งน้ี ตามที่กฎหมาย บัญญัติ การจัดต้ังองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นรปู แบบพเิ ศษทีม่ ี โครงสร้างการบรหิ ารที่แตกตา่ งจากทบี่ ญั ญัติไว้ในมาตราน้ี ให้กระทา ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่คณะผู้บริหารทอ้ งถนิ่ หรอื ผ้บู รหิ าร ท้องถิ่นต้องมาจากการเลอื กตง้ั ใหน้ าบทบัญญัตมิ าตรา ๒๖๕ มาตรา ๒๖๖ มาตรา ๒๖๗ และมาตรา ๒๖๘ มาใชบ้ ังคบั กบั สมาชกิ สภาท้องถิ่น คณะผู้บรหิ าร ท้องถ่นิ หรอื ผูบ้ ริหารท้องถนิ่ แล้วแตก่ รณี ดว้ ยโดยอนโุ ลม มาตรา ๒๘๗ ประชาชนในทอ้ งถ่ินมีสิทธมิ สี ่วนรว่ มในการ มาตรา ๒๕๓ ในการดาเนนิ งาน ใหอ้ งค์กรปกครองสว่ น บริหารกจิ การขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยองค์กรปกครอง ท้องถ่ิน สภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถ่นิ เปิดเผยขอ้ มลู และรายงาน สว่ นทอ้ งถนิ่ ตอ้ งจัดใหม้ วี ธิ กี ารท่ีให้ประชาชนมสี ่วนรว่ มดังกล่าวได้ดว้ ย ผลการดาเนินงานใหป้ ระชาชนทราบ รวมตลอดทัง้ มีกลไกให้ ในกรณที ่กี ารกระทาขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ จะมี ประชาชนในท้องถิน่ มีส่วนรว่ มด้วย ท้ังนี้ ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี าร ผลกระทบตอ่ ชวี ติ ความเปน็ อยู่ของประชาชนในท้องถ่ินในสาระสาคญั ที่กฎหมายบญั ญัติ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ต้องแจง้ ขอ้ มลู รายละเอียดใหป้ ระชาชน ทราบก่อนกระทาการเปน็ เวลาพอสมควร และในกรณีท่เี ห็นสมควร หรอื ไดร้ บั การรอ้ งขอจากประชาชนผ้มู สี ทิ ธิเลือกตง้ั ในองคก์ ร

๑๗๕ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ งั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ปกครองสว่ นท้องถ่นิ ตอ้ งจดั ให้มกี ารรบั ฟังความคดิ เห็นก่อนการ กระทาน้ัน หรืออาจจดั ให้ประชาชนออกเสยี งประชามติเพือ่ ตดั สินใจ ก็ได้ ท้ังน้ี ตามทกี่ ฎหมายบัญญัติ องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ต้องรายงานการดาเนินงานต่อ ประชาชนในเร่อื งการจัดทางบประมาณ การใช้จ่าย และผลการ ดาเนนิ งานในรอบปี เพอ่ื ให้ประชาชนมีสว่ นรว่ มในการตรวจสอบ และกากับการบรหิ ารจดั การขององคก์ รปกครองส่วนท้องถ่นิ ในการจัดทางบประมาณขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นตาม วรรคสาม ให้นาบทบญั ญตั ิมาตรา ๑๖๘ วรรคหก มาใช้บังคับโดย อนโุ ลม มาตรา ๒๘๖ ราษฎรผ้มู สี ิทธิเลือกตง้ั ในองคก์ รปกครองส่วน มาตรา ๒๘๕ ประชาชนผ้มู สี ิทธเิ ลอื กตง้ั ในองค์กรปกครอง มาตรา ๒๕๔ ประชาชนผมู้ สี ิทธิเลือกตง้ั ในองคก์ รปกครอง ท้องถน่ิ ใดมีจานวนไมน่ อ้ ยกว่าสามในส่ีของจานวนผู้มสี ทิ ธิเลือกตั้งท่มี า สว่ นทอ้ งถิ่นใดเหน็ วา่ สมาชิกสภาทอ้ งถนิ่ คณะผู้บรหิ ารทอ้ งถน่ิ หรือ ส่วนท้องถ่ินมสี ทิ ธเิ ขา้ ชื่อกนั เพอ่ื เสนอข้อบัญญัตหิ รือเพื่อถอดถอน ลงคะแนนเสยี ง เหน็ ว่าสมาชิกสภาทอ้ งถนิ่ หรอื ผบู้ ริหารทอ้ งถ่นิ ผู้ใด ผูบ้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ ผใู้ ดขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินนน้ั ไมส่ มควร สมาชกิ สภาทอ้ งถนิ่ หรือผู้บรหิ ารทอ้ งถิน่ ได้ตามหลกั เกณฑ์ วิธกี าร ขององคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ น้ันไมส่ มควรดารงตาแหน่งต่อไป ให้ ดารงตาแหน่งตอ่ ไป ให้มสี ทิ ธลิ งคะแนนเสียงถอดถอนสมาชกิ สภา และเงือ่ นไขท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ สมาชิกสภาท้องถนิ่ หรือผู้บริหารทอ้ งถิ่นผนู้ ้ันพน้ จากตาแหน่ง ทัง้ นี้ ทอ้ งถ่ิน คณะผบู้ ริหารท้องถิ่นหรือผู้บรหิ ารทอ้ งถนิ่ ผูน้ น้ั พน้ จาก ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ตาแหนง่ ทงั้ นี้ จานวนผมู้ สี ทิ ธิเข้าช่ือ หลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการเขา้ ชอ่ื การลงคะแนนเสียงตามวรรคหนึง่ ต้องมีผูม้ สี ทิ ธเิ ลือกตง้ั มา การตรวจสอบรายช่ือ และการลงคะแนนเสยี ง ใหเ้ ปน็ ไปตามที่ ลงคะแนนไม่นอ้ ยกว่าก่งึ หนง่ึ ของจานวนผมู้ สี ิทธเิ ลอื กตัง้ ท้ังหมด กฎหมายบญั ญตั ิ มาตรา ๒๘๗ ราษฎรผ้มู สี ิทธิเลอื กต้ังในองคก์ รปกครองส่วน มาตรา ๒๘๖ ประชาชนผู้มสี ิทธเิ ลือกตัง้ ในองค์กรปกครอง ทอ้ งถิ่นใดมจี านวนไม่น้อยกวา่ กง่ึ หน่ึงของจานวนผมู้ สี ิทธเิ ลือกตงั้ ใน สว่ นท้องถ่ินมีสิทธิเข้าชอ่ื รอ้ งขอตอ่ ประธานสภาทอ้ งถน่ิ เพอ่ื ให้สภา องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ นน้ั มีสทิ ธเิ ข้าช่ือรอ้ งขอตอ่ ประธานสภา ท้องถิ่นพจิ ารณาออกขอ้ บัญญตั ทิ อ้ งถิ่นได้ ทอ้ งถ่ินเพ่ือให้สภาทอ้ งถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติทอ้ งถนิ่ ได้ จานวนผมู้ ีสทิ ธิเข้าช่ือ หลักเกณฑ์และวธิ ีการเข้าช่ือ รวมท้งั การ คาร้องขอตามวรรคหนึง่ ตอ้ งจดั ทารา่ งข้อบญั ญัตทิ ้องถน่ิ เสนอ ตรวจสอบรายชื่อ ให้เป็นไปตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ มาดว้ ย หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารเขา้ ช่อื รวมท้งั การตรวจสอบ ใหเ้ ปน็ ไป ตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ หมวด ๑๒ หมวด ๑๕ ไม่มีการแกไ้ ข การแกไ้ ขเพิม่ เติมรฐั ธรรมนูญ การแก้ไขเพิม่ เติมรฐั ธรรมนญู

๑๗๖ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ งั คับบญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓๑๓ (๑) วรรคสอง ญัตติขอแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ มาตรา ๒๙๑ (๑) วรรคสอง ญัตตขิ อแก้ไขเพ่ิมเตมิ มาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพม่ิ เตมิ รฐั ธรรมนญู ท่เี ป็นการ รฐั ธรรมนูญทม่ี ผี ลเปน็ การเปลีย่ นแปลงการปกครองระบอบ รฐั ธรรมนูญท่มี ผี ลเปน็ การเปล่ยี นแปลงการปกครองระบอบ เปล่ยี นแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข หรือเปลย่ี นแปลง ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ หรือ ทรงเป็นประมขุ หรอื เปลย่ี นแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทามิได้ รปู ของรฐั จะเสนอมไิ ด้ เปล่ยี นแปลงรปู ของรฐั จะเสนอมไิ ด้ มาตรา ๓๑๓ การแกไ้ ขเพม่ิ เติมรัฐธรรมนญู จะกระทาได้กแ็ ตโ่ ดย มาตรา ๒๙๑ การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ รัฐธรรมนญู ให้กระทาไดต้ าม มาตรา ๒๕๖ ภายใตบ้ ังคับมาตรา ๒๕๕ การแกไ้ ขเพ่ิมเติม หลักเกณฑแ์ ละวิธกี าร ดังตอ่ ไปน้ี หลกั เกณฑ์และวธิ ีการ ดังตอ่ ไปน้ี รัฐธรรมนูญ ให้กระทาไดต้ ามหลักเกณฑ์และวิธกี าร ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) วรรคหนึ่ง ญัตติขอแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ต้องมาจากคณะรฐั มนตรี หรอื (๑) วรรคหนึ่ง ญตั ติขอแก้ไขเพมิ่ เติมตอ้ งมาจากคณะรฐั มนตรี (๑) ญตั ตขิ อแกไ้ ขเพ่ิมเติมตอ้ งมาจากคณะรัฐมนตรี หรอื จาก จากสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรมจี านวนไมน่ อ้ ยกวา่ หนงึ่ ในหา้ ของจานวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจานวนไมน่ ้อยกว่าหนึ่งในหา้ ของจานวน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หนงึ่ ในห้าของจานวน สมาชกิ ทง้ั หมดเทา่ ทีม่ ีอยขู่ องสภาผแู้ ทนราษฎร หรือจากสมาชกิ สภาผ้แู ทน สมาชิกทงั้ หมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องสภาผูแ้ ทนราษฎร หรือจากสมาชกิ สภา สมาชิกทัง้ หมดเท่าทม่ี ีอยู่ของสภาผ้แู ทนราษฎร หรอื จากสมาชิกสภา ราษฎรและสมาชิกวุฒสิ ภามจี านวนไมน่ ้อยกวา่ หนึง่ ในห้าของจานวน ผ้แู ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หน่ึงในหา้ ของ ผแู้ ทนราษฎรและสมาชกิ วุฒิสภาจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หนึ่งในหา้ ของ สมาชิกทั้งหมดเทา่ ที่มอี ยูข่ องทงั้ สองสภา สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจะเสนอ จานวนสมาชกิ ท้ังหมดเท่าท่ีมีอยูข่ องทั้งสองสภา หรือจากประชาชน จานวนสมาชิกทง้ั หมดเท่าที่มีอย่ขู องท้ังสองสภา หรอื จากประชาชน หรอื รว่ มเสนอญตั ตดิ งั กลา่ วไดเ้ ม่อื พรรคการเมอื งทสี่ มาชิกสภาผแู้ ทน ผมู้ ีสิทธิเลอื กตั้งจานวนไม่นอ้ ยกว่าห้าหม่ืนคนตามกฎหมายวา่ ดว้ ย ผมู้ ีสทิ ธิเลือกตัง้ จานวนไม่น้อยกวา่ ห้าหมน่ื คนตามกฎหมายว่าดว้ ย ราษฎรน้ันสงั กดั มมี ติใหเ้ สนอได้ การเข้าชอื่ เสนอกฎหมาย การเขา้ ชอื่ เสนอกฎหมาย (๒) ญตั ติขอแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ต้องเสนอเป็นรา่ งรัฐธรรมนูญแกไ้ ข (๒) ญตั ติขอแกไ้ ขเพมิ่ เติมต้องเสนอเปน็ รา่ งรัฐธรรมนญู แกไ้ ข (๒) ญัตตขิ อแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ตอ้ งเสนอเป็นรา่ งรฐั ธรรมนูญแกไ้ ข เพิ่มเตมิ และให้รฐั สภาพิจารณาเป็นสามวาระ เพมิ่ เติมและให้รฐั สภาพิจารณาเป็นสามวาระ เพม่ิ เตมิ ตอ่ รฐั สภา และใหร้ ัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ (๓) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระทห่ี น่ึงข้ันรบั หลกั การ ใหใ้ ชว้ ิธี (๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระทีห่ น่ึงขัน้ รับหลักการ ให้ (๓) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระทหี่ น่ึงข้นั รบั หลักการ ให้ เรยี กชอ่ื และลงคะแนนโดยเปดิ เผย และต้องมคี ะแนนเสยี งเหน็ ชอบดว้ ยใน ใช้วธิ ีเรยี กชือ่ และลงคะแนนโดยเปดิ เผย และตอ้ งมีคะแนนเสียง ใช้วิธเี รยี กชื่อและลงคะแนนโดยเปดิ เผย และตอ้ งมคี ะแนนเสยี ง การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ นนั้ ไมน่ อ้ ยกวา่ ก่ึงหนึง่ ของจานวนสมาชิกทั้งหมดเทา่ ทมี่ ี เหน็ ชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไมน่ อ้ ยกวา่ กงึ่ หนงึ่ ของจานวน เห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพมิ่ เตมิ นั้น ไม่นอ้ ยกวา่ ก่งึ หนงึ่ ของจานวน อยขู่ องท้ังสองสภา สมาชกิ ท้ังหมดเท่าทม่ี อี ยขู่ องทง้ั สองสภา สมาชิกท้ังหมดเท่าทม่ี อี ยู่ของทัง้ สองสภา ซึ่งในจานวนน้ตี อ้ งมี (๔) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระท่สี องข้ันพจิ ารณาเรยี งลาดบั (๔) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพจิ ารณาเรียงลาดบั มาตรา สมาชกิ วุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่นอ้ ยกวา่ หนึ่งในสามของจานวน มาตรา ให้ถอื เอาเสยี งข้างมากเปน็ ประมาณ ตอ้ งจัดใหม้ กี ารรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผ้มู สี ิทธิเลือกต้งั ที่ สมาชกิ ทั้งหมดเทา่ ทมี่ อี ยู่ของวุฒสิ ภา (๕) เมอ่ื การพจิ ารณาวาระทสี่ องเสรจ็ ส้ินแลว้ ใหร้ อไวส้ บิ หา้ วัน เมอ่ื เขา้ ช่อื เสนอรา่ งรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ด้วย (๔) การพิจารณาในวาระที่สองขัน้ พิจารณาเรียงลาดบั มาตรา พ้นกาหนดนแ้ี ล้วใหร้ ัฐสภาพจิ ารณาในวาระท่ีสามต่อไป การออกเสียงลงคะแนนในวาระทสี่ องขัน้ พิจารณา โดยการออกเสียงในวาระทส่ี องน้ี ใหถ้ อื เสียงขา้ งมากเป็นประมาณ (๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระทสี่ ามข้ันสดุ ทา้ ย ใหใ้ ช้วธิ ี เรียงลาดบั มาตรา ใหถ้ ือเอาเสยี งขา้ งมากเปน็ ประมาณ แตใ่ นกรณีที่เป็นร่างรฐั ธรรมนญู แก้ไขเพ่ิมเตมิ ที่ประชาชนเปน็ ผเู้ สนอ เรยี กชอื่ และลงคะแนนโดยเปดิ เผย และตอ้ งมคี ะแนนเสียงเหน็ ชอบด้วยใน (๕) เมอ่ื การพิจารณาวาระทสี่ องเสรจ็ สนิ้ แลว้ ให้รอไวส้ ิบหา้ ต้องเปิดโอกาสใหผ้ ูแ้ ทนของประชาชนทเ่ี ขา้ ชอ่ื กันได้แสดงความ การทีจ่ ะให้ออกใช้เปน็ รฐั ธรรมนญู มากกวา่ กึง่ หน่ึงของจานวนสมาชกิ วัน เมอ่ื พน้ กาหนดนี้แลว้ ใหร้ ัฐสภาพิจารณาในวาระทีส่ ามตอ่ ไป คดิ เห็นดว้ ย ทั้งหมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องทัง้ สองสภา (๖) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระทีส่ ามข้นั สดุ ทา้ ย ใหใ้ ชว้ ิธี (๕) เม่อื การพิจารณาวาระทส่ี องเสรจ็ สิน้ แลว้ ใหร้ อไวส้ บิ หา้ เรียกช่อื และลงคะแนนโดยเปดิ เผย และต้องมคี ะแนนเสยี งเหน็ ชอบ วัน เมื่อพ้นกาหนดนีแ้ ลว้ ให้รัฐสภาพิจารณาในวาระทสี่ ามต่อไป

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๗๗ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา (๗) เมอื่ การลงมตไิ ดเ้ ปน็ ไปตามทก่ี ลา่ วแล้ว ให้นารา่ งรัฐธรรมนญู รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผจู้ ดั ทา แกไ้ ขเพมิ่ เติมข้นึ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย และใหน้ าบทบญั ญัตมิ าตรา ๙๓ และมาตรา ๙๔ มาใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม ด้วยในการที่จะให้ออกใชเ้ ปน็ รฐั ธรรมนูญมากกว่าก่ึงหนึ่งของจานวน รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ สมาชิกทงั้ หมดเท่าทม่ี ีอยู่ของทง้ั สองสภา (๖) การออกเสยี งลงคะแนนในวาระท่ีสามข้นั สุดท้าย ให้ใช้วิธี (๗) เมอ่ื การลงมตไิ ดเ้ ป็นไปตามทก่ี ล่าวแล้ว ใหน้ าร่าง เรยี กช่อื และลงคะแนนโดยเปดิ เผย และต้องมคี ะแนนเสยี งเหน็ ชอบ รัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติมขน้ึ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย และให้นา ด้วยในการทจ่ี ะใหอ้ อกใชเ้ ปน็ รฐั ธรรมนญู มากกวา่ กึ่งหนงึ่ ของจานวน บทบญั ญตั มิ าตรา ๑๕๐ และมาตรา ๑๕๑ มาใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม สมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ทมี่ อี ยู่ของทัง้ สองสภา โดยในจานวนนตี้ อ้ งมี สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมอื งทสี่ มาชกิ มิได้ดารง ตาแหน่งรฐั มนตรี ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร หรือรองประธานสภา ผูแ้ ทนราษฎร เหน็ ชอบดว้ ยไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละยีส่ บิ ของทุกพรรค การเมอื งดงั กล่าวรวมกนั และมสี มาชกิ วฒุ ิสภาเห็นชอบดว้ ยไม่น้อย กวา่ หนง่ึ ในสามของจานวนสมาชกิ ทั้งหมดเทา่ ทมี่ อี ยูข่ องวุฒสิ ภา (๗) เมอ่ื มกี ารลงมตเิ หน็ ชอบตาม (๖) แลว้ ให้รอไวส้ บิ หา้ วนั แลว้ จงึ นารา่ งรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ขึ้นทลู เกลา้ ทลู กระหม่อม ถวาย และให้นาความในมาตรา ๘๑ มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม (๘) ในกรณีร่างรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพมิ่ เติมเป็นการแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ หมวด ๑ บททัว่ ไป หมวด ๒ พระมหากษัตรยิ ์ หรอื หมวด ๑๕ การ แก้ไขเพมิ่ เตมิ รฐั ธรรมนญู หรือเรอ่ื งทีเ่ กย่ี วกับคุณสมบัติหรือลักษณะ ตอ้ งห้ามของผดู้ ารงตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ตามรฐั ธรรมนูญ หรอื เรื่องที่ เกยี่ วกับหนา้ ทีห่ รืออานาจของศาลหรอื องค์กรอิสระ หรือเร่ืองท่ีทา ใหศ้ าลหรอื องคก์ รอสิ ระไมอ่ าจปฏบิ ตั ิตามหนา้ ที่หรอื อานาจได้ กอ่ น ดาเนนิ การตาม (๗) ให้จดั ใหม้ กี ารออกเสียงประชามตติ ามกฎหมาย วา่ ดว้ ยการออกเสียงประชามติ ถา้ ผลการออกเสยี งประชามติ เหน็ ชอบด้วยกบั รา่ งรฐั ธรรมนญู แก้ไขเพิม่ เตมิ จึงให้ดาเนนิ การตาม (๗) ต่อไป (๙) กอ่ นนายกรฐั มนตรนี าความกราบบงั คมทลู เพื่อทรงลงพระ ปรมาภไิ ธยตาม (๗) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื สมาชกิ วุฒสิ ภา หรอื สมาชิกทง้ั สองสภารวมกัน มจี านวนไมน่ ้อยกว่าหนึ่งในสบิ ของ สมาชกิ ทง้ั หมดเท่าทม่ี ีอยู่ของแต่ละสภา หรือของท้งั สองสภารวมกนั แล้วแตก่ รณี มสี ิทธิเข้าชอื่ กนั เสนอความเหน็ ต่อประธานแหง่ สภาที่ ตนเป็นสมาชกิ หรือประธานรฐั สภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนญู ตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ หรือมีลกั ษณะตาม (๘) และให้ประธาน

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๗๘ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จดั ทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ แห่งสภาท่ไี ด้รับเร่อื งดงั กล่าวส่งความเหน็ ไปยงั ศาลรัฐธรรมนูญ และ ให้ศาลรัฐธรรมนญู วนิ ิจฉัยให้แลว้ เสรจ็ ภายในสามสิบวันนบั แต่วนั ที่ ได้รับเร่อื ง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู นายกรัฐมนตรีจะนาร่างรฐั ธรรมนญู แก้ไขเพมิ่ เติมดงั กล่าวขน้ึ ทลู เกลา้ ทูลกระหมอ่ มถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้ หมวด ๑๖ การปฏริ ูปประเทศ มาตรา ๒๕๗ การปฏิรปู ประเทศตามหมวดนี้ตอ้ งดาเนนิ การ เพื่อบรรลเุ ป้าหมาย ดงั ต่อไปนี้ (๑) ประเทศชาตมิ คี วามสงบเรยี บร้อย มคี วามสามคั คี ปรองดอง มกี ารพฒั นาอย่างยัง่ ยนื ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง และมคี วามสมดุลระหว่างการพัฒนาดา้ นวัตถุกบั การ พัฒนาดา้ นจติ ใจ (๒) สังคมมีความสงบสุข เปน็ ธรรม และมโี อกาสอนั ทัดเทียม กันเพื่อขจัดความเหลอื่ มล้า (๓) ประชาชนมคี วามสขุ มคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ี และมสี ว่ นรว่ มใน การพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข มาตรา ๒๕๘ ใหด้ าเนนิ การปฏิรปู ประเทศอย่างน้อยในดา้ น ต่าง ๆ ให้เกดิ ผล ดงั ตอ่ ไปน้ี ก. ดา้ นการเมอื ง (๑) ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจทถี่ กู ต้องเก่ียวกับการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข มสี ่วนรว่ มในการดาเนินกิจกรรมทางการเมอื งรวมตลอดทงั้ การ ตรวจสอบการใชอ้ านาจรัฐ รู้จกั ยอมรบั ในความเหน็ ทางการเมืองโดย สุจรติ ทีแ่ ตกต่างกัน และใหป้ ระชาชนใชส้ ทิ ธิเลือกต้งั และออกเสยี ง ประชามตโิ ดยอสิ ระ ปราศจากการครอบงาไม่ว่าด้วยทางใด (๒) ใหก้ ารดาเนินกจิ กรรมของพรรคการเมอื งเป็นไปโดย เปดิ เผยและตรวจสอบได้ เพอ่ื ใหพ้ รรคการเมืองพฒั นาเป็นสถาบนั

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๗๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผบู้ งั คบั บัญชากล่มุ งานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผ้จู ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ทางการเมอื งของประชาชนซ่งึ มอี ุดมการณท์ างการเมืองร่วมกนั มี กระบวนการใหส้ มาชกิ พรรคการเมอื งมสี ว่ นร่วมและมคี วาม รบั ผดิ ชอบอยา่ งแทจ้ รงิ ในการดาเนินกจิ กรรมทางการเมืองและการ คัดเลอื กผู้มคี วามรคู้ วามสามารถ ซ่ือสัตยส์ ุจรติ และมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม เขา้ มาเปน็ ผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื งท่ชี ดั เจนและเป็น รปู ธรรม (๓) มีกลไกทกี่ าหนดความรับผดิ ชอบของพรรคการเมอื งใน การประกาศโฆษณานโยบายทม่ี ไิ ดว้ ิเคราะหผ์ ลกระทบ ความคุ้มคา่ และความเสย่ี งอย่างรอบด้าน (๔) มีกลไกท่กี าหนดใหผ้ ู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองตอ้ ง ปฏบิ ัติหนา้ ที่ด้วยความซอื่ สตั ยส์ ุจริต และรับผิดชอบตอ่ ประชาชนใน การปฏิบัตหิ น้าที่ของตน (๕) มกี ลไกแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ทางการเมอื งโดยสนั ติ วิธภี ายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์ ทรงเปน็ ประมุข ข. ดา้ นการบรหิ ารราชการแผ่นดิน (๑) ใหม้ กี ารนาเทคโนโลยีทเี่ หมาะสมมาประยุกตใ์ ช้ในการ บรหิ ารราชการแผน่ ดนิ และการจัดทาบริการสาธารณะ เพ่ือประโยชน์ ในการบริหารราชการแผน่ ดิน และเพ่ืออานวยความสะดวกให้แก่ ประชาชน (๒) ให้มีการบรู ณาการฐานขอ้ มูลของหน่วยงานของรฐั ทกุ หนว่ ยงานเขา้ ด้วยกันเพอื่ ให้เป็นระบบขอ้ มลู เพ่อื การบรหิ ารราชการ แผ่นดินและการบรกิ ารประชาชน (๓) ให้มีการปรับปรงุ และพัฒนาโครงสร้างและระบบการ บริหารงานของรฐั และแผนกาลังคนภาครฐั ใหท้ นั ต่อการเปลี่ยนแปลง และความทา้ ทายใหม่ ๆ โดยต้องดาเนนิ การใหเ้ หมาะสมกบั ภารกจิ ของหน่วยงานของรัฐแตล่ ะหน่วยงานที่แตกตา่ งกัน (๔) ให้มีการปรับปรุงและพฒั นาการบรหิ ารงานบคุ คล ภาครัฐเพือ่ จูงใจให้ผมู้ ีความรู้ความสามารถอยา่ งแท้จรงิ เขา้ มาทางาน

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๘๐ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบัญชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผจู้ ดั ทา รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในหน่วยงานของรัฐ และสามารถเจริญกา้ วหน้าไดต้ ามความสามารถ และผลสัมฤทธ์ขิ องงานของแตล่ ะบคุ คล มคี วามซ่ือสตั ยส์ จุ รติ กล้า ตดั สินใจและกระทาในสิง่ ท่ีถูกตอ้ ง โดยคดิ ถึงประโยชนส์ ว่ นรวม มากกว่าประโยชน์สว่ นตัว มคี วามคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละคดิ ค้นนวตั กรรม ใหม่ ๆ เพอื่ ให้การปฏิบตั ิราชการและการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ เป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ และมมี าตรการคมุ้ ครองปอ้ งกนั บุคลากร ภาครฐั จากการใชอ้ านาจโดยไมเ่ ปน็ ธรรมของผู้บังคบั บญั ชา (๕) ใหม้ กี ารปรบั ปรุงระบบการจัดซือ้ จดั จ้างภาครัฐใหม้ ี ความคล่องตัว เปดิ เผย ตรวจสอบได้ และมีกลไกในการป้องกันการ ทจุ รติ ทุกขน้ั ตอน ค. ดา้ นกฎหมาย (๑) มกี ลไกให้ดาเนนิ การปรบั ปรงุ กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือขอ้ บังคับตา่ ง ๆ ท่ใี ชบ้ งั คบั อยกู่ อ่ นวนั ประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู น้ี ให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา ๗๗ และพัฒนาใหส้ อดคล้องกับ หลักสากล โดยให้มีการใชร้ ะบบอนุญาตและระบบการดาเนินการ โดยคณะกรรมการเพยี งเทา่ ที่จาเปน็ เพือ่ ให้การทางานเกิดความ คล่องตวั โดยมีผรู้ บั ผดิ ชอบทชี่ ดั เจน และไม่สร้างภาระแก่ประชาชน เกินความจาเป็น เพม่ิ ความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ และ ปอ้ งกันการทุจรติ และประพฤตมิ ิชอบ (๒) ปฏิรปู ระบบการเรยี นการสอนและการศึกษาอบรมวิชา กฎหมายเพ่อื พฒั นาผู้ประกอบวิชาชพี กฎหมายให้เปน็ ผมู้ ีความรอบรู้ มนี ติ ิทัศนะ และยดึ ม่นั ในคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของนกั กฎหมาย (๓) พัฒนาระบบฐานข้อมลู กฎหมายของรฐั โดยใช้ เทคโนโลยตี า่ ง ๆ เพอื่ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมลู กฎหมายได้สะดวก และสามารถเขา้ ใจเนื้อหาสาระของกฎหมายได้ง่าย (๔) จัดให้มกี ลไกช่วยเหลือประชาชนในการจดั ทาและ เสนอรา่ งกฎหมาย

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๘๑ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ง. ดา้ นกระบวนการยตุ ิธรรม (๑) ให้มกี ารกาหนดระยะเวลาดาเนนิ งานในทกุ ขั้นตอนของ กระบวนการยตุ ิธรรมท่ีชัดเจน เพอื่ ให้ประชาชนได้รบั ความยตุ ธิ รรม โดยไมล่ า่ ชา้ และมีกลไกชว่ ยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทนุ ทรพั ยใ์ ห้ เข้าถึงกระบวนการยตุ ิธรรมได้ รวมตลอดทง้ั การสรา้ งกลไกเพ่ือให้มี การบังคบั การตามกฎหมายอย่างเครง่ ครดั เพ่ือลดความเหล่ือมลา้ และความไมเ่ ป็นธรรมในสงั คม (๒) ปรบั ปรงุ ระบบการสอบสวนคดอี าญาให้มีการตรวจสอบ และถ่วงดุลระหว่างพนกั งานสอบสวนกบั พนักงานอยั การอย่าง เหมาะสม กาหนดระยะเวลาในการปฏบิ ตั หิ น้าท่ขี องเจ้าหน้าทที่ ี่ เกย่ี วข้องทกุ ฝ่ายให้ชดั เจนเพอ่ื มิใหค้ ดีขาดอายุความ และสรา้ งความ เช่อื มน่ั ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ของพนกั งานสอบสวนและพนกั งาน อัยการในการสอบสวนคดอี าญา รวมทั้งกาหนดให้การสอบสวนตอ้ ง ใชป้ ระโยชน์จากนติ วิ ิทยาศาสตร์ และจัดใหม้ บี รกิ ารทางดา้ น นติ ิวิทยาศาสตรม์ ากกว่าหนง่ึ หน่วยงานท่ีมีอสิ ระจากกนั เพอ่ื ให้ ประชาชนไดร้ บั บริการในการพิสจู นข์ ้อเทจ็ จรงิ อยา่ งมีทางเลือก (๓) เสริมสรา้ งและพฒั นาวัฒนธรรมองคก์ รขององคก์ ร ตา่ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ งในกระบวนการยตุ ธิ รรม ใหม้ ุง่ อานวยความยตุ ธิ รรม แก่ประชาชนโดยสะดวกและรวดเร็ว (๔) ดาเนินการบงั คับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธภิ าพ โดย แก้ไขปรบั ปรงุ กฎหมายเกย่ี วกบั หน้าท่ี อานาจ และภารกิจของตารวจให้ เหมาะสม และแกไ้ ขปรบั ปรุงกฎหมายเกยี่ วกับการบริหารงานบคุ คล ของขา้ ราชการตารวจใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพ มีหลักประกนั ว่า ข้าราชการตารวจจะไดร้ ับค่าตอบแทนท่ีเหมาะสม ได้รบั ความเป็น ธรรมในการแต่งตง้ั และโยกยา้ ย และการพิจารณาบาเหน็จ ความชอบตามระบบคณุ ธรรมท่ีชัดเจน ซง่ึ ในการพจิ ารณาแตง่ ตั้งและ โยกย้ายตอ้ งคานึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพื่อให้ขา้ ราชการตารวจสามารถปฏบิ ตั หิ นา้ ทไี่ ด้อยา่ งมอี สิ ระ ไม่ตก

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๘๒ นาถะ ดวงวิชัย ผบู้ ังคับบญั ชากล่มุ งานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ผจู้ ัดทา รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ อยูใ่ ตอ้ าณตั ิของบคุ คลใด มีประสทิ ธิภาพ และภาคภูมใิ จในการ ปฏบิ ตั ิหน้าที่ของตน จ. ด้านการศึกษา (๑) ให้สามารถเรม่ิ ดาเนินการใหเ้ ด็กเลก็ ได้รบั การดแู ลและ พัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง เพอ่ื ใหเ้ ดก็ เล็ก ได้รับการพฒั นาร่างกาย จติ ใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ใหส้ มกบั วัยโดยไม่เกบ็ ค่าใชจ้ า่ ย (๒) ให้ดาเนินการตรากฎหมายเพอ่ื จัดต้งั กองทนุ ตาม มาตรา ๕๔ วรรคหก ใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายในหนง่ึ ปนี บั แต่วนั ประกาศใช้ รฐั ธรรมนญู นี้ (๓) ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพฒั นาผู้ ประกอบวิชาชพี ครูและอาจารย์ใหไ้ ด้ผมู้ จี ิตวญิ ญาณของความเป็นครู มีความร้คู วามสามารถอยา่ งแท้จรงิ ได้รบั ค่าตอบแทนทเี่ หมาะสมกบั ความสามารถและประสทิ ธิภาพในการสอน รวมท้ังมกี ลไกสรา้ ง ระบบคณุ ธรรมในการบริหารงานบคุ คลของผปู้ ระกอบวชิ าชีพครู (๔) ปรับปรุงการจดั การเรยี นการสอนทกุ ระดับเพือ่ ให้ ผู้เรยี นสามารถเรียนได้ตามความถนัด และปรบั ปรงุ โครงสรา้ งของ หน่วยงานทีเ่ กย่ี วขอ้ งเพือ่ บรรลเุ ปา้ หมายดังกล่าวโดยสอดคลอ้ งกนั ทง้ั ในระดบั ชาติและระดับพื้นท่ี ฉ. ด้านเศรษฐกจิ (๑) ขจัดอุปสรรคและเสรมิ สร้างความสามารถในการ แข่งขันของประเทศเพอ่ื ใหป้ ระเทศชาตแิ ละประชาชนไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการเข้ารว่ มกลมุ่ เศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ อยา่ งยั่งยนื โดยมี ภูมิคุ้มกันทดี่ ี (๒) สร้างกลไกเพ่ือส่งเสริมและสนบั สนนุ การนาความคดิ สร้างสรรคแ์ ละเทคโนโลยที ่ที ันสมยั มาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศ (๓) ปรับปรุงระบบภาษอี ากรใหม้ คี วามเป็นธรรม ลดความ เหลือ่ มลา้ เพมิ่ พูนรายได้ของรฐั ด้านตา่ ง ๆ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๘๓ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผจู้ ัดทา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ และปรบั ปรงุ ระบบการจดั ทาและการใชจ้ า่ ยงบประมาณใหม้ ี ประสทิ ธภิ าพและสมั ฤทธผิ ล (๔) สรา้ งกลไกเพื่อสง่ เสริมสหกรณแ์ ละผปู้ ระกอบการ แตล่ ะขนาดให้มคี วามสามารถในการแขง่ ขนั อย่างเหมาะสม และ สง่ เสริมการประกอบวสิ าหกิจเพอื่ สงั คม และวสิ าหกจิ ทีเ่ ป็นมติ รตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม รวมทั้งสรา้ งกลไกเพม่ิ โอกาสในการทางานและการ ประกอบอาชีพของประชาชน ช. ดา้ นอ่นื ๆ (๑) ใหม้ รี ะบบบริหารจัดการทรพั ยากรนา้ ทมี่ ีประสิทธภิ าพ เปน็ ธรรมและยั่งยนื โดยคานึงถึงความตอ้ งการใช้นา้ ในทุกมติ ิ รวมท้งั ความเปลีย่ นแปลงของสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ประกอบกนั (๒) จัดให้มกี ารกระจายการถือครองท่ีดนิ อยา่ งเปน็ ธรรม รวมทงั้ การตรวจสอบกรรมสิทธิแ์ ละการถอื ครองทีด่ นิ ทัง้ ประเทศเพือ่ แกไ้ ขปัญหากรรมสทิ ธ์ิและสทิ ธคิ รอบครองทดี่ ินอย่างเปน็ ระบบ (๓) จัดใหม้ ีระบบจดั การและกาจดั ขยะมลู ฝอยทีม่ ี ประสทิ ธภิ าพ เป็นมิตรต่อสงิ่ แวดลอ้ ม และสามารถนาไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนด์ า้ นอื่น ๆ ได้ (๔) ปรับระบบหลกั ประกนั สขุ ภาพให้ประชาชนไดร้ บั สทิ ธิ และประโยชน์จากการบริหารจดั การ และการเขา้ ถึงบรกิ ารทมี่ ี คณุ ภาพและสะดวกทดั เทยี มกัน (๕) ใหม้ ีระบบการแพทยป์ ฐมภมู ทิ ่มี แี พทย์เวชศาสตร์ ครอบครวั ดแู ลประชาชนในสดั ส่วนทเ่ี หมาะสม มาตรา ๒๕๙ ภายใต้บงั คับมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ การปฏิรปู ประเทศตามหมวดนี้ ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายว่าด้วยแผน และขนั้ ตอนการดาเนินการปฏริ ูปประเทศ ซึ่งอยา่ งนอ้ ยต้องมวี ธิ ีการ จัดทาแผน การมีสว่ นรว่ มของประชาชนและหนว่ ยงานที่เกยี่ วข้อง ขั้นตอนในการดาเนินการปฏริ ปู ประเทศ การวัดผลการดาเนินการ และระยะเวลาดาเนินการปฏริ ปู ประเทศทุกดา้ น ซึง่ ต้องกาหนดให้

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๘๔ นาถะ ดวงวิชยั ผูบ้ ังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผ้จู ดั ทา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เร่ิมดาเนินการปฏริ ปู ในแต่ละด้านภายในหนง่ึ ปนี ับแต่วนั ประกาศใช้ รฐั ธรรมนูญน้รี วมตลอดท้งั ผลสัมฤทธท์ิ ค่ี าดหวงั ว่าจะบรรลใุ น ระยะเวลาหา้ ปี ให้ดาเนนิ การตรากฎหมายตามวรรคหนึง่ และประกาศใช้ บงั คับภายในหนึง่ รอ้ ยยสี่ บิ วนั นับแต่วนั ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู น้ี ในระหวา่ งทีก่ ฎหมายตามวรรคหน่ึงยงั ไม่มผี ลใชบ้ งั คับ ให้ หน่วยงานของรฐั ดาเนินการปฏิรูปโดยอาศยั หนา้ ที่และอานาจทีม่ ีอยู่ แลว้ ไปพลางก่อน มาตรา ๒๖๐ ในการแกไ้ ขปรบั ปรงุ กฎหมายตามมาตรา ๒๕๘ ง. ดา้ นกระบวนการยตุ ิธรรม (๔) ใหม้ คี ณะกรรมการคณะหนึง่ ซงึ่ คณะรัฐมนตรีแตง่ ตง้ั ประกอบดว้ ย (๑) ผู้ทรงคุณวฒุ ิซง่ึ มคี วามรคู้ วามซ่ือสัตยส์ จุ รติ และเที่ยงธรรม เปน็ ท่ปี ระจักษ์และไม่เคยเปน็ ขา้ ราชการตารวจมากอ่ น เปน็ ประธาน (๒) ผู้เป็นหรือเคยเป็นขา้ ราชการตารวจซง่ึ อยา่ งน้อยตอ้ งมีผู้ บญั ชาการตารวจแหง่ ชาติรวมอยดู่ ้วย มีจานวนตามท่คี ณะรัฐมนตรี กาหนด เปน็ กรรมการ (๓) ผู้ทรงคุณวุฒิซงึ่ มคี วามรคู้ วามซ่อื สตั ยส์ ุจรติ และเทยี่ งธรรม เปน็ ท่ปี ระจักษแ์ ละไมเ่ คยเป็นข้าราชการตารวจมากอ่ น มจี านวน เท่ากับกรรมการตาม (๒) เป็นกรรมการ (๔) ปลดั กระทรวงการคลงั ปลดั กระทรวงมหาดไทย ปลดั กระทรวงยุตธิ รรม เลขาธกิ ารสานกั งานศาลยุติธรรม และ อยั การสงู สดุ เป็นกรรมการ ใหค้ ณะกรรมการตามวรรคหน่งึ ดาเนินการใหแ้ ลว้ เสร็จภายใน หนึ่งปนี บั แต่วนั ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญนี้ เมอื่ ครบกาหนดเวลาตามวรรคสองแลว้ ถา้ การแก้ไขปรับปรุง กฎหมายดังกลา่ วยงั ไมแ่ ลว้ เสรจ็ ใหก้ ารแตง่ ตง้ั โยกย้ายข้าราชการ ตารวจดาเนนิ การตามหลกั อาวโุ สตามหลักเกณฑท์ ่ีคณะรฐั มนตรี กาหนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๘๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผ้บู ังคบั บญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผจู้ ดั ทา บทเฉพาะกาล ไม่มกี ารแก้ไข รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๖๑ ในการปฏิรูปตามมาตรา ๒๕๘ จ. ด้าน การศึกษา ใหม้ ีคณะกรรมการทม่ี คี วามเป็นอสิ ระคณะหนึ่งท่ี คณะรัฐมนตรีแต่งตง้ั ดาเนนิ การศกึ ษาและจดั ทาขอ้ เสนอแนะและ รา่ งกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ งในการดาเนินการใหบ้ รรลเุ ป้าหมายเพือ่ เสนอคณะรัฐมนตรดี าเนินการตอ่ ไป ให้คณะรฐั มนตรีแตง่ ตงั้ คณะกรรมการตามวรรคหนง่ึ ใหแ้ ล้ว เสร็จภายในหกสิบวันนบั แตว่ นั ประกาศใช้รฐั ธรรมนญู น้ี และให้ คณะกรรมการดาเนินการศกึ ษาและจดั ทาข้อเสนอแนะและร่าง กฎหมายใหแ้ ล้วเสรจ็ และเสนอต่อคณะรฐั มนตรภี ายในสองปีนบั แต่ วนั ทไ่ี ด้รบั การแตง่ ต้ัง ไมม่ กี ารแกไ้ ข มาตรา ๓๑๔ ให้คณะองคมนตรซี งึ่ ดารงตาแหน่งอยู่ในวนั มาตรา ๒๙๒ ใหค้ ณะองคมนตรีซึง่ ดารงตาแหน่งอยู่ในวัน มาตรา ๒๖๒ ให้คณะองคมนตรซี ่งึ ดารงตาแหนง่ อย่ใู นวัน ประกาศใช้รัฐธรรมนญู น้ี เป็นคณะองคมนตรตี ามบทบัญญัตแิ ห่ง ประกาศใช้รฐั ธรรมนญู นี้ เปน็ คณะองคมนตรตี ามบทบญั ญตั ิแห่ง กอ่ นวันประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญนเ้ี ปน็ คณะองคมนตรตี ามบทบัญญตั ิ รัฐธรรมนูญนี้ รัฐธรรมนญู นี้ แห่งรฐั ธรรมนญู น้ี ในระหว่างท่สี มาชิกภาพของสมาชิกวฒุ ิสภาส้ินสดุ ลงพรอ้ มกัน ท้งั หมดตามมาตรา ๓๒๓ ให้ประธานองคมนตรีทาหน้าที่คณะองคมนตรี ด้วย และให้คณะองคมนตรที เ่ี หลอื อยทู่ าหนา้ ท่รี ัฐสภาตามมาตรา ๑๙ มาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ และมิใหน้ ามาตรา ๒๐ วรรคสาม และมาตรา ๒๔ วรรคสาม มาใชบ้ งั คับ และใหค้ ณะองคมนตรเี ลือก องคมนตรคี นหน่ึงข้ึนทาหนา้ ท่ปี ระธานเป็นการช่ัวคราว มาตรา ๓๑๕ นบั แต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนญู น้ี ใหส้ ภาผ้แู ทน มาตรา ๒๙๓ ให้สภานิติบญั ญตั แิ หง่ ชาตติ ามรฐั ธรรมนญู แห่ง มาตรา ๒๖๓ ในระหว่างท่ยี ังไมม่ สี ภาผู้แทนราษฎรและ ราษฎรตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับชวั่ คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๙ ทาหน้าที่ วุฒสิ ภาตามรฐั ธรรมนญู น้ี ใหส้ ภานติ บิ ญั ญตั ิแห่งชาติทต่ี งั้ ขนึ้ ตาม ซ่ึงแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ คร้งั สดุ ท้ายโดยรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย รฐั สภา สภาผู้แทนราษฎร และวฒุ ิสภาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ช่วั คราว) พุทธศักราช แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบับที่ ๖) พทุ ธศักราช ๒๕๓๙ ทาหนา้ ทสี่ ภาผแู้ ทน นจ้ี นกว่าจะมีการประชมุ รัฐสภาเปน็ ครั้งแรกตามมาตรา ๑๒๗ ๒๕๕๗ ยังคงทาหนา้ ทร่ี ัฐสภา สภาผูแ้ ทนราษฎร และวฒุ ิสภาต่อไป ราษฎรตามรฐั ธรรมนูญนี้จนถงึ วันเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ในระหวา่ งเวลาตามวรรคหน่ึง ถ้าบทบญั ญตั ใิ ดในรฐั ธรรมนญู น้ี และให้สมาชกิ สภานติ ิบญั ญตั ิแหง่ ชาติซึง่ ดารงตาแหนง่ อย่ใู นวันกอ่ น ตามมาตรา ๓๒๔ และใหว้ ุฒสิ ภาตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักร หรอื กฎหมายอน่ื บญั ญัตใิ หป้ ระธานรัฐสภา ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร วนั ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญน้ี ทาหนา้ ทเี่ ปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ไทย พทุ ธศักราช ๒๕๓๔ ซง่ึ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ คร้ังสดุ ท้ายโดยรฐั ธรรมนญู หรอื ประธานวุฒสิ ภา เปน็ ผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ ให้ หรอื สมาชิกวฒุ ิสภา ตามลาดับ ตามบทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญนี้ แหง่ ราชอาณาจกั รไทย แก้ไขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๖) พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙ และใหส้ ภานติ ิบญั ญตั ิแหง่ ชาตแิ ละสมาชกิ สภานิตบิ ัญญตั แิ หง่ ชาติ

๑๘๖ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผจู้ ดั ทา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทาหนา้ ที่วุฒสิ ภาตามรฐั ธรรมนญู นี้ จนถึงวนั ทีค่ รบสปี่ นี ับแต่วนั ที่ ประธานสภานิตบิ ญั ญตั ิแหง่ ชาติเป็นผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราช สนิ้ สุดลงในวันก่อนวันเรียกประชมุ รฐั สภาครั้งแรกภายหลงั การ พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตั้งสมาชกิ วฒุ สิ ภาตามวรรคหา้ (๑) หรือวัน โองการ เลอื กตัง้ ท่วั ไปทจ่ี ัดขึน้ ตามรฐั ธรรมนูญนี้ เลอื กตั้งสมาชกิ วุฒสิ ภาตามวรรคห้า (๒) แลว้ แตก่ รณี ในวาระเรมิ่ แรก หากปรากฏวา่ เมอ่ื ตอ้ งมีการประชมุ รัฐสภา สมาชกิ สภานติ ิบญั ญตั แิ หง่ ชาติ นอกจากจะต้องมคี ณุ สมบัติ ใหส้ มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรซึ่งดารงตาแหนง่ อยใู่ นวนั ประกาศ เป็นครง้ั แรกตามมาตรา ๑๒๗ แลว้ แตย่ งั ไม่มวี ฒุ สิ ภา ให้สภา และไมม่ ลี ักษณะต้องห้ามตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ใช้รัฐธรรมนญู น้ี คงเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรตามบทบญั ญัตแิ หง่ นติ ิบญั ญตั แิ ห่งชาติทาหน้าทีว่ ฒุ สิ ภาตอ่ ไป เวน้ แตก่ ารพิจารณาให้ (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ แล้ว ตอ้ งมคี ณุ สมบัตแิ ละไมม่ ี รฐั ธรรมนญู นอี้ ยู่ตอ่ ไปจนครบอายขุ องสภาผู้แทนราษฎร หรอื เม่อื มี บุคคลดารงตาแหนง่ และการถอดถอนจากตาแหน่งตามบทบัญญัตแิ หง่ ลกั ษณะต้องห้าม รวมท้ังเหตแุ ห่งการสนิ้ สดุ สมาชิกภาพตามที่ การยบุ สภา หรอื เม่อื สมาชิกภาพสนิ้ สดุ ลงตามมาตรา ๓๒๓ แลว้ แต่ รัฐธรรมนูญน้ี จนกวา่ จะมวี ุฒิสภาตามรัฐธรรมนญู น้ี และกิจการใดที่ บัญญัตไิ ว้สาหรบั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตาม กรณี ในกรณที ่ตี าแหนง่ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรวา่ งลงไมว่ า่ ดว้ ยเหตุ สภานติ บิ ญั ญตั แิ ห่งชาติได้ดาเนินการในระหวา่ งเวลาดังกลา่ ว ใหม้ ี รฐั ธรรมนูญนี้ ดังต่อไปนด้ี ว้ ย ใดๆ ให้สภาผแู้ ทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรเทา่ ที่ ผลเป็นการดาเนนิ การของวุฒสิ ภา และในกรณที ี่บทบญั ญตั ใิ ดใน (๑) มาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) มอี ยู่ รัฐธรรมนูญนหี้ รือกฎหมายอืน่ บญั ญัติใหป้ ระธานวฒุ ิสภาเป็นผ้ลู ง (๒) มาตรา ๑๐๑ ยกเว้น ใหส้ มาชิกวุฒสิ ภาซึ่งดารงตาแหน่งอยู่ในวันประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู นามรบั สนองพระบรมราชโองการ ให้ประธานสภานิตบิ ญั ญตั ิแห่งชาติ (ก) กรณีตาม (๖) เฉพาะในสว่ นที่เกีย่ วกับมาตรา ๙๘ น้ี คงเปน็ สมาชิกวุฒสิ ภาตามบทบญั ญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู น้ีจนกวา่ เป็นผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ ยกเวน้ (๓) (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) สมาชกิ ภาพของสมาชกิ วุฒสิ ภาจะสิ้นสดุ ลงตามรฐั ธรรมนญู แห่ง มใิ หน้ าบทบัญญตั ิมาตรา ๙๓ มาตรา ๙๔ มาตรา ๑๐๑ (ข) กรณตี าม (๗) เฉพาะในกรณีท่สี มาชิกสภานติ บิ ญั ญัติ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ ซ่ึงแก้ไขเพ่มิ เตมิ ครงั้ สดุ ทา้ ย มาตรา ๑๐๒ มาตรา ๑๐๖ มาตรา ๑๐๙ มาตรา ๑๑๑ มาตรา แห่งชาติเปน็ เจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐทปี่ ฏบิ ัตกิ ารตามหนา้ ที่และอานาจตาม โดยรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๖) ๑๑๓ มาตรา ๑๑๔ มาตรา ๑๑๕ มาตรา ๑๑๙ มาตรา ๑๒๐ กฎหมายหรือคาสง่ั ท่ีชอบด้วยกฎหมาย และในส่วนที่เกี่ยวกบั มาตรา พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙ หรอื สมาชิกภาพของสมาชกิ วฒุ สิ ภาสนิ้ สดุ ลงตาม มาตรา ๑๙๗ วรรคสี่ มาตรา ๒๖๑ และบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายใด ๑๘๔ (๑) มาตรา ๓๒๓ แลว้ แตก่ รณี ในกรณที ่ตี าแหน่งสมาชกิ วฒุ ิสภาว่างลงไม่ ทห่ี ้ามมใิ หบ้ ุคคลดารงตาแหนง่ ทางการเมือง มาใช้บังคบั กับการดารง (๓) มาตรา ๑๐๘ ยกเวน้ ก. คณุ สมบตั ิตาม (๓) และ (๔) และ วา่ ด้วยเหตุใดๆ ให้วฒุ สิ ภาประกอบดว้ ยสมาชิกวุฒิสภาเทา่ ทม่ี ีอยู่ ตาแหนง่ ของสมาชกิ สภานติ บิ ัญญตั ิแห่งชาติ ข. ลกั ษณะต้องห้ามตาม (๑) (๒) และ (๗) แต่เฉพาะกรณีตาม (๑) มิใหน้ าบทบัญญตั ิมาตรา ๑๐๗ (๓) มาตรา ๑๑๘ (๗) มาตรา ให้นาบทบัญญตั มิ าตรา ๑๕๓ มาใช้บงั คบั กบั การสิ้นสดุ ของ นนั้ ไม่รวมสว่ นทีเ่ กยี่ วกับมาตรา ๙๘ (๓) และ (๑๕) ๑๒๑ มาตรา ๑๒๕ (๒) และ (๓) มาตรา ๑๒๖ (๒) และ (๓) มาตรา สภานิตบิ ญั ญตั ิแห่งชาตดิ ว้ ยโดยอนโุ ลม มใิ หน้ ามาตรา ๑๑๒ มาใช้บงั คับแก่การดารงตาแหน่งรฐั มนตรี ๑๒๗ มาตรา ๑๓๐ และมาตรา ๑๓๔ มาใช้บงั คับกับสมาชกิ สภา ของสมาชกิ สภานติ บิ ญั ญัตแิ หง่ ชาติ ผแู้ ทนราษฎรตามวรรคสองและสมาชกิ วฒุ สิ ภาตามวรรคสาม บทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมายใดที่หา้ มมใิ หบ้ คุ คลดารงตาแหนง่ ทาง ในกรณีทมี่ ีเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาตามวรรคสาม การเมือง มใิ ห้นามาใช้บังคบั แก่การดารงตาแหนง่ รัฐมนตรตี าม สน้ิ สดุ ลงพรอ้ มกันทงั้ หมด ใหด้ าเนนิ การใหม้ ีการเลอื กต้ังสมาชิก มาตรา ๒๖๔ ข้าราชการการเมอื งที่ตง้ั ข้นึ เพอื่ ประโยชน์ในการปฏิบตั ิ วฒุ ิสภาตามบทบญั ญัตแิ ห่งรฐั ธรรมนูญนี้ ในคราวแรกดังต่อไปน้ี หนา้ ทขี่ องคณะรัฐมนตรตี ามมาตรา ๒๖๔ หรือเพ่อื ประโยชน์ในการ (๑) ในกรณีที่สมาชกิ ภาพของสมาชิกวฒุ ิสภาสิ้นสุดลงเมอื่ ครบ ปฏบิ ตั ิหน้าทีข่ องคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา ๒๖๕ สปี่ ีนบั แตว่ นั ทพ่ี ระมหากษตั รยิ ์ทรงแตง่ ต้งั ให้ดาเนินการเลือกตง้ั ให้ หรือสมาชิกสภานติ บิ ัญญตั แิ ห่งชาติตามมาตรานี้ แลว้ เสรจ็ ภายในหกสิบวนั ก่อนวันครบสี่ปี ในกรณีเชน่ นี้ ใหอ้ ายุของ ในระหวา่ งทีส่ ภานติ บิ ัญญตั ิแหง่ ชาติทาหนา้ ท่รี ฐั สภา สภา ผ้แู ทนราษฎร และวุฒสิ ภาตามวรรคหนง่ึ ใหอ้ านาจของประธาน

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๘๗ นาถะ ดวงวิชัย ผูบ้ ังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ วฒุ ิสภาและสมาชกิ ภาพของสมาชกิ วฒุ ิสภาทไ่ี ดร้ บั เลือกตงั้ เรม่ิ ผูจ้ ดั ทา นบั ต้ังแต่วนั ท่สี มาชกิ ภาพของสมาชกิ วฒุ สิ ภาตามวรรคสามส้นิ สดุ ลง รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ (๒) ในกรณีทส่ี มาชกิ ภาพของสมาชิกวฒุ ิสภาสน้ิ สดุ ลงตาม มาตรา ๓๒๓ ใหด้ าเนินการเลอื กตงั้ ตามกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู รัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวฒุ สิ ภาตาม ว่าดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวุฒสิ ภา แต่ รฐั ธรรมนญู นห้ี รอื กฎหมาย เปน็ อานาจของประธานสภานติ บิ ญั ญตั ิ ถา้ ยงั ไมม่ กี ฎหมายดงั กล่าว ให้นากฎหมายวา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ แห่งชาติ สภาผแู้ ทนราษฎรซึง่ มผี ลใช้บงั คบั อยใู่ นวนั ประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู น้ี เทา่ ทไี่ ม่ขัดหรือแยง้ ตอ่ รฐั ธรรมนญู นี้ มาใช้บงั คบั กบั การเลือกตง้ั ในระหวา่ งที่สภานติ บิ ัญญัติแห่งชาติทาหน้าทต่ี ามวรรคหนง่ึ สมาชกิ วุฒิสภาดว้ ย โดยให้ใชค้ าว่า “สมาชิกวุฒิสภา” แทนคาวา่ หากมีตาแหนง่ วา่ งลง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะนา “สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร” ทุกแหง่ และให้ประธานกรรมการการ ความกราบบงั คมทลู เพอ่ื ทรงแต่งตง้ั ผู้มีคณุ สมบตั ิและไมม่ ีลักษณะ เลือกตง้ั ทตี่ ั้งข้นึ ตามมาตรา ๓๑๙ เป็นผู้รกั ษาการตามกฎหมาย ต้องห้ามตามวรรคสอง เป็นสมาชกิ สภานิติบญั ญตั แิ ห่งชาตแิ ทนกไ็ ด้ ดงั กลา่ ว และในกรณที ่คี ณะกรรมการการเลือกต้ังเห็นว่าบทบญั ญตั ใิ ด ของกฎหมายวา่ ด้วยการเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรขดั หรือแยง้ เมือ่ มกี ารเลอื กตั้งท่ัวไปครงั้ แรกภายหลังจากวันประกาศใช้ หรือไมส่ อดคล้องกบั รฐั ธรรมนญู นี้ คณะกรรมการการเลอื กตั้งมี รัฐธรรมนูญนี้ สมาชกิ สภานติ ิบัญญตั ิแหง่ ชาตจิ ะสมัครรับเลือกต้ัง อานาจกาหนดระเบียบท่ีจาเปน็ ขนึ้ ใช้แทนบทบญั ญตั ิน้นั ไดเ้ พอ่ื ให้การ เป็นสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรมไิ ด้ เวน้ แต่จะไดพ้ น้ จากตาแหนง่ เลอื กตัง้ เป็นไปโดยสุจรติ และเทยี่ งธรรม ระเบยี บดงั กล่าวและ สมาชกิ สภานิตบิ ญั ญัติแหง่ ชาตภิ ายในเก้าสิบวันนับแตว่ นั ประกาศใช้ ความเห็นทีว่ ่าบทบัญญัติแหง่ กฎหมายดงั กล่าวนนั้ ขดั หรอื แยง้ หรือไม่ รฐั ธรรมนูญน้ี สอดคลอ้ งกับรฐั ธรรมนญู น้ี ใหส้ ง่ ศาลรฐั ธรรมนญู พิจารณาความชอบ ดว้ ยรัฐธรรมนญู ก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา การเลอื กต้งั สมาชิกวฒุ สิ ภาตาม (๒) ให้กระทาภายในเก้าสบิ วัน นับแตว่ นั ครบสองร้อยสส่ี ิบวนั นบั แตว่ ันประกาศใช้รฐั ธรรมนญู น้ี และ มิใหด้ าเนินการเลอื กต้ังในวนั เดยี วกันกบั การเลือกต้ังสมาชกิ สภา ผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๓๒๔ มาตรา ๓๑๖ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภา ผู้แทนราษฎร และผนู้ าฝ่ายคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎร ซ่ึงดารงตาแหนง่ อยใู่ นวนั ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญน้ี คงเปน็ ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร รองประธานสภาผูแ้ ทนราษฎร และผนู้ าฝา่ ยค้านในสภาผแู้ ทนราษฎร ตามบทบัญญัตแิ ห่งรัฐธรรมนญู น้ี

๑๘๘ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคบั บญั ชากลุม่ งานประธานรัฐสภา ผ้จู ดั ทา รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ให้ประธานวฒุ สิ ภาและรองประธานวฒุ สิ ภาซง่ึ ดารงตาแหน่ง อยูใ่ นวันประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญน้ี คงเปน็ ประธานวุฒสิ ภาและรอง ประธานวฒุ ิสภาตามบทบญั ญตั ิแห่งรัฐธรรมนญู นี้ จนกวา่ อายขุ อง วฒุ สิ ภาตามมาตรา ๓๑๕ จะสน้ิ สดุ ลงหรือพ้นจากตาแหน่งกอ่ นถงึ วาระตามมาตรา ๓๒๓ ให้คณะกรรมาธกิ ารซงึ่ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทอี่ ยู่ในวันประกาศใช้รฐั ธรรมนญู น้ี คงเป็นคณะกรรมาธกิ ารตามบทบัญญตั แิ หง่ รัฐธรรมนญู น้ี ให้ขอ้ บงั คับการประชุมสภาผ้แู ทนราษฎร ขอ้ บงั คับการประชุม ของวุฒิสภา และข้อบังคบั การประชุมของรฐั สภา ซ่ึงมผี ลใช้บังคบั อยู่ ในวนั ประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู นี้ ยังคงมผี ลใชบ้ ังคับอยู่ตอ่ ไปเทา่ ที่ไมข่ ัด หรอื แย้งตอ่ รัฐธรรมนญู น้ี และใหข้ อ้ บงั คบั การประชุมดงั กลา่ วสน้ิ ผล ลงเม่อื มีกรณีใดกรณีหนึ่งแลว้ แต่กรณี ดังตอ่ ไปน้ี (๑) เมื่อสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๓๑๕ วรรคหนงึ่ สิน้ อายุ หรอื ถกู ยบุ หรอื เป็นกรณตี ามมาตรา ๓๒๓ (๒) เมื่อมกี ารตราข้อบงั คับการประชมุ วฒุ ิสภาข้ึนใหมต่ าม รฐั ธรรมนูญน้ี ซ่งึ ตอ้ งไมเ่ กินสองรอ้ ยสส่ี บิ วนั นับแตว่ นั ประกาศใช้ รฐั ธรรมนูญน้ี (๓) เม่อื มกี ารตราขอ้ บงั คับการประชุมรฐั สภาข้นึ ใหมต่ าม รัฐธรรมนญู น้ี ซึง่ ต้องไมเ่ กินสองรอ้ ยสีส่ บิ วันนบั แต่วันเรยี กประชุม รัฐสภาภายหลังการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรอันเป็นการ เลอื กตง้ั ท่วั ไปครง้ั แรกตามรฐั ธรรมนญู นี้ มาตรา ๓๑๗ ใหค้ ณะรฐั มนตรที ี่บรหิ ารราชการแผ่นดินอยใู่ น มาตรา ๒๙๘ วรรคหนึ่ง ใหค้ ณะรัฐมนตรที ่ีบริหารราชการ มาตรา ๒๖๔ ใหค้ ณะรัฐมนตรที บ่ี รหิ ารราชการแผ่นดินอยูใ่ น วันประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู นี้ คงเปน็ คณะรฐั มนตรตี ามบทบัญญตั แิ หง่ แผน่ ดนิ อย่ใู นวนั ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญนคี้ งเปน็ คณะรฐั มนตรตี าม วันก่อนวันประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู นี้ เปน็ คณะรัฐมนตรตี าม รัฐธรรมนญู น้ี บทบัญญตั ิแห่งรฐั ธรรมนญู น้ี และใหพ้ ้นจากตาแหนง่ ทงั้ คณะเมือ่ บทบัญญัตแิ หง่ รัฐธรรมนูญน้ี จนกว่าคณะรฐั มนตรที ่ีตั้งข้นึ ใหม่ ใหน้ าบทบญั ญัติมาตรา ๑๕๖ ของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักร คณะรัฐมนตรีทต่ี ัง้ ขนึ้ ใหมต่ ามรฐั ธรรมนูญนเ้ี ขา้ รับหน้าท่ี ภายหลงั การเลือกตั้งทว่ั ไปครั้งแรกตามรฐั ธรรมนญู น้จี ะเขา้ รับหนา้ ที่ ไทย พทุ ธศักราช ๒๕๓๔ ซงึ่ แก้ไขเพ่ิมเตมิ คร้งั สุดท้ายโดยรฐั ธรรมนญู วรรคสาม มใิ ห้นาบทบัญญตั มิ าตรา ๑๗๑ วรรคสอง มาตรา และใหน้ าความในมาตรา ๒๖๓ วรรคสาม มาใชบ้ ังคบั แก่การดารง แหง่ ราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี ๖) พทุ ธศกั ราช ๒๕๓๙ ๑๗๒ มาตรา ๑๗๔ และมาตรา ๑๘๒ (๔) (๗) และ (๘) มาใชบ้ ังคบั กับ ตาแหน่งรฐั มนตรีด้วยโดยอนโุ ลม มาใชบ้ งั คับกบั การอภิปรายไมไ่ วว้ างใจรัฐมนตรเี ป็นรายบุคคลและ การดารงตาแหน่งนายกรฐั มนตรีและรฐั มนตรที ี่บรหิ ารราชการแผน่ ดิน รัฐมนตรตี ามวรรคหน่งึ นอกจากจะต้องมีคณุ สมบตั แิ ละไมม่ ี คณะรัฐมนตรตี ามวรรคหน่ึงหรอื กบั การอภปิ รายไม่ไวว้ างใจรฐั มนตรี อย่ใู นวันประกาศใช้รฐั ธรรมนญู นี้ ลกั ษณะตอ้ งหา้ มตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ช่วั คราว)

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๘๙ นาถะ ดวงวชิ ัย ผู้บังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ เปน็ รายบคุ คลและคณะรัฐมนตรที จ่ี ดั ตง้ั ขึน้ ใหมใ่ นระหว่างท่ียงั ไม่มี ผ้จู ดั ทา การเลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรตามมาตรา ๓๒๔ แลว้ แต่กรณี มาตรา ๒๙๘ วรรคสอง ใหค้ ณะมนตรีความมน่ั คงแห่งชาตติ าม และถา้ มตไิ มไ่ ว้วางใจมคี ะแนนเสยี งตามที่กาหนด กใ็ หร้ ัฐมนตรหี รือ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชั่วคราว) พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๙ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ คณะรัฐมนตรีดังกลา่ ว พ้นจากตาแหนง่ พ้นจากตาแหน่งทงั้ คณะพร้อมกับคณะรัฐมนตรที ี่บริหารราชการ แผน่ ดนิ อยู่ในวันประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญนดี้ ้วย พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ แล้ว ตอ้ งไม่มลี กั ษณะตอ้ งหา้ มตามที่บญั ญัตไิ ว้ เมื่อมีการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรตามมาตรา ๓๒๔ สาหรบั รฐั มนตรีตามมาตรา ๑๖๐ ยกเวน้ (๖) เฉพาะในส่วนท่ี แล้ว ให้คณะรัฐมนตรตี ามวรรคหน่ึงหรือคณะรัฐมนตรีที่จัดตัง้ ขึน้ ใหม่ เกีย่ วกับมาตรา ๙๘ (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) และต้องพ้นจาก ก่อนการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรตามมาตรา ๓๒๔ แล้วแต่ ตาแหนง่ ตามมาตรา ๑๗๐ ยกเว้น (๓) และ (๔) แต่ในกรณีตาม (๔) กรณี พน้ จากตาแหน่ง แตต่ ้องอยใู่ นตาแหน่งเพอ่ื ปฏบิ ัตหิ น้าท่ไี ป เฉพาะในส่วนท่เี กี่ยวกับมาตรา ๙๘ (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) จนกวา่ คณะรัฐมนตรที ีจ่ ัดตงั้ ข้นึ ใหม่จะเข้ารบั หน้าท่ี และยกเว้นมาตรา ๑๗๐ (๕) เฉพาะในสว่ นท่ีเกย่ี วกับการดาเนนิ การ ตามมาตรา ๑๘๔ (๑) มิให้นาบทบญั ญตั ิมาตรา ๑๑๘ (๗) มาตรา ๑๒๗ มาตรา ๒๐๑ มาตรา ๒๐๒ มาตรา ๒๐๓ มาตรา ๒๐๔ มาตรา ๒๐๖ (๒) (๓) และ การดาเนนิ การแต่งตงั้ รฐั มนตรีในระหวา่ งเวลาตามวรรคหน่งึ (๖) มาตรา ๒๐๙ มาตรา ๒๑๕ วรรคสี่ และมาตรา ๒๑๖ (๕) มาใช้ ให้ดาเนินการตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับช่ัวคราว) บงั คบั กับการดารงตาแหน่งและการพ้นจากตาแหน่งของนายกรฐั มนตรี พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร และรฐั มนตรตี ามมาตรานี้ ไทย (ฉบับชัว่ คราว) พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ แกไ้ ขเพิม่ เติม (ฉบับท่ี ๑) พุทธศกั ราช ๒๕๕๘ และรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ ช่วั คราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ แกไ้ ขเพมิ่ เติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ แต่ต้องไมม่ ลี ักษณะต้องห้ามตามวรรคสองดว้ ย ใหน้ าความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจด็ มาใช้บงั คบั แก่การสมคั ร รับเลือกตั้งเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรตี ามวรรคหนึง่ และวรรคสามดว้ ยโดยอนโุ ลม มาตรา ๒๖๕ ให้คณะรักษาความสงบแหง่ ชาติท่ดี ารง ตาแหนง่ อย่ใู นวนั ก่อนวันประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญน้ี ยงั คงอยใู่ น ตาแหน่งเพื่อปฏบิ ัตหิ นา้ ทีต่ อ่ ไปจนกว่าคณะรัฐมนตรที ่ีตง้ั ขนึ้ ใหม่ ภายหลังการเลือกต้งั ทว่ั ไปคร้ังแรกตามรัฐธรรมนญู นจี้ ะเขา้ รับหนา้ ที่ ในระหวา่ งการปฏบิ ตั หิ นา้ ทีต่ ามวรรคหน่ึง ใหห้ ัวหน้าคณะ รกั ษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาตยิ งั คงมี หน้าทแี่ ละอานาจตามทบ่ี ญั ญตั ไิ ว้ในรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย (ฉบบั ชั่วคราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ ซ่ึงแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดย รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับท่ี ๑) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ และ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบับชวั่ คราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แกไ้ ขเพ่มิ เติม (ฉบบั ที่ ๒) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๙ และให้ถอื ว่า

๑๙๐ นาถะ ดวงวิชยั ผ้บู ังคับบญั ชากลุ่มงานประธานรัฐสภา ผู้จัดทา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ บทบญั ญัติของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่วนที่ เก่ียวกับอานาจของหวั หน้าคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาตแิ ละคณะ รกั ษาความสงบแหง่ ชาตยิ งั คงมผี ลใช้บังคับไดต้ ่อไป ใหน้ าความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจ็ด มาใช้บงั คบั แกก่ ารสมคั ร รบั เลอื กต้ังเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรของผดู้ ารงตาแหน่งในคณะ รักษาความสงบแห่งชาตดิ ้วยโดยอนุโลม มาตรา ๒๙๔ ให้สภาร่างรฐั ธรรมนูญและคณะกรรมาธกิ ารยก มาตรา ๒๖๖ ให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรปู ประเทศอย่ปู ฏิบตั ิ ร่างรฐั ธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ช่วั คราว) หน้าท่ตี ่อไปพลางกอ่ นเพือ่ จดั ทาขอ้ เสนอแนะเก่ียวกบั การขบั เคล่ือน พทุ ธศักราช ๒๕๔๙ สน้ิ สุดลงในวันประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญน้ี การปฏิรปู ประเทศ จนกวา่ จะมีกฎหมายวา่ ด้วยแผนและขั้นตอนการ เพอ่ื ประโยชนแ์ ห่งการขจดั ส่วนไดเ้ สยี หา้ มมใิ หก้ รรมาธกิ าร ดาเนินการปฏริ ูปประเทศทต่ี ราขึ้นตามมาตรา ๒๕๙ ยกร่างรัฐธรรมนูญลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั เป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร เพ่ือประโยชน์ในการขบั เคลอ่ื นการปฏริ ปู ประเทศ หัวหน้า หรอื ดารงตาแหน่งสมาชิกวุฒิสภาภายในสองปี นับแต่วันท่ีพ้นจาก คณะรักษาความสงบแหง่ ชาตจิ ะปรับเปลย่ี นโครงสร้างหรอื วิธีการ ตาแหนง่ ตามวรรคหนึง่ ทางานของสภาขบั เคลือ่ นการปฏริ ปู ประเทศเพอ่ื ให้การปฏริ ูป ประเทศตามหมวด ๑๖ การปฏริ ูปประเทศ มปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ ก็ได้ ใหน้ าความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจด็ มาใช้บังคับแกก่ ารสมัคร รับเลอื กตั้งเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของสมาชิกสภาขบั เคลือ่ น การปฏิรปู ประเทศด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๓๒๓ ภายในสองร้อยส่สี บิ วนั นบั แตว่ นั ประกาศใช้ มาตรา ๒๙๕ ให้สภานิติบญั ญตั ิแหง่ ชาติพิจารณารา่ ง มาตรา ๒๖๗ ให้คณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู ทต่ี ้งั ขน้ึ ตาม รัฐธรรมนญู น้ี ใหร้ ัฐสภาดาเนนิ การพิจารณาและใหค้ วามเห็นชอบร่าง พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กต้งั สมาชิกสภา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชวั่ คราว) พทุ ธศักราช พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลือกตั้งสมาชกิ สภา ผู้แทนราษฎรและการไดม้ าซง่ึ สมาชิกวุฒิสภา รา่ งพระราชบญั ญตั ิ ๒๕๕๗ ซงึ่ แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ผแู้ ทนราษฎรและสมาชิกวุฒสิ ภา ร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบ ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมือง และรา่ งพระราชบญั ญัติ (ฉบบั ช่วั คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพ่มิ เติม (ฉบบั ท่ี ๑) รัฐธรรมนญู วา่ ด้วยคณะกรรมการการเลือกต้ัง และรา่ งพระราชบญั ญัติ ประกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตง้ั ท่ีได้รบั จาก พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยพรรคการเมือง ให้แลว้ เสรจ็ ทุกฉบับ โดย คณะกรรมาธกิ ารยกร่างรัฐธรรมนญู ให้แล้วเสรจ็ ภายในระยะเวลาท่ี ช่วั คราว) พทุ ธศักราช ๒๕๕๗ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบบั ที่ ๒) พทุ ธศกั ราช ในระหวา่ งเวลาดังกลา่ วจะยบุ สภาผ้แู ทนราษฎรมไิ ด้ กาหนดตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ๒๕๕๙ อยูป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ท่ตี ่อไป เพือ่ จดั ทาร่างพระราชบญั ญตั ิ ในการดาเนินการตามวรรคหนง่ึ ใหด้ าเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี พุทธศกั ราช ๒๕๔๙ ประกอบรฐั ธรรมนญู ดังตอ่ ไปน้ีใหแ้ ล้วเสร็จ และเสนอต่อสภา (๑) ให้สภาผแู้ ทนราษฎรพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญตั ิ ในกรณีทพี่ น้ กาหนดเวลาตามวรรคหน่งึ แลว้ แต่สภานิตบิ ญั ญตั ิ นิติบัญญตั ิแหง่ ชาติเพอ่ื พิจารณาใหค้ วามเห็นชอบต่อไป ประกอบรัฐธรรมนญู ตามวรรคหนงึ่ ใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายในหน่ึงร้อยยส่ี ิบ แห่งชาตยิ งั พิจารณารา่ งพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ดังกลา่ วไม่ (๑) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการเลือกตงั้ วนั นบั แต่วนั ประกาศใช้รัฐธรรมนญู นี้ ในกรณีทพี่ ้นกาหนดเวลา แล้วเสรจ็ ให้ประธานสภานติ ิบัญญัตแิ ห่งชาตนิ ารา่ งพระราชบัญญตั ิ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ดังกลา่ วแต่การพิจารณาร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ตาม ประกอบรฐั ธรรมนญู ทค่ี ณะกรรมาธกิ ารยกรา่ งรัฐธรรมนญู จดั ทาข้นึ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๙๑ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ ังคับบญั ชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา วรรคหนง่ึ ยังไมแ่ ลว้ เสรจ็ ทุกฉบบั ใหส้ มาชิกภาพของสมาชกิ สภาผูแ้ ทน รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผ้จู ดั ทา ราษฎรสนิ้ สดุ ลงพร้อมกนั ทัง้ หมด และหา้ มมิใหม้ กี ารดาเนินการ เลอื กตัง้ ทั่วไปตามรฐั ธรรมนญู นี้ จนกวา่ จะมกี ารใหค้ วามเห็นชอบร่าง ทูลเกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายภายในเจด็ วนั เพือ่ ทรงลงพระปรมาภไิ ธย โดย รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ตามวรรคหนง่ึ แลว้ เสรจ็ ทกุ ฉบบั ถือเสมือนวา่ สภานติ บิ ญั ญตั แิ หง่ ชาติได้ใหค้ วามเห็นชอบรา่ ง หรอื เปน็ กรณตี ามมาตรา ๓๒๔ ในกรณีน้ี ใหว้ ุฒสิ ภาทาหนา้ ท่รี ฐั สภา พระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ดังกลา่ วแล้ว (๒) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการไดม้ าซึ่ง และดาเนนิ การเสนอและพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบ สมาชกิ วุฒสิ ภา รฐั ธรรมนญู ดงั กลา่ วให้แล้วเสรจ็ ภายในเก้าสบิ วนั นบั แตว่ นั ถัดจากวนั ท่ี ในระหว่างที่พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยพรรค ครบกาหนดหนงึ่ ร้อยย่ีสบิ วนั นบั แต่วันประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู นี้ การเมือง และพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ย (๓) พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ คณะกรรมการการเลอื กตั้ง ตามวรรคหนงึ่ ยังไม่มีผลใช้บังคบั ให้ การเลือกตง้ั (๒) ในกรณีที่สภาผ้แู ทนราษฎรพจิ ารณารา่ งพระราชบัญญตั ิ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยพรรคการเมือง พ.ศ. ประกอบรัฐธรรมนญู ตามวรรคหนง่ึ ทุกฉบับแลว้ เสรจ็ ภายในกาหนด ๒๕๔๑ และพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยคณะกรรมการ (๔) พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมอื ง เวลาตาม (๑) ใหว้ ฒุ ิสภาพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัตปิ ระกอบ การเลือกต้ัง พ.ศ. ๒๕๔๑ ยังคงใชบ้ ังคบั ตอ่ ไปจนกวา่ พระราชบัญญัติ (๕) พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยวธิ ีพิจารณา รฐั ธรรมนญู ดงั กลา่ วให้แลว้ เสร็จภายในเกา้ สิบวันนับแต่วันท่ีวฒุ สิ ภา ประกอบรฐั ธรรมนูญดงั กล่าวจะมีผลใช้บังคบั ของศาลรัฐธรรมนญู ได้รบั ร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญดงั กล่าว (๖) พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ ีพิจารณา คดอี าญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง (๓) ในกรณีทว่ี ฒุ สิ ภาไมส่ ามารถพจิ ารณาร่างพระราชบญั ญัติ (๗) พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยผตู้ รวจการ ประกอบรฐั ธรรมนญู ตามวรรคหนง่ึ ทกุ ฉบับให้แล้วเสรจ็ ภายใน แผน่ ดนิ กาหนดเวลาตาม (๑) หรือ (๒) ใหส้ มาชิกภาพของสมาชิกวฒุ สิ ภา (๘) พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการป้องกัน สิ้นสดุ ลงพร้อมกันท้งั หมด ในกรณที ่ีร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบ และปราบปรามการทจุ ริต รฐั ธรรมนูญใดไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากสภาผ้แู ทนราษฎรแลว้ ให้ถอื ว่า (๙) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการตรวจเงนิ ร่างพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญนนั้ ไดร้ ับความเห็นชอบจาก แผ่นดิน รัฐสภาแลว้ และให้นามาตรา ๙๓ และมาตรา ๙๔ มาใชบ้ ังคบั กับรา่ ง (๑๐) พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการ พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญดังกลา่ วโดยอนุโลม สิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ การดาเนนิ การตามวรรคหนง่ึ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนญู จะ รา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ทีร่ ฐั สภาใหค้ วาม จดั ทารา่ งพระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ดังกลา่ วขึ้นใหม่หรือ เห็นชอบแลว้ หรือถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วตามมาตราน้ี ให้ แก้ไขเพิ่มเตมิ กไ็ ด้ ท้ังนี้ เพ่ือใหส้ อดคล้องกับบทบญั ญัตแิ ละเจตนารมณ์ นายกรฐั มนตรีดาเนินการตามมาตรา ๙๓ โดยพลนั และมใิ หน้ า ของรัฐธรรมนูญ และต้องมงุ่ หมายให้มีการขจัดการทจุ รติ และ กาหนดเวลาตามมาตรา ๙๓ มาใชบ้ งั คบั ประพฤติมชิ อบทุกรปู แบบ และตอ้ งทาใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายในสองรอ้ ย สี่สิบวนั นบั แตว่ ันประกาศใช้รัฐธรรมนญู น้ี และเม่อื สภานติ ิบญั ญตั ิ มใิ ห้นาบทบัญญตั ิมาตรา ๑๖๙ เฉพาะส่วนทวี่ ่าดว้ ยรา่ ง แห่งชาติไดพ้ จิ ารณาร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญที่เสนอ พระราชบญั ญัตเิ ก่ียวด้วยการเงิน มาใชบ้ งั คบั กับการเสนอและการ ตามวรรคหนง่ึ เสรจ็ แลว้ ใหค้ ณะกรรมการร่างรฐั ธรรมนญู เป็นอนั พ้น พิจารณาร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ตามวรรคหนึง่ ของ จากตาแหน่ง แตต่ อ้ งไมช่ า้ กวา่ วันพ้นจากตาแหน่งของสมาชิกสภา สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาตามวรรคสอง (๑) และ (๒) นติ ิบัญญตั แิ ห่งชาตติ ามมาตรา ๒๖๓ เพือ่ ประโยชน์ในการดาเนนิ การตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เกิดประสทิ ธิภาพและรวดเร็ว คณะกรรมการร่างรฐั ธรรมนญู จะ

รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ๑๙๒ นาถะ ดวงวิชยั ผู้บังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ในการดาเนนิ การตามมาตราน้ี มใิ หน้ าบทบัญญตั ิมาตรา ผู้จัดทา ๑๖๘ มาใชบ้ ังคับ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ ขอใหห้ วั หนา้ คณะรักษาความสงบแหง่ ชาติจะแตง่ ต้ังกรรมการร่าง รัฐธรรมนูญตามวรรคหนึ่งเพม่ิ ข้ึนกไ็ ด้ แตร่ วมแล้วต้องไม่เกนิ สามสบิ คน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ตาม วรรคหนงึ่ เมือ่ ได้รบั ร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู จาก คณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนูญแล้ว สภานิติบญั ญตั ิแห่งชาตติ ้อง พจิ ารณาให้แลว้ เสรจ็ ภายในเวลาหกสบิ วนั นบั แตว่ นั ทไ่ี ด้รบั รา่ ง พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู แตล่ ะฉบับ ในกรณที ส่ี ภา นิติบญั ญตั ิแหง่ ชาติพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ฉบับใดไมแ่ ล้วเสร็จภายในเวลาดงั กลา่ ว ใหถ้ อื วา่ สภานติ บิ ัญญัติ แห่งชาติเหน็ ชอบกับร่างพระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญฉบับ นั้นตามท่ีคณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนูญเสนอ เม่อื สภานิติบัญญตั ิแห่งชาตพิ ิจารณารา่ งพระราชบัญญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนญู แล้วเสรจ็ ใหส้ ง่ รา่ งพระราชบัญญตั ปิ ระกอบ รฐั ธรรมนูญนั้นใหศ้ าลรัฐธรรมนญู หรอื องค์กรอสิ ระท่เี กี่ยวขอ้ ง และ คณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนูญเพอื่ พจิ ารณา ถา้ ศาลรฐั ธรรมนญู หรอื องคก์ รอสิ ระท่เี กย่ี วขอ้ ง หรือคณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู เหน็ วา่ ร่างพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญดังกลา่ วไมต่ รงตาม เจตนารมณ์ของรฐั ธรรมนญู ใหแ้ จง้ ให้ประธานสภานติ ิบญั ญตั ิ แห่งชาติทราบภายในสิบวันนบั แตว่ ันทไ่ี ดร้ บั ร่างพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนญู นนั้ และใหส้ ภานติ บิ ัญญัติแหง่ ชาตติ ั้ง คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญข้นึ คณะหนึ่งมจี านวนสิบเอ็ดคน ประกอบด้วย ประธานศาลรฐั ธรรมนญู หรือประธานองค์กรอสิ ระท่เี กยี่ วขอ้ ง และ สมาชกิ สภานติ ิบญั ญตั ิแห่งชาติ และกรรมการร่างรฐั ธรรมนญู ซ่ึง คณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนูญมอบหมาย ฝ่ายละหา้ คน เพื่อ พิจารณาแล้วเสนอตอ่ สภานติ บิ ญั ญตั ิแหง่ ชาตภิ ายในสบิ ห้าวนั นับแต่ วนั ทไ่ี ด้รบั แต่งตัง้ เพอื่ ใหค้ วามเห็นชอบ ถ้าสภานิตบิ ัญญตั แิ หง่ ชาตมิ ี มติไม่เหน็ ชอบด้วยคะแนนเสียงเกนิ สองในสามของจานวนสมาชิก ทั้งหมดเท่าท่มี อี ยขู่ องสภานติ ิบญั ญตั แิ หง่ ชาติ ใหร้ ่างพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนญู น้นั เปน็ อนั ตกไป ในกรณที สี่ ภานติ บิ ัญญตั ิ

รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๙๓ นาถะ ดวงวิชยั ผบู้ ังคับบัญชากลมุ่ งานประธานรัฐสภา ผูจ้ ัดทา มาตรา ๓๒๔ ให้ดาเนินการเลือกต้ังสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๕๐ ตามรัฐธรรมนญู น้ี เมอ่ื มีกรณใี ดกรณีหนึ่งดงั ตอ่ ไปน้ี รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๙๖ วรรคหนึง่ ใหด้ าเนินการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทน (๑) ในกรณที ร่ี ัฐสภาใหค้ วามเหน็ ชอบรา่ งพระราชบญั ญัติ ราษฎรตามรฐั ธรรมนญู น้ีให้แลว้ เสรจ็ ภายในเก้าสิบวัน และดาเนนิ การให้ แหง่ ชาตมิ มี ตไิ ม่ถึงสองในสามดังกล่าว ใหถ้ ือว่าสภานติ ิบัญญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนญู ทุกฉบับแลว้ เสร็จภายในกาหนดเวลาตามมาตรา ไดม้ าซึง่ สมาชิกวุฒสิ ภาตามรฐั ธรรมนูญนีใ้ ห้แลว้ เสรจ็ ภายในหนึง่ รอ้ ยหา้ แหง่ ชาติใหค้ วามเหน็ ชอบตามรา่ งทคี่ ณะกรรมาธิการวิสามญั เสนอและให้ ๓๒๓ วรรคหน่ึง หรอื ในกรณที ส่ี ภาผ้แู ทนราษฎรหรือวฒุ สิ ภาซึง่ ทา สิบวนั ท้งั นี้ นบั แต่วนั ที่พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ตามมาตรา ดาเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา ๘๑ หน้าทร่ี ัฐสภาตามมาตรา ๓๒๓ พจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบรา่ งพระราช ๒๙๕ มผี ลใช้บังคบั บญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ดงั กลา่ วทุกฉบบั ภายในกาหนดเวลาตาม เพื่อประโยชน์แห่งการขจัดสว่ นไดเ้ สยี หา้ มมใิ ห้กรรมการร่าง มาตรา ๓๒๓ ให้คณะกรรมการการเลอื กตัง้ ตามมาตรา ๓๑๙ วรรคสอง ในการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทัว่ ไปคร้ัง รัฐธรรมนญู ดารงตาแหนง่ ทางการเมืองภายในสองปีนบั แต่วนั ที่พน้ ดาเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรตามรฐั ธรรมนญู นี้ภายใน แรกภายหลังวันประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู น้ี ผู้มสี ิทธสิ มคั รรับเลอื กตั้งต้อง จากตาแหนง่ ตามวรรคสอง หกสิบวันนับแต่วันทีส่ ภาผ้แู ทนราษฎรส้ินอายหุ รอื ถูกยุบ หรือเมอ่ื มี เปน็ สมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแตเ่ พียงพรรคเดียวไม่ กรณีตามมาตรา ๓๒๓ นอ้ ยกว่าสามสบิ วันนับถึงวันเลอื กต้งั ส่วนระยะเวลาตามมาตรา ๑๐๑ มาตรา ๒๖๘ ให้ดาเนนิ การเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๔) (ก) ให้ใช้กาหนดเปน็ เวลาหน่ึงปี และระยะเวลาตามมาตรา ๑๐๑ ตามรฐั ธรรมนญู น้ีใหแ้ ล้วเสร็จภายในหนง่ึ ร้อยห้าสิบวนั นบั แตว่ นั ที่ (๒) ในกรณที ี่ท้ังสภาผ้แู ทนราษฎรและวฒุ ิสภาไม่สามารถ (๔) (ค) และ (ง) ใหใ้ ช้กาหนดเปน็ สองปี พระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู และพระราชบญั ญตั ิตามมาตรา พิจารณาและใหค้ วามเหน็ ชอบรา่ งพระราชบญั ญัติประกอบ ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มผี ลใชบ้ งั คับแลว้ รัฐธรรมนูญตามมาตรา ๓๒๓ วรรคหน่ึง ใหแ้ ล้วเสรจ็ ภายในกาหนด ให้มีการเลือกตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนภ้ี ายในเกา้ สบิ วันนบั แต่วันทพี่ น้ กาหนดเวลาตามมาตรา ๓๒๓ วรรคหนึ่ง และให้ นากฎหมายว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรซ่ึงมผี ลใช้ บงั คับอยูใ่ นวันประกาศใช้รฐั ธรรมนูญน้ี เท่าท่ีไมข่ ัดหรือแยง้ ตอ่ รัฐธรรมนญู น้ี มาใช้บังคับกับการเลอื กต้งั ดังกล่าว โดยใหป้ ระธาน กรรมการการเลอื กตง้ั ท่ีตงั้ ขน้ึ ตามมาตรา ๓๑๙ เปน็ ผรู้ กั ษาการตาม กฎหมายดงั กลา่ วและในกรณที คี่ ณะกรรมการการเลอื กตง้ั เหน็ วา่ บทบัญญัติใดของกฎหมายว่าด้วยการเลอื กต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทน ราษฎร ขัดหรือแยง้ หรือไมส่ อดคลอ้ งกบั รัฐธรรมนญู นี้ คณะกรรมการ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๙๔ นาถะ ดวงวิชัย ผู้บังคบั บญั ชากลมุ่ งานประธานรฐั สภา รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ผู้จดั ทา การเลือกต้งั มีอานาจกาหนดระเบยี บที่จาเปน็ ขนึ้ ใช้แทนบทบญั ญัตินนั้ ได้เพือ่ ให้การเลอื กต้งั เปน็ ไปโดยสจุ ริตและเท่ยี งธรรม ระเบียบดงั กลา่ ว รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐ และความเหน็ ทว่ี ่าบทบัญญตั ิแหง่ กฎหมายดงั กลา่ วนนั้ ขัดหรือแยง้ หรอื ไมส่ อดคล้องกับรฐั ธรรมนญู นี้ ให้สง่ ศาลรฐั ธรรมนญู พิจารณา วนิ ิจฉยั ความชอบด้วยรฐั ธรรมนญู ก่อนประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อไดม้ กี ารเลอื กตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิก วฒุ สิ ภาขึน้ ใหมต่ ามรฐั ธรรมนญู น้ีแลว้ และยังไมม่ พี ระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนญู ตามมาตรา ๓๒๓ วรรคหนง่ึ ครบทกุ ฉบบั ให้ สภาผแู้ ทนราษฎรและวฒุ ิสภาดาเนินการพิจารณาและใหค้ วาม เห็นชอบรา่ งพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ท่ยี งั ไมไ่ ดต้ ราขึน้ ตาม มาตรา ๓๒๓ โดยใหเ้ ร่มิ นับกาหนดเวลานบั แต่วันเลอื กตั้งสมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎรอันเปน็ การเลอื กตั้งท่วั ไป เป็นตน้ ไป และให้นาความใน (๒) และมาตรา ๓๑๕ วรรคหา้ (๒) มาใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม มาตรา ๓๒๕ ในการเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรอันเป็น การเลอื กตั้งทว่ั ไปคร้งั แรกภายหลงั การประกาศใช้รัฐธรรมนญู นี้ มใิ ห้ นากาหนดเวลาตามมาตรา ๑๐๗ (๔) มาใช้บังคับ มาตรา ๓๒๖ นอกจากท่มี บี ญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู น้ี กฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรและ สมาชกิ วุฒสิ ภา อย่างนอ้ ยต้องมีสาระสาคัญดงั ต่อไปน้ี (๑) การแจง้ เหตทุ ีท่ าใหไ้ ม่อาจไปเลือกต้งั และการอานวยความ สะดวกในการไปเลือกตงั้ (๒) การใหผ้ ูม้ สี ิทธิเลอื กตง้ั ตามมาตรา ๑๐๕ วรรคสอง ออก เสยี งลงคะแนน (๓) การจัดทาบญั ชีรายชื่อผสู้ มัครรบั เลือกตง้ั แบบบญั ชีรายช่อื การตรวจสอบและการคดั ชือ่ ผู้สมคั รรับเลอื กต้งั ที่ซ้ากันออกจากการ สมัครรบั เลือกต้ัง และการประกาศรายช่อื ผสู้ มคั รรับเลือกตง้ั ซึ่งอยู่ใน บญั ชรี ายชื่อ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ ๑๙๕ นาถะ ดวงวชิ ยั ผูบ้ งั คบั บัญชากลุม่ งานประธานรฐั สภา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๕๐ ผจู้ ัดทา (๔) การกาหนดแบบบัตรเลอื กต้งั ซ่ึงตอ้ งมที ส่ี าหรับทาเคร่อื งหมาย วา่ ไมล่ งคะแนนเลือกตัง้ ผสู้ มัครรับเลอื กตั้ง และการประกาศจานวนผู้ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ไม่ประสงคจ์ ะลงคะแนนเลอื กผู้สมคั รรบั เลือกต้ัง (๕) การสนบั สนุนการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรและ การแนะนาผู้สมคั รรบั เลือกต้ังสมาชิกวฒุ สิ ภาโดยรฐั รวมทั้งวิธกี าร แนะนาผสู้ มคั รรบั เลอื กตั้งโดยผสู้ มคั รรับเลือกตง้ั เป็นสมาชิกวฒุ ิสภา เองหรือบุคคลอ่นื ท่อี าจกระทาได้ (๖) การจากัดวงเงนิ ค่าใช้จา่ ยของผสู้ มคั รรบั เลือกตงั้ การ แตง่ ต้ังสมุหบ์ ญั ชีเลอื กตั้งโดยผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ การตรวจสอบและ การประกาศผลการตรวจสอบค่าใช้จา่ ยในการเลือกตั้งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตัง้ (๗) การนบั คะแนนและการประกาศผลการนบั คะแนนในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในแตล่ ะเขตเลือกตงั้ ซึ่งตอ้ งกระทา โดยเปดิ เผย ณ สถานทแ่ี ห่งใดแห่งหนง่ึ แต่เพยี งแหง่ เดียว เว้นแตเ่ ปน็ กรณีท่ีมคี วามจาเปน็ เฉพาะท้องท่ี คณะกรรมการการเลือกต้ังจะ กาหนดเป็นอย่างอ่ืนก็ได้ (๘) การนบั คะแนนและการประกาศผลการนบั คะแนนในการ เลือกตั้งสมาชกิ วฒุ สิ ภา (๙) การประกาศรายชื่อผไู้ ดร้ ับเลอื กตง้ั จากผู้สมคั รรบั เลอื กตง้ั แบบบัญชรี ายชอื่ และการเลอ่ื นผมู้ ีรายชอ่ื อยู่ในลาดบั ถดั ไปขึ้นมาแทน ผไู้ ดร้ บั เลอื กตัง้ จากผสู้ มคั รรับเลือกต้งั แบบบัญชรี ายชอื่ ซงึ่ พน้ จาก ตาแหนง่ มาตรา ๓๒๗ นอกจากทีม่ ีบญั ญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนญู นี้ กฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตั้ง อยา่ งนอ้ ยต้อง มสี าระสาคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) อานาจหน้าทีข่ องคณะกรรมการการเลอื กต้งั (๒) การดาเนินการของคณะกรรมการการเลือกต้ัง ซึ่งอยา่ ง นอ้ ยต้องประกอบดว้ ยเรอื่ งการแบง่ เขตเลอื กตั้ง การจัดให้มีบญั ชี รายชื่อผมู้ สี ิทธเิ ลอื กตง้ั และการนบั คะแนนใหม่

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ๑๙๖ นาถะ ดวงวชิ ยั ผู้บงั คับบญั ชากลุ่มงานประธานรฐั สภา รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ ผู้จัดทา (๓) การใหก้ ารศึกษาแก่ประชาชนเกีย่ วกบั การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ (๔) กระบวนการสืบสวนสอบสวนและวนิ จิ ฉัยชข้ี าดของ คณะกรรมการการเลอื กตง้ั (๕) การดาเนินคดีในศาลโดยคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ใน ความผิดเกยี่ วกบั การเลอื กตง้ั หรือพรรคการเมอื ง (๖) ความร่วมมือที่ศาล พนักงานอยั การ พนกั งานสอบสวน หรอื หน่วยงานอืน่ ของรฐั ต้องให้แก่คณะกรรมการการเลือกตัง้ (๗) การรบั รองและการแตง่ ตั้งผู้แทนองคก์ ารเอกชนเพ่ือ ประโยชนใ์ นการตรวจสอบการเลอื กต้ัง (๘) การจัดให้มหี นว่ ยงานท่เี ป็นอิสระเพ่อื ดาเนินการเกยี่ วกบั การบริหารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดาเนนิ การอ่ืน โดยมี ประธานกรรมการการเลอื กตัง้ เป็นผูบ้ ังคบั บัญชาสงู สุด (๙) กาหนดเวลาทคี่ ณะกรรมการการเลือกตัง้ จะเริม่ ควบคุม และดาเนินการจดั หรอื จดั ใหม้ กี ารเลือกต้ังสมาชิกสภาทอ้ งถน่ิ หรือ ผบู้ รหิ ารท้องถนิ่ ซง่ึ ต้องไม่เกินสบิ ปีนับแต่วนั ประกาศใช้รัฐธรรมนญู น้ี มาตรา ๓๒๘ นอกจากทีม่ ีบัญญัตไิ วใ้ นรัฐธรรมนญู น้ี กฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมือง อย่างน้อยต้องมีสาระ สาคญั ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) การจดั ต้งั พรรคการเมอื ง ซงึ่ อย่างนอ้ ยให้กระทาไดโ้ ดย บุคคลตัง้ แตส่ ิบห้าคนขน้ึ ไป และการจดแจง้ การจัดตั้งพรรคการเมือง ในทะเบยี นพรรคการเมอื ง (๒) การเลกิ พรรคการเมือง ทง้ั น้ี โดยมใิ หน้ าเอาเหตทุ พี่ รรค การเมืองไมส่ ่งสมาชิกสมัครรบั เลือกตงั้ หรือเหตทุ ไ่ี ม่มสี มาชกิ ของ พรรคการเมืองไดร้ บั เลือกตงั้ มาเป็นเหตุใหต้ ้องเลิกหรือยุบพรรค การเมอื ง (๓) การดาเนินกจิ การของพรรคการเมืองและการจดั ทา รายงานการดาเนินกจิ การของพรรคการเมอื ง (๔) การสนบั สนุนการจดั ตงั้ และพฒั นาสาขาพรรคโดยรัฐ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook