เลม่ ๑๓๑ ตอนท่ี ๖๗ ก หน้า ๑๘ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา (๑) อ้างถึงคําสัง่ เดิมก่อนมกี ารเพิม่ โทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ (๒) อ้างถึงมติของ ก.ร. หรือคําวินิจฉัยขององค์กรตามกฎหมายอื่น ที่ให้เพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ แล้วแต่กรณี โดยแสดงสาระสําคัญโดยสรุปไวด้ ้วย (๓) สง่ั ใหย้ กเลิกคําสั่งเดมิ ตาม (๑) และมคี ําสงั่ ใหม่ให้เปน็ ไปตาม (๒) (๔) ระบวุ ิธกี ารดาํ เนินการเกีย่ วกับโทษท่ไี ด้รับไปแลว้ ข้อ ๗๒ ในกรณีท่ีคําสั่งเดิมเป็นคําส่ังลงโทษไล่ออกหรือปลดออก ถ้ามีการลดโทษเพื่อจะส่ัง ลงโทษใหม่ในความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง งดโทษ หรือยกโทษ ในคําสั่งใหม่ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ และสั่งลงโทษใหมใ่ นความผิดวนิ ัยอยา่ งไม่รา้ ยแรง งดโทษ หรอื ยกโทษ แล้วแต่กรณี การส่ังให้กลับเข้ารับราชการให้ส่ังให้ผู้น้ันดํารงตําแหน่งตามเดิม หรือตําแหน่งอื่นในประเภทเดียวกัน และระดบั เดียวกันหรือในตําแหนง่ ประเภทและระดบั ที่ ก.ร. กําหนด ท้ังน้ี ผู้นั้นต้องมีคุณสมบัติตรงตาม คุณสมบัตเิ ฉพาะสําหรบั ตาํ แหนง่ นั้น ในกรณที ี่ไม่อาจส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการได้เพราะเหตุท่ีก่อนท่ีจะมีคําสั่งใหม่นั้น ผู้น้ันพ้นจากราชการ ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบําเหนจ็ บาํ นาญขา้ ราชการ ตาย หรือออกจากราชการเนือ่ งจากเหตุอ่ืน ให้สั่งงดโทษ หรือสั่งยตุ ิเร่อื ง แลว้ แตก่ รณี แลว้ ให้แสดงเหตทุ ีไ่ ม่อาจสง่ั ให้กลับเขา้ รบั ราชการไวใ้ นคาํ สัง่ นน้ั ด้วย ในคําส่ังใหม่ให้ระบุด้วยว่า เงินเดือนระหว่างท่ีถูกไล่ออกหรือปลดออก ให้เบิกจ่ายให้ผู้น้ันตามกฎหมาย หรอื ระเบยี บว่าด้วยการนั้น ขอ้ ๗๓ ในกรณีที่คําสั่งลงโทษเดิมเป็นคําส่ังลงโทษในความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ถ้ามีการเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ ในคาํ ส่ังใหมใ่ หร้ ะบกุ ารดาํ เนนิ การเกี่ยวกบั โทษท่ไี ด้รบั ไปแลว้ ดงั ต่อไปนี้ (๑) ถ้าเป็นกรณียกโทษ ให้ถือว่าผู้น้ันไม่เคยได้รับโทษทางวินัยมาก่อน และให้ผู้น้ันกลับคืนสู่ สถานะเดมิ กอ่ นมีการลงโทษ ในกรณที ไ่ี ด้มกี ารตดั เงนิ เดอื นหรือลดเงินเดือนผู้นั้นไปเท่าใดให้คืนเงินท่ีได้ตัด หรอื ลดไว้ดงั กล่าวใหผ้ ู้น้ันท้ังหมด (๒) ถ้าเป็นกรณีงดโทษ ในกรณีที่ได้มีการตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือนผู้นั้นไปเท่าใดให้คืนเงิน ท่ีได้ตดั หรือลดไว้ดงั กล่าวให้ผนู้ น้ั ทัง้ หมด (๓) ถ้าเป็นกรณีที่มีผลให้ยังคงต้องลงโทษผู้นั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเพ่ิมโทษหรือลดโทษก็ตาม ให้ดาํ เนินการดงั น้ี (ก) ถ้าเป็นการเพ่ิมโทษให้เป็นโทษตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือน หรือเพ่ิมอัตราโทษ ให้คิดคํานวณจํานวนเงนิ เดอื นทีจ่ ะตดั หรอื ลดตามอตั ราโทษจากเงนิ เดอื นเดิมในขณะท่ีมีคําส่ังลงโทษเดิม (ข) ถ้าเป็นการเพิ่มโทษจากโทษตัดเงินเดือนหรือลดเงินเดือน เป็นปลดออกหรือไล่ออก ให้คืนเงนิ ท่ีได้ตัดหรือลดไปแล้วน้นั ใหผ้ ูน้ ้นั (ค) ถ้าเป็นการลดโทษให้เป็นโทษภาคทัณฑ์ ให้ลงโทษให้เป็นไปตามนั้น ในกรณีท่ีได้มี การตดั เงนิ เดอื นหรือลดเงนิ เดือนผ้นู ั้นไปเทา่ ใด ใหค้ ืนเงินท่ีไดต้ ัดหรอื ลดไว้ดังกล่าวใหผ้ ู้น้ันท้งั หมด - 97 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนท่ี ๖๗ ก หนา้ ๑๙ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา (ง) ถ้าเป็นการลดโทษให้เป็นโทษตัดเงินเดือน หรือลดอัตราโทษของโทษตัดเงินเดือนหรือ ลดเงินเดือน ให้คิดคํานวณจํานวนเงินที่จะตัดหรือลดตามอัตราโทษใหม่จากเงินเดือนเดิมในขณะท่ีมีคําสั่ง ลงโทษเดิม ในกรณีที่จํานวนเงินท่ีจะต้องตัดหรือลดตามคําส่ังลงโทษใหม่ ตํ่ากว่าจํานวนเงินท่ีได้ถูกตัด หรือลดตามคําสัง่ ลงโทษเดิม ให้คนื เงนิ ส่วนที่ไดต้ ดั หรือลดไวเ้ กนิ นน้ั ใหผ้ นู้ ้นั หมวด ๙ การสง่ั พักราชการและใหอ้ อกจากราชการไวก้ ่อน ขอ้ ๗๔ เม่ือข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิด ท่ไี ด้กระทาํ โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอาํ นาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ จะสั่งให้ ผู้น้ันพักราชการเพื่อรอฟังผลการสอบสวนหรือพิจารณา หรือผลแห่งคดีได้ต่อเมื่อมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด ดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ผู้นั้นถูกต้ังกรรมการสอบสวนและผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ พจิ ารณาเห็นว่าถา้ ผนู้ ัน้ คงอยใู่ นหน้าท่ีราชการต่อไปอาจเกดิ การเสียหายแกร่ าชการ (๒) ผู้นัน้ ถูกฟอ้ งคดีอาญา หรือต้องหาวา่ กระทําความผดิ อาญา ในเรื่องเก่ียวกับการปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต หรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์อันไม่น่าไว้วางใจ โดยพนักงานอัยการมิได้รับเป็นทนายแก้ต่างให้ และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ พิจารณาเห็นว่าถ้าผนู้ ั้นคงอยูใ่ นหน้าทร่ี าชการอาจเกดิ การเสยี หายแกร่ าชการ (๓) ผู้นั้นมีพฤติการณ์ท่ีแสดงว่าถ้าคงอยู่ในหน้าที่ราชการจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือจะก่อใหเ้ กดิ ความไม่สงบเรยี บร้อยข้นึ (๔) ผู้น้ันอยู่ในระหว่างถูกควบคุมหรือขังโดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญาหรือต้องจําคุกโดยคําพิพากษา และได้ถกู ควบคุม ขัง หรือต้องจาํ คกุ เปน็ เวลาตดิ ต่อกนั เกินกว่าสบิ ห้าวนั แล้ว (๕) ผู้น้ันถูกต้ังกรรมการสอบสวนและต่อมามีคําพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทําความผิดอาญา ในเร่ืองท่ีสอบสวนนั้น หรือผู้น้ันถูกตั้งกรรมการสอบสวนภายหลังท่ีมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทํา ความผิดอาญาในเร่ืองที่สอบสวนน้ัน และผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ พิจารณาเห็นว่า ข้อเท็จจรงิ ที่ปรากฏตามคาํ พพิ ากษาถึงทสี่ ดุ น้นั ไดค้ วามประจักษ์ชัดอยแู่ ล้ววา่ การกระทาํ ความผิดอาญาของผู้นั้น เปน็ ความผดิ วนิ ยั อย่างร้ายแรง ข้อ ๗๕ การส่ังพักราชการให้ส่ังพักตลอดเวลาท่ีสอบสวนหรือพิจารณา เว้นแต่ผู้ถูกส่ังพักราชการ ผู้ใดได้ร้องทุกข์ตามมาตรา ๘๘ และผู้มีอํานาจพิจารณาคําร้องทุกข์เห็นว่าสมควรสั่งให้ผู้น้ัน กลบั เขา้ ปฏบิ ัติหน้าท่รี าชการกอ่ นการสอบสวนหรอื พจิ ารณาเสร็จส้ิน เน่ืองจากพฤติการณ์ของผู้ถูกส่ังพักราชการ ไม่เปน็ อปุ สรรคตอ่ การสอบสวนหรือพิจารณา และไม่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยต่อไป หรือเนื่องจาก การดําเนินการทางวินัยได้ล่วงพ้นหนึ่งปีนับแต่วันพักราชการแล้วยังไม่แล้วเสร็จและผู้ถูกส่ังพักราชการไม่มี พฤติกรรมดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจสั่งพักราชการส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการก่อนการสอบสวน หรอื พิจารณาเสรจ็ ส้ิน - 98 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนที่ ๖๗ ก หนา้ ๒๐ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา ข้อ ๗๖ ในกรณีท่ีข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกต้ังกรรมการสอบสวนหลายสํานวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิด ในคดีอาญาหลายคดี ถ้าจะส่ังพักราชการในสํานวนหรือคดีใดท่ีเข้าลักษณะตามข้อ ๗๔ ให้ส่ังพักราชการ ในสาํ นวนหรือคดีอ่นื ทกุ สํานวนหรอื ทุกคดที ี่เขา้ ลักษณะตามขอ้ ๗๔ ดว้ ย ในกรณีท่ีได้ส่ังพักราชการในสํานวนใดหรือคดีใดไว้แล้ว ถ้าภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการน้ัน มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในสํานวนอ่ืน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาในคดีอาญาในคดีอ่ืนเพิ่มขึ้น ก็ให้ส่ังพักราชการในสํานวนหรือคดีอื่นที่เพ่ิมข้ึนและเข้าลักษณะ ตามข้อ ๗๕ นั้นดว้ ย ขอ้ ๗๗ การสัง่ พักราชการ ใหส้ ่ังพกั ตงั้ แตว่ ันออกคําส่ัง เวน้ แต่ (๑) ผู้ซ่ึงจะถูกส่ังพักราชการอยู่ในระหว่างถูกควบคุมหรือขังโดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญา หรือ ต้องจําคุกโดยคําพิพากษา การส่ังพักราชการในเร่ืองนั้นให้ส่ังพักย้อนหลังไปถึงวันท่ีถูกควบคุม ขัง หรือ ต้องจาํ คุก (๒) ในกรณีที่ได้มีการส่ังพักราชการไว้แล้ว ถ้าจะต้องส่ังใหม่เพราะคําสั่งเดิมไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง ใหส้ ั่งพักตั้งแต่วนั ใหพ้ กั ราชการตามคําสัง่ เดิม หรอื ตามวันทค่ี วรตอ้ งพกั ราชการในขณะที่ออกคําสงั่ เดิม ข้อ ๗๘ คําส่ังพักราชการต้องระบุช่ือและตําแหน่งของผู้ถูกสั่งพักราชการ ตลอดจนกรณีและ เหตทุ ี่สั่งพกั ราชการ และวันท่ีคําส่งั มผี ลใช้บงั คบั เมื่อไดม้ ีคําสงั่ ให้ผใู้ ดพกั ราชการ ใหแ้ จง้ คาํ สง่ั ใหผ้ ู้นัน้ ทราบ และใหน้ ําข้อ ๖๙ มาใช้บังคับโดยอนโุ ลม ข้อ ๗๙ ในกรณีที่ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดมีเหตุท่ีอาจถูกส่ังพักราชการตามข้อ ๗๔ และ ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ พิจารณาเห็นว่าการสอบสวนหรือพิจารณา หรือ การดําเนนิ คดีน้นั จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ผบู้ ังคับบญั ชาดงั กลา่ วจะสัง่ ใหผ้ ู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อนก็ได้ ในกรณีท่ีได้ส่ังพักราชการไว้แล้ว จะพิจารณาตามวรรคหน่ึงและส่ังให้ผู้ถูกส่ังพักราชการนั้น ออกจากราชการไว้กอ่ นแทนการสงั่ พักราชการกไ็ ด้ ขอ้ ๘๐ การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้ส่ังให้มีผลต้ังแต่วันออกคําสั่ง แต่ถ้าเป็นกรณีท่ีได้ ส่ังให้พักราชการไว้ก่อนแล้ว ให้สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้ังแต่วันส่ังพักราชการเป็นต้นไป หรือในกรณี ทีม่ เี หตุตามข้อ ๗๗ ให้สั่งใหม้ ีผลต้ังแตว่ นั ทีก่ ําหนดไว้ในขอ้ ๗๗ นั้น ให้นาํ ขอ้ ๗๕ ข้อ ๗๖ และขอ้ ๗๘ มาใชบ้ งั คบั แก่การสง่ั ให้ออกจากราชการไว้กอ่ นโดยอนโุ ลม ข้อ ๘๑ การส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และ ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิออกจากราชการไว้ก่อน ให้นําความกราบบังคมทูลเพ่ือมีพระบรมราชโองการ ใหพ้ ้นจากตาํ แหนง่ นบั แต่วนั ออกจากราชการไวก้ ่อน ขอ้ ๘๒ เม่ือได้ส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดพักราชการในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิด วนิ ยั อยา่ งรา้ ยแรงจนถกู ตัง้ กรรมการสอบสวนและปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาแล้ว ให้ดําเนินการ ดังต่อไปน้ี (๑) ในกรณที ผี่ นู้ น้ั กระทาํ ผดิ วนิ ยั อยา่ งร้ายแรง ใหด้ ําเนนิ การตามมาตรา ๗๒ - 99 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนที่ ๖๗ ก หนา้ ๒๑ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา (๒) ในกรณีท่ีผู้น้ันกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ตามข้อ ๘๗ แล้วดําเนินการตามมาตรา ๗๑ แต่หากมีกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ส่ังงดโทษ ตามมาตรา ๗๕ วรรคสอง โดยไม่ต้องสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ และแสดงกรณีกระทําผิดวินัยนั้น ไวใ้ นคาํ สง่ั ดว้ ย (ก) ผนู้ นั้ ได้พน้ จากราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยบําเหนจ็ บํานาญขา้ ราชการแล้ว (ข) ผู้นน้ั มกี รณีทจี่ ะตอ้ งถูกสง่ั ใหอ้ อกจากราชการ (ค) ผู้นัน้ ได้ออกจากราชการดว้ ยเหตอุ ่ืนไปแล้ว โดยมิใช่เพราะเหตตุ าย (๓) ในกรณีท่ีผู้นั้นมิได้กระทําผิดวินัย ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการตามข้อ ๘๗ และส่ังยุติเร่ือง แต่หากมีกรณีใดกรณีหน่ึงดังต่อไปน้ี ให้สั่งยุติเร่ืองโดยไม่ต้องส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติ หน้าท่ีราชการและแสดงเหตทุ ีไ่ ม่สงั่ ใหผ้ นู้ ้ันกลับเขา้ ปฏิบัตหิ นา้ ท่รี าชการไว้ในคําสง่ั นั้นด้วย (ก) ผนู้ ัน้ ไดพ้ ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหนจ็ บํานาญขา้ ราชการแลว้ (ข) ผ้นู น้ั มีกรณที จี่ ะต้องถกู ส่งั ให้ออกจากราชการ (ค) ผนู้ ้ันไดอ้ อกจากราชการดว้ ยเหตุอ่นื ไปแล้ว โดยมิใชเ่ พราะเหตตุ าย (๔) ในกรณีท่ีผู้นั้นกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงหรือมิได้กระทําผิดวินัย แต่มีกรณีอ่ืนที่ผู้น้ัน ถูกสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย ถ้าจะดําเนินการตามมาตรา ๗๑ ให้รอฟังผล การสอบสวนหรือพิจารณาหรือผลแห่งคดีกรณีอื่นนั้น โดยยังไม่ต้องส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ แต่ถ้าเป็นการสั่งยุติเรื่อง ให้สั่งได้โดยไม่ต้องส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ และแสดงเหตุที่ไม่ส่ังให้ ผนู้ น้ั กลบั เขา้ ปฏิบัติหน้าทีร่ าชการไว้ในคําสง่ั นัน้ ด้วย ข้อ ๘๓ เม่อื ได้สั่งให้ขา้ ราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า กระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน และปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาแล้ว ใหด้ ําเนนิ การดงั ต่อไปน้ี (๑) ในกรณที ผี่ ูน้ ัน้ กระทําผิดวนิ ยั อยา่ งร้ายแรง ใหด้ าํ เนินการตามมาตรา ๗๒ (๒) ในกรณีท่ีผู้นั้นกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการตามข้อ ๘๗ แล้วดําเนินการตามมาตรา ๗๑ แต่หากมีกรณีใดกรณีหน่ึงดังต่อไปนี้ ให้สั่งงดโทษตามมาตรา ๗๕ วรรคสอง โดยไม่ต้องสัง่ ใหผ้ นู้ ัน้ กลบั เข้ารับราชการ และแสดงกรณกี ระทําผิดวินยั นั้นไว้ในคาํ สงั่ ด้วย (ก) ผู้น้ันไดพ้ น้ จากราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการแลว้ (ข) ผนู้ ้นั มกี รณที ่จี ะตอ้ งถูกสง่ั ให้ออกจากราชการ (ค) ผนู้ ั้นไดอ้ อกจากราชการดว้ ยเหตอุ ่ืนไปแลว้ โดยมใิ ชเ่ พราะเหตุตาย (๓) ในกรณีท่ีผู้น้ันมิได้กระทําผิดวินัย ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการตามข้อ ๘๗ และสั่งยุติเร่ือง แตห่ ากมกี รณีใดกรณหี น่งึ ดังต่อไปน้ี ให้ส่ังยุติเรื่องโดยไม่ต้องส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการ และแสดงเหตุ ทีไ่ มส่ ่งั ให้ผู้น้นั กลับเขา้ รับราชการไวใ้ นคําส่ังนั้นดว้ ย - 100 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๖๗ ก หนา้ ๒๒ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา (ก) ผ้นู ้นั ไดพ้ ้นจากราชการตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบําเหน็จบํานาญขา้ ราชการแล้ว (ข) ผนู้ ัน้ มกี รณที ีจ่ ะต้องถูกส่งั ใหอ้ อกจากราชการ (ค) ผู้นัน้ ได้ออกจากราชการดว้ ยเหตอุ ื่นไปแล้ว โดยมิใชเ่ พราะเหตตุ าย (๔) ในกรณีที่ผู้นั้นกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงหรือมิได้กระทําผิดวินัย แต่มีกรณีอื่นท่ีผู้นั้น ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย ถ้าจะดําเนินการตามมาตรา ๗๑ ให้รอฟังผลการสอบสวนหรือ พิจารณาหรือผลแห่งคดีกรณีอื่นน้ัน โดยยังไม่ต้องสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการ แต่ถ้าเป็นการส่ังยุติเร่ือง ให้ส่ังยุติเร่ืองโดยไม่ต้องสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการ และแสดงเหตุท่ีไม่ส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการไว้ ในคาํ สั่งนนั้ ด้วย (๕) ในกรณที ี่ผ้นู ั้นกระทาํ ผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แต่มีกรณีที่ผู้นั้นถูกส่ังพักราชการในกรณีอื่นอีกด้วย ให้ส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการโดยให้แสดงไว้ในคําส่ังด้วยว่าผู้น้ันยังไม่อาจกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ได้เน่ืองจากอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการในกรณีอื่น ส่วนการดําเนินการตามมาตรา ๗๑ ให้รอฟังผล การสอบสวนหรอื พจิ ารณาหรอื ผลแหง่ คดีกรณอี นื่ นั้น (๖) ในกรณีที่ผู้น้ันมิได้กระทําผิดวินัย แต่มีกรณีที่ผู้นั้นถูกส่ังพักราชการในกรณีอื่นด้วย ให้ส่งั ยุติเรือ่ ง และสั่งให้ผูน้ ั้นกลบั เขา้ รบั ราชการโดยใหแ้ สดงไวใ้ นคําส่ังด้วยว่าผู้น้ันยังไม่อาจกลับเข้าปฏิบัติ หน้าท่รี าชการได้เน่อื งจากอยใู่ นระหว่างถูกสง่ั พกั ราชการในกรณอี ่ืนน้ัน ข้อ ๘๔ เมื่อได้สั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดพักราชการในกรณีที่ถูกฟ้องคดีอาญา หรือ ตอ้ งหาวา่ กระทําความผิดอาญา และปรากฏผลแหง่ คดถี ึงท่ีสุดแล้ว ใหด้ าํ เนินการดังตอ่ ไปนี้ (๑) ในกรณีที่ผู้น้ันกระทําผิดอาญาจนได้รับโทษจําคุกหรือโทษท่ีหนักกว่าโทษจําคุกโดย คําพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ใหด้ ําเนนิ การตามมาตรา ๗๒ โดยไม่ต้องสั่งใหผ้ ู้น้นั กลบั เขา้ ปฏบิ ตั ิหนา้ ทร่ี าชการ (๒) ในกรณีท่ีผู้นั้นกระทําผิดอาญาจนได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุดในความผิด ท่ีได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษหรือต้องรับโทษจําคุกโดยคําส่ังของศาล ให้ดําเนินการ ตามมาตรา ๖๘ หรือมาตรา ๘๓ (๘) แลว้ แตก่ รณี โดยไม่ตอ้ งส่งั ให้ผนู้ ้นั กลบั เขา้ ปฏิบัตหิ น้าทีร่ าชการ (๓) ในกรณีที่ผนู้ ัน้ กระทาํ ผิดอาญาจนไดร้ ับโทษตาม (๑) หรือ (๒) แต่ศาลรอการกําหนดโทษ หรือให้รอการลงโทษ หรือได้รับโทษอย่างอ่ืนนอกจาก (๑) หรือ (๒) ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ ราชการตามขอ้ ๘๗ และดําเนนิ การทางวินยั ตามกฎ ก.ร. นี้ต่อไป (๔) ในกรณีที่ในคําพิพากษาถึงที่สุดมิได้วินิจฉัยว่าผู้น้ันกระทําผิดอาญา หรือมิได้มีการฟ้อง คดีอาญาในกรณที ่ตี อ้ งหาวา่ กระทําผิดอาญา ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการตามข้อ ๘๗ และ ถ้าการกระทําดังกล่าวมมี ลู ท่ีควรกล่าวหาว่ากระทาํ ผิดวินยั กใ็ หด้ ําเนนิ การตามกฎ ก.ร. น้ตี ่อไป ในกรณที ีผ่ ูถ้ กู สงั่ พกั ราชการตาม (๓) หรอื (๔) ได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จ บํานาญข้าราชการ หรือมีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุอื่น หรือได้ออกจากราชการ - 101 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๖๗ ก หน้า ๒๓ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา ด้วยเหตุอ่ืนไปแล้ว หรือมีกรณีอ่ืนที่ผู้น้ันถูกส่ังพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ต้องสั่งให้ ผู้น้นั กลบั เขา้ ปฏิบตั หิ น้าทีร่ าชการ แต่ใหแ้ สดงเหตทุ ี่ไมส่ ่งั ใหผ้ ูน้ น้ั กลบั เขา้ ปฏิบัติหน้าทรี่ าชการไว้ดว้ ย ข้อ ๘๕ เมื่อได้สั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีที่ถูกฟ้องคดีอาญา หรอื ต้องหาวา่ กระทาํ ความผิดอาญา และปรากฏผลแหง่ คดถี ึงที่สดุ แลว้ ให้ดาํ เนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ในกรณีท่ีผู้น้ันกระทําผิดอาญาจนได้รับโทษจําคุกหรือโทษท่ีหนักกว่าโทษจําคุกโดย คําพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ใหด้ าํ เนนิ การตามมาตรา ๗๒ โดยไมต่ ้องส่งั ใหผ้ ู้น้ันกลับเขา้ รบั ราชการ (๒) ในกรณีท่ีผู้นั้นกระทําผิดอาญาจนได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดในความผิด ที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ให้ดําเนินการตามมาตรา ๖๘ หรือมาตรา ๘๓ (๘) แลว้ แตก่ รณี โดยไมต่ ้องสง่ั ใหผ้ นู้ น้ั กลับเข้ารับราชการ (๓) ในกรณที ี่ผนู้ ้นั กระทําผิดอาญาจนไดร้ ับโทษตาม (๑) หรือ (๒) แต่ศาลรอการกําหนดโทษ หรือให้รอการลงโทษ หรือได้รับโทษอย่างอื่นนอกจาก (๑) หรือ (๒) ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการ ตามขอ้ ๘๗ และดําเนินการทางวนิ ยั ตามกฎ ก.ร. น้ีตอ่ ไป (๔) ในกรณีท่ีในคําพิพากษาถึงท่ีสุดมิได้วินิจฉัยว่าผู้นั้นกระทําผิดอาญา หรือมิได้มีการฟ้อง คดีอาญาในกรณีท่ีต้องหาว่ากระทําผิดอาญา ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้ารับราชการตามข้อ ๘๗ และถ้า การกระทาํ ดงั กล่าวมมี ูลทค่ี วรกลา่ วหาว่ากระทําผดิ วินัยก็ให้ดําเนนิ การตามกฎ ก.ร. นี้ต่อไป ในกรณีที่ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตาม (๓) หรือ (๔) มีกรณีอื่นท่ีถูกส่ังพักราชการด้วย ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการโดยให้แสดงไว้ในคําส่ังด้วยว่าผู้น้ันยังไม่อาจกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ ได้เนื่องจากอยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการในกรณีอ่ืน แต่ถ้าผู้น้ันได้พ้นจากราชการตามกฎหมาย ว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ หรือมีกรณีอื่นท่ีจะต้องถูกส่ังให้ออกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน หรือ ได้ออกจากราชการด้วยเหตุอื่นไปแล้ว หรือมีกรณีอ่ืนที่ผู้นั้นถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ต้องสั่งให้ ผนู้ ั้นกลับเข้ารับราชการ แตใ่ ห้แสดงเหตทุ ไ่ี ม่สง่ั ให้ผู้นั้นกลบั เข้ารบั ราชการไวด้ ้วย ข้อ ๘๖ ในกรณีข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดมีกรณีท่ีถูกดําเนินการทางวินัย หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญาที่ไม่เข้าลักษณะตามข้อ ๗๔ และมีกรณีอื่นท่ีผู้น้ันถูกส่ังพักราชการ หรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน เม่ือปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาหรือผลแห่งคดีถึงที่สุด ในเร่ืองทมี่ ไิ ด้มคี ําสงั่ พกั ราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้ดาํ เนินการดงั นี้ (๑) ในกรณีท่ีผู้น้ันกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือผู้น้ันกระทําผิดอาญาจนได้รับโทษจําคุก หรือโทษท่ีหนักกว่าโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดเว้นแต่เป็นโทษจําคุกสําหรับความผิดที่ได้กระทํา โดยประมาทหรอื ความผิดลหุโทษ ให้ดาํ เนนิ การตามมาตรา ๗๒ (๒) ในกรณที ผ่ี ู้นั้นกระทําผิดวินยั อย่างไมร่ า้ ยแรง ใหร้ อการดําเนินการตามมาตรา ๗๑ ไว้ก่อน จนกว่าจะปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาหรือผลแห่งคดีถึงที่สุดในกรณีอ่ืนนั้นจึงดําเนินการตามควร แกก่ รณตี ่อไป - 102 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนที่ ๖๗ ก หนา้ ๒๔ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา (๓) ในกรณีท่ีสมควรให้ผู้นั้นออกจากราชการตามมาตรา ๘๓ (๖) (๗) หรือ (๘) ให้ดําเนินการ ใหผ้ ู้นั้นออกจากราชการได้ (๔) ในกรณที ผ่ี นู้ ้ันมไิ ดก้ ระทาํ ผิดวินัยในเรือ่ งน้นั ใหส้ ง่ั ยุติเร่อื ง ข้อ ๘๗ ในกรณที ่ีจะต้องสงั่ ให้ผ้ถู กู สัง่ พักราชการผใู้ ดกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือต้องสั่งให้ ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนผู้ใดกลับเข้ารับราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารับราชการในตําแหน่งตามเดิม หรือตําแหน่งอื่น ในประเภทเดียวกันและระดับเดียวกัน หรือในตําแหน่งประเภทและระดับท่ี ก.ร. กําหนด ท้ังน้ี ผู้น้ัน ต้องมีคณุ สมบตั ติ รงตามคุณสมบตั ิเฉพาะสาํ หรบั ตาํ แหนง่ นัน้ ในกรณที ส่ี ั่งให้ผถู้ ูกส่ังใหอ้ อกจากราชการไว้ก่อนกลับเข้ารับราชการในตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ให้ดําเนินการนําความกราบบังคมทูลเพ่ือทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แตง่ ต้ัง ขอ้ ๘๘ คําส่ังพักราชการ คําสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน คําส่ังให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือคาํ ส่ังให้กลบั เขา้ รบั ราชการ ใหม้ สี าระสําคัญตามแบบตัวอยา่ งที่ ก.ร. กําหนด หมวด ๑๐ การนับระยะเวลา ขอ้ ๘๙ การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ร. นี้ ถ้ากําหนดเวลาเป็นวัน สัปดาห์ หรือเดือน มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วย เว้นแต่คณะกรรมการสอบสวนหรือผู้ซึ่งต้องใช้อํานาจตาม กฎ ก.ร. นี้ จะไดเ้ รมิ่ การในวนั นัน้ ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนหรือผู้ซ่ึงต้องใช้อํานาจตามกฎ ก.ร. น้ี ต้องกระทําการอย่างหน่ึง อย่างใดภายในระยะเวลาท่ีกําหนด ให้นับวันสิ้นสุดของระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยแม้ว่าวันสุดท้าย เปน็ วันหยดุ ราชการ ในกรณีท่ีบุคคลอ่ืนนอกจากท่ีกําหนดไว้ในวรรคสองต้องทําการอย่างหนึ่งอย่างใดภายใน ระยะเวลาท่ีกําหนด ถ้าวันสุดท้ายเป็นวันหยุดราชการ ให้ถือว่าระยะเวลานั้นสิ้นสุดในวันทํางานท่ีถัดจาก วันหยุดนน้ั หมวด ๑๑ บทเบด็ เตล็ด ข้อ ๙๐ ในกรณที ่มี เี หตผุ ลความจําเป็นเป็นพิเศษท่ีไม่อาจนําหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลา ท่ีกําหนดในกฎ ก.ร. น้ีมาใช้บังคับได้ การดําเนินการในเร่ืองนั้นจะสมควรดําเนินการประการใดให้เป็นไป ตามที่ ก.ร. กาํ หนด - 103 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนท่ี ๖๗ ก หน้า ๒๕ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา บทเฉพาะกาล ข้อ ๙๑ ในกรณีท่ีได้มีการสั่งให้สอบสวนข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดโดยถูกต้องตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ท่ีใช้อยู่ก่อนวันท่ีกฎ ก.ร. นี้ใช้บังคับ และการสอบสวนน้ันยังไม่แล้วเสร็จ ให้ดําเนินการสอบสวนผู้นั้นตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์นั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ สว่ นการพิจารณาและการดําเนนิ การตอ่ ไปใหด้ ําเนนิ การตามกฎ ก.ร. น้ี ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี ๑๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชยั ประธานสภานิตบิ ัญญตั ิแหง่ ชาติ ทําหน้าท่ีประธานรฐั สภา ประธาน ก.ร. - 104 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนท่ี ๖๗ ก หนา้ ๒๖ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.ร. ฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๗๐ กําหนดให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาเกี่ยวกับการดําเนินการทางวินัย และ การดาํ เนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนในกรณที เี่ ป็นความผดิ วนิ ัยทีป่ รากฏชัดแจ้ง ให้เป็นไปตามที่กําหนดใน กฎ ก.ร. มาตรา ๗๑ กําหนดให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ จะมีอํานาจสั่งลงโทษ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงในสถานโทษและอัตราโทษใดได้เพียงใด ให้เป็นไปตามท่ี กาํ หนดในกฎ ก.ร. มาตรา ๗๖ กาํ หนดใหห้ ลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการส่ังพักราชการ การสั่งให้ออกจาก ราชการไว้ก่อน ระยะเวลาให้พักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน การให้กลับเข้าปฏิบัติราชการหรือกลับ เข้ารับราชการ และการดําเนินการเพ่ือให้เป็นไปตามผลการสอบสวนหรือพิจารณาให้เป็นไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.ร. และมาตรา ๗๘ กําหนดให้เม่ือมีกรณีเพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ให้ผู้ส่ังมีคําส่ังใหม่ และในคําสั่งดงั กล่าว ให้สง่ั ยกเลิกคําส่ังลงโทษเดิม พร้อมทั้งระบุวิธีการดําเนินการเก่ียวกับโทษท่ีได้รับไปแล้ว ให้เป็นไปตามที่กําหนด ในกฎ ก.ร. จงึ จําเป็นต้องออกกฎ ก.ร. น้ี - 105 -
เลม่ ๑๒๙ ตอนท่ี ๒๐ ก หน้า ๕ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ราชกิจจานเุ บกษา กฎ ก.ร. ว่าด้วยหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารการให้บาํ เหนจ็ ความชอบ การกนั เปน็ พยาน การลดโทษ และการใหค้ วามคุ้มครองพยาน พ.ศ. ๒๕๕๕ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) และมาตรา ๗๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบยี บขา้ ราชการรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๕๔ ก.ร. จงึ ออกกฎ ก.ร. ไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี ขอ้ ๑ กฎ ก.ร. นีใ้ ห้ใช้บังคับตง้ั แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๒ ในกฎ ก.ร. นี้ “วนิ ยั ” หมายความว่า วินัยอย่างร้ายแรงตามข้อ ๖ (๑) แห่งกฎ ก.ร. ว่าด้วยวินัยข้าราชการ รัฐสภาสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๕ “พยาน” หมายความวา่ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผใู้ ห้ขอ้ มลู หรอื ใหถ้ อ้ ยคําตามมาตรา ๗๓ หมวด ๑ บททว่ั ไป ข้อ ๓ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดให้ข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชาหรือให้ถ้อยคําในฐานะพยาน ตอ่ ผู้มหี นา้ ท่สี ืบสวนสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาหรือระเบียบของทางราชการ อันเปน็ ประโยชนแ์ ละเป็นผลดยี ่ิงต่อทางราชการ ให้ถือว่าผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ราชการ ซึ่งได้รับความคุ้มครองพยาน และอาจไดร้ บั บาํ เหน็จความชอบเปน็ กรณพี ิเศษ ตามกฎ ก.ร. นี้ ขอ้ มลู หรอื ถ้อยคําตามวรรคหนง่ึ จะถือวา่ เป็นประโยชนแ์ ละเป็นผลดยี ่ิงตอ่ ทางราชการต่อเม่ือเป็น ปัจจัยสําคัญท่ีทําให้ดําเนินการทางวินัยได้ หรือเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ลงโทษทางวินัยแก่ผู้กระทํา ความผิดได้ และมีผลทําให้สามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินเป็นอย่างมากหรือมีผลทําให้สามารถ รักษาไว้ซ่งึ ระบบบริหารราชการทดี่ โี ดยรวมได้ ในกรณที ีข่ า้ ราชการผู้น้นั เป็นผู้กระทําผิดวินัยเสียเองหรืออาจจะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการ กระทําผดิ วนิ ยั ดว้ ย ไม่ให้ได้รับบาํ เหนจ็ ความชอบเปน็ กรณพี ิเศษตามขอ้ น้ี - 106 -
เล่ม ๑๒๙ ตอนท่ี ๒๐ ก หน้า ๖ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ราชกจิ จานุเบกษา ข้อ ๔ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ท่ีอาจจะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการกระทําผิดวินัยกับ ข้าราชการอ่ืน ถ้าได้ให้ข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชา หรือให้ถ้อยคําเก่ียวกับการกระทําผิดวินัยท่ีได้กระทํามา ต่อบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา หรือระเบียบของทางราชการ และข้อมูลหรือถ้อยคํานั้นเป็นปัจจัยสําคัญจนเป็นเหตุให้มีการสอบสวน ทางวินัยแก่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทําผิด อาจได้รับการกันเป็นพยาน การลดโทษ หรือการให้ความ คมุ้ ครองพยานตามกฎ ก.ร. น้ี ข้อ ๕ การใหข้ ้อมูลหรือใหถ้ อ้ ยคาํ ตามข้อ ๓ หรือข้อ ๔ ท่ีจะได้รับประโยชน์ตามกฎ ก.ร. นี้ จะต้องเป็นความเชื่อโดยสุจริตว่ามีการกระทําผิดวินัยหรือเป็นไปตามท่ีตนเองเช่ือว่าเป็นความจริง และไมม่ ีการกลบั ถ้อยคําน้นั ในภายหลงั การให้ข้อมูลหรือถ้อยคําตามวรรคหนึ่ง ไม่ถือเป็นการเปิดเผยความลับของทางราชการ และไมเ่ ปน็ การกระทําการข้ามผู้บังคบั บญั ชาเหนือตน ข้อ ๖ ผู้บังคับบัญชาตามลําดับช้ันท่ีได้รับข้อมูลมีหน้าท่ีรายงานให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็น ผู้มอี ํานาจส่งั บรรจุและแต่งตงั้ เพอ่ื ทราบและพจิ ารณาดําเนนิ การต่อไป หมวด ๒ การคมุ้ ครองพยาน ข้อ ๗ ผู้บังคับบญั ชาตามลาํ ดบั ช้ันและผู้มอี าํ นาจสงั่ บรรจุและแตง่ ตง้ั มหี นา้ ท่ีให้ความคุ้มครองพยาน ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ไมเ่ ปิดเผยชือ่ หรอื ขอ้ มลู ใด ๆ ทจี่ ะทาํ ใหท้ ราบว่าผใู้ ดเป็นผใู้ หข้ อ้ มลู หรือใหถ้ ้อยคํา (๒) ไม่ใช้อํานาจไม่ว่าในทางใดหรือกระทําการอื่นใดอันเป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่เป็นธรรม ซง่ึ อาจมผี ลทําให้กระทบสิทธิหรือหน้าทขี่ องผู้นน้ั ในทางเสยี หาย (๓) ให้ความคมุ้ ครองมใิ หผ้ ู้นน้ั ถกู กลั่นแกล้งหรือถูกข่มขเู่ พราะเหตุท่ีมีการใหข้ อ้ มูลหรือถ้อยคาํ (๔) ประสานงานกับพนกั งานอัยการเพ่ือเปน็ ทนายแกต้ ่างคดใี หถ้ ้าผูน้ นั้ ถกู ฟอ้ งเปน็ คดีตอ่ ศาล ในกรณีที่พยานผู้ใดร้องขอเป็นหนังสือ ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังจะพิจารณาย้ายผู้นั้น หรือพิจารณาดาํ เนินการอื่นใดทเี่ หน็ วา่ จาํ เปน็ เพ่ือให้ผู้นั้นได้รับความคุ้มครอง โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม หรือเห็นชอบจากผู้บงั คับบญั ชาของผู้น้ัน และไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนหรือกระบวนการตามท่ีกฎหมาย บัญญตั ิไว้ก็ได้ ข้อ ๘ พยานผู้ใดเห็นว่าผู้บังคับบัญชาตามลําดับช้ันยังไม่ได้ให้การคุ้มครองตามข้อ ๗ หรอื การให้การคมุ้ ครองดังกลา่ วยังไมเ่ พยี งพอ อาจยืน่ คาํ รอ้ งเป็นหนังสอื ต่อผู้มีอํานาจส่ังบรรจุและแต่งต้ัง เพือ่ พจิ ารณาดาํ เนินการ ข้อ ๙ เมื่อผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งได้รับคําร้องตามข้อ ๘ แล้ว หากมีมูลน่าเช่ือว่า เป็นไปตามทพ่ี ยานกล่าวอา้ ง ให้ผ้มู อี าํ นาจสง่ั บรรจุและแต่งตั้งดาํ เนินการให้ความคุ้มครองพยานในโอกาส แรกท่สี ามารถกระทาํ ได้ - 107 -
เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๐ ก หนา้ ๗ ๒๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๕ ราชกจิ จานเุ บกษา ขอ้ ๑๐ การให้ความคุ้มครองพยานตามหมวดน้ีให้พิจารณาดําเนินการในโอกาสแรกที่สามารถ กระทําได้ และให้เร่ิมต้ังแต่มีการให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคําตามข้อ ๓ หรือข้อ ๔ แล้วแต่กรณี จนกว่า จะมีการสัง่ ยุตเิ รอ่ื งหรือการดาํ เนนิ การทางวินยั ตามกฎหมายแก่ผูเ้ ป็นต้นเหตเุ สรจ็ ส้นิ หมวด ๓ การกนั เป็นพยาน และการลดโทษ ข้อ ๑๑ กอ่ นมกี ารแจ้งเรื่องกล่าวหาว่าขา้ ราชการรฐั สภาสามญั ผใู้ ดกระทาํ ผิดวินัย ถ้าผู้ให้ข้อมูล หรือให้ถ้อยคําตามข้อ ๔ ไม่ใช่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทําผิดวินัยในเร่ืองน้ัน และเป็นกรณีท่ีไม่อาจ แสวงหาขอ้ มูลหรือพยานหลกั ฐานอ่ืนใดเพอ่ื ดําเนินการทางวินัยแก่ผู้เป็นต้นเหตุแห่งการกระทําความผิดวินัย ในเร่ืองน้ันได้นอกจากจะได้ข้อมูลหรือพยานหลักฐานจากผู้นั้น ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ัง อาจกนั ผนู้ ้นั เปน็ พยานได้ ข้อ ๑๒ ในกรณีท่ีผู้ท่ีถูกกันเป็นพยานตามข้อ ๑๑ ไม่มาให้ถ้อยคําต่อบุคคลหรือคณะบุคคล ผู้มีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาหรือระเบียบของทางราชการ หรอื มาแต่ไมใ่ ห้ถ้อยคํา หรือให้ถ้อยคําแต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการ หรือให้ถ้อยคําอันเป็นเท็จ หรือกลบั คําใหก้ าร ให้การกนั ผ้นู ัน้ ไวเ้ ป็นพยานเปน็ อันสน้ิ สุดลง ขอ้ ๑๓ ใหผ้ บู้ งั คับบัญชาผ้มู อี าํ นาจสัง่ บรรจุและแต่งตั้งแจ้งเรื่องการกันข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตามข้อ ๑๑ ไว้เป็นพยาน หรือการส้ินสุดการกันเป็นพยานตามข้อ ๑๒ ให้บุคคลหรือคณะบุคคล ที่มีหน้าท่ีสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาหรือระเบียบของทางราชการ และขา้ ราชการผนู้ ้นั ทราบ ขอ้ ๑๔ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคําตามข้อ ๔ ผู้ใดได้ให้ข้อมูลหรือให้ ถ้อยคาํ ทสี่ ําคัญจนเป็นเหตใุ หล้ งโทษทางวนิ ยั แกผ่ ูเ้ ป็นต้นเหตุแห่งการกระทาํ ผิดได้ และผ้นู ัน้ ต้องถกู ลงโทษ ทางวินัยเพราะเหตุทีไ่ ดร้ ว่ มกระทําผดิ วนิ ยั น้ันด้วย ถ้าผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังพิจารณาเห็นว่าผู้นั้น มไิ ดเ้ ปน็ ตน้ เหตุแหง่ การกระทาํ ความผิดวนิ ยั นนั้ หรือไดร้ ว่ มกระทําความผิดวินัยไปเพราะตกอยู่ในอํานาจบังคับ หรอื กระทาํ ไปโดยรู้เท่าไม่ถงึ การณ์ ผมู้ อี ํานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังอาจพิจารณาลดโทษให้ผู้น้ันตํ่ากว่าโทษ ท่คี วรได้รับจรงิ ได้ แต่ท้ังนีต้ อ้ งไม่ต่ํากว่าการลดโทษทอ่ี าจกระทําไดต้ ามทกี่ ฎหมายกาํ หนด หมวด ๔ การใหบ้ ําเหน็จความชอบเป็นกรณพี เิ ศษ ขอ้ ๑๕ ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ังอาจพิจารณาให้บําเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ แกผ่ ใู้ หข้ ้อมลู หรอื ถอ้ ยคาํ ตามข้อ ๓ ไดด้ ังนี้ - 108 -
เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๐ ก หนา้ ๘ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ราชกจิ จานเุ บกษา (๑) ให้ถือว่าการให้ข้อมูลหรือให้ถ้อยคําน้ันเป็นข้อควรพิจารณาอื่นตามกฎ ก.ร. ว่าด้วย การเลอ่ื นเงินเดือนที่ผู้บงั คบั บญั ชาต้องนําไปใชเ้ ปน็ ข้อมลู ประกอบในการพจิ ารณาเลอื่ นเงินเดือน (๒) เครอื่ งหมายทเี่ ห็นสมควรเพื่อเปน็ เครอ่ื งเชิดชเู กียรติ (๓) รางวลั (๔) คาํ ชมเชยเป็นหนังสือ ขอ้ ๑๖ ใหผ้ มู้ ีอํานาจสง่ั บรรจุและแตง่ ต้ังพิจารณาใหบ้ ําเหน็จความชอบเปน็ กรณพี ิเศษตามข้อ ๑๕ แกผ่ ใู้ ห้ขอ้ มูลหรือให้ถ้อยคาํ ตามข้อ ๓ ตามระดบั ความมากน้อยของประโยชน์และผลดียิ่งต่อทางราชการ ท่ีได้รบั จากการใหข้ ้อมูลหรือถ้อยคํานัน้ ใหไ้ ว้ ณ วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ สมศักดิ์ เกยี รติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ประธาน ก.ร. - 109 -
เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๐ ก หน้า ๙ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้ กฎ ก.ร. ฉบับน้ี คือ โดยท่มี าตรา ๗๓ แหง่ พระราชบัญญัติระเบียบ ขา้ ราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญตั ิวา่ หลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารการใหบ้ ําเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และการให้ความคุ้มครองพยาน ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.ร. สมควรกําหนดหลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเง่ือนไข ในการให้บําเหน็จความชอบ การกันเป็นพยาน การลดโทษ และการให้ความคุ้มครอง พยาน สําหรบั ข้าราชการรัฐสภาสามญั ทใ่ี ห้ขอ้ มูลต่อผู้บงั คับบัญชาหรอื ให้ถ้อยคําในฐานะพยานอนั เปน็ ประโยชน์ และเป็นผลดีย่ิงตอ่ ทางราชการ จงึ จาํ เป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. น้ี - 110 -
เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๗๙ ก หนา้ ๒๑ ๑๐ กนั ยายน ๒๕๕๖ ราชกจิ จานุเบกษา กฎ ก.ร. ว่าดว้ ยการสงั่ ให้ข้าราชการรฐั สภาสามัญออกจากราชการ กรณีเจ็บปว่ ยไมอ่ าจปฏบิ ัตหิ นา้ ทร่ี าชการของตนได้โดยสมา่ํ เสมอ พ.ศ. ๒๕๕๖ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๓ วรรคหน่ึง (๑) และมาตรา ๘๓ วรรคสอง แหง่ พระราชบัญญตั ิระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติ บางประการเก่ียวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซ่ึงมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๓ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๖๔ ของรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้ โดยอาศยั อํานาจตามบทบัญญตั แิ ห่งกฎหมาย ก.ร. จึงออกกฎ ก.ร. ไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ ขอ้ ๑ กฎ ก.ร. น้ใี ห้ใช้บังคับต้ังแตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป ขอ้ ๒ การสั่งให้ข้าราชการรฐั สภาสามญั ผู้ใดออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทน กรณีเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าท่ีราชการของตนได้โดยสม่ําเสมอตามมาตรา ๘๓ วรรคหนึ่ง (๑) ใหผ้ บู้ งั คับบญั ชาซ่ึงมอี าํ นาจส่ังบรรจตุ ามมาตรา ๔๒ พิจารณาดาํ เนินการตามท่กี ําหนดในกฎ ก.ร. น้ี ขอ้ ๓ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ มีอํานาจพิจารณาดําเนินการ ให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนกรณีเจ็บป่วยไม่อาจ ปฏบิ ัติหนา้ ที่ราชการของตนได้โดยสม่ําเสมอ เมือ่ ปรากฏวา่ ผนู้ น้ั มีกรณอี ย่างใดอยา่ งหน่ึง ดังต่อไปนี้ (๑) มีวันลาป่วยรวมกันในหนึ่งปีงบประมาณเกินหน่ึงร้อยยี่สิบวันทําการ หรือมีวันลาป่วย รวมกันเกินหกสิบวันทาํ การในแตล่ ะปีงบประมาณติดต่อกันสองปีงบประมาณ ทั้งนี้ ไม่รวมกรณีป่วยเจ็บ เพราะเหตปุ ฏิบตั ิราชการในหน้าทหี่ รอื ถูกประทษุ ร้ายเพราะเหตุกระทําการตามหนา้ ที่ (๒) ต้องเข้ารับการบําบัดรักษาในฐานะผู้ป่วยในตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิตในสถานบําบัด รกั ษาทางสุขภาพจิตหรือสถานทอ่ี ืน่ ท่ีคณะกรรมการสถานบําบัดรักษาตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิตกําหนด ทั้งนี้ โดยมีระยะเวลารวมกันเกนิ หนึ่งรอ้ ยยีส่ ิบวนั ขอ้ ๔ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดมีวันลาป่วยตามข้อ ๓ (๑) ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจ ส่งั บรรจุตามมาตรา ๔๒ ส่งตวั ผูน้ ั้นไปรับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐเพือ่ ประกอบการพจิ ารณา - 111 -
เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๗๙ ก หน้า ๒๒ ๑๐ กนั ยายน ๒๕๕๖ ราชกิจจานุเบกษา ข้อ ๕ เมื่อไดร้ บั ผลการตรวจตามขอ้ ๔ แลว้ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมอี ํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ ต้องนําผลการตรวจ รายละเอียดเก่ียวกับโรค หรือความเจ็บป่วยของผู้นั้น ระยะเวลาในการรักษาตัว และความเหน็ ของแพทย์มาประกอบการพิจารณา แลว้ ดาํ เนนิ การอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ดังต่อไปนี้ (๑) ถ้าเห็นว่าผู้น้ันต้องลาป่วยต่อไปอีกเป็นเวลานานจนไม่อาจปฏิบัติหน้าท่ีราชการได้โดย สมาํ่ เสมอให้สงั่ ให้ผูน้ น้ั ออกจากราชการเพือ่ รบั บําเหน็จบํานาญเหตทุ ดแทน (๒) ถ้าเหน็ ควรใหโ้ อกาสผู้นน้ั มเี วลาในการพักรักษาตัวต่อไปอกี ระยะหน่ึง ให้กําหนดระยะเวลา ให้ผู้นั้นลาป่วยอีกคร้ังหนึ่งเพ่ือพักรักษาตัวต่อไปได้ตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินหกสิบวันทําการ และเม่อื ครบกาํ หนดเวลาดังกล่าวแล้ว ให้ส่ังให้ผู้น้ันไปรับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐตามข้อ ๔ อีกคร้ังหนึ่ง ถ้าผลการตรวจของแพทย์เห็นว่าผู้นั้นยังคงต้องพักรักษาตัวต่อไปอีก ให้สั่งให้ผู้น้ันออกจาก ราชการเพอ่ื รบั บําเหนจ็ บํานาญเหตุทดแทน ในกรณีทผี่ ้บู งั คบั บัญชาซ่ึงมอี าํ นาจสง่ั บรรจุตามมาตรา ๔๒ ให้โอกาสผู้น้ันพักรักษาตัวต่อไปตาม (๒) ถา้ ผู้นัน้ ประสงคท์ จ่ี ะออกจากราชการ ใหส้ ง่ั ให้ผูน้ นั้ ออกจากราชการเพอ่ื รบั บาํ เหนจ็ บํานาญเหตทุ ดแทน ข้อ ๖ ในกรณีท่ีข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดแสดงความผิดปกติทางจิตตามกฎหมายว่าด้วย สขุ ภาพจิต โดยมีพฤติกรรมท่ีแสดงออกโดยประการท่ีน่าจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรอื ทรัพย์สินของตนเองหรอื ผอู้ ืน่ ให้ผู้บังคบั บญั ชาซ่ึงมอี ํานาจสง่ั บรรจุตามมาตรา ๔๒ ส่งตัวผู้น้ันไปยัง สถานพยาบาลของรฐั เพื่อเขา้ รับการตรวจวนิ ิจฉัยและประเมินอาการ ในกรณีท่สี ถานพยาบาลของรฐั เหน็ วา่ ผูน้ ั้นตอ้ งเขา้ รับการบําบดั รกั ษาทางสุขภาพจติ ในฐานะผู้ป่วยใน ตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิตในสถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิตหรือสถานที่อ่ืนที่คณะกรรมการ สถานบําบัดรกั ษาตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิตกําหนด และผนู้ น้ั เข้ารับการบําบัดรักษาโดยมีระยะเวลา รวมกันเกินหนงึ่ ร้อยยส่ี บิ วันตามข้อ ๓ (๒) ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ สั่งให้ ผนู้ น้ั ออกจากราชการเพอื่ รับบาํ เหน็จบํานาญเหตุทดแทน ข้อ ๗ ในกรณีที่ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดเป็นผู้ป่วยในตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิต และเข้ารับการรักษาในสถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิตหรือสถานที่อื่นตามท่ีกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิต กําหนดรวมกนั เกนิ หน่ึงร้อยยี่สิบวัน ตามข้อ ๓ (๒) ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ สง่ั ใหผ้ ูน้ น้ั ออกจากราชการเพอ่ื รับบาํ เหน็จบํานาญเหตุทดแทน ข้อ ๘ การส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการตามกฎ ก.ร. นี้ ให้ทําเป็นคําสั่ง ระบุเหตแุ ห่งการส่ังให้ออกจากราชการ ระบุวันที่จะให้ออกจากราชการซ่ึงต้องเป็นไปตามระเบียบ ก.ร. ว่าด้วยวนั ออกจากราชการของขา้ ราชการรฐั สภาสามญั รวมทงั้ ตอ้ งแจ้งสิทธิและระยะเวลาในการอุทธรณ์ ไว้ในคาํ สงั่ นัน้ ด้วย และเม่อื มคี ําสง่ั แล้วใหแ้ จ้งใหผ้ ู้ถกู สงั่ ใหอ้ อกจากราชการทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันท่ี มีคาํ สง่ั ให้ออกจากราชการ - 112 -
เลม่ ๑๓๐ ตอนท่ี ๗๙ ก หนา้ ๒๓ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ราชกิจจานุเบกษา ขอ้ ๙ เมือ่ ผู้บังคบั บญั ชาซ่ึงมีอาํ นาจสัง่ บรรจุตามมาตรา ๔๒ มีคําส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ออกจากราชการตามกฎ ก.ร. นแี้ ล้ว ให้รายงาน ก.ร. และให้นาํ มาตรา ๗๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีท่ี ก.ร. เห็นว่าคําส่ังดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม และมีมติเป็นประการใด ใหผ้ ูบ้ งั คับบัญชาซงึ่ มอี าํ นาจสั่งบรรจตุ ามมาตรา ๔๒ ปฏิบตั ใิ หเ้ ป็นไปตามท่ี ก.ร. มีมติ เม่ือผบู้ ังคบั บญั ชาซึ่งมีอํานาจสัง่ บรรจตุ ามมาตรา ๔๒ มีคาํ สั่งหรอื ปฏิบัติตามที่ ก.ร. มีมติแล้ว ให้แจ้งคาํ สั่งหรือการปฏบิ ัตดิ ังกลา่ วใหข้ ้าราชการรฐั สภาสามญั ผู้นนั้ ทราบ ขอ้ ๑๐ ผู้ถกู สัง่ ให้ออกจากราชการตามกฎ ก.ร. น้ี มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ร. ภายในสามสิบวัน นับแต่วันทราบหรือวันท่ีถอื ว่าทราบคําสัง่ ใหอ้ อกจากราชการตามข้อ ๘ ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรฐั สภา ประธาน ก.ร. - 113 -
เลม่ ๑๓๐ ตอนที่ ๗๙ ก หนา้ ๒๔ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ราชกจิ จานเุ บกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชก้ ฎ ก.ร. ฉบับน้ี คือ โดยที่มาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ขา้ ราชการรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญตั ิให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ มีอํานาจส่ังให้ ข้าราชการรัฐสภาสามญั ออกจากราชการเพอื่ รบั บาํ เหนจ็ บาํ นาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าดว้ ยบําเหนจ็ บํานาญ ขา้ ราชการ กรณีเม่ือข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการของตนได้โดยสม่ําเสมอ และการส่ังใหอ้ อกจากราชการในกรณีดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ าํ หนดในกฎ ก.ร. จงึ จําเป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. น้ี - 114 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หนา้ ๒๐ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา กฎ ก.ร. วา่ ดว้ ยการสั่งใหข้ ้าราชการรฐั สภาสามัญออกจากราชการ กรณีสมัครไปปฏบิ ตั ิงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๗ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๓ วรรคหน่ึง (๒) และมาตรา ๘๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญตั ริ ะเบยี บข้าราชการรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๕๔ ก.ร. จึงออกกฎ ก.ร. ไว้ ดังตอ่ ไปนี้ ขอ้ ๑ กฎ ก.ร. นใ้ี หใ้ ชบ้ งั คับตั้งแตว่ นั ถดั จากวันประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเป็นตน้ ไป ข้อ ๒ การส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทน สําหรับกรณีท่ีสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ ตามมาตรา ๘๓ (๒) ให้สั่งได้เฉพาะ การสมคั รไปปฏิบัติงานในหน่วยงาน ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) รัฐวสิ าหกิจ (๒) องค์การมหาชน (๓) หน่วยบรกิ ารรปู แบบพเิ ศษ (๔) หนว่ ยงานของรัฐท่ีจดั ตงั้ ขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ (๕) หน่วยงานของรัฐทจ่ี ัดตั้งขนึ้ ตามมตคิ ณะรัฐมนตรี (๖) หนว่ ยงานอื่นตามท่ี ก.ร. กําหนด หน่วยงานตามวรรคหนง่ึ ต้องเป็นหนว่ ยงานทีจ่ ดั ต้งั ข้ึนใหมเ่ ป็นเวลาไมเ่ กินห้าปี ขอ้ ๓ การไปปฏิบัติงานตามความประสงค์ของทางราชการตามกฎ ก.ร. นี้ หมายถึง การไปปฏบิ ตั ิงานตามความประสงคร์ ว่ มกันของส่วนราชการสงั กัดรัฐสภาต้นสังกัดและหน่วยงานตามข้อ ๒ และต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทางราชการ โดยอาจเป็นไปเพ่อื ประโยชน์ของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ต้นสังกัด หนว่ ยงานตามข้อ ๒ หรอื เปน็ ไปเพอื่ ประโยชนข์ องทางราชการโดยรวมก็ได้ ขอ้ ๔ การส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดออกจากราชการเพ่ือไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงคข์ องทางราชการตามกฎ ก.ร. น้ี ให้สงั่ ไดเ้ มอื่ ขา้ ราชการรัฐสภาสามัญผูน้ ั้น (๑) ไดแ้ สดงความสมัครใจเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร (๒) มีคุณสมบัติ ดังตอ่ ไปนี้ - 115 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หน้า ๒๑ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา (ก) มีอายไุ มถ่ งึ ห้าสิบปีบรบิ รู ณ์ (ข) มรี ะยะเวลาในการรบั ราชการมาแล้วไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าปี (๓) ไมม่ ีลกั ษณะตอ้ งห้าม ดงั ตอ่ ไปน้ี (ก) อยูร่ ะหวา่ งถูกดาํ เนนิ การทางวินยั (ข) อยู่ระหวา่ งรับราชการชดใชท้ ุน ในกรณที ่ีมีเหตผุ ลความจาํ เปน็ เพ่ือประโยชน์ของทางราชการ ก.ร. จะพิจารณายกเว้นคุณสมบัติ หรอื ลกั ษณะตอ้ งหา้ มตามวรรคหน่งึ ให้เป็นการเฉพาะรายกไ็ ด้ ใหไ้ ว้ ณ วันที่ ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ศาสตราจารย์พเิ ศษพรเพชร วชิ ติ ชลชยั ประธานสภานิติบัญญตั แิ หง่ ชาติ ทําหน้าท่ีประธานรัฐสภา ประธาน ก.ร. - 116 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนท่ี ๗๓ ก หนา้ ๒๒ ๒๒ ตลุ าคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.ร. ฉบับน้ี คือ โดยท่ีมาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ มีอํานาจส่ังให้ ขา้ ราชการรัฐสภาสามญั ออกจากราชการเพ่อื รับบาํ เหนจ็ บาํ นาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กรณเี มื่อข้าราชการรัฐสภาสามัญผใู้ ดสมัครไปปฏบิ ัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ และการส่ังให้ ออกจากราชการในกรณีดังกล่าวให้เป็นไปตามท่ีกําหนดในกฎ ก.ร. จึงจาํ เป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. นี้ - 117 -
เลม่ ๑๓๐ ตอนท่ี ๗๑ ก หนา้ ๗ ๑๖ สงิ หาคม ๒๕๕๖ ราชกจิ จานเุ บกษา กฎ ก.ร. วา่ ดว้ ยการสัง่ ใหข้ ้าราชการรฐั สภาสามัญออกจากราชการ กรณขี าดคุณสมบัติทว่ั ไป หรือมลี ักษณะต้องห้าม กรณีหย่อนความสามารถ บกพร่องในหนา้ ท่ี หรอื ประพฤติตน ไม่เหมาะสม กรณีมมี ลทนิ หรือมัวหมอง และกรณีต้องรับโทษจําคุกในความผดิ ท่ไี ด้กระทาํ โดยประมาทหรือความผิดลหโุ ทษ หรือตอ้ งรบั โทษจําคกุ โดยคาํ สงั่ ของศาล พ.ศ. ๒๕๕๖ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๓ วรรคหนึ่ง (๓) (๖) (๗) และ (๘) และมาตรา ๘๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็น กฎหมายท่ีมีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกบั มาตรา ๓๑ มาตรา ๓๓ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๖๔ ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัตใิ หก้ ระทําได้โดยอาศยั อาํ นาจตามบทบัญญตั แิ ห่งกฎหมาย ก.ร. จงึ ออกกฎ ก.ร. ไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ ข้อ ๑ กฎ ก.ร. น้ีใหใ้ ชบ้ ังคับตัง้ แตว่ ันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป ขอ้ ๒ เม่ือมีกรณีท่ีจะต้องส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญ เหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการเพราะเหตุดังต่อไปนี้ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจ ส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ ต้องให้ผู้นั้นมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้ง และแสดงพยานหลักฐานของตน (๑) ขาดคุณสมบตั ทิ ว่ั ไปเนื่องจากไมม่ สี ญั ชาติไทยตามมาตรา ๓๗ ก. (๑) (๒) มีลักษณะตอ้ งหา้ มเนอ่ื งจากดํารงตาํ แหนง่ ทางการเมืองตามมาตรา ๓๗ ข. (๑) (๓) มีลักษณะต้องห้ามเน่ืองจากเป็นกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหาร พรรคการเมืองหรอื เจ้าหนา้ ทใ่ี นพรรคการเมอื งตามมาตรา ๓๗ ข. (๒) (๔) มีลักษณะต้องห้ามเน่ืองจากเป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรอื จิตฟ่ันเฟอื นไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กาํ หนดในกฎ ก.ร. ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๓๗ ข. (๓) (๕) มีลักษณะต้องหา้ มเน่อื งจากเป็นบุคคลลม้ ละลายตามมาตรา ๓๗ ข. (๖) - 118 -
เลม่ ๑๓๐ ตอนที่ ๗๑ ก หน้า ๘ ๑๖ สงิ หาคม ๒๕๕๖ ราชกิจจานุเบกษา (๖) ตอ้ งรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุดให้จําคุกในความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือ ความผิดลหุโทษ หรือต้องรับโทษจําคกุ โดยคําสั่งของศาลซ่ึงยงั ไม่ถงึ กบั จะต้องถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ตามมาตรา ๘๓ (๘) หากผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ พิจารณาหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แลว้ เห็นวา่ มีเหตุตามวรรคหน่ึง ใหส้ ่ังให้ผนู้ ้นั ออกจากราชการตามมาตรา ๘๓ (๓) หรือ (๘) เพราะเหตุดังกล่าว แล้วแตก่ รณี ข้อ ๓ เมอื่ มีกรณที ี่จะตอ้ งสงั่ ใหข้ ้าราชการรัฐสภาสามญั ผู้ใดออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญ เหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการเพราะเหตุดังต่อไปนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมี อาํ นาจสงั่ บรรจุตามมาตรา ๔๒ สง่ั แต่งตงั้ คณะกรรมการขน้ึ คณะหนึ่งเพื่อทําการสอบสวนโดยไม่ชกั ช้า (๑) ขาดคุณสมบัติทั่วไปเน่ืองจากไม่เล่ือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ ตามมาตรา ๓๗ ก. (๓) (๒) หย่อนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ราชการ บกพร่องในหน้าท่ีราชการ หรือ ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่ราชการ ถ้าให้ผู้น้ันรับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ ตามมาตรา ๘๓ (๖) การสอบสวนตามวรรคหนงึ่ และการสง่ั ใหอ้ อกจากราชการ ให้นาํ ความในมาตรา ๗๐ วรรคหน่ึง มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ข้อ ๔ เมอ่ื มีกรณีที่จะต้องสั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามญั ผูใ้ ดออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญ เหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการเพราะเหตุท่ีมีกรณีถูกสอบสวนว่ากระทําผิด วินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๖๘ และผลการสอบสวนไม่ได้ความแน่ชัดพอท่ีจะฟังลงโทษตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง หากผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ เห็นว่ามีมลทินหรือมัวหมองในกรณี ท่ีถูกสอบสวน ถ้าให้รับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ ให้ส่ังให้ผู้น้ันออกจากราชการ ตามมาตรา ๘๓ (๗) ขอ้ ๕ การส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการตามกฎ ก.ร. น้ี ให้ทําเป็นคําสั่ง ระบเุ หตแุ ห่งการส่ังให้ออกจากราชการ ระบุวันที่จะให้ออกจากราชการซึ่งต้องเป็นไปตามระเบียบ ก.ร. วา่ ดว้ ยวันออกจากราชการของข้าราชการรฐั สภาสามัญ รวมทั้งตอ้ งแจ้งสทิ ธิและระยะเวลาในการอุทธรณ์ ไวใ้ นคําสง่ั นน้ั ด้วย และเมอ่ื มีคาํ สงั่ แล้วให้แจ้งให้ผถู้ ูกสัง่ ใหอ้ อกจากราชการทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ มคี ําส่ังให้ออกจากราชการ ข้อ ๖ เม่ือผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ มีคําส่ังให้ข้าราชการรัฐสภา สามญั ออกจากราชการตามกฎ ก.ร. นแ้ี ลว้ ให้รายงาน ก.ร. และให้นํามาตรา ๗๗ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม ในกรณีท่ี ก.ร. เห็นว่าคําสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม และมีมติเป็นประการใด ใหผ้ ้บู งั คบั บัญชาซ่ึงมีอํานาจสง่ั บรรจตุ ามมาตรา ๔๒ ปฏิบตั ใิ หเ้ ป็นไปตามท่ี ก.ร. มีมติ - 119 -
เลม่ ๑๓๐ ตอนที่ ๗๑ ก หน้า ๙ ๑๖ สงิ หาคม ๒๕๕๖ ราชกิจจานเุ บกษา เมอ่ื ผูบ้ งั คับบัญชาซึ่งมีอํานาจสงั่ บรรจุตามมาตรา ๔๒ มคี ําส่ังหรอื ปฏิบัติตามที่ ก.ร. มีมติแล้ว ใหแ้ จ้งคาํ สง่ั หรือการปฏบิ ตั ดิ ังกลา่ วให้ข้าราชการรฐั สภาสามญั ผ้นู น้ั ทราบ ขอ้ ๗ ผูถ้ กู สัง่ ให้ออกจากราชการตามกฎ ก.ร. นี้ มสี ทิ ธอิ ทุ ธรณ์ต่อ ก.ร. ภายในสามสิบวัน นบั แตว่ นั ทราบหรอื วันทีถ่ ือว่าทราบคําส่ังใหอ้ อกจากราชการตามขอ้ ๕ ให้ไว้ ณ วันท่ี ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ สมศักด์ิ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ประธาน ก.ร. - 120 -
เล่ม ๑๓๐ ตอนท่ี ๗๑ ก หน้า ๑๐ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ราชกจิ จานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้กฎ ก.ร. ฉบับน้ี คือ โดยที่มาตรา ๘๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติให้การส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการเพื่อรับ บําเหน็จบาํ นาญเหตทุ ดแทนตามกฎหมายวา่ ด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามมาตรา ๘๓ (๓) กรณีขาดคุณสมบัติ ทว่ั ไปหรือมลี ักษณะตอ้ งหา้ ม มาตรา ๘๓ (๖) กรณหี ยอ่ นความสามารถ บกพรอ่ งในหน้าท่ี หรือประพฤติตน ไม่เหมาะสม มาตรา ๘๓ (๗) กรณีมีมลทินหรือมัวหมอง และมาตรา ๘๓ (๘) กรณีต้องรับโทษจําคุกใน ความผดิ ทไี่ ด้กระทําโดยประมาทหรอื ความผิดลหุโทษ หรือต้องรับโทษจําคุกโดยคําส่ังของศาล ซึ่งยังไม่ถึงกับ จะต้องถูกลงโทษปลดออกหรอื ไลอ่ อก ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.ร. ดงั น้นั เพอ่ื ใหก้ ารดาํ เนนิ การดังกลา่ ว เปน็ ไปด้วยความยุติธรรมและปราศจากอคติ โดยคาํ นงึ ถงึ ผลสัมฤทธแ์ิ ละประสิทธิภาพของทางราชการและเป็น หลกั ประกันความเปน็ ธรรมแกข่ า้ ราชการรฐั สภาสามัญ สมควรกาํ หนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการดําเนินการดังกล่าว จงึ จําเปน็ ต้องออกกฎ ก.ร. น้ี - 121 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนท่ี ๗๓ ก หนา้ ๒๓ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา กฎ ก.ร. วา่ ด้วยการส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการ กรณที างราชการเลิกหรอื ยุบหน่วยงานหรือตําแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๗ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๓ วรรคหนึ่ง (๔) และมาตรา ๘๓ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ริ ะเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ ก.ร. จึงออกกฎ ก.ร. ไว้ ดังต่อไปนี้ ขอ้ ๑ กฎ ก.ร. น้ีให้ใชบ้ งั คับตง้ั แตว่ นั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป ข้อ ๒ เม่ือมีกรณีท่ีทางราชการเลิกหรือยุบหน่วยงานหรือตําแหน่งใดท่ีข้าราชการรัฐสภาสามัญ ผู้ใดปฏิบัติหน้าท่ีหรือดํารงตําแหน่งอยู่ ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ แจ้งให้ ขา้ ราชการรัฐสภาสามัญผูน้ ั้นทราบและใหแ้ สดงความประสงค์วา่ ตอ้ งการจะรับราชการตอ่ ไปหรอื ไม่ ในกรณีที่ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้นั้นไม่ประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้ผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๔๒ ส่ังให้ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบํานาญ เหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการเพราะเหตุท่ีมีการเลิกหรือยุบหน่วยงาน หรือตําแหน่งนั้นนับแต่วันที่หน่วยงานหรือตําแหน่งน้ันเลิกหรือถูกยุบ และให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ผู้นน้ั ไดร้ บั เงินชดเชยตามหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงอ่ื นไขท่กี ระทรวงการคลงั กําหนดตามมาตรา ๘๓ (๔) ในกรณีท่ีข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้น้ันประสงค์จะรับราชการต่อไป ให้ข้าราชการผู้นั้น แสดงความจํานงด้วยว่าได้แสดงความประสงค์จะขอย้ายหรือโอนไปรับราชการในตําแหน่งใดหรือที่หน่วยงานใด หรือส่วนราชการใด ในกรณีที่ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้นั้นอยู่ในระหว่างการรับราชการชดใช้ทุน ข้าราชการผู้น้ัน ไม่ต้องแสดงความประสงค์ตามวรรคหน่ึง และให้ย้ายหรือโอนข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้น้ันไปรับราชการต่อไป ในกรณีท่ีมีเหตุผลความจําเป็นพิเศษที่ไม่อาจดําเนินการดังกล่าวได้ การดําเนินการต่อไปในเรื่องน้ัน จะสมควรดําเนินการประการใดให้เป็นไปตามที่ ก.ร. กําหนด ขอ้ ๓ ในกรณีท่ีข้าราชการรัฐสภาสามัญตามข้อ ๒ แสดงความจํานงขอย้ายหรือโอน ให้ดาํ เนินการดงั นี้ - 122 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หน้า ๒๔ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา (๑) การย้ายหรือโอนไปดํารงตําแหน่งข้าราชการรัฐสภาสามัญให้ดําเนินการตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยการนน้ั (๒) การโอนไปดํารงตําแหน่งข้าราชการประเภทอ่ืนหรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐท่ีไม่ใช่ข้าราชการ รัฐสภาสามญั ใหด้ ําเนินการตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารทก่ี ําหนดไวส้ ําหรับการน้นั ขอ้ ๔ ในกรณีที่ขอย้ายให้ผู้บังคับบัญชาระดับต้น หรือในกรณีที่ขอโอนให้ผู้บังคับบัญชา ซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ เป็นผู้ให้ข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานท่ีผ่านมา และคุณลักษณะส่วนบุคคลของข้าราชการรัฐสภาสามัญตามข้อ ๒ เพ่ือประกอบการพิจารณา ของผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ ในตําแหน่งที่ขอย้าย หรือเพ่ือประกอบการพิจารณา ของผู้มีอํานาจสัง่ บรรจุในตาํ แหนง่ ท่ขี อโอน แลว้ แต่กรณี ขอ้ ๕ ในกรณีที่จะต้องดําเนินการย้ายหรือโอนข้าราชการรัฐสภาสามัญตามข้อ ๒ ให้ผู้บังคับบัญชาซ่ึงมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ หรือผู้มีอํานาจสั่งบรรจุในตําแหน่งท่ีขอโอน แล้วแต่กรณี ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีหน่วยงานหรือตําแหน่งน้ันเลิกหรือถูกยุบ เว้นแต่จะมี กฎหมายกําหนดเวลาไว้เป็นอย่างอ่ืน โดยให้การย้ายหรือโอนมีผลตั้งแต่วันที่หน่วยงานหรือตําแหน่งนั้น เลิกหรือถูกยุบ แต่ถ้าไม่ต้องดําเนินการย้ายหรือโอนข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้น้ัน ให้ผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ ในตําแหน่งที่ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้นั้นดํารงอยู่ก่อนวันท่ี หน่วยงานหรือตําแหน่งนั้นเลิกหรือถูกยุบ มีคําส่ังให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้น้ันออกจากราชการตามข้อ ๒ วรรคสอง ขอ้ ๖ ในกรณีท่ีไม่อาจดําเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกําหนดในกฎ ก.ร. น้ี การดาํ เนินการตอ่ ไปในเรอื่ งนน้ั จะสมควรดาํ เนนิ การประการใดให้เป็นไปตามที่ ก.ร. กําหนด ให้ไว้ ณ วนั ที่ ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วชิ ิตชลชยั ประธานสภานติ บิ ัญญัติแห่งชาติ ทาํ หน้าทป่ี ระธานรฐั สภา ประธาน ก.ร. - 123 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หน้า ๒๕ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.ร. ฉบับนี้ คือ โดยท่ีมาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ มีอํานาจส่ังให้ ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กรณีเม่ือทางราชการเลิกหรือยบุ หน่วยงานหรอื ตาํ แหน่งทีข่ า้ ราชการรฐั สภาสามัญปฏิบัติหน้าที่หรือดํารงตําแหน่งอยู่ และการส่ังใหอ้ อกจากราชการในกรณดี งั กลา่ วให้เป็นไปตามทก่ี ําหนดในกฎ ก.ร. จงึ จาํ เป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. น้ี - 124 -
เลม่ ๑๒๙ ตอนท่ี ๑๒๓ ก หน้า ๑๒ ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๕๕ ราชกจิ จานุเบกษา กฎ ก.ร. ว่าดว้ ยการสง่ั ใหข้ ้าราชการรฐั สภาสามญั ออกจากราชการ กรณไี มส่ ามารถปฏิบัตริ าชการให้มีประสิทธภิ าพและเกิดประสิทธผิ ล พ.ศ. ๒๕๕๕ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๓ วรรคหน่ึง (๕) และมาตรา ๘๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัตริ ะเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นกฎหมายท่ีมีบทบัญญัติ บางประการเก่ียวกับการจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซ่ึงมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๓ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๖๔ ของรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้ โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญตั แิ หง่ กฎหมาย ก.ร. จงึ ออกกฎ ก.ร. ไว้ ดงั ต่อไปนี้ ข้อ ๑ กฎ ก.ร. น้ีให้ใช้บงั คบั ตงั้ แตว่ นั ถัดจากวนั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเปน็ ต้นไป ข้อ ๒ ให้ยกเลิกกฎ ก.ร. ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติ ระเบียบขา้ ราชการฝา่ ยรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๑๘ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญออกจากราชการ กรณีไมส่ ามารถปฏบิ ัตริ าชการให้มีประสทิ ธภิ าพและเกิดประสทิ ธิผล ขอ้ ๓ การสัง่ ให้ขา้ ราชการรัฐสภาสามัญผ้ใู ดออกจากราชการเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทน กรณีท่ีไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในระดับอันเป็นที่พอใจ ของทางราชการนั้น ให้ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาพิจารณาจากผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการรัฐสภาสามัญ ผู้นน้ั เปน็ หลัก และใหส้ ว่ นราชการสังกดั รัฐสภาดําเนินการตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการทก่ี ําหนดในกฎ ก.ร. นี้ ข้อ ๔ เม่อื ผู้บงั คับบัญชาประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการรัฐสภาสามัญตามหลักเกณฑ์ และวิธีการทก่ี ําหนดตามมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญตั ิระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้วเห็นว่า ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดมีผลการปฏิบัติราชการในระดับที่ต้องปรับปรุง ก็ให้แจ้งผู้นั้นทราบเกี่ยวกับ ผลการประเมิน พร้อมท้ังกําหนดให้ผู้น้ันเข้ารับการพัฒนาปรับปรุงตนเองโดยให้ลงลายมือชื่อรับทราบ ไว้เป็นหลักฐาน ท้ังน้ี ในการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้ผู้บังคับบัญชาจัดให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้น้ัน ทําคํามนั่ ในการพัฒนาปรบั ปรงุ ตนเอง โดยกําหนดเป้าหมายในระดบั อนั เปน็ ทพ่ี อใจของทางราชการให้ชัดเจน เพื่อใชใ้ นการประเมินผลการปฏิบัตริ าชการคร้ังต่อไป - 125 -
เล่ม ๑๒๙ ตอนท่ี ๑๒๓ ก หน้า ๑๓ ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๕๕ ราชกจิ จานุเบกษา การประเมินผลการปฏิบัติราชการและการพัฒนาปรับปรุงตนเองของข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตามวรรคหน่งึ ให้มีระยะเวลาไมเ่ กนิ สามรอบการประเมนิ ในกรณที ่ีผ้ถู ูกประเมินเห็นว่าการประเมนิ ผลการปฏิบัตริ าชการของผบู้ งั คับบญั ชามคี วามไมเ่ ปน็ ธรรม อาจทําคําคัดค้านยื่นตอ่ ผู้บงั คบั บัญชารวมไวก้ บั ผลการประเมนิ เพือ่ เปน็ หลกั ฐานได้ ขอ้ ๕ เมื่อผบู้ ังคับบญั ชาประเมนิ ผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการรัฐสภาสามัญตามคําม่ัน ในการพัฒนาปรบั ปรุงตนเองตามข้อ ๔ แล้ว ปรากฏว่าผู้น้ันไม่ผ่านการประเมินในระดับอันเป็นท่ีพอใจ ของทางราชการตามคาํ มั่นในการพฒั นาปรับปรงุ ตนเอง ให้รายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชา ซ่ึงมอี าํ นาจส่งั บรรจตุ ามมาตรา ๔๒ เมื่อได้รบั รายงานตามวรรคหนงึ่ ผู้บงั คับบัญชาซง่ึ มอี ํานาจสง่ั บรรจตุ ามมาตรา ๔๒ อาจดําเนินการ ดงั นี้ (๑) ในกรณีที่ขา้ ราชการรัฐสภาสามัญผู้รับการประเมินประสงค์จะออกจากราชการ ก็ให้สั่งให้ ออกจากราชการ หรือ (๒) สั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญผ้นู ้ันเข้ารบั การพฒั นาปรบั ปรงุ ตนเองอีกครั้งหน่ึงโดยทําคําม่ัน ในการพัฒนาปรบั ปรงุ ตนเองเป็นครั้งทส่ี อง หรือ (๓) ส่งั ให้ขา้ ราชการรัฐสภาสามัญผู้น้นั ออกจากราชการ เมื่อผบู้ งั คับบญั ชาซงึ่ มอี ํานาจสัง่ บรรจุตามมาตรา ๔๒ มคี าํ สัง่ ตาม (๑) หรอื (๓) แล้วแต่กรณี ให้รายงาน ก.ร. ในกรณีท่ี ก.ร. เห็นว่าคาํ สงั่ ดังกลา่ วไม่ถกู ตอ้ งหรือไม่เหมาะสมและมีมติเป็นประการใด ใหผ้ บู้ ังคบั บญั ชาซึง่ มีอาํ นาจส่งั บรรจุตามมาตรา ๔๒ ปฏิบัตใิ หเ้ ปน็ ไปตามท่ี ก.ร. มมี ติ ขอ้ ๖ เมอ่ื ก.ร. มีมตเิ ป็นประการใดแล้ว และผบู้ ังคับบญั ชาซึง่ มอี าํ นาจสงั่ บรรจุตามมาตรา ๔๒ มคี ําสั่งหรอื ปฏบิ ตั ติ ามที่ ก.ร. มมี ติแล้ว ให้แจ้งคําส่ังหรือการปฏิบัติดังกล่าวให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ผู้นัน้ ทราบ ข้อ ๗ ผถู้ กู ส่ังให้ออกจากราชการตามกฎ ก.ร. นี้ มสี ทิ ธอิ ทุ ธรณ์ต่อ ก.ร. ภายในสามสิบวัน นบั แต่วันทราบหรอื วนั ทถ่ี อื ว่าทราบคาํ สัง่ ใหอ้ อกจากราชการตามข้อ ๕ ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ ๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ สมศกั ด์ิ เกยี รติสรุ นนท์ ประธานรฐั สภา ประธาน ก.ร. - 126 -
เลม่ ๑๒๙ ตอนท่ี ๑๒๓ ก หน้า ๑๔ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานเุ บกษา หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใช้ กฎ ก.ร. ฉบบั น้ี คือ โดยท่มี าตรา ๘๓ แหง่ พระราชบัญญัติระเบียบ ขา้ ราชการรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๕๔ บัญญัตใิ ห้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๔๒ มีอํานาจส่ังให้ ขา้ ราชการรฐั สภาสามัญออกจากราชการเพอื่ รบั บาํ เหนจ็ บาํ นาญเหตทุ ดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กรณีเมอื่ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในระดับ อนั เป็นทพ่ี อใจของทางราชการ และการส่งั ให้ออกจากราชการในกรณีดงั กล่าวให้เป็นไปตามที่กาํ หนดในกฎ ก.ร. จึงจําเป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. นี้ - 127 -
-๑- กฎ ก.ร. ว่าดว้ ยการอทุ ธรณ์และการพิจารณาวนิ จิ ฉัยอทุ ธรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ............................................ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๗ และมาตรา ๘๙ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบยี บขา้ ราชการรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๕๔ ก.ร. จึงออกกฎ ก.ร. ไว้ดังตอ่ ไปนี้ ขอ้ ๑ กฎ ก.ร. นี้เรยี กวา่ “กฎ ก.ร. วา่ ดว้ ยการอทุ ธรณ์และการพิจารณาวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗” ข้อ ๒ กฎ ก.ร. นีใ้ ห้ใชบ้ ังคบั ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็นต้นไป1 ข้อ ๓ การอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวธิ กี ารทกี่ าหนดในกฎ ก.ร. นี้ ขอ้ ๔ ให้ ก.ร. ตั้ง อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เพื่อทาหน้าท่ีพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการทกี่ าหนดในกฎ ก.ร. น้ี ขอ้ ๕ ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ประกอบด้วย ประธาน อ.ก.ร. และ อ.ก.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งมีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านการบริหาร ทรพั ยากรบคุ คล หรอื ด้านกฎหมายท่ี ก.ร. เห็นวา่ เป็นประโยชน์ต่อการปฏบิ ัตหิ น้าทซ่ี งึ่ มิใช่ข้าราชการรัฐสภา สามัญจานวนไม่เกินหกคน และผู้แทนสานักงาน ก.พ. ผู้แทนสานักงานศาลปกครอง และผู้แทนสานักงาน อยั การสูงสดุ เป็น อ.ก.ร. ใหผ้ ูอ้ านวยการสานกั งานเลขานกุ าร ก.ร. เป็นเลขานุการ ประธาน อ.ก.ร. และ อ.ก.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดารงตาแหน่งคราวละส่ีปี นับแต่วนั แตง่ ตงั้ เมือ่ ครบกาหนดตามวาระในวรรคสาม หากยงั มไิ ด้มกี ารแตง่ ตัง้ ประธาน อ.ก.ร. หรือ อ.ก.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่ ให้ประธาน อ.ก.ร. หรือ อ.ก.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ซ่ึงพ้นจากตาแหน่งตามวาระน้ัน อยู่ในตาแหน่งเพ่ือปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าประธาน อ.ก.ร. หรือ อ.ก.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิ ซ่ึงได้รับแต่งตั้งใหม่ เขา้ รับหน้าที่ 1 ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก/๒๒ ตลุ าคม ๒๕๕๗ - 128 -
-๒- ขอ้ ๖ ผอู้ ุทธรณ์ ไดแ้ ก่ (๑) ผูถ้ ูกสง่ั ลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรฐั สภา (๒) ผถู้ ูกสั่งใหอ้ อกจากราชการตามมาตรา ๘๓ (๑) (๓) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ข้อ ๗ การอุทธรณ์ให้ทาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้อุทธรณ์และอุทธรณ์ได้สาหรับ ตนเองเท่าน้ัน จะอุทธรณ์แทนผูอ้ ื่นหรอื มอบหมายให้ผอู้ ่ืนอุทธรณแ์ ทนไม่ได้ หนงั สอื อทุ ธรณต์ ามวรรคหน่งึ ให้ใช้ถอ้ ยคาสุภาพและมสี าระสาคญั ดังตอ่ ไปน้ี (๑) ชื่อ ตาแหนง่ สังกัด และท่อี ย่สู าหรบั การตดิ ตอ่ เก่ียวกับการอุทธรณข์ องผู้อุทธรณ์ (๒) คาสัง่ ทเ่ี ปน็ เหตุแห่งการอทุ ธรณ์ และวนั ทีร่ ับทราบคาสง่ั (๓) ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ผู้อุทธรณ์ยกขึ้นเป็นข้อคัดค้านคาสั่งที่เป็นเหตุ แห่งการอทุ ธรณ์ รวมท้งั พยานหลักฐาน (ถา้ ม)ี (๔) คาขอของผูอ้ ุทธรณ์ ขอ้ ๘ ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อ ก.ร. ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบ หรือถือว่าทราบคาสั่งลงโทษหรือคาส่ังให้ออกจากราชการ โดยให้ย่ืนที่สานักงานเลขานุการ ก.ร. หรือจะส่ง ทางไปรษณยี ล์ งทะเบียนกไ็ ด้ เพ่ือประโยชน์ในการนับกาหนดเวลาอุทธรณ์ ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ ที่สานักงานเลขานุการ ก.ร. ให้เจ้าหน้าท่ีผู้รับหนังสืออุทธรณ์ออกใบรับหนังสืออุทธรณ์ และลงทะเบียน รับหนังสืออุทธรณ์ไว้เป็นหลักฐานในวันที่รับหนังสืออุทธรณ์ตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ และให้ถือ วันที่รับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าวเป็นวันยื่นหนังสืออุทธรณ์ ส่วนกรณีส่งหนังสืออุทธรณ์ทางไปรษณีย์ ให้ถือวันที่ที่ทาการไปรษณีย์ออกใบรับฝากเป็นหลักฐานฝากส่ง หรือวันที่ที่ทาการไปรษณีย์ต้นทาง ประทบั ตรารับท่ซี องหนังสือเปน็ วนั ที่ยื่นหรือส่งหนังสอื อทุ ธรณ์ สาหรับวันทราบคาสั่งลงโทษหรือคาส่ังให้ออกจากราชการ ให้ถือวันท่ีผู้ถูกส่ังลงโทษ หรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการลงลายมือชื่อรับทราบคาส่ัง ในกรณีท่ีผู้ถูกสั่งลงโทษหรือผู้ถูกส่ังให้ออกจาก ราชการไม่ยอมลงลายมือช่ือรับทราบคาส่ังหรือไม่อาจแจ้งให้ผู้ถูกส่ังลงโทษหรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการ ทราบโดยตรงได้ ให้ส่งสาเนาคาส่ังลงโทษหรือคาส่ังให้ออกจากราชการทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ไปให้ผู้ถูกส่ังลงโทษหรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการ ณ ท่ีอยู่ของผู้ถูกกล่าวหาซ่ึงปรากฏตามหลักฐาน ของทางราชการ ในกรณีเช่นนี้ให้ถือว่าผู้ถูกส่ังลงโทษหรือผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการรับทราบคาสั่งลงโทษ หรือคาสั่งให้ออกจากราชการเม่ือครบกาหนดเจ็ดวันนับแต่วันส่งสาหรับกรณีส่งในประเทศ หรือเมื่อครบ สิบหา้ วันนบั แตว่ ันสง่ สาหรบั กรณีส่งไปยงั ตา่ งประเทศ เมื่อได้ย่ืนหนังสืออุทธรณ์ไว้แล้ว ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์หรือเอกสาร หลกั ฐานเพ่ิมเติมกอ่ นการพิจารณาวนิ ิจฉัยอุทธรณ์เสรจ็ ก็ได้ การนับเวลาเรม่ิ ตน้ ตามวรรคสาม ให้นับวันถัดจากวันรับทราบคาสั่งลงโทษส่วนเวลาส้ินสุด น้ันถา้ วันสุดทา้ ยแห่งเวลาตรงกบั วันหยดุ ราชการ ให้นับวนั เริม่ เปิดราชการใหม่เปน็ วันสุดท้ายแหง่ เวลา - 129 -
-๓- ขอ้ ๙ อุทธรณ์ท่ีจะรับไว้พิจารณาได้ต้องเป็นอุทธรณ์ที่ถูกต้องตามข้อ ๖ ข้อ ๗ และขอ้ ๘ ในกรณีมีปัญหาว่าอุทธรณ์ใดจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ พจิ ารณามีคาสงั่ ในกรณีที่ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ มีคาสั่งไม่รับอุทธรณ์ใดไว้พิจารณาให้รายงาน ให้ ก.ร. ทราบ ข้อ ๑๐ ผู้อุทธรณ์จะขอแถลงการณ์ด้วยวาจา เพื่อประกอบการพิจารณาของ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ โดยทาเป็นหนังสือยื่นต่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ก่อนการพิจารณาวินิจฉัย อุทธรณ์เสร็จก็ได้ ข้อ ๑๑ อุทธรณ์ท่ีย่ืนไว้แล้ว ผู้อุทธรณ์อาจถอนอุทธรณ์ในเวลาใด ๆ ก่อนที่ อ.ก.ร. อุทธรณแ์ ละร้องทุกข์ มคี าวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ์น้ันก็ได้ การถอนอุทธรณ์ ต้องทาเป็นหนังสือและลงลายมือช่ือผู้อุทธรณ์ แต่ถ้าผู้อุทธรณ์ ถอนอุทธรณ์ด้วยวาจาต่อหน้า อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ให้บันทึกไว้และให้ผู้อุทธรณ์ลงลายมือช่ือไว้ เป็นหลักฐาน เม่ือมีการถอนอุทธรณ์ตามวรรคหน่ึง ให้การพิจารณาอุทธรณ์เป็นอันระงับไป แล้วใหร้ ายงาน ก.ร. เพ่อื ทราบ ข้อ ๑๒ ใหส้ านักงานเลขานกุ าร ก.ร. ตรวจคาอุทธรณใ์ นเบ้อื งต้นและดาเนนิ การ ดังน้ี (๑) ถ้าเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ดาเนินการถูกต้องตามข้อ ๖ ข้อ ๗ และข้อ ๘ ใหเ้ สนอคาอุทธรณด์ งั กล่าวตอ่ อ.ก.ร. อุทธรณ์และรอ้ งทุกข์ เพื่อพิจารณาวินิจฉยั (๒) ถ้าเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ดาเนินการไม่ถูกต้องตามข้อ ๗ ให้เจ้าหน้าที่ของสานักงาน เลขานุการ ก.ร. แนะนาให้ผู้อุทธรณ์แก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาท่ีกาหนด หากไม่มีการแก้ไขภายใน ระยะเวลาทก่ี าหนด ก็ใหเ้ สนอ อ.ก.ร. อทุ ธรณ์และร้องทกุ ข์ เพ่อื พจิ ารณาต่อไป (๓) ถ้าเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ท่ีย่ืนเมื่อพ้นกาหนดระยะเวลาตามข้อ ๘ ก็ให้เสนอ อ.ก.ร. อทุ ธรณ์และรอ้ งทกุ ข์ เพือ่ มคี าสงั่ ไมร่ บั อทุ ธรณ์ไว้พิจารณา ข้อ ๑๓ เม่ือได้รับความเห็นตามข้อ ๑๒ ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ พิจารณา มคี าส่ัง ดังน้ี (๑) ถ้าเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ถูกต้องตามข้อ ๖ ข้อ ๗ หรือข้อ ๘ ก็ให้มีคาสั่ง ไม่รบั คาอทุ ธรณน์ ัน้ ไวพ้ ิจารณา และใหร้ ายงาน ก.ร. เพอ่ื ทราบ (๒) ถ้าเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่อาจรับไว้พิจารณาได้ ก็ให้มีคาส่ังรับอุทธรณ์นั้นไว้พิจารณา วนิ จิ ฉัย - 130 -
-๔- ขอ้ ๑๔ การพจิ ารณาวนิ ิจฉยั อุทธรณ์ ให้ อ.ก.ร. อุทธรณแ์ ละร้องทุกข์ มคี าวนิ ิจฉัย ดงั น้ี ก. การอทุ ธรณค์ าสั่งลงโทษทางวนิ ัย (๑) ถ้าเห็นว่าการส่ังลงโทษดาเนินการถูกต้องตามกฎหมายและระดับโทษเหมาะสม แลว้ ใหม้ คี าวินิจฉัยใหย้ กอุทธรณ์ (๒) ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษดาเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้มีคาวินิจฉัย ให้ยกเลกิ คาสง่ั และให้ผบู้ ังคับบัญชาดาเนนิ การเสียใหม่ให้ถูกตอ้ ง (๓) ถ้าเห็นว่าการดาเนินการทางวินัยถูกต้องตามกฎหมาย และเห็นว่าผู้อุทธรณ์ ควรได้รับโทษเบาลง ให้มีคาวินิจฉัยให้ลดโทษเป็นสถานโทษหรืออัตราโทษที่เบาลง แต่ถ้าเห็นว่าผู้อุทธรณ์ กระทาผดิ วินยั อยา่ งร้ายแรง จะลดโทษตา่ กว่าปลดออกไม่ได้ (๔) ถ้าเห็นว่าการดาเนินการทางวินัยถูกต้องตามกฎหมาย และเห็นว่าการกระทา ของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นความผิดทางวินัย หรือพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าผู้อุทธรณ์กระทาผิดวินัย ใหม้ ีคาวินิจฉัยใหย้ กโทษ (๕) ถ้าเห็นว่าข้อความในคาส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้มีคาวินิจฉัย ใหแ้ กไ้ ขเปลย่ี นแปลงขอ้ ความให้เปน็ การถกู ต้องเหมาะสม ข. กรณอี ุทธรณค์ าส่งั ใหอ้ อกจากราชการ (๑) ถ้าเห็นว่าการส่ังให้ออกจากราชการดาเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และเหมาะสมแก่กรณีแล้ว ใหม้ ีคาวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ (๒) ถ้าเห็นว่าการส่ังให้ออกจากราชการดาเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้มีคาวนิ จิ ฉยั ใหย้ กเลิกคาสงั่ และใหผ้ ูบ้ ังคับบญั ชาดาเนินการเสยี ใหมใ่ ห้ถกู ต้อง (๓) ถ้าเห็นว่าการส่ังให้ออกจากราชการถูกต้องตามกฎหมายและเห็นว่ายังไม่มีเหตุ ท่ีจะให้ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ ในกรณีเช่นนี้ให้มีคาวินิจฉัยให้ยกเลิกคาสั่งและให้ผู้อุทธรณ์กลับเข้ารับ ราชการต่อไป (๔) ถ้าเห็นว่าข้อความในคาส่ังให้ออกจากราชการไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ใหม้ คี าวินจิ ฉัยใหแ้ ก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความให้เปน็ การถกู ต้องเหมาะสม ในกรณีเห็นสมควรให้มีการเยียวยาความเสียหายแก่ผู้อุทธรณ์ หรือดาเนินการอื่นใด เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ก็ให้ดาเนินการเพ่ิมเติมให้ครบถ้วนเท่าที่ทาได้ โดยให้นาประโยชน์ ของทางราชการมาประกอบการพจิ ารณาดว้ ย ขอ้ ๑๕ ในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้พิจารณาจากสานวนการดาเนินการทางวินัย ของผู้บังคับบัญชา หรือพิจารณาจากการดาเนินการของผู้บังคับบัญชาในกรณีท่ีส่ังให้ออกจากราชการ แล้วแต่กรณี และอาจเรียกเอกสารและหลักฐานท่ีเก่ียวข้องเพิ่มเติมจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนว่ ยงานอืน่ ของรฐั ห้างหุ้นส่วน บรษิ ัท หรอื บุคคลใด ๆ หรือให้ผู้แทนหน่วยราชการ รัฐวสิ าหกจิ หน่วยงาน อ่ืนของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท ข้าราชการหรือบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคาหรือชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบ การพิจารณาได้ ท้งั นี้ ตามท่ีกาหนดไว้ในมาตรา ๙๑ ประกอบกับมาตรา ๗๔ - 131 -
-๕- ข้อ ๑๖ เม่ือผู้บังคับบัญชาได้สั่งลงโทษข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดไปแล้ว ถ้าปรากฏว่า ผู้นั้นได้อุทธรณ์การถูกลงโทษต่อ ก.ร. ให้พิจารณาเรื่องอุทธรณ์รวมกับเรื่องรายงานการลงโทษหรือ การดาเนนิ การทางวนิ ัย แล้วแต่กรณี ข้อ ๑๖/๑2 การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ดาเนินการให้แล้ว เสร็จภายในหน่ึงร้อยยี่สิบวันนับแต่วันท่ีได้รับอุทธรณ์ เว้นแต่มีเหตุขัดข้องท่ีทาให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลาดงั กล่าว ก็ใหข้ ยายระยะเวลาได้อีกซึ่งไม่เกินสองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกินหกสิบวัน และให้บนั ทกึ เหตุขัดข้องให้ปรากฏไว้ด้วย ให้สานักงานเลขานุการ ก.ร. เสนอรายงานผลการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ต่อประธาน ก.ร. ภายในเจ็ดวันทาการ นับถัดจากวันท่ีสานักงานเลขานุการ ก.ร. ได้รับรายงานจาก อ.ก.ร. อทุ ธรณ์และร้องทุกข์ ข้อ ๑๗ เม่ือ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นแล้ว ให้รายงาน ก.ร. เพ่ือทราบ หาก ก.ร. มีข้อแนะนาหรือข้อควรปรับปรุงประการใด ให้แก้ไขปรับปรุง ตามความเหน็ ของ ก.ร. และให้เลขานุการ ก.ร. แจ้งให้ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธาน วุฒิสภา เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขาธิการวุฒิสภา หรือหัวหน้าส่วนราชการท่ีเรียกชื่ออย่างอ่ืน ตามมาตรา ๖ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้วแต่กรณี ทราบ หรือดาเนนิ การให้เปน็ ไปตามมติ ก.ร. โดยเรว็ พรอ้ มทง้ั แจง้ ให้ผู้อุทธรณท์ ราบเป็นหนังสือโดยเรว็ ด้วย ขอ้ ๑๘ ในกรณีที่การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์การถูกลงโทษ ก.ร. มีมติเป็นคุณ แก่ผู้อุทธรณ์และมีผู้ถูกลงโทษคนอ่ืนถูกลงโทษทางวินัยในความผิดที่ได้ร่วมกันกับผู้อุทธรณ์อันเป็นความผิด ในเร่ืองเดียวกันโดยมีพฤติการณ์แห่งการกระทาอย่างเดียวกัน แต่ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์หากพฤติการณ์ ของผู้ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์เป็นเหตุในลักษณะคดีอันเป็นเหตุเดียวกับกรณีของผู้อุทธรณ์แล้ว ให้ ก.ร. มีมติ ใหผ้ ูท้ ่ีไม่ไดใ้ ชส้ ทิ ธิอุทธรณ์ไดร้ ับการพิจารณาการลงโทษใหม้ ผี ลในทางท่เี ป็นคุณเช่นเดียวกบั ผู้อทุ ธรณด์ ว้ ย ข้อ ๑๙ ในระหวา่ งทย่ี งั มิไดม้ กี ารแตง่ ตั้ง อ.ก.ร. อทุ ธรณ์และรอ้ งทุกข์ ให้ อ.ก.ร. กฎหมาย และระเบียบ ทาหน้าท่ี อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ตามกฎ ก.ร. น้ีไปพลางก่อนจนกว่า ก.ร. จะได้แต่งตั้ง อ.ก.ร. อทุ ธรณแ์ ละร้องทุกข์ ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ศาสตราจารย์พเิ ศษพรเพชร วิชิตชลชยั ประธานสภานติ ิบัญญตั แิ ห่งชาติ ทาหนา้ ที่ประธานรัฐสภา ประธาน ก.ร. 2 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖ ตอนท่ี ๖๕ ก/๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ - 132 -
-๖- กฎ ก.ร. วา่ ด้วยการอุทธรณแ์ ละการพจิ ารณาวนิ ิจฉยั อุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ หมายเหตุ ; เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๘๗ กาหนดว่า ผู้ใด ถูกสั่งลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๘๓ (๑) (๓) (๕) (๖) (๗) และ (๘) ผู้นั้นมีสทิ ธิอุทธรณต์ ่อ ก.ร. ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคาสั่ง โดยการอุทธรณ์ และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามที่กาหนดในกฎ ก.ร. และมาตรา ๘๙ กาหนดว่า ในการ พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ก.ร. จะพิจารณาวินิจฉัยเอง หรือจะตั้ง อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เพื่อทาหน้าที่ พจิ ารณาวนิ ิจฉยั อุทธรณ์ก็ได้ ท้งั น้ี ใหเ้ ป็นไปตามทีก่ าหนดในกฎ ก.ร. จึงจาเป็นต้องออกกฎ ก.ร. นี้ กฎ ก.ร. ว่าดว้ ยการอทุ ธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอทุ ธรณ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ขอ้ ๑ กฎ ก.ร. น้ใี ห้ใช้บังคับตงั้ แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเปน็ ต้นไป หมายเหตุ ; โดยท่ียังไม่มีการกาหนดระยะเวลาการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ไว้ในกฎ ก.ร. ว่าด้วย การอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ทาให้การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นไปตาม กรอบระยะเวลาตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ซ่ึงไม่สอดคล้องกับกระบวนการ พิจารณาอุทธรณ์คาส่ังลงโทษทางวินัยหรือคาส่ังให้ออกจากราชการ เพื่อให้มีกรอบระยะเวลาดาเนินการ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกระบวนการพิจารณา และมีการกาหนดกรอบระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ แลว้ เสรจ็ จงึ จาเป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. ฉบบั นี้ - 133 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หนา้ ๑๑ ๒๒ ตลุ าคม ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา กฎ ก.ร. วา่ ดว้ ยการรอ้ งทกุ ขแ์ ละการพจิ ารณาวินิจฉยั เรื่องร้องทกุ ข์ พ.ศ. ๒๕๕๗ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๒๒ (๓) มาตรา ๘๘ และมาตรา ๘๙ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบยี บข้าราชการรฐั สภา พ.ศ. ๒๕๕๔ ก.ร. จึงออกกฎ ก.ร. ไว้ ดงั ต่อไปนี้ ข้อ ๑ กฎ ก.ร. นี้เรียกว่า “กฎ ก.ร. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๗” ข้อ ๒ กฎ ก.ร. นี้ใหใ้ ชบ้ งั คับต้งั แตว่ ันถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ตน้ ไป ข้อ ๓ การร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเร่ืองร้องทุกข์ของข้าราชการรัฐสภาสามัญ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการทก่ี ําหนดในกฎ ก.ร. นี้ ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ตามกฎ ก.ร. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ เปน็ ผ้พู จิ ารณาวินจิ ฉยั เร่อื งร้องทุกข์ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการท่กี ําหนดในกฎ ก.ร. นี้ ขอ้ ๔ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อมีกรณีเป็นปัญหาขึ้นระหว่างกัน ควรจะได้ปรึกษาหารือทําความเข้าใจกัน ฉะน้ัน เมื่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ผู้ใดมีปัญหาเก่ียวกับการท่ีผู้บังคับบัญชาใช้อํานาจหน้าที่ปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติต่อตน ให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติต่อตนของผู้บังคับบัญชา หากแสดงความประสงค์ท่ีจะปรึกษาหารือกับผู้บังคับบัญชา ให้ผู้บังคับบัญชานั้นให้โอกาสและรับฟัง หรือสอบถามเก่ยี วกบั ปญั หาดังกล่าวเพอ่ื เป็นทางแห่งการทําความเข้าใจและแกป้ ัญหาท่เี กิดข้ึนในชนั้ ต้น ในกรณีท่ีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้แสดงความประสงค์ที่จะปรึกษาหารือกับผู้บังคับบัญชาตามวรรคหน่ึง ให้ผู้บังคับบัญชาผู้นั้นจัดให้มีการปรึกษาหารือหรือแก้ไขความคับข้องใจนั้นภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ี ได้รับแจ้งความประสงค์ที่จะปรึกษาหารือ ถ้าผู้บังคับบัญชาผู้น้ันมิได้ดําเนินการใด ๆ หรือดําเนินการ แล้วแต่ไม่เป็นที่พอใจ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอาจร้องทุกข์ต่อ ก.ร. ต่อไปได้อีกภายในสิบห้าวันนับแต่วันส้ินสุด ระยะเวลาสามสบิ วนั ดงั กลา่ ว ถ้าข้าราชการรฐั สภาสามัญผู้นั้นไม่ประสงค์จะปรึกษาหารอื กับผู้บงั คับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ กใ็ ห้ร้องทุกขต์ ามกฎ ก.ร. นี้ - 134 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หน้า ๑๒ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา ข้อ ๕ ภายใต้บังคับข้อ ๔ ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อํานาจหน้าที่ ปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติต่อตนให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือมีความคับข้องใจอันเกิดจาก การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติต่อตนของผู้บังคับบัญชา และเป็นกรณีที่ไม่อาจอุทธรณ์ได้ ผู้นั้นมีสิทธิร้องทุกข์ต่อ ก.ร. ตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการทกี่ าํ หนดในกฎ ก.ร. นี้ การปฏิบตั หิ รอื ไม่ปฏบิ ัติตอ่ ตนของผบู้ งั คับบญั ชาซง่ึ ทําให้เกิดความคับข้องใจอันเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ ตามวรรคหนง่ึ นั้น ต้องมีลกั ษณะอย่างหนง่ึ อยา่ งใด ดังต่อไปน้ี (๑) ไมม่ อบหมายงานใหป้ ฏบิ ัติ (๒) ประวิงเวลา หรือหน่วงเหนี่ยวการดําเนินการบางเรื่องอันเป็นเหตุให้เสียสิทธิหรือไม่ได้รับ สิทธิประโยชน์อนั พึงมีพึงไดใ้ นเวลาอันสมควร (๓) ไม่เป็นไปตามหรือขัดกบั ระบบคณุ ธรรมตามมาตรา ๒๔ ขอ้ ๖ การรอ้ งทุกข์ใหร้ อ้ งทุกขไ์ ดส้ าํ หรับตนเองเท่านั้น จะร้องทกุ ข์สาํ หรับผู้อ่นื ไมไ่ ด้ คําร้องทกุ ขใ์ ห้ทําเป็นหนงั สอื โดยใช้ถ้อยคําสภุ าพและอย่างนอ้ ยตอ้ งมีสาระสําคญั ดงั นี้ (๑) ชื่อ ตาํ แหน่ง สังกัด และที่อยสู่ ําหรบั การติดตอ่ เกี่ยวกับการร้องทุกข์ของผ้รู ้องทกุ ข์ (๒) เหตุแห่งการร้องทุกข์ตามขอ้ ๕ (๓) ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายทผี่ รู้ อ้ งทกุ ข์เห็นวา่ เปน็ ปญั หาของเร่อื งรอ้ งทกุ ข์ (๔) คําขอของผรู้ ้องทุกข์ (๕) ลายมอื ช่ือของผรู้ ้องทุกขห์ รือผไู้ ด้รบั มอบหมายให้ร้องทุกขแ์ ทนกรณที ่จี ําเปน็ ตามขอ้ ๙ ข้อ ๗ ในการย่ืนคําร้องทุกข์ให้แนบหลักฐานที่เก่ียวข้องพร้อมคําร้องทุกข์ด้วย กรณีท่ีไม่อาจ แนบพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องได้เพราะพยานหลักฐานอยู่ในความครอบครองของหน่วยงานทางปกครอง เจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐหรอื บคุ คลอ่นื หรอื เพราะเหตอุ ่นื ใด ให้ระบุเหตทุ ่ีไม่อาจแนบพยานหลักฐานไว้ดว้ ย กรณีท่ีมีเหตุจําเป็นต้องมอบหมายให้บุคคลอื่นร้องทุกข์แทนตามข้อ ๙ ให้แนบหลักฐาน การมอบหมายให้ร้องทกุ ข์แทนนน้ั มาด้วย ถ้าผู้รอ้ งทุกข์ประสงค์จะแถลงการณด์ ้วยวาจาในชัน้ การพจิ ารณาคาํ ร้องทุกข์ ให้แสดงความประสงค์ไว้ใน คําร้องทกุ ขด์ ว้ ย หรือจะทาํ เป็นหนังสือต่างหากก็ได้แตต่ อ้ งยืน่ หรือสง่ หนังสือก่อนเริม่ การพิจารณาคาํ ร้องทุกข์ ขอ้ ๘ ให้ผู้ร้องทุกข์ยื่นคําร้องทุกข์ต่อ ก.ร. ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบ เหตุแห่งการร้องทุกข์ตามข้อ ๕ โดยให้ย่ืนคําร้องทุกข์ที่สํานักงานเลขานุการ ก.ร. หรือจะส่งทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนก็ได้ ในกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์ได้ย่ืนคําร้องทุกข์ที่สํานักงานเลขานุการ ก.ร. ให้เจ้าหน้าท่ีผู้รับคําร้องทุกข์ ออกใบรับคําร้องทุกข์และลงทะเบียนรับคําร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐานในวันท่ีรับคําร้องทุกข์ตามระเบียบ ว่าด้วยงานสารบรรณ และให้ถือวันที่รับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าวเป็นวันยื่นหนังสือร้องทุกข์ ส่วนกรณีที่ผู้ร้องทุกข์ส่งหนังสือร้องทุกข์ทางไปรษณีย์ ให้ถือวันที่ท่ีทําการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับ ท่ีซองหนงั สอื ร้องทุกขเ์ ปน็ วนั ย่ืนหนงั สอื ร้องทกุ ข์ - 135 -
เลม่ ๑๓๑ ตอนท่ี ๗๓ ก หน้า ๑๓ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา เม่ือได้ยื่นคําร้องทุกข์ไว้แล้ว ผู้ร้องทุกข์จะย่ืนหรือส่งหนังสือร้องทุกข์หรือเอกสารหลักฐานเพ่ิมเติม ก่อนเรม่ิ พิจารณาเรอื่ งรอ้ งทกุ ข์กไ็ ด้ ขอ้ ๙ ในกรณีที่ผู้มีสิทธิร้องทุกข์เจ็บป่วยจนไม่สามารถร้องทุกข์ได้ด้วยตนเองหรืออยู่ใน ต่างประเทศและคาดหมายได้ว่าไม่อาจร้องทุกข์ได้ทันภายในเวลาที่กําหนด ให้ผู้มีสิทธิร้องทุกข์มอบหมาย ให้บุคคลอน่ื ย่นื คาํ รอ้ งทกุ ข์แทนตนได้ การมอบหมายตามวรรคหน่ึงจะต้องทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้มีสิทธิร้องทุกข์พร้อมท้ัง หลักฐานแสดงเหตุจําเป็นข้างต้น ถ้าไม่สามารถลงลายมือช่ือได้ให้พิมพ์ลายน้ิวมือโดยมีพยานลงลายมือช่ือ รบั รองอย่างนอ้ ยสองคน ขอ้ ๑๐ เพื่อประโยชน์ในการนับระยะเวลาร้องทุกข์ การนับวันทราบหรือถือว่าทราบเหตุ แหง่ การร้องทุกขน์ นั้ ใหถ้ อื ปฏบิ ัติดงั น้ี (๑) ในกรณีทีเ่ หตุแหง่ การร้องทุกข์เกิดจากการท่ีผู้บังคับบัญชามีคําส่ังเป็นหนังสือ ให้ถือว่าวันที่ ผู้มีสทิ ธิร้องทกุ ขล์ งลายมือชอ่ื รบั ทราบคําสั่งเปน็ วนั ทราบเหตแุ ห่งการรอ้ งทุกข์ (๒) ในกรณที ีไ่ ม่มกี ารลงลายมอื ชอ่ื รับทราบคําสั่งตาม (๑) แต่มีการแจ้งคําสั่งให้ทราบพร้อมสําเนาคําส่ัง และทําบันทึกวันเดือนปี เวลา สถานที่ที่แจ้ง โดยลงลายมือชื่อผู้แจ้งพร้อมท้ังพยานรู้เห็นไว้เป็นหลักฐานแล้ว ให้ถือวันทแ่ี จง้ น้นั เป็นวันทราบเหตุแหง่ การร้องทกุ ข์ (๓) ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งคําส่ังตาม (๒) และได้แจ้งเป็นหนังสือส่งสําเนาคําส่ังทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนตอบรับ ณ ที่อยู่ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ให้ส่งสําเนาคําส่ังไปสองฉบับเพ่ือให้ เก็บไว้เป็นหลักฐานหนึ่งฉบับ และให้ลงลายมือช่ือและวันเดือนปีท่ีรับทราบคําส่ังแล้วส่งกลับคืนเพ่ือเก็บไว้ เป็นหลักฐานหน่ึงฉบับ กรณีเช่นน้ีเม่ือล่วงพ้นสามสิบวันนับแต่วันท่ีปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนว่ามีผู้รับแล้วแม้ยังไม่ได้รับสําเนาคําสั่งฉบับท่ีให้ลงลายมือช่ือและวันเดือนปีที่รับทราบคําส่ัง กลับคืนมา ก็ให้ถือว่าผ้มู สี ิทธิร้องทุกขไ์ ด้รบั ทราบคาํ สงั่ อันเปน็ เหตุแหง่ การร้องทุกข์แลว้ (๔) ในกรณีที่เหตุแห่งการร้องทุกข์เกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาโดยไม่มี คําส่ังเป็นหนังสือ ให้ถือวันที่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้มีสิทธิร้องทุกข์รับทราบหรือควรรับทราบคําสั่งที่ไม่เป็น หนงั สอื น้นั เป็นวนั ทราบเหตแุ หง่ การรอ้ งทกุ ข์ (๕) ในกรณีท่ีเหตุแห่งการร้องทุกข์เกิดจากการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาโดยไม่ได้ มีคําส่ังอย่างใด ให้ถือวันท่ีผู้ร้องทุกข์ควรได้ทราบถึงการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาดังกล่าว เปน็ วันทราบเหตุแหง่ การรอ้ งทกุ ข์ ขอ้ ๑๑ ในกรณีท่ผี รู้ อ้ งทุกข์ไม่ประสงค์จะใหม้ ีการพิจารณาเร่อื งร้องทุกขต์ อ่ ไปจะขอถอนเร่ืองร้องทุกข์ ก่อนท่ี อ.ก.ร. อทุ ธรณแ์ ละรอ้ งทกุ ข์ หรอื ก.ร. แล้วแตก่ รณี จะพจิ ารณาเรอื่ งร้องทุกขเ์ สร็จสน้ิ กไ็ ด้ การถอนคําร้องทุกข์ต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือช่ือผู้ร้องทุกข์ยื่นหรือส่งตรงต่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์ และร้องทุกข์ หรือ ก.ร. แล้วแต่กรณี แต่ถ้าผู้ร้องทุกข์ถอนคําร้องทุกข์ด้วยวาจาต่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์ และร้องทุกข์ หรือ ก.ร. แล้วแต่กรณี ใหบ้ นั ทกึ ไวแ้ ละให้ผรู้ อ้ งทุกขล์ งลายมือชอื่ ไวเ้ ปน็ หลักฐาน - 136 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หนา้ ๑๔ ๒๒ ตลุ าคม ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา เม่อื ไดถ้ อนคําร้องทกุ ข์แลว้ การพจิ ารณาเรื่องร้องทุกขใ์ ห้เปน็ อันระงับไป ข้อ ๑๒ ใหส้ ํานักงานเลขานกุ าร ก.ร. ตรวจคํารอ้ งทุกข์ในเบือ้ งตน้ และดําเนนิ การ ดังนี้ (๑) ถ้าเห็นว่าเป็นคําร้องทุกข์ท่ีมีการดําเนินการโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ ให้เสนอ คํารอ้ งทุกข์ดงั กลา่ วต่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เพ่อื พิจารณาวินจิ ฉยั (๒) ถ้าเห็นว่าเป็นคําร้องทุกข์ที่มีการดําเนินการโดยไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ ก.ร. แนะนําให้ผู้ร้องทุกข์แก้ไขให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กําหนด หากไม่มี การแกไ้ ขภายในระยะเวลาทก่ี ําหนด ก็ใหเ้ สนอ อ.ก.ร. อุทธรณแ์ ละรอ้ งทุกข์ เพือ่ พจิ ารณาต่อไป (๓) ถ้าเหน็ ว่าเปน็ คําร้องทกุ ขท์ ่ีไม่อาจรบั ไวพ้ จิ ารณาไดต้ ามข้อ ๑๔ ก็ให้เสนอ อ.ก.ร. อุทธรณ์ และร้องทุกข์ เพอื่ พจิ ารณาต่อไป ขอ้ ๑๓ เม่อื ได้รบั ความเหน็ ตามข้อ ๑๒ ให้ อ.ก.ร. อทุ ธรณ์และรอ้ งทุกข์ พจิ ารณามคี าํ ส่ัง ดังน้ี (๑) ถ้าเห็นว่าเป็นคําร้องทุกข์ท่ีไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ตามข้อ ๑๔ ก็ให้มีคําส่ังไม่รับคําร้องทุกข์นั้น ไวพ้ จิ ารณาและให้รายงาน ก.ร. เพอ่ื ทราบ (๒) ถ้าเหน็ ว่าเปน็ คําร้องทุกข์ทอี่ าจรับไว้พิจารณาได้ กใ็ ห้มีคําส่งั รับคาํ รอ้ งทุกขน์ ้นั ไว้พจิ ารณาวินจิ ฉัย ข้อ ๑๔ ห้ามมิให้รบั คําร้องทกุ ข์ดังตอ่ ไปนีไ้ วพ้ จิ ารณา (๑) เป็นกรณที ไ่ี ม่อาจร้องทกุ ขไ์ ด้ตามขอ้ ๕ (๒) ผู้ยน่ื คําร้องทุกขม์ ใิ ช่บคุ คลทไี่ ดร้ บั มอบหมายตามข้อ ๙ (๓) เป็นคํารอ้ งทกุ ขท์ ยี่ ืน่ เม่ือพ้นกาํ หนดเวลาท่กี าํ หนดไว้ในข้อ ๔ หรอื ขอ้ ๘ (๔) เปน็ เรื่องทไ่ี ดเ้ คยมีการร้องทุกข์และได้มคี ําวินิจฉยั ถึงท่ีสดุ แลว้ (๕) เป็นคําร้องทุกข์ที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ และ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ได้มีคําส่ังให้ผู้ร้องทุกข์ดําเนินการแก้ไขเพ่ิมเติมหรือดําเนินการให้ถูกต้องภายในระยะเวลาท่ีกําหนดแล้ว แตไ่ มม่ ีการแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ หรอื ดาํ เนนิ การให้ถูกต้องภายในระยะเวลาทกี่ ําหนด ขอ้ ๑๕ เม่ือ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ มีคําส่ังรับคําร้องทุกข์ไว้พิจารณาแล้ว ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์ และร้องทุกข์ มีหนังสือแจ้งพร้อมทั้งส่งสําเนาคําร้องทุกข์ให้ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ ช้ีแจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเก่ียวกับเรื่องร้องทุกข์เสนอต่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ภายใน สิบหา้ วนั ทาํ การนบั แตว่ ันไดร้ ับหนังสอื หากมีเอกสารหรอื พยานหลกั ฐานท่ีเกยี่ วข้องก็ให้เสนอมาพรอ้ มกนั ด้วย ขอ้ ๑๖ ในกรณีที่ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เห็นว่าคําช้ีแจงของผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุ แห่งการร้องทุกข์หรือพยานหลักฐานที่ส่งมาให้ยังไม่ครบถ้วนหรือชัดเจนเพียงพอ ให้สั่งให้ผู้บังคับบัญชา ผูเ้ ป็นเหตุแห่งการรอ้ งทุกขจ์ ัดทําคําชี้แจงเพ่ิมเติมหรือส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาให้ภายในระยะเวลาท่ีกําหนด ข้อ ๑๗ ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์มิได้จัดทําคําชี้แจงภายในระยะเวลา ท่ีกําหนดตามข้อ ๑๕ หรือข้อ ๑๖ ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ยอมรับข้อเท็จจริง ตามข้อร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ และให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ พิจารณาดําเนินการต่อไปตามที่ เห็นเป็นการยุติธรรม - 137 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หนา้ ๑๕ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา ข้อ ๑๘ การพิจารณาวินิจฉัยเร่ืองร้องทุกข์ ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ พิจารณาจาก พยานหลักฐานที่เก่ียวข้องประกอบกับคําร้องทุกข์และคําช้ีแจงของผู้บังคับบัญชาท่ีเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ ในกรณีจําเป็นและสมควร ให้ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ มีอํานาจดําเนินการแสวงหาข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ ท้ังน้ี ให้นํามาตรา ๗๔ มาใชบ้ งั คบั ในกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์ขอแถลงการณ์ด้วยวาจา หาก อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เห็นว่าการแถลงการณ์ ด้วยวาจาไม่จําเป็นแก่การพิจารณาวินิจฉัยเร่ืองร้องทุกข์ จะให้งดการแถลงการณ์ด้วยวาจาเสียก็ได้ แต่ให้บันทึก เหตุผลไว้ด้วย ข้อ ๑๙ ในการพจิ ารณาวินิจฉยั เรอื่ งรอ้ งทุกข์ ถ้า อ.ก.ร. อุทธรณแ์ ละรอ้ งทกุ ข์ เหน็ วา่ (๑) เป็นคําร้องทุกขท์ ไี่ ม่อาจรับไวพ้ จิ ารณาได้ตามข้อ ๑๔ ก็ให้มีมติไมร่ บั เรือ่ งร้องทกุ ข์นน้ั ไว้พจิ ารณา (๒) การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของผู้บังคับบัญชามิได้มีลักษณะตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๕ ก็ให้มีมติ ให้ยกคาํ รอ้ งทุกข์ (๓) การปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติของผู้บังคับบัญชามีลักษณะตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๕ ก็ให้มีมติ ให้แก้ไขหรือยกเลิกคําส่ัง หรือเห็นควรดําเนินการอื่นใดเพื่อให้มีความถูกต้องตามกฎหมายและมีความเป็นธรรม กใ็ ห้มมี ติให้ดาํ เนนิ การอื่นใดเพอื่ ประโยชนแ์ ห่งความยตุ ิธรรม การพจิ ารณามีมติตามวรรคหน่ึงให้บันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉยั ไวใ้ นรายงานการประชมุ ด้วย ขอ้ ๒๐ เม่ือ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ได้พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์เสร็จสิ้นแล้ว ให้รายงาน ก.ร. เพ่ือทราบ หาก ก.ร. มีข้อแนะนําหรือข้อควรปรับปรุงประการใดให้แก้ไขปรับปรุง ตามความเห็นของ ก.ร. และให้เลขานุการ ก.ร. แจ้งให้ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขาธิการวุฒิสภา หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่อ อย่างอ่ืนตามมาตรา ๖ (๓) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้วแต่กรณี ทราบหรอื ดาํ เนินการใหเ้ ปน็ ไปตามมติ ก.ร. โดยเรว็ พรอ้ มทั้งแจง้ ให้ผรู้ ้องทกุ ขท์ ราบเปน็ หนังสือโดยเร็วด้วย ข้อ ๒๑ มติ ก.ร. ตามข้อ ๒๐ ให้เป็นที่สุดและให้มีผลผูกพันผู้ร้องทุกข์ ผู้บังคับบัญชา ผเู้ ป็นเหตุแหง่ การรอ้ งทุกข์ และผู้ทเี่ กีย่ วขอ้ งทจี่ ะต้องปฏบิ ัติตามนับแตว่ ันท่กี ําหนดไวใ้ นมตินนั้ ขอ้ ๒๒ ระยะเวลาตามท่ีกําหนดไว้ในข้อ ๔ วรรคสอง ข้อ ๘ ข้อ ๑๕ ข้อ ๑๖ และข้อ ๑๗ เมื่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เห็นสมควร หรือเม่ือผู้ร้องทุกข์หรือผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ มีคําขอ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ มีอํานาจขยายระยะเวลาได้ตามความจําเป็นเพ่ือประโยชน์ แห่งความยตุ ธิ รรม ข้อ ๒๓ การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ร. นี้ สําหรับเวลาเร่ิมต้นให้นับวันถัดจากวันแรก แหง่ เวลานั้นเปน็ วนั เริม่ นับระยะเวลา สว่ นเวลาส้ินสุด ถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ ให้นบั วนั เริม่ เปิดทําการใหมเ่ ป็นวนั สดุ ท้ายแหง่ ระยะเวลา ข้อ ๒๔ ในกรณีท่มี ปี ญั หาเกี่ยวกบั การปฏิบัตติ ามกฎ ก.ร. นี้ ให้ ก.ร. เปน็ ผู้พิจารณาวินิจฉยั - 138 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หนา้ ๑๖ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกิจจานุเบกษา ขอ้ ๒๕ ในระหว่างท่ียังมิได้มีการแต่งต้ัง อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ให้ อ.ก.ร. กฎหมาย และระเบียบ ทําหน้าท่ี อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ตามกฎ ก.ร. น้ีไปพลางก่อนจนกว่า ก.ร. จะได้แต่งตั้ง อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทกุ ข์ ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วชิ ติ ชลชัย ประธานสภานติ ิบัญญัติแห่งชาติ ทําหน้าทีป่ ระธานรฐั สภา ประธาน ก.ร. - 139 -
เล่ม ๑๓๑ ตอนที่ ๗๓ ก หนา้ ๑๗ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ราชกจิ จานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.ร. ฉบับน้ี คือ เน่ืองจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๘๘ กําหนดว่า ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้ใดเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อํานาจหน้าท่ีปฏิบัติ ต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติต่อตนให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติ ของผู้บังคับบัญชาต่อตน ผู้นั้นอาจร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาหรือ ก.ร. แล้วแต่กรณี เว้นแต่เป็นกรณีท่ีมีสิทธิอุทธรณ์ ตามมาตรา ๘๗ และมาตรา ๘๙ กําหนดว่า ในการพิจารณาวินิจฉัยเร่ืองร้องทุกข์ ก.ร. จะพิจารณาวินิจฉัยเอง หรือจะตั้ง อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ เพื่อทําหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยร้องทุกข์ก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม หลกั เกณฑ์และวธิ ีการท่กี ําหนดในกฎ ก.ร. จึงจําเป็นตอ้ งออกกฎ ก.ร. น้ี - 140 -
-๑- ประมวลจรยิ ธรรมขา้ ราชการรัฐสภา ------------------ คาปรารภ โดยท่ีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙ บัญญัติให้ มาตรฐานทางจรยิ ธรรมของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมือง ขา้ ราชการ หรอื เจา้ หนา้ ที่ของรฐั แตล่ ะประเภท ให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่กาหนดขึ้น ซึ่งจะต้องมีกลไกและระบบในการดาเนินงาน เพื่อให้การบังคับใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกาหนดข้ันตอนการลงโทษตามความร้ายแรง แห่งการกระทาการฝ่าฝนื หรอื ไม่ปฏบิ ัตติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมที่กาหนดขึ้นให้ถือว่าเป็นการกระทา ผิดทางวินัย คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ก.ร.) จึงกาหนดให้มีประมวลจริยธรรมข้าราชการ รัฐสภาขึ้น เพื่อให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญ พนักงานราชการและลูกจ้างในส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ยดึ ถือปฏิบัติไว้ดงั ตอ่ ไปนี้ หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๑ ประมวลจริยธรรมข้าราชการรัฐสภานี้ให้ใช้บังคับเม่ือพ้นกาหนดหกสิบวัน นบั แตว่ นั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาเปน็ ต้นไป1 ข้อ ๒ ในประมวลจริยธรรมนี้ “ประมวลจริยธรรม” หมายความว่า ประมวลจรยิ ธรรมข้าราชการรฐั สภา “ข้าราชการรัฐสภา” หมายความว่า ข้าราชการรัฐสภาสามัญ พนักงานราชการ และลกู จา้ งในสว่ นราชการสงั กัดรฐั สภา หมวด ๒ มาตรฐานทางจรยิ ธรรมของข้าราชการรฐั สภา ข้อ ๓ ข้าราชการรัฐสภาต้องจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าท่ีเพื่อสนองคุณของแผ่นดิน รักษาประโยชน์ของประเทศชาติ ปฏิบัติตน ตามหลักศาสนาและเทดิ ทนู สถาบนั พระมหากษัตริย์ ข้อ ๔ ข้าราชการรัฐสภาต้องยึดม่ันในการปกครองระบอบปร ะชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยยอมรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของส่วนรวม รวมถึง 1 ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๘ ตอนพิเศษ ๒๓ ง หน้า ๕๕ / ๒๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๔ - 141 -
-๒- คานึงถึงสิทธิและหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งไม่ดาเนินการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย แกร่ ะบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ ขอ้ ๕ ข้าราชการรัฐสภาต้องยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ ส่วนตนและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยไม่นาความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ตนมีต่อบุคคลอื่นมาประกอบ การใช้ดุลยพินิจให้เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลนั้นหรือปฏิบัติต่อบุคคลน้ันต่างจากบุคคลอ่ืน และไม่กระทาการใดหรือดารงตาแหน่งใด หรือปฏิบัติการใดในฐานะส่วนตัว ซึ่งก่อให้เกิดความเคลือบ แคลงหรอื สงสยั ว่าจะขัดกับประโยชน์สว่ นรวมที่อยู่ในความรับผิดชอบตามหนา้ ท่ีของตน ข้อ ๖ ข้าราชการรัฐสภาต้องภักดีต่อองค์กร โดยเชิดชูองค์กร ปฏิบัติงานโดยยึดม่ัน เป้าหมายขององค์กรเป็นหลัก รักษาวัฒนธรรมและภาพลักษณ์ท่ีดีขององค์กร รวมท้ังเคารพสถานที่ และชว่ ยกนั รักษาความสงบเรยี บร้อยในองค์กร ข้อ ๗ ขา้ ราชการรัฐสภาต้องม่งุ ผลสัมฤทธ์ิของงาน รกั ษามาตรฐาน มีคุณภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยมุ่งม่ันที่จะทางานให้เกิดผลดีแก่องค์กรและประโยชน์ส่วนรวม เน้นการปรับปรุง กลไกการทางานขององค์กร ให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีกลไกให้ประชาชนสามารถ ตรวจสอบได้ ขอ้ ๘ ข้าราชการรัฐสภาต้องรู้รักสามัคคี มีจิตสานึกท่ีดี ซ่ือสัตย์ สุจริต และมีความ รับผิดชอบต่อหน้าท่ี โดยยึดมั่นปฏิบัติตนให้อยู่ในหลักคุณธรรม มีความซื่อตรง ไม่คดโกง ปฏิบัติหน้าท่ี อยา่ งตรงไปตรงมา ไม่ประพฤติตนเปน็ ที่เสื่อมเสีย ขอ้ ๙ ข้าราชการรัฐสภาต้องยืนหยัดทาในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และชอบด้วย กฎหมาย โดยยึดมั่นในหลักการและถือปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ยึดหลักวิชาและจรรยา วิชาชีพในการปฏิบัติงาน กล้าคิด กล้าทา และกล้ารับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย มุ่งที่จะกระทาในสง่ิ ท่ถี กู ต้องดีงาม โดยปราศจากอคติ และไม่ยอมโอนอ่อนผอ่ นตามอทิ ธิพลใด ๆ ข้อ ๑๐ ข้าราชการรฐั สภาตอ้ งปฏบิ ัตหิ น้าทีด่ ว้ ยความเทย่ี งธรรม เป็นกลางทางการเมือง มจี ิตให้บริการแก่สมาชิกรัฐสภา บุคคลในวงงานรัฐสภา และประชาชน ด้วยอัธยาศัยไมตรี โดยไม่เลือก ปฏิบตั ิพร้อมให้บรกิ ารอยู่เสมอ ข้อ ๑๑2 ข้าราชการรัฐสภาต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้แก่สมาชิกรัฐสภา บุคคล ในวงงานรัฐสภา และประชาชน ภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือน ข้อเท็จจริง โดยรักษาความลับของทางราชการและความลับอื่นที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือจากผู้มาติดต่อราชการ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปเพ่ือประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรม 2 ขอ้ ๑๑ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ โดยประมวลจริยธรรมขา้ ราชการรฐั สภา (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ - 142 -
-๓- หรือการตรวจสอบตามท่ีกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับกาหนด และปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูล ข่าวสารของราชการ ข้อ ๑๒ ข้าราชการรัฐสภาต้องให้เกียรติแก่สมาชิกรัฐสภา บุคคลในวงงานรัฐสภา ประชาชนผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน และไมก่ ้าวก่ายสิทธสิ ่วนบคุ คลหรือเรือ่ งสว่ นตวั ของผูอ้ ่นื ข้อ ๑๓ ข้าราชการรัฐสภาต้องเสียสละ มีความขยันหมั่นเพียร อุทิศเวลาให้งาน อย่างเต็มที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นสาคัญ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานและผู้อ่ืน โดยไม่หวัง ผลประโยชน์ตอบแทนอืน่ ใด ขอ้ ๑๔ ข้าราชการรฐั สภาตอ้ งประหยัด โดยการใชเ้ วลาราชการ เงนิ ทรพั ยส์ นิ บุคลากร บริการ หรือส่ิงอานวยความสะดวกของทางราชการ และสิทธิประโยชน์ท่ีราชการจัดให้อย่างคุ้มค่า สมประโยชนข์ องทางราชการ รวมทง้ั ไมน่ าไปใช้เพือ่ ประโยชน์แกต่ นเองหรอื ผู้อื่น ขอ้ ๑๕ ข้าราชการรัฐสภาต้องปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมอย่างตรงไปตรงมา และไมก่ ระทาการเลี่ยงประมวลจรยิ ธรรมนี้ ข้าราชการรัฐสภาเม่ือรู้หรือพบเห็นการฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมนี้ ข้าราชการรัฐสภา มหี นา้ ทต่ี อ้ งรายงานการฝ่าฝืนดังกลา่ วพรอ้ มพยานหลักฐาน (ถ้ามี) ต่อหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา หรือคณะกรรมการจรยิ ธรรมข้าราชการรฐั สภาโดยพลัน หมวด ๓ กลไกและระบบการบงั คบั ใชป้ ระมวลจริยธรรม สว่ นท่ี ๑ องค์กรคุ้มครองจริยธรรม ข้อ ๑๖ ก.ร. มีหน้าท่ีควบคุมกากับให้มีการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมอย่างทั่วถึง และจรงิ จงั โดยมีอานาจหน้าท่ี ดังนี้ (๑) วางระเบียบเพ่อื กาหนดการทงั้ หลายอนั จาเป็นแก่การใชบ้ งั คบั ประมวลจรยิ ธรรม (๒) คุ้มครองและประกันความเป็นอิสระและเที่ยงธรรมของคณะกรรมการจริยธรรม ขา้ ราชการรฐั สภาและกลมุ่ งานส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม (๓) คุ้มครองข้าราชการรัฐสภาซึ่งปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมน้ีอย่างตรงไปตรงมา มใิ ห้ผบู้ งั คบั บัญชาใช้อานาจโดยไมเ่ ปน็ ธรรมตอ่ ขา้ ราชการรฐั สภาผนู้ ้นั (๔) ตคี วาม และวนิ ิจฉัยชขี้ าดปญั หาอันเกดิ จากการใช้ประมวลจรยิ ธรรมนี้ (๕) ดาเนนิ การอื่นตามประมวลจรยิ ธรรมน้ี - 143 -
-๔- ขอ้ ๑๗3 ให้ประธานรัฐสภาแต่งตั้งคณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาข้ึน คณะหนึ่ง เพอื่ ควบคมุ กากบั ให้มีการปฏิบตั ิตามประมวลจริยธรรมนี้ ประกอบดว้ ย (๑) ประธานกรรมการ ซ่ึงหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภาร่วมกันพิจารณาเสนอ จากผ้ทู รงคณุ วุฒภิ ายนอกผูม้ ีความซอื่ สัตยส์ ุจรติ เปน็ ทีป่ ระจกั ษโ์ ดยไดร้ บั ความเห็นชอบจาก ก.ร. (๒) กรรมการซึ่งเลือกจากผู้ดารงตาแหน่งรองหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ผู้อานวยการสานัก หรือผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ในส่วนราชการสังกัดรัฐสภาตามประกาศรัฐสภาว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการภายในของส่วนราชการ สังกดั รฐั สภา โดยใหเ้ ลือกกันเองสว่ นราชการละสองคน (๓) กรรมการซ่ึงเลือกจากข้าราชการรัฐสภา ส่วนราชการละสองคนตามวิธีการที่แต่ละ ส่วนราชการเห็นสมควร (๔) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกสองคน ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภาร่วมกัน พิจารณาเสนอจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกผู้มีความซ่ือสัตย์สุจริตเป็นท่ีประจักษ์โดยได้รับความเห็นชอบ จาก ก.ร. ให้ ก.ร. แต่งตั้งผู้บังคับบัญชากลุ่มงานส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในส่วนราชการ สงั กดั รัฐสภาคนหนึง่ เป็นเลขานุการ และอีกคนหนงึ่ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ กรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาต้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย และเป็นผู้มีเกียรติ เปน็ ท่ียอมรับของสว่ นราชการ ในกรณีท่ีไม่มีกรรมการในตาแหน่งใด หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ ถ้ากรรมการ ที่เหลืออยู่นั้นมีจานวนไม่น้อยกว่าก่ึงหน่ึงให้คณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาประกอบด้วย กรรมการที่เหลืออยู่ ขอ้ ๑๘ กรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภามีวาระอยู่ในตาแหน่งคราวละสองปี และอาจไดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหมไ่ ด้ ให้กรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาที่พ้นจากตาแหน่งตามวาระ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกวา่ จะแตง่ ต้ังกรรมการจรยิ ธรรมขา้ ราชการรฐั สภาใหม่ ในกรณีท่ีมีการแต่งตั้งกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาแทนตาแหน่งที่ว่าง ใหก้ รรมการจรยิ ธรรมขา้ ราชการรัฐสภาทไ่ี ดร้ ับแต่งต้ังมีวาระอยู่เทา่ กบั วาระท่ีเหลืออยู่ ใ น ก ร ณี ท่ี ต า แ ห น่ ง ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม ข้ า ร า ช ก า ร รั ฐ ส ภ า ว่ า ง ล ง ก่ อ น ค ร บ ว า ร ะ ให้ ส่ว น ราชก าร สัง กั ด รั ฐ สภาด าเ นิน ก าร สรร ห าต าแห น่ ง ก ร รม ก าร จริยธ ร ร ม ข้าร าชก าร รั ฐ สภา 3 ข้อ ๑๗ แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ โดยประมวลจรยิ ธรรมข้าราชการรฐั สภา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ - 144 -
-๕- แทนตาแหนง่ ทว่ี า่ งให้แล้วเสรจ็ ภายในหกสบิ วนั ถ้าวาระการดารงตาแหน่งเหลอื อย่ไู ม่ถงึ หน่งึ ร้อยย่ีสิบวนั จะไม่ดาเนินการสรรหากรรมการจรยิ ธรรมข้าราชการรัฐสภาตามขอ้ ๑๗ แทนตาแหน่งท่วี า่ งนัน้ ก็ได้4 ขอ้ ๑๙ คณะกรรมการจรยิ ธรรมข้าราชการรัฐสภา มีอานาจหนา้ ที่ ดงั น้ี (๑) วางระเบียบเพื่อกาหนดการทั้งหลายอันจาเปน็ แกก่ ารใชบ้ ังคบั ประมวลจริยธรรม (๒) คุ้มครองและประกันความเป็นอิสระและเที่ยงธรรมของกลุ่มงานส่งเสริมคุณธรรม และจรยิ ธรรมของส่วนราชการ (๓) คุ้มครองข้าราชการรัฐสภาซ่ึงปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมน้ีอย่างตรงไปตรงมา มใิ หผ้ ู้บงั คบั บญั ชาใช้อานาจโดยไม่เป็นธรรมต่อข้าราชการรฐั สภาผูน้ ้ัน (๔) เผยแพร่และปลูกฝังจริยธรรมให้เป็นท่ีรับทราบอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่ข้าราชการ รัฐสภาและประชาชน (๕) ส่งเสริมและยกย่องส่วนราชการ หัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ผู้บังคับบัญชา และขา้ ราชการรัฐสภาท่ีปฏิบตั ติ ามประมวลจริยธรรมอย่างจริงจัง (๖) สอดส่องดูแลให้มีการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมในส่วนราชการ ในกรณีที่มี ข้อสงสัยหรือมีข้อร้องเรียนว่ามีการฝ่าฝืนจริยธรรมให้ส่งเร่ืองให้หัวหน้าส่วนราช การสังกัดรัฐสภา เพอ่ื ปฏิบัตติ ามประมวลจริยธรรมนีโ้ ดยเร็ว (๗) ควบคุม กากับ ส่งเสริม และให้คาแนะนาในการใช้บังคับประมวลจริยธรรมนี้ ในสว่ นราชการ (๘) พิจารณาวินิจฉัยช้ีขาดปัญหาอันเกิดจากการใช้บังคับประมวลจริยธรรมน้ี ในส่วนราชการเมื่อได้วินิจฉัยแล้วให้ส่งคาวินิจฉัยให้ ก.ร. ภายในสามสิบวัน ถ้า ก.ร. มิได้วินิจฉัย เป็นอย่างอ่ืน ภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ี ก.ร. รับเรื่อง ให้คาวินิจฉัยของคณะกรรมการจริยธรรม ขา้ ราชการรฐั สภาเป็นทีส่ ุด (๙) ส่งเร่ืองให้ ก.ร. พิจารณาวินิจฉัยในกรณีท่ีเห็นว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องสาคัญ และยงั ไม่มคี าวินจิ ฉัยของ ก.ร. หรือผตู้ รวจการแผ่นดิน (๑๐) ประมวลการตีความและวินิจฉัยปัญหา อันเกิดจากการใช้บังคับประมวลจริยธรรมนี้ ทุกปีและเผยแพร่ให้ข้าราชการรฐั สภาทราบ เพอ่ื ยึดถอื และเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ติ ่อไป (๑๑) เสนอแนะการแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลจรยิ ธรรมน้ี หรือการอื่นทเี่ ห็นสมควรตอ่ ก.ร. (๑๒) ประสานงานกับผูต้ รวจการแผน่ ดนิ เพอ่ื ใหก้ ารปฏบิ ัตติ ามค่านิยมหลักสาหรับผู้ดารง ตาแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ตลอดจนประมวลจริยธรรมนี้มีผลใช้บังคับอย่างจริงจัง มีประสิทธภิ าพและทัว่ ถงึ 4 ข้อ ๑๘ วรรคส่ี เพิ่มเติมโดยประมวลจรยิ ธรรมข้าราชการรัฐสภา (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ - 145 -
-๖- (๑๓) ดาเนินการอ่ืนตามประมวลจรยิ ธรรมน้ี หรอื ตามที่ ก.ร. มอบหมายให้คณะกรรมการ จรยิ ธรรมข้าราชการรัฐสภาวางกรอบแนวทางการดาเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันตามกรอบท่ี ก.ร. กาหนด การประชุมคณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาให้นากฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครองมาใช้บงั คบั ข้อ ๒๐ หัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา รองหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ผู้อานวยการสานัก และผู้บังคับบัญชาส่วนราชการที่ข้ึนตรงต่อหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ในส่วนราชการสังกัดรัฐสภาตามประกาศรัฐสภาว่าด้วยการแบ่งส่วนราชการภายในของส่วนราชการ สงั กดั รฐั สภา ผูบ้ ังคับบญั ชากลมุ่ งานท่อี ย่ใู นสานกั มีหนา้ ท่ีปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมน้ี และประพฤติ ตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ควบคุมให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามประมวล จริยธรรมน้ี สนับสนุนส่งเสริมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานและความรู้ ความสามารถ และปฏบิ ัตติ ามประมวลจรยิ ธรรมนี้ โดยใหม้ อี านาจหน้าที่ ดังตอ่ ไปน้ี5 (๑) คุ้มครองและประกันความเป็นอิสระและเที่ยงธรรมของกลุ่มงานส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมของส่วนราชการ (๒) คุ้มครองข้าราชการรัฐสภาซึ่งปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมนี้อย่างตรงไปตรงมา มใิ หถ้ กู กลน่ั แกล้งหรือถูกใชอ้ านาจโดยไมเ่ ปน็ ธรรม (๓) ส่งเสริมและเผยแพรก่ ารปฏบิ ตั ติ ามประมวลจริยธรรมนี้อยา่ งสม่าเสมอ (๔) ติดตามสอดส่องให้ข้าราชการรัฐสภาในส่วนราชการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมนี้ อยา่ งเครง่ ครดั (๕) ปฏิบัติตามมติหรือคาวินิจฉัย ก.ร. หรือคณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภา คาแนะนาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ในกรณีท่ีคณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภามีคาวินิจฉัยใด และหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภาไม่เห็นพ้องด้วยกับคาวินิจฉัยนั้น ให้เสนอความเห็นของตน และคาวินิจฉัยของคณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภาไปให้ ก.ร. วินิจฉัยได้ เว้นแต่กรณีนั้น มีคาวนิ ิจฉยั ของผู้ตรวจการแผน่ ดิน หรือ ก.ร. วนิ จิ ฉัยเสร็จเดด็ ขาดไวแ้ ลว้ (๖) รวบรวมปัญหาการปฏบิ ตั ิตามประมวลจริยธรรมนี้ และข้อเสนอแนะในการปรับปรุง ประมวลจริยธรรมนี้ หรือการอ่ืนตามที่เห็นสมควรเสนอคณะกรรมการจริยธรรมข้าราชการรัฐสภา เพื่อนาเสนอ ก.ร. ตอ่ ไป (๗) ดาเนินการอื่นตามประมวลจรยิ ธรรมน้ี หรือตามท่ี ก.ร. มอบหมาย 5 ขอ้ ๒๐ วรรคหน่ึง แก้ไขเพม่ิ เตมิ โดยประมวลจรยิ ธรรมขา้ ราชการรัฐสภา (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ - 146 -
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254