เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี เม่ืออารมณ์มีอยู่ ความตั้งข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี เมอื่ วญิ ญาณนนั้ ตงั้ ขนึ้ เฉพาะ เจรญิ งอกงามแลว้ การกา้ วลง แหง่ นามรปู ยอ่ มมี เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ เพราะมสี ฬายตนะเปน็ ปจั จยั จงึ มผี สั สะ เพราะมผี สั สะเปน็ ปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทาน เปน็ ปจั จยั จงึ มภี พ เพราะมภี พเปน็ ปจั จยั จงึ มชี าติ เพราะ มีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดข้ึนครบถ้วน ความเกิดข้ึนพร้อม แหง่ กองทกุ ข์ทงั้ สนิ้ น้ี ย่อมมี ดว้ ยอาการอยา่ งน้ี. ๑๗๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี คว�มเกดิ ข้ึนแหง่ ภพใหม่ (นยั ท่ี ๓) ๖๓ -บาลี ิ า . ส.ํ ๖/๗๘/ ๔๕. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา้ บคุ คลยอ่ มคดิ (เจเตต)ิ ถงึ สงิ่ ใดอยู่ ย่อมดำาริ (ปกปฺเปติ) ถึงส่ิงใดอยู่ และย่อมมีจิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในส่ิงใดอยู่ สิ่งน้ันย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการต้ังอยู่ แห่งวิญญาณ เม่ืออารมณ์มีอยู่ ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่ง วิญญาณ ย่อมมี เม่ือวิญญาณน้ัน ตั้งข้ึนเฉพาะ เจริญ งอกงามแล้ว คว�มเกิดข้ึนแห่งภพใหม่ต่อไป (ปุนพฺภวา ภินิพฺพตฺต)ิ ยอ่ มมี เมอ่ื ความเกิดขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปมีอยู่ ชาตชิ รามรณะ โสกะปรเิ ทวะทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทงั้ หลาย จงึ เกิดขน้ึ ครบถว้ น ความเกิดขน้ึ พร้อมแหง่ กองทกุ ขท์ งั้ สน้ิ นย้ี ่อมมี ดว้ ยอาการอยา่ งนี้. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าบุคคลย่อมไม่คิด (โน เจเตติ) ถึงสิ่งใด ย่อมไม่ดำาริ (โน ปกปฺเปติ) ถึงส่ิงใด แต่เข�ยังมี จิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในส่ิงใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตัง้ อย่แู หง่ วิญญาณ เมอ่ื อารมณ์มอี ยู่ ความต้ังข้ึน เฉพาะแห่งวิญญาณย่อมมี เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งข้ึนเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว คว�มเกิดข้ึนแห่งภพใหม่ต่อไปย่อมมี เมี่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปมีอยู่ ชาติชรามรณะ ๑๘๐
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น ครบถ้วน ความเกิดข้ึนพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้. ภกิ ษทุ งั้ หลาย กถ็ า้ วา่ บคุ คลยอ่ มไมค่ ดิ ถงึ สงิ่ ใดดว้ ย ย่อมไม่ดำาริถึงส่ิงใดด้วย และย่อมไม่มีจิตฝังลงไป (โน อนุเสติ) ในส่ิงใดด้วยในกาลใด ในกาลนั้น ส่ิงนั้น ย่อมไม่ เป็นอารมณ์ เพื่อการต้ังอยู่แห่งวิญญาณ เม่ืออารมณ์ไม่มี ความต้ังข้ึนเฉพาะแห่งวิญญาณย่อมไม่มี เม่ือวิญญาณน้ัน ไม่ตั้งข้ึนเฉพาะ ไม่เจริญงอกงามแล้ว คว�มเกิดขึ้นแห่ง ภพใหม่ต่อไปย่อมไม่มี เม่ือความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ ต่อไปไม่มี ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสะท้ังหลาย จึงดับส้ิน ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งส้นิ น้ยี อ่ มมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนแี้ ล. ๑๘๑
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ทตี่ ้งั อยขู่ องวญิ ญ�ณ (นยั ท่ี 1) ๖๔ -บาลี ข ฺ . ส.ํ ๗/๖๗/ ๐๖. ภิกษุท้ังหลาย ส่ิงท่ีใช้เป็นพืชมี ๕ อย่างเหล่าน้ี ๕ เปน็ อย่างไร คือ (๑) พชื จากเหงา้ หรอื ราก (มูลพีช) (๒) พืชจากตน้ (ขนฺธพชี ) (๓) พชื จากตาหรือผล (ผลพีช) (๔) พชื จากยอด (อคฺคพชี ) (๕) พืชจากเมล็ด (พีชพชี ) ภิกษุทั้งหลาย ถ้าสิ่งท่ีใช้เป็นพืช ๕ อย่าง เหล่าน้ี ท่ีไม่ถกู ทาำ ลาย ยงั ไมเ่ นา่ เปอื่ ย ยังไม่แหง้ เพราะลมและแดด ยังมีเชื้องอกบริบูรณ์อยู่ และอันเจ้าของเก็บไว้ด้วยดี แตด่ ิน นาำ้ ไมม่ .ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สง่ิ ทใ่ี ชเ้ ปน็ พชื ๕ อยา่ งเหลา่ นน้ั จะพงึ เจริญงอกงามไพบลู ย์ ได้แลหรือ. หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระเจ้าขา้ . ภิกษุทั้งหลาย ถ้าส่ิงท่ีใช้เป็นพืช ๕ อย่าง เหล่านี้ แหละ ทไ่ี มถ่ กู ทาำ ลายยงั ไมเ่ นา่ เปอ่ื ย ยงั ไมแ่ หง้ เพราะลมและ ๑๘๒
เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี แดด ยังมีเช้ืองอกบริบูรณ์อยู่ และอันเจ้าของเก็บไว้ด้วยดี ทง้ั ดนิ น้ำา กม็ ีดว้ ย. ภิกษทุ ้งั หลาย ส่ิงทใ่ี ช้เป็นพืช ๕ อย่าง เหล่าน้ันจะ พงึ เจริญ งอกงาม ไพบลู ย์ ไดม้ ใิ ช่หรอื . อย่างนน้ั พระเจา้ ขา้ . ภิกษุทั้งหลาย วิญญ�ณฐิติ ๔ อย่�ง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) พงึ เหน็ ว่� เหมือนกับ ดนิ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย นนั ทริ �คะ (ความกาำ หนดั ดว้ ยอาำ นาจแหง่ ความเพลนิ ) พงึ เห็นว่�เหมอื นกบั น�้ำ . ภิกษุท้ังหลาย วิญญ�ณ ซ่ึงประกอบด้วยปัจจัย พึงเหน็ ว�่ เหมอื นกับ พืชสดท้งั ๕ นัน้ . ภิกษุทั้งหลาย วิญญ�ณ ซ่ึงเข้�ถือเอ�รูป ตง้ั อยู่ กต็ ง้ั อยไู่ ด้ เปน็ วญิ ญาณทม่ี รี ปู เปน็ อารมณ์ มรี ปู เปน็ ทต่ี ง้ั อาศัย มีนันทเิ ป็นที่เขา้ ไปซอ่ งเสพ ก็ถึงความเจรญิ งอกงาม ไพบลู ยไ์ ด.้ ภิกษุท้ังหลาย วิญญ�ณ ซึ่งเข้�ถือเอ�เวทน� ต้ังอยู่ ก็ต้ังอยู่ได้ เป็นวิญญาณท่ีมีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นท่ีตั้งอาศัย มีนันทิเป็นท่ีเข้าไปซ่องเสพ ก็ถึง ความเจรญิ งอกงาม ไพบลู ยไ์ ด้. ๑๘๓
พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย วิญญ�ณ ซ่ึงเข้�ถือเอ�สัญญ� ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นท่ีเข้าไปซ่องเสพ ก็ถึง ความเจรญิ งอกงาม ไพบูลย์ได้. ภิกษุท้ังหลาย วิญญ�ณ ซ่ึงเข้�ถือเอ�สังข�ร ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นท่ีตั้งอาศัย มีนันทิเป็นท่ีเข้าไปซ่องเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลยไ์ ด้. ภิกษทุ ง้ั หลาย ผู้ใดจะพงึ กลา่ วอยา่ งนี้ว่า เร�จักบญั ญตั ซิ ่งึ ก�รม� ก�รไป ก�รจุติ (การตาย) ก�รอุบตั ิ (การเกดิ ) คว�มเจรญิ คว�มงอกง�ม และคว�มไพบลู ย์ของวิญญ�ณ โดยเวน้ จ�กรปู เวน้ จ�กเวทน� เวน้ จ�กสญั ญ� และเวน้ จ�กสงั ข�ร ดังน้นี ั้น นไี่ มใ่ ชฐ่ �นะที่จักมีได้เลย. ภิกษุทั้งหลาย ถา้ ราคะในรปู ธาตุ ในเวทนาธาตุ ใน สัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นส่งิ ท่ภี ิกษุละ ได้แล้ว (ราโค ปหีโน). ๑๘๔
เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี เพร�ะละร�คะได้ อ�รมณส์ �ำ หรับวญิ ญ�ณกข็ �ดลง ทต่ี ้งั ของวญิ ญ�ณกไ็ ม่มี วญิ ญ�ณอันไมม่ ีทต่ี ง้ั นัน้ ก็ไมง่ อกง�ม หลดุ พน้ ไป เพร�ะไม่ถูกปรงุ แต่ง เพร�ะหลุดพ้นไป กต็ ั้งมนั่ เพร�ะตั้งมนั่ ก็ยนิ ดใี นตนเอง เพร�ะยนิ ดีในตนเอง กไ็ ม่หว่นั ไหว เมอื่ ไม่หว่ันไหว กป็ รนิ พิ พ�นเฉพ�ะตน ยอ่ มรูช้ ดั ว่� ช�ตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรย์อยจู่ บแล้ว กจิ ทคี่ วรทำ�ได้ส�ำ เรจ็ แลว้ กจิ อน่ื ทจ่ี ะตอ้ งท�ำ เพอ่ื คว�มเปน็ อย�่ งน้ี มไิ ดม้ อี กี ดงั น.้ี (ดูเพ่ิมเติมเรื่อง “การน้อมใจเพื่อตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์” ในหน้า ๔๔๓ ซ่งึ ได้ตรัสไวโ้ ดยนัยใกลเ้ คยี งกัน. -ผูร้ วบรวม) ๑๘๕
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี ท่ตี งั้ อยู่ของวิญญ�ณ (นัยท่ี ๒) ๖๕ -บาลี า. .ี ๐/๘ /๖๕. อานนท์ วิญญาณฐิติ (ที่ตั้งอาศัยของวิญญาณ) ๗ เหล่านี้ และ อายตนะ ๒ มอี ยู่. วญิ ญาณฐติ ิ ๗ เหลา่ ไหนเล่า. วญิ ญาณฐิติ ๗ คือ (๑) อานนท์ สัตว์ทั้งหลาย (สตฺตา) มีกายต่างกัน มสี ญั ญาตา่ งกนั มอี ยู่ ไดแ้ ก่ มนษุ ยท์ ง้ั หลาย เทวดาบางพวก และวินิบาตบางพวก น้คี อื วญิ ญ�ณฐติ ทิ ่ี 1. (๒) อานนท์ สตั วท์ ง้ั หลาย มกี ายตา่ งกนั มสี ญั ญา อยา่ งเดยี วกนั มอี ยู่ ไดแ้ ก่ พวกเทพผนู้ บั เนอ่ื งในหมพู่ รหมท่ี บงั เกดิ โดยปฐมภมู 1ิ (ป มานพิ พฺ ตตฺ า) นค้ี อื วญิ ญ�ณฐติ ทิ ่ี ๒.2 (๓) อานนท์ สัตว์ท้ังหลาย มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน มีอยู่ ได้แก่ พวกเทพอาภัสสระ นี้คือ วิญญ�ณฐิตทิ ี่ ๓. ๑. ป ม มู ิ มู ิเบ้อื งตน้ ส�ม�รถเข�้ ถึงได้หล�ยท�ง เชน่ ผ้ไู ด้ป ม �น ผเู้ จรญิ เมตต� ผกู้ ระท�ำ กศุ ลกรรมบท ๑๐ ผปู้ ระกอบพรอ้ มดว้ ย ศรทั ธ� ศลี สตุ ะ จ�คะ ปญญ� เปน็ ตน้ . .ในพระไตรป กฉบบั สย�มรั เฉพ�ะในสตู รน้ี วญิ ญ�ณ ติ ทิ ่ี จะพบมคี �ำ ว�่ อบ�ยทง้ั อยเู่ พยี งต�ำ แหนง่ เดยี วทเ่ี ปน็ พทุ ธวจน แตไ่ มต่ รงกบั สตู รอน่ื ทก่ี ล�่ วถงึ วญิ ญ�ณ ติ ิ บ�ลี ป�. ท.ี ๑๑ ๖๕ ๓๑๑ ๓๓๕ ๓๕. และไมต่ รงกบั ไตรป กฉบบั �ษ�มอญ และ �ษ�ยโุ รป ดงั นน้ั ค�ำ ว�่ อบ�ยทง้ั จงึ ไมไ่ ดน้ �ำ ม�ใสใ่ นทน่ี .้ี ๑๘๖
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี (๔) อานนท์ สัตว์ท้ังหลาย มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน มีอยู่ ได้แก่ พวกเทพสุภกิณหะ นค้ี ือ วญิ ญ�ณฐติ ทิ ่ี ๔. (๕) อานนท์ สตั วท์ ง้ั หลาย เพราะกา้ วลว่ งเสยี ไดซ้ ง่ึ รูปสัญญา1 โดยประการท้ังปวง เพราะความดับไปแห่ง ปฏฆิ สญั ญา2 เพราะไมใ่ สใ่ จนานตั ตสญั ญา3 จงึ เขา้ ถงึ อากาสา- นญั จายตนะ มกี ารทาำ ในใจวา่ “อากาศไมม่ ที ส่ี ดุ ” ดงั น้ี มอี ยู่ นค้ี ือ วญิ ญ�ณฐติ ทิ ่ี ๕. (๖) อานนท์ สตั วท์ ง้ั หลาย เพราะกา้ วลว่ งเสยี ไดซ้ ง่ึ อากาสานัญจายตนะโดยประการท้งั ปวง จึงเข้าถึงวิญญา- ณัญจายตนะ มีการทำาในใจว่า “วิญญาณไม่มีท่ีสุด” ดังน้ี มอี ยู่ นค้ี อื วญิ ญ�ณฐติ ทิ ่ี ๖. (๗) อานนท์ สัตว์ทั้งหลาย เพราะก้าวล่วงเสีย ได้ซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ มีการทำาในใจว่า “อะไรๆ ไม่มี” ดังน้ี มอี ยู่ น้ีคอื วญิ ญ�ณฐติ ิท่ี 7. ๑. รปู สญั ญ� คว�มหม�ยรใู้ นรปู . . ป ิ สญั ญ� คว�มหม�ยรอู้ นั ไมน่ �่ ยนิ ดใี นสว่ นรปู . ๓. น�นตั ตสญั ญ� คว�มหม�ยรอู้ นั มปี ระก�รต�่ ง ในสว่ นรปู . ๑๘๗
พทุ ธวจน-หมวดธรรม สว่ น อ�ยตนะ ๒ นัน้ คือ อสญั ญสี ตั ต�ยตนะที่ 1 เนวสัญญ�น�สัญญ�ยตนะที่ ๒ อานนท์ ในบรรดาวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ (รวมเปน็ ๙) นนั้ วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๑ อนั ใดมอี ยู่ คอื สตั วท์ ง้ั หลาย มกี ายตา่ งกนั มสี ญั ญาตา่ งกนั ไดแ้ ก่ มนษุ ยท์ ง้ั หลาย เทวดา บางพวก และวินิบาตบางพวก. อานนท์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๑ นนั้ รชู้ ดั การเกดิ (สมุทยั ) แหง่ สิ่งนัน้ รู้ชัดความตั้งอยู่ไมไ่ ด้ (อัตถังคมะ) แห่ง สง่ิ นนั้ รชู้ ดั รสอรอ่ ย (อสั สาทะ) แหง่ สง่ิ นนั้ รชู้ ดั โทษตา่ำ ทราม (อาทีนวะ) แห่งส่ิงน้ัน และรู้ชัดอุบายเป็นเครื่องออกไปพ้น (นิสสรณะ) แห่งส่ิงน้ัน ดังนี้แล้ว ควรหรือหนอท่ีผู้น้ัน จะเพลดิ เพลนิ ยงิ่ ซง่ึ วญิ ญาณฐติ ิที่ ๑ น้นั . ขอ้ น้ันเป็นไปไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ . (ในกรณีแห่ง วิญญาณฐิติที่ ๒ วิญญาณฐิติท่ี ๓ วิญญาณฐิติ ที่ ๔ วิญญาณฐิติท่ี ๕ วิญญาณฐิติที่ ๖ วิญญาณฐิติที่ ๗ และ อสัญญี- สัตตายตนะท่ี ๑ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะอย่างดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ก็ได้ มีการอธิบาย ตรัสถาม และทูลตอบ โดยข้อความทำานองเดียวกันกับ ในกรณีแห่งวิญญาณฐิติท่ี ๑ น้ัน ทุกประการ ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น สว่ นเนวสญั ญานาสญั ญายตนะท่ี ๒ น้ัน ได้ตรสั แตกตา่ งไป ดงั น้ี) ๑๘๘
เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ อนาคามี อานนท์ ในบรรดาวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ (รวมเป็น ๙) นั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ความหมายรู้ว่า มกี ็ไมใ่ ช่ ไม่มีกไ็ ม่ใช)่ อันใด มอี ยู.่ อานนท์ ผู้ใดรู้ชัดเนวสัญญานาสัญญายตนะน้ัน รชู้ ดั การเกดิ แหง่ สง่ิ นน้ั รชู้ ดั การดบั แหง่ สงิ่ นน้ั รชู้ ดั รสอรอ่ ย แห่งสิ่งนั้น รู้ชัดโทษอันตำ่าทรามแห่งส่ิงน้ัน และรู้ชัดอุบาย เป็นเคร่ืองออกแห่งสิ่งนั้น ดังนี้แล้ว ควรหรือหนอ ที่ผู้น้ัน จะเพลิดเพลินย่งิ ซง่ึ เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น. ข้อน้ันเป็นไปไมไ่ ด้ พระเจ้าขา้ . อานนท์ เมื่อใดแล ภิกษุรู้แจ้งชัดตามเป็นจริง ซ่ึง การเกิด การดับ รสอร่อย โทษอันตำ่าทราม และอุบายเป็น เคร่ืองออกแห่งวญิ ญาณฐิติ ๗ เหลา่ น้ี และแหง่ อายตนะ ๒ เหลา่ น้ีดว้ ยแลว้ เป็นผหู้ ลุดพ้นเพราะความไมย่ ดึ มน่ั . อานนท์ ภกิ ษนุ เี้ รากล่าววา่ ผเู้ ปน็ ปญั ญ�วิมุตต.ิ ๑๘๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด อนาคามี คว�มมขี น้ึ แห่งภพ ๖๖ แม้มีอยชู่ ่ัวขณะกน็ �่ รังเกียจ -บาลี อก. อ.ํ ๒๐/๔๖/๒๐๓. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย คถู แมน้ ิดเดียว ก็เป็นของมีกลิ่นเหมน็ ฉนั ใด. ภิกษุทงั้ หลาย สง่ิ ทเี่ รยี กว่� ภพ ก็ฉันน้ันเหมอื นกัน แม้มีประมาณน้อย ชั่วลดั นิ้วมอื เดียว กไ็ มม่ คี ณุ อะไรทีพ่ อจะกลา่ วได.้ (ในสูตรถัดไป ได้ตรัสอุปมาด้วยมูตร ด้วยน้าำ ลาย ด้วยหนอง ดว้ ยโลหติ โดยทาำ นองเดยี วกนั -บาลี เอก. อ.ำ ๒๐/๔๖/๒๐๔. -ผรู้ วบรวม) ๑๙๐
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี คติ ๕ ๖7 -บาลี . . ๒/ ๔๗/ ๗๐. สารบี ตุ ร คต1ิ ๕ ประการเหลา่ น้ี มอี ยู่ ๕ ประการ เปน็ อยา่ งไร คือ (๑) นรก (๒) กำ�เนิดเดรจั ฉ�น (๓) เปรตวิสัย (๔) มนษุ ย์ (๕) เทวด� สารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก ทางยังสัตว์ให้ถึง นรก และปฏปิ ทาอนั จะยงั สตั วใ์ หถ้ งึ นรก อนงึ่ สตั วผ์ ปู้ ฏบิ ตั ิ ประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึง อบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก2 เรายอ่ มรชู้ ดั ซงึ่ ประการนน้ั ดว้ ย. สารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซ่ึงกำ�เนิดเดรัจฉ�น ทางยัง สัตว์ให้ถึงกำาเนิดเดรัจฉาน และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึง กำาเนิดเดรัจฉาน อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด เบ้ืองหน้า แต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงกำาเนดิ เดรัจฉาน เรายอ่ ม รู้ชัดซง่ึ ประการน้ันด้วย. ๑. คติ ท�งไปของสตั ว.์ ทน่ี �ำ ไปสู่ พ . อบ�ย ทคุ ติ วนิ บิ �ต นรก ทเ่ี กดิ ของสตั วต์ �ำ่ กว�่ มนษุ ย.์ ๑๙๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม สารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซ่ึงเปรตวิสัย ทางยังสัตว์ให้ ถึงเปรตวิสยั และปฏปิ ทาอันจะยังสัตวใ์ ห้ถึงเปรตวสิ ัย อน่งึ สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ยอ่ มเขา้ ถึงเปรตวิสัย เรายอ่ มรชู้ ัดซึ่งประการน้ันด้วย. สารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซ่ึงเหล่�มนุษย์ ทางยังสัตว์ ใหถ้ งึ มนษุ ยโ์ ลก และปฏปิ ทาอนั จะยงั สตั วใ์ หถ้ งึ มนษุ ยโ์ ลก อนง่ึ สตั วผ์ ปู้ ฏบิ ตั ปิ ระการใด เบอ้ื งหนา้ แตต่ ายเพราะกายแตก ยอ่ มบังเกิดในหมมู่ นษุ ย์ เรายอ่ มรชู้ ดั ซง่ึ ประการนนั้ ด้วย. สารบี ตุ ร เรายอ่ มรชู้ ดั ซง่ึ เทวด�ทงั้ หล�ย ทางยงั สตั ว์ ให้ถึงเทวโลก และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด เบ้ืองหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเขา้ ถึงสคุ ตโิ ลกสวรรค์ เราย่อมรู้ชัดซ่ึงประการน้นั ด้วย. สารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งนิพพ�น ทางยังสัตว์ให้ ถึงนิพพาน และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน อน่ึง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด ย่อมกระทำาให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะอาสวะทงั้ หลายสน้ิ ไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงแล้วแลอยู่ เราย่อม รชู้ ัดซงึ่ ประการนน้ั ดว้ ย… . ๑๙๒
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี เหตใุ หท้ คุ ตปิ ร�กฏ ๖8 -บาลี สก. อ.ํ ๒๔/๒๘๕,๓๐๕/ ๖๕, ๘๙. จนุ ทะ คว�มไมส่ ะอ�ดท�งก�ย มี ๓ อย�่ ง คว�มไมส่ ะอ�ดท�งว�จ� มี ๔ อย�่ ง คว�มไมส่ ะอ�ดท�งใจ มี ๓ อย่�ง. จนุ ทะ คว�มไมส่ ะอ�ดท�งก�ย มี ๓ อย�่ ง เปน็ อย�่ งไรเล�่ . จนุ ทะ คนบางคนในกรณนี ี้ (๑) เปน็ ผมู้ ปี กตทิ �ำ สตั วม์ ชี วี ติ ใหต้ กลว่ ง หยาบชา้ มฝี า่ มอื เปอ้ื นดว้ ยโลหติ มแี ตก่ ารฆา่ และการทบุ ตี ไมม่ คี วาม เอน็ ดูในสตั วม์ ีชีวิต (๒) เป็นผ้มู ีปกติถือเอ�ส่งิ ของท่มี ีเจ้�ของมิได้ให้ คอื วตั ถอุ ปุ กรณแ์ หง่ ทรพั ยข์ องบคุ คลอน่ื ทอ่ี ยใู่ นบา้ นหรอื ในปา่ กต็ าม เปน็ ผถู้ อื เอาสง่ิ ของทเ่ี ขาไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการแหง่ ขโมย (๓) เปน็ ผมู้ ปี กตปิ ระพฤตผิ ดิ ในก�ม (คอื ประพฤตผิ ดิ ) ในหญงิ ซง่ึ มารดารกั ษา บดิ ารกั ษา พน่ี อ้ งชาย พน่ี อ้ งหญงิ หรอื ญาตริ กั ษา อนั ธรรมรกั ษา เปน็ หญงิ มสี ามี หญงิ อยใู่ นสนิ ไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคลอ้ งพวงมาลยั ) เปน็ ผปู้ ระพฤตผิ ดิ จารตี ในรปู แบบเหลา่ นน้ั จนุ ทะ อยา่ งนแ้ี ล เปน็ ความไมส่ ะอาดทางกาย ๓ อยา่ ง. ๑๙๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม จนุ ทะ คว�มไมส่ ะอ�ดท�งว�จ� มี ๔ อย�่ ง เปน็ อย่�งไรเล�่ . จนุ ทะ คนบางคนในกรณีนี้ (๑) เปน็ ผมู้ ปี กตกิ ล�่ วเทจ็ ไปสสู่ ภากด็ ี ไปสบู่ รษิ ทั กด็ ี ไปสทู่ า่ มกลางหมญู่ าตกิ ด็ ี ไปสทู่ า่ มกลางศาลาประชาคม ก็ดี ไปส่ทู ่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำาไปเป็นพยาน ถาม วา่ “บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างน้ัน” ดังน้ี บุรุษน้ัน เม่ือไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เม่อื ไม่เห็นก็กล่าวว่าเห็น เม่อื เห็นก็กล่าวไม่เห็น เพราะเหตุ ตนเอง เพราะเหตุผู้อ่ืนหรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็เป็นผู้กล่าวเทจ็ ทง้ั ทีร่ ู้อยู่ (๒) เป็นผู้มีว�จ�ส่อเสียด คือฟังจากฝ่ายน้ีแล้ว ไปบอกฝ่ายโน้นเพ่อื ทำาลายฝ่ายน้ี หรือฟังจากฝ่ายโน้นแล้ว มาบอกฝา่ ยนเ้ี พอ่ื ทาำ ลายฝา่ ยโนน้ เปน็ ผทู้ าำ คนทส่ี ามคั คกี นั ให้ แตกกนั หรอื ทาำ คนทแ่ี ตกกนั แลว้ ใหแ้ ตกกนั ยง่ิ ขน้ึ พอใจยนิ ดี เพลดิ เพลนิ ในการแตกกนั เปน็ พวก เปน็ ผกู้ ลา่ ววาจาทกี่ ระทำา ใหแ้ ตกกันเป็นพวก (๓) เป็นผู้มีว�จ�หย�บ อันเป็นวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ดต่อผ้อู ่นื กระทบกระเทียบผ้อู ่นื แวดล้อม อยดู่ ว้ ยความโกรธ ไมเ่ ปน็ ไปเพอ่ื สมาธิ เขาเปน็ ผกู้ ลา่ ววาจา มรี ปู ลักษณะเชน่ นั้น ๑๙๔
เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด อนาคามี (๔) เปน็ ผมู้ วี �จ�เพอ้ เจอ้ คอื เปน็ ผกู้ ลา่ วไมถ่ กู กาล ไมก่ ลา่ วตามจรงิ กลา่ วไมอ่ งิ อรรถ ไมอ่ งิ ธรรม ไมอ่ งิ วนิ ยั เปน็ ผู้กล่าววาจาไม่มีที่ต้ังอาศัย ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่มีจุดจบ ไม่ ประกอบด้วยประโยชน์ จุนทะ อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อยา่ ง. จุนทะ คว�มไม่สะอ�ดท�งใจ มี ๓ อย่�ง เป็น อย�่ งไรเล�่ . จนุ ทะ คนบางคนในกรณนี ้ี (๑) เปน็ ผมู้ �กดว้ ยอภชิ ฌ� (ความโลภเพง่ เลง็ ) เป็น ผู้โลภเพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใด เปน็ ของผ้อู นื่ สิง่ นั้นจงเปน็ ของเรา” ดังน้ี (๒) เปน็ ผมู้ จี ติ พย�บ�ท มคี วามดาำ รใิ นใจเปน็ ไปใน ทางประทษุ รา้ ย วา่ “สตั วท์ ง้ั หลายเหลา่ น้ี จงเดอื ดรอ้ น จงแตก ทาำ ลาย จงขาดสญู จงพนิ าศ อย่าได้มีอยู่เลย” ดังนเ้ี ป็นต้น (๓) เปน็ ผมู้ คี ว�มเหน็ ผดิ มที สั สนะวปิ รติ วา่ “ทาน ทใ่ี หแ้ ลว้ ไมม่ ี (ผล) ยญั ทบ่ี ชู าแลว้ ไมม่ ี (ผล) การบชู าทบี่ ชู า แลว้ ไมม่ ี (ผล) ผลวบิ ากแหง่ กรรมทส่ี ตั วท์ าำ ดที าำ ชว่ั ไมม่ ี โลกน้ี ไมม่ ี โลกอน่ื ไมม่ ี มารดา ไมม่ ี บดิ า ไมม่ ี สตั วผ์ เู้ ปน็ โอปปาตกิ ะ ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำาเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ๑๙๕
พุทธวจน-หมวดธรรม ถงึ กบั กระทาำ ใหแ้ จง้ โลกนแ้ี ละโลกอนื่ ดว้ ยปญั ญาโดยชอบเอง แล้วประกาศใหผ้ ู้อนื่ รู้ ก็ไมม่ ี” ดังน้ี จุนทะ อย่างนี้แล เป็นความไม่สะอาดทางใจ ๓ อยา่ ง. จนุ ทะ เหล่านีแ้ ล เรียกว่า อกุศลกรรมบถสิบ. จุนทะ อน่ึง เพร�ะมีก�รประกอบด้วยอกุศล- กรรมบถทั้งสิบประก�รเหล่�น้ีเป็นเหตุ นรกย่อมปร�กฏ ก�ำ เนิดเดรัจฉ�นย่อมปร�กฏ เปรตวิสัยย่อมปร�กฏ หรอื ว�่ ทุคติใดๆ แม้อื่นอีก ยอ่ มม.ี ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประก�รเหล่�น้ีแล ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำ�ตัวไป เกบ็ ไว้ในนรก. (สูตรอ่ืนๆ แทนท่ีจะนับจำานวนกรรมบถมี ๑๐ ได้ทรงขยาย ออกไปเป็น ๒๐ คือ ทำาเองสิบ ชักชวนผู้อ่ืนให้ทำาอีกสิบ และทรง ขยายออกไปเป็น ๓๐ คือ ทำาเองสิบ ชักชวนผู้อ่ืนให้ทำาสิบ ยินดี เม่ือเขาทำาสิบ และทรงขยายออกไปเป็น ๔๐ คือ ทำาเองสิบ ชักชวน ผู้อ่ืนให้ทำาสิบ ยินดีเมื่อเขาทำาสิบ สรรเสริญผู้กระทำาสิบ จึงมีกรรมบถ สิบ ยีส่ บิ สามสิบ ส่ีสิบ. -บาลี ทสก. อำ. ๒๔/๓๒๕/๑9๘. ๑๙๖
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี ในสูตรอื่น แสดงผลแห่งการกระทำาแปลกออกไป จากคำาว่า “เหมือนถูกนำาไปเก็บไว้ในนรก” น้ัน ทรงแสดงด้วยคำาว่า “เป็นผู้ ขดุ รากตนเอง กาำ จดั ตนเอง” กม็ ี “ตายแลว้ ไปทคุ ต”ิ กม็ ี “เปน็ พาล” กม็ .ี -บาลี ทสก. อำ. ๒๔/๓๓๒,๓๓๓/๒๐๒,๒๐๓. -ผู้รวบรวม) ๑๙๗
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี เหตุให้สุขคติปร�กฏ ๖9 - บาลี สก. อ.ํ ๒๔/๒๘๗,๓๐๖/ ๖๕, ๘๙. จุนทะ คว�มสะอ�ดท�งก�ยมี ๓ อย่�ง คว�มสะอ�ดท�งว�จ�มี ๔ อย�่ ง คว�มสะอ�ดท�งใจมี ๓ อย�่ ง. จนุ ทะ คว�มสะอ�ดท�งก�ย มี ๓ อย่�งนัน้ เปน็ อย�่ งไรเล�่ . จุนทะ บุคคลบางคนในกรณนี ้ี (๑) ละก�รทำ�สัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง เว้นขาดจาก ปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอายถึง ความเอน็ ดกู รณุ าเกื้อกูลแกส่ ัตว์ทง้ั หลายอยู่ (๒) ละก�รถอื เอ�สง่ิ ของทเ่ี จ�้ ของมไิ ดใ้ ห้ เวน้ ขาด จากการถือเอาส่งิ ของท่เี จ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอาทรัพย์และ อุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแหง่ ขโมย (๓) ละก�รประพฤติผิดในก�ม เว้นขาดจากการ ประพฤติผิดในกาม (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิง ซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พน่ี ้องชาย พ่นี อ้ งหญงิ หรือญาติ รักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม ๑๙๘
เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ อนาคามี โดยท่ีสุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องพวงมาลัย) ไมเ่ ป็นผปู้ ระพฤติผดิ จารตี ในรปู แบบเหล่านั้น จนุ ทะ อยา่ งนแี้ ล เปน็ ความสะอาดทางกาย ๓ อยา่ ง. จนุ ทะ คว�มสะอ�ดท�งว�จ� มี ๔ อย�่ งนน้ั เปน็ อย�่ งไรเล�่ . จนุ ทะ บคุ คลบางคนในกรณนี ้ี (๑) ละมสุ �ว�ท เวน้ ขาดจากมสุ าวาท ไปสสู่ ภากด็ ี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลาง ศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำาไป เป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ท่านรู้อย่างไร ท่านจง กล่าวไปอย่างน้ัน” ดังน้ี บุรุษน้ันเมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เม่ือรู้ก็กล่าวว่ารู้ เม่ือไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็ กลา่ ววา่ เหน็ เพราะเหตตุ นเอง เพราะเหตผุ อู้ นื่ หรอื เพราะ เหตุเห็นแก่อามสิ ไรๆ กไ็ ม่เปน็ ผ้กู ล่าวเทจ็ ทั้งท่ีร้อู ยู่ (๒) ละคำ�ส่อเสียด เว้นขาดจากคาำ สอ่ เสยี ด ไดฟ้ งั จากฝา่ ยนแ้ี ลว้ ไมเ่ กบ็ ไปบอกฝา่ ยโนน้ เพอ่ื แตกจากฝา่ ยนห้ี รอื ได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายน้ี เพ่อื แตกจาก ฝา่ ยโนน้ แตจ่ ะสมานคนทแ่ี ตกกนั แลว้ ใหก้ ลบั พรอ้ มเพรยี งกนั อุดหนุนคนท่ีพร้อมเพรียงกันอยู่ให้พร้อมเพรียงกันย่ิงข้ึน ๑๙๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการ พร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่ วาจาทท่ี าำ ใหพ้ รอ้ มเพรียงกัน (๓) ละก�รกล่�วคำ�หย�บเสีย เว้นขาดจากกล่าว คาำ หยาบ กลา่ วแตว่ าจาทไ่ี มม่ โี ทษ เสนาะโสตใหเ้ กดิ ความรกั เป็นคำาฟูใจ เป็นคำาสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ ท่พี อใจของมหาชน กลา่ วแต่วาจาเช่นนัน้ อยู่ (๔) ละคำ�พูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำาพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำาจริง เป็นประโยชน์ เปน็ ธรรม เปน็ วนิ ยั กลา่ วแตว่ าจามที ต่ี งั้ มหี ลกั ฐานทอี่ า้ งองิ มีเวลาจบ ประกอบดว้ ยประโยชน์ สมควรแก่เวลา จนุ ทะ อยา่ งนแ้ี ล เปน็ ความสะอาดทางวาจา ๔ อยา่ ง. จุนทะ คว�มสะอ�ดท�งใจ มี ๓ อย่�งนั้น เป็น อย�่ งไรเล�่ . จุนทะ บุคคลบางคนในกรณนี ี้ (๑) เป็นผู้ไม่ม�กด้วยอภิชฌ� คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผ้อู ่นื ว่า “ส่งิ ใดเป็นของ ผู้อ่ืน สง่ิ นน้ั จงเป็นของเรา” ดงั น้ี ๒๐๐
เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ อนาคามี (๒) เป็นผู้ไม่มีจิตพย�บ�ท มีความดำาริแห่งใจ อันไม่ประทุษร้ายว่า “สัตว์ท้งั หลายเหล่าน้ี จงเป็นผ้ไู ม่มีเวร ไมม่ คี วามเบยี ดเบยี น ไมม่ ที กุ ข์ มสี ขุ บรหิ ารตนอยเู่ ถดิ ” ดงั น้ี เป็นตน้ (๓) เป็นผู้มีคว�มเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า “ทานท่ใี ห้แล้ว มี (ผล) ยัญท่บี ูชาแล้ว มี (ผล) การบูชา ที่บูชาแล้ว มี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำาดีทำาช่ัว มี โลกน้ี มี โลกอน่ื มี มารดา มี บดิ า มี สตั วผเู้ ปน็ โอปปาตกิ ะ มี สมณพราหมณ์ผ้ดู ำาเนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ถึงกับ กระทำาให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แลว้ ประกาศใหผ้ ู้อื่นรู้ กม็ ”ี ดังนี้ จนุ ทะ อยา่ งนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง. จุนทะ เหลา่ น้ีแล เรียกว่า กุศลกรรมบถสิบ. จุนทะ อน่ึง เพร�ะมีก�รประกอบด้วยกุศล- กรรมบถทง้ั สบิ ประก�รเหล�่ นเ้ี ปน็ เหตุ พวกเทพจงึ ปร�กฏ พวกมนษุ ยจ์ งึ ปร�กฏ หรอื ว�่ สคุ ตใิ ดๆ แมอ้ น่ื อกี ยอ่ มม.ี ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประก�รเหล�่ นแ้ี ล ยอ่ มเปน็ เหมอื นบคุ คลผถู้ กู น�ำ ตวั ไปเกบ็ ไว้ในสวรรค.์ ๒๐๑
พุทธวจน-หมวดธรรม (สตู รอน่ื ๆ แทนทจ่ี ะนบั จาำ นวนกรรมบถมี ๑๐ ไดท้ รงขยายออก ไปเป็น ๒๐ คือ ทำาเองสิบ ชักชวนผู้อื่นให้ทำาอีกสิบ และ ทรงขยายออกไปเป็น ๓๐ คือ ทำาเองสิบ ชักชวนผู้อื่นให้ทำาสิบ ยินดี เม่ือเขาทำาสิบ และทรงขยายออกไปเป็น ๔๐ คือ ทำาเองสิบ ชักชวน ผู้อ่ืนให้ทำาสิบ ยินดีเมื่อเขาทำาสิบ สรรเสริญผู้กระทำาสิบ จึงมี กรรมบถ สิบ ยี่สิบ สามสบิ สี่สบิ . -บาลี ทสก. อำ. ๒๔/๓๒๕/๑9๘. ในสูตรอื่น แสดงผลแห่งการกระทำาแปลกออกไป จาก คำาว่า “เหมือนถูกนำาไปเก็บไว้ในสวรรค์” นั้น ทรงแสดงด้วยคำาว่า “ผู้ไม่ขุดรากตนเอง ไม่กำาจัดตนเอง” ก็มี “ตายแล้วไปสุคติ” ก็มี “เป็นบัณฑิต” ก็มี. -บาลี ทสก. อำ. ๒๔/๓๓๒, ๓๓๓/๒๐๒, ๒๐๓. -ผู้รวบรวม) ๒๐๒
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด อนาคามี เหตุใหต้ ้องท่องเทย่ี วในสงั ส�รวฏั 70 -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / / ., บาลี าวา . ส.ํ ๙/๕๔ / ๖๙๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพร�ะไมร่ ตู้ �มล�ำ ดบั เพร�ะไมแ่ ทง ตลอดซ่ึงอริยสัจทั้ง ๔ เร�และพวกเธอทั้งหล�ย จึงได้ ท่องเที่ยวไปแล้วในสังส�รวัฏ ตลอดก�ลยืดย�วน�น ถึงเพยี งน.้ี ภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจท้ัง ๔ เป็นอย่างไร คือ ทกุ ขอรยิ สัจ ทุกขสมทุ ยอริยสจั (เหตุให้เกดิ ทุกข)์ ทุกขนโิ รธ อริยสัจ (ความดับไม่เหลือของทุกข์) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสัจ (ทางดำาเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์) ท่ีเม่ือไม่รู้ ตามลำาดับและไม่แทงตลอดแล้ว เราและพวกเธอทั้งหลาย จึงได้ท่องเที่ยวไปแล้ว ในสังสารวัฏตลอดกาลยืดยาวนาน ถึงเพยี งนี.้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอื่ ทกุ ขอรยิ สจั อนั เราและพวกเธอ ทั้งหลาย รู้ตามลาำ ดับและแทงตลอดแลว้ เมอื่ ทุกขสมทุ ย- อริยสัจ อันเราและพวกเธอท้ังหลาย รู้ตามลำาดับและแทง ตลอดแลว้ เมอ่ื ทกุ ขนโิ รธอรยิ สจั อนั เราและพวกเธอทง้ั หลาย รตู้ ามลาำ ดบั และแทงตลอดแลว้ เมอ่ื ทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏปิ ทา- อรยิ สจั อนั เราและพวกเธอทง้ั หลาย รตู้ ามลาำ ดบั และแทงตลอด แลว้ ตณั หาในภพกถ็ กู ถอนขน้ึ ได้ ตณั หาทจ่ี ะนาำ ไปสภู่ พใหม่ ก็ส้นิ ไป บดั นี้ ภพใหม่ไม่มอี ีกตอ่ ไป. ๒๐๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม (สูตรอื่นได้ตรัสเหตุที่ทำาให้ ต้องท่องเท่ียวไปในสังสารวัฏ เพราะไม่รอู้ ริยธรรม ๔ ประการ ดงั ต่อไปน้ี ) ภิกษุท้ังหลาย เพราะไม่รู้ตามลำาดับ เพราะไม่แทง ตลอดซงึ่ ธรรม ๔ ประการ เราและพวกเธอท้งั หลาย จึงได้ ท่องเท่ียวไปแล้วในสังสารวัฏ ตลอดกาลยืดยาวนาน ถงึ เพียงน้ี. ภิกษุท้ังหลาย ธรรม ๔ ประก�รเป็นอย่างไร คือ ศลี ทเ่ี ปน็ อรยิ ะ สม�ธทิ เ่ี ปน็ อรยิ ะ ปญั ญ�ทเ่ี ปน็ อรยิ ะ และ วมิ ตุ ตทิ เ่ี ปน็ อรยิ ะ ทเ่ี มอ่ื ไมร่ ตู้ ามลาำ ดบั และไมแ่ ทงตลอดแลว้ เราและพวกเธอทงั้ หลาย จงึ ไดท้ อ่ งเทย่ี วไปแลว้ ในสงั สารวฏั ตลอดกาลยืดยาวนานถึงเพยี งน้ี. ภิกษุท้ังหลาย เม่ือศีลท่ีเป็นอริยะ สมาธิท่ีเป็น อรยิ ะ ปญั ญาทเ่ี ปน็ อรยิ ะ และวมิ ตุ ตทิ เ่ี ปน็ อรยิ ะ อนั เราและ พวกเธอทั้งหลาย รู้ตามลำาดับและแทงตลอดแล้ว ตัณหา ในภพก็ถูกถอนข้ึนได้ ตัณหาที่จะนำาไปสู่ภพใหม่ก็ส้ินไป บัดนี้ ภพใหมไ่ ม่มอี ีกตอ่ ไป. ๒๐๔
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี สังส�รวฏั ก�ำ หนดที่สุดไมไ่ ด้ 71 -บาลี ิ า . ส.ํ ๖/๒ ๙/๔๓๘. ภิกษุทั้งหลาย สงสารน้ีกำาหนดท่ีสุด เบื้องต้น เบอ้ื งปลายไมไ่ ด้ เมอ่ื เหลา่ สตั วผ์ มู้ อี วชิ ชาเปน็ เครอ่ื งกน้ั มตี ณั หา เปน็ เครอ่ื งผกู ทอ่ งเทย่ี วไปมาอยู่ ทส่ี ดุ เบอ้ื งตน้ ยอ่ มไมป่ รากฏ สัตว์เหล่าน้ันได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้ เพิ่มพูนปฐพีทเ่ี ป็นปา่ ชา้ ตลอดกาลนานเหมอื นฉะนัน้ . ภิกษุท้ังหลาย เปรียบเหมือนท่อนไม้อันบุคคล ซดั ขน้ึ ไปสอู่ �ก�ศ บ�งคร�วตกเอ�โคนลง บ�งคร�วตกเอ� ตอนกล�งลง บ�งคร�วตกเอ�ปล�ยลง ขอ้ นฉ้ี นั ใด. ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ท้งั หล�ยผ้มู ีอวิชชาเป็นเคร่อื ง ก้ัน มีตัณหาเป็นเคร่ืองผูก ท่องเท่ียวไปมาอยู่ ก็ฉันน้ัน เหมอื นกนั บ�งคร�วแลน่ ไปจ�กโลกนส้ี โู่ ลกอน่ื บ�งคร�ว แลน่ จ�กโลกอน่ื สโู่ ลกน้ี ข้อนนั้ เพราะเหตไุ รเลา่ . เพราะเหตวุ า่ สงสารนก้ี าำ หนดทส่ี ดุ เบอ้ื งตน้ เบอ้ื งปลาย ไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหา เป็นเคร่ืองผูก ท่องเท่ียวไปมาอยู่ ท่ีสุดเบ้ืองต้นย่อมไม่ ปรากฏ สตั วเ์ หลา่ นน้ั ไดเ้ สวยทกุ ข์ ความเผด็ รอ้ น ความพนิ าศ ได้เพ่ิมพนู ปฐพที ่ีเป็นป่าชา้ ตลอดกาลนานเหมือนฉะน้นั . ๒๐๕
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นี้ กพ็ อแลว้ เพอ่ื จะ เบอ่ื หนา่ ยในสงั ขารทง้ั ปวง พอแลว้ เพอ่ื จะคลายกาำ หนดั พอแลว้ เพอ่ื จะหลดุ พน้ ดงั น.้ี ๒๐๖
สังโยชน์ คอื เคร่ืองผกู ๒๐๗
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี สงั โยชน์ 7 7๒ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๗/๘. ภิกษทุ ง้ั หลาย สงั โยชน์ ๗ ประการน้ี ๗ ประการ เปน็ อย่างไร คือ (๑) ความยินดี (๒) ความยินร้าย (๓) ความเหน็ ผิด (๔) ความสงสัย (๕) มานะ (๖) ความกาำ หนัดในภพ (๗) อวิชชา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สังโยชน์ ๗ ประการนแ้ี ล. (เกี่ยวกับสังโยชน์ ๑๐ ประการ มีเน้ือหาอยู่ในหน้า ๒๒ ของหนงั สือเล่มน้.ี -ผรู้ วบรวม) ๒๐๘
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ท่ตี ัง้ ของสงั โยชน์ และสงั โยชน์ 7๓ -บาลี ข ฺ . ส.ํ ๗/๒๐๒/๓๐๘. ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมเป็นที่ต้ังแห่ง สังโยชน์และสังโยชน์ เธอท้งั หลายจงฟงั . ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งสังโยชน์เป็น อยา่ งไร และสงั โยชน์เป็นอยา่ งไร. ภิกษุทั้งหลาย รูป เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง สังโยชน์ คว�มกำ�หนัดด้วยอำ�น�จคว�มพอใจในรูป ช่อื ว่� สงั โยชน.์ ภิกษุท้ังหลาย เวทน� เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง สังโยชน์ คว�มกำ�หนัดด้วยอำ�น�จคว�มพอใจในเวทน� ชื่อว�่ สังโยชน.์ ภิกษุท้ังหลาย สัญญ� เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง สงั โยชน์ คว�มก�ำ หนดั ด้วยอ�ำ น�จคว�มพอใจในสญั ญ� ชื่อว่� สังโยชน.์ ภิกษุท้ังหลาย สังข�ร เป็นธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง สังโยชน์ คว�มกำ�หนัดด้วยอำ�น�จคว�มพอใจในสังข�ร ช่ือว�่ สงั โยชน.์ ๒๐๙
พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย วิญญ�ณ เป็นธรรมเป็นที่ตั้ง แห่งสังโยชน์ คว�มกำ�หนัดด้วยอำ�น�จคว�มพอใจใน วิญญ�ณ ชื่อว�่ สังโยชน.์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ขนั ธเ์ หล�่ นเ้ี รยี กว�่ ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แห่งสังโยชน์ คว�มกำ�หนัดด้วยอำ�น�จคว�มพอใจ (ฉนทฺ ร�คะ) นเี้ รียกว�่ สังโยชน์. (ในสตู รอนื่ ทรงแสดง ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ สงั โยชน์ ดว้ ยอายตนะ ภายในหก -บาลี สฬา. ส.ำ ๑๘/๑๑๐/๑๕9. และอายตนะภายนอกหก -บาลี สฬา. ส.ำ ๑๘/๑๓๕/๑๘9. -ผรู้ วบรวม) ๒๑๐
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ อนาคามี คว�มติดใจ ก็เป็นสงั โยชน์ 7๔ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๓๙/๕๕๒. ภิกษุท้ังหลาย ธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่าน้ี เป็นเหตุ ให้เกิดกรรม (ที่เปน็ อกุศล) ๓ อยา่ งเปน็ อยา่ งไร คือ (๑) ความพอใจยอ่ มเกดิ เพราะปรารภธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ฉันทราคะในอดตี (๒) ความพอใจยอ่ มเกดิ เพราะปรารภธรรมอนั เปน็ ท่ีตั้งแหง่ ฉนั ทราคะในอนาคต (๓) ความพอใจยอ่ มเกดิ เพราะปรารภธรรมอนั เปน็ ที่ตั้งแหง่ ฉนั ทราคะในปจั จบุ ัน ภิกษุทั้งหลาย ก็ความพอใจย่อมเกิดเพราะปรารภ ธรรมอันเป็นท่ีต้ังแห่งฉันทราคะในอดีตเป็นอย่างไร คือ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลตรึกตรองตามด้วยใจถึงธรรมอันเป็น ที่ต้ังแห่งฉันทราคะในอดีต เม่ือตรึกตรองตามด้วยใจอยู่ ย่อมเกิดความพอใจ (ฉนฺทชาโต) ผู้ที่เกิดความพอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว ภิกษุท้ังหลาย เรา กล่าวความติดใจ (เจตโส สาราโค) นนั้ วา่ เป็นสงั โยชน์ ภกิ ษุ ท้ังหลาย ความพอใจย่อมเกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็น ทตี่ งั้ แห่งฉนั ทราคะในอดตี เป็นอย่างนีแ้ ล. ๒๑๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ก็ความพอใจย่อมเกิดเพราะปรารภ ธรรมอันเป็นท่ีต้ังแห่งฉันทราคะในอนาคตเป็นอย่างไร คือ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลตรึกตรองตามด้วยใจถึงธรรมอันเป็น ท่ีตั้งแห่งฉันทราคะในอนาคต เม่ือตรึกตรองตามด้วยใจ อยู่ ย่อมเกิดความพอใจ ผ้ทู ่ีเกดิ ความพอใจแล้ว กช็ ื่อว่าถูก ธรรมเหล่าน้ันผูกไว้แล้ว ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวความ ติดใจน้ันว่าเป็นสังโยชน์ ภิกษุท้ังหลาย ความพอใจย่อม เกดิ เพราะปรารภธรรมอนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ฉนั ทราคะในอนาคต เป็นอยา่ งน้ีแล. ภิกษุทั้งหลาย ก็ความพอใจย่อมเกิดเพราะปรารภ ธรรมอันเป็นท่ีตั้งแห่งฉันทราคะในปัจจุบันเป็นอย่างไร คือ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลตรึกตรองตามด้วยใจถึงธรรมอันเป็น ที่ต้ังแห่งฉันทราคะในปัจจุบัน เม่ือตรึกตรองตามด้วยใจ อยู่ ยอ่ มเกดิ ความพอใจ ผูท้ ่ีเกดิ ความพอใจแลว้ กช็ ือ่ ว่าถูก ธรรมเหล่าน้ันผูกไว้แล้ว ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความ ติดใจน้ันว่าเป็นสังโยชน์ ภิกษุท้ังหลาย ความพอใจย่อม เกดิ เพราะปรารภธรรมอนั เปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ฉนั ทราคะในปจั จบุ นั เป็นอย่างน้แี ล. ๒๑๒
เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี ภิกษุท้ังหลาย ธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่าน้ีแล เป็น เหตุให้เกิดกรรม (ทีเ่ ป็นอกศุ ล). ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่านี้ เป็นเหตุ ใหเ้ กดิ กรรม (ท่เี ปน็ กศุ ล) ๓ อยา่ งเปน็ อยา่ งไร คอื (๑) ความพอใจย่อมไม่เกิดเพราะปรารภธรรม อนั เปน็ ที่ตัง้ แหง่ ฉันทราคะในอดตี (๒) ความพอใจย่อมไม่เกิดเพราะปรารภธรรม อันเปน็ ที่ตั้งแห่งฉนั ทราคะในอนาคต (๓) ความพอใจย่อมไม่เกิดเพราะปรารภธรรม อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แห่งฉันทราคะในปจั จบุ นั ภิกษุทั้งหลาย ก็ความพอใจย่อมไม่เกิดเพราะ ปรารภธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งฉันทราคะในอดีตเป็นอย่างไร คือ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลรู้ชัดซ่ึงผลอันจะเกิดต่อไปของ ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งฉันทราคะในอดีต คร้ันรู้ชัดแล้ว กก็ ลบั ใจเสยี จากเรอ่ื งนน้ั ครน้ั กลบั ใจไดแ้ ลว้ กค็ ลายใจออก และแทงตลอดดว้ ยปญั ญา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความพอใจยอ่ ม ไมเ่ กดิ เพราะปรารภธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ ฉนั ทราคะในอดตี เปน็ อยา่ งน้ีแล. ๒๑๓
พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย ก็ความพอใจย่อมไม่เกิดเพราะ ปรารภธรรมอันเป็นท่ีตั้งแห่งฉันทราคะในอนาคตเป็น อยา่ งไร คอื ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลรชู้ ดั ซงึ่ ผลอนั จะเกดิ ตอ่ ไป ของธรรมอนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ฉนั ทราคะในอนาคต ครนั้ รชู้ ดั แลว้ กก็ ลบั ใจเสยี จากเรอื่ งนน้ั ครนั้ กลบั ใจไดแ้ ลว้ กค็ ลายใจออก และแทงตลอดด้วยปัญญา ภิกษุท้ังหลาย ความพอใจ ย่อมไม่เกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งฉันทราคะ ในอนาคต เป็นอย่างนแี้ ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็ความพอใจย่อมไม่เกิดเพราะ ปรารภธรรมอันเป็นที่ต้ังแห่งฉันทราคะในปัจจุบันเป็น อยา่ งไร คอื ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลรชู้ ดั ซง่ึ ผลอนั จะเกดิ ตอ่ ไป ของธรรมอันเป็นที่ต้ังแห่งฉันทราคะในอดีต ครั้นรู้ชัดแล้ว กก็ ลบั ใจเสยี จากเรอื่ งนน้ั ครน้ั กลบั ใจไดแ้ ลว้ กค็ ลายใจออก และแทงตลอดด้วยปัญญา ภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ ย่อมไม่เกิดเพราะปรารภธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งฉันทราคะ ในปัจจบุ นั อยา่ งนแ้ี ล. ภิกษทุ ้งั หลาย ธรรมชาติ ๓ อย่างนีแ้ ล เป็นเหตใุ ห้ เกิดกรรม (ฝ่ายกุศล). ๒๑๔
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี ผลของก�รพจิ �รณ�ธรรม 7๕ อนั เป็นทอ่ี �ศยั ของสงั โยชน์ -บาลี า. .ี ๐/๓๓๘/๒๙๒. ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรม ในธรรม คือ อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖ ภกิ ษพุ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คอื อายตนะภายใน ๖ และ อายตนะภายนอก ๖ เปน็ อยา่ งไรเล่า. ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี ยอ่ มร้ชู ัดซึง่ ตา รูช้ ดั ซงึ่ รูป ร้ชู ัด ซง่ึ สงั โยชนท์ อ่ี าศยั ตาและรปู ทง้ั ๒ นน้ั เกดิ ขน้ึ อนงึ่ สงั โยชน์ ที่ยังไม่เกิดจะเกิดข้ึนด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้น ด้วย สังโยชน์ท่ีเกิดข้ึนแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ยอ่ มรู้ชัดประการนน้ั ดว้ ย สงั โยชนท์ ี่ละไดแ้ ล้วจะไมเ่ กิดข้ึน ต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการน้ันด้วย ภิกษุย่อม รชู้ ัดซ่งึ หู รูช้ ดั ซ่ึงเสยี ง … ภิกษุย่อมรูช้ ดั ซ่ึงจมูก รชู้ ดั ซง่ึ กลิ่น … ภิกษุย่อมรู้ชัดซึ่งล้ิน รู้ชัดซ่ึงรส … ภิกษุย่อมรู้ชัดซึ่งกาย รู้ชัดซึ่งส่ิงที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย … ภิกษุย่อมรู้ชัดซึ่งใจ รชู้ ดั ซงึ่ ธรรม และรชู้ ดั ซง่ึ สงั โยชนท์ อ่ี าศยั ใจและธรรมทง้ั ๒ นนั้ เกิดข้ึน อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดข้ึนด้วยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนน้ั ดว้ ย สงั โยชนท์ เี่ กดิ ขนึ้ แลว้ จะละเสยี ได้ ๒๑๕
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย สังโยชน์ที่ละได้ แลว้ จะไมเ่ กดิ ขน้ึ ตอ่ ไปดว้ ยประการใด ยอ่ มรชู้ ดั ประการนน้ั ดว้ ย ดว้ ยอาการอยา่ งนี้ ภกิ ษชุ อ่ื วา่ ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ธรรม ในธรรมภายในอยบู่ า้ ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมภายนอก อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังภายในท้ังภายนอก อยบู่ ้าง พิจารณาเหน็ ธรรมคอื ความเกดิ ขนึ้ ในธรรมอยบู่ า้ ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ทง้ั ความเกดิ ขนึ้ ทงั้ ความเสอ่ื มในธรรม อยู่บ้าง อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอ ตั้งม่ันอยู่ว่า ธรรมมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่าน้ัน เธอเป็น ผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก. ภิกษุท้ังหลาย อย่างนี้แล ภิกษุช่ือว่าพิจารณาเห็น ธรรมในธรรม คอื อายตนะภายใน ๖ และอายตนะภายนอก ๖. ๒๑๖
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ อนาคามี ผลของก�รพจิ �ณ�เหน็ โทษ 7๖ ในธรรมอนั เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ สงั โยชน์ -บาลี กุ . อ.ํ ๒๐/๖๕/๒๕๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรม ๒ อยา่ งนี้ ๒ อยา่ งเปน็ อยา่ งไร คอื การเหน็ อสั สาทะ (ความนา่ ยนิ ด)ี เนอื งๆ ในธรรมทง้ั หลาย อนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ สงั โยชน์ และการเหน็ อาทนี วะ (โทษ) เนอื งๆ ในธรรมทัง้ หลายอันเปน็ ที่ตง้ั แห่งสังโยชน์. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลผเู้ หน็ อสั สาทะเนอื งๆ ในธรรม ทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์อยู่ ย่อมละราคะไม่ได้ ยอ่ มละโทสะไมไ่ ด้ ยอ่ มละโมหะไมไ่ ด้ เรากลา่ ววา่ บคุ คลยงั ละ ราคะไม่ได้ ยังละโทสะไม่ได้ ยังละโมหะไม่ได้แล้ว ย่อมไม่ พน้ จาก ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส และ อุปายาสะ ยอ่ มไมพ่ น้ ไปจากทกุ ข.์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลผเู้ หน็ อาทนี วะเนอื งๆ ในธรรม ทง้ั หลาย อนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ สงั โยชนอ์ ยู่ ยอ่ มละราคะได้ ยอ่ มละ โทสะได้ ยอ่ มละโมหะได้ เรากลา่ ววา่ บคุ คล ผลู้ ะราคะ ละโทสะ ละโมหะได้แล้ว ยอ่ มพ้นจาก ชาติ ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนสั และอปุ ายาสะ ย่อมพน้ ไปจากทุกขไ์ ด.้ ภกิ ษทุ ั้งหลาย เหลา่ น้ีแล ธรรม ๒ อย่าง. ๒๑๗
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี อุป�ท�น ๔ 77 -บาลี าวา . ส.ํ ๙/๘๘/๓๓๗. ภิกษุท้ังหลาย อุปาทาน ๔ อย่างเหล่าน้ี ๔ อย่าง เป็นอย่างไร ได้แก่ (๑) อุปาทานคือกาม (กามปุ าทาน) (๒) อุปาทานคือทฏิ ฐิ (ทฏิ ปุ าทาน) (๓) อุปาทานคือศลี และพรต (สลี ัพพตปุ าทาน) (๔) อุปาทานคืออัตตวาทะ (อตั ตวาทปุ าทาน) ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหล่านี้อปุ าทาน ๔ อยา่ ง. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษคุ วรเจรญิ อรยิ มรรคอนั ประกอบ ด้วยองค์ ๘ เพื่อรู้ย่ิง เพื่อกำาหนดรู้ เพ่ือความส้ินไป เพื่อละ อุปาทาน ๔ อย่างน้ีแล ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอ่ มเจรญิ สมั มาทฏิ ฐิ อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ น้อมไปในการสละ ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ … ย่อมเจริญ สมั มาวาจา … ยอ่ มเจรญิ สมั มากมั มนั ตะ … ยอ่ มเจรญิ สมั มา- อาชวี ะ … ยอ่ มเจรญิ สมั มาวายามะ … ยอ่ มเจรญิ สมั มาสติ … ยอ่ มเจรญิ สมั มาสมาธิ อนั อาศยั วเิ วก อาศยั วริ าคะ อาศยั นโิ รธ นอ้ มไปในการสละ ภกิ ษคุ วรเจรญิ อรยิ มรรคอนั ประกอบดว้ ย องค์ ๘ น้แี ล เพ่อื รู้ยิ่ง เพื่อกำาหนดรู้ เพือ่ ความส้นิ ไป เพื่อละ อปุ าทาน ๔ อยา่ งเหลา่ น้ี. ๒๑๘
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ อนาคามี ที่ตง้ั ของอุป�ท�น และอปุ �ท�น 78 -บาลี ข ฺ . ส.ํ ๗/๒๐๒/๓๐๙. ภิกษุท้ังหลาย เราจักแสดงธรรมเป็นที่ตั้งแห่ง อุปาทาน และอุปาทาน เธอทงั้ หลายจงฟัง. ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเป็นท่ีต้ังแห่งอุปาทานเป็น อย่างไร อุปาทานเป็นอยา่ งไร. ภกิ ษทุ งั้ หลาย รปู เปน็ ธรรมเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ อปุ �ท�น คว�มก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ น�จคว�มพอใจในรปู ชอ่ื ว�่ อปุ �ท�น. ภิกษุท้ังหลาย เวทน� เป็นธรรมเป็นที่ต้ังแห่ง อปุ �ท�น คว�มก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ น�จคว�มพอใจในเวทน� ชอ่ื ว่� อุป�ท�น. ภิกษุทั้งหลาย สัญญ� เป็นธรรมเป็นท่ีต้ังแห่ง อปุ �ท�น คว�มก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ น�จคว�มพอใจในสญั ญ� ชือ่ ว่� อปุ �ท�น. ภิกษุท้ังหลาย สังข�ร เป็นธรรมเป็นท่ีตั้งแห่ง อปุ �ท�น คว�มก�ำ หนดั ดว้ ยอ�ำ น�จคว�มพอใจในสงั ข�ร ชื่อว่� อปุ �ท�น. ๒๑๙
พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย วิญญ�ณ เป็นธรรมเป็นท่ีตั้ง แห่งอุป�ท�น คว�มกำ�หนัดด้วยอำ�น�จคว�มพอใจใน วญิ ญ�ณ ชือ่ ว�่ อปุ �ท�น. ภิกษุทั้งหลาย ขันธ์เหล่านี้เรียกว่า ธรรมเป็นท่ีตั้ง แหง่ อปุ าทาน ความกาำ หนดั ดว้ ยอาำ นาจความพอใจ (ฉนทฺ ราค) น้ีเรียกวา่ อปุ าทาน. (ในสตู รอน่ื ทรงแสดง ธรรมเปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ อปุ าทาน ดว้ ยอายตนะ ภายในหก -บาลี สฬา. สำ. ๑๘/๑๑๐/๑๖๐. และอายตนะภายนอกหก -บาลี สฬา. ส.ำ ๑๘/๑๓๖/๑9๐. -ผู้รวบรวม) ๒๒๐
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปิด อนาคามี อนสุ ัย ๓ และเหตุเกิด 79 -บาลี อุ .ิ . ๔/๕ ๖/๘๒๒. ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลาย ด้วย จึงเกิดจักขุวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิด เวทนา อันเป็นสขุ บ้าง เปน็ ทกุ ขบ์ ้าง ไม่ใช่ทกุ ข์ไมใ่ ชส่ ขุ บ้าง. เพราะอาศัยหูด้วย เสียงท้ังหลายด้วย จึงเกิด โสตวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ น่นั คอื ผสั สะ เพราะมผี ัสสะเป็นปจั จยั จงึ เกิดเวทนา... เพราะอาศัยจมูกด้วย กล่ินท้ังหลายด้วย จึงเกิด ฆานวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นน่ั คือ ผัสสะ เพราะมผี ัสสะเปน็ ปจั จยั จึงเกิดเวทนา... เพราะอาศัยลิ้นด้วย รสท้ังหลายด้วย จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ นนั่ คอื ผสั สะ เพราะมผี ัสสะเปน็ ปจั จยั จงึ เกดิ เวทนา... เพราะอาศัยกายด้วย โผฏฐัพพะทั้งหลายด้วย จึง เกิดกายวิญญาณ การประจวบพร้อมแห่งธรรม ๓ ประการ น่ันคอื ผสั สะ เพราะมผี ัสสะเป็นปัจจยั จงึ เกดิ เวทนา... ๒๒๑
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เพราะอาศัยใจด้วย ธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วย จึง เกดิ มโนวญิ ญาณ การประจวบพร้อมแหง่ ธรรม ๓ ประการ นั่นคือ ผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา อันเปน็ สุขบ้าง เปน็ ทกุ ข์บ้าง ไมใ่ ชท่ ุกข์ไม่ใชส่ ขุ บา้ ง. บคุ คลนนั้ เมอื่ สขุ เวทนา ถกู ตอ้ งอยู่ ยอ่ มเพลดิ เพลนิ ย่อมพร่ำาสรรเสริญ เมาหมกอยู่ อนุสัยคือราคะ ย่อมตาม นอนแกบ่ คุ คลน้นั (ตสฺส ราคานุสโย อนุเสต)ิ . เมื่อทุกขเวทนา ถูกต้องอยู่ เขาย่อมเศร้าโศก ย่อม ระทมใจ ยอ่ มคราำ่ ครวญ ยอ่ มตอี กราำ่ ไห้ ยอ่ มถงึ ความหลงใหล อยู่ อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมตามนอน (เพ่ิมความเคยชินให้) แกบ่ คุ คลนน้ั . เมอ่ื เวทนาอนั ไมใ่ ชท่ กุ ขไ์ มใ่ ชส่ ขุ ถกู ตอ้ งอยู่ เขายอ่ ม ไมร่ ตู้ ามเปน็ จรงิ ซงึ่ สมทุ ยะ (เหตเุ กดิ ) ของเวทนานน้ั ดว้ ย ซงึ่ อตั ถงั คมะ (ความดบั ไมเ่ หลอื ) แหง่ เวทนานน้ั ดว้ ย ซง่ึ อสั สาทะ (รสอรอ่ ย) ของเวทนานน้ั ดว้ ย ซง่ึ อาทนี วะ (โทษ) ของเวทนา น้ันด้วย ซ่ึงนิสสรณะ (อุบายเคร่ืองออกพ้นไป) ของเวทนานั้น ดว้ ย อนสุ ยั คอื อวชิ ชา ยอ่ มตามนอน (เพมิ่ ความเคยชนิ ให)้ แก่ บุคคลนัน้ . ๒๒๒
เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี บคุ คลนนั้ หนอ ยงั ละราคานสุ ยั อนั เกดิ จากสขุ เวทนา ไมไ่ ด้ (สขุ าย เวทนาย ราคานุสยำ อปปฺ หาย) ยงั บรรเทาปฏฆิ านุสยั อนั เกดิ จากทกุ ขเวทนาไมไ่ ด้ (ทกุ ขฺ าย เวทนาย ปฏฆิ านสุ ยำ อปปฺ ฏ-ิ วโิ นเทตฺวา) ยังถอนอวิชชานุสยั อันเกิดจากอทุกขมสขุ เวทนา ไม่ได้ (อทุกฺขมสุขาย เวทนาย อวิชฺชานุสยำ อสมูหนิตฺวา) เมื่อยังละ อวชิ ชาไมไ่ ด้ และยงั ทาำ วชิ ชาใหเ้ กดิ ขน้ึ ไมไ่ ดแ้ ลว้ (อวชิ ชฺ ำ อปปฺ หาย วิชฺชำ อนุปฺปาเทตฺวา) เขาจักทำาที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรมน้ี ไดน้ น้ั (ทิฏเฺ ว ธมเฺ ม ทกุ ฺขสฺสนตฺ กโร ภวสิ ฺสตีต)ิ ข้อนี้ไมเ่ ป็นฐานะ ที่จกั มไี ด้ (เนตำ านำ วชิ ชฺ ต)ิ . ๒๒๓
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ อนาคามี ละเวทน� ๓ เพื่อละอนสุ ยั ๓ 80 -บาลี ส า. ส.ํ ๘/๒๕๔/๓๖๓. ภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ เหล่าน้ี เวทนา ๓ เป็น อยา่ งไร คอื สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา อทกุ ขมสขุ เวทนา ภกิ ษุ ทง้ั หลาย เธอท้ังหลายพึงละราคานุสัยในสุขเวทนา พึงละ ปฏิฆานุสัยในทุกขเวทนา พึงละอวิชชานุสัยในอทุกขม- สุขเวทนา เพราะเหตุท่ีภิกษุละราคานุสัยในสุขเวทนา ละ ปฏฆิ านสุ ยั ในทกุ ขเวทนา ละอวชิ ชานสุ ยั ในอทกุ ขมสขุ เวทนา ภิกษุนี้เราเรียกว่า เป็นผู้ไม่มีราคานุสัย มีความเห็นชอบ ตัดตัณหาได้เด็ดขาด เพิกถอนสังโยชน์ได้แล้ว ได้กระทำา ที่สุดแห่งทุกขแ์ ล้ว เพราะละมานะได้โดยชอบ. ๒๒๔
พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี ก�รเหน็ เวทน� 81 ทเ่ี ปน็ ไปเพอ่ื ส้ินอ�สวะ -บาลี ส า. ส.ํ ๘/๒๕๖/๓๖๗. ภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ เหล่าน้ี เวทนา ๓ เป็น อยา่ งไร คอื สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา อทกุ ขมสขุ เวทนา ภกิ ษุ ทั้งหลาย พึงเห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์ พึงเห็น ทุกขเวทนาโดยความเป็นลูกศร พึงเห็นอทุกขมสุขเวทนา โดยความเป็นของไม่เท่ียง ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุท่ี ภิกษุเห็นสุขเวทนาโดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกขเวทนาโดย ความเป็นลูกศร เห็นอทุกขมสุขเวทนาโดยความเป็นของ ไมเ่ ทยี่ ง ภกิ ษนุ เ้ี รากลา่ ววา่ มคี วามเหน็ โดยชอบ ตดั ตณั หา ไดเ้ ดด็ ขาด เพกิ ถอนสงั โยชนไ์ ดแ้ ลว้ ไดก้ ระทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ข์ แลว้ เพราะละมานะไดโ้ ดยชอบ ถ้าภิกษุใดเห็นสุขโดยความเป็นทุกข์ เห็นทุกข์ โดยความเป็นลูกศร เห็นอทุกขมสุขซ่ึงมีอยู่นั้นโดยความ เป็นของไม่เท่ียง ภกิ ษนุ นั้ เป็นผู้เห็นโดยชอบ ยอ่ มกาำ หนดรู้ เวทนาทง้ั หลายได้ ครน้ั กาำ หนดรเู้ วทนาแลว้ เปน็ ผหู้ าอาสวะ มิได้ในปัจจุบัน ตั้งอยู่ในธรรม จบเวท เมื่อตายไปย่อมไม่ เข้าถึงความนบั วา่ เป็นอะไร. ๒๒๕
พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี อนสุ ยั 7 8๒ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๘/ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อนสุ ยั ๗ ประการเหลา่ น้ี ๗ ประการ เปน็ อยา่ งไร คอื อนสุ ยั คอื กามราคะ อนสุ ยั คอื ปฏฆิ ะ อนสุ ยั คอื ทฏิ ฐิ อนสุ ยั คอื วจิ กิ จิ ฉา อนสุ ยั คอื มานะ อนสุ ยั คอื ภวราคะ อนสุ ยั คอื อวชิ ชา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ นแ้ี ลอนสุ ยั ๗ ประการ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษยุ อ่ มอยปู่ ระพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอ่ื ละ เพอ่ื ตดั อนสุ ยั ๗ ประการเหลา่ น้ี ๗ ประการเปน็ อยา่ งไร คือ อนุสัยคือกามราคะ … อนุสัยคืออวิชชา ภิกษุย่อมอยู่ ประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอ่ื ละ เพอ่ื ตดั อนสุ ยั ๗ ประการเหลา่ นแ้ี ล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื ใด ภกิ ษลุ ะอนสุ ยั คอื กามราคะเสยี ได้ ตดั รากขาดแลว้ ทาำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น ไมใ่ หม้ ี ไมใ่ ห้ เกดิ ขน้ึ อกี ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา ละอนสุ ยั คอื ปฏฆิ ะเสยี ได้ ... ละ อนสุ ยั คอื ทฏิ ฐเิ สยี ได้ ... ละอนสุ ยั คอื วจิ กิ จิ ฉาเสยี ได้ ...ละอนสุ ยั คอื มานะเสยี ได้ ... ละอนสุ ยั คอื ภวราคะเสยี ได้ ... ละอนสุ ยั คอื อวชิ ชาเสยี ไดต้ ดั รากขาดแลว้ ทาำ ใหเ้ ปน็ เหมอื นตาลยอดดว้ น ไม่ให้มี ไม่ให้เกิดข้ึนอีกต่อไปเป็นธรรมดา เม่อื น้ัน ภิกษุน้ี เรากลา่ ววา่ ตดั ตณั หาไดแ้ ลว้ เพกิ ถอนสงั โยชนไ์ ดแ้ ลว้ กระทาำ ทส่ี ดุ ทกุ ขไ์ ดแ้ ลว้ เพราะตรสั รคู้ อื ละมานะเสยี ไดโ้ ดยชอบ. ๒๒๖
ผู้สิ้นสังโยชน์ ๒๒๗
พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ อนาคามี ชือ่ ของอรยิ บคุ คล (นยั ท่ี ๕) 8๓ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/ ๐/ ๔. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๗ จำาพวกน้ี ย่อมเป็นผู้ควร แก่ของคำานับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำาบุญ ควร แก่การทำาอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๗ จาำ พวกเป็นอย่างไร คอื (๑) อภุ โตภาควิมุตติ (๒) ปัญญาวมิ ตุ ติ (๓) กายสกั ขี (๔) ทิฏฐิปัตตะ (๕) สทั ธาวิมตุ ติ (๖) ธัมมานุสารี (๗) สทั ธานสุ ารี ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำาพวกน้ีแล เป็นผู้ควร แก่ของคำานับ ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ของทำาบุญ ควร แกก่ ารทำาอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบญุ อ่นื ย่งิ กวา่ . ๒๒๘
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 544
Pages: