Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อนาคามี

อนาคามี

Published by librarytl49, 2020-11-05 04:46:32

Description: อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิดใน พรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะบรรลุอรหันต์แล้วนิพพานบนพรหมโลกนั้น

Search

Read the Text Version

เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี (๒) ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ปฏิบัติอย่างนี้ คือ ได้ความวางเฉยว่า ถ้ากรรมในอดีตไม่มี แลว้ ไซร้ … เบญจขนั ธ์ท่ีกำาลงั เป็นอยู่ ทีเ่ ป็นมาแลว้ เรายอ่ ม ละได้ เธอยอ่ มไม่กาำ หนดั ในเบญจขันธอ์ นั เปน็ อดีต … ยอ่ ม พิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่งซ่ึงมีอยู่ ด้วยปัญญา อันชอบ ก็บทน้ันแล ภิกษุนั้นยังทำาให้แจ้งไม่ได้โดยอาการ ทงั้ ปวง อนสุ ยั คอื มานะ … อนสุ ยั คอื อวชิ ชา เธอกย็ งั ละไมไ่ ด้ โดยอาการทงั้ ปวง เพราะโอรมั ภาคยิ สังโยชน์ ๕ สน้ิ ไป เธอ ย่อมเป็นอันตร�ปรินิพพ�ยี เปรียบเหมือนเม่ือนายช่าง ตีแผ่นเหล็กท่ีถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออก ลอยไป แล้วกด็ บั (ปปปฺ ฏิกา นพิ พฺ ตฺติตวฺ า อุปฺปติตฺวา นิพฺพาเยยยฺ ) ฉะนัน้ . (๓) ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ ปฏิบัติอย่างน้ี … เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอ ย่อมเป็นอันตร�ปรินิพพ�ยี เปรียบเหมือนเม่ือนายช่าง ตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออก ลอยไป ตกยงั ไมถ่ งึ พน้ื กด็ บั (ปปปฺ ฏกิ า นพิ พฺ ตตฺ ติ วฺ า อปุ ปฺ ตติ วฺ า อนปุ หจจฺ ตล นิพพฺ าเยยยฺ ) ฉะนั้น. (๔) ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ปฏิบัติอย่างน้ี … เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอ ๒๙

พุทธวจน-หมวดธรรม ย่อมเป็นอุปหัจจปรินิพพ�ยี เปรียบเหมือนเมื่อนายช่าง ตีแผ่นเหล็กท่ีถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออก ลอยไป ตกถึงพ้ืนแลว้ ก็ดับ (ปปปฺ ฏิกา นิพพฺ ตตฺ ติ วฺ า อุปฺปติตวฺ า อุปหจจฺ ตล นิพฺพาเยยยฺ ) ฉะนัน้ . (๕) ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ ปฏิบัติอย่างนี้ … เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอ ย่อมเป็นอสังข�รปรินิพพ�ยี เปรียบเหมือนเม่ือนายช่าง ตีแผ่นเหล็กท่ีถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออก ลอยไป แล้วตกลงที่กองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ สะเก็ดน้ันย่อมให้ ไฟและควันเกิดข้ึนได้ท่ีหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ น้ัน ครั้นให้ เกิดไฟและควันเผากองหญ้าหรือกองไม้เล็กๆ น้ันให้หมด ไปจนไม่มเี ช้อื แลว้ กด็ บั ฉะน้ัน. (๖) ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ ปฏิบัติอย่างน้ี … เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป เธอ ย่อมเป็นสสังข�รปรินิพพ�ยี เปรียบเหมือนเมื่อนายช่าง ตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออก ลอยไป แล้วตกลงท่ีกองหญ้าหรือกองไม้เขื่องๆ สะเก็ดนั้นย่อมให้ เกิดไฟและควันท่ีกองหญ้าหรือกองไม้เข่ืองๆ น้ัน คร้ันให้ เกิดไฟและควันแล้ว เผากองหญ้าหรือกองไม้เข่ืองๆ น้ัน ใหห้ มดไปจนไมม่ ีเช้อื แล้วก็ดับ ฉะนั้น. ๓๐

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี (๗) ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ ปฏิบัติอย่างนี้ … เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เธอ เปน็ อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐค�มี (ผมู้ กี ระแสในเบอ้ื งบนไปสอู่ กนฏิ ฐภพ) เปรียบเหมือนนายช่างตีแผ่นเหล็กที่ถูกเผาอยู่ตลอดวัน สะเก็ดร่อนออก ลอยไป แล้วตกลงท่ีกองหญ้าหรือกองไม้ ใหญๆ่ สะเกด็ นน้ั ยอ่ มใหเ้ กดิ ไฟและควนั ทกี่ องหญา้ หรอื กอง ไมใ้ หญๆ่ นนั้ ครนั้ ใหเ้ กดิ ไฟและควนั แลว้ เผากองหญา้ หรอื กองไม้ใหญ่ๆ น้ันให้หมดไป แล้วจึงลามไปไหม้ไม้กอและ ปา่ ไม้ ครนั้ ไหมไ้ มก้ อและปา่ ไมแ้ ลว้ ลามมาถงึ ทสี่ ดุ หญา้ เขยี ว ที่สุดภูเขา ทสี่ ุดชายนาำ้ หรอื ภมู ิภาคอันนา่ รนื่ รมย์ หมดเชื้อ แล้วก็ดับ ฉะนัน้ . ภกิ ษุทง้ั หลาย เหล่านแ้ี ลปรุ ิสคติ ๗ ประการ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย สว่ นอนปุ าทาปรนิ พิ พานเปน็ อยา่ งไร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติอย่างน้ี คือ ย่อมได้ความวางเฉยว่า ถ้ากรรมในอดีตไม่ได้มีแล้ว ไซร้ อัตภาพในปัจจุบันก็ไม่พึงมีแก่เรา ถ้ากรรมในปัจจุบัน ย่อมไม่มีไซร้ อัตภาพในอนาคตก็จักไม่มีแก่เรา เบญจขันธ์ ท่ีกำาลังเป็นอยู่ ท่ีเป็นมาแล้ว เราย่อมละได้ เธอย่อมไม่ กำาหนัดในเบญจขันธ์อันเป็นอดีต ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์ ๓๑

พุทธวจน-หมวดธรรม อันเป็นอนาคต ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบระงับอย่างยิ่ง ด้วยปัญญาอันชอบ ก็บทนั้นแล อันภิกษุนั้นทำาให้แจ้งแล้ว โดยอาการทง้ั ปวง อนุสยั คือมานะ อนุสยั คือภวราคะ อนสุ ัย คอื อวชิ ชา เธอกล็ ะไดแ้ ลว้ โดยอาการทงั้ ปวง เธอยอ่ มกระท�ำ ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญ�วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสนิ้ ไปดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง ในปจั จบุ นั เข้าถึงอยู่ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย น้ีเรียกว่าอนปุ าทาปรินิพพาน. ภิกษุท้ังหลาย เหล่าน้ีแลปุริสคติ ๗ ประการ และ อนปุ าทาปรินิพพาน. ๓๒

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี คว�มเปน็ อรยิ บุคคลกบั สกิ ข� ๓ 1๒ (นัยท่ี 1) -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗/๕๒๖. ภิกษุท้ังหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศ ทุกก่ึงเดือน ซ่ึงกุลบุตรท้ังหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษา กันอย.ู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สกิ ขา ๓ นี้ ทสี่ กิ ขาบท ๑๕๐ นนั้ รวมอยู่ ด้วยทั้งหมด สิกขา ๓ น้ันเป็นอย่างไร คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ เหลา่ น้ีแล ท่ีสิกขาบท ๑๕๐ น้ันรวมอยดู่ ว้ ยทัง้ หมด. ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล (สีเลสุ ปริปูรการี) เป็นผู้ทำาพอประม�ณใน สม�ธิ (สมาธสิ มฺ ึ มตตฺ โสการ)ี เปน็ ผูท้ ำาพอประม�ณในปญั ญ� (ป ฺ าย มตตฺ โสการ)ี เธอย่อมลว่ งสกิ ขาบทเลก็ น้อยบา้ ง ย่อม ออกจากอาบัติน้ันบ้าง ข้อน้ันเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มี ใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทน้ี แต่ว่า สิกขาบทเหล่าใด เป็นเบ้ืองต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่ พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงใน สิกขาบทเหล่าน้ัน สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทท้ังหลาย เธอเป็นโสด�บัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดส้ินไป เป็นผู้มี ความไมต่ กตาำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี งจะตรสั รใู้ นเบอื้ งหนา้ . ๓๓

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำาพอประม�ณในสม�ธิ เป็นผู้ทำา พอประม�ณในปัญญ� เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ยอ่ มออกจากอาบตั นิ น้ั บา้ ง ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะไมม่ ี ใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่า สิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่ พรหมจรรย์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื และมศี ลี มน่ั คงในสกิ ขาบท เหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอเป็น สกท�ค�มี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง จะมายงั โลกนอ้ี กี คราวเดยี วเท่านัน้ แลว้ จะทาำ ทสี่ ดุ ทุกขไ์ ด้. ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำาให้ บรบิ รู ณใ์ นศลี (สเี ลสุ ปรปิ รู การ)ี เปน็ ผทู้ าำ ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นสม�ธิ (สมาธสิ มฺ ึ ปรปิ รู การ)ี เปน็ ผทู้ าำ พอประม�ณในปญั ญ� (ป ฺ าย มตฺตโสการี) เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออก จากอาบัตินั้นบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใคร กล่าวความเป็นคนอาภพั เพราะลว่ งสกิ ขาบทนี้ แต่สิกขาบท เหลา่ ใดเปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สมควรแกพ่ รหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลย่ังยืน และมีศีลม่ันคงในสิกขาบทเหล่าน้ัน ๓๔

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด อนาคามี สมาทานศึกษาอยใู่ นสิกขาบทท้งั หลาย เธอเปน็ โอปป�ตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในภพนน้ั มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสงั โยชน์ ๕ หมดส้ินไป. ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ เป็นผู้ทำาให้ บรบิ รู ณใ์ นปญั ญ� (ป ฺ าย ปรปิ รู การ)ี เธอยอ่ มลว่ งสกิ ขาบท เล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัตินั้นบ้าง ข้อน้ันเพราะ เหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะ ล่วงสิกขาบทนี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่ง พรหมจรรย์ สมควรแกพ่ รหมจรรย์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื และ มศี ลี มน่ั คงในสกิ ขาบทเหลา่ นน้ั สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสกิ ขาบท ทง้ั หลาย เธอท�ำ ใหแ้ จง้ ซ่งึ เจโตวมิ ุตติ ปญั ญ�วิมตุ ติ อนั หา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันย่ิง เอง ในปัจจุบนั เข้าถงึ อย.ู่ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทำาได้เพียงบางส่วน ย่อมให้ สำาเร็จบางส่วน ผู้ทำาให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำาเร็จได้บริบูรณ์ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบทท้ังหลายว่า ไม่เป็นหมันเลย. ๓๕

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี คว�มเปน็ อรยิ บุคคลกบั สิกข� ๓ 1๓ (นัยท่ี ๒) -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๙/๕๒๗. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย สกิ ขาบท ๑๕๐ ถว้ นน้ี ยอ่ มมาสอู่ เุ ทศ ทุกก่ึงเดือน ซ่ึงกุลบุตรท้ังหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษา กันอย.ู่ ภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ น้ี ที่สิกขาบท ๑๕๐ นั้น รวมอย่ดู ้วยทั้งหมด สิกขา ๓ เป็นอยา่ งไร คือ อธศิ ีลสกิ ขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ เหล่านแ้ี ล ที่สกิ ขาบท ๑๕๐ นัน้ รวมอยู่ด้วยทง้ั หมด. ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�พอประม�ณในสม�ธิ เป็นผู้ทำ� พอประม�ณในปัญญ� เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ยอ่ มออกจากอาบัตินั้นบา้ ง ข้อนนั้ เพราะเหตุอะไร เพราะ ไมม่ ใี ครกลา่ วความเปน็ คนอาภพั เพราะเหตลุ ว่ งสกิ ขาบทน้ี แตว่ า่ สกิ ขาบทเหลา่ ใด เปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สมควร แก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลมั่นคงใน สิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทท้ังหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป เธอเป็นสัตตักขัตตุปรมะ ๓๖

เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี ย่อมท่องเท่ียวไปในภพเทวดาและมนุษย์อย่างมากเจ็ดครั้ง แล้วจะทำาที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดส้ินไป เธอเป็นโกลังโกละ ย่อมท่องเท่ียวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล แล้วจะทำาท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป เธอเปน็ เอกพชี ี ยอ่ มมาเกดิ ยงั ภพมนษุ ยน์ ค้ี ราวเดยี วเทา่ นน้ั แล้วจะทำาที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสังโยชน์ ๓ หมดส้ินไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เธอเป็นสกท�ค�มี ย่อมมาสูโ่ ลกนอ้ี ีกคร้ังเดียว แล้วจะทาำ ท่สี ดุ แห่งทกุ ข์ได้. ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำาให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ เป็นผู้ทำา พอประม�ณในปัญญ� เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัตินั้นบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะ ไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะเหตุล่วงสิกขาบทนี้ แตว่ า่ สกิ ขาบทเหลา่ ใด เปน็ เบอื้ งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สมควร แก่พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลย่ังยืน และมีศีลมั่นคงใน สิกขาบทเหล่าน้ัน สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ หมดส้ินไป เธอเป็นอุทธัง- โสโตอกนฏิ ฐค�มี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ หมดสนิ้ ไป เธอเป็นสสังข�รปรินิพพ�ยี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ๓๗

พุทธวจน-หมวดธรรม หมดสน้ิ ไป เธอเปน็ อสงั ข�รปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ - สงั โยชน์ ๕ หมดสนิ้ ไป เธอเปน็ อปุ หัจจปรนิ ิพพ�ยี เพราะ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป เธอเปน็ อนั ตร�ปรนิ พิ พ�ย.ี ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสม�ธิ เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในปัญญ� เธอย่อมล่วงสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยบา้ ง ยอ่ ม ออกจากอาบัตินั้นบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มี ใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะเหตุล่วงสิกขาบทนี้ แต่ วา่ สกิ ขาบทเหลา่ ใด เปน็ เบอื้ งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สมควรแก่ พรหมจรรย์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื และมศี ลี มน่ั คงในสกิ ขาบท เหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอทำ�ให้ แจง้ ซงึ่ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญ�วมิ ตุ ตอิ นั ห�อ�สวะมไิ ด้ เพร�ะ อ�สวะท้งั หล�ยส้นิ ไป ด้วยปัญญ�อันย่งิ เอง ในปัจจุบัน เข�้ ถงึ อย.ู่ ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้ทำาได้เพียงบางส่วนย่อมให้ สำาเร็จได้บางส่วน ผู้ทำาให้บริบูรณ์ย่อมให้สำาเร็จได้บริบูรณ์ อย่างนี้แล ภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวสิกขาบทท้ังหลายว่า ไมเ่ ปน็ หมนั เลย. ๓๘

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี คว�มเปน็ อริยบุคคลกับสิกข� ๓ 1๔ (นัยที่ ๓) -บาลี วก. อ.ํ ๒๓/๓๙๓/๒ ๖. สมัยหน่ึง ในเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรครองจีวร ถือบาตร เขา้ ไปบิณฑบาตในนครสาวตั ถี ทา่ นเหน็ วา่ เวลายังเช้าเกนิ ไปสาำ หรบั การ บิณฑบาต จึงแวะเข้าไปในอารามของพวกปริพาชกลัทธิอ่ืน ได้ทักทาย ปราศรยั กันพอสมควรแล้ว จึงนัง่ ลง ณ ทคี่ วรส่วนข้างหน่งึ ก็ในสมัยน้นั พวกปรพิ าชกเหลา่ นน้ั กาำ ลงั นง่ั ประชมุ สนทนากนั วา่ บคุ คลใด ใครกต็ าม ท่ียังมเี ชอื้ เหลือ (สอปุ าทเิ สสะ) ถา้ ตายแลว้ ย่อมไมพ่ น้ จากนรก ไมพ่ น้ จากกำาเนิดเดรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัย ไม่พ้นจากอบาย ทุคติ และ วินิบาต ท่านพระสารีบุตรไม่ยินดีไม่คัดค้านถ้อยคำาที่ปริพาชกลัทธิอ่ืน เหล่าน้ันกล่าว แล้วลุกจากที่น่ังไป โดยคิดว่าจักรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่ง ภาษติ นใ้ี นสาำ นกั พระผมู้ พี ระภาค ครน้ั กลบั จากบณิ ฑบาต ภายหลงั อาหาร แลว้ จงึ เขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค กราบทลู ถงึ เรอ่ื งราวทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหท้ รงทราบ พระผูม้ พี ระภาคจึงตรัสวา่ สารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวกโง่เขลา ไมฉ่ ลาด จะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ใครมเี ชอื้ เหลอื (สอปุ าทเิ สสะ) หรอื ไม่มเี ชื้อเหลอื (อนุปาทเิ สสะ) สารีบุตร บคุ คล ๙ จำาพวกนี้ ที่มีเช้ือเหลือ เมื่อกระทำากาละ ย่อมพ้นจากนรก พ้นจาก กาำ เนดิ เดรจั ฉาน พน้ จากเปรตวสิ ยั พน้ จากอบาย ทคุ ติ และ วนิ ิบาต ๙ จาำ พวกเปน็ อยา่ งไร คอื ๓๙

พุทธวจน-หมวดธรรม สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำา ให้บริบูรณ์ในศีล กระทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ กระทำาพอ ประม�ณในปญั ญ� บคุ คลนนั้ เปน็ อนั ตร�ปรนิ พิ พ�ยี เพราะ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป สารบี ตุ ร นบ้ี คุ คลจ�ำ พวกท่ี 1 ที่มีเช้ือเหลือ เมื่อกระทำากาละ ย่อมพ้นจากนรก พ้นจาก กาำ เนดิ เดรจั ฉาน พน้ จากเปรตวสิ ยั พน้ จากอบาย ทคุ ติ และ วินบิ าต. สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำาให้บริบูรณ์ในศีล กระทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปริ- นิพพ�ยี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป สารีบุตร นบ้ี ุคคลจ�ำ พวกท่ี ๒ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้กระทำาให้บริบูรณ์ในศีล กระทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลนั้นเป็นอสังข�รปริ- นิพพ�ยี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป สารีบุตร นีบ้ คุ คลจำ�พวกที่ ๓ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้กระทำาให้บริบูรณ์ในศีล กระทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ ๔๐

เปิดธรรมท่ีถกู ปิด อนาคามี กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลน้ันเป็นสสังข�รปริ- นิพพ�ยี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป สารีบุตร นี้บคุ คลจำ�พวกที่ ๔ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำาให้บริบูรณ์ในศีล กระทำาให้บริบูรณ์ในสม�ธิ กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโต- อกนฏิ ฐค�มี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป สารบี ตุ ร น้บี ุคคลจำ�พวกที่ ๕ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เปน็ ผกู้ ระทาำ ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นศลี กระทาำ พอประม�ณในสม�ธิ กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลนั้นเป็นสกท�ค�มี เพราะสงั โยชน์ ๓ สน้ิ ไป เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง กลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียวจะทำาท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ สารีบตุ ร นี้บุคคลจำ�พวกท่ี ๖ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เปน็ ผกู้ ระทาำ ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นศลี กระทาำ พอประม�ณในสม�ธิ กระทาำ พอประม�ณในปญั ญ� บคุ คลนน้ั เปน็ เอกพชี ี เพราะ สงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป บงั เกดิ ยงั ภพมนษุ ยน์ ค้ี รงั้ เดยี ว จะทาำ ทสี่ ดุ แห่งทกุ ข์ได้ สารบี ุตร นีบ้ ุคคลจำ�พวกท่ี 7 … . ๔๑

พุทธวจน-หมวดธรรม สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เปน็ ผกู้ ระทาำ ใหบ้ รบิ รู ณใ์ นศลี กระทาำ พอประม�ณในสม�ธิ กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป ท่องเที่ยวอยู่ ๒-๓ ตระกูล แล้ว จะทาำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ สารบี ตุ ร นบี้ คุ คลจ�ำ พวกท่ี 8 … . สารีบุตร อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำาให้บริบูรณ์ในศีล กระทำาพอประม�ณใน สม�ธิ กระทำาพอประม�ณในปัญญ� บุคคลน้ันเป็น สัตตักขัตตุปรมะ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ ยังเทวดาและมนุษย์ ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง แล้วจะทำาท่ีสุด แห่งทกุ ข์ได้ สารีบุตร นีบ้ ุคคลจำ�พวกท่ี 9 ท่ีมเี ชอื้ เหลอื เมอ่ื กระทำากาละ ยอ่ มพน้ จากนรก พ้นจากกาำ เนดิ เดรัจฉาน พน้ จากเปรตวสิ ัย พน้ จากอบาย ทคุ ติ และวินบิ าต. สารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวกโง่เขลา ไมฉ่ ลาด จะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ใครมเี ชอื้ เหลอื (สอปุ าทเิ สสะ) หรอื ไม่มเี ชือ้ เหลือ (อนปุ าทิเสสะ). สารบี ตุ ร บคุ คล 9 จ�ำ พวกนแ้ี ล ทมี่ เี ชอ้ื เหลอื เมอื่ กระทำ�ก�ละ ย่อมพ้นจ�กนรก พ้นจ�กกำ�เนิดเดรัจฉ�น พ้นจ�กเปรตวิสยั พ้นจ�กอบ�ย ทคุ ติ และวนิ ิบ�ต. ๔๒

เปิดธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี สารีบุตร ธรรมปริยายนี้ ยังไม่เคยแสดงแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกามาก่อน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า ผู้ฟังธรรมปริยายนี้แล้ว จักเข้าถึงซ่ึงความ ประมาท อนึ่ง ธรรมปริยายเช่นนี้ เราจะกล่าวก็ต่อเม่ือถูก ถามเจาะจงเท่านัน้ . ๔๓

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด อนาคามี คว�มเป็นอริยบุคคลกบั อนิ ทรีย์ ๕ 1๕ (นัยที่ 1) -บาลี าวา . ส.ํ ๙/๒๖๗/๘๘๘. ภกิ ษทุ งั้ หลาย อนิ ทรยี ์ ๕ ประการเหลา่ น้ี ๕ ประการ เปน็ อยา่ งไร คอื สทั ธนิ ทรยี ์ วริ ยิ นิ ทรยี ์ สตนิ ทรยี ์ สมาธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ นแ้ี ล อนิ ทรยี ์ ๕ ประการ. (๑) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นอรหันต์ เพราะ อนิ ทรยี ์ ๕ ประการนเี้ ต็มบริบูรณ์ (๒) เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ท�ำ อรหตั ตผลใหแ้ จง้ เพราะ อินทรีย์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อินทรยี ์ของอรหนั ต์ (๓) เป็นอน�ค�มี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรียข์ องผู้ปฏบิ ัติเพอ่ื ทาำ อรหตั ตผลใหแ้ จง้ (๔) เป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือทำ�อน�ค�มิผลให้แจ้ง เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกว่าอนิ ทรีย์ของอนาคามี (๕) เป็นสกท�ค�มี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรียข์ องผปู้ ฏบิ ตั ิเพอ่ื ทาำ อนาคามผิ ลให้แจ้ง (๖) เป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือทำ�สกท�ค�มิผลให้แจ้ง เพราะอินทรยี ์ ๕ ยังอ่อนกว่าอนิ ทรยี ข์ องสกทาคามี (๗) เป็นโสด�บัน เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อินทรียข์ องผปู้ ฏิบตั เิ พือ่ ทาำ สกทาคามผิ ลให้แจง้ (๘) เป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือทำ�โสด�ปัตติผลให้แจ้ง เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกวา่ อนิ ทรีย์ของโสดาบนั . ๔๔

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ อนาคามี คว�มเป็นอริยบคุ คลกับอนิ ทรีย์ ๕ 1๖ (นัยท่ี ๒) -บาลี าวา . ส.ํ ๙/๒๖๔/๘๗๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อนิ ทรยี ์ ๕ ประการเหลา่ น้ี ๕ ประการ เปน็ อยา่ งไร คอื สทั ธนิ ทรยี ์ วริ ยิ นิ ทรยี ์ สตนิ ทรยี ์ สมาธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ นแ้ี ล อนิ ทรยี ์ ๕ ประการ. (๑) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นอรหันต์ เพราะ อนิ ทรีย์ ๕ เต็มบริบูรณ์ (๒) เป็นอน�ค�มี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรยี ข์ องอรหนั ต์ (๓) เป็นสกท�ค�มี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรยี ข์ องอนาคามี (๔) เป็นโสด�บัน เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรยี ข์ องสกทาคามี (๕) เปน็ ธมั ม�นุส�รี เพราะอนิ ทรีย์ ๕ ยงั อ่อนกว่า อินทรยี ์ของโสดาบัน (๖) เป็นสทั ธ�นุส�รี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกว่า อินทรยี ข์ องธัมมานสุ ารี. ๔๕

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด อนาคามี คว�มเปน็ อริยบุคคลกบั อินทรยี ์ ๕ 17 (นยั ท่ี ๓) -บาลี าวา . ส.ํ ๙/๒๖๖/๘๘๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อนิ ทรยี ์ ๕ ประการเหลา่ น้ี ๕ ประการ เปน็ อยา่ งไร คอื สทั ธนิ ทรยี ์ วริ ยิ นิ ทรยี ์ สตนิ ทรยี ์ สมาธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหลา่ นแี้ ล อนิ ทรยี ์ ๕ ประการ. (๑) ภิกษุท้ังหลาย บุคคลเป็นอรหันต์ เพราะ อนิ ทรยี ์ ๕ ประการนี้เตม็ บริบูรณ์ (๒) เป็นอันตร�ปรินิพพ�ยี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกว่าอนิ ทรยี ข์ องอรหนั ต์ (๓) เป็นอุปหัจจปรินิพพ�ยี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอนิ ทรยี ข์ องอันตราปรินพิ พายี (๔) เป็นอสังข�รปรินิพพ�ยี เพราะอินทรีย์ ๕ ยงั อ่อนกว่าอนิ ทรยี ข์ องอุปหัจจปรนิ ิพพายี (๕) เป็นสสังข�รปรินิพพ�ยี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่าอินทรีย์ของอสงั ขารปรนิ พิ พายี (๖) เปน็ อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐค�มี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั อ่อนกวา่ อินทรยี ข์ องสสงั ขารปรนิ พิ พายี (๗) เป็นสกท�ค�มี เพราะอินทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรียข์ องอทุ ธงั โสโตอกนิฏฐคามี ๔๖

เปิดธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี (๘) เป็นเอกพีชี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรียข์ องสกทาคามี (๙) เปน็ โกลงั โกละ เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกว่า อนิ ทรยี ์ของเอกพชี ี (๑๐) เป็นสัตตักขัตตุปรมะ เพราะอินทรีย์ ๕ ยงั ออ่ นกว่าอนิ ทรยี ข์ องโกลังโกละ (๑๑) เปน็ ธมั ม�นสุ �รี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ สัตตักขตั ตปุ รมะ (๑๒) เปน็ สทั ธ�นสุ �รี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรีย์ของธมั มานสุ ารี. (ในสูตรอื่นๆ มีตรัสช่วงท้ายต่างกันออกไป ได้แก่ ด้วย อาการอยา่ งนี้ ความตา่ งแหง่ ผลยอ่ มมไี ดเ้ พราะความตา่ งแหง่ อนิ ทรยี ์ ความตา่ งแหง่ บคุ คลยอ่ มมไี ดเ้ พราะความตา่ งแหง่ ผล, หรอื อนิ ทรยี ์ ๕ ประการนี้ ไม่มีแก่ผู้ใดเสียเลยโดยประการท้ังปวง เราเรียกผู้น้ัน ว่า เป็นคนภายนอก ต้ังอยู่ในฝ่ายปุถุชน, หรือ บุคคลผู้กระทำา ให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำาเร็จได้บริบูรณ์ (ความเป็นอรหันต์) บุคคล ผู้กระทำาได้บางส่วน ย่อมให้สำาเร็จได้บางส่วน เรากล่าวอินทรีย์ ๕ วา่ ไม่เปน็ หมนั เลย. -ผรู้ วบรวม) ๔๗

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี อน�ค�มีในภพมนษุ ย์ (นัยท่ี 1) 18 -บาลี อุ .ิ . ๔/๔๕๙/๗ . อานนท์ ในทกั ษณิ าปาฏปิ คุ คลกิ ทงั้ ๑๔ ประการนน้ั บุคคลให้ทานในสัตว์เดรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณา ไดร้ อ้ ยเทา่ ใหท้ านในปถุ ชุ นผทู้ ศุ ลี พงึ หวงั ผลทกั ษณิ าไดพ้ นั เทา่ ใหท้ านในปถุ ชุ นผมู้ ศี ลี พงึ หวงั ผลทกั ษณิ าไดแ้ สนเทา่ ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำาหนัด ในกาม พงึ หวงั ผลทักษิณาไดแ้ สนโกฏเิ ทา่ ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำาโสดาปัตติผลให้แจ้ง พงึ หวงั ผลทักษิณานบั ไมไ่ ด้ ประมาณไมไ่ ด้ ไมต่ อ้ งกลา่ วถึง การใหท้ านในโสด�บนั ในทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ทาำ สกทาคามผิ ล ใหแ้ จง้ ในสกท�ค�มี ในทา่ นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอื่ ทาำ อนาคามผิ ลให้ แจ้ง ในอน�ค�มี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำาอรหัตตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผเู้ ปน็ อรหนั ต์ ในพระปจั เจกพทุ ธะ และ ในตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธะ. อานนท์ ก็ทักษิณาที่ให้แล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข น้ีเป็น ทักษิณาท่ีถงึ แลว้ ในสงฆ์ ประการท่ี ๑ ๔๘

เปิดธรรมที่ถูกปิด อนาคามี ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพาน แลว้ นี้เปน็ ทกั ษณิ าทถ่ี ึงแลว้ ในสงฆ์ ประการที่ ๒ ให้ทานในภิกษุสงฆ์ น้ีเป็นทักษิณาท่ีถึงแล้วในสงฆ์ ประการท่ี ๓ ใหท้ านในภกิ ษณุ สี งฆ์ นเ้ี ปน็ ทกั ษณิ าทถี่ งึ แลว้ ในสงฆ์ ประการท่ี ๔ แจ้งต่อสงฆ์ (เผดียงสงฆ์) ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุ และภิกษุณีจำานวนเท่าน้ีข้ึนเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เปน็ ทกั ษณิ าทถี่ งึ แลว้ ในสงฆ์ ประการท่ี ๕ แจ้งต่อสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำานวนเท่าน้ี ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้ว ในสงฆ์ ประการที่ ๖ แจ้งต่อสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำานวนเท่าน้ี ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน น้ีเป็นทักษิณาท่ีถึงแล้ว ในสงฆ์ ประการที่ ๗. อานนท์ กใ็ นอนาคตกาล จกั มแี ตเ่ หลา่ ภกิ ษโุ คตรภู มผี า้ กาสาวะ (จวี ร) พนั คอ เปน็ คนทศุ ลี มบี าปธรรม คนทงั้ หลาย จักถวายทานเฉพาะสงฆ์ไดใ้ นเหลา่ ภกิ ษทุ ุศีลน้ัน. ๔๙

พทุ ธวจน-หมวดธรรม อานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลาน้ัน เรากก็ ลา่ ววา่ มผี ลนบั ไมไ่ ด้ ประมาณไมไ่ ด้ แตว่ า่ เราไมก่ ลา่ ว ปาฏิปุคคลิกทาน (การถวายเจาะจงบุคคล) ว่ามีผลมากกว่า ทกั ษณิ าท่ถี ึงแลว้ ในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย … . (ยังมีส่วนของความบริสุทธ์ิแห่งทักษิณา ผู้ศึกษาสามารถ อ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือพุทธวจน-หมวดธรรม ฉบับท่ี ๑๓ เรอ่ื งทาน หนา้ ๑๓๕ หรอื จากเนอ้ื ความเตม็ ของพระสตู ร. -ผรู้ วบรวม) ๕๐

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด อนาคามี อน�ค�มใี นภพมนุษย์ (นยั ท่ี ๒) 19 -บาลี วก. อ.ํ ๒๓/๔๐๕/๒๒๔. คหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้นได้ให้ทานเป็นมหาทานอย่างน้ี คือ ได้ให้ ถาดทองเตม็ ด้วยรูปยิ ะ ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดรปู ยิ ะเตม็ ดว้ ย ทอง ๘๔,๐๐๐ ถาด ถาดสำารดิ เตม็ ดว้ ยเงนิ ๘๔,๐๐๐ ถาด ให้ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธง ทองคลุมด้วยข่ายทอง ให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนัง ราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง ผ้ากัมพลเหลือง มีเคร่ืองประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง ใหแ้ มโ่ คนม ๘๔,๐๐๐ ตวั มนี า้ำ นมไหลสะดวก ใชภ้ าชนะเงนิ รองนา้ำ นม ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐ คน ประดบั ด้วยแก้วมณี และแกว้ กณุ ฑล ใหบ้ ลั ลงั ก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดดว้ ยผา้ โกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะสีขาว เคร่ืองลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเคร่ืองลาดอย่างดีทำาด้วยหนังชะมด มีเคร่ืองลาดเพดาน มหี มอนขา้ งแดงทง้ั สอง ใหผ้ า้ ๘๔,๐๐๐ โกฏิ เปน็ ผา้ เปลอื กไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้าย เนื้อละเอียด จะป่วยการกล่าวไปไยถึงข้าว นา้ำ ของเคย้ี ว ของบรโิ ภค เครอื่ งลบู ไล้ ทนี่ อน ทใี่ หด้ จุ ไหลไป เหมอื นแม่นำา้ . ๕๑

พทุ ธวจน-หมวดธรรม คหบดี ทา่ นพงึ มีความคิดอยา่ งนี้วา่ สมัยนั้น ผ้อู ื่น เปน็ เวลามพราหมณ์ผู้ทใ่ี ห้ทานเปน็ มหาทานนั้น. คหบดี แตท่ า่ นไมค่ วรเหน็ อยา่ งน้ี สมยั นน้ั เราเปน็ เวลามพราหมณ์ เราไดใ้ หท้ านนน้ั เปน็ มหาทาน กใ็ นทานนนั้ ไม่มีใครเป็นทักขิเณยยบุคคล ไม่มีใครชำาระทักขิณาน้ัน ให้หมดจด. คหบดี ทานที่บุคคลถวายให้ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ (โสดาบัน) ผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่า ทานท่ีเวลาม- พราหมณ์ให้แลว้ . ทานท่ีบุคคลถวายให้สกท�ค�มีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่า ทานท่ีบุคคลถวายให้ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ๑๐๐ ทา่ นบรโิ ภค. ทานท่ีบุคคลถวายให้อน�ค�มีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่า ทานท่ีบุคคลถวายให้สกทาคามี ๑๐๐ ท่าน บรโิ ภค. ท า น ท่ี บุ ค ค ล ถ ว า ย ใ ห้ อ ร หั น ต์ ผู้ เ ดี ย ว บ ริ โ ภ ค มีผลมากกว่า ทานที่บุคคลถวายให้อนาคามี ๑๐๐ ท่าน บริโภค. ๕๒

เปิดธรรมท่ถี ูกปิด อนาคามี ทานท่ีบุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธะรูปเดียว บรโิ ภค มผี ลมากกวา่ ทานทบ่ี คุ คลถวายใหอ้ รหนั ต์ ๑๐๐ รปู บรโิ ภค. ทานท่ีบุคคลถวายให้พระอรหันตสัมม�สัมพุทธะ บริโภค มีผลมากกวา่ ทานทบ่ี ุคคลถวายให้พระปจั เจกพุทธะ ๑๐๐ รปู บรโิ ภค. ทานท่ีบุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้� เป็นประมุขบริโภค มีผลมากกว่า ทานที่บุคคลถวายให้ พระอรหันตสัมมาสมั พทุ ธะบรโิ ภค. การทบ่ี คุ คลสร�้ งวหิ �รถว�ยสงฆผ์ มู้ �จ�กทศิ ทงั้ ๔ มีผลมากกว่า ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า เปน็ ประมุขบริโภค. การทบ่ี คุ คลมจี ติ เลอ่ื มใสถงึ พระพทุ ธเจ�้ พระธรรม และพระสงฆเ์ ปน็ สรณะ (พทุ ธฺ จฺ ธมมฺ จฺ สงฆฺ จฺ สรณ คจเฺ ฉยยฺ ) มีผลมากกว่า ทานท่ีบุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ อันมาจาก ทศิ ทงั้ ๔. การท่ีบุคคลมีจิตเลื่อมใสสม�ท�นสิกข�บท คือ งดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ งดเวน้ จากการถอื เอาสง่ิ ของทเี่ จา้ ของ ไมไ่ ดใ้ ห้ งดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม งดเวน้ จากการ ๕๓

พุทธวจน-หมวดธรรม พูดเท็จ งดเว้นจากการด่ืมน้ำาเมา คือสุราและเมรัยอันเป็น ทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาท มผี ลมากกวา่ การทบ่ี คุ คลมจี ติ เลอ่ื มใส ถงึ พระพทุ ธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ. การทบ่ี คุ คลเจรญิ เมตต�จติ โดยทสี่ ดุ แมเ้ พยี งเวล� สูดดมของหอม มีผลมากกว่า การที่บุคคลมีจิตเล่ือมใส สมาทานสกิ ขาบท คอื งดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ งดเวน้ จากการ ถอื เอาสง่ิ ของทเี่ จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ งดเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ ในกาม งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการดื่มน้ำาเมา คอื สรุ าและเมรยั อันเป็นทต่ี ง้ั แหง่ ความประมาท และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญ�แม้เพียงเวล� ลัดน้ิวมือ มีผลมากกว่า การท่ีบุคคลเจริญเมตตาจิต โดย ทส่ี ดุ แม้เพยี งเวลาสูดดมของหอม. ๕๔

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ผสู้ น้ิ สังโยชน์ในภพมนษุ ย์ (นัยที่ 1) ๒0 -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๖/๘๘. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๔ จำาพวกน้ี1 มีปรากฏอยู่ ในโลก ๔ จาำ พวกเปน็ อยา่ งไร คือ (๑) สมณะผ้ไู ม่หวน่ั ไหว (๒) สมณะบณุ ฑริก (บัวขาว) (๓) สมณะปทุมะ (บัวชมพ)ู (๔) สมณะสขุ ุมาล (ผู้ละเอียดออ่ นในหมู่สมณะ) ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะผู้ไม่หวั่นไหวเป็นอย่างไร ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ เปน็ โสด�บัน เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เป็นผู้มีอันไม่ตกตำ่าเป็นธรรมดา เป็นผู้เท่ียง จะตรัสรู้ใน เบ้อื งหน้า บคุ คลเปน็ สมณะผูไ้ ม่หวนั่ ไหวเป็นอย่างนีแ้ ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะบุณฑริกเป็นอย่างไร ภิกษุ ในธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ สกท�ค�มี เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป และ เพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง จะมาสู่โลกน้ีอีกคร้ังเดียว เทา่ นน้ั แลว้ จะกระทาำ ทส่ี ดุ ทกุ ขไ์ ด้ บคุ คลเปน็ สมณะบณุ ฑรกิ เปน็ อย่างนแี้ ล. ๑. ใน บ�ลี ป�. ที. ๑๑ ๑ ๓ . มีก�รเรียงตำ�แหน่งของลำ�ดับท่ี และ ๓ ต่�งออกไปดังน้ี คือ สมณะผู้ไม่หว่ันไหว สมณปทุมะ สมณปุณ รีกะ สมณะ สุขุม�ล. ผ้รู วบรวม ๕๕

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภกิ ษทุ งั้ หลาย กส็ มณะปทมุ ะเปน็ อยา่ งไร ภกิ ษใุ น ธรรมวินัยน้ีเป็นโอปปาติกะ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการสน้ิ ไป จะปรนิ พิ พานในภพนน้ั มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา บคุ คลเปน็ สมณะปทุมเปน็ อย่างนี้แล. ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะสุขุมาล (ผู้ละเอียดอ่อนในหมู่ สมณะ) เปน็ อย่างไร ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี กระท�ำ ให้แจ้งซ่งึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญ�วิมตุ ติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ท้ังหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ บุคคลเป็นสขุ ุมาลเปน็ อยา่ งนี้แล. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จาำ พวกเหลา่ นแี้ ล มปี รากฏ อย่ใู นโลก. ๕๖

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด อนาคามี ผ้สู ้นิ สงั โยชนใ์ นภพมนุษย์ (นยั ที่ ๒) ๒1 -บาลี อุ .ิ . ๔/ ๙ /๒๘๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษบุ รษิ ทั น้ี ไมเ่ หลวไหลเลย ภกิ ษุ ท้ังหลาย ภิกษุบริษัทนี้ไม่เหลวแหลกเลย ภิกษุบริษัทนี้ ตงั้ อย่แู ล้วในธรรมท่ีเป็นสาระลว้ น. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บรษิ ทั เชน่ ใด มลี กั ษณะเปน็ ผคู้ วรแก่ ของคาำ นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ องทาำ บญุ ควรแกก่ าร ทาำ อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อนื่ ยงิ่ กวา่ หมภู่ กิ ษนุ ้ี ก็มลี ักษณะเชน่ นนั้ ภกิ ษุบริษทั นีก้ ็มีลักษณะเช่นนัน้ . ภิกษุท้ังหลาย บริษัทเช่นใด มีลักษณะท่ีทานอัน บคุ คลใหน้ อ้ ย แตก่ ลบั มผี ลมาก ทานทใี่ หม้ าก กม็ ผี ลมากทวี ยง่ิ ขน้ึ หมภู่ กิ ษนุ ก้ี ม็ ลี กั ษณะเชน่ นน้ั ภกิ ษบุ รษิ ทั นกี้ ม็ ลี กั ษณะ เชน่ นัน้ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรษิ ทั เชน่ ใด มลี กั ษณะยากทชี่ าวโลก จะไดเ้ หน็ หม่ภู กิ ษุน้ีกม็ รี ูปลักษณะเชน่ นั้น ภกิ ษบุ รษิ ทั นี้ก็มี ลักษณะเช่นนน้ั . ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรษิ ทั เชน่ ใด มลี กั ษณะทค่ี วรจะไปดู ไปเหน็ แม้จะตอ้ งเดินสนิ้ หนทางนบั ด้วยโยชน์ๆ ถึงกับตอ้ ง เอาห่อสะเบียงไปด้วยก็ตาม หมู่ภิกษุน้ีก็มีลักษณะเช่นนั้น ภิกษุบริษทั นก้ี ็มีลกั ษณะเชน่ นนั้ . ๕๗

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งเป็น อรหันต์ ผู้ส้ินอาสวะแล้ว ผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจท่ี ควรทำาได้ทำาสำาเร็จแล้ว มีภาระปลงลงได้แล้ว มีประโยชน์ ของตนเองบรรลุแล้วโดยลำาดับ มีสังโยชน์ในภพส้ินแล้ว หลดุ พน้ แลว้ เพราะรทู้ วั่ ถงึ โดยชอบ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานนี้ ก็มอี ยู่ในหมู่ภกิ ษนุ .้ี ภิกษุทั้งหลาย ในหมู่ภิกษุน้ี มีพวกภิกษุซึ่งส้ิน โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นโอปป�ติกะแล้ว จะปรินิพพาน ในที่นั้น ไม่เวียนกลับมาจากโลกน้นั เปน็ ธรรมดา พวกภกิ ษุ แม้เหน็ ปานนี้ ก็มีอยู่ในหมู่ภกิ ษุน.้ี ภิกษุท้ังหลาย ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งสิ้น สังโยชน์ ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เป็น สกท�ค�มี มาสู่โลกน้ีอีกคร้ังเดียวเท่าน้ัน แล้วจักกระทำา ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานน้ี กม็ อี ยใู่ นหมภู่ กิ ษนุ .้ี ภิกษุทั้งหลาย ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซ่ึงสิ้น สงั โยชน์ ๓ เปน็ โสด�บนั มอี นั ไมต่ กตาำ่ เปน็ ธรรมดา ผเู้ ทยี่ งแท้ ต่อนิพพาน จักตรัสรู้ได้ในกาลเบ้ืองหน้า พวกภิกษุแม้เห็น ปานน้ี ก็มอี ยใู่ นหมภู่ ิกษุน.ี้ ๕๘

เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ อนาคามี ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในหมภู่ กิ ษนุ ี้ มพี วกภกิ ษซุ ง่ึ ประกอบ ความเพยี รเปน็ เครอ่ื งตอ้ งทาำ เนอื งๆ ในการอบรมสตปิ ฏั ฐานส่ี สมั มปั ปธานส่ี อิทธิบาทส่ี อนิ ทรยี ์ห้า พละห้า โพชฌงคเ์ จด็ อรยิ มรรคมีองคแ์ ปด เมตตา กรุณา มทุ ิตา อเุ บกขา อสภุ ะ อนิจจสัญญา และอานาปานสติ พวกภิกษุแม้เห็นปานน้ี ก็มอี ยใู่ นหมู่ภกิ ษุน.้ี (เนอื้ ความของพระสตู รนไี้ ดน้ าำ มาใสไ่ วโ้ ดยยอ่ ดว้ ยเพอ่ื ให้ เหน็ การกลา่ วถงึ ผสู้ นิ้ สงั โยชน์ ๕ ทยี่ งั มชี วี ติ อยู่ ผทู้ สี่ นใจสามารถอา่ น เนือ้ ความเตม็ ไดจ้ ากพระสูตร. -ผรู้ วบรวม) ๕๙

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ อนาคามี ผสู้ ิน้ สงั โยชน์ในภพมนษุ ย์ (นยั ท่ี ๓) ๒๒ -บาลี . . ๓/๓๘๒/๔ ๗. … คร้งั นน้ั พระเจ้ากิกิกาสริ าชทรงเสียพระทัย ทรง โทมนัสว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันต- สมั มาสมั พทุ ธะไมท่ รงรบั การอยจู่ าำ พรรษา ณ เมอื งพาราณสี ของเราเสยี แลว้ ดงั นี้ แลว้ ไดท้ ลู ถามวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ มใี ครอื่นท่ีเป็นอปุ ัฏฐากย่ิงกวา่ หมอ่ มฉนั หรือ. มอี ยู่ มหาราช นคิ มชอ่ื เวภฬคิ ะ ชา่ งหมอ้ ชอ่ื ฆฏกิ าระ อยใู่ นนคิ มนน้ั เขาเปน็ อปุ ฏั ฐากของเรา นบั เปน็ อปุ ฏั ฐากชน้ั เลศิ พระองคแ์ ลทรงเสยี พระทยั มคี วามโทมนสั วา่ พระผมู้ พี ระภาค ทรงพระนามวา่ กสั สปอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะไมท่ รงรบั การอยู่ จาำ พรรษาในเมอื งพาราณสขี องเราเสยี แลว้ ความเสยี ใจและ ความโทมนสั นน้ี น้ั ยอ่ มไมม่ ี และจกั ไมม่ ใี นชา่ งหมอ้ ฆฏกิ าระ. มหาราช ชา่ งหมอ้ ฆฏกิ าระ ถงึ พระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก อทินนาทาน เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นขาดจาก มุสาวาท เว้นขาดจากน้ำาเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นท่ีตั้ง แหง่ ความประมาท. ๖๐

เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ อนาคามี มหาราช ช่างหม้อฆฏิการะ เป็นผู้ประกอบด้วย ความเล่ือมใสอันไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ประกอบดว้ ยศลี ทพี่ ระอรยิ เจ้ารักใคร่. มหาราช ชา่ งหมอ้ ฆฏกิ าระ เปน็ ผหู้ มดสงสยั ในทกุ ข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บรโิ ภคภตั มอ้ื เดยี ว ประพฤตพิ รหมจรรย์ มศี ลี มกี ลั ยาณธรรม ปลอ่ ยวางแกว้ มณแี ละทองคาำ ปราศจากการใชท้ องและเงนิ . มหาราช ช่างหม้อฆฏิการะ ไม่ขุดแผ่นดินด้วยสาก และด้วยมือของตน นำามาแต่ดินตลิ่งพังหรือขุยหนูซึ่งมีอยู่ ดว้ ยหาบ ทาำ เปน็ ภาชนะแลว้ กลา่ วอยา่ งนว้ี า่ ในภาชนะน้ี ผใู้ ด ต้องการ ผู้นั้นจงวางถุงใส่ข้าวสาร ถุงใส่ถ่ัวเขียว หรือถุงใส่ ถ่ัวดาำ ไว้ แลว้ นำาภาชนะทต่ี ้องการน้นั ไปเถิด. มหาราช ช่างหม้อฆฏิการะ เล้ียงมารดาบิดาผู้ชรา ตาบอด ช่างหม้อฆฏิการะเป็นโอปป�ติกะ จะปรินิพพาน ในภพน้ัน มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ โอรมั ภาคิยสังโยชน์ ๕ หมดสน้ิ ไป … . ๖๑

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ อนาคามี ผู้ส้ินสังโยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นัยท่ี ๔) ๒๓ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/ ๔๗/๘๕. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๗ จำาพวกนี้ เป็นผู้ควรของ คำานับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำาบุญ เป็นผู้ ควรกระทำาอัญชลี เปน็ นาบุญของโลก ไมม่ ีนาบุญอื่นยงิ่ กวา่ ๗ จำาพวกเปน็ อย่างไร คอื (๑) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี พจิ ารณา เห็นว่าไม่เท่ียง มีความสำาคัญว่าไม่เท่ียง ตระหนักชัดว่า ไม่เท่ียงในตา น้อมไปด้วยใจ หย่ังลงด้วยปัญญา ติดต่อ สมำ่าเสมอไม่ขาดสาย เธอกระทำ�ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญ�วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไป ด้วยปัญญาอันย่ิงเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ น้ีเป็น บุคคลที่ 1 เป็นผู้ควรของคำานับ … เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบญุ อ่นื ย่ิงกวา่ . (๒) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง มีความสำาคัญว่าไม่เที่ยง ตระหนักชัดว่าไม่เที่ยงในตา น้อมไปด้วยใจ หย่ังลงด้วย ปญั ญา ตดิ ตอ่ สมาำ่ เสมอไมข่ าดสาย บคุ คลนน้ั มกี �รสน้ิ อ�สวะ และก�รสิ้นชีวิตไม่ก่อนไม่หลังกัน (อปุพฺพ อจริม อาสวปริยา ทาน ฺจ โหติ ชีวิตปริยาทาน ฺจ) น้ีเป็นบุคคลท่ี ๒ เป็นผคู้ วร ของคาำ นบั … เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อน่ื ยง่ิ กวา่ . ๖๒

เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ อนาคามี (๓) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนงึ่ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พจิ ารณาเหน็ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ตดิ ตอ่ สมาำ่ เสมอไมข่ าดสาย บคุ คลนน้ั เปน็ อนั ตร�ปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป นเี้ ปน็ บคุ คลท่ี ๓ เปน็ ผคู้ วรของคาำ นบั …. เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบุญอ่นื ยง่ิ กว่า. (๔) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนงึ่ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พจิ ารณาเหน็ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ตดิ ตอ่ สมาำ่ เสมอไมข่ าดสาย บคุ คลนน้ั เปน็ อปุ หจั จปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป นเี้ ปน็ บคุ คลที่ ๔ เปน็ ผคู้ วรของคาำ นบั …. เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มนี าบญุ อื่นย่งิ กว่า. (๕) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พจิ ารณาเหน็ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ตดิ ตอ่ สมาำ่ เสมอไมข่ าดสาย บคุ คลนน้ั เปน็ อสงั ข�รปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป นเ้ี ปน็ บคุ คลที่ ๕ เปน็ ผคู้ วรของคาำ นบั …. เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อื่นย่ิงกวา่ . (๖) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนงึ่ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พจิ ารณาเหน็ วา่ ไมเ่ ทย่ี ง … ตดิ ตอ่ สมาำ่ เสมอไมข่ าดสาย บคุ คลนน้ั เปน็ สสงั ข�รปรนิ พิ พ�ยี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป นเ้ี ปน็ บคุ คลท่ี ๖ เปน็ ผคู้ วรของคาำ นบั …. เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบุญอ่ืนย่ิงกว่า. ๖๓

พุทธวจน-หมวดธรรม (๗) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง … ติดต่อสมำ่าเสมอไม่ ขาดสาย บุคคลน้ันเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐค�มี เพราะ โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป นเี้ ปน็ บคุ คลท่ี 7 เปน็ ผคู้ วร ของคาำ นบั … เปน็ นาบุญของโลก ไม่มนี าบญุ อน่ื ยง่ิ กว่า. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๗ จำาพวกน้ีแล เป็นผู้ควร ของคาำ นบั เปน็ ผคู้ วรของตอ้ นรบั เปน็ ผคู้ วรของทาำ บญุ เปน็ ผคู้ วรทำาอัญชลี เปน็ นาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอืน่ ย่ิงกวา่ . (ในสูตรอ่ืน ได้ตรัสนัยท่ีต่างกันออกไป คือ พิจารณาเห็น วา่ เปน็ ทกุ ข,์ พจิ ารณาเหน็ วา่ เปน็ อนตั ตา, พจิ ารณาเหน็ ความสนิ้ ไป, พิจารณาเห็นความเสื่อมไป, พิจารณาเห็นความคลายกำาหนัด, พิจารณาเห็นความดับ, พิจารณาเห็นความสลัดคืน ในอายตนะ ภายใน ๖, อายตนะภายนอก ๖, วญิ ญาณ ๖, ผสั สะ ๖, เวทนา ๖, สญั ญา ๖, สญั เจตนา ๖, ตณั หา ๖, วติ ก ๖, วจิ าร ๖, และขนั ธท์ ง้ั ๕ ผศู้ กึ ษาพงึ เทยี บเคยี งเอง หรอื อา่ นไดจ้ ากเนอื้ ความเตม็ ของพระสตู ร. -ผรู้ วบรวม) ๖๔

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ อนาคามี ผสู้ ้ินสังโยชน์ในภพมนุษย์ (นยั ที่ ๕) ๒๔ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/ ๓/ ๖. ภิกษุท้ังหลาย บุคคล ๗ จำาพวกน้ี เป็นผู้ควรของ คำานับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำาบุญ เป็นผู้ ควรกระทำาอัญชลี เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๗ จาำ พวกเป็นอยา่ งไร คอื (๑) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี พจิ ารณา เห็นความไม่เที่ยง มีความสำาคัญว่าไม่เที่ยง ท้ังรู้ว่าเป็นของ ไมเ่ ทย่ี ง ในสงั ขารทงั้ ปวง ตั้งใจมน่ั ติดตอ่ กันไปไมข่ าดสาย มีปัญญาหยั่งทราบ ย่อมกระทำ�ให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปญั ญ�วมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสน้ิ ไป ดว้ ยปญั ญาอนั ยงิ่ เอง ในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อยู่ นเี้ ปน็ บคุ คลที่ 1 เป็นผู้ควรของคำานับ … เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอ่ืน ยิ่งกวา่ . (๒) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคน ในโลกนี้ พจิ ารณาเห็นความไมเ่ ทยี่ ง … มีปัญญาหยัง่ ทราบ คว�มสน้ิ อ�สวะและคว�มสน้ิ ชวี ติ ของเข� ไมก่ อ่ นไมห่ ลงั กนั (อปพุ พฺ อจรมิ อาสวปรยิ าทาน จฺ โหติ ชวี ติ ปรยิ าทาน จฺ ) นเ้ี ปน็ บคุ คล ท่ี ๒ เปน็ ผคู้ วรของคาำ นบั … เปน็ นาบญุ ของโลกไมม่ นี าบญุ อน่ื ยิ่งกวา่ . ๖๕

พุทธวจน-หมวดธรรม (๓) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนงึ่ บคุ คลบางคน ในโลกนี้ พจิ ารณาเห็นความไม่เทย่ี ง … มีปญั ญาหยัง่ ทราบ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สน้ิ ไป เป็นอนั ตร�ปรนิ พิ พ�ยี นี้เป็นบุคคลท่ี ๓ เป็นผู้ควรของคำานับ … เป็นนาบุญ ของโลก ไมม่ นี าบุญอ่ืนยง่ิ กว่า. (๔) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พิจารณาเห็นความไม่เทย่ี ง … มปี ญั ญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป เขาจักเป็นอุปหัจจ- ปรินิพพ�ยี นี้เป็นบุคคลที่ ๔ เป็นผู้ควรของคำานับ … เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มนี าบญุ อนื่ ย่งิ กวา่ . (๕) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนงึ่ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พิจารณาเห็นความไม่เท่ียง …มีปัญญาหยั่งทราบ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไปเขาจักเป็นอสังข�ร- ปรินิพพ�ยี นี้เป็นบุคคลท่ี ๕ เป็นผู้ควรของคำานับ … เป็นนาบญุ ของโลก ไม่มนี าบญุ อ่นื ยง่ิ กว่า. (๖) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนงึ่ บคุ คลบางคน ในโลกนี้ พิจารณาเห็นความไม่เท่ียง … มปี ญั ญาหย่งั ทราบ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไปเขาจักเป็นสสังข�ร- ปรินิพพ�ยี น้ีเป็นบุคคลที่ ๖ เป็นผู้ควรของคำานับ … เปน็ นาบุญของโลก ไมม่ นี าบุญอน่ื ยิ่งกว่า. ๖๖

เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ อนาคามี (๗) ภกิ ษทุ งั้ หลาย อกี ประการหนง่ึ บคุ คลบางคน ในโลกน้ี พจิ ารณาเหน็ ความไมเ่ ทยี่ ง มคี วามสาำ คญั วา่ ไมเ่ ทย่ี ง ทง้ั รวู้ า่ เปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง ในสงั ขารทงั้ ปวง ตงั้ ใจมน่ั ตดิ ตอ่ กนั ไป ไมข่ าดสาย มปี ญั ญาหยง่ั ทราบ เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ส้ินไป เขาเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐค�มี (ผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ) นี้เป็นบุคคลท่ี 7 เป็นผู้ควรของคำานับ … เป็นนาบญุ ของโลก ไมม่ ีนาบุญอื่นยิ่งกว่า. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๗ จาำ พวกนแ้ี ล เปน็ ผคู้ วรของ คำานับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำาบุญ เป็นผู้ ควรกระทาำ อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อนื่ ยง่ิ กวา่ . (ในสตู รถดั ไป ไดต้ รสั นยั ทตี่ า่ งกนั ออกไป คอื พจิ ารณาเหน็ ความเปน็ ทกุ ขใ์ นสงั ขารทงั้ ปวง, พจิ ารณาเหน็ วา่ เปน็ อนตั ตาในธรรม ทงั้ ปวง ผศู้ กึ ษาพงึ เทยี บเคยี งเอง หรอื อา่ นไดจ้ ากเนอ้ื ความเตม็ ของ พระสตู ร. -ผรู้ วบรวม) ๖๗

พุทธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ผู้สน้ิ สังโยชนใ์ นภพมนษุ ย์ (นยั ที่ ๖) ๒๕ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓ ๕/๕๓๗. ภิกษุท้ังหลาย ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ ย่อมควรแก่พระราชา เป็น ม้าต้น นับว่าเป็นราชพาหนะโดยแท้ องค์ ๓ ประการเป็น อยา่ งไร คอื มา้ อาชาไนยตวั เจรญิ ของพระราชาในโลกน้ี เปน็ สัตว์สมบูรณ์ด้วยสี เป็นสัตว์สมบูรณ์ด้วยกำาลัง เป็นสัตว์ สมบูรณ์ด้วยฝีเท้าว่ิงเร็ว ภิกษุท้ังหลาย ม้าอาชาไนยตัว เจรญิ ของพระราชา ประกอบดว้ ยองค์ ๓ ประการนแ้ี ล ยอ่ ม ควรแก่พระราชา เป็นม้าต้น นับว่าเป็นราชพาหนะโดยแท้ ฉันใด. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั ยอ่ มเปน็ ผคู้ วรของคาำ นบั … เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบุญอื่นยิง่ กวา่ องค์ ๓ ประการเป็นอยา่ งไร คอื ภิกษใุ นธรรมวินยั น้ี (๑) เปน็ ผสู้ มบูรณ์ด้วยวรรณะ (วณฺณสมฺปนฺโน) (๒) เป็นผู้สมบูรณด์ ว้ ยกำาลัง (พลสมฺปนฺโน) (๓) เป็นผู้สมบูรณด์ ว้ ยเชาวน์ (ชวสมปฺ นโฺ น) ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะ อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำารวมแล้วด้วย ความสำารวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร ๖๘

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด อนาคามี มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน สิกขาบทท้ังหลาย ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วย วรรณะอย่างนีแ้ ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำาลัง อยา่ งไร ภิกษุในธรรมวนิ ัยน้ี เป็นผปู้ รารภความเพียร เพ่อื ละอกุศลธรรม เพ่ือยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีเรี่ยวแรง มคี วามบากบน่ั มน่ั คง ไมท่ อดทง้ิ ธรุ ะในกศุ ลธรรมทง้ั หลายอยู่ ภิกษทุ ัง้ หลาย ก็ภกิ ษุเปน็ ผสู้ มบูรณด์ ้วยกาำ ลงั อยา่ งน้แี ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเชาวน์ อยา่ งไร ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ โอปป�ตกิ ะ จะปรนิ พิ พาน ในภพนน้ั มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา เพราะโอรมั - ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษเุ ปน็ ผสู้ มบรู ณ์ ด้วยเชาวนอ์ ยา่ งน้แี ล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ ปู้ ระกอบดว้ ยธรรม ๓ ประการ น้แี ล ย่อมเปน็ ผ้คู วรของคำานับ … เปน็ นาบุญของโลก ไม่มี นาบญุ อื่นย่งิ กวา่ . (ใน -บาลี ตกิ . อ.ำ ๒๐/๓๑๔/๕๓๖. ทรงแสดงความเปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวน์ อนั เปน็ ลกั ษณะของโสดาบนั , ใน-บาลี ตกิ . อ.ำ ๒๐/๓๑๖/๕๓๘. ทรงแสดงความเปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวน์ อนั เปน็ ลกั ษณะของอรหนั ต์ ซง่ึ สามารถดเู พม่ิ เตมิ เพอ่ื เทยี บเคยี งไดท้ ห่ี มายเหตุ หนา้ ๗๓ หรอื อา่ นไดจ้ ากเนอ้ื ความเตม็ ของพระสตู ร. -ผรู้ วบรวม) ๖๙

พทุ ธวจน-หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ อนาคามี ผ้สู น้ิ สงั โยชน์ในภพมนุษย์ (นัยท่ี 7) ๒๖ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๗๒/๕๘ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราจกั แสดงมา้ ดี ๓ จาำ พวก และบรุ ษุ ดี ๓ จำาพวก เธอท้ังหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภกิ ษุทั้งหลาย ก็ม้าดี ๓ จาำ พวกเปน็ อยา่ งไร คือ (๑) ม้าดีบางตัวในโลกนี้ เป็นสัตว์สมบูรณ์ด้วย กำาลังเครื่องวิ่งเร็ว แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยสี ไม่สมบูรณ์ด้วย ความสูงและความใหญ่ (๒) ม้าดีบางตัวในโลกน้ี เป็นสัตว์สมบูรณ์ด้วย กำาลังเครื่องวิ่งเร็ว และสมบูรณ์ด้วยสี แต่ไม่สมบูรณ์ด้วย ความสงู และความใหญ่ (๓) ม้าดีบางตัวในโลกนี้ เป็นสัตว์สมบูรณ์ด้วย กำาลังเครอื่ งว่ิงเร็ว สมบูรณ์ดว้ ยสี และสมบูรณด์ ้วยความสูง และความใหญ่ ภิกษทุ ้ังหลาย เหลา่ นแี้ ลมา้ ดี ๓ จาำ พวก. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษดี ๓ จาำ พวกเป็นอยา่ งไร คอื (๑) บรุ ษุ บางคนในโลกน้ี เปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวน์ แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ไม่สมบูรณ์ด้วยความสูง และ ความใหญ่ (ชวสมฺปนฺโน โหติ น วณฺณสมฺปนฺโน น อาโรหปริณาห- สมฺปนฺโน) ๗๐

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี (๒) บรุ ษุ ดบี างคนในโลกน้ี เปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวน์ สมบรู ณด์ ว้ ยวรรณะ แตไ่ มส่ มบรู ณด์ ว้ ยความสงู และความใหญ่ (ชวสมปฺ นโฺ น จ โหติ วณฺณสมปฺ นโฺ น จ น อาโรหปรณิ าหสมฺปนโฺ น) (๓) บรุ ษุ ดบี างคนในโลกน้ี เปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวน์ สมบรู ณด์ ว้ ยวรรณะ และสมบรู ณด์ ว้ ยความสงู และความใหญ่ (ชวสมปฺ นโฺ น จ โหติ วณณฺ สมปฺ นโฺ น จ อาโรหปรณิ าหสมปฺ นโฺ น) ภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษดีเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเช�วน์ แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ไม่สมบูรณ์ด้วยคว�มสูงและ คว�มใหญเ่ ปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ ผ้โู อปปาติกะ จะปรนิ ิพพานในภพนั้น มีอนั ไมก่ ลบั จาก โลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป เรากลา่ ววา่ นเี้ ปน็ เชาวนข์ องเขา แตเ่ มอ่ื เขาถกู ถามปญั หาใน อภธิ รรม อภวิ นิ ยั กจ็ นปญั ญาตอบไมไ่ ด้ เรากลา่ ววา่ นไ้ี มใ่ ช่ วรรณะของเขา และเขาไมไ่ ดจ้ วี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่ความสูงและ ความใหญ่ของเขา ภิกษุทั้งหลาย บุรุษดี เป็นผู้สมบูรณ์ ดว้ ยเชาวน์ แตไ่ มส่ มบรู ณด์ ว้ ยวรรณะ ไมส่ มบรู ณด์ ว้ ยความสงู และความใหญ่เปน็ อย่างนแ้ี ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็บุรุษดีเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเช�วน์ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยคว�มสูงและ ๗๑

พทุ ธวจน-หมวดธรรม คว�มใหญเ่ ปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจาก โลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป เรากลา่ ววา่ นเ้ี ปน็ เชาวนข์ องเขา และเมอื่ เขาถกู ถามปญั หา ในอภธิ รรม อภวิ นิ ยั กแ็ กไ้ ดไ้ มจ่ นปญั ญา เรากลา่ ววา่ นเี้ ปน็ วรรณะของเขา แตเ่ ขาไมไ่ ดจ้ ีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เรากล่าวว่า นี้ไม่ใช่ความสูงและ ความใหญข่ องเขา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บรุ ษุ ดี เปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ย เชาวน์ และสมบูรณ์ดว้ ยวรรณะ แตไ่ มส่ มบูรณ์ด้วยความสงู และความใหญอ่ ยา่ งนีแ้ ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็บุรุษดีเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเช�วน์ สมบรู ณด์ ว้ ยวรรณะ และสมบรู ณด์ ว้ ยคว�มสงู และคว�ม ใหญเ่ ปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เปน็ โอปปาตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในภพนน้ั มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป เรากลา่ ววา่ นเี้ ปน็ เชาวนข์ องเขา เมอื่ ถกู ถามปญั หาในอภธิ รรม อภวิ นิ ยั ก็วิสัชนาได้ ไม่จนปัญญา เรากล่าวว่า นี้เป็นวรรณะของเขา และเขามักได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสชั บรขิ าร เรากลา่ ววา่ นเี้ ปน็ ความสงู และความใหญข่ องเขา ๗๒

เปิดธรรมทถี่ กู ปิด อนาคามี ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรุ ษุ ดี เปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวน์ สมบรู ณด์ ว้ ย วรรณะ และสมบรู ณด์ ้วยความสูงและความใหญ่อย่างน้ีแล. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย เหล่านี้แลบุรษุ ดี ๓ จาำ พวก. (ใน-บาลี ติก. อำ. ๒๐/๓๗๐/๕๘๐. ทรงแสดงลักษณะความ เปน็ ผสู้ มบรู ณด์ ว้ ยเชาวนว์ า่ เปน็ ผรู้ ชู้ ดั ตามเปน็ จรงิ วา่ นท้ี กุ ข์ นเ้ี หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ น้ีความดบั ทุกข์ และน้ขี ้อปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทุกข์ โดยเปรียบกบั มา้ กระจอกและบรุ ษุ กระจอก ๓ จาำ พวก, ใน -บาลี ตกิ . อ.ำ ๒๐/๓๗๔/๕๘๒. ทรงแสดงลักษณะความเป็นผ้สู มบูรณ์ด้วยเชาวน์ว่า เป็นผ้กู ระทำาให้แจ้ง ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะไมไ่ ด้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสน้ิ ไปดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองในปจั จบุ นั โดยเปรยี บกบั มา้ อาชาไนยตวั จรญิ และ บุรุษอาชาไนยผู้เจริญ ๓ จำาพวก นอกจากนี้ ใน -บาลี นวก. อำ. ๒๓/๔๐9/๒๒๖. ก็ได้ตรัสไว้โดยนยั เดยี วกนั น.้ี ใน -บาลี ติก. อำ. ๒๐/๓๑๕/๕๓๗. ทรงแสดงความสมบูรณ์ ด้วยวรรณะ ว่าเปรียบกับ ความเป็นผู้มีศีล สำารวมด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษท้ังหลายแม้มี ประมาณน้อย สมาทานศกึ ษาอยู่ในสิกขาบททง้ั หลาย. -ผ้รู วบรวม) ๗๓

พุทธวจน-หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด อนาคามี ขอ้ แตกต่�งระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับ ๒7กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ ม�ธิ (นยั ท่ี 1) -บาลี ตกุ กฺ . อ.ํ ๒ / ๖๘/ ๒๓. ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำ�พวกนี้ มีอยู่ในโลก ห�ได้ในโลก ๔ จำาพวกเปน็ อย่างไร คอื (๑) บคุ คลบางคนในโลกน้ี เพราะสงดั จากกามและ อกุศลธรรมท้ังหลาย บรรลุปฐมฌ�น อันมีวิตก มีวิจาร มี ปตี แิ ละสขุ เกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนนั้ ปรารถนาธรรมนน้ั และถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาดาำ รง อยู่ในธรรมนัน้ นอ้ มใจไปในธรรมนน้ั อย่มู ากดว้ ยธรรมนนั้ ไม่เสื่อมจากธรรมน้ัน เม่ือทำากาละ ย่อมเข้�ถึงคว�มเป็น สห�ยของเทวด�เหล่�พรหมก�ยิก� ภิกษุทั้งหลาย กัปหน่ึงเป็นประมาณอายุของเทวดาเหล่าพรหมกายิกา ปุถุชนดำารงอยู่ในชั้นพรหมกายิกาน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยงั ประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ น้ิ ไปแลว้ ยอ่ มเข�้ ถงึ นรกบ�้ ง กาำ เนดิ เดรจั ฉานบา้ ง เปรตวสิ ยั บา้ ง สว่ นส�วกของ พระผมู้ พี ระภ�ค (ภควโต สาวโก) ดาำ รงอยใู่ นชน้ั พรหมกายกิ า นนั้ ตราบเทา่ ส้ินอายุ ยังประมาณอายขุ องเทวดาเหลา่ นน้ั ให้ สน้ิ ไปแลว้ ยอ่ มปรินพิ พ�นในภพน้นั เอง. ๗๔

เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด อนาคามี ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมอื่ คตอิ บุ ตั ยิ งั มอี ยู่ (อทิ นานากรณสตุ วโต อรยิ สาวกสสฺ อสสฺ ตุ วตา ปุถชุ ชฺ เนน ยททิ คตยิ า อปุ ปตตฺ ยิ า สต)ิ . (๒) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุทุติยฌ�น อันเป็น เครอื่ งผอ่ งใสแหง่ จติ ในภายใน สมาธเิ ปน็ ธรรมอนั เอกผดุ ขนึ้ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่ เขาย่อมชอบใจธรรมน้ัน ปรารถนาธรรมน้ัน และถึงความ ยินดีด้วยธรรมนั้น เขาดำารงอยู่ในธรรมน้ัน น้อมใจไป ในธรรมนั้น อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เส่ือมจากธรรมนั้น เมื่อทำากาละ ย่อมเข้�ถึงคว�มเป็นสห�ยของเทวด�เหล่� อ�ภัสสระ ภิกษุท้ังหลาย ๒ กัปเป็นประมาณอายุของ เทวดาเหล่าอาภัสสระ ปุถุชนดำารงอยู่ในชั้นอาภัสสระ ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่าน้ัน ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ชั้นอาภัสสระน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนนั้ เอง. ๗๕

พทุ ธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมอ่ื คตอิ ุบัตยิ งั มอี ยู่. (๓) อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความจางไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยกาย จึงบรรลุตติยฌ�น อันเป็นฌาน ท่พี ระอรยิ เจ้ากลา่ วว่า ผไู้ ด้ฌานนเ้ี ปน็ ผู้อยูอ่ ุเบกขา มสี ตอิ ยู่ เป็นสุข เขาย่อมชอบใจธรรมนั้น ปรารถนาธรรมนั้น และ ถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาดาำ รงอยใู่ นธรรมนน้ั นอ้ มใจไป ในธรรมน้ัน อยู่มากด้วยธรรมน้ัน ไม่เสื่อมจากธรรมนั้น เมื่อทำากาละ ย่อมเข้�ถึงคว�มเป็นสห�ยของเทวด�เหล่� สุภกิณหะ ภิกษุทั้งหลาย ๔ กัปเป็นประมาณอายุของ เทวดาเหล่าสุภกิณหะ ปุถุชนดำารงอยู่ในชั้นสุภกิณหะน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ให้ส้ินไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ชั้นสุภกิณหะน้ัน ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นน้ั ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนนั้ เอง. ๗๖

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด อนาคามี ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแี่ ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเม่ือคติอบุ ัตยิ งั มอี ยู.่ (๔) อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่ง โสมนสั และโทมนสั ทง้ั หลายในกาลกอ่ น จงึ บรรลจุ ตตุ ถฌ�น อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความท่มี ีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธ์ิ เพราะอเุ บกขาแลว้ แลอยู่ เขายอ่ มชอบใจธรรมนนั้ ปรารถนา ธรรมนน้ั และถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยธรรมนน้ั เขาดาำ รงอยใู่ นธรรม นน้ั นอ้ มใจไปในธรรมนน้ั อยมู่ ากดว้ ยธรรมนน้ั ไมเ่ สอ่ื มจาก ธรรมนนั้ เมอ่ื ทาำ กาละ ยอ่ มเข�้ ถงึ คว�มเปน็ สห�ยของเทวด� เหล�่ เวหปั ผละ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ๕๐๐ กปั เปน็ ประมาณอายุ ของเทวดาเหลา่ เวหปั ผละ ปถุ ชุ นดาำ รงอยใู่ นชนั้ เวหปั ผละนนั้ ตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของเทวดาเหล่านั้น ให้สิ้นไปแล้ว ย่อมเข้�ถึงนรกบ้�ง กำาเนิดเดรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง ส่วนส�วกของพระผู้มีพระภ�คดำารงอยู่ใน ช้ันเวหัปผละน้ันตราบเท่าตลอดอายุ ยังประมาณอายุของ เทวดาเหลา่ นนั้ ใหส้ นิ้ ไปแลว้ ยอ่ มปรนิ พิ พ�นในภพนนั้ เอง. ๗๗

พุทธวจน-หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย น้ีเป็นคว�มผิดแผกแตกต่�งกัน เปน็ ความมงุ่ หมายทแ่ี ตกตา่ งกนั เปน็ เครอ่ื งกระทาำ ใหแ้ ตกตา่ ง กัน ระหว่�งอริยส�วกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้มิได้สดับ ในเมื่อคตอิ บุ ตั ยิ งั มอี ยู่. ภิกษุทั้งหลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกนแ้ี ล มอี ยใู่ นโลก ห�ไดใ้ นโลก. ๗๘


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook