Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทักษะการเรียนรู้ ทร21001

ทักษะการเรียนรู้ ทร21001

Published by Nichanunt, 2020-05-02 13:32:46

Description: หนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นแบบเรียนที่จัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนที่เป็นนักศึกษานอกระบบในการศึกษาหนังสือเรียนสาระทักษะการเรียนรู้ ผู้เรียนควรปฏิบัติดังนี้
1. ศึกษาโครงสร้างรายวิชาให้เข้าใจในสาระสำคัญ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และขอบข่ายเนื้อหา
2. ศึกษารายละเอียดเนื้อหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทำกิจกรรมตามที่กำหนด แล้วตรวจสอบกับแนวตอบกิจกรรมที่กำหนด ถ้าผู้เรียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและทำความเข้าใจในเนื้อหาใหม่ให้เข้าใจก่อนที่จะศึกษาเรื่องต่อไป
3. ปฏิบัติกิจกรรมท้ายเรื่องของแต่ละเรื่อง เพื่อเป็นการสรุปความรู้ความเข้าใจของเนื้อหาในเรื่องนั้นๆ อีกครั้ง และการปฏิบัติกิจกรรมของเนื้อหาแต่ละเรื่อง ผู้เรียนสามารถนำไปตรวจสอบกับครู และเพื่อนๆ ที่ร่วมเรียนในรายวิชาและระดับเดียวกันได้

Search

Read the Text Version

เครื องมือในการแลกเปลียนเรี ยนรู้นีเป็ นเพียงส่วนหนึงของเครื องมืออีกหลาย ชนิดทีนาํ ไปใชใ้ นการจดั การความรู้ เครืองมือทีมีผนู้ าํ มาใชม้ ากในการแลกเปลียนเรียนรู้ในระดบั ตนเองและระดบั กลุ่ม คือ การแลกเปลียนเรียนรู้โดยเทคนิคการเล่าเรือง การเล่าเรืองเป็นการ แลกเปลียนเรียนรู้จากวิธีการทาํ งานของคนอืนทีประสบผลสาํ เร็จ หรือทีเรียกว่า Best practice เป็นการเรียนรู้ทางลดั นันคือเอาเทคนิควิธีการทาํ งานทีคนอืนทาํ แลว้ ประสบผลสําเร็จมาเป็ น บทเรียน และนาํ วธิ ีการนนั มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั ตนเอง เกิดวิธีการปฏิบตั ิใหมท่ ีดีขนึ กวา่ เดิม เป็นวงจร เรือยไปไมส่ ินสุด การแลกเปลียนเรียนรู้จากการเล่าเรืองมีลกั ษณะ ดงั นี การเล่าเรือง การเลา่ เรือง หรือ Storytelling เป็นเครืองมืออยา่ งง่ายในการจดั การความรู้ ซึงมีวิธีการ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สามารถใช้ไดก้ บั ทุกกลุ่มเป้ าหมายเป็ นการเล่าประสบการณ์ในการทาํ งาน ของแตล่ ะคนวา่ มีวธิ ีการทาํ อยา่ งไรจึงจะประสบผลสาํ เร็จ กจิ กรรมเล่าเรือง ต้องทําอะไรบ้าง กิจกรรมจดั การความรู้ โดยใชเ้ ทคนิคการเล่าเรือง ประกอบดว้ ยกิจกรรมตา่ ง ๆ ดงั นี 1. ใหค้ ุณกิจ (สมาชิกทุกคน) เขียนเรืองเล่าประสบการณ์ความสําเร็จในการทาํ งาน ของตนเอง เพือให้ความรู้ฝังลึกในตวั (Tacit Knowledge) ปรากฏออกมาเป็นความรู้ชดั แจง้ (Expicit Knowledge) 2. เล่าเรืองความสาํ เร็จของตนเอง ใหส้ มาชิกในกลุม่ ยอ่ ยฟัง 3. คุณกิจ (สมาชิก) ในกลุ่มช่วยกนั สกดั ขมุ ความรู้จากเรืองเล่า เขียนบนกระดาษ ฟลิปชาร์ต 4. ช่วยกนั สรุปขุมความรู้ทีสกดั ไดจ้ ากเรือง ซึงมีจาํ นวนหลายขอ้ ให้กลายเป็ นแก่น ความรู้ ซึงเป็นหวั ใจทีทาํ ใหง้ านประสบผลสาํ เร็จ 5. ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ คดั เลือกเรืองเลา่ ทีดีทีสุด เพอื นาํ เสนอในทีประชุมใหญ่ 6. รวมเรืองเล่าของทุกคน จดั ทาํ เป็นเอกสารคลงั ความรู้ขององคก์ ร หรือเผยแพร่ ผา่ นทางเวบ็ ไซต์ เพือแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ และนาํ มาใชป้ ระโยชน์ในการทาํ งาน

ตวั อย่างเรืองเล่า “ประสบการณ์ความสําเร็จ “...แซน อกี แล้ว ! ทาํ ไม เธอถึงเกเรอย่างนี นีเป็ นครังทเี ท่าไหร่ล่ะ ทชี อบรังแกเดก็ ครูเออื มระอา เธอเหลอื เกนิ ” เสียงครูเวรประจาํ วนั เป็ นสุภาพสตรีวยั กลางคน กล่าวตาํ หนิ ด.ช.แซน ผกู้ าํ พร้าพ่อแม่ ต่อหนา้ เพือน ๆ ทีหนา้ เสาธง จากนนั ก็หนั มาใส่อารมณ์กบั ขา้ พเจา้ ทียนื ดูอยขู่ า้ ง ๆ “ครูสมชาย ช่วยจดั การใหพ้ ีทีเถอะ พีไม่รู้จะทาํ อยา่ งไรกบั เด็กเกเรคนนีแลว้ ” ขา้ พเจา้ ตอบรับไปสัน ๆ ดว้ ยคาํ ว่า “ครับ” พร้อมกบั ความรู้หลายอย่างทีอดั แน่นอยใู่ นใจ ทียากจะอธิบาย ขา้ พเจา้ ไปหาแซน ซึงอาศยั อย่กู บั ยายในเยน็ วนั หนึง พร้อมของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ พดู คุย สาระทุกขส์ ุขดิบแบบคนคุน้ เคยกนั ตามประสาครูบา้ นนอก ทาํ ใหท้ ราบขอ้ มลู เชิงลึกว่า พ่อ และแม่ของ แซนเสียชีวิตดว้ ยโรคภูมิคุม้ กันบกพร่อง และตอนทียงั มีชีวิตอยู่ก็มกั ทะเลาะตบตีกนั ให้ลกู เห็นเป็ น ประจาํ ขา้ พเจา้ กลบั บา้ นพร้อมโจทยข์ อ้ ใหญ่ รุ่งขึน ขา้ พเจา้ เรียกแซนมาคุย ชวนให้มาช่วยทาํ งานในวนั เสาร์อาทิตย์ เพือหารายไดเ้ สริม เช่น ปลกู ผกั สวนครัว เพาะชาํ กลา้ ไม้ ซึงขา้ พเจา้ เป็นผรู้ ับซือเอง จากวนั นนั วนั ทีแซนเรียนอยชู่ นั ม.1 มพี ฤติกรรมคือ...เกเร...ไม่ตงั ใจเรียน.... จนถึงวนั ที 23 มีนาคม 2551 แซนจบชนั ม.3 ดว้ ยเกรดเฉลีย 3.68 สอบเขา้ เรียนต่อชนั ม.4 โรงเรียนมธั ยมประจาํ อาํ เภอ ในโปรแกรมวิทย-์ คณิตได้ มีรายไดส้ ะสมเป็ นตวั เลขเงินในบญั ชีธนาคาร จากการหารายไดพ้ ิเศษระหวา่ งเรียน เป็นจาํ นวนเงินหมืนกวา่ บาท หลงั เสร็จพิธีรับประกาศนียบตั ร ชนั ม.3 แซนมากราบทีตกั ของขา้ พเจา้ พร้อมพดู ดว้ ยนาํ เสียงที สนั เครือ และนาํ ตาของความปลมื ปิ ติว่า... “ครูครับ ! ถา้ ไม่มคี รูผมคงไมม่ วี นั นีครับ” นาํ ตาของขา้ พเจา้ ไหลซึมโดยไม่รู้ตวั ตบไหลแ่ ซนแรง ๆ กอดซาํ อีกทีหนึง เหมอื นกอดลกู ชาย ดีใจดว้ ยจริง ๆ ว่ะ สูต้ ่อไปนะ...นะ...แซน...

ชุมชนนักปฏิบตั ิหรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ (CoPs) ในชุมชนมีปัญหาซับซ้อนทีคนในชุมชนตอ้ งร่วมกันแกไ้ ข การจดั การความรู้จึงเป็ น เรืองทีทุกคนตอ้ งให้ความร่วมมือ และให้ขอ้ เสนอแนะในเชิงสร้างสรรค์ การรวมกลุ่มเพือ แกป้ ัญหา หรือร่วมมือกนั พฒั นาโดยการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั เรียกวา่ “ชุมชนนักปฏิบตั ิ” บุคคลในกลุ่มจึงตอ้ งมีเจตคตทิ ีดีในการแบง่ ปันความรู้ นาํ ความรู้ทีมีอยมู่ าพฒั นากลุม่ จากการลงมือ ปฏิบตั ิ และเคารพในความคิดเห็นของผอู้ ืน ชุมชนนักปฏิบัติคืออะไร ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ คือ คนกลุ่มเล็ก ๆ ซึงทาํ งานดว้ ยกนั มาระยะหนึงมีเป้ าหมายร่วมกนั และตอ้ งการทีจะแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ประสบการณ์จากการทาํ งานร่วมกนั กลุ่มดงั กล่าว มกั จะไม่ไดเ้ กิดจากการจดั ตงั โดยองคก์ ร หรือชุมชนเป็นกลุ่มทีเกิดจากความตอ้ งการแกป้ ัญหา พฒั นาตนเองเป็นความพยายามทีจะทาํ ใหค้ วามฝันของตนเองบรรลุผลสําเร็จ กลุ่มทีเกิดขึนไม่มี อาํ นาจใด ๆ ไม่มีการกาํ หนดไวใ้ นแผนภมู ิโครงสร้างองคก์ ร ชุมชน เป้ าหมายของการเรียนรู้ของ คนมีหลายอยา่ ง ดงั นนั ชุมชนนกั ปฏิบตั ิจึงมิไดม้ ีเพยี งกลุม่ เดียว แตเ่ กิดขนึ เป็นจาํ นวนมาก ทงั นีอยู่ ทีประเด็นเนือหาทีตอ้ งการจะเรียนรู้ร่วมกนั นันเอง และคนคนหนึงอาจจะเป็นสมาชิกในหลาย ชุมชนกไ็ ด้ ชุมชนนักปฏิบัตมิ ีความสําคญั อย่างไร ชุมชนนกั ปฏิบตั ิเกิดจากกลุ่มคนทีมีเครือข่ายความสัมพนั ธ์ทีไม่เป็นทางการมารวมตวั กนั เกิดจากความใกลช้ ิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพนั ธ์ร่วมกนั การรวมตวั กนั ในลกั ษณะทีไม่เป็น ทางการจะเอือตอ่ การเรียนรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ ๆ มากกวา่ การรวมตวั กนั อยา่ ง เป็นทางการ มีจุดเนน้ คอื ตอ้ งการเรียนรู้ร่วมกนั จากประสบการณ์การทาํ งานเป็นหลกั การทาํ งานในเชิงปฏิบตั ิ หรือจากปัญหาในชีวติ ประจาํ วนั หรือเรียนรู้เครืองมือใหม่ ๆ เพอื นาํ มา ใชใ้ นการพฒั นางาน หรือ วิธีการทาํ งานทีไดผ้ ล และไม่ไดผ้ ลการมีปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล ทาํ ใหเ้ กิดการถ่ายทอด แลกเปลียนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้และความเขา้ ใจไดม้ ากกวา่ การเรียนรู้จากหนงั สือ หรือการ ฝึกอบรมตามปกติ เครือขา่ ยทีไมเ่ ป็นทางการในเวทีชุมชนนกั ปฏิบตั ิซึงมีสมาชิกจากตา่ งหน่วยงาน ตา่ งชุมชน จะช่วยใหอ้ งคก์ รหรือชุมชนประสบความสาํ เร็จไดด้ ีกวา่ การสือสารตามโครงการทีเป็น ทางการ

ชุมชนนักปฏบิ ัติเกิดขนึ ได้อย่างไร การรวมกลุ่มปฏิบัติการ หรือการก่อตวั ขึนเป็ นชุมชนนักปฏิบตั ิได้ล้วนเป็ นเรืองที เกียวกบั คน คนตอ้ งมี 3 สิงตอ่ ไปนีเป็นเบืองตน้ คือ 1. ตอ้ งมีเวลา คือ เวลาทีจะมาแลกเปลียนเรียนรู้ มาร่วมคิด ร่วมทาํ ร่วมแกป้ ัญหา ช่วยกนั พฒั นางาน หรือสร้างสรรคส์ ิงใหม่ ๆ ใหเ้ กิดขึน หากคนทีมารวมกลุ่มไม่มีเวลาหรือไม่ จดั สรรเวลาไวเ้ พือการนี กไ็ มม่ ีทางทีจะรวมกลุ่มปฏิบตั กิ ารได้ 2. ตอ้ งมีเวทีหรือพืนที การมีเวทีหรือพืนทีคือการจดั หาหรือกาํ หนดสถานทีทีจะใชใ้ น การพบกลุม่ การชุมชน พบปะพดู คุยสนทนาแลกเปลียนความคดิ แลกเปลียนประสบการณ์ตามที กลุม่ ไดช้ ่วยกนั กาํ หนดขนึ เวทีดงั กลา่ วนีอาจมีหลายรูปแบบ เช่น การจดั ประชุม การจดั สัมมนา การจดั เวทีประชาคมเวทีขา้ งบา้ น การจดั เป็นมุมกาแฟ มุมอ่านหนงั สือ เป็นตน้ การจดั ให้มีเวทีหรือพืนทีดงั กล่าว เป็ นการทาํ ให้คนได้มีโอกาสแลกเปลียนเรียนรู้ใน บรรยากาศสบาย ๆ เปิ ดโอกาสใหค้ นทีสนใจเรืองคลา้ ย ๆ กนั หรือคนทีทาํ งานดา้ นเดียวกนั มีโอกาสจับกลุ่มปรึกษาหารือกนั ไดโ้ ดยสะดวก ตามความสมคั รใจในภาษาองั กฤษเรียกการ ชุมนุมลกั ษณะนีวา่ “Comunity of Practices” หรือเรียกยอ่ ว่า CoPs ในภาษาไทยเรียก “ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ” ชุมชนนักปฏิบตั ิเป็นคาํ ทีใชก้ นั โดยทัวไป และมีคาํ อืน ๆ ทีมีความหมายเดียวกนั นี เช่น ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ชุมชนปฏิบตั ิการ หรือเรียกคาํ ยอ่ ในภาษาองั กฤษว่า CoPs ก็เป็นที เขา้ ใจกนั 3. ตอ้ งมีไมตรี คนตอ้ งมีไมตรีต่อกันเมือมาพบปะกัน การมีไมตรีเป็นเรืองของใจ การมีนาํ ใจตอ่ กนั มีใจใหก้ นั และกนั เป็นใจทีเปิ ดกวา้ งรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ืน พร้อมรับสิง ใหม่ ๆ ไมต่ ดิ ยดึ อยกู่ บั สิงเดิม ๆ มีความเอืออาทร พร้อมทีจะช่วยเหลือเกือกลู ซึงกนั และกนั การรวมกลุ่มปฏิบัติการ จะดาํ เนินไปได้ดว้ ยดี บรรลุตามเป้ าหมายทีตงั ไวจ้ ะตอ้ งมี เวลา เวที ไมตรี เป็นองคป์ ระกอบทีช่วยสร้างบรรยากาศทีเปิ ดกวา้ ง และเอืออาํ นวยตอ่ การ แสดงความคดิ เห็นทีหลากหลายในกลุม่ จะทาํ ใหไ้ ดม้ ุมมองทีกวา้ งขวางยงิ ขนึ

รูปแบบของเวทีชุมชนนักปฏิบัติ การแลกเปลียนเรียนรู้ผา่ นเวทีชุมชนนกั ปฏิบตั ิมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การมารวม กลุ่ม กนั เพือแลกเปลียนความรู้ระหวา่ งกนั ในรูปแบบตา่ ง ๆ เช่น การประชุม การสัมมนา การจดั เวที ประชาคม เวทีขา้ งบา้ น การจดั เป็นมุมกาแฟ มุมอ่านหนงั สือ แตใ่ นปัจจุบนั มีการใชเ้ ทคโนโลยี มาใชใ้ นการสือสาร ทาํ ใหเ้ กิดการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ผา่ นทางอินเทอร์เน็ต ดงั นนั รูปแบบ ของการแลกเปลียนเรียนรู้ทีเรียกวา่ “เวทีชุมชนนกั ปฏิบตั ิ” จึงมี 2 รูปแบบ ดงั นี 1. เวทจี ริง เป็นการรวมตวั กนั เป็นกลุ่มหรือชุมชน และมาแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ดว้ ย การเห็นหน้ากนั พูดคุยแลกเปลียนความคิดเห็นทงั แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แต่การ แลกเปลียนในลกั ษณะนีจะมีขอ้ จาํ กดั ในเรืองค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาพบกนั แต่สามารถ แลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ไดใ้ นเชิงลึก 2. เวทีเสมือน เป็นการรวมตวั กนั เชือมเป็นเครือขา่ ย เพือแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกัน ผา่ นทางอินเทอร์เน็ต ซึงในปัจจุบันมีการใชอ้ ินเทอร์เน็ตในการสือสารหรือคน้ ควา้ หาขอ้ มูล กนั อยา่ งแพร่หลายทงั ในประเทศและตา่ งประเทศ การแลกเปลียนเรียนรู้ในลกั ษณะนีเป็นการ แลกเปลียนเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ มีปฏิสัมพนั ธ์กนั ผ่านทางออนไลน์ จะเห็นหนา้ กนั หรือ ไม่เห็นหน้ากนั ก็ได้ และจะมีความรู้สึกเหมือนอยใู่ กลก้ นั จึงเรียกวา่ “เวทีเสมือน” นนั คือ เสมือนอยใู่ กลก้ นั นันเอง การแลกเปลียนเรียนรู้จะใชว้ ิธีการบนั ทึกผา่ นเวบ็ บล็อก ซึงเหมือน สมุดบนั ทึกเล่มหนึงทีอยใู่ นอินเทอร์เน็ต สามารถบันทึกเพือแลกเปลียนเรียนรู้และส่งขอ้ มูล หากนั ไดท้ ุกทีทุกเวลา และประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยเนืองจากไมต่ อ้ งเดินทางมาพบกนั

ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ คือการทีคนในชุมชนเขา้ ร่วมในกระบวนการเรียนรู้ พร้อมทีจะ เป็นผใู้ หค้ วามรู้และรับความรู้ จากการแบ่งปันความรู้ทงั ในตนเองและความรู้ในเอกสารใหแ้ ก่กนั และกนั ชุมชนแห่งการเรียนรู้จึงมีทงั ระบบบุคคลและระดบั กลุ่ม เชือมโยงกนั เป็นเครือข่ายเพือ เรียนรู้ร่วมกนั การส่งเสริมให้ชุมชนเป็ นชุมชนแห่งการเรียนรู้จึงตอ้ งเริมทีตวั บุคคล เริมตน้ จากการ ทาํ ความเขา้ ใจ สร้างความตระหนักให้กบั คนในชุมชนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ เห็นความ สําคญั ของการมีนิสัยใฝ่ เรียนรู้ ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมทีรัฐบาลหรือองคก์ ร ชุมชนจดั ให้ จากการพบปะพดู คุย แลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั อยา่ งสมาํ เสมอ จนเกิดเป็นความ เคยชินและเหน็ ประโยชน์จากความรู้ทีไดร้ ับเพิมขนึ การสร้างนิสัยใฝ่ เรียนรู้ของบุคคล คือการให้ประชาชนในชุมชนไดร้ ับบริการต่าง ๆ ทีสนใจอยา่ งต่อเนืองสมาํ เสมอ กระตุน้ ให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นเป็นอนั ดบั แรก เกิดความ ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการศึกษาหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อยา่ งตอ่ เนือง เป็นผูน้ าํ ในการ พฒั นาดา้ นตา่ ง ๆ ทงั การเรียนรู้จากหนงั สือ เรียนรู้เพอื พฒั นาอาชีพและการพฒั นาคุณภาพชีวิต ดงั นนั บุคคลถือเป็นส่วนหนึงของชุมชนหรือสงั คม การส่งเสริมใหบ้ ุคคลเป็น ผใู้ ฝ่ เรียนรู้ ยอ่ มส่งผลใหช้ ุมชนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ดว้ ย การส่งเสริมใหช้ ุมชนมีส่วนร่วม ในการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั อยา่ งสมาํ เสมอ ทงั เป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ จะทาํ ใหเ้ กิด

การหมุนเกลียวของความรู้ หากบุคคลในชุมชนเกิดความคุน้ เคยและเห็นความสาํ คญั ของการ เรียนรู้อยเู่ สมอ จะเป็นกา้ วตอ่ ไปของการพฒั นาชุมชนและสงั คมใหเ้ ป็นสงั คมแห่งการเรียนรู้ ตัวชีวดั ระดับกลุ่ม 1. มีเวทีชุมชนแลกเปลียนเรียนรู้ในหลายประเดน็ 2. มีกลุม่ องคก์ ร เครือขา่ ยทีมีการเรียนรู้ร่วมกนั อยา่ งตอ่ เนือง 3. มีชุดความรู้ องคค์ วามรู้ ภมู ิปัญญา ทีปรากฏเด่นชดั และเป็นประสบการณ์เรียนรู้ของ ชุมชน ถกู บนั ทึกและจดั เกบ็ ไวใ้ นรูปแบบตา่ ง ๆ

การพฒั นาขอบข่ายความรู้ของกล่มุ ขอบข่ายความรู้จะกวา้ งขวางเพียงใดขึนอยกู่ บั เป้ าหมายและประโยชน์ของความรู้ทีกลุ่ม ตอ้ งการในกลุ่มพฒั นาอาชีพต่าง ๆ ในชุมชนนนั เป้ าหมายของการจดั ตงั กลุ่มก็เพือสร้างงาน สร้างอาชีพให้กบั คนในชุมชน เพิมรายได้ ลดรายจ่าย ลดปัญหาการว่างงาน และสร้างความ สามคั คีในชุมชน แตก่ ลุ่มอาชีพทีดาํ เนินการอยไู่ ดใ้ นปัจจุบนั มีปัจจยั หลายอยา่ งทีส่งผลให้กลุ่ม เขม้ แขง็ ยงั ยนื และกลุ่มล่มสลายไมส่ ามารถดาํ เนินการตอ่ ไปได้ กลุ่มทีดาํ เนินการอยไู่ ดถ้ ือว่ากลุ่ม มีการจดั ความรู้ในกลุม่ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ความรู้ทีเกียวขอ้ งในการพฒั นากลุ่มนนั มีขอบขา่ ยความรู้ที จาํ เป็นและสาํ คญั ตอ่ การพฒั นากลุ่ม ซึงนาํ เสนอไวพ้ อสงั เขป ดงั นี 1. ความรู้เรืองการบริหารจัดการกลุ่ม เป็นความรู้ทีจาํ เป็นสาํ หรับกลุ่ม หากกลุ่มมีการ บริหารจดั การไม่โปร่งใส จดั ทาํ ระบบบญั ชีไม่เป็นปัจจุบนั ไม่มีระบบการตรวจสอบทีดีจะทาํ ให้ กลุม่ ขาดความไวว้ างใจกนั เกิดความขดั แยง้ กนั เองภายในกลุ่ม ส่งผลใหส้ มาชิกกลุ่มไม่ให้ความ ร่วมมือในการทาํ กิจกรรมตา่ ง ๆ และกลุม่ ไมส่ ามารถพฒั นาตอ่ ไปได้ 2. ความรู้เรืองการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลุ่มจัดตงั ขึนเพือตอ้ งการพฒั นาอาชีพให้คน ในชุมชน เป็นการเพมิ รายไดแ้ ละลดรายจ่าย หากกลุ่มไม่มีความรู้เรืองการพฒั นาผลิตภณั ฑ์กจ็ ะทาํ ใหส้ ินคา้ ไม่ไดร้ ับความนิยม ไม่เป็นทีตอ้ งการของตลาด และจาํ หน่ายไม่ไดใ้ นทีสุด ดงั นนั กลุ่ม จึงตอ้ งมีการพฒั นาผลิตภณั ฑอ์ ยา่ งตอ่ เนือง ใหม้ ีความทนั สมยั และตรงกบั ความตอ้ งการของลูกคา้ หรือผใู้ ชบ้ ริการ 3. ความรู้เรืองการตลาด กลุ่มจะตอ้ งมีความรู้เรืองการจาํ หน่าย นนั คือ การตงั ราคา ทาํ เลทีตงั กลุ่มเป้ าหมายทีใชบ้ ริการ การทาํ ความเขา้ ใจเรืองการตลาด จะทาํ ให้กลุ่มมีช่องทางใน การจาํ หน่ายและขยายตลาดไดม้ ากขนึ ส่งผลใหก้ ลุ่มมีกาํ ไรจากการขาย สมาชิกกลุ่มดาํ รงอยไู่ ดจ้ าก ผลกาํ ไรทีกลุ่มไดร้ ับนนั เอง 4. การรักษามาตรฐานของสินค้า สินคา้ โดยเฉพาะสินคา้ ทีเป็นเครืองบริโภค ทีผลิตขึน ในชุมชน จะมีมาตรฐานของชุมชนมาป็นเครืองกาํ กบั บอกถึงคุณภาพของสินคา้ ดงั นนั กลุ่มจะตอ้ ง มีความรู้ความเขา้ ใจในการผลิตสินคา้ ใหม้ ีมาตรฐาน สินคา้ จึงจะไดร้ ับการยอมรับและขยายตลาดได้

ในการพฒั นากลุ่มอาชีพนัน กลุ่มจาํ เป็ นตอ้ งรู้ว่าขอบข่ายความรู้ทีจาํ เป็ นตอ่ การ พฒั นากลุ่มอาชีพนนั คอื อะไร อยทู่ ีไหน และจะคน้ หาความรู้เหลา่ นนั ไดอ้ ยา่ งไร กลุ่มอาจประชุม ร่วมกนั เพอื ศึกษาปัญหาทีเกิดขนึ จริงในกลุม่ มาเป็นองคค์ วามรู้ของกลุ่ม ตรวจสอบความรู้ทีจาํ เป็น ตอ่ การแกป้ ัญหาหรือพฒั นากลุม่ ส่งเสริมใหม้ ีการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั ทงั ภายในกลุ่มและ นอกกลุ่ม ความรู้ทุกความรู้ทีจาํ เป็นในการแกป้ ัญหาหรือพฒั นากลุ่ม ถือเป็นขอบขา่ ยความรู้ของ กลุม่ ทีกลุม่ ตอ้ งเร่งดาํ เนินการแสวงหา เพือนาํ ความรู้นนั มาสู่การปฏิบตั ิ เป็นการยกระดบั ความรู้ และต่อยอดองคค์ วามรู้เดิมทีกลุ่มมีอยู่ ส่งผลให้กลุ่มไดร้ ับการพฒั นาและหากกลุ่มดาํ เนินการ จดั การความรู้ในขอบข่ายความรู้ของกลุ่มไปอยา่ งเป็นวงจรไม่มีทีสินสุดแลว้ กลุ่มจะเกิดความ เขม้ แขง็ และดาํ รงอยใู่ นชุมขนอยา่ งยงั ยนื ได้

การจดั ทาํ สารสนเทศเผยแพร่ความรู้ สารสนเทศ คือขอ้ มูลตา่ ง ๆ ทีผ่านการกลนั กรองและประมวลผลแลว้ บวกกบั ประสบการณ์ความ เชียวชาญทีสะสมมาแรมปี มีการจดั เกบ็ หรือบนั ทึกไวพ้ ร้อมในการนาํ มาใชง้ าน การจัดทําสารสนเทศ ในการจดั การความรู้ จะมีการรวบรวมและสร้างองคค์ วามรู้ทีเกิดจากการปฏิบัติขึน มากมาย การจดั ทาํ สารสนเทศจึงเป็นการสร้างช่องทางใหค้ นทีตอ้ งการใชค้ วามรู้สามารถเขา้ ถึง องคค์ วามรู้ได้ และก่อใหเ้ กิดการแบ่งปันความรู้ร่วมกนั อยา่ งเป็นระบบ ในการจดั เก็บเพือให้คน้ หา ความรู้ไดง้ ่ายนัน องคก์ รตอ้ งกาํ หนดสิงสําคญั ทีจะเก็บไวเ้ ป็นองคค์ วามรู้และตอ้ งพิจารณาถึง วิธีการในการเก็บรักษา และนาํ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามตอ้ งการองคก์ รตอ้ งเก็บรักษาสิงที องคก์ รเรียกวา่ เป็นความรู้ไวใ้ หด้ ีทีสุด การจดั สารสนเทศ ควรจดั ทาํ อยา่ งเป็นระบบ และควรเป็นระบบทีสามารถคน้ หาและส่ง มอบไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและรวดเร็ว ทนั เวลาและเหมาะสมกบั ความตอ้ งการ และจดั ใหม้ ีการจาํ แนก รายการตา่ ง ๆ ทีอยบู่ นพืนฐานตามความจาํ เป็นในการเรียนรู้ องคก์ รตอ้ งพจิ ารณาถึงความแตกต่าง ของกลุ่มคนในการคน้ คืนความรู้ องคก์ รตอ้ งหาวิธีการให้พนักงานทราบถึงช่องทางการคน้ หา ความรู้ เช่น การทาํ สมุดจดั เกบ็ รายชือและทกั ษะของผเู้ ชียวชาญเครือข่ายการทาํ งานตามลาํ ดบั ชนั การประชุม การฝึกอบรม เป็นตน้ สิงเหล่านีจะนาํ ไปสู่การถา่ ยทอดความรู้ในองคก์ ร วตั ถปุ ระสงค์การจัดทาํ สารสนเทศ 1. เพือให้มีระบบการจดั เกบ็ ขอ้ มูลและองคค์ วามรู้อยา่ งเป็นหมวดหมู่ และเหมาะสม ตอ่ การใชง้ าน สามารถคน้ หาไดต้ ลอดเวลา สะดวก ง่าย และรวดเร็ว 2. เพือใหเ้ กิดระบบการสือสาร การแลกเปลียน แบ่งปัน และถ่ายทอดองคค์ วามรู้ ระหวา่ งกนั ผา่ นสือตา่ ง ๆ อยา่ งมีประสิทธิภาพ 3. เพือให้เกิดการเข้าถึงและเชือมโยงองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงานทังภายในและ ภายนอกอยา่ งเป็นระบบ สะดวกและรวดเร็ว 4. เพือรวบรวมและจัดเก็บความรู้จากผูม้ ีประสบการณ์ รวมถึงผเู้ ชียวชาญในรูปแบบ ตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นรูปธรรม เพอื ใหท้ ุกคนสามารถเขา้ ถึงความรู้และพฒั นาตนเองใหเ้ ป็นผรู้ ู้ได้

5. เพอื นาํ เทคโยโลยสี ารสนเทศ มาใช้เป็นเครืองมือในการถ่ายทอดระหวา่ งความรู้ ฝังลึกกบั ความรู้ชัดแจง้ ทีสามารถเปลียนสถานะระหว่างกนั ตลอดเวลา ทาํ ให้เกิดความรู้ ใหม่ ๆ การถ่ายทอดความรู้ เป็นการนาํ ความรู้ทีไดร้ ับมาถ่ายทอดให้บุคลากรในองคก์ รไดร้ ับทราบ และใหม้ ีความรู้ เพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน การเผยแพร่ความรู้จึงเป็นองค์ประกอบหนึงของการจดั การความรู้ การเผยแพร่ความรู้มีการปฏิบตั ิกนั มานานแลว้ สามารถทาํ ได้หลายทางคือ การเขียนบนั ทึก รายงาน การฝึ กอบรม การประชุม การสัมมนา จดั ทาํ เป็นบทเรียนทงั ในรูปแบบของหนังสือ บทความ วิดิทัศน์ การอภิปรายของเพือนร่วมงานในระหว่างการปฏิบัติงานการอบรม พนักงานใหม่อยา่ งเป็นทางการหอ้ งสมุด การฝึ กสอนอาชีพและการเป็นพีเลียง การแลกเปลียน เรียนรู้ในรูปแบบอืน ๆ เช่น ชุมชนนักปฏิบัติ เรืองเล่าแห่งความสําเร็จ การสัมภาษณ์ การสอบถาม เป็นตน้ การถ่ายทอดหรือเผยแพร่ความรู้ มีการพฒั นารูปแบบโดยอาศยั เทคโนโลยี เพือการสือสาร และเทคโนโลยมี ีการกระจายไปอยา่ งกวา้ งขวาง ทาํ ให้กระบวนการถ่ายทอด ความรู้ผา่ นเทคโนโลยโี ดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตไดค้ วามนิยมอยา่ งแพร่หลายมากขนึ การเผยแพร่ความรู้และการใช้ประโยชน์ มีความจาํ เป็นสาํ หรับองคก์ ร เนืองจากองคก์ รจะ เรียนรู้ไดด้ ีขนึ เมือมีความรู้ มีการกระจายและถา่ ยทอดไปอยา่ งรวดเร็ว และเหมาะสมทวั ทงั องคก์ ร การเคลือนทีของสารสนเทศและความรู้ระหว่างบุคคลหนึงไปอีกบุคคลหนึงนนั จึงเป็นไปโดย ตงั ใจและไมต่ งั ใจ

กิ จ ก ร ร ม ท้ า ย บ ท กจิ กรรมที 1 ท่านสามารถเป็น “คุณอาํ นวย” ไดห้ รือไม่ เพราะเหตุใด ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 2 ท่านเคยเขา้ ร่วมแลกเปลียนเรียนรู้ในลกั ษณะ “ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ CoPs” เรืองอะไร และชุมชนนกั ปฏิบตั ทิ ีท่านเขา้ ร่วมมีลกั ษณะอยา่ งไร ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 3 ความรู้ทีจาํ เป็นในการแกป้ ัญหาหรือพฒั นาตวั ทา่ นคอื อะไร และขอบขา่ ยความรู้นนั มีอะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 4 การจดั ทาํ สารสนเทศเพอื เผยแพร่ความรู้ ทา่ นวา่ วิธีใดดีทีสุด เพราะเหตุใด ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

เรืองที 2 : การฝึ กหดั ทักษะและกระบวนการจดั การความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ด้วยตนเอง การจัดการความรู้ดว้ ยตนเอง จะทาํ ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้หลกั การอนั แทจ้ ริงในการพฒั นา ตนเอง และจูงใจตนเองใหก้ า้ วไปสู่การพฒั นาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทาํ งาน เป็นผมู้ ี สัมฤทธิผลสูงสุด โดยการนาํ องค์ความรู้ทีเป็นประโยชน์ไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิตจริง และการ ทาํ งานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตวั ทนั ต่อโลกยคุ โลกาภิวตั น์ มีโอกาสแลก เปลียนเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การทาํ งานร่วมกัน มีทศั นคติทีดีต่อชีวิต ตนเองและผูอ้ ืน มีความกระตือรือร้นและเสริมสร้างทศั นคติทีดีตอ่ การทาํ งาน นาํ ไปสู่การเห็น คุณคา่ ของการอยรู่ ่วมกนั แบบพึงพาอาศยั กนั ช่วยเกือกูลกนั เรียนรู้ซึงกนั และกนั ก่อให้เกิด การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ในลกั ษณะของทีมทีมีประสิทธิภาพ การจดั การความรู้เป็นเรืองทีเริมตน้ ทีคน เพราะความรู้เป็นสิงทีเกิดมาจากคน มาจาก กระบวนการเรียนรู้การคิดของคน คนจึงมีบทบาททงั ในแง่ของผสู้ ร้างความรู้ และเป็นผทู้ ีใช้ ความรู้ ซึงถา้ จะมองภาพกวา้ งออกไปเป็นครอบครัว ชุมชน หรือแมแ้ ต่ในหน่วยงาน ก็จะเห็นได้ วา่ ทงั ครอบครัว ชุมชน หน่วยงาน ลว้ นประกอบขึนมาจากคนหลาย ๆ คน ดงั นนั หากระดบั ปัจเจกบุคคลมีความสามารถในการจดั การความรู้ ยอ่ มส่งผลตอ่ ความสามารถในการจดั การความรู้ ของกลุ่มดว้ ย วิธีการเรียนรู้ทีเหมาะสมเพือให้เกิดการจดั การความรู้ดว้ ยตนเอง คือ ใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ ริม กระบวนการเรียนรู้ตงั แตก่ ารเริมคิด คดิ แลว้ ลงมือปฏิบตั ิ และเมือปฏิบตั ิแลว้ จะเกิดความรู้จากการ ปฏิบตั ิ ซึงผูป้ ฏิบตั ิจะจดจาํ ทงั ส่วนทีเป็นความรู้ฝังลึกและความรู้ทีเปิ ดเผยมีการบนั ทึกความรู้ใน ระหวา่ งเรียนรู้กิจกรรม หรือโครงการลงในสมุดบนั ทึก ความรู้ปฏิบตั ิทีบนั ทึกไวใ้ นรูปแบบตา่ ง ๆ จะเป็นประโยชน์สาํ หรับตนเองและผูอ้ ืน ในการนาํ ไปปฏิบตั ิแกไ้ ขปัญหาทีชุมชนประสบอยใู่ ห้ บรรลุเป้ าหมาย และขนั สุดทา้ ยคือ ใหผ้ เู้ รียนไดพ้ ฒั นาปรับปรุงสิงทีกาํ ลงั เรียนรู้อยตู่ ลอดเวลา ยอ้ น ดวู า่ ในกระบวนการเรียนรู้นนั มีความบกพร่องในขนั ตอนใด กล็ งมือพฒั นาตรงจุดนนั ใหด้ ี

ทกั ษะการเรียนรู้เพอื จัดการความรู้ในตนเอง ผเู้ รียนจะตอ้ งพฒั นาตนเอง ให้มีความสามารถและทกั ษะในการจดั การความรู้ด้วย ตนเองใหม้ ีความรู้ทีสูงขึน ซึงสามารถฝึกทกั ษะเพือการเรียนรู้ไดด้ งั นี ฝึ กสังเกต ใช้สายตาและหูเป็นเครืองมือ การสังเกตจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจในเหตุการณ์หรือ ปรากฏการณ์นนั ๆ ฝึ กการนําเสนอ การเรียนรู้จะกวา้ งขึนไดอ้ ยา่ งไร หากรู้อยคู่ นเดียว ตอ้ งนาํ ความรู้ไปสู่ การแลกเปลียนเรียนรู้กบั คนอืน การนาํ เสนอใหค้ นอืนรับทราบจะทาํ ใหเ้ กิดการแลกเปลียนความรู้ กนั อยา่ งกวา้ งขวาง ฝึ กตังคําถาม คาํ ถามจะเป็นเครืองมืออย่างหนึงในการเขา้ ถึงความรู้ได้ เป็ นการตงั คาํ ถามใหต้ นเองตอบ หรือจะใหใ้ ครตอบกไ็ ด้ ทาํ ให้ไดข้ ยายขอบข่ายความคิดความรู้ ทาํ ให้รู้ลึก และรู้กวา้ งยงิ ขึนไปอีก อนั เนืองมาจากการทีไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ในคาํ ถามทีสงสัยนนั คาํ ถามควรจะ ถามวา่ ทาํ ไม อยา่ งไร ซึงเป็นคาํ ถามระดบั สูง ฝึ กแสวงหาคําตอบ ตอ้ งรู้วา่ ความรู้ หรือคาํ ตอบทีตอ้ งการนนั มีแหล่งขอ้ มูลให้คน้ ควา้ ได้ จากทีไหนบา้ ง เป็นความรู้ทีอยใู่ นหอ้ งสมุด ในอินเทอร์เนต็ หรือเป็นความรู้ทีอยู่ ในตวั คนทีตอ้ ง ไปสมั ภาษณ์ ไปสกดั ความรู้ออกมา เป็นตน้ ฝึ กบูรณาการเชือมโยงความรู้ เนืองจากความรู้เรืองหนึงเรืองใดไม่มีพรมแดนกนั ความรู้นนั สัมพนั ธ์เชือมโยงกนั ไปหมด จึงจาํ เป็นตอ้ งรู้ความเป็นองคร์ วมของเรืองนัน ๆ อยา่ ง ยกตวั อยา่ งป๋ ุยหมกั ไมเ่ ฉพาะแตม่ ีความรู้เรืองวิธีทาํ เท่านนั แตเ่ ชือมโยงการกาํ หนดราคาไว้ เพือ จะขาย โยงไปทีวธิ ีใชถ้ า้ จะนาํ ไปใชเ้ อง หรือแนะนาํ ใหผ้ อู้ ืนใช้ โยงไปถึงบรรจุภณั ฑว์ ่าจะ บรรจุ กระสอบแบบไหน ทุกอยา่ งบูรณาการกนั หมด ฝึ กบนั ทึก จะบนั ทึกแบบจดลงสมุดหรือเป็นภาพ หรือใช้เครืองมือบนั ทึกใด ๆ ก็ได้ ตอ้ งบนั ทึกไว้ บนั ทึกให้ปรากฏร่องรอยหลกั ฐานของการคิดการปฏิบตั ิ เพือการเขา้ ถึงและการ เรียนรู้ของบุคคลอืนดว้ ย ฝึ กการเขยี น เขียนงานของตนเองใหเ้ ป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนรู้ของตนเองและผอู้ ืน งานเขียนหรือขอ้ เขียนดังกล่าวจะกระจายไปเพือแลกเปลียนเรียนรู้กับผูค้ นในสังคมทีมาอ่าน งานเขยี น

ขนั ตอนการจัดการความรู้ด้วยตนเอง ในการเรียนรู้เพือจัดการความรู้ในตนเอง นอกจากวิเคราะห์ตนเองเพือกาํ หนด องคค์ วามรู้ทีจาํ เป็นในการพฒั นาตนเองแลว้ นนั การแลกเปลียนเรียนรู้เพือใหไ้ ดม้ าซึงความรู้ เป็น วิธีการค้นหาและเขา้ ถึงความรู้ทีง่ายเป็ นการเรี ยนรู้ทางลัด นันคือดูว่าทีอืนทาํ อย่างไร เลียนแบบ best practice และทาํ ให้ดีกวา่ เมือปฏิบตั ิแลว้ เกิดความสําเร็จแมเ้ พียงเล็กนอ้ ยกถ็ ือวา่ เป็น best practice ในขณะนนั กระบวนการเรียนรู้เพือพฒั นาตนเองสามารถดาํ เนินการตาม ขนั ตอนตา่ ง ๆ ได้ ดงั นี 1. ขันการบ่งชีความรู้ ผเู้ รียนวิเคราะห์ตนเอง เพือรู้จุดอ่อน จุดแขง็ ของตนเอง กาํ หนดเป้ าหมายในชีวิต กาํ หนดแนวทางเดินไปสู่จุดหมาย และรู้ว่าความรู้ทีจะแกป้ ัญหา และ พฒั นาตนเองคืออะไร 2. ขันสร้างและแสวงหาความรู้ ผเู้ รียนจะตอ้ งตระหนักและเห็นความสาํ คญั ของการ แสวงหาความรู้ เขา้ ถึงความรู้ทีตอ้ งการดว้ ยวธิ ีการทีหลากหลาย แหล่งเรียนรู้ทีใช้ในการแสวงหา ความรู้ ไดแ้ กก่ ารใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ การแสวงหาความรู้จากผเู้ ชียวชาญ ภูมิปัญญาทอ้ งถิน และเพอื น โดยยอมรับในความรู้ความสามารถซึงกนั และกนั และตอ้ งใช้ทกั ษะต่าง ๆ เพือใชใ้ น การสร้างความรู้ เช่น ฝึกสงั เกต ฝึกนาํ เสนอ ฝึกการตงั คาํ ถาม ฝึกการแสวงหาคาํ ตอบ ฝึกบรู ณาการ เชือมโยงความรู้ ฝึกบนั ทึก และฝึกการเขียน 3. การจัดการความรู้ให้เป็ นระบบ จดั ทาํ สารบญั จดั เก็บความรู้ประเภทต่าง ๆ ที จาํ เป็นตอ้ งรู้และนําไปใชเ้ พือการพฒั นาตนเอง การจัดการความรู้ให้เป็นระบบจะทาํ ให้เก็บ รวบรวม คน้ หา และนาํ มาใชไ้ ดง้ ่าย รวดเร็ว 4. ขนั การประมวลและกลนั กรองความรู้ ความรู้ทีจาํ เป็นอาจตอ้ งมีการคน้ ควา้ และ แสวงหาเพมิ เติม เพอื ใหค้ วามรู้มีความทนั สมยั นาํ ไปปฏิบตั ไิ ดจ้ ริง 5. การเข้าถงึ ความรู้ เมือมีความรู้จากการปฏิบตั ิแลว้ มีการเก็บความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สมุดบนั ทึกความรู้ แฟ้ มสะสมงาน วารสาร หรือใชเ้ ทคโนโลยีในการจดั เกบ็ รูปแบบ เวบ็ ไซต์ วีดิทศั น์ แถบบนั ทึกเสียง และคอมพิวเตอร์ เพือใหต้ นเองและผอู้ ืนเขา้ ถึงไดง้ ่าย อยา่ งเป็นระบบ 6. ขนั การแบ่งปันแลกเปลยี นความรู้ ผเู้ รียนตอ้ งเขา้ ร่วมกิจกรรมแลกเปลียน เรียนรู้กบั เพอื น ๆ หรือชุมชนเพอื เรียนรู้ร่วมกนั อาจเป็นลกั ษณะของการสมั มนาเวทีเรืองเล่าแห่งความสาํ เร็จ การศึกษาดูงานหรือแลกเปลียนเรียนรู้ผา่ นทางอินเทอร์เนต็ เป็นตน้

7. ขนั การเรียนรู้ ผเู้ รียนจะตอ้ งนาํ เสนอความรู้ในโอกาสตา่ ง ๆ เช่น การจดั นิทรรศการ การพบกลุ่ม การเขา้ คา่ ย หรอืการประชุมสมั มนา รวมทงั มีการเผยแพร่ความรู้ ผา่ นช่องทางตา่ ง ๆ เช่น วารสารเวบ็ ไซต์ จดหมายขา่ ว เป็นตน้ ความสําเร็จของการจัดการความรู้ด้วยตนเอง 1. ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามแผนพฒั นาตนเองทีไดก้ าํ หนดไว้ 2. ผเู้ รียนตระหนกั ถึงความรบั ผิดชอบในการพฒั นาตนเองเพอื เรียนรู้วชิ าตา่ ง ๆ อยา่ งเขา้ ใจ และนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาํ วนั ได้ 3. ผเู้ รียนมีความรู้ทีทนั สมยั เหมาะสมกบั สถานการณ์ปัจจุบนั สามารถปรับตวั ให้อยใู่ น สงั คมได้

ตัวอย่างตาพรํากบั การจัดการความรู้ สุรินทร์ กจิ นิตย์ชีว์ ตาพรํา เสนานาท อายุ 55 ปี ราษฎรตาํ บลบา้ นหลวง อาํ เภอเสนา จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา พาครอบครัวไปหากินทีกรุงเทพ ฯ เมอื หลายปี มาแลว้ แต่สุดทา้ ยก็ตอ้ งตดั สินใจกลบั บา้ น เพราะครอบครัว มแี ต่ความทกุ ขย์ าก กินอยแู่ บบอด ๆ อยาก ๆ เขามที ีดินเหลอื อยู่ 3 งาน จึงขุดร่องสวนและปลกู ผกั โดยใชส้ ารเคมี ทงั ป๋ ุย และยาปราบศตั รูพชื ใหภ้ รรยานาํ ไปขายทีตลาด และเขายงั รับจา้ งฉีดยาฆา่ หญา้ ใหแ้ ก่เพือนบา้ นอีกดว้ ย มิชา้ มินานเขาเริมเจ็บป่ วย ตวั ซีดเหลือง จึงตอ้ งไปหาหมอทีสถานีอนามยั ขา้ งบา้ นไม่ไดห้ ยุด ถึงหมอจะบอกตน้ เหตุของความเจ็บป่ วย แต่เขากเ็ ลิกไม่ไดเ้ พราะลกู ทงั 4 คน ตอ้ งกินใชม้ ากขึนและไป โรงเรียนกนั หนีสินพอกพนู ขึน ตวั เขาเจบ็ ออดแอดมากขึน รายจ่ายสารพดั แต่รายไดม้ ี 2 ทาง คือ ขายผกั กบั รับจา้ งฉีดยาฆ่าหญา้ ไม่รู้จะจดั การกบั ครอบครัวอย่างไร หาทางออกไม่ไดก้ ็กลุม้ ใจ เริมมีปากเสียงกบั สมาชิกในครอบครัว ทีพงึ ของเขาคือเหลา้ กบั บุหรี วนั หนึง นายเชิด พนั ธุเ์ พ็ง นักจดั การความรู้ของชุมชนวฒั นธรรมคลองขนมจีนไปพบเขา้ จึงไต่ถามสารทุกขส์ ุขดิบในฐานะเพอื นบา้ น เขาไดเ้ ล่าเรืองโครงการชุมชนเป็นสุขใหฟ้ ัง และชวนตาพรํา เขา้ เป็นสมาชิกเพือแกไ้ ขปัญหาทีเผชิญอยู่ ตาพรําฟังนายเชิดอธิบายถึงการปลกู ผกั แบบยงั ยนื ดว้ ยการจดั การความรู้ เพอื ครอบครัวและชุมชน เป็นสุขไปพร้อมกนั เป็นการจดั การดว้ ยสติปัญญาเพอื พฒั นาปากทอ้ ง คือ เศรษฐกิจ จิตใจ ครอบครัว ชุมชน สงั คม วฒั นธรรม สิงแวดลอ้ ม และความสุขไปพร้อมกนั แบบองคร์ วมไมแ่ ยกส่วน ทุกเรืองทุกประเด็นทีนายเชิดชีแจงเป็นเรืองใหม่สาํ หรับตาพราํ และตาพราํ กไ็ ม่ สู้เขา้ ใจนกั แต่ที ตดั สินใจเขา้ ร่วมทนั ทีเพราะเขาอยากออกจากความทุกขท์ ีประสบอยแู่ ละเขาก็ไม่มีทางเลือกอืน ในช่วงตน้ ของการเขา้ โครงการ ตาพราํ แทบจะลาออกเสียหลายครัง เพราะเขาตอ้ งแบ่งเวลาทาํ กิน ไปเรียนรู้กบั สิงทีเขาไม่ค่อยจะเชือนกั แต่เขากส็ นใจเรืองทีจะทาํ ใหเ้ ขาไม่เจ็บป่ วย นอกจากนันการเขา้ กลมุ่ ทาํ ใหเ้ ขาไดร้ ับความเห็นใจจากเพอื น ๆ เชิดไดพ้ าตาพรําไปเรียนรู้เรืองเกษตรยงั ยนื จากเครือข่ายในต่างจงั หวดั พร้อมกบั เพือน ๆ ตาพรํา เรียนรู้เรืองการจดั การทรัพยากรเชิงระบบ เขาให้ความสนใจกบั การทาํ นาํ ส้มควนั ไมจ้ ากถ่านไม้ เพือนาํ ไปทดแทนสารเคมีกาํ จดั ศตั รูพืชและในหมู่บา้ นของเขาก็มีเศษตน้ ไม้ กิงไม้ ทีชุมชนตดั ทิงไว้ มากมาย เขาสามารถนาํ มาจดั การใชป้ ระโยชน์ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งซือหา เมือกลบั มาถึงบา้ นตาพรําลงมือทาํ เตาเผาถ่านแบบใหม่ทนั ที เป็ นเตาทีสามารถให้ทงั ถ่านและ นาํ สม้ ควนั ไม้ เขาทาํ แลว้ ทาํ อกี จนสาํ เร็จ ซึงนอกจากเขาจะไดน้ าํ สม้ ควนั ไมไ้ ปใชใ้ นสวนผกั แลว้ ยงั ได้ ถ่านไวใ้ ชใ้ นครัวเรือนอกี ดว้ ย

เมือเหลือใชแ้ ลว้ ตาพรําก็ขายใหก้ บั เพอื นบา้ น เขาขายดีจนผลติ ไมท่ นั ตอ้ งเพิมจาํ นวนเตาขึน เดียวนีเขาไมต่ อ้ งไปรับจา้ งฉีดยาฆ่าหญา้ แลว้ วนั ๆ หนึงเขาทาํ สวนผกั ใชน้ าํ สม้ ควนั ไมแ้ ทนสารเคมีกาํ จดั ศตั รูพชื กรองนาํ สม้ ควนั ไมใ้ ส่ขวดขายขวดละ 50 บาท กรอกถา่ นใส่ถงุ ขายถุงละ 15 บาท ซึงนอกจาก เขาจะลดรายจ่ายในครัวเรือนไดจ้ ริงแลว้ เขายงั มรี ายไดเ้ พมิ ขึนดว้ ย วนั ๆ หนึงตาพรําขลุกอยกู่ บั สวนผกั ขลุกอยกู่ บั เตาถา่ น วางแผนงานในวนั รุ่งขึน ว่าจะจดั การกบั ผกั อะไรบา้ ง อยา่ งไร จะจดั การกบั การตลาดของถ่านและนาํ สม้ ควนั ไมอ้ ยา่ งไร จนลืมเรืองเหลา้ บุหรีไป ปัจจุบนั เขาเกือบจะไม่ไดแ้ ตะตอ้ งมนั จะมีบา้ งก็กบั เพือนๆ และสมาชิกเครือข่ายบางคนเป็ นครังคราว เท่านนั หนีสินจึงลดลงไปมาก แมจ้ ะยงั ไม่หมด แต่ก็มีความหวงั เพราะเขาจดั การได้ ความทุกข์หลายดา้ น ลดลง ทงั โรคภยั ไขเ้ จบ็ และความสุขของครอบครัว ลูกคนหนึงลาออกจากโรงงานทาํ รองเทา้ ช่วยพ่อแม่ ทุกคนกินอมิ นอนหลบั ช่วงหลงั นีตาพรําเป็นทียอมรับของเพือนบา้ น ของสมาชิกกลุ่มและเครือข่ายเกษตรยงั ยืน เขาเป็ น วิทยากรเรืองนาํ ส้มควนั ไมด้ ว้ ยความมนั ใจ เขาสร้างความรู้เรืองนีดว้ ยหนึงสมองกับสองมือ และ ถ่ายทอดถึงมรรควธิ ีการจดั การทรัพยากร รวมทงั การจดั การกบั ปัญหาต่าง ๆ ซึงเป็ นทุกข์ของครอบครัว ดว้ ยใบหน้ายมิ แยม้ ดว้ ยนาํ ใจและเป็ นสุข ปัจจุบนั เขาสร้างเครือข่ายเรืองนีถึง 4 อาํ เภอในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา เมือว่างจากงานเขานงั มองดูสวน และคิดทบทวนสาระต่าง ๆ ในสิงทีนายเชิดพดู คุยกบั เขาใน วนั แรก ออ้ ! การจดั การความรู้เป็ นอย่างนีเอง มนั คือการเรียนรู้ นาํ ความรู้มาจดั การเชิงระบบ สร้าง ความรู้ใหมเ่ พอื ปรับตวั ใหส้ อดคลอ้ งกบั โลกยคุ ใหมด่ ว้ ยสติปัญญา ปรับรูปแบบการพฒั นาแต่รักษาความ สมดุลของระบบความสมั พนั ธร์ ะหว่างมนุษยก์ บั มนุษย์ มนุษยก์ บั สิงแวดลอ้ ม เพือให้เกิดการยงั ยืน สืบไป นีคือการสรุปเรืองการจดั การความรู้ของตาพราํ !!!

การสรุปองค์ความรู้และการจดั ทาํ สารสนเทศ การจดั การความรู้ด้วยตนเอง การสรุปองค์ความรู้ การจดั การความรู้ เรามุ่งหา “ความสาํ เร็จ” มาแลกเปลียนเรียนรู้ เรามุ่งหาความสาํ เร็จ ในจุดเลก็ ๆ จุดนอ้ ยตา่ งจุดกนั นาํ มาแลกเปลียนเรียนรู้ เพอื ใหเ้ กิดการขยายผลไปสู่ ความสาํ เร็จที ใหญ่ขนึ องคค์ วามรู้เป็ นความรู้มาจากการปฏิบตั ิเรียกว่า “ปัญญา” กระบวนการเรียนรู้เปิ ด โอกาสใหผ้ เู้ รียนเป็นผสู้ ร้างความรู้ดว้ ยตนเอง สงั เกตสิงทีตนอยากรู้ลงมือปฏิบตั ิจริง คน้ ควา้ และ แสวงหาความรู้เพิมจนคน้ พบความรู้ สร้างสรรคเ์ กิดเป็นองคค์ วามรู้และเกิดประสบการณ์ใหม่ การเรียนรู้แบบนีจะส่งเสริมให้ผูเ้ รียนได้พฒั นาความสามารถในการคิดสู่การปฏิบตั ิ และเกิด “ปัญญา” หรือองคค์ วามรู้เฉพาะของตนเอง องคค์ วามรู้มีอยูอ่ ยา่ งมากมาย การปฏิบัติงานจนประสบผลสําเร็จ รวมทงั การแก้ ปัญหาตา่ ง ๆ ทีเกิดขนึ ในระหวา่ งการทาํ งานทีส่งผลใหง้ านสาํ เร็จลุลว่ งตามเป้ าประสงค์ ถือวา่ เป็น องคค์ วามรู้ทีเกิดขนึ ทงั สิน และเป็นองคค์ วามรู้ทีมีคา่ ตอ่ การเรียนรู้ทงั สิน การสรุปองคค์ วามรู้มีความสาํ คญั ต่อกระบวนการจดั การความรู้เป็นอยา่ งยิง เพราะการ สรุปองค์ความรู้จะเป็นการต่อยอดความรู้ให้กบั ตนเองและผูอ้ ืน หากบุคคลอืนตอ้ งการความ ช่วยเหลือในการแกป้ ัญหาบางเรือง เราจะใช้ความรู้ทีมีอยชู่ ่วยเหลือเพือนไดอ้ ยา่ งไร และเมือเรา จะเริมตน้ ทาํ อะไร เรารู้บา้ งไหมวา่ มีใครทาํ เรืองนีมาบา้ ง อยทู่ ีไหนในชุมชนของเรา เพือทีเราจะ ทาํ งานให้สําเร็จได้ง่ายขึน และไม่ทาํ ผิดซําซ้อน การดาํ เนินการจดั การองคค์ วามรู้อาจตอ้ ง ดาํ เนินการตามขนั ตอนตา่ ง ๆ ดงั นี 1. การกาํ หนดความรู้หลกั ทีจาํ เป็นหรือสาํ คญั ตอ่ งาน หรือกิจกรรมของกลุม่ หรือ องคก์ ร 2. การเสาะหาความรู้ทีตอ้ งการ 3. การปรับปรุง ดดั แปลง หรือสร้างความรู้บางส่วนใหเ้ หมาะตอ่ การใชง้ านของตน 4. การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ในกิจกรรมงานของตน 5. การนาํ ประสบการณ์จากการทาํ งาน และการประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้มาแลกเปลียน เรียนรู้และสกดั ขมุ ความรู้ ออกมาบนั ทึกไว้

6. การจดั บนั ทึก “ขุมความรู้” และ “แก่นความรู้” สาํ หรับไวใ้ ชง้ าน และ ปรับปรุงเป็นชุดความรู้ทีครบถว้ น ลุ่มลึก และเชือมโยงมากขนึ เหมาะตอ่ การใชง้ านมากขนึ การจดั การความรู้เพือให้เกิดองคค์ วามรู้ทีตอ้ งการ เริมจากการกาํ หนด “เป้ าหมาย ของ งาน” นนั คือ การบรรลุผลสมั ฤทธิ ในการดาํ เนินการตามทีกาํ หนดไว้ คือ 1. การตอบสนอง คือ การสนองตอบความตอ้ งการของทุกคนทีเกียวขอ้ ง 2. การมีนวตั กรรม คือ 1) นวตั กรรมในการทาํ งาน 2) นวตั กรรมทางผลงาน 3. ขดี ความสามารถ คอื การมีสมรรถนะทีเกิดจากการเรียนรู้ของตนเอง 4. ประสิทธิภาพ คอื องคค์ วามรู้ หรือ คลงั ความรู้ การจัดทําสารสนเทศการจัดการความรู้ด้วยตนเอง การจดั การความรู้ดว้ ยตนเอง องคค์ วามรู้ก็ยงั อยใู่ นสมองคนในรูปของประสบการณ์ จากการทาํ งานทีประสบผลสาํ เร็จนัน เราตอ้ งมีการถอดองคค์ วามรู้ซึงอาจไหลเวียนองคค์ วามรู้ จากคนสู่คน หรือจากคนมาจดั ทาํ เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เพือให้คนเขา้ ถึงความรู้ไดง้ ่าย และนาํ ไปสู่การปฏิบตั ิได้ โดยการนาํ ความรู้ทีไดม้ าจดั เก็บเป็นหมวดหมู่ของความรู้การชีแหล่ง ความรู้ การสร้างเครืองมือในการเขา้ ถึงความรู้ การกรองความรู้ การเชือมโยงความรู้ การจดั ระบบ องคค์ วามรู้ยงั หมายรวมถึงการทาํ ใหค้ วามรู้ละเอียดชดั เจนขึน องคค์ วามรู้อาจจดั เก็บไวใ้ นรูปแบบ ตา่ ง ๆ เช่น บนั ทึกความรู้ แฟ้ มสะสมงานเอกสารจากการถอดบทเรียน แผน่ ซีดี เวบ็ ไซต์ เวบ็ บลอ็ ค เป็นตน้

กระบวนการจดั การความรู้ด้วยการรวมกลุ่มปฏบิ ตั กิ าร กระบวนการจดั การความรู้ด้วยกล่มุ ปฏิบตั ิการ ในยคุ ของการเปลียนแปลงทีรวดเร็วนนั ปัญหาจะมีความซบั ซ้อนมากขึน เราจาํ เป็น ตอ้ งมีความรู้ทีหลากหลาย ความรู้ส่วนหนึงอยใู่ นรูปของเอกสาร ตาํ รา หรืออยใู่ นรูปของสือ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทปวิดีโอ แตค่ วามรู้ทีมีอยมู่ ากทีสุดคืออยใู่ นสมองคน ในรูปแบบของ ประสบการณ์ ความจาํ การทาํ งานทีประสบผลสําเร็จ การดาํ รงชีวิตอยใู่ นสังคมปัจจุบัน จาํ เป็นตอ้ งใช้ความรู้อยา่ งหลากหลาย นาํ ความรู้หลายวิชามาเชือมโยง บูรณาการใหเ้ กิดการคิด วิเคราะห์ สร้างความรู้ใหม่จากการแกป้ ัญหาและพฒั นาตนเอง ความรู้บางอยา่ งเกิดขึนจากการ รวมกลุ่มเพือแกป้ ัญหา หรือพฒั นาในระดบั กลุ่ม องคก์ ร หรือชุมชน ดงั นนั จึงตอ้ งมีการ รวมกลุ่มเพือจดั การความรู้ร่วมกนั ปัจจัยทที ําให้การจัดการความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏบิ ัติการประสบผลสําเร็จ 1. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในกลุ่ม คนในกลุ่มตอ้ งมีเจตคติทีดีในการ แบ่งปันความรู้ซึงกนั และกนั มีความไวเ้ นือเชือใจกนั ใหเ้ กียรติกนั และเคารพความคิดเห็นของ คนในกลุ่มทุกคน 2. ผู้นํากลุ่ม ตอ้ งมองว่าคนทุกคนมีคุณค่า มีความรู้จากประสบการณ์ ผูน้ าํ กลุ่มตอ้ ง เป็ นตน้ แบบในการแบ่งปันความรู้ กาํ หนดเป้ าหมายของการจดั การความรู้ในกลุ่มให้ชัดเจน หาวิธีการให้คนในกลุ่มนาํ เรืองทีตนรู้ออกมาเล่าสู่กนั ฟัง การใหเ้ กียรติกบั ทุกคนจะทาํ ให้ทุกคน กลา้ แสดงออกในทางสร้างสรรค์ 3. เทคโนโลยี ความรู้ทีเกิดจากการรวมกลุ่มปฏิบัติการเพือถอดองค์ความรู้ ปัจจุบนั มีการใชเ้ ทคโนโลยมี าใช้เพือการจดั เกบ็ เผยแพร่ความรู้กนั อยา่ งกวา้ งขวาง จดั เก็บในรูป ของเอกสารในเวบ็ ไซต์ วดิ ีโอ VCD หรือจดหมายขา่ ว เป็นตน้ 4. การนําไปใช้ การติดตามประเมินผล จะช่วยให้ทราบว่าความรู้ทีได้จากการ รวมกลุ่มปฏิบตั ิการ มีการนาํ ไปใช้หรือไม่ การติดตามผลอาจใชว้ ิธีการสังเกต สัมภาษณ์ หรือ ถอดบทเรียนผเู้ กียวขอ้ ง ประเมินผลจากการเปลียนแปลงทีเกิดขนึ ในกลุ่ม ความสมั พนั ธ์ความเป็น ชุมชนทีรวมตวั กนั เพอื แลกเปลียนความรู้กนั อยา่ งสมาํ เสมอ รวมทงั การพฒั นาดา้ นอืน ๆ ทีส่งผล ใหก้ ลุ่มเจริญเตบิ โตขนึ ดว้ ย

ตั ว อ ย่ า ง ก ลุ่ ม ห อ ม ท อ ง ยั ด เ ยี ย ด บา้ นปางป้ อมกลาง ตาํ บลลอ อาํ เภอจุน จงั หวดั พะเยา เป็นพืนทีทีปลกู กลว้ ยกนั มาก ราคากลว้ ย ตกตาํ และมกี ลว้ ยชนิดหนึงทีชาวบา้ นเรียกวา่ “กลว้ ยส้ม” ชาวบา้ นไม่ค่อยนิยมรับประทาน เนืองจาก เมอื สุกแลว้ จะมรี สออกเปรียว จะนาํ ไปใหไ้ ก่กิน เนือกลว้ ยทงั ทียงั ดิบหรือสุกจะมีสีเหลืองนวล นางอชิรา ปัญญาฟู ซึงเป็ นหวั หน้ากลุ่ม ไดศ้ ึกษาวิธีการทาํ กลว้ ยฉาบจากกลุ่มสตรีอาํ เภอแม่ใจ และทดลองทาํ กลว้ ยฉาบจากกลว้ ยสม้ หรือเรียกอีกชือหนึงว่า “กลว้ ยหอมทอง” ทดลองหลายครังและนาํ เนยมาเป็ น ส่วนผสมของเครืองปรุง ทาํ ให้สีกลว้ ยฉาบสวยเป็ นธรรมชาติ มีความกรอบและมีรสชาติทีกลมกล่อม เนืองจากมีความเปรียวอยใู่ นตวั ทาํ ใหไ้ ดส้ ูตรในการทาํ กลว้ ยฉาบเฉพาะกลุ่ม จากนนั สมาชิกกลุม่ สตรีได้ รวมตวั กนั 9 คน ลงหุน้ กนั คนละ 200 บาท เมอื ปี 2544 จดั ตงั กลมุ่ เพือผลิตกลว้ ยฉาบขาย และไดน้ าํ กลว้ ยฉาบไปเสนอ ขายใหค้ นทีรู้จกั และเจา้ หนา้ ทีจากส่วนราชการต่าง ๆ ซึงทุกคนมองว่า “รสชาติก็คง เหมือนกลว้ ยฉาบธรรมดา” แต่เมอื ทดลองชิมแลว้ จึงเห็นถงึ ความแตกต่างระหว่างรสชาติของกลว้ ยฉาบ จากกลว้ ยนาํ วา้ กบั กลว้ ยฉาบจากกลว้ ยหอมทอง จึงใหค้ วามสนใจสงั ซือมากขึน และรู้จกั ในนาม “กลว้ ยยดั เยยี ด” ซึงเป็นทีมาของการนาํ ไปเสนอขายดว้ ยการขอร้องกึงบงั คบั ใหค้ นซือนนั เอง ต่อมาส่วนราชการในอาํ เภอไดใ้ หก้ ารสนบั สนุนมากขึน เสนอให้มีการทาํ ป้ ายผลิตภณั ฑใ์ หม่ และใหเ้ ปลียนชือเป็ น “กลว้ ยหอมทองเมืองจุน” แต่เมือนาํ ไปขายแลว้ ไม่มีคนรู้จกั และไม่แน่ใจใน คุณภาพของสินคา้ จึงขายไดไ้ ม่ดี ทาํ ใหต้ อ้ งกลบั มาใชช้ ือเหมือนเดิมว่า “กลว้ ยหอมทองยดั เยียด” จนถึง ปัจจุบนั ในการบริหารจดั การของกลุ่ม ไดม้ ีการแบ่งหนา้ ทีสมาชิกกลุ่มใหร้ ับผิดชอบเป็ นฝ่ ายต่าง ๆ ประกอบดว้ ย ประธานกลุ่ม กรรมการฝ่ ายต่าง ๆ ฝ่ ายการตลาด ฝ่ ายผลิต ฝ่ ายการ เงินบญั ชี และมี เลขานุการกลมุ่ มสี มาชิกเพิมขึนเป็น 20 คน มีการลงหุน้ เพมิ และมเี งินทุนหมุนเวียนให้สมาชิกกลุ่มได้ กยู้ มื กลุ่มไดส้ ร้างงานใหก้ บั คนในชุมชนนนั คือส่งเสริมใหป้ ลกู กลว้ ยขายใหก้ บั กลมุ่ และเมอื มกี ลว้ ยเขา้ มาเป็นจาํ นวนมาก จะจา้ งแรงงานจากคนในชุมชนมาปอกกลว้ ยเพือทอดไว้ และจะฉาบเมือมีลูกคา้ สงั สินคา้ เขา้ มาทาํ ใหไ้ ดก้ ลว้ ยทีใหม่และกรอบอยตู่ ลอดเวลา การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์ กลุ่มไดม้ กี ารประชุมแลกเปลียนความคิดเห็นร่วมกนั ทุกเดือน และมีการ นาํ สมาชิกกลุ่มไปศึกษาดูงานกลุ่มอาชีพอืน ๆ เพือนาํ ความรู้ใหม่ ๆ มาพฒั นาผลิตภณั ฑ์ และมีการ เชือมโยงกบั เครือข่ายซึงเป็นกลมุ่ สตรีอนื ๆ ในการหาตลาดร่วมกนั แลกเปลียนความรู้เรืองการบริหาร จดั การกลุม่ ใหย้ งั ยนื และจากการทีกลมุ่ ไดไ้ ปศกึ ษาดงู านการผลติ กลว้ ยฉาบทีจงั หวดั สุโขทยั ทาํ ใหก้ ลุ่ม ไดเ้ ครือข่ายในการแลกเปลยี นเรียนรู้การพฒั นาผลิตภณั ฑ์กวา้ งขึน ความรู้จากการไปศึกษาดูงานทาํ ให้ กลุ่มไดแ้ นวคิดเกียวกบั การฝานกลว้ ยฉาบใหไ้ ดใ้ นปริมาณมาก ๆ ไดเ้ รียนรู้และขยายการผลิตสินคา้ ชนิดอืน ๆ เพิม เช่น การทาํ เผือกฉาบ มนั ฝรังทอด และการพฒั นารสชาติของผลิตภณั ฑ์ให้มีความ

หลากหลายมากขึน ทาํ ใหก้ ลุ่มไดร้ ับการพฒั นา มีใบอนุญาตทีเรียกว่า อย. มาเป็ นเครืองกาํ กบั ถึงคุณภาพของผลติ ภณั ฑม์ ีการขยายตลาดไปต่างจงั หวดั และต่างประเทศ กลุ่มจึงเป็ นทีรู้จกั และดาํ รง อยไู่ ดม้ าจนถงึ ทุกวนั นี จากตวั อยา่ งการดาํ เนินการกลุ่มกลว้ ยหอมยดั เยยี ด ไดม้ ีการนาํ การจดั การความรู้มาใชเ้ พือ การพฒั นากลุม่ กระบวนการจดั การความรู้ของกลุม่ เป็นดงั นี 1. การบ่งชีความรู้ เป้ าหมายของการรวมกลุ่มกลว้ ยหอมยดั เยียด คือสร้างรายได้ ใหก้ บั สมาชิกกลุ่มอาชีพ และพฒั นากลุ่มอาชีพใหเ้ ขม้ แขง็ ยงั ยนื มีรายไดอ้ ยา่ งต่อเนือง กลุ่มตอ้ ง มีความรู้ในเรืองวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การตลาด การรวมกลุ่ม การสร้าง เครือขา่ ย 2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เมือกาํ หนดองคค์ วามรู้ทีจาํ เป็นในการพฒั นากลุ่ม อาชีพแลว้ กลุ่มมีการสํารวจหาแหล่งความรู้ทีดาํ เนินการเกียวกบั การทาํ กลว้ ยฉาบ ซึงก่อน ดาํ เนินการแสวงหาความรู้ ได้มีการปรึกษาหารือกนั ในกลุ่ม รวมทงั ส่วนราชการทีใหก้ าร สนบั สนุน จากนนั ไดร้ วบรวมรายชือกลุ่มอาชีพทีทาํ เรืองกลว้ ยในจงั หวดั พะเยา เพือเป็นขอ้ มูล ในการวางแผนการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกนั 3. การจัดการความรู้ให้เป็ นระบบ เมือมีการแสวงหาความรู้แลว้ ได้มีการจดั ทาํ ทาํ เนียบกลุม่ อาชีพตา่ ง ๆ ทงั ทีอยใู่ นจงั หวดั พะเยา และจงั หวดั ใกลเ้ คียง เพอื การแลกเปลียนเรียนรู้ ร่วมกนั ตอ่ ไป 4. การประมวลและกลันกรองความรู้ ความรู้ทีไดจ้ ากกลุ่มต่าง ๆ กลุ่มไดม้ ีการ แยกแยะถึงปัญหาและจุดเด่นของการดาํ เนินการพฒั นากลุ่มอาชีพในแตล่ ะกลุ่ม และนาํ มาจดั ทาํ เวทีเพือใหส้ มาชิกกลุ่มร่วมกนั วิเคราะห์ถึงจุดเด่นจุดดอ้ ยของกลุ่ม เพือการพฒั นากลุ่มให้ดียงิ ขึน ตอ่ ไป 5. การเข้าถงึ ความรู้ กลุม่ ไดส้ ร้างเครือขา่ ยเพอื การเรียนรู้ในองคค์ วามรู้ทีจาํ เป็นตอ่ การ พฒั นากลุ่มร่วมกนั ทงั ความรู้ในเรืองวตั ถุดิบ กระบวนการผลิต การตลาด การบริหารจดั การกลุม่ 6. การแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ กลุ่มมีการแลกเปลียนเรียนรู้ร่วมกันอยู่ตลอด สร้างความสามคั คีภายในกลุ่ม แลกเปลียนเรียนรู้กบั กลุ่มอืน ๆ ทงั กลุ่มทีอยใู่ นจงั หวดั พะเยา และกลุ่มทีอยใู่ นจงั หวดั อืน จากการศึกษาดูงาน และประชุมสัมมนา รวมทงั การแลกเปลียน เรียนรู้อยา่ งไมเ่ ป็นทางการจากการพบเจอกนั ในการออกร้านในงานตา่ ง ๆ ทีส่วนราชการเป็นผจู้ ดั 7. การเรียนรู้ สมาชิกในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ร่วมกนั ยกระดบั ความรู้ในเรืองวตั ถุดิบ ทาํ ใหม้ ี วตั ถุดิบเพอื ใชใ้ นการผลิตตลอดทงั ปี มีกระบวนการผลิตทีงา่ ยไมย่ งุ่ ยากและเป็นอนั ตราย ผลิตได้

จาํ นวนมาก ๆ เพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ มีการขยายตลาดเพิม มีการรวมหุน้ ในกลุม่ เพอื เป็น เงินทุนของกลุ่มและช่วยเหลือสมาชิกทีเดือดร้อน

การสรุปองค์ความรู้และการจดั ทาํ สารสนเทศการจดั การความรู้ ด้วยการรวมกลุ่มปฏิบตั กิ าร ในการปฏิบัติงานแต่ละครัง กลุ่มจะตอ้ งมีการสรุปองค์ความรู้เพือจัดทาํ เป็ นสาร สนเทศเผยแพร่ความรู้ใหก้ บั สมาชิกกลุ่ม และกลุ่มอืน ๆ ทีสนใจในการเรียนรู้ และเมือมีการ ดาํ เนินการจดั หาหรือสร้างความรู้ใหม่จากการพมั นาขึนมา ตอ้ งมีการกาํ หนดสิงสําคญั ทีจะเก็บไว้ เป็นองคค์ วามรู้ และตอ้ งพิจารณาถึงวิธีการในการเก็บรักษาและนาํ มาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ตาม ความตอ้ งการ ซึงกลุ่มตอ้ งจดั เก็บองคค์ วามรู้ไวใ้ หด้ ีทีสุด ไม่ว่าจะเป็ นขอ้ มูลขา่ วสารสนเทศ การวจิ ยั การพฒั นา โดยตอ้ งคาํ นึงถึงโครงสร้างและสถานทีหรือฐานของการจดั เกบ็ ตอ้ งสามารถ คน้ หาและส่งมอบไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง มีการจาํ แนกหมวดหมขู่ องความรู้ไวอ้ ยา่ งชดั เจน การสรุปองค์ความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏบิ ตั ิการ การจัดการความรู้กลุ่มปฏิบัติการ เป็ นการจัดการความรู้ของกลุ่มทีรวมตวั กัน มีจุดมุ่งหมายของการทาํ งานร่วมกนั ให้ประสบผลสําเร็จ ซึงมีกลุ่มปฏิบัติการหรือทีเรียกว่า “ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ” เกิดขึนอยา่ งมากมาย เช่น กลุ่มฮกั เมืองน่าน กลุ่มเลียงหมู กลุ่มเลียงกบ กลุม่ เกษตรอินทรีย์ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ หรือกลุ่มอาชีพตา่ ง ๆ ในชุมชน กลุม่ เหล่านีพร้อมทีจะ เรียนรู้และแลกเปลียนประสบการณ์ซึงกนั และกนั องค์ความรู้จึงเป็ นความรู้และปัญญาทีแตกต่างกันไปตามสภาพและบริ บทของ ชุมชน การสร้างองคค์ วามรู้หรือชุดความรู้ของกลุ่มไดแ้ ลว้ จะทาํ ให้สมาชิกกลุ่มมีองคค์ วามรู้ หรือชุดความรู้ไวเ้ ป็นเครืองมือในการพฒั นางาน และแลกเปลียนเรียนรู้กบั คนอืนหรือกลุ่มอืน อยา่ งภาคภูมิใจ เป็นการตอ่ ยอดความรู้และการทาํ งานของตนตอ่ ไปอยา่ งไม่มีทีสินสุดอยา่ งที เรียกวา่ เกิดการเรียนรู้และพฒั นากลุม่ อยา่ งตอ่ เนืองตลอดชีวติ ในการสรุปองค์ความรู้ของกลุ่ม กลุ่มจะตอ้ งมีการถอดองคค์ วามรู้ทีเกิดจากการ ปฏิบตั ิ การถอดองคค์ วามรู้จึงมีลกั ษณะของการไหลเวียนความรู้จากคนสู่คน และจากคนสู่ กระดาษ นนั คอื การองคค์ วามรู้มาบนั ทึกไวใ้ นกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์เพือเผยแพร่ให้กบั คนที สนใจไดศ้ ึกษาและพฒั นาความรู้ตอ่ ไป ปัจจยั ทีส่งผลสาํ เร็จตอ่ การรวมกลุม่ ปฏิบตั กิ าร คือ

1. การสร้างบรรยากาศของการทาํ งานร่วมกนั กลุม่ มีความเป็นกนั เอง 2. ความไวว้ างใจซึงกนั และกนั เป็นหวั ใจสาํ คญั ของการทาํ งานเป็นทีม สมาชิกทุกคน ควรไวว้ างใจกนั ซือสตั ยต์ อ่ กนั สือสารกนั อยา่ งเปิ ดเผย ไม่มีลบั ลมคมใน 3. การมอบหมายงานอยา่ งชดั เจน สมาชิกทุกคนงานเขา้ ใจวตั ถุประสงค์ เป้ าหมาย และยอมรับภารกิจหลกั ของทีมงาน 4. การกาํ หนดบทบาทให้กบั สมาชิกทุกคน สมาชิกแต่ละคนเขา้ ใจและปฏิบตั ิตาม บทบาทของตนเอง และเรียนรู้เขา้ ใจในบทบาทของผูอ้ ืนในกลุ่ม ทุกบทบาทมีความสําคญั รวมทงั บทบาทในการช่วยรักษาความเป็นกลุ่มให้มนั คง เช่น การประนีประนอม การอาํ นวย ความสะดวก การใหก้ าํ ลงั ใจ เป็นตน้ 5. วธิ ีการทาํ งาน สิงสาํ คญั ทีควรพิจารณา คอื 1) การสือความ การทาํ งานเป็ นกลุ่มตอ้ งอาศยั บรรยากาศ การสือความที ชดั เจน เหมาะสม ซึงจะทาํ ให้ทุกคนกล้าเปิ ดใจแลกเปลียนความคิดเห็น และแลกเปลียน เรียนรู้ซึงกนั และกนั จนเกิดความเขา้ ใจ และนาํ ไปสู่การทาํ งานทีมีประสิทธิภาพ 2) การตดั สินใจ การทาํ งานเป็นกลุ่มตอ้ งใช้ความรู้ในการตดั สินใจร่วมกนั เมือ เปิ ดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มแสดงความคิดเห็น และร่วมตดั สินใจแลว้ สมาชิกยอ่ มเกิดความ ผกู พนั ทีจะทาํ ใหส้ ิงทีตนเองไดม้ ีส่วนร่วมตงั แตต่ น้ 3) ภาวะผนู้ าํ คือ บุคคลทีไดร้ ับการยอมรับจากผูอ้ ืน การทาํ งานเป็นกลุ่มควร ส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนไดม้ ีโอกาสแสดงความเป็นผนู้ าํ เพือให้ทุกคนเกิดความรู้สึกวา่ ไดร้ ับการยอมรับ จะไดร้ ู้สึกวา่ การทาํ งานร่วมกนั เป็นกลุ่มนนั มีความหมายปรารถนาทีจะทาํ อีก 4) การกาํ หนดกติกาหรือกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ทีจะเอือต่อการทาํ งานร่วมกนั ใหบ้ รรลุ เป้ าหมาย ควรเปิ ดโอกาสใหส้ มาชิกไดม้ ีส่วนร่วมในการกาํ หนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ทีจะนาํ มาใช้ ร่วมกนั 6. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทาํ งานของกลุ่ม ควรมีการประเมินผลการ ทาํ งานเป็นระยะในรูปแบบทงั ไม่เป็นทางการและเป็นทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมใน การประเมินผลงาน ทาํ ใหส้ มาชิกไดร้ ับทราบความกา้ วหน้าของงาน ปัญหาอุปสรรคทีเกิดขึน รวมทงั พฒั นากระบวนการทาํ งาน หรือการปรับปรุงแกไ้ ขร่วมกนั ซึงในทีสุดสมาชิกจะไดท้ ราบ วา่ ผลงานบรรลุเป้ าหมาย และมีคุณภาพมากนอ้ ยเพยี งใด

ตวั อย่างการสรุปองค์ความรู้กล่มุ กล้วยหอมยดั เยยี ด





สารสนเทศการจัดการความรู้ด้วยการรวมกล่มุ ปฏิบตั กิ าร สารสนเทศการจดั การความรู้ดว้ ยการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ หมายถึงการรวบรวมขอ้ มูลที เป็นประโยชน์ตอ่ การพฒั นางาน พฒั นาคน หรือพฒั นากลุม่ ซึงอาจจดั ทาํ เป็นเอกสารคลงั ความรู้ ของกลุม่ หรือเผยแพร่ผา่ นทางเวบ็ ไซต์ เพือแบ่งปันแลกเปลียนความรู้ และนาํ มาใชป้ ระโยชน์ใน การทาํ งาน ตวั อยา่ งของสารสนเทศจากการรวมกลุ่มปฏิบตั ิการ ไดแ้ ก่ 1. บนั ทึกเรืองเล่า เป็นเอกสารทีรวบรวมเรืองเล่า ทีแสดงใหเ้ ห็นถึงวิธีการทาํ งานให้ ประสบผลสาํ เร็จ อาจแยกเป็นเรือง ๆ เพือใหผ้ ทู้ ีสนใจเฉพาะเรืองไดศ้ ึกษา 2. บนั ทึกการถอดบทเรียนหรือการถอดองคค์ วามรู้ เป็ นการทบทวนสรุปผลการ ทาํ งานทีจดั ทาํ เป็นเอกสาร อาจจดั ทาํ เป็นบนั ทึกระหว่างการทาํ งานและหลงั จากทาํ งานเสร็จแลว้ เพอื ใหเ้ หน็ วิธีการแกป้ ัญหาในระหวา่ งการทาํ งาน และผลสาํ เร็จจากการทาํ งาน 3. วีซีดีเรืองสัน เป็นการจดั ทาํ ฐานขอ้ มลู ความรู้ทีสอดคลอ้ งกบั สังคมปัจจุบนั ทีมี การ ใชเ้ ครืองอิเลก็ ทรอนิกส์กนั อยา่ งแพร่หลาย การทาํ วซี ีดีเป็นเรืองสนั เป็นการเผยแพร่ให้ บุคคลได้ เรียนรู้และนาํ ไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา หรือพฒั นางานในโอกาสตอ่ ไป 4. คูม่ ือการปฏิบัติงาน การจัดการความรู้ทีประสบผลสําเร็จจะทาํ ให้เห็นแนวทาง ของการทาํ งานทีชัดเจน การจดั ทาํ เป็นคูม่ ือเพือการปฏิบตั ิงาน จะทาํ ให้งานมีมาตรฐานและ ผเู้ กียวขอ้ งสามารถนาํ ไปพฒั นางานได้ 5. อินเทอร์เน็ต ปัจจุบนั มีการใชอ้ ินเทอร์เน็ตกนั อยา่ งแพร่หลาย และมีการสือสาร แลกเปลียนความรู้ผา่ นทางอินเทอร์เน็ตในเวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ มีการบนั ทึกความรู้ทงั ในรูปแบบของ เวบ็ บล็อก เวบ็ บอร์ด และรูปแบบอืน ๆ อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งเกบ็ ขอ้ มูลจาํ นวนมากใน ปัจจุบนั เพราะคนสามารถเขา้ ถึงขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ทุกที ทุกเวลา

กจิ กรรม กจิ กรรมที 1 การจดั การความรู้ดว้ ยตนเองตอ้ งอาศยั ทกั ษะอะไรบา้ ง และผเู้ รียนมีวธิ ีการจดั การความรู้ดว้ ยตนเองอยา่ งไร ยกตวั อยา่ ง ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 2 องคค์ วามรู้ทีผเู้ รียนไดร้ ับจากการจดั การความรู้ดว้ ยตนเองคอื อะไร (แยกเป็นขอ้ ๆ) ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 3 ใหผ้ เู้ รียนเขยี นเรืองเลา่ แห่งความสาํ เร็จ และรวมกลุ่มกบั เพือนทีมีเรืองเล่าลกั ษณะ คลา้ ยกนั ผลดั กนั เลา่ เรือง สกดั ความรู้จากเรืองเลา่ ของเพือน ตามแบบฟอร์ม ดงั นี

แบบฟอร์มการบันทกึ ขมุ ความรู้จากเรืองเก่า ชือเรื อง.............................................................................................................................................................................. ชือผเู้ ลา่ ............................................................................................................................................................................. 1. เนือเรืองยอ่ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2. การบนั ทึกขมุ ความรู้จากเรืองเล่า 2.1 ปัญหา............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2.2 วิธีแกป้ ัญหา (ขมุ ความรู้)........................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

2.3 ผลทีเกิดขนึ .................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2.4 ความรู้สึกของผเู้ ล่า / ผเู้ ล่าไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ ง จากการทาํ งานนี ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 3. แกน่ ความรู้ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

กจิ กรรมที 4 ใหผ้ เู้ รียนจบั กลุ่ม 3-5 คน ไปถอดองคค์ วามรู้กลุม่ อาชีพตา่ ง ๆ ในชุมชน และ นาํ มาสรุปเป็นองคค์ วามรู้ ตามแบบฟอร์มดงั นี สรุปองค์ความรู้กลุ่ม............................................................................................................................. ทีอยกู่ ลุ่ม........................................................................................................................................................................... ชือผถู้ อดองคค์ วามรู้ 1....................................................................................................................................... 2....................................................................................................................................... 3.......................................................................................................................................

แบบทดสอบเรืองการจัดการความรู้ คาํ ชีแจง : จงกากบาท X เลอื กข้อทีท่านคดิ ว่าถูกต้องทีสุด 1. การจดั การความรู้เรียกสนั ๆ วา่ อะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เป้ าหมายของการจดั การความรู้คอื อะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคก์ ร ง. ถูกทุกขอ้ 3. ขอ้ ใดถูกตอ้ งมากทีสุด ก. การจดั การความรู้ หากไม่ทาํ จะไมร่ ู้ ข. การจดั การความรู้คอื การจดั การความรู้ของผเู้ ชียวชาญ ค. การจดั การความรู้ถือเป็นเป้ าหมายของการทาํ งาน ง. การจดั การความรู้คอื การจดั การความรู้ทีมีในเอกสาร ตาํ รา มาจดั ใหเ้ ป็น ระบบ 4. ขนั สูงสุดของการเรียนรู้คืออะไร ก. ปัญญา ข. สารสนเทศ ค. ขอ้ มลู ง. ความรู้ 5. ชุมชนนกั ปฏิบตั ิ (Cop) คอื อะไร ก. การจดั การความรู้ ข. เป้ าหมายของการจดั การความรู้ ค. วิธีการหนึงของการจดั การความรู้ ง. แนวปฏิบตั ขิ องการจดั การความรู้

6. รูปแบบการจดั การความรู้ตามโมเดลปลาทู ส่วน “ทอ้ งปลา” หมายถึงอะไร ก. การกาํ หนดเป้ าหมาย ข. การแลกเปลียนเรียนรู้ ค. การจดั เกบ็ เป็นคลงั ความรู้ ง. ความรู้ทีชดั แจง้ 7. ผทู้ ีทาํ หนา้ ทีกระตนุ้ ใหเ้ กิดการแลกเปลียนเรียนรู้คือใคร ก. คุณเอือ ข. คุณอาํ นวย ค. คุณกิจ ง. คุณลิขิต 8. สารสนเทศเพือเผยแพร่ความรู้ในปัจจุบนั มีอะไรบา้ ง ก. เอกสาร ข. วีซีดี ค. เวบ็ ไซต์ ง. ถูกทุกขอ้ 9. การจดั การความรู้ดว้ ยตนเองกบั ชุมชนแห่งการเรียนรู้มีความเกียวขอ้ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร ก. เกียวขอ้ งกนั เพราะการจดั การความรู้ในบุคคลหลาย ๆ คน รวมกนั เป็น ชุมชน เรียกวา่ เป็นชุมนุมแห่งการเรียนรู้ ข. เกียวขอ้ งกนั เพราะการจดั การความรู้ใหก้ บั ตนเองกเ็ หมือนกบั จดั การความรู้ ใหช้ ุมชนดว้ ย ค. ไม่เกียวขอ้ งกนั เพราะจดั การความรู้ดว้ ยตนเองเป็นปัจเจกบุคคล ส่วน ชุมชนแห่งการเรี ยนรู้เป็ นเรื องของชุมชน ง. ไม่เกียวขอ้ งกนั เพราะชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นการเรียนรู้เฉพาะกลุม่ 10. ปัจจยั ทีทาํ ใหก้ ารจดั การความรู้การรวมกลุม่ ปฏิบตั กิ ารประสบผลสาํ เร็จคืออะไร ก. พฤตกิ รรมของคนในกลุ่ม ข. ผนู้ าํ กลุ่ม ค. การนาํ ไปใช้ ง. ถูกทุกขอ้ เฉลย 1) ข 2) ง 3) ก 4) ก 5) ค 6) ข 7) ข 8) ง 9) ก 10) ง

แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ต น เ อ ง ห ลั ง เ รี ย น บทสะท้อนทีได้จากการเรียนรู้ 1. สิงทีท่านประทบั ใจในการเรียนรู้รายวิชาการจดั การความรู้ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2. ปัญหา/อุปสรรคทีพบในการเรียนรู้รายวชิ าการจดั การความรู้ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 3. ขอ้ เสนอแนะเพมิ เตมิ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

บทที คดิ เป็ น สาระสําคญั ทบทวนทาํ ความเขา้ ใจกบั ความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ และเชือมโยงไปสู่การเรียนรู้ เรืองของการคิดเป็ น กระบวนการแกป้ ัญหาของคนคิดเป็ นและปรัชญาคิดเป็ น ศึกษาวิเคราะห์ลกั ษณะ ของขอ้ มลู ทงั ดา้ นวชิ าการ ตนเอง และสังคม สิงแวดลอ้ ม รวมทงั เทคนิคการเก็บขอ้ มลู เพือนาํ ไปใชใ้ น การเลือกเก็บขอ้ มลู ดงั กล่าวมาใชป้ ระกอบการคิดตดั สินใจอยา่ งคนคิดเป็น ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั 1. อธิบายทบทวนความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ กบั ความเชือมโยงสู่กระบวนการคิด เป็ นและปรัชญาคิดเป็ นได้ 2. จําแนก เปรี ยบเทียบ ตรวจสอบ ลกั ษณะของข้อมูลด้านวิชาการ ตนเอง และสังคม สิงแวดลอ้ มทีจะนาํ มาใช้ประกอบการคิดและการวิเคราะห์ขอ้ มูล เพือแก้ปัญหาของคน คิดเป็ นได้ ขอบข่ายเนือหา 1. ความเชือพืนฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ และการเชือมโยงสู่กระบวนการคิดเป็ นและปรัชญา คิดเป็ น 2. ลกั ษณะและความแตกต่างของขอ้ มูลดา้ นวิชาการ ตนเอง และสังคมสิงแวดลอ้ ม รวมทัง เทคนิคการเกบ็ ขอ้ มลู และวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มูล การคิดเป็ นทีจะนาํ มาใชป้ ระกอบการ คิด การตดั สินใจ แกป้ ัญหาของคนคิดเป็น 3. กรณีตวั อยา่ งเพือการฝึกปฏิบตั ิ ข้อแนะนําการจดั การเรียนรู้ 1. คิดเป็น เป็นวชิ าทีเนน้ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยการคิด การวเิ คราะห์ และแสวงหาคาํ ตอบดว้ ย การใชก้ ระบวนการทีหลากหลาย เปิ ดกวา้ ง เป็ นอิสระมากกว่าการเรียนรู้ทีเน้นเนือหาให้ ท่องจาํ หรือมีคาํ ตอบสาํ เร็จรูปให้ โดยผเู้ รียนไมต่ อ้ งคิด ไม่ตอ้ งวิเคราะหเ์ หตุและผลเสียก่อน

2. ขอแนะนําว่า กระบวนการเรียนรู้ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ นัน ผูเ้ รียนในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ บางคนเท่านนั ทีเคยเรียนมาจากหลกั สูตร กศน. ระดบั ประถมศึกษาที เคยเรียนรู้แบบพบกลุ่ม เคยอภิปรายถกแถลงมาก่อน แต่ส่วนใหญ่เรียนมาจากการศึกษาใน ระบบ จึงควรให้ไดฝ้ ึ กประสบการณ์การเรียนดว้ ยวิธีพบกลุ่มไดร้ ่วมการอภิปรายถกแถลง เพือใหผ้ ูเ้ รียนและครูช่วยกนั แสวงหาคาํ ตอบตามประเด็นทีกาํ หนด และช่วยให้ผเู้ รียนได้ คุน้ เคยและมนั ใจในการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่มสมั พนั ธ์ต่อไป ส่วนผทู้ ีเคยเรียนการ อภิปรายกลมุ่ มาแลว้ ก็ใชโ้ อกาสนีฝึ กทกั ษะใหม้ นั ใจเพิมขึน และจะไดช้ ่วยเพือนๆ ให้ร่วม กิจกรรมไดร้ วดเร็วมากขึน 3. เนืองจากเป็นวิชาทีประสงคจ์ ะใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึกการคิด การวิเคราะห์ เพอื แสวงหาคาํ ตอบดว้ ย ตนเองมากกว่าท่องจําเพือหาความรู้แบบเดิม ครูและผูเ้ รียนจึงควรจะต้องปฏิบัติตาม กระบวนการทีแนะนาํ โดยไม่ขา้ มขนั ตอนจะช่วยใหก้ ารเรียนรู้เกิดขึนอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

เรืองที ปฐมบทของการคดิ เป็ น “คิดเป็น คืออะไร ใครรู้บา้ ง มที ิศทางมาจากไหน ใครเคยเห็น จะเรียนรําทาํ อยา่ งไรให้ “คิดเป็น” ไมล่ อ้ เล่นใครตอบไดข้ อบใจเอย” ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่ ทุกวนั นีนอกจากเด็กและเยาวชนทีครําเคร่งเรียนหนังสืออย่ใู นโรงเรียนกนั มากมายทวั ประเทศ แลว้ ก็ยงั มีเยาวชนและผใู้ หญ่จาํ นวนไม่น้อยทีสนใจใฝ่ รู้ใฝ่ เรียนต่างก็ใชเ้ วลาว่างจากการทาํ งาน หรือ วนั หยุดไปเรียนรู้เพิมเติมทังวิชาสามญั วิชาอาชีพ หรือการฝึ กทกั ษะการเรียนรู้ต่าง ๆ จากสือและ เทคโนโลยที ีแพร่หลายมากมายทีเรียกว่า การศกึ ษาผใู้ หญ่ การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั ผเู้ รียนเหล่านีบางคนเป็นเยาวชนทียงั เรียนไม่จบมธั ยมศึกษาตอนตน้ แต่ตอ้ ง ออกมาทาํ งานเพราะครอบครัวยากจน มพี ีนอ้ งหลายคน บางคนไม่ไดเ้ รียนหนังสือแต่ทาํ งานเป็ นเจา้ ของ กิจการใหญ่โต บางคนจบปริญญาแลว้ ก็ยงั มาเรียนอีก บางคนอายมุ ากแลว้ ก็ยงั สนใจมาฝึกวิชาชีพและวิชา ทีสนใจ เช่น ร้องเพลง ดนตรี หมอดู พระเครือง เป็นตน้ และมจี าํ นวนไม่นอ้ ยทีเรียนรู้ การทาํ ร้านอาหาร การทาํ ร้านขายทอง หรือการทาํ การเกษตรปลกู สม้ โอตามทีพ่อแม่ ป่ ู ย่า ตา ยาย ทาํ มาหากินมาหลาย ชวั อายคุ น กิจกรรมที คนทุกคนมคี วามแตกต่างกนั เป็นธรรมดา ท่านเคยรู้บา้ งไหมว่า เหตุใดนักศึกษาเหล่านีจึงคิดมา เรียนหนงั สือ เมอื อายเุ ลยวยั ทีจะเรียนในโรงเรียนแลว้ คาํ ตอบมหี ลากหลายแตกต่างกนั ไป เช่น - อยากมีโอกาสไดเ้ รียนสูง ๆ ไดเ้ ป็นเจา้ คนนายคน - เรียนจบระดบั ประถมศึกษาแลว้ ตงั แต่เดก็ ๆ อยากเรียนต่อระดบั มธั ยมศึกษาบา้ ง - ตอ้ งการนาํ ความรู้ไปใชพ้ ฒั นาตนเอง พฒั นาอาชีพใหด้ ีขึน มรี ายไดด้ ีกวา่ เดิม - ตอ้ งการพบเพือนรุ่นเดียว วยั เดียวกนั ไดแ้ ลกเปลยี นความคิดดว้ ยกนั - มีเงินมีทอง มีงานทาํ เป็ นหลกั เป็ นฐาน มีชือเสียงเด่นดงั แลว้ อยากมีวุฒิการศึกษาสูง ๆ มาประดับ ตวั เอง - มฐี านะดี เป็นเจา้ ของกิจการใหญ่โตระดบั ประเทศและนานาชาติ แต่มีวุฒิทางการศึกษาเพียงแค่ ม. กอ็ ายเขา - อยากเรียนปริญญาบา้ ง ตงั ใจจะสมคั รเป็ นนักการเมืองทอ้ งถิน แต่วุฒิการศึกษาไม่เพียงพอ จึง ตอ้ งมาเรียนใหไ้ ดว้ ฒุ ิตามทีกฎหมายกาํ หนด

- มาเรี ยนให้จบมธั ยมศึกษาตอนปลาย เพือจะได้มีโอกาสประเมินเลือนตาํ แหน่งเป็ น นายทหารชนั สญั ญาบตั ร - มาเรียนวิชาชีพทาํ อาหารตามทีเพอื น ๆ ชวนมา ตงั ใจจะนาํ ความรู้ไปทาํ อาหารขายในชุมชน เมือ เรียนสาํ เร็จ ฯลฯ คาํ ตอบอาจจะมีอีกมากมายตามเหตุผลของแต่ละคนทีไม่เหมือนกนั หรือบางคนอาจมีเหตุผล เหมอื นกบั คนอนื บา้ ง แมแ้ ต่ตวั ท่านเอง เคยถามตวั เองบา้ งไหมวา่ มาเรียนทีนีเพราะอะไร? คาํ ตอบของท่าน คือ เพ รา ะ _____________________________________________________________________ (ลองเติมตามใจท่าน) ถา้ จะถามต่ออกี วา่ ทาํ ไมเหตุผลของหลายคนทีกล่าวมาแลว้ ใน การเรียนทีนีจึงไม่ เหมือนกันทุกคนและอาจจะไม่เหมือนกบั เหตุผลของท่าน? หลายคนตอบว่า เพราะเขาไม่ใช่ท่าน ความคิด ความประสงค์ ความตอ้ งการของเขาจึงแตกต่างไปจากของท่าน ท่านวา่ จริงไหม? (ลองคิด แต่ไมต่ อ้ งเขียนตอบ) ถา้ เรียนจบหลกั สูตรและคุณครูประเมินผลการเรียนรู้แลว้ ปรากฏว่า ท่านมีความรู้จริงผ่านการ ประเมินจบหลกั สูตรตามทีท่านตังความหวงั ไว้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร (โปรดกาเครืองหมาย  ลงใน กรอบเห็นดว้ ย) ดีใจ มีความสุข เสียใจ ไม่มคี วามสุข แต่ถา้ เรียนจบหลกั สูตรตามทีท่านตงั ใจมาเรียนแลว้ ปรากฏว่า ท่านไม่สามารถผ่านการประเมินจบ หลกั สูตรได้ความตงั ใจทีจะมาเรียนทีนีจึงไม่สาํ เร็จท่านจะรู้สึกอยา่ งไร(โปรดกาเครืองหมาย  ลงในกรอบ เห็นดว้ ย) ดีใจ มคี วามสุข เสียใจ ไม่มคี วามสุข เชือวา่ คาํ ตอบของท่านก็คงเหมอื นกนั ทุกคน นนั กค็ ือ คนทุกคนมคี วามแตกต่างกนั มกี ารดาํ เนิน ชีวติ ทีต่างกนั ความคาดหวงั ความต้องการต่าง ๆ ในชีวติ กแ็ ตกต่างกนั แต่ทุกคนกต็ ้องการความสําเร็จใน ชีวติ ด้วยกนั ทุกคน ซึงถ้าประสบความสําเร็จกจ็ ะมคี วามสุข ความเชือดงั กล่าวนี เป็ นความจริงในชีวิต ใน ขอ้ ของคน ทีดร. โกวิท วรพิพฒั น์ อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนไดใ้ ชเ้ ป็ นพืนฐานความคิดที สาํ คญั ในการจดั การศึกษาผใู้ หญ่หลายโครงการ ตงั แต่ปี พ.ศ. เป็นตน้ มา ความจริงในชีวิตของคน ประการ ทีต่อมาเรียกกนั วา่ ความเชือพนื ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่นีนบั วา่ เป็นปฐมบท หรือทีมาของคาํ ว่า คดิ เป็ น

ใบงานที การเรียนรู้ร่วมกนั ใบงานนีจะเนน้ การอธิบายถึงกระบวนการเรียนรู้ร่วมกนั ทีจะช่วยให้ผเู้ รียนไดร้ ู้จกั คิด รู้จกั วเิ คราะห์ รู้จกั การแสวงหาคาํ ตอบดว้ ยตนเอง หรือจากกระบวนการอภิปรายกลุ่ม โดยทีครูไม่บอก หรือมคี าํ ตอบสาํ เร็จรูปให้ กระบวนการทีว่านีอาจเป็นดงั นี ครูแบ่งกลุ่มผเู้ รียนออกเป็น – กลุ่มยอ่ ย ใหผ้ เู้ รียนเลือกประธานกลุ่มและเลขานุการกลุ่ม เพอื เป็นผนู้ าํ อภิปรายและผจู้ ดบนั ทึกผลการอภิปรายของกลุ่ม และนาํ ผลการอภิปรายของกลุ่มเสนอ ต่อทีประชุมกลุม่ ใหญ่ ครูนาํ เสนอกรณีตวั อยา่ ง พร้อมประเด็นอภิปรายใหผ้ เู้ รียนทุกกลมุ่ ยอ่ ย อภิปราย ถกแถลงเพือหาคาํ ตอบตามประเด็นทีกาํ หนดให้ ครูติดตาม สังเกตเหตุผลของกลุ่ม หากขอ้ มูลยงั ไม่ เพยี งพอ ครูอาจชีแนะใหอ้ ภิปรายเพมิ เติม ในส่วนของขอ้ มลู ทียงั ขาดอย่ไู ด้ เลขานุการกลุ่มซึงอาจะมี ได้ – คน บนั ทึกผลการพิจารณาหาคาํ ตอบตามประเด็นทีกาํ หนดให้เป็ นคาํ ตอบสนั ๆ เพียงใหไ้ ด้ ใจความ แลว้ นาํ คาํ ตอบนนั ๆ ไปรายงานในทีประชุมกลมุ่ ใหญ่ ในการประชุมกลุ่มใหญ่ ผแู้ ทนกลมุ่ ยอ่ ยนาํ เสนอรายงาน ครูช่วยผเู้ รียนทีทาํ หน้าทีเลขานุการ กลมุ่ บนั ทึกขอ้ คิดเห็นของกลมุ่ ยอ่ ยไวท้ ีกระดาษบรู๊ฟซึงเตรียมจดั ไวก้ ่อนแลว้ เมือทุกกลมุ่ รายงานแลว้ ครูนาํ อภิปรายในกลมุ่ ใหญ่ ถึงคาํ ตอบของกลุ่ม ซึงจะหลอมรวมบูรณาการคาํ ตอบของกลมุ่ ยอ่ ยออกมา เป็นคาํ ตอบประเด็นอภิปรายของกรณีตวั อยา่ ง หากมีผเู้ รียนไม่มากนกั ครูอาจไมต่ อ้ งแบ่งกลุ่มยอ่ ย ให้ ผูเ้ รียนทุกคนอภิปรายถกแถลง หรือสนทนาและแลกเปลียนความคิดกันในกลุ่มใหญ่เลย โดยมี ประธานหรือหวั หนา้ กลุ่มเป็นผนู้ าํ และใหเ้ ลขานุการกลุม่ ใหญ่ เป็นผบู้ นั ทึกขอ้ คิดเห็นของคนในกลุ่ม โดยครูอาจเป็นผชู้ ่วยได้ จากนนั ครูนาํ สรุปคาํ ตอบทีไดเ้ ป็ นขอ้ เขียนทีสมบูรณ์ขึน และนาํ คาํ ตอบนัน บนั ทึกในกระดาษบรู๊ฟติดไวใ้ หเ้ ห็นชดั เจน เปรียบเทียบกบั ตวั อยา่ งข้อสรุปของกรณีตัวอยา่ งทีได้ เตรียมไวก้ ่อนแลว้ ซึงอาจใกลเ้ คียงกบั ขอ้ สรุปของกลุ่ม

การเรียนรู้เรืองความเชือพนื ฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่ใหเ้ ขา้ ใจไดด้ ี ผเู้ รียนตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจ ดว้ ยการร่วมกิจกรรมการคิด การวเิ คราะห์เรืองราวต่าง ๆ เป็ นขนั เป็ นตอนตามลาํ ดบั อย่างต่อเนืองตงั แต่ กิจกรรมที ทีผเู้ รียนไดร้ ่วมกิจกรรมมาแลว้ ไปจนจบกิจกรรมที และสรุปความคิดเป็นขนั เป็นตอนตาม ไปดว้ ยโดยไม่ตอ้ งกงั วลว่า คาํ ตอบหรือความคิดทีไดจ้ ะผดิ หรือถกู มากนอ้ ยเพยี งใด เพราะจะไม่มีคาํ ตอบ ใดถกู ทงั หมดและไม่มีคาํ ตอบใดผิดทงั หมด เมือได้ร่วมกิจกรรมครบตามกาํ หนดทัง กิจกรรมแลว้ ผเู้ รียนจะสามารถสรุปแนวคิดเรืองความเชือพืนฐานทางการศึกษา ผใู้ หญ่ดว้ ยตนเองได้ ซึงก็จะนาํ ไปสู่ การทาํ ความเขา้ ใจเรืองคิดเป็ นต่อไป กิจกรรมการเรียนรู้เรืองความเชือพืนฐานทางการศึกษาผูใ้ หญ่ ทงั ขนั ตอนนี ขอแนะนาํ ให้ไดเ้ รียนโดยวิธีพบกลุ่ม เพือให้ไดม้ ีการอภิปรายถกแถลงต่อยอดความคิด โดยใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชป้ ระสบการณ์ตรงของทุกคนมาเป็นขอ้ มลู ในการสนทนาแสดงความคิดเห็นร่วมกนั

กจิ กรรมที ครูและผเู้ รียนนงั สบาย ๆ เป็นกลุ่มเลก็ หรือใหญ่แลว้ แต่จาํ นวนผเู้ รียน ครูแจกใบงานที ทีเป็ น กรณีตวั อยา่ งเรือง “แป๊ ะฮง” ให้ผเู้ รียนทุกคน ครูอธิบายให้ผเู้ รียนทราบว่า ครูจะอ่านกรณีตวั อยา่ งให้ฟัง เทียวชา้ ๆ ใครทีพออ่านไดบ้ า้ งกอ็ ่านตามไปดว้ ย ใครทีอ่านยงั ไม่คล่องก็ฟังครูอ่านและคิดตามไปดว้ ย เมือ ครูอา่ นจบแลว้ กจ็ ะพดู คุยกบั ผเู้ รียนในเชิงทบทวนถงึ เนือหาในกรณีตวั อยา่ งเรือง “แป๊ ะฮง” เพือใหแ้ น่ใจว่า ผเู้ รียนทุกคนเข้าใจเนือหาของกรณีตวั อย่างตรงกนั จากนันครูจึงอ่านประเด็น ซึงเป็ นคาํ ถามปลายเปิ ด (คาํ ถามทีไมม่ ีคาํ ตอบสาํ เร็จรูป แต่เป็นคาํ ถามทีกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น) ทีกาํ กบั มากบั กรณีตวั อยา่ งใหผ้ เู้รียนฟัง ใบงานที กรณตี วั อย่างเรือง แป๊ ะฮง แป๊ ะฮง ท่านขนุ พิชิตพลพ่าย เป็นคหบดีมีชือเสียงมากในดา้ นความเมตตากรุณาท่านเป็ นคนทีพร้อม ไปดว้ ยทรัพยส์ มบตั ิ ขา้ ทาสบริวาร เกียรติยศ ชือเสียง และความสุขกายสบายใจ ตาแป๊ ะฮง เป็นชายจีนชราตวั คนเดียว ขายเตา้ ฮวย อาศยั อยทู่ ีห้องแถวเล็ก ๆ หลงั บา้ นขุนพิชิต แป๊ ะฮงขายเต้าฮวยเสร็จกลบั บ้านตอนเยน็ ตกคาํ หลงั จากอาบนําอาบท่า กินข้าวเสร็จก็นังสีซอ เพลิดเพลินทุกวนั ไป วนั หนึงท่านขุนคิดว่า แป๊ ะฮงดูมีความสุขดีแต่ถา้ ได้มีเงินมากขึนคงจะมีความสุขอย่าง สมบรู ณ์มากขึน ท่านขุนจึงเอาเงินหนึงแสนบาทไปใหแ้ ป๊ ะฮง จากนนั มาเป็ นเวลาอาทิตยห์ นึงเต็ม ๆ ท่านขนุ ไมไ่ ดย้ นิ เสียงซอจากบา้ นแป๊ ะฮงอกี เลย ท่านขุนรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอยา่ งหนึง เยน็ วนั ทีแปด แป๊ ะฮงก็มาพบท่านขนุ พร้อมกบั นาํ เงินทียงั เหลอื อกี หลายหมนื มาคืน แป๊ ะฮงบอกท่านขนุ ว่า “ผมเอาเงินมาคืนท่านครับ ผมเหนือยเหลือเกิน มเี งินมากก็ตอ้ งทาํ งานมากขึน ตอ้ งคอยระวงั รักษาเงินทอง เตา้ ฮวยก็ไม่ไดข้ าย ตอ้ งไปลงทุนทางอืน เพือให้รวยมากขึนอีก ลงทุนแลว้ ก็กลวั ขาดทุน เหนือยเหลอื เกิน ผมไมอ่ ยากไดเ้ งินแสนแลว้ ครับ” คืนนนั ท่านขนุ กห็ ายใจโล่งอก เมอื ไดย้ นิ เสียงซอจากบา้ นแป๊ ะฮง แทรกเขา้ มากบั สายลม ประเด็น ในเรืองของความสุขของคนในเรืองนี ท่านไดแ้ นวคิดอะไรบา้ ง

แนวทางการทาํ กิจกรรม 1. ใหค้ รูนาํ ผเู้ รียนทาํ กิจกรรมตามทีแนะนาํ ไวใ้ นใบงานที 2. กล่มุ เลอื กขอ้ คิดหรือคาํ ตอบทีกลุม่ คิดวา่ ดีทีสุดไว้ คาํ ตอบ 3. คาํ ตอบทีกลุ่มคิดวา่ ดีทีสุด ทีเลือกบนั ทึกไว้ คือ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ตวั อยา่ งขอ้ สรุปของกรณีตวั อยา่ ง ผเู้ รียนหลายกลุม่ ทีเคยเสนอไว้ เรือง “แป๊ ะฮง” จากความเห็นของ ตวั อย่าง ผเู้ รียนหลายหลมุ่ ทีเคยเสนอไว้ ดงั ปรากฏในกรอบดา้ นขวามอื ขอ้ สรุปผลการอภิปรายจากกรณี ตวั อยา่ งขอ้ สรุปนีอาจใกลเ้ คียง ตวั อยา่ งเรือง กบั ขอ้ สรุปของกล่มุ ของท่านก็ได้ “แป๊ ะฮง” --------------

ใบงานที กรณตี วั อย่างเรือง “ธญั ญวดี” ธญั ญวดี ธญั ญวดีไดร้ ับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนมธั ยมทีต่างจงั หวดั พอเป็ นครูได้ ปี ก็มีอนั เป็นตอ้ งยา้ ยเขา้ มาอยใู่ นกรุงเทพมหานคร โรงเรียนทีธญั ญวดียา้ ยเขา้ มาทาํ การสอนเป็ นโรงเรียน มธั ยมเช่นเดียวกนั แต่มกี ารสอนการศึกษาผใู้ หญ่ ระดบั ที – และ ในตอนเยน็ อีกดว้ ย มาเมือ เทอมทีแลว้ ธัญญวดีไดร้ ับการชกั ชวนจากอาจารยใ์ หญ่ให้สอนการศึกษาผูใ้ หญ่ ในตอนเยน็ ธญั ญวดีเห็นว่าตวั เองไม่มีภาระอะไรก็เลยตกลงโดยไม่ต้องคิดถึงเรืองอืน ซาํ ยงั จะมีรายได้ เพมิ ขึนอีกดว้ ย แต่ธัญญวดีจะคิดผิดหรือเปล่าไม่ทราบ เริมตน้ จากเสียงกระแนะกระแหนจากครูเก่า บางคนว่ามาอยยู่ งั ไม่ทนั ไรก็ไดส้ อนภาคคาํ ส่วนครูเก่าทีสอนภาคคาํ ก็เลือกสอนเฉพาะชวั โมง ตน้ ๆ โดยอา้ งว่า เขามีภารกิจทีบา้ น ธญั ญวดียงั สาว ยงั โสดไม่มีภาระอะไรตอ้ งสอนชวั โมง ทา้ ย ๆ ทาํ ใหธ้ ญั ญวดีตอ้ งกลบั บา้ นดึกทุกวนั ถึงบา้ นก็เหนือย อาบนาํ แลว้ หลบั เป็นตายทุกวนั การสอนของครูภาคคาํ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยคาํ นึงถึงผเู้ รียน เขาจะรีบสอนใหห้ มดไปชวั โมง หนึง ๆ เท่านนั เทคนิคการสอนทีไดร้ ับการอบรมมา เขาไม่นาํ พา ทาํ งานแบบขอไปที เชา้ ชามเยน็ ชาม ธญั ญวดีเห็นแลว้ ก็คิดว่า คงจะร่วมสงั ฆกรรมไม่ได้ จึงพยายามทุ่มเทกาํ ลงั กายกาํ ลงั ใจและ เวลา ทาํ ทุก ๆ วิถที างเพือหวงั จะใหค้ รูเหล่านนั ไดเ้ อาเยยี งอยา่ งของตนบา้ ง แต่กไ็ มไ่ ดผ้ ลทุกอยา่ ง เหมือนเดิม ธญั ญวดีแทบหมดกาํ ลงั ใจไม่มีความสุขเลย คิดจะยา้ ยหนีไปอยทู่ ีอืนมาฉุกคิดว่าที ไหน ๆ คงเหมอื น ๆ กนั คนเราจะใหเ้ หมอื นกนั หมดทุกคนไปไม่ได้ ประเดน็ ถา้ ท่านเป็นธญั ญวดี ทาํ อยา่ งไรจึงจะอยใู่ นสงั คมนนั ไดอ้ ยา่ งมีความสุข

แนวทางการทาํ กิจกรรม 1. ครูนาํ ผเู้ รียนทาํ กิจกรรมตามทีเสนอไวใ้ นใบงานที 2. กลุม่ เลือกขอ้ คิดหรือคาํ ตอบทีคิดว่าดีทีสุดไว้ คาํ ตอบ 3. คาํ ตอบทีกล่มุ คิดวา่ ดีทีสุดทีเลือกบนั ทึกไวค้ ือ .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................. ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ตวั อยา่ งขอ้ สรุปของกรณีตวั อยา่ ง ตวั อย่าง เรือง “ธญั ญวดี” จากความเห็นของ ขอ้ สรุปผลการอภิปรายจากกรณีตวั อยา่ งเรือง ผเู้ รียนหลายกลมุ่ ทีเคยเสนอไว้ ดงั ปรากฏในกรอบดา้ นขวามอื “ธัญญวด”ี ตวั อยา่ งขอ้ สรุปนีอาจใกลเ้ คียง -------------- กบั ขอ้ สรุปของกลุม่ ของท่านกไ็ ด้ การทีคนเราจะมีชีวิตอยไู่ ดอ้ ย่างเป็ น สุ ข นั น ต้อ ง รู้ จัก ป รั บ ตัว เ อ ง ใ ห้ เ ข้า กั บ สถานการณ์ สิงแวดลอ้ มหรือปรับสถานการณ์ สิงแวดลอ้ มให้เขา้ กบั ตนเองหรือปรับทงั สอง ทางให้เข้าหากันไดอ้ ย่างผสมกลมกลืนอย่าง น่าพอใจก็จะเกิดความสุขได้

ใบงานที กรณตี วั อย่างเรือง “ว่นุ ” ว่นุ หม่บู า้ นดอนทรายมลู ทีเคยสงบเงียบมาแต่กาลก่อน กลบั คึกคกั ดว้ ยผคู้ นทีอพยพเขา้ ไป อยเู่ พมิ กนั มากขึน ๆ ทุกวนั ทงั นีเป็ นเพราะการคน้ พบพลอยในหมู่บา้ น มีการต่อไฟฟ้ า ทาํ ให้ สวา่ งไสว ถนนลาดยางอยา่ งดี รถราวิงดูขวกั ไขว่ไปหมด สิงทีไม่เคยเกิดขึนมาก่อนก็เกิดขึน เช่น เมือวานเจา้ จุกลูกผใู้ หญ่จา้ ง ถูกรถจากกรุงเทพฯ ทบั ตายขณะวิงไล่ยงิ นก เมือเดือนก่อน น.ส.เหรียญเงิน เทพีสงกรานตป์ ี นี ถูกไฟฟ้ าดูดขณะรีดผา้ อยู่ ซ่องผหู้ ญิงเกิดขึนเป็ นดอกเห็ด เพอื ตอ้ นรับผคู้ นทีมาทาํ ธุรกิจ ทีร้ายก็คือเป็นทีเทียวของผชู้ ายในหม่บู า้ นนีไปดว้ ย ทาํ ใหผ้ วั เมียตีกนั แทบไมเ่ วน้ แต่ละวนั ครูสิงหแ์ กนงั ดูเหตุการณ์ต่าง ๆทีเกิดขึนแลว้ ไดแ้ ต่ปลงอนิจจงั “เออ ไอพ้ วกนีเคยสอนจาํ จี จาํ ไชมา ตงั แต่หวั เท่ากาํ ปัน เดียวนีดูมนั ขดั หูขดั ตากนั ไปหมด จะสอนมนั อยา่ งเดิมคงจะไปไม่ รอดแลว้ เราจะทาํ อยา่ งไรดี” ประเด็น 1. ทาํ ไมจึงเกิดปัญหาต่าง ๆ เหลา่ นีขึนในหม่บู า้ นดอนทรายมลู 2. ถา้ ท่านเป็นคนในหมบู่ า้ นทรายมลู ท่านจะแกป้ ัญหาอยา่ งไร 3. ท่านคิดว่า การเรียนรู้ทีเหมาะสมกบั สภาพของชุมชนเช่นนี ควรเป็นอยา่ งไร

แนวทางการทาํ กิจกรรม 1. ครูนาํ ผเู้ รียนทาํ กิจกรรมตามทีเสนอไวใ้ นใบงานที 2. กลมุ่ เลอื กขอ้ คิดหรือคาํ ตอบทีดีทีสุดไว้ คาํ ตอบ 3. คาํ ตอบทีกลุ่มเลอื กบนั ทึกไว้ คือ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ตวั อยา่ งขอ้ สรุปของกรณีตวั อยา่ ง ตวั อย่าง เรือง “วนุ่ ” จากความเห็นของ ขอ้ สรุปผลการอภิปรายจากกรณีตวั อยา่ งเรือง ผเู้ รียนหลายกล่มุ หลายคน ทีเคยเสนอไวด้ งั ทีปรากฏ “ว่นุ ” ในกรอบดา้ นขวามือ -------------- ตวั อยา่ งขอ้ สรุปนีอาจใกลเ้ คียง สงั คมปัจจุบนั มีการเปลียนแปลงอย่างรวดเร็ว กบั ขอ้ สรุปของกลุ่มของท่านก็ได้ ความเจริญทางวตั ถแุ ละเทคโนโลยวี ิงเขา้ สู่ชุมชนอย่าง รวดเร็วและรุนแรงตลอดเวลา จนคนในชุมชนตงั รับ ไม่ทัน ปรับตัวไม่ได้จึงเกิดปัญหาทีหลากหลาย ทังด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การศึกษา อาชีพ ความมนั คง และความปลอดภยั ของ คนในชุมชน การจดั การเรียนการสอน ในปัจจุบนั จะใช้ วิธีสอนโดยการบอกการอธิบายของครูให้ผเู้ รียนจาํ ได้ เท่านนั คงไมเ่ พยี งพอแต่ตอ้ งให้ผเู้ รียนรู้จกั คิด รู้จกั การ แกป้ ัญหาทีตอ้ งไดข้ อ้ มูลทีหลากหลายมาประกอบการ คิดแก้ปัญหาให้สอดคลอ้ งกบั ความเชือ ความจาํ เป็ น ของตนเอง และความตอ้ งการของชุมชนดว้ ย

ใบงานที กรณตี วั อย่างเรือง “สู้ไหม” “สู้ไหม” ผมตกใจสะดุง้ ตืนขึนเมอื เกิดเสียงเอะอะ พอลืมตาขึนมา เห็นทุกคนยนื กนั เกือบหมดรถ “ทุกคนนงั ลงอยนู่ ิง ๆ อย่าเคลือนไหวไม่งนั ยงิ ตายหมด” เสียงตวาดลนั ออกมาจากปากของ เจา้ ชายหนา้ เหียม คอสนั ทียนื อยหู่ นา้ รถ กาํ ลงั ใชป้ ื นจ่ออยทู่ ีคอของคนขบั ผมรู้ทันทีว่ารถทัวร์ทีผมโดยสารคันนีถูกเล่นงานโดยเจ้าพวกวายร้ายแน่ หันไปดู ดา้ นหลงั เห็นไอว้ ายร้ายอีกคนหนึงถือปื นจงั ก้าอยู่ ผมใชม้ ืออนั สันเทาลว้ งลงไปในกระเป๋ า กางเกง คลาํ . เห่าไฟของผมซึงซือออกมาจากร้านเมือบ่ายนีเอง นึกในใจว่า “โธ่เพิงซือเอา มายงั ไมท่ นั ยงิ เลย เพียงใส่ลกู เต็มเท่านนั เองกจ็ ะถกู คนอนื เอาไปเสียแลว้ ” เสียงเจา้ ตาพองหน้ารถตะโกนขู่บอกคนขบั รถ “หยดุ รถเดียวนี มึงอยากตายโหงหรือ ไง” ผมนึกในใจวา่ เดียวพอรถหยดุ มนั คงตอ้ งใหเ้ ราลงจากรถแลว้ กวาดกนั เกลียงตวั แต่ผมตอ้ ง แปลกใจแทนทีรถจะหยดุ มนั กลบั ยงิ เร็วขึนทุกที ทุกที ยิงไปกว่านันรถกลบั ส่ายไปมาเสียดว้ ย ไอพ้ วกมหาโจรเซไปเซมา แต่เจา้ ตาพองยงั ไมล่ ดละ แมจ้ ะเซออกไปมนั ก็กลบั วิงไปยืนประชิด คนขบั อีก พร้อมตะโกนอยตู่ ลอดเวลา “หยดุ โวย้ หยดุ ไอน้ ี กลู งไปไดล้ ะมึง จะเหยยี บให้คาสน้ ทีเดียว” รถคงตะบึงไปต่อ คนขับบา้ เลือดเสียแลว้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาคิดอยา่ งไร ขณะนันผม กวาดสายตาเห็นผชู้ ายทีนงั ถดั ไปทางมา้ นงั ทางดา้ นซา้ ย เป็นตาํ รวจยศจ่ากาํ ลงั จอ้ งเขมง็ ไปทีไอ้ วายร้ายและถดั ไปอีกเป็นชายผมสนั เกรียนอีก คน ใส่กางเกงสีกากี และสีขีมา้ ผมเขา้ ใจว่าคง จะเป็นตาํ รวจหรือทหารแน่ กาํ ลงั เอามือลว้ งกระเป๋ ากางเกงอยทู่ งั สองคน บรรยากาศตอนนนั ช่างเครียดจริง ๆ ไหนจะกลวั ปลน้ ถกู ยิง ไหนจะกลวั รถควาํ ทุกคน เกร็งไปหมด ทุกสิงทุกอยา่ งถงึ จุดวิกฤตแลว้ ประเด็น 1. ถา้ คุณอยใู่ นเหตุการณ์อยา่ งผม คุณจะตดั สินใจอยา่ งไร 2. ก่อนทีคณุ จะตดั สินใจ คุณคิดถึงอะไรบา้ ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook